ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll  (อ่าน 8287 ครั้ง)

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
31







   เหยินหยางผิง เหมี่ยนจื่ออู่ และจู้ชุน เดินทางมาที่โรงพยาบาลแต่เช้าเพื่อเยี่ยมผานกู่ แต่เมื่อมาถึงทุกคนต่างแปลกใจที่เห็นผานกู่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล

   “เฮ้ย!!  พี่กู่ พี่ทำอะไร จะไปไหน?”

   “กลับสถานีไง?”

   “ทำตัวเป็นไอ้หมีอีกคนแล้ว” เหยินหยางผิงอดที่จะบ่นไม่ได้

   “กัมหงมาเกี่ยวอะไรด้วย ฉันไปเหมือนกับมันตั้งแต่เมื่อไร”

   “คดีมันไม่หนีพี่ไปไหนหรอก พี่ยังไม่ต้องรีบ พักรักษาตัวให้หายก่อน”

   “ที่นี่มันโรงพยาบาล ไม่ใช่โรงแรมนะ ที่จะอยู่นานเท่าไรก็ได้ หมอเขาอนุญาตให้ฉันกลับ ฉันจะทู่ซี้อยู่ให้หมอพยาบาลมาด่าเอาเหรอไง?”
   
   “หา!!” ทุกคนอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

   “เป็นไปได้ยังไงพี่ ก็คืนก่อนพี่...” จู้ชุนหยุดพูดเหมือนคนคิดอะไรไม่ออก

   “ฉันหายแล้ว บาดแผลสมานตัวดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร หมอให้ฉันกลับไปพักที่บ้านได้”

   “สงสัยมีดไอ้หมอนั่นจะทื่อ” เหยินหยางผิงพูดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องตลก

   “ฉันไม่ทันเห็นหรอกว่ามีดมันทื่ออย่างที่นายว่ารึเปล่า ฉันอาจจะโชคดีที่ได้คนของฝู่ช่วยเอาไว้”

   “เฮ้อ...ตอนที่อาชุนบอกถึงอาการของพี่ พวกเราตกใจแทบแย่แต่ก็ไม่คิดว่าพี่จะหายเร็วขนาดนี้” เหมี่ยนจืออู่คลายกังวลลง “อาชุน นายคงตื่นตูมเกิดเหตุแล้วละ เล่นเอาพวกเราตกใจกันหมด” ประโยคหลังจื่ออู่หันไปพูดกับจู้ชุน

   “เอ่อ แล้วเฟ่ยซานละ เป็นยังไงบ้าง?”

   “นี่เฟ่ยซานยังไม่มาเยี่ยมพี่หรอกเหรอ จมูกไวขนาดนั้น พลาดคดีแรงงานเถื่อนไปได้ยังไง” เหยินหยางผิงมีน้ำเสียงแปลกใจ

   “ฉันก็คิดว่าเขาคงเฝ้าอยู่ที่สถานีเพราะคดีนั้นเหมือนกัน เขาไม่ได้ไปอย่างนั้นเหรอ?” ผานกู่เริ่มกังวลที่จู่ ๆ ก็ไม่มีใครพบเห็นหนานเฟ่ยซานอีกเลยหลังจากลงเรือมา

   “คุณนายเหมิ๋นยื่นข้อเสนอให้เฟ่ยซานสัมภาษณ์ หลังจากที่ลงจากเรือแล้ว เป็นไปได้ว่าตอนนี้เฟ่ยซานอาจจะอยู่ที่โรงแรมแกรนด์ฝู่” จู้ชุนออกความเห็น

   “ทำไมคุณนายเหมิ๋นถึงได้ยื่นข้อเสนอแบบนั้น”

   “ผมก็ไม่แน่ใจ แต่น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือแน่นอน ดูเหมือนว่าเยียนจูเฟิงจะใช่คุณนายเหมิ๋นเป็นเครื่องมือ”

   “เธอคงรู้ทันจึงต้องการให้เฟ่ยซานเขียนข่าวให้กับเธอ”

   “ผมเดาว่า น่าจะเป็นแบบนั้น” ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของผานกู่

   “เยียนจูเฟิงคนนี้น่าสงสัยมาก ก่อนที่ฉันจะโดนทำร้าย ฉันได้ยินคนของมันคุยกับชาวต่างชาติ คำพูดมีเลศนัย น่าสงสัย เสียดายฉันไม่เห็นหน้าพวกมัน”

   “แล้วคนที่ทำร้ายพี่ละ พี่เห็นหน้ามันไหม”

   “ไม่เลย มันไวและเชี่ยวชาญมาก ไม่น่าจะเป็นเพียงบอร์ดี้การ์ดธรรมดา ๆ แน่ มันรู้ว่าฉันแอบอยู่หลังประตู แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ หลอกล่อจนฉันคลายใจ ฉันสงสัยว่ามันจะเป็นนักฆ่ามืออาชีพ”

   “เยียนจูเฟิงมีคนที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ข้างกาย เขาน่าจะไม่ธรรมดาแน่นอน”

   “แล้วเรื่องเฝิงฉินฉินละ เป็นยังไงบ้าง”

   “เรายังไม่มีเบาะแสของเธอเลย สืบไปยังรถของบริษัทฯ ที่มาทำความสะอาด พนักงานที่ขับรถคันนั้นก็ดันมาลาออกหลังจากนั้นไม่นาน ส่วนอีกคนก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน ตอนนี้ยังเป็นเจ้าชายนิทราอยู่” เหมี่ยนจื่ออู่รายงาน

   “คนที่ลาออก นายมีข้อมูลไหม ว่าเป็นใคร แล้วพักอยู่ที่ไหน”

   “ได้ชื่อและที่อยู่มาแล้ว แต่ผมยังตามตัวไม่พบ ตั้งใจว่าเยี่ยมพี่เสร็จก็จะไปเฝ้าตามที่อยู่ที่ได้มา”

   “อืม แล้วอาวุธที่เจอในโกดังละ?”

   “พี่เห่าสืบเพื่อขยายผลต่อ เลยได้ความว่าปืนพวกนั้นเป็นรุ่นเดียวกับที่หวงกังโหติดต่อขอซื้อ และจากหลักฐานที่ได้มา ของพวกนี้ถูกลักลอบเอาเข้ามากับอะไหล่รถแท็กซี่และรถบัส”

   “รถแท็กซี่ รถบัส หึ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฉินหรุยกวงจริงๆ สินะ เป็นไปได้ว่าการตายของฉินหรุยกวงน่าจะเป็นการขัดผลประโยชน์กัน”

   “ใช่แล้วพี่ แต่ไม่ใช่แค่ฉินหรุยกวงที่เป็นผู้ลักลอบนำเข้ามาให้ต้วนเจียจงประกอบ หรงจือที่เราพบศพพร้อมกับมัน ก็เป็นหนึ่งในผู้คุมแรงงานเถื่อนนั่น”

   “หัวหน้าว่ายังไงบ้าง?”

   “ตอนนี้ทีมที่ 2 กำลังขยายผลเพื่อสืบเรื่องพวกค้าอาวุธอยู่ ส่วนทีมของเราให้หาตัวเฝิงฉินฉินให้พบ”

   “คดีคนหายก็จบแล้วสินะ”

   “จะมีก็แต่เฝิงฉินฉินนั่นแหละที่ยังหาตัวไม่พบ เพราะดันไปพัวพันในคดีฆ่ารัดคอน่ะสิ”

   “...” ทุกคนต่างพากันเงียบเหมือนกับตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

   “คนงานทำความสะอาดคนนั้น น่าสงสัยที่สุด อยู่ ๆ ก็หายตัวไป หยางผิง นายไปกับจื่ออู่ ไปสืบมาว่าเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับคดีฆ่ารัดคอรึเปล่า”

   “ครับ/ครับ”

   “พี่จะกลับบ้านก่อนไหม เดี๋ยวผมไปส่ง” จู้ชุนถามเมื่อ 2 คนนั้นเดินออกไปจากห้อง

   “นายมีอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่ไหม?”

   “หา?”

   “เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว และฉันต้องการรู้ความจริงทั้งหมด”

   “เรื่องอะไรพี่ เรื่องคดีเมื่อกี้หยางผิงกับจื่ออู่ก็บอกพี่ไปหมดแล้ว”

   “นายรู้เรื่องอาการของฉันได้ยังไง คืนนั้นฉันไปกับเฟ่ยซานสองคน ภารกิจของนายคืออะไร ถึงได้รู้ว่าฉันบาดเจ็บ”

   “ผม...”

   “นายทำงานให้ใคร”

   “ผมแค่แอบเข้าไปสืบเรื่องคนหายที่โกดังของเยี่ยนหวอ แล้วบังเอิญเจอพี่ถูกช่วยโดยคนของคุณนายเหมิ๋น”

   “แล้วเรื่องที่เฟ่ยซานไปสัมภาษณ์คุณนายเหมิ๋น นายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือได้ยังไง”

   “ก็ข่าวที่ออกมาตอนนี้มันล้วนเป็นในทางเดียวกัน ผมก็เดาว่า...”

   “ช่างบังเอิญจังเลยนะ?”

   “มันบังเอิญจริง ๆ นะพี่”

   “อย่าให้รู้ว่านายแอบทำอะไรลับหลังฉันนะ”

   “ผมจะแอบไปทำอะไรลับหลังพี่ได้ละ ผมก็แค่ตามสืบเรื่องที่ผมสงสัยไปเรื่อย ทีเวลาเฟ่ยซานแอบไปสืบคดีคนเดียวพี่ยังไม่เห็นระแวงอะไรเลย แล้วตอนที่พวกฝู่หามพี่ลงจากเรือ ใช่ว่าผมจะเข้าไปแสดงตัว ผมตามพวกนั้นอยู่ห่าง ๆ เลยรู้ว่าพวกนั้นพาพี่ส่งโรงพยาบาล ไม่เชื่อพี่ลองไปถามพยาบาลที่อยู่เวรเมื่อคืนก็ได้”

   “นาย!! ”

   “เฮ้อ...พี่กู่ พี่ควรจะขอบคุณผมนะ ไม่อย่างนั้นคงยังไม่มีใครรู้ว่าพี่อยู่ที่นี่ ว่าแต่ ผมไม่เข้าใจ ทำไมพี่ถึงได้หายไวขนาดนี้”

   “ฉันก็ไม่รู้ ทั้งที่ตอนโดนแทงฉันแทบจะยืนไม่อยู่ แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่ปวดแผลเลย”

   “ยาหมอคงดี พี่ก็อย่าเพิ่งหักโหมมากเลย เดี๋ยวแผลจะฉีก”

   “อืม”

   “ให้ผมไปส่งพี่แล้วกัน แล้วรถพี่ละอยู่ไหน”

   “คงยังอยู่ที่ท่าเรือ”

   “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งพี่เสร็จ ผมจะไปเอารถของพี่ให้ก็แล้วกัน พักอีกสักวันแล้วพรุ่งนี้ค่อยเริ่มงานคงยังไม่สาย”

   “อืม”

   หลังจากจู้ชุนโน้มน้าวเปลี่ยนเรื่องได้แล้วก็ช่วยผานกู่เก็บของ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากเสื้อผ้าขาดที่เปื้อนเลือดชุดหนึ่งเท่านั้น

.........................................................................

   ผมรู้สึกตัวแล้ว...แต่กลับไม่สามารถที่จะลืมตาขึ้นมาได้ ผมรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นบริเวณขอบตา และลมหายใจอุ่นๆ นี่ผมคงจะเป็นไข้ ถึงทำให้รู้สึกว่าร่างกายมันดูหนักอึ้งอย่างนี้

   ผมได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาอยู่รอบ ๆ ตัวผม เสียงฝีเท้าขวักไขว่ฟังแล้วน่าจะมีมากกว่า 1 คน อาจจะเป็นหมอกับพยาบาล ผมเดาว่าอย่างนั้น ผมพยายามขยับตัวเพราะตอนผมอยากดื่มน้ำมากกว่ามาเรียบเรียงความคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะลืมตาหรือเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่น้อย

   “ชีพจรปกติดีค่ะ ตอนนี้ไข้ลดลงมากแล้ว” ผมได้ยินเสียงหญิงคนหนึ่งพูดขึ้น คงจะเป็นพยาบาล จากนั้นผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย เสียงฝีเท้าค่อย ๆ เดินออกจากห้องไป

   ผมรู้สึกแปลก ๆ กลิ่นที่นี่ไม่เหมือนกลิ่นของโรงพยาบาล แต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นนี่ น่าจะเป็นกลิ่นน้ำมันหอมระเหยหรืออะไรสักอย่าง

   สัมผัสเย็นๆ ของนิ้วมือใครสักคนกำลังคลึงอยู่บนหว่างคิ้วของผม เขาค่อย ๆ นวดจากหว่างคิ้วมาตรงบริเวณขมับ ผมที่พยายามจะลืมตาขึ้นมองว่าคน ๆ นี้เป็นใคร แต่กลับทำไม่ได้ มือไม้มันอ่อนแรงไปหมด

   ใครกันนะที่คอยดูแลผมอยู่ หรือจะเป็นพี่กู่... ไม่ใช่สิ

   สติของผมกลับมาเกือบเต็มร้อย ทำให้ผมพอจะจำได้ว่า ก่อนที่ผมจะหมดสติไปนั้น ผมอยู่ที่ท่าเรือของโกดังเยี่ยนหวอ และพี่กู่กำลังจะตาย ผมจึงใช้เลือดของผมเพื่อรักษาพี่กู่ และมันก็ได้ผล

   ...


   ..


   .


   “พี่ชุน?”

   “เฟ่ยซาน” พี่ชุนทักทายผมก่อนจะหันไปคำนับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม “คุณลิลลี่”

   “เป็นยังไงบ้าง”

   “อาการหนักมากครับ แผลค่อนข้างลึก และเสียเลือดมาก มีโอกาสรอดน้อย”

   “พี่ชุน พี่หมายถึงพี่กู่อย่างนั้นเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


   “พี่กู่โดนแทงที่สีข้าง แล้วจับโยนลงทะเล เขาเสียเลือดมาก ตอนที่พี่ไปถึงเขาก็จมน้ำไปแล้ว คนของพี่ทำซีพีอาร์ ช่วยเขาไว้ได้”

   “ถ้าอย่างนั้นก็รีบส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเถอะ” คุณนายเหมิ๋นสั่งพี่ชุน?

   “ผมเกรงว่า...” พี่ชุนมีสีหน้าหนักใจ

   “เราที่ดีที่สุดแล้วอาชุน ส่งตัวเขาไป”


   “ครับ”

   “เดี๋ยวก่อน พวกพี่พูดอะไรกันน่ะ? พี่กู่จะไม่รอดอย่างนั้นเหรอ?”


   “เฟ่ยซาน...” พี่ชุนเหมือนพยายามจะพูดอะไรกับผม แต่ผมไม่อยากฟัง เลือดของนาย มีฤทธิ์เหมือนน้ำตากิเลน เลือดของนาย สามารถรักษาบาดแผล หรือแม้กระทั่งรักษาโรคได้ คำพูดขอดอกเตอร์ก้องอยู่ในหัวของผม ทำให้ผมหันไปมองเขา

   “เฟ่ยซาน นายคิดจะทำอะไร? อย่านะ”

   ผมไม่ได้สนใจว่าดอกเตอร์จะห้ามอะไรผม ผมวิ่งเข้าไปหาพี่ผานกู่ที่ถูกคนของคุณนายเหมิ๋นสองคนช่วยกันหามลงจากเรือ พี่กู่มักจะพกมีดเล่มเล็กไว้ที่ข้อเท้า ผมจึงก้มลงไปหา ซึ่งมันก็ยังอยู่ตรงนั้น


   “หยุดเดี๋ยวนี้นะเฟ่ยซาน วางมีดลง” ดอกเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมชะงักเล็กน้อยก่อนจะปลดปลอกมีดออกแล้วกรีดลงบนฝ่ามือของตัวเอง ความรู้สึกแรกคือ เจ็บ

   เลือดหยดลงมาเป็นทาง ผมไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อ ดอกเตอร์ก็ฉวยฝ่ามือของผมไปวางไว้บนปากแผลของพี่กู่

   “วางเขาลงก่อน” ดอกเตอร์สั่งคนของเขา ตอนนี้ใบหน้าของดอกเตอร์เหมือนจะโกรธใครมาเป็นสิบชาติ น่ากลัวจนคนของเขาถอยห่างออกไปหมด แม้กระทั่งพี่ชุนเอง จะมีคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็แค่คุณนายเหมิ๋นและคนติดตามอีกคน


   ฝ่ามือที่นาบอยู่ที่สีข้างของพี่กู่ จากที่สัมผัสเย็นๆ ตอนนี้มันกลับอุ่นขึ้น และเหมือนกับพี่กู่กำลังดูดเลือดจากมือของผมจนผมรู้สึกได้ถึงแรงดูดนั้น ใบหน้าของพี่กู่ที่ดูซีดเซียวกลับมามีสีสันขึ้นเล็กน้อย

   “พอแล้วเฟ่ยซาน ให้จู้ชุนพาเขาไปส่งโรงพยาบาลได้แล้ว” ผมละมือออกจากบาดแผล จึงเห็นว่าเลือดหยุดไหลแล้ว ส่วนปากแผลเหมือนจะบีบตัวเข้าหากัน ถึงจะไม่สมานตัวดีเหมือนที่เคยเห็นในหนัง แต่มันก็ทำให้ผมวางใจได้มาก ผมจึงลองเอามือเข้าไปนาบอีกครั้ง แรงสูบเลือดจากฝ่ามือผมยังคงมีอยู่ “พอแล้วเฟ่ยซาน นายจะบ้าไปแล้วเหรอไง” ดอกเตอร์พยายามจะรั้งมือของผมออก แต่ผมยังคงยื้อเอาไว้ ผมแค่อยากจะช่วยให้บาดแผลมันเล็กลงกว่านี้


   ในขณะที่ผมเริ่มอ่อนแรงลง ดอกเตอร์ก็เข้ามากระชากผมออกจากพี่กู่ได้สำเร็จ คนของคุณนายเหมิ๋นเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ผมไม่รู้ว่าคุณนายเหมิ๋นกับดอกเตอร์พูดสั่งการอะไรคนของพวกเขา ภาพที่ผมเห็นคือความวุ่นวายรอบ ๆ ตัวผมก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะหมดสติไป

   ...


   ..


   .


   “เฟ่ยซาน นายควรจะฟื้นขึ้นมาได้แล้วนะ” เสียงของดอกเตอร์ เรียกผมให้หลุดออกมาจากความคิด เขานั่นเองที่เป็นคนคอยดูแลผม

   สัมผัสที่คอยนวดที่ขมับและหว่างคิ้วให้ผมหายไปแล้ว ไม่นานผมก็รู้สึกถึงแขนที่สอดเข้ามาใต้ร่างของผม ดอกเตอร์รั้งประคองผมขึ้นมา จากนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงริมฝีปากที่ประกบลงมา ฝ่ามือที่ประคองใบหน้าของผม น้ำอุ่น ๆ ถูกปล่อยผ่านปากของเขาเข้าสู่ปากของผม สิ่งที่ดอกเตอร์ทำมันทำให้ผมอาการกำเริบ ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที นี่เขาไม่มีวิธีอื่นจะช่วยผมหรือยังไงกันนะ?

   “อื้ม...” ผมส่งเสียงได้เท่านี้ พยายามจะประท้วงที่โดนดอกเตอร์ปล้นจูบอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะผมยังคงโดนป้อนน้ำผ่านริมฝีปากไปอีกหลายครั้งจนกระทั่งดอกเตอร์พอใจ ถึงไปปล่อยผมลงไปนอนดังเดิม

   ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากได้ดื่มน้ำ อีกทั้งผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ที่กำลังซับหน้าและลำคอให้กับผม ทำให้ผมรู้สึกสบายตัว จึงพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็ทำสำเร็จ

   กว่าผมจะปรับสภาพสายตาได้ นานหลายวินาทีกว่าผมจะเห็นภาพของดอกเตอร์ที่กำลังถือผ้าขนหนู เขายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน เป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน จนผมต้องหลับตาลงอีกครั้ง ผมอาจจะตาฝาดไปก็ได้ เมื่อลืมตาขึ้นมา ภาพนั้นก็ยังคงอยู่ จากที่อาการกำเริบเมื่อครู่เริ่มทุเลาลง มันกลับกลายเป็นว่า...หัวใจของผมมันเต้นแรงขึ้นจะแทบทะลุออกมานอกอก ไอ้ดอกเตอร์บ้านั่น เขาจะรู้ไหมว่าเขากำลังทรมานผมอยู่ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนของเขา

   แล้วอาการมันยิ่งหนักขึ้นเมื่อดอกเตอร์ก้มลงมาจูบที่หน้าผากของผม ก่อนจะจบที่ริมฝีปาก เป็นการจูบจริง ๆ ที่ไม่ใช่การป้อนน้ำ แต่เป็นจูบที่โหยหาและเรียกร้องจนผมหลงไปกับรสจูบนี้ มันอร่อยกว่าน้ำเป็นไหน ๆ

.........................................................................

   เหมี่ยนจื่ออู่เฝ้าอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ของพนักงานทำความสะอาดคนนั้นอยู่หลายวัน ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไร ไม่มีคนเข้าออกห้องของเป้าหมายมาหลายวันแล้ว ประตูรถถูกเปิดออกโดยเหยินหยางผิง เรียกความสนใจจากเขาให้ละสายตาจากห้องที่เฝ้ามองอยู่ เหยินหยางผิงส่งแก้วกาแฟอุ่น ๆ ให้กับเขา

   “เป็นยังไงบ้าง”

   “เหมือนเดิม”

   “แล้วนายละ ไม่ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อยเหรอ”

   “ฉันไม่อยากคาดสายตาจากเป้าหมาย”

   “ฉันรู้ว่านายอยากช่วยเผิงฉินฉิน แต่นายก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย”

   “ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ฉันแข็งแรงดี”

   “แน่ใจ? นายหายปวดหลังแล้วเหรอ ถ้าหายแล้วฉันจะได้ซ้ำ”

   “ไอ้หมาบ้า นายนี่มัน” เขาไม่รู้จะด่าคนที่ทำหน้าระรื่นอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างไรดี จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร อีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่พูดไม่จา จนกระทั่งเหยินหยางผิงรับโทรศัพท์

   “ครับพี่กู่...อะไรนะ? ! ? ...ครับ ผมกับจื่ออู่จะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

   “เกิดอะไรขึ้น”

   “พี่กู่ให้เราไปที่สถาบันนิติเวช ไปตรวจสอบศพของหลานเจ๋อ”

   “หลานเจ๋อ เขาตายแล้วอย่างนั้นเหรอ”

   “อืม พี่กู่บอกว่าหลานเจ๋อถูกพบศพอยู่ที่อุโมงค์เก่า ตำรวจในท้องที่บอกว่าเขาถูกดักปล้น โจรฆ่าเขาแล้วทิ้งศพเอาไว้ในพงหญ้าแถว ๆ นั้น และเนื่องจากระบุตัวตนไม่ได้ในตอนแรกเลยเป็นศพนิรนาม”

   “เรื่องเกิดเมื่อไร?”

   “อาทิตย์ก่อน”

   “หลังจากที่เผิงฉินฉินหนีมาไม่กี่วัน”

   “อืม”

   “คนที่เกี่ยวข้องตายในวันและเวลาใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังมีส่วนรู้เห็นเรื่องเผิงฉินฉินอีก ฉันว่าเรื่องนี้มันชักยังไง ๆ อยู่”

   “อืม ตอนนี้พี่กู่กำลังไปพบญาติของคนงานอีกคนที่บาดเจ็บระหว่างทำงาน เผื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง พี่กู่เองก็คิดเหมือนกันว่าการตายของทั้งสองคนนั้นมันแปลก ๆ มันดูจะบังเอิญเกินไป”

   “ถ้าอย่างนั้น เราก็รีบไปกันเถอะ”

   “นายสลับมานั่งนี่ก็แล้วกัน ฉันขับรถให้นายเอง นายจะได้งีบสักพักระหว่างทางไปสถาบัน”

   “อืม ขอบใจ”

   “เปลี่ยนคำขอบใจเป็นรางวัลอย่างอื่นได้ไหม?”

   “ถ้าทำดีหวังผลแบบนี้ ฉันขับเองก็ได้” เขาปรับเบาะรถให้เข้าที่ กำลังจะสตาร์ทรถ มือของเหยินหยางผิงก็มารั้งเขาไว้

   “ฉันล้อนายเล่น มาให้ฉันขับให้ดีกว่า”

   เมื่อเห็นแววตาจริงจังของคนตรงหน้า เขาจึงยอมลงจากรถ สลับที่นั่ง จนกระทั่งเหยินหยางผิงขับรถมุ่งไปยังสถาบันนิติเวช

   ที่มุมหนึ่งของตึก ชายร่างสูงสวมเสื้อฮูดสีดำตัวโคร่งก้าวออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะหันหลังเดินไปยังห้องของหลานเจ๋อ เขาราดของเหลวที่เตรียมมาไปทั่วบริเวณห้อง ก่อนจะไปเปิดแก๊สและตั้งกาต้มน้ำร้อน จากนั้นก็เดินออกจากห้องมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

To Be Continue


ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
32







   หลังจากที่ผานกู่ออกจากโรงพยาบาล จนกระทั่งกลับมาทำงาน เขายังไม่เจอหนานเฟ่ยซานเลย ยังดีที่ได้รับข้อความบ้าง แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่หนานเฟ่ยลิฟต์ต้องเขียนคอลัมน์พิเศษเกี่ยวกับกาสิโนภายในโรงแรมฝู่แกรนด์โฮเต็ล จึงทำให้ได้รับสิทธิพิเศษเข้าไปพักในโรงแรมได้ 1 สัปดาห์เต็ม

   “พี่กู่ คิดอะไรอยู่?”

   “อ่อ ไม่มีอะไร”

   “คิดถึงเฟ่ยซานละสิ?” เหยินหยางผิงก็ยังคงแซวเขา

   “นายไม่มีงานทำหรือไง?”

   “พี่รู้ไหมว่าโฮวจีเจียนนะอิจฉาเฟ่ยซานขนาดไหน”

   “หมอนั่นคงไม่ไปดักรอนายหรอกนะ”

   “พี่ก็โดนเหมือนกันใช่ไหม ขนาดจื่ออู่ที่ไม่ค่อยได้อยู่ที่สถานียังโดนหมอนั่นระรานเอาเลย”

   “ถึงหมอนั่นจะมาวุ่นวาย ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ในเมื่อทางนั้นเขาเจาะจงให้เฟ่ยซานเป็นคนทำข่าว บก.หยุนก็ต้องทำตาม ถ้าอยากได้ข่าว”

   “ไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดยังไง ถึงมัวแต่มาเสียเวลาตามพวกเรา”

   “คงคิดว่าพวกเราจะพาเขาไปหาเฟ่ยซานได้นั่นแหละ”

   “แต่เฟ่ยซานนี่ก็แปลก ไปอยู่ที่โรงแรมไม่กลับบ้านกลับช่อง”

   “นายก็รู้ว่าเฟ่ยซานบ้างานขนาดไหน รายนั้นยังเคยสงสัยเยี่ยนหวอเลย ขอให้ฉันเอาข้อมูลคดีเก่าไปให้ แต่ฉันยังไม่ว่างเลย อีกทั้งยังมีคดีอื่น ๆ ดึงความสนใจของเฟ่ยซานไปจนหมด”

   “หรือว่า ครั้งนี้เฟ่ยซานเข้าไปที่โรงแรมฝู่จะมีแผน”

   “ฉันก็คิดแบบนั้น ถึงได้เป็นห่วงอยู่นี่ไง”

   “ยอมรับแล้วละสิว่าเป็นห่วง?”

   “เออ ฉันเป็นห่วงเฟ่ยซาน” สุดท้ายเขาก็หลงเข้ากับดักของเหยินหยางผิงจนได้ อีกฝ่ายดูเหมือนจะพอใจที่หลงกล จึงได้หัวเราะชอบใจจากนั้นก็เดินไปทำงานตนต่อ

   “พี่กู่” เหมียนจื่ออู่เดินเข้ามาหาเขาพร้อมเอกสารชุดหนึ่ง

   “อะไร?” เขารับเอกสารมาดู

   “พี่ดูตรงนี้สิ ผมว่ามันแปลก ๆ นะ” เอกสารในมือเขาคือคำให้การของเพื่อนร่วมงาน ที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่หวังกวน พนักงานบริษัททำความสะอาดอีกคนที่เสียชีวิต

   “อืม แปลกจริง ๆ นายลองไปสืบดู ว่าผับนี้เป็นของใคร แล้วหาสาเหตุของไฟรั่วมา ทุกอย่างมันดูจะเหมาะเจาะเกินไป”

   “ผับนี้เป็นของหวงกังโห”

   “อะไรนะ เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อมันโดนทางการยึดไปแล้ว”

   “ผมว่ามันน่าจะมีคนอยู่เบื้องหลัง เพราะหลังจากที่หวงกังโหถูกประกาศจับ ผับต่าง ๆ ของมันก็ถูกสั่งปิด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครในนั้นว่าจ้างให้บริษัทฯ เข้าไปทำความสะอาด”

   “นายไปกับหยางผิง ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกที แล้วไปดูบ้านของหลานเจ๋อด้วย”

   “พี่กู่” เขาสั่งงานจื่ออู่ไม่ทันไร เหยินหยางผิงก็วิ่งเข้ามาที่โต๊ะเขา

   “นายมาก็ดีแล้ว เดี๋ยวนายไปกับจื่ออู่นะ”

   “เดี๋ยวพี่ พี่ดูนี่ก่อน”

   เหยินหยางผิงขยับมายังแป้นพิมพ์หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาก่อนกดหาข่าวออนไลน์ที่เพิ่งรายงานสด ข่าวอาพาร์ทเมนต์เกิดไฟไหม้ ต้นเพลิงมาจากห้อง 240

   “ห้องนั่นมัน” เหมียนจื่ออู่ชี้ไปที่หน้าจอ เหยินหยางผิงพยักหน้าให้

   “ห้องของหลานเจ๋อ” เหยินหยางผิงบอกสีหน้าเครียด

   “พวกนายเตรียมตัว เราจะไปที่เกิดเหตุกัน”

   ผานกู่เดินออกมาตามด้วยเหยินหยางผิงและเหมี่ยนจื่ออู่ พวกเขาออกจากสถานีเพื่อตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างนั่งทำงานอยู่ภายในห้อง เขากำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของโรงแรมแกรนด์ฝู่โฮเต็ลให้กับหนานเฟ่ยซาน จนเสียงเคาะประตูทำให้เขาเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์

   “ดอกเตอร์ มีแผนจะไปขุดค้นที่ไหนเหรอคะ วันสองวันมานี่เห็นขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน”

   “คุณก็รู้ว่าผมทำอะไร แล้วจะถามเรื่องขุดค้นไปทำไม?”

   “ดอกเตอร์มีอารมณ์เขินอายบ้างไหมคะ?”

   “...”

   “ก็ได้ค่ะ ก็ได้ ฉันไม่ล้อคุณแล้ว เชิญคุณทำงานให้คุณหนานไปเถอะค่ะ”

   “คุณเข้ามากวนผมเพราะเรื่องนี้?”

   “เฮ้อ...จุกเลยนะคะเนี่ย ฉันแค่จะมาบอกคุณว่าฉันจะกลับเกาลูนแล้ว ก็เท่านั้น”

   “อืม เดินทางปลอดภัยนะ”

   “เย็นชาไม่เปลี่ยนเลยนะคะ” ซือเมิ่งอิงพูดก่อนเดินออกจากห้องไป “อ่าว!  คุณหนาน”

   “ดอกเตอร์ซือ”

   “คุณเข้าไปเถอะค่ะ ฉันเสร็จธุระกับดอกเตอร์เหมิ๋นแล้ว”

   “อ่า...ครับ” เขาเห็นท่าทางลังเลของหนานเฟ่ยซาน

   “เข้ามาสิเฟ่ยซาน” เขาวางมือจากงานตรงหน้า จากนั้นก็ลุกไปหาอีกคนที่เพิ่งก้าวเข้าประตูมา “เบื่อที่จะนอนพักเฉยๆ แล้วละสิ” อีกฝ่ายพยักหน้าให้น้อย ๆ ไม่ยอมสบตาเขา “ไปเดินเล่นแถว ๆ สระน้ำไหม?”

   “ไปได้อย่างนั้นเหรอ?”

   “ยังไงนายก็ต้องส่งคอลัมน์ให้หยุนฮั่นเตาไม่ใช่เหรอ จะได้ไปถ่ายรูปไงละ”

   “แต่ผมไม่มีกล้อง”

   “เอาของฉันไปใช้ก่อนก็ได้” ว่าแล้วเข้าก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ก่อนเปิดตู้ใบหนึ่ง “นายเลือกเอาก็แล้วกัน”

   “โห...ทำไมดอกเตอร์มีกล้องเยอะขนาดนี้ คุณเป็นนักโบราณคดีแน่เหรอ?”

   “แล้วนักโบราณคดีเขาไม่ถ่ายรูปกันหรือไง”

   “ก็จริง แต่ไม่เห็นต้องมีเยอะขนาดนี้เลย” หนานเฟ่ยซานบ่นอุบอิบ แต่เขาก็ยังได้ยินชัดเจน

   เหมิ๋นหยวนฮ่างพาหนานเฟ่ยซานลงมายังชั้นที่เป็นสวนและสระว่ายน้ำ หวังให้อีกฝ่ายได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง หลังจากที่โดนเขาบังคับให้นอนพักอยู่แต่ในห้อง 2 วันเต็ม ๆ เมื่อลงลิฟต์มาแล้วพวกเขาต้องเดินผ่านส่วนของเลานจ์

   “นายคือแขกคนนั้นนั่นเอง”

   “แขก?” เขาชี้ไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ โถงลิฟต์ ซึ่งเป็นที่ที่เขาเจอหนานเฟ่ยซานครั้งแรก “ดอกเตอร์จำได้?”

   “ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่ได้ใส่ใจ แต่จู่ ๆ มันก็นึกขึ้นมาได้”

   “ผมมันก็แค่นักข่าวธรรมดา ๆ คนระดับดอกเตอร์ก็คงไม่ใส่ใจคนอย่างผมหรอก”

   “งอน?”

   “งอน? ใครงอน? ผมเปล่าสักหน่อย ผมพูดความจริง” หนานเฟ่ยซานพูดแล้วรีบเดินไปยังส่วนของสระว่ายน้ำ

   “ก็ได้ แล้วความจริงหลังจากนั้นละ” เขาเดินตามมาติด ๆ คำถามของเขาทำให้หนานเฟ่ยซานชะงักและหันกลับมามองที่เขา
   
   “ผมไม่รู้” คนตรงหน้าตอบคำถามทั้งที่เลี่ยงจะสบตาเขา “ดอกเตอร์ทำให้ผมสับสน จนบางครั้ง ผมก็ทำตัวไม่ถูก”

   “นายกำลังว่าฉันไม่ชัดเจน” หนานเฟ่ยซานพยักหน้า “อืม...” เขาควรจะพูดอะไร หรืออธิบายอะไรดี ในเมื่อ 2 วันที่ดูแลหนานเฟ่ยซานอย่างใกล้ชิด เขาก็แสดงออกทุกอย่างด้วยการกระทำไปหมดแล้ว
   
   “ดอกเตอร์...”

   “มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ”

   “ผมอยากกลับบ้าน”

   “ฉันจะส่งนายกลับแน่ ๆ เมื่ออาการของนายดีขึ้นกว่านี้”

   “ผมรู้ว่าผมฟื้นตัวช้า และช่วงนี้อาจจะมีอาการวูบบ่อย ๆ แต่ผมสัญญาว่าผมจะระวังตัว”

   “ไม่ได้ จนกว่าฉันจะวางใจ แล้วที่นายฟื้นตัวเร็วกว่าครั้งที่แล้ว นั่นเป็นเพราะยาของเมิ่งอิง”

   “ผมรู้ว่าเลือดของผมมีค่ามากแค่ไหน ผมพิสูจน์จนเห็นกับตาตัวเองแล้ว ผมจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก”

   “นายรู้ตัวก็ดีแล้ว ครบอาทิตย์ ถ้านายดีขึ้น ฉันจะไปส่ง”

   “ไม่ต้องรอจนครบอาทิตย์ไม่ได้เหรอไง ผมไปกลับก็ได้นะ ยังไงผมก็ต้องเขียนคอลัมน์จนเสร็จ”

   “ทำไมนายถึงอยากจะกลับบ้านนัก มีอะไรรึเปล่า”

   “...” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานก้มหน้า เหมือนจะอึดอัดกับอะไรสักอย่าง เขาจึงก้าวเข้าไปใกล้ ๆ

   “เฟ่ยซาน...”

   “ยะ อย่า”

   หนานเฟ่ยซานก้าวถอยหลังเล็กน้อย อีกทั้งยังเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาจึงฉวยข้อมือของอีกคนในขณะที่ไม่ได้ระวังตัว แล้วลากพากลับเข้ามาภายในโรงแรม เมื่อเข้าลิฟต์ส่วนตัว เขากดลิฟต์ขึ้นไปยังห้องของเขาทันที ก่อนที่จะกักคนตรงหน้าไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ทำให้หนานเฟ่ยซานเหมือนจะฝั่งตัวเองไปกับผนังลิฟต์

   “ดอกเตอร์” น้ำเสียงของหนายเฟ่ยซานดูจะตระหนกอยู่ไม่น้อย “ไหนบอกว่าจะให้ผมเดินเล่นที่สระยังไงละ” คนตรงหน้าพูดทั้งที่ไม่ยอมสบตาเขา

   “เรียกพี่หยวนฮ่าง”

   “ดอกเตอร์!! ”  หนานเฟ่ยซานยอมหันมาสบตาเขา

   “เรียกใหม่”

   “ทำไม?”

   “ก็นายบอกเองว่าฉันไม่ชัดเจน ฉันก็กำลังจะอธิบายว่าฉันไม่ได้สนใจเลือดในตัวนาย ไม่สนว่ามันจะมีคุณสมบัติเหมือนน้ำตากิเลน ฉันสนใจแค่นายเท่านั้น เฟ่ยซาน”

   “มัน...”

   “มันเร็วไป ใช่ ฉันรู้ แต่ที่นายสับสนแบบนี้ เป็นเพราะนายก็รู้สึกไม่ต่างกับฉันไม่ใช่เหรอ?” เขาสังเกตสีหน้าของหนานเฟ่ยซาน จนแน่ใจในคำตอบจึงเอ่ยต่อ “นายอาจจะคิดว่าที่ฉันทำดีกับนาย เป็นเพราะน้ำตากิเลน แต่ฉันยืนยันว่าไม่ใช่ ฉันห่วงนายจริง ๆ นายจะให้โอกาสฉันได้ไหม?”

   “ผม...” ความสับสนยังคงอยู่บนใบหน้าของคนที่เขากักไว้ แต่สุดท้ายแล้วหนานเฟ่ยซานก็พยักหน้ารับ

   “พวกเราไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาอีกมาก ค่อยๆ คบกันไปก่อน จนกว่าเราสองคนจะแน่ใจกว่านี้ แต่นายต้องไม่วิ่งเข้าหาอันตรายอีก ได้ไหม?”

   “ดอกเตอร์...”

   “เรียกใหม่”

   “ปล่อย!! ”

   “ไม่”

   “ก็มันไม่ชินนี่”

   “ก็เรียกให้ชินสิ”

   “ต้องเรียกจริง ๆ เหรอ?”

   “นายจะเรียกฉันว่าดอกเตอร์ไปตลอดชีวิตเลยรึไง?”

   “ก็...”

   “ที่นายช่วยชีวิตนักสืบผานอย่างไม่สนใจชีวิตตัวเอง ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับนายเลยนะ”

   “ก็คนมันไม่รู้นี่ว่าต้องทำยังไง”

   “ยังจะเถียง?”

   “ไม่ได้ ถะ...อื้ม....” เขาไม่ปล่อยให้หนานเฟ่ยซานได้พูดต่อ ก้มลงประกบริมฝีปากคนในอ้อมแขนจนพอใจ ถึงปล่อยให้เป็นอิสระ

   “ดอกเตอร์ทำให้ผมอาการกำเริบ”

   “นายต้องแยกแยะให้ออกนะว่าใจเต้นแรงเพราะอาการกำเริบ หรือมันเต้นแรงเพราะนายมีใจให้ฉัน” เขากระซิบข้างหู ก่อนจะปล่อยให้หนานเฟ่ยซานเป็นอิสระ “และฉันจะไม่เตือนนายอีกเป็นครั้งที่ 3 ว่าต้องเรียกฉันยังไง” เมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุด เขาก็กดเลขบนแป้นเพื่อลงไปยังเป้าหมายเดิม

   “นั่น ดอก เอ้ย พะ..พี่ หยวน ฮ่าง” เสียงของหนานเฟ่ยซานค่อย ๆ แผ่วลง “จะไปไหน”

   “ก็จะพาเราไปเดินเล่นที่ริมสระยังไงละ ฉันรู้ว่าเราเบื่อที่ต้องขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง”

   “อืม”

   หลังจากลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างสุด เขาก็ฉวยมือของหนานเฟ่ยซานมากุมไว้ พาจูงเดินไปยังบริเวณสระว่ายน้ำ โดยไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะมองพวกเขาด้วยสายตาอย่างไร

.........................................................................

   นี่ผมใจง่ายไปรึเปล่า? ที่ปล่อยให้ดอกเตอร์เดินจูงมือผมอยู่แบบนี้ พนักงานในโรงแรมต่างมองมาที่พวกเรา จนผมได้แต่ก้มหน้า ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อีกอย่างผมแค่ยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับดอกเตอร์เท่านั้น ไม่ได้บอกว่าจะคบกับเขาสักหน่อย

   ผมพยายามดึงมือผมออกจากการเกาะกุมของดอกเตอร์ แต่เขากลับกระชับมือแนบเข้าไปอีก จนกระทั่งเดินมาถึงบริเวณสระว่ายน้ำของโรงแรม

   “เราไม่ต้องอายไปหรอก เดี๋ยวก็ชิน”

   “ดอก เอ้ย เอ่อ...พี่หยวน ฮ่าง” ทำไมการเรียกชื่อดอกเตอร์ออกมามันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้นะ “รู้ได้ยังไง พี่... ไม่ได้หันมองผมเลย”

   ดอกเตอร์พาผมไปนั่งที่โต๊ะใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง ข้าง ๆ สระว่ายน้ำ ไม่ทันไรก็มีพนักงานเอาเครื่องดื่มมาให้ทั้งที่ดอกเตอร์ยังไม่ทันสั่งอะไรเลย

   “ของเฟ่ยซานเอาเป็นน้ำกีวี่ปั่นก็แล้วกัน” ดอกเตอร์สั่งบริกร ก่อนหันมาตอบคำถามของผม หลังจากที่พนักงานคนนั้นเดินออกไป

   “ครอบครัวของฉันกับครอบครัวฝู่ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน แต่ก็พลัดพรากไปหลายร้อยปี พวกเรามาเจอกันอีกครั้ง สายใยความเป็นพี่น้องก็ยังคงอยู่ ม๊าของฉันเล่าว่า กว่าม๊าจะสืบหาคนตระกูลฝู่ได้ก็ใช้เวลาหลายสิบปี”

   “นี่ดอกเตอร์กำลังจะเล่าเรื่องเพื่อให้ผมนำไปเขียนคอลัมน์ใช่ไหม ผมไม่มีเครื่องอัดเทปหรือสมุดจด”

   “เฟ่ยซาน...”

   “ผมขอเวลาแป๊บเดียว ขอหาอะไรมาจดก่อน”

   “เฮ้อ...ไม่ต้องจดอะไรทั้งนั้น แล้วต้องเรียกฉันว่ายังไง?” ผมที่มัวกับตื่นเต้นที่จะได้รู้เรื่องราวของเยี่ยหวอ จึงหลุดเรียกตามความเคยชินไปจนได้

   “พี่...หยวนฮ่าง”

   “ที่ฉันเล่าให้เราฟัง ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปเขียนคอลัมน์ได้ ข้อมูลพวกนั้นฉันเตรียมให้เราหมดแล้ว แต่ที่เล่าให้ฟัง เพราะฉันเห็นเราเป็นคนในครอบครัว”

   “เอ่อ...คือ...” มันเร็วไปไหม? อยากรู้ก็อยากรู้ แต่ผมยังไม่ได้รับปากจะคบด้วยสักหน่อย “พี่ หยวนฮ่าง คือผม...”

   “เราไม่ต้องรีบคิดไปไกล ฉันก็แค่บอกความรู้สึกของฉันให้เรารับรู้ และฉันก็เห็นว่าเราเป็นคนในครอบครัวจริงๆ” ดอกเตอร์เป็นคนพูดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

   “แล้ว คุณนายเหมิ๋น หรือคุณฝู่ละ”

   “ม๊า กับอี๊ หรือแม้กระทั่งเตี๋ย เขาฝึกฉันมาดี เขารู้ว่าฉันไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังหรอก”

   “คุณนายเหมิ๋นจะไม่ผิดหวังจริง ๆ เหรอ ในเมื่อดอก...เอ้ย พี่หยวนฮ่างเป็นลูกชายคนเดียวนะ”

   “เราไม่รู้ก็ไม่แปลกอะไร เพราะคนภายนอกไม่มีใครรู้ ม๊าของฉันไม่ใช่สายเลือดแท้ ๆ ของเหมิ๋น เธอเป็นลูกบุญธรรมของอากง เพราะฉะนั้น ฉันเองก็ไม่ใช่สายเลือดโดยตรง ดังนั้นเรื่องการจะหาคนมารับช่วงต่อกิจการของตระกูลก็ไม่ใช่ปัญหา แล้วนายเคยได้ยินเรื่องนางฟ้าของเยี่ยนหวอไหม?”

   “ผมเคยได้ยิน ว่าคุณฝู่มีน้องสองคน คนหนึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนางฟ้าของเยี่ยนหวอ เพราะเธอมีความงามจนทุกคนหลงใหล แต่เพราะเธอแต่งงานมีสามีแล้วจึงย้ายตามสามีไปอยู่ที่ประเทศไทย คนที่นี่จึงไม่เคยเห็นเธออีกเลย”

   “ไม่ใช่เลย น้องของอี๊คนนี้ ที่ทุกคนเรียกว่านางฟ้าแห่งเยี่ยนหวอ ความจริงแล้วเพราะว่าเขาเป็นคนที่ใจดีมาก ๆ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ถึงจะเป็นทายาทของตระกูลแต่ไม่เคยเอาฐานะตำแหน่งมาใช้กดขี่ผู้อื่น”

   “อ่อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราคุยกัน”

   “เราเข้าใจไม่ผิดหรอกว่าเขาแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ประเทศไทย แต่ที่เราไม่รู้ก็คือ เตี๋ยหยกเป็นผู้ชาย”

   “อ่อ...หา?”

   “เราฟังไม่ผิดหรอก ดังนั้นเรื่องเราสองคน ไม่มีอะไรที่น่าผิดหวังสำหรับครอบครัวฉัน”

To Be Continue


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
33








   การสืบคดีมาถึงทางตันอีกครั้ง คนที่พบเห็นเผิงฉินฉินเป็นคนสุดท้าย อย่างหลานเจ๋อกับหวังกวนก็ถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว ฆาตกรรายนี้เพียงเพื่อต้องการให้ได้เหยื่อรายต่อไป ถึงกับต้องฆ่าคนไปอีก 2 คน แต่เพราะอะไรถึงต้องทำอย่างนั้น ผานกู่ที่พยายามขบคิดเรื่องนี้เท่าไร ก็คิดไม่ออกสักที

   “พี่กู่ เป็นอะไรไปพี่หน้าเครียดเชียว? ” หนานเฟ่ยซานเดินเข้ามาที่โต๊ะของเขา

   “อ่าว เฟ่ยซาน หายหน้าหายตาไปเลยนะ เป็นยังไงละได้ไปนอนโรงแรมหรู”

   “พี่กู่ พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบงานแบบนั้น แต่ก็ดีแล้วล่ะ จนงานสักทีให้ผมไปนั่งนอน ๆ เป็นอาทิตย์ ถึงจะเป็นโรงแรมหรูก็เถอะ อึดอัดจะตาย”

   “นายเข้าไปที่นั่นไม่ได้มีความคิดอะไรแอบแฝงหรือยังไง? ”

   “ก็...”

   “ช่างเถอะ แล้วได้ข่าวอย่างที่ต้องการไหม? ”

   “ได้อยู่พี่ ผมส่งให้จีเจียนแล้ว บก.ก็ไม่ว่าอะไร เขารู้ว่าผมไม่ถนัดเขียนข่าวประเภทนั้น”

   “เสียดายนะที่นายพลาดข่าวแรงงานเถื่อนน่ะ”

   “อืม แต่เห็นว่ามีเด็กหายไปคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้นละพี่”

   “จะมาหลอกถามหาข่าวจากพี่ละสิ”

   “ไม่ได้หลอก นี่ถามเอาตรง ๆ เลย พี่ก็รู้ว่าผมไม่เขียนข่าวอะไรซี้ซั้ว”

   “อืม เด็กที่หาไปคือเผิงฉินฉิน แล้วยังเป็นเหยื่อรายถัดไปของคดีฆ่ารัดคอด้วย”

   “พี่รู้ได้ยังไง แล้วคดีฆ่ารัดคอนั่นคืบหน้าไปถึงไหน”

   “ก็ยังไปไม่ถึงไหน ตอนนี้พวกพี่ก็เจอทางตันอีกแล้ว”

   “แล้วพี่รู้ได้ยังไง ว่าเผิงฉินฉินจะเป็นเหยื่อรายถัดไป ในเมื่อเธอหายตัวไปไม่ใช่เหรอ”

   “นายตามพี่มานี่ แล้วก็จะรู้เอง” ผานกู่เดินนำหนานเฟ่ยซานไปยังห้องประชุม เขาชี้ให้หนานเฟ่ยซานได้ดูข้อมูลล่าสุดที่พวกเขาได้เบาะแสมา

   “เผิงฉินฉิน แอบหนีออกมาแล้วหายไประหว่างทางที่หนีไปอย่างนั้นเหรอ? ”

   “ใช่”

   “ผมไปพักที่โรงแรมอาทิตย์หนึ่ง เผิงฉินฉินหายตัวไปก่อนหน้านั้นประมาณ 1 อาทิตย์ จนวันนี้ก็เข้าอาทิตย์ที่ 3 แล้ว ร่างกายเด็กผู้หญิงคนนั้นยังทนไหวอย่างนั้นเหรอ? ”

   “เฮ้อ...นี่แหละที่พี่ห่วง หลานเจ๋อกับหวังกวนก็ถูกฆ่าปิดปาก เราเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเผิงฉินฉิน”

   “สองคนนั้นเป็นใคร ทำไมถึงต้องถูกฆ่าปิดปาก”

   “สองคนนั่นเป็นพนักงานทำความสะอาด ที่นายแอบถ่ายรูปรถพวกเขาไว้ได้นั่นแหละ เผิงฉินฉินแอบขึ้นรถคันที่สองคนนั้นประจำอยู่”

   “อืม...แล้วทำไมถึงโดนฆ่า หรือว่า!! ”

   “อะไร?!! ”

   “เป็นไปได้ไหมที่สองคนนั่นเห็นหน้าฆาตกรในขณะที่มันกำลังจับตัวเผิงฉินฉินไป”

   “อืม มีความเป็นไปได้ ระหว่างทางที่รถคันนั้นออกจากโกดังกลับไปยังบริษัทฯ รถคันนั้นอาจจะจอดพักที่ไหนสักที่ เผิงฉินฉินถึงได้แอบลงจากรถมา ทำให้ฆาตกรจับตัวเธอไปได้”

   “สถานที่ที่จะหยุดจอดพักระหว่างทางสำหรับรถพวกนี้ก็มีแต่ปั๊มน้ำมันเท่านั้นแหละ”

   “ดี ดีมาก ขอบใจมากเฟ่ยซาน”

   หนานเฟ่ยซานก็สมแล้วที่เป็นหนานเฟ่ยซาน ที่มักจะมองในสิ่งคนอื่นคาดไม่ถึง หรือละเลยได้ตลอด เขารีบเดินออกไปยังแผนก เพื่อตามเหยินหยางผิง แล้วไปยังศูนย์ควบคุมการจราจรเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดทันที

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างจอดรถรอหนานเฟ่ยซานอยู่หน้าสถานี ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงเขาก็เห็นนักสืบผานเดินออกมาพร้อมกับนักสืบอีกคน ก่อนที่ทั้งสองจะขับรถออกไป โดยไม่มีหนานเฟ่ยซานติดตามไปด้วย แต่ก็รออยู่นาน หนานเฟ่ยซานก็ยังไม่ออกมาสักที จึงกดโทรศัพท์หาจู้ชุน

   “เฟ่ยซานยังอยู่ในสถานีไหม? ”

   ‘เฟ่ยซานเข้ามาที่นี่เหรอครับ? ’

   “อืม”

   ‘ผมยังไม่เห็นนะ’

   “เขาบอกว่าจะไปหานักสืบผาน”

   ‘พี่กู่เพิ่งจะออกไปกับหยางผิงเมื่อครู่’

   “ฉันเห็นแล้ว”

   ‘เฟ่ยซานไม่ได้ไปกับพี่กู่เหรอครับ’

   “ไม่”

   ‘เดี๋ยวผมดูให้ครับ แล้วจะรีบโทรไปบอก’

   “ถ้าเจอเฟ่ยซานแล้ว ให้บอกเขาว่าฉันรออยู่”

   ‘อ่อ ได้ครับ’

   เขารออีกสักพักหนานเฟ่ยซานก็เดินออกมาจากสถานี และเดินตรงมาที่รถของเขา ดูจากสีหน้าแล้ว คงจะไม่พอใจที่เขาเร่งเป็นแน่

   “ฉันก็เห็นว่าเราหายไปนาน”

   “แต่ก็ไม่เห็นต้องให้พี่ชุนไปตามเลยนี่”

   “นี่เรางอนฉันเพราะจู้ชุนหรอกเหรอ? ”

   “ผมยังไม่พร้อมให้คนอื่นรู้เรื่องของเรา”

   “จู้ชุนเป็นคนของเยี่ยนหวอ”

   “...”

   “เอาล่ะ คราวหน้าฉันจะระวังก็แล้วกัน”

   “ทำไมพี่ชุนถึงยอมเป็นสายให้เยี่ยนหวอ”

   “เขาไม่ได้เป็นสายให้เยี่ยนหวอ เขาเป็นเด็กที่เตี๋ยหยกให้ทุนเรียน พอเรียนจบเตี๋ยเห็นว่าจู้ชุนอยากเป็นตำรวจ เลยสนับสนุนให้ไปเรียนศิลปะป้องกันตัวอื่น ๆ ที่เยี่ยนหวอมีหุ้นอยู่ จู้ชุนเป็นคนดี เรื่องไหนที่เกี่ยวพันกับเยี่ยนหวอเขาจะคอยเป็นหูเป็นตาและระวังให้เท่านั้น”

   “ที่พี่ชุนมีสายอยู่ตามแหล่งต่าง ๆ นี่คงไม่ได้หมายถึงสายของเยี่ยนหวอหรอกนะ”

   “บังเอิญวว่าใช่”

   “ถ้าผมจะขอให้สืบอะไรให้ พี่จะว่าอะไรรึเปล่า? ”

   “ก็ขึ้นอยู่กับว่า เรื่องที่เราอยากรู้เป็นเรื่องอะไร? ”

   “มีเด็กคนหนึ่งหายตัวไปก่อนที่พวกพี่จะเข้าไปช่วย เธอชื่อเผิงฉินฉิน แล้วจากที่ผมเพิ่งได้ข้อมูลจากตำรวจ ดูเหมือนว่าเธอจะถูกฆาตกรที่ฆ่ารัดคอจับตัวไปไว้ที่ไหนสักแห่ง”

   “นั่นมันงานของตำรวจนะ”

   “พี่หยวนฮ่าง เธอยังเด็กอยู่เลย แล้วนี่ก็โดนจับไปตั้งสามอาทิตย์แล้ว ผมไม่รู้ว่าเธอจะทนอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

   “เฮ้อ...ขนาดตำรวจยังตามหาไม่เจอ แล้วคนของเยี่ยนหวอจะไปตามเจอได้ยังไง เยี่ยนหวอไม่ใช่มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลที่ไหนนะเฟ่ยซาน”

   “ผมพอมีเบาะแสที่สามารถจะตามรอยคนร้ายได้ ผมสัญญาว่าจะส่งข้อมูลทุกอย่างที่สืบได้ให้พี่กู่ จะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเด็ดขาด”

   “เอาเป็นว่าฉันจะช่วยเราก็แล้วกัน อยากให้ช่วยอะไรล่ะ? ”

   “ผมอยากจะขอดูกล้องวงจรปิดภายในพื้นที่โกดังท่าเรือที่ 5 ในวันที่ผมเจอกับพี่หยวนฮ่าง”

   “โทรศัพท์ของฉันดูย้อนหลังไม่ได้หรอกนะ ต้องเข้าไปดูที่ออฟฟิศ เอาเป็นว่า หลังจากเสร็จงานเปิดตัวกล่องสำริดแล้ว ฉันค่อยพาเราไปดูแล้วกัน”

   “จริงสิ วันนี้พิพิธภัณฑ์เปิดตัวกล่องสำเริดนี่นา แล้วทำไมดอก เอ้ย!! พี่หยวนฮ่างยังไม่ไปอีกล่ะ? ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ นี่ถ้าเขาไม่อยู่รอแล้วปล่อยให้หนานเฟ่ยซานกลับสำนักงานเอง ไม่รู้ป่านนี้จะวิ่งวุ่นไปสืบคดีที่ไหนอีก เขาสั่งให้คนขับรถขับพาเขาไปพิพิธภัณฑ์ทันที โดยไม่ตอบของหนานเฟ่ยซาน

   “พี่หยวนฮ่าง ผมต้องเข้าสำนักงาน”

   “โทรไปบอกบก. หยุน ว่าเราจะไปหาข่าวที่โกดัง”

   “เผด็จการ”

   “ได้ยิน”

   เขาเห็นหนานเฟ่ยซานโทรศัพท์ไปรายงานกับหยุนฮั่นเตาตามที่เขาบอก จากนั้นก็นั่งหน้าบึ้งไปตลอดทางจนถึงพิพิธภัณฑ์ก็ไม่ยอมลงจากรถ เขาจึงให้คนของเขา 2 คน คอยดูแลและติดตามหนานเฟ่ยซานหากเจ้าตัวอยากออกไปไหน ส่วนที่เหลือก็ตามเขาเข้าพิพิธภัณฑ์

.........................................................................

   หลังจากดอกเตอร์เข้าพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว ผมก็เดินออกมานอกเขตพิพิธภัณฑ์โดยมีคนของดอกเตอร์ติดตามอยู่ห่าง ๆ พวกเขาสองคนเดินห่างจากผมมาก แต่ก็ยังอยู่ในระยะสายตาตลอด ทำให้ผมไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อโดนเดินตามแบบนี้

   ผมค่อย ๆ เดินลงเนินมาเรื่อย ๆ จำได้ว่าก่อนทางขึ้นไปยังพิพิธภัณฑ์ มีร้านกาแฟเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ในตรอกร้านหนึ่ง เมื่อพบแล้วผมก็เข้าไปสั่งเครื่องดื่มก่อนหาที่นั่งในมุมที่ไม่ค่อยมีคน ผมเลือกนั่งที่ริมกระจกบานใหญ่เพื่อให้คนของดอกเตอร์สามารถมองเห็นผมได้

   อาทิตย์ที่ผ่านมา ชีวิตนักข่าวธรรมดาของผมเปลี่ยนไปมาก ดอกเตอร์ดูแลผมเป็นอย่างดี เมื่อวานเขาก็ไปส่งผมที่บ้าน เมื่อเช้าก็ยังมารับผม ถึงผมจะต่อว่าดอกเตอร์ว่าเผด็จการก็เถอะ แต่ผมก็รู้ ว่าสิ่งเขาทำนั่นเพราะเขาเป็นห่วงผม

   หลายวันมานี้ ผมได้รู้เรื่องราวของฝู่และเหมิ๋นซึ่งมันเกินกว่าที่ผมคาดไว้ และก็มีหลายเรื่องที่คนภายนอกไม่ควรรับรู้ สาเหตุนี้นี่เองทำให้เรื่องราวของเยี่ยนหวอถึงดูอึมครึม จนคนร่ำลือไปในต่างๆ นานา

   “เฟ่ยซานนี่ ใช่เฟ่ยซานจริง ๆ ด้วย นี่นายหายไปไหนมาตั้งหลายวัน แล้วนี่มาทำข่าวอะไรแถวนี้ หรือว่ามาเรื่องเปิดตัวกล่องสำเริด? ” อาเต๋อพูดพร้อมนั่งลงตรงข้ามผม

   “อาเต๋อ นี่นายหายใจทางผิวหนังหรือไง”

   “เปล่านี่ ฉันก็หายใจเหมือน ๆ กันนายนี่แหละ นายหายไปหลายวันท่าทางจะเพี้ยนนะเนี่ย” เขาได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ กับการพูดมากของอาเต๋อ

   “ว่าแต่นายมาทำอะไรแถวนี้? ”

   “ฉันมาร้านกาแฟ ก็ต้องซื้อกาแฟสิ ถามแปลก นายไม่สบายรึเปล่า”

   “ฉันสบายดี เอาเถอะ ๆ นายไปซื้อกาแฟของนายเถอะ”

   “เดี๋ยวฉันมานะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

   ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร อาเต๋อก็พุ่งตัวออกไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ ผมมองไปด้านนอก คนของดอกเตอร์คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ส่วนอีกคน นั่งอยู่ที่โต๊ะห่างจากผมไปไม่มากนัก

   “นี่เฟ่ยซาน วันนั้นฉันเห็นนายขึ้นรถไปกับคุณนายเหมิ๋น นายไปรู้จักเขาได้ยังไง”อาเต๋อดูกระตือรือร้นเมื่อพูดถึงเรื่องคุณนายเหมิ๋น

   “ฉันเพิ่งเจอเธอเป็นครั้งแรกบนเรือนั่นแหละ แต่กับดอกเตอร์ก็รู้จักกันมาสักพักแล้ว”

   “ดอกเตอร์? หมอที่โรงพยาบาลไหนเหรอ? ”

   “ดอกเตอร์เหมิ๋นยังไงละ ลูกชายคุณนายเหมิ๋นน่ะ”

   “อ๋อ...คนขุดสมบัติอ่ะนะ”

   “คนขุดสมบัติ? ”

   “ก็ใช่ไง เขาขุดดินตามล่าสมบัติอยู่ไม่ใช่เหรอ วันนี้ก็มาที่ทำงานของฉัน มาก็สาย สงสัยคิดว่าตัวเองเป็นคนดัง”

   “นายทำงานที่พิพิธภัณฑ์อย่างนั้นเหรอ? ”

   “ฉันเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนะ บริษัทฯ ส่งไปไหนฉันก็ต้องไปสิ”

   “ฉันนึกว่านายทำงานกับคุณเยี่ยนซะอีก”

   “ใครจ้าง ฉันก็ทำหมดแหละ ว่าแต่นายช่วยฝากงานให้ฉันกับคุณนายเหมิ๋นหน่อยได้ไหม ฉันอยากทำงานในกาสิโน”

   “เฮ้ย...ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเจอเธอแค่ครั้งเดียว ฉันจะไปฝากงานให้ได้ได้ยังไง”

   “จริงสินะ นายก็แค่นักข่าวธรรมดา ๆ เองนี่นะ ว่าแต่นายยังไม่ได้ตอบฉันเลย ว่านายหายไปไหนมาเป็นอาทิตย์”

   “ไปทำข่าวน่ะ เพิ่งจะกลับมาเมื่อวาน”

   “มาเดินเล่นแถวนี้ คงจะโดดงานละสิท่า”

   “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

   “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่กวนเวลาพักผ่อนของนายแล้ว ไปล่ะ เดี๋ยวฉันต้องไปเข้ากะอีกที่ ไปก่อนนะ” อาเต๋อหยิบแก้วกาแฟแล้วเดินเร็ว ๆ ออกไปทันที เมื่ออาเต๋อเดินลับหายไป คนของดอกเตอร์ที่อยู่ในร้านก็เดินเข้ามาหาผม

   “คนนั้นเพื่อนคุณหนานเหรอครับ”

   “อืม บังเอิญเจอกันน่ะ ทำไมเหรอหรือว่านายจะเอาไปรายงานดอกเตอร์”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมเห็นเขาเดินตามคุณหนานมาตั้งแต่ตอนที่พวกเราเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์”

   “เขาเพิ่งเลิกงานจากที่นั่นนะ”

   “ครับ” เขาพยักหน้าเข้าใจก่อนเดินไปสั่งกาแฟอีกแก้ว จากนั้นเขาก็เอาไปให้เพื่อนร่วมงานอีกคน และรออยู่ข้างนอกจนกระทั่งดอกเตอร์เดินเข้ามาหาผมในร้าน

   “พี่หยวนฮ่าง มาได้ยังไง” ดอกเตอร์หันไปมองคนของเขาที่รอติดตามผมมา ทั้งสองกำลังเดินขึ้นเนินเพื่อมุ่งตรงไปยังพิพิธภัณฑ์

   “หายโกรธรึยัง? ”

   “ผมไม่ได้โกรธ”

   “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ แถวนี้มีร้านอาหารอิตาลีอยู่ ไปหาอะไรทานกัน” ดอกเตอร์เดินนำผมออกไปก่อน ผมรีบเดินเร็วตามเขาไปจนคว้าสายรัดเสื้อโค้ตไว้ได้ ดอกเตอร์ชะงักฝีเท้าทันที

   “ผมขอโทษ”

   ดอกเตอร์ไม่พูดอะไร เขาคว้ามือผมมากุมไว้ แล้วเดินจูงพาออกจากร้าน พวกเราเดินไปตามทางอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไร จนผมทนไม่ไหว

   “พี่หยวนฮ่าง ผมขอโทษ ที่ผมทำให้พี่เสียงาน”

   “ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่ได้ชอบมางานพวกนี้อยู่แล้ว”

   “แต่...”

   “ช่างเถอะ เดี๋ยวทานอาหารเสร็จแล้ว เราค่อยไปที่ออฟฟิศที่ท่าเรือกัน”

   “อืม ขอบคุณครับ”

   พวกเราเดินกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงร้านอาหาร โดยปราศจากผู้ติดตาม คนทั้งหมดกลับไปทำงานของตนเอง มีเพียงชายคนหนึ่งนำกุญแจรถมาให้ดอกเตอร์ในร้านอาหารเท่านั้น

.........................................................................

   ภายในตรอกเล็ก ๆ ชายคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ รถบรรทุกขนาดเล็ก คอยเฝ้ามองคนที่นั่งทานอาหารอยู่ภายใน เขาพอจะคาดเดาสถานะของคนทั้งสองได้ ดูจากที่เหมิ๋นหยวนฮ่างให้คนคอยติดตามหนูตัวนั้นอย่างใกล้ชิดแล้ว

   แต่ก็น่าแปลก ที่อยู่ๆ คนติดตามของเหมิ๋นหยวนฮ่าง ก็พากันหายไปหมด เขาพยายามมองสอดส่องไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใครสักคน และเมื่อมองกลับไปยังร้านอาหาร แสงสะท้อนจากกระจกแว่นตาของเหมิ๋นหยวนฮ่างมันพุ่งตรงมาที่เขา ราวกับว่าคนคนนั้นกำลังมองตรงมาที่เขาอยู่ นั่นทำให้ จางซือหวู ต้องรีบหลบและเดินออกจากตรอกนั้นไปทันที

To Be Continue

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
34







          เหยินหยางผิงเดินเข้าในสถานีพร้อมกับเหมี่ยนจื่ออู่ เมื่อเข้ามาถึงก็พบผานกู่นั่งดูเอกสารสีหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะตัวเอง เขากับเหมี่ยนจื่ออู่ได้แต่มองหน้ากันด้วยความหนักใจ

          “พี่กู่”

          “อืม พวกนายไปพักเถอะ เมื่อคืนคงยังไม่ได้นอนสินะ”

          “พี่กู่ เรื่องรถคันนั้น”

          “ฉันรู้แล้ว พวกนายคงไม่เจออะไรผิดสังเกตุใช่ไหม?”

          “พี่รู้ได้ไง?”

          “นี่ไง” ผานกู่ส่งเอกสารในมือให้พวกเขา

          “พี่ไปได้รูปพวกนี้มาจากไหน?” เหมี่ยนจื่ออู่ถามขึ้นหลังจากเห็นรูปในเอกสาร เขาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อรอคำตอบจากผานกู่

          “เฟ่ยซานเอามาให้เมื่อเช้า”

          “ที่นี่มัน โกดังของเยี่ยนหวอนี่” เขาจำพื้นที่แถวๆ นั้นได้ มันเป็นโซนใกล้ ๆ กับโซนที่พวกเขาเข้าไปช่วยคนที่ถูกขังไว้

          “อืม เฟ่ยซานไปขอมาจากดอกเตอร์เหมิ๋น”

          “ถ้าอย่างนั้น เราก็สามารถสืบหาเฝิงฉินฉินต่อได้แล้วสิ” เหมี่ยนจื่ออู่พูดขึ้นอย่างดีใจ

          “พี่กู่ พี่เป็นอะไรรึเปล่า?” เขาถามขึ้นเพราะเห็นว่าผิดสังเกตุ เหมี่ยนจื่ออู่ที่จะพูดอะไรต่อแต่ก็ไม่พูดออกมา

          “ไม่มีอะไรหรอก พวกนายไปพักเถอะ เรื่องตามหาต้วนเจียจง เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เขาที่กำลังจะถาม แต่กลับเป็นเหมี่ยนจื่ออู่ที่ดึงเขาออกมา เมื่อพ้นออกจาสถานีแล้ว เหมี่ยนจื่ออู่จึงพูดกับเขา

          “เจ้าหมาบ้า นี่นายดูไม่ออกเหรอว่าพี่กู่เป็นอะไร”

          “ฉันว่าเขากังวลเรื่องอื่น ถึงในรูปนั้นจะไม่เห็นหน้าผู้ชายคนที่สวมฮูด และเราก็แน่ใจได้ว่า ต้วนเจียจงรู้จักกับฆาตกรแน่นอน”

          “พี่กู่คิดถึงเรื่องเฟ่ยซาน”

          “เฟ่ยซาน? เฟ่ยซานทำไม”

          “ตั้งแต่เฟ่ยซานไปทำข่าวบนเรือ ก็ดูเหมือนกับเขาจะสนิทสนมกับดอกเตอร์เหมิ๋นมากขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ไปขอรูปจากกล้องวงจรปิดภายในโกดังมาให้พวกเราง่าย ๆ แบบนี้หรอก แล้วยังตอนที่พี่กู่อยู่ที่โรงพยาบาลอีก เฟ่ยซานไม่ได้มาเยี่ยมพี่กู่เลย มัวแต่ไปทำข่าวที่โรงแรม”

          “นายจะบอกว่า เฟ่ยซานกับดอกเตอร์จอมหยิ่งนั่น...”

          “ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาสนิทกันมากแค่ไหน แต่มันก็ทำให้พี่กู่ของเราไม่สบายใจ”

          “แต่ไอ้ดอกเตอร์นั่น ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะสนใจอะไรเฟ่ยซาน”

          “พวกเราไม่เห็นก็จริง แต่ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น”

          “ชักเริ่มเป็นห่วงพี่กู่แล้วสิ”

          “อืม ไว้ฉันจะลองถามเฟ่ยซานดู”

          “แล้วนี่นายจะไปไหน ไอ้หมากระเป๋า”

          “ก็กลับไปพักสิไอ้หมาบ้า ฉันไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไม่เหมือนนายนี่” เหมี่ยนจื่ออู่เดินไปยังรถของตัวเองโดยมาสนใจเขาที่วิ่งตามหลังมา

.........................................................................

          ผานกู่สลัดความคิดเรื่องของหนานเฟยซานออกไป แล้วกลับมาดูข้อมูลตรงหน้าแทน เขาจะมาเสียเวลาคิดเรื่องส่วนตัวไม่ได้ เพราะมีชีวิตของเฝิงฉินฉินเป็นเดิมพันอยู่

          “อากู ฉันได้ยินว่านายได้เบาะแสเกี่ยวกับฆาตกรในคดีฆ่ารัดคอ” ชิวกัมหงเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับตู้เห่า

          “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก พวกนายดูนี่” เขาส่งรูปภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดให้คนทั้งสองดู “นี่เป็นรูปที่ได้จากกล้องวงจรปิดของโกดังเยี่ยนหวอ”
“รถคันที่ขับไปดักรถจากบริษัททำความสะอาด เราน่าจะสืบจากทะเบียนรถได้ ว่าเป็นรถของใคร” ตู้เห่าออกความเห็นหลังจากดูรูปภาพ

          “ไม่ต้องไปตรวจสอบที่ไหนหรอก นี่ไงเจ้าของรถ” ชิวกัมหงวางรูปลงบนโต๊ะก่อนชี้ไปที่ต้วนเจียจง

          “จากมุมนี้เราเห็นแค่รถสองคัน กลับกลุ่มคนออกมาคุยกัน แต่เราไม่เห็นเฝิงฉินฉินเลยนะ แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าต้วนเจียจงกับอีกคนเป็นคนจับเฝิงฉินฉินไป”

          “มีกล้องอีกตัวหนึ่งจับภาพคนทั้งหมดไว้ได้ และอาจจะเห็นเผิงฉินฉินด้วย แต่เป็นเพราะกล้องตัวนั้นอยู่ไกลจากที่เกิดเหตุ เฟ่ยซานเลยไม่ได้ปรินส์รูปมาให้ เขาให้เราขอความร่วมมือไปที่โกดังของเยี่ยหวอเพื่อขอดูเทปบันทึก”

          “มันคงอยู่นอกเหนือความสามารถของเฟ่ยซานสินะ”

          “แล้วทางต้วนเจียจงเป็นยังไงบ้าง ตามหาตัวเจอไหม?” เขาหันไปถามตู้เห่าผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้

          “วันที่พวกเราเข้าไปช่วยคนออกมาจากโกดัง ต้วนเจียจงคงจะไหวตัวทัน มันกลับจากฮ่องกงมาตอนสองทุ่มเศษ แล้วก็หายไปเลย บ้านก็ไม่ได้กลับ จู้ชุนกำลังสืบอยู่ว่ามันหนีออกนอกประเทศไปรึยัง?”

          คำบอกเล่าของตู้เห่าทำให้เขาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเลือกหารูปที่สามารถเห็นชายที่สวมฮูดได้ชัดที่สุดเท่าที่มีในตอนนี้

          “นายเจออะไร อากู่” ชิวกัมหงถามขณะเขาพยายามเลือกรูป

          “ฉันยังไม่แน่ใจ”

          “รูปพวกนี้ก็เหมือน ๆ กันหมด นายต้องการหาอะไรกันแน่” ตู้เห่ามองดูรูปภาพที่วางกองอยู่ตรงหน้า

          “ชายคนนี้มองดูแล้ว รูปร่างเขาคล้าย ๆ กับคนที่ทำร้ายฉันเมื่อสัปดาห์ก่อน”

          “จริงสิ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนคนเดียวกัน” ชิวกัมหงเห็นด้วย “ครั้งแรก เฟ่ยซานถ่ายรูปของฉินหรุยกวงอยู่กับเยียนจูเฟิง ที่โกดัง F23 ต่อมา เป็นภาพของไอ้คนนี้” ชิวกัมหงชี้ไปที่รูปของชายที่สวมฮูดในรูป “อยู่กับต้วนเจียจง แถว ๆ โซนโกดัง K”

          “อืม ว่าต่อเลยกัมหง”

          “สิ่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างภาพสองภาพนี้คือต้วนเจียจง”

          “ใช่ เรารู้ว่าต้วนเจียจงอาศัยฉินหรุยกวงลักลอบนำเข้าส่วนประกอบของปืนมากับสินค้า” ตู้เห่าขยายความ

          “ต่อมา อากู่นายโดนใครสักคนลอบทำร้ายบนเรือของเยี่ยนจูเฟิง”

          “อืม...เยี่ยนจูเฟิง ฉินหรุยกวง ต้วนเจียจง รวมถึงไอ้หมอนี่ น่าจะมีความเชื่อมโยงกัน” เขาพึมพำออกมา

          “ใช่แล้ว ตัดฉินหรุยกวงไป เพราะหมอนี่โดนฆ่าปิดปากไปแล้ว”

          “ก่อนที่ฉันจะถูกทำร้าย ฉันได้ยินว่าชาวต่างชาติคนนั้นพอใจสินค้าของเยียนจูเฟิง”

          “ถ้าวันนั้น ไอ้หมอนี่ไม่โยนนายลงทะเล พวกเราอาจจะคาดเดาไปว่า ชายคนนั้นคงซื้อเรือสักลำจากเยี่ยนจูเฟิง แต่การที่มันร้อนตัวทำร้ายนายแบบนั้น เป็นไปได้ว่าเยี่ยจูเฟิงอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับต้วนเจียจง และถ้านายบอกว่า ไอ้หมอนี่รูปร่างคล้ายกับคนที่ทำร้ายนายคืนนั้น ฉันว่ามีความเป็นไปได้มาก”

          “ถ้าเป็นจริงอย่างที่กัมหงอนุมาน อย่างนั้นก็ไม่ยากเลยถ้าเยี่ยนจูเฟิงจะให้ต้วนเจียจงลักลอบขึ้นเรือสักลำ เพื่อหนีออกนอกมาเก๊า” ตู้เห่าออกความเห็น

          “อีกข้อหนึ่ง สิ่งที่ฉันยังสงสัยอยู่ ก็คือ ต้วนเจียจงรู้ตัวได้ยังไงว่าโกดังของเขาถูกตรวจค้น”

          “เป็นไปได้ไหมว่า นอกจากโกดัง F23 F13 F14 แล้ว คนพวกนั้นอาจจะเช่าโกดังอื่น ๆ ใกล้เคียงอยู่” เขาออกความเห็น

          “เป็นไปไม่ได้ ฉันกับจู้ชุนได้รายชื่อผู้เช่าโกดังทั้งหมดมาจากเยี่ยนหวอแล้ว ไม่มีโกดังไหนที่เป็นของคนพวกนี้อีกเลย”

          “นายเช็คดูดีแล้วใช่ไหมอาเห่า”

          “ฉันกับจู้ชุนตรวจสอบกันหลายรอบแล้ว ไม่อย่างนั้น คืนที่นายโดนแทง จู้ชุนคงไม่บังเอิญไปเจอนายเข้าหรอก”

          “คืนนั้นนายรู้เหรอ ว่าจู้ชุนไปสืบคดีที่นั่น”

          “เขาบอกฉันแล้ว ว่าจะแอบเข้าไปอีกตอนกลางคืน คงคิดว่าจะเจอเบาะแสอะไรดีๆ อย่างเฟ่ยซานเจอบ้างก็เป็นได้ แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเข้าไปในคืนนั้น เพิ่งมารู้ทีหลังก็ตอนที่นายอยู่โรงพยาบาลแล้วนั่นแหละ”

          “อืม...ตอนนี้ทางเดียวที่เราจะสืบเรื่องนี้ต่อได้ ก็มีเพียงเยี่ยนจูเฟิงเท่านั้น” ชิวกัมหงพูดกับตู้เห่า

          “เดี๋ยวก่อนนะ” เขาเริ่มเอ๊ะใจอะไรบางอย่าง

          “อะไรของนายอีก อากู่”

          “ถ้าไอ้หมอนี่มันไปจับเผิงฉินฉินที่แอบหนีจากโกดังของต้วนเจียจง”

          “ใช่ แล้วทำไม”

          “ไม่ต้วนเจียจง ก็เป็นไอ้หมอนี่ หนึ่งในสองคนนี้ที่เป็นฆาตกรฆ่ารัดคอ” ตู้เห่าและชิวกัมหงต่างพากันตกใจ และเห็นด้วยกันกับเขา

          หนึ่งในสองคนนี้เจอเฝิงฉินฉินเป็นพวกสุดท้าย และอดีตพนักงานที่อยู่ในรูปก็ต่างเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้น สองคนนี้น่าสงสัยที่สุด

.........................................................................

          ในวันหยุดของย่านช้อปปิ้ง ผู้คนมากมายต่างออกมาเดินเที่ยว จับจ่ายซื้อหาสินค้าที่ตนเองพอใจ รวมไปถึงซือเมิ่งอิ๋งที่มาเดินเที่ยวพร้อมกับสามี ตั้งแต่เธอได้ร่วมงานกับดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง เธอได้มีโอกาสวิเคราะห์น้ำตากิเลน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งท้าทายที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

          หลังจากที่ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง ได้น้ำตากิเลนมาจากการขุดค้นครั้งล่าสุด เธอก็ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องแลปซึ่งก็นานร่วมเดือน และจากที่เธอสามารถคิดค้นยาที่ช่วยหนานเฟ่ยซานได้ในครั้งนี้ ทำให้เธอได้โบนัสพิเศษ แถมวันหยุดยาวอีกต่างหาก

          “ฉันอยากไปดูเครื่องประดับร้านนั้น” เธอบอกกับสามีของเธอ หลังจากที่ทั้งคู่เดินมองดูนั่นนี่ไปรอบ ๆ แต่ยังไม่เจออะไรที่น่าสนใจ

          “ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องเครื่องประดับคุณก็รู้... คุณเข้าไปเถอะ ผมจะไปรออยู่ที่ร้านหนังสือเก่าข้าง ๆ นั่น” สามีของเธอชี้ไปที่ร้านที่ตั้งอยู่ข้าง เธอก็ไม่ได้ขัดอะไร จากนั้นทั้งสองก็ต่างแยกย้ายเข้าไปในร้านที่ตนสนใจ

          ซือเมิ่งอิ๋ง เข้าไปในร้านเลือกเครื่องประดับ 2-3 ชิ้น ไม่นานเธอก็ตามสามีเข้าไปในร้านหนังสือเก่า เธอพบสามีของเธอยืนอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่งอย่างสนใจ เธอไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ จึงเลือกที่จะเดินดูหนังสือภายในร้าน

          ระหว่างที่เธอกำลังเลือกดูหาหนังสือเพื่ออ่านฆ่าเวลาอยู่นั้น เธอบังเอิญได้ยินคนในร้านพูดคุยกัน และบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงก็เป็นคนที่เพิ่งให้รางวัลเธอเมื่อไม่นานมานี้เอง เธอจึงหยิบหนังสือส่ง ๆ จากชั้นขึ้นมาทำทีอ่านโดยไม่ได้มองว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร

          “เมื่อวานเหมิ๋นหยวนฮ่างไปงานเปิดตัวกล่องสำริดที่พิพิธภัณฑ์ โดยมีนักข่าวคนนั้นตามไปด้วย” ชายที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เป็นผู้ที่พูดพาดพิงถึงเจ้านายของเธอ

          “ทำไมในข่าวฉันไม่เห็นมัน” คนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกค้า ส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้คนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์

          “ซือหวูเห็นพวกมันอยู่ด้วยกัน นักข่าวคนนั้นไม่ได้เข้าไปในงานด้วย”

          “แล้วเมื่อไรซือหวูจะจัดการนักข่าวคนนั้น”

          “มันเกาะติดเหมิ๋นหยวนฮ่างแจ ซือหวูยังไม่มีโอกาสลงมือ”

          อีกคนที่ถูกพูดถึงคงจะเป็นคุณหนานสินะ แต่ที่คนพวกนี้ไม่รู้ก็คือ คุณหนานไม่ได้เกาะติดเจ้านายของเธอ แต่เป็นเพราะดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างไม่ยอมปล่อยคุณหนานมากกว่า

          “ให้ซือหวูสืบมาให้ได้ว่า หยวนฮ่างเสร็จจากงานเปิดตัวกล่องสำริดแล้วจะกลับมาที่นี่เมื่อไร เพราะถ้าไอ้นักข่าวนั่นมันตามมาด้วย ฉันจะได้จัดการมันด้วยตัวของฉันเอง”

          “ทั้งหมด 50 ดอลล่า”

          ชายคนที่เป็นเจ้าของร้านส่งถุงหนังสือพร้อมทั้งเรียกเก็บเงิน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่สามีเธอเข้ามาทัก มันทำให้เธอสะดุ้งตกใจ

          “อะไรกัน อ่านเพลินขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วนี้คุณอ่านอะไรอยู่”

          “อ่ะ อ่าน” เธอยกหนังสือในมือขึ้นมาดูหน้าปก การเตรียมตัวของคุณแม่มือใหม่ เธอยิ่งตกใจเข้าไปอีกเมื่อสามีของเธอดูจะดีใจจนออกนอกหน้า

          “เมิ่งอิง นี่คุณ ผมดีใจที่สุดเลย” สามีเธอส่งเสียงดังพร้อมทั้งเข้ามากอดเธอไว้แน่น นั่นทำให้เรียกสายตาจากคนในร้านให้หันมามอง ไม่เว้นแม้แต่ลูกค้าที่เพิ่งจะคุยกับเจ้าของร้านเสร็จเมื่อครู่

          “คุณ” เธอพูดอะไรไม่ออก รีบวางหนังสือเล่มนั้นลง แล้วลากสามีเธอออกมาจากร้าน ก่อนที่จะเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้ เพราะเธอไม่อยากให้ ชายคนนั้นจำเธอได้ แต่เธอจำเขาได้ดี เพราะชายคนนี้ คือคนที่ยืนกอดคอยิ้มอย่างสนิทสนมกับเจ้านายของเธออยู่ในรูปที่แขวนไว้ในห้องทำงานของเขาที่แลป... ต้วนเจียจง

.........................................................................

          ผมส่งข้อมูลที่หามาได้ทั้งหมดให้พี่กู่ตามที่สัญญากับดอกเตอร์เอาไว้ จากนั้นก็เข้ามาทำงานที่สำนักงานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ ดอกเตอร์คอยตามประกบผมตลอด ถึงจะไม่แสดงตัวแต่ผมก็รู้ว่าเขาอยู่แถว ๆ นี้

          “เฟ่ยซาน ๆ ๆ” โฮวจีเจียนร้องเรียกชื่อของผมตั้งแต่ยังไม่ยังเห็นตัว ก่อนที่ผมจะเห็นร่างอวบ ๆ ของเขาวิ่งเข้ามา

          “เป็นอะไร หรือว่านายมีอะไรให้ฉันช่วยอีก”
“นี่นายเห็นฉันเป็นคนยังไง” โฮววจีเจียนยืนเอามือท้าวกับโต๊ะของเขาไว้ ก่อนหายใจหอบออกมาเป็นระยะ ๆ

          “ถ้าไม่มีอะไร ทำไมถึงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาฉันแบบนี้ละ”

          “เดี๋ยว ขอพักหายใจแป๊บ”

          “นายหายเหนื่อยแล้วตามฉันไปที่คลังข้อมูลก็แล้วกัน” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้น ก่อนจะถูกโฮวจีเจียนกดให้นั่งลงดังเดิม และหันเก้าอี้เข้าหาเขา

          “เมื่อวานฉันเห็นนายกับดอกเตอร์เหมิ๋นที่ร้านอาหารแถว ๆ พิพิธภัณฑ์”

          “แล้วยังไง?”

          “แล้วยังไง นายมาถามฉันกลับแบบนี้ได้ยังไง นายตั้งใจจะไปสัมภาษณ์ดอกเตอร์เหมิ๋นไม่ใช่เหรอ แล้วได้ความว่ายังไง”

          “เปล่า ฉันแค่ไปกินข้าวกันเฉย ๆ”

          “ไปดักรอเพื่อไปกินข้าวกับเขาเฉย ๆ เนี่ยนะ”

          “ไม่ได้ไปดักรอ” ผมละไว้ไม่ได้บอกกับจีเจียนตรง ๆ ว่าผมไปกับดอกเตอร์ตั้งแต่ต้น

          “นายจะบอกว่าบังเอิญเจอกับดอกเตอร์ เลยได้กินข้าวด้วยกัน แค่นั้น?”

          “อืม” โฮวจีเจียนดูเหมือนคนหมดแรงในทันที เขาปล่อยมือออกจากผม ถอยหลังลงไปนั่งเก้าอี้ตัวถัดไป

          “เฟ่ยซานนะเฟ่ยซาน โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ ทำไมไม่เป็นฉันบ้างนนะ สวรรค์นะสวรรค์” โฮวจีเจียนยังคงพร่ำบ่นไปเรื่อย ๆ โทษนั่นโทษนี่ไปตามประสา

          “นายก็อย่าโลภให้มาก สำนักงานของเราได้ทั้งสัมภาษณ์คุณฝู่ก็แล้ว คุณนายเหมิ๋นก็แล้ว แค่นี้สำนักข่าวอื่น ๆ เขาก็อิจฉาเราจะแย่อยู่แล้ว ไหนจะชื่อเสียงของนายที่มากขึ้นอีก งานมีเขามาเยอะไม่ใช่หรือไง”

          “เออ ฉันยอมรับว่าช่วงนี้งานมันเข้ามาเยอะ ก็เพราะข้อมูลที่นายให้มานั่นแหละ แต่การได้ลงบทสัมภาษณ์ของดอกเตอร์เหมิ๋นนี่ถือเป็นความใฝ่ฝันของฉันเลยนะ ยิ่งงานส่งมอบกล่องสำริดเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่รู้ว่าดอกเตอร์จะกลับเกาลูนเมื่อไร”

          “ดอกเตอร์จะกลับเกาลูนอย่างนั้นเหรอ” ทำไมผมไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้เลย

          “ก็ใช่นะสิ ครั้งนี้ถือว่าเขาอยู่ที่มาเก๊าได้นานที่สุดแล้ว ภาวนาขออย่าให้ดอกเตอร์ไปขุดค้นอะไรที่ไหนอีกเลย ไม่อย่างนั้นคงได้หายไปเป็นปี ๆ แน่”

          “หายไปเป็นปี ๆ เลยเหรอ?”

          “ก็ใช่นะสิ อย่างครั้งนี้กว่าจะได้กล่องสำริดใบนี้มา ดอกเตอร์ก็หายไปกับทีมสำรวจเกือบ 3 ปีเลยนะ”

          “3 ปี”

          “อืม”

          ในหัวของผมตอนนี้มีแต่คำว่า 3 ปี ดอกเตอร์ใช้เวลานานแค่ไหนกันแน่ กว่าจะค้นพบน้ำตากิเลน และเมื่อค้นพบกลับต้องมาเสียของมีค่านั้นให้กับคนอย่างผม ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ผมเคยเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจให้กับดอกเตอร์ไปแล้วหรือยัง

          “นี่นายจะไปไหน?” โฮ่วจีเจียนถามในขณะที่ผมเก็บของเข้ากระเป๋า

          “ฉันจะออกไปหาข่าวข้างนอกสักหน่อย”

          “ตอนนี้ไม่เห็นจะมีคดีอะไรดังไปกว่าคดีฆ่ารัดคอนั่น เฮ้ย!...อย่าบอกนะว่านายจะไปหาข่าวเกี่ยวกับคดีอันตรายนั่นน่ะ”

          “อืม ฉันจะไปหาพี่กู่หน่อย ฝากนายบอกบอ. ด้วยก็แล้วกัน

          “ได้ ๆๆ ถ้านายไปที่สถานี ฉันก็หายห่วง...”

          ผมไม่อยู่ฟังคำพร่ำเพ้อของจีเจียน และเร่งฝีเท้า เดินออกมาอย่างเร่งรีบ ผมรู้ว่าถ้าผมลงไปชั้นล่าง เมื่อออกไปนอกสำนักงาน ยังไงผมก็ต้องเจอเขา และก็ไม่ผิดจากที่ผมคิดไว้ เขาคอยอยู่ใกล้ตัวผมตลอด เมื่อผมเดินออกมายังลานจอดรถ รถของดอกเตอร์ก็เข้ามาจอดเทียบข้าง ๆ ผมไม่รีรอรีบก้าวขึ้นไปทันที

          “จะออกไปหาข่าวที่ไหนอีกละ เพิ่งเข้าสำนักงานได้ไม่ถึงครึ่งวันเลยไม่ใช่เหรอ?”

          “พี่หยวนฮ่าง ผม...” อยู่ ๆ ผมก็พูดไม่ออก ความเสียใจมันจุกอกไปหมด

          “เกิดอะไรขึ้น” ดอกเตอร์จอดรถข้าง ๆ ฟุตบาทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานของผมนัก เขาหันมามองผม

          “เรื่องน้ำตากิเลน”

          “เรื่องนั้นทำไม?”

          “ผมขอโทษ ผม ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจกลืนมันเข้าไป ไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่หยวนฮ่างเสียมันไป”

          “เดี๋ยว ๆ เฟ่ยซานเกิดอะไรขึ้น” ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันเริ่มซึมออกมา พี่หยวนฮ่างก็ดึงผมเขาไปกอดเอาไว้ “ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูด เราไปรู้ ไปเจออะไรมา ไหนบอกพี่มาสิ”

          “พี่ ๆ ใช้เวลาตั้งหลายปี กว่าจะตามหามันเจอ แต่ ๆ แต่พี่กลับต้องเสียมันไป เพราะ เพราะคน คนอย่างผม”

          “ไม่เอา ไม่ร้อง เฟ่ยซานของพี่ เฟ่ยซานที่กล้าหาญ ทำไมมาร้องไห้เป็นเด็ก 3 ขวบแบบนี้”

          “ผมขอโทษ ผมไม่เคยขอโทษพี่เลย ผมขอโทษ”

          ดอกเตอร์ดันตัวของผมออก ผมไม่กล้าเงยหน้ามองเขา ดอกเตอร์เช็ดน้ำตาของผมเบา ๆ ก่อนประคองใบหน้าของผมขึ้น ผมยังคงหลบสายตาจากคนตรงหน้า สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปากของผมเรียกสายตาให้ผมมองไปข้างหน้า ดอกเตอร์จูบปากผมเบา ๆ ไม่ได้ล่วงล้ำ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง

          “เมื่อก่อนฉันอาจจะโกรธ ที่เราทำให้ฉันเสียของมีค่าขนาดนั้น แต่ตอนนี้ฉันกลับดีใจ ที่น้ำตากิเลนหนึ่งเม็ดนั้นได้ช่วยชีวิตของเราไว้ เฟ่ยซาน ฉันดีใจจริง ๆ ที่เรายังมีชีวิตอยู่”

          “พี่หยวนฮ่าง...”

          “ไหนจะบอกฉันได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไปรู้อะไรมา”

          “ก็แค่ โฮวจีเจียน...”

          “เฮ้อ...ฉันไม่ค่อยจะชอบเพื่อนของเราคนนี้เลย”

          “เขาไม่มีอะไรสักหน่อย เขาแค่เล่าให้ฟังว่าพี่หยวนฮ่างหายไปนาน ๆ เวลาไปขุดค้น”

          “นั่นก็จริง”

          “ผมเลยคิดว่า พี่จะใช้เวลากี่ปีกัน ในการหาน้ำตากิเลน”

          “ถ้าเราอยากรู้ฉันจะเล่าให้ฟัง นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เรารีบออกมาจากสำนักงานใช่ไหม?”

          ผมที่ออกจากอ้อมแขนของดอกเตอร์แล้ว ก็ได้แต่พยักหน้า ดอกเตอร์เองก็เริ่มออกรถ แล้วก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการค้นหาน้ำตากิเลนให้ผมฟัง ตลอดทางที่เขาขับรถมาจนถึงบ้านที่ชุง ฮอม กอก


 
To Be Continue

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
35







          เหมิ๋นหยวนฮ่างเข้ามาจอดรถภายในบ้านที่ชุง ฮอม กอก ได้สักพัก แต่ยังเล่าเรื่องการค้นหาน้ำตากิเลนค้างอยู่ ทั้งเขาและหนานเฟ่ยซานจึงยังคงนั่งอยู่ในรถ

          “น้ำตากิเลนนี้ฉันพบมันที่สุสานโตลุย ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกชายของเจงกีสข่าน สุสานนี้ลูกชายของอาหนีเกอเป็นคนดูแล”

          “ถ้าเป็นอย่างที่พี่หยวนฮ่างว่า งั้นพี่ก็มีโอกาสค้นพบน้ำตากิเลนได้ที่สุสานอื่นนะสิ”

          “ไม่แล้วละ ที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่อยู่ในความดูแลของตระกูลอาหนีแล้ว” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานทำหน้าสลดลงอีกครั้ง “ไป ลงรถเถอะ เดี๋ยวฉันเตรียมอะไรให้ทาน” หนานเฟ่ยซานเดินตามเขาเข้าบ้านมาอย่างเลื่อนลอย

          “เอ๊ะ!! เรามาที่นี่กันทำไม?” หนานเฟ่ยซานชะงักเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องรับแขก

          “เพิ่งจะรู้ตัวอย่างนั้นเหรอ ว่าฉันพาเรามาที่ไหน”

          “ก็...”

          “ช่างเถอะ ฉันจะให้นายย้ายมาอยู่ที่นี่” เขาเดินนำเข้ามายังห้องครัว

          “ย้าย ย้ายมาทำไม บ้านผมก็มี”

          “ย้ายมาแหละดีแล้ว ฉันจะได้ดูแลเราง่าย ๆ หน่อย” เขาตอบพร้อมกับเริ่มค้นหาวัตถุดิบในตู้เย็น

          “พี่อย่าทำอย่างกับผมเป็นเด็ก ๆ สิ ผมดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาดูแล”

          “ฉันรู้ว่าเราโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ แต่ฉันก็อยากจะดูแลคนของฉันนี่” เขาปิดตู้เย็นลง พร้อมกับสบตากับหนานเฟ่ยซาน แต่คนที่เถียงอยู่ปาว ๆ กลับเป็นฝ่ายหลบสายตาเขา

          “ยังไม่ได้ตกลงอะไรด้วยซะหน่อย เออ ออ ไปเองคนเดียวทั้งนั้น”

          “ได้ยิน” เขาตอบทั้งที่ไม่ได้หันไปมองคนพูด และเริ่มลงเมื่อทำอาหาร

          “ทำไมพี่ถึงได้หูดีขนาดนี้เนี่ย”

          “ก็เคยบอกแล้วว่าฉันถูกฝึกมาดี”

          “รวมถึงเรื่องทำอาหารนี่ด้วยรึเปล่า”

          “เรื่องนี้ฉันเรียนรู้จากเตี๋ยหยก”

          “พี่หยวนฮ่าง...”

          “หืม?”

          “ตอนอยู่ในรถ...ผมอยากให้พี่แทนตัวเองแบบนั้น”

          “อ่อ”

          “คำว่าอ่อนี่ มันหมายความว่ายังไงกัน”

          “ถ้าเราย้ายมาอยู่ที่นี่ เรื่องนั้นค่อยว่ากัน”

          “ขี้โกงชะมัด”

          “ได้ยิน”

          “ก็ตั้งใจพูดให้ได้ยิน”

          เมื่อก่อนเขาคงรำคาญที่มีคนมีพูดเจื้อยแจ้วแบบนี้ แต่พอตอนนี้เขากลับเพลินไปกับเสียงของหนานเฟ่ยซาน ที่ดูเหมือนจะพูดไม่หยุด แม้ว่าเขาจะตอบสั้น ๆ หรือบางครั้งไม่ตอบเลยก็ตาม

.........................................................................

          ผมนั่งทานข้าวฝีมือเดอร์เตอร์อีกครั้ง ตั้งแต่ที่ผมไปพักที่โรงแรม ดอกเตอร์ก็เป็นคนทำอาหารให้ผมทานตลอด บางครั้งก็มีคุณนายเหมิ๋นหรือคุณคีมาร่วมทานด้วย

          “ฉันให้เวลาเราเตรียมตัวอีก 2-3 วัน เก็บของแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ซะ”

          “ผมถามจริงๆ เถอะ ทำไมพี่หยวนฮ่างถึงอยากให้ผมย้ายมาอยู่ที่นี่”

          “หรือเราอยากไปอยู่ที่โรงแรม”

          “ไม่”

          “ฉันก็รู้ว่าเราคงไม่อยากเข้าไปอยู่ที่นั่น นายย้ายมาที่นี่ล่ะดีแล้ว ที่นี่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเป็นทรัพย์สินของฝู่ การที่เราเข้า ๆ ออก ๆ ที่นี่ จะได้ไม่มีใครสงสัย”

          “มันก็ต้องมีคนรู้บ้างแหละ ว่าผมมาอยู่กับพี่ เมื่อวานจีเจียนยังเห็นพี่กับผมที่ร้านอาหารเลย”

          “เราเคยเดือนร้อนเพราะเพื่อนคนนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันว่า เราควรจะห่าง ๆ จากเพื่อนคนนี้หน่อย”

          “จีเจียนถึงจะดูเป็นคนไม่เอาไหน แต่เขาก็เก่งมากเลยนะ เพียงแต่ช่วงนี้จีเจียไปติดพันกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้านั้นเอง”

          “ครั้งที่เราเกือบตายก็เพราะเขาให้ไปทำงานแทนไม่ใช่เหรอ แล้วไหนจะบนเรือของเยี่ยนจูเฟิงอีก”

          “พี่อย่าเพิ่งโกรธสิ”

          “ครั้งต่อ ๆ ไปเราอาจจะไม่โชคดีอย่างที่แล้ว ๆ มานะ เฟ่ยซาน”

          “ผมยอมย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ได้ พี่อย่าเพิ่งโกรธเลยนะ อ่ะ นี่ กินอันนี้ คนทำเขาทำสุดฝีมือ อร่อยมากเลยนะ” ผมคีบเนื้อผัดชิ้นหนึ่งให้ดอกเตอร์ แต่เขาก็ยังคงมองผมหน้านิ่ง ๆ เหมือนเดิม

          “เฟ่ยซาน นะ เฟยซาน”

          “รู้แล้วน่า ต่อไปนี้ผมจะระวังตัว จะไม่ไปทำงานแทนจีเจียนอีก พอใจรึยัง”

          “อืม”

          พวกเรานั่งทานอาหารเที่ยงกันเสร็จ ผมก็เข้าไปช่วยดอกเตอร์ล้างถ้วยชามในห้องครัว ระหว่างนั้นก็มีคนโทรมาหาดอกเตอร์ เขาจึงเปิดสปีกเกอร์โฟน

          “ว่าไงเมิ่งอิ๋ง”

          “ดอกเตอร์ค่ะ ฉันเจอคุณต้วนที่นี่ และเท่าที่ฉันได้ยิน ดูเหมือนคุณต้วนจะไม่พอใจคุณหนานเอามาก ๆ”

          “ผม?”

          “อ๊ะ คุณหนานอยู่ด้วยเหรอค่ะ?”

          “อืม คุณไปเจอเจียจงได้ยังไงกัน”

          “เมื่อครู่ฉันเพิ่งพบกับเขาที่ร้านขายหนังสือเก่า ในแหล่งช๊อปปิ้งค่ะ เขามาซื้อหนังสือ แต่ก็น่าแปลก ที่เขาพูดคุยกับคนขายหนังสือ เหมือนกับรู้จักทั้งดอกเตอร์และคุณหนาน”

          “คุณส่งที่อยู่และชื่อร้านให้ผม ที่เหลือผมจัดการเอง”

          “ได้ค่ะ ดิฉันไม่กวนแล้ว”

          “เดี๋ยวครับดอกเตอร์ซือ”

          “ค่ะ คุณหนาน”

          “คุณต้วนเขาเห็นคุณรึเปล่า”

          “เห็นค่ะ แต่เขาไม่รู้จักดิฉันหรอกค่ะคุณหนาน แต่ที่ดิฉันรู้จักเขา เพราะมีรูปถ่ายเขาอยู่ในห้องทำงานของดอกเตอร์”

          “อืม ขอบใจมากนะเมิ่งอิ๋ง ที่ส่งข่าวมา”

          “ดอกเตอร์กับคุณหนานก็ระวังตัวด้วยนะคะ”

          จากนั้นดอกเตอร์ซือเมิ่งอิ๋งก็ตัดสายไป ส่วนดอกเตอร์ก็ทำอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ได้เบาะแสผู้ต้องสงสัยของคดีแรงงานเถื่อนแล้วแท้ ๆ หรือเป็นเพราะต้วนเจียจงเป็นเพื่อนของดอกเตอร์

          “พี่หยวนฮ่าง”

          “ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”

          “พี่จะจัดการยังไง”

          “ฉันจะพาเขากลับมา แล้วส่งให้นักสืบผาน”

          “เขาเป็นเพื่อนพี่”

          “ไม่ต้องห่วง ฉันแยกแยะได้ ตอนที่ฉันไม่อยู่ที่นี่ เราก็ทำตัวดี ๆ อย่าไปบาดเจ็บที่ไหนอีก ดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่าให้ฉันเป็นห่วง ทำได้ไหม?”

          ผมไม่ตอบได้แต่พยักหน้ารับส่ง ๆ ไปก่อน ในหัวยังคงคิดเรื่องของต้วนเจียจงไปด้วย

.........................................................................

          ผานกู่และเหยินหยางผิงกำลังพยายามกันอย่างเต็มที่เพื่อตามหาต้วนเจียจง แต่ก็ยังหาไม่พบ จนกระทั่งจู้ชุนเดินเข้ามาพวกเขาในห้องประชุม

          “เป็นไงบ้างอาชุน ได้อะไรจากสายของนายบ้าง”

          “พอได้มา แต่ก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าไร?”

          “มันยังไงกัน”

          “พี่กู่ใจเย็น ๆ ผมไปสืบจากคนที่ทำงานบนเรือวันนั้น มีคนเห็นต้วนเจียจงอยู่บนเรือด้วย”

          “อืม แล้วยังไงต่อ”

          “มีแขกคนหนึ่ง ที่อยู่บนดาดฟ้า เห็นว่ามีเรือเล็กเขามาจอดเทียบที่ท้ายเรือราว ๆ 20-30 นาทีได้ จากนั้นก็ขับออกไป”

          “ตอนที่ฉันขึ้นเรือพร้อมกับเฟ่ยซาน ฉันไม่เห็นต้วนเจียจง แสดงว่า มันมากับเรือลำนั้นสินะ”

          “น่าจะใช่ หลังจากนั้น ต้วนเจียจงก็กลับเข้ามาเก๊าตอนสองทุ่มเศษ และอีกสองวันต่อมา มีเรือสำราญของเยี่ยจูเฟิงออกจากมาเก๊าไปเกาลูนและฮ่องกง แล้วจะวนกลับเข้ามาเก๊าคืนนี้”

          “นายหมายความว่าต้วนเจียจงอาจจะไปลงเรือที่เกาลูนหรือฮองกงก็เป็นได้ ใช่ไหม?”

          “ครับ ตอนนี้ผมยังไม่รู้แน่ชัดว่าต้วนเจียจงได้ไปกับเรือลำนั้นหรือเปล่า และไปลงที่ไหน”

          “พี่กู่ แล้วแบบนี้เราจะไปตามหาไอ้โม่งนั่นต่อได้จากไหน” เหยินหยางผิงที่ฟังพวกเขาคุยกันอยู่นานถามขึ้น

          “คงต้องคอยจับตาดูเยี่ยนจูเฟิงเอาไว้”

          “เออ พี่กู่”

          “นายมีอะไรก็ว่ามา” เขาถามจู้ชุนที่มีท่าทีอึกอัก

          “ผมส่งสายเข้าไปทำงานกับไลท์ออนกรุ๊ปตั้งแต่วันที่พี่ขึ้นเรือ”

          “นายมีสายอยู่บนเรือ แล้วทำไมไม่บอกฉัน?”

          “มันฉุกละหุ ผมจะบอกพี่อยู่แล้ว แต่กว่าจะส่งสายเข้าไปได้มันก็ไม่ง่ายนะพี่ พอคนของผมได้ขึ้นเรือแน่นอนแล้ว พี่กับเฟ่ยซานก็ออกไปแล้ว”

          “เอาล่ะ ๆ ตกลงเรื่องสายของนาย พวกนั้นว่ายังไงบ้าง”

          “นั่นแหละปัญหา ผมติดต่อสายของผมไม่ได้สักคน ที่ส่งไปเมื่อวันก่อน ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ติดต่อกลับมาตามเวลาที่ต้องรายงานตัว”

          “ท่าทางเยี่ยนจูเฟิงคงจะไหวตัวทันซะแล้ว”

          “คนของเยี่ยนจูเฟิงนี่ไม่ธรรมดาเลย นอกจากจะทำให้พี่กู่เจ็บได้ ยังเก็บสายของนายซะเกลี้ยง”

          “หยางผิง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเล่นนะ”

          “อาชุน นายไปกับจื่ออู่ คอยตามเยี่ยนจูเฟิงเอาไว้”

          “พี่กู่ จื่ออู่รับมือพวกนั้นไม่ไหวหรอกนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น”

          “จื่ออู่มีความถนัดเรื่องซุ่มดู นายไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างฉันให้อาชุนไปด้วย รับรองคนของนายปลอดภัยกลับมาครบ 32 แน่”

          “นายไม่ต้องห่วง ฉันจะคอยดูแลจื่ออู่ให้”

          “ระวังตัวด้วยนะอาชุน อย่าประมาท” เขาเตือนอีกครั้ง จากนั้นจู้ชุนก็เดินออกไป

          “ถ้าต้วนเจียจงไม่ได้อยู่ที่มาเก๊า เราก็ตัดมันออกไปได้ มันคงไม่ใช่ฆาตกรต่อเนื่องที่เราตามหา คนที่ใช่น่าจะเป็นไอ้โม่งนั่น”

          “มันก็ไม่แน่ นายอย่าลืมสิ ฆาตกรจะทิ้งเหยื่อไว้ให้อดอาหาร”

          “แต่พี่ โรคจิตแบบมัน คงไม่ทิ้งเหยื่อของมันไปเฉย ๆ หรอก ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไร มันก็ยิ่งต้องเข้าไปดูเหยื่อของมันบ่อยขึ้นเท่านั้น”

          “อืม เป็นไปได้”

          “ฆาตกรมันต้องการเห็นวาระสุดท้ายของเหยื่อ มันไม่น่าจะพลาดอย่างคราวของหวงกังโห”

          ผานกู่เห็นด้วยกับเหยินหยางผิง ฆาตกรต้องการฆ่าเหยื่อของมันด้วยตัวเอง ช่วงนี้มันน่าจะต้องเฝ้าดูเหยื่ออย่างใกล้ชิดแน่นอน

.........................................................................

          ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โฮวจีเจียนถือถุงพะลุงพะลัง เขาเดินตามฉี่เยว่อย่างทุลักทุเล เธอก็ได้แต่หันมายิ้มให้กับเขา แต่ก็เดินต่อไปโดยไม่คิดจะหยุดหรือช่วยเหลือ เธอเดินเข้าไปยังร้านขายชุดชั้นในแบรนด์ดัง โฮวจีเจียนถึงกับกลืนน้ำลาย เขาสองจิตสองใจอยากจะตามเข้าไปดูว่าฉี่เยว่จะเลือกชุดชั้นในแบบไหน แต่อีกใจหนึ่งก็อายที่จะไปตามดูผู้หญิงเลือกซื้อ สุดท้ายเขาจึงยืนรอเธออยู่ด้านนอก

          ฉี่เยว่ที่กำลังเลือกดูชุดชั้นใน เธอไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมัน เพียงแต่เธอเบื่อที่โฮวจีเจียนเดินตามเธอต้อย ๆ พูดบอกอะไรก็ตามใจเธอไปเสียหมด นั่นทำให้เธอเริ่มจะเบื่อเขา

          “อาเยว่ ถ้าเธอเบื่อ เธอก็ควรเลิกยุ่งกับผู้ชายคนนี้ได้แล้ว”

          “อาเต๋อ นายตามฉันมาอย่างนั้นเหรอ?”

          “หึ ทำไมฉันต้องตามเธอด้วย”

          “หรือว่า” เธอพูดแค่นั้น ก่อนที่จะมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจอคนที่เธอคิดว่าจะเจอ

          “เขาไม่อยู่ที่นี่”

          “แล้วนายมาทำอะไรแถวนี้”

          “ทำไมฉันจะมาไม่ได้ แล้วฉันเตือนเธอไว้ ในระหว่างที่พี่ชายเธอไม่อยู่ เธอควรจะทำตัวดี ๆ เข้าไว้ ที่สำคัญ ตอนนี้พี่ชายของเธอไม่ใช่คนโปรดของไหว่ยี่อีกต่อไปแล้ว”

          “หมายความว่ายังไง”

          “ก็อย่างที่พูด ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดี หากนายรู้เรื่องหมอนั่นขึ้นมา พี่ชายเธอคงไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้”

          อาเต๋อเดินออกจากร้านไป เธอได้แต่มองตาม เธอเห็นเขาเดินผ่านโอวจีเจียนไปโดยไม่สนใจจะเหลียวแลแม้แต่น้อย ถ้าตอนนี้พี่ชายของเธอมีปัญหา เธอก็ต้องหาวิธีช่วยเขาให้ได้

.........................................................................

          ผมกำลังเก็บของใช้จำเป็นใส่กระเป๋า เตรียมจะย้ายไปบ้านของดอกเตอร์ ส่วนของอื่น ๆ เอาเก็บใส่ลังไว้หมดแล้ว ดอกเตอร์จะให้คนมาขนไปทีหลัง ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแต่ใจหายที่อยู่ ๆ ก็ต้องย้ายออกจากบ้านของตัวเองไป

          เสียงกริ่งประตูดังมากหน้าห้อง ทำให้ผมละมือจากการจัดของตรงหน้า แล้วเดินออกไปดูว่าใครมาดึกขนาดนี้ ผมมองผ่านตาแมวเห็นบอร์ดี้การ์ดที่เคยเดินตามผมไปร้านกาแฟยืนอยู่ จึงเปิดประตูให้

          “คุณหนาน” เขาโค้งให้ผม ผมมองไปยังทางเดินไม่เห็นใครนอกจากเขา “ผมขึ้นมาคนเดียว หยวนหยางนั่งรออยู่ในรถ”

          “แล้วนาย?”

          “ผม ฟงหลิว เรียกผมว่าอาหลิวก็ได้ครับ”

          “ครับ แล้ว...อาหลิวมีอะไรกับผมรึเปล่า”

          “ดอกเตอร์ติดต่อคุณไม่ได้ เลยให้ผมขึ้นมาส่งข้อความให้กับคุณ” ผมมัวแต่เก็บของอยู่ จึงไม่รู้ว่าเผลอเอาโทรศัพท์ไปวางไว้ตรงไหน

          “ผมคงลืมวางไว้ตรงไหนสักที่ แล้วแบตหมด คือผมไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลย”

          “ดอกเตอร์ฝากผมมาแจ้งว่า พรุ่งนี้เขาจะไปเกาลูน ไม่ได้มารับ ให้คุณหนานไปกับพวกผม”

          “ไม่ต้อง ๆ ผมขับรถไปทำงานของผมเองได้ อาหลิวไม่ต้องมารับหรอก”

          “ถ้าอย่างนั้น ตอนเย็นผมมาช่วยคุณหนานย้ายของไปที่ชุง ฮอม กอกนะครับ”

          “อันที่จริง ผมขับรถจากสำนักงานไปที่นั่นเลยก็ได้ ของผมก็มีไม่มาก”

          “ไม่ได้ครับ ผมต้องทำตามคำสั่งของดอกเตอร์ คุณหนานอย่าทำให้ผมลำบากใจเลยนะครับ”

          “เฮ้อ...อย่างนั้นก็ได้”

          “ถ้าผมกับหยวนหยางทำให้คุณหนานอึดอัด หรือไม่สบายใจ ผมจะเว้นระยะห่างให้มากขึ้น แบบนี้ดีไหมครับ”

          “เว้นระยะห่าง? อะไร”

          “ดอกเตอร์ให้ผมกับหยวนหยางคอยติดตามอารักขาคุณหนานครับ”

          “หา? ตะ ตั้งแต่เมื่อไร?”

          “ตั้งแต่คุณหนานออกจากโรงแรมฝู่ครับ”

          “เออ...ผมไม่รู้ตัวเลย เอาเป็นว่าประมาณนี้ก็ได้”

          “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

          ฟงหลิวโค้งให้แล้วเดินกลับไป ผมไม่รู้ตัวเลยว่า สองคนนี้คอยติดตามผมอยู่ ผมไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงอะไร แล้วก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายสักหน่อย ผมว่าดอกเตอร์เริ่มจะห่วงผมมากเกินไปแล้ว ผมได้แต่ส่ายหน้าก่อนเข้าไปเก็บของต่อ

To Be Continue

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
36








          เมื่อเหมิ๋หยวนฮ่างเดินทางมาถึงบ้านที่ถนนเยามะไต๋ ก็ตรงเข้าไปยังห้องทำงานทันที เขาต้องการจัดการเรื่องต้วนเจียจงให้เสร็จโดยเร็ว

          “ดอกเตอร์” คนของเขาที่รออยู่ในห้องทำงานโค้งทักทายเขา

          “ได้ความว่ายังไงบ้าง”

          “ร้านหนังสือนั่น เป็นที่ส่งข่าวของพวกไหว่ยี่ครับ”

          “เจียจงละ?”

          “คุณต้วน ตอนนี้พักอยู่ที่โรงแรมแถว ๆ ชอยหัง เขาจะพักอยู่ประมาณ 3-4 วันก็จะเปลี่ยนโรงแรมไปเรื่อย ๆ”

          “ทางนั้นรู้ความเคลื่อนไหวของฉัน แสดงว่าพวกนั้นต้องรู้แล้วเป็นแน่ ว่าฉันมาที่เกาลูน”

          “ตอนนี้คนของเราติดตามคุณต้วนอยู่ ส่วนที่ร้านหนังสือ ก็มีคนเฝ้าอยู่ตลอด”

          “แล้วซือหวูละ?”

          “ซือหวู หรือ จางซือหวู เป็นระดับหัวหน้าในไหว่ยี่ ไปมาไร้ร่องรอย มีไม่กี่คนที่เคยเห็นหน้าเขา ข่าวที่เราได้มา จางซือหวูคนนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่จุ้ยอั้ยเต๋อเป็นผู้ชุบเลี้ยง”

          “จุ้ยอั้ยเต๋อเลี้ยงแต่นักฆ่า” เหมิ๋นหยวนฮ่างพูดขึ้นมา แล้วทำให้เขานึกถึงคำบอกเล่าของจู้ชุนขึ้นมาได้



          ...



          ..



          .



          “พี่กู่ไปแอบได้ยินชาวอาหรับคุยกับคนของเยี่ยนจูเฟิงเข้า พอออกมาจากห้องที่เขาแอบอยู่ ก็โดนใครไม่รู้ทำร้าย และผลักตกทะเล”

          “ฉันเห็นภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินจากท้ายเรือกลับเข้าไปที่ส่วนจัดงาน แต่ตรงที่นักสืบผานโดนทำร้าย ส่วนนั้นไม่มีกล้องติดอยู่เลย”

          “พี่กู่สงสัยว่า มันจะเป็นนักฆ่าที่มีประสบการณ์สูง เพราะพี่กู่แอบอยู่นานกว่าจะออกมา”

          “อาจจะเป็นใครก็ได้ในกลุ่มชาวอาหรับนั่น”

          “พี่กู่ว่าไม่ใช่ มันน่าจะเป็นคนของเยี่ยนจูเฟิง”

          “ทำไม?”

          “พี่กู่เล่าว่า หนึ่งในนั้นจะไปตรวจสอบว่าใครอยู่บนดาดฟ้าเรือ เลยส่งพวกชาวอาหรับแค่นั้น เขารอจนเสียงฝีเท้าเดินหายไปไกลแล้วค่อยออกจากห้องที่หลบอยู่ พอออกมาก็...”

          “เยี่ยนจูเฟิงมีนักฆ่าอยู่ข้างตัวแบบนี้ แสดงว่ามันต้องเป็นคนของไหว่ยี่แน่”




          ...



          ..



          .



          “เฟ่ยซาน!! ”

          “ดอกเตอร์?”

          “ติดต่อ ฟงหลิว หยวนหยาง ด่วน!! ให้พวกนั้นคอยระวังเพื่อนของเฟ่ยซาน คนที่พวกนั้นเจอแถว ๆ พิพิธภัณฑ์”

          “ครับ” คนของเขาคนหนึ่งรีบเดินออกจากห้องทำงานไป

          “ดอกเตอร์ หรือว่า...”

          “นักฆ่าที่คอยอยู่ข้างตัวเยี่ยนจูเฟิง และน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ทำร้ายนักสืบผาน มันทำทีมาตีสนิทกับเฟ่ยซาน คนคนนั้นคือ จางซือหวู

          “ดอกเตอร์ครับ เรื่องคุณต้วน... เอ่อ...เกี่ยวข้องกับไหว่ยี่”

          “อืม ฉันเข้าใจ รายงานไป บอกเตี๋ยด้วยว่าเรื่องเจียจงฉันขอจัดการเอง”

          “ครับดอกเตอร์”

          “พวกนายแยกย้ายกันไป อย่าให้ผิดสังเกต ฉันจะไปเยี่ยมเจียจงสักหน่อย”

          “ครับดอกเตอร์”

          ทุกคนออกจากห้องทำงานไปแล้ว เขาได้แต่ยืนมองแผนภูมิต้นไม้ของตระกูลอยู่เงียบ ๆ ไม่นานเขาก็เดินออกจากห้องทำงาน เพื่อไปจัดการธุระของเขาให้เสร็จ ใจของเขาตอนนี้เป็นห่วงแต่คนที่อยู่มาเก๊า หนานเฟ่ยซาน



........................................................................



          จางซือหวูนั่งหลังตรงโดยที่หลังไม่ได้แตะพนักโซฟาแม้แต่น้อย อากาศภายในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศไม่ได้ทำให้เขารูสึกเย็นสบายเลยแม้ ฝ่ามือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเข่าของตัวเองกำลังชื้นไปด้วยเหงื่อ สายตาของเขาจับจ้องอยู่เพียงโต๊ะกลางที่กั้นอยู่ระหว่างโซฟาตัวตรงข้าม

          ผู้ที่นั่งตรงข้ามเขาขยับตัวลุกขึ้น จางซือหวูถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย อีกคนกลับไม่สนใจ เดินอ้อมเก้าอี้ไปยังหน้าต่างบานใหญ่ แล้วยืนมองออกไปข้างนอกหน้าต่างโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมา

          ภายในห้องยังคงเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงลมที่พ่นออกมาจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น การนิ่งเงียบของอีกคนกลับทำให้แรงกดดันภายในห้องมีมากขึ้นจนจางซือหวูเหงื่อซึมออกมาตามไรผม ใบหน้า และแผ่นหลัง

          เวลาผ่านจากนาที เป็นชั่วโมง และหลายชั่วโมงผ่านไป จะกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

          “เข้ามา” เขาเงยหน้ามองผู้ที่เอ่ยอนุญาต แต่คนผู้นั้นกลับไม่ได้หันไปทางประตู ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

          “คุณเยียนค่ะ ได้เวลาประชุมแล้วค่ะ” เลขาสาวสวยของเยียนจูเฟิงเปิดประตูแต่ไม่ได้ก้าวเข้ามาในห้อง และได้แต่ยืนสงบเสงี่ยมรายงานอยู่หน้าห้อง

          “อืม” เยียนจูเฟิงเดินไปยังประตูห้องทันทีโดยไม่เหลียวมองมาที่เขาแม้แต่น้อย ราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนี้

          “นายท่าน!!” จางซือหวูลุกขึ้นจากเก้าอี้และเรียกอีกคนในขณะที่กำลังเดินผ่านเขาไปหากแต่ไม่ได้รับความสนใจ จนกระทั่งถึงหน้าประตูห้อง

          “เลิกเล่นสนุกได้แล้ว หันมาจริงจังกับงานที่ฉันสั่งสักที” เยียนจูเฟิงหยุดพูดในขณะจะก้าวออกจากห้อง ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังดูธรรมดา แต่เขาก็หนาวไปถึงขั้วหัวใจ

          จางซือหวูสะดุ้งตื่นจากความคิดเมื่อเสียงประตูปิดลง พร้อมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง ไม่นานนัก แววตาของจางซือหวูพลันเปลี่ยนไป มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน กรามขบกันแน่น จากนั้นก็ลุกพรวดพราดออกจากห้อง

.........................................................................


          โฮวจีเจียนกำลังนั่งทานอาหารค่ำกับหนานเฟ่ยซานอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งหลังเลิกงาน ทั้งสองแทนที่จะนั่งทานอาหารและพูดคุยกันอย่างปกติ แต่ครานี้กลับนั่งเขี่ยอาหารในจานไปมา

          “เฟ่ยซาน…” โฮวจีเจียนรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เอ่ยเรียกหนานเฟ่ยซานด้วยน้ำเสียงยานคาง

          “หืม? ...” อีกฝ่ายกลับรับคำเขาอย่างไม่ได้สนใจ

          “เฮ้อ…” เขาถอนหายใจออกมาอย่างแรง พร้อมวางช้อนส้อมในมือ ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง

          “จีเจียน ฉันขอโทษ เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ?” เหมือนหนานเฟ่ยซานจะหลุดออกจากความคิดของตัวเองหันมาสนใจเขา

          “นายเป็นอะไร ดูเหม่อลอย แถมยังไม่สนใจฉันอีก เป็นนายไม่ใช่เหรอที่ชวนฉันมาทานอาหารค่ำ” โฮวจีเจียนไม่ตอบ แต่กลับถามอีกคนยาวยืด

          “ฉันก็แค่เบื่อ ๆ ช่วงนี้ไม่มีคดีอะไรน่าสนใจเลย”

          “ในหัวน้อย ๆ ของนายนี่มีแต่เรื่องงานหรือไง” เขาบ่นกระปอดกระแปด

          “ฉันก็ขอโทษแล้วยังไงล่ะ หรือนายจะไม่ยกโทษให้ฉัน”

          “เอ่อๆ เรื่องแค่นั้นฉันไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอก”

          “แล้วเมื่อกี้นายว่าอะไรเหรอ”

          “นี่นายคงไม่ได้ฟังจริงๆ สินะ” โฮวจีเจียนถามออกไปเพราะเขาแค่เรียกหนานเฟ่ยซานเท่านั้น

          “อืม ฉันมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ” หนานเฟ่ยซานยังคงเขี่ยอาหารในจานไปมา

          “น้องฉี่เยว่... ดูเหมือนว่าฉันจะทำอะไรให้เธอไม่พอใจเข้าซะแล้ว” โฮวจีเจียนได้โอกาสจึงลองปรึกษาหนานเฟ่ยซาน

          “เห็นวันก่อนยังดี ๆ กันอยู่เลยไม่ใช่รึไง?”

          “อืม เธอไม่ได้บอกว่าโกรธฉันเรื่องอะไร แต่ฉันรู้สึกได้”

          “ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

          “วันก่อนฉันพาเธอไปเดินห้าง ถามเธอว่าอยากทานอะไร เธอก็ไม่ตอบ แต่เดินตรงไปที่ร้านที่อยากทาน พอทานเสร็จเธอก็จ่ายเงินเองโดยไมารอให้ฉันทานเสร็จหรือให้ฉันจ่าย แล้วเธอยังเดินช้อปปิ้งเข้าร้านนั้น ออกร้านนี้โดยมีฉันช่วยถือของมากมาย ตลอดเวลา แต่เธอไม่สนใจฉันเลยว่าจะเมื่อย หรือจะหนักไหม”

          “อืม มันก็แปลกๆ อยู่”

          “ใช่ไหมล่ะ? แล้วถ้าเป็นนายละเฟ่ยซาน ถ้านายไปกับแฟน นายจะทำแบบนี้รึเปล่า” โฮวจีเจียนเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน ราวกับคิดหนัก “เอาล่ะๆ นายคงไม่เข้าใจหัวอกคนมีความรักหรอก”

          “นายจริงจังกับฉี่เยว่จริงๆ เหรอ”

          “นายถามคำถามแบบนี้ออกมาได้ยังไง ตั้งแต่ฉันคบก็สาวๆ มา ก็มีฉี่เยว่นี่แหละที่ไม่ได้สนใจเรื่องรูปร่างหน้าตา หรือฐานะทางสังคมของฉัน”

          “นี่ขนาดเธอไม่ได้สนใจฐานะของนายนะ”

          “ใช่ เธอไม่เคยใส่ใจเลยจริงๆ แรกๆ ฉันพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอเท่าที่ทำได้ แต่นายก็รู้ว่าเงินเดือนอย่างเราๆ จะไปเปย์ให้สาวๆ ได้สักแค่ไหนเชียว”

          “แล้วนายทำยังไง?”

          “ฉันก็อาศัยบัตรที่เขาให้สื่อมวลชนนั่นแหละ”

          “แต่มันใช่ว่าจะมีให้นายบ่อยๆ”

          “ใช่ ฉันเคยถามฉี่เยว่ ว่าเบื่อที่ฉันพาไปเที่ยวแบบนี้ไหน เธอกลับตอบว่าไม่เบื่อ สนุก และได้เปิดหูเปิดตา”

          “จากที่ฉันเคยเห็นรูป เธอดูเหมือนเป็นลูกคุณหนูตระกูลใหญ่สักตระกูล”

          “เธอเป็นลูกที่พ่อไม่ต้องการ แม่ของเธอบังเอิญมีเธอขึ้นมา”

          “น่าสงสารนะ”

          “ใช่ แต่เธอก็ได้พี่ชายต่างแม่เห็นใจ คอยส่งเสียเลี้ยงดูจนเธอเรียนจบ”

          “แล้วตอนนี้เธอทำงานอะไรล่ะ? หรือได้เงินจากพี่ชาย ถึงช้อปปิ้งได้ครั้งละมาก ๆ”

          “เธอทำงานอยู่บริษัทนำเข้าส่งออกสินค้า เป็นมาร์เก็ตติ้ง ชื่อบริษัทอะไรน้า...รู้สึกว่า...น่าจะเป็นวิงเฮงยิมอะไรนี่แหละ”

          “วิงเฮงยิมเหรอ… ทำไมฉันรู้สึกคุ้นๆ หูจัง”

          “จะไปรู้นายเหรอ”

          “เออๆ ฉันไม่ขัดนายแล้ว เล่าต่อเถอะ”

          “นายช่วยฉันคิดหน่อยสิ ว่าฉันควรจะทำยังไงดี”

          “ฉี่เยว่ เธอต้องการความมั่นคงรึเปล่า นายกับเธอก็บคบกันมาสักพักแล้ว เธออาจจะต้องการความมั่นคงจากนาย”

          “นายหมายถึง ขอแต่งงานน่ะเหรอ?”

          “ใช่”

          “มันไม่เร็วไปเหรอ? แต่ฉันตั้งใจว่าวันครบรอบ 1 ปีที่คบกัน ฉันจะขอหมั้นเธอไว้ก่อน”

          “แล้วนายเคยได้พูดเรื่องอนาคตกับเธอรึเปล่าล่ะ?”

          “ไม่เคย”

          “ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะเริ่มเกริ่นได้แล้ว”

          “อืม ขอบใจนายมาก ไว้ฉันจะลองดู”

          โฮวจีเจียนเห็นทางออกเรื่องฉี่เยว่แล้ว ผิดกับอีกคนที่ยังคงดูหงอยเหงาดังเดิม ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่นึกว่าจัดนัดฉี่เยว่ออกมาทานอาหารค่ำและเริ่มคุยเรื่องอนาคตเมื่อไรดี











To Be Continue

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
37









          ภายในเขตโกดังท่าเรือที่ 5 ยามค่ำคืน กลับมีเสียงไซเรนดังระงบไปทั่ว พร้อมทั้งรถตำรวจวิ่งกันขวักไขว่ เทปสีเหลืองถูกนำมาขึงกั้นพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง หน่วยพิสูจน์หลักฐานพากันสำรวจรอบๆ ที่เกิดเหตุอย่างละเอียดแทบทุกตารางนิ้ว

          ชายหญิงคู่หนึ่งพยายามวิ่งฝ่าเทปกั้นเข้ามาในที่เกิดเหตุ หากแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับกันคนทั้งสองไว้ จึงไม่ทันได้ระวัง ปล่อยให้เด็กชายคนหนึ่งมุดรอดเทปกั้นเข้ามายังที่เกิดเหตุ และวิ่งมาถึงร่างเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเพิ่งจะเคลื่อนย้ายลงถุงเก็บศพ

          เด็กชายไม่สนใจผู้ใหญ่ที่ห้ามปราบ พร้อมทั้งดิ้นขัดขืนสุดแรง จนมือข้างหนึ่งสามารถเอื้อมจับซิปตรงหน้าได้ ก่อนรูดรั้งมันลงเผยให้เห็นร่างที่นอนนิ่งด้านใน

          “ฉินฉิน…” เผิงฟงเอ่ยอย่างหมดแรง ปล่อยร่างที่ไร้เรี่ยวแรงให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานช่วยพยุงพาเขาออกมา ก่อนจะถึงเทปกั้นที่พ่อกับแม่ยืนรออยู่ “ฉินฉิน ๆๆ” เผิงฟงตะโกนออกมาราวกับคนบ้า อีกทั้งยังดิ้นไม่หยุด จนพ่อกับแม่ต้องเข้ามาช่วยจับอีกแรง

          “อาฟง อาฟง” เผิงอีอี ทรุดตัวกอดลูกชายที่กำลังร้องไห้ออกมาไว้แน่น ส่วนตัวเองก็ได้แต่อิงไหล่สามีของตนราวกับจะหาที่พึ่งพิง

          “แม่...ฉินฉิน...ฉินฉินตายแล้ว….แม่...ฉินฉินตายแล้ว…” เฝิงฟงร้องไห้สะอึกสะอื้น มือขยุ้มเสื้อของมารดาเอาไว้แน่น

          “ไม่เป็นไรนะอาฟง ฉินฉินไปสบาย ไม่ทรมานอีกต่อไปแล้ว” เผิงกั่วลูบหัวลูกชายอย่างแผ่วเบา หวังจะปลอบประโลม

          “เป็นเพราะผม ฮื้อ…ถ้าผม.. ถ้าผม… ฮื้อ…”

          “เรื่องมันผ่านไปแล้วลูก เรื่องมันผ่านไปแล้ว…” เผิงอีอี ได้แต่กอดปลอบลูกชาย พร้อมทั้งร่ำไห้น้ำตานองหน้า เธอรู้ดีว่าลูกของเธอรู้สึกผิดขนาดไหน

          “ขอโทษนะครับ ผมว่าพวกคุณควรจะออกจากตรงนี้ ก่อนที่นักข่าวจะมาดีกว่า” ตู้เห่าเอ่ยอย่างเห็นใจ เพราะเขาเป็นผู้รับผิดชอบคดีคนหายมาตั้งแต่ต้น จึงจำเรื่องราวและรับรู้เคราะห์กรรมของพี่น้องเผิงมาโดยตลอด

          เผิงกั่วและเผิงอีอีช่วยกันพยุงรั้งเด็กชายขึ้น ตู้เห่าพาตนทั้งสองไปหลบอยู่ที่มุมหนึ่งโดยให้เจ้าหน้าที่คอยดูแล ไม่นานผานกู่ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

          “อาเห่า” เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเผิงฟง ตู้เห่าพยักหน้าให้เป็นสัญญาณ จากนั้นทั้งสองก็เดินเลี่ยงออกมา “เฮ้อ…ไม่คิดว่าครอบครัวเผิงจะมาถึงที่เกิดเหตุไวขนาดนี้ “ผานกู่อดเปรยออกมาไม่ได้

          “คงต้องทำใจกันอีกนาน ยิ่งเผิงฟงเอาแต่โทษตัวเองอยู่อย่างนั้น ฉันละเป็นห่วงสภาพจิตใจของเด็กนั่นจริง ๆ”

          “อืม แล้วนายเจออะไรในที่เกิดเหตุไหน” ผานกู่ตั้งใจถามสิ่งของที่ฆาตกรมักวางไว้ข้างตัวผู้ตาย

          “พวกเรากำลังตามหากันอยู่”

          “หมายความว่ายังไง ที่ว่าตามหากันอยู่”

          “เพราะว่า สิ่งที่นายถาม ครั้งนี้กลับไม่มีน่ะสิ”

          “หรือว่ามันจะหยุดเพียงแค่ฉินฉิน?” ผานกู่เปรยออกมาอย่างครุ่นคิด

          “ถึงมันจะหยุด แต่คดีก็ยังต้องปิด ญาติผู้เสียหายอีกมากที่ต้องการให้เราเอาตัวฆาตกรมาลงโทษ” ตู้เห่าหันไปมองครอบครัวเผิงที่พยายามจะปลอบโยนกันให้คลายความโศกเศร้า

          “อืม แล้วได้อะไรมาบ้าง?”

          “นายเห็นศพรึยัง?”

          “ฉันยังไม่ไปดูศพ มาถึงก็ตรงเข้ามาหานายเลย”

          “ฉันว่าครั้งนี้มันแปลก ๆ แต่ฉันยังไม่มั่นใจ”

          “แปลกยังไง” ผานกู่ถามอย่างสงสัย

          “นายมานี่ มาดูศพกับฉัน”

          ตู้เห่าพยักหน้าให้เป็นเชิงให้ตามเขาไป ผานกู่จึงเดินตามไปโดยไม่ถามอะไร จนไปหยุดอยู่ที่ท้ายรถคันหนึ่ง ซึ่งฝ่ายพิสูจน์หลักฐานได้ขนย้ายศพขึ้นรถ เตรียมส่งไปยังสถาบันนิติเวชของสถานี

          “ขอพวกเราดูศพหน่อย” ตู้เห่าบอกกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่กำลังยืนถือชาร์จและจดอะไรยุกยิกๆ อยู่

          “ครับ” ชายคนนั้นเหน็บชาร์จไว้ใต้รักแร้ จากนั้นก็ดึงรถที่เข็นศพลงมา แต่ตู้เห่ารั้งไว้ ทำให้ถุงบรรจุศพยื่นออกมาเพียง 2 ใน 3 ส่วน

          “แค่นี้พอ” ตู้เห่าบอก ก่อนจะรูดซิบเปิดปากถุงลงมาถึงช่วงคอของศพเท่านั้น

          สภาพศพของเผิงฉินฉินดูซูบผอม เหมือนเหยื่อรายอื่นๆ ต่างตรงที่มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย อีกทั้งบาดแผลจากการรัดคอยังแหวะหวะคล้ายกับศพของหวงกังโหไม่มีผิด

          “นายเห็นว่าไง?” ตู้เห่าหันมาถามเขาพร้อมทั้งรูดซิปปิดปากถุงดังเดิม และปล่อยให้เจ้าหน้าที่เก็บศพขึ้นรถ

          ทั้งสองเดินห่างออกมาจากรถขนศพเล็กน้อย ตู้เห่าก็รอคอยผานกู่ที่กำลังใช้ความคิด โดยไม่รบกวนเพื่อนร่วมงานแต่อย่างใด

          “ฉันจำรายงานที่จื่ออู่เอามาให้ได้ คราวของหวงกังโห ตามรายงานของฝ่ายประเมินพฤติกรรมบอกว่า ฆาตกรโกรธแค้นหวงกังโห เพราะสาเหตุการตายมาจากการอดอาหาร ไม่ใช่ถูกรัดคอ ทำให้ตอนที่มันจัดการศพ มันจึงกระทำด้วยความโมโห ซึ่งร่องรอยบนบาดแผลที่ถูกรัดคอของเผิงฉินฉินนั้นก็ไม่ต่างกัน” ผานกู่เรียบเรียงข้อมูลในหัวก่อนจะพูดขึ้นกับตู้เห่า

          “นายว่ารอยที่ถูกทำร้ายร่างกายนี้มาจากตัวฆาตกรหรือมาจากครั้งที่เผิงฉินฉินถูกจื่อหรงข่มขืน”

          “รอยพวกนี้ยังดูใหม่อยู่ ฉันว่าน่าจะเป็นฝีมือฆาตกร แต่เพราะอะไร?”

          “คราวของหวงกังโห ฉันพอเข้าใจได้ เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของมัน จึงยอมอดอาหารตายดีกว่าอ้อนวอนของชีวิตกับไอ้ฆาตกรนั่น แต่เฝิงฉินฉินเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง จะไปทำอะไรให้มันโกรธแค้นได้”

          “ทั้งรอยแผล ทั้งรอยฟกช้ำ อ่อ แล้วส่วนอื่นๆ ละ?” ผานกู่ไม่อยากจะเอ่อถึงการล่วงละเมิดทางเพศ แต่ตู้เห่ากลับเข้าใจเป็นอย่างดี

          “คงต้องรอรายงานผลจากสถาบันนิติเวช”

          “อืม…”

          “พี่กู…. พี่กู… ทางนี้” ผานกู่หันไปตามเสียงเรียก “พาผมเข้าไปหน่อย” เมื่อเห็นเจ้าของเสียง ก็ได้แต่ส่ายหน้า

          “พวกเรากลับสถานีกันเถอะ ฉันไม่ค่อยอยากให้เฟ่ยซานเข้ามาในที่เกิดเหตุ”

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไป กลับก็กลับ ยังไงตรงนี้ก็ไม่มีอะไรที่พวกเราทำได้อยู่แล้ว” ตู้เห่าอดขำกับสีหน้าระอาของผานกู่ไม่ได้

          ผานกู่เดินตรงไปยังกลุ่มของพวกนักข่าวที่ยืนอยู่นอกเทปกั้น หนานเฟ่ยซานเห็นดังนั้นจึงขยับเข้ามาใกล้อีกนิด เมื่อเจ้าหน้าที่คนหนึ่งช่วยยกเทปกั้นขึ้น เขาก็รอดเข้าไปทันที หากแต่โดนผานกู่ที่เดินสวนออกมารั้งไว้ แล้วลากตนไปยังจุดที่ตัวเองจอดรถอยู่

          “พี่กู่ ทำไมไม่ให้ผมเข้าไป นั่นใช่ฉินฉินรึเปล่า”

          “ตามพี่กลับไปที่สถานนี แล้วเราค่อยคุยกัน”

          “แต่”

          “ไม่มีแต่”

          “งั้นผมขอถ่ายรูปรอบ ๆ อีกสักหน่อย แล้วจะรีบตามไป”

          “อืม ห้ามก่อเรื่อง”

          “แล้วผมเคยก่อเรื่องที่ไหนกันเล่า”

          “ถ่ายรูปเสร็จแล้วอย่ามัวเถลไถล อยากได้ข้อมูลอะไรก็ตามไปถามที่สถานี พี่ไปก่อน แล้วรีบตามมาล่ะ” ผานกู่บอกกันหนานเฟ่ยซานเสร็จก็เข้าไปคุยอะไรกับเจ้าหน้าที่อีกเล็กน้อย จึงขับรถกลับสถานี

........................................................................

          เหมี่ยนจืออู่และจู้ชุนได้รับคำสั่งให้จับตาดูเยียนจูเฟิง ซึ่งวันนี้ทั้งวันคนที่พวกเขาเฝ้าจับตาดูนั้นนอกจากจะไปทำงานที่บริษัท และดูงานนิดหน่อยที่อู่ต่อเรือแล้ว ก็ตรงกลับบ้าน กระทั่งตอนนี้หน้าคฤหาสน์หลังงามยังคงเงียบสนิท ไฟในบ้านหลายดวงเริ่มปิดลง เหลือเพียงไฟส่องสว่างตามแนวรั้วและสวน

          “พี่ชุน พี่ว่าในรถคันยาวๆ นั่น จะมีใครแอบอยู่ไหม?” อยู่ๆ เหมี่ยนจื่ออู่ก็เปรยขึ้นมา

          “นายหมายถึงรถ Rolls-Royce พวกนั้นน่ะเหรอ?”

          “ใช่ ข้างในคงกว้างพอจะซ่อนคนได้เป็นสิบเลยล่ะ ไหนจะติดฟิล์มจนดำมืดมองไม่เห็นข้างในอีก”

          “นายสงสัยว่าเยียนจูเฟิงจะซ่อนใครไว้ในรถอย่างนั้นเหรอ?”

          “ถ้าต้วนเจียจงไม่ได้ไปกับเรือ แต่แอบอยู่ในบ้านหลังนี้ละ?”

          “นายคิดว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างเยียนจูเฟิงจะยอมให้ตัวเองไปผัวพันกับต้วนเจียจงเหรอ ถ้าง่ายแบบนั้นเราคงไม่ต้องมานอนในรถอยู่อย่างนี้หรอก”

          “นั่นสินะ เราแค่มีภาพถ่ายของเฟ่ยซานอย่างเดียว เอามาเป็นหลังฐานว่าพวกนั้นเกี่ยวข้องกันก็ไม่ได้”

          “ถ้าดูตามหลักฐาน ทั้งเยียนจูเฟิง ต้วนเจียงจง และฉินหรุยกวง 3 คนนี้แทบจะไม่ได้ติดต่อหรือรู้จักกันเลย”

          “ฉินหรุยกวงอยู่กับเยียนจูเฟิงที่โกดัง ฉินหรุยกวงนำเข้าของเล่นให้เมจิกทอย ฉินหรุยกวงตายในคืนที่เจอกับเยียนจูเฟิงพร้อมกับจื่อหรง ที่เป็นคนเฝ้าโกดังของต้วนเจียจง แล้วอะไรอีกน้า…” เหมี่ยนจื่ออู่พยายามจะเชื่อมโยงบุคคลเหล่านี้เข้าด้วยกัน ความรู้สึกมันบอกว่าใช่ แต่กลับไม่มีหลักฐาน

          “ไหวยี่”

          “เอ่อใช่ สมุดจดรายการอะไรสักอย่างของไหวยี่ ที่เจอในห้องทำงานของฉินหรุยกวง ผมว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้แน่ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ซ่อนเอาไว้อย่างดี”

          “อืม…”

          “นี่พี่ชุน พี่ก็เป็นนักสืบนะ ทำไมเอาแต่อือ อือ อือ อยู่ได้ ไม่ช่วยกันคิดเลย”

          “ก็กำลังช่วยคิดอยู่นี่ไง ฉันไม่ได้คิดเสียงดังอย่างนายสักหน่อย”

          ในระหว่างที่จู้ชุนกำลังจะบอกเล่าในสิ่งที่ตัวเองคิด เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

          “ครับพี่กู่...ครับ...วันนี้มันเขาบริษัทช่วงเช้า บ่ายไปอู่ต่อเรือ จากนั้นก็ตรงกลับบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลยครับ…”

          เหมี่ยนจื่ออู่ที่ฟังอยู่พอจะเดาได้ว่าผานกู่สอบถามอะไรกับจู้ชุนบ้าง แต่อยู่ ๆ ชู้ชุนกลับมีสีหน้าไม่ดี และเคร่งเครียดขึ้นมา

          “มีอะไร” เหมี่ยนจื่ออู่กระซิบถาม เขาเห็นว่าจู้ชุนอ่านปากเขาแล้วแต่กลับไม่ตอบ ได้แต่ฟังปลายสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

          “พบศพเผิงฉินฉินที่ถนนในโกดัง ท่าเรือที่ 5 จุดเดียวกันกับที่กล้องวงจรปิดของทางเยียนหวอจับภาพพวกมันได้” จู้ชุนบอกหลังจากวางสาย

          “เฮ้อ… อีกศพแล้วเหรอว่ะ” เหมี่ยนจื่ออู่พูดออกมาอยากอ่อนแรง ความกระตือรือร้นที่จะหาคนร้ายก่อนหน้าหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงจิตใจที่หดหู่

          “นายอย่าเพิ่งท้อแท้ไป นี่อาจจะเป็นศพสุดท้ายของคดีนี้แล้วก็ได้”

          “พี่หมายความว่าไง จับคนร้ายได้แล้วเหรอ?”

          “ยัง แต่พี่กู่กับพี่เห่าไม่เจอสิ่งของข้างศพเหมือนทุกที”

          “เป็นแบบนั้นได้ก็ดี...จริงสิพี่ ถ้ามันทิ้งศพตรงจุดเดียวกันกับที่กล้องจับภาพได้ ตอนที่คนร้ายทิ้งศพก็ต้องจับภาพได้เหมือนกันสิ” เหมี่ยนจื่ออู่พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

          “พี่กู่บอกว่า กล้องใกล้ๆ จุดทิ้งศพถูกทำลายไปแล้ว”

          “เฮ้ย!! มันจะฉลาดไปไหนว่ะ”

          “แต่มันยังเหลืออีกตัว กล้องจากมุมที่เฟ่ยซานบอกให้เราเข้าไปดูที่ออฟฟิศของเยี่ยนหวอ ฉันเคยลองไปยืนดูจากจุดเกิดเหตุ มันมองไม่เห็นกล้องตัวนั้น”

          “เฮ้ย!! แล้วทำไมพี่ไม่บอกพี่กู่ล่ะ”

          “เรื่องนี้พี่เห่าเขารู้แล้ว พรุ่งนี้เช้าคงขอเข้าไปดูเทปที่ออฟฟิศของเยี่ยนหวอ”

          “จะได้รู้สักทีว่ามันเป็นใคร”

          “อืม ขอให้เผิงฉินฉินเป็นเหยื่อรายสุดท้ายเถอะ”

          เหมี่ยนจื่ออู่พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นทั้งสองก็กลับมาทำหน้าที่ของตนเองต่อ ไม่นานนักก็มีแท็กซี่คันหนึ่งเข้ามาจอดหน้าบ้าน

          “พี่ชุน!!”

          “ถ่ายรูปไว้”

          เสียงกดชัตเตอร์รัวๆ นับสิบๆ ครั้ง หยุดลงเมื่อหญิงสาวเดินผ่านประตูรั้วเล็กเข้าไปในบ้าน ทำให้เกิดคำภาพขึ้นในใจนักสืบทั้งสอง

          ‘เธอเป็นใคร’



To Be Continue

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
38








          ภายในตรอกที่เงียบสงัดแห่งหนึ่ง สะท้อนเงาของบุคคลที่เดินพาดผ่านตรอกเล็ก ๆ แห่งนี้ เสียงฝีเท้าแม้จะเดินอย่างแผ่วเบาหากแต่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในตรอกนี้กลับไม่ได้สนใจ ผู้คนในบ้านเรือนแถวนี้คงคุ้นชินเสียงฝีเท้าที่ได้ยินนานๆ ครั้งอย่างนี้ไปแล้ว

          เงาร่างพร้อมทั้งเสียงฝีเท้าดังไปจนกระทั่งกลางตรอกกลับมีเสียงฝีเท้าของคนอีกผู้หนึ่งเดินตามมาทางด้านหลัง เขาหยุด เสียงนั้นก็หยุด เขาเดินเสียงนั้นก็เดินตาม เขาจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนหันกลับไปมองต้นเสียงที่เดินตามหลังเขามา

          แสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ทางด้านหลังของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ทำให้เขาไม่สามารถเห็นใบหน้าของคนที่เดินตามได้ แต่แสงสะท้อนจากแว่นที่อีกคนหนึ่งสวมอยู่ทำให้เขารู้ว่าคนคนนี้คือใคร

          “หยวนฮ่าง นายแอบตามฉันมาตั้งแต่เมื่อคืน แล้วทำไมวันนี้ถึงเลือกที่จะเปิดเผยตัวเองล่ะ” ต้วนเจียจงเอ่ยถามพร้อมส่งสายตาท้าทายออกไปอย่างไม่ปิดบัง

          “ฉันชักไม่แน่ใจแล้วสิ ว่าฉันรู้จักกับนายจริง ๆ รึเปล่า” อีกฝ่ายตอบออกมาอย่างไม่ปิดบัง พร้อมทั้งสาวเท้าเข้ามาใกล้ๆ อย่างใจเย็น

          “นายไม่พาตำรวจมาด้วยรึไง หรือว่าคนอย่างนายก็คิดใช้อำนาจของเยี่ยนหวอจัดการฉันเหมือนที่แม่ของนายจัดการกับคนอื่นๆ” เขายิ้มเยาะให้กับคนตรงหน้าที่หยุดยืนอยู่ในระยะที่สามารถคุยกันได้ แต่ก็ไม่ใกล้จนเกินไป

          “นายหมายความว่าไง?” อีกคนถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสงสัย แต่ยังคงรักษาสีหน้าเฉยชาเอาไว้

          “เรื่องไหนล่ะ? เรื่องนายหรือเรื่องแม่ของนาย?”

          “แม่ของฉันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนนาย ฉันมาเพื่อให้โอกาสนาย มอบตัวซะเถอะเจียจง”

          “ทำไมฉันถึงต้องเชื่อคนของเยี่ยนหวอ”

          “นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่” น้ำเสียงของเหมิ๋นหยวนฮ่างเหมือนต้องการตัดพ้อ ซึ่งเขาไม่สนใจมันแม้แต่น้อย

          “ใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง ในเมื่อเหมิ๋นกับฝู่ก็เป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่เมื่อร้อยๆ ปีก่อน ฉันรู้เรื่องเหมิ๋นกับฝู่มากกว่าที่นายคิดเสียงอีกนะหยวนฮ่าง หรือแม้กระทั่งบางเรื่องฉันอาจจะรู้มากกว่านายก็เป็นได้”

          “ฉันไม่รู้ว่า นายรู้อะไรมาบ้าง แต่สิ่งที่นายรู้มาเกี่ยวกับเยี่ยนหวอมันไม่จริง”

          “เรื่องไหนที่ว่าไม่จริง เรื่องที่ฝู่เถิงหักหลังลุงแท้ๆ ของตัวเองอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเรื่องที่ฝู่เถิงขายข่าวพวกฟ้องของตัวเองให้กับรัฐบาล อ่อ!! ใช่สิก็มันเปลี่ยนสกุลมาใช้สกุลตามเมียของมันแล้วนี่นะ ไอ้จุ้ยเถิงคนทรยศนั่นน่ะ!!” ต้วนเจียจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น

          “นายเกี่ยวข้องยังไงกับจุ้ยอั้ยเต๋อ?”

          “โอ้...ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่าง... ไม่คิดว่าดอกเตอร์ที่เอาแต่ขุดค้นโบราณสถานจะรู้เรื่องจุ้ยอั้ยเต๋อกับเขาด้วย... หึ!! นายหลอกฉันเสียสนิทเลยนะ ไม่คิดเลยว่า สุดท้ายนายก็ไม่ต่างจากแม่ของนาย หรือต่างจากมัน”

          “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่ของฉัน หรือแม้แต่เยี่ยนหวอเลย การกระทำของนายต่างหากที่ผิด การที่นายร่วมมือกับเยียนจูเฟิง คงไม่พ้นเรื่องของไหว่ยี่สินะ ฉันไม่อยากเชื่อเลย ว่านายเป็นหนึ่งในพวกมันจริงๆ”

          “นายรู้แบบนี้แล้วจะยังเกลี่ยกล่อมให้ฉันยอมมอบตัวอีกรึไง นายคิดว่าในกรงขังนั่นฉันจะปลอดภัยรึยังไง” เขาเกลียดท่าทางเฉยชาของเหมิ๋นหยวนฮ่างนัก ปากก็พูดราวกับเป็นห่วงแต่สายตาที่มองผ่านแว่นกรอบทองนั่น เหมือนต้องการจะเหยียดหยามเขาชัดๆ “วันนี้นายคงจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ ฉันกับนาย ต่อจากนี้เราไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไป” พูดจบเขาก็เดินหันหลังออกมา

          “เจียงจง...” น้ำเสียงของเหมิ๋นหยวนฮ่างที่เอ่ยชื่อเขาออกมานั้น มันช่างเจ็บปวดจนต้วนเจียจงรู้สึกได้ หากแต่เขากลับไม่สนใจมันนัก

          “จัดการซะ”

          ต้วนเจียจงพูดขึ้นเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาขวางทางเข้าออกของตรอกนี้เอาไว้ เขาเดินตรงไปหาคนกลุ่มนั้น เมื่อถึงตัว คนพวกนั้นกลับแหวกทางให้เขาเดินผ่านออกจากตรอกไป

          เขาเดินออกจากตรอกนั้นมาเงียบๆ เสียงผู้คนปะทะกัน เสียงประตูหน้าต่างบ้านเรือนในตรอกนั้นต่างปิดทันทีที่ได้ยินเสียงอึกทึก ต้วนเจียจงไม่คิดจะหันกลับไปมองเพื่อนเก่าของเขาแม้แต่วินาทีเดียว

........................................................................

          ภายในห้องทำงานที่มีชั้นหนังสือสูงจรดฝ้าเพดานขนาบทั้งสองข้าง โต๊ะทำงานกลับไร้คนที่ควรจะนั่งทำงานอยู่ตรงนั้น เจ้าของห้องได้แต่ยืนหันหลังให้กับชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่ง ฉี่เยว่ที่ไม่เคยพบเจอบรรยากาศกดดันแบบนี้จากเจ้าของห้องมาก่อนถึงกับเหงื่อซึมออกมาตามไรผม

          อาเต๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ โซฟาที่เธอนั่งก็มีสีหน้าถมึงทึงอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน ฉี่เยว่ไม่คิดว่าการที่เธอเข้ามาที่บ้านใหญ่จะเป็นเรื่องผิดอะไร แต่คนทั้งสองกลับไม่สบอารมณ์เอาเสียเลยเมื่อเห็นเธอก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้

          “ไปจัดการกับตำรวจที่เฝ้าอยู่หน้าบ้าน ทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ” เยียนจูเฟิงสั่งเสียงเรียบ แต่คำสั่งนั้นทำให้ฉี่เยว่หนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ

          “ครับนาย” อาเต๋อรับคำก่อนจะก้าวออกจากห้องไป

          “เดี๋ยวก่อน!!”

          “ครับนาย”

          “ครั้งนี้อย่าให้พลาดอีก แล้วก็เลิกเล่นสักที”

          “ครับนาย”

          อาเต๋อก้าวออกจาห้องไปนานแล้ว เขาไปเพื่อกำจัดคนที่เฝ้าอยู่หน้าบ้าน? ตำรวจอะไร? ทำงานพลาดอะไร? สิ่งที่เธอได้ยินเหล่านี้เธอไม่เคยรู้เรื่องแม้แต่น้อย ชายคนที่เธอหลงรักหัวปักหัวปำ สามารถจะกำจัดใครก็ได้เพียงแค่พูดไม่กี่คำแบบนี้เหรอ

          “เสี่ยวเยว่”

          “เฮือก!!” แม้น้ำเสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มยังคงเดิม เหมือนที่คุยกับเธอทุกครั้งที่คุยกับเธอ แต่ความกลัวที่เกิดขึ้นในใจนั้น ทำให้เธออดสะดุ้งไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายเรียก

          “ละ...ละ...เหล่าเยีย” ฉี่เยว่บังคับเสียงไม่ให้สั่น

          “หื้ม...เธอกลัวอย่างนั้นเหรอ…” เยียจูเฟิงเดินเข้ามานั่งข้างๆ เธอ ทำให้เธอยิ่งก้มหน้าเพื่อซ่อนแววตาหวาดกลัวเอาไว้ “เธอกลัวใคร ตำรวจที่อยู่หน้าบ้าน...หรือ” เขาโอบไหล่เธอด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเชยคางเธอขึ้นเพื่อสบตาเขา “อืม...กลัวฉันสินะ”

          “เหล่าเยีย ฉันขอโทษ...ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณยุ่งยากใจ” เธอเอ่ยอย่างละล่ำละลัก เยียจูเฟิงที่ผละออกจากเธอ เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานทันที ราวกับคำขอโทษของเธอไร้ความหมาย “เหล่าเยีย…”

          “เรื่องของพี่ชายเธอ ตอนนี้เขายังปลอดภัยดี” เยียจูเฟิงพูดถึงเรื่องที่เธอตั้งใจจะมาขอความช่วยเหลือจากเขา “แต่เขาคงจะไม่พอใจที่เธอมาอยู่ที่นี่”

          “อยู่ที่นี่?”

          “หมายความว่า เธอจะออกจากที่นี่ไม่ได้จนกว่าซือหวูจะจัดการตำรวจพวกนั้น และไม่เหลือหลักฐานอะไรเกี่ยวกับตัวเธอ” คำพูดของเยียจูเฟิงที่ฟังราวกับห่วงใยเธอนั้น ไม่ได้ทำให้เธอซึ้งใจและหายหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาเหมือนเขาต้องการกักเธอไว้ที่นี่มากกว่าหรือแม้แต่พร้อมที่จะกำจัดเธอหากเธอนำพาความเลวร้ายอะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้น มาสู่เขา

          “เหล่าเยีย...แล้วคุณนายเยียเขา…”

          “เธออยู่ที่นี่เงียบๆ อย่าทำตัวให้มีปัญหา เธอทำได้ใช่ไหมเสี่ยวเยว่?” แม้จะฟังเหมือนคำถาม หากแต่น้ำเสียงเฉียบขาดนั้น ทำให้เธอรีบรับคำทันทีด้วยความหวาดกลัว

          “ฉะ ฉันทำได้ ฉันทำได้”

          “ดี เดี๋ยวฉันจะให้คนพาไปพัก เธอเองก็อยู่เงียบสัก 2-3 วัน”

          ฉี่เยว่ไม่คิดว่าการเข้ามาที่บ้านใหญ่คืนนี้ จะทำให้เธอได้เห็นอีกด้านหนึ่งของหนุ่มใหญ่ใจดี ที่ดูอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ แค่สีหน้าเรียบเฉยในตอนนี้ กลับทำให้บรรยากาศดูกดดันมากกว่าเดิม ทำให้นักธุรกิจพันล้านที่เธอเคยรู้จักกลายเป็นมาเฟียไปในทันที

          การที่พี่ชายเธอต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้คงไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าใช่ไหม เยียจูเฟิงผู้ก่อตั้งองค์กรไหว่ยี่ ที่พี่ชายเธอบอกว่าเป็นเพียงองค์กรการกุศลเล็กๆ ที่ช่วยเหลือชาวประมงในทะเล องค์กรมี่มักจะได้รับเงินสนับสนุนจากชาวต่างประเทศ มากกว่าคนในประเทศเดียวกันเสียอีก

          นี่เธอคงไม่ได้มารับรู้อะไรที่ไม่ควรรู้อยู่หรอกนะ!!

.........................................................................

          เมื่อนาฬิกาดิจิตอลบนแผงคอนโทรลหน้ารถบอกเวลาเข้าวันใหม่ไปแล้ว เหมี่ยนจืออู่ที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวคนที่อาศัยอยู่ในบ้านตรงข้ามผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูปเป็นครั้งคราว ได้ยืดตัวบิดความเมื่อยขบที่นั่งอยู่ในท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน

          “ได้เวลาเปลี่ยนรถแล้วเหรอ?” จู้ชุนที่เริ่มจะคุ้นชินกับการทำงานของเขา รู้ได้โดยไม่ต้องมองนาฬิกา หากแต่จับความเลื่อนไหวของเขาก็เดาได้

          “อืม พี่ชุนไหวไหม ผมขับได้นะ” เขาเห็นจู้ชุนที่ยังตื่นไม่เต็มตา เลยอาสาจะขับรถให้

          “ไม่เป็นไร ฉันขับได้ ได้พักสักงีบค่อยยังชั่วหน่อย”

          “รีบๆ นะพี่ ผมอยากอาบน้ำเต็มทนแล้ว” เขาบ่นออกมาตรง ๆ เพราะเขาไม่ได้อาบน้ำมา 2 วันแล้ว วันนี้ตั้งใจว่าจะอาบน้ำที่ปั้มให้สดชื่นสักหน่อย

          “อะไรกัน แค่หยางผิงจะเอารถมาเปลี่ยนให้ นี่ถึงกับต้องอาบน้ำรอเลยเหรอ”

          “มะ ไม่เกี่ยวกับไอ้หมาบ้านั่นสักหน่อย มีคดีให้ทำตั้งเยอะแยะไม่ทำ มาแย่งหน้าที่คนอื่น เอารถมาเปลี่ยนเฉยเลย”

          “ไม่ต้องมาเปลี่ยนประเด็น ไม่คิดบ้างเหรอว่าหยางผิงอาจจะอยากได้รูปจากกล้องของนาย”

          เขาก้มลงมองกล้องถ่ายรูปในมือ ก่อนเอื้อมไปหยิบโน้ตบุ๊คที่เบาะหลังมาเปิด จากนั้นก็เริ่มถ่ายโอนรูปภาพเข้าแฟลชไดฟ์

          “พูดมากแบบนี้แสดงว่าตื่นเต็มตาแล้วใช่ไหมพี่ ตื่นแล้วก็ออกรถได้แล้ว”

          “ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน คนเขารู้กันทั้งสถานีแล้ว เรื่องนายกับหยางผิงน่ะ”

          เหมี่ยนจื่ออู่เลือกที่จะไม่ตอบโต้อะไร นิสัยของจู้ชุนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้ หยอกเพียงเล็กน้อยก็เลิกไปเอง ไม่นานนักจู้ชุนก็ออกรถ จุดนัดหมายเปลี่ยนรถในคราวนี้คือปั้มน้ำมันก่อนเข้าสู่ทางด่วนที่เป็นเส้นทางวิ่งเข้าเมือง

          พวกเขาจะเปลี่ยนรถทุกวันเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต และสถานที่เปลี่ยนรถก็จะปรับไปเรื่อยๆ โดยมีเจ้าหน้าที่นำรถมาให้

          เขาโหลดรูปเสร็จก็จัดการเปลี่ยนแบตกล้องถ่ายรูป ง่วนกับการเช็คกล้องของตัวเองสักพักจึงได้หันมองข้างทาง

          “พี่ชุน ถึงผมอยากจะรีบอาบน้ำ แต่พี่ไม่ต้องขับเร็วขนาดนี้ก็ได้” เหมียนจื่ออู่ที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าทิวทัศน์ข้างทางมันผ่านไปเร็วมาก เร็วผิดปกติ

          “หืม...ฉันก็ขับปกตินะ เนี่ยไงแค่ 100 นิดๆ เอง ยังไม่ถึง 110 เลยด้วยซ้ำ” จู้ชุนที่สายตามองถนนสลับมามองเกจ์วัดความเร็ว

          “ผมว่ามันแปลกๆ”

          จู้ชุนจึงชะลอความเร็วลง แต่ความเร็วกลับไม่ลดลงเลย ทำให้เขาขมวดคิ้วเครียด

          “จื่ออู่ นายเก็บแฟลชไดร์ฟได้กับตัวแล้วใช่ไหม?”

          “อืม พี่ถามทำไม”

          “ผู้หญิงคนที่เราเห็นน่าจะมีอะไรสักอย่าง จากนี้นายต้องลองสืบดูว่าเธอเป็นใคร เธออาจจะเป็นกุญแจของคดีนี้”

          “ทำไมพี่คิดแบบนั้นล่ะ?”

          “หึ!! ก็เพราะเธอเข้าบ้านหลังนั้นไปไม่ทันข้ามคืน เราก็โดนดีเข้าแล้วไง”

          “พวกมันทำอะไรกับรถอย่างนั้นเหรอ ตอนไหน!!”

          “ฉันก็ไม่รู้ เอาเป็นว่านายจับให้แน่นๆ แล้วกัน อีกไม่นานก็จะถึงปั้มแล้ว”

          เหมี่ยนจื่ออู่ได้แต่นั่งตัวเกร็งไปกับรถที่ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โชคดีดึกมากแล้ว จึงไม่มีรถวิ่งบนถนนเท่าไรให้เสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุ

          ยิ่งเข้าใกล้ปั๊มที่นัดหมายเท่าไร จู้ชุนยิ่งพยายามลดเกียร์ลง เรื่อยๆ พร้อมกับเหยียบเบรคเป็นระยะๆ แต่ไม่ได้ผล จนในตอนนี้พวกเขาได้เลยปั๊มเป้าหมายไปแล้วด้วยความเร็วรถที่ยังควบคุมไม่ได้

          จู้ชุนพยายามประคองพวงมาลัยให้มั่นคงที่สุด จากนั้นค่อยๆ ดึงเบรคมือทีละนิดเพื่อไม่ให้ล้อตาย จนเกิดควันจากการเสียดสีฟุ้งไปทั่วบริเวณ เขาเลี้ยวลงมุ่งตรงไปยังทางขึ้นทางด่วน

          “พี่ชุน!!” เหมียนจื่ออู่เห็นแววว่าคืนนี้พวกเขาคงได้เจ็บตัวกันไม่มากก็น้อย

          “ความเร็วเริ่มลดลงแล้ว แต่คงจะหยุดรถไม่ได้ นี่เป็นทางเดียว เพราะฉะนั้น ฉันส่งสัญญาณให้นายโดดเมื่อไร นายก็รีบโดดลงจากรถเข้าใจไหม”

          “อืม”

          จู้ชุนขับรถพุ่งชนไม้กั้นสำหรับผ่านขึ้นทางด่วน ทำให้รถชะลอตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็ขับรถเพื่อเบียดเข้ากับแบริเออร์ข้างคนขับจนทำให้เกิดประกายไฟ เมื่อความเร็วลดลงมากพอ เขาจึงให้สัญญาณ

          “โดด!!”

          เหมียนจืออู่ที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ไม่รีรอรีบกระโดดลงจากรถพร้อมกลิ้งตัวไปกับถนนเพื่อลดแรงกระแทก ในจังหวะที่เขากลิ้งตัวไปกับถนน ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นในทิศทางที่เขาเพิ่งจากมา

          ‘พี่ชุน!!’ ในใจคอยภาวนาให้จู้ชุนกระโดดออกมาให้ทันเวลา

          เมื่อร่างกายของเขาหยุดนิ่งจากการกลิ้งไถล เขาพยายามจะลุกขึ้น กลับมีแสงไฟจากรถคันที่ตามหลังมา แสงแยงตาจนเขามองไม่เห็นว่าเป็นรถของใคร ไม่นานเสียงปืนก็ดังขึ้น พร้อมความเจ็บแปลบกว่าตอนที่เขากระโดดลงจากรถเสียอีก

          เขาเห็นเพียงเงาร่างหนึ่งที่พุ่งตรงเข้ามาหาเขา สติสุดท้ายสั่งให้กำแฟลชไดฟ์ในอกเสื้อให้แน่นเพื่อเป็นการปกป้องมันจากคนที่ลอบทำร้ายเขากับจู้ชุน

To Be Continue

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
39









          บรรยากาศยามค่ำคืนที่ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่เช่นนี้ แต่ภายในปั๊มน้ำมันกลับยังมีรถเข้ามาใช้บริการอยู่เป็นระยะ ทำให้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป อีกทั้งร้านมินิมาร์ทในบริเวณปั๊มยังคงเปิดขายตลอด 24 ชั่วโมง

          เหยินหยางผิงก้าวออกจากประตูอัตโนมัติของร้านสะดวกซื้อ ในมือข้างหนึ่งถือถ้วยกาแฟร้อน ส่วนอีกข้างเป็นถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาเดินมายังม้านั่งที่ทางร้านจัดไว้ให้ แล้วจัดการอาหารมื้อดึกตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

          เสียงยางจากล้อรถยนต์บนถนนเรียกสายตาของเหยินหยางผิงขึ้นจากด้วยบะหมี่ ให้หันไปมอง แต่ปากก็ยังสูดเส้นบะหมี่ในถ้วยไปด้วยโดยไม่กล้วความร้อนที่ลอยอบอวลให้เห็นเป็นควันบางเบาลอยอยู่เหนือถ้วยแม้แต่น้อย

          รถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านหน้าปั๊มไปด้วยความเร็ว ควันจากยางรถยนต์ลอยฟุ้งเป็นสายตามรถที่เพิ่งวิ่งผ่านไป เขาละความสนใจจากรถคันนั้นมาที่ถ้วยบะหมี่ดังเดิม

          คนในรถดูคล้ายกับเจ้าหมากระเป๋าเหมือนกันนะ เหยินหยางผิงที่เห็นคนในรถเพียงแว๊บเดียวเผลอคิดถึงคนที่เขามารออยู่ค่อนคืนอย่างนี้ เขาไม่เจออีกฝ่ายมาหลายวันแล้วจึงอดที่จะเป็นห่วงไปได้

          เขาฉุกคิดขึ้นมาทันที รถคันนั้นถึงจะวิ่งด้วยความเร็ว แต่ไม่ควรมีควันขึ้นจากยางรถหากไม่ดึงเบรคมือช่วยเพื่อห้ามล้อ หวังจะลดความเร็ว ใจของเหยินหยางผิงวูบโหวงขึ้นมาทันทีเมื่อคิดว่ารถคันนั้นอาจจะเป็นรถของจู้ชุนและเหมี่ยนจื่ออู่

          วินาทีถัดมา รถของเขาก็พุ่งออกจากปั๊มไป หวังจะติดตามรถคันนั้นให้ทัน ลอยยางบนพื้นถนนทำให้เขาตามหารถคันนั้นได้ไม่ยาก จนเขาได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นตรงหน้า ใจของหวังอย่างยิ่ง พร้อมทั้งภาวนาขอไม่ให้เป็นไปอย่างที่เขาคิด

          เหยินหยางผิงเห็นใครคนหนึ่งกลิ้งอยู่บนถนน เขาจึงรีบขับรถเข้าไปจอดใกล้ ๆ ทันที จื่ออู่!! เขาแทบจะกระโดดลงจากรถทันทีที่จอดรถแล้ววิ่งเข้าไปหาอีกคนที่ตะเกียกตะกายลุกขึ้น ยังไม่ทันจะถึงตัวของอีกฝ่าย เสียงปืนก็ดังขึ้นเหมี่ยนจืออู่ทรุดลงไปกับพื้นทันที

          “จื่ออู่!! .....” เหยินหยางผิงตะโกนเรียกเสียงดัง และพุ่งไปหาร่างที่มีเลือดสีแดงฉานไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย เขาทำคดีมากตั้งมากมาย เห็นศพผู้เคราะห์ร้ายมานับไม่ถ้วน หากแต่ไม่มีครั้งไหนที่ความกลัวเข้าเกาะกินหัวใจของเขาเท่ากับครั้งนี้มาก่อน

.........................................................................

          ภายในห้องประชุมของสถานี ผมตั้งใจฟังพี่ผานกู่และพี่ตู้เห่าสรุปเรื่องราวในคดีของเผิงฉินฉินให้ฟัง ผมและชิวกัมหงนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ มีบ้างที่ชิวกัมหงจะออกความคิดเห็น จนกระทั่งทุกอย่างจบลง

          “ตอนนี้ที่เราทำได้ก็คงต้องรอให้เยี่ยจูเฟิงมันโผล่หางออกมาเอง หวังว่าอาชุนและจื่ออู่จะได้อะไรจากมันบาง” ตู้เห่าพูดขึ้นมาสีหน้าเครียด เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถสืบหาคนร้ายของคดีได้เลย

          แต่ผมรู้สึกติดยังอะไรบางอย่าง มันคงเป็นสัญชาตของนักข่าวกระมั่ง ผมจึงกางสมุดโน้ตออกในหน้าที่ว่าง ๆ 2 หน้าติดกัน แล้วเริ่มลงมือเขียนสิ่งที่ผมรู้สึกลงไป โดยไม่ได้ฟังสิ่งที่คนอื่นพูดเลย

          ต้วนเจียจง เป็นเจ้าของโกดังของเล่น ที่แอบซ่อนคนงานที่ถูกจับมาเพื่อประกอบอาวุธ ส่วนสำคัญของคดีนี้คือ แรงงานที่ถูกจับ กับอาวุธสงครามที่กำลังขยายผลหาตัวการ

          ฉินหรุยกวง เป็นเจ้าของโกดังที่นำเข้าอะไหล่รถแท็กซี่ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของบริษัทฯ ที่นำเข้าของเล่นให้กับต้วนเจียจง ส่วนสำคัญของคดีนั้น กลับเป็นเรื่องของการลอบวางระเบิด ผมติดใจตรงส่วนนี้ และรู้สึกว่า ฉินหรุยกวงต้องเป็นมากกว่าผู้นำเข้าของเล่นให้กับต้วนเจียจง

          “พี่ คดีระเบิดรถบัส อัยการสรุปปิดคดียังไงเหรอ?” ผมเงยหน้าจากสมุดที่จด แล้วถามออกไปโดยไม่ทันได้นึกว่าคนทั้งสามในห้องประชุมกำลังคุยเรื่องอะไรถึงได้แสดงสีหน้าเครียดออกมาเช่นนี้

          คนทั้งสามหันมามองผม ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?

          “เฟ่ยซาน นายไม่ได้ฟัง?” ผานกู่ถามออกมา ส่วนคนอื่น ๆ เตรียมออกจากห้องกันแล้ว

          “โทษทีพี่ ผมแค่คิดอะไรเพลิน ๆ”

          “งั้นเลิกคิดก่อน แล้วนายจะไปด้วยกันรึเปล่า?”

          “ไปไหนพี่”

          “เฮ้อ...คงไม่ได้ยินจริง ๆ สินะ” ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้ “พวกพี่จะไปโรงพยาบาล ไปดูศพจู้ชุน แล้วก็...ไปดูหยางผิงด้วย”

          สิ่งที่ผมได้ยินนั้นทำให้ผมตัวชาไปหมด พี่ชุนตายแล้วอย่างนั้นเหรอ ยังไงกัน เขาไปกับจื่ออู่ไม่ใช่เหรอ”

          “ละ แล้วจืออู่ละพี่” ผมรีบถามถึงอีกคนทันที

          “อยู่ในห้องไอซียู ยังไม่รู้ว่า...จะรอดไหม”

          เกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ผมทำงานมา ถึงจะถูกบ่นถูกว่าเรื่องที่ชอบเอาตัวเขาไปเสี่ยง แต่ก็ไม่เคยกลัวขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่โดนหวงกังโหจับยัดยาก็เถอะ มันคล้ายกับตอนที่พี่กู่โดนทำร้ายไม่มีผิด เพียงแต่ครั้งนี้มีคนตายจริงๆ

          เดี๋ยวนะ!! หวงกังโห ชื่อคนคนนี้มันยังไงกัน ตอนนี้ในหัวผมมันมีเรื่องให้คิดมากมาย ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่าผมเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที หากแต่ผมไม่มีสมาธิจะมาวิเคราะห์มัน

          “เฟ่ยซาน นายจะไปด้วยไหม ถ้าไม่ไปก็กลับไปพัก พี่ไปก่อนนะ”

          “ห่ะ ปะ ปะ ไปสิพี่ พี่กู รอผมด้วย” ผมรีบวิ่งตามพี่กู่ไปทันที อย่างน้อยเลือดของผมอาจจะช่วยจื่ออู่ได้ เหมือนคราวที่ช่วยผานกู่ ผมสลัดความคิดอื่นๆ ออกไปทันที

.........................................................................

          เกือบจะรุ่งเช้าของวันใหม่ เจ้าของห้องยังไม่ได้นอนพักผ่อนแม้แต่น้อย สายตายังคงจับจ้องไปยังกรอบรูปในมือ จนคนที่อยู่ในห้องด้วยถึงกับถอนหายใจออกมา

          “ดอกเตอร์ค่ะ พักบางเถอะคะ ถึงบาดแผลบนร่างกายจะไม่เป็นอะไรมาก คุณก็ควรจะพักบ้างนะคะ นี่ก็ยังไม่ได้นอนทั้งคืน” ซือเมิ่งอิงพูดหลังจากเก็บกวาดอุปกรณ์ทำความสะอาดแผลไปจนหมด บาดแผลเล็กน้อยที่ได้รับถูกรักษาด้วยเลือดของหนานเฟ่ยซาน ที่เธอนำมาสกัดเก็บไว้ในห้องควบคุมอุณหภูมิ

          “อืม ขอบใจนะเมิ่งอิง”

          “ฉันรู้ค่ะ ว่าดอกเตอร์นั้นสนิทกับคุณต้วนมาก มิตรภาพที่มีให้กันมันอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่คุณต้วนที่มีชีวิตสองด้าน ถึงวันหนึ่งเขาจำต้องเลือก เราก็ขัดขวางเขาไม่ได้หรอกค่ะ”

          “คุณพูดเหมือนคนที่ผ่านโลกมามากอย่างนั้นแหละ”

          “ฉันก็อยู่ของฉัน ใช้ชีวิตปกตินี่แหละค่ะ จะมีแต่ดอกเตอร์เท่านั้นที่ไม่ขุดหาน้ำตากิเลน ก็กลับไปเยี่ยมครอบครัว หรือเพื่อนฝูง เท่าที่ฉันรู้ก็ดูเหมือนจะมีคุณต้วนเพียงคนเดียว”

          “คุณทำงานกับผมไม่กี่ปี กลับอ่านผมได้ทะลุปรุโปร่ง ผิดกับผมที่รู้จักเจียจงมานาน แต่เหมือนกับไม่รู้จักเขาเลย”

          “คุณต้วนเลือกจะเผยชีวิตด้านเดียวให้คุณเห็น ส่วนอีกด้านเมื่อคุณรู้จักกับมัน มันก็ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้า ทำใจเถอะค่ะ ในเมื่อคุณต้วนเขาเลือกแล้ว นั่นแสดงใหเห็นว่า คุณต้วนด้านที่ดอกเตอร์เคยเห็น อาจจะไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้วก็ได้นะคะ”

          “ด้วยพื้นฐานครอบครัว หรือฐานะทางสังคม ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมเจียจงถึงได้หันไปเดินทางเส้นนั้น”

          “จำได้ว่าคุณต้วนมีน้องสาวต่างแม่ ที่เขารักมาก แต่กลับไม่เป็นที่ยอมรับของครอบครัว แม้แต่สกุลเธอก็ยังไม่อาจจะได้ใช้แซ่ต้วน นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งในหลาย ๆ เหตุผลที่เขาเลือกจะเดินทางเส้นนี้ก็ได้นะคะ”

          “ซือเมิงอิง ๆ นอกจากคุณจะเป็นนักวิทยศาตร์ที่ชาญฉลาดแล้ว คุณยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านจิตวิทยาที่ใช้ได้ทีเดียว”

          “ถ้าดอกเตอร์มีใจจะหยอกล้อฉันได้อย่างนี้แล้ว ฉันก็สบายใจค่ะ คุณรีบทำงานที่นี่ให้เสร็จแล้วกลับไม่ดูแลคุณหนานเถอะคะ”

          “เฟ่ยซานเป็นอะไร คุณรู้อะไรมาอย่างนั้นเหรอ?”

          “คุณคิดว่าที่ฉันเข้ามาที่แลปได้รวดเร็วนี่เพราะดอกเตอร์ตามให้ฉันมาทำแผลเหรอค่ะ” ซือเมิงอิงส่ายหน้ายิ้ม “ที่จริงแล้วเพราะคุณหนานโทรมาหาฉันก่อนหน้าดอกเตอร์ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงค่ะ”

          “ทำไมเฟ่ยซานถึงได้โทรหาคุณได้ล่ะ? ทำไมถึงไม่โทรหาผม”

          “เพราะคุณหนานเขาคงรู้มั้งคะ ว่าดอกเตอร์คงไม่อนุญาต และต้องโกรธมากๆ แน่เลย”

          “นี่ไม่ใช่ว่าออกไปหาเรื่องใส่ตัวให้ตัวเองต้องบาดเจ็บอีกนะ”

          “ไม่ใช่เลยค่ะ คือ เพื่อนคุณหนานคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ แต่รายละเอียดเป็นยังไง ฉันไม่ทราบหรอกนะคะ คุณหนานเขาเล่าเพียงว่ารถคว่ำ เป็นตายเท่ากัน คุณหนานเขาอยากช่วย จึงโทรมาหาฉันให้แนะนำวิธีช่วยเหลือเพื่อน ที่ปลอดภัยสำหรับตัวคุณหนานเอง”

          “หึ ถ้าคนที่บาดเจ็บโฮวจีเจียนคงจะดี เพื่อนคนนี้ของเฟ่ยซานดูยังไงก็ไม่นาไว้ใจ”

          “เท่าที่ทราบไม่ใช่นะคะ เห็นว่าเพื่อนเป็นนักสืบ” เธอพูดไม่จบประโยคดี ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ทำสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันที จนเธอปรับอารมณ์ตามอีกคนแทบไม่ทัน นี่เธอห่วงเจ้านายของเธอเกินเหตุไปรึเปล่า ซือเมิ่งอิงได้แต่คิดในใจ ก่อนปลีกตัวหนีบรรยากาศอันแสนอึดอัดออกมา

.........................................................................

          หลังจากที่ซือเมิ่งอิงออกจากห้องทำงานของเขาได้ไม่นาน เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ตัดสินใจกดโทรศัพท์ไปออกไปทันที เขาไม่ชอบใจเลยที่เลือดของหนานเฟ่ยซานถูกเอาไปช่วยนักสืบผานถึงสองครั้งสองครา แม้ว่าครั้งนี้ เฟ่ยซานจะมีสติพอจะโทรมาขอความเห็นจากซือเมิ่งอิงก็ตามที

          ‘ดอกเตอร์…’ ปลายสายพูดเสียงสั่นเครือ ทำให้เขาอดจะใจอ่อน พยายามข่มความหงุดหงิดใจลงไป

          “อยู่ที่ไหน” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

          ‘พี่หยวนฮ่าง พี่ชุนเขา’

          “จู้ชุน เป็นอาชุนอย่างนั้นสินะที่เราเอาเลือดไปช่วย” ความหงุดหงิดพลันหายไปทันทีเมื่อเขาคิดว่าไม่ใช่นักสืบผาน

          ‘ผมช่วยพี่ชุนไม่ได้ ช่วยไม่ทัน ไม่สิ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย’

          “เดี๋ยว ๆ เฟ่ยซาน ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด ฟงหลิวหรือหยวนหยางอยู่แถวนั้นรึเปล่า”

          ‘ไม่รู้’

          ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับรู้อะไรรอบตัว ถึงไม่ได้ฟูมฟายอะไร แต่เขารับรู้ได้ว่าเฟ่ยซานกำลังกลัวอยู่ จึงพยายามค่อย ๆ ถาม

          “แล้วเราเอาเลือดไปช่วยใคร ถ้าไม่ใช่อาชุน”

          ‘จื่ออู่ จื่ออู่โดนยิง ตอนกระโดดลงจากรถ’

          “ไม่ต้องกลัว ถ้าเราทำตามคำแนะนำของเมิ่งอิง เพื่อนของเราต้องไม่เป็นอะไร”

          ‘อือ พี่หยวนฮ่าง เมื่อไรพี่จะกลับ’

          “ถ้าอยากให้ฉันกลับ ฉันก็จะกลับเดี๋ยวนี้”

          ‘ละ แล้วเรื่อง เอ่อ เรื่องเพื่อนพี่ละ’

          “คงไม่มีอะไรที่ฉันจะจัดการได้แล้ว ที่เหลือคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ”

          ปลายสายเงียบไปสักพัก แต่เขายังพอได้ยินเสียงความวุ่นวายภายในโรงพยาบาล และเสียงนักสืบอีกหลายคนนอกจากผานกู่

          “เฟ่ยซาน ยังอยู่ไหม?”

          ‘พี่หยวนฮ่าง พี่ชุนไม่มีญาติที่ไหนเลยเหรอ’

          “เท่าที่ฉันจำได้ ยายของอาชุนเพิ่งจะเสียไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน จากนั้นครอบครัวเดียวของอาชุนก็คือฝู่”

          ‘แล้วผมควรจะบอกพี่กู่ยังไง เกี่ยวกับเรื่องนี้’

          “เกิดอะไรขึ้นกับอาชุน”

          ‘พี่ชุนตายแล้ว ตอนแรกคิดว่าเพราะรถคว่ำ แต่พี่หยางผิงบอกว่าไม่ใช่ ผมยังไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง’ คงจะเป็นความวุ่นวายเมื่อครู่ที่เขาได้ยินผ่านทางโทรศัพท์

          “ทำใจดีๆ ไว้นะ พี่จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ เรื่องอาชุนไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

          ‘พี่หยวนฮ่าง ผมรู้ว่ามันไม่ควร พี่มีอะไรต้องจัดการอีกหลายอย่าง แต่…’ เฟ่ยซานเว้นช่วงไปนาน จนเหมิ๋นหยวนฮ่างคิดจะพูดปลอบอีกคน แต่แล้ว ‘ผมอยากให้พี่รีบมา ผมสังหรณ์ใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้ แค่เรื่องน้ำตากิเลนในตัวผมก็ประหลาดพอแล้ว พี่จะว่าผมเฟ้อเจ้อก็ได้นะ แต่ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ พี่จริง ๆ’

          “พี่จะรีบกลับ ช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งอยู่คนเดียว อย่าคิดมาก จะให้ฟงหลิวพาไปอยู่ที่โรงแรมก่อนไหม เดี๋ยวฉันไปรับ แล้วเราค่อยกลับบ้านที่ชุง ฮอม กอกด้วยกัน”

          ‘ผมรออยู่ที่โรงพยาบาลได้ไหม ผมอยากรอดูอาการจื่ออู่ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้ทัน’

          “ตามใจเราแล้วกัน แต่ห้ามทำอะไรเกินตัวรู้ไหม”

          ‘ครับ’

          “อืม ฉันจะรีบกลับไปหา”

          เมื่อเหมิ๋นหยวนฮ่างวางสายไปแล้วเขาก็กดโทรศัพท์หาเตี๋ยทันที ถึงแม้จะรู้ว่าเวลานี้โทรไปจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของอีกฝ่าย

          ‘โทรมาแต่เช้าแบบนี้ ที่เกาลูนคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นละสิ’

          “เตี๋ยยังอยู่ไทยรึเปล่า หรือว่ากลับฮ่องกงมาแล้ว”

          ‘ฉันยังอยู่ที่ไทย เพราะตอนนี้ยังหาตัวเจมส์ไม่เจอ’

          “ได้เบาแสอะไรเกี่ยวกับเจมส์บ้างไหมครับ” เขาถามออกไปอย่างเป็นห่วง ถึงจะเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่เขาก็รักและเอ็นดูน้องชายทั้งสองมาก

          ‘มีร่องรอยจากที่เกิดเหตุ ดูเหมือนว่าเจมส์จะถูกพวกใดพวกหนึ่งสะกดรอยตามตั้งแต่ในห้างสรรพสินค้า ก่อนพวกมันจะลงมือที่ลานจอดรถ’

          “น้องปลอดภัยดีไหม” เขาถามอย่างกังวล ใช่ว่าตัวเขาเองจะไม่เคยโดนลอบทำร้าย เพียงแต่มันไม่โจ่งแจ้งแบบของเจมส์ และก็คราวนี้ที่เขาโดนในตรอกนั่นเท่านั้นเอง

          ‘น่าจะหนีขึ้นไปทางเหนือของไทย แต่ทำไม เพราะอะไร เตี๋ยเองก็ยังไม่รู้’

          “น้องควรไปหาเตี๋ยหยก หรือคุณเสือไม่ใช่เหรอ”

          ‘เตี๋ยไม่อยากจะคิดว่าเจมส์จะถูกจับตัวไป เพราะฝีมือเจมส์ไม่ใช่ใครที่จะจับตัวได้ง่าย ๆ’

          ใช่แล้ว น้องคนรองของเขามีฝีมือไม่ต่างกับเขา เพราะได้ครูดีอย่างพ่อของเขา ไหนจะเตี๋ยหยก และเขาอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกจับตัวเอาง่ายๆ

          “หรือว่า...แกล้งให้อีกฝ่ายจับ”

          ‘หึ เตี๋ยก็คิดแบบนั้น นี่ม๊าเขาก็โกรธควันออกหูเลยล่ะ ถ้ากลับมาคราวนี้คงโดนม๊าเขาเล่นงานอ่วมแน่’

          เมื่อได้ยินอย่างนั้น เหมิ๋นหยวนฮ่างก็สบายใจขึ้นมา แต่ก็ต้องกลับมาเครียดอีกครั้งเมื่อต้องแจ้งข่าวของใครอีกคน

          “เตี๋ย ที่ผมโทรมาแต่เช้าเป็นเพราะเรื่องของอาชุน”

          ‘เฮ้อ...เรื่องอาชุนเตี๋ยรู้ตั้งแต่เกิดเรื่องแล้วละ ฟงหลิวโทรเข้ามารายงาน’

          “เตี๋ยหยกรู้รึยังครับ”

          ‘ยังเลย คงต้องรอให้สาย ๆ หน่อยค่อยบอก แต่เรื่องนี้ป๊าของเรารู้แล้วนะ คาดว่าคงจะไปจัดการด้วยตัวเอง’

          “ป๊าจะมา? ที่ไหน? ฮ่องกง หรือเกาลูน?”

          ‘ฮ่องกง ได้เที่ยวบินเช้า คงถึงช่วงสายๆ’

          “เตี๋ย แค่นี้ก่อนนะ ผมจะรีบกลับไปฮ่องกงก่อน”

          เหมิ๋นหยวนฮ่างวางสายจากเตี๋ยเถิงทันที แล้วรีบเดินออกจากห้องทำงานไป ม๊าเขารู้เรื่องเฟ่ยซานแล้ว แต่ป๊านี่สิ เขายังไม่ได้บอกอะไรสักคำ ก็ใครให้ครอบครัวของเขาเป็นแบบนี้ละ ม๊าไปทาง ป๊าไปทาง เขาก็มีทางเขา ถ้าเฟ่ยซานเจอครอบครัวของเขา จะรับมือไหวไหมนะ







To Be Continued




ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
40








        เรื่องที่เกิดขึ้นกับจู้ชุนและหยางจื่ออู่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มีคนลอบตัดสายเบรก อีกทั้งยังตามมาจัดการซ้ำเพื่อไม่ให้มีชีวิตรอดไปได้ คนร้ายทำการโจ่งแจ้งมากแม้จะพอเดาได้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับไม่มีหลักฐานมาเอาผิดผู้กระทำ
   
        ตอนนี้ทางผู้ใหญ่ให้ปิดเรื่องที่เหมี่ยนจื่ออู่รอดชีวิตเอาไว้เป็นความลับ และย้ายคนเจ็บไปดูแลที่อื่น ผานกู่และเหยินหยางผิงกำลังทำเรื่องขนย้ายผู้เจ็บอยู่ ส่วนผมพอโล่งใจที่จื่ออู่ปลอดภัยก็พาลให้ร่างกายรู้สึกล้าขึ้นมาทันที
   
        “คุณหนาน” ขวดน้ำดื่มถูกยื่นมาตรงหน้าเขา เป็นหยวนหยางที่นำมาให้
   
        “ขอบคุณครับ”
       
         “ตอนนี้ ที่นี่ไม่มีอะไรที่คุณทำได้แล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนไหมครับ”
   
         “เอ่อ...ผมต้องไปที่โรงแรมจริง ๆ เหรอครับ”
   
        “ดอกเตอร์กำลังจะมาที่โรงพยาบาล หากคุณต้องการพักผ่อน ฟงหลิวจะไปจัดการเรื่องห้องพักที่นี่ให้”
   
        “ที่นี่มันโรงพยาบาลนะครับ ไม่ใช่โรงแรม จะให้ผมแอดมิทเข้าไปด้วยเรื่องอะไร”
   
         “ที่นี่เยียนหวอถือหุ้นอยู่ เรื่องห้องพักนั้นไม่มีปัญหาครับ”
   
        “อ่า...ไม่เอาดีกว่า ถ้าดอกเตอร์กำลังจะมา ผมรออยู่ที่นี่ดีกว่าครับ”
   
        “ครับ”
   
        จากนั้นหยวนหยางก็นั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากผมไป 2-3 ตัว ไม่นานฟงหลิวก็เดินเขามานั่งห่างจากพวกเราไปไม่มากนัก
   
        “เฟ่ยซาน นายกลับไปก่อนก็แล้วกัน พี่ต้องไปจัดการเรื่องสำคัญ จำไว้นะ ว่าเรื่องนี้จะเอาไปเขียนข่าวไม่ได้” พี่กู่เดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ผม แล้วย้ำผมอีกครั้ง
   
        “อืม ผมเข้าใจ จื่ออู่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”
   
        “อืม พ้นขีดอันตรายแล้ว หยางผิงกำลังดูแลอยู่”
   
         “แล้วพี่ชุนละ”
   
        “มีคนติดต่อเพื่อขอรับศพอาชุนแล้ว”
   
        “ใคร?”
   
        “เห็นว่าเป็นอาจารย์ที่รับดูแลอาชุนตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนตำรวจ”
   
       
        “...” ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ใจมันโหวงๆ แปลก ๆ
   
         “ทำใจให้สบายเถอะ อาชุนไปสบายแล้ว เขาตายในหน้าที่ ตายอย่างมีเกียรติ”
   
        “ผมใจหาย พี่ชุนเป็นคนดี ไม่คิดว่าคนดีๆ อย่างพี่ชุน จะจากพวกเราไปเร็วแบบนี้”
   
         “งานอย่างเราๆ มันเสี่ยงอยู่ทุกวัน สายข่าวอย่างนายก็เห็นคนตายออกบ่อย ยังไม่ชินอีกหรือไง?”
   
        “แต่นี่มันคนใกล้ตัว”
   
        “เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ทุกวัน ทุกเวลา อย่าเก็บเอาไปคิดมาก”
   
        “เฟ่ยซาน” ผมเงยหน้ามองตามน้ำเสียงของอีกคน ที่ได้ยินแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
   
        “พี่หยวนฮ่าง”
   
        “พี่มารับแล้ว”
   
        “ดอกเตอร์เหมิ๋น” ผานกู่ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอีกคนก่อนถอนหายใจ “ผมฝากเฟ่ยซานด้วย ผมมีเรื่องต้องไปดูแลต่อ”
   
        “อืม”
   
        เมื่อพี่ผานกู่เดินจากไปพี่หยวนฮ่างก็นั่งลงข้าง ๆ ผม ผมจึงเอาหัวซบลงบนไหล่ของอีกคนราวกับต้องการที่พักพิง ห่างกันแค่ไม่กี่วัน ทำไมผมถึงคิดถึงเขาได้ขนาดนี้
   
        “กลับไปพักเถอะ ดูท่าทางเราคงยังไม่ได้นอนใช่ไหม”
   
        “อืม นอนไม่หลับ”
   
        “กลับบ้านของเรากัน” คำๆ นี้ทำให้ผมอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก   ไม่เหลือเค้าดอกเตอร์ที่แสนจะเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ผมมักจะแอบเรียกลับหลังอีกต่อไป
   
        “พี่หยวนฮ่าง พี่ชุนมีคนรับไปดูแลแล้วนะ เขากำลังจะมา พี่กู่บอกว่าเขาเป็นอาจารย์ของพี่ชุน ผมจะขออยู่รอพบเขาก่อนได้ไหม?”
   
        “ทำไม”
   
        “ผมอยากขอบคุณเขา”
   
        “ไว้วันอื่นก็ได้ วันนี้ฉันว่าเรากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
   
        “ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอเขาไหม”
   
        “มีสิ แล้วเราจะได้เจอเขาบ่อย ๆ” ผมนั่งตัวตรงแล้วหันไปสบตากับดอกเตอร์
   
        “เขาเป็นคนของฝู่เหรอ?”
   
        “ไม่ใช่”
   
        “พี่รู้จัก”
   
        “อืม”
   
        “เขาเป็นใคร?”
   
        “เอาไว้ถึงเวลาก็รู้เอง ตอนนี้จะกลับไปพักได้รึยัง” พอสังเกตดีๆ ดอกเตอร์เองก็มีท่าทางอิดโรยไม่ต่างจากผม
   
        “พี่หยวนฮ่างก็ยังไม่ได้นอนใช่ไหม”
   
        “เพราะรีบมาหาใครกันล่ะ”
   
        “อืม งั้นเรากลับบ้านเรากัน” ผมพยักหน้ารับ แล้วเราสองคนก็เดินออกจากโรงพยาบาลมาโดยมีหยวนหยางและฟงหลิวเดินตามหลัง เมื่อมาถึงหน้าโรงพยาบาลก็มีรถตู้มาจอดรอรับพวกเราอยู่

.........................................................................

     
        ผานกู่ลอบมองคนทั้งสองขึ้นรถตู้ไป ตู้เห่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ตบไหล่ปลอบใจเขาเบา ๆ ก่อนเดินจากไปปล่อยให้เขาคิอะไรอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
   
        เขารู้ว่าสักวันเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้น วันที่หนานเฟ่ยซานเดินเคียงคู่ไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา นาทีที่เขาเห็นสายตาของเฟ่ยซานสบตากับดอกเตอร์เหมิ๋นกับน้ำเสียงที่เรียกอีกฝ่าย เขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่สามารถที่จะฉุดรั้งอีกฝ่ายได้
   
        การปล่อยหนานเฟ่ยซานไปแบบนี้คงจะดี อาชีพของเขานั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่รู้ว่าลมหายใจจะหมดลงวันใด เขาเองก็เกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังรอดมาได้ ผิดกับจู้ชุน ที่แม้จะรอดจากรถคว่ำแต่กลับไม่พ้นมือมัจจุราชที่ลั่นไกใส่คนไม่มีทางสู้ เขาต้องลากคอไอ้ฆาตกรนั่นมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้
   
        “อากู่ มีคนมารับอาชุนแล้ว” เสียงของชิวกัมหงเรียกสติเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบัน “นายไม่เป็นไรใช่ไหม เรื่องเฟ่ยซาน” กัมหงถามในระหว่างที่พวกเขาเดินไปด้วยกัน
   
        “อืม อย่างน้อย อนาคตข้างหน้า เฟ่ยซานจะได้ไม่ต้องมาเสียใจกับความสูญเสียอีก”
   
        “อืม ใครเป็นเมียตำรวจก็ต้องอดทนกันทั้งนั้น และที่สำคัญ ต้องมีสติตั้งรับกับการสูญเสียอยู่ตลอดเวลา นายตัดใจได้ก็ดีแล้ว”
   
        เขาทั้งสองหยุดอยู่ที่หน้าห้องดับจิต มีชายคนหนึ่งอยู่ในชุดลำลองหากแต่ดูภูมิฐานยืนรออยู่
   
        “ผมผานกู่ หัวหน้าทีมสืบสวน ยินดีที่ได้รู้จัก”
   
        “เช่นกันครับ ผมคิม วุกเจ เคยเป็นครูฝึกให้อาชุน”
   
        “คุณไม่ใช่คนจีน?”
   
        “ผมเป็นคนไทย สัญชาติเกาหลี แต่ก็เป็นหนึ่งในครูฝึกหน่วยซีลอยู่พักหนึ่ง”
     
        “อาชุนเคยเข้าร่วมฝึกกับหน่วยซีลของสหรัฐด้วยอย่างนั้นเหรอครับ” เขาถามออกมาอย่างแปลกใจ
   
        “ใช่ครับ อาชุนเป็นเด็กที่มีความสามารถ ไม่น่ามีจุดจบแบบนี้เลย”
   
        “คุณรู้อย่างนั้นเหรอ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาชุน รายงานชันสูตรนอกจากพวกเราแล้วก็ยังไม่มีคนภายนอกรับรู้”
   
        “พวกคุณบอกว่าอาชุนรถคว่ำ และโดนไฟคลอก ด้วยความสามารถของอาชุน แค่รถคว่ำไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ผมจึงเขาไปดูศพ พบรอยกระสุนที่บริเวณหน้าอก ถ้าอาชุนไม่ได้บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว จนทำให้เขาเอารถไม่อยู่ นั่นก็หมายความว่ามีหมาลอบกัดที่ลอบทำร้ายอาชุนขณะที่กำลังพยายามบังคับรถคันนั้นอยู่”
   
        “เฮ้อ...เป็นอย่างที่คุณว่า สมแล้วกับที่เป็นอาจารย์ของอาชุน”
   
        “ผมต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับคดีที่อาชุนทำทั้งหมด”
   
         “คุณคิม เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพวกเรา ผมคงไม่สามารถให้คุณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสืบสวนได้”
   
        “ผมไม่ได้ขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง”
   
        “คุณคิม ใจเย็นๆ เถอะครับ รับอาชุนกลับไปก่อน เรื่องคดีและคนร้ายเราเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หากมีความคืบหน้ายังไงทางเราจะรีบแจ้งให้ทราบ” ชิวกัมหงเข้ามาช่วยเกลี่ยกล่อมอีกแรง
   
         เสียงฝีเท้าที่วิ่งมาตามทางเดิน ดังกึกก้องทำให้พวกเขาทั้งสามคนต้องหันกลับไปมองผู้ที่วิ่งเข้ามา ตู้เห่าวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา ในมือถือเอกสารบางอย่างไว้ เขาพยักหน้าทักทายคุณคิมเล็กน้อยก่อนดึงเขาออกมาห่างจากอีกคน ชิวกัมหงก็เดินตามมาด้วย
   
        “คดีนี้ถูกโอนย้ายไปให้แผนกอาชญากรรมพิเศษดูแลแทน” ตู้เห่าพูดออกมาสีหน้าเครียด
   
        “นายว่ายังไงนะ” ตู้เห่าไม่ตอบ แต่ยื่นเอกสารคำสั่งให้พวกเขาอ่านเนื้อความเป็นไปตามที่ตู้เห่าบอก แต่ที่เขาต้องแปลกใจ ผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้
“คิม วุกเจ”
ผานกู่และชิวกัมหงต่างหันกลับไปมองหน้าเจ้าของชื่อที่เฝ้ามองการกระทำของพวกเขาอยู่ ก่อนที่จะเดินผ่านพวกเขาไป และในระหว่างที่เดินผ่านนั้น
   
         “10 โมงตรง พวกคุณต้องไปรายงานตัวกับผมที่สถานนี รวมทั้งเหยินหยางผิงด้วย” พูดจบก็เดินจากไป
   
        “นั่นใคร” ตู้เห่าที่ไม่รู้ว่าคนที่พึ่งเดินจากไปเป็นใครจึงได้เอ่ยถามอย่างงงวย
   
        “ดูท่า คงจะเป็นหัวหน้าใหม่ของพวกเรา” ชิวกัมหงว่าพร้อมตบไหล่เขาเบา ๆ แล้วเดินจากไป

   
.........................................................................

   
        หลังจากที่แยกกับหนานเฟ่ยซานที่ร้านอาหารเมื่อคืน เพราะอีกฝ่ายมีงานด่วนเข้ามาเรื่องคดีที่ตามอยู่ จนถึงวันนี้โฮวจีเจียนก็ยังไม่พบหนานเฟ่ยซานเลย
   
        เขาตั้งใจทำตามคำแนะนำของอีกฝ่ายเรื่องคนรัก ติดตรงที่เขาติดต่อฉี่เยว่ไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน โทรไปก็ไม่รับสาย ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบกลับ จนสุดท้ายไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณโทรศัพท์ เขาร้อนใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร พยายามติดต่อหนานเฟ่ยซาน อีกฝ่ายก็ไม่รับสายเช่นกัน จนเขาทนไม่ไหวต้องมาตามหาถึงที่สถานี
   
         เขาไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อยนัก เนื่องจากงานข่าวของเขานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานีตำรวจสักเท่าไร เมื่อมาถึงเขาพยายามที่จะมองหาคนรู้จักอย่างเหยินหยางผิง หรือเหมี่ยนจื่ออู่เพื่อนในวัยเด็กของหนานเฟ่ยซาน แต่กลับไม่พบใครสักคน
           
        “ขอโทษครับ” เขาถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เดินผ่านมา
   
        “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
   
        “ผมมาหานักสืบเหยินครับ”
   
        “อ่อ พี่หยางผิงประชุมอยู่กับทีม คงไม่ว่างออกมาพบคุณตอนนี้หรอก”
   
        “ในนั้นมีนักข่าวอยู่ด้วยรึเปล่า”
   
        “คุณคงหมายถึงเฟ่ยซาน”
   
        “ใช่ คุณรู้จักเขาเหรอ?”
   
        “ในสถานีนี้มีใครไม่รู้จักหนานเฟ่ยซานบ้าง”
   
        “อ่อ”
   
        “ไว้บ่าย ๆ คุณค่อยเข้ามาอีกทีแล้วกัน ผมว่าพี่หยางผิงคงจะประชุมอีกนาน”
   
        “ขอบคุณครับ”
   
        โฮวจีเจียนเดินออกมายืนอยู่ที่หน้าสถานี พยายามนึกว่าหนานเฟ่ยซานจะไปอยู่ที่ไหนได้ ถ้าเหยินยางผิงประชุมอยู่ แสดงว่านักสืบผานที่เป็นหัวหน้าหน่วยก็ต้องร่วมประชุมด้วย สองคนนั่นจึงไปได้ไปหาเบาะแสของคดีที่ไหนด้วยกันแน่นอน ส่วนที่คอนโดของเฟ่ยซานเขาก็แวะไปมาแล้วก่อนที่จะมาที่สถานีนี่เสียอีก
   
        “ขอโทษนะคะ คุณโฮวใช่ไหมค่ะ?”
   
        “อ่า ครับ ไม่ทราบว่าคุณ?”
   
        “ดิฉันเป็นเลขาของคุณเยี่ย ที่คุณเคยไปสัมภาษณ์หลายครั้งยังไงล่ะค่ะ”
   
        “อ่อครับ ขอโทษนะครับ ที่ผมจำคุณไม่ได้”
   
        “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันได้รับมอบหมายให้มาเชิญคุณเข้าไปพบคุณเยี่ยที่บ้านค่ะ”
   
        “คุณเยี่ยต้องการพบผมอย่างนั้นเหรอครับ” โฮวจีเจียนแทบจะเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่มิดเมื่อคนระดับนั้นต้องการพบเขา
   
        “ค่ะ”
   
        “แจ้งเวลาได้เลยครับ เดี๋ยวผมรีบจัดเวลาให้”
   
        “ตอนนี้ค่ะ”
   
        “หา ตอนนี้เลยอย่างนั้นเหรอครับ”
   
        “ใช่ค่ะ ตอนนี้”
   
        “เอ่อ ถ้าอย่างนั้นให้ผมรบกวนของแผนที่บ้านคุณเยี่ยด้วยครับ”
   
        “คุณโฮวเชิญทางนี้ค่ะ ไปพร้อมกันกับดิฉันเลยก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลา”
   
        “เอ่อ แล้วรถของผม”
   
        “คุณโฮวจะกังวลไปทำไมค่ะ ในเมื่อรถจอดอยู่ในสถานีตำรวจ”
   
        “อ่า...ครับ งั้นเชิญ”
   
        โฮวจีเจียนเดินตามเลขาสาวสวยของเยี่ยจูเฟิงไป ทั้งที่แปลกใจว่าคุณเยี่ยอยากพบเขาด้วยเรื่องอะไร หากแต่ความตื่นเต้นดีใจนั้นมีมากกว่า เพราะถ้าลองคิดดูแล้ว การที่เยี่ยจูเฟิงต้องการพบเขา อาจจะเป็นไปได้ว่าต้องการให้ข่าวอะไรกับเขา และเขาจะเป็นนักข่าวสำนักเดียวที่ได้ทำข่าวนี้ คิดเพียงเท่านี้เขาก็แทบจะอดใจรอเจอคุณเยี่ยไม่ไหวแล้ว




To Be Continued

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
41






 

    ผมตื่นขึ้นมาก็เลยเที่ยงวันไปแล้ว การได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่นั้นพอจะทำให้ผมตั้งสติจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้บ้าง คืนที่ผ่านมานั้นค่อนข้างหนักหนาสำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพบศพของเผิงฉินฉิน แล้วไหนจะเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับจื่ออู่ สุดท้ายที่ทำให้ผมรู้สึกแย่สุดๆ คงจะเป็นการตายของพี่ชุน

    ผมจัดการกับตัวเองเสร็จก็เดินออกจากห้องนอน ในบ้านที่มักจะเงียบอยู่แล้วกลับเงียบกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ในบ้านมีผมกับดอกเตอร์อยู่ ผมเดินหาจนทั่วกลับไม่พบอีกคน

    ผมเดินกลับเข้าห้องมาเพื่อหยิบโทรศัพท์ ตั้งใจจะโทรหาดอกเตอร์ แต่โทรศัพท์ของผมลืมชาร์จแบตไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ถึงตอนนี้มันเลยเปิดไม่ติด ไม่รู้ว่าป่านนี้จะมีใครโทรตามผมบ้าง

    ผมเดินออกจากห้องนอนอีกครั้ง เดินเข้าครัวเพื่อไปหาอะไรรองท้อง เท่าที่ผมจำได้ ผมได้กาแฟไปแก้วเดียวตอนที่อยู่ในห้องประชุมของสถานี อ่อ มีน้ำดื่มอีกขวดที่ได้รับจากหยวนหยางที่โรงพยาบาล

    ผมทำอาหารง่าย ๆ กินเอง คำว่าง่ายของผมก็แค่การลวกบะหมี่สำเร็จรูปกินเท่านั้น ของสดที่อยู่ในตู้เย็นก็ปล่อยให้มันนอนนิ่งอยู่แบบนั้น เพราะผมไม่มีความสามารถในการทำอาหารอย่างดอกเตอร์

    ในระหว่างที่ผมเก็บล้างถ้วยชามอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน จึงรีบวิ่งออกไปดู เห็นเป็นรถของดอกเตอร์ มีฟงหลิวเป็นคนขับ หยวนหยางลงมาก่อนแล้วเปิดประตูให้ใครสักคนก้าวลงมาจากรถ ตามด้วยดอกเตอร์

    “@!^$*#-^!$^*)3^!#>”^*”  ชายคนนั้นหันกลับไปพูดอะไรสักอย่างกับดอกเตอร์ ผมฟังเขาไม่ออก

    “ตาแก่ ภาษาจีน”

    “อาหลิวกับอาหยางยังฟังเข้าใจเลย”

    “นั่นเพราะป๊าบังคับให้พวกเขาต้องเรียนรู้”

    “คนนี้ก็ควรจะเรียนรู้”

    “ถึงจะต้องเรียนรู้ แต่ผมจะไม่ใช้วิธีของป๊า”

    จากที่ฟังสองคนนั่นคุยกับ ผมพอจะเดาได้ว่าผู้ที่มาด้วยคือพ่อของดอกเตอร์ ซึ่งดูๆ แล้วก็มีความคล้ายกันอยู่ ผมจึงได้แต่ยืนสงบเสงี่ยมไม่กล้าพูดอะไร นอกจากทักทายตามมารยาทเท่านั้น

    “เฟ่ยซาน นี่พ่อของฉัน”

    “สวัสดีครับ คุณเหมิ๋น”

    “ฮ่าฮ่า ฉันไม่ได้แต่งงานเข้าตระกูลเหมิ๋น ไม่ต้องเรียนฉันว่าคุณเหมิ๋น เรียกป๊าเหมือนไอ้ลูกหน้าตายนี่เถอะ แต่ไม่เอานะ คำว่าตาแก่น่ะ ฟังทีไรปวดหัวใจทุกที”

    “ครับ”

    “กินอะไรรึยัง” ดอกเตอร์หันมาถามผมหลังจากที่แนะนำป๊าเสร็จ

    “เรียบร้อยแล้วครับ” ผมนึกขึ้นได้ว่ายังล้างจานไม่เสร็จ ใครเกิดเข้าไปเห็นตอนนี้คงไม่ดีแน่ๆ

    “งั้นเข้าบ้านกันเถอะ จะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักที” ป๊าของดอกเตอร์พูดพร้อมทั้งเดินนำเข้าไป ผมจึงรีบตามเข้าไปและเลี่ยงเข้าไปจัดการจานชามในครัวต่อ ก่อนออกมาก็รินน้ำดื่มเย็นๆ มาให้เจ้าของบ้านทั้งสองรวมถึงผู้ติดตามที่เข้ามานั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องรับแขก

    “คนนี้เหรอที่มีน้ำตากิเลนอยู่ในตัว” ป๊าถามขึ้นหลังจากดื่มน้ำไปอึกใหญ่

    “อืม”

    “เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้นะเฟ่ยซาน ไม่อย่างนั้นอันตรายต่าง ๆ มันจะเข้ามาถึงตัว”

    “ครับป๊า” ผมรับคำเตือนจากพ่อของดอกเตอร์อย่างว่าง่าย

    “ป๊าจะจัดการเรื่องอาชุนยังไง” สองพอลูกเริ่มเปิดประเด็นคุยกัน โดยมีผมนั่งร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยเงียบ ๆ

    “ทำพิธีเสร็จก็เอาไปฝังไว้กับยายของเขา”

    “คนที่รับพี่ชุนคือป๊าเหรอครับ” เขาแทรกถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ

    “อืม”

    “งั้นป๊าก็เคยเป็นอาจารย์ของพี่ชุน”

    “นั่นก็ใช่อีก”

    “เฟ่ยซานเขาอยากจะเจอป๊าเพื่อขอบคุณเรื่องของอาชุน”

    “ครับ ผมอยากขอบคุณที่ป๊าช่วยดูแลเรื่องศพพี่ชุน ผมเพิ่งรู้จากเพื่อนร่วมงานของพี่ชุนที่สถานีว่าพี่ชุนไม่มีญาติที่ไหนแล้ว”

    “อืม ถึงป๊าไม่ทำก็ยังมีคนอื่นเข้ามาช่วยอยู่ดี อาชุนไม่ได้ตัวคนเดียวอย่างที่เห็นหรอกนะ เขายังมีอาหยาง อาหลิว และพี่น้องคนอื่น ๆ อีก”

    “ฟงหลิว กับหยวนหยางเป็นพี่น้องกับพี่ชุนอย่างนั้นเหรอครับ” ผมหันไปมองหน้าทั้งสองที่นั่งอยู่ใกล้ๆ  กันอีกทั้งยังทำสีหน้าปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “เห็นสองคนนั้นนิ่ง ๆ แบบนั้น แต่ในใจน่ะไม่ใช่เลย ใช่ไหม?” ป๊าหันไปมองคนทั้งสอง

    “ครับ/ครับ”

    “เรื่องของอาชุนเราไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้พี่อยากให้เราอยู่เฉย ๆ เรื่องคดีที่กำลังสืบอยู่ทั้งหมด ขอให้หยุดพักไปก่อน ถ้าจะให้ดีพี่อยากให้ลางาน ไม่ต้องไปทำสักพัก” ดอกเตอร์หันมาบอกกับผม ทำให้ผมนึกขึ้นได้

    “จริงสิ ผมขอตัวสักครู่” ผมกลับเข้าห้องไป และกลับมาใหม่พร้อมสมุดโน้ตในมือ

    “มีอะไรรึเปล่า?” ดอกเตอร์ถามหลังจากผมนั่งลงที่เดิม

    “ผมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเยี่ยนหวอ แต่ผมอยากจะขอความช่วยเหลือ” ผมพูดออกมาตามตรง เพราะผมอยากจับคนที่ทำร้ายพี่ชุนให้ได้

    “ไม่ต้องขอความช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น”

    “แต่!!...พี่หยวนฮ่าง…”

    “ฟังพี่ก่อน ที่บอกว่าไม่ต้องขอความช่วยเหลือนั่นเพราะเรื่องนี้เยี่ยนหวอได้ยื่นมือเขาไปแทรกแซงเรียบร้อยแล้ว”

    “ตั้งแต่ตอนไหน”

    “ก็ตั้งแต่ป๊าบินมาที่นี่นั่นแหละ” ป๊าเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนหันไปรับซองเอกสารจากหยวนหยางส่งมาให้ผมอ่าน

    “เอกสารแต่งตั้ง?” ผมกวาดตาอ่านข้อความในเอกสาร “คิม วุกแจ?” ในนั้นยังมีชื่อของคนที่อยู่ในทีมสืบสวนที่ 1 และ 2 ของผานกู่และตู้เห่ารวมอยู่ด้วย “ท่านรองคิม เป็นคนของเยี่ยนหวออย่างนั้นเหรอ?” ผมถามหลังจากอ่านเอกสารจบ

    “จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ก็ไม่” ผมฟังคำพูดของป๊าแล้วก็งงไปหมด แล้วเอกสารราชการนี่ ป๊าไปได้มาได้ยังไง

    “เฟ่ยซาน ป๊าไม่ใช่คนของเยี่ยนหวอ เหมือนม๊า กับพี่ พวกเรากับเยี่ยนหวอคือเครือญาติที่พร้อมจะช่วยเหลือกัน ไม่มีใครเป็นคนของใคร และไม่มีใครต้องรับคำสั่งใครอย่างที่คนนอกเข้าใจทั้งนั้น”

    “เรื่องนั้นพี่เคยเล่าให้ผมฟังแล้ว แต่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”

    “ป๊าก็คือคิม วุกเจ ท่านรองคิมที่เฟ่ยซานเอ่ยถึงเมื่อกี้ก็คือป๊ายังไงล่ะ” ป๊าจบก็หัวเราะดังลั่น ส่วนผมได้แต่ก้มหน้ารู้สึกอายจะไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “มีอย่างที่ไหน พ่อของแฟนตัวเองชื่ออะไรยังไม่รู้” ประโยคสุดท้ายนี่ผมแทบอยากจะลุกหนีไปจากตรงนี้

    “ป๊า พอได้แล้ว เดี๋ยวถ้าแฟนผมกลัวจนหนีหายไป ป๊าต้องรับผิดชอบนะ”

    “เอาๆๆ ไม่ล้อแล้ว เฟ่ยซานก็อย่าถือสาป๊าเลยนะ นานๆ ทีจะได้เห็นไอ้ลูกหน้าตายมันเปลี่ยนสีหน้าบ้าง”

   “ครับ”

   “แล้วนี่เอาข้อมูลอะไรมาล่ะ ถึงต้องให้เยี่ยนหวอช่วย” ป๊าถามหลังจากหยุดหยอกล้อผมแล้ว

   “ครับ นี่เป็นข้อมูลที่ผมพยายามรวบรวมเท่าที่ผมมี แต่มีบางเรื่องที่ติดขัดผมเลยอยากให้ช่วยสืบ”

   “อืม”

   จากนั้นทุกคน รวมทั้งฟงหลิงและหยวนหยางก็เข้ามาฟังเรื่องที่ผมสรุปและจดออกมาคร่าว ๆ เมื่อคืน ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับพี่ชุน

   “จากทั้งหมดนี้ ผมยอมรับว่าบางเรื่องมันมาจากสัญชาตญาณและการคาดเดาของผม ไม่มีหลักฐานอะไรที่เชื่อมโยงเรื่องราวคนพวกนี้ได้”     

   “อืม ตาแหลมเหมือนกันนะไอ้ลูกชาย” หลังผมพูดจบป๊าก็พูดดอกเตอร์ แถบยังยิ้มชอบใจเสียอีก

   “หึ”

   “จากที่อาชุนสืบมาได้ วันที่คุณหนานเจอกับหวงกังโหที่โรงแรม มันกำลังซื้อขายอาวุธกับพวกไหว่ยี่” ฟงหลิวพูดถึงข้อมูลที่ผมไม่เคยได้รู้

   “ผมพอรู้จากพี่กู่ว่าพี่ชุนได้รับมอบหมายให้ไปสืบเรื่องคนที่ชื่อไหว่ยี่”

    “ไหว่ยี่เป็นแก๊งส์ค้าอาวุธข้ามชาติ ก่อตั้งโดยจุ้ยอั้ยเต๋อและพรรคพวก แต่เมื่อ 20 กว่าปีก่อนพวกไหว่ยี่ถูกตำรวจกวาดล้างไปจนหมด ไม่คิดว่าจะมีบางส่วนเหลือรอดมาจนทุกวันนี้” ป๊าอธิบายเสริม

   “ในห้องทำงานของฉินหรุยกวงพบสมุดจดเหมือนโค้ดอะไรสักอย่างของพวกไหว่ยี่ แสดงว่าฉินหรุยกวงก็เป็นคนของพวกมัน”

   “ใช่ ฉินหรุยกวงเป็นคนลักลอบนำเข้าอาวุธพวกนั้น โดยซุกซ่อนมากับสินค้าที่นำเข้ามา”

   “ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ทำไมเกาอี้กับโย่วซินหรูถึงต้องร่วมเมื่อกันวางระเบิดรถบัสเพื่อทำลายชื่อเสียงคนอย่างฉินหรุยกวง”

   “ฉินหรุยกวงเคยเปิดบริษัทฯ ให้เช่ารถแท็กซี่ และเกาเจินกุยพ่อของเกาเจี๋ยเคยทำอยู่ ดูเหมือนเกาเจี๋ยจะไปรู้อะไรบางอย่างถึงได้ถูกฆ่าปิดปาก ”

   “ป๊ารู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ ทางตำรวจยังไม่รู้เลย”

    “ที่ตำรวจไม่รู้เพราะไม่ได้สืบลึกไปถึงเรื่องของแก๊งส์ไหว่ยี่ยังไงล่ะ ในช่วงเวลานั้นมีคนถูกฆ่าปิดปากไม่ใช่เฉพาะเกาเจินกุยเท่านั้นนะ เหยื่อของทุกคดีล้วนเกี่ยวข้องกับฉินหรุยกวงทั้งนั้น”

   “แล้วทางการเอาผิดเขาไม่ได้เลยเหรอครับ”

   “ลักษณะการเสียชีวิตส่วนใหญ่ มักเป็นอุบัติเหตุ อีกทั้งเกิดในหลายๆ พื้นที่ เจ้าหน้าที่ในตอนนั้นจึงปิดคดีไปโดยไม่ได้ตรวจสอบอะไรลึกซึ้งนัก”

    “ถ้าอย่างนั้น ทั้งคดีของผม คดีรถบัสระเบิด รวมทั้งคดีของ” ผมหันไปมองหน้าดอกเตอร์เล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ต้วนเจียจง ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับแก๊งไหว่ยี่”

   “ใช่ เจี่ยจงเป็นคนของพวกนั้นจริงๆ” ดอกเตอร์พูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนผมเดาอารมณ์อีกคนไม่ออก
   
   “ถ้าป๊าคาดการณ์ไม่ผิด ดคีฆ่ารัดคอที่ยังปิดไม่ลงก็น่าจะเกี่ยวของกับไหว่ยี่ไม่มากก็น้อย”

   “ผมยังไม่เห็นความเชื่อมโยงของคดีเลย ว่าจะเกี่ยวกับพวกไหว่ยี่ตรงไหน” ผมถามออกไปอย่างสงสัย

   “สองศพสุดท้ายยังไงละ”

   “หวงกังโห กับเผิงฉินฉิน?”

   “ใช่ หยวนฮ่างพบคนที่น่าสงสัยบนเรือ แล้วยังเจอคนคนนั้นแถวๆ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่เฟ่ยซานกับหยวนฮ่างไปเปิดตัวกล่องสำริดอีก”

   “ขอโทษครับป๊า ผมตามไม่ทัน” สิ่งที่ป๊าพูดมันเกี่ยวกันตรงไหน

   “มีคนติดตามคุณหนานตั้งแต่อยู่บนเรือครับ อาชุนไม่อยากบอกให้คุณตกใจ แต่พวกเราสันนิษฐานว่า คนคนนี้น่าจะจำได้ว่าคุณไปเห็นการซื้อขายระหว่างหวงกังโหกับไหว่ยี่เข้า และคุณยังเป็นคนที่เข้าไปแอบถ่ายรูปฉินหรุยกวงกับเยี่ยนจูเฟิงอีกด้วย”

   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคดีฆ่ารัดคอ” ผมหันไปถามฟงหลิวที่เป็นคนอธิบายซะยาวยืด แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

   “พวกนักฆ่า หากเสพติดการฆ่าคนแล้ว เมื่อไม่ได้รับคำสั่งให้ไปจัดการใคร มันก็จะดิ้นรนหาเหยื่อด้วยตัวเอง”

   “พี่หยวนฮ่างกำลังจะบอกว่า นักฆ่าที่ทำร้ายพี่กู่บนเรือ คือฆาตกรต่อเนื่องในคดีฆ่ารัดคออย่างนั้นเหรอ”

   “มีความเป็นไปได้มาก เพราะหวงกังโหรู้จักคนของไหว่ยี่ และกำลังหลบหนีตำรวจอยู่ พวกนั้นยังไงก็ต้องจัดการฆ่าปิดปากอยู่แล้ว  ส่วนเผิงฉินฉินนั้นลอบหลบหนีออกมาจากโกดังของเจียจง ถ้าเธอหนีออกมาแจ้งตำรวจได้ โกดังนั่นก็จะถูกเปิดโปง”

   “ไหน ๆ ก็ต้องกำจัดคนพวกนั้นอยู่แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่โรคจิตอย่างมันคิดจะเล่นสนุกกับเหยื่อ”

   “หลิวฟงบอกว่า มีคนตามผม คนคนนั้นใช่ฆาตกรต่อเนื่องนั่นไหม?”

   “พวกเรายังไม่แน่ใจครับ ที่แน่ใจคือไอ้หมอนั่นน่าจะเป็นคนฆ่าอาชุน เพราะกระสุนที่หน้าอกนั่น ยิงตัดขั้วหัวใจพอดี หวังให้ตายทันที”

   “พวกคุณเลยคิดว่าการที่มันลงมือโหดเหี้ยมกับพี่ชุนแบบนี้ มันน่าจะเป็นคนคนเดียวกับฆาตกรต่อเนื่องนั่น”

    “ดูจากรายงานชันสูตรศพของฉินฉินที่ป๊าเพิ่งได้รับเมื่อเช้า จากบาดแผลที่คอ ทางฝ่ายวิเคราะห์พฤติกรรมบอกว่า มันกำลังโกรธจึงแสดงออกด้วยการรัดคออย่างโหดเหี้ยม เช่นเดียวกับศพของหวงกังโห ต่างกันที่ หวงกังโหตายแล้วค่อยรัดคอ แต่สำหรับฉินฉิน เธอถูกรัดคอตอนที่เธอยังมีสติอยู่”

   ฟังจากที่ป๊าเล่า ทำให้ผมรู้สึกไม่ได้เลย มันหดหู่ สงสาร เด็กตัวแค่นั้นต้องมาเจออะไรที่ไม่สมควรจะเจอแบบนี้

   “เฟ่ยซาน” ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ทำให้ผมพึ่งรู้สึกตัวว่าทุกคนกำลังมองมาที่ผม “วางมือจากเรื่องนี้ซะ”

   “เชื่อหยวนฮ่างเถอะ วางมือจากคดีพวกนี้ซะ ที่เหลือป๊าจัดการเอง”

    “แต่”

    “ไม่เชื่อฝีมือป๊าอย่างนั้นเหรอ?”

    “มะ ไม่ใช่ครับ ผมเพียงแต่อยากช่วย”

    “ตอนนี้การอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ถือเป็นการช่วยงานป๊าแล้ว อย่าลืมนะว่าพวกมันกำลังตามดูเราอยู่”

    “แล้วคนที่ตามผมอยู่เป็นใครเหรอครับ?”

    “เพื่อนของคุณหนานที่เจอในร้านกาแฟ แถวๆ พิพิธภัณฑ์สภานแห่งชาติครับ” หยวนหยางตอบ

   “อาเต๋อ? อาเต๋อเขาเป็นแค่พนักงานรักษาความปลอดภัยเท่านั้น เขา...เป็นคนของไหว่ยี่อย่างนั้นเหรอ?”

   ตอนแรกผมกำลังที่จะตั้งท่าเถียง หากมานึกขึ้นได้ว่า ผมเองก็ไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกับอาเต๋อมากนัก อีกทั้งพวกขบวนการค้าอาวุธคงไม่มีใครเอาป้ายมาแขวนคอบอกว่าตัวเองขายอาวุธหรอก ทำให้ประโยคหลังของผมแผ่วลงไปในที่สุด

   “ตอนนี้ก็อยู่บ้าน พักผ่อน ส่งเรื่องลางานกับที่สำนักพิพม์ด้วย” ป๊าพูดพร้อมทั้งลุกขึ้นยืน หยวนหยางและฟงหลิวก็ลุกขึ้นตาม “อันนี้ป๊าขอยึดไว้ก่อน” ป๊าก้มลงมาหยิบสมุดโน๊ตของผม “แกก็ดูแลแฟนให้ดี ๆ นะ ที่เหลือป๊าจัดการเอง อ่อ!! บอกอาเถิงด้วย เรื่องไหวยี่ ป๊าคงต้องยื่นมือเขาไปสอดแล้ว”

    “อืม เดี๋ยวผมโทรบอกให้”

   จากนั้นคนทั้งสามก็เดินออกจากบ้านไป ภายในห้องรับแขกจึงเหลือแต่ผมกับดอกเตอร์เพียงสองคน

    “ทำไมไม่เอาข้าวต้มมาอุ่นกิน พี่ทำไว้ให้ตั้งแต่เช้า เก็บอยู่ในตู้เย็น”

    “หา?”

    “ก็เรากินบะหมี่สำเร็จรูปไม่ใช่เหรอ เที่ยงนี้น่ะ”

    “พี่รู้ได้ยังไง?”

    “กลิ่น”

    “ผมไม่เห็นได้กลิ่นเลย”

   ดอกเตอร์ยิ้มให้ก่อนเอามือโยกหัวผมไปมา ผมรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าเขายิ้มบ่อยขึ้น




To Be Continued

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1296
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
รอติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
42








    หลังจากรายงานตัวและประชุมเพื่อรายงานผลของคดีเสร็จเรียบร้อย ท่านรองคิมก็ตั้งทีมพิเศษขึ้นเพื่อรับผิดชอบคดีนี้ โดยมีผานกู่ ตู้เห่า เหยินหยางผิง ชิวกัมหง และเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิเศษอีกสองคนที่จะเดินทางมาถึงที่สถานีบ่ายนี้

    ตอนนี้พวกเขา 4 กำลังรวบรวมข้อมูลของคดีที่ท่านรองคิมสั่งให้หาและทำการสรุปมารายงานด่วนภายในวันนี้ ซึ่งพวกเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าคดีเหล่านี้มันเกี่ยวข้องอะไรกัน

    “ฉันได้รับบันทึกคดีอุบัติเหตุรถค่ำมาแล้วนะ” ตู้เห่าโบกเอกสารที่พึ่งปริ้นส์ออกมาสดๆ ร้อน ๆ พร้อมตะโกนบอกคนในทีม “เอาเจ้าหมี” ชิวกัมหงรับมาทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าจากเอกสารที่อ่านอยู่

    “หยางผิง นายได้เอกสารคดีคนจมน้ำรึยัง”

    “ก็อยู่บนโต๊ะนายไง เอาไปให้แล้ว คุ้ยๆ ดู อยู่บนนั้นนั่นแหละ” เหยินยางพิงที่กำลังยุ่งอยู่บ่นทั้งที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานของตัวเอง

    ชิวกัมหงควานหาอะไรบนโต๊ะ เมื่ออ่านเอกสารจบก็ตรงไปพลิกไวน์บอร์ดกลับมาสู่ด้านที่ว่างอยู่อย่างรวดเร็ว จนคนให้ห้องถึงกับต้องหยุดงานในมือเพื่อมองไปที่เขา

    “นายเจออะไร” ผานกู่เดินไปยืนดูชิวกัมหงขีดๆ เขียน ๆ ตัวหนังสืออยู่บนกระดาน ดูเหมือนจะเป็นรายชื่อของเหยื่อ และผู้เสียหายในคดี

    “นี่ นี่ นี่” ชิวกัมหงวงชื่อต่าง ๆ ในแต่ละคดี “และนี่ 4 คนนี้เคยทำงานให้กับบริษัทฯ ที่ฉินหรุยกวงเป็นเจ้าของ”

    “เฮ้ย มันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น” เหยินหยางผิงที่เดินมาสมทบกับผานกู่ทันทีที่ได้ยิน

    “มันอาจจะไม่ใช่ความบังเอิญก็ได้ พวกนายดูนี่ คดีสุดท้ายที่ท่านรองคิมให้หา” ตู้เห่านำเอกสารที่เพิ่งปรินส์ออกมาเดินมาสมทบพวกเขาแล้วยื่นมาให้

    “อุบัติเหตุรถแท็กซี่ ผู้เสียชีวิต...เกาเจินกุย” เหยินหยางผิงอ่าน

    “ใช่ เกาเจินกุย พี่ชายของเกาอี้ผู้สมรู้ร่วมคิดกับโย่วซินหรูในคดีวางระเบิดรถบัส เขาเคยทำงานที่บริษัทให้เช่ารถแท็กซี่ของฉินหรุยกวง” ตู้เห่าตอบ

    “แล้วเหยือรายอื่นละ สถานที่ทำงาน” ผานกู่ถาม

    “เดี๋ยวฉันจะตรวจสอบบริษัทฯ ที่พวกเขาทำงาน”
ชิวกัมหงรีบเดินกลับไปนั่งยังโต๊ะของตัวเองทันที เพื่อเช็คดูว่าเหยือรายอื่นๆ เกี่ยวข้องกับฉินหรุยกวงหรือไม่ พวกเขาที่เหลือจึงแยกย้ายกันไปทำงานตามเดิม ผานกู่ยังไม่ทันจะเดินถึงโต๊ะก็มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาสองคนพร้อมกับกล่องเอกสารในมือ   

    “ท่านรองคิมให้ผมเอามาให้ครับ” ผานกู่และตู้เห่าจึงเดินไปรับ เมื่อวางบนโต๊ะประชุมตรงกลางห้องแล้วจึงเปิดดู

    “นี่มันอะไร?” ตู้เห่าพูดขึ้นอย่างสงสัย เรียกสายตาทุกคนให้เงยหน้าขึ้นมอง ซึ่งเขาเองก็สงสัย

    ภายในกล่องที่เขาเปิดดูเป็นแฟ้มคดีที่พวกเขาเพิ่งทำผ่านไปไม่นาน ทั้งคดีที่หนานเฟ่ยซานโดนทำร้าย คดีอุบัติเหตุไฟฟ้ารั่วที่ผับของหวงกังโห คดีที่ฉินหรุยกวงถูกทำร้ายจนเสียชีวิต คดีไฟไหม้ห้องพักแห่งหนึ่ง และยังมีคดียิบย่อยอีกหลายคดี

    “กล่องนี้มีแต่คดีเก่าที่พวกเราเพิ่งทำไป” ผานกู่เอ่ยขึ้น

    “กล่องนี้ก็เหมือนกัน นี่ คดีรถบัสระเบิด” ตู้เห่าวางแฟ้มลงบนโต๊ะ “นี่ คดีคนหาย”

    “หรือท่านรองต้องการตรวจสอบการทำงานของพวกเรา” เหยินหยางผิงเดินเข้ามาล้อมที่โต๊ะกลางอีกคน พร้อมทั้งหยิบแฟ้มคดีหนึ่งในกล่องออกมาเปิดอ่าน

    “ผมไม่มีเวลามาตรวจสอบการทำงานของพวกคุณหรอกนะ” เสียงเปิดประตูตามมาด้วยเสียงของท่านรองคิม

    พวกเขาทั้ง 4 ต่างยืนตรงทำความเคารพท่านรองคิมที่เพิ่งจะเดินเข้ามาพร้อมกับชายอีกสองคน ที่พวกเขาพอจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง

    “ท่านรอง สองคนนั่น?” ตู้เห่าถามขึ้นเพราะเขาเคยเห็นสองคนนั่นที่โรงพยาบาล อีกทั้งดูเหมือนจะเป็นคนที่ติดตามหนานเฟ่ยซานอยู่ในช่วงนี้

    “นี่เจ้าหน้าที่พิเศษหยวนหยาง และเจ้าหน้าที่พิเศษฟงหลิว”

    “ผมเคยเห็นพวกคุณอยู่กับเฟ่ยซาน” ผานกู่ถามออกมาทันทีที่ท่านรองคิมแนะนำคนทั้งสองเสร็จ

    “พวกเราได้รับหมอบหมายให้ตามคุ้มกันคุณหนาน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของพวกคุณถอนกำลังแล้ว จากคดีที่คุณหนานถูกทำร้ายที่โรงแรม”

    “ทำไมยังต้องคุ้มกัน ในเมื่อหวงกังโหก็ตายไปแล้ว”

    “เรามานั่งคุยกันดีกว่า อย่ายืนคุยกันอยู่อย่างนี้เลย” ชิวกัมหงที่เดินมาสมทบห้ามขึ้นเมื่อเห็นผานกู่เริ่มไม่สบอารมณ์ เพราะสิ่งที่เจ้าหน้าที่พิเศษเอ่ยนั้นไม่ต่างอะไรกับการก้าวก่ายงานที่พวกเขารับผิดชอบอยู่
เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว คำถามมากมายก็เกิดขึ้น รวมทั้งสาเหตุที่ต้องรื้อคดีเก่าขึ้นมาอีกด้วย หากแต่คำถามทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษทั้งสองคนตอบได้หมดจนคลายข้อสงสัย

    “ผมขอถามข้อสุดท้าย พวกคุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” ผานกู่ที่สงสัยว่าคนพวกนี้พึ่งเข้ามารับหน้าที่ได้เพียงวันเดียวกับมีข้อมูลมากกว่าพวกเขาที่ตามคดีกันมาเป็นแรมเดือน

    “นั่นเป็นเพราะพวกเราตามทำคดีไหว่ยี่มานาน และคดีทั้งหมดนี่เกี่ยวข้องกับพวกแก๊งส์ไหว่ยี่”

    “ผมเข้าใจแล้ว” ผานกู่คลายความสงสัยลง และที่คนพวกนี้ต้องตามคุ้มกันหนานเฟ่ยซานคงเป็นเพราะผู้ต้องสงสัยอีกฝ่ายคือพวกไหว่ยี่ที่ยังไม่สามารถจับกุมได้นั่นเอง

    “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น เราก็เริ่มลงมือทำงานกันได้ หยวนหยาง ผานกู่ พวกนายสองคนไปเกาลูน ตามจับต้วนเจียจงมาให้ได้ ผมประสานงานเจ้าหน้าที่ท้องที่ให้แล้ว ไปเอาตัวมันกลับมาให้ได้ภายในสองวัน ฟงหลิวนายไปกับเหยินหยางผิง ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเมื่อคืนนี้อีกครั้ง ชิวกัมหง นายไปสืบหาคนที่ชื่ออาเต๋อ ระวังตัวด้วย อาเต๋ออาจจะเป็นคนเดียวกันกับที่ทำร้ายผานกู่บนเรือ ส่วนตู้เห่า ไปตรวจสอบมาว่าผู้หญิงที่อยู่ในรูปถ่ายเป็นใคร มีความสัมพันธ์กับเยียจูเฟิงยังไง”

    เมื่อท่านรองคิมสั่งการเสร็จทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย   

.........................................................................

     หลังจากที่ได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ออกมาจากห้องนอน เขาเห็นหนานเฟ่ยซานนั่งอยู่กับพื้น โดยอาศัยโต๊ะกลางของชุดรับแขกเป็นโต๊ะทำงาน หนานเฟ่ยซานกำลังตั้งใจอ่านบทความอะไรสักอย่างบนหน้าจอโน้ตบุ๊ค

    “ทำอะไรอยู่” เขาเดินไปนั่งที่โซฟาด้านหลังของหนานเฟ่ยซาน พร้อมทั้งโน้มตัวไปข้างหน้าให้ศีรษะอยู่ระดับเดียวกันกับอีกคน

    “พี่หยวนฮ่างตื่นแล้วเหรอ” เฟ่ยซานหันจากจอมาถามเขา เขาจึงเอาคางเคยไว้ที่ไหล่ของอีกคน

    “อืม อ่านอะไรอยู่ ยังไม่ได้ตอบพี่เลย”

    “อีเมลจากจีเจียน”

    “งาน?”

    “ไม่ใช่ ในเมลจีเจียนบอกว่าทำโทรศัพท์ตกแล้วหน้าจอแตก ผมเลยคุยกับเขาผ่านช่องแชทในอีเมล”

    “แล้วลางานกับบก. แล้วใช่ไหม?”

    “อืม โทรไปลาแล้ว บก.ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

    “ดีแล้ว หิวรึยัง?” อีกคนส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    “พี่หยวนฮ่าง ผมรู้สึกแปลกๆ”

    “เรื่องที่ต้องมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ?”

    “ไม่ใช่ ข้อความจากจีเจียนต่างหาก”

    “แปลกยังไง?”

    “พี่ดูนี่นะ”

    หนานเฟ่ยซานเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาให้ดู ตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งตอนเช้า มิสคอลของโฮวจีเจียนเกือบ 20 สาย ดูเหมือนว่าอีกคนจะร้อนใจเรื่องอะไรสักอย่าง

    และอีกแอพพลิเคชั่น ข้อความผ่านแชทพยายามถามว่าหนานเฟ่ยซานอยู่ที่ไหน ทำอะไร เหตุใดถึงไม่รับสาย อีกฝ่ายต้องการจะปรึกษาเรื่องของ ‘ฉี่เยว่’

    “ฉี่เยว่?”

    “แฟนของจีเจียน ช่วงหลังๆ นี้เธอดูเหมือนจะไม่มั่นใจในตัวจีเจียน ผมเลยแนะนำให้จีเจียนพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอในอนาคต เพราะจีเจียนไม่เคยพูดคุยเรื่องนี้กับแฟนตัวเองเลย”

    “นอกจากเป็นนักข่าว นักสืบ แล้วยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านความรักอีกอย่างนั้นเหรอ?”

    “ไม่ใช่สักหน่อย พี่หยวนฮ่างอย่างเพิ่งนอกเรื่องสิ”

    “อืม”

    “แล้วพี่ลองอ่านข้อความในแชทสิ”

    เขาไล่สายตาอ่านข้อความในแชท เมื่ออ่านไปจนสุดหน้าจอเขาก็เอื้อมมือไปขยับเม้าท์ กลายเป็นว่าคางของเขาเกยอยู่บนไหล่ซ้ายของอีกคน มือขาวขยับเม้าท์ไล่อ่านข้อความไปเรื่อย ๆ

    “พี่หยวนฮ่าง…”

    “หืม…”

    “เอ่อ ผมอึดอัด” เขาสังเกตเห็นใบหูแดงๆ ของอีกฝ่าย จึงเลิกกลั่นแกล้งหนานเฟ่ยซาน

     “เขาอาจจะเจอแฟนของเขาแล้วก็ได้” เขาตอบหลังจากอ่านข้อความจบ จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นมานั่งพิงพนักโซฟา

    “ผมว่ามันแปลก ๆ ตอนที่โทรไปคุยกับบก. เขายังบ่นจีเจียนอยู่เลย บก. บอกว่าจีเจียนเข้าไปที่สำนักงานเมื่อเช้านี้ ก็เอาแต่ตามหาผม เหมือนมีเรื่องอะไรสักอย่าง”

    “อืม”

    “แต่จากข้อความแชทผ่านอีเมลกลับไม่มีเรื่องของฉี่เยว่เลย ถ้าได้เจอหรือคุยกันแล้ว ถ้าเป็นจีเจียนน่ะเหรอ คงต้องรีบคุยโวไปแล้ว”

    “แล้วเราสงสัยอะไร?”

    “ผมกลัวว่าคนใกล้ตัวผมจะได้รับผลกระทบไปด้วย ถ้าอาเต๋อคอยตามผม เขาก็อาจจะเคยเห็นจีเจียนอยู่กับผม”

    “ได้ลองโทรหาเขารึยังล่ะ?”

    “โทรแล้ว แต่จีเจียนไม่รับสาย แค่หน้าจอแตก อย่างมากก็ไม่รู้ว่าใครโทรเข้ามาเท่านั้น โทรศัพท์ไม่ได้พังสักหน่อย”

    “ลองวิดีโอคอลไปสิ”

    “จริงด้วย” หนานเฟ่ยซาน กดเรียกสายวีดีโอคอล โดยขยับโน้ตบุ๊คไม่ให้ติดใบหน้าเขาเข้าไปในเฟรมภาพ เรียกสัญญาณไม่นาน ภาพชายใบหน้ากลม ติดจะท้วมก็ปรากฎขึ้น “จีเจียน ขอโทษอีกทีนะ ฉันเพิ่งชาร์ทแบตโทรศัพท์นะ”

    “อืม ไม่เป็นไร” ภาพด้านหลังของโฮ่วจีเจียนเป็นผ่านม่านเนื้อดี ที่ดูแล้วมีราคานั่นทำให้เหมิ๋นหยวนฮ่างขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อย เขามีรางสังหรณ์แปลกๆ

    “นายได้คุยกับฉี่เยว่แล้วเหรอ”

    “ฉะ ฉันเลิกกับเธอแล้ว”

    “อะ อ่าว...เอ่อ… นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” น้ำเสียงของเฟ่ยซานดูจะเห็นใจเพื่อนไม่น้อย

    “อืม ไม่เป็นไร เอ่อ...นายออกมาหาฉันหน่อยได้ไหม?”

    “ฉันรู้ว่านายกำลังรู้สึกไม่ดี เอาอย่างนี้ดีไหม เดี๋ยวเราไปเจอกันที่สำนักงาน อย่างน้อยนายได้ทำงาน จะได้ไม่คิดฟุ้งซาน”

    “เอ่อ… ฉัน...ไม่อยากเข้าไปที่สำนักงาน นายมาหาฉันหน่อย ฉันอยากมีเพื่อนคุย”

    “ให้ฉันไปหาที่บ้านไหม?”

    “ไม่ๆๆ” คนในจอรีบปฏิเสธอย่างมีพิรุธ “นายมาเจอฉันที่สวนสาธารณะได้ไหม”

    พรึบ!! เหมิ๋นหยวนฮ่างพับหน้าโน๊ตบุ๊คลงทันที

    “พี่หยวนฮ่าง ทำอะไร? ผมยังคุยกับจีเจียนอยู่นะ”

    “ห้ามออกไปไหน อยู่แต่ที่บ้าน เดี๋ยวพี่ไปรับเขามาหาเราที่นี่ รับปากพี่”

    “อืม” ถึงหนานเฟ่ยซานจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจนว่างงกับการกระทำของเขา แต่ก็รับปากเขาโดยดี

    “บอกกับเขาว่าจะไปตามนัด ไม่ต้องพูดอะไรนอกจากนี้”

    “จีเจียนต้องดีใจแน่ที่เจอพี่ เขาอยากสัมภาษณ์พี่มาตั้งนานแล้ว”

    หนานเฟ่ยซานยิ้มอย่างยินดีก่อนเปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คและต่อสัญญาณวิดีโอคอลอีกครั้ง หลังจากทั้งสองนัดแนะเวลาและสถานที่กันเรียบร้อย เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ปลีกตัวออกมาโทรศัพท์หาฝู่เถิงทันที


       
To Be Continued


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
43








          เมื่อสัญญาณจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ดับลง ภายในห้องก็เงียบสนิทอีกครั้งจนน่าอึดอัด ความหวาดกลัวที่มีอยู่แล้วกลับยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ โฮวจีเจียนไม่แม้แต่จะกล้ามองไปรอบ ๆ จนกระทั่งเสียงหวานที่คุ้นเคยได้เอ่ยขึ้น

          “เหลาเยีย จะให้จีเจียนไปที่สวนนั่นจริง ๆ เหรอ” ฉี่เยว่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เยียจูเฟิงถามขึ้น ทั้งยังแสดงท่าทางออดอ้อนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

          “ฉันคุ้น ๆ บ้านหลังนั้น เธอเงียบไปก่อน” คุณเยียเหมือนกำลังใช้ความคิด ทั้งยังปัดมือไม้ของฉี่เยว่ออกไปอย่างรำคาญ แต่เขากลับนึกอิจฉาถึงแม้จะไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ก็ตามที

          สิ้นคำพูดของเยียจูเฟิงทำให้ในห้องกลับเงียบลงอีกครั้ง โฮวจีเจียนนึกย้อนไปในขณะที่ถูกเลขาของคุณเยียพามานี่ ไม่ใช่เรื่องสัมภาษณ์อะไรอย่างที่เขาคิดไปเอง แต่ถูกตามตัวมาเพราะเรื่องของฉี่เยว่

          เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฉี่เยว่เป็น เมีย อีกคนของเยียจูเฟิง ไม่เคยมีข่าวเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิดเดียวว่านักธุรกิจชื่อดังผู้นี้มีบ้านเล็กบ้านน้อย หรือแม้แต่จะมีข่าวกับหญิงสาวคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของตน

          และสิ่งที่โฮวจีเจียนได้รู้ได้เห็นในวันนี้ ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ได้รู้ว่าคนอย่างเยียจูเฟิงไม่ใช่นักธุรกิจใสซื่อมือสะอาดอย่างที่แสดงออกไป ถึงแม้บางทีจะดูว่ามีเล่ห์เหลี่ยมบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เศษเสี้ยวแม้สักนิดจากที่เขาได้เห็นในวันนี้

          เขาเกือบจะจบชีวิตไปแล้วเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ถ้าหนานเฟ่ยซานไม่ได้โทรเข้ามาหาเขา ไม่รู้ว่าลูกกระสุนจะเจาะกระโหลกพาให้สมองไหลออกมาย่างสยดสยองเช่นไร แต่คิดก็หนาวสะท้านไปทั้งกาย

          โฮวจีเจียนไม่รู้เลยว่าเพื่อนของเขาอย่างหนานเฟ่ยซานที่วัน ๆ เอาแต่ทำข้าวนั้นข่าวนี้ไปเรื่อย จะไปทำอะไรให้คนผู้นี้ไม่พอใจ เยียจูเฟิงถึงเสนอทางรอดให้กับเขาโดยการนัดหนานเฟ่ยซานออกมาเจอข้างนอก

          “ฉันนึกออกแล้ว บ้านหลังนั้นเป็นของจุ้ยอั้ยเต๋อ” เยียจูเฟิงเอ่ยขึ้นมา ทำให้เขาหลุดออกจากความคิดฟุ้งซ่าน และถึงกับลอบเหลือบมองผู้พูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ซือหวู ไปที่ชุง ฮอม กอก”

          “ครับ” อีกคนก็ตอบง่ายๆ ไม่คิดจะถามหรือขยายความก็รู้กัน แบ้วหนานเฟ่ยซานไปอยู่ที่ ชุง ฮอม กอกได้ยังไง ไปบ้านใคร

          คนที่ชื่อซือหวูเดินมาเอาคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเขาไปทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของเขาหยุดลงอีกครั้ง สายตาเหลือบมองทุกคนที่ต่างทยอยกันเดินออกจากห้องไม่เว้นแม้กระทั่งฉี่เยว่

          โฮวจีเจียนพยายามส่งสายตาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอแทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ และยังปล่อยเขาทิ้งไว้ในห้องเพียงคนเดียว จนเวลาผ่านไปสักระยะ เขาจึงลองเดินไปที่ประตูห้อง ปรากฎว่ามันถูกล็อคจากด้านนอก เมื่อเดินไปดูที่หน้าต่าง ก็ไม่สามารถเปิดออกไปได้ เขาถูกขังให้อยู่ในห้องนี้ซะแล้ว ความหวังเดียวที่จะรอดไปจากที่นี่ได้คือหนานเฟ่ยซานเท่านั้น

.........................................................................

          ฉี่เยว่เดินตามหลังเยียจูฟิงมาติดๆ เธอรู้ดีว่าเขาโกรธเธอเรื่องของโฮวจีเจียนมาก เรื่องนี้จะไม่ถูกจับได้เลยถ้าไอ้อ้วนนั่นไม่กระหน่ำโทรมาหาเธอตลอดทั้งคืน

          “เหลาเยีย ยังโกรธฉันอยู่เหรอ”

          “ฉันให้เธอหาวิธีจัดการโฮวจีเจียน ถ้าเธอทำได้ ฉันจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

          เยียจูเฟิงพูดจบก็เดินเข้าห้องทำงานส่วนตัวไป ซึ่งห้องนี้หากไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่คุณนายเยียก็ไม่สามารถเข้าไปได้เช่นกัน เธอจึงต้องจำใจเดินกลับไปยังห้องนอนของเธอ

          เธอต้องหาวิธีกำจัดโฮ่วจีเจียนให้ได้ แม้ว่าเธอจะเห็นแก่ตัวสักแค่ไหน แต่เรื่องให้ไปฆ่าแกงใครนั้นเธอไม่รู้จะทำอย่างไรจริง ๆ แต่เพื่อที่เยียจูเฟิงจะได้กลับมารักและเอ็นดูเธอดังเดิม เธอคงต้องข่มความกลัวที่มีอยู่และคนที่เธอจะพึ่งพาได้คงมีแต่พี่ชายของเธอเท่านั้น เธอจึงรีบกดโทรศัพท์ไปหาต้วนเจียจงทันที

          “พี่ใหญ่”

          ‘เรื่องของเธอ พี่พอจะรู้แล้ว ก็ดีเหมือนกันที่เธอไปอยู่กับเหลาเยีย อย่างน้อยพี่จะได้ไม่เป็นห่วง’

          “ฉันโทรมาไม่ใช่เพราะเรื่องนี้”

          ‘เธอมีอะไร’

          “ฉันมีปัญหา ไอ้อ้วนนั่นมันดันโทรมาเมื่อคืน เหลาเยียเลยจับได้ว่าฉันแอบไปเที่ยวเล่นกับไอ้อ้วนนั่น”

          ‘ถ้าฉันเดาไม่ผิด ไอ้หมอนั่นน่าจะไม่รอด รวมทั้งเธอด้วย แล้วเธอจะทำยังไง’ น้ำเสียงของพี่ชายดูเป็นห่วงเธออย่างไม่ปิดบัง

          “บังเอิญว่าไอ้อ้วนนั่นดันเป็นเพื่อนกับคนที่เหลาเยียต้องการตัว”

          ‘ใคร?’

          “ได้ยินว่าชื่อ หนานเฟ่ยซาน”

          ‘อืม มันเป็นนักข่าว และมีรูปหลักฐานที่เหลาเยียอยู่กับคนของเขา’

          “หลักฐาน? เหลาเยียทำอะไร”

          ‘เธอไม่ต้องรู้หรอก’

          “เกี่ยวกับไหว่ยี่ใช่ไหม? อาเต๋อเคยบอกว่าพี่เองก็ถูกไหว่ยี่เพ่งเล็งอยู่”

          ‘เฮ้อ...เอาเป็นว่า เธอก็ทำตัวดี ๆ ก็แล้วกัน แล้วที่โทรมานี่ มีเรื่องอะไร ทำไมเหลาเยียถึงจะปล่อยเธอไว้’

          “เหลาเยียให้ฉันกำจัดไอ้อ้วน ถ้าฉันทำสำเร็จ เขาจะคิดเสียว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

          ‘เสี่ยวเยว่...เธอไว้ใจเหลาเยียไม่ได้หรอกนะ’

          “แต่...พี่ก็รู้ว่าฉันรักเขา”

          ‘คนอย่างเหลาเยีย เขาไม่รักใครนอกจากตัวเองหรอก’ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็เห็นกับตามาแล้ว ตอนที่เยียจูเฟิงรู้เรื่องโฮวจีเจียน เขาโกรธกระทั่งปาแก้วบรั่นดีในมือใส่หน้าเธอ จนเธอได้แผลที่ศีรษะมา

          “พี่ใหญ่…” เธอเอ่อยกับปลายสายเสียงเคลือ

          ‘พี่จะกลับมาเก๊าให้เร็วที่สุด เรื่องของไอ้อ้วนนั่น พี่จะจัดการให้เอง ตอนนี้อยู่บ้านเหลาเยียก็ระวังตัวให้ดี ทำตัวดีๆ เข้าไว้”

          “อืม พี่รีบกลับมานะ”

          ‘ได้ พี่จะรีบกลับ’

          เมื่อวางสายไปแล้ว ฉี่เยว่ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง คิดตามในสิ่งที่พี่ชายของเธอพูด แต่จะให้เธอตัดใจจากเยียจูเฟิงเธอก็คงทำไม่ได้

.........................................................................

          เมื่อถึงเวลาที่โฮวจีเจียนนัดกับหนานเฟ่ยซาน รอบๆ สถานที่นัดหมายกลับไม่พบนักข่าวร่างท้วมแม้แต่น้อย เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินสำรวจรอบ ๆ สวนสาธารณะ ก็พบเพียงแต่ผู้ที่ออกมาวิ่งออกกำลังกายยามเย็นเท่านั้น แต่ที่ผิดปกติคงจะเป็นนักวิ่งพวกนั้นมีผ้าปิดปากที่ไม่ค่อยจะเข้ากับชุดออกกำลังกายสีสันฉูดฉาดเท่าไรนัก

          เหมิ๋นหยวนฮ่างระวังตัวมาขึ้น เพราะคนน่าสงสัยพวกนั้น เขานับคร่าว ๆ มีราว ๆ 10 กว่าคนทีเดียว คนที่เตี๋ยส่งมาช่วยเขาก็อยู่ด้านนอกสวน ภายในมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดูเหมือนว่าหนานเฟ่ยซานคงจะถูกเพื่อนสนิทหักหลังอีกเป็นแน่

          เขารอโฮวจีเจียนอยู่ราว ๆ ชั่วโมง พวกนักวิ่งกำมะลอพวกนั้นก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่โดยรอบไม่ไปไหน เหมิ๋นหยวนฮ่างจึงคิดที่จะกลับไปหาหนานเฟ่ยซ่าน ยังก้าวไม่พ้นทางออกสวนสาธารณะแห่งนี้ เสียงสัญญาณเตือนจากโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น และยังไม่ทันได้ดูที่หน้าจอ พวกนักวิ่งกำมะลอก็เข้ามาสะกัดเข้าเสียก่อน ชายคนหนึ่งที่เตะเข้ามา ทำให้เขาตั้งกาดสกัดไม่ให้โดนใบหน้า ทำให้โทรศัพ์ที่อยู่ในมือข้างหนึ่งตกลงบนสนามหญ้าอย่างช่วยไม่ได้

          เขารับมือคนที่เข้ามาทำร้าย ซึ่งหลายคนที่เข้ามา เขาเห็นสังเกตเห็น คนเหล่านี้มักมาวนเวียนใกล้ๆ เขาหลายครั้ง และเพียงไม่นานคนของเตี๋ยก็เข้ามาช่วย ทำให้การทะเลาะวิวาทขยายเป็นวงกว้าง จนผู้คนที่มาออกกำลังกายจริง ๆ ถึงกลับหนีออกนอกสวนสาธารณะแห่งนี้กันแทบไม่ทัน

.........................................................................

          ดอกเตอร์ออกไปรับจีเจียนแล้ว ผมจึงเข้ามามาในห้องเขียนจดหมายลางานกับบก. ถึงจะโทรไปแจ้งแล้ว แต่เรื่องเอกสารก็ต้องทำตามหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเมื่อมันเป็นกฎของบริษัทฯ

          เมื่อผมเขียนจดหมายเสร็จก็แนบส่งไปทางอีเมล โดยไม่ลืมที่จะโทรไปกำชับกับบก. อีกครั้ง

          ‘ว่าไงเฟ่ยซาน’

          “บก. ครับ ผมส่งจดหมายลาไปทางอีเมลแล้วนะครับ หวังว่าผมคงไม่ถูกหักเงินเดือนตามหลังนะครับ”

          ‘รู้แล้วน่า พนักงานดีเด่นอย่างนาย ใครจะกล้าหักเงินเดือน ถ้าเป็นจีเจียนสิไม่ว่า’

          “วันนี้จีเจียนไม่ได้เข้าไปที่สำนักงานใช่ไหมครับ บก. ก็อย่างเพิ่งว่าเขาเลย เขาอาจจะมีเหตุจำเป็นบางอย่างก็ได้”

          ‘ใครว่าละ จีเจียนเข้ามาแล้วเมื่อเช้า มาตามหานายแค่ไม่ถึง 10 นาทีก็ออกจากสำนักงานไป จนป่านนี้หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ ผมโทรไปก็ไม่รับสาย โทรจนขี้เกียจจะโทรแล้ว’

          “โทรศัพท์ของจีเจียนมีปัญหาครับ ผมเพิ่งได้คุยกับจีเจียนเมื่อชั่วโมงสองชั่วโมงก่อนผ่านวิดีโอคอลทางอีเมล”

          ‘เอ่อๆ ยังไงถ้าไดคุยกันก็บอกให้มันโทรหาผมด้วย หายไปแบบนี้งานการที่สั่งให้ทำก็ไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว ผมจะให้คนอื่นทำแทนไปก่อน บอกจีเจียนด้วย’

          “ครับ เดี๋ยวค่ำนี้ผมเจอจีเจียนแล้วจะบอกเขาให้นะครับ”

          ผมไม่รู้ว่าจะสมน้ำหน้าหรือสงสารจีเจียนดี ที่หายไปเพียงไม่ถึงวัน บก.ก็บ่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็อย่างว่า จีเจียนชอบทำตัวไม่น่าไว้ใจเอง สงสัยว่าปลายปีนี้ เพื่อนคนนี้คงไม่ได้ปรับเงินเดือนเป็นแน่

          ผมปิดโน๊ตบุ๊คลง และตั้งใจว่าจะออกไปดูทีวีรอดอกเตอร์กับจีเจียนที่ห้องนั่งเลย ส่วนเรื่องทำอาหารเย็นรอนั่นลืมไปได้เลย ผมไม่ได้เก่งอย่างดอกเตอร์ที่ทำไปได้เสียอทุกอย่าง แถมเก่งไปเสียทุกเรื่อง

          ผมเดินไปยังห้องนั่งเล่น เหมือนจะได้ยินเสียงทีวีแว่ว ๆ มา เมื่อมาถึงก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่ มองจากด้านหลังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ที่แน่ ๆ คนคนนี้ไม่ใช่ดอกเตอร์

          “คุยงานเสร็จแล้วเหรอเฟ่ยซาน” ชายคนนั้นหันกลับมา ทำให้ผมเห็นว่านอกจากที่เขาจะมานั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่นอย่างสบายอารมณ์แล้ว เขายังกำลังถือถ้วยโจ๊ก และนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย โจ๊กที่ดอกเตอร์ทำให้ผมเมื่อเช้า

          “อาเต๋อ นะ นะ นายเข้ามาได้ยังไง”

          “ฉันก็แค่เดินเข้าประตูมา แล้วเดินสำรวจไปเรื่อย เห็นนายคุยงานอยู่เลยไม่อยากกวน ฉันกำลังหิวเลยไปหาอะไรกินที่ห้องครัว ไม่คิดว่าเจ้าของบ้านจะทำโจ๊กได้อร่อยขนาดนี้” ไม่พูดเปล่า อาเต๋อยังตักโจ๊กคำโตส่งเข้าปากโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไร

          “แล้วนายมีธุระอะไร?”

          “เพื่อนของนายกลัวว่านายจะเบี้ยวไม่ไปตามนัด เลยให้ฉันมารับ เพื่อนของนายคนนี้ช่างรู้ใจนายจริงๆ”

          “จีเจียน จีเจียนอยู่กับไหว่ยี่อย่างนั้นเหรอ!!”

          “หืม เฟ่ยซาน นายไม่คิดเหรอว่าเพื่อนของนายคือคนของไหว่ยี่”

          “ไม่ เป็นไปไม่ได้ จีเจียนไม่ใช่คนของไหว่ยี่ พวกนายจับตัวเขาไปต่างหาก” ผมพูดไปก็พลันนึกถึงความรู้สึกของดอกเตอร์ที่รู้ว่าเพื่อนสนิทอย่างต้วนเจียจงเป็นคนของไหว่ยี่ ดอกเตอร์คงมีความรู้สึกแบบนี้สินะ

          “ตามใจนาย นายจะไปถามเจ้าตัวเองก็ได้นะ เขาก็รอนายอยู่”

          “ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ไปละ?”

          “นายไม่ไป?”

          ”...” ผมไม่ตอบอาเต๋อ พยายามคิดถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด จีเจียนรอเขาอยู่แสดงว่าที่สวนสาธารณะนั่นต้องไม่มีใคร อีกไม่นานดอกเตอร์คงจะกลับมา

          “ก็ตามใจนาย”

          อาเต๋อไม่สนใจ ตักโจ๊กกินต่อ พร้อมกับหันไปดูรายการทีวีตรงหน้าอย่างกับว่ามันน่าสนใจเต็มประดา ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร นึกได้ว่าควรโทรหาดอกเตอร์ตอนนี้น่าจะดีที่สุด แต่โทรศัพท์ของผมดันลืมหยิบมาด้วย มันวางไว้บนโต๊ะทำงานในห้องนอนรวมกับโน๊ตบุ๊ค

          ผมคิดว่าอาเต๋อคงจะไม่สนใจผมจึงค่อย ๆ ขยับตัวช้าๆ หวังจะเข้าห้องไปหยิบโทรศัพท์ แต่ผมคิดผิด เพราะอาเต๋อไม่ได้มาคนเดียว เพียงผมก้าวไปข้างหน้าไม่ถึงก้าว ก็ถูกใครไม่รู้รวบตัวจากด้านหลังพร้อมกับผ้าที่มีกลิ่นฉุนถูกโปะลงบนจมูก

          ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนหมดสติ เป็นภาพของอาเต๋อที่ยังคงนั่งกินโจ๊กพร้อมกับดูทีวีไปด้วย โดยไม่แม้แต่จะหันมาสนใจมองผมสักนิดเดียว





To Be Continued



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด