[จบแล้วครับ]- - - คืนฤดูร้อนที่ยาวนาน - - - CHAPTER 26 [END] [2/8/64] P.2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้วครับ]- - - คืนฤดูร้อนที่ยาวนาน - - - CHAPTER 26 [END] [2/8/64] P.2  (อ่าน 26622 ครั้ง)

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


- - - ผมอกหัก ถูกหญิงอันเป็นที่รักบอกเลิก
เธอคบกับผมมาสองปี ไม่เคยสักครั้งที่จะทะเลาะกัน
แต่คืนนี้ จู่ๆเธอก็บอกว่า "เราเลิกกัน"
ผมผิดอะไร
ถ้าผมจะต้องการใครสักคนมาปลอบ ในค่ำคืนกลางฤดูร้อนอันเหน็บหนาวบ้างล่ะ - - -




เรื่องราวความรักท่ามกลางฤดูร้อน

ที่ฝ่ายหนึ่งถูกแฟนสาวบอกเลิก

กับอีกหนึ่งหนุ่มผู้คิดทำงานหารายได้พิเศษ

โชคชะตาเผอิญนำพามาเจอกันในห้วงเวลาสำคัญของแต่ละฝ่าย

จนกลายเป็นเหตุการณ์ความทรงจำไม่รู้ลืมของฤดูกาลชีวิต


สารบัญ



CONTACT ME / ติดต่อนักเขียน

FB : เธียรศกร

Twitter : @khamphiphob



ผลงานที่ผ่านมา
ข้ามพิภพ
มาตะวัน
ปรมาจารย์ลัทธิเมีย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2021 12:27:47 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
INTRO


โทรศัพท์มือถือถูกวางทิ้งขว้างอยู่บนเตียงนอนอย่างไม่ไยดี

‘เราเลิกกันเถอะ’

น้ำเสียงแหบหวานปนห้าวของแฟนสาวที่คบกันมาตั้งแต่เจอะเจอตอนสมัยเรียนปี 1 ถ่ายทอดประโยคบอกเลิกอย่างเฉยชา ผมเพิ่งอกหักหมาดๆ จนนึกว่าอากาศที่ร้อนจัดกลางเดือนมีนาคมคงสร้างภาพหลอน แต่ไอ้สิ่งที่เลอะเปรอะเปื้อนขอบตาและสองแก้ม เป็นหลักฐานยืนยันว่าผมไม่ได้หลอนไปเอง
 
ชีวิตผมนับจากนี้คงไม่มีฤดูหนาว พราวประดับ อีกแล้ว

เธอเป็นหญิงสาวตากลมโต ผมยาวสีดำเช่นท้องฟ้ากลางฤดูหนาว ไอซ์ สร้างเสียงหัวเราะให้เฟรชชี่ใหม่ด้วยกัน โดยพวกรุ่นพี่สันทนาการดึงไอซ์ขึ้นมาเต้นเพลงประกอบจังหวะครึกครื้น จนพวกหนุ่มๆซึ่งเพิ่งผ่านพ้นทรงผมเกรียนข้าง ต่างจับจ้องมองเธอราวกับเกล็ดหิมะร่วงหล่นท่ามกลางแสงจันทร์ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น

ผมจำได้ว่ามีกระป๋องเบียร์แช่ไว้ในตู้เย็นจึงเอามาเปิดฝายกดื่มเหมือนน้ำเปล่า กระทั่งรู้สึกว่าเครื่องปรับอากาศในห้องเริ่มเสีย ขวดบุบบู้บี้ของกระป๋องเบียร์เกลื่อนพื้นห้อง ผมตั้งใจเก็บเอาไว้เลี้ยงฉลองวันเกิดของผมร่วมกับไอซ์ คืนนี้

ทำไมถึงได้ประจวบเหมาะแบบนี้

บางทีผมไม่ควรลงเรียนซัมเมอร์ เพราะภาพบาดตาข้างสแตนด์สนามบาสเมื่อตอนเย็น ทำให้ผมคิดได้ว่าควรนอนปิดหูปิดตาไม่รู้ไม่เห็นอยู่ที่บ้านดีกว่า

พราวประดับ ผมชอบเรียกเธอด้วยชื่อนี้มากกว่าชื่อเล่น เธอเป็นนักศึกษาดาวคณะพ่วงฐานะผู้จัดการสาวสวยชมรมบาส ไม่แปลกที่เธอจะอยู่ที่นั่น ณ เวลานั้น แต่ผมต่างหากที่อยู่ผิดที่ผิดเวลา นักกีฬาบาสตัวมหา’ลัยหน้าหล่อ ตัวสูงกว่าร้อยเก้าสิบเซนฯ คนนั้น ผมไม่เคยรู้จักหรือจำหน้ามันได้สักที แต่ก็เคยได้ยินเพื่อนฝูงบอกว่า ไอ้หมอนั่นมันจะจีบพราวประดับ

ตอนแรกผมไม่เชื่อ คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ผมกับพราวประดับยังรักกันดีอยู่ ไม่มีทางที่จะมีใครมาแทรกตรงกลางระหว่างเราได้

แต่ช่วงเย็นวันนี้ จู่ๆผมก็นึกอยากลองสังเกตดูแฟนของผมทำหน้าที่ผู้จัดการทีมบ้าง อากาศอบอ้าวของหน้าร้อนตอนย่ำค่ำไม่ได้ลดทอนลง แต่แฟนผมก็ตระเตรียมน้ำเย็นและเครื่องดื่มไว้ดูแลนักกีฬาสมกับเป็นผู้จัดการมืออาชีพอยู่แล้ว

รอยยิ้มสวยหวาน แม้ยามผมเล่นมุกตลกฝืดปรากฏให้เห็นตลอดเวลา ผมไม่อยากให้เธอรู้ว่าผมแอบดูอยู่ก็ออกสตาร์ทรถยนต์ตั้งใจจะกลับไปยังคอนโดที่พัก

นักบาสตัวสูงที่มันเคยเป็นข่าวกับพราวประดับ อาศัยจังหวะเปลี่ยนตัวพักเหนื่อยเข้ามาโอบเอวเธอ โดยอีกฝ่ายไม่ได้ทำทีผลักไส แถมยังยิ้มแย้มซับเหงื่อให้อีกต่างหาก
 
ผมกลับมาถึงห้องโดยไม่รู้เลยว่า เอาหัวใจทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจไม่มีอะไรก็เป็นได้ บางทีพราวประดับ...

ผมล้มตัวนอนหลับโดยยังคงสวมชุดนักศึกษา สะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ

“กาลคะ”

“ครับ พราว” ผมยังมึนหัวแต่ก็พยายามทักแฟนสาวด้วยน้ำเสียงดีใจ

“เมื่อไหร่กาลจะเลิกเรียกไอซ์ด้วยชื่อจริงซะที” หญิงสาวตอบกลับไม่พอใจ

“ชื่อจริงพราวเพราะดีออก ผมชอบ”

“แต่ไอซ์ไม่ชอบค่ะ”

ความเงียบปกคลุมบรรยากาศหน้าร้อน นี่ผมนอนหลับโดยไม่เปิดเครื่องปรับอากาศได้ยังไงกัน ถึงว่าเหงื่อออกเต็มตัวเลย

“เราเลิกกันเถอะ...อนันตกาล

ใช่แล้วครับ นั่นคือชื่อจริงของผม และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่พราวประดับยอมเรียกผมด้วยชื่อจริง มาคิดๆตอนนี้ บางทีผมอาจจะชอบขัดใจเธอ ไม่ยอมตามใจในหลายๆเรื่อง รวมถึงเรื่องเรียกเธอด้วยชื่อจริงด้วย แต่ลึกๆแล้วผมอดสงสัยไม่ได้ว่า นักกีฬาบาสที่ตกเป็นข่าวกับพราวจะมีส่วนหรือเปล่า

ตอนนี้ผมมึนหัวไปหมด ทั้งฤทธิ์เครื่องดื่มมึนเมา ทั้งสาเหตุที่พราวขอเลิกคบ ผมเหมือนคนที่ยืนอยู่หน้าผา แล้วถูกผลักตกลงไปโดยฝีมือใครสักคน ถามว่าเจ็บไหม น้ำตาที่ไหลคงตอบทุกอย่างได้

นอกใจหรือ

ผมส่ายศีรษะยากจะรับข้อสมมติฐานเลวร้าย ไม่มีทางที่พราวประดับจะทำกับผมแบบนั้น ทั้งคบซ้อนหรือนอกใจ

ร้อนแล้วก็เหนียวตัวมาก เหงื่อก็ซึมตามมัดกล้ามจนชุดนักศึกษาสีขาวโปร่งใส

แล้วถ้าผมทำบ้างล่ะ ก็ในเมื่อตอนนี้ผมเพิ่งได้รับสถานะโสดคืนมาหมาดๆ จะเป็นไรไป สมองล่องลอยเบาดุจปุยนุ่น เอื้อมคว้าโทรศัพท์แล้วกดโหลดแอพหาคู่

สัญญาณอินเตอร์เน็ตช่วงหัวค่ำของคอนโดช้าอย่างกับเต่าคลาน กว่าจะโหลดเสร็จ ผมก็ล้มนอนงัวเงียไปได้ตื่นหนึ่ง ล็อกอินด้วยอีเมล์แล้วเขี่ยๆรายชื่อที่อัพเดต ผมแทบมองไม่เห็นหน้าตาของคนในโทรศัพท์ มึนหัวจนจิ้มนิ้วส่งๆไป

สักครู่หนึ่งก็มีข้อความตอบกลับมาบอกว่าอีกฝ่ายตกลง ผมล้มตัวลงนอนบนพื้นห้อง โดยมีกระป๋องเบียร์เป็นเพื่อนรัก

นี่ผมกำลังทำอะไรลงไป ประชดเหรอ ไม่หรอก ผมโสดนะ ผมย่อมทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องห่วงความรู้สึกของคนที่ทิ้งผมไป

พราวประดับ
   
ผมสะดุ้งรู้สึกตัวก็ตอนได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ลมร้อนจากภายนอกพัดผ่านบานประตูกระจกระเบียงที่ปิดไม่สนิท ใช้มือที่ไม่ได้กำกระป๋องเบียร์ดึงขอบเตียงเพื่อพยุงตัว แล้วเดินโซซัดโซเซไปที่ประตู มือผมอ่อนอย่างกับไร้กระดูก ทำไมการเปิดประตูจึงลำบากแบบนี้นะ สงสัยเพราะผมเริ่มเมาแล้วสิ

หลังจากผมงมเปิดลูกบิดประตูจนสำเร็จ ก็อาศัยพิงหลังกับผนังห้องช่วยพยุงตัว เหลือบมองแขกผู้มาเยือนด้วยดวงตาหรี่ลง จนอยากกลับไปนอนบนเตียงนุ่ม คนคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงยีน มีหน้ากากลายสวยปิดรอบดวงตาทั้งสอง

“นายชื่อ กาล ใช่ไหม”

“ฮืม อือ” ผมจำได้ว่ากดเรียกสาวสวยไปนี่นา

“ผม คิมหันต์ เรียก คิม เฉยๆก็ได้”


- - - - - - - - - - - - - - - -

TBC

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2019 20:07:20 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 1



KIM’s Talk

   
“เชี่ย มึงไปบอกชื่อจริงให้เค้ารู้ทำไม งานจะเข้าไหมละ สัด” ผมโดนเพื่อนสนิทหน้าเข้มด่ายับ แถมยังโดนตบหัว แทบหลบไม่ทัน
 
“มึงก็พูดเกินไป ไอ้กิจ เค้าจำกูไม่ได้หรอก กูใส่หน้ากาก” ผมนึกข้ออ้างได้ก็ร้องบอกพวกมันที่สี่คน

“เหี้ยคิม เกิดเป็นนักศึกษามอเดียวกันกับเราจะทำยังไง มึงบอกว่าเค้าใส่ชุดนักศึกษา แล้วก็อยู่คอนโดใกล้ๆนี่ไม่ใช่หรอ” หนุ่มหน้าลูกครึ่งฝรั่งแช่บ๊วยที่พูดประโยคเมื่อกี้ชื่อ ฟราน ตั้งข้อสังเกต ผมเริ่มใจคอไม่ดี ออกอาการกลัวอย่างพวกมันว่า แต่พยายามซ่อนงำท่าที คิดใจดีสู้เสือไว้ก่อน

“แล้วคุณมึงได้ตังมาช่วยค่ารักษาน้องหรือเปล่า” ไอ้หน้าใสตาเล็กจิ๊ดเดียวคนนี้ชื่อ ก้าน ถามสาระสำคัญของเรื่องราว เหตุที่ผมลองหาเงินด้วยวิธีนี้ก็เพราะได้ยินว่าได้เงินดีแล้วก็เร็ว

“เออ”

“เท่าไหร่วะ” หนุ่มหล่อหน้าโฉดที่ถามจำนวนเงินค่าตัวผม มันชื่อว่า ฝน

ใจจริงผมไม่อยากบอกพวกมัน ก็เพราะเอ่อ...

“ห้าพัน”

“เฮ้ย ฮะ เหี้ย เงินดีสาด” เพื่อนผมทั้งสี่คนร้องอุทานออกมาคนละคำโดยพร้อมกัน

“มึงทำไปกี่รอบ เอาท่าไหนบ้างวะ” ไอ้เหี้ยกิจโดนเท้าผมถีบหน้าแข้งจนมันกระโดดลุกเต้นโอดโอย กระย่องกระแย่ง

“เอาจริงๆพวกกูทั้งหมดก็อยากรู้เหมือนกัน ถ้าเงินดีขนาดนี้ มึงช่วยกูสมัครหน่อยดิ” ไอ้ฟรานโอบบ่าผมยักคิ้วหลิ่วตา ผมสั่นหน้า อย่างมึงคงไม่ต้องหาเงินด้วยวิธีนี้หรอกไอ้ลูกเศรษฐีนักธุรกิจ “มึงอยู่กี่ชั่วโมงวะ”

“สิบห้านาทีได้มั้ง”

“เหี้ย เฮ้ย ห๊ะ มึงจะร้องหาพ่อมึงหรอ” ประโยคท้ายคุณชายฟรานตะโกนใส่ จนพวกมันรีบเอามืออุดปาก ทำหน้าหงอยเชื่องเป็นหมา

“ทำไมมึงเสร็จเร็วจังวะ หน่วยก้านมึงก็ดี แถมเล่นกีฬาอีกต่างหาก ไม่น่าเร็วขนาดนั้นนะ” ไอ้ฝนลูบคางตัวเอง พิจารณาผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “หรือว่า...”

“เรือล่มปากหนอง”

“เรือล่มปากคลอง”

“เรือล่มปากป่าว”

“อ่าว ไอ้สัด” ผมจำเป็นต้องแก้คำจบ ตบมุกพวกมัน ที่เล่นแล้วเอาไม่ลงสักทีจนเลยเถิด บางทีอาจจะล่มไปถึงบนเขาบนดอยก็เป็นได้หากไม่มีใครเบรค

พวกผมทั้งห้ายอดกุมาร เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะวิทยาศาสตร์ กำลังนั่งรอเรียนวิชาหลักคาบบ่ายอยู่ใต้ตึกคณะ ระหว่างนั้นก็ถูกซักฟอกจนเกือบขาวสะอาดโดยไม่ต้องผ่านเครื่องซักผ้าแต่อย่างใด

“คนที่เค้ากดเรียกมึงอ่ะ ต้องรวยมากแน่ๆ แค่สิบห้านาทีก็เปย์ให้ตั้งห้าพัน ถ้าไม่ใช่ลูกคุณหนู ก็ต้องเป็นลูกเศรษฐีใหญ่เหมือนไอ้ฟรานแน่ๆ” กิจชี้หน้าผมพร้อมตั้งข้อสังเกต

“กูยอมรับ กรณีกูเป็นลูกเศรษฐี แล้วก็ ‘ใหญ่’ จริงๆอย่างที่มึงว่า” นั่นเพื่อนฝรั่งของผม ไม่มีการปฏิเสธแถมสมอ้างรับคำได้หน้าชื่นตาบานอีกต่างหาก

“กูไม่เชื่อ” ไอ้ก้านส่ายหน้าเหยียดปากดูถูก

“มึงจะดูมั๊ยล่ะ เดี๋ยวกูเปิดให้ดู” ฟรานเตรียมปลดเข็มขัด ผมต้องรีบตะครุบมือมันให้หยุดการกระทำใดๆที่จะเป็นการก่อความแตกตื่นแก่พี่ยามและน้องๆ พี่ๆ เพื่อนๆ ในคณะที่เดินผ่านไปมา

รายละเอียดลึกซึ้งเมื่อคืนเป็นยังไงผมไม่ได้เล่าให้พวกเพื่อนฟัง เพราะหลังจากผมวางสายโทรศัพท์แม่ บอกเรื่องที่น้องชายผมอายุ 17 ปี ขี่รถมอ’ไซด์ล้ม จนต้องนอนซมเข้าโรงพยาบาล อาการไม่หนักหนาแต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นเกือบๆแตะหลักแสน ทำให้ผมที่มีรายรับเพียงอย่างเดียวจากงานพาร์ทไทม์และจากกระเป๋าสตางค์แม่จึงต้องคิดหาเงินมาช่วยเหลือเพิ่ม ถึงแม่จะเพียงแค่บอกเล่าอาการน้องโดยไม่ได้ชี้แนะให้ผมช่วยหาเงินทองมาจ่ายค่ารักษา แต่จิตใจลูกผู้ชายที่มีเสาหลักเป็นแม่ที่เลี้ยงดูลูกชายสองคนมาด้วยสองมือ โดยพ่อผมได้ทิ้งแม่ไปตั้งแต่น้องเพิ่งเกิดได้สามขวบ ภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่างแม่แบกรับไว้ตัวคนเดียวมาเนิ่นนาน จนกระทั่งส่งผมเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้จนใกล้จบแบบนี้ ทำให้ผมต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือครอบครัว แรกเริ่มเดิมทีผมรับงานพาร์ทไทม์อยู่บาร์แห่งหนึ่ง รายได้พนักงานเสิร์ฟช่วยจุนเจือพอเลี้ยงดูค่าอาหาร ค่ากินอยู่แค่ตัวผมเองคนเดียว พอทราบเรื่องจากแม่กรณีน้องชายต้องนอนโรงพยาบาลไม่ต่ำกว่าสองอาทิตย์ทำให้ผมต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่เจต ผู้จัดการร้านที่ผมทำอยู่

“กูไม่อยากจะแนะนำมึงให้ทำแบบนี้ แต่กูเห็นว่าหน่วยก้าน รูปร่างหน้าตามึงพอไปวัดไปวาได้ อีกอย่างทั้งสาวๆ หนุ่มๆก็แวะมาแอบถามขอไลน์ขอเบอร์มึงจากกูนับครั้งไม่ถ้วน มึงอ่ะ เสน่ห์แรงพอตัว มันมีงานประเภทหนึ่ง ถ้ามึงไม่คิดเล็กคิดน้อยแล้วล่ะก็ลองทำดูมั๊ยล่ะ” พี่เจตเช็ดขวดเหล้าไปพลาง มองผมไปพลาง

“งานอะไรเหรอครับพี่ ผมยอมทำหมดแหละ” ผมพยักหน้า ตัดสินใจทำโดยยังไม่ได้ฟังรายละเอียด รูปภาพน้องนอนใส่เฝือกบนเตียงคนไข้ที่แม่ส่งมาให้ติดตาผมจนไม่อาจจะสลัดออกจากใจได้

“คู่เดท” ผมเห็นพี่เจตกลืนน้ำลายดังเอื้อก กำลังจะถามว่ามีอะไรติดคอพี่หรือเปล่า ผู้จัดการสาวอกสะบึ้มผมทองหน้าสวย แฟนสาวของพี่เจตก็เดินออกมาจากหลังร้าน

“มึงแนะนำน้องให้ไปขายตัวเหรอ ไอ้เหี้ยเจต” พี่กวางตบกระบาลแฟนหนุ่มเต็มแรง พี่เจตหลบไม่ทันก็ลูบหัวปอยๆน้ำตาซึม

“กวางจ๋า คือพี่ไม่ได้ตั้งใจให้ไอ้คิมมันทำหรอก เห็นมันเดือดร้อนเรื่องเงินๆทองๆ ค่าพาร์ทไทม์ก็ไม่พอจะส่งไปช่วยน้องมันรักษาตัว ตอนนี้เข้าโรงพยาบาลอยู่ด้วย”

พี่กวางเอาหน้าอกภายใต้เสื้อกล้ามสายเดี่ยวมาวางพาดหน้าเคาเตอร์ตรงที่ผมนั่งอยู่พอดี จนผมต้องขยับเปลี่ยนเก้าอี้ ทำไมหน้าผมเริ่มร้อนแปลกๆ

“เอางี้นะ คิม พี่ให้ยืมตังเอาไปใช้ก่อนมั๊ย” พี่กวางจ้องหน้าผมเป็นการเป็นงาน “คิมทำงานที่ร้านพี่ตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่ง คิมเป็นคนขยัน ซื่อสัตย์ อดทน นั่นแหละพี่กับพี่เจตเลยชอบนิสัยของน้อง แล้วตอนนี้คิมก็เดือดร้อน เราอยู่ด้วยกันมาจนแทบจะนับถือเป็นพี่เป็นน้องแบบนี้ จะหยิบยืมเงินทองกันในคราวจำเป็น มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก ดีกว่าคิมไปทำงานที่ไอ้เหี้ยนี่แนะนำอีก เปลืองตัวเปล่าๆ”

“มันก็ไม่ถึงกับเปลืองตัวหรอก ที่รัก วินวินทั้งสองฝ่ายเปล่าวะ” พึมพำแต่ผมได้ยินชัดเจน มีหรือที่พี่กวางจะไม่ได้ยินก็ยันรองเท้าส้นสูงไปทางแฟนหนุ่มเต็มแรง พอดีกับส้นรองเท้าจิ้มไปตรงกับเป้าพี่เจตปะเหมาะพอดี

“อีกวาง”

“มึงกล้าเรียกเมียมึงว่า อีเหรอ ไอ้เหี้ยเจต” พี่เจตกุมเป้ากางเกงกระโดดหลบฝ่ามืออรหันต์ผ่านประตูหลังร้านไปตั้งแต่คำว่า มึง แล้ว

“คิมรอพี่แป๊บนะ” พี่กวางยกหน้าอกติดตามไปชำระความแฟนหนุ่ม ผมเกรงใจพี่ทั้งสองคนจึงไม่คิดจะอยู่คอย การจะหยิบยืมเงินใครสักคนไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้าจำเป็นจริงๆ แต่หากมีลู่ทางอื่นที่พอจะทำได้แล้ว ผมก็ขอเลือกวิธีหลังก่อนแล้วกัน จำได้ว่าพี่เจตเคยเปิดแอพหาคู่เดทให้ผมดูครั้งหนึ่ง เล่าว่าเพื่อนแกทำอยู่เงินดีไม่ใช่เล่น แต่ตอนนั้นผมฟังผ่านๆไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ พอกลับถึงห้องพักเลยโหลดสมัครลงรูปลงข้อมูลทิ้งไว้ กะว่าคงไม่มีใครกดเรียกผมแน่ๆ ก่อนวันรุ่งขึ้นช่วงหัวค่ำจะมีคนๆหนึ่งกดเรียกหาผม

KALN

อ่านว่าอะไรวะ

ผมเกาหลังคออย่างอับจนในทักษะภาษาอังกฤษของตัวเอง

เค-ลิน ไม่สิ คลาน เหรอวะ ฮ่าๆ คนเหี้ยอะไรชื่อคลาน หน้าตาก็ดี พ่อแม่ไม่น่าคิดใช้ชื่อนี้ ผมมัวแต่ขำชื่อคนที่เรียกใช้บริการผม จนต้องรีบเข้าห้องน้ำชำระร่างกายให้สะอาด ฟอกสบู่ทุกซอกทุกมุมอุดมมัดกล้ามและซิกแพค

ผมต้องทำจริงๆสินะ เพื่อครอบครัว เพื่อน้องของผม

ผมเลือกน้ำหอมราคาแพงที่มีแขกในบาร์ซื้อมาฝากครั้งหนึ่ง ตอนแรกไม่คิดจะใช้ใส่ไปเรียนหรือทำงานพาร์ทไทม์ เพราะเสียดายแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องฉีดประพรมให้หอมฟุ้ง แต่ภารกิจคู่เดทคืนนี้เป็นงานสำคัญ เป็นครั้งแรก เกิดอีกฝ่ายไม่ประทับใจ แล้วเอาไปพูดปากต่อปาก ผมคงไม่ได้ผุดได้เกิดในอาชีพนี้แน่ เลยฉีดน้ำหอมยี่ห้อแพงซะเต็มเหนี่ยว

‘ถ้าไม่อยากให้ใครจำได้ก็หาหน้ากากปิดเฉพาะดวงตามาใส่’

พี่เจตเคยตอบผม เมื่อผมถามว่าทำไมเพื่อนพี่แกต้องใส่หน้ากากแบบนั้นด้วย ผมจำได้ว่ามีหน้ากากงานบายเนียร์ของปีที่แล้วอยู่ในตู้ลิ้นชักเสื้อผ้าก็เอามาเหน็บไว้กระเป๋ากางเกงหลัง ก่อนจะโบกรถแท็กซี่ไปส่งยังจุดหมายปลายทาง ระหว่างบนรถ ผมก็พยายามทำใจให้สงบไม่ตื่นเต้นจนเกินเหตุ พยายามนึกถึงชื่อภาษาอังกฤษของคนคนนั้น บางทีอาจจะชื่อว่า

‘นายชื่อ กาล ใช่ไหม’

‘ผม คิมหันต์ เรียก คิม เฉยๆก็ได้’


เสียงสัญญาณเตือนของแอพพลิเคชั่นดังขึ้น ขณะที่ผมกำลังฟังอาจารย์บรรยายสิ่งที่จะต้องทำในวันนี้ จึงแอบควักโทรศัพท์ออกมาหามุมหลบ ไม่ให้สายตาสอดรู้ของพวกเพื่อนสนิทเห็น

คืนนี้คุณสะดวกมั๊ย มาหาผมที

รูปโปรไฟล์หล่อๆมีชื่อว่า KALN พ่วงต่อท้ายเป็นเจ้าของประโยคข้างต้น ผมยังไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดีก็รีบปิดโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋ากางเกง ฟังบรรยายขั้นตอนทำแลปต่อ แต่สมองเกือบครึ่งหนึ่งมีแต่ถ้อยคำ คืนนี้คุณสะดวกมั๊ย มาหาผมที บดบังตัวอักษรบนกระดาษจนแทบมองไม่เห็น

พอผมกลับถึงห้องคิดทบทวนอยู่หลายรอบก่อนจะพิมพ์ตอบคุณคลานไปว่า

ว่างครับ แล้วเจอกัน


- - - - - - - - - - - - - -

TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2019 20:07:50 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 2




KALN’s Talk

ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ โดยมีผ้าห่มผืนขาวสะอาดคลุมทับไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ประตูกระจกติดระเบียงปิดสนิท เศษซากกระป๋องเบียร์บนพื้นห้องที่ผมดื่มดับความเสียใจ ไม่หลงเหลือปรากฏให้เห็น ผมมึนหัวเล็กน้อยขณะลุกนั่งพิงพนักหัวเตียง ทุกสิ่งอย่างเมื่อค่ำคืนราวกับไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ผมอยากให้มันเป็นอาการฝัน แต่หัวอันหนักอึ้งบ่งว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังคงอยู่ในร่างกายผมไม่ใช่น้อยๆ ยืนยันความจริงที่ว่า พราวประดับบอกเลิกรักผม

จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา ผมรีบเช็ดออกด้วยหลังมือ เหยียดปลายเท้าเปลือยเปล่าลงสัมผัสพื้นเย็นเยียบเพราะเครื่องปรับอากาศ ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีเพียงกางเกงบอกเซอร์สวมอยู่เท่านั้น

เจ็ดโมงเช้าของทุกวันจะมีสายโทรศัพท์เรียกเข้าเพื่อปลุกผมตื่น เพราะผมชอบทำงาน อ่านหนังสือจนดึกดื่นเป็นประจำ พราวจะเป็นคนโทรมาเตือนผมทุกครั้งไม่เคยขาด เสียงแหบหวานผสมห้าวหน่อยๆ มักจะกระซิบลอดผ่านสัญญาณโทรศัพท์มาบอก ‘กู๊ดมอร์นิ่ง’ จนอาการง่วงของผมหายเป็นปลิดทิ้ง ทำให้ผมมีเรี่ยวแรงที่จะพาตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะได้ไปเจอตัวจริงเจ้าของเสียงในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา

ทว่าวันนี้ช่างแตกต่างกว่าทุกวัน

ดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดแสงแรงอย่างรู้สึกได้ในหน้าร้อนแบบนี้ เสียงเครื่องคอมเพรสเซอร์ทำงานดังชัดเจนยามปราศจากเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่น เช้าวันที่ผมไร้คนรักเคียงข้างกาย ทำไมทุกอย่างบนโลกถึงเงียบสงัดแบบนี้นะ
 
วันนี้ผมมีเรียนแค่วิชาแมริเอจช่วงบ่ายโมงครึ่ง จึงไม่คิดรีบร้อนจะย้ายตัวไปชำระกลิ่นเบียร์ออกจากตัว ลุกยืนแล้วเปิดประตูกระจกออก ก้าวไปเกาะขอบระเบียง
 
ร้อน นี่มันอากาศตอนเช้าหรือบ่ายกันแน่
 
สระน้ำสีฟ้าของคอนโดสะท้อนแสงพระอาทิตย์ตกกระทบมาถึงหน้าระเบียงห้องผม ผมอยู่ชั้นที่ยี่สิบห้าสูงไม่ใช่เล่น เห็นวิวทิวทัศน์ ตึกรามบ้านช่องไกลสุดลูกหูลูกตา ถ้าผมโดดลงไปล่ะ

‘ผม คิมหันต์ เรียก คิม เฉยๆก็ได้’
   
คำพูดของใครคนหนึ่งดังขึ้นในห้วงความทรงจำ จริงสิ เมื่อคืนผมใช้แอพหาคู่เดทเรียกคนคนหนึ่งมาที่ห้อง เรื่องหน้าตาเป็นยังไงตัดไปได้เลย เขาใส่หน้ากากแล้วผมก็เมาเสียจนสายตาเลือนราง จำได้คร่าวๆว่า ถูกเขาพาดแขนพาไปนอนลงบนเตียง หลังจากนั้นเป็นยังไงต่อก็ไม่รู้แล้ว ผมลูบเนินบั้นท้ายผ่านบ็อกเซอร์
 
อืม ไม่เจ็บ ผมคงเป็นคนรุก

ผมป้องกันหรือเปล่า?
   
“อุ๊ย” สาวสวยห้องข้างเคียงออกมานอกระเบียงอุทานยกมือปิดปาก เธอกะพริบตาปริบๆ “ขอโทษค่ะ”

ผมกะพริบตาตอบ ค่อยๆเอามือกุมเป้ากางเกงโดยไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกต ส่วนหญิงสาวหลุบตา หน้าแดง ก่อนจะรีบผลุบหายไปในห้องของเธอ

หญิงสาวข้างห้องคนนี้ เธอเป็นดาวเมเจอร์จิตวิทยาปีที่ 2 ชั้นปีเดียวกับผม แต่ผมเรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจ ถ้าจำไม่ผิด ผมเคยเจอเธอที่อาคารเรียนของคณะมนุษย์ฯหลายต่อหลายครั้ง รอยยิ้มพิมพ์ใจมักปรากฏทุกครั้งยามสบหน้ากัน ถามว่าผมรู้ได้ยังไงน่ะเหรอว่าเพื่อนบ้านข้างห้องเรียนอยู่คณะไหน ไม่ใช่เรื่องยากเลยหากมีเพื่อนสนิทที่มีแฟนมาเกือบทุกคณะในมหาวิทยาลัย ยังไม่ทันขาดคำ บุคคลที่ถูกพาดพิงก็โทรศัพท์มาเข้าเครื่องผม

“ไง คนอกหัก”

ผมกระแอมแล้วบ่ายเบี่ยงถามกลับเรื่องอื่น “มีธุระอะไร”

“คุณชายอนันตกาลครับ กระผมเหมันต์ต้องมีธุระสำคัญก่อนหรือครับ ถึงจะสามารถโทรหาท่านชายได้”

“เหม” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงเข้มขึ้น

“เออๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้ กูกับวัสจะเอาใบแอดกระบวนวิชาไปให้อาจารย์สอนวิชาแคมป์ปิ้งเซ็น มึงจะลงกับพวกกูด้วยหรือเปล่า ได้ยินว่าวิชานี้ได้เกรดง่าย เอ ชัวร์ๆ แล้วคนก็ลงเยอะจนล้นเซคชั่น ดีนะที่ยังรับเพิ่มอีก” ปลายสายบอกเป็นการเป็นงาน ผมใช้สมองซึ่งยังมึนอยู่คิดคำนวณดูแล้ว เห็นว่าวิชาแคมป์เป็นวิชาเลือกเสรี จำเป็นต้องเก็บให้ครบไม่น้อยกว่าสิบห้าหน่วยกิต ภาคเรียนฤดูร้อนจึงเป็นโอกาสให้นักศึกษาทุกคณะใช้เวลามาเก็บวิชาเลือกนอกคณะ

“อืม ลงด้วย”

“ว่าแต่จะไม่แถลงการณ์เรื่อง ไอซ์ หน่อยเหรอ”

“มึงรู้ได้ยังไง พราวเพิ่งบอกเลิกกูเมื่อคืน” ผมติดใจสงสัย

“มึงต้องถามว่า มีใครไม่รู้บ้างจะดีกว่า ทั้งเพจคณะ เพจแฟนคลับ ป่าวประกาศปักหมุดจนรู้กันทั่วหมดแล้วมั้งป่านนี้” เหมบอกตามจริง ผมไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียเลยนับแต่ถูกบอกเลิก ผมมีเพื่อนสนิทเพียงสองคน หนึ่งในนั้นคือ เหมันต์ หรือ เหม ลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นคนดังซึ่งคุยรอสายอยู่นี้ ส่วนอีกคนเป็นลูกเจ้าสัวนักธุรกิจการค้าขายรายใหญ่ ชื่อ วัสสานะ หรือ วัส  ทำให้รุ่นพี่และรุ่นน้องในคณะรวมกันจัดตั้งเพจแฟนคลับสำหรับอัพเดตความเคลื่อนไหว ทั้งรูปภาพและกิจกรรมอื่นๆ ในชื่อว่า เทพสามฤดู

เอ่อ ใครเป็นคนคิดชื่อกันนะ สงสัยจะชอบดูละครแนวจักรๆวงศ์ๆ แล้วอีกอย่างนอกจากสองคนนั่นที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับฤดูหนาวและฤดูฝนแล้ว ชื่อผมก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับฤดูร้อนเสียด้วย

ผมวางสายจากเหมแล้วทรุดนั่งบนขอบเตียง พราวประดับจะเป็นยังไงบ้าง เธอสบายดีหรือเปล่า แน่สิว่าเธอต้องสบายดี บางทีตอนนี้อาจควงนักบาสคนนั้นไปทั่วมหา’ลัยแล้วก็ได้ บางทีนะ...บางทีผมอาจจะคิดผิดทั้งหมด ผมไม่อยากแม้แต่จะแตะปลายนิ้วเข้าสู่โลกโซเชียลมีเดีย คงมีหลายคนขุดคุ้ยเหตุผลต่าง ๆ นานาของการเลิกราระหว่างผมกับพราวประดับ ซึ่งแม้แต่ตัวผมเอง ณ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร

ตอนคบกันใหม่ๆ เพื่อนรอบข้างของเธอและผมต่างดีใจที่เราสองคนยอมตกลงเป็นแฟนกัน โลกใบเดิมที่มีเพียงแค่ผมดำเนินต่อไปโดยเพิ่มคนรู้ใจก้าวเข้ามาเดินเคียงคู่ ทุกวันรอยยิ้มของพราวประดับเหมือนกับของขวัญล้ำค่า เสียงหัวเราะ กิริยาท่าทีเอาอกเอาใจ ทลายหัวใจผมที่ไร้รักมาเนิ่นนานพังทลายลง เธอคือของขวัญอันยิ่งใหญ่ในวันนั้น แต่กลับเป็นยาพิษแทรกซอนใจผมในวันนี้
 
ฤดูหนาวที่ยาวนานของผม

วิชาแมริเอจใช้ห้องเรียนตึกคณะมนุษยศาสตร์ ผมจอดรถยนต์หรูกลางลานกว้าง หยิบแว่นกันแดดมาสวมปิดบังดวงตาโศก ก้าวเดินผ่านอากาศที่ร้อนจัด เปลวแดดระยิบระยับอบอ้าวดั่งดวงอาทิตย์ตั้งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมถึง เพียงก้าวไม่กี่ก้าวก็ปรากฏเหงื่อซึมหลังคอและขมับ
 
“กาล”

“อืม” ผมพยักหน้าให้วัสและเหม พวกมันนั่งคอยอยู่ตรงโต๊ะใต้ตึกเรียนเจ็ดชั้น ห้องเรียนวิชาแมริเอจเป็นห้องสโลปชั้นหนึ่งจุผู้เรียนได้เกือบร้อยคน และคนที่ลงเรียนวิชานี้ก็เกือบๆประมาณนั้น

“ถอดแว่นก่อนมั๊ย เพื่อน” เหมจ้องผมผ่านเลนส์สีดำ
 
“ไม่อ่ะ” ผมปฏิเสธ

“มีพิรุธนะมึง คนยิ่งสงสัยกันอยู่” เหมทำหน้าเลิ่กลั่ก แต่วัสทำแค่เพียงอ่านหนังสือเรียนตรงหน้า

“พิรุธอะไร” ผมถามกลับ เรื่องที่เลิกกับพราวประดับก็รู้กันหมดแล้วนี่นะ

เหมันต์สั่นหน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ผิวขาวจัดของมันทำให้เหงื่อซึมผ่านเสื้อกล้ามทะลุชุดนักศึกษาจนเห็นผิวใต้ร่มผ้าชัดเจน วัสหยิบพัดลมอัตโนมัติที่มันพกมา เปิดแล้วตั้งใส่หน้าเหมช่วยบรรเทาอาการเลิ่กลั่กลง

“ขอบใจ วัส คือ...มึงเห็นรูปนี้ยังวะ”

ผมขมวดคิ้ว จำเป็นต้องถอดแว่นออก เมื่อเหมพยายามยื่นหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมดูรูปบางอย่าง

“หวัดดี กาล”

เสียงใสของสาวสวยร้องทัก พราวประดับเดินผ่านมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเธอ รตีเพื่อนสนิทหนึ่งในสี่ของพราวทักผม พวกเธอเรียนวิชาแมริเอจเหมือนกัน

“ดีครับ รตี” ฝ่ายหญิงเจ้าของชื่อเหมือนเพิ่งนึกออกว่า ผมกับพราวเพิ่งมีข่าวเลิกรากัน ก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พราวหยุดเดินทั้งที่แต่แรกคงจะตั้งใจก้าวเลยผ่านพวกผมไปโดยเร็ว ผมลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกับวัสและเหม

พราวประดับหันมองแต่ทิศทางอื่น ไม่ได้แม้แต่จะเหลียวสายตากลมโตงดงามมามองผมอย่างเช่นเคย ผมทำผิดอะไรร้ายแรงเหรอ อยากจะถาม แต่ช่วงเวลานั้นมันได้ล่วงเลยผ่านพ้นไปแล้ว ในที่สุดบรรยากาศน่าอึดอัดก็ทลายลงด้วยคำพูดของพราวประดับเอง

“ไอซ์มีอะไรจะบอกกาลอยู่เหมือนกัน ดีกว่าไปได้ยินจากปากคนอื่น” พราวย้ายดวงตามาสบมองผม หัวใจอันถูกพิษร้ายแทรกซึมอยู่ก็ปวดร้าวดั่งถูกกระตุ้นกำเริบ

“เรื่องอะไรเหรอครับ พราว”

“อย่าเรียก ไอซ์ ด้วยคำนั้น” พราวประดับพูดด้วยอารมณ์โกรธอย่างเห็นได้ชัด เธอกำกระเป๋าถือยี่ห้อแบรนด์เนมจนเกิดรอยเล็บ

“ไม่ว่าที่ผ่านมาเราสองคนจะรักกันแค่ไหน แต่กาลต้องยอมรับให้ได้ว่า ความรักไม่มีคำว่าตลอดไป หรือตลอดกาล แค่นั้น” พราวประดับกำลังผละจาก แต่ก็ยั้งเท้าไว้เหมือนนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เธอปลดสร้อยข้อมือราคาแพงที่ผมซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดออกแล้วยื่นคืนมาทางผม

“ไอซ์ไม่เคยชอบสร้อยเส้นนี้สักนิด แต่กาลก็ยังยืนยันว่าตั้งใจซื้อมาให้ บอกว่าคุณแม่เป็นคนเลือกกับมือ ไอซ์จึงไม่อยากปฏิเสธ แต่ตอนนี้กาลเอาคืนไปเถอะ ไอซ์มีสร้อยข้อมือใหม่แล้ว”

พราวประดับพูดทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำเปรียบเทียบทำลายหัวใจผม เพื่อนหญิงของเธอทำหน้าเสียใจในคำพูดพราว แต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากเดินตามไป คำพูดพราวบ่งชัดอยู่แล้วว่าเธอมีคนใหม่ ทำไมเร็วขนาดนี้

“มึงดูรูปนี้แล้วจะเข้าใจ กูเคยบอกแล้วว่า ไอ้นักบาสนั่นมันกำลังแย่งไอซ์ไปจากมึง นี่ไงหลักฐาน”

เหมันต์ยื่นรูปถ่ายในโทรศัพท์มาให้ผมดู เป็นภาพพราวนั่งกินข้าวกับแฟนใหม่ ไอ้นักบาสตัวมหา’ลัย คนนั้น ถึงแม้จะถ่ายในระยะไกล ผมก็จดจำใบหน้าและแววตาสดใสของพราวได้

“นี่คือรูปแอบถ่ายเมื่อเช้า ตอนที่มึงกำลังนั่งเศร้าเสียใจอยู่ แต่ไอซ์ก็ทำเหมือนกับไม่เคยรักมึงแม้แต่น้อย ตลอดสองปีที่ผ่านมา” คำพูดของวัสสานะซัดอกผม ไม่ต่างกับมีดกรีดลงกลางหัวใจที่มีพิษร้ายบ่อนทำลายอยู่ก่อนแล้ว “กูเคยบอกมึงแล้ว อนันตกาล”

เหตุการณ์ทั้งหมดจึงเป็นสาเหตุให้ผมจู่ๆก็มุทะลุกดเข้าแอพหาคู่เดท ค้นดูประวัติแชทก็พบคนที่มาหาผมเมื่อคืน ตัดสินใจทั้งที่เจ็บปวดและอยากจะระบายให้ใครสักคนฟัง คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน ย่อมไม่มีความผูกพันใดๆ ไม่จำเป็นต้องรักษาหน้า ไม่จำเป็นที่จะต้องอาย ยามต้องร้องไห้ต่อหน้าใครสักคน

คืนนี้คุณสะดวกมั๊ย มาหาผมที

ผมเมาอีกตามเคย ตอนที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตั้งใจว่าจะดื่มย้อมใจสักสองสามประป๋อง แต่ก็เลยเถิดจนคุมสติไม่อยู่ ลมหายใจร้อนรวยริน ‘เขา’ ใส่หน้ากากลายเดิมปิดบังดวงตา

“ดี” ผมร้องทัก เขากะพริบตามองผมชั่วขณะ กลิ่นน้ำหอมเตะจมูกผมจนสมองมึนเบลอยิ่งขึ้นไปอีก กำกระป๋องเบียร์เดินโซเซกลับมายังโซฟาหน้าโทรทัศน์ เขาปิดประตู ถอดรองเท้าหนังแล้วเดินตามมา

“นั่งก่อนสิ” ผมเชื้อเชิญ เขายังยืนจ้องมองผมอยู่ ส่วนผมทนจ้องสายตาของเขาไม่ได้ก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกอึกหนึ่ง เสียงรายการทีวีดังแทรกกลางระหว่างไร้ถ้อยคำสนทนา “จำได้ว่า นายบอกว่า ชื่อ คิม ใช่ไหม”

“ใช่” คิมยอมนั่งตามคำขอของผม เสื้อเชิ้ตสีดำแขนยาวปกปิดสัดส่วนรูปร่างอย่างนักกีฬา ไหล่กว้าง ส่วนสูงน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร

“ขอโทษด้วยนะที่ต้องเรียกนายมาอีก อันที่จริงผมก็ไม่รู้ว่ามันมีกฎห้ามเรียกซ้ำหรือเปล่า แต่ครั้งก่อน...ผมจำไม่ค่อยได้ นายช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิ ผมรุกนายใช่ไหม”

คู่เดทนามว่า คิม ยังจ้องผมราวกับจะมองให้ทะลุผ่านตา ผ่านสมองของผมให้ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ก้มหน้ามองพื้น พลางถอนหายใจ เสียงทุ้มห้าวกล่าวว่า

“ไม่มีกฎห้ามครับ ถ้าคุณจะเรียกผมซ้ำ คุณอาบน้ำหรือยัง ผมช่วยมั๊ย”
 
ผมแทบหายจากอาการมึนเมา สำลักเบียร์โดยไม่รู้สาเหตุ รีบยกมือห้ามอีกฝ่ายที่กำลังลุกเดินมาหาผม
 
“ดะ เดี๋ยวก่อน”

‘เขา’ ทำเหมือนคำพูดผมไม่มีเสียง ไม่เพียงลุกขึ้นเดินมาหาผม แต่กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำออกทีละเม็ดจนเผยแผงอกนูนแน่น กระทั่งลามไปถึงกล้ามเนื้อซิกแพ็กเป็นลอนชัดเจน


- - - - - - - - - - - - -

TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2019 20:08:15 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 3



KIM’s Talk


จู่ๆผมก็รู้สึกโกรธขึ้นมา จะว่าฮอร์โมนพลุ่งพล่านอารมณ์เลยเหวี่ยงสวิงหรือ ก็ไม่น่าใช่ เพราะอายุอานามแตะหลักยี่สิบ ตีความว่าวัยวุฒิผมเลยช่วงเวลาแตกเนื้อหนุ่มมานานหลายปี แต่คำพูดของนายกาลที่คิดเองเออเอง แถมยังตีขลุมว่าเมื่อคืนเขาเป็นคนรุกผม ก่อกวนบางอย่างในก้นบึ้งอารมณ์จนลุกโชน
 
ผมรับงานซ้ำเป็นครั้งที่สอง หนแรกผมจะไม่ขอเล่าตามที่อีกฝ่ายร้องขอ แต่คราวนี้ผมต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เหมาะสมกับค่าจ้างราคาครึ่งหมื่นที่แขกผู้ใช้บริการจำเป็นจะต้องจ่ายล่วงหน้าผ่านธุรกรรมออนไลน์ ผมรู้ว่าผมจะต้องทำอย่างไรกับผู้ชายด้วยกัน ไม่ใช่ว่าผมเคยมีแฟนเป็นเพศเดียวกันหรอกนะ แต่หลังจากที่ผมได้รับข้อความจากนายคลาน ชั่วโมงเรียนคาบนั้นไม่ได้เข้าหัวผมแม้แต่น้อย กระทั่งกลับถึงห้องแล้วจึงตอบตกลง เพราะเงินเป็นส่วนสำคัญที่ผมจำเป็นจะต้องส่งให้แม่เพื่อค่าพยาบาลรักษาน้อง

ในเมื่อผมมุ่งสู่สนามงานพิเศษประเภทนี้แล้ว จะไม่คิดศึกษาวิธีทำมาหากินก็ละอายเกินกว่าจะปฏิบัติไปโดยไม่รู้หลักการที่ถูกต้อง ตอนแรกคิดจะถามพวกแมร่ง แต่ติดว่าพวกมันไม่เคยมีประวัติคบเพศเดียวกันมาก่อน คงไม่มีทางจะรู้วิธีแน่ๆ อีกอย่างโซเชียลมีเดียสมัยนี้กว้างขวางทั่วถึงทุกมุมโลก กลกามสูตรแบบชายชายคงไม่ยากเกินกว่าชายหญิง ผมก็เลยลองค้นหาข้อมูลกลเม็ดในอินเตอร์เน็ต ใจหนึ่งเกร็งๆ แต่อีกใจก็อยากลอง เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ไอ้คิม มึงต้องเป็นรุกระดับเทพให้ได้

หน้าผมทำไมมันร้อนผ่าวแปลกๆแบบนี้ หรือว่าจะลืมเปิดแอร์ เครื่องปรับอากาศก็ยังคงทำงานดีอยู่ หรืออากาศกลางฤดูร้อนภายนอกห้องแทรกซึมมาตามรอยต่อประตูระเบียง ผมเหลือบตามองก็ยังปิดสนิทแน่น แต่หูฟังที่ต่อกับเครื่องโทรศัพท์เปิดแอพพลิเคชั่นตัวที รันคลิปสั้นๆของสองหนุ่มชาวญี่ปุ่น เพียงแค่เริ่มต้นคลิปอาการร้อนก็ปรากฏ แถมเดี๋ยวนี้มีคนใจดีทำซับไทยให้เสียด้วย


‘ยินดีที่ได้รู้จักครับ’

‘ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ’ หนุ่มยุ่นหุ่นดีอีกคนผงกๆหัวส่วนบนหงึกๆ

‘นี่เจอกันครั้งแรกเลยนะครับ’



ผมไถหน้าจอโทรศัพท์ระงับการทำงานของคลิป เริ่มไม่ใช่ละกู ผมรู้สึกคอแห้งๆชอบกล เอาเป็นว่าผมคงไม่จำเป็นต้องศึกษาวิธีที่ถูกต้องหรอก เคยได้ยินมาคร่าวๆว่าโดยรวมต้องทำยังไงก็คงพอใช้ได้

ก็อกๆ

เสียงเคาะประตูห้องทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว ก้มลงมองโทรศัพท์เพื่อดูว่าออกจากแอพดีแล้วก็ลุกขึ้นไปเปิด
 
“มึงรีบกลับห้องมาทำอะไรวะ ปวดขี้?” กิจมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่ก้านจะสาวเท้าเข้ามาในห้องผม พร้อมกับกวาดตามองตามซอกหลืบตู้เสื้อผ้า ใต้เตียง รวมถึงผ้าม่านอย่างละเอียดลออ สองเพื่อนสนิทตัวกอสำรวจห้องน้ำจนพอใจแล้วก็ออกมานั่งจ้องหน้าผมต่อ

“กูขอยืมห้องน้ำขี้แป๊บนะ” ไอ้กิจมองสบตาก้านแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยคู่หูไว้ลำพังกับผม

“กูรีบมาทำรายงานแลปอ่ะ” ผมแก้ตัวเอาหลังมือเช็ดเหงื่อบนหน้า

“งั้นกูขอลอกหน่อยดิ” ก้านหรี่ตาพร้อมยื่นมือมาขอ

ผมรู้ว่าพวกมันรู้ว่าผมรู้ งงมั๊ยครับ ผมก็เริ่มงง เอาเป็นว่า สายตาที่ก้านมองสมุดรายงานแลปซึ่งภายในว่างเปล่าคาดเดาว่าผมคงโกหก แต่มันก็พยายามเล่นตามน้ำตามคำแก้ตัวผม

ไอ้สองคนนี้มีนิสัยคล้ายๆกัน อาจเป็นเพราะมันอยู่บ้านใกล้เรือนเคียง เล่นด้วยกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จน ตื๊ด ตื๊ด ยาวเท่าเส้นผม กิจเป็นลูกเจ้าของโรงสี ส่วนก้านเป็นลูกเกษตรกรทำนาหลายร้อยไร่ เคยได้ยินมันเล่าว่าตอนพ่อไอ้ก้านเอาข้าวไปสีที่โรงสีบ้านไอ้กิจ เด็กชายก้านเห็นรถแทร็กเตอร์ที่พ่อไอ้กิจกำลังขับก็อ้อนขอนั่ง จนเจ้าสัวโรงสีมีความเอ็นดูก็อุ้มนั่งตัก พาขับวนลานตากข้าวอยู่หลายรอบ กระทั่งเด็กชายกิจมาเห็นว่าพ่อเอาไอ้ต้าวหัวโปกที่ไหนมานั่งแทนที่ตัวเองก็ร้องไห้จ้า เต้นแร้งเต้นกาขอที่นั่งบนตักพ่อคืน พวกมันไม่กินเส้นกันนับตั้งแต่นั้น แล้วไหงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทแทบจะตัวติดกันผมก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง คงเป็นเรื่องเล่ากลางวงเหล้าสักหนตอนปีหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นผมคงเมาเต็มที่เลยจำไม่ได้

ถึงแม้ก้านจะเป็นลูกชาวนา แต่พ่อแม่มันคงไม่เคยให้ลูกชายออกไปดำนาตากแดดแน่ๆ ก็ผิวพรรณขาวอย่างกับหยวกกล้วย ดูเป็นคุณหนูมีสกุลผู้ดี ผิดต่างจากไอ้เหี้ยกิจที่เป็นถึงลูกเจ้าของโรงสีกลับผิวคมเข้มราวกับมันไปรับจ้างดำนาบ้านไอ้ก้านมาหลายสิบไร่
พูดถึงเหี้ยกิจ ทำไมมันเข้าห้องน้ำนานจังวะ

“มึงยังไม่ได้มีอะไรกับ ‘เขา’ ใช่ไหม คิม”

“‘เขา’ ไหนวะ” ผมมุ่นคิ้วตอบก้าน

“เขาบนหัวมึงมั้ง สาด” คุณหนูลูกเกษตรกรพ่นคำหยาบ คือผมเพิ่งเคยเห็นมันหงุดหงิดแบบแปลกๆก็วันนี้
 
“อ๋อ” ผมกระเถิบออกห่างระยะส้นเท้าไอ้ก้าน กลัวมันจะถวายบาทาหากผมยังนึกไม่ออกว่า เขา ที่มันว่าหมายถึงอะไร

“มึงได้ตังมาห้าพันฟรีๆ โดยที่เค้าก็ยอมจ่ายเหรอวะ” ก้านยังคงเดินหน้าสวมบทเจ้าพนักงานสืบสวนต่อไปโดยไม่ได้ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด ผมภาวนาให้เหี้ยกิจสวมบทเป็นฝ่ายโจทก์มายกเลิกฟ้องผมซึ่งเป็นจำเลยเสียที ได้โปรด

“คือ กู”

“ไม่ได้เสียน้ำเชื้อสักหยด?” ดวงตาไอ้ก้านแม่งอย่างกับนักสะกดจิต มันต้องเคยฝึกมา หรือไม่ก็ลงเรียนวิชาจิตวิทยาแล้วได้ทักษะบางอย่างมาแน่ๆ ผมก็ลงเรียนพร้อมมันทำไมไม่มีอะไรติดอยู่ในหัวเลย

“ไม่ได้เอาสักท่า?”

“พอเถอะ เหี้ยก้าน” บุคคลฝ่ายโจทก์ที่ผมภาวนาให้มันมาช่วยหยุดเจ้าพนักงานสอบสวนเปิดประตูห้องน้ำผลัวะ ไอ้กิจมองผมสลับก้าน

“กูจะหยุดได้ยังไง ก็คืนนี้มันจะต้องไปหาเค้าอีกไม่ใช่เหรอ มึงเป็นคนบอกกูเองว่า เห็นเค้าส่งข้อความมานัดไอ้คิ...” กิจตะครุบมือปิดปากก้านจนมันดิ้นสะบัดหน้าแดงก่ำ

เรื่องทั้งหมดมันมีต้นตอมาจากมึงสินะ ไอ้เหี้ยกิจ ผมมองมันอย่างเคืองๆ

“กูขอโทษ ไอ้คิม แหะๆ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของพวกกูหรอก ถ้ามึงจะมุ่งหน้าหาเงินไปช่วยน้องมึงด้วยวิธีนี้ ทั้งที่จริงๆมึงจะขอยืมเงินพวกกูก่อนก็ได้ ทุกคนยินดี”

ผมสั่นหน้าแล้วบอกขอบใจ ไม่มีทางที่ผมจะเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนั้น ในเมื่อผมมีสองมือสองเท้าที่ยังใช้งานได้ดี ไม่ว่าด้วยวิธีไหนผมจะต้องใช้น้ำพักน้ำแรงของตัวเองหาตังมาจนได้

“มึงรู้หรือเปล่า การทำธุรกิจมันต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนตอบแทนสมน้ำสมเนื้อ แขกมึงเป็นผู้ชาย แล้วครั้งที่แล้วมึงไม่ได้ช่วยอะไรเค้าเลยแต่ก็ได้เงินมาฟรีๆ หนนี้มึงจะเอาตัวรอดแบบไหนไม่ทราบ เงินครั้งละห้าพันมันไม่ใช่น้อยๆนะเว้ย นอกจากเค้าจะเป็นลูกเศรษฐีมีน้ำใจยอมเจียดเศษตั้งให้มึงโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน” ก้านอธิบายร่ายยาวเหยียด ผมก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้ตอบแทนผู้ใช้บริการผมแม้แต่น้อย ถึงได้ต้องรีบมานั่งศึกษาหาข้อมูลก่อนที่จะไปหาเค้าในคืนนี้ไง ผมจะเล่าให้สองเพื่อนสนิทฟังก็กลัวว่ามันจะกล่าวหาว่าผมเป็นไก่อ่อนเลยเงียบปากไว้

“เค้าเมา แล้วกูก็ไม่กล้าทำอะไรคนไม่รู้สึกตัวว่ะ” ผมยอมรับสารภาพ ก้านถอนหายใจ

“แล้วคืนนี้มึงจะทำยังไง” เหี้ยกิจ มึงอ่ะตัวดี หุบปากไปเลย ผมส่งสายตาคาดโทษให้ มันรีบหลบไปอยู่หลังก้าน

ก่อนที่ลูกคุณหนูชาวเกษตรกรจะเขยิบเข้าหา ผมสะดุ้งหลบตีน ผละจะลุกหนีก็ถูกมือของก้านฉุดรั้งไว้ มันกระซิบข้างหูผมอธิบายขั้นตอนปฏิบัติกามกิจแบบชายชายด้วยกันอย่างละเอียดถี่ยิบ ตอนแรกผมยังสับสนไม่ทันจับต้นชนปลายว่าก้านมันไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง แต่แววตาเครียดเอาจริงเอาจังก็ทำให้ผมพยายามตั้งใจฟังและจดจำให้ขึ้นใจ

ผมเห็น ‘เขา’ ตัวสั่นเพราะเครื่องปรับอากาศทำหน้าที่ดีเกินคาด อีกทั้งยังทำเบียร์หกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนชุดนักศึกษาสีขาวจนเห็นยอดอกลุกลามถึงเนินกล้ามท้อง ก็เลยลุกขึ้นถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก ตั้งใจจะเอาไปคลุมทับอีกฝ่าย ก่อนจะคิดได้ว่าบางทีน่าจะให้เค้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเลยจะดีกว่าเลยถามแบบนั้น ไม่นึกว่านายกาลจะทำหน้าซีดเผือดเหมือนกับไก่ต้ม หนำซ้ำยังออกอาการกลัวผมจะทำมิดีมิร้ายอย่างชัดเจน ความปรารถนาดีของผมกลับกลายเป็นส่อเจตนาคุกคามเจ้าของห้องจนสั่นไหวไปทั่วเรือนร่าง

เสื้อสีดำซึ่งถอดสำเร็จแล้วอยู่ในมือขวาของผม กิริยาและสายตาหวาดๆทำเอาผมต้องหยุดเดินก่อนจะถึงโซฟาของนายกาล
“คนเราจะมีอะไรกันได้ ไม่ใช่ว่าต้องรักกันก่อนเหรอ” มิสเตอร์คลานกะพริบตาพูดพร้อมกับจ้องส่วนเปลือยท่อนบนของคู่เดท ผมถอนหายใจกำลังจะถอยกลับไปนั่งยังที่ทางของตัวเองก็ถูกคำพูดของกาลรั้งไว้ “บางทีความรักอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไป ในเมื่อคนที่ผมรักทุกคนในตอนนี้ ทอดทิ้งผมไปจนไม่เหลือใครสักคนแล้วด้วยซ้ำ”

‘เขา’ หัวเราะ

ภาพที่ผมเห็น คือภาพของคนหัวเราะที่น่าสงสารที่สุดในโลกนี้ก็ว่าได้ ทำไมผมถึงรู้สึกจุกใจแบบนี้ สายตาของ ‘เขา’ เอาแต่จับจ้องสร้อยข้อมือประดับเพชรพลอยเส้นหนึ่งบนโต๊ะกระจกเบื้องหน้า คงราคาแพงไม่ใช่เล่น

“นายเพิ่งเลิกกับแฟนเหรอ”

กาลลุกขึ้นแทบทรงตัวไม่ได้ แต่สองฝ่าเท้าก็ค้ำร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนต์ให้หยัดยืนได้ในที่สุด เขายกเบียร์ดื่มรวดเดียวหมดกระป๋อง สาดส่องดวงตาแวววามด้วยหยดน้ำคลอทอประกาย

“ผมต้องทำยังไง”

“หะ” อะไรวะ ทำอะไร คืออะไร ผมเริ่มสับสนกับคำถามคนเมา

นายกาลพยายามค้นหาของบางอย่างจากกางเกงสแล็ก จนกระทั่งดึงกระเป๋าตังออกมาจนสำเร็จ เขาหยิบธนบัตรแบงค์พันจำนวนเท่าไหร่ไม่รู้ก่อนจะยื่นส่งมาให้ผม

ผมต้องรีบโบกมือปฏิเสธ

“ผมรับไว้ไม่ได้ครับ นายจ่ายออนไลน์ไปแล้วนี่”

มิสเตอร์คลานสาวเท้าเข้าประชิดตัว โอบคว้าเอวผมไว้ด้วยมือซ้ายก่อนจะยัดแบงค์พันเข้าไปในช่องว่างระหว่างขอบกางเกงในยี่ห้อดัง ผมพยายามจะหยิบออก แต่อีกฝ่ายก็ปัดมือทิ้ง แล้วว่า

“ผมหนาว” แน่ล่ะ ก็นายเปิดเครื่องปรับอากาศอยู่นี่นา ลองออกไปนอกระเบียงดูสิ คงมีเหงื่อซึมแน่ๆ แต่ดูเหมือนนั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่เขาพูดขึ้นมา เพราะสายตาที่จ้องตอบผมพร้อมรอยยิ้มดูดี มีการคีบห่อถุงยางอนามัยโชว์ผ่านหน้า

“นายช่วยใส่ให้ผมหน่อย ผมไม่รู้ต้องทำไงต่อ”

นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนคุณคลานจะเอาหน้าซุกอกผมพร้อมกับหลับไปทั้งยืนแบบนั้น


- - - - - - - - - - - - -

TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2019 20:08:46 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 4



KALN’s Talk

ลมหายใจร้อนกระทบกล้ามอกเปลือยของผม จนกระทั่งปลุกส่วนกึ่งกลางลำตัวตื่นขึ้นโดยฉับพลัน ผมพยายามปรือตามองอีกฝ่ายที่โน้มตัวอยู่เหนือกว่า ผิวหน้าขาวออกแทนๆสะท้อนดวงตาภายใต้หน้ากากลายสวยเงยจ้องตอบกลับ ลมร้อนแผ่จากลมปากของเขากำลังปลดปล่อยลิ้นออกมายั่วเย้าละเล่นกับยอดอกของผม ทันทีที่ปลายลิ้นสีชมพูสัมผัสเนินปุ่มสีเดียวกัน ยังไม่ทันระบบสมองจะประมวลผลสำเร็จว่าควรผลักไสออก ความรู้สึกดั่งเห็นสวรรค์อยู่รำไรก็กระตุ้นจุดประสาทจนเสียววาบ

‘เขา’ อยู่ในชุดวันเกิด และผมก็รับรู้ว่าใส่ชุดคู่อย่างเดียวกัน พลันสีหน้าระเรื่อร้อนแปลกๆ พยายามจะร้องห้ามแทรกการกระทำดั่งกำลังปลุกปั่นสัญชาตญาณดิบของเพศชาย ก็ถูกลิ้นร้อนต้อนเอาจนสติประจำกายเตลิดจนกู่ไม่กลับ ทำไมถึงได้ก่อความสุขอย่างล้นหลามแบบนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ใช่สาวสวยหน้าหวาน ภายใต้หุ่นวีเชฟอย่างนักกีฬาและแววตาหลังหน้ากากกลับทำให้ผมมีอารมณ์เรื่องอย่างว่าได้ไม่แพ้แกมกัน

คิมหันต์สลัดผ้าห่มผืนขาวคลุมท่อนล่างออก แสงจันทร์สาดร่องเนินก้นรวมถึงกล้ามเนื้อตามน่องขาชัดเจนตำตา ผมพยายามระงับการกระทำเลยเถิด ใจหนึ่งอยากใช้ไออุ่นของนายคิมรักษาแผลใจ แต่ส่วนเสี้ยวภายในที่ยังมีพราวประดับครอบครองอยู่คัดค้านหัวชนฝา จึงทำกิริยาดันอกชายหนุ่มผู้ปรนเปรอออกห่าง คนผู้สวมหน้ากากละจากยอดอกผมแล้วเงยสบมองด้วยสายตาพ่วงคำถามมากมาย

“นายใส่เสื้อผ้าเถอะ” ผมหลบหันข้างแล้วพูดน้ำเสียงเฉยชา

คิมไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองคำพูดผม เขาไม่กะพริบตาหรือทำท่าทีอื่นใดก่อนจะใช้แขนแข็งแรงดันขาผมให้กางออก เชี่ย ผมขยับถอย ศีรษะชนเข้ากับหัวเตียงดังกึกบ่งบอกว่าจนมุม
 
“ถ้างั้น นะ นายหยิบถุงยางให้ผมที”

ประโยคคำสั่งของผมเหมือนจะผิดไวยกรณ์หรือยังไงไม่ทราบ เพราะมันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามแม้แต่น้อย เขาดันแขนขยับขาผมให้กางเหยียดเป็นท่วงท่าล่อแหลม ผมออกอาการเลิ่กลั่กชัดเจน ไม่สิ ผมต้องเป็นคนรุกเขา ในเมื่ออารมณ์ทั้งสองเราเลยเถิดมาขนาดนี้ เรื่องให้ยุติไปใส่เสื้อผ้าคงไม่อาจฝืนได้ ทั้งที่ผมยอมเลยตามเลยจะพลิกตัวเขาให้อยู่ด้านล่างก็ไม่อาจใช้กำลังข่มโดยง่าย หนำซ้ำยังถูกนายคิมกดไว้ด้วยสองแขนหนึ่งปากสองตา สะกดอาการดิ้นรนจนแต้มทุกอย่าง เขาเห็นผมลุกลี้ลุกลนพ่วงเสียงลมหายใจผสานเสียงร้องสุขสมยามเขาบดยอดอกหยอกล้อ พลางกระซิบขอบหูผมว่า

“นายจะรุกผมเหรอ กาล”

“ชะ ใช่ ครั้งที่แล้ว ผมก็รุ...”

คิมบดปากปิดคำพูดผมจนถูกตีกลับ หัวผมโล่งอย่างกับไม่มีสมองกั้นกางระหว่างสองหู เขาสอดนิ้วกลางร้อนๆเข้าช่องทางหลังของผม เส้นประสาทส่วนนั้นกระตุกวูบทั่วเรือนร่าง ผมอ้าปากร้องไม่มีเสียง เขารีบถ่ายทอดอากาศคืนอย่างมีไมตรีจิตด้วยรอยปาก เขายิ้มเจ้าเล่ห์

“ครั้งที่แล้ว นาย ‘ลุก’ นะ แต่ลุกขึ้นมานั่งทับน้องชายของผมต่างหาก”

เฮ้ย ผมสับสนและตกใจมาก ผมเนี่ยนะ ลุก ขึ้นไปนั่งทับแท่งมะเขือยาวนั่น ผมจับจ้องอาวุธประจำกายของนายคิมแล้วนึกถึงผักชนิดนั้นได้ทันที คือผมจำได้ว่าไม่เจ็บหรือมีเลือดออกเวลาขับถ่ายเลย ก็ถ้าผมลุกขึ้นไปนั่งอย่างเจ้าของมันว่าจริงๆ ไม่มีทางที่ผมจะถ่ายสะดวกแน่ๆ

“ไม่ใช่หรอก ผมรุกนายต่างหาก” ผมยังคงเถียงข้างๆคูๆ เอื้อมมือสัมผัสเนินก้นของเขา คิมตีหลังมือผมเบาๆเหมือนทำโทษ พลางส่ายหน้ายกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ตอนนั้นนายเมาจะไม่รู้สึกเจ็บก็คงไม่แปลกหรอกครับ ผมทั้งช่วยขยายแล้วก็มีเจลหล่อลื่นช่วยอีก ถ้านายบอกว่าไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ผมถือว่าเป็นคำชมนะครับที่รับใช้นายได้โดยที่ไม่ได้สร้างรอยแผลใดๆไว้”

เขาดูภาคภูมิใจไม่ใช่น้อยที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเจ็บ แต่สภาพน้องชายของเขาก็ไม่ใช่มะเขือยาวพันธุ์แคระ มัน...มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ผมจะไม่ เอ่อ รู้สึกว่าเสียเอกราชไปแล้ว

“นายเป็นเมียผมแล้ว อยู่ๆจะอยากมาเป็นผัว มันแปลกๆนะครับ ว่ามั๊ย” คิมแทงนิ้วสวนเข้ามาเพิ่มอีกเป็นสอง ผมสะดุ้งเฮือกพยายามดิ้นรนหนี เขาประกบปากให้ผมสงบ แต่คนเราย่อมไม่ชินกับสิ่งแปลกปลอมแทรกซอนอยู่ในตัว ถูกมั๊ย แถมยังเป็นนิ้วมือของคนอื่นอีก จะไม่ให้ดิ้นรนถอยหนีก็คงไม่ใช่คนแล้วล่ะ ผมถอนปากโกยอากาศเข้าตัว

“สลับกันบ้าง คงไม่เป็นไรหรอก” ผมยังยืนกรานความคิดเดิมที่จะกดนายคิมไว้ครวญครางใต้ร่าง คนสวมหน้ากากยิ้มเยือกเย็น ในเมื่อการเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดไม่เป็นผลก็อาศัยการกระทำเป็นคำโต้ตอบ เขาถอนนิ้วออกแล้วชโลมปลายนิ้วด้วยเจลหล่อลื่นพร้อมกับสวนกลับเข้าช่องทางเดิม ผมจะร้องห้ามก็ไม่ทันการณ์
 
เย็น อึดอัด แต่ก็กระตุ้นแก่นกายของผมจนผงาดชูชันทันที เขาเห็นมะเขือยาวของผมพองลมชี้โด่เด่ดังนั้นก็ยิ้มพอใจ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ถอนนิ้วออกแล้วหยดเจลลงบนมะเขือยาวสีเข้มของเข้า ก่อนที่ผมจะทันร้องห้าม นายคิมก็ดันเจ้ามะเขือยาวผ่านเข้ามาในตัวผม

ผมสะดุ้งตื่นจากฝัน

สัมผัสรู้ถึงของเหลวเปรอะเปื้อนผิวใต้กางเกงบ็อกเซอร์ ผมสะบัดผ้าห่มผืนขาวกองไว้ด้านข้าง ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นนั่งเอาเท้าหย่อนสัมผัสพื้น เหลือบตามองพื้นที่ข้างกาย

ไม่มีใครสักคน

ผมถอนหายใจ โล่งอกเหมือนยกภูเขาออก เอื้อมมือหยิบกระดาษทิชชู 2-3 แผ่นบนโต๊ะตั้งโคมไฟข้างหัวเตียง
นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ ฝัน...แบบนี้

หลายวันมานี้ผมไม่ได้ปลดปล่อยอย่างควรที่จะต้องทำ ทั้งเกิดเหตุเลิกรากับพราวประดับ จนหลงลืมที่จะทำสิ่งพึงควรกระทำ จนกระทั่งร่างกายจำเป็นต้องจัดการเองแบบนี้ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี ก็เพราะว่าวินาทีที่ผมปลดปล่อย ภาพในฝันเป็นชายหนุ่มสวมหน้ากาก นามว่า คิม กลายเป็นตัวช่วยของผมไปเสียได้

ผมต้องยอมรับว่า เขา มีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศอย่างล้นเหลือ หากผมเป็นสาวๆคงพ่ายแพ้นับแต่จ้องตาเขาผ่านหน้ากากตั้งแต่ครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ แต่ความตั้งใจผมที่ยอมจ่ายเงินเรียกเขามาไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้นเป็นหลัก ตอนอารมณ์ชั่ววูบน่ะคงใช่ แต่ต่อมาได้สบเจอตัวจริง แววตาหลังหน้ากาก มีบางสิ่งแอบซ่อนไว้อยู่ ไม่ใช่ว่าผมต้องการรู้ตัวตนของเขาว่าเป็นใคร ทำงานหรือเรียนที่ไหน แต่สิ่งซุกซ่อนน่าค้นหานั้นเป็นอะไร ผมก็ยังไม่รู้จนกระทั่งถึงตอนนี้

ถามว่าครั้งแรกนั้นผมกับเขามีอะไรกันหรือเปล่า
 
เขาปฏิเสธที่จะเล่า ส่วนผมเองก็เมาจนจำไม่ได้ ทั้งถุงยางอนามัยในสต็อกของผมก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด จะว่าเขาเป็นคนรุกผมเหรอ นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้ผมจำเป็นต้องหาหลักฐานมาลบล้างทฤษฎีข้างต้น จนเป็นเหตุผลหนึ่งที่กดเรียกเขามาพบเป็นหนสอง

แม้ผมจะตัดสินใจใช้เขาเป็นเครื่องมือเยียวยาบาดแผลจากการเลิกรากับพราวประดับ อยากได้เพื่อนไว้ช่วยรับรู้ ระบายอารมณ์ด้านอ่อนแอ แต่เมื่อคิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าโดยสติครบถ้วนสมบูรณ์ คงสร้างบรรยากาศน่าอึดอัดมาก ผมเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบพูด จึงอาศัยน้ำเมากล่อมสติตนเองเสียก่อนที่เขาจะมาถึง

คิม...คิมหันต์ ที่แปลว่า ฤดูร้อน สินะ

ข้างกล่องกระดาษทิชชู่ปรากฏมีธนบัตรสีเทาวางซ้อนกันอยู่หลายฉบับ ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะตอบแทนเขามากกว่าที่จ่ายไปก่อนแล้ว ทั้งค่าเสียเวลาที่ต้องมาเจอคนเมาพูดไม่รู้เรื่อง แล้วลึกๆในใจผมมีความรู้สึกว่าเขาต้องเดือดร้อนเรื่องเงินทองแน่ๆ ถึงได้ต้องมาทำงานแบบนี้ เลยหยิบสตางค์เพิ่มเติมให้โดยไม่ได้คิดอะไรมาก จำได้ว่าสอดเข้าไปในขอบกางเกงในของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงไม่ยอมรับไว้ล่ะ

นายต้องเดือดร้อนอยู่ๆแน่ แววตาหลังกรอบหน้ากากนั้นเศร้ามาก ผมรู้สึกได้


ระหว่างอาบน้ำชำระกาย จู่ๆใบหน้าของนายคิมก็ปรากฏชัดเจนอีกครั้ง กระทั่งเจ้ามะเขือยาวของผมผงาดง้ำอย่างกับถูกปลุกสัมผัสลูบไล้ ผมพยายามสลัดภาพเขาออกจากใจ ไม่ดีเลยที่เขามีผลต่อร่างกายผมขนาดนี้ ทั้งที่เจอกันเพียงแค่สองครั้งแต่กลับปลุกอารมณ์ด้านมืดของผมจนตื่นตัว ราวกับหยดน้ำมันเจอเปลวไฟ หรือว่าผมจะเป็นไบเซ็กชวล ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีความรู้สึกกับเพศเดียวกันแม้แต่น้อย เคยมีหนุ่มหน้าหวานในคณะฯตามจีบผมอยู่ระยะหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าชอบพอเขาในเชิงชู้สาวแต่อย่างใด อีกอย่างตอนนั้นผมก็ยังรักกันดีอยู่กับพราว

ใบหน้าพราวประดับซ้อนทับดวงตาหลังกรอบหน้ากากจนระงับอารมณ์ตื่นตัวช่วงล่างได้ชะงัก
ที่ผ่านมาเราเคยรักกันจริงๆ หรือว่าเป็นสิ่งลวงตากันแน่ เธอเคยรักผม เหมือนที่ผมทุ่มเทรักเธอสุดหัวใจหรือเปล่า ราวกับวันเวลาตลอดสองปีที่ผ่านมาช่างไร้ค่าไร้ราคา น้ำตาผสมผ่านสายน้ำจากฝักบัวชะล้างทุกสิ่งที่เปรอะเปื้อนเพียงนอกร่างกาย แต่ภายในนั้นจะมีสิ่งใดช่วยได้บ้าง ชั่วชีวิตนี้ผมคงลบเธอออกจากใจไม่ได้กระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต


ช่วงเวลาเช้าห้องฟิตเนสของคอนโดฯแทบร้างไร้ผู้คน ผมวิ่งบนลู่วิ่งจนพอใจแล้วจึงไปยกดัมเบลต่อ เหงื่อออกซึมตามเสื้อแขนกุด ทว่าสดชื่นแจ่มใส ผมชอบออกกำลังกายตอนเช้า มันช่วยให้สมองโล่งดี และทำให้มีสมาธิในการเรียนของวันนั้นๆ หญิงสาวดาวจิตวิทยาข้างห้องเดินผ่านประตูห้องฟิตเนสเข้ามา เธอทำหน้าตกใจเมื่อเห็นว่ามีผมเพียงคนเดียวกำลังออกกำลังกายอยู่ แก้มสีชมพูตามธรรมชาติเห็นชัดเจนยามแสงแดดเริ่มสะท้อนผ่านสระว่ายน้ำทะลุกระจกใสตกกระทบบนใบหน้าเธอ เธอจัดว่าเป็นคนน่ารักระดับที่ผู้ชายต้องพึงพอใจที่ได้เหลียวมอง แม้นไม่ถึงกับทำให้ตกตะลึงจนต้องหยุดฝีเท้า หรือต้องการเห็นสัดส่วนใต้ร่มผ้าว่าเป็นประการใด แต่เพื่อนบ้านข้างห้องคนนี้ก็มีดีระดับที่ยืนยันว่า ผมยังสนใจในเพศตรงข้ามอยู่

“ไม่มีคนเลย” เธอยิ้มหวานๆทักทายผม

“ผมนี่ไง” ผมวางดัมเบลลงแล้วยกชายเสื้อขึ้นซับเหงื่อตามลำคอ คู่สนทนาจ้องซิกแพคของผมตาลุกวาวก่อนจะรีบหันมองทิศทางอื่น แสดงว่าผมยังคงมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามอยู่ “จริงสิ เธอชื่ออะไรเหรอ ผมชื่ออนันตกาล เรียก กาล ก็ได้”

“พิมพ์ค่ะ พิมพ์พลอย”

ผมชอบชื่อจริงเธอ แต่การแค่ชอบชื่อไม่ได้ทำให้ผมลืมพราวประดับและเริ่มต้นคบใครใหม่ได้ จริงๆแล้วผมอาจต้องใช้เวลา และพิมพ์พลอยก็ไม่ได้ดูด้อยหรือไม่น่าคบแต่อย่างใด หากผมต้องการเดินหน้าต่อไปโดยปราศจากพราวแล้วจริงๆ

เธอยิ้มสวย แต่ไม่เท่าพราวประดับ อีกคนที่ยิ้มสวยเหมือนกัน คิมหันต์ เขาก็มีชื่อจริงที่ไพเราะเหมือนกันนะ จะว่าไปแล้ว

“กาลลงเรียนวิชาแคมป์หรือเปล่า”

“อะไรนะครับ” ผมถามกลับ มัวแต่คิดถึงนายนั่น

“วิชาแคมป์ กาลได้ลงหรือเปล่า พอดีพิมพ์ได้ยินรุ่นพี่บอกว่าได้เกรดง่าย” หญิงสาวยิ้มอีก ดูเป็นคนสดใสเข้ากับคนง่าย

“ครับ ผมก็ลง ถ้างั้นคงได้เจอกัน”

“เอ่อ กาล ถามอะไรหน่อยสิ” พิมพ์พลอยไม่ได้ยิ้มสดใสเมื่อเธอตั้งใจจะถามอะไรบางอย่าง ผมพยักหน้าอนุญาตให้เธอพูดต่อได้ “นายเป็นไบฯเหรอ”

ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเอง มาดคุณชายที่คีบลุคแทบพังทลายต่อหน้าเธอ แต่ก็ไอกลบเกลื่อน ก่อนจะถามกลับว่า

“ทำไมเธอคิดงั้นอ่ะ”

“เปล่าๆ” พิมพ์พลอยรีบโบกมือแล้วกล่าวเสริมว่า “พอดีเพื่อนเราให้มาถามน่ะ เขาเป็นผู้ชาย ถ้านายเป็นไบฯเขาก็อยากจะพูดคุยทำความรู้จักบ้างน่ะ จะเป็นอะไรหรือเปล่า”

ผมกะพริบตาตอบสนองคำถามเธอ ก่อนที่จะต้องอธิบายเป็นคำพูดเพื่อความกระจ่าง

“ตอนนี้ผมคิดว่ายังชอบผู้หญิงอยู่นะ ขอโทษที”

“อ้อ เหรอ”

คำอุทานของพิมพ์พลอยไม่ได้ปกปิดเลยว่าเธอแทบไม่เชื่อถือในคำอธิบายของผม หรือว่าเธอจะเห็นว่าผมเรียกนายคิมมาหาสองคืนติดกันแน่นะ


- - - - - - - - - - - - - -

TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2019 20:10:53 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 5



KIM’s Talk


คนโง่กับคนฉลาด มีเส้นบางๆกางกั้นอยู่

แล้วกรณีที่ผมเลือก ไม่รู้ว่าจะถูกจัดอยู่ฝั่งไหนกันแน่
 
“โง่” หนึ่งเสียงจากไอ้ฝรั่งฟราน

“ฉลาด” คู่หูตัวกอ ก้าน-กิจ ตอบพร้อมเพรียงกัน

“โง่อวดฉลาด” หนึ่งเสียงจากไอ้น้ำฝน คือเหตุผลที่ดูจะตรงกับใจผมมากสุด

“เงินเกือบหมื่นคาอยู่ขอบกางเกงในมึงแบบนั้น ถือว่าเขาเต็มใจให้ด้วยซ้ำ แล้วมึงยังจะเอาไปวางคืนอีก ไอ้เหี้ยง่าวคิม” เอ่อ คุณชายฟราน คุณมึงควรเลือกคำด่ามาสักคำหนึ่ง ไม่ใช่ใช้ควบคู่ทั้งเหี้ยทั้งง่าว มันทำให้สติปัญญาผมดูโง่งมจนไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปแท้จริงแล้วถูกหรือผิด

“คิม มันก็ทำถูกแล้วนี่ เค้าจ่ายค่าตัวมันตามปกติ แต่นี่ยังหยิบมั่วซั่วเอาตังมาให้เพิ่มอีก เป็นใครใครก็ไม่รับหรอก” ก้านพยายามสนับสนุนผมเต็มที่

“ก็มึงต้องการเงินไปจ่ายค่ารักษาน้องมึงไม่ใช่เหรอ อีกอย่างมึงไม่ได้เอาปืนจี้ปล้นเค้ามา เรียกว่าสมยอมให้โดยสมัครใจ ถึงกูจะโตมาในครอบครัวที่เงินทองไม่เคยขาดมือ แต่กรณีอย่างนี้เขาเรียกว่าให้โดยเสน่หา ไม่ถือว่ามีความผิด ดูจากที่มึงบรรยายลักษณะ แขกของมึงรวยชัวร์ๆ แค่นั้นขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง แล้วมึงเสือกเป็นสุภาพบุรุษเอาไปคืนเนี่ย ไม่เรียกว่า โง่ ก็คงเป็น โง่อวดฉลาด อย่างไอ้ฝนว่านั่นแหละ” ฟรานสาธยายยาวเหยียด ผมเผลอพยักหน้าเห็นชอบตามมันจนไอ้ก้านส่งสายตาเคืองๆมาให้
 
“กูว่ามึงทำถูกแล้วแหละ” ไอ้กิจออกความเห็นซัพพอร์ตผมอีกหนึ่งเสียง มันไม่ใช่คนที่จะเห็นชอบการกระทำของผมได้ง่ายๆโดยเฉพาะเรื่องเรียน รายงานแลปหากไม่ผ่านความเห็นของว่าที่เจ้าของโรงสีในอนาคต ไม่มีทางสำเร็จเสร็จส่งอาจารย์ได้เด็ดขาด  มันจะคอยท้วงติงสิ่งผิดพลาดต่างๆ ที่พวกผมมองข้ามเป็นประจำสม่ำเสมอ

“มึงทำอย่างที่กูบอกหรือเปล่า” ก้านกระซิบถามข้างหูผม หลังจากไอ้ฟรานยกตัวเองเป็นฝ่ายค้านขุดเหตุผลล้านแปดมาระบุการกระทำของผมว่าผิดชัวร์ๆ ส่วนคุณกิจนั้นกระทำตัวเป็นประธานสภาฯออกโรงปกป้องผมเต็มขั้น

“กูยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เขาเมาแล้วก็หลับไปเหมือนครั้งก่อน” ผมสบตาก้าน แล้วซักมันกลับทันที “ว่าแต่มึงไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงวะก้าน รึว่ามึง...”

“กูยังไม่ได้มีผัว”

“ห๊ะ เฮ้ย ฮิ้ววว เวร” คำท้ายเป็นของเหี้ยก้านนั่นเอง

“อะไรผัวๆวะ” ไอ้ฟรานเลิกซักฟอกความผิดผม หันมาเกาะขอบเรื่องไอ้ก้านต่อ

“ชะนีมันร้อง” เหี้ยก้าน มึงก็แถสีข้างแทบถลอก ผมเหล่ตามองมันอย่างงงงวย

“ไหนวะชะนี” เอ่อ ไอ้ฝน มึงก็บ้าจี้ไปถามหาอีก มันหันซ้ายหันขวาคงนึกว่าสวนสัตว์ปล่อยออกมาเดินเล่น

“บนหน้ามึงมั้ง”
 
ก้านสะบัดตูดลุกขึ้น พาดเสื้อแลปไว้บนบ่า ก่อนจะสาวเท้าก้าวขึ้นตึกเรียนคณะฯ โดยที่ไอ้ฝนยังสับสนอยู่ว่า เมื่อกี้ได้มีชะนีปรากฏตัวบริเวณโดยรอบหรือไม่ ฟรานจ้องหน้าฝนชั่วขณะ ก่อนจะทันฉุกคิดได้ว่าก้านมันหลอกด่า เจ้าตัวก็แล่นหายหัวไปเสียแล้ว ผมยกยิ้มคลายความกังวลได้ส่วนหนึ่ง

บางทีผมอาจจะโง่อวดฉลาดอย่างน้ำฝนว่า บางทีเงินจำนวนนั้นอาจช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ได้ แต่ผมก็ยังดีใจที่ไม่ได้หยิบฉวยติดมือมา เขาต้องเสียใจเรื่องแฟนถึงได้เมามายขนาดนั้น ความรักเมื่อมันไม่ได้เป็นดังใจหวัง กลับพังทลายทุกสิ่งอย่างจนราบคาบ สภาพนายกาลไม่ต่างจากคนไร้หัวใจ มันคงเป็นเพียงเศษเงินไร้ราคาสำหรับเขา แต่ผมก็ภูมิใจว่าไม่ได้ฉกฉวยหากินกับความเศร้าเสียใจของคนคนหนึ่ง หน้าที่ผมควรจะมอบความสุขให้ ไม่ใช่ทำลายเขา แม้เพียงเงินแค่เล็กน้อยก็ตาม ผมคิดถูกแล้วที่วางคืนไว้

ผมเพิ่งจะวางสายโทรศัพท์แม่ หลังจากโอนเงินส่วนที่หาได้จากการทำงานพิเศษไปให้ ตอนแรกแม่ปฏิเสธจะรับ ผมคะยั้นคะยอจนแม่ยอม ถึงผู้มีพระคุณจะพยายามซักไซ้ให้ได้ว่าผมหาเงินมาจากไหน ผมก็เลยอ้างไปว่าพี่เจตเพิ่มค่าแรงพนักงานเสิร์ฟ แม่ไม่อยากรับแต่ผมก็โอนให้ไปแล้ว แม่ว่าถ้ารู้แบบนี้จะไม่บอกเด็ดขาดเรื่องน้องบาดเจ็บนอนโรงพยาบาล แม่ต้องการให้ผมตั้งใจเรียนให้จบ ไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนหาเงินมาช่วยแบบนี้ น้ำเสียงห่วงใยแฝงถ้อยคำตำหนิต่างๆ นานา แม่ผมเป็นคนปากร้ายใจดี ผมรู้ ผมจึงเสริมว่างานที่ทำไม่ได้กระทบกระเทือนการเรียนแต่อย่างใด นายแม่จึงค่อยสบายใจขึ้นมา แถมยังถามหาว่าที่ลูกสะใภ้เป็นการกลบเกลื่อน ผมหัวเราะแล้วบอกว่าถ้ามีแน่ๆจะพาไปเปิดตัวถึงหัวกระไดบ้าน

หากผมคบสาวทุกคนที่เข้ามาหา ป่านนี้ไม่รู้ว่าแม่จะจำหน้าพวกเธอทั้งหมดได้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าผมคุยโวโอ้อวดว่าตัวเองมีสรรพคุณดีเด่นแต่ประการใด เรียกว่าอัธยาศัยแย่พอตัว ยกเว้นแขกในบาร์พี่เจตมาชวนดริ๊ง ผมจึงจะยอมพูดคุยพอหอมปากหอมคอ ใครๆก็บอกว่าหน้าผมมันชวนเกี่ยวแขนเข้าโรงแรม เอาจริงๆ คนสมัยนี้ดูกันแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็ยอมได้เสียกันแล้วจนเป็นเรื่องปกติ ถ้าผมทำแบบนั้นตั้งแต่สมัยมาทำงานร้านพี่เจตตอนแรกๆ ป่านนี้คงมีเงินเก็บมากโขอยู่

เรื่องที่ผมทำงานพิเศษในแอพหาคู่ นอกจากเพื่อนในกลุ่มแล้วก็ไม่ได้บอกใครอีก แม้แต่พี่เจตและพี่กวาง อีกอย่างผมไม่คิดจะยึดเป็นอาชีพในระยะยาว หากได้เงินครบตามที่ต้องใช้จ่ายค่ารักษาน้องแล้วผมก็จะหยุด จะว่าไป ตั้งแต่ผมลงสมัครในแอพหาคู่ มีคนกดเรียกผมไปดูตัววันละไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ทำไมคนรุ่นผมมันเสี้ยนแบบนี้ ฮ่าๆ

แต่ผมก็ไม่ได้ตอบรับแต่อย่างใด จริงๆแล้วคนที่ผมไปหาบ่อยที่สุดมีแค่คนเดียว...กาล

ผมลางานร้านพี่เจตสองคืนติด คิดว่าคืนนี้ต้องไปชดใช้กรรมโทษฐานที่ไปแอบรับงานนอก เนื่องจากไม่มีวี่แววว่ามิสเตอร์คลานจะกดเรียกผมในคืนนี้

“มึงหายหัวไปไหนมาวะ คิม” พี่เจตเห็นหน้าผมก็ทักทายเสียงดังข่มดนตรีสดในร้าน พี่แกกำลังผสมเหล้าค็อกเทลอยู่ พี่กวางเมียงามของเฮียเจตโบกไม้โบกมือมาจากโต๊ะแขกเมื่อเห็นผม ผมยิ้มรับพี่ทั้งสองคนแล้วอ้อมแอ้มตอบไปว่า ไม่สบายเจ็บคอ

“มึงไปใช้คอทำอะไรมาวะ” พี่เจตเหล่ตามองผมแปลกๆ ยิ้มมุมปาก

“นิดหน่อยน่ะพี่”

“เพลาๆบ้างนะ ระวังจะเป็นโรคคอพอก ฮ่าๆ” อะไรของเฮียวะ

ผมแกล้งทำหน้าเหรอหรารับมุกไม่ทันแล้วผลักประตูเข้าหลังร้าน เปิดล็อกเกอร์แล้วหยิบผ้าคาดเอวสีดำสกรีนชื่อบาร์ สวรรค์ชั้นเจต มาพันรอบเข็มขัด พอดีกับมีมือหนึ่งยื่นมาช่วยมัดสายผ้าคาดเอวให้ ผมเหลียวหลังมองก็พบกับรุ่นน้องห่างกันปีเดียว

“ขอบใจ ขาม” ผมตบบ่ามะขาม เด็กเสิร์ฟประจำร้านอีกคน มันยิ้มแปลกๆ สงสัยแขกจะคะยั้นคะยอให้ดื่มมา ทุกทีขามมันไม่ใช่จะชอบทำตาเยิ้มๆเป็นมะขามหวานแบบนี้ ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด

“พี่หายไปไหนมาเหรอครับ ผมถามเฮียเจตๆ ก็บอกว่าไม่รู้ๆ อย่างกับว่าชาตินี้จะรู้อะไรกับเค้าแน่ๆสักเรื่องบ้าง” ขามทำแก้มพองลม น่าหยิกไม่น้อย และเร็วกว่าความคิดผมก็คีบแก้มมันดึงยืดออก หวังคลายอาการหัวร้อนของอีกฝ่าย
ขามสะดุ้งในท่าทีผมไม่น้อย มันเหมือนได้สติแล้วรีบก้มหน้างุด

ทำไมผมจะไม่รู้ว่า มะขาม มันชอบผม ตาโตๆ แก้มแดงๆ ผิวขาวๆ ผิดก็แค่ส่วนสูงเท่าผม และมีจู๋เหมือนกันนั่นแหละที่บอกว่ามันไม่ใช่สาวน้อยแต่อย่างใด ด้วยรูปลักษณะแบบนี้ไม่พ้นที่ผมจะคว้าตัวเข้ามาอยู่ในชมรมกีฬาของมหาวิทยาลัยด้วย

“พี่ไม่สบาย บอกพี่เจตไว้แล้วนี่” ผมยืนกอดอกจับตาดูขาม มันยอมเงยหน้าจากพื้นย้ายมามองผมได้เต็มตาเสียที มันจิ๊จ๊ะปากอย่างขัดใจ บ่นงึมงำว่าเรื่องแค่นี้ทำไมเฮียเจ้าของร้านถึงไม่ยอมบอก “ทำไมมึงหน้าแดงขนาดนี้วะ ขาม”

“แขกโต๊ะขวาหน้าเวทีอ่ะดิพี่ ไม่ยอมปล่อยผมออกมาสักที สภาพเลยเป็นแบบนี้อ่ะ” ขามพิงหลังกับล็อกเกอร์ พ่นลมหายใจร้อนผสมกลิ่นเครื่องดื่มมึนเมาออกมาด้วย ผมเห็นขวดน้ำอยู่ใกล้ๆก็เปิดรินใส่แก้วยื่นให้รุ่นน้อง ขามกล่าวขอบใจแล้วรับไปดื่ม เหมือนจะช่วยละลายฤทธิ์แอลกอฮอล์ได้บ้างไม่มากก็น้อย

“เออ พี่ ถามอะไรอย่างดิ”

“เรื่องแขกโต๊ะนั้นเดี๋ยวพี่รับช่วงต่อเอง” ผมหยิบคลิปบอร์ดพร้อมรายการเครื่องดื่มอาหารต่างๆจากมือขามมาถือไว้ “มึงก็ไปดูแลโต๊ะอื่นละกัน แล้วจะถามกูเรื่องอะไรวะ”

มะขามไถๆโทรศัพท์มือถือชั่วขณะหนึ่ง จิ้มๆ แทงๆ เอ๊ย ไม่ใช่ละ กดหยุกหยิกๆแล้วสบตามองผม ผมกะพริบตาตอบมัน อีกฝ่ายก็ยืนนิ่งงันเหมือนรอเสียงสวรรค์หรืออะไรสักอย่าง สักพักหนึ่งมันก็ทำหน้าเหมือนโดนขัดใจ เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกางเกงยีนตามเดิม

“ถ้าพี่เดือดร้อนอะไรอ่ะ บอกผมได้นะ”

เท่าที่ผมรู้ฐานะทางบ้านขามไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินๆทองๆจนจำเป็นต้องมาทำงานพาร์ทไทม์แบบนี้ วันดีคืนดีเมื่อมันรู้ว่าผมทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ในบาร์ก็อ้อนขอมาทำด้วยอีกคน บอกว่าจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านบ้าง ถึงแม้ผมจะไม่พยายามคิดว่าเหตุผลแท้จริงแล้วมันต้องการจะตามจีบผมหรือเปล่า ตลอดเวลาขามมันไม่ได้บอกกับผมตามตรง บางทีผมอาจจะคิดเองเออเองไปคนเดียวก็ได้ เพราะผมก็ไม่เกี่ยงว่าคนที่จะคบหาเป็นเพศชายหรือหญิง ถ้าคุยกันจริงๆแล้วลงล็อค อะไรก็เป็นไปได้

“ผมเพิ่งได้กล้องโปรมาตัวนึง อยากจะพาพี่ไปลองเทสช่วงว่างๆ เสาร์-ทิตย์นี้ พี่ว่างหรือเปล่า” ขามยกคิ้วถาม

ผมยังไม่มีแพลนสำหรับช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ต้องดูก่อนว่าจะมีซ้อมกีฬาหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็คงไปได้

“เรามีซ้อมชมรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ว่างนะ” ผมตอบตามตรง

“งั้นเดี๋ยวผมไปเช็คมาให้นะ” มะขามยิ้มดีใจอย่างกับเด็กน้อยได้ของเล่น
 
ผมจะยกมือลูบหัวมันแต่ก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้เลยไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ เดินผละจากมาไปดูแลแขกโต๊ะที่มอมเหล้าขามจนกรึ่มขนาดนั้น

มีสาวสวยแต่งตัววาบหวิวสี่ห้าคนยืนล้อมรอบชายหนุ่มคนหนึ่งไว้อยู่ สาวชุดแดงใส่ชุดรัดทรวงทรงเผยทรวงอกเป็นร่องลึก โบกมือเรียกผมทันทีเมื่อผมเผลอสบตา ผมจึงรีบเดินไปหา

“เอาเบียร์มาอีกทาวน์นึงนะ ตัวเอง เพื่อนเรามันกินอย่างกับน้ำ” เธอขยิบตาให้ผมหนึ่งจึ้ก

“ได้ครับ” ขณะผมกำลังจดรายการที่คุณเธอทรงดีสั่งต่อเป็นหางว่าว จู่ๆก็รู้สึกเหมือนว่ามีสายตาสะกดจดจ้องผมอยู่ ผมเลยเงย
หน้าจากภารกิจจด เพื่อสบผสานกับดวงตาของชายหนุ่มหนึ่งเดียวในกลุ่มนั้น

กาล

ผมรีบเอากระดาษจดปิดรอบตา เวร แล้วทำไมกูจะต้องทำตัวเป็นพิรุธแบบนี้วะ

“นาย”

ผมหันข้างให้แขกอันดับหนึ่งของผม ขณะที่เขาลุกมาจากเก้าอี้และทิ้งแก้วเบียร์มาหา

“ผมขอยกเลิกรายการเบียร์”

“อ้าว ไงวะไอ้กาล ก็มึงให้กูสั่ง” เพื่อนสาวชุดแดงส่งเสียงแว้ดท้วงติง กาลในชุดเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนดำขาดเข่ายกมือขอโทษพวกเธอ

“กูจะกลับแล้วว่ะ มึงเก็บตังจากเหมแล้วกัน เดี๋ยวมันกำลังมา” เขาโบกมือลา แล้วคว้าไหล่ผมไว้ด้วยมือหนึ่ง พร้อมทั้งกระซิบกระซาบผสานเสียงเพลงอึกทึกครึกโครม แต่ผมได้ยินชัดเต็มสองหู

“นายต้องการเท่าไหร่ ไปกับผมคืนนี้ได้มั๊ย”

- - - - - - - - - - - - - -

TBC.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2019 20:11:22 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เอาล่ะสิ ยังไงนี่

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 o13
 :katai2-1:
 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 6



KALN’s Talk


“นายชื่ออะไร”

“ขราม” พนักงานเสิร์ฟที่ผมพามาอ้อมแอ้มลิ้นรวนตอบไม่ชัด

“อะไรนะ” ผมมองซ้ำแล้วถามกลับ เขาพูดเหมือนมีอะไรติดคอ ขณะผมบังคับพวงมาลัยเลี้ยวผ่านถนน ปราศจากยานยนต์สัญจร

“ขะ ขาม” สงสัยจะตื่นเต้นละมั้ง บังเอิญจู่ๆก็ถูกผมลากตัวมาด้วย


ผมรู้จักกับพี่เจตรินเจ้าของร้าน สวรรค์ชั้นเจต ดีพอควร แม้ไม่ได้ออกมาอุดหนุนทุกค่ำคืนก็ตาม แต่ถือว่าแต่ละครั้งพวกผมก็ใช้จ่ายหนักสมน้ำสมเนื้อ จะบอกว่าผมเป็นหุ้นส่วนรายหนึ่งของร้านก็คงใช่ เพราะเงินลงทุนจำนวนเกือบครึ่งคือส่วนของผม ถามว่าผมรู้จักพี่เจตได้ยังไง สรุปสั้นๆคือ พี่เจตแกเป็นรุ่นพี่ที่จบไปแล้วของคณะบริหารธุรกิจที่ผมเรียนอยู่ รู้จักกันตอนรับน้องนอกสถานที่ เฮียแกเป็นคนสนุกสนานครื้นเครง คอยสันทนาการพวกน้องๆ

ตอนตั้งวงแก้หนาว พี่เจตคงหมายหัวพวกผมสามคนไว้แล้ว คงคิดว่าคออ่อนตามสไตล์ลูกคุณหนู แต่เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าตัดสินคนเพียงแค่ภายนอก เหมกับวัสถูกรุ่นพี่กะมอมเหล้าซะเต็มที่ แต่ฝ่ายกะมอมกลับล้มพับยอมแพ้ไปทีละคนสองคน เช่นเดียวกับพี่เจตที่คงได้รับคำสั่งให้มาคุมผม เฮียแกแอบเติมเหล้าผสมโซดาสัดส่วนเข้มมาก แต่ผมก็ไม่ได้คออ่อนดังเช่นรุ่นพี่สบประมาท เรื่องเหล้าไว้ใจผม แต่ถ้าเป็นเบียร์ผมคงต้องยอมแพ้ กินไปไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกว่ามึนหัวเร็วผิดต่างจากเครื่องดื่มเมรัยแบบอื่น

สุดท้ายพี่เจตก็พูดออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะชี้หน้าไล่เลียงพวกผมสามคนที่ยังนั่งยิ้มได้อยู่ ส่วนสภาพเฮียแกเหมือนแค่ใช้ปลายนิ้วแตะไหล่ก็พร้อมจะล้มหงายหลัง

“พวกมึงแม่งเปลืองเหล้าว่ะ กูกะรับน้องพวกมึงเต็มเหนี่ยว กะให้คลานกลับเตียงเดี่ยวไม่ได้ สุดท้ายเป็นพวกกูที่ต้องนอนตายเป็นศพไปทีละรายแบบนี้”

จริงครับ หลังจากมีศพแรกผ่านไป ศพที่สองที่สามก็เริ่มตามมา

พี่เจตเห็นศักยภาพคอแอลฯแบบผม แถมคงสืบทราบฐานะทางบ้านผมเลยชักชวนมาร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ ผมถูกใจลักษณะนิสัยเป็นกันเองของเฮียแกเลยร่วมลงขันด้วย

แค่เรื่องขอตัวพนักงานเสิร์ฟมานั่งข้างเบาะคนขับแบบนี้จึงไม่ใช่ปัญหา เพียงผมโอบไหล่ ‘เขา’ โบกมือให้เฮียเจตหลังเคาเตอร์บาร์ก็เป็นอันผ่านฉลุย ไม่ใช่ว่าผมทำเรื่องแบบนี้จนเป็นอันรู้กัน แต่พนักงานคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้ผมติดใจอย่างประหลาด เคยสังเกตมาหลายครั้งตั้งแต่วันเปิดร้านวันแรกแล้ว แต่ไม่เคยออกตัวซักไซ้เฮียเจตสักที กระทั่งเย็นวันนี้ เผอิญมีสายโทรศัพท์เสี่ยเจตติดต่อมา

“มึงหายหัวไปเลยนะ ไอ้กาล”

“ครับ” ผมยอมรับตามข้อกล่าวหา

“เหี้ย มึงจะไม่อธิบายหน่อยเหรอวะ ว่าหายไปไหน ไปเอากับใครท่าไหน ริมระเบียง ขอบเตียง หรืออะไร อย่างไรบ้าง”

“พี่เป็นเมียผมเหรอครับ ผมถึงต้องรายงาน” ผมถามกลับไม่ได้กะเอาฮา แต่อีกฝ่ายกลับขำลั่น

“กูก็อยากเป็นเมียมึงนะ คงสุขสบายไปทั้งชาติ ไม่ต้องมานั่งชงเหล้าเป็นนางทาสให้เมียสุดประเสริฐ ศรีภรรยากวางโขกสับอยู่ทุกวันนี้” ท้ายประโยคผมรู้สึกว่าพี่แกลดเสียงลงอย่างเห็นได้ชัด

“ผมไม่เอาดีกว่าครับ”

“เออ แล้วจะเสียใจ ไอ้น้อง” พี่แกทำเสียงงอนได้จริตสาวน้อยมาก ก่อนจะพูดเป็นงานเป็นการต่อว่า “กูจะขอขึ้นค่าแรงพนักงานเสิร์ฟได้ไหมวะ”

“ทำไมพี่ มีอะไรหรือเปล่า” ผมโยนผ้าเช็ดตัวลงบนเตียง หลังจากเช็ดผมและหยดน้ำตามเนื้อตัวเสร็จแล้ว เงาสะท้อนเรือนร่างเปลือยของผมเห็นเลือนรางได้จากกระจกระเบียงห้อง

“คืองี้ มีพนักงานคนนึงมันเดือดร้อนเรื่องเงิน เห็นว่าต้องหาเงินไปช่วยค่ารักษาพยาบาลน้องที่รถมอ’ไซด์ล้ม กูออกปากจะให้ยืมแล้วนะ แต่มันไม่ยอมรับ”

“พี่ก็เลยคิดจะเพิ่มค่าแรง?”

“เออสิวะ”

“เค้ายินดียอมให้ขึ้นเหรอครับ”

“เออว่ะ กูลืมคิดเรื่องนี้ อีกวางก็ฝากกูมาถามมึงอีกที ไอ้นั่นมันมีนิสัยไม่ชอบรับเงินคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลมารองรับซะด้วย” พี่เจตเงียบไปพักนึง ผมคิดว่าพนักงานคนนี้น่าสนใจพอดู คงเป็นคนๆนั้นที่ผมหมายตาไว้

“เอางี้ดีกว่าพี่ พูดกันระหว่างผมกับพี่ โดยไม่ต้องบอกพี่กวางนะ สุดสัปดาห์นี้ผมจะต้องกลับบ้านใหญ่ อยากได้คนไปช่วยเคลียร์ห้อง ผมจะเก็บของออกมาพักที่คอนโดฯเต็มตัว ถ้าใช่พนักงานที่ผมคิดไว้ หน่วยก้านก็คงพอจะยกของหนักๆ ทำความสะอาดได้”

“ทำไมมึงไม่ใช้เด็กที่บ้านวะ” พี่เจตสวนกลับเร็ว

“ถ้าผมบอกว่าจะขนของออก พี่ว่าจะมีใครช่วยมั๊ยล่ะ” ผมพูดตามตรง

“เออจริง ยิ่งพ่อมึงด้วยแล้ว คงให้มึงหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าลงมาขึ้นรถเองแน่ แล้วของมึงเยอะขนาดต้องมีคนช่วยเลยเหรอวะ”

“ครับ ก็พอประมาณ ตามนี้นะพี่ เรื่องค่าแรงผมจะพูดกับ ‘เขา’ เอง” ผมสรุปรวบรัด


ทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นเหตุให้ผมพาพนักงานเสิร์ฟของร้านนั่งรถมาด้วย ตอนแรกผมคิดจะพูดหลังจากบาร์ปิด แต่คงดึกมากเกินไป อีกอย่างผมไม่มีอารมณ์จะอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก อีกทั้งนั่งเป็นคู่ๆ มันทำให้ผมนึกถึงคนที่บอกเลิกรัก ผมกะมอมตัวเองเลยสั่งเบียร์มาดื่ม พอเห็นหน้า ‘เขา’ คาดผ้ากันเปื้อนของร้านก็ระลึกถึงเรื่องที่คุยตกลงกับพี่เจตค้างไว้ จึงใช้เป็นข้ออ้างออกมาจากสถานที่ซึ่งมีความทรงจำมากมายของพราวประดับตกแต่งอยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยไม่มีเพื่อนคนไหนสามารถคัดค้านได้

“โทษทีนะที่พูดห้วนๆแล้วลากตัวนายขึ้นรถมากะทันหันแบบนี้”

ผมเห็นสวนรุกขชาติยามค่ำคืนแล้วเลี้ยวรถเข้าไปจอด ต้องการหาที่สงบๆเจรจาตกลงกับเขา พอผมจอดรถแทนที่เขาจะถามว่าผมขอโทษเรื่องอะไร แล้วทำไมถึงพาตัวขึ้นรถมาด้วย นายขามก็รีบปลดเบลท์แล้วเปิดประตูรถพุ่งออกไปโดยเร็ว ผมต้องรีบเปิดประตูออกไป แล้ววิ่งคว้าแขนเขาไว้ได้ทัน

“ใจเย็นก่อน” ผมหอบตัวโยน เขาต้องเป็นนักกีฬาวิ่งสี่คูณร้อยเมตรแน่ๆ “ที่ผมบอกว่านายต้องการเท่าไหร่น่ะ พอดีจะจ้างไปช่วยเก็บของที่บ้านผมวันเสาร์นี้”

ขามหยุดสะบัดแขน สัดส่วนเขาพอๆกับผมแต่ผิวออกแทนนิดๆ เขาจ้องมองผมผ่านแสงไฟที่ติดอยู่ริมฟุตบาท

“นายจะจ้างผมไปเก็บของ? ที่บ้าน?” ขามถามกลับ ผมคิดว่าเขาคงไม่วิ่งหนีแล้วก็เลยปล่อยมือออก

“ใช่ นายคิดเท่าไหร่”

สวนสาธารณะกลางคืนท่ามกลางฤดูร้อนไม่ได้ช่วยให้อากาศเย็นแม้แต่น้อย แถมยังมียุงตัวเมียบินตอมแขนผมจนมันคงนึกสนุกอยากลองชิมเลือดผมดู ผมมัวแต่จ้องพนักงานเสิร์ฟของร้านไว้จนไม่ทันระวัง กว่าจะรู้ตัวก็ปรากฏอาการคันและมีตุ่มนูนสีแดงขึ้นหลังมือ

นอกจากผมจะแพ้เบียร์แล้ว ผมยังแพ้ยุงอีกด้วย

ผื่นคันลุกลามจากหลังมือมาถึงข้อมือ เด็กเสิร์ฟเห็นอาการผมผิดปกติก็รีบคว้าแขนผมย้อนกลับไปขึ้นรถ

“กุญแจ”

“อะไรนะ” ผมยังงงๆอยู่ แถมคันหลังมือแสบๆร้อนๆ จำได้ว่ายาแก้แพ้อยู่ที่คอนโดฯ ยังไม่ทันจะบอกอีกฝ่ายว่าต้องกลับห้อง เขาก็ฉวยกุญแจรถผมไปถือแล้วเปิดประตูรถข้างคนขับขึ้นนั่งแทนที่ผม ผมจึงต้องไปนั่งอีกฟากหนึ่งแบบงงๆ เขาออกตัวรถแถมเหยียบคันเร่งไม่ยั้งแรง
 
“นายจะไปไหน” ผมถาม พยายามห้ามตัวเองไม่ให้เกาจุดที่เป็นผื่นแดง

“โรง’บาล” ขามตอบกลับหน้าเฉย คิ้วขมวด

“ไม่ต้อง นายไปส่งผมที่คอนโดฯก็พอ ยาแก้แพ้ผมมีอยู่” เขาเหลือบตามองผม ผ่อนแรงเหยียบคันเร่ง ก่อนจะคลายหัวคิ้วออก ถอนหายใจ ผมกดโลเคชั่นบนหน้าจอรถแสดงเนวิเกเตอร์ เขาขับไปตามลูกศรโดยไม่พูดกับผมแม้แต่คำเดียว


‘เขา’ เห็นผมกลืนยาแก้แพ้พร้อมยกแก้วน้ำดื่มตามแล้ว นั่งรออยู่ชั่วขณะ ความรู้สึกแสบๆคันๆทยอยทุเลาลง ท่าทีของผมคงบอกเป็นนัยว่ายาแก้แพ้ออกฤทธิ์แล้วจึงลุกขึ้นยืน ผ้ากันเปื้อนสกรีนชื่อร้าน สวรรค์ชั้นเจต ปรากฏเต็มตาจนเตือนสติผม

“เออ นายยังไม่ได้ตอบเลยว่า จะไปช่วยขนของที่บ้านผมหรือเปล่า วันเสาร์นี้ ว่างหรือเปล่า”

เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า

“ผมต้องซ้อมกีฬา แต่ถ้าไม่มีคิวซ้อมร่วมกับทีมก็คงว่าง”

“สักห้าพัน โอเคเปล่า” ผมรีบเสนอจำนวนเงินค่าแรงให้ หวังกระตุ้นเขารีบตัดสินใจ พี่เจตจะต้องยอมรับในฝีปากเจรจาของนักธุรกิจแบบผมแน่ๆ

“ห้าร้อย” เขาต่อรอง ผมนี่ถึงกับต้องกะพริบตาตอบกลับ “ถ้าไม่ได้ราคานี้ผมไม่ทำ”

เขาหันหลังพร้อมจะสละงานที่ผมเสนอ

ผมกำลังอ้าปากว่า สองพันห้า ก็ดูเหมือนเขาจะอ่านความคิดผมออกรีบพูดแทรกว่า

“งานใช้แรงงานแค่ขนของ ไม่ต้องจ่ายถึงห้าพันหรอก ถึงนายจะรวยก็จริง แต่เงินไม่ได้ช่วยเยียวยารักษาทุกอย่างได้เสมอไป ถ้าไม่ยอมในราคาห้าร้อย นายไปหาคนอื่นเถอะ”

“โอเค ห้าร้อยๆ” ผมรีบร้องรั้งไว้ กลัวพี่เจตจะต่อสายมาด่าในภายหลังว่า ภารกิจลับถูกผมทำพัง

“อีกอย่างอย่าได้ไปเสนอเงินมากมายให้ใครแบบนี้อีก นายไม่เคยรู้จักเขา อย่าทำเหมือนเข้าใจเขาดี เพราะบางทีสิ่งที่หยิบยื่นให้โดยไม่หวังผลตอบแทน มันจะทำลายจิตสำนึกดีๆของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว”

ผมพยายามพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังสับสนอยู่ ครอบครัวที่ผมเติบโตมาไม่เห็นว่าการใช้เงินฟุ้งเฟ้อเป็นเรื่องหน้าอาย ในเมื่อเงินนั้นเป็นสิ่งผลิดอกออกผลมาจากน้ำพักน้ำแรงของเราแล้วก็ควรใช้อย่างเต็มที่ ทว่าคำพูดของคนคนนี้ชี้อีกด้านหนึ่งว่า เงินจะกลายเป็นอาวุธทำลายด้านดีๆของคนอื่น ผมจึงต้องกลับมาย้อนคิด ผมได้ทำแบบนั้นไปบ้างหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องค่าแรงที่มากจนเกินไปนั้นผมขอยอมรับผิดเอง ไม่คิดว่าความหวังดีจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ปรารถนา

ผมลุกขึ้นยืน รอยผื่นแดงค่อยๆจืดจางลง

“เดี๋ยวผมไปส่ง”

เขาจ้องผมกลับราวกับคำพูดผมฟังดูไร้สาระ

“ขอเข้าห้องน้ำนะ” ขามหันซ้ายมองขวาก็เห็นประตูห้องน้ำ กำลังจะเดินเข้าไปแต่ก็ยับยั้งฝีเท้าไว้ถามว่า “นายมีผ้าขนหนูกับเสื้อกางเกงที่ไม่ใช้แล้วหรือเปล่า”

ผมคิดว่าผมมีนะ น่าจะพับไว้ในตู้เสื้อผ้า ผมกำลังเดินไปหาให้เขาก็สำนึกขึ้นมาได้ว่า ทำไมผมถึงต้องทำตามที่อีกฝ่ายร้องขอ จึงถามกลับ

“นายไม่ให้ผมไปส่งเหรอ”

เขาถอดเสื้อยืดสีดำออก บ่งบอกว่าต้องการจะอาบน้ำ หนำซ้ำกำลังปลดผ้าคาดเอวเช่นเดียวกัน เผยหุ่นอย่างคนออกกำลังกายมาทุกวัน ผมกะพริบตาจดจ้องสัดส่วนของเขา จู่ๆเจ้ามะเขือยาวของผมก็ถูกปลุกขึ้นมาจนต้องทรุดนั่งลงบนเก้าอี้โซฟา

เขาตะโกนกลับมาว่า

“พรุ่งนี้วันเสาร์”

ผมเอื้อมหยิบหมอนอิงมาปิดเป้ากางเกงแล้วยืนขึ้น จริงด้วย

“ขอนอนนี่นะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปรับไปส่ง”

- - - - - - - - - - - - - - -

TBC.

พูดคุย

เอาล่ะสิ ยังไงนี่
ขอบคุณที่คุณสนใจนะครับ ฝากติดตามเรื่องราวตอนถัดไปด้วยนะครับ

o13
 :katai2-1:
 :pig4:
:hao5: :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-08-2019 15:07:59 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คือกาลหยิบไปผิดคนหรือว่าคิมบอกกาลว่าชื่อขามกันแน่นะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 7




KIM’s Talk

ผมจำเป็นต้องยืมชื่อ ขาม ใช้เอาตัวรอดไปก่อน

หากกาลเกิดจำน้ำเสียงผมผสมกับชื่อคิมได้ ความลับที่ผมใส่หน้ากากไปหาเค้าคงแตกแน่ๆ ผมไม่พร้อมจะเปิดเผยตัวตนกับเขาในตอนนี้ ผมไม่คิดจะปิดบัง แต่เหตุการณ์มันพุ่งเข้าหาผมรวดเร็วเกินกว่าจะคิดหาทางออกได้ทัน พอเขาหันรถเลี้ยวเข้าสวนรุกขชาติ สถานที่ขึ้นชื่อเรื่องมีคนแวะมามีซัมติงกันค่ำๆมืดๆ จิตใจผมก็คิดเตลิดไปต่างๆ นานา กลวิธีที่ไอ้ก้านมันบอกเคล็ดลับ ผมคงสะดุดเท้าทำหล่นไว้แถวหน้าบาร์พี่เจตแน่ๆ ผมไม่พร้อมจะทำเรื่องอย่างว่า พอสบโอกาสก็เปิดประตูหนีออกมาทันที
กว่าผมจะรวบรวมสติได้ก็ตอนเห็นกาลมีผื่นแดงลุกลามหลังมือ ผมคิดแต่จะพาเขาไปหาหมอ พออีกฝ่ายบอกว่ามียาแก้แพ้อยู่คอนโดฯ อารมณ์เลือดร้อนจึงลดทอนลง

ใช่ ผมโกรธ โกรธที่เขาไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง บวกกับทำตัวเหมือนคุณชายเที่ยวใช้เงินฟาดหัวคนอื่นไปทั่ว แต่ทำไมผมจะต้องโกรธขนาดนี้ ผมเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน

จุดประสงค์ที่เขาเอาเงินล่อหลอกผมถึงห้าพัน เพียงแค่ต้องการคนช่วยขนของ ไม่ใช่จ้างวานให้ทำเรื่องอย่างว่า ทำให้ผมใจเย็นขึ้น นายกาลไม่มีวี่แววว่าจะเป็นโรคสไตเรียซิส1 (satyriasis) ต้องการการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศตลอดเวลาอย่างที่ผมเดาตอนเขาชวนขึ้นรถ แต่เป็นภารกิจว่าจ้างขนของ ทว่าด้วยเงินตอบแทนมากเกินพอดีทำให้ผมยืนกรานต่อรองในราคาสมเหตุสมผล
 
สภาพกาลไม่ได้เมามายอย่างตอนผมเจอเมื่อสองคืนก่อน ถือว่าเปลี่ยนมุมมองผมไปโดยสิ้นเชิง ไอ้ขี้เมาหน้าเศร้าคนนั้นคงเป็นด้านอ่อนแอ ทว่ารูปลักษณ์อย่างคุณชายอนันตกาล ดูมีมาด วางตัวให้รู้ว่าเขามีฐานะสูงกว่าผมหลายร้อยเท่า ราศีจับอย่างกับลูกเศรษฐีนั้นเปล่งประกายจนผมจำเป็นต้องหลบตา

ไม่ควรจะมีใครหักอกคนคนนี้
ผู้หญิงเจ้าของสร้อยข้อมือเส้นนั้น ทำไมถึงทำร้ายเขาได้ลงคอ

“นายจะนอนที่นี่?” กาลยกคิ้วถามผม

ผมเตรียมปลดเข็มขัด รู้สึกเหนียวตัวเพราะเหงื่อออกตอนวิ่งหนี จู่ๆ ผิวหน้าเฉยราบเรียบของกาลก็เกิดระเรื่อแดง เขาเอาหมอนอิงปิดเป้ากางเกงตัวเองไว้ ทำให้ผมต้องยกยิ้มมุมปาก หรือนายจะเป็นโรคสไตเรียซิสกันแน่

ผมคิดจะแกล้งเอาคืนเขาที่คิดใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย คืนก่อนก็ใจป๋าให้ทิปผมนอกรอบอีก นิสัยไม่ดีมากๆ

ระหว่างกำลังถอดเข็มขัดรั้งกางเกงยีนออก ผ้าขนหนูผืนขาวก็ปลิวมาจากไหนสักแห่ง คลุมหัวผมจนมืดมิด

“นายนอนบนโซฟานะ”

ผมดึงผ้าขนหนูพันรอบเอว ก่อนจะรูดกางเกงลง คะเนดูว่าโซฟาพอดีกับตัวผม ไม่ได้เป็นปัญหา แต่ใจอยากจะแกล้งกาลมีเป็นทุนเดิมยังไม่สมแค้น ปากก็บอกไปว่า

“ผมขอนอนบนเตียง”

“หะ” ทีท่าตกใจหลุดมาดคุณชายจนหมด เขาหน้าซีดอย่างกับไก่ต้ม แทบไม่ชายตาแลมองผมในสภาพมีแค่ผ้าขนหนูพันท่อนล่าง ก่อนจะสาวเท้าแง้มตู้เย็นแล้วคว้ากระป๋องเบียร์เปิด

ผมรีบไปคว้าเครื่องดื่มในมือเขา อีกฝ่ายจ้องหน้าผมเหมือนตกใจแต่ก็ไม่ได้ดึงกลับ

“นายจะดื่มเหรอ เอาสิ” กาลปล่อยเบียร์ให้ผม “กระป๋องละ 50 นะ”

เขายักคิ้วให้ผมหนึ่งจึ้ก แล้วจึงกลับไปนั่งโซฟา หยิบรีโมทเปิดทีวีจอโค้งดูรายการวาไรตี้ตลก

คิดจะเอาคืนผมที่ตำหนิว่าอย่าได้เที่ยวเอาเงินฟาดหัวคนอื่นสินะ ผมมองเขาแล้วยกดื่มจนหมดกระป๋อง กลับไปหยิบกระเป๋าตังในกางเกงยีน มีธนบัตรยี่สิบอยู่สามใบ จึงวางลงบนโต๊ะกระจกหน้าเจ้าของห้อง ผมแบมือหวังได้รับเงินทอน

“ผมไม่มีเศษเหรียญหรอกนะ ถือว่าเป็นค่าน้ำค่าไฟไปแล้วกัน”

จะเอาแบบนี้ใช่ไหม ได้ ผมเริ่มสนุกขึ้นมาแล้วสิ ผมกระชากประตูตู้เย็นแล้วงัดฝากระป๋องเบียร์ยกดื่มรวดเดียวหมด มือซ้ายถือโทรศัพท์ไว้ร้องถามหาเบอร์พร้อมเพย์ของเจ้าของเบียร์ เขานิ่งไปชั่วขณะก่อนจะบอกเลขสิบหลัก ผมจัดการจ่ายค่าเบียร์ให้ทีละกระป๋อง กระทั่งเสบียงแอลกอฮอล์ในตู้เย็นลดหายไปเกือบครึ่ง ผมก็เริ่มรู้สึกว่าผ้าขนหนูพันรอบเอวเริ่มไม่มั่นคง ขยับพันแล้วพันอีก ผมอาศัยด้านข้างตู้เย็นเป็นเสาหลักยึดเหนี่ยว

นายกาลยังไม่มีท่าทีจะร้องห้ามปรามให้ผมหยุดดื่ม เขาจ้องหน้าจอโทรทัศน์สลับกับหน้าจอโทรศัพท์ หากผมจ่ายค่าเบียร์จะมีข้อความส่งแจ้งเตือนเขา คืนนี้ทำไมมันร้อนและก็ยาวนานแบบนี้

“พอใจหรือยัง” เขาตวัดดวงตามองผม ผมคิดว่ายังดื่มได้อีก กำลังจะหยิบอีกกระป๋อง “พรุ่งนี้นายต้องไปช่วยขนของ อย่าลืมสิ” กาลลุกขึ้นห้าม ลมหายใจผมร้อนอย่างกับไอน้ำเครื่องทำน้ำอุ่น กลิ่นน้ำหอมของกาลผสมกลิ่นเบียร์กลับกลายเป็นกลิ่นยั่วยวนแปลกๆ

“เฮียเจตต้องด่ากูแน่ๆ” กาลพึมพำงึมงำเบาๆ ผมจับใจความได้แค่คำว่า เจตๆ สักอย่าง

“พี่เจตมาตามผมเหรอครับ โทษทีพี่ พรุ่งนี้ผมจะไปใช้แรงโดยไม่เอาตัง แต่วันนี้ผมร้อนแล้วก็ง่วงแล้วครับ”

“ตอนกูเมา กูเป็นแบบนี้เปล่าวะ” นายนั่นพยายามพยุงตัวผมนั่งลงบนโซฟา แต่ใจผมอยู่ที่เตียงสีขาวก็ขืนตัวไว้

“เตียง”

“ไม่”

“เตียง” เหมือนมีหลุมดำรอดูดผมอยู่บนเตียงนุ่มนิ่ม

“โซฟา”

“โซเตียง” ลิ้นผมเริ่มรวน

เขาหัวเราะ ยิ้มทั้งปากและดวงตา จนผมพยายามลืมตาจับจ้องมองให้ชัด

ใครกันนะที่ยอมทิ้งรอยยิ้มและดวงตาแบบนี้ไปได้

ผู้หญิงประเภทไหนกันที่บอกเลิกรักเขา

แล้วผู้ชายอย่างผมมีสิทธิ์จะมองรอยยิ้มของเขาหรือเปล่า

“โซเตียงก็โซเตียง”

ผมตัวหนักแต่เขาก็พยุงผมพาดบ่าได้ไม่สั่นคลอน เขาปล่อยตัวผมลงนอนบนเตียงนุ่ม มันมีหลุมดำดูดผมไว้อย่างที่คิดจริงๆ กาลเห็นสภาพผมแล้วสั่นหน้า พยายามจะมัดปมผ้าขนหนูให้แน่นไม่เลื่อนหลุด ประจวบกับมือเขาคงสั่นหรือตื่นเต้นประหม่าอย่างใดอย่างหนึ่ง ปลายนิ้วจึงเกี่ยวก้อยโดนน้องชายผมเข้าโดยไม่ตั้งใจ เจ้าตัวชักมือกลับสู้ปกปิดความผิดพลาด แต่ส่วนนั้นของผมมันตื่นขึ้นทันทีราวกับไฟเจอน้ำมัน

“เฮ้ย”

บางสิ่งบางอย่างกำลังดันเนื้อผ้ากางเกงชั้นใน จนการขยับไหวของผ้าขนหนูแจ้งปรากฏการณ์ธรรมชาติเต็มตา เขาเหลือบมองผมก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่เห็น ‘ปรากฏการณ์ธรรมชาติ’

“จะไปไหน” ผมคว้ามือเขาแล้วถามเสียงแห้ง

“หาที่นอน นายนอนตรงนี้แหละ”

“เอาเบียร์อีก” ผมอยากเมากว่านี้ ไอ้เจ้าปรากฏการณ์ธรรมชาติจะได้สงบลง

“หมดแล้ว” แน่ะ มีการโกหก ผมเห็นนะว่าเขาไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง

“เอาอีกๆ” ผมดิ้นพล่านสะบัดเท้าเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจ ฝ่ายเจ้าของห้องเกรงปรากฏการณ์ธรรมชาติจะเปิดเผยต่อสาธารณชนก็จับเท้าผมไว้ พอดีกับจังหวะออกแรงเกิดเหนี่ยวรั้งผ้าขนหนูซึ่งมัดปมไว้ไม่ดีหลุดติดมือนายกาลร่นไปกองอยู่ปลายเท้า เขาทำตาโตกับผลงานชิ้นยอดอันผิดพลาด

“เชี่ย”

เขาสบถหน้าตาบ่งบอกถึงหายนะ ผมใช้แขนดันตัวเองลุกนั่ง

“เอา...”

“โอเคๆ” กาลยอมตามคำขอผม แต่ผมไม่ต้องการเบียร์เสียแล้ว อารมณ์บางอย่างภายใต้ส่วนตื่นตัวต้องการการปลดปล่อย ผมคว้าแขนเขาไว้ กาลกลับไปทำหน้าซีดเหมือนไก่ต้มอีกครั้ง เขากะพริบตาถี่กระชั้น

“เอากระดาษทิชชูมาให้ที”

เจ้าของเตียงคว้าทิชชูยื่นให้ทั้งกล่อง ยิ้มแหยๆ ผมหยิบมาสองสามแผ่นแล้วลุกยืนขึ้นโงนเงน เขาจะมาช่วยแต่ก็ตัดสินใจนั่งอยู่กับที่ดีกว่า ผมโซซัดโซเซสู่ประตูห้องน้ำแล้วปิดเสียงดังปัง

ผมต้องจินตนาการถึงสาวสวยสักคน อกเป็นอก หน้าเป็นหน้า สะโพกเป็นสะโพก อืม โอเค ชัดเจนละ ขณะผมรีบเร่งหมุนวาล์วฝักบัวกลบเสียง พลางปลดกางเกงชั้นในออก ชักน้องชายด้วยมือหนึ่ง อีกมือก็พยายามลูบไล้ลำตัวกระทั่งหยุดอยู่ปลายยอดอก บีบๆ เขี่ยๆ กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ


จู่ๆ ประตูห้องน้ำก็เปิดผัวะ ชิบหาย ผมลืมล็อกเหรอ

กาลเดินเข้ามา เขากะพริบตาจ้องมองการกระทำทางเพศของผม ไอน้ำร้อนเกาะกระจกเป็นฝ้ากั้นกางโซนอาบน้ำ ละอองแห่งความร้อนแทรกอยู่ในห้วงอากาศ หัวผมว่างเปล่า แทนที่ส่วนกึ่งกลางลำตัวจะห่อเหี่ยวเมื่อเห็นเขาเข้ามาขัดจังหวะ ทว่ากลับผงาดง้ำพร้อมทักทายมีสัมมาคารวะ

เขาคงร้อนเลยถอดเสื้อเชิ้ตออก เผยผิวขาวจัด ไม่เพียงแค่นั้นยังค่อยๆปลดกางเกง แม้จะรัดแน่นแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอุปสรรคแต่อย่างใด ในที่สุดก็เหลือชิ้นส่วนสุดท้ายคือชั้นในบ็อกเซอร์สีดำ เขาก้าวข้ามเข้ามาในโซนอาบน้ำที่ผมประคองน้องชายอยู่ กาลยิ้มมุมปาก ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จับมือผมอีกข้างให้ช่วยดึงบ็อกเซอร์ลง ผมทำตามโดยไม่อิดออดแต่อย่างใด ดูเหมือนพวกเราสองคนจะสื่อสารกันทางโทรจิต เพราะทันทีที่เขาเขี่ยกางเกงชั้นในพ้นตัวแล้ว ก็จรดปากลงบนยอดอกผม สองมือก็ช่วยปลุกปล้ำน้องชายของสองเราเป็นจังหวะพร้อมเพรียง

“นาย อืม...” ผมยอมรับในรสลิ้นเชี่ยวชาญของเขา

เมื่อลิ้นร้อนขบยอดอกสอดประสานกับส่วนแข็งขืนเป็นจังหวะสุขสมลงตัว ผมแทบจะไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่ใช้มือช่วยพยุงกายให้ยืนหยัดอยู่ได้ในท่ายืน ครั้นถึงปลายสุดห้วงอารมณ์ น้ำสีขุ่นก็ทะลักพุ่งเปรอะเปื้อนมือกาล

“นายเสร็จแล้ว งั้นช่วยผมหน่อย” เขากระซิบริมหู “เป็นเมียผมนะ”

   
เงาภาพจินตนาการละลายหายไปกับไอร้อน น้ำเชื้อผมเลอะเทอะพุ่งกระฉูดถึงพนังกั้น ทิ้งคราบแสนรักไว้เต็มพื้นเปียกชื้นพอๆกัน แต่ภาพมโนตัวช่วยของผมที่เริ่มต้นด้วยสาวสวยทรงดีกลับกลายเป็นนายกาลทรงแน่นเสียได้

ซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรขนาดนี้ ผมเสร็จได้เพราะจินตนาการถึงเขาเหรอเนี่ย ไอ้คิมหนอ ไอ้คิม


ผมงัวเงียสะลึมสะลือเพราะรู้สึกว่ามีอวัยวะหนึ่งตื่นก่อนเพื่อนเหมือนเช่นทุกเช้า อืม วันเสาร์ คงไม่ต้องรีบตื่นหรอกลูกรัก นอนต่อกันนะ

แต่ลูกชายหรือน้องชายสุดหวงถูกผิวเนื้อนูนแน่นขยับเบียดเสียดสีไปมา ผิดต่างจากทุกเมื่อเชื่อวัน ผมเบิกตาขยายกว้าง ข้างตัวผมเป็นร่างชายหนุ่มคนหนึ่งนอนหันหลังให้อยู่ ท่อนบนของเขาเปลือย แต่ท่อนล่างคลุมทับไว้ด้วยผ้าห่มสีขาวผืนหนา
นี่ไม่ใช่ห้องผมนี่นา 

เหตุการณ์เมื่อคืนไหลย้อนกลับมาเพียงชั่ววินาที

“กาล”

“ครับ เฮ้ย” เขาสะดุ้งตื่นเต็มตา ผมหยิบผ้าห่มปกปิดส่วนบนไว้ราวกับสาวน้อยเสียบริสุทธิ์ ส่วนเขาสวมกางเกงวอร์มขายาวกระโดดไปยืนเกาะประตูกระจกระเบียง “นายมานอนบนเตียงได้ไง”

ผมชี้นิ้วเข้าหาตัว จำได้ว่าหลังจากช่วยตัวเองในห้องน้ำแล้วก็เลยรวดอาบน้ำไปด้วย ออกมาก็เจอเสื้อผ้าชั้นในวางอยู่ตรงโซฟา อาการมึนเมาถูกสายน้ำชะล้างไปบ้างส่วนหนึ่ง จึงแต่งตัวแล้วอาศัยโซ(ฟา)เตียงเป็นที่ซุกหัวนอน แต่ทำไมถึงได้มานอนเคียงคู่กับนายกาล ผมก็จำไม่ได้เสียด้วย หรือผมจะละเมอ

“เออ ช่างเถอะ” เขาเลิกทำหน้าตื่น สร้างลุคคุณชายอนันตกาลแล้วออกคำสั่ง “นายไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน ขนของตอนเช้าๆนี่แหละ น่าจะโอเค”

อ้อ จริงสิ วันนี้ผมต้องทำหน้าที่เป็นลูกจ้างกาลหนึ่งวัน แต่ดูเหมือนผมจะลืมอะไรไปบางอย่าง

เรื่องเช็คตารางซ้อมกีฬาเหรอ ไม่ใช่นะ ผมตรวจทานดีแล้วว่าไม่มีซ้อมกับทีม

หรือเรื่องนัดเทสกล้องกับมะขาม จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้ตกลงกับเขาแน่ชัดว่าจะไปหรือไม่ไป ค่อยไว้โทรยกเลิกทีหลัง หรือจะเป็น...

“กางเกงชั้นในที่นายใส่น่ะ ผมยกให้เลยละกัน” กาลเหมือนล่วงรู้ความคิดผม เออใช่ เรื่องนี้แหละ ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนเขาจะพูดเสริมว่า

“ผมใส่ตอนช่วยตัวเองครั้งสุดท้ายแล้วคราบมันเลอะ ซักไม่ออก เลยไม่ได้ใส่อีก ขอยกให้นาย”

กูไม่เอาเว้ย ทันมั๊ยวะเนี่ย   


1สไตเรียซิส : อาการผิดปกติในการควบคุมพฤติกรรมในเรื่องเพศของผู้ชาย

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

TBC.


พูดคุย

คือกาลหยิบไปผิดคนหรือว่าคิมบอกกาลว่าชื่อขามกันแน่นะ
ตอนล่าสุดนี้คุณคงได้คำตอบแล้วนะครับ ที่แท้ก็เป็นนายคิมหันต์นั่นเอง ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2019 18:05:54 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ยังเค้ายังไม่ได้​กันไอ้เราก็ลุ้น​ ตอนหน้าช่วยขนของนี่เหมือนพาเข้าบ้านกรายๆป่าวคะ​

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 8



KALN's Talk


ผมไม่ได้กลับบ้านใหญ่มานานเท่าไหร่แล้ว

พอลองนึกๆ ดู คงเป็นครั้งที่ผมพาพราวประดับกลับไปเยี่ยมคุณย่า

นั่นก็ผ่านมาเกือบเดือน

พ่อผมไม่แม้แต่โทรศัพท์หรือส่งข้อความมาถามผมแม้แต่น้อย ว่าผมหายหน้าหายตาไปไหน มีแค่เลขาฯ วัยกลางคนของพ่อ ชื่อ กฤษดนัย เป็นทูตเจรจาห้ามศึกของผมกับพ่อเท่านั้น

ล่าสุดคุณกฤษก็ย้ำว่าผมควรกลับบ้านใหญ่บ้าง แต่ผมเลือกจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงว่าติดเรียนซัมเมอร์ มีเรียนแทบทุกวัน งานที่ต้องส่งอาจารย์ตามแต่ละรายวิชาก็มากตามไปด้วย

เขารู้อยู่แก่ใจว่าผมกับพ่อไม่ลงรอยกัน แต่เลขาฯ คนนี้มีดีที่เห็นว่าหน้าที่สำคัญของตนนอกจากงานบริษัทแล้ว ยังรวมถึงเป็นกาวผสานรอยร้าวของเจ้านายและบุตรชายด้วย

คุณกฤษส่งข้อความมาบอกว่าพ่อผมมีประชุมช่วงเช้าที่บริษัท ผมตอบขอบคุณ เป็นอันว่าหนทางสะดวกไปเปลาะหนึ่ง ราวกับเขาบอกผมเป็นนัยๆ ว่าจะทำอะไรก็รีบทำ ผมจึงจะหนีบพนักงานเสิร์ฟของร้านนามชื่อว่า ขาม ติดสอยห้อยตามกลับบ้านไปขนของตามที่ตกลงกันไว้ในราคา...ห้าร้อย

ผมรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเหนื่อยบวกค่าเสียเวลาสำหรับเขา หากจะให้มากกว่านี้ เจ้าตัวก็ยืนกรานแถมแอบด่าผมพ่วงไปด้วยว่าอย่าคิดเอาเงินไปฟาดหัวคนอื่น

เขามีดีกว่าที่ผมคิด

ไม่เพียงแค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นที่ผมเดาว่าเขามีของดี หน่วยก้านเขาเหมาะเป็นนายแบบ น่าจะทำงานหาเงินจากงานประเภทนั้นได้ไม่ยาก แต่ก็เลือกจะมาอดหลับอดนอนสมัครทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านเฮียเจต

"มึงคิดว่าไง ไอ้กาล"

เฮียเจตถามผม ตอนคัดเลือกพนักงานช่วงใกล้จะเปิดร้านใหม่ๆ ส่วนใหญ่คงมีแต่เด็กเส้นแล้วก็มีประวัติชื่อเสียงในวงการแอลกอฮอล์พอตัว อย่างน้อยมากกว่าครึ่งก็น่าจะมีประสบการณ์เรื่องอย่างว่ามาบ้าง งานในบาร์ถ้ามีหน้าตาดึงดูดแขกแถมแจกบริการน่าประทับใจ ไม่ใช่ใครๆ จะมีความอดทนทำได้ตลอดรอดฝั่ง ผมไม่อยากให้ร้านที่ผมทำร่วมกับเฮียเจตล้มไม่เป็นท่า เหตุว่าพนักงานร้านไม่เป็นมืออาชีพ

"ไม่เสี่ยงดีกว่าว่ะ พี่" ผมพูดจากใจจริง

เฮียเจตทำหน้าเหมือนมีใครผายลม ถ้าไม่ใช่ผมกับเฮียก็คงเป็นเมียสุดสวยของพี่แกแน่ๆ

"ไม่ใช่พี่นะ" พี่กวางทำหน้าตื่นโบกมือปฏิเสธเหมือนเข้าใจความคิดผม "อันที่จริงก็เป็นพี่แหละ"

หะ สรุปว่าพี่กวางแกผายลมจริงๆ เหรอ ถึงว่าพี่เจตทำหน้าแบบงั้น คือผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะไง

"พี่ไปเจอเด็กคนนี้ เห็นว่าท่าทางเอาเรื่องดีก็เลยแอบใช้เส้นสอดมาจนถึงรอบสุดท้าย น้องมันอาจไม่เคยมีประสบการณ์ทำงาน แต่คนเรามันจะมีประสบการณ์ได้ยังไงวะ ถ้าไม่มีใครให้โอกาส"

โอเค สรุปผมเข้าใจไปคนละเรื่องกับพี่กวาง นอกจากพี่แกจะไม่ได้ตดแล้วยังยอมรับเรื่องแอบนำเด็กเส้นเข้ามาอีก ไม่รู้ผมจะดีใจหรือเสียใจดี เอาเป็นว่าต้องดีใจที่พี่กวางยอมรับผิดเรื่องเด็กเส้น แต่ก็เสียใจที่พี่กวางไม่ได้ตดจนหน้าเฮียเจตเปลี่ยนไป

"มึงไม่โอเคตรงที่น้องมันไม่มีประสบการณ์ใช่ไหม" พี่เจตคงนั่งทางในดูใจผมออก

"คนนี้พี่จ้างเองก็ได้" พี่กวางทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ คือผมเป็นคนแพ้น้ำตาผู้หญิงไง แต่ถ้าผมจะบริหารร้านโดยต้องใช้ความรู้สึกส่วนตัวทุกครั้งคงล้มแน่ๆ จึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนสวมแว่นกันแดด

พี่กวางเริ่มร้องไห้ เฮียเจตไม่ได้พูดอะไรต่อ แกเคารพในการตัดสินใจของผม ผมทำเพียงแค่พูดขอโทษกับพี่ทั้งสองคนแล้วเดินออกมาจากออฟฟิตร้าน

บาร์สวรรค์ชั้นเจตตกแต่งพร้อมเปิดให้บริการในอีกสามวันข้างหน้า ผมหยิบกุญแจรถแล้วเดินมายังลานจอดรถ

ตอนนั้นผมยังเชื่อถือคำพ่อสอนทุกคำ ท่านบอกว่า

อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวมาใช้ในธุรกิจ

ตอนนั้นผมรักท่านยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง กระทั่งอีกไม่กี่เดือนต่อมาผมจึงได้รู้ความจริงจากปากแม่ที่กำลังจากผมไปตลอดกาลว่า พ่อไม่เคยรักแม่แม้แต่น้อย

"นาย..."

ผมชะลอเท้า หันเหลียวหลัง

ชายหนุ่มสวมชุดนักศึกษาผูกเนคไท บ่งบอกฐานะเฟรชชี่ปีหนึ่ง ผมมองเขาผ่านแว่นกันแดด

"โทษที พอดีผมเห็นกระเป๋าตังนายหล่นตอนหยิบกุญแจ" เขายื่นกระเป๋าเงินมาให้ ผมตบข้างกระเป๋ากางเกงที่ว่างเปล่า

"ขอบใจ" ผมพยักหน้ายิ้มให้ ขณะยื่นมือหยิบคืน ป้ายชื่อรับน้องสีเหลืองที่แขวนห้อยทับเนคไทไว้ กระตุ้นความทรงจำผมได้ทันที

คิมหันต์

ฤดูร้อน


"ผม...ขอโทษเฮียกับพี่กวางด้วยครับ"

"เรื่องวันนี้เหรอ เฮ้ย มึงไม่ต้องคิดมาก กูเชื่อในการตัดสินใจของมึงอยู่แล้ว อีกอย่างอีกวางมันก็ยอมรับว่าทำผิด มึงไม่ตัดสิทธิ์ตำแหน่งผู้จัดการร้านแล้วหาคนใหม่แทนก็นับว่าบุญหัวมันแล้ว" ถ้าพี่ไม่แอบนินทาเมียอยู่ก็คงกล่องเสียงมีปัญหา

"พี่จะรับคนที่ชื่อ คิมหันต์ ก็ได้นะครับ ผมมาคิดๆ ดู..." เสียงสตรีหวีดร้องดีใจแผดก้องจนผมต้องถือโทรศัพท์ออกห่างหู ผมอมยิ้มแล้วส่ายหน้า พี่กวางแน่ๆ

บุคคลที่ผมให้โอกาสในวันนั้นกำลังนั่งสวาปามไข่ดาว ไส้กรอก แซนวิชแฮมชีสที่ผมทำลวกๆ ให้ทานเป็นอาหารเช้า เขากินราวกับมันเป็นอาหารเลิศรส สลับกับดื่มนมเป็นขวดๆ

ผมเพิ่งรู้ชื่อเล่นเขา 'ขาม' แต่ผมรู้สึกชอบชื่อจริงมากกว่า

"คิมหันต์" เวร ผมว่าผมพูดในใจไหงกลายเป็นออกเสียงได้

เขาชะงักงันจากกิริยามูมมามเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าผมร่วมโต๊ะอาหารอยู่ด้วย ก่อนสำลักไอค่อกแค่ก ผมต้องลุกอ้อมโต๊ะไปลูบหลังเขาพลาง ยกน้ำดื่มให้เขาพลางจนอาการทุเลาลง

"ระ รู้ชื่อจริงกูได้ไง"

สรุปว่าสรรพนามผม-นาย คงไม่ต้องใช้แล้วสินะ ได้ๆ

"รู้แล้วกัน" ผมตอบผ่านๆ ยกจานอาหารไปวางในอ่างล้างจาน ผมปลดผ้ากั้นเปื้อนออกแขวนไว้บนตะขอ

จังหวะที่ผมหันตัวกลับมา จู่ๆ เขาก็ถือจานกระเบื้องเปื้อนซอสมะเขือเทศกะมาวางในอ่าง ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวนอกขอบเข็มขัดของผมก็ปาดคราบซอสที่เขากินเลอะเทอะเข้าให้ราวกับฟองน้ำ

"ชิบหาย"

เขาร้องแทนผม รีบเปิดก็อกน้ำดึงชายเสื้อออกจากกางเกงไปรองใต้น้ำ แล้วยังหวังดีเทน้ำยาล้างจานขจัดคราบให้ด้วย ไม่รู้ว่าคิมหันต์ตื่นเต้นหรือว่าไง แทนที่น้ำยาล้างจานจะพุ่งเพียงหยดสองหยดบนรอยเปื้อน กลับทะลักพ่นใส่ด้านหน้าเสื้อของผมจรดคอปก

"เฮ้ย" อันนี้ผมร้องเอง แต่ไม่ใช่ร้องเพราะตกใจรอยน้ำยาล้างจาน ทว่าเป็นอากัปกิริยาของแขกไม่ได้รับเชิญต่างหาก คิมหันต์มุ่งมั่นปลดกระดุมเสื้อผมออกอย่างชำนิชำนาญ รวดเร็วจนหมดเม็ดสุดท้าย เขาถอดเสื้อผมออกโดยไม่พูดไม่จาจนสำเร็จ ผมทำได้แค่เป็นหุ่นจ่าเฉยเท่านั้น

พอเสื้อผมไปอยู่ในมือเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้สติกลับคืนมา ดวงตาเอาแต่จ้องมองท่อนบนเปลือยเปล่าของผม จนผมเริ่มออกอาการเขินหน่อยๆ

"ขอเสื้อคืน" ไม่ใช่ประโยคคำสั่ง แต่เป็นคำขอร้อง

เขาทำเหมือนคำพูดผมทะลุหูซ้ายผ่านออกหูขวา

"ทำไมถึงต้องเป็นกู พนักงานทั้งหมดในร้านทำไมถึงเลือกกูไปช่วยมึงขนของ"

ความสนิทสนมเพียงชั่วข้ามคืนได้ย่นระยะช่องว่างของคนไม่รู้จักกันให้แนบชิดเป็นมิตรภาพมึง-กู

ผมเป็นคนซีเรียสกับกรณีมีคนอื่นมาทำทีขอตีสนิท หากไม่ใช่คนรู้จักหรือเพื่อนร่วมเรียนชั้นปี มียกเว้นรุ่นพี่รุ่นน้องบ้างนิดหน่อย หากไม่มีผลประโยชน์จะต้องข้องเกี่ยวกันแล้ว ผมไม่ขอสนทนาด้วย แต่นายคิมหันต์คนนี้ มีพันธะผูกพันตามสัญญาลูกผู้ชายของผมกับเฮียเจต ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นผมคงต้องขอเชิญออกนอกห้อง

"มึงน่าจะเหมาะกับงานนี้ กูรู้จักเฮียเจตเลยขอให้หาคนช่วย" ผมขยับก้นพิงขอบอ่างล้างจาน กอดอกอวดลำแขน ปิดแผงขายนมชมพู

นั่นเหมือนเป็นคำอธิบายที่เขาพึงพอใจ

ผมรู้สึกเปียกบริเวณกางเกงด้านหลัง หันไปอีกทีก็พบกับฟองน้ำยาล้างจานล้นขอบอ่างทะลักลงพื้นห้อง คนที่คิดเร็วกว่าผมคือคิมหันต์ เขาพุ่งเข้าหาผมแล้วเอื้อมแขนปิดวาล์วก็อกน้ำได้ทันท่วงที

ลมหายใจนายคิมหันต์กระทบริมขอบหูผม

แต่สองมือผมทำไมไปจับอยู่บนเนินก้นของเขาได้ ผมหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นระทึก

"ข...น"

ผมรีบดึงมือกลับ พยายามชี้นำภารกิจหลักที่จะทำในวันนี้ แต่นายคิมหันต์ยังโน้มกายแนบชิดตัวผมและไม่มีทีท่าว่าจะถดถอย

"ขนอะไร" เขากระซิบถามกลับ

สายตาเขาไล่จากใบหน้าผม ขยับเลื่อนลำคอลงมาถึงกล้ามอกกระทั่งผ่านแผงซิกแพค ก่อนหยุดอยู่บริเวณไรขนอ่อนๆ เหนือขอบกางเกงใน เขายกยิ้มร้ายกาจ ถามซ้ำอย่างเจ้าเล่ห์

"ขนอะไรน้า"

ผมรู้สึกจนมุมอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยถูกใครต้อนด้วยท่าที น้ำเสียง และแววตาแบบนี้มาก่อน จะเรียกว่าแพ้ทางหรือ ก็...คงใช่
ครั้งสุดท้ายที่ผมแพ้ทางด้วยกิริยาท่าทางแบบนี้ มันเกิดจากสาวสวยน่ารักอย่าง พราวประดับ แต่ทำไมจู่ๆ ผมถึงมาเกิดอาการกับนายคนนี้ได้

เฮียเจต ช่วยผมที


- - - - - - - - - - - - - - - - - -

TBC.


พูดคุย

ยังเค้ายังไม่ได้​กันไอ้เราก็ลุ้น​ ตอนหน้าช่วยขนของนี่เหมือนพาเข้าบ้านกรายๆป่าวคะ​
ยังครับ ต่างคนต่างเริ่มมีอิทธิพลทางเพศต่ออีกคน อิอิ
กว่าจะได้เข้าบ้านก็มีการ ขน อย่างอื่นเกิดขึ้นแทน เสียก่อน
แต่ตอนเข้าบ้านคงมาแน่ๆตอนหน้าฮะ





ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 9



KIM’s Talk

ผมคิดจะแกล้งเขา เอาคืนที่หลอกนำกางเกงชั้นในเปื้อนคราบน้ำกามมาให้ผมใส่ แต่ไม่คิดว่าความตั้งใจแก้แค้นเล็กๆน้อยๆจะปลุกส่วนที่ควรสงบตื่นขึ้นแทน

“ขนอะไรน้า”

พอผมทำทีเป็นเหลือบมองไรขนส่วนล่างของกาล อวัยวะส่วนสำคัญอันถูกปกปิดไว้ใต้เป้ากางเกงผมกลับขยับขยายจนกระทั่งกาลรู้สึกได้ถึงสิ่งมีชีวิตอื่นยื่นมาทักทาย เขาคงตะลึงในคำหยอกล้อของผมอยู่ แต่เมื่อเจ้าน้องชายผมอยากทำความรู้จักกาล เขาก็กะพริบตาก่อนจะก้มลงมองความผิดปกติ ทั้งท่วงท่าเราสองแนบชิดกันยิ่งกว่าคู่ผัวเมีย

“ถอยไปก่อน” เขาพูดราบเรียบ แต่สีหน้าบ่งบอกว่าเขินเต็มที่

ผมทำทีเป็นหยิบผ้าเช็ดมือด้านหลัง ตั้งใจจะเอามาซับน้ำที่หกเลอะเทอะ จึงอาศัยแนบลำตัวเบียดชิดแทบจะรวมร่าง น้องชายผมตื่นเต็มตาแล้วสินะ และผมก็รู้ว่าน้องของกาลก็ตื่นแล้วเหมือนกัน

“อยากให้กูช่วยมั๊ย” ผมเสนอทางแก้ อย่างน้อยก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เขาเองก็คงต้องการแบบเดียวกัน เจ้าของห้องทำหน้าเหมือนผมพูดเรื่องหน้าอาย เหล่สายตามองเคาเตอร์ห้องครัวอย่างกับจะช่วยทุเลาอารมณ์ได้

“ไม่” เขากัดฟันตอบ ไม่ยอมง่ายๆสินะ

“กูจะถามอีกที ให้ช่วยมั๊ย” ดูเหมือนนิ้วผมจะยังคว้าผ้าเช็ดมือไม่ถึงซักทีจึงเบียดร่างชิดเขายิ่งขึ้นเรื่อยๆ ผิวกาลขาวจนเกือบเท่าสีกระดาษ ผมจับจ้องด้วยสายตาเห็นแล้วอยากสัมผัสด้วย...ปากและลิ้น

ชิบหาย

ทำไมจู่ๆผมก็อยากลงลิ้นบนผิวของมิสเตอร์คลานได้วะ หัวนมอมชมพูที่เขาพยายามปกปิดไว้ด้วยการกอดอกโผล่วับแวมยามเจ้าตัวใช้กำลังแขนสู้ดันตัวผมออก กระตุ้นอาการอยากลงลิ้นของผมจนรู้สึกว่า น้องผมคงต้องการให้ผมทำแบบนั้นแน่ๆ ผมก็เลยไม่คิดถามขออนุญาตเขาแล้ว เจ้าตัวคงไม่มีวันเอ่ยปากสมยอมแน่ตามลักษณะนิสัย แต่ร่างกายบ่งชัดให้ผมช่วยปลดปล่อย ผมก็เลยถอดเสื้อยืดสีดำออกทางหัว

กาลกะพริบตาจ้องมองส่วนเปลือยของผมแล้วทำได้แค่อ้าปากค้าง

ผมยิ้มมุมปาก ชอบสินะ

อันที่จริงถ้าผมจะมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันสักคน กาลก็เหมาะจะเป็นครั้งแรกของผมมากๆ ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์ทางเพศอย่างล้นเหลือ ทั้งอาการดื้อดึงและขัดขืนนิดๆหน่อยๆ กระตุ้นอารมณ์ผมได้ดีนัก กะว่าจะแกล้งหยอกๆแค่เอาคืน แต่ทุกอย่างก็เลยเถิดมาขนาดนี้แล้ว อีกอย่างเจ้าตัวก็อารมณ์เตลิดพอๆกัน เรื่องขนของคงไม่สำคัญแล้วล่ะนะ ผมว่า เรื่องขน(ของ)ใต้ร่มผ้าน่าจะจำเป็นกว่า ณ ขณะนี้

ผมตัดสินใจปลดเข็มขัดเขาออกรวดเร็ว

“กางเกงมึงเปียก เปลี่ยนใหม่เถอะ” ผมให้เหตุผลข้างๆคูๆ เจ้าตัวปัดมือผมทิ้ง

“ไม่เปลี่ยน” ดื้อจัง

“จะเปลี่ยนกางเกง หรือเปลี่ยน...อย่างอื่น”

“อะ อะไร” เขาถามกลับ หน้าผมคงหื่นเต็มที่ จริงๆผมก็อยากตอบแทนค่าตัวผมตั้งแต่ตอนสวมหน้ากากมาหาเค้าแล้วแต่ไม่ได้โอกาสสักที หากตอนนี้ผมตอบแทนเขาได้บ้าง อย่างน้อยเงินจำนวนนั้นที่ผมรับไว้ก็จะไม่รู้สึกผิดมากเท่าเดิม จึงเหิมเกริมกล้าที่จะรุกเขาอย่างชนิดที่ว่า ถ้าเป็นสาวสวยป่านนี้คงระทดระทวยสมยอมผมไปนานแล้ว

“ก็เปลี่ยน...เป็นเมียกูไง”



“คิดอะไรอยู่”

ผมสะดุ้งตื่นจากฝัน กาลกำลังขับรถอยู่หันมามองผมถามอย่างจับผิด ผมเช็ดคราบน้ำลายมุมปากแล้วเกาศีรษะ สงสัยเมื่อคืนจะนอนน้อยบวกกับเมาเบียร์จนเก็บเอาภาพเหตุการณ์ ‘ซั่มซิงค์’ มาฝันต่อ จะว่ารู้สึกโล่งอกก็คงถูก ถ้าไม่ใช่เหตุการณ์ในฝันผมคงไม่กล้ารุกเขาขนานนั้นแน่ๆ นึกแล้วก็สมเพชตัวเอง

เรื่องราวต่อจากการซั่มซิงค์ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมฝันแม้แต่นิดเดียว พอผมบอกว่า ขนอะไรน้า เขาก็ยิ้มแล้วว่า ป่ะ ขนของกัน แล้วจึงฉวยเสื้อเชิ้ตในมือผมหายกลับไปในห้องแต่งตัว ก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดใหม่ ฉีดน้ำหอมเสียกลิ่นโชยไปทั่ว พอเห็นว่าผมยังไม่มีทีท่าจะเดินตามมาก็กวักมือเรียกเหมือนผมเป็นหมาน้อย ไอ้ผมก็กระดิกหางวิ่งเข้าหาเจ้าของโดยว่องไว
 
ไม่ใช่ละ ผมก็เลยต้องพลาดโอกาสเอาคืนแบบถึงพริกถึงขิงไปอย่างน่าเจ็บใจ แถมต้องใส่กางเกงในเปื้อนคราบรักของนายกาลติดตัวไปตลอดทั้งวันอีกต่างหาก

เขาเหล่ตามองผมชั่วขณะ เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับก็ยกแว่นกันแดดขึ้นสวมก่อนจะเหยียบคันเร่งพุ่งไปด้วยความเร็ว ผมแกล้งหลับต่อ แต่รู้สึกอยากหายตัวไปจากตรงนี้เสียจริง ถ้าเป็นสาวสวยสักคน เหตุการณ์ซั่มซิงค์คงเสร็จสมอารมณ์หมายอย่างที่ผมเก็บเอาไปฝันแน่ๆ



โอ้โห ผมจ้องคฤหาสน์ทรงสถาปัตยกรรมไทยผสมต่างประเทศ สไตล์ชิโนโปรตุกีสใหญ่โตอย่างกับวังเจ้านาย มีสนามหญ้า น้ำพุ รูปปั้นหินอ่อนประติมากรรมเทพ-เทพีของฝรั่งประดับประดาอยู่ริมทางเดิน กระทั่งรถจอดหน้าประตูใหญ่ กาลพยักหน้าให้ผมแล้วเปิดประตูลงไป ผมต้องรีบปฏิบัติตามโดยเร็ว เขาส่งกุญแจรถให้พนักงานแต่งสูทสีดำแล้วก้าวขึ้นบันไดด้วยความรวดเร็ว

“มึงอยู่ที่นี่จริงๆเหรอ” ผมถาม คือถ้านายรวยขนาดนี้ไม่ควรที่จะขนของย้ายออกหรอกนะ คงมีสาวรับใช้คอยปรนนิบัติพัดวีจนสุขสบายแน่ๆ

“บ้านญาติมั้ง” เขากวนตีนกลับ ผมทำได้แค่ร้องหึๆในลำคอ

กาลพยักหน้าให้หญิงรับใช้วัยกลางคนก่อนจะถามหาญาติผู้ใหญ่

“คุณย่าอยู่ที่ไหนครับ”

“สวนด้านหลังค่ะ คุณกาล”

เขามองผม แล้วพูดกับป้าคนเดิมว่า

“ป้าวิไลช่วยพาเขาขึ้นไปห้องผมทีนะครับ ส่วนมึงก็เอากระเป๋าเดินทางทั้งหมดออกมา เก็บของทุกอย่างที่เห็นในนั้นจัดเรียงใส่ทั้งหมด เข้าใจนะ”

ผมว่าผมเข้าใจก็เลยพยักหน้ารับ

กาลเดินแยกไปทางประตูด้านหลัง ส่วนป้าวิไลยิ้มให้ผมแล้วเชื้อเชิญขึ้นบันไดโค้งสู่ชั้นบนของคฤหาสน์หลังงาม ชั้นบนมีห้องอยู่หลายห้อง ป้าวิไลยิ้มให้ผมแปลกๆก่อนที่แกจะไขประตูแล้วออกปากถามผมว่า

“คุณเป็นแฟนใหม่คุณหนูหรือคะ”

เฮ้ย

ผมกำลังยิ้มรับคำถาม สะดุ้งแทบหงายหลังจนเกือบชนแจกันลายครามใบใหญ่ อะไรดลใจให้คุณป้าคิดว่าผมคบหานายนั่นเป็นแฟน แต่ไหนๆก็เข้าใจผิดแล้ว ผมอยากจะรู้ว่าเคมีระหว่างผมกับเขาเข้ากันดีขนาดไหนก็เลยสวมรอยแอบถามต่อเนียนๆว่า

“ป้าว่าผมกับคุณหนูของป้าใครเป็นฝ่ายรุกใครเป็นฝ่ายรับ”

หญิงวัยกลางคนย่นคิ้วนิดนึงก่อนจะป้องปากถึงบางอ้อ หัวเราะอารมณ์ดีมีรอยตีนกาปรากฏตามขอบปากและหางตา

“คุณก็แหม มาให้ป้าอายุปูนนี้เดาเรื่องอย่างว่าได้ยังไงกันคะ”

“พูดตามความรู้สึกป้าได้เลยครับ ผมรับได้” ผมยืดอกพกความมั่นใจเกินร้อย

“ฝ่ายรุกน่ะก็ต้องเป็นคุณกาลสิคะ”

ผมนี่หมดคำพูดเลยครับ เมื่อไม่ได้คำตอบสมใจตัวก็เลยเฉลยป้าวิไลว่า ผมกับกาลไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่นายจ้างกับคนขนของเท่านั้น

“เอ จริงเหรอคะ” ดูเหมือนคุณป้าคงหาว่าผมพูดปด

“ครับ”

“ปกติคุณกาลเธอไม่เคยพาเพื่อนฝูงหรือใครอื่นเข้าบ้านใหญ่เลยนะคะ นอกจาก...คนรัก”

งานเข้าแล้วมั๊ยล่ะผม

“ว่าแต่คุณกาลเธอเลิกรัก...”

“อะแฮ่ม” คุณหนูกาลของป้าเดินไอนำหน้ามาแต่ไกล หญิงวัยกลางคนสงบปากคำแล้วยิ้มให้ผมจึ้กนึงก่อนจะจากไป

“ทำไมยังไม่รีบไปเก็บของ” เขาออกคำสั่งพ่วงคำถาม

“เออๆ รู้แล้วน่า” ผมผลักประตูห้อง รำคาญสายตามันจริงโว้ย ราวกับรู้ว่าในสายตาคนนอก ภาพลักษณ์ผมกับเขาหากถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคู่รักแล้ว นายนั่นมีราศีฝ่ายสามีมากกว่า สงสัยจะต้องฟิตออกกำลังกาย เน้นกล้ามไหล่ให้กว้างมากกว่านี้ซะแล้ว
นี่มันห้องนอนหรือห้องเก็บสะสมภาพวาดกันแน่ มีทั้งที่ใส่กรอบและไม่ได้ใส่วางอยู่ทั่ว แล้วทุกรูปส่วนใหญ่เป็นภาพทิวทัศน์ท่ามกลางหิมะฤดูหนาวทั้งสิ้น

“เก็บเฉพาะรูปที่ใส่กระเป๋าเดินทางได้”

เขาชี้จุดกระเป๋าจำนวนหลายใบวางอยู่ ในตู้เสื้อผ้ามีเพียงเสื้อยืดและเสื้อเชิ้ตสีขาว รวมถึงกางเกงสีดำสองสามตัวเท่านั้น ดูเหมือนว่าคุณหนูของบ้านแทบไม่เคยใช้ชีวิตค้างคืนในห้องนี้แต่อย่างใด เหมือนกับใช้เป็นห้องเก็บของมากกว่า

ผมมัวแต่จ้องความสวยงานบนภาพวาดเหล่านั้นจนถูกสายตาเจ้าของห้องเพ่งเล็งแกมบังคับ เขาแทบไม่แตะต้องผลงานภาพวาดชิ้นอื่นใด ได้แต่ออกความเห็นว่าควรเอาภาพไหนยัดใส่กระเป๋าไปบ้างเท่านั้น

เสียงเคาะประตูขัดจังหวะการทำงานของผมกับกาล

งานเก็บของครับ อย่าคิดมาก แต่ดูเหมือนป้าวิไลผู้ถือถาดใส่น้ำเย็นบรรจุเหยือกแก้วลายสวยจะไม่ได้คิดอย่างงั้น หลังผมโกหกว่าเป็นแฟนกาลแต่คืนคำกลับลำเอาตอนท้ายว่าไม่ใช่ คุณป้าแกเหมือนฝังใจในสถานภาพแรกมากกว่า สายตาและรอยยิ้มซ่อนเลศนัยมีแค่ผมเท่านั้นที่ล่วงรู้ แกคงยังคิดว่าผมเป็นเมียกาลแน่ๆ

“น้ำเย็นๆค่ะ คุณกาล”

ผมเก็บรูปภาพใส่กระเป๋าได้เกือบครึ่งแล้วรู้สึกคอแห้งพอควร ก็เลยลุกขึ้นมารับน้ำดื่มโดยที่นายกาลเอาแต่เขี่ยๆโทรศัพท์ ก่อนจะขอบใจป้าวิไลโดยแทบไม่เงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสาร

ป้าวิไลจึงอาศัยจังหวะนั้นกระซิบบอกผมว่า

“คุณท่านอยากเห็นหน้าแฟนหนุ่มของคุณกาลค่ะ หลังจากป้าเล่าให้เธอฟัง คุณช่วยพูดให้คุณกาลนอนค้างคืนที่นี่ได้ไหมคะ”

ผมสำลักน้ำตั้งแต่คำว่า ‘แฟนหนุ่ม’ แล้ว แต่ป้าวิไลก็หาได้สนใจไม่กระทั่งกล่าวจบประโยคจึงช่วยลูบหลังผม กาลวางโทรศัพท์แล้วเดินมาหาพวกเรา เขาช่วยลูบหลัง ป้าไลขยิบตาก่อนจะเอามือออก แกทำทีเป็นรินน้ำให้กาล แต่แววตาจดจ้องการกระทำระหว่างสองหนุ่มจนทำให้อาการไอของผมหายเป็นปลิดทิ้ง

“มึง...กลับกันเลยมั๊ย”

ป้าวิไลส่ายหน้า ส่งสายตาเยือกเย็นมาให้ผมราวกับหมัดน็อคนักมวย

“ฮืม” กาลเหมือนได้ยินไม่ชัดก็ยื่นหน้าเข้าใกล้ ผมนี่รีบถอยไปชนผนังห้องทันที “ว่าไงนะ”

“คุณคนนี้ เธอชื่ออะไรนะคะ” ป้าวิไลซักถามยิ้มแย้มแจ่มใส

“ขาม ครับ” กาลเป็นคนตอบ

“ค่ะ คุณขามแกบอกป้าว่าอยากชิมรสมืออาหารคุณท่านสักครั้ง หลังจากที่ป้าเล่าว่าฝีมือเด็ดอย่างกับเชฟกระทะเหล็ก”

ผมนี่แทบจะปรบมือมอบรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมแห่งปีให้แก่ป้าวิไลเลยทีเดียว คือผมไม่เคยพูดแบบนั้นไง กาลมุ่นคิ้วก่อนสบตาผม

“อยากชิมเหรอ?”

ป้าวิไลพะงาบๆปากเป็นคำว่า ห้าร้อย ชัดเจน จนผมเริ่มรู้สึกสนใจ จริงป่ะ ป้า ถ้าหลอกให้คุณหนูของป้าอยู่ต่อได้จะได้ตังห้าร้อยใช่ไหม งานง่ายๆแต่เงินดีแบบนี้มีหรือผมจะไม่ร่วมเล่นด้วย

“ใช่” ผมยิ้มแห้งๆให้มัน

“แต่...” กาลเริ่มคิดหนัก ดูเหมือนเขาวิตกกังวลเรื่องอื่นที่หนักหนากว่า “คุณพ่อจะกลับบ้านกี่โมงครับ”

“น่าจะดึกค่ะ คุณกฤษดนัยโทรมาแจ้งว่า หลังจากประชุมบริษัทแล้วต้องออกไปรับรองแขกจากต่างประเทศอีก น่าจะเลยไปถึงเลี้ยงอาหารมื้อค่ำด้วยค่ะ”

เขาคลายหัวคิ้ว

“งั้นผมขออยู่ทานอาหารเย็นกับคุณย่าด้วยครับ”

ป้าวิไลซ่อนกิริยาดีใจไว้ได้แนบเนียน ก่อนจะอาศัยช่วงกาลหันหลังไปจิ้มๆโทรศัพท์ ยกนิ้วโป้งให้พร้อมกับกระซิบถามหาเบอร์พร้อมเพย์ของผม

"ห้าสิบก็พอครับ ผมลดราคาให้เป็นพิเศษ"

- - - - - - - - - - - - - - - - -

TBC.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2019 15:48:09 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โห ป้าทันสมัยมาก 55

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 10



KALN’s Talk

ความทรงจำในวัยเด็กสะท้อนภาพลักษณ์ของคุณย่าระเบียบรัตน์ แฝงความเข็มงวดกวดขัน โดยเฉพาะเรื่องกิริยามารยาทเป็นอันดับหนึ่ง ท่านมักจะมองลูกๆหลานๆด้วยสายตาประหนึ่งไม้เรียวไว้ใช้กำราบ ยามลูกลิงตัวน้อยๆประพฤติผิดต่างไปจากกิริยาอันควรปฏิบัติ ผมจำได้ว่าช่วงวัยประมาณหกถึงเจ็ดขวบ มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันมาชวนไปวิ่งเล่นซ่อนแอบบรรดาพี่เลี้ยง ณ สวนหลังบ้านใหญ่ บริเวณนั้นมีศาลาปลูกติดอยู่ริมคลองน่ากระโจนลงเล่นคลายร้อนดีนัก หัวโจกในกลุ่มซึ่งผมจำได้แม่นยำว่าเป็นลูกชายอารองของพ่อผม ออกปากชวนกันถอดเสื้อลงเล่นน้ำ พี่เลี้ยงคงเหน็ดเหนื่อยจากการซ่อนแอบของพวกผมอยู่ ผมเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะเหงื่อโทรมกาย อยากจะคลายร้อนอยู่เหมือนกัน จึงปลดเสื้อและกางเกงออก ระหว่างกำลังถอยมาตั้งหลักเพื่อออกวิ่งกระโจนลงน้ำคลอง เสียงอันเยือกเย็นก็ตะโกนลงมาจากศาลาริมน้ำว่า

“ถ้าคนไหนตัวเปียกเพราะน้ำในคลอง ย่าจะตีด้วยไม้เรียวจนกว่าตัวจะแห้ง”

ผมจำประโยคเด็ดได้ขึ้นสมอง กลัวจนจับใจอย่างกับท่านได้เฆี่ยนพวกเราไปแล้วยังไงยังงั้น สายตาเบื้องหลังแว่นกดดันพวกเราทีละคนให้ลนลานสวมเสื้อผ้าอย่างทุลักทุเล ตั้งแต่นั้นมาพวกผมก็ไม่เคยเกเรผิดคำสั่งท่านอีกเลย

ดวงตาหญิงสูงวัยในวันนั้นยังคงจดจ้องพนักงานขนของชั่วคราวของผมอยู่ ระหว่างที่สาวใช้กำลังยกจานอาหารมาเรียงวางบนโต๊ะอาหาร คุณย่าท่านนั่งอยู่หัวโต๊ะ ส่วนผมกับขามนั่งขนาบท่านคนละฝั่งกัน เขาหน้าซีดมีเหงื่อเกาะตามขมับ ผมจะหัวเราะก็เกรงจะเสียมารยาทเลยนิ่งมองเฉยๆ

“เธอเป็นลูกเต้าเหล่าใครหรือ พ่อขาม” คุณย่าถามราวกับเจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนราษฎร์ซักประวัติ เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแห้งๆตอบกลับว่า

“แม่ผมชื่อชมชิด ขอรับ เอ้ย ครับ” เวร ผมนี่รีบยันเท้าผ่านใต้โต๊ะไปเตือนเขาได้ทันท่วงที ก่อนขามจะรีบพูดตะกุกตะกักแก้ไข

“แล้วพ่อล่ะ”

“กำพร้าครับ” เขาเลือกใช้คำพูดได้ถูกจริตย่าผมอย่างเห็นได้ชัด ท่านพยักหน้ารับก่อนจะยกคิ้วมาทางผม

“มีพี่น้องหรือไม่” ท่านยังคงกิริยาน่าเกรงขามถามซักต่อไป

“มีน้องชายร่วมสายโลหิตคนเดียวครับ” ผมกะยันเท้าเตือนเขา แต่ปรากฏว่าคุณย่าท่านคลี่รอยยิ้มลบล้างโฉมหน้าดุของอดีตครูใหญ่จนลับตา

“ถือว่าใช้ได้นะ พ่อกาล”

“อะไรนะครับ คุณย่า”

“ก็พ่อขามคนนี้ เป็นแฟนใหม่พ่อกาลไม่ใช่หรือ”

ผมรีบยกมือปฏิเสธพัลวันก่อนจะสำรวมกิริยาเร่งตอบท่านว่าไม่ใช่

ป้าวิไลยืนอมยิ้มอยู่มุมห้อง หลังจากที่สาวใช้จัดเรียงอาหารเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว

“ผมมาช่วยขนของครับ” ขามอธิบายเพิ่มเติม ซึ่งผมต้องรีบสนับสนุนคำพูดเขาเต็มความสามารถ แต่ดูเหมือนท่านแทบไม่ได้ฟังคำพูดพวกผมแม้แต่น้อย คุณย่าหันไปทางป้าวิไล หัวหน้าแม่บ้านรับทราบจากท่าทีแล้วจึงทยอยตักข้าวลงบนจานว่างเปล่าของคนทั้งสาม

ระหว่างความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศห้องรับประทานอาหาร แม้ภายในจะเย็นสบายเพราะเครื่องปรับอากาศ แต่ผมรู้สึกว่าขามไม่ค่อยสุขกายสักเท่าไหร่ ทั้งเหงื่อกาฬตามหน้าผากปรากฏชัดเจน ทั้งกิริยาอาการเงอะๆงะๆ ราวกับว่าไม่คุ้นชินกับการทานอาหารในบรรยากาศแบบนี้ ผมคิดจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ก็พอดีกับคุณย่าท่านพูดขึ้นเสียก่อน

“ผู้หญิงคนนั้น ย่ามองเพียงหนเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ได้รักแกจริงจังหรอก” ท่านมองผมแว้บนึงก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “เลิกกันเสียได้ก็ดี”

หมายความว่าข่าวที่ผมเลิกรากับพราวประดับมาถึงหูท่านแล้ว ผมจึงได้แต่เงียบ ไม่ได้อธิบายที่มาหรือสาเหตุแต่อย่างใด

“ติดหรู ดูฟุ่มเฟือย อวดดี ไม่มีมารยาท” ผมเห็นนายขามสะดุ้งตามทุกคำที่คุณย่าท่านเอ่ย

“อันที่จริง” ผมพยายามจะแก้ต่างแทนพราวประดับ

“ดูตอนที่ย่าแสร้งไม่สบายสิ” ท่านมองผมลอดผ่านแว่น แล้วพูดต่อว่า “ผู้หญิงอะไร แต่งตัวมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายได้วับแวมเปิดเผยเนื้อหนังมังสาได้ขนาดนั้น ย่ากับแม่วิไลนี่แทบไม่อยากชายตาแล”

“เอ่อ คุณย่าแกล้งไม่สบายหรือครับ”

ดูเหมือนว่าท่านเพิ่งรับรู้ว่าหลุดคำพูดออกมา เพราะว่าป้าวิไลเข้าสวมรอยกลบล้างสถานการณ์กระอักกระอ่วนด้วยคำพูดที่ชวนให้ทิ้งห่างประเด็นเดิมได้ทันควัน

“อิชั้นลองเลียบเคียงถามแล้วค่ะ คุณท่าน คุณคนนี้เห็นจะเป็นแฟนใหม่คุณกาลแน่แท้ ก็เจ้าตัวยังหลุดยอมรับมากับปากโดยชัดแจ้ง”

“ผมล้อเล่นน่ะครับ” ขามส่ายหน้ามองผมเลิ่กลั่กสลับกับคุณย่า

“อะไรกันคะ คุณขาม ไม่ต้องเอียงอายหรอกค่ะ สมัยนี้ใครจะคบกับใคร เพศไหน ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วค่ะ จริงไหมคะ คุณท่าน” ผมเห็นป้าวิไลขยิบตาส่งให้ขาม คุณย่าท่านไม่ได้พูดสิ่งใด แต่ก็ดูออกว่าพออกพอใจในคำพูดแม่บ้านผู้รับใช้ใกล้ชิดอยู่ในที

“แล้วนี่กะจะขนของออกไปอยู่ข้างนอกโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงๆน่ะหรือ พ่อกาล” ผมต้องกราบขอบพระคุณคุณย่าที่ท่านไม่ตีซ้ำคำพูดป้าวิไล เพราะหน้านายขามตอนนี้ซีดหนักจนใครๆคงคิดว่าเขาเป็นโรคโลหิตจางชัดๆ

ท่านรับรู้เหตุบาดหมางระหว่างผมกับพ่อดี ทั้งนี้ท่านรู้ว่าผมคงไม่มีความสุขอยู่ในบ้านใหญ่แน่ๆ ทั้งผมและพ่อต่างฝ่ายต่างรู้สึกอย่างเดียวกัน กระนั้นหนทางออกที่ผมเลือกคงดีที่สุดแล้ว และคุณย่าท่านก็ไม่เห็นหนทางอื่นที่จะแก้ไขจึงจำใจเห็นชอบตามความคิดหลานชาย

“ย่าจะไม่เป็นกาวใจเชื่อมความสัมพันธ์พ่อลูก เพราะคนที่ผิดจริงๆก็คือพ่อของแกนั่นล่ะ” ท่านถอนหายใจ “คืนนี้ก็คงไปนอนกับบรรดานางน้อยๆสักคนข้างนอกนั่น ไม่กลับมาค้างคืนบ้านใหญ่หรอก พ่อกาลสบายใจเถอะ”

“ครับ” ผมรับคำ

“ไปแล้วอย่าไปจาก กลับมาหาย่าบ้าง สัญญานะ พ่อกาล”

ผมเอื้อมจับมืออุ่นๆของท่านไว้ก่อนจะตอบรับให้คำมั่นสัญญาลูกผู้ชาย


สายน้ำฝักบัวกระทบเส้นผมบนศีรษะลัดเลาะไปตามกล้ามเนื้อเปลือยเปล่า ฟองแชมพูและสบู่ผสมกันจนฟุ้งเต็มห้องอาบน้ำ ผมปล่อยใจให้ละล่องลอยไปกับสายน้ำชำระคราบเหงื่อไคล ทำไมผมรู้สึกใจหายชอบกล อาจเป็นเพราะว่าคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ผมได้นอนค้างในบ้านแห่งนี้ก็เป็นได้

เสียงรัวเคาะประตูห้องน้ำดังขัดจังหวะความคิดผม พ่วงคำร้องโอดครวญลอดผ่านช่องประตูเข้ามา

“กูปวดเยี่ยว เร็วๆหน่อยดิ๊ มึงชักว่าวอยู่เหรอ ทำไมชักช้าจังวะ ชักเร็วๆสิโว้ย”

ผมปิดฝักบัว คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันท่อนล่าง มัวแต่คิดเรื่องหลายเรื่องในหัว จนหลงลืมว่ามีคนหนึ่งคนจะนอนกับผมในค่ำคืนสุดท้ายนี้ด้วยอีกหนึ่ง

พอผมเปิดประตู นายขามกุมเป้ากระโดดเฉียดผ่านตัวผมราวกับผู้มีวิทยายุทธ์อย่างหนังกำลังภายใน สงสัยผมจะอาบน้ำนานไปหน่อย เสียงสายน้ำกระทบโถฉี่ ทำเอาผมรู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ ตั้งใจว่าจะทำเป็นหูทวนลม แต่ก็อดที่จะเหลือบมองไม่ได้

นายนั่นไม่เพียงไม่ปิดประตูห้องน้ำอย่างที่ควรจะต้องทำ อาจเพราะเร่งรีบข้าศึกจู่โจมรวดเร็วเลยเผลอตัว ไอ้ผมก็ไม่คิดว่ามันจะไม่ปิด หรือแง้มไว้ก็ยังดี เพราะโถฉี่ตั้งอยู่แนวเดียวกับประตูห้องน้ำ ถ้าเกิดมีใครมองเข้าไปก็ย่อมจะเห็นได้ว่า ขนาดลำกล้องของท่อฉี่ที่ส่งน้ำตกกระทบโถมีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าใด ผมรีบหลับตาก่อนจะหันหน้ากลับคืน

ขามกดน้ำไล่ของเสียขยับตะขอกางเกงส่งเสียงกระทบหัวเข็มขัด ผมจึงเดาได้ว่าอีกฝ่ายแต่งตัวเรียบร้อยดีแล้ว ก่อนจะกล้าหันกลับไปเพื่อจะผ่านทางสู่ห้องแต่งตัวที่อยู่ติดกัน

“มึงไม่สบายเหรอ” จู่ๆเขาก็ทักผม ขณะไล่สายตามองหน้าผมพร้อมทั้งหรี่ตาเล็กลง

“กู...ปกติดี”

“มึงไม่เคยเห็นไอ้นั่นของผู้ชายคนอื่นหรือไง” เขาส่งคำถามตรงประเด็น ผมคงสำแดงอาการเป็นพิรุธแน่ๆ นายนั่นจึงจับท่าทีได้ ผมแสร้งยกมุมปาก พยายามสะกดอาการร้อนบนผิวหน้า คิดว่าฉายาเทพสามฤดูคงช่วยได้ไม่มากก็น้อย ยามต้องพลอยไปไหนต่อไหนแล้วมีใครต่อใครร้องขอถ่ายรูปตลอดเวลา ผมมักจะตีหน้าเฉยชาได้ยอดเยี่ยมอยู่แล้วจนวัสกับเหมเคยออกปากบ่อยๆว่า หน้าผมกวนสนเท้ามากกว่าจะเป็นหน้าเซอร์วิสแฟนคลับ

“กูเคย แต่ไม่เคยเห็น...หนอนน้อยชาเขียวแบบของมึงมากกว่า”

ผมเห็นหน้าอีกฝ่ายเหมือนถูกตบหัวแล้วอารมณ์ดีขึ้นมาทันที กำลังจะเดินผละหนีก็มีมือฉวยคว้าไว้ ผมยกคิ้วเป็นเชิงถาม
เขาไม่พูดไม่จาก่อนจะดึงมือผมเข้าไปจับเป้ากางเกงเขาได้หน้าตาเฉยมาก ผมสะบัดมือออก หัวใจเต้นกระหน่ำเหมือนมีแผ่นดินไหวอยู่ที่ใดสักแห่ง

ผมรู้ว่าผมโกรธ แต่อีกเศษเสี้ยวส่วนในใจกลับโกรธได้ไม่เต็มที่

หรือว่าผมปฏิบัติกับเขาจนอีกฝ่ายคิดว่าเป็นเพื่อนเล่น คิดจะทำกิริยาแบบไหนก็ได้โดยไม่สนว่าผมจะรู้สึกยังไงหรืออย่างไร ผมถูกคุณย่าสอนเรื่องกิริยามารยาทอย่างเข้มงวด แต่ถ้าเลือกจะต้องนำมาใช้กับนายขาม ผมคงอกแตกตายก่อนแน่ๆ ก็ทุกสิ่งที่เจ้าตัวทำนับแต่ผมพามาจากร้านเหล้าเฮียเจต กระทั่งท้าทายดื่มเบียร์ในห้องผมจนเกือบหมด ไม่พอยังอุกอาจรุกล้ำปลดเสื้อผมหน้าซิงค์อ่างล้างจาน ลุกลามมาถึงคว้ามือผมไปจับเป้ากางเกงของเขาอีก

อาจเป็นเพราะผมเห็นใจสงสารที่เขาต้องหาเงินไปช่วยเป็นค่ารักษาน้องที่เข้าโรงพยาบาล เลยมองข้ามการกระทำล้ำเส้นทั้งหมดทั้งมวล กระทั่งลามมาถึงกิริยาเมื่อครู่ หากเป็นคนอื่นผมคงผลักอกเฉดหัวออกจากห้องโดยไม่ไว้หน้าใครที่ไหนกระทั่งเฮียเจตก็เถอะ แต่ดวงตาของขามที่มองผสานกับตาผม บ่งบอกคำขอโทษแฝงไว้มากมาย ถามว่าผมรู้ได้ยังไงว่าเขาเองก็รู้สึกผิดในสิ่งที่กระทำไปเมื่อครู่น่ะเหรอ

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ทว่าลึกๆแล้วผมสัมผัสสิ่งเหล่านั้นผ่านดวงตาของเขาได้แน่ๆ

ผมก้มหน้าแล้วเดินผละเข้าไปในห้องแต่งตัวที่มีเสื้อผ้าเก็บไว้พอประดับตู้ แต่ในหัวผมยังมีดวงตาสำนึกผิดติดตรึงราวกับถูกจับขึงไว้ ไม่อาจลบล้างได้ ผมอยู่ในห้องแต่งตัวนานแค่ไหนไม่ทราบ พอออกมาแสงไฟดวงใหญ่ในห้องก็ถูกปิดมืดมิด หลงเหลือเพียงโคมไฟข้างหัวเตียงเท่านั้น

ขามอาบน้ำแต่งตัวในชุดนอนของผมที่ผมแบ่งให้เขาใส่ รวมถึงชั้นในปราศจากคราบน้ำอสุจิ เขาตะแคงอยู่ด้านหนึ่ง น่าจะยังไม่หลับ ผมล้มตัวลงนอนอีกฟาก พยายามขยับตัวให้เบาที่สุด ก่อนจะหันหลังให้เช่นกัน จู่ๆผมก็อยากขอโทษเขา ทั้งที่อีกฝ่ายสมควรเป็นคนเอ่ยเสียมากกว่า แต่ผมอยากขอโทษที่ปฏิบัติกับเขาราวกับอีกฝ่ายทำเรื่องร้ายแรง ทั้งที่จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้เพื่อนผู้ชายที่ไหนเขาก็แกล้งกันได้อย่างไม่ควรจะต้องคิดอะไร เหมกับวัสก็เคยหยอกล้อ เล่นกับผมแบบนี้เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยโกรธพวกมัน

ถ้าจะมีคนผิดก็คงเป็นผมนั่นแหละ

ผมพลิกตัวไปหาเขา ประจวบกับนายขามก็พลิกตะแคงกลับมาพอดี

“ขอโทษ” คำพูดของเราสองคนผสานแผ่วเบาพร้อมกัน เขาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย

“กูล่วงเกินมึงเอง กูต่างหากที่ต้องขอโทษมึง” ขามยืนยันจะรับความผิดไว้ แต่ผมรู้แน่แก่ใจว่าตัวเองก็ผิด ผิดที่สนองตอบการกระทำของเขาอย่างเย็นชา ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่ควรจะต้องแสดงออกแบบนั้น

“กูเองก็ผิด กูแสดงออกว่าดูถูกมึง ซึ่งไม่ควรทำแบบนั้น มึงอุตส่าห์มาช่วยขนของด้วยค่าจ้างน้อยนิด ทั้งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแฟน แต่กูก็ปฏิบัติตัวเหมือนมึงทำผิดร้ายแรง ทั้งๆที่...”

ขามปิดปากผมด้วยปากเขา ทำเอาคำพูดผมถูกผลักกลืนตีกลับคืน จนหัวผมโล่งราวกับยืนอยู่ใต้ท้องฟ้าท่ามกลางฤดูหนาวดั่งเช่นภาพวาดประดับหัวเตียง


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

TBC.


พูดคุย
โห ป้าทันสมัยมาก 55
กองหนุนคุณชายกาลเลยครับ คนนี้  พร้อมหาเมียให้คุณหนูไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง อิอิ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2019 10:47:04 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ๊าาา ปิดปากด้วยปากล่ะ... (ทำตาโต...ฟินนนน)

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 11



KIM’s Talk

ผมภาวนาให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน แต่มันไม่ใช่

ผมจูบกาล

หลังจากนั้นผมทำอย่างไรน่ะเหรอ ผมอยากจะสานต่อหรอกนะ แต่ถ้ามันคือความฝันผมคงมีความกล้ามากกว่านี้ ทว่าโลกความเป็นจริงผิดต่างอย่างสิ้นเชิง เขาตกใจและไม่ได้สนองตอบรอยจูบผมดังที่ควรจะเป็น ฟ้องว่าถ้าผมดึงดันร้องขอมากกว่านั้น คงได้กินศอกหมัดหรือไม่ก็ฝ่าเท้าเป็นยานอนหลับแน่ ต่อจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงี่ยน เอ๊ย เงียบสงัด

เงียบราวกับโลกนี้ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ



“พี่คิม”

ผมมัวแต่จ้องยอดไม้หนาแน่นขณะเกาะราวเหล็กด้วยมือหนึ่ง ก่อนจะหันไปตามเสียงเรียกชื่อ ไอ้ขามยกกล้องโปรตัวใหม่พร้อมถ่ายนายแบบจำเป็นอย่างผมอยู่ ผมทำทีเอามือซ้ายล้วงกระเป๋า มองเลนส์กล้อง
 
“โอเคพี่” มะขามมันถ่ายรูปแต่ละครั้งไม่เคยนับให้สัญญาณ ผมเท้าสองแขนกับราวกั้นของทางเดินชมธรรมชาติ เห็นฝูงนกบินเป็นกลุ่มตัดกับท้องฟ้าไร้ก้อนเมฆของฤดูร้อน หากเป็นในเมืองใหญ่พวกเขาคงไม่สามารถเดินทอดน่องอย่างเช่นนี้ได้ แต่ธรรมชาติซึ่งแวดล้อมอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์กลับเป็นดั่งเกราะกำบังแสงแดดได้อย่างดี
 
ผมรู้สึกผิดที่ปฏิเสธขามเมื่อวันเสาร์ แถมยังเอาชื่อมันไปใช้โดยไม่ได้ขออนุญาตอีก พอมันโทรมาทวงสัญญานัดลองกล้อง ผมก็เลยต้องจำเป็นออกมาอย่างที่เห็น

“พี่รู้ป่ะ อย่างพี่ไปรับงานนายแบบได้สบายๆ ไม่ต้องมาอดหลับอดนอนทำงานร้านเฮียเจตทุกคืนแบบนี้ ว่าแต่เมื่อคืนพี่ไปไหนมาเหรอ ไม่เห็นเข้าร้าน” มะขามถามที่มาที่ไปของการหายตัวของผม ผมส่ายหน้าเกาหลังคอ กูโคตรจะง่วง เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้หลับเต็มตา กว่าจะหลับได้สนิทก็เกือบสว่างแล้ว กะนอนเอาแรงตอนกลางวันก็ถูกมึงชวนมาถ่ายรูปลองกล้องอีก ผมจะโกรธขามมันก็ใช่ที่ เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม ก็มาจากคุณชายอนันตกาลทั้งสิ้น

“กูลาพัก” ผมบ่ายเบี่ยง

“ลาพักหรือไปทำอะไรกันแน่” ขามมันถามอย่างกับรู้ว่าผมรับงานอย่างว่า พอเห็นว่าผมไม่ตอบ ไอ้มะขามหวานก็เลยหันไปถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ต่อโดยไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร

ดวงตะวันบ่ายคล้อย ตอนผมนั่งรถมากับขามก็เลยเวลาเที่ยงแล้ว อาศัยแวะกินข้าวกลางวันข้างทางก่อนแวะเข้าวนอุทยานพฤกษศาสตร์ที่หมายถ่ายรูป

“กลับกันเถอะว่ะ” ผมเสนอหนทางกลับคืนเตียงนอน มะขามมันขมวดคิ้วแสดงอาการดื้อชัดเจน

“ถามจริง เมื่อคืนพี่ไปไหนมา”

“มึงถามเหมือนเป็นเมียสอบสวนผัวเลยว่ะ ขาม หรือมึงอยากเป็นเมียกูก็บอกกันดีๆ” ผมหยอกเย้ามันเล่น แต่มะขามทำตาลุกวาวจนผมแทบจะขอถอนคำพูด หรือมึงจะเอาจริงกันแน่วะ ไม่หรอกมั้ง ทุกทีถ้าผมหยอดแบบนี้ มันแทบจะอายม้วนเป็นขนมทองม้วนเลย มันกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะแล้วยกกล้องถ่ายรูปผม

มึงคงได้รูปกูไปเป็นพันรูปแล้วล่ะมั้งเนี่ย ทั้งแบบไม่ตั้งใจและตั้งใจ ก็น่าจะสมควรแก่เวลาในการกลับเสียที

“กลับกันเหอะ กูอยากนอนสักชั่วโมงสองชั่วโมง ไม่งั้นไม่มีแรงไปใช้คืนเฮียเจตแน่”

คราวนี้ขามมันยอมพยักหน้าเห็นด้วย

“ป่ะพี่ ผมได้ลองกล้องสมใจละ ยังไงจะใช้บริการอีกนะ พี่คิม”

“เออๆ ถ้ามึงขยันเรียนเหมือนขยันถ่ายรูปกูคงได้เกรด 4.00 แน่ว่ะ” ผมตบไหล่ของมันเบาๆ ก่อนจะชวนกลับไปยังลานจอดรถ ระหว่างนั้นมีคู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินสวนผ่านมา ออร่าความหล่อสวยทะลุเลนส์แว่นตาแบรนด์เนม จนผมสะดุดตา ทั้งรูปลักษณ์สัดส่วนผิวขาวจัดของชายหนุ่มคนนั้นเตะตาจนไอ้มะขามมันแอบยกกล้องอยู่หลังผม คงกะเก็บรูปคนทั้งคู่ ด้วยมุมและแสงตกกระทบพอดิบพอดีแบบนั้น องค์ประกอบครบสมบูรณ์ มีหรือที่ใครจะยอมพลาด

ผมได้แต่ยืนเป็นเกราะกำบังอยู่เบื้องหน้ารุ่นน้อง จ้องมองคนคู่นั้น

กาลกับสาวสวยที่ผมไม่รู้จักชื่อ เหมาะสมกันราวกับคู่รัก

“สวยป่ะพี่คิม” รุ่นน้องหนุ่มเอาภาพถ่ายสองคนนั่นมาให้ผมดู

“อืม” ผมตอบแบบไม่จริงใจสุดๆ

ผมรีบถอดแว่นกันแดดออกหวังจะให้กาลเห็นว่าเป็นผม ทว่าเมื่อเขาและหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้

...และเดินเลยผ่านไป ราวกับสายลมพัดผ่านตามยอดไม้ ฉุดใบแก่ปลิดปลิวละล่วงจากกิ่งก้าน

กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวของเขายังคงอยู่ แต่เจ้าตัวโอบเอวสาวสวยเดินชี้นกชมไม้ไปโดยแทบไม่สนใจผม

ผมเหมือนโดนชกด้วยหมัดขวา ชาวาบไปทั้งหน้า

“เป็นอะไรป่าวพี่” ไอ้มะขามถามผม เมื่อมันออกเดินนำแล้วผมไม่ได้ก้าวเท้าตาม ผมค่อยๆเหลียวหลังมองร่างเจ้าของกลิ่นน้ำหอมที่ถูกทอดทิ้งไว้ ก่อนจะหัวเราะมาคำหนึ่ง

ไม่มีทางที่กาลจะจำผมไม่ได้ ในเมื่อผมสร้างวีรกรรมมากมายจนชาตินี้อีกฝ่ายจะลืมผมลงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมมั่นใจสิว่าผมแทรกซอนเข้าไปอยู่ในความทรงจำของหมอนั่นแล้ว โดยเฉพาะเหตุการณ์ก่อนนอนเมื่อคืน

ระหว่างขนของกลับคอนโดฯกาล เขาไม่แม้แต่จะปริปากพูดกับผมสักคำ อันที่จริงก็ตั้งแต่ผมจูบเขาแล้วด้วยซ้ำ ไม่ว่าผมจะถามหรือพูดอะไร ไร้เสียงตอบกลับของคุณชายอนันตกาล ผมรู้สิว่าผมทำเกินเลยจนอีกฝ่ายคงไม่คิดให้อภัย ไม่แม้แต่จะยอมพูด หรือกระทั่งชายตามอง...

ผมคงคิดไปเองว่าเขาคงชอบผมอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นจะยอมปล่อยให้ผมลวนลามทั้งการกระทำหรือทางวาจา แม้จะเป็นการกระทำกึ่งจริงกึ่งเล่นก็ตาม

“กูถามอะไรอย่างดิ” ผมมองหน้ารุ่นน้อง มันยิ้มแหยๆ คงกลัวว่าผมจะทำมิดีมิร้ายหรือยังไงไม่ทราบ

“เรื่องอะไรพี่”

“มึงจะยอมให้หญิงแตะเนื้อต้องตัวหรือเปล่า ถ้ามึงไม่ชอบเค้า”

“โห พี่คิม ถามอะไรง่าวๆ โทดๆพี่ คืองี้นะ ถ้าสมมติผมเป็นสาวสวย” มันขยับเข้าหาผม “แล้วอยากได้พี่ไปนอนด้วยคืนนี้” มันยักคิ้วพลางเอื้อมมือแตะแขนผม ผมรีบขยับตัวออกห่างทันควันด้วยสัญชาตญาณ

“หน้ามึงหื่นมากว่ะ ขาม กูกลัว” อันนี้จริงครับ ถ้ามันเป็นสาวสวยจริงๆผมคงขอคิดไต่ตรองดูก่อน แต่นี่มันคือไอ้มะขามชายหนุ่มส่วนสูงเกือบร้อยเก้าสิบ สูงพอๆกับผม ทำทีเอาเส้นผมทัดหู แล้วจะเชื้อเชิญผมไปนอนด้วย กูว่ามึงสมมติได้เหี้ยมาก

“ก็ถ้าพี่ไม่ชอบเค้า จะยอมให้เค้าแตะเนื้อต้องตัวทำไม แค่คิดว่าจะไปนอนด้วยกันน่ะ เลิกมโนได้เลย ถูกมะ” ไอ้ขามพูดตรงกับใจผม

“มึงจะกินอะไรบอกมา เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง” ผมตบบ่าขามหวังตอบแทนค่าคำปรึกษา

“โห พี่ ผมต่างหากที่ต้องจะเลี้ยงข้าวพี่ที่มาเป็นแบบ ช่วยลองกล้อง ไหงกลับตาลปัตรแบบนี้ล่ะ” มันยังทำหน้างงๆอยู่

“เอ่อน่ะ มึงพูดถูกใจกู นานๆทีมึงจะพูดจาเข้าหูกูสักเรื่องไหมล่ะ” ผมออกเดินนำไปยังลานจอดรถ กว่าไอ้ขามมันจะรู้ว่าถูกหลอกด่า ผมก็มีเวลาสะใจอยู่พอสมควร ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระโจนมากระโดดเกาะหลังเป็นลูกลิงเอาคืนผม ผมต้องแบกมันกลับไปที่รถเพื่อไถ่โทษ แต่คำพูดมันก็ช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย

   
‘เขา’ นั่งอยู่ในโซนวีไอพี แวดล้อมด้วยสาวสวยหนุ่มหล่อ บรรดาเพื่อนๆและคนรู้จักฐานะระดับเดียวกับเขา เมื่อก่อนผมไม่ได้สังเกตว่าเขาจะมาร้านพี่เจตวันไหนบ้าง ตอนนั้นผมยังไม่ได้รู้จักเขาแบบ...ใกล้ชิด แต่ตอนนี้ตลอดเวลาทำงานผมก็อดที่จะเหลียวมองไปทิศทางนั้นไม่ได้

“คืนนี้มึงนัดสาวที่ไหนไว้วะ” เฮียเจตจัดแจงผสมเหล้าค็อกเทลวางบนถาด ตามออร์เดอร์ลูกค้าที่ผมรับมา

“ทำไมพี่ถามงั้น” ผมสงสัยเลยย้อนถาม

“หน้ามึงเหมือนคิดวางแผนจะเอาสาวท่าไหนอยู่ในหัวตลอดเวลา”

ผมสำลักน้ำลายตัวเอง ไอโขลกจนพี่กวางต้องเดินมาตบหลังผม

“คิมเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

“แหม พอพูดกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นนี่เสียงอ่อนเสียงหวานเชียวนะ”

“กูได้ยินนะ ไอ้เจต” พี่กวางชี้นิ้วหมายหัวเจ้าของร้านไว้หนึ่งทัณฑ์บน พี่เจตผลุบหายไปหลังบาร์อย่างเร็วกริบ ผมอาศัยจังหวะนั้นถือถาดเครื่องดื่มไปส่งให้ลูกค้า มะขามเดินสวนผ่านมายักคิ้วให้ผมดูอารมณ์ดี ใช่สิ ก็ผมพามันไปเลี้ยงชาบูหนึ่งอิ่มตอนมื้อเย็นตอบแทนค่าปรึกษา

ผมวางแผนจริงอย่างเฮียเจตสงสัย แต่ไม่ใช่สาวสวยที่ไหนแต่เป็นไอ้คุณชายขี้เก็กนั่นต่างหาก รอโอกาสอยู่ว่าหมอนั่นจะลุกไปเข้าห้องน้ำตอนไหน มิสเตอร์คลานสั่งเหล้ายี่ห้อแพงมาซดราวกับดื่มน้ำ แทบไม่ออกอาการเมามายเหมือนตอนดื่มเบียร์ พอกาลลุกยืนทำทีเหมือนจะไปเข้าห้องน้ำ ผมก็อาศัยย่องตอดตามไปในทันที

“ไง”

เขาสะดุ้งเล็กน้อยตอนเหลือบมองผม ก่อนจะรูดซิปกดน้ำใส่โถฉี่ เดินไปล้างมือหน้ากระจก ดูเหมือนบรรยากาศจะเป็นใจช่วยผมในการขอคืนดีกับเขาเพราะไม่มีแขกเข้าห้องน้ำพอดี

“กูขอโทษมึงเป็นพันครั้งได้แล้วมั้ง เมื่อไหร่จะยอมพูดกับกูสักที” ผมพูดต่อรวดเร็ว

เงียบ

“แล้ววันนี้ตอนมึงเจอกูที่สวนพฤกษศาสตร์ ทำไมถึงไม่ยอมทัก เป็นคนหยิ่งเหรอเรา”

เขาล้างมือเสร็จแล้วหันมามองผมราวกับคนละคนกับเมื่อวาน เหมือนผมกับกาลเพิ่งเจอกันครั้งแรก

“ต้องการเงินเพิ่มหรือไง”

คำพูดกาลทำเอาผมพูดเล่นต่อไม่ออก ตั้งใจจะขอคืนดี ไม่หวังมากกว่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับตอกย้ำฐานะชนชั้นระหว่างผมกับเขาโดยชัดแจ้ง ผมคงได้เป็นแค่คนขนของชั่วคราวของเขาเท่านั้น เรื่องคบหาเป็นเพื่อนหรือมากกว่านั้นที่ผมฝันไว้ลึกๆคงไม่มีวันเป็นจริง

ผมหมดคำพูด เรื่องระหว่างเราคงจบกันเพียงแค่นี้จริงๆ ผมหัวเราะมาคำหนึ่ง กูไปทวงค่าเลี้ยงชาบูจากไอ้มะขามคืนดีมั้ย ไม่เห็นเป็นอย่างที่มึงว่าสักนิดเลย

“ว่าไง อยากได้เงินเพิ่มก็บอกมา”

ผมกำลังเดินออกไปปฏิบัติหน้าที่การงานต่อ แต่คำพูดกาลก็รั้งเท้าผมไว้อยู่กับที่ ผมไม่โกรธเขาที่คิดจะเอาเงินฟาดหัวผมตามปกติ ทว่าผมโกรธตัวเองที่ตัดสินใจเดินเข้ามาหาเขาในห้องน้ำ มึงมันไม่เจียมกะลาหัวจริงๆเลยไอ้คิม รู้จักมั้ย คำว่าที่ต่ำที่สูง กากับหงส์ ดอกฟ้ากับหมาวัด มาเห่าใบต้องแห้ง เอ๊ะ อันนี้ไม่น่าใช่ มีอะไรอีกวะ ขอคิดแป๊บ

“ดี ถ้าไม่อยากได้ กูจะได้ไปหาคนอื่น”

ผมรีบหันไปมองมิสเตอร์คลานทันที เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถๆบนหน้าจอ พลางพูดว่า

“นายไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวในโลกที่ต้องการเงินจากผม”

“กู...” ผมรู้ว่าเขากำลังกดเรียกแอพหาคู่ ไม่อยากให้เขาทำแบบนั้น แต่ผมจะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเขาได้ ทั้งในฐานะเพื่อนหรือคนรู้จัก ผมก็ไม่ได้เป็นทั้งสองอย่าง

“กูขอโทษเป็นครั้งสุดท้ายที่จูบมึง มึงจะรับหรือไม่รับคำกูก็แล้วแต่ กูไม่มีสิทธิ์บังคับใจมึงได้ บาย”

เมื่อผมเดินออกมาถึงปากประตูห้องน้ำชาย มะขามมันเหมือนตามหาผมอยู่ก็กวักมือเรียกมาแต่ไกล ผมกำลังก้าวไปหามัน จู่ๆโทรศัพท์มือถือที่เสียบไว้ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นต่อเนื่อง ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ

ในบรรดาผู้คนมากมายในแอพหาคู่นั่น ทำไมเขาเจาะจงเลือกผม

เมื่อผมเห็นข้อความของ KALN แชทบอกว่า


นายว่างมั้ย มาหาผมที่ห้องตอนนี้ได้หรือเปล่า


ผมควรจะดีใจหรือเสียใจ

ผมควรจะไปหาเขาด้วยรูปลักษณ์ชายหนุ่มลึกลับผู้สวมหน้ากาก หรือบอกความจริงกับเขาทั้งหมด ยุติเรื่องราวและความสัมพันธ์จอมปลอมนี้ลงเสีย ตามสำนวนสุภาษิตที่ผู้ใหญ่เคยสอนว่า ตัดไฟแต่ต้นลม

สุดท้ายผมตัดสินใจเลือกเส้นทางแรก พิมพ์ตอบเขาไปว่า



ว่างครับ



TBC.
- - - - - - - - - - - - - - - - - -

พูดคุย

อ๊าาา ปิดปากด้วยปากล่ะ... (ทำตาโต...ฟินนนน)
ดีใจที่ทำให้คุณฟินนนน ได้ครับ อิอิ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2019 16:17:59 โดย LoveBlueSky2203 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 12



KALN’s Talk


   ผมไม่ได้โกรธ ‘เขา’

   แค่ตกใจ แต่ไม่รู้จะพูดโต้ตอบอีกฝ่ายว่ายังไงดี ก็เพราะว่า...

   หัวใจผมเต้นแรงเหมือนตอนจูบกับพราวประดับครั้งแรกไม่มีผิด

   ผมไม่เคยมีแนวโน้มจะชอบเพศเดียวกันมาก่อน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดูดี สวย หล่อ ฐานะร่ำรวยแค่ไหน ผู้ชายมีหนวดเคราและมัดกล้าม รวมถึงมีไอ้นั่นเหมือนกันกับผม ไม่เคยทำให้ผมใจสั่นเท่ากับการจูบกับนายขามเพียงหนเดียว
 
   อารมณ์ชั่ววูบหรือเพราะผมรู้สึกผิดกันแน่ จึงทำให้ผมใจสั่นแปลกๆสนองตอบจูบของเขา ทำไมผมถึงหาเหตุผลมารองรับเรื่องเหล่านี้ได้ยากลำบากเหลือเกิน มันควรจะง่ายเหมือนถอดสมการคิดคำนวณเลข ทว่าโจทย์ชีวิตผิดต่างจากโจทย์คณิตในตำรา ผมต้องรีบหาคำตอบให้กับตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะถลำลึกไปมากกว่านี้

   ผมแอบได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสักคนว่า มีนัดไปถ่ายรูปที่สวนพฤกษศาสตร์ แว่วๆจากปลายสายเป็นเสียงชายหนุ่ม ผมขมวดคิ้วสงสัย หรือว่านายขามคนนี้จะมีแฟนอยู่แล้ว และเป็นผู้ชายซะด้วย

   อืม

   ผมส่งเขาหน้าร้านเฮียเจตช่วงเวลาสาย ได้ยินเขาบอกว่าจอดรถไว้ที่นั่น แล้วผมก็ขับรถจากมา จ้างวานพี่ยามประจำคอนโดฯให้ช่วยขนกระเป๋าบรรจุภาพวาดและข้าวของอื่นๆขึ้นไปไว้บนห้อง หลังจากนั้นวางแพลนออกกำลังกายสักชั่วโมง ระหว่างทางพบกับพิมพ์พลอย สาวสวยข้างห้อง เธอชวนผมคุยเรื่องต่างๆ นานา จนกระทั่งวกมาถึงเรื่องหัวใจ

   “กาลเพิ่งเลิกกับแฟนใช่ไหม”

   ผมคิดว่าข้อมูลนี้คงมีคนรู้กันทั่ว จึงไม่คิดปฏิเสธ

   “ครับ”

   “โสดใช่ป่าวตอนนี้ หรือเล็งๆใครไว้อยู่” เป็นผู้หญิงที่น่ารักและพูดจาตรงประเด็น ดูโผงผาง ไม่มีอ้อมค้อม

   “ครับ” ผมยอมรับกรณีที่ผมโสดและยังไม่คิดคบหาใครเป็นแฟนในเร็วๆนี้ บาดแผลจากการเลิกรากับพราวยังคงฝังอยู่ในใจผมอยู่

   “หา สรุปว่าโสดแล้วก็กำลังเล็งๆใครไว้อยู่เหรอ”

   “เปล่าๆ ยังไม่ได้คุยกับใคร” ผมรีบแก้ต่าง พิมพ์พลอยยิ้มแบบว่า กูไม่เชื่อมึงหรอก อย่าคิดมาปิดบัง เรื่องที่ผมสงสัยว่าเธอคงเคยเห็นผมเรียกนายคิมหันต์มาหาที่ห้องเป็นอันแจ้งกระจ่างใจ

   “มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า” ผมรีบเสนอตัวแลกกับความลับที่เจ้าตัวเก็บไว้

   พิมพ์พลอยยิ้มอย่างรู้ทัน แต่ก็ดูพอใจที่ผมตามสาระสำคัญที่เธอต้องการจะสื่อออก

   “คืองี้ เราต้องไปถ่าย Vlog ที่สวนพฤกษศาสตร์ทำส่งอาจารย์วิชาสื่อฯน่ะ คิมพอจะขับรถพาไปได้มั้ย พอดีโดนพ่อยึดรถชั่วคราวน่ะ แหะๆ ได้เปล่า” ในที่สุดพิมพ์พลอยก็ยอมคลายความต้องการออกมา ผมก็เลยจำเป็นต้องยอมรับข้อเสนอทันทีโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

   แต่ผมมีเหตุผลอื่นหนุนหลังอยู่ลึกๆ พนักงานขนของของผมกำลังจะไปที่นั่นเหมือนกันวันนี้ ไม่ใช่ว่าผมอยากเห็นด้วยตาตัวเองหรอกนะ ว่าเขามีแฟน...เป็นผู้ชาย จริงหรือเปล่า แต่ความจำเป็นบังคับผมให้ต้องไป

   ผมเห็น ‘เขา’ แต่งตัวสบายๆในชุดเสื้อผ้าเนื้อบางสีดำ ลายกราฟฟิครูปเรขาคณิต นุ่งยีนขาดๆ สวมแว่นกันแดด ยืนเป็นนายแบบให้แฟนหนุ่ม?กดชัตเตอร์เก็บภาพตัวเองอยู่ ท่าทีผนวกรอยยิ้มที่ผมเห็นชัดเจนในระยะไกล ไม่ใช่ว่าเพื่อนสนิทหรือรุ่นน้องคนไหนจะทำให้อีกฝ่ายฉีกปากได้เกือบถึงใบหูขนาดนั้น หากไม่ใช่คนรู้ใจ เป็นอันว่าเขามีแฟนแล้ว และที่สำคัญเป็นผู้ชายซะด้วย

   “พร้อมแล้วจ้า” พิมพ์พลอยร้องบอกผม หลังจากเธอขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับหมวกปีกกว้างใบใหญ่ ชุดเดรสแขนกุดลายดอกทิวลิปสีแดงบนพื้นขาว เข้ากับหมวกสานสีแดง รวมถึงสีลิปสติกและสีเล็บ ผมว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงใสซื่อสักเท่าไหร่ในสายตาผมอย่างที่คิดไว้ตอนแรกๆ

   “ครับ” ผมพยักหน้ายกแว่นกันแดดสวมทับดวงตา

   “ไหนๆก็ช่วยขับรถมาส่งแล้ว วานกาลเป็นตากล้องจำเป็นให้ด้วยเลยแล้วกันนะ” ผมจะมีทางเลือกอื่นเหรอ ก็ในเมื่อทำตัวเป็นสุภาพบุรุษขับรถมาส่งขนาดนี้แล้ว จะปฏิเสธคำร้องขอแล้วไปนั่งจิบกาแฟในคาเฟ่ก็คงดูจะใจร้ายเกินไป

   “ได้ครับ แต่เดี๋ยวสักครู่นะ” มีสายเรียกเข้าโทรศัพท์ ผมเดินเลี่ยงห่างจากพิมพ์พลอยก่อนจะตอบรับปลายสาย “ว่าไง เหม”

   “มึงอยู่ไหนวะ กาล”

   “สวนพฤกษศาสตร์”

   “ไปทำไมที่นั่นวะ คุณชาย” มันหัวเราะเยาะผมอย่างชัดเจน

   “ธุระ”

   “แปลกชิบหาย ถึงว่าทำไมโลกถึงร้อนขึ้นทุกวัน ก็เพราะมึงทำตัวสนใจธรรมชาติแบบนี้ไง ฮ่าๆ” เหมันต์ขำอารมณ์ดีที่ทำให้ผมหัวเสียได้ “ว่าแต่พูดธุระของมึงดีกว่า ก่อนที่กูจะตัดสายทิ้ง”

   “เออดิ กูไม่ใช่สาวน้อยร้อยช่างนี่นา คุณชายอนันตกาลจะได้ยอมคุยด้วยแถมพาไปส่งโน่นนี่”

   ผมว่ามันรู้ว่าผมพาพิมพ์พลอยมาส่งสวนพฤกษศาสตร์ คงมีแฟนคลับสักคนถ่ายรูปผมได้ตอนกำลังออกจากคอนโดหรือที่ไหนสักแห่ง

   “จะเข้าเรื่องได้หรือยัง ไม่งั้น...” ผมยื่นคำขาด ยิ่งรู้สึกว่าอารมณ์ไม่ดีแบบแปลกๆอยู่

   “คืนนี้วันเกิดไอ้ฟราน เด็กวิทยา มึงจำมันได้หรือเปล่า”

   “อืม”

   “มึงจองโต๊ะร้านสวรรค์ชั้นเจตโซนวีไอพีสักสิบที่นะ กูขอส่วนลดเยอะๆด้วย”

   “อืม”

   “ปากมึงอมอะไรอยู่วะกาล พูดได้แต่อืมๆอยู่นั่น” เหมกระเซ้าแหย่ตามนิสัย

   “อมอะไรก็เรื่องของกู” จุดที่ผมยืนอยู่เห็น เขากับแฟนหนุ่มกำลังจับมือถือแขนกันอยู่ชัดเจน “แค่นี้นะ”



   พอผมถามเขาที่ร้านเฮียเจตว่า ต้องการเงินเพิ่มใช่หรือเปล่า และเขามีท่าทีปฏิเสธ ผนวกกับมีเรื่องบางเรื่องค้างคาในใจ ทำให้ผมกล่าววาจาเหมือนดูถูกเขาไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์กรึ่มๆเป็นแรงขับเคลื่อน ทุกสิ่งอย่างที่ผมสู้ระงับปกปิดไว้ ตัวผมเองนั่นแหละได้ทำลายลงด้วยมือตัวเอง

   เขาไม่ใช่คนที่ผมจะยุ่งเกี่ยวด้วย ไม่ควรอย่างยิ่ง


   ด้านหนึ่งในใจกลับเรียกร้องให้ผมพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้มีอิทธิพลต่อใจผม ผมสูญเสียพราวประดับไปจึงทำให้ความเข็มแข็งที่เคยมีอ่อนแอตามไปด้วย คำพูดที่ว่า พอมีใครสักคนก้าวเข้ามาในระหว่างห้วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและช่วยบรรเทาบาดแผลหัวใจได้นั้น จึงนับเป็นความเพ้อฝัน มีเพียงแค่ในนิยายเท่านั้น ทว่าในชีวิตจริงไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

ผมจำเป็นต้องปักใจเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นคืออารมณ์เพียงชั่ววูบ ถึงยังไงผมก็ต้องพิสูจน์ว่าไม่ใช่มีเพียงแค่เขาที่มีอิทธิพลต่อใจผม แต่จะเป็นใครก็ได้บนโลกใบนี้ รวมถึงนายคิมหันต์ผู้สวมหน้ากากอีกคนด้วย
 
   ผมเรียกชายหนุ่มสวมหน้ากากมาอีกครั้ง และมอมตัวเองด้วยเบียร์ที่เหลืออยู่นิดหน่อยตามเดิม

   เพิ่มเติมคือไม่เมาเท่าครั้งก่อน ก็เพราะมีคนจัดการเสบียงแอลกอฮอล์ผมไปซะเกือบครึ่ง

   เหมกับวัสโทรมาตามผมจ้าละหวั่น เห็นว่าผมหายเข้าไปในห้องน้ำนึกว่าหัวทิ่มโถชักโครกตายอนาถเสียแล้ว เพราะว่าไอ้ฟรานแขกคนสำคัญของงานคืนนี้มาทีหลังแล้วถามหาผม ผมจึงบอกมันว่าปวดหัวเลยขอกลับคอนโดฯก่อน

   “สาธุ ขอให้มึงปวดจนร้าวระบมจนสุดจะทนไม่ได้ทีเดียวเชียว เพี้ยง” เหมันต์สาปแช่งผม ในเมื่อมันก็รู้ๆอยู่ว่าผมคิดข้ออ้างปฏิเสธมันพอเป็นพิธีเท่านั้น จะให้ผมบอกว่านัดชายหนุ่มสวมหน้ากากมาหาที่ห้องก็ไม่ใช่เรื่องเปล่าวะ มีหวังโดนไอ้ฝรั่งฟรานตามมาลากตัวกลับร้านเฮียเจตแน่ๆ

   เสียงเคาะประตูบ่งบอกว่าคนที่ผมนัดไว้มาถึงแล้ว

   กูยังเมาไม่เต็มคราบเลย ทำไงดี จะลงไปซื้อเบียร์ตอนนี้ก็ใช่ที่

   เช่นเดิม คิมหันต์คาดหน้ากากปิดล้อมดวงตา ใส่เชิ้ตดำ กางเกงยีน เขากะพริบตาตอบรับ ผมมัวแต่จ้องรูปลักษณ์เขาราวกับต้องมนตร์จนลืมทักทาย

   “หวัดดี”

   “ครับ”

   บรรยากาศตึงๆแบบนี้ อาจเป็นเพราะว่าผมยังไม่เมาเต็มที่นั่นเอง ผมอยากพิสูจน์ว่านายขามไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวที่ทำใจผมสั่น แต่จะเป็นใครที่ไหนก็ได้ แล้วถ้าผมยังมีสติครบถ้วนแบบนี้ เรื่องขอจูบกับเขา ผมจะเอาความกล้าที่ไหนมาร้องขอ

   “นั่งก่อนสิ”

   คิมหันต์ยังคงยืนเฉย

   “ดื่มน้ำหรืออะไรก่อนมั้ย”

   “ครับ” น้ำเสียงขรึมตอบรับคำเชิญ ผมผละเข้าไปในโซนห้องทานอาหาร มีเคาเตอร์กั้นขวางระหว่างห้องนั่งเล่น หยิบน้ำเย็นเทใส่แก้วแล้วยกไปให้เขา แขกสวมหน้ากากรับถือไว้ แต่ยังไม่ยกดื่ม ผมลืมรูดซิปหรือทำเศษอะไรติดหน้าหรือเปล่า เพราะเขาเอาแต่จ้องมองผมนับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้ว

   “โทษทีที่เรียกนายมาแบบกะทันหัน” ผมออกตัวก่อน กลัวเขาจะโกรธเรื่องนี้แต่คงไม่ใช่ เพราะคิมยังคงไม่ยกแก้วดื่มน้ำสักที เขาวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟา แล้วผลักอกผมล้มลงนอนอ้าขาได้ล่อแหลมมาก ก่อนถลาโถมโน้มตัวอยู่บนร่างผม เวร ผมรีบหลับตาปี๋

   กูต้องเมาดิบแล้วใช่ไหมเนี่ย

   “ใจเย็น” สั่นเกินไปแล้วเสียงผม

   ลมหายใจร้อนกระทบผิวหน้าผมถี่กระชั้น ดวงตาหลังหน้ากากสะกดผมให้นอนแน่นิ่งราวกับถูกคำสาป ความคิดที่จะผลักเขาออกห่างมีอันพังทลายลงเพราะดวงตาคู่นั้น

   “ครั้งนี้...ผมคงต้องตอบแทนค่าตัวผมสักที”

   ชิบเวร

   คิมเริ่มปลดกระดุมเสื้อออก ผมจะทำไงดี ไม่ได้อยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาในตอนนี้ ผมเพียงแค่อยากพิสูจน์ความสงสัยที่ว่า ผมจูบผู้ชายคนไหนบนโลกก็ใจเต้นแรงได้ ไม่ใช่เฉพาะแค่นายขามคนนั้น จึงรีบโน้มเหนี่ยวเกี่ยวหลังคอเขาลงมาประกบปากของเราสองเข้าด้วยกัน

   หัวใจผมสงบลงอย่างประหลาด ทั้งที่ก่อนหน้าเต้นระรัวราวกับจังหวะกลองสามช่า พอลิ้นของคิมรุกล้ำเข้ามาในปากผม หัวใจที่ผมคิดว่าสงบกลับวูบไหวตีกระหน้ำซ้ำเต้นหนักกว่าเดิมอีก ผมเอามือดันอกเขาหวังให้อีกฝ่ายถอยห่าง เขายอมถอย หอบหายใจหนักหน่วง

   ผมจะใจเต้นทุกครั้งเมื่อโดนผู้ชายชื่อ คิมหันต์ สองคนจูบไม่ได้เด็ดขาด ทำไงดี

   “พร้อมมั้ย”

   พร้อมอะไรวะ ไม่พร้อมโว้ย

   “พะ พอก่อน”

   ผมไม่เห็นหนทางออกในครั้งนี้ ใจผมเต้นเหมือนตอนขามจูบไม่ต่างกัน ผมควรจะดีใจที่ผมจูบใครก็ใจเต้น ไม่เฉพาะแค่นายขาม แต่ข้อสงสัยบางอย่างกลับผุดวาบในความคิดระหว่างช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน หรือว่าผมจะ...หวั่นไหวกับผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกัน แถมชี่อเหมือนกันอีกต่างหาก

   บางทีผมควรต้องลองหาผู้ชายชื่อคิมหันต์คนอื่นๆมาลองจูบอีก

   “ไม่จำเป็น”

   คิมพูดเหมือนล่วงรู้ความคิดผม

   “...ต้องอายหรอกครับ ถ้านายยังกล้าๆกลัวๆ งั้นเรามาเล่นเกมเป่ายิ้งฉุบ ใครชนะเป็นคนสั่งให้อีกคนถอดเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับบนร่างกายออกดีมั้ย จะได้ผ่อนคลาย”

   ผมแทบไม่ได้ฟังว่าคิมพูดอะไร ในหัวมีแต่กลวิธีเอาตัวรอด หรือว่า...

   ผมจะลองมีอะไรกับคิม เพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้หวั่นไหวกับขาม


TBC.


- - - - - - - - - - - - - - - - -

พูดคุย

:pig4:
 :3123:
ขอบคุณฮะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 13



KIM’s Talk
   
   
ผมเคยรู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชายด้วยกันมาครั้งหนึ่ง

ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นน่าจะอายุประมาณสิบเอ็ดปี อยู่ในวัยอยากรู้อยากลอง ระหว่างเดินทางจากโรงเรียนกลับบ้าน โดยมีน้องชาย ชื่อ สาด โทษๆ สารท ที่แปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง คือน้องผมเกิดช่วงกลางเดือนตุลาคม อายุห่างจากผมสามปี แต่ผมสงสัยนิดหน่อยเพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อนสอดคล้องกับชื่อผม แล้วบ้านเรามีฤดูใบไม้ร่วงกับเค้าด้วยเหรอ สงสัยแม่จะอ่านนิยายแปลต่างประเทศมากไปหน่อย

ไอ้สารทคาบไอติมเต็มปากและยังถือไว้อีกหนึ่งแท่งอย่างอารมณ์ดี ผมคันไม้คันมืออยากตบเกรียนมันเล่นๆ เงินค่าขนมที่แม่สั่งกำชับว่าแบ่งให้เราสองคน มันกลับอ้อนขอซื้อไอติมสองรสที่ตัดสินใจเลือกไม่ได้ กรรมของการเป็นลูกชายคนโต ผมต้องมีน้ำใจแบ่งปันเงินส่วนของผมให้น้องตามสถานภาพพี่ชายที่ดี

ระหว่างทางใกล้จะถึงปากซอยบ้าน ผมพบเด็กผู้ชายสูงเท่าผมยืนชะเง้อชะแง้อยู่ริมฟุตบาท ผิวขาวจัดรวมกับชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนเอกชนชื่อดัง ทำให้ผมนึกในใจว่าเขาต้องเป็นลูกคนรวยแน่ๆ ทว่าดวงตาแดงช้ำรวมกับกิริยาร้อนรน เชิญชวนให้ผมตัดสินใจหนีบน้องสารทผู้กำลังเขมือบไอติมสองแท่งเดินไปถาม

“มึงจะไปไหนเหรอ”

เขาทำหน้าดีใจราวกับผมเป็นเทวดามาโปรดในยามเข้าตาจน

“นายๆพาเราไปซ่อนที”

กรรม นี่เล่นซ่อนแอบกันอยู่หรือไงไม่ทราบ ผมกำลังจะเดินหนี ไอ้หน้าขาวปากแดงก็คว้ามือผมไว้ หน้าตาดูเดือดร้อนและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “นะๆ พาเราไปซ่อนที บ้านนายก็ได้”

หรือมันจะเดือดร้อนจริงๆ

“พี่คิมพาเขาไปอาบน้ำกินข้าวบ้านเราก่อนดิ เนี่ย เสื้อผ้าก็สกปรกมอมแมม แถมคงหิวน่าดู” ไอ้น้องสารทตัวดีใช้มือเปื้อนคราบไอติมจับเสื้อสีขาวราคาแพงเปื้อนฝุ่น ทั้งดึงไว้ไม่ยอมปล่อย มึงมันตัวดีเลย เห็นแก่เรื่องกิน แล้วก็เสือกมีน้ำใจผิดที่ผิดเวลา ถ้าผมพาคนแปลกหน้าเข้าบ้าน มีหวังแม่คงด่าเป็นชุดแน่

“บ้านมึงอยู่ไหน เดี๋ยวกูเรียกรถไปส่ง”

“ไม่รู้”

กรรมเวรของแท้

“เราถูกลักพาตัวมา” คำว่า ‘ลักพาตัว’ ทำเอาสติผมหลุด น้องชายผมดูเป็นคนมีสติที่สุด มันรีบทิ้งแท่งไอติมทั้งสองรสแล้วหันซ้ายแลขวาคว้าแขนเด็กชายแปลกหน้าไว้ ดึงลากไปหลบอยู่หลังเสาไฟฟ้าใกล้กับต้นมะขามหน้าปากซอย
 
“มึงว่าไงนะ” ผมซักกลับรวดเร็ว เขาหน้าเริ่มซีด เหงื่อผุดตามผิวขาวๆเป็นมันวาว

“เราหนีออกมาได้ แต่...ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน”

ผมรีบบอกโลเคชั่นให้เขารู้ แต่ดูเหมือนไอ้ปากแดงแทบไม่ได้ฟังผม เพราะจู่ๆก็เป็นลมหมดสติล้มใส่อ้อมกอดไอ้สารทซะอย่างงั้น
เรื่องแปลกก็คือแม่ผมไม่เพียงไม่ด่าว่า แถมยังต้อนรับขับสู้ เลี้ยงดูปูเสื่อดูแลไอ้เด็กหน้าแปลก เอ๊ย แปลกหน้า ราวกับลูกชายที่พลัดพรากจากกันไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ผมได้แต่ยืนเกาหัวประหลาดใจอย่างล้นเหลือ
 
ต่อมาไอ้ปากแดงก็มีไข้นอนซมอยู่บ้านผมประมาณสี่ห้าวันเห็นจะได้ พอแม่รู้ว่าเขาถูกลักพาตัวแล้วก็หนีรอดมาได้ จึงไม่คิดจะนำส่งโรงพยาบาลแต่อย่างใด อาศัยทักษะวิชาชีพแม่ที่ดูแลลูกชายสองคนมาด้วยมือตนเองตั้งแต่เล็กแต่น้อย ปฐมพยาบาลดูแลไอ้หน้าขาวจนกระทั่งอาการดีขึ้นตามลำดับ แม่ผมมีอาชีพทำขนมไทยขาย ส่วนใหญ่ทำส่งร้านค้าที่รู้จักไม่ได้ออกไปขายเอง จึงสามารถดูแลไอ้ปากแดงได้โดยไม่ลำบาก
 
ส่วนพวกผมหลังกลับจากโรงเรียนก็มาผลัดเวรแทนแม่ ไอ้สารทน้องชายตัวดีของผมดูจะขยันขันแข็งแปลกพิกลที่ได้เช็ดเนื้อเช็ดตัวดูแลคนแปลกหน้า มันไม่บนว่าเหนื่อยหรืออิดออดแต่อย่างใด ทีกูบอกให้มึงไปช่วยซักผ้าถูบ้านบ้าง ทำเป็นไปฟ้องแม่ว่าถูกผมรังแกซะงั้น

หน้าที่ดูแลเจ้าหมอนั่นจึงตกอยู่ในความคุ้มครองของน้องสารทแต่ผู้เดียว ผมจึงต้องไปทำงานบ้านแทนมัน ไม่รู้ว่าอย่างไหนดีกว่ากัน แต่ก็คงดีกว่าจะต้องไปดูแลปรนนิบัติคนอื่นล่ะน่ะ

อาการไข้มันลดลงจนดีขึ้นตามลำดับ ประจวบกับวันนั้นแม่ต้องออกไปส่งขนม โดยจำเป็นต้องมีคนไปช่วยขนของด้วย เรื่องงานประจบสอพลอขอให้ไว้วางใจน้องสารทคนดีของแม่ มีหรือมันจะยอมน้อยหน้าผม จึงอาสาไปช่วยแม่ส่งของ ทั้งที่ภาระมันควรจะต้องดูแลไอ้หมอนั่น

“คิมปลุกเค้ามาทานยาประมาณเที่ยง แล้วก็ให้เขากินข้าวต้มด้วย อย่าลืมล่ะ” แม่สั่งกำชับเสียงเข้มก่อนจะเร่งจากไป
 
ผมเดินเซ็งๆไปเปิดเตาแก๊สตั้งใจจะอุ่นอาหารให้หมอนั่น นี่ก็เกือบหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วที่มันมาอยู่บ้านผม ไม่รู้ทางบ้านมันจะตามหากันจ้าละหวั่นขนาดไหน อันที่จริงดูเหมือนมันจะไม่เร่งร้อนกลับบ้านด้วยซ้ำ เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง ระหว่างที่ผมยืนหันหลังพิงโต๊ะกับข้าวจ้องหม้อข้าวต้มที่ค่อยๆเดือด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำลงพื้นกระดานมาทางด้านหลัง
 
หมอนั่นในสภาพหน้าซีดปากชมพูออกแดงๆ ลากสังขารจากห้องชั้นบนลงมาชั้นล่างได้แล้ว ถ้ามึงอาการดีขึ้นก็ควรรีบๆกลับบ้านไปได้แล้วล่ะ

“มึงหายดีแล้วสินะ”

เขาจ้องผมก่อนจะพยักหน้ากล่าวขอบคุณ

“ขอน้ำหน่อยได้เปล่า”

ผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับมันอย่างประหลาด

แต่ริมฝีปากสีสดบวกกับใบหน้าขาวๆทำให้ผมจำเป็นต้องสงบคำพูดทั้งหมดไว้ในใจ ก่อนจะหยิบแก้วมาวางไว้ กำลังหยิบเหยือกน้ำมาเทให้ แต่หมอนั่นก็ชิงพูดขอบใจซ้ำก่อนจะแย่งเยือกจากมือผมไปรินเอง แต่เพราะมันเพิ่งฟื้นเรี่ยวแรงหรือพิษไข้หวนกลับมาไม่ทราบ แทนที่จะรินน้ำใส่แก้ว กลับกระแทกเยือกกระทบแก้ว น้ำปริ่มเหยือกจึงกระฉอกหกเลอะเทอะจนแก้วเลื่อนหล่นจากขอบโต๊ะ ตกแตกกระจายลงพื้น

ผมเห็นแววตาแห่งความรู้สึกผิดติดประทับบนใบหน้ามัน ก่อนจะเร่งรีบเก็บกวาดเศษแก้วด้วยมือเปล่า แต่คนเราต่อให้โง่แค่ไหนก็ไม่ควรเก็บเศษของมีคมด้วยมือเปล่า ผมยังไม่ทันร้องห้าม เขาก็ร้องมาคำหนึ่ง นิ้วชี้ปรากฏบาดแผลเป็นรอยยาว เลือดสีแดงไหลมาตามปากแผล ผมรีบคว้านิ้วอีกฝ่ายไปล้างน้ำทันที กำชับว่าอย่าขยับเขยื้อนไปที่ไหนหรือทำอะไร ไม่งั้นกูเอามึงตายแน่

ก่อนผมจะรีบไปค้นหาอุปกรณ์ทำแผลยังตู้เก็บยาสามัญประจำบ้าน พอกลับมา หมอนั่นที่ตั้งแต่ผมพบมันในวันนั้นหน้าปากซอยกระทั่งวันนี้ ไม่เคยมีอาการร้องไห้ให้เห็นสักครั้ง แต่ร่างกายที่สั่นพร้อมหยดน้ำตา ก่อกวนบางอย่างในใจผมให้สั่นไหว สงสารหรืออะไรกัน

หรือเพราะผมดุมันเกินไป ตลอดเวลาที่แม่หรือไอ้สารทดูแลแถบจะประคบประหงมอีกฝ่ายราวกับไข่ในหิน หรือทั้งหมดมันเกิดจากฝืมือผม ผมได้แต่ทำแผลให้มันโดยไม่ได้พูดจาอะไร ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เอาแต่ร้องไห้เป็นว่าเล่น ถ้าแม่กลับมาผมต้องโดนตีแน่ จู่ๆผมก็อยากให้มันเลิกร้องสักที ไม่ใช่ว่าผมกลัวจะโดนแม่ตีหรอกนะ แต่ใจผมที่สั่นไม่หยุดตลอดเวลาที่อีกฝ่ายร้องไห้แบบนี้ต่างหาก มันไม่ใช่อาการที่ดีเลย ผมจึงชูนิ้วชี้ข้างขวาข้างเดียวกับที่มันเพิ่งโดนเศษแก้วบาดให้อีกฝ่ายดู ราวกับโอ้อวดของสำคัญ

“กูก็เคยทำเศษแก้วบาด ที่เดียวกับมึงเป๊ะ เห็นป่ะ”

เขากะพริบตามองนิ้วชี้ผมที่มีรอยแผลเป็นยาวกว่าสามเซนติเมตร

“คนเรามันทำพลาดกันได้เว้ย ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะต้องเสียใจ ถือว่าเก็บไว้เป็นประสบการณ์ ครั้งหน้ามึงจะได้ไม่ทำพลาดอีก”

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ คำพูดผมสามารถหยุดน้ำตาของไอ้ปากแดงได้ เช่นเดียวกับหยุดหัวใจที่สั่นไหวของผมให้สงบลงอย่างประหลาด

ผม แม่ และน้อง ไม่รู้แม้แต่ชื่อของเขา เพราะเจ้าตัวไม่ได้บอก กระทั่งวันรุ่งขึ้นมันก็กราบลาแม่ผม แล้วขอใช้โทรศัพท์บอกทางบ้าน เพียงไม่นานก็มีคนมารับมันกลับไป



คนในฐานะแบบผม ไม่ได้คิดว่าจะต้องมอบครั้งแรกให้กับผู้หญิงหรือผู้ชายที่ผมรัก ตรรกะแบบนั้นถ้าไม่ใช่ตัวละครในนิยายหรือละครสักเรื่องแล้ว ก็คงเป็นวัยรุ่นสาวน้อยหนุ่มน้อยวัยหวาน แต่ความลำบากที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายเพื่อเงินสักก้อน เรื่องของการจะมีเพศสัมพันธ์โดยป้องกัน และมีกลวิธีที่ไอ้ก้านมันบอกผมไว้อย่างดีแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องคิดหน้าคิดหลังให้มากความ

กาลควรได้รับสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ นับตั้งแต่เขาเรียกผมมาครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ

พอเจ้าของห้องผ่อนแรงมือสำหรับใช้ดันผมออกห่าง เพราะผมเสนอหนทางคลายอาการเกร็งโดยลองเล่นเกมถอดเสื้อผ้าทีละชิ้น ก็ดูเหมือนเขาจะเห็นดีเห็นงามด้วย

หากผมเป็นไอ้ขามนามสมมติ โดยไม่ได้สวมหน้ากากอย่างที่เป็นอยู่ เรื่องจะให้รุกกาลอย่างที่ทำขณะนี้คงไม่สามารถทำได้ แต่เมื่อผมสวมบทอีกด้านหนึ่งโดยมีหน้ากกากคอยปิดบังตัวตนแท้จริง สิ่งใดที่ผมได้แต่ทำได้ในความฝัน ผมก็อาจหาญกล้าทำอย่างชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

ผมจูบกาลซ้ำอีกครั้ง ลูบหน้าเขาด้วยมือขวา ก่อนจะใช้นิ้วชี้เกลี่ยริมปากกาลอย่างแผ่วเบา เพื่อเช็ดน้ำลายซึ่งเคลือบทิ้งไว้ของเราสองคน

ดวงตาเขามีทีท่าลังเลชัดเจนว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ถูกหรือผิดกันแน่ ผมเห็นใจสงสารเขาเช่นกัน ทั้งเรื่องถูกแฟนทิ้งและความบาดหมางระหว่างพ่อ คงสร้างความเจ็บปวดให้แก่เขาทบทวี

บางทีผมคงช่วยรักษาแผลใจให้เขาได้บ้าง ถ้าไม่ได้ในฐานะนายขามคนขนของ ก็ขอใช้โอกาสของไอ้คิมผู้สวมหน้ากากช่วยเยียวยาบ้างก็ยังดี

“นายเคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันมาก่อนหรือเปล่า”

ผมถามเสียงเบา

เขาสั่นหน้า เห็นได้ชัดว่าอายสุดๆ

“เป่า ยิ้ง ฉุบ”

เขาแพ้เลยต้องถอดเสื้อออก ต่อมาผมแพ้ก็เลยต้องถอดกางเกง หลงเหลือกางเกงชั้นในติดตัวกับหน้ากาก เขายังนอนอ้าขาอยู่บนโซฟาจ้องมองผม เราเล่นเกมกันอีกจนกาลแพ้ติดต่อกันกระทั่งเหลือชั้นในติดตัวเสมอเท่ากับผม ไม่สิ ผมยังเหลือหน้ากากไว้อีกหนึ่ง

ถามว่าผมกลัวความลับจะถูกเปิดเผยหรือเปล่า

ในตอนแรกก็เกร็งๆอยู่ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ และนั่นคือสิ่งที่โชคชะตากำหนดมาแล้วว่าผมต้องถอดหน้ากากออก ไม่ว่าบทสรุปเรื่องราวนี้จะเป็นแบบไหน ผมก็พร้อมยอมรับ เมื่อในที่สุดผลของเกมเป่ายิ้งฉุบออกมาว่าผมแพ้อีกครั้ง

ผมต้องเลือกระหว่างชั้นในกับหน้ากาก บางทีผมควรจะบอกความจริงกับเขา ระหว่างที่กำลังปลดหน้ากากออก กาลก็ร้องขึ้นมาว่า
“อย่าถอด”

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย

“นะ นายถอดชั้นในแทนเถอะ” เขาพยักพเยิดชี้ชิ้นส่วนท่อนล่าง ด้วยท่าทีเกร็งๆ

ผมย่อมปฏิบัติตามคำร้องขอของแขกผู้ใช้บริการ แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินต่อไปในสถานการณ์อันเร่าร้อนเกินกว่าที่ผมจะสามารถจินตนาการออกได้ในยามเมื่อคิดฝัน


TBC.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2019 20:10:59 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ทำไม ไม่ถอดหน้ากาก ..

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 14



KALN’s Talk
   

ผมนั่งฟังบรรยายวิชาแมริเอจเข้าหัวบ้าง ผ่านเลยไปบ้าง ผสมกับเหมและวัสกระซิบกระซาบคุยเรื่องงานวันเกิดไอ้ฟรานว่าสนุกแค่ไหน ราวกับจะพูดเย้ยอยู่ในทีว่าผมพลาดแล้วที่แกล้งกลับก่อน

ผมน่าจะพลาดอย่างที่มันว่าจริงๆ เพียงแค่เห็นปลายนิ้วชี้ของนายคิมปรากฏรอยแผลเป็นขนาดยาว ความคิดต่อต้านหวังบอกให้เขาหยุด ผมก็ลืมไปเสียสนิท

ผมเคยถูกลักพาตัวด้วยฝีมือคู่แข่งบริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของพ่อ เมื่อเกือบสิบปีก่อน ถึงตอนนี้ผมจะจำได้เลือนรางแต่สิ่งที่ยังอยู่ในความทรงจำของผมอย่างฝังแน่น คือครอบครัวผู้ดูแลผมหลังจากผมหลบหนีออกมาได้ ประกอบด้วยคนเป็นแม่หนึ่งและลูกชายอีกสอง รายละเอียดต่อจากนั้นถูกชะล้างผ่านไปตามกาลเวลา แต่เหตุการณ์ที่นิ้วชี้ผมมีรอยแผลเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ ยังคงติดตรึงในใจชัดเจน

‘เขา’ ไม่เคยชอบผม คนลูกชายคนโต ตลอดเวลาที่ผมอยู่บ้านหลังนั้นแม้จะไม่นาน แต่ก็นานพอที่จะทำให้ผมรู้ซึ้งถึงน้ำใจคนเราว่ายังคงมีหลงเหลืออยู่บนโลกอันโหดร้ายใบนี้ แต่นายนั่นไม่เคยจะมองผมอย่างฉันท์มิตร ผมคิด ณ ตอนนั้นด้วยวัยวุฒิแบบเด็กๆ ว่าเขาคงเกลียดชังผมที่ไปเป็นภาระให้ครอบครัวเขา ตลอดระยะเวลาจึงมีเพียงแค่หญิงวัยกลางคนผู้โอบอ้อมอารีและลูกชายคนเล็กเป็นคนปรนนิบัติดูแลเมื่อผมเกิดล้มป่วย เพราะพวกโจรที่ลักพาตัว มันทั้งทรมานและให้ผมอดอาหาร

ผมพยายามกลบเรื่องราวความทรงจำเลวร้ายทั้งหมด แต่ยิ่งกลบทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องราวลูกชายคนโตของบ้านนั้น


“เลิกคลาส” อาจารย์ผู้สอนประกาศผ่านไมโครโฟน

เสียงบรรดานักศึกษาต่างลุกยืนทยอยออกจากห้อง

“สัปดาห์นี้วิชาแคมป์เริ่มเรียนแล้วนะ คุณชาย”

ผมไม่ได้ตอบสนองคำพูดเหม กำลังก้าวผ่านนักศึกษาร่วมรายวิชาก็ปะเข้ากับพราวประดับ เธอตวัดสายตามองผมอยู่ชั่วขณะ เธอและเพื่อนสาวสวยกำลังถูกนักศึกษาชายจากคณะวิศวะขอชื่อและรายละเอียดเพื่อจดลงในสมุดฟอร์เฟรนด์ ซึ่งอาจารย์สั่งกำชับว่า เมื่อจบภาคการศึกษาฤดูร้อน ทุกคนต้องส่งสมุดที่มีรายชื่อเพื่อนร่วมคลาส ใครมีมากสุดยี่สิบอันดับแรกจะได้รับคะแนนพิเศษ

พวกผมสามคนแทบจะไม่ได้ใส่ใจทำ

“กาลนี่ทำใจได้เร็วเหมือนกันนะ” เพื่อนของพราว ชื่อ รตี ยิ้มทักพวกผมสามคน คำพูดเธอเสมือนเป็นตัวแทนคำพูดพราวประดับอย่างไรชอบกล

“หมายความไงเหรอครับ”

รตีหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าถือ แล้วโชว์รูปที่ผมกับพิมพ์พลอยกำลังเดินถ่าย Vlog ณ สวนพฤกษศาสตร์ให้ดู เหมกับวัสหัวเราะหึๆอยู่ข้างเคียงโดยไม่ได้พูดจาช่วยสักคำ ซึ้งน้ำใจชะมัด

“ผมแค่ขับรถพา...”

“ช่างเถอะค่ะ” รตียังคงฉีกยิ้มอวดฟันสวยและลิปสติกสีสดเหมือนเดิม ก่อนจะพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ไอซ์ทำกับกาลแบบนั้น จะมีสิทธิ์อะไรมาว่าได้ แต่กาลก็อย่าลืมว่า ผู้หญิงไม่ได้อยากแค่ให้ผู้ชายเที่ยวพาไปส่งที่ไหนๆโดยไม่ได้คิดอะไรหรอกนะคะ”

รตี หรือจริงๆแล้วพราวสั่งเธอมาอีกทอดหนึ่ง คงตั้งใจบอกผมให้ระมัดระวังพิมพ์พลอย แต่ในเมื่อผมบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าผู้หญิงจะมาไม้ไหน มีหรือที่ผมจะรับมือไม่ได้ ยกเว้นก็แต่เรื่องเมื่อคืน....ฤดูเร่าร้อนที่ยาวนาน

นั่นต่างหากที่ผมต้องระมัดระวัง ไม่ใช่บอกใครอื่นนอกจากหัวใจของผมเอง
 
ถามว่าทำไมผมถึงไม่ยอมให้เค้าถอดหน้ากาก ก็เพราะผมเคารพในสิ่งที่เขาทำอยู่ คงจำเป็นต้องปกปิดฐานะหน้าตา ผมไม่ได้อยากรู้ตัวตนแท้จริงของอีกฝ่าย งานที่เขาทำ หากไม่เดือนร้อนเรื่องเงินทองจริงๆ คงไม่มีใครยอมทำถึงขนาดนี้

ถามว่าใครรุกหรือรับ

อืม

“กูขอนั่งรถมึงไปเรียนแคมป์นะ” วัสบอกผม เหมพยักหน้าสมัครนั่งอีกคน

“อืม” ผมไม่ควรจะคิดถึง ‘เขา’ ตอนนี้

ถามว่าผมทำใจเรื่องพราวประดับได้แล้วหรือ คำตอบคือ ไม่ ยามผมสบเห็นเธอ หัวใจผมยังคงเจ็บแปลบทุกครั้ง ผมจะทำอะไรได้ นอกจากมองเธอจากจุดที่ผมยืนอยู่และเดินเลยผ่านไป คำถามที่รตีถาม ผมจึงตอบยืนยันได้เพียงแค่ว่ายังทำใจไม่ได้ อีกสักเดือน สามเดือน หรือตลอดชีวิต ชื่อของพราวประดับก็จะยังคงประทับอยู่ในใจผม


พวกผมสามคนเดินจากลานจอดรถ ข้ามฟากถนนไปยังโรงยิมของคณะศึกษาศาสตร์ สถานที่เรียนวิชาแคมป์ฯ มีนักศึกษาในคณะและต่างคณะต่างกำลังทยอยเข้าสู่ห้องเรียนที่อยู่ท้ายสุดของโรงยิม คนเรียนวิชานี้เยอะเป็นพิเศษ ด้วยกิตติศัพท์แจกเกรดเหมือนแจกไอติม อีกทั้งงานที่ต้องส่งอาจารย์ประจำวิชาก็ไม่ได้มีมากมายนัก จะหนักไปทางภาคปฏิบัติมากกว่า ได้ยินว่ามีการออกค่ายของจริงด้วย

“ไอ้เหี้ยคุณชายกาล”

ผมขมวดคิ้วขณะหันมองตามคำร้องเรียก นักศึกษาหน้าฝรั่งแต่ผมดำคนนั้นโบกมือหยอยๆ ยืนรออยู่ประตูห้องโดยอาจารย์ยังไม่เปิดให้เข้าไป มันชื่อว่า ฟราน เจ้าของงานวันเกิดเมื่อคืนที่ผมหนีไปโดยไม่ได้บอกกล่าวเจ้าตัว

“คิดคำแก้ตัวไว้ดีๆล่ะ คุณชาย” เหมยักคิ้วให้ผมหนึ่งดอก ก่อนจะเดินนำหน้าเข้าหาเพื่อนฝรั่ง

แต่สายตาผมไม่ได้มองไอ้เพื่อนต่างคณะตาน้ำข้าว ทว่ากลับมองเห็น ‘เขา’  คิมหันต์ อีกคน กำลังยืนจ้องผมอยู่ราวกับความฝัน
ชิบเวร ผมไม่ควรจะหยุดเดินจนวัสสานะมันเดินชนหลังผมเต็มๆ

“ไอ้กาล ถ้ามึงจะหยุดเดินก็ควรบอกกูสักคำเถอะ” วัสโวยวายพอให้หายเคือง ก่อนจะถามซ้ำว่า “มีอะไรเปล่าวะ”

“เปล่า”

วัสส่ายหัวก่อนจะเดินลูบหน้าผากตามเหมไป

“ไงมึง อาการยังดีอยู่นี่หว่า แต่เมื่อคืนเมาเป็นหมาเลยนะ” เหมทักฟราน ไอ้ฝรั่งยิ้มรับว่าเจ้าตัวเมาเป็นหมาจริงๆ

“เออๆ นี่เพื่อนกูเอง ไอ้หน้าจืดนี่ชื่อ น้ำฝน”

“ขอกินได้มั้ยครับ” เหมันต์พูดกับเพื่อนฟรานคนที่ชื่อน้ำฝน

“กินตีนกูอ่ะเหรอ ได้อยู่นะ”

“โหดเชี่ย ล้อเล่นหรอกน่า” มึงก็พูดแหย่เค้าเกินไป ผมเดินตามมาอยู่ใกล้ๆกลุ่มไอ้ฟราน ขามทำทีเป็นหลบตาเหมือนเราสองคนไม่เคยรู้จักกัน

อาการมองหน้ากันไม่ติด มันเป็นแบบนี้สินะ

“ไอ้สองคนนี้ชื่อก้าน แล้วก็กิจ ส่วนหนุ่มหล่อนักกีฬามหา’ลัยด้านหลังโน่นชื่อ...”

“คิมหันต์” เจ้าตัวรีบพูดชื่อตัวเองออกมาเสียงดัง ทำเอานักศึกษาร่วมคลาสต่างมองพวกผมเป็นตาเดียว นึกว่ามีเหตุชกต่อยเกิดขึ้น ก็เพราะเสียงห้าวของอีกฝ่ายตะโกนราวกับจะบอกคนทั้งโลกให้รู้ว่าตัวเขาชื่ออะไร

ชอบให้เรียกชื่อจริงหรือว่ายังไง

“มึงจะตะโกนทำเชี่ยอะไรวะ คุณคิม...หันต์” ไอ้ฟรานทำหน้าตาสงสัย ออกชื่อเต็มสนองความต้องการอีกฝ่าย

“เออน่า” เขาดูอารมณ์เสียชอบกล สงสัยต้นเหตุทั้งหมดคงมาจากการปรากฏตัวของผมแน่ๆ

“กูเหมนะ นั่นวัส แล้วก็คนที่ดูรวยๆพอๆกับไอ้ฟรานชื่อ คุณ...”

ผมกระแอมเตือนเพื่อนรัก มันหันมายิ้มสมใจแล้วพูดว่า

“ชื่อ กาล”

“หวัดดี” ผมกับวัสพยักหน้าให้เพื่อนไอ้ฝรั่ง

ไม่นึกว่าโลกจะกลมขนาดนี้ ในบรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัยกว่าหลายหมื่นคน เพื่อนฟรานจะเป็นใครก็ได้ แต่โลกเลือกจับนายคิมหันต์มายืนตรงหน้าผมในฐานะเพื่อนของเพื่อนซะอย่างงั้น เขากล้าที่จะจูบผม แต่พอผมเสนอหนทางสนอง อีกฝ่ายกลับปฏิเสธอย่างไม่ไยดี

ผมผิดเอง
 
บางทีผมควรจะขอโทษเขาหลังจากพูดจาดูถูกแถมยังคิดเอาเงินฟาดหัวซ้ำอีก แต่ทุกอย่างก็ผ่านเลยจุดขอโทษนั้นมาแล้ว เหมือนเช่นขับรถผ่านเส้นทางวันเวย์ จะวกย้อนสวนกลับทางเดิมก็คงไม่สามารถทำได้

แต่ดูเหมือนจังหวะขอโทษจะย้ายมากองอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง ก็เพราะอาจารย์ประจำวิชาแคมป์บอกทันทีเมื่อทุกคนเข้าไปรวมกันในห้องเรียนว่าให้จับกลุ่มหกคน โดยคนหกคนนี้จะร่วมกันทำรายงานและกิจกรรมอื่นๆจนกระทั่งจบคอร์สเรียน

กลุ่มฟรานมีอยู่แล้วห้า ส่วนเหมกับวัสก็เจอเพื่อนคณะวิศวะซึ่งขาดอยู่สอง ผมจึงรีบตอบรับทันทีที่ไอ้ฟรานยื่นคำร้องเชิญชวน
“มึงแยกมาอยู่กับกูละกัน ไอ้กาล”

‘เขา’ ทำหน้าท้าทาย คงคิดว่าผมจะปฏิเสธ แต่ผมจะกล้าทำให้นายคิมหันต์คนนี้ผิดหวังหรือ คำตอบคือใช่ ผมจึงรีบตอบรับเข้ากลุ่มทันที เขาเม้มปากบ่งว่าไม่ชอบใจอย่างยิ่ง ผมยิ่งมีความสุขอยู่ในใจลึกๆที่แกล้งเขาได้

“เออ ให้มันพูดว่านอนสอนง่ายแบบนี้บ้างก็ดีนะ คุณชาย ทุกทีกูไม่เคยเห็นมึงทำตามที่พวกกูขอสักเรื่อง มีแต่คิดเห็นต่างจนได้เรื่องได้ตีนมากินนับครั้งไม่ถ้วน” ฟรานทำหน้าแปลกใจระคนหมั่นไส้

พวกเราทั้งห้านั่งขัดสมาธิล้อมโต๊ะญี่ปุ่น มีจำนวนกว่าสิบตัวในห้อง ระหว่างฟังอาจารย์เกริ่นนำรายวิชาพวกผมก็อาศัยพูดคุยกันอยู่ท้ายๆห้องไปพลางๆ

“อย่างเมื่อคืน มึงก็หายหัวไปเฉยเลย กูให้ไอ้เหมโทรตามมึงก็ไม่ยอมมา กูอุตส่าห์พาไอ้น้ำฝน ก้าน กิจไปแนะนำ ไอ้นี่ก็อีกคนหายหัวไปเหมือนกัน” มันพูดครั้งเดียวเหมารวบผมกับคิมหันต์มัดรวมในข้อหาความผิดคล้ายๆกัน

“กูมีธุระ มึงก็รู้นี่” คิมหันต์สั่นหน้าบอก

“เออๆ กูยอมรับข้อแก้ตัวของมึง แต่ไอ้คุณชายกาลนี่ ลองบอกมาหน่อยดิว่าหายหัวไปไหน”

ผมเห็นทางหางตาว่าเหมกับวัสมันยิ้มพึงพอใจอยู่ นี่มึงเป็นเพื่อนคณะเดียวกับกูแน่หรือเปล่า แต่ผมกลับสงสัยว่าหลังจากผมออกจากร้านไปแล้ว นายขามออกไปทำธุระอะไร อย่างที่ไอ้ฟรานซัดทอดความผิดเขาไว้ บางทีผมอาจจะลองตามสืบจากเฮียเจตได้ แต่...

ทำไมผมจะต้องการรู้ทุกเรื่องและความเคลื่อนไหวของนายคิมหันต์คนนี้ เขามีแฟนอยู่แล้วและไม่ได้ชอบผม คงเกลียดผมด้วยซ้ำที่เอาเงินฟาดหัวเขานับครั้งไม่ถ้วน อันที่จริงก็น่าจะประมาณสองสามครั้งเห็นจะได้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมคงต้องเลียบเคียงถามเฮียเจตอีกครั้ง ทั้งที่เมื่อคืนเป็นงานวันเกิดของเพื่อนตนเอง ทำไมเขาจึงหายตัวไปโดยไม่ได้บอกกล่าวใครไว้ แต่ไอ้ฟรานก็เหมือนจะรู้ๆเหตุผลอยู่ถึงไม่ได้ตีซ้ำเอาโทษเหมือนอย่างที่กำลังคาดคั้นจากผม

“กูนัดสาวไว้”

“ว่าละ” ไอ้ฟรานยิ้มเจ้าเล่ห์ “สวรรค์ชั้นเจตหรือจะสู้สวรรค์ชั้นกาล ฮ่าๆ คราวหน้ามึงโทรตามกูไปด้วยดิ กูอยากมีประสบกาม เอ้ย ประสบการณ์ทรีซัม”

มึงก็ไม่ได้ใช้สมองไตร่ตรองเลยนะไอ้ตาน้ำข้าว ผมหัวเราะหึๆในลำคอพอเป็นพิธี คิมหันต์จับตามองผมนิ่งๆ

โกรธหรือไม่พอใจ อย่างไหนไม่ทราบ

ผมควรจะดีใจที่เขาหัวเสียในคำอธิบายหลอกๆของผมหรือเปล่า เพราะถ้าหากเขายอมไปกับผมเมื่อคืน วันนี้คงไม่สามารถมานั่งจ้องมองผมด้วยสายตาแบบนี้ได้แน่ๆ

นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าผมคงแสดงอาการหื่นหรืออย่างไรไม่ทราบ คนชื่อน้ำฝนเลยทักผมเสียงเบาว่า

“มึงชอบผู้ชายหรือผู้หญิงวะ”

ผมเลิกคิ้วเป็นคำถามย้อนกลับอีกฝ่าย ไอ้ฟรานกลั้นขำแทบแย่

“ก็ตลอดเวลาตั้งแต่พวกกูเจอมึง มึงก็เอาแต่จ้องมองไอ้คิม...หันต์ จนถ้ามันเป็นปลากัด ป่านนี้คงท้องออกลูกเป็นโขยงไปแล้วมั้ง”

“กูให้มึงห้ากะโหลก น้องน้ำฝน ถูกใจกูชิบหาย”

ฝากไว้ก่อนไอ้ฝรั่ง แทนที่มึงจะช่วยกู ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆก่อนจะโบกมือปฏิเสธ เลิกจ้องมองนายคิมหันต์ทันที

“กูไม่ได้คลานออกมาจากท้องแม่มึง สัด”

ผมยิ้มให้เพื่อนคิมหันต์ที่ช่วยเอาคืนฟรานแทนผม ไอ้ฝรั่งหัวเราะชอบใจใหญ่จนอาจารย์ต้องเงยหน้าขึ้นจากคอร์สเอาท์ไลน์เพื่อมองว่าทำไมจู่ๆนักศึกษากลุ่มท้ายห้องจึงหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง


TBC.

- - - - - - -  - - - - - - - - - - - - - -

พูดคุย

ทำไม ไม่ถอดหน้ากาก ..
พออ่านตอนที่ 14 คุณน่าจะได้คำตอบแล้วนะครับ ว่าทำไม โทษทีฮะที่ทำให้สงสัย อิอิ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2019 17:20:26 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 15



KIM’s Talk


ผมมีความลับจะบอก หากผมไม่ได้ระบายกับใครสักคนคงอกแตกตายแน่ๆ แม้ว่าคนที่ผมเลือกระบายด้วยจะเป็นตัวผมเองในกระจกเงาของห้องน้ำก็ตามที

ผมเลือกที่จะโกหกพวกเพื่อนๆทั้งสี่คนว่ายังไม่มีความคืบหน้าในทางสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างผมกับแขกวีไอพีอันดับหนึ่งเพียงคนเดียว ก้านกับกิจมันมองผมอย่างจับผิดแปลกๆ แต่ถ้าผมปากแข็งยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวแล้ว มีหรือใครจะกล้าล้วงความลับที่ผมสู้ปกปิดซ่อนเอาไว้ได้

ผมมีอะไรกับกาลแล้ว

จะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นความฝันก็คงใช่ อารมณ์ความรู้สึกที่มีกาลนอนอยู่ใต้ร่าง ชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง ผิวขาวจัด ปากออกสีแดงๆ ดวงตาหม่นหมองดูลังเลแต่ก็ดื้อดึงเอาใช่เล่น อย่างกับว่าอยากจะลองสักตั้งแบบนั้น ทำให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะปรนนิบัติ ‘เขา’ แบบเร่าร้อนและรุนแรง จนกระทั่งอีกฝ่ายร้องครวญไม่เป็นภาษา
 
อีกสองคืนถัดมา กาลก็เรียกนายคิมหันต์คนที่สวมหน้ากากไปหาอีก

ไม่มีคำพูดสนทนาใดๆ นอกจากแววตาสำหรับใช้สื่อสารระหว่างเราสองคน
 
หน้ากากคือเครื่องปิดบังชิ้นสุดท้ายบนตัวผมที่หลงเหลือ กาลไม่เคยขอร้องให้ผมถอดออก ไม่ว่าผมจะแสดงเจตจำนงว่า หากเขาต้องการอยากรู้อยากเห็นใบหน้าใต้หน้ากาก ผมจะไม่มีวันคัดค้านปฏิเสธ แต่กาลก็คือกาล ณ เวลาเห็นสวรรค์อยู่รำไร ใบหน้าผสมหยาดเหงื่อเรียกร้องเพียงแต่ให้ผมกระแทกกระทั้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ร้องขอสิ่งอื่นนอกจากความเร่าร้อนกลางฤดูร้อนที่ยืดเยื้อและยาวนาน
   

“มึงดูโทรมๆไปนะ ไอ้คิม”

พี่เจตทักผมในคืนหนึ่งที่กาลไม่ได้เรียกผมไปหา ผมสั่นหน้ายิ้มน้อยๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

“ใช้ไอ้นั่นหนักหรือเรา เพลาๆบ้างนะโว้ยไอ้คิม เดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน” โห เฮียพูดราวกับตาเห็น นอกจากพี่จะชงเหล้าเก่งแล้วน่าจะเปิดร้านดูดวงพยากรณ์ชะตาชีวิตด้วยนะ ผมได้แต่รำพันในใจ ก่อนจะตอบว่า

“นิดหน่อยพี่ แต่ผมก็ต้องขอโทษพี่เจตด้วยที่พักนี้ลาบ่อย หากผมปรับตารางชีวิตได้จะไม่ให้กระทบกับงานเสิร์ฟแน่นอน”

“เออๆ ไม่เป็นไรว่ะ ปัญหามีไว้คลี่คลายแก้ไข กูพอเข้าใจอยู่ ไอ้ขามมันก็ถามเซ้าซี้หามึงแทบทุกวัน วันนี้มึงก็เคลียร์กับน้องมันเองแล้วกันกูขี้เกียจตอบแทนแล้วเว้ย ฮ่าๆ” เฮียเจตยิ้มเยาะสะใจเรื่องมะขาม ไม่เพียงไม่แก้ตัวให้ผม เฮียแกน่าจะโยนเชื้อไฟใส่กองเพลิงสุมใจไอ้รุ่นน้องคนสนิทไปไม่มากก็น้อยแน่ๆ

“ซึ้งใจจังครับพี่ที่ช่วยผม” ผมแดกดันกลับไปหนึ่งดอก ก่อนเฮียแกจะชูนิ้วกลางกลับมาให้ ประจวบกับพี่กวางเดินมาเห็นพอดีก็ตะโกนด่าแฟนหนุ่มเสียงดังลั่น จับใจความได้แต่ว่า ของของมึงไม่ควรเอาให้ใครนอกจากกูคนเดียว ผมนี่กลั้นขำแทบแย่ก่อนจะเลี่ยงเดินไปเปลี่ยนชุดยังหลังร้าน

ผมเข้าร้านมาตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน คิดว่าจะเป็นพนักงานคนแรกๆที่มาถึง ที่ไหนได้ยังมีคนอื่นมาถึงก่อนผม

มะขามจับตามองผมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทำเอาผมเสียวสันหลังวาบๆ ราวกับผัวถูกเมียจับได้ว่าไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย

“เอ่อ มึงมาเร็วนะ” ผมพยักหน้าให้ขามก่อนจะเปิดประตูล็อกเกอร์กันสายตาเชือดเฉือนออกจากตัว

“พี่สะดุ้ง ผมเห็นนะ”

คือถ้ามึงจะพูดสำเนียงเย็นชาเหมือนภรรยาจับผิดสามีแบบนี้ สงสัยผมคงต้องรับมันไว้เป็นเมียแล้วจริงๆ ดุจังวะ

“กูก็ต้องสะดุ้งสิวะ มึงยืนอยู่ในเงามืดเงียบๆ กูนึกว่าผี ปกติมึงไม่ได้มาเร็วขนาดนี้นี่หว่า” ผมยกเหตุผลร้อยแปดหวังปัดอาการเลิ่กลั่กออกจากตัว

“...”

บางทีผมคงต้องแสดงตัวให้ชัดเจนแล้วสินะ เรื่องความสัมพันธ์ที่มะขามมันคาดหวังจะได้รับจากผมเกินกว่าฐานะพี่น้องคงไม่มีวันเป็นไปได้ ผมไม่ได้ชอบมันแบบนั้น เอ็นดูแล้วก็ห่วงใยมันในแบบรุ่นพี่รุ่นน้องมากกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมทำแต่เพียงมองข้ามสายตาและการกระทำเอาอกเอาใจที่อีกฝ่ายมอบให้โดยไม่คิดปฏิเสธ เกรงขามมันจะเสียน้ำใจ ทั้งของฝาก ของขวัญ ของวันเกิด กระทั่งของเทศกาลสำคัญอื่นๆมันก็สรรหามามอบให้ผมราวกับเนรมิตได้
 
คือถ้ากูเป็นสาวน้อยหรือหนุ่มน้อยที่ชอบมึง คงยินยอมพร้อมตกลงเป็นแฟนไปนานแล้ว แต่ผมไม่เห็นมันเป็นอื่นนอกจากน้องที่น่ารักคนหนึ่งเท่านั้น

หากหัวใจผมยังว่าง หากใจผมไม่หวั่นไหวไปกับใครสักคน ผมอาจจะรับมะขามไว้พิจารณา มันเองก็มีส่วนดีๆที่ผมรับได้ แต่...ในเมื่อผมเกิดเผลอเอาใจไปฝากไว้ที่อื่นแล้ว ถึงขั้นเรียกได้ว่าชอบหรือรัก ผมก็ยังพูดไม่ได้เต็มปาก แต่เขากลับทำให้ผมหวั่นไหวได้ขนาดนี้ย่อมไม่ธรรมดา จะว่าเพราะผมและกาลมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันจึงทำให้ผมเกิดนึกชอบเขา นั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ผมรู้ว่าผมใจสั่นมาก่อนเหตุการณ์ถลำลึกทั้งหมด ก่อนหน้านั้น ไม่ใช่ ณ คืนแห่งความเร่าร้อน ผมมั่นใจ

แต่กาลจะรู้สึกแบบผมหรือเปล่า นี่สิคือปัญหา หากเขาไม่คิด แล้วทำไมต้องเรียกผมไปหาและมีอะไรกันเกินกว่าหนึ่งครั้ง แบบนี้จะเรียกว่าไม่รู้สึกอะไรหรือ คือเรื่องปกติที่คนรวยเขาทำกันหรือ ผมพยายามหาข้ออ้างอื่นๆมาลบล้างแต่ยากเต็มที

“ถ้าพี่มีเงิน...จะจัดการปัญหาอะไรก็ย่อมทำได้” มะขามพูดราวกับนั่งอยู่ในใจผม

“มึงว่าไงนะ” ผมรู้สึกโกรธนิดๆโดยไม่ทราบสาเหตุ

“ก็ถ้าพี่มีเงิน พี่คงไม่ได้เห็นผมอยู่ที่นี่ตอนนี้ถูกหรือเปล่าล่ะ” มะขามมันพูดต่อจากคำพูดผมที่กล่าวทิ้งท้ายไว้ “คนเราเกิดมาในครอบครัวแตกต่างกัน บางคนเกิดมารวย มีเงินทองใช้สอยโดยไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหา แต่บางคนก็ต้องขวนขวายให้ได้มาเลือดตาแทบกระเด็น ผมจึงได้พยายามบอกพี่ไงว่า ถ้าพี่ไม่เจอผมที่นี่ก็แปลว่าพี่รวยและมีเงินมากกว่านี้ ใช้จ่ายเงินทุกบาทได้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังว่าจะพอใช้ถึงสิ้นเดือนหรือเปล่า แต่นี่...พี่ ยังคงมาร้านพี่เจตอยู่ ก็แปลว่าฐานะของคนเรามันแบ่งชนชั้นไว้ชัดเจน ยากดีมีจน ไม่ใช่คำพูดกลวงๆ แต่มันคือเรื่องจริง”

มะขามมันพยายามบอกอะไรบางอย่างในถ้อยคำยืดยาว ผมจะแกล้งโง่ ไม่เข้าใจในสาระสำคัญก็คงจะดูถูกสติปัญญาของตัวเองเกินไปหน่อย ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ดอกฟ้ากับหมาวัด ทำไมผมจะไม่เคยได้ยิน คนแบบผมหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ในช่วงอายุตอนนี้โดยไม่ต้องเดือดร้อนถึงทางบ้านก็รู้ได้ว่าตนเองไม่ได้เกิดมารวย

กาลเหมือนฟ้าสูงและดอกฟ้า ส่วนผมเป็นแผ่นดินต่ำและที่สำคัญเป็นไอ้หมาวัดตัวหนึ่ง ทำไมผมจะไม่รู้ ผมได้คำตอบแล้ว ทำไมเขาจะต้องมารู้สึกอะไรๆกับคนลึกลับสวมหน้ากากอย่างผม คงมีแต่ผมเพียงฝ่ายเดียวที่คิดเข้าข้างตัวเองตลอดมาว่ากาลก็คงนึกชอบผมบ้าง

ทั้งๆที่ลับหลังผม เขาอาจจะกดเรียกชายหนุ่มรูปหล่อคนอื่นไปหาในคืนนี้ก็เป็นไปได้


คืนถัดมา กาลเรียกผมไปหาอีก ในใจลึกๆผมอยากปฏิเสธและเลิกรับงานแบบนี้ บางทีผมควรไปสมัครเป็นนายแบบอย่างมะขามมันเคยทักท้วง น่าจะเงินดีไม่แพ้กัน ผมไม่เคยออกไปหาชายหนุ่มหรือหญิงสาวคนอื่น ถึงแม้จะมีข้อความทักมาถามว่าผมว่างมั้ยตลอดทั้งวัน แต่ทันทีเมื่อเป็นข้อความของมิสเตอร์คลาน ใจผมก็สั่นไหวทุกครั้ง อยากพิมพ์ตอบไปว่าไม่ว่าง แต่นิ้วมือดูเหมือนจะไม่ได้ทำงานประสานกับความคิดผมเท่าไหร่

ว่างครับ


พอผมไปถึงห้องของกาล ‘เขา’ ก็ดื่มเบียร์จนเมามายเหมือนเช่นทุกครั้ง ผมลืมบอกไปว่าตลอดเวลาที่ผมมีอะไรกับกาล สติของเขาไม่ได้เต็มร้อยอย่างควรจะเป็น เพราะส่วนหนึ่งถูกควบคุมด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ มีแต่ผมฝ่ายเดียวที่ทำทุกอย่างไปด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์

เมื่อกาลเห็นผมเดินตามเขามาในห้อง โดยไม่ต้องเกริ่นนำพูดจาหยอกล้อ หรือกระตุ้นอารมณ์ทางเพศใดๆ เขาก็ค่อยๆถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมใส่ออกอย่างทุลักทุเล ผมจึงจำเป็นต้องช่วยกาลอย่างเช่นทุกครั้ง

ลมหายใจของเขาร้อนเหมือนบรรยากาศภายนอก ทั้งแก้มและริมฝีปากที่ผมเคยสัมผัสด้วยปากของผมก็แดงระเรื่อน่าเชื้อเชิญให้ลิ้มลอง ผมกำลังช่วยปลดปล่อยรอยแดงนั่น ก็พอดีกับคำพูดของมะขามดังขึ้นมาเตือนสติผม

‘ฐานะของคนเรามันแบ่งชนชั้นไว้ชัดเจน ยากดีมีจน ไม่ใช่คำพูดกลวงๆ แต่มันคือเรื่องจริง’

ผมจำเป็นต้องละทิ้งความตั้งใจเดิมแล้วหันมาถอดเสื้อผ้าตัวเองออกจนหมด ยกเว้นเพียงหน้ากากปกปิดดวงตา

กาลหายใจแรงพอๆกับเนื้อตัวที่สั่นน้อยๆยามไร้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม

“นาย...ช่วยผมถอดหน่อย”

เขาเอนตัวลงนอนบนเตียงปูผ้าสีขาว พยักพเยิดให้ผมช่วยดึงกางเกงยีนรัดน่องขาที่ฟิตเสียจนคนเมาไม่สามารถถอดเองได้ ผมลงปากจูบตั้งแต่ต้นขาของกาล ส่วนอีกมือก็ค่อยๆไล่ดึงกางเกงออกจนกระทั่งถึงปลายเท้า ตัวกาลสั่นเทิ้มตามจำนวนรอยจูบ
ผมไม่ควรชอบกาล

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร เขาไม่แม้จะขอให้ผมถอดหน้ากากออก นั่นก็บ่งบอกได้ชัดเจนแล้วว่า กาลไม่ได้สนใจไยดีว่าคนที่ปรนเปรอมอบความสุขให้เขาจะเป็นใคร มีหน้าตาแบบไหน

ผมคือไอ้โง่ที่ตกหลุมรักคนใจร้ายเอง แล้วผมจะมีสิทธิ์อะไร จะคาดหวังให้เขาหวั่นไหวไปในทุกการเคลื่อนไหวและความสัมพันธ์ลึกซึ้งชั่วข้ามคืนหรือ โง่เกินไปแล้วไอ้คิม มึงมันไม่เจียมกะลาหัว

ยามเจ้าตัวร้องขอให้ผมออกแรงกระแทกหนักหน่วง ผมมักจะจูบซับเสียงร้องด้วยปากของผม ราวกับจะใช้ปลอบให้เขาคลายเจ็บได้ แต่ค่ำคืนนี้ผมทำไปดั่งหนึ่งคนไร้หัวใจ เหมือนกับเป็นหุ่นยนต์ ออกแรงรับใช้กาลอย่างเต็มกำลังวัยหนุ่ม แต่ทว่าหัวใจผมกลับนิ่งสงบ ผมมองเขาด้วยสายตาเย็นชาผ่านใบหน้าที่สั่นไหวทุกครั้งที่ผมยัดเยียดอวัยวะของผมเข้าไปในร่างกายของเขา
 
ผมเป็นเพียงคนช่วยระบายอารมณ์ เป็นคนไร้ตัวตน ไม่ใช่คนที่จะอยู่ในสายตาเขา

ผมสัญญาว่าจะมาทุกครั้งที่กาลเรียก จนกว่าเขาจะไม่เรียกหาผมอีก ส่วนใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากาก หากเขาไม่ร้องขอ ผมก็จะไม่มีวันเปิดเผย ให้มันเป็นความลับตลอดไป ว่าครั้งหนึ่งผมเคยผ่านเหตุการณ์ครั้งสำคัญของหัวใจมาแล้ว   


TBC.


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไม่ได้เข้ามาอ่านเสียนาน สรุปว่ากาลยังไม่รู้ว่าชายใส่หน้ากากคนนั้นคือคิมสินะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 16




Special Talk: Francis [มะขามหวาน ยี่ห้อ ฟรานซิส]


‘ฟรานเก้านิ้ว’ เป็นฉายาในหมู่สาวๆต่างรู้จักกันดี ไม่ใช่ว่าผมนิ้วมือพิการหรืออะไร แต่มีความหมายในเชิงโลกีย์ซะมากกว่า แน่ล่ะว่าพ่อผมต้องให้ของติดตัวมาอย่างไม่ธรรมดาแบบชาวต่างประเทศ สัญชาติอังกฤษ ส่วนแม่ผมเป็นคนไทย แม่เป็นลูกเจ้าสัวธุรกิจการค้ารายใหญ่ มรดกตกทอดจากอาม่า อากง นอกจากธุรกิจโรงแรมแล้วยังรวมถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำอีก เรียกได้ว่าผมเกิดมาบนกองเงินกองทองก็ว่าได้

ผมรู้จักไอ้กาลตอนเปิดตัวคอนโดมิเนียมหรูของบริษัทพ่อมัน เห็นภายนอกครั้งแรกดูเป็นคนเนี้ยบ หน้าเชิ่ด แววตาอ้อนตีนชอบกล แต่เนื่องจากพ่อแม่ของพวกเรารู้จักกัน พอท่านแนะนำก็ทำได้แค่สวมหน้ากากใส่กันเท่านั้น ผมรู้ว่ามันเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผม แต่ไม่ได้คิดจะคบหาไว้เผื่อเป็นหุ้นส่วนธุรกิจเช่นพ่อแม่ผมแนะนำแต่อย่างใด

เย็นชาแล้วก็ยิ้มยาก อย่างกับมีอะไรครอบปากไว้ นั่นคือนิยามของอนันตกาล

แต่เหตุการณ์ช่วงชีวิตของนักศึกษาปีหนึ่งไม่มีอะไรสำคัญเท่าการเปิดโลกเฟรชชี่และดาวเดือน ผมถูกเลือกเป็นเดือนคณะวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องทำกิจกรรมเพื่อประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยลำดับต่อไป ส่วนไอ้กาลก็ถูกเลือกเป็นเดือนคณะบริหารธุรกิจเช่นเดียวกัน ว่าที่เมียมันคือ ไอซ์ หรือมันชอบเรียกว่า พราวประดับ ก็เป็นดาวคู่กับกาลในปีนั้นด้วย เรียกได้ว่าเป็นคู่สร้างคู่สมน่าอิจฉาชะมัด

เดิมทีผมไม่ชอบขี้หน้าไอ้กาลเป็นทุนอยู่แล้ว พอเห็นมันได้ดีมีแฟนสวยเดินควงกระหนุงกระหนิงราวกับโลกนี้มีกันแค่สองคน เป็นที่อิจฉาตาร้อนของหนุ่มๆสาวๆในกองประกวดจนเป็นภาพชินตา ผมทำได้แค่มองผ่านอยากให้กิจกรรมปั้นดินเป็นดาวจบเสียที รำคาญแม่งชิบหาย

ค่ำคืนงานประกวดจริง ผมนัดแนะกับพี่เลี้ยงว่าจะร้องเพลงประกอบดีดกีตาร์เอง แต่ปรากฏว่ากีตาร์ที่ทีมงานจัดหามาให้แม่งคีย์เพี้ยนต้องตั้งใหม่ แล้วเวลาก็จวนตัวเพราะต่อไปผมต้องขึ้นแสดงต่อจากเดือนคณะบริหารธุรกิจซะด้วย เหมือนกับว่าเดือนคณะบริหารฯรู้ปัญหาของผม พอมันแสดงโชว์มวยไทยเสร็จ และควรจะลงมาทันที มันกลับชวนพิธีกรช่วยเป็นคู่ซ้อมมวยแม่ไม้ต่างๆ ประกอบกับอธิบายท่วงท่าและกลวิธีเอาชนะอีกฝ่ายยื้อถ่วงเวลาไปจนนานพอที่ผมจะตั้งสายกีตาร์สำเร็จ

พอมันเดินสวนลงมาจากเวทีที่ผมรอขึ้นอยู่ ฝ่ามือขยับตบบ่าผมเบาๆ ผนวกกับรอยยิ้มที่หาดูได้ยากยิ่งคือสิ่งที่ผมไม่นึกฝันว่าจะได้รับในคืนนั้น หล่อชิบหาย ไม่ใช่เพราะหน้าตามึงนะ จิตใจมึงต่างหาก ไอ้กาล

นับจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผมก็เลิกคิดอคติกับกาล แลกเบอร์แลกไลน์กันไว้ในฐานะเพื่อนมาจนถึงปัจจุบัน

หากผมชอบผู้ชายด้วยกัน คุณชายอนันตกาลคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง แต่ที่ผมซึ้งใจไม่ใช่เพราะมันหล่อหรือมีน้ำใจช่วยเหลือแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว กาลพิสูจน์นิสัยดีๆของมันตลอดมา ไม่ว่าผมมีปัญหาอะไร มันก็พร้อมจะช่วยคิดหาทางแก้ มิตรภาพระหว่างผมกับกาลจะไม่มีวันเสื่อมคลาย
   

แต่คืนนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่ 20 ของผม สถานที่จัดงานคือร้านสุราหุ้นส่วนของคุณชายกาล ชื่อ สวรรค์ชั้นเจต เพื่อนสนิทต่างคณะนามว่าไอ้เชี่ยกาลคนดี แม่งหายตัวไปไหนวะ ผมโกรธแล้วก็เมามายแบบผู้คนทั่วไปเรียกว่า เมาหัวราน้ำ นั่นแหละ กูอุตส่าห์พาเพื่อนในคณะมาแนะนำ แทนที่มึงจะแวะมาทักสักครู่ก็ยังดี เข้าใจหรอกนะว่าช่วงนี้มันเฮิร์ตเพิ่งเลิกกับแฟน แต่ก็ไม่ควรหลบหน้าหลบตาเพื่อนอันดับหนึ่งอย่างกู ไอ้คิมก็อีกคน น้อยใจแม่งชิบหาย

“โทษนะ ถึงนายจะเมาเป็นหมา แต่ก็ไม่ควรเอาหัวไปจ่อใต้ก็อกน้ำแบบนั้น”

ใครมันกล้าสั่งผมครับ ขอดูหน้าหน่อยเถอะ

พนักงานเสิร์ฟของร้านสวรรค์ชั้นเจต คนตัวสูงๆ คิ้วหนาๆ ตาโตๆ ยืนกอดอกมองผมอย่างเอือมระอา มันคาดผ้ากันเปื้อนสกรีนชื่อร้านชัดเจน ผมจึงยกหัวอันหนักอึ้งขึ้นมาจากอ่าง ตั้งใจจะใช้น้ำชะล้างให้หัวเย็นลง แต่ก็มีคนมาขัดขวางเสียก่อน

“มีปัญหาอะไร” ทำไมเสียงผมมันยานคางแบบนี้

มันยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายสารรูปผม ก่อนจะพูดอธิบายว่า

“ขอเก็บหลักฐานหน่อยนะ จะได้ไปฟ้องพี่เจตว่ามีคนเล่นน้ำในห้องน้ำ เห็นป้ายตรงนั้นมั้ย อุตส่าห์เขียนเตือนไว้แล้วว่าห้ามอาบน้ำ”

ผมนี่นะอาบน้ำในห้องสุขาร้านเหล้า มึงบ้าหรือเปล่า กูไม่ได้เมาขนาดอาบน้ำได้ในร้านเหล้านะเว้ย

“อ๋อ สงสัยจะอ่านภาษาไทยไม่ค่อยออกอ่ะดิ ลูกครึ่งอะไรล่ะ มะพร้าวส้มโอ หรือว่า ฝรั่งมังคุด”

“คุด พ่อง” ผมสวนกลับทันควัน ไอ้เหี้ยนี่อ้อนตีนจริงๆ ถึงผมจะเป็นลูกครึ่งมะพร้าวฝรั่ง เอ้ย ผิดๆ ลูกครึ่งอังกฤษ แต่ก็อ่านภาษาไทยได้แตกฉานทุกคำ พอโดนสบประมาทเลือดโกรธก็ขึ้นหน้า หายเมาเลยกู ไม่ต้องใช้น้ำช่วยละ

มีแขกโต๊ะอื่นเข้ามาขัดจังหวะอารมณ์ผม พอเสร็จธุระแล้วก็เร่งรีบออกไปเหมือนกับสัมผัสบรรยากาศตึงเครียดได้

“มึงชื่ออะไร” ผมถามกลับ เริ่มได้สติคืนมาแต่ยังไม่เต็มร้อย

มันหัวเราะหึ ก่อนจะถ่ายรูปผมอีกหนึ่งช็อต กำลังเดินหนีจาก ผมคว้าโทรศัพท์ของมันมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ไอ้เด็กเสิร์ฟหน้ากวนตีนพุ่งตัวตามมาจะเอาของคืน ผมรีบเอาไปซ่อนด้านหลัง ส่วนอีกมือก็ดันอกอีกฝ่ายให้ออกห่าง แต่มันก็ดันตัวที่หนากว่าจนผมที่มีสติและกำลังไม่สมบูรณ์จนต้องถอยหลังชนประตูห้องน้ำเข้าไปจนตรอกในซอกมุมของโถชักโครกอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นทางออกอื่นก็อาศัยปากเป็นอาวุธแทน ตอบมันไปว่า

“มึงพิศวาสชอบกูหรือไงไม่ทราบ เลยหาข้ออ้างมาถ่ายรูปกู คงกะเอาเก็บไว้ไปชักว่าวล่ะสิ”

มันโกรธ ผมเห็นดวงตาแข็งกร้าวชัดเจน

“ถึงมึงจะหล่อแต่ไม่ใช่สเป็คกู ไอ้ฝรั่งโง่”

ห๊ะ นี่ชมหรือด่า เอาดีๆ

“ฮั่นแน่ ยอมรับแล้วสินะว่ากูหล่อ มึงถึงได้มาแอบถ่ายรูปกู แต่ถ้ากูไม่ใช่สเป็คมึงแล้วทำไมตอนนี้น้องมึงถึงได้อยากออกมาวิ่งเล่นข้างนอกแบบนี้วะ” ผมใช้สายตาชี้ไปยังเป้ากางเกงของอีกฝ่าย แม้จะมีผ้ากันเปื้อนของร้านคาดไว้แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีสิ่งมีชีวิตหนึ่งพยายามขยายตัวเติบโตดึงดันจะออกมาสู่โลกภายนอก

“เอาโทรศัพท์กูคืนมา”

ผมทำหน้าเหมือนไม่ได้ยินคำร้องขอ

“กูจะพูดอีกครั้งเดียว เอาโทรศัพท์กูคืนมา”

ผมอยากรู้ว่ามันจะแผลงฤทธิ์อะไรต่อก็เลยทำเป็นหูทวนลม พออีกฝ่ายเห็นผมไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มันก็หันไปล็อกประตูห้องน้ำ ผมไม่คาดคิดว่ามันจะทำแบบนั้นก็เริ่มดิ้นพร่าน

“มึงรู้มั้ย กูไม่ได้ปลดปล่อยมากี่วันแล้ว”

คือกูไม่อยากรู้ครับ เชี่ยเอ้ย อย่างที่เค้าบอกจริงๆว่าแอลกอฮอล์ทำให้สมรรถภาพร่างกายของคนเราถดถอย แรงกายที่แม้แต่จะดันอีกฝ่ายออกจากตัวผมคงทำหล่นหายไว้ในวงเหล้า

“เจ็ดวัน”

ห๊ะ เย่กัน เอ้ย ทำไมหูผมมันได้ยินแบบนี้วะ

“มึงลองใช้สมองของมึงคิดดูดิว่าน้ำกูจะเยอะขนาดไหน” มันกระซิบข้างกกหูผมข่มขู่ เหี้ยเอ้ย กูไม่น่ากินเหล้าเยอะขนาดนี้
แล้วจู่ๆมันก็คว้ามือผมที่ใช้ดันอกลงไปสัมผัสน้องชายใต้ร่มผ้าที่แข็งขันดึงดันเต็มที่ ชิบเวร ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยจับอวัยวะเพศของผู้ชายด้วยกันมาก่อน แล้วนี่ผมต้องมาเสียบริสุทธิ์ทางมือให้กับไอ้เด็กเสิร์ฟแปลกหน้าที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อเนี่ยนะ โอ้ พระเจ้า

มันเห็นผมหน้าเสียก็ยิ้มเยาะสะใจ ออกแรงกดมือผมไว้กับจุดอันตรายไม่ให้ผมดึงออกง่ายๆ

“กูรู้ว่ามึงชื่อ ฟรานซิส”

เออๆ มึงจะรู้จักกูก็เรื่องของมึงเถอะ กูอยากกลับไปแดกเหล้าลบรอยตราบาปออกจากมือก่อน

“เอาคืนไป” ผมชูโทรศัพท์ของมันคืนให้แต่โดยดี

มันยังคงยิ้มแบบเลือดเย็น

“ตอนนี้กูไม่ได้อยากได้โทรศัพท์คืนละ อยากได้อย่างอื่นมากกว่า ฟรานจะช่วยผมได้หรือเปล่าล่ะ”

ห๊ะ นี่ผมห๊ะไปกี่รอบแล้ววะ เออช่างเถอะ แต่นี่มึงแดกวุ้นเปลี่ยนสำเนียงภาษาเป็นสุภาพบุรุษหรือวะ ถึงได้เปลี่ยนสรรพนามได้รวดเร็วแบบนี้

ดวงตาแข็งกร้าวจู่ๆก็ปรับเปลี่ยนเป็นหวานเชื่อม ผะ ผมแพ้ทางกับอะไรแบบนี้ ปกติพอสาวๆที่ผมควงไปนอนด้วยไม่ซ้ำแต่ละคืน เมื่อทำดวงตาหวานๆแบบนี้ไม่เคยรอดจากเงื้อมมือผมไปได้ แต่อีกฝ่ายที่เป็นไอ้หนุ่มร่างโตพอๆกับผม แถมยังทำตาหวานๆอีก ทำไมผมคิดว่ามันน่ารักดี ห๊ะ นี่ผมกำลังชมผู้ชายว่าน่ารักเหรอวะ

“นะ ช่วยผมทีนะ ฟราน”

ผมเมาแล้วก็สติไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์แน่ๆ เลยทำให้คิดว่าคำพูดของมันน่าทำตามไม่น้อย บางทีลูกผู้ชายแบบเราๆ คงไม่คิดอะไรกันมาก หากต้องช่วยเหลือเรื่องอย่างว่าในยามได้รับคำร้องขอ เรื่องปลดปล่อยแค่นี้ใครที่ไหนก็คงยอมทำ

“อืม”

ผมก้มหน้าคางชิดอกตอบไปแบบหน้าร้อนผ่าว

มันหัวเราะในลำคอเบาๆ

“งั้นก็รบกวนด้วยนะ ฟราน”

เขาปลดผ้ากั้นเปื้อนออก แล้วลูกซิปกางเกงยีนลง มือผมสั่นแต่ก็พยายามยิ้มสู้

นี่คือเรื่องปกติ ช่วยๆกันไป ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ผมก็เลยเสนอกลับไปว่า

“งั้นมึงต้องช่วยกูคืนด้วย”

“เอาดิ” เด็กเสิร์ฟหน้าหล่อยกยิ้มมุมปาก “ว่าแต่ ผมชื่อ มะขาม นะ หรือจะเรียก ขาม เฉยๆก็ได้”

ชิบเวร ไอ้ที่อยู่ในกำมือผมเนี่ยคงเป็นมะขามพันธุ์ยักษ์แน่ๆ


TBC.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พูดคุย

ไม่ได้เข้ามาอ่านเสียนาน สรุปว่ากาลยังไม่รู้ว่าชายใส่หน้ากากคนนั้นคือคิมสินะ
คุณชายกาลของเราเป็นคนความจำสั้นแต่อย่างอื่นยาวครับ 55+ ล้อเล่นครับ สรุปคือ กาลยังจำไม่ได้ครับว่าเป็นคิม ต้องมาคอยลุ้นว่าเมื่อไหร่กาลจะรู้ความจริง แต่ถ้าลองเดาเล่นๆ เมื่อถึงฉากนั้นคงดราม่าไม่ใช่น้อย ก่อนจะถึงจุดๆนั้นคงอีกหลายตอนครับ

:pig4:
 :3123:
ขอบคุณครับ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2019 10:21:40 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 17



KALN’s Talk


ระหว่างผมเดินขึ้นบันไดหน้าตึกใหญ่บ้านคุณย่า ปรากฏชายหนุ่มเพื่อนเล่นสมัยเด็กเดินสวนผ่านมา ลูกชายของอารองผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นผม ท่าทีของเพื่อนเก่าเปลี่ยนไปนับแต่รู้ความจริงหลายๆเรื่องเกี่ยวกับตัวผม มิตรภาพของเราถูกทำลายลงด้วยความจริงโหดร้าย ไม่ผิดที่ไอ้เก่งหัวโจกของกลุ่มตอนเด็กๆ ผู้พาพวกผมบรรดาลูกหลานทั้งชายและหญิงของคุณย่า ออกเที่ยวเล่นเป็นลิงทะโมน

คุณย่าระเบียบรัตน์ท่านมีบุตรชายทั้งหมด 5 คน พ่อผมเป็นลูกชายคนโต ส่วนอารองอีกสี่คนล้วนให้ความเคารพพ่อทั้งในฐานะพี่ใหญ่แล้วก็ผู้บริหารระดับสูง ประธานบริษัทของตระกูล
 
เก่ง หรือชื่อจริง กรวิทย์ เป็นลูกชายคนเดียวของอารองคนที่หนึ่ง มันมองผมราวกับผงธาตุอากาศก่อนจะพยักหน้าเรียกพนักงานขับรถให้นำยานยนต์ออกมารับ ผมอยากจะทำให้มันอารมณ์เสียเล็กๆก่อนจากกัน จึงแกล้งพูดว่า

“คุณย่าตีมึงด้วยไม้เรียวหรือไง ถึงได้ทำหน้าแบบนั้น”

“กู...” เก่งเผลอหลุดคำพูดเมื่อถูกผมยั่วโกรธ ก่อนมันจะระงับอารมณ์สวนกลับมาว่า “มึงยังมีหน้ามาเหยียบบ้านใหญ่อีกหรือวะ ไอ้กาล”

เก่งเป็นคนมีภาวะผู้นำ พูดจามีสัมมาคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่ อีกทั้งมีทักษะโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังจนคล้อยตามได้ ไม่งั้นมันจะชักชวนพวกผมกระโดดเล่นน้ำคลองหลังบ้านใหญ่ได้เหรอ คิดแล้วก็จำภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ติดตา จนตอนนี้มันถูกวางตัวเป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษณาของบริษัท ก็คงไม่เกินอีกสองปีเมื่อเรียนจบปริญญาตรี อารองคงยกตำแหน่งดังกล่าวให้มันแน่ๆ ผมไม่ได้อิจฉาหรือริษยาแต่อย่างใด ยังเห็นว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมกับเก่งจริงๆ หากมันสร้างผลงานตามความสามารถแล้วคงมีโอกาสเลื่อนขั้นในหน้าที่การงานสูงขึ้นเรื่อยๆ ผมย่อมดีใจที่มันจะก้าวหน้าถึงขั้นนั้นได้ แต่คำที่มันพูดจาถากถางผม โดยปรกติแล้วเก่งไม่ใช่คนประเภทที่จะหลุดคำพูดแนวนี้ได้ แต่ก็อย่างว่าแหละนะ คนในบ้านนี้นอกจากคุณย่าและป้าวิไลแล้ว ทุกคนล้วนเกลียดขี้หน้าผมทั้งนั้น

“กูมาหาคุณย่า”

เก่งหัวเราะในลำคอ หันไปมองรถที่กำลังแล่นมาจอดรับ แสดงออกว่าไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับผมให้เปลืองน้ำลาย เก่งหันมามองหน้าผมแล้วพูดทิ้งท้ายว่า “ได้ข่าวว่ามึงขนของออกจากบ้านใหญ่ไปแล้ว กูก็เลยไม่คิดว่าจะได้เจอมึงอีก โชคดีแล้วกัน”

เก่งพยักหน้าให้ผมก่อนตัวมันจะขึ้นรถขับออกไปทางประตูใหญ่

ผมไม่โกรธที่ทุกคนปฏิบัติกับผมแบบนี้ ถ้าผมจะโกรธใครสักคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด คนที่ผมเรียกว่าพ่อคนนั้น เขาเหมาะสมที่จะรับความโกรธของผมไว้เพียงผู้เดียว



“คุณกาลรู้ได้อย่างไรคะว่าคุณพ่อไม่อยู่บ้าน” ป้าวิไลเลียบเคียงถาม ขณะเดินนำไปสู่ศาลากลางสวนหลังเรือนใหญ่

“ผมมีสายสืบครับ” ผมตอบแม่บ้านคนสนิทของคุณย่าด้วยรอยยิ้ม

“สงสัยสายสืบของคุณกาลจะไม่ได้รายงานนะคะว่า คุณย่าท่านมีแขกอยู่พอดี”

“หืม ใครหรือครับ ถ้าท่านไม่สะดวก ผมกลับก่อนดีกว่า” ผมหยุดเดิน ป้าวิไลก็เช่นกัน ก่อนแม่บ้านวัยกลางคนจะยิ้มพร้อมกับพูดต่อ

“ก็คนที่คุณเจอหน้าประตูตึกใหญ่นั่นแหละค่ะ”

“อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ นึกว่าเป็นใครอื่น

“ว่าแต่หนนี้ คุณกาลไม่พาแฟ...” ผมกระแอมขัดคอ พอเดาออกว่าป้าวิไลกำลังจะกล่าวถึงใคร “แหม คุณกาลล่ะก็”

“ขามไม่ใช่คนรักผมครับ แล้วเราไม่ได้คบหาในเชิงชู้สาวด้วย เขาแค่มาขนของเท่านั้น” ผมจำเป็นต้องทวนความจำตอกย้ำสถานะระหว่างผมกับคิมหันต์ ไม่ใช่เพียงแค่บอกป้าวิไล แต่คำพูดนี้บอกตัวผมเองมากกว่าใครอื่น

“ผิดใจอะไรกันหรือเปล่าคะ ก็คราวก่อนอีฉันยังเห็นว่าคุณทั้งสองพูดจาสนิทสนมกันดีอยู่ เด็กในบ้านยังพูดเลยว่าดูราวกับคู่รัก”
ผมนี่พูดไม่ออกเลยทีเดียว ได้แต่สั่นหน้าราวกับเป็นเรื่องขำขัน

“ผมเพิ่งเลิกกับพราว ยังไม่คิดเริ่มต้นใหม่หรอกครับ ยังเจ็บๆอยู่เลยเนี่ย” ผมแกล้งลูบอกด้านซ้าย ทำหน้าน่าสงสาร ป้าวิไลทนลูกอ้อนไม่ได้ก็เลิกเซ้าซี้ถามถึงคิมหันต์

คุณย่าท่านนั่งมองคนสวนพรวนดินรดน้ำพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับอยู่ พอได้ยินเสียงสนทนาเห็นว่าเป็นหลานชายคนโตจึงออกมาต้อนรับ ท่านสวมหมวกปีกกว้างกันแสงแดด แต่ภายในสวนก็มีแมกไม้ให้ร่มเงาจนผมรู้สึกเย็นสบายยิ่งกว่าอยู่ในห้องแอร์เสียอีก

“สวัสดีครับคุณย่า”

“ไปไงมาไงล่ะ พ่อกาล” หญิงสูงวัยรับไหว้ก่อนจะเชื้อเชิญเข้านั่งยังเก้าอี้ในศาลาหลังงามฉาบสีขาวสลับฟ้า เข้ากับตัวตึกใหญ่

“ผมแวะมากราบคุณย่าครับ ช่วงเช้าผมว่าง มีเรียนแค่ตอนบ่าย”

“นี่ตาเก่งก็เพิ่งออกไป ได้เจอกันหรือเปล่าล่ะ” ท่านรินน้ำชาลงถ้วยกระเบื้องแล้วส่งมาให้ ผมรับไว้ก่อนจะลองชิมแล้วตอบท่านว่าได้พบและสนทนากันอยู่ชั่วครู่ คุณย่าจึงไม่ได้ซักถามรายละเอียดอื่นอีก

“เสียดายนะคะ หนนี้คุณขามเธอไม่ได้มาด้วย อีฉันเพิ่งคุยกับคุณท่านอยู่พอดีเรื่องรูปร่างหน้าตาของคุณขาม ช่างคลับคล้ายละม้ายใครบางคน หากมากับคุณกาลด้วยคงได้ซักไซ้รายละเอียดทางครอบครัวแก้ข้อกังขา” ป้าวิไลยังไม่เลิกล้มเรื่องนายขาม ผมเห็นคุณย่าท่านได้แต่ยิ้มมิได้พูดความใดก็นิ่งคอย จนเห็นว่าสบโอกาสจึงถามท่านว่า

“คุณย่าจำเรื่องที่ผมถูกลักพาตัวตอนเด็กๆได้ไหมครับ”

ท่านสะดุ้งก่อนจะหันมามองผม พร้อมกับพูดว่า “นึกยังไงถึงถามเรื่องนี้ได้ล่ะ พ่อกาล”

“ผมอยากลืมจริงๆนั่นแหละครับ ก็เพราะเหตุนั้นจึงไม่เคยถามเรื่องนี้กับคุณย่าอีก แต่ผมมีเรื่องค้างคาใจ พยายามลืมเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งลืมกลับจำ ติดอยู่ที่ว่าผมจำรายละเอียดส่วนอื่นไม่ได้ นอกจากครอบครัวที่ดูแลผมหลังจากผมหนีออกมาจากพวกโจรได้มีเพียงสามคน แม่และลูกอีกสอง คุณย่าพอจะทราบไหมครับว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”

“หลังจากรับพ่อกาลกลับบ้าน และคนร้ายถูกจับกุมตัว ย่าให้วิไลเป็นธุระดูแลครอบครัวนั้น แต่...”

“เพื่อนบ้านบอกว่า พวกเขาทั้งสามย้ายออกไปแล้วค่ะ อีกทั้งไม่ได้บอกกล่าวใครว่าจะไปตั้งต้นอาศัยอยู่ที่ไหน” ป้าวิไลตอบด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ป้าพยายามตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ บ้านหลังนั้นเป็นเพียงบ้านเช่า แล้วเพื่อนบ้านก็รู้จักเพียงผิวเผินเท่านั้น”
ผมรู้สึกแน่นหน้าอก เหมือนมีบางสิ่งปิดช่องการหายใจ

“มีอะไรหรือเปล่า พ่อกาล หรือว่าไปพบใครที่พอจะมีเค้าของคนบ้านนั้น” คุณย่าซักกลับรวดเร็ว

“เปล่าครับ ผมควรจะลืมเรื่องเลวร้ายทั้งหมด แต่ในคืนใดคืนหนึ่งผมมักจะฝันเห็นเรื่องราวของคนที่ช่วยเหลือผม นานๆครั้ง ไม่ได้ฝันบ่อยๆ ตอกย้ำว่าผมควรตอบแทนผู้มีบุญคุณคืนกลับบ้าง พอได้ยินจากป้าวิไลว่าติดต่อพวกเขาไม่ได้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเขาต้องลำบากหรือดิ้นรนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ผมอยากทดแทนความมีน้ำใจในครั้งนั้น แต่...”

“ตลอดสิบห้าวันนั้นราวกับสิบห้าปี แม่ของพ่อกาลเหมือนตกอยู่ในนรกภูมิ ไม่รู้ว่าลูกชายจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร พวกเราทุกคนล้วนรู้สึกไม่ต่างกัน” คุณย่าท่านบอกเล่าความรู้สึกในห้วงเวลาแห่งความเจ็บปวดหนนั้นราวกับเพิ่งขึ้นเมื่อไม่นานนี้ “สิ่งที่ย่าไม่เคยหยุดทำในช่วงเวลาที่ผ่านมาคือตามหาครอบครัวที่ดูแลพ่อกาลนั่นล่ะ ย่าจ้างนักสืบเอกชนจนนับไม่ถ้วนแต่ก็คว้าน้ำเหลว”

“ผม...” จู่ๆน้ำตาก็เอ่อคลออยู่ริมขอบ “ผมจะช่วยอีกแรงครับ ผมต้องตามหาพวกเขาให้พบ ผมอยากจะ...”

คำพูดในใจผมถูกน้ำตาชะล้างไปจนหมด คุณย่าคว้าตัวผมเข้าไปกอด นั่นยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“แม่ของพ่อกาลฝากฝังไว้ให้ย่าดูแลพ่อกาลอย่าทอดทิ้ง ย่ารับปากไว้ก่อนเธอจากไปไม่หวนกลับ สิ่งใดที่พ่อกาลปรารถนาสูงสุดย่าจะช่วยเหลือจนสุดความสามารถ อย่าร้องเลย หลานย่า”


ผมเข้าร้านสวรรค์ชั้นเจตเพราะมีเหตุผลไร้สาระบางเรื่องต้องจัดการ ไม่ใช่ผมปรารถนาจะมาเพื่อเห็นหน้าคิมหันต์ ทว่าเป็นลูกอ้อนของเพื่อนต่างคณะ ลูกครึ่งอังกฤษ ไอ้ฟรานซิส มันโทรมาขอร้องให้ผมสืบหาเบอร์โทรเด็กในร้านตัวสูงๆหน้าหวานๆ ตาโตๆ ผมจำได้ว่าคนไหนแต่ไม่เคยรู้รายละเอียดอื่นใด ครั้นจะให้มันมาขอเจ้าตัวเอง ไอ้ฝรั่งก็อ้างโน่นนี่นั่นว่าติดอ่านหนังสือบ้างล่ะ ทำรายงานบ้างล่ะ หากผมไม่มองเห็นความพยายามที่มันอยากมีเมียเป็นผู้ชายอย่างรุนแรงแล้ว ผมคงตัดบทปฏิเสธ ผมเห็นแก่มิตรภาพระหว่างเรา และมันเองก็เป็นคนดีพอสมควรไม่มีชื่อเสียเรื่องได้ใหม่แล้วลืมเก่า ผมต้องมองข้ามเรื่องวันไนท์แสตนไป เพราะคนรูปร่างหน้าตาอย่างไอ้ฟราน หากไม่มีเรื่องอย่างว่าก็ถือว่าเป็นเสาอิฐเสาปูนเคลื่อนที่ได้แน่ๆ

มันไม่เคยคบใครจริงจังในฐานแฟน แต่คำพูดที่ทำให้ผมยอมเข้าร้านมาทำธุระแทนมัน ที่ว่า กูจริงจังว่ะคนนี้ ถึงกูจะไม่เคยคบกับผู้ชายด้วยกัน แต่ถ้ามึงอยากเห็นเพื่อนเป็นฝั่งเป็นฝา หยุดเหล้ายาเป็นสามีที่ดีของภรรยาสักคน กูว่าเด็กเสิร์ฟมึงที่ชื่อ เกรงขาม ตัวสูงๆ ตาโตๆ นั่นแหละ ใช่เลย

ไม่รู้ว่าเพื่อนฝรั่งของผมเกิดไปต้องชะตาเหมือนพรหมลิขิตบันดาลชักพามาเจอกันตั้งแต่ตอนไหน พอผมเซ้าซี้ถึงรายละเอียดมันก็บ่ายเบี่ยงบอกว่าจะเล่าให้ฟังในภายหลัง

“ฮั่นแน่ ไอ้กาล มาแต่หัววันเลยนะมึง”

ผมยกมือไหว้เฮียเจตสลับกับพี่กวางเมียคนงามของพี่แก

“น้องกาลมีเรื่องอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” ผมเห็นเฮียเจตจีบปากจีบคอตามคำพูดพี่กวางอยู่ด้านหลัง น่าหมั่นไส้พอสมควร

“เปล่าครับ คืองี้ ไม่รู้ว่าร้านเรามีนโยบายรักษาข้อมูลพนักงานของร้านหรือเปล่า พอดีผมอยากได้เบอร์เด็กเสิร์ฟที่ชื่อ เกรงขาม น่ะครับ”

พี่กวางทำหน้าเหมือนผมอยากได้เมียสักคน คือจะบรรยายแบบไหนดี ประมาณแบบว่าทั้งตกใจแล้วก็ดีใจ มีการอมยิ้มแปลกๆแถมให้อีกต่างหาก

“ไม่ใช่ผมครับ เพื่อนผมเค้าฝากมาถาม ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบเร่งปฏิเสธ

“เพื่อนมึงชอบผู้ชายเรอะวะ ไอ้กาล” คำถามเฮียลงชื่อคนอื่น แต่ผมรู้สึกว่ามันคล้ายกับถามผมโดยตรงมากกว่า

“คงงั้นมั้งครับ หรือมันอาจจะมีธุระอื่น เรื่องนี้ผมก็ไม่ถามรายละเอียดมาซะด้วย”

“เรื่องข้อมูลพนักงานของร้านเราน่ะ ในฐานะเจ้านายก็ต้องดูแลเป็นอย่างดีจะให้ใครมั่วซั่วไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นการป้องกันคนของเราแล้ว หากเจ้าตัวไม่ยินยอมก็จะเกิดปัญหาตามมาอีก มึงน่าจะรู้ดีนะ ไอ้กาล”

เฮียเจตพูดเป็นการเป็นงาน ผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะตอบว่า ไม่เป็นไร พี่กวางยิ้มแหยๆพลางชวนคุยเรื่องอื่น ระหว่างนั้นเฮียเจตก็พูดมาคำหนึ่งซึ่งทำเอาผมสะดุ้งเฮือก

“มึงจำพนักงานเสิร์ฟชื่อ คิมหันต์ ที่มึงพามันไปขนของที่บ้านได้หรือเปล่าวะ”

ผมกลบเกลื่อนท่าทีเสียอาการแล้วพยักหน้ารับ

“มันสั่งว่า ถ้ามึงต้องการเบอร์มัน ให้กูบอกแทนได้ไม่มีปัญหา”

“ผมไม่...”

“เฮ้ย อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธดิวะ ไอ้กาล” พี่เจตรีบสวนกลับลูบหัวไหล่ พี่กวางทำทีเป็นเช็ดขวดเหล้าราวกับไม่ได้ฟังคำพูดพวกหนุ่มๆคุยกัน “มึงสองคนผิดใจอะไรกันเปล่าวะ ทางที่ดีก็นัดเคลียร์ๆกันไปให้จบ จะได้ไม่ต้องใช้กูเป็นเครื่องมือสื่อสารแบบนี้”

เอ่อ เฮียคงถูกนายคิมหันต์ใช้มาอีกทีสินะ

“การจะขอโทษกันได้ มันต้องเริ่มต้นจากศูนย์ว่ะ”

“ศูนย์อะไรเฮีย”

“ศูนย์ แปด หนึ่ง เอ๊ะ คงหมดหน้าที่กูละ มันเดินมาโน่นแล้วไง ส่วนเบอร์ไอ้เกรงขาม มึงไปบอกเพื่อนมึงนะ ถ้ามันอยากได้เมียก็ไม่ควรใช้คนอื่นมาขอแทน” เฮียเจตอมยิ้มก่อนพูดทิ้งท้ายไว้ลายสไตล์คนอารมณ์ดีว่า “กูให้เวลามึงเคลียร์กันไม่เกินชั่วโมง จะเลือกบนเตียงหรือวิวริมระเบียงก็ได้”

“มึงก็ไม่หยุดแซวน้องมันสักที ไอ้เจต” พี่กวางตบเกรียนเฮียเจตไปหนึ่งดอก

ผมได้แต่ยิ้มๆ นายคิมหันต์กำลังเดินมายังบริเวณที่พวกผมคุยกันอยู่ ผมต้องทำหน้าแบบไหน ควรทักเค้าก่อน หรือว่าจะต้องทำตัวอย่างไร เพราะในใจลึกๆแล้ว ผมรู้ว่าเป็นผมนั่นแหละที่ผิดเองจนใจเต้นแรงและยอมให้คิมจูบโดยไม่ได้ปฏิเสธ

รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรรู้สึกอะไรกับเขา แต่ผมก็ยังใจสั่นเมื่อเห็นว่าใบหน้าซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาผมนั้น ผมใช้เป็นใบหน้าแทนคิมหันต์คนที่สวมหน้ากากตอนร่วมรักกับผมทุกครั้ง ผมจินตนาการถึงเขากระทั่งถึงจุดสุดยอด
   

TBC.

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2019 22:40:21 โดย LoveBlueSky2203 »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด