ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่
เช้าวันนี้เจอคุณคนแรกเจ้าเก่าเจ้าเดิม
ผมชะโงกตัวออกจากเคาน์เตอร์ มองไปทางหน้าปากซอย จนมั่นใจว่าไม่มีภูมิ ไม่มีพี่พจน์ ไม่มีเงาร่างของกฤต ก็ถอนหายใจแล้วหันมายิ้มให้ลูกค้า
“วันนี้รับอะไรดีครับ”
“แนะนำหน่อยสิ”
วันนี้ถามกลับด้วยวุ้ย ผมผายมือไปทางเมนูซึ่งวางเด่นหน้าเคาน์เตอร์ให้เขารับชม
“ความจริงผมก็อยากแนะนำชานมไข่มุกนะครับ เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ผมรักที่สุด แต่เห็นคุณลูกค้าดื่มสามวันติดแล้ว เลยแนะนำเป็นชาเขียวไข่มุกแทน นี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของผม ชาเขียวนี้เป็นของชั้นดีที่เก็บมาจากยอดดอยของประเทศญี่ปุ่น เน้นเฉพาะยอดอ่อนใบชาเท่านั้น”
“งั้นเอาชาเขียวไข่มุก”
“ครับ” ขายของสำเร็จใครบ้างจะไม่ดีใจ ผมตั้งหน้าตั้งตาชงชาเขียวที่อวดอ้างสรรพคุณอย่างดิบดีทันควัน ในใจก็ท่องคาถาแห่งรักไปด้วยเพื่อให้รสชาติกลมกล่อมกำลังดี
“ชาเขียวไข่มุก สามสิบห้าบาทครับ”
“สามสิบ?”
“สามสิบห้าครับ”
“สามสิบไม่ได้เหรอ”
“สามสิบห้าครับ”
คุณคนแรกกับผมจ้องตากัน วินาทีนั้นเหมือนมีกระแสไฟฟ้าพาดผ่าน เป็นการประกาศสงครามแบบไม่มีใครยอมใคร เพราะนี่ก็ปาไปวันที่สี่แล้ว คุณคนแรกจะใช้สิทธิ์คนแรกเอาเปรียบผมตลอดไปไม่ได้!
“สามสิบห้าก็สามสิบห้า” สุดท้าย คุณคนแรกก็เป็นฝ่ายยอมล่าถอย
“สามสิบก็ได้ครับ” เช่นเดียวกับผมที่ไม่กล้าหักหาญน้ำใจลูกค้าประจำเพียงคนเดียวได้ลงคอ
พวกเราชะงัก สงครามจ้องตาจบลงด้วยต่างคนต่างยอมแพ้ แล้วจะสรุปจบยังไง
“งั้น...” คุณคนแรกหยิบถุงพลาสติกขึ้น แกะหนังยางออก แล้วนับเหรียญสิบให้ผมสามเหรียญ กับเหรียญสองบาทแสนคุ้นตาแถมให้ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เหรียญเดียว “พบกันครึ่งทาง สามสิบสองบาทห้าสิบสตางค์”
มีเหรียญสตางค์ด้วย สมัยนี้ยังมีคนใช้อีกเหรอเนี่ย
ผมยิ้มแหยๆ ให้เขา รับมาแบบไม่พูดอะไร กำลังคิดในใจอยู่เชียวว่าวันนี้จะได้เหรียญสองบาทรึเปล่า
กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้วที่จะต้องเอาเหรียญมาผูกกับเชือกแขวน
“รสชาติเป็นยังไงบ้างครับ” เห็นเขายืนดูดชาเขียวไม่ไปไหน แถมทำหน้าแปลกๆ ผมเลยอดถามไม่ได้
“ก็ดี” คุณคนแรกเอ่ยแบบไม่รู้รักษาน้ำใจกันรึเปล่า เพราะเขาคล้ายจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ “เมื่อวาน...”
“ครับ?”
คุณคนแรกปรายตามองจุดเกิดเหตุเมื่อวานตรงพื้น
“เสียดายชานมนะ”
“ครับ เสียดายมาก” พูดถึงเรื่องนี้น้ำเสียงผมก็เศร้าสลดทันที ตอนเก็บเศษซากที่บรรจงชงด้วยหัวใจทิ้งใส่ถังขยะ เป็นอะไรที่เจ็บปวดทรมานแค่ไหนใครจะรู้ แต่คุณคนแรกคล้ายจะรู้ ถึงได้จงใจพูดขึ้นมา แล้วก็...หลุดขำ
ขำอีกแล้วนะ เขาคงไม่ได้เห็นผมเป็นตัวตลกใช่มั้ย
ผมปาดน้ำใสตรงหางตา มองเขาแบบเคืองนิดๆ พาลนึกเรื่องเมื่อวาน ปฏิกิริยาแรกเวลาโดนกระชากคอเสื้อคืออะไร ผมไม่รู้คำตอบหรอกนะเพราะคงจะมีหลากหลายมาก แต่หนึ่งในนั้นต้องไม่ใช่คว่ำชานมใส่หัวคนอื่นแน่ๆ
เห็นชอบทำหน้าตาย เดี๋ยวหลุดขำเสียงเบา เดี๋ยวกระตุกมุมปากยิ้มนิดยิ้มหน่อย แต่ดันมือไวใจเย็นแบบน่ากลัว เหมือนกันนะนั่น
สงสัยผมจะเหม่อนานไปหน่อย เพราะเงยหน้าอีกทีคุณคนแรกก็เดินออกจากซอยไปแล้ว สวนกับลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ปกครองจูงเด็กนักเรียนวัยประถมมาซื้อขนมแล้วเห็นเข้าโดยบังเอิญ แม้จะเป็นส่วนน้อยมากๆ เพราะโรงเรียนนี้ค่อนข้างมีระดับ ทำให้กำลังทรัพย์ของลูกค้ามักจะเลือกร้านชานมยี่ห้อดังหน้าปากซอยมากกว่า
แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนอะไร ใช้รอยยิ้มเข้าสู้
แม้จะหน้าตาธรรมดา แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูราวคุณหนูดูสะอาดสะอ้านน่าเชื่อถือ ทำให้มักจะตกลูกค้าได้ร้อยละเจ็ดสิบหากเดินหลงเข้ามาแล้วยังไม่ได้ซื้อชานมร้านหน้าปากซอย
“ตอนนี้มีโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนะครับ ลองเข้ามาดูเมนูก่อนได้นะครับ ไม่ซื้อไม่เป็นไร”
ต้องขอบคุณความเป็นลูกคนเล็ก หน้าผมเลยมีมุมอ้อนน่ารักๆ แบบไม่มากเกินไปชวนให้ผู้ใหญ่เอ็นดู และด้วยความความตั้งอกตั้งใจชงเครื่องดื่ม ก็มักทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ
สี่วันมานี้ก็เริ่มมีลูกค้าหน้าเดิมนอกเหนือจากคุณคนแรกแล้วนะเออ
ช่วงเวลาที่จะขายได้เยอะคือช่วงเช้าที่ผู้ปกครองมาส่ง ช่วงเที่ยงที่จะมีคุณครูออกมาซื้อของกิน และช่วงเย็นที่จะมีผู้ปกครองมารอรับ ลูกค้าขาจรมีบ้างประปราย แต่กลุ่มหลักมักมาจากโรงเรียนประถมมากกว่า
ผมเริ่มคิดจริงจังว่าควรจะโปรโมตแบบไหนดีก่อนจะปิ๊งไอเดียเมื่อเห็นเด็กตรงหน้าใช้กระเป๋านักเรียนแปะสติกเกอร์ลายการ์ตูนเต็มไปหมด
อะไรนะ แล้วกฤตหายหัวไปไหนทำไมไม่มา
ปล่อยหมอนั่นไปเถอะ ใช่ว่าเขาจะเป็นคนพูดจริงทำจริงสักหน่อยนี่!
วันต่อมา หน้าร้านพิชพิชชานมก็เปลี่ยนโฉม ข้างป้ายร้านมีแสตนดี้เป็นตัวการ์ตูนสวมหน้ากากเท่ๆ ในชุดรัดรูปและผ้าคลุมสีน้ำเงินคาดเข็มขัดสีเหลือง ตรงอกสกรีนชื่อร้าน ชูมือข้างหนึ่งคล้ายซูเปอร์แมนกำลังเหาะเหิน ซึ่งในมือนั้นถือแก้วชานม
แน่นอนว่าผมไม่ได้วาดเอง แต่ทันทีที่คิดได้เมื่อเช้าวาน ก็เปิดโน๊ตบุ๊คติดต่อจ้างงานแล้วส่งทำป้ายหน้าร้านใหม่รวมทั้งเปลี่ยนสติกเกอร์บนแก้วบรรจุภัณฑ์ด้วย
เพราะเหตุนี้ ลูกค้าคนแรกของร้านผมจึงไม่ใช่คุณคนแรกอีกต่อไป
ต้องขอบคุณผู้ปกครองที่จูงลูกมาซื้อหนังสือเรียนในซอย ทันทีที่เด็กเห็นตัวแสตนดี้ตั้งโดดเด่น แม้จะอยู่สุดซอย ก็ชี้นิ้วแล้วร้องเอ๊ะอย่างสนใจทันที
เมื่อลูกสนใจ ผู้ปกครองก็ต้องตามใจ แม้ชานมจะราคาถูก ร้านดูไม่น่าเชื่อถือเทียบเท่าร้านหน้าปากซอย แต่เมื่อเห็นผมยืนต้อนรับด้วยสีหน้าน่าเอ็นดู ก็อดจะอุดหนุนไม่ได้
“อันนี้คือบัตรสะสมแต้มครับ” ผมยื่นบัตรที่เพิ่งทำเสร็จหมาดๆ ให้ลูกค้า “หากครบสิบแต้มจะได้ฟรีหนึ่งแก้วครับ”
ตัวปั๊มคือลายฮีโร่พิชพิช ส่วนตัวบัตรก็เป็นลายอวกาศ พอปั๊มลงไปแล้วเลยเหมือนฮีโร่กำลังถือชานมเหาะไปในอวกาศ
เด็กน้อยตื่นตาตื่นใจดังคาด ถือบัตรสะสมแต้มไม่ปล่อย ส่วนผู้ปกครองเองเมื่อลองชิมก็ประทับใจในรสชาติ เปิดตัวได้น่าปลื้มปริ่มใจไม่เลว
นับเป็นกลยุทธ์เริ่มต้นที่ดี!
เพราะปัญหาของผมตอนนี้คือ...ร้านชานมหน้าปากซอยนั้นเป็นแบรนด์ดังน่าเชือถือระดับสิบเต็มสิบ หลากหลายสาขาเปิดทั่วประเทศ แถมยังรักษาคุณภาพได้อย่างดีเยี่ยม แม้ผมมั่นใจว่าเราจะใช้คุณภาพวัตถุดิบไม่ต่างกัน รสชาติคล้ายกัน แต่ใครเลยจะเชื่อถือกับร้านชานมโนเนมในซอยที่มีคนชงแค่คนเดียว กับร้านใหญ่ที่มีลูกน้องถึงเจ็ดคนในการรับออเดอร์และทำเครื่องดื่ม แม้หลายวันมานี้จะมีคนลองชิมชานมของผมแล้วชอบ แต่ก็เป็นแค่ 1% ของลูกค้าทั้งหมดที่ร้านใหญ่ได้รับ
ลูกค้าส่วนมากยึดติดกับแบรนด์ แค่เห็นชื่อร้านดังก็ต่อคิวซื้อ ไม่สนใจไยดีหรือแม้แต่จะเชื่อว่าร้านผมกับร้านนั้นจะใช้วัตถุดิบชั้นดีเหมือนกัน ด้วยราคาที่แตกต่างกันถึงสองเท่า
ผมเลยใช้กลวิธี...หลอกล่อเด็ก!
สำหรับเด็กตัวน้อยวัยประถมที่มีผู้ปกครองพร้อมเปย์ คงไม่สนใจหรอกว่าชานมราคาเท่าไหร่ รสชาติต่างกันยังไง ความรอยัลต่อแบรนด์นั้นสำคัญแค่ไหน เอาแสตนดี้มาตั้งสะดุดตาสักหน่อยก็วิ่งโร่เข้าหาแล้ว
อาจจะดูฉาบฉวยไปนิด แต่ผมต้องการเพียงให้ลูกค้าได้ลองว่าชานมของผมรสชาติอร่อยเหาะไม่ต่างกับร้านชื่อดัง นับเป็นการสร้างโอกาสดึงลูกค้าแบบเนียนๆ นั่นเอง!
“ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว” คุณคนแรกซึ่งกลายเป็นลูกค้ารายที่สองของวันมองผมด้วยสายตาวิบวับยากเดาอารมณ์ คล้ายจะชื่นชมก็ไม่ใช่จะประหลาดใจก็ไม่เชิง
สงสัยจะช็อกที่มาไม่ทันคนแรกสมฉายา ผมเลยเพิ่มไข่มุกให้เป็นกรณีพิเศษ
“สามสิบบาทครับ”
“น่ารักดีนะ”
“ครับ?”
ผมเงยหน้ามองเขาอึ้งๆ ก่อนจะทำความเข้าใจว่าคุณคนแรกหมายถึงลายตัวการ์ตูนบนแก้ว ไม่ได้หมายถึง...
โอเค ถึงตอนนี้ก็ต้องรู้กันแล้วใช่มั้ยครับทุกคนว่าผมชอบผู้ชายน่ะ
ในเมื่อแฟนเก่าของผมคือ...
“ทำอะไรกันน่ะ!”
...คือผู้ชายหน้าหล่อที่เจ้าชู้แต่ดันขี้หึง ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่กฤตซึ่งแทบจะปราดเข้ามากระชากคอเสื้อคุณคนแรกอีกครั้ง แต่โชคดีที่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว เลยมีคนช่วยปราม
หรือไม่ก็โชคร้าย เพราะคนคนนั้นดันเป็นไอ้ภูมิ
“ตั้งสติสิวะ นั่นลูกค้า ทำร้ายเขาเดี๋ยวพิชญ์ก็โกรธไม่ยอมคุยหรอก” ไอ้ภูมิที่เคยเจอคุณคนแรกแล้วในวันแรกหันมายิ้มขอโทษขอโพยอย่างรู้งาน หมอนี่ดีอย่างตรงที่แม้ชอบกร่างแต่ก็รู้ว่าใครกร่างได้ใครกร่างไม่ได้ ครั้งก่อนโดนผมขู่จนวิ่งหนี วันนี้เลยใช้กลยุทธ์ใหม่ทำตัวเป็นสหายแสนดี แถมยังหวังดีมากๆ อยากให้คู่รักคืนดีกัน
ซะที่ไหน
มันแค่อยากให้ผมกลับบ้านหรอก ส่วนที่ลากกฤตมาเนี่ยคือความเข้าใจผิดล้วนๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเข้าใจยากตรงไหน ผมอยากเปิดชานมไข่มุกกับเลิกกับกฤตนั้นคนละเรื่องกัน ทำไมถึงแยกไม่ออกสักที ชอบจับโยงอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด
แล้วกฤตทำไมถึงหน้าแดงขนาดนี้ อืม...จากที่เดินตัวเซ กลิ่นเหล้าหึ่ง ไม่บอกก็รู้ว่าเมื่อคืนคงไปโต้รุ่งมา สนุกสุดเหวี่ยงเลยสิท่า ไม่มีผมคอยคุมแล้วนี่
“พิชญ์ ดูสภาพกฤตสิ มันเสียใจที่พิชญ์ไม่ยอมคืนดีด้วยจนเมาหัวราน้ำมาสองคืนแล้ว”
เสียใจหรือดีใจกันแน่ ผมเอียงศีรษะพลางพิจารณาสารร่างแฟนเก่าอย่างไร้ความรู้สึกรักโลภโกรธหลงโดยสิ้นเชิง
“พิชญ์จ๋า เราสำนึกผิดจริงๆ นะ จะ...ฮึก...จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว” กฤตรีบพูดเสริม พยายามกลั้นน้ำตาน่าสงสารเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำจนจิตใจร้าวรานแทบแหลกเป็นเสี่ยง ประหนึ่งคนอกหักรักคุดที่เมามายหัวราน้ำไม่เป็นอันกินอันนอนจริงๆ
“อย่ามายืนขวางแสตนดี้หน้าร้านฉัน” ผมโบกมือไล่ทั้งสองคนเหมือนปัดแมลงวัน และนั่นก็ทำให้ภูมิเพิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงแตกต่างกับวันแรกที่มา
“ตัวอะไรน่ะ น่าเกลียดจัง”
ไอ้ภูมิผู้ไร้ศิลปะในหัวใจ
“อย่างอนเป็นเด็กๆ เลยน่าพิชญ์ กลับกันเถอะ กฤตก็สำนึกผิดแล้วนี่ไง”
ตรงไหนของสภาพกฤตที่ดูสำนึกผิดวะครับ แค่ดื่มเหล้าทำตัวโทรม แล้วจะทำให้ผมเห็นใจยอมอภัยได้รึไง ใช้สมองส่วนไหนคิดไม่ทราบ
“แล้วโทรศัพท์ที่พี่พจน์ซื้อให้ทำไมไม่เปิดเครื่อง” ไอ้ภูมิถามย้ำ ขยันก้าวก่ายชีวิตกูจังนะเพื่อน
ผมคลึงขมับ ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเลยด้วยความโกรธ
“อย่าเงียบสิพิชญ์ จู่ๆ ก็หนีมาเปิดร้านชานมทุกคนเป็นห่วงมากนะ กฤตก็มาง้อแล้ว พี่พจน์ก็มาตามแล้ว ยังต้องการอะไรอีก ถ้ายังโกรธเรื่องนั้นอยู่...กฤตสัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้ว”
“ใช่ๆ เราสัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้วนะพิชญ์”
ช่างเป็นคู่ที่รับส่งจังหวะดีเยี่ยมจนอยากจะชงให้พวกเขาคบกันเองให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“ถ้าใจเย็นแล้วก็กลับไปคุยกันดีๆ เถอะ ทุกคนรออยู่นะ ส่วนร้านนี้ก็ปิดไป ยังไงก็ไม่มีเหตุผลต้องเปิดแล้วนี่”
ผมโกรธมาก
โกรธมาก โกรธมากมาก และโกรธมากถึงมากที่สุด
โกรธทั้งไอ้ภูมิ พี่พจน์ และกฤตที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย!
“พิชญ์...โอ๊ย!” ภูมิอุทานลั่นเมื่อจู่ๆ ก็โดนอะไรปาใส่หน้า สิ่งของนั้นเย็น เป็นก้อนแข็ง หรือก็คือ...น้ำแข็งนั่นเอง
ผมโกรธจนอยากจะทำอะไรสักอย่าง และอะไรสักอย่างที่ว่านั่นก็คือการปาน้ำแข็งใส่หน้าภูมิ ในร้านนี้อุปกรณ์และวัตถุดิบการชงเครื่องทั้งหมดล้วนมีค่า จะมีก็แต่น้ำแข็งที่เหมาซื้อมาทั้งถังนี่แหละที่พอจะเย็นมือและช่วยให้เย็นใจขึ้นบ้าง
“พิชญ์ หยุดก่อน...โอ๊ย”
น้ำแข็งแบบหลอดสะอาดปลอดภัยช่างปาได้ถนัดมือ แถมพอโดนแสงอาทิตย์ก็ละลายพ่วงระเหิดหายไม่ต้องตามเก็บด้วย และถ้ามองจากบุคคลภายนอก ก็แทบจะมองไม่เห็นว่าเจ้าของร่างผู้อัธยาศัยดีคนนี้กระทำการโหดเหี้ยมยังไงเพราะน้ำแข็งก้อนเล็กและสีใส มีแต่คนเมากับไอ้ภูมิที่ร้องโอ๊ย อ๊าก โอ๊ย อ๊ากไม่หยุดปาก
ฉลาดจริงๆ นายพิชญ์
ด้วยความประหยัด ผมเลยปาทีละก้อน ปาไปปามาก็เริ่มจะใจเย็นลงแล้วเพราะภูมิลากกฤตวิ่งหนีหางจุกตูดไป แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยกล้ากับผมเวลาโกรธจัดสุดขีดจนพูดอะไรไม่ออกแล้วลงมืออย่างเดียว สมัยเด็กที่โดนต่อย ผมก็ไม่พูดอะไรแล้วต่อยเอาๆ
สองคนมาใหม่วิ่งจากไป
แต่คุณคนแรกยังยืนยิ้มอยู่ที่เดิม
นึกสภาพตัวเองเมื่อกี้ก็น่าอับอายอยู่เหมือนกัน เปิดถังน้ำแข็งแล้วหยิบปาหยิบปา โคตรทุเรศเลย
“ปิดหน้าทำไม”
“มือมันเย็นดี”
คุณคนแรกหลุดหัวเราะพรืดจนได้ แต่ผมก็แสร้งใช้มือเย็นๆ นาบหน้าตัวเองแก้ความอับอาย พอแง้มนิ้วมองดูก็เห็นว่าคุณคนแรกเดินกลับออกไปหน้าปากซอยแล้ว
ไม่รู้ว่าดวงสมพงศ์หรืออะไร เขาถึงมักเห็นฉากความวุ่นวายของคนรู้จักผมทุกที
ซึ่งก็ต้องขอบคุณเขานะ...ที่เอาแต่ชมมอง โดยไม่เคยถามอะไรเลย
“เกือบลืม”
“เฮ้ย!” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ คุณคนแรกก็เดินวกกลับมาตอนกำลังก้มหน้าก้มตาจับนู่นจับนี่แบบงุ่นง่าน ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก แต่มันเคืองใจน่ะครับว่าเมื่อไหร่ภูมิจะเลิกวุ่นวายกับผมสักที กฤตน่ะเป็นพวกผีเข้าผีออก บทอยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไป ส่วนพี่พจน์นั้นรู้จักความหัวแข็งของผมดี เขาเลือกเป็นฝ่ายรออยู่ห่างๆ แบบห่วงๆ เหมือนพ่อกับแม่ เชื่อว่าเดี๋ยวเบื่อผมก็กลับเอง เหลือภูมิอยู่คนเดียวที่มุ่งมั่นซะเหลือเกิน แล้วยังพยายามโยงคนนู้นคนนี้มาร่วมด้วยไม่ยอมหยุด
ก็ใช่จะไม่รู้เหตุผล
ผมหลุดยิ้มเยาะเมื่อนึกถึงเพื่อนสมัยเด็ก ก่อนจะปรับอารมณ์แทบไม่ทันเพราะโดนคุณคนแรกจ้องเอาๆ
“ลืมอะไรเหรอครับ”
“แบมือ”
คุณคนแรกกำมือยื่นออกมา ผมเลยต้องแบมือรอรับของสิ่งนั้นอย่างว่าง่าย และจะเป็นอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่...เหรียญสองบาท
“เดี๋ยวจะไม่ครบคอลเลกชั่น” คุณคนแรกเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะเดินถือชานมเดินออกจากปากซอยไปแบบไม่คิดอะไรลึกซึ้งแต่ดันทำให้คนรับคิดไม่ดีซะงั้น ผมมองเหรียญสองบาทแล้วโคลงศีรษะ สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือพอจับไอ้เจ้าเหรียญสองบาททำเป็นเครื่องรางแล้วช่วยเสริมสร้างแรงฮึดจริงๆ
อย่างน้อยก็มีคุณคนแรกที่ชื่นชอบชานมของผม
อย่างน้อยก็มีคุณคนแรกที่รอเปิดร้านทุกเช้า
แค่นั้นก็มีความหมายกับผมมากมายแล้ว
--------------------
ก็จะหวานๆ น่ารักกันประมาณนี้นะคะสำหรับเรื่องนี้
คุณคนแรกมาจีบแบบเนียนๆ พิชญ์เองก็แอบอ่อยแบบเนียนๆ เรียกว่าชานมไข่มุกสื่อรักก็ได้นะนี่ ต้องปลอบใจพี่พจน์แล้วเพราะกว่าพิชญ์จะกลับบ้าน น่าจะได้แฟนควงกลับไปด้วย 5555 ยังไงก็ตาม...ร้านชานมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเริ่มมีลูกค้าเพิ่มขึ้นมาแล้ว สู้เขานะพิชญ์!!
#ผมกับชานมไข่มุก