[จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จีนโบราณ] เป็นผีลามก ช่างบัดซบยิ่งนัก! ตอน 28 คห. 108 [P.4, 20-12-2020]  (อ่าน 14170 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ Divansays

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
แวะมาดัน สนุกทุกตอนเลยจ้า รอนะๆ

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
แม้มิใช่สหาย แต่ก็ขอให้เจ้าตายดีเถิด



ระยะทางจากจวนผิงอ๋องและจวนสกุลจ้าวมิได้ห่างไกลกันเท่าไรนัก ข้าล่องลอยใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาก็โผล่มาถึงหน้าจวนของจ้าวซิ่นจงจนได้ ประตูจวนแม่ทัพปราบบูรพายามนี้ปิดตายแน่นหนา กระทั่งคนเฝ้ายามสักคนยังไม่มี ครั้นทะลุตัวเข้าไปภายในกลับพบเพียงความเงียบเหงา บ่าวไพร่ที่เคยครึกครื้นล้วนแต่เก็บตัวทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ของตนอย่างเงียบเชียบ



แต่ไหนแต่ไหนจวนสกุลจ้าวก็สงบเงียบไม่วุ่นวายกฎระเบียบมากมายจนเป็นที่ร่ำลือในเมืองหลวงอยู่แล้ว จ้าวซิ่นจงเคยแต่งภรรยาคนหนึ่งก่อนนางจะสิ้นใจตายขณะคลอดบุตรชายให้กับเขา หลังจากนั้นเขามิได้แต่งงานใหม่ แต่ยกอนุคนหนึ่งขึ้นมาเป็นภรรยารอง อนุผู้นี้เคยเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ของฮูหยินใหญ่มาก่อนจึงเจียมตัวดียิ่ง ซ้ำยังมีนิสัยสงบเสงี่ยมไม่ทะเยอทะยาน ด้วยรู้ตัวว่านายท่านยกนางขึ้นมานั้นก็เพียงเพื่อให้ช่วยเลี้ยงดูคุณชายน้อยเท่านั้น ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ามีจิตฝักใฝ่ศาสนาจึงบวชชีไปตั้งหลายปีก่อน ทุกวันนี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครในอารามชีห่างไกล เกรงว่าต่อให้บุตรชายสิ้นใจตายนางก็คงไม่สึกออกมากระมัง



ด้วยเหตุเหล่านี้ทำให้ที่ผ่านมาจวนแม่ทัพจึงเป็นระเบียบเรียบร้อยจนถึงขั้นน่าเบื่อหน่ายดียิ่ง หากยามนี้ที่ว่าเงียบอยู่แล้วกลับเงียบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก มองดูแล้วคงนึกว่านี่มิใช่บ้านคน แต่เป็นบ้านร้างของใครกระมัง



ข้าพุ่งตรงไปยังเรือนหลักอันที่เป็นที่พำนักของใต้เท้าจ้าวด้วยความร้อนใจอยู่สามส่วน เห็นภายในเรือนแทบไม่มีบ่าวรับใช้เลยสักคน หัวคิ้วพลันขมวดมุ่นเข้าหากันแน่นกว่าเดิม ยามไปถึงห้องนอนของจ้าวซิ่นจงกลับได้แต่ถอดถอนใจคล้ายเสียดายห้าส่วนเศร้าสร้อยอีกสองส่วน ร่างที่หลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงเบื้องหน้าข้าไหนจะเป็นเทพสงครามแม่ทัพปราบบูรพาผู้ห้าวหาญคนนั้นได้อีก



หากมองด้วยตาเปล่ามิได้รับรู้ว่าเขาเป็นใครมาก่อน คงจะคาดเดาไปว่าชายชราร่างผอมแห้งใกล้ตายวัยราวห้าสิบกว่าปีสักผู้นี้คือบิดาของแม่ทัพปราบบูรพา หากแต่บิดาของเขาสิ้นชีพไปหลายสิบปี จะมีใครหน้าไหนมาอาจหาญนอนบนเตียงแม่ทัพจ้าวได้กัน แม้ว่าผมข้างขมับยังเป็นสีขาวโพลนราวผู้เฒ่า แต่จากใบหน้าซูบตอบและขอบตาดำลึกโหลทั้งสองข้างยังคงเห็นเค้าลางบุรุษผู้องอาจของแผ่นดินจิ่วโจวอยู่บ้าง ทำให้ข้ามั่นใจได้ว่าคนผู้นี้คงเป็นจ้าวซิ่นจงไม่ผิดตัวเป็นแน่



ยิ่งข้าขยับเข้าใกล้ ยิ่งสัมผัสได้ว่าลมหายใจของจ้าวซิ่นจงแผ่วเบาคล้ายมีคล้ายไม่มีราวกับแสงตะเกียงชีวิตริบหรี่ใกล้ดับเต็มทีทั่วทั้งร่างมีเพียงกลิ่นอายแห่งความตายที่แพร่พุ่งมาจากทวารทั้งเจ็ด นี่จะหาไอหยางสักส่วนจากเขาคงยังมิได้เลยกระมัง มิใช่ว่าถูกไอหยินกัดกินเข้าจากภายในหรอกหรือ



บุรุษผู้มีธาตุหยางเต็มเปี่ยมสมเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแว่นแคว้นกลับต้องมามีสภาพเช่นนี้ย่อมมิใช่อาการเจ็บไข้ด้วยโรคภัยธรรมดาเป็นแน่ เกรงว่าจ้าวซิ่นจงไม่ต้องพิษถูกวางยาก็ถูกสูบหยางไปเสียมากกว่า หากแต่เป็นการดูดพลังที่ค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลานานหลายเดือนจึงดูคล้ายร่างกายเจ็บป่วยจนอ่อนแอลงเรื่อยๆ มิเหมือนคราวที่มารราตรีชาดและมารทิวาม่วงออกอาละวาดและสูบพลังผู้อื่นจนเหี่ยวแห้งตายภายในชั่วข้ามคืน



วิธีการแนบเนียนเช่นนี้คงต้องใช้เวลาเป็นปีจึงจะมีผู้สังเกตเห็นความผิดปรกติได้ จากที่ผิงอ๋องกล่าวว่าในเมืองหลวงยามนี้มีทั้งอ๋องทั้งขุนนางล้มตายอยู่ไม่น้อย หากตายด้วยวิธีการเดียวกันก็เห็นทีว่ามารร้ายที่สูบพลังหยางของผู้คนคงมิได้อาละวาดอยู่เพียงแค่แถบเมืองเจี้ยน แต่คงมาถึงที่นี่เข้าแล้วกระมัง



นอกจากมารราตรีชาดและมารทิวาม่วงที่ถูกข้าและไป๋เจี๋ยปราบไปเมื่อคราวก่อนแล้วยังจะมีมารตนอื่นอีกหรือ คราวนี้จะมีนามเป็นสีอันใดอีกเล่า...เหล่ามารพวกนี้มิรู้ว่าจิตว่างฟุ้งซ่านประการใด ยามคิดชื่อฉายาจึงช่างเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ดียิ่งถึงเพียงนี้



จ้าวซิ่นจงประสบคราวเคราะห์เช่นนี้ย่อมมิใช่แค่เรื่องบังเอิญเป็นแน่ ตัวเขาเป็นผู้ฝึกยุทธร่างกายบึกบึนน่าเกรงขาม หน้าตาหล่อเหลาดึงดูดเหล่าหญิงงาม พลังหยางจากร่างแม้มิเท่าผู้ฝึกเซียนแต่ก็สูงส่งกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่หลายส่วน แม้มิใช่ดอกไม้งามแต่ก็ย่อมล่อหมู่มวลภมรมารชั่วที่กระหายหาธาตุหยางได้เป็นแน่ แต่ไหนแต่ไหนคนอย่างแม่ทัพจ้าวเรียกว่าเป็นคนซื่อตรงจนเกินไป คนคงถูกแผนการชั่วอันใดเข้ากระมัง ยามนี้จึงได้นอนสลบไสลเป็นผีตายซากเช่นนี้



หากแผ่นดินจิ่วโจวยังมีผู้แซ่เยี่ยเป็นราชครูข้างกายฮ่องเต้ ไหนเลยจะปล่อยให้มารร้ายอาละวาดอย่างย่ามใจได้ถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นมารราตรีชาด มารทิวาม่วง หรือมารสารพัดสีอื่นใดมีหรือจะรอดพ้นจากฝีมือของข้าไปได้ แต่เวลานี้จะว่ากล่าวสิ่งใดก็คงสายเกินไปแล้วกระมัง เยี่ยอู๋จวินพ้นหน้าที่ราชครูสิ้นใจตายไปแล้วยังจะสามารถพูดจากล่าวอ้างสิ่งใดได้อีก



ข้าแตะหลังมือแห้งซูบของจ้าวซิ่นจงก่อนจะถ่ายเทพลังไปสายหนึ่งเพื่อช่วยต่อชีวิตให้กับคนเบื้องหน้า แม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์สนิทสนมจนเป็นสหาย หากกว่าครึ่งค่อนปีที่อยู่ในแคว้นจิ่วโจวเขาก็ถือเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ไม่น้อย ก่อนที่ข้าจะตายได้ไม่กี่วันภายในงานเลี้ยงยังได้มีโอกาสชมดอกไม้ร่ำสุราร่วมกับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ รุ่ยชินอ๋องและแม่ทัพจ้าว ยามนี้ข้าและรุ่ยชินอ๋องตายเป็นผี คนสกุลจ้าวขาหนึ่งก้าวลงปรโลกไปเสียแล้ว มิรู้ว่าคนในวังหลวงนั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง คงยังไม่ถูกมารร้ายช่วงชิงพลังหยางอันแข็งแกร่งกระมัง



“ใครกัน...” น้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้นพร้อมกับเปลือกตาที่ขยับแผ่วเบา จ้าวซิ่นจงกะพริบตาถี่พยายามใช้ดวงตาฝ้าฟางเพ่งมองข้า ก่อนครู่ต่อมาจะออกปากเอ่ยคำสั่งตามความเคยชิน “น้ำ...ขอน้ำ”



ข้าส่ายศีรษะเชื่องช้าอย่างมิรู้จะกล่าววาจาเช่นไรดี เกรงว่าแม่ทัพจ้าวจะเจ็บป่วยยาวนานเกินไปเสียแล้วกระมัง ร่างเนื้อของเขายามนี้ยังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนดั่งเดิม หากที่ฟื้นตื่นขึ้นมาเป็นเพียงร่างวิญญาณที่หลุดออกจากร่าง ซ้ำยังเป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณมีไม่ครบสามจิตเจ็ดวิญญาณเสียอีก เป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะเรียกหาน้ำไปทำไม



ข้ายืนอยู่นิ่งเฉยปล่อยให้ผู้คนค่อยทบทวนความคิดของตนเสียก่อน เมื่อมองเขามากเขาก็ยิ่งสะเทือนใจขึ้นมา จ้าวซิ่นจงโดนเล่นงานคราวนี้เรียกว่าหนักหนาสาหัส กระทั่งวิญญาณมีเพียงสองส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือมิทราบว่ากระจัดกระจายไปที่ใดได้ คนผู้นี้เพียงนอนรอวันตาย ยามหมดลมหายใจลงจะสามารถหาวิญญาณส่วนที่เหลือจนเจอจนสามารถเกิดใหม่ไม่กลายเป็นคนปัญญาอ่อนได้หรือเศษเสี้ยววิญญาณจะดับสูญไปก่อนก็พูดได้ยากยิ่งนัก เกรงว่ามารชั่วที่ทำร้ายเขาคงมีความแค้นอันใดเป็นการส่วนตัวกระมัง



“เยี่ยอู๋จวิน” เพียงครู่เดียวน้ำเสียงแหบแห้งก็แปรเปลี่ยนเป็นเนื้อเสียงต่ำอันเปี่ยมไปด้วยอำนาจและความเผด็จการตามเสียงปรกติของคนสกุลจ้าว เช่นเดียวกับวิญญาณที่เป็นสภาพเป็นภาพลักษณ์เทพสงครามผู้แข็งแกร่ง หากแต่ทั้งรูปร่างและทั้งคำพูดของเขาเดี๋ยวชัดเจนเดี๋ยวพร่าเลือนเพราะดวงวิญญาณอ่อนพลังอ่อนแอจนเกินไป จ้าวซิ่นจงผู้ยังคงไม่รู้ตัวหรี่ดวงตามองข้าด้วยสายตาจับผิดห้าส่วนสิ้นหวังอีกห้าส่วน “ข้าคงตายแล้วกระมังถึงพบเจอเจ้าตัวบัดซบแซ่เยี่ยเสียได้ เจ้ายังไม่ไปเกิดใหม่อีกหรือ เฮยไป๋อู๋ฉางไปอยู่ที่ใดกันถึงได้ส่งเจ้ามาแทน”



ปากสุนัขไม่งอกเงยงาช้างฉันใด คนอย่างจ้าวซิ่นจงแม้มีเพียงเสี้ยววิญญาณย่อมไม่สามารถกล่าววาจาอันใดดีๆ กับข้าได้ฉันนั้น หากเจ้าอยากพบเฮยไป๋อู๋ฉางจริง คนแซ่เยี่ยสามารถสงเคราะห์เจ้าได้แน่ ข้าฝึกวิชาวสันต์เริงร่ายอมสามารถควบคุมหยินหยางของตนได้อย่างใจนึก สภาพเขาเป็นเช่นนี้แค่ซัดฝ่ามือหยินใส่เพียงแค่ฝ่ามือเดียว อย่าว่าแต่จะทำให้สิ้นใจตายเลย วิญญาณสองส่วนที่ยังเหลืออยู่คงสิ้นสลายไปด้วยกระมัง



“แม่ทัพจ้าวจะรีบตายไปไย” ข้าขยับยิ้มมุมปากท่าทางยียวนอย่างที่คนสกุลจ้าวเห็นแล้วต้องทนไม่ได้เป็นที่สุด ทั้งเขาและข้ามิรู้เป็นเช่นไรเจอหน้ากันเป็นอันต้องปะทะวาจากันเสียหน่อย หากข้ามิได้ปั่นป่วนประสาทคนคงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมากระมัง ส่วนจ้าวซิ่นจงภาพลักษณ์อันใดก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้เลยสักครั้ง “ผู้แซ่เยี่ยยังมิได้ลิ้มรสกายงามของท่านให้เต็มที่ นี่เรียกว่าชาตินี้เสียชาติเกิดเสียแล้วกระมัง”



“เดรัจฉาน ยังมีหน้ามาพูดได้อีกหรือ! ” เทพสงครามแห่งแคว้นจิ่วโจวได้ยินดังนั้นแล้วก็เดือดดาลตามคาด ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่แม้จะชอบเย้าแหย่เขา แต่ก็ไม่เคยพูดจาจาบจ้วงหยาบโลนถึงเพียงนี้ จ้าวซิ่นจงนับว่ามีธาตุหยางที่ดีเหมาะสมแก่การฝึกวิชาของข้าไม่น้อย หากแต่ข้าซึ่งชื่นชอบบุรุษหน้าหยกรูปร่างเพรียวบางมองแล้วสบายตา แม่ทัพจ้าวรูปร่างสูงใหญ่น้อยกว่าข้าอยู่หลายชุ่น แต่ร่างกายล้วนเต็มไปด้วยมัดกล้ามทำให้ข้าย่อมมิเห็นเขาอยู่ในสายตา หากจะบอกว่ามิเคยหาเศษหาเลยเขามาก่อนก็คงจะเป็นการโกหกกันเกินไปแล้ว



“เรื่องคืนนั้นล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งสิ้น!” จ้าวซิ่นจงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหน้าตาดูไม่ได้ คนทำเป็นวางท่าทีโกรธเคืองเพื่อปิดบังความอับอายของตนเอง เสียแต่ว่าฝีมืออ่อนด้อยเช่นนี้มีหรือจะตบตาเยี่ยอู๋จวินได้ แม่ทัพจ้าวพูดจาใส่ความใหญ่โตคล้ายว่าข้าเป็นโจรเด็ดบุปผาไปปลุกปล้ำเขา แท้จริงแล้วข้าเพียงเห็นเขาเหงาใจฉวยโอกาสตอนเมาดึงเขาเข้ามาจูบเพียงเท่านั้น ยามนั้นคนสกุลจ้าวยังเคลิบเคลิ้มคลอเคลียริมฝีปากของข้าอยู่หลายเค่อกว่าจะมีสตินึกคิดผลักข้าออกแล้วร้องตะคอกว่าเจ้าตัวบัดซบเยี่ยอู๋จวิน มิรู้ว่าเข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นใครกัน



“หากเรื่องนั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ความรู้สึกและจิตใจของผู้แซ่เยี่ยแม่ทัพจ้าวคงไม่นึกรับผิดชอบกระมัง” แม้เขาจะเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณอันแสนอ่อนแอ แต่ข้าก็ยังอดปากหยอกเย้าเขาเล่นไม่ได้ ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวเดี๋ยวเขียวต่างจากท่าทางเงียบขรึมจริงจังของจ้าวซิ่นจงนั้นน่ามองไม่น้อย นี่คงเป็นนิสัยเสียที่ยากเกินแก้เสียแล้ว



“รับผิดชอบมารดาเจ้าสิ” จ้าวซิ่นจงสบถถ้อยคำหยาบคายอีกหลายคำ แววตาที่มองข้ามีแววเดียดฉันท์อยู่หลายส่วน “เพียงแค่ปากชนปากเล็กน้อย เกินเลยกว่านั้นหาได้มีไม่ คราวเจ้าล่อลวงรุ่ยชินอ๋องจนมีความสัมพันธ์กับเขาก็ยังมิเห็นรับผิดชอบอันใดมิใช่หรือ”



เคลิบเคลิ้มจนมือไวข้าปลดเสื้อคลุมเจ้าออกไปแล้วยังจะหน้าด้านเรียกว่าปากชนปากอีกหรือ คนสกุลจ้าวขุดชื่อรุ่ยชินอ๋องมาพูดคงคิดว่าจะจี้ใจข้ากระมัง ข้าเยี่ยอู๋จวินแม้จะมีบุพเพน้ำค้างกับเขา หากแต่เรื่องเช่นนี้มีหรือจะทำให้ปรมาจารย์วังวสันต์รู้สึกสะทกสะท้านได้ ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและอ๋องสี่มีผลประโยชน์แฝงอยู่ถึงเต็มสิบส่วน



เฮ่อหรงพลาดพลั้งตกหลุมพรางของอ๋องแคว้นหมานจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดขณะไปตรวจสอบการค้าเหล็กค้าม้าทางตอนเหนือ ข้าที่ติดตามขบวนช่วยเหลือเขาเอาไว้จนเอาชีวิตรอดปลอดภัยมาได้ ต่อมาคนใช้ร่างกายและพลังหยางตอบแทนบุญคุณย่อมมิถือว่าผิดแผกอันใด รุ่ยชินอ๋องนั้นเป็นพวกรู้จักเสพสุขเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนทั่วไป หลังจากเล่นพลิกผ้าห่มกันแล้วเขาติดใจอยากพลีกายให้ข้าเชยชมซ้ำอีกอีกนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว



ฉะนั้นข้าคงไม่เสียเวลาอธิบายความให้จ้าวซิ่นจงได้เข้าใจ คนสมองทึบเช่นเขาเมื่อปักใจเชื่อสิ่งใดไปแล้วก็ยากจะแก้ไขความเชื่อได้ เขาอยากคิดว่าข้าเป็นคนสารเลวล่อลวงผู้อื่นเพราะสันดานต่ำช้าชอบมั่วโลกีย์ก็คิดไปเถิด ข้าเยี่ยอู๋จวินเลือกหนทางฝึกวิชาเช่นนี้ย่อมไม่ถือสาหาความคำครหาของผู้คน ใต้หล้านี้ข้าคงไม่สามารถรักษาน้ำใจทำตนให้ถูกใจทุกคนได้ หากต้องมานั่งใส่ใจทุกอย่างในชีวิต คงไม่ต้องฝึกวิชาเป็นเซียนกันแล้วกระมัง



จ้าวซิ่นจงหรี่ตามองข้าที่ใบหน้าคงยังคงเปื้อนรอยยิ้มด้วยท่าทางไม่ชอบใจเท่าใดนัก เพียงชั่วครู่หนึ่งนัยน์ตาทั้งคู่ก็เบิกกว้างขึ้นราวกับคิดสิ่งใดได้ “รุ่นชินอ๋องชอบพอเจ้าถึงเพียงนั้น ที่เขาตายไปเพราะเจ้านำไปอยู่ปรโลกด้วยกระมัง”



ผายลมเถิดเจ้าคนสกุลจ้าว เฮ่อหรงตายในกองเพลิงมีหรือจะเป็นฝีมือข้า หลังข้าตายก็วนเวียนอยู่เจียงหนานอยู่เนิ่นนาน วุ่นวายอยู่กับเรื่องในบ้านของลูกหมูสกุลลู่ คงมิอาจมาฆ่าวางเพลิงรุ่ยชินอ๋องได้กระมัง อีกอย่างทั้งข้าและเขาเป็นคนเคยมีสัมพันธ์ แม้เป็นเพียงแค่ชั่วคราวแต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งจนถึงต้องนำคนไปปรโลกด้วยกันและไม่ได้เกลียดชังกันจนถึงต้องเอาชีวิตกันอีกด้วย



เทพสงครามแห่งแคว้นจิ่วโจวเห็นข้ามุ่นคิ้วแล้วก็ยังไม่หยุดเอ่ยวาจา คนผู้นี้ยิ่งพูดจาก็ยิ่งเลื่อนเปื้อนไม่สมกับแม่ทัพใหญ่เลยสักนิด “หรือว่าที่ข้าเจ็บป่วยลงครั้งนี้จนเอาชีวิตไม่รอดก็เป็นเพราะฝีมือเจ้าสาปแช่ง เยี่ยอู๋จวินกลายเป็นผีร้ายไปแล้วหรือ”



จ้าวซิ่นจงกัดฟันกรอดก่อนจะถลาขึ้นมาจากเตียง เขาคว้าสาบเสื้อของข้าเอาไว้ มือข้างหนึ่งกำหมัดคล้ายพร้อมโจมตีอยู่ทุกเมื่อ ข้ามิได้ถือสาผู้คนแต่ประการใด เนื่องจากวิญญาณของเขาที่ยังสามารถสำแดงฤทธิ์จนถึงตอนนี้ล้วนเป็นเพราะธาตุหยางที่ข้าถ่ายเทให้ทั้งสิ้น แต่นึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้วจึงสะบัดมือใส่ไปครึ่งฝ่ามือ ร่างวิญญาณของคนสกุลจ้าวกระเด็นลอยไปจนเกือบทะลุฝาห้อง ใบหน้าหล่อเหลาตื่นตระหนกตกใจเข้าแล้ว



เมื่อเป็นวิญญาณกันทั้งคู่คงมิต้องแสร้งเป็นหวั่นเกรงผู้คนอีกต่อแล้วกระมัง ยามเป็นราชครูเยี่ยข้าเก็บงำฝีมือทำตัวเป็นหมูหลอกกินเสือเล่นละครเป็นราชครูบัณฑิตมากความรู้ได้อย่างแนบเนียนเป็นอย่างยิ่ง ขุนนางในราชสำนักแม้พอรู้ว่าข้าเป็นปรมาจารย์วังวสันต์ อดีตเคยเป็นลูกศิษย์ในสำนักฝึกเซียนเลื่องชื่อ หากแต่ไม่รักดีลาออกจากสำนักมาใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่หลายปี ระดับพลังฝึกปรือสูงส่งเช่นไรจึงไม่มีใครรับรู้



“ระงับอารมณ์แล้วตั้งสติเสีย” ข้าบอกกล่าวกับวิญญาณเดี๋ยวชัดเจนเดี๋ยวพร่าเลือนของคนแซ่จ้าว น้ำเสียงในยามนี้ไม่ได้มีวี่แววล้อคนเล่นอีกต่อไป อย่างไรแล้วจ้าวซิ่นจงก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแว่นแคว้น ถึงไม่จำเป็นต้องอ่านสถานการณ์อ่านสีหน้าใครนอกจากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ แต่คงรู้แล้วกระมังว่าเวลานี้ข้าเยี่ยอู๋จวินมีพลังเหนือกว่าเขาอยู่มาก ฉะนั้นสิ่งใดที่ข้าถามไปเขาย่อมตอบแต่โดยดีเป็นแน่ “ก่อนจะป่วยไข้เจ้าถูกใครเล่นงานเข้ายังจำได้หรือไม่”



จ้าวซิ่นจงคงรู้แล้วว่าข้ามีใจอยากช่วยเหลือเขาอยู่บ้าง คนพยายามนิ่งเงียบไปพยายามคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังจนเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน นอกจากรอยลึกตรงหว่างคิ้วที่มากขึ้นทุกทีและวิญญาณสองส่วนที่อ่อนจางคล้ายดับสลายอยู่ทุกเมื่อก็ไม่มีสิ่งใดคืบหน้า สุดท้ายคนสกุลจ้าวได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างแผ่วเบาก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้ถูกใครเล่นงานทั้งสิ้น วันหนึ่งข้าเพียงรู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวลำบากไม่อาจไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้จึงตัดสินใจจลางานเพื่อนนอนพัก จากนั้นก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย”



จากถ้อยคำและสีหน้าของเขาทำให้พอรู้ว่าแม่ทัพจ้าวไม่ได้พูดจาโกหก แต่สิ่งที่เขาพูดมามีหลายอย่างดูแล้วผิดปรกติอยู่ไม่น้อย อาการหยางพร่องอย่างที่เขาประสบมิใช่ว่าเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ หากเพราะจ้าวซิ่นจงไม่รู้ว่าตนเองถูกเล่นงานจริงๆ ก็คงเป็นเพราะความทรงจำบางส่วนของเขามีปัญหาเข้าแล้ว



ข้าอธิบายข้อสงสัยของตนเองที่ว่าตัวเขาอาจถูกมารร้ายเล่นงาน จ้าวซิ่นจงแม้จะมีสีหน้าย่ำแย่แต่คงยืนยันตามเดิมว่าเขายังคงใช้ชีวิตในแต่ละวันจืดชืดอย่างปรกติเหมือนเคย คนที่พบปะก่อนหน้าจะล้มป่วยก็มีเพียงสุ่ยเต๋อฮ่องเต้เพียงเท่านั้น โอรสสวรรค์มีหยางมากตามโชคชะตาก็จริง แต่มิใช่ทั้งมารทั้งผู้ฝึกเซียน หากจะกล่าวว่าอีกฝ่ายสูญไอหยางของแม่ทัพจ้าวไปก็คงจะเป็นการใส่ร้ายกันเกินไปกระมัง



“ถึงอย่างไรมนุษย์เราก็ต้องถึงคราวตายสัก เพียงแต่ตายเร็วตายช้าเท่านั้น...ช่างมันเถิด” คนแซ่จ้าวกล่าวขึ้นพร้อมระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ช่างตัดใจต่อชีวิตนี้ได้รวดเร็วผิดกับนิสัยดั้งเดิมของตนดีแท้ จ้าวซิ่นจงเหม่อมองข้าวของในห้องครู่หนึ่งอย่างทอดอาลัย หากครู่ต่อมาดวงตาทั้งคู่กลับทอประกายร้าวรานขึ้นมา ร่างวิญญาณของเขาเริ่มจางหายมากกว่าเดิม คล้ายว่าพลังหยางที่ถ่ายทอดไปให้เมื่อครู่ก็ไม่สามารถรักษาเสี้ยววิญาณเอาไว้ได้แล้ว



“เจ้ายังมีสิ่งใดติดค้างในใจอยากสั่งเสียหรือไม่” แม้มิได้สนิทสนมกันจนนับถือเป็นสหาย แต่ยามทะเลาะปะทะคารมปั่นหัวเขาเล่นก็สร้างความสนุกสนานให้ข้าไม่น้อย คนสกุลจ้าวมีบุตรชายคนหนึ่งนามจ้าวหลี่ตงตอนนี้อายุได้ห้าปี เขาคงเป็นห่วงเด็กน้อยผู้นั้นกระมัง



“มิรู้ว่าฝ่าบาทจะเป็นเช่นไร” ดวงหน้าของแม่ทัพแซ่จ้าวช่างดูปวดร้าวเสียจนน่าสงสารยามนึกถึงสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ ข้าเสียความรู้สึกไม่น้อยที่หลงนึกไปว่าคนผู้นี้จะเป็นห่วงเป็นใยบุตรหลานของตนเองที่อายุยังน้อยจัด ผู้อื่นกลับไปห่วงหาอาทรคนในวังหลวงเสียได้ แต่จะด่าว่าเขาก็คงไม่ถูกนัก ชีวิตนี้ของจ้าวซิ่นจงล้วนสมบูรณ์พร้อมอย่างได้สิ่งใดย่อมสามารถคว้ามาครอบครอง หากอย่างหนึ่งที่เขาไม่สามารถไขว่คว้าได้ก็คือความรักของตนเอง



ข้ามิรู้ว่าคนสกุลจ้าวแอบรักโอรสสวรรค์ผู้นั้นตั้งแต่เมื่อไร หากหลายปีมานี้เกรงว่าเฮ่อฉีคงยึดถือตำแหน่งดาวในใจไฝในอกของจ้าวซิ่นจงมาโดยตลอด มิเช่นนั้นมีหรือที่เทพสงครามผู้ครอบครองตราพยัคฆ์มีทหารในมือกว่าสิบแสนนายจะยอมอยู่ใต้อาณัติของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แต่โดยดี หากเขานึกอยากผลัดเปลี่ยนแผ่นดินให้สกุลจ้าวครอบครองบัลลังก์แคว้นจิ่วโจวย่อมสามารถทำได้ แต่เพราะเขาผูกใจรักบุตรมังกรจึงได้สนับสนุนฮ่องเต้ด้วยใจจริงมาโดยตลอด แม้ยามชีวิตไม่เหลือลมหายใจก็ยังหวนคิดถึงแต่คนในดวงใจ ช่างน้ำเน่าดีแท้



“ความรู้สึกของเจ้าต่อฝ่าบาทผู้แซ่เยี่ยรับรู้ดีแล้ว” ครั้นได้ยินจ้าวซิ่นจงก็คล้ายตกใจที่ข้าล่วงรู้ในความรักที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ในใจมาโดยตลอด ไหนเลยเขาจะรู้ว่าข้าล่วงรู้มาเนิ่นนานตั้งแต่สามวันแรกที่เป็นราชครูแล้วกระมัง ยามเขาลอบมองสุ่ยเต๋อฮ่องเต้สายตานั้นช่างเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรักใคร่ ข้าเป็นคนนอกย่อมมองเห็นได้กระจ่างชัดแจ้ง ส่วนเฮ่อฉีรับรู้แต่แกล้งไม่รับรู้หรือไม่รับรู้จริงๆ ข้ามิใช่เขาจึงมิอาจตอบได้ “ในเมื่อเรื่องนี้ยังค้างคา ข้าจะจัดการให้เอง”



ภาพของแม่ทัพจ้าวแตกพร่ามากขึ้นทุกที ก่อนที่จ้าวซิ่นจงจะกลายเป็นแสงสีจางและถูกข้าจับยัดกลับเข้าไปในร่างเพื่อคงสภาพเศษเสี้ยววิญญาณมิให้แตกสลายไปมากกว่าเดิม อีกฝ่ายยังตะคอกเสียงดังลั่นพร้อมกับหน้าตาถมึงทึงราวกับจะฉีกทึ้งข้าให้เป็นชิ้นๆ



“เยี่ยอู๋จวิน! เจ้าอย่าได้ใช้มืออันแปดเปื้อนของเจ้าไปแตะต้องฝ่าบาท! ”



“หากใช้ร่างของเจ้าก็คงไม่นับว่าแปดเปื้อนแล้วกระมัง” คำตอบของข้าไม่รู้ว่าผู้อื่นจะยังทันได้ยินหรือไม่ จ้าวซิ่นจงตัวจริงตายไปแล้วแปดส่วน แต่ร่างของเขายังคงมีให้ข้าหยิบยืม ข้าขยับไปยึดครองร่างผอมซูบที่นอนไร้เรี่ยวแรงบนเตียงก่อนที่กายเนื้อนี้จะหมดลมหายใจ จากนั้นจึงใช้พลังหยางอีกสายหนึ่งหล่อเลี้ยงทั้งร่างทั้งเศษเสี้ยววิญญาณที่หลับลึกของจ้าวซิ่นจงอย่างไม่กลัวสิ้นเปลือง เพราะรู้ดีว่าหากเรื่องราวสำเร็จไปได้ด้วยดีและได้พลังหยางมากมายจากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ย่อมไม่ทำให้ตนเองขาดทุนเป็นแน่



ข้าร้องเรียกบ่าวรับใช้ด้วยเสียงแหบแห้งอยู่พักหนึ่งจึงมีคนเข้ามาในห้อง แม่ทัพจ้าวที่ใกล้ตายกลับฟื้นคืนขึ้นมาได้ย่อมทำให้ผู้คนตกใจอยู่ไม่น้อย แต่เวลานี้คนยังไม่ตายก็สมควรดีใจไม่ใช่หรือ ทั้งพ่อบ้านและฮูหยินรองของจวนสกุลจ้าวล้วนมาเกาะขอบเตียงทั้งน้ำตานองหน้า หมอซุนที่ตามตัวมาถึงกับถอนหายใจที่จ้าวซิ่นจงบุญหนักรอดตายมาได้ก่อนจะเขียนเทียบยาและสูตรอาหารสำหรับบำรุงกาย ปากบอกว่าต้องพักผ่อนสักหกเดือนครึ่งปีจึงจะกลับมาปรกติได้เช่นเดิม หากด้วยพลังหยางของข้าที่ไหนเลยจะใช้เวลานาวนานเพียงนั้น บำรุงเพียงสักเดือนสองเดือนร่างกายนี้ก็คงพอใช้การขึ้นมาได้บ้างกระมัง



เป็นผีลามกช่างลำบากดีแท้ เมื่อมาถึงเมืองหลวงแคว้นจิ่วโจวก็มีแต่เรื่องราวมากมายให้ข้าจัดการ ทั้งราวของโม่ลี่และอ๋องแปด มายามนี้ก็ทั้งเรื่องหัวใจของคนแซ่จ้าว ทั้งเรื่องมารชั่วที่ออกอาละวาดสูบหยางผู้คนโดยไม่มีใครจับพิรุธได้ แต่เรื่องราวสำคัญที่ต้องสะสางคงไม่พ้นสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ที่วางยาข้าและจับโยนเข้าไปในตำหนักของสนมสามร้อยนาง หากปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่สั่งสอนผู้คนย่อมไม่ใช่ผู้แซ่เยี่ยแล้ว



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์: 

ขอโทษที่มาช้าค่ะ พอดีชีวิตมีปัญหา+งานหนัก+สุขภาพค่อนข้างย่ำแย่ เลยทำให้มาช้าค่ะ เขียนๆ หยุดๆ ตลอดเลย ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขียนออกมาแย่หรือเปล่า เบลอๆ แปลกๆ แต่ตอนหน้าจะพยายามใหม่นะคะ

ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อดี เอาเป็นว่าพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ ยังมีใครอยู่ด้วยกันอยู่ไหม เหงาค่ะ 555555

สุขสันต์วันคริสต์มาสนะคะ <3

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เป็นกำลังใจให้จ้า~

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ยังอยู่ครับ ไม่ต้องเหงา (ฮา) เมอร์รี่คริสต์มาสด้วยเช่นกัน

อยากเห็นท่านเยี่ยอู๋จวินในสภาพท็อปฟอร์มแล้วอะ /หัวเราะ ขนาดหานเฉิงรุ่ยที่เป็นศิษย์เขาอัสนีพิสุทธิ์สายตรง เหล่ยเจิ้นยวี่ที่น่าจะเป็นโคลนหรือเป็นญาติห่างๆ (คนนี้ยังเป็นปริศนา) แล้วก็จ้าวซิ่นจงที่เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น ทั้งหมดร่างกายยังสูงและไม่บึกบึนเท่าท่านพี่เยี่ยของเรา ยังไม่นับเรื่องบนเตียงอีก แล้วตอนพี่ท่านไปมั่วเป็นราชครูนี่ไม่มีใครสงสัยรึ? หรือว่าท่านใส่เสื้อผ้าปกปิดมากเกินไปล่ะอู๋เกอ /หัวเราะ

ผมเดาว่าในวังน่าจะมีมารแอบซ่อนตัวอยู่ จากการที่เหล่าอ๋องทยอยตายด้วยเหตุการณ์ปริศนาที่ไม่ใช่โรคประหลาด (รุ่ยชินอ๋องโดนไฟคลอก, หลี่อ๋องโดนหมาป่าขย้ำ, ตวนอ๋องตายด้วยยาพิษ) ทั้งหมดเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่มีโอกาสขึ้นสู่อำนาจถ้าฮ่องเต้ตายลงไป แปลว่าตัวคนจัดการ ต้องการให้สุ่ยเต๋อฮ่องเต้อยู่ในอำนาจให้นานที่สุด แต่ไม่น่าจะเพื่อทำให้บัลลังก์มั่นคง น่าจะเป็นเพื่อการทยอยสูบพลังหยางจากฮ่องเต้มากกว่า เพราะเยี่ยอู๋จวินยอมรับว่าตัวสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มีพลังหยางแข็งแกร่ง (ไม่แน่ใจว่าถ้าเทียบกับไป๋เจี๋ยแล้วใครจะเหนือกว่าใคร) ดังนั้นตัวฮ่องเต้เองน่าจะเป็นเป้าหมายหลักของพวกมาร

แต่ปัญหาคือพวกขุนนางที่ทยอยตายหรือล้มป่วยด้วยโรคประหลาดนี่สิ ถ้าผมเดาไม่ผิด น่าจะเป็นอาการเดียวกับที่แม่ทัพจ้าวซิ่นจงโดน คือโดนสูบหยางเรื้อรังอย่างไม่รู้ตัวจนทำให้ร่างกายไม่สามารถทนได้ ขนาดท่านแม่ทัพที่ว่าร่างกายสูงใหญ่ พลังหยางเยอะ ยังโดนจนซะพลังวิญญาณกระจัดกระจายตายไปแปดส่วน แสดงว่าคนทำนี่ต้องเนียนและอำมหิตมาก ไม่สนใจเหยื่อเลย อีกอย่างนึงคือพอพวกขุนนางตายไปหมด ขั้วอำนาจในวังยังไม่ระส่ำระส่าย? แปลว่าพวกมารน่าจะทำงานกันเป็นกลุ่ม คุมอำนาจในวังเบ็ดเสร็จได้อีกด้วย ใครที่เป็นฝ่ายต่อต้านก็โดนสูบหยางเรื้อรังผ่านวิธีปริศนา ถ้าเป็นคนธรรมดาโดนไม่นานก็คงตายแน่ๆ แต่ถ้าพลังสูงหน่อยก็ทนได้ไม่นานหรอก (อย่างท่านแม่ทัพ) แต่ยังไงก็ไม่รอดอยู่ดี

นับว่าเป็นแผนลึกล้ำมาก แต่ที่ยังขบไม่แตกและเป็นปริศนาคือ แล้วใครล่ะที่เป็นพวกมาร? ผมว่าไม่น่าจะเป็นลาสบอสหรอกที่อยู่ในวัง เพราะถ้าเป็นลาสบอส มันไม่น่าจะอดใจไม่ดูดพลังหยางฮ่องเต้จนตาย จากรูปการณ์ก็พิสูจน์แล้วว่าจะคอยเลี้ยงไม่ให้มีคนโค่นอำนาจ เพื่อคุมขั้วอำนาจแล้วเลี้ยงฮ่องเต้เหมือนเป็นแบตเตอรี่ชาร์จสำหรับลาสบอส ดังนั้นที่อยู่ในวังน่าจะเป็นระดับมือขวาหรือกองกำลังของลาสบอสน่ะแหละ แต่คำถามคือมันแปลงเป็นใครบ้าง? แล้วใครบ้างที่เป็นพวกมัน? ผมว่าลาสบอสน่าจะมาเยือนวังเป็นระยะๆ แล้วคอยสูบหยางจากฮ่องเต้เรื่อยๆเพื่อเพิ่มพลังตนเอง แต่ไม่หนักมากจนฮ่องเต้นทรุดล้มป่วยหรือผิดปกติจนคนอื่นจับสังเกตได้ ส่วนลูกน้องก็กำจัดเสี้ยนหนามที่อาจจะเป็นภัยซะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขุนนางบู๊และบุ๋นที่อาจจะไหวตัวทัน โดยใช้วิธีสูบหยางเพิ่มพลังของพวกตัวเอง แปลว่าพวกที่เป็นฝ่ายจงรักภักดีกับฮ่องเต้น่าจะโดนกันหมด แม่ทัพจ้าวซิ่นจงนี่ตัวดีเลย พวกมารต้องมองออกแน่ๆว่าแม่ทัพชอบพอฮ่องเต้และอาจจะมองแผนมันออก ทำให้ช่วยเหลือฮ่องเต้จนหลุดแผนของพวกมันได้ เลยต้องรีบกำจัดอย่างเนียนๆ และที่น่าสนใจอีกเรื่องนึงคือ ใช้วิธีอะไรกันแน่สูบหยางศัตรูโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว? แถมยังตบตาหมอในวังหลวงได้เนียนขนาดนี้?

ที่ท่านเยี่ยอู๋จวินตาย ผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่ามันเป็นแผนอะไรหรือเปล่า ฮ่องเต้สั่งจริง หรือแค่มีราชโองการประทับตราพระราชลัญจกรมา ซึ่งถ้าเป็นมารออดอ้อนหรือใช้วิชาหลอกล่อหน่อยมันก็หามาได้แล้วไอ้ตราจักรพรรดิเนี่ย แต่ถ้าเป็นฝีมือพวกมารจริง ก็แปลว่ามารที่อยู่ในวังชาญฉลาดและร้ายกาจพอตัวเลยนะครับ มันต้องรู้ฝีมือที่แท้จริงของเยี่ยอู๋จวิน แม้ท่านเยี่ยจะปกปิดฝีมือเอาไว้และแค่แสดงพลังนิดๆหน่อยๆให้สมฐานะราชครู แต่มันก็มองออกและไม่ประมาท รีบกำจัดเยี่ยอู๋จวินที่น่าจะเป็นภัยต่อแผนของพวกมันก่อนเป็นคนแรก แถมใช้วิธีรัดกุมเสียด้วย ให้คนในมองข้าม คนนอกมองไม่ออก เพราะถ้าท่านเยี่ยชื่อกระฉ่อนเกี่ยวกับเรื่องยวนยาง การที่ฮ่องเต้จะให้รางวัลเป็นนารีสามร้อยนางมันก็ไม่แปลก ท่านเยี่ยเองก็ไม่ทันฉุกใจ เป็นไงล่ะ ตายเลย

คำถามต่อมาอีกคือ แล้วลาสบอสเป็นใคร? อันนี้ก็ยังเป็นปริศนาพอๆกับตัวเหล่ยเจิ้นยวี่ ผมเดาว่ามารลาสบอสนี่ต้องระดับเทพมาก เพราะมันเล่นสร้างกองกำลังโดยใช้วิธีสูบหยาง แล้วไม่ได้เล่นทางเดียว ถ้าสังเกตคือพวกนี้ชอบสูบพลังจากผู้มีพลังหยางสูงมากๆ มันเล่นทั้งทางยุทธภพ (ส่งมารทิวาม่วงและมารราตรีชาดมา วิธีก็คือดึงดูดพวกผู้ฝึกเซียนชั้นต้นให้หลงเข้ามา ใช้กามารมณ์กับวิชามารล่อลวงให้จมอยู่กับราคะ แล้วสูบหนักแบบไม่สนใจพลังชีวิตเหยื่อ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ แต่คุณภาพหยางของผู้ฝึกเซียนเองก็สูงกว่าบุรุษมาตรฐานอยู่แล้ว) และทางเมืองหลวงธรรมดา (ส่งมารน่าจะเป็นกลุ่มมาทำตามแผนเพื่อเอาฮ่องเต้ไว้เป็นแบตเตอรี่คอยสูบพลังเรื่อยๆ)

ปัญหาคือ พวกนี้ไม่กล้าไปแตะกลุ่มผู้ฝึกเซียนชั้นสูง อย่างพวกเจ้าสำนักอัสนีพิสุทธิ์หรือเจ้าสำนักยุทธอื่นๆ เป็นไปได้ว่าพวกมันทำได้เนียนมากจนเจ้าสำนักต่างๆไม่ได้สนใจ แค่ส่งทีมค้นหามา (แบบเดียวกับช่วงบทแรกๆที่หานเฉิงรุ่ยปรากฏตัว) แต่ผมคิดว่าไป๋เจี๋ยฉุกใจคิดเรื่องจำนวนคนที่หายไป เพราะมันน่าจะหมายความอะไรสักอย่าง เลยออกมาตรวจด้วยตนเอง ซึ่งไป๋เจี๋ยเองก็ข่าวสารไม่ได้รอบรู้ ทำให้ไม่น่าจะมองแผนของลาสบอสออก และที่น่าเป็นห่วงคือ พอพวกมารมันสูบหยางแล้วทำตามเป้าได้เมื่อไหร่ พวกมารทั้งหมดมันจะมีพลังเพิ่มขึ้นแล้วคงคิดล้างบางยุทธภพแน่ๆ ที่พวกมันไม่แตะผู้ฝึกเซียนชั้นสูงคงเพราะคิดว่าตอนนี้ยังสู้ไม่ได้ แต่ถ้าสูบหยางมากพอที่จะอัพเกรดตัวเองได้ทั้งกองทัพ ผู้ฝึกเซียนชั้นสูงแค่ไม่กี่คนก็ไม่น่าจะครนามือ และตัวอันตรายคือลาสบอสน่ะแหละ เพราะมันชอบสูบหยางบริสุทธิ์ การที่ไป๋เจี๋ยฆ่ามารทิวาม่วงตายภายในแปปเดียว ถ้าเกิดลาสบอสรับรู้เกี่ยวกับตัวตนของไป๋เจี๋ยที่มีกระดูกเซียนและพลังหยางแข็งแกร่งระดับทายาทมังกรห้าเล็บ ไป๋เจี๋ยน่าจะตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ ลาสบอสคงคิดจะกักตัวไว้สูบหยางแบบเดียวกับฮ่องเต้ ดีไม่ดีสูบหนักกว่าฮ่องเต้อีกเพราะว่าไป๋เจี๋ยหน้าตาสะสวยงดงาม

พอแม่ทัพจ้าวซิ่นจง (ที่ข้างในเป็นพระเอกของเรา) ลุกขึ้นมาเดินปร๋อ เดี๋ยวพวกมารมันต้องประหลาดใจแน่ๆ คราวนี้ล่ะเรื่องเดินไปสู่พล็อตอันน่าสนใจละ แต่ทีนี้พระเอกเราจะแก้เกมยังไงต่อล่ะ จะล้มแผนในวังได้ไม่ง่ายเลยนะครับ แต่คิดในแง่ดี ถ้าสมมุติท่านเยี่ยได้พลังหยางจากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้โดยใช้ร่างท่านแม่ทัพ ก็คงคิดว่าไม่ผิดมากหรอก (มั้ง /หัวเราะ) ทำบุญทำกุศลให้แม่ทัพได้รักกับฮ่องเต้ แถมยังทำให้บัลลังก์ปลอดภัยจากมารด้วยนะครับ แต่คิดว่าไม่ง่ายล่ะ

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
 :mc2: :mc3: สวัสดีปีใหม่จ้า
ขอให้เป็นปีที่ดี แต่งนิยายหนุกๆแบบนี้ไปเรื่อยเร้ออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
บทที่ 25 อยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้พยัคฆ์



ร่างกายของจ้าวซิ่นจงแม้ทรุดโทรมใกล้หมดลมหายใจอยู่รอมร่อ แต่เพราะข้าดึงธาตุหยางบางส่วนจากจิตวิญญาณมาหล่อเลี้ยงบำรุงรักษาเอาไว้จึงทำให้ชีวิตเทพสงครามรอดพ้นจากประตูผีได้ทันควัน เนื่องจากล้มไข้นานหลายเดือดร่างกายของแม่ทัพจึงผอมแห้งคล้ายผีตายซาก หากจะให้กลับมาแข็งแกร่งกำยำกล้ามเนื้อสวยงามดั่งเดิม เห็นทีว่าจะพึ่งไอหยางอย่างเดียวคงมิเพียงพอ คงทั้งบำรุงทั้งฝึกยุทธสักปีสองปีได้กระมัง



ข้าเยี่ยอู๋จวินแม้จะเป็นผีลามกที่ดียิ่งมีจิตใจเมตตาปรานีเพียงใด คงมิอาจเสียสละเวลาสองปีเพื่อดูแลรูปร่างของจ้าวซิ่นได้ถึงเพียงนั้น นับแต่วันที่ข้าหมดสิ้นลมหายใจ เวลานี้ก็ล่วงเลยไปเกือบปี ย่อมเท่ากับว่าข้าเหลือเวลาบนโลกมนุษย์เพื่อบำเพ็ญเพียรเป็นอ๋องผีเพียงหกปีกว่า แม้จะสะสมไอหยางมาได้มากหลายส่วน หนทางการเป็นอ๋องผีอยู่ไม่ไกลนัก แต่สิ่งใดไม่จำเป็นย่อมมิอาจเสียเวลาอันมีค่าของตนไปยุ่งวุ่นวาย ข้ายืมใช้ร่างของคนแซ่จ้าวเพียงชั่วคราว ใช่ว่านึกคิดอยากครอบครองฐานะแม่ทัพตลอดไปไม่ ผู้แซ่เยี่ยรักอิสรเสรีให้สวมบทบาทระยะสั้นอย่างตอนเป็นราชครูยังพอว่า หากต้องสวมหน้ากากไปทั้งชีวิตเกรงว่าคงได้ขาดใจตายอีกรอบเป็นแน่



แม้ว่าเป้าหมายหลักของข้าจะเป็นร่วมซวงซิวกับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ขอแบ่งปันพลังหยางมาสักส่วนและช่วยให้แม่ทัพจ้าวสมหวังในรักที่สูงส่งเกินเอื้อม แต่หากคิดถึงเพียงความสุขส่วนตนเช่นนั้นย่อมไม่นับว่าเป็นบุญกุศลดีงามสมเป็นผีลามกที่ดีได้ นอกจากจัดการสอดส่องปัญหามารอาละวาดในเมืองหลวง อย่างน้อยก็สมควรจัดการเรื่องราวในบ้านสกุลจ้าวให้เรียบร้อย จ้าวซิ่นจงยังมีบุตรน้อยที่ต้องการการอบรมดูแล หากสิ้นคนสกุลจ้าวไป ตำแหน่งเทพสงครามผู้ครอบครองตราพยัคฆ์ของเขาย่อมกลายเป็นเผือกร้อนส่งต่อให้บุตรชาย



ในระยะเวลาที่ข้าหยิบยืมร่างของคนผู้นี้ หากวิญญาณสองส่วนของคนแซ่จ้าวรวบรวมเศษเสี้ยวจิตและวิญญาณเพิ่มได้สักสามสี่ส่วนมากให้เพียงพอจะใช้ชีวิตต่อไปได้ย่อมถือว่าเป็นโชคอันดี แต่การรวบรวมเศษเสี้ยวดวงจิตและวิญญาณย่อมมิใช่เรื่องง่ายดายเพียงนั้น แม้เป็นผู้ฝึกเซียนยังต้องใช้เวลานานหลายสิบหลายร้อยปี หากเขาทำไม่สำเร็จ ยามเมื่อข้าสละร่างไป จ้าวซิ่นจงย่อมไม่ต่างอะไรจากคนตายคนหนึ่ง



ยามนี้ยังพอมีเวลา ไม่สู้จัดการเรื่องราวต่างๆ เสียให้เรียบร้อยเสียเล่า คงมิมีเวลาใดเหมาะสมกับการถอนตัวออกมาจากราชสำนักอันแสนวุ่นวายเท่าเวลานี้อีกแล้วกระมัง แต่ไหนแต่ไรขุนนางตำแหน่งสูงใหญ่ในราชสำนักใช่ว่าจะปลอดภัย อยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้พยัคฆ์ หากวันใดโอรสสวรรค์นึกอยากรวบรวมอำนาจกำจัดสกุลใหญ่ ตำแหน่งใหญ่โตของจ้าวซิ่นจงคงมิพ้นโดนโค่นล้มวันนั้นกระมัง



ห่างหายจากวังหลวงไปนานเป็นปี ความเป็นไปภายในแคว้นจิ่วโจวเป็นเช่นใดย่อมมิอาจล่วงรู้ได้ เรื่องราวที่ได้รับฟังมาจากผิงอ๋องในคราวก่อนถือว่ายังขาดรายละเอียดปลีกย่อยอยู่มาก ควรรู้ไว้ว่าคนเราหากจะคิดทำการใหญ่นอกจากจิตใจควรนิ่งแกร่งดั่งหินผาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ควรเตรียมการให้พร้อมเสียก่อน การเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจทางการทหารในแผ่นดินกมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เส้นสายมากมายยิ่งกว่าสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนในแคว้นจิ่วโจว ซ้ำยังไม่ต้องขวนขวายหาข้อมูลอันใดเองก็มีคนป้อนให้ถึงที่



ข้าลุกออกมาเดินเหินได้เพียงสองวัน กลางดึกคืนนั้นรองแม่ทัพแซ่หวังคนสนิทของจ้าวซิ่นจงก็ลอบเข้ามาในห้องนอนอย่างเงียบเชียบ คนคุกเข่าอยู่ข้างเตียงด้วยท่าทางดีใจห้าส่วนโศกเศร้าอีกสามส่วน นัยน์ตายามที่ผู้คนมองข้าเรียกได้ว่าแดงก่ำคล้ายร่ำไห้อยู่ทุกเมื่อ หวังมู่รักและเคารพแม่ทัพจ้าวเยี่ยงชีวิต ยามนี้มาเห็นร่างกายเขาทรุดโทรมคล้ายผีตายซากย่อมรู้สึกทุกข์ระทมเป็นธรรมดา เขาโขกศีรษะให้ข้าครั้งหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าหวังมู่ขออภัยท่านแม่ทัพที่มิได้เข้ามาเยี่ยมพบท่านนานเกือบเดือน ท่านแม่ทัพโปรดให้อภัย”



“ประสบเคราะห์ภัยคราวนี้ข้าฟื้นมาจากความตายได้ก็ดีถึงเพียงไหนแล้ว จะมีหน้าที่ไหนไปโกรธเคืองใครได้อีก” ข้าโบกมือให้เขาครั้งหนึ่งด้วยท่าทางเย็นชาแข็งกร้าวเหมือนคนแซ่จ้าวตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน เห็นสีหน้าของหวังมู่ดีขึ้นบ้างแล้วจึงค่อยเอ่ยปากถามเรื่องอื่น “ที่ผ่านนี้เมืองหลวงเป็นเช่นใดบ้าง เรื่องใดที่ข้าสมควรรู้ก็เล่ามาให้หมด”



หวังมู่สมควรแล้วที่ถือครองตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์เงา มิว่าเรื่องราวอันใดก็รู้ลึกซึ้งถึงรายละเอียดยิ่งกว่าสายสืบของผิงอ๋องเสียอีกราวกับว่าคนนอนอยู่ใต้เตียงชาวบ้านเสียด้วยซ้ำ นอกจากข่าวร่ำลือประเภทในรั้วบ้านแล้ว สี่สิบเก้าวันที่จ้าวซิ่นจงสลบไสลไม่ได้สติ ความเปลี่ยนแปลงในวังหลวงเรียกได้ว่าแทบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน



ขุนนางจากสกุลเก่าแก่ล้มตายไปหลายคนด้วยอาการเจ็บป่วยและโรคชรา แต่ที่ราชสำนักยังเป็นปึกแผ่นไม่สั่นคลอนมากนักเพราะหนึ่งคืออำนาจส่วนใหญ่กลับคืนสู่อุ้งมือของฮ่องเต้ สองคือเวลานี้มีคนหนุ่มรุ่นใหม่จากสกุลเล็กที่ไม่มีชื่อเสียงผ่านการสอบขุนนางเข้ามารับราชการและรับตำแหน่งสำคัญไปเสียมาก ผู้คนเหล่านี้ล้วนมีจิตใจจงรักภักดีทำงานขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้ ช่างเป็นขุนนางตัวอย่างดีแท้



รองแม่ทัพแซ่หวังส่งมอบรายชื่อขุนนางใหม่พร้อมประวัติโดยคร่าวก่อนขอตัวจากไปให้แม่ทัพของเขาได้พักผ่อน เพียงไล่ดูแค่ชื่อและประวัติที่ผู้คนรวบรวมมาคงมิอาจตอบได้ว่ามารที่ออกอาละวาดสูบธาตุหยางคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงนั้นเป็นใคร หากจากความไม่ชอบมาพากลเท่าที่ข้าสังเกตได้ เกรงว่ามารที่ว่าคงปลอมแปลงแฝงตัวอยู่ในกลุ่มขุนนางเป็นแน่ มิหนำซ้ำต้องมิใช่ขุนนางหน้าใหม่ที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาในสี่สิบเก้าวันนี้และต้องเป็นขุนนางที่ตำแหน่งไม่เล็กจนเกินไป มิเช่นนั้นคงมิอาจเข้าถึงตัวจ้าวซิ่นจงและบรรดาอ๋องต่างๆ ที่มีการป้องกันอารักขาอย่างแน่นหนาได้



วิธีแยกแยะมารออกจากมนุษย์และผู้ฝึกเซียนนั้น หากจะว่าง่ายก็ง่าย หากจะว่ายากก็ยาก เนื่องจากมารระดับต่ำจะยังมิสามารถเก็บซ่อนกลิ่นอายมารอันดำมืดที่คละคลุ้งออกจากร่างได้ แม้แต่ผู้ฝึกเริ่มต้นฝึกเซียนมีปราณธาตุเพียงเล็กน้อยก็สามารถสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย แต่หากเป็นมารระดับสูงที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรมาหลายปีรู้จักเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนย่อมกลายเป็นเรื่องยากเย็นเป็นแน่ วิธีจะตรวจสอบได้นั้นต้องลงลึกไปถึงการสำรวจดวงจิตเพื่อค้นหาจิตมาร แม้ว่าไม่ต้องใช้พลังตบะมากมาย แต่รากฐานจิตใจต้องแข็งแกร่งมากนัก มิเช่นนั้นอาจถูกจิตมารสะท้อนกลับจนธาตุไฟเข้าแทรกหรือไม่ก็เกิดจิตมารเองได้



ที่ข้ากล่าวไว้ว่าหากตนเองยังเป็นราชครูอยู่ย่อมมิปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้นั้นมิใช่คำโอ้อวดตนแต่อย่างใด แต่ไหนแต่ไรข้าเยี่ยอู๋จวินก็ขึ้นชื่อเรื่องจิตใจแข็งแกร่งเกินใคร การเฟ้นหาจิตมารสำหรับข้าเป็นเรื่องง่ายดายราวเดินไปซื้อซีอิ๊วมาทำน้ำแกง หากตำแหน่งราชครูที่เคยเป็นของข้าเมื่อปีก่อน ยามนี้ตกเป็นของนักพรตนามหยวนจิ้งจากอารามละนิวรณ์ไปเสียแล้ว แม้ว่าข้าจะเคยมีสัมพันธ์กับคนจากสำนักเซียนอันเป็นหนึ่งในสามสำนักเซียนใหญ่แห่งนั้นอยู่บ้าง แต่นิสัยและฝีมือของคนแซ่หยวนเป็นเช่นไรกลับมิอาจรู้ได้ เกรงว่าเขาจะอ่อนวัยกว่าข้าสักรุ่นหนึ่งจึงมิเคยพบปะกันมาก่อน แต่หากบอกว่าผู้อื่นมีฝีมือมิเทียบเคียงข้าก็คงจะเป็นการอวดดีเกินไปแล้ว



แม้มีเรื่องราวที่จะต้องทำมากมาย แต่ข้าในคราบของจ้าวซิ่นจงยังคงใช้ชีวิตเอื่อยเรื่อยอยู่ในจวนแม่ทัพด้วยความสบายใจดียิ่ง ยามว่างยังมีเวลาไปสั่งสอนจ้าวหลี่ตงทำหน้าที่สมเป็นบิดาดีนัก หากภายใต้ท่าทีไม่ใส่ใจเรื่องนอกบ้านนั้น ข้าได้ออกคำสั่งให้รองแม่ทัพแซ่หวังไปสืบความถึงเรื่องการตายอย่างน่าประหลาดของเหล่าขุนนางมาเพิ่มเติม ตั้งแต่ตรวจสอบย้อนหลังว่าใครป่วยก่อนใครตายหลังและประวัติการพบปะผู้คนของขุนนางเหล่านั้นสักสองเดือนก่อนตาย คราวนี้จะเก็บซ่อนอย่างไรคงพอมีพิรุธให้เห็นบ้าง



การทำตัวเป็นคนป่วยพักฟื้นยืนให้อาหารปลาอยู่ในสวนของข้าแท้จริงแล้วก็เป็นแผนการอย่างหนึ่ง หลังจากที่หมอหลวงวนเวียนเข้าออกจวนอยู่สามสี่ครั้ง ไม่นานข่าวที่ว่าแม่ทัพจ้าวที่สมควรข้ามสะพานไน่เหอไปแล้วกลับอาการดีขึ้นจนเดินเหินได้ไม่นานต้องแผ่กระจายร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง มารชั่วที่สูบพลังหยางจากจ้าวซิ่นจงคงร้อนใจขึ้นมาเป็นแน่ หมากสองตัวที่ข้าเดินไปแล้วคงมีตัวใดตัวหนึ่งใช้การได้กระมัง



หากก่อนที่มารจะเคลื่อนไหวให้ข้าได้จับสังเกต บุคคลที่เคลื่อนไหวก่อนหน้าย่อมเป็นสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แห่งแคว้นจิ่วโจวผู้ ข้าเดินเล่นวนไปวนมาในจวนสกุลจ้าวได้เพียงห้าวัน ขันทีคนสนิทของเฮ่อฉีก็นำของพระราชทานจากจักรพรรดิมามอบให้ด้วยตนเอง โสมร้อยปีและสมุนไพรล้ำค่าเพิ่งเก็บเข้าที่ยังไม่ทันได้เอาออกมาใช้ สองวันต่อมาก็มีรับสั่งให้แม่ทัพจ้าวเข้าพบเสียแล้ว



ตามราชโองการแล้วเฮ่อฉีเรียกให้แม่ทัพแซ่จ้าวเข้าเฝ้าหลังจากเวลาว่าราชการตามปรกติประมาณหนึ่งชั่วยาม เป็นความนัยว่าคนยังมิได้เร่งเร้าให้รีบกลับเข้ารับราชการแต่อย่างใด หากคงเป็นเพียงการเรียกไปพบปะพูดคุยเพียงเท่านั้น ถึงกระนั้นจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก ข้าใช้เวลาเลือกหาเสื้อผ้าของจ้าวซิ่นจงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบชุดขาวเรียบเชียบคล้ายที่บัณฑิตสวมใส่ตัวหนึ่งขึ้นมา หากคิดอยากมัดใจฮ่องเต้ ไม่ว่าจะกระทำการใดล้วนแต่ต้องมีแผนการมิต่างอันใดกับนางสนมที่อยู่ในวังหลัง ชุดขาวตัวนี้เมื่อสวมบนร่างผอมซูบของจ้าวซิ่นจงแล้วกลับหลวมโพรกทำให้ดูน่าสงสารมากขึ้นอยู่หลายส่วน



แผนการคล้ายทรมานสังขารเพื่อเรียกร้องความสนใจนับว่าไร้ยางอายอยู่มาก หากจ้าวซิ่นจงรู้เข้าว่าข้าจงใจทำตัวอ่อนแอต่อหน้าฮ่องเต้ คนคงอาละวาดยกใหญ่ปาจอกเหล้าจอกชาใส่ข้าเป็นแน่ แต่ปรมาจารย์วังวสันต์เช่นข้าไหนเลยจะมีสิ่งที่เรียกว่ายางอายอยู่อีก เมื่อคิดอยากจะหลับนอนร่วมเตียงกับองค์จักรพรรดิคงมิอาจใช้กำลังเข้าหักหาญเหมือนคราวอ๋องแปดได้ วิธีค่อยเป็นค่อยไปใช้ตนเข้าไปแทรกซึมอยู่ในใจย่อมแนบเนียนเป็นที่สุด ใจจริงของข้ามิได้อยากให้คนเห็นว่าแม่ทัพแซ่จ้าวอ่อนแอ เพราะแผนการเช่นนั้นเฮ่อฉีย่อมพบเจอมาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยครั้ง สิ่งที่ข้าต้องการเพียงอยากให้โอรสสวรรค์เห็นว่าคนผู้หนึ่งจะทุ่มเทให้เขาด้วยใจจริงได้เพียงใด ขนาดเจ็บไข้ได้ป่วยซูบซีดถึงเพียงนี้ยังรีบมาเข้าเฝ้าเพราะจิตใจเฝ้าคะนึงหา สมกับเป็นบุรุษคลั่งรักดีแท้



ข้าเดินทางไปถึงวังหลวงก่อนเวลานัดหมายกว่าหนึ่งชั่วยาม นั่งรออยู่ในศาลาในอุทยานพักหนึ่ง เกากงกงขันทีคนสนิทของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ก็เรียกข้าไปยังห้องทรงพระอักษร ยามข้าสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้องพร้อมเสียงประกาศของขันที เฮ่อฉีกำลังก้มหน้าอ่านฎีกาด้วยท่าทางคร่ำเคร่งตก หว่างคิ้วปรากฏร่องรอยลึกเป็นสายตามคิ้วที่ขมวดมุ่น มองแล้วงดงามคล้ายภาพวาดอยู่ไม่น้อย



เวลาผ่านไปสิบเดือนจักรพรรดิของแคว้นจิ่วโจวยังคงเป็นบุรุษหน้าหยกเช่นเคย ผิวขาวราวหยกมันแพะ รูปหน้างามได้รูป ดวงตาวาวใสดั่งนัยน์ตากวาง ริมฝีปากบางจัดจนเกือบเป็นเส้นตรงยามขยับเม้มเข้าหากัน แม้มิได้มีโฉมงามเฉิดฉายเหมือนไป๋เจี๋ย และมิได้หล่อเหลาโดดเด่นเหมือนเฮ่อยวน หากแต่ความสูงศักดิ์ของโอรสสวรรค์กลับให้ภาพลักษณ์ทั้งน่ายำเกรงและน่าย่ำยีไปพร้อมกัน



เกรงว่าข้าคงอยู่กับคู่รักจิตวิปลาสเช่นโม่ลี่และผิงอ๋องมากไปจนกระทั่งความรู้สึกอยากย่ำยีผู้อื่นติดเข้ามาในสมองจนได้ หากเฮ่อฉีรู้เข้าว่าแม่ทัพแซ่จ้าวมีความนึกคิดต่อเขาเช่นนั้น คนคงถูกประหารสักเจ็ดชั่วโคตรกระมัง แม้สมองจะคิดเรื่อยเปื่อย หากเรื่องเล่นละครคุมสีหน้าก็เป็นอีกเรื่องที่ข้าถนัดดียิ่ง ประโยคที่กล่าวต่อไปจึงเลียนแบบต้นฉบับได้ไม่มีผิดเพี้ยน “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”



“ไม่ต้องมากพิธีไป” เฮ่อฉีเงยหน้าขึ้นจากฎีกาก่อนจะตวัดสายตามองด้วยท่าทีสูงส่งสมเป็นผู้ครองบัลลังก์มังกร แม้ว่าผู้แซ่เยี่ยจะมิได้ตกหลุมรักพระหมื่นปีดั่งคนสกุลจ้าว แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าไม่ว่ามองกี่ครั้งอากัปกิริยานี้ก็ช่างกระชากใจดีแท้ หากเป็นจ้าวซิ่นจงตัวจริงคงหัวใจกระตุกไปแล้วกระมัง คงเป็นเพราะคนผู้นั้นเก็บอาการมากจนเกินไป แสดงออกอย่างแข็งกร้าวมากจนเกินไปจนเอาแต่เฉยเมย การกระทำเช่นนั้นไม่เรียกว่าหน้าโง่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสิ่งใดแล้ว



กล่าวเพียงแค่นั้นสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ก็มิได้เปิดปากเอ่ยวาจาใดอีก คนได้แต่จ้องมองข้าในคราบของแม่ทัพปราบบูรพาอย่างเงียบงัน แม้ว่าข้าจะหลุบสายตามองต่ำมิจ้องมองโอรสสวรรค์โดยตรง หากขณะเดียวกันข้ากลับสัมผัสถึงความจริงบางอย่างที่น่าตื่นตะลึงเข้าเสียได้ แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของผู้คนจะไม่แปรเปลี่ยน แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลคือพลังหยางที่เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด



หากถามว่าในบรรดาผู้คนที่ข้าพบพานมาตลอดชีวิตทั้งเป็นคนทั้งผีใครเป็นผู้มีธาตุหยางมากที่สุด ข้าย่อมตอบอย่างไม่ลังเลว่าเป็นไป๋เจี๋ยแห่งหุบเขาไผ่ศักดิ์สิทธิ์ เหตุเพราะคนสกุลไป๋มีสายเลือดมังกรทองห้าเล็บอยู่ในตัวย่อมทำให้มีกายหยางบริสุทธิ์ไปด้วย แต่ในบรรดามนุษย์ธรรมดาที่มิได้เป็นผู้ฝึกเซียนแต่ประการใด จักรพรรดิย่อมผู้ครองแผ่นดินนั้นมีธาตุหยางสูงส่งกว่าราษฎรทั่วไปเป็นแน่ และยิ่งโอรสมังกรมีบารมีล้นฟ้าล้นแผ่นดินมากเท่าไร ธาตุหยางในกายยิ่งมากมายยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น



แต่ไหนแต่ไรเฮ่อฉีก็มีพลังหยางชั้นดีที่เหมาะแก่การฝึกวิชาวสันต์เริงร่าของข้าเป็นอย่างยิ่ง มายามนี้ธาตุหยางของเขากลับทวีคูณทั้งปริมาณทั้งคุณภาพแตกต่างกับคราวก่อนที่พบเจอกันราวฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แม้ว่าคนแซ่เยี่ยจะขวนขวายเฟ้นหาหยางมาฝึกวิชาข่มหยินในร่างวิญญาณ แต่ดีชั่วเพียงใดใช่ว่าจะใช้ท่อนหยางคิดแทนสมองเสียเมื่อไร เห็นเช่นนี้ข้าย่อมรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่มาก



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้จ้องมองสภาพทรุดโทรมจนพอใจแล้วค่อยถอนหายใจออกมาแผ่วเบา คนสั่งให้เกากงกงรินชาให้ข้าก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอยู่สองส่วน “เห็นเจ้าเจ็บป่วยเจียนตาย เราก็ปวดใจยิ่งนัก คิดว่าแผ่นดินจิ่วโจวจะสิ้นแม่ทัพปราบบูรพาเสียแล้ว” ในเมื่อพระหมื่นปีอยากแสดงความเอื้ออาทรให้กับแม่ทัพสกุลจ้าว ข้าย่อมปล่อยให้เขาได้สมใจปรารถนา สีหน้าของจ้าวซิ่นจงแม้มีวี่แววยินดี หากความเป็นจริงแล้วข้ากลับฉวยจังหวะนั้นดึงพลังสายหนึ่งเข้าไปสำรวจจิตมารของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้โดยที่เขามิทันได้รู้ตัว



ความห่วงใยที่ปรากฏออกมานับว่าเป็นน้ำใสใจจริงหาได้เสแสร้งแกล้งทำไม่ นอกจากนั้นจิตมารที่พยายามค้นหาเท่าใดกลับหาไม่เจอสักส่วน กล่าวได้ว่าเฮ่อฉียังเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เนื้อในยังมิได้เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นมารร้ายแต่อย่างใด ครั้นย้อนมองแล้วยิ่งคิดยิ่งเจอเงื่อนงำ นี่คล้ายว่าไอหยางจากเหล่าอ๋องและขุนนางทั้งหลายที่ล้มตายไปมารวมกันอยู่ที่พระหมื่นปีเพียงผู้เดียว เกรงว่าคงเป็นแผนการร้ายอันใดมากกว่ากระมัง



ข้าได้แต่เฝ้ามองพระหมื่นปีด้วยสายตาซาบซึ้งชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง มิได้เก็บงำความรู้สึกเอาไว้เบื้องลึกเหมือนจ้าวซิ่นจงยามปรกติ ราวกับฟื้นคืนมาจากความตายคราวนี้ได้เห็นสัจธรรมชีวิตจนมิอาจฝืนทนเล่นละครเก็บซ่อนความรักได้อีกต่อไปแล้ว มากน้อยเพียงใดสุ่ยเต๋อฮ่องเต้คงมีแม่ทัพจ้าวอยู่ในใจบ้างกระมัง เฮ่อฉีสบกับสายตาร้อนแรงของข้าแม้ไม่หลบตาอย่างชัดเจนแต่ก็เสมองไปทางอื่น มิรู้ว่าโกรธขึ้นหรือเขินอายกันแน่ ข้าปล่อยให้ภายในห้องทรงพระอักษรมีเพียงความนิ่งเงียบอีกครั้งหนึ่ง แต่ริมฝีปากกลับแย้มยิ้มอ่อนโยนส่งให้คนเบื้องหน้าไม่หยุดหย่อน



“เจ้าฟื้นมาครั้งนี้ก็ดีแล้ว ตั้งแต่ราชครูเยี่ยตายลง คนสนิทข้างกายเราก็ล้มตายไปมากเหลือเกิน” เฮ่อฉีเป็นฝ่ายทนความเงียบงันไม่ได้จึงเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน ไม่รู้ว่าคิดนึกคิดสิ่งใดขึ้นมาจึงมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน บัลลังก์มังกรโดดเดี่ยวหนาวเหน็บเพียงใดใครเล่าจะรู้ดีไปกว่าองค์จักรพรรดิ หากวาจาของเขาฟังให้ดีแล้วไฉนถึงพูดคล้ายว่าข้าเป็นตัวอัปมงคลเสียได้เล่า



“รุ่ยชินอ๋องตายแล้ว หลี่อ๋องตายแล้ว บรรดาน้องชายทั้งหมดของเราเหลือเพียงผิงอ๋องเพียงคนเดียว เฮ่อยวนเป็นเช่นนั้นจะใช้ทำการใดได้” สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ยกชาขึ้นจิบก่อนหัวเราะแผ่วเบาในลำคอคล้ายเย้ยหยันบางสิ่ง หากบรรยากาศอ้างว้างจากอีกฝ่ายกลับเป็นจังหวะอันดีงามในการรุกคืบแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ



“ฝ่าบาททรงมีคุณธรรมต่อพี่น้องเช่นไรฟ้าดินเป็นพยาน ยามนี้ท่านอ๋องยังเยาว์วัยจึงหุนหันพลันแล่นไปบ้าง วันหน้าเมื่อ ท่านอ๋องเติบใหญ่รู้ความขึ้นย่อมต้องสามารถสัมผัสได้ถึงความหวังดีเป็นแน่” ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังจริงใจแต่ไม่ยกยอผู้คนจนเกินไป ซ้ำตีหน้าเคร่งขรึมราวกับว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในแผนการแสร้งเป็นขยะไร้ค่าของอ๋องแปดเลยสักนิด



เฮ่อฉีหยัดมุมปากขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มราวกับว่าคาดเดาคำตอบนี้จากแม่ทัพจ้าวได้อยู่แล้ว คนกวาดมองร่างผอมซูบภายใต้อาภรณ์ขาวที่ยิ่งทำให้ดูซูบซีดกว่าเดิมแล้วเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง คำพูดต่อมาคล้ายว่ากล่าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว “แม่ทัพจ้าวช่างบุญหนักศักดิ์ใหญ่ยิ่งนัก น่าเสียดายที่หลิงเอ๋อร์มิได้โชคดีเช่นเจ้า”



ชื่อหลิงเอ๋อร์ที่หลุดออกมานั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากจ้าวเยี่ยนหลิง อดีตเต๋อเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานเหนือตำหนักใน เต๋อเฟยผู้นี้เป็นน้องสาวร่วมอุทรของแม่ทัพจ้าว จะกล่าวว่าเป็นรักแท้ของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ก็ไม่ผิดนัก หากโชคชะตาคงเล่นตลกกระมัง ชะตาชีวิตของนางจึงได้สั้นจนน่าใจหาย หลังจากให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ น้องสาวของแม่ทัพจ้าวก็เริ่มร่างกายออดแอดเจ็บป่วยทุกสามวันห้าวัน อดรนทนได้อยู่สี่ห้าปีก็สิ้นชีวิตด้วยพิษไข้เพราะต้องลมหนาวมาเกินไป ส่วนองค์ชายใหญ่ที่ควรเป็นโอรสคนโปรดมากความสามารถตามสายเลือดของทั้งพระบิดาและพระมารดากลับเป็นเพียงทารกสติไม่สมประดีคนหนึ่ง ช่างน่าเศร้าดีแท้



เมื่อรวมเรื่องของอดีตเต๋อเฟยเข้าไปแล้ว ความรักที่เก็บซ่อนเร้นของจ้าวซิ่นจงจึงน่าเห็นใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน นอกจากความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างแม่ทัพและฮ่องเต้ยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวพัน ฝั่งหนึ่งก็คนในดวงใจ ฝั่งหนึ่งก็น้องสาว แม้จ้าวเยี่ยนหลิงตายไปหลายปีจนตอนนี้คงสู่สัมปรายภพไปแล้ว แต่นางก็ยังคงเป็นวิญญาณที่หลอกหลอนจิตใจของทั้งฝ่าบาทและทั้งพี่ชายอยู่มิเลือนราง



พบเจอกันในครั้งนี้พระหมื่นปีคล้ายตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง เดี๋ยวครุ่นคิด เดี๋ยวเหม่อมอง เดี๋ยวก็ละเมอเพ้อพูดสิ่งใดออกมาโดยมิรู้ตัว อาการเช่นนี้คล้ายคนป่วยทางใจ มิรู้ว่าเพราะเสียคนใกล้ตัวไปหลายคนในระยะเวลาอันสั้นหรือเพราะถูกมารร้ายตนใดสูบหยางจนหมดเรี่ยวแรงหมดพลังชีวิต แต่จากพลังหยางที่มากมายส่องประกายมาจากร่างในยามนี้เกรงว่าคงจะมิใช่ข้อหลังเป็นแน่ แม้จะเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่งเกินใครในแผ่นดินจิ่วโจว แต่ความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาสิบเดือนที่ผ่านมานี้คงหนักหนาสำหรับเขาไม่น้อยเลยกระมัง



ข้ายื่นปลายนิ้วไปแตะหลังมือขาวดั่งหยกของเฮ่อฉีอย่างแผ่วเบา สัมผัสอบอุ่นที่จากผิวกายทำให้มีสีหน้าที่ดูดีขึ้นมาบ้าง แพขนตาของโอรสมังกรสั่นไหวเล็กน้อย หากชั่วครู่ต่อมาคล้ายว่าคนนึกคิดสิ่งใดขึ้นได้ สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ยกมือหลบไปอีกทางหนึ่ง ก่อนเปลือกตาจะหลุบลงต่ำจนคล้ายว่าไม่อยากมองข้าอีก



“วันนี้เราล้าแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด”



ประตูหัวใจที่เปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อยของเฮ่อฉีปิดลงอีกครั้งก่อนที่ใครจะรุกล้ำเข้าไปได้ วันนี้ยังไม่ชนะใจผู้คน แต่วันหน้าใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเสียเมื่อไร



นึกอยากครอบครองทั้งกายทั้งใจของฮ่องเต้ย่อมต้องทุ่มทั้งความคิดทุ่มทั้งเวลา ข้าเยี่ยอู๋จวินอาจมีเวลาเพียงจำกัด ไหนยังมีคดีความเรื่องมารชั่วที่ต้องจัดการ แต่เมื่อได้ธาตุหยางบางส่วนมาจากเฮ่อฉี พลังฝึกปรือย่อมก้าวหน้าก้าวกระโดดจนแทบกลายเป็นอ๋องผีเป็นแน่ คิดคำนวณออกมาแล้วหากกำไรมากกว่าขาดทุนก็คุ้มค่าที่จะลองมิใช่หรือ



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

คิดถึงกันไหมค้าาา ขอโทษที่หายไปนานค่า พอดีโฮสต์โง่ใกล้จบเลยหนีไปปั่นเรื่องนั้นให้จบ จะได้มาเขียนเรื่องนี้ต่อยาวๆ ไป บวกกับงานเยอะ และช่วงไฟนอลด้วยค่ะเลยมาๆ หายๆ ขอโทษที่ช้านะคะ จะพยายามไม่เว้นช่วงนานขนาดนี้ค่ะ

ตอนนี้ยังคงอยู่กับการปูเนื้อเรื่องต่ออีกตอนค่ะ ถ้าเนือยไปต้องขอโทษด้วยนะคะ ช่วงตอนนี้พล็อตค่อนข้างใหญ่ รายละเอียดเยอะ เขียนไปก็รู้สึกว่าเขียนออกมาได้ไม่ค่อยดีเลย บวกกับไม่ได้เขียนนานด้วยเลยอาจจะติดขัดนิดหน่อย ยังไงจะปรับปรุงแก้ไขนะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไง บอกเลยว่าเราจะอยู่กับสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ไปอีกหลายตอนค่า นอกจากสกิลลามกแล้ว เรามาดูสกิลการจีบของอู๋เกอกันบ้างนะคะ 55555

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
เป็นแม่ทัพจ้าวช่างวุ่นวายเสียจริง



ในเมื่อจ้าวซิ่งจงลุกขึ้นมาเดินเหินพูดจาเกี้ยวพาราสีผู้คนได้ สุ่ยเต๋อฮ่องเต้จึงมิอาจปล่อยให้ผู้คนเก็บตัวอยู่บ้านเอื่อยเฉื่อยหายใจทิ้งไปวันๆ ได้อีกต่อไป วันต่อมาเกากงกงได้ถือราชโองการเรียกตัวแม่ทัพจ้าวให้กลับเข้าไปรับราชการตามเดิมซ้ำยังออกปากรั้งตัวให้อยู่ในเมืองหลวงควบคุมการฝึกทหารใหม่ให้สำเร็จเสร็จสิ้นโดยมิต้องรีบหวนกลับคืนทิศบูรพา งานการที่มิอาจเรียกได้ว่าหนักหนาเช่นนี้ คำกล่าวอ้างว่าร่างกายยังต้องพักฟื้นบำรุงคงใช้การไม่ได้เสียแล้ว



หน้าที่การงานต้องกลับไปทำ ตราพยัคฆ์ในมือยังต้องส่งคืน นอกเหนือจากนั้นยังต้องสืบหามารชั่วที่อาละวาดในเมืองหลวงเสียอีก ความรับผิดชอบมากมายช่างล้นมือปรมาจารย์วังวสันต์เสียจริง ยังดีที่รองแม่ทัพแซ่หวังทำงานได้ดียิ่งสมคำร่ำลือ คล้อยหลังเกากงกงไปได้ไม่นานคนก็นำหนังสือเล่มหนาซึ่งเขียนสรุปเนื้อความตามที่ข้าสั่งการไปอย่างครบถ้วน นอกจากเรื่องลำดับการป่วยไข้ล้มตายแล้วยังมีบันทึกการพบปะของเหล่าขุนนางทั้งหลาย ซ้ำยังมีเขียนอธิบายความสัมพันธ์อันซับซ้อนของผู้คนอีกด้วย



ข้าขมวดคิ้วอ่านหนังสือเหล่านั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่หลายรอบก็ยังไม่เห็นสิ่งใดที่จะสามารถนำมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์วุ่นวายในคราวนี้ได้ เหล่าอ๋องผู้สูงศักดิ์น้องชายของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ที่สิ้นชีพไปล้วนแต่ประสบเคราะห์กรรมแตกต่างหาจุดคล้ายคลึงไม่ได้เลยสักนิด อาการเจ็บป่วยของขุนนางสกุลใหญ่ที่รับใช้ในราชสำนักมาตั้งแต่ฮ่องเต้รัชสมัยก่อนที่หมอหลวงให้การรักษาก็ปรากฏอาการไม่แน่ชัด ไม่คล้ายว่าเป็นโรคระบาด ไม่พบเจอยาพิษ อาการอ่อนแรงที่พบเจอก็เหมือนคนป่วยไข้ทั่วไป



ยิ่งไม่พบเจอเรื่องไม่ชอบมาพากลกลับยิ่งสื่อถึงพิรุธบางสิ่ง อาการอ่อนแรงที่ว่าคงมิพ้นการถูกสูบธาตุหยางออกไปทีละเล็กทีละน้อยเหมือนกับที่จ้าวซิ่นจงประสบพบเจอเป็นแน่ อย่างไรเสียทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงความคิดเห็นของผู้แซ่เยี่ยเท่านั้น หากอยากพิสูจน์ให้มั่นใจ จะปลุกวิญญาณผีชรามาสอบถามเจรจาคงไม่ได้ความ ขนาดคนแซ่จ้าวที่ไอหยางสูงส่งกว่าคนทั่วไปยังเหลือวิญญาณแค่สองส่วน ที่เหลือเกรงว่าจะดับสลายแม้แต่ยมโลกก็ไม่ได้ไปเยือนเสียกระมัง ยามนี้คงมีเพียงไหวอ๋องเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ข้าได้ตรวจสอบอาการ



การเข้าถึงตัวไหวอ๋องหรือเฮ่อเหวินมิใช่เรื่องง่ายดายเท่าใดนัก แต่มีหรือที่เรื่องแค่นี้จะรอดพ้นฝีมือของเยี่ยอู๋จวินได้ ดึกดื่นคืนนั้นข้าใช้วิชาตัวเบาย่องเข้าไปในจวนไหวอ๋อง หลีกหนีจากสายตาองครักษ์และขันทีทั้งหลายแฝงตัวไปจนถึงข้างเตียงท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ เพียงแค่ปรายตามองคนที่หลับใหลไม่ได้สติก็สัมผัสได้ถึงอาการหยินมากหยางน้อยอย่างที่คาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด อาการของเขายังดีกว่าจ้าวซิ่นจงอยู่บ้างตรงที่วิญญาณยังแตกสลายไปไม่กี่ส่วน หากรักษาได้ทันการณ์ยังมีโอกาสฟื้นคืนกลับมาได้บ้าง



ข้าถ่ายเทพลังหยางส่วนหนึ่งให้กับเฮ่อเหวิน เพียงไม่นานสีหน้าที่ซีดเซียวก็ดีขึ้น ลมหายใจแม้ยังเบาหวิวแต่ก็ดีกว่าเดิมอยู่มาก ก่อนข้าจะหันหลังกลับจวนแม่ทัพกลับพบความผิดปรกติขึ้นจนได้ ประสาทสัมผัสรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายมารเบาบางที่มิควรปรากฏอยู่ในจวนไหวอ๋องขึ้นมาเสียได้ เมื่อตรวจสอบดูก็พบกระจกแปดทิศขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือบานหนึ่งลอบติดอยู่ใต้เตียง



เดิมทีกระจกแปดทิศที่เหล่านักพรตใช้งานกันอย่างแพร่หลายควรมีอำนาจในการต่อต้านสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลขับไล่ไอหยินดึงดูดธาตุหยาง หากเพ่งมองอักขระลงอาคมกลับพบว่ากระจกแปดทิศบานนี้ถูกเขียนขึ้นในลักษณะย้อนทิศสลับด้าน จึงกลายเป็นเครื่องมือดูดหยางสร้างหยินของมารชั่วไปเสียได้ ไม่รู้ว่าทำไมวิชาประหลาดเช่นนี้จึงทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก



หากเป็นผู้ฝึกเซียนผู้อื่นคงทำลายกระจกแปดทิศย้อนกลับเพราะโมโหจนยั้งสติไม่อยู่ที่ถูกมารชั่วหยามเกียรติและศักดิ์ศรีไปแล้วกระมัง แต่ตัวบัดซบแซ่เยี่ยเช่นข้ามีหรือที่จะรู้สึกรู้สาสิ่งใด แต่ไหนแต่ไรวิถีทางของข้าก็นับว่านอกรีตจากผู้อื่นอยู่มาก ฉะนั้นแล้วข้าคงมิหน้าโง่รีบทำลายหลักฐานชิ้นงามเช่นนี้ ได้แต่เก็บเข้าไปในอกเสื้อเพื่อนำไปตรวจสอบเพิ่มเติมเท่านั้น



วิธีการที่เหล่ามารใช้สูบหยางผู้คนนั้นคงไม่ต่างจากกระจกแปดทิศบานนี้มากนัก ข้าอาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพหลายวันกลับมิเคยพบเจอสิ่งของที่ใช้สูบหยางผู้คนเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าคงถูกพวกมันกำจัดไปเสียก่อนที่ข้าจะเข้าสิงผู้คนเสียกระมัง สวรรค์ยังเข้าข้างที่ไหวอ๋องยังไม่ตายได้ที่ดีจึงยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้าง มารสารเลวพวกนี้ช่างทำงานได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแท้ ก่อนผู้คนล้มตายมันก็เก็บหลักฐานไม่ให้หลงเหลือสาวไปถึงตัวพวกมันได้ ส่วนปลายทางของธาตุหยางเหล่านั้นวัดจากพลังที่เพิ่มสูงขึ้นแล้วคงไม่พ้นถูกส่งตรงไปยังเฮ่อฉี แต่สุ่ยเต๋อฮ่องเต้จะรู้เรื่องราวมากน้อยเพียงใดยังมิอาจตอบได้แน่ชัด ดีไม่ดีคนอาจกลายเป็นแหล่งรวบรวมธาตุหยางของมารก็เป็นได้



แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือการที่สิ่งต่างๆ ยิ่งคล้ายว่าจะโยงใยไปหาราชครูคนใหม่เสียยิ่งกว่าอะไร พูดกันตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลที่จะเที่ยวถือข้าวของหน้าตาประหลาดไปติดอยู่ในจวนโดยที่ผู้คนไม่ผิดสังเกตได้ก็มีแต่นักพรตตำแหน่งสูงอย่างเช่นตำแหน่งราชครูกระมัง หากจะรีบตัดสินว่าเขามีความผิดร้ายแรงด้วยการสมคบคิดกับมารก็เหมือนจะเป็นการโยนหม้อดำใส่ผู้คนเสียมากกว่า โดยเฉพาะในยามนี้ที่หยวนจิ้งไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เพราะหลายวันก่อนถูกเรียกตัวกลับสำนักด้วยเรื่องด่วน



เรื่องด่วนใหญ่โตปานนั้นคิดดูแล้วคงมิพ้นเป็นไป๋เจี๋ยที่กระจายข่าวเรื่องมารออกอาละวาดสูบพลังหยางไปตามสำนักเซียนใหญ่ หลังจากประชุมถกเถียงกันจนหาข้อสรุปได้ อีกไม่นานเหล่าผู้ฝึกเซียนทั้งอนุชนทั้งผู้อาวุโสคงได้แห่แหนกันเข้ามาในแคว้นจิ่วโจวเพื่อปราบมารเป็นแน่ มองแล้วอย่างไรก็ไม่ดีต่อผีลามกเช่นข้าทั้งนั้น คราวนี้คงต้องรีบจัดการปัญหามารชั่วพวกนี้ให้ได้ก่อนตัวน่ารำคาญพวกนั้นจะโผล่เข้ามาขัดขวางหนทางบำเพ็ญกุศลและแผนการสั่งสอนสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ของข้า



แม้จะรีบร้อนเพียงใดก็มิอาจบุกเข้าไปในตำหนักของฮ่องเต้ในทันทีได้ เรื่องพรรค์นี้หากเร่งรีบเกินไปจนเป็นการเร่งรัดผู้คนจนเกินไป จากคราวก่อนที่พูดจาว่าความกันหลายประโยค ข้าจับสังเกตได้ถึงจิตใจเปล่าเปลี่ยวหนาวเหน็บของเฮ่อฉีที่ขาดคนสนิทข้างกาย ยามนี้ผู้คนเปิดโอกาสเรียกตัวจ้าวซิ่นจงไปรับใช้ใกล้ชิดเช่นนี้ย่อมสื่อว่ามากน้อยเพียงใดเขาต้องมีแม่ทัพแซ่จ้าวอยู่ในใจบ้าง การจะสานสัมพันธ์คงมิใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก ผีแซ่เยี่ยยังมีแผนการมากมายในสมองมิใช่หรือ



เช้าวันรุ่งขึ้นข้าจึงยังใช้แผนทรมานสังขารเรียกร้องความสนใจด้วยการแต่งกายด้วยชุดหลวมโพรกชวนหดหู่ดูคล้ายเจ็บไข้ใกล้ตายเต็มทีเพื่อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาเห็นใจของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ที่ข้ามิคุ้นเคยหน้าตา ข้ายังได้เห็นสายตาวูบไหวไปด้วยแรงอารมณ์ของเฮ่อฉีอยู่ครู่หนึ่งยามเมื่อเขามองใบหน้าซีดเซียวและท่าทางเหลาะแหละไม่สมสมญานามแม่ทัพปราบบูรพา ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจเช่นเคย



สงสารก็ดี สังเวชก็ดี โกรธขึ้งก็ดี ตราบใดจ้าวซิ่นจงยังอยู่ในสายตาของเขาย่อมเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น



การว่าราชการในช่วงเช้าของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มิได้แตกต่างไปจากความทรงจำเมื่อคราวที่ข้าเป็นราชครูแซ่เยี่ยเท่าใดนัก การเป็นแม่ทัพแซ่จ้าวมิได้ต้องกระทำการสิ่งใดมากมายนอกจากตีสีหน้าเคร่งขรึมมิน่าเข้าใกล้ คอยพยักหน้ารับรู้บ้างเป็นครั้งคราว จวบจนเวลาเลิกประชุมก็ยังมิพบเห็นสิ่งใดน่าสนใจ คนคุ้นเคยอย่างผิงอ๋องยังคงมิโผล่หน้ามารับราชการ แต่ทำตัวเป็นขยะไร้ค่าเช่นเคย หากสิ่งหนึ่งที่เป็นไปตามความคาดหวังคือการที่เฮ่อฉีรั้งตัวเรียกข้าไปพบที่ศาลาหลังหนึ่งในอุทยานหลวง



มิรู้ว่าเป็นลิขิตสวรรค์เช่นไร องค์จักรพรรดิจึงมักท่ามากขยันเก็บงำความคิดไว้ในใจ กว่าจะเข้าเรื่องเข้าราวใดได้ต้องใช้วิธีอ้อมค้อมวกวนเสียครึ่งค่อนวัน เห็นผู้อื่นชวนข้าเดินหมากก็คาดเดาได้ว่าเขาคงมีเรื่องราวในใจเป็นแน่ ข้าเฝ้ารอให้เฮ่อฉีเดินหมากไปได้ครึ่งตา คนถึงยอมปริปากออกมาได้ ผู้แซ่เยี่ยช่างมีความอดทนดีเยี่ยมยิ่งนัก



“ทำตัวเหลาะแหละอ่อนแอเช่นนี้ เราสงสัยนักว่าเจ้าจะเล่นละครให้ใครดู” นัยน์ตาวาวใสคู่นั้นมองข้าด้วยอาการกึ่งบึ้งตึงเย็นชากึ่งจับผิด เกรงว่าสายตาเห็นใจจากขุนนางน้อยใหญ่ที่มองมาคล้ายว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้บังคับให้คนอ่อนแอใกล้ตายรีบกลับเข้าทำงานจะสร้างความหงุดหงิดใจให้กับพระหมื่นปีเสียแล้ว



“หากมิใช่ฝ่าบาทแล้วจะเป็นใครได้” ข้าในบทบาทของจ้าวซิ่นจงตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมิต่างอันใดจากแม่ทัพจ้าวตัวจริงแม้แต่น้อย เสียแต่ว่าผู้คนมิเคยกล่าววาจอาจหาญเช่นนี้มาก่อน โชคยังดีที่เกากงกงและผู้ติดตามของเฮ่อฉีล้วนแต่เป็นผู้มากความสามารถรู้จักหลบเลี่ยงออกไปตั้งแต่แรก การแทะโลมองค์จักรพรรดิต่อหน้าขันทีคงมิใช่เรื่องน่าอวดขานเป็นแน่



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นมือที่กำลังหยิบจอกชาก็นิ่งชะงักไปบ้าง ริมฝีปากของข้าขยับออกเป็นรอยยิ้มเบาบางเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ขนตาดำหนาของเฮ่อฉีหลุบลงต่ำคล้ายมองพิจารณาสีน้ำชา ผ่านไปครู่หนึ่งผู้อื่นมิได้ปาจอกชาใส่ข้าดั่งเช่นที่เคยทำกับเฮ่อยวนในยามโกรธเกรี้ยวย่อมหมายความว่าจิตใจของเขาสั่นไหวเข้าแล้ว



“ฟื้นมาคราวนี้วาจาเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” เฮ่อฉีเก็บอารมณ์ต่างๆ ปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบไร้ระลอกคลื่นได้ดียิ่งสมกับเป็นโอรสมังกร คนคงพยายามหาทางบ่ายเบี่ยงจากเล่ห์กลหลอกล่อในครั้งนี้ แต่มีหรือที่เยี่ยอู๋จวินจะละทิ้งโอกาสอันงามไปได้



“รอดพ้นจากความตายมาได้ย่อมทำให้คิดได้ว่าชีวิตผู้คนนั้นช่างแสนยิ่งนัก ความปรารถบางสิ่งจะให้เก็บงำไว้ในใจเฝ้ารอวันตายคงน่าเสียดายไม่น้อย” ข้าตอบกลับได้อย่างจริงจังลื่นไหล สายตาที่ส่งตรงไปยังเฮ่อฉีคงแน่วแน่เกินไปจนอีกฝ่ายมิอาจสบตา “หากทำให้ฝ่าบาทลำบากใจก็สมควรโดนลงโทษแล้ว”



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้มิได้ว่ากล่าวสิ่งใดตอบกลับ คนหมุนจอกน้ำชาในมือเล่นไปมาตามนิสัยติดตัวดั้งเดิมยามครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถึงบุคคลที่ข้าคาดไม่ถึงเสียได้ “บางครั้งบางคราก็ทำให้เรานึกถึงเยี่ยอู๋จวินขึ้นมา ครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็มักหยอกเอินเราเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักแยกแยะสูงต่ำเสียจริง”



คนถอดถอนใจครั้งหนึ่ง “หากคนตายแล้วคือตายไปแล้ว”



เรียวคิ้วของข้ากระตุกเข้าหากันคล้ายคนไม่พอใจเพราะกินน้ำส้มไปทั้งไห สิ่งหนึ่งคือแท้จริงแล้วมิได้ติดใจเรื่องสูงต่ำตามที่เขาว่าแต่อย่างใด เนื่องจากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ปกครองแผ่นดินจิ่วโจวย่อมคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เกินใครเป็นเรื่องธรรมดาและมิอาจเข้าใจวิถีทางของผู้ฝึกเซียนนอกรีตเช่นข้า หากสิ่งที่ติดใจกลับเป็นถ้อยคำยามที่เขาเอ่ยถึงข้าสมัยเป็นราชครูแซ่เยี่ย เหตุใดจึงเอ่ยวาจามีเยื่อใยคล้ายว่าข้าเข้าไปอยู่ในใจผู้คนเสียได้



มีคำกล่าวว่าองค์จักรพรรดิล้วนแต่ไร้ซึ่งรักแท้ แต่มีเหล่าสนมชายานางกำนัลเป็นเพียงเครื่องประดับประดาเป็นสีสันในชีวิตเท่านั้น ข้าเคยคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ครั้งเก่าแก่แต่เยาว์วัยระหว่างเขาและแม่ทัพปราบบูรพา เมื่อไม่นับจ้าวเยี่ยนหลิงที่เป็นฉากหน้า จ้าวซิ่นจงผู้นั้นคงเป็นรักแท้ในใจของเฮ่อฉีเป็นแน่ คราวนั้นที่เฝ้าหยอกล้อเขาผู้แซ่เยี่ยก็หวังเพียงกายงามดั่งหยกเพื่อฝึกวิชาวสันต์เริงร่าเพียงเท่านั้น เกรงว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้จะเป็นพวกมากรักหลายใจแล้วกระมัง



บรรยากาศเงียบงันคงทำให้เฮ่อฉีคิดขึ้นได้ว่าจ้าวซิ่นจงชังน้ำหน้าราชครูแซ่เยี่ยยิ่งกว่าอะไร การกล่าวถึงคนตายต่อหน้าคนเป็นมากไปคงมิส่งผลดีอันใดมากนัก ฮ่องเต้เดินหมากในมือเพื่อหลีกหนีมิให้ตนเองจนแต้มก่อนจะกล่าวเปลี่ยนประเด็น “เดือนหน้าเราจะส่งเฮ่อยวนไปปกครองเมืองฉิน”



ข่าวคราวครั้งนี้ทำให้ข้ากระตุกคิ้วเข้าหากัน เมื่อวางหมากไล่ต้อนสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แล้วจึงค่อยตอบกลับด้วยท่าทางจริงจังกว่าที่เคย “ตั้งแต่ไหนแต่ไรผิงอ๋องมิเคยรับราชการมีตำแหน่งหน้าที่การงานในแผ่นดินจิ่วโจวมาก่อน ส่งเขาไปปกครองแดนเหนือเช่นนั้นจะมิเป็นการหนักหนาสาหัสไปหรอกหรือ”



เมืองฉินนับเป็นเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของแคว้นจิ่วโจว เนื่องจากมีภูเขาแร่เหล็กอยู่หลายลูกจึงทำให้เมืองฉินมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากด้วยความที่อยู่ติดกับแคว้นของชาวหมานผู้ป่าเถื่อน แร่เหล็กที่จึงนำพาข้อพิพาทและการสู้รบแย่งดินแดนกันอยู่บ่อยครั้ง แม้จะมีข่าวลือมาว่าอ๋องผู้ปกครองป่วยไข้ตายไปเมื่อสามเดือนก่อนจนทำให้แผ่นดินหมานคงระส่ำระสายไปอีกหลายสิบปี แต่การอวยยศส่งผิงอ๋องไปครองพื้นที่ปัญหาเช่นนั้นจะต่างอันใดกับการส่งคนไปสู่ความตายกันเล่า



“คราวก่อนเจ้ายังบอกว่าผิงอ๋องจะเข้าใจความหวังดีของเรามิใช่หรือ เขาเติบใหญ่ถึงเพียงนั้นย่อมต้องรู้จักหน้าที่และมีความรับผิดชอบบ้างแล้ว” สุ่ยเต๋อฮ่องเต้เลิกสนใจหมากในกระดานที่ดูคล้ายตนเองจะพ่ายแพ้ ความอ่อนล้าปรากฏขึ้นบนนัยน์ตาวาวใส “เพียงแค่เขาแต่งคณิกาเป็นหวางเฟยเราก็ปวดใจแล้ว หากมิปล่อยให้ทำตัวเกะกะเกเรต่อไปคงผิดต่อเสด็จพ่อและอดีตซูกุ้ยเฟยเป็นแน่”



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้พาดพิงถึงคนตายโดยเฉพาะอดีตซูกุ้ยเฟยที่คิดล้มบัลลังก์ตนเช่นนี้มิรู้ว่าต้องการประชดประชันถึงสิ่งใด เยี่ยอู๋จวินผู้นี้รู้งานดียิ่งจึงแกล้งเป็นลืมเลือนถ้อยคำเหล่านั้นเสีย แต่ยังมิวายแทะโลมอีกฝ่ายด้วยวาจาจนได้ “แม้ว่าชายาของเขาจะเป็นเพียงคณิกาชายต้อยต่ำไร้สกุล หากเขาก็ยังรักใครเชิดชูผู้คนเป็นอย่างดี นับว่าผิงอ๋องมีรักแท้มั่นคงแน่วแน่ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”



“แม่ทัพแซ่จ้าวเริ่มบูชาความรักตั้งแต่เมื่อไรกัน” คราวนี้ร่องรอยประชดประชันปรากฏขึ้นในเนื้อเสียงอย่างชัดเจน เฮ่อฉีรู้ดีกว่าหากเปิดโอกาสต่อไปคงมิวายถูกข้าพูดจาอาจหาญแทะโลมอีกเป็นแน่ เขาจึงโบกมือตัดบทครั้งหนึ่งด้วยท่าทางเปี่ยมไปด้วยอำนาจของโอรสมังกร “เราตัดสินใจดีแล้ว เจ้าอย่าได้คิดโต้แย้งเลย”



หากสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ต้องการลิขิตชะตากรรมของน้องชายให้เป็นเช่นนั้น ด้วยความสัมพันธ์เหินห่างดั่งคนไม่รู้จัก จ้าวซิ่นจงก็คงมิสามารถขัดขวางอันใดให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ ผู้แซ่เยี่ยคงออกปากช่วยเหลือเฮ่อยวนและโม่ลี่ได้เพียงเท่านั้นกระมัง ได้แต่หวังเพียงว่าหมากที่เดินเอาไว้ก่อนหน้าคงพอทำให้ทั้งสองมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้บ้าง



หมากกระดานตานี้เห็นแววแล้วว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้จะพ่ายแพ้ให้กับข้าในคราบแม่ทัพจ้าวอย่างไม่เป็นท่า จึงมิต้องเสียเวลาเดินหมากอีกต่อไปแล้ว ข้าคิดว่าคงถึงเวลาหวนกลับจวนแม่ทัพเสียทีเพื่อเขียนจดหมายส่งข่าวตักเตือนให้เฮ่อยวนและโม่ลี่ได้รู้ตัวจะได้รู้จักเตรียมตัวเตรียมใจ หากเฮ่อฉียังมิวายรั้งตัวข้าเอาไว้อีกครั้ง



“เจ้ามิได้เข้ามาในวังหลวงเนิ่นนาน วันนี้มีโอกาสอันดีก็ไปดูองค์ชายใหญ่กับเราเถิด” โอรสมังกรในฉลองพระองค์สีเหลืองลุกขึ้นเดินนำไปโดยมิรั้งรอ แม้องค์ชายใหญ่นามเฮ่อหยางจะสติปัญญาอ่อนด้อยพิกลพิการหรือต่อให้เฮ่อฉีมีแผนการพิสดารเช่นไร อย่างไรด้วยศักดิ์ของจ้าวซิ่นจงที่เป็นลุงสายเลือดเดียวกันกับเขาย่อมต้องอยากไปพบเจอเด็กน้อยเป็นแน่



ยามเป็นราชครูอยู่ในเมืองหลวงข้ามิเคยพบเจอองค์ชายใหญ่เลยสักครั้ง หากรับรู้ด้วยข่าวสารว่าเด็กน้อยผู้น่าสงสารนั้นสติปัญญาไม่สมประกอบ อายุเจ็ดปีแล้วก็ไม่สามารถพูดจาเป็นคำได้ แต่ละวันได้แต่นั่งเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ฟังแล้วช่างน่าเศร้าดีแท้



ยามนี้เมื่อไปถึงตำหนักกระจ่างใสที่อยู่ห่างไกลจากตำหนักอื่นๆ ราวกับไม่ได้อยู่ในวังหลวง ก็พบเด็กน้อยร่างเล็กนั่งอาบแดดกินของว่างอยู่ในสวนด้วยสายตาเลื่อนลอย ข้ากวาดตามองครั้งเดียวก็รู้ว่าเฮ่อหยางมิใช่เพียงเด็กปัญญาอ่อนสติไม่สมประดีทั่วไป แต่เขาเกิดมามีไม่ครบสามจิตเจ็ดวิญญาณ มิรู้ว่าชาติก่อนมีบาปกรรมเช่นใด ชาตินี้จึงเกิดมามีเพียงสองจิตสี่วิญญาณเสียได้



แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเริ่มมีสมองนึกคิดบ้างแล้ว ไหนจะเหมือนคำร่ำลือที่ว่าเขาเอาแต่นั่งนิ่งไม่มีสติรับรู้สิ่งใด ทันทีที่เห็นฉลองพระองค์ปักลายมังกร เฮ่อหยางก็หลบหลีกเหล่าขันทีน้อยวิ่งเข้ามาหาเฮ่อฉีพลางร้องเรียกเสียงใส “เสด็จพ่อ”



รอยยิ้มพาดผ่านริมฝีปากของเฮ่อฉี เป็นครั้งแรกที่เขามองข้าในร่างของแม่ทัพแซ่จ้าวด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเป็นอย่างยิ่ง มือขาวของเขาลูบศีรษะบุตรชายคนโตอย่างแผ่วเบา ยามเรียกขานชื่อจ้าวซิ่นจงยังอ่อนโยนสนิทสนมกว่ายามปรกติ “เจ้าดูเถิดซิ่นจง ยามนี้เขาวิ่งเล่นซ้ำยังพูดได้แล้ว เพียงไม่นานหลานชายของเจ้าต้องฉลาดปราดเปรื่องไม่แพ้หลิงเอ๋อร์เป็นแน่”



ข้าในร่างของจ้าวซิ่นจงย่อมต้องยิ้มรับเปี่ยมสุขไม่ต่างกัน แม้จะรู้สึกคล้ายพบเจอเรื่องราวไม่ชอบมาพากลเข้าแล้ว เฮ่อหยางคลอเคลียเสด็จพ่อของตนได้ไม่นานก็วิ่งไปหาขันทีน้อยร่างเล็กคนหนึ่ง เด็กชายเรียกชื่อกัวเซิ่งซ้ำๆ แล้วค่อยให้ขันทีผู้นั้นป้อนขนม ท่าทางไร้เดียงสาเช่นนี้คงทำให้เฮ่อฉีหัวใจอ่อนยวบ



“พวกเจ้าดูแลองค์ชายใหญ่ได้ดีเป็นอย่างดียิ่ง ตกรางวัลให้เป็นทองคำคนละสามแท่ง” สุ่ยเต๋อฮ่องเต้กวาดสายตาไปจนถึงขันทีน้อยกัวเซิ่ง อารมณ์ที่ดีอยู่แล้วยามได้เห็นบุตรชายยิ่งดีกว่าเดิมเสียอีก “ส่วนกัวเซิ่งให้เพิ่มเป็นห้าแท่ง ตั้งแต่เจ้าเข้ามาดูแลอาการของหยางเอ๋อร์ก็ดีขึ้น คงเพราะชะตาต้องกันเป็นแน่”



ข้าหลุบตามองขันทีน้อยด้วยความฉงนใจ บนโลกหล้าใบนี้มีหรือที่ขันทีคนหนึ่งจะสามารถรักษาอาการปัญญาอ่อนจากการที่มีจิตวิญญาณไม่ครบให้ดีขึ้นได้ด้วยสาเหตุชะตาต้องกัน ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่ กัวเซิ่งก็ขยับตัวลุกขึ้นเพื่อเติมขนมของว่างให้กับองค์ชายใหญ่ ข้าพลันได้สบสายตากับดวงตากลมโตทั้งคู่ แววตาที่ส่งตรงมานั้นสร้างความคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก



หลังจากพินิจมองดวงหน้าขาวใสและไฝเม็ดเล็กสีน้ำตาลบนหว่างคิ้วของขันทีน้อยข้างกายเฮ่อหยาง หัวใจของข้าที่มิได้มีอยู่จริงก็รู้สึกชาวาบ...สิ่งต่างๆ ที่ได้ประสบพบเจอในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลแปดแปดหกสิบสี่ก้าวยามปราบมารทิวาม่วงหรือกระจกยันต์แปดทิศภายในห้องของไหวอ๋อง กลวิชาประหลาดเช่นนี้ล้วนแต่เป็นของเล่นของคนผู้หนึ่งมิใช่หรือ



คนอย่างเยี่ยอู๋จวินหากเกิดความสงสัยขึ้นแล้วย่อมมิยอมปล่อยให้ค้างคาใจ ดึกดื่นคืนนั้นข้าจึงเร้นกายลอบปีนกำแพงเข้าไปในวังหลวงอย่างหาญกล้า ครั้นถึงตำหนักอันห่างไกลผู้คนขององค์ชายใหญ่เฮ่อหยางกลับพบว่าขันทีน้อยผู้นั้นเฝ้ารอตนเองอยู่แล้ว



กัวเซิ่งนั่งอยู่บนม้านั่งหินตัวหนึ่งด้วยอากัปกิริยาเรียบร้อยสง่างามดุจดั่งลูกหลานสกุลใหญ่ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องตรงดิ่งมาที่ข้า กระทั่งน้ำเสียงยามเอ่ยกล่าววาจายังราบเรียบสงบนิ่งถือตัวดียิ่ง



“มาแล้วหรือเยี่ยอู๋จวิน”



สิ้นคำทักทายนั้นข้าในร่างของจ้าวซิ่นจงคุกเข่าลงกับพื้นทันที



“เยี่ยอู๋จวินคารวะอาจารย์หญิง”



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

มาแล้วค่าาา ขอโทษที่มาช้า ยังมีใครรออ่านอู๋เกออยู่บ้างไหมคะะ พอดีหายไปกะจะเขียนโฮสต์โง่ให้จบๆ ไปก่อนจะได้มาเขียนอู๋เกอยาวๆ สรุปใช้เวลานานกว่าที่คิดเลยหายไปยาวเลย พอกลับมาเขียนก็ต้องใช้เวลาจูนตัวเองอีก ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะที่ทำให้รอ ฮือออ

ตอนนี้ยังคงอยู่กับปริศนาที่เหมือนจะซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีฉากหยอดของอู๋เกอกรุบกริบนะคะ ช่วงๆ นี้พล็อตเยอะ ปมเยอะ อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ ตอนนี้เบลอมากแล้ว พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
ในที่สุดก็ได้เจออาจารย์หญิงสักที ว่าแต่ทำไมมาอยู่ที่วังหลวงได้นะ

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
ห่างไกลพันลี้ยังได้พบเจอคนคุ้นเคย

ข้านั่งนิ่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นไม่ยอมขยับตัว แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขาวใสที่แม่นางแซ่เจิ้งปลอมตัวมาเป็นขันทีน้อยยังรู้สึกลังเลไม่น้อย ใจหนึ่งเป็นเพราะรู้สึกผิดต่ออาจารย์อยู่ไม่น้อยที่ตนทำตัวเก่งกล้าลาออกจากสำนัก มายามนี้สิบแปดสิบเก้าปีผ่านไป ข้ากลับตายตกเป็นเพียงผีวิญญาณที่ต้องอาศัยสิงร่างผู้อื่น อีกใจเป็นเพราะหวาดหวั่นขึ้นมาว่าเหตุร้ายในแคว้นจิ่วโจวจะเป็นฝีมือของคนใกล้ชิดเก่าแก่ที่ตนเองเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง


แต่ไหนแต่ไรในบรรดาเหล่าผู้ฝึกเซียนทั้งผู้เยาว์และผู้อาวุโสล้วนแต่ต้องนับเจิ้งปิงฉินว่าเก่งกาจสามารถ เป็นผู้มีฝีมือลึกล้ำยากเกินหยั่ง ผู้อื่นอาจเคยได้ยินเพียงว่านอกจากกระดูกเซียนอันแน่นหนาและพลังฝึกปรือสูงส่ง นางยังมีวิชากระบี่ที่คล่องแคล่วพลิ้วไหวและวิชาลับเจ็ดอัสนีสวรรค์ที่หยิบยืมพลังสวรรค์มาใช้ได้ดั่งใจปรารถนา ใต้หล้านี้ไม่ว่าใครก็ต้องค้อมเอวไว้หน้านางอยู่หลายส่วน


หากมีสิ่งหนึ่งมิเป็นที่รับรู้กันในวงนอกคือการที่อดีตอาจารย์หญิงของข้าเชี่ยวชาญการสร้างอาวุธประหลาดวิชาพิสดารยิ่งกว่าใคร เจิ้งปิงฉินแม้ท่าทางสงบนิ่งเยือกเย็น แต่กลับมีนิสัยร้ายกาจอย่างหนึ่งคือชอบกลั่นแกล้งสร้างความยุ่งยากให้กับผู้อื่น ยามก่อนที่ข้าเป็นศิษย์เอกอันดับหนึ่งของนางจึงได้มีประสบการณ์ฝังจำกับของเล่นเหล่านั้นอยู่ไม่น้อย ค่ายกลแปดแปดหกสิบสี่ก้าวมักถูกใช้เวลาทำโทษข้า ส่วนกระจกแปดทิศย้อนกลับก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน อาจารย์เคยใช้มันดึงดูดผีร้ายไปหลอกหลอนศิษย์จากยอดเขาอื่นที่เคยมารังแกไป๋เจี๋ยอยู่หลายครั้งหลายครา เวลาส่งคืนมามักเป็นข้ารับหน้าอยู่บ่อยครั้ง ไยข้าจะจำไม่ได้


ข้าได้แต่ก้มหน้าอย่างเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ สมองครุ่นคิดว่าควรเริ่มเปิดปากเรียบเรียงเรื่องราวเช่นใดดี ทั้งที่อกข้างซ้ายปวดร้าวเจ็บแปลบที่นึกคิดคลางแคลงใจในตัวอาจารย์หญิง หากท้องทะเลแปรเปลี่ยนเป็นท้องนา เวลาผันผ่านอีกไม่นานก็จะครบยี่สิบปี

จิตใจผู้คนเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรใครเล่าจะตอบได้


เวลาผ่านไปไม่ถึงเค่อ แต่กลับรู้สึกยาวนานดียิ่ง ข้าคิดจะตีหน้าซื่อเอ่ยปากทักทายหยอกล้อ หากเป็นอาจารย์หญิงที่ทนความเงียบงันไม่ได้จึงเอ่ยวาจาขึ้นมาเสียก่อน


“จากลากันคราวนั้นก็หลายปี พบเจอกันอีกครั้งใครจะคาดคิดว่าเจ้ากลับตายเป็นผีไปเสียได้” แม่นางแซ่เจิ้งในร่างของขันทีน้อยถอนหายใจครั้งหนึ่ง เมื่อเหลือบมองก็พบว่านางหลุบสายตามองข้าอยู่เช่นกัน สองมือหมุนจอกชาเล่นอย่างเชื่องช้าคล้ายกับครุ่นคิดบางสิ่ง “แต่ก็สมเป็นเยี่ยอู๋จวิน ตายแล้วกลับไม่คืนสู่ปรโลก คงหาหนทางฝึกเป็นอ๋องผีอยู่กระมัง”


มุมปากของข้าขยับอออกคล้ายเป็นรอยยิ้มกว้างตอบรับอย่างหน้าซื่อตาใส ความกระวนกระวายและความคลางแคลงใจต่างๆ ล้วนเก็บซ่อนเอาไว้ภายในเสียสิ้น “ได้ยินข่าวคราวว่าอาจารย์หญิงเร้นกายมิมีผู้ใดพบเจอมาสิบสี่ปี มิคาดคิดว่าท่านจะแฝงตัวอยู่ในวังหลวงแคว้นจิ่วโจวเสียได้ คราวก่อนที่ศิษย์เป็นราชครูกลับไม่เคยพบเจอขันทีน้อยนามกัวเซิ่งมาก่อน ท่านคงมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานกระมัง”


“หลังเจ้าตายไม่กี่วันเพียงเท่านั้น” เจิ้งปิงฉินวางจอกน้ำชาลงด้วยท่าทางสงบนิ่งเหมือนดั่งเช่นเคย ภาพลักษณ์ของกัวเซิ่งมิได้ลดทอนความสง่างามลงแม้แต่น้อย หากชั่วครู่หนึ่งที่ก่อนที่นางจะละสายตาไป ข้ากลับเป็นประกายน้ำบางเบาที่ฉาบอยู่ในดวงตาคู่งาม “เพียงแค่อยากให้เห็นกับตาว่าเจ้าพลาดพลั้งจริงหรือไม่”


ความเศร้าสร้อยที่แฝงอยู่มีหรือที่ผู้แซ่เยี่ยจะมองไม่เห็น หากแต่จะใช้อารมณ์จนละเลยข้อสังเกตอื่นคงไม่ได้ เจิ้งปิงฉินอยู่ในแคว้นจิ่วโจวนับเวลาแล้วตอนนี้ก็สิบเดือนเทียบเท่ากับช่วงเวลาที่เหล่าอ๋องและขุนนางใหญ่ทั้งหลายในราชสำนักประจวบเหมาะล้มตายมิใช่หรือ เรื่องพรรค์นี้ปล่อยค้างคาเรื้อรังไว้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี หากมิสอบถามให้รู้ความก็คงมิใช่เยี่ยอู๋จวินแล้วกระมั้ง


“ผู้แซ่เยี่ยขอบังอาจล่วงเกินถามท่านสักคำ” ข้าประสานมือเข้าหากันเพื่อคารวะอย่างนอบน้อม ทางหนึ่งลอบส่งพลังหยางสายหนึ่งเข้าไปสำรวจจิตมาร “ท่านคงเห็นแล้วว่าข้าธาตุเข้าแทรกตายไปตั้งแต่สิบเดือนก่อนดัง เหตุใดจึงไม่จากไป ไยจึงยังรั้งอยู่ในวังหลวงอีก”


เจิ้งปิงฉินหัวเราะเสียงเย็นในลำคอ เมื่อข้าเงยหน้าขึ้นก็พบว่าถูกผู้อื่นซัดฝ่ามือใส่ฝ่ามืดหนึ่งโดยมิทันได้ตั้งตัว แต่ไหนแต่ไรเรื่องความรวดเร็วว่องไวข้าก็มิอาจเอาชนะแม่นางแซ่เจิ้ง เมื่อมิอาจหลบพ้นจึงได้แต่ใช้สัญชาตญาณโคจรพลังหยางมารวมเอาไว้ตรงจุดที่ฝ่ามือกระทบผิวกายของแม่ทัพจ้าวเพื่อลดทอนบรรเทาอาการบาดเจ็บให้ได้มากที่สุด


ฝ่ามือนั้นมิได้รุนแรงมากนักคล้ายว่าคนยังออมมืออยู่มาก ผู้แซ่เยี่ยมิทันได้รู้สึกรู้สาประการใด แต่กลับเป็นเจิ้งปิงฉินที่ถูกพลังสะท้อนกลับจนร่างเล็กที่นางใช้อยู่ยามนี้ลอยกระแทกกับกำแพงตำหนักกระจ่างใส โชคอันดีที่ว่าอาจารย์คงวางอาคมบางอย่างป้องกันความวุ่นวายเอาไว้แล้ว มิเช่นนั้นย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงขันทีและนางกำนัลได้เป็นแน่


“อาจารย์!”


ข้าขยับตัวขึ้นไปประคองร่างของนางขึ้นมา หนึ่งฝ่ามือที่อาจารย์ซัดใส่หาได้มีจิตมารเพียงเศษเสี้ยว เจิ้งปิงฉินยังคงเป็นพิณน้ำแข็งผู้สูงส่งสง่างามคนเดิมที่มิเคยมีใจคิดข้องเกี่ยวกับมารชั่ว หากสิ่งหนึ่งที่ข้าเป็นกังวลมากกว่าคือพลังฝึกปรือของนางที่ถดถอยอ่อนแอลงหลายเท่าตัว สตรีในร่างขันทีน้อยเบื้องหน้าข้านี้...ไหนเลยจะเป็นยอดฝีมือในตำนานผู้นั้นได้อีก


“ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”


อาจารย์หญิงกระอักเลือดออกมาคำโต นางส่ายหน้าอย่างเชื่องช้าคล้ายว่ามิเป็นเรื่องราวใหญ่โตแต่อย่างใด หากริมฝีปากที่ย้อมด้วยโลหิตสีแดงก่ำกลับแย้มยิ้มงดงาม


“ไม่พบจิตมาร...ดียิ่งนัก คงเพราะตัดรักไปทั้งหมดเป็นแน่”


มือที่ข้าหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดให้นางถึงกับชะงักนิ่งไปบ้าง ถ้อยคำที่กล่าวมานั้นมิได้แตกต่างจากวันที่ข้ากราบลานางก้าวขาบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์แม้แต่น้อย คนยังคงมีจิตฝังใจห่วงใยกับเรื่องจิตมารจากการฝึกวิชาใช้ผู้อื่นเป็นเตาหลอมของข้าอยู่มาก หากแต่เจิ้งปิงฉินกล่าววาจาเช่นนี้ มิใช่ว่านางก็มีข้อกังขาว่าข้าจะต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มารอาละวาดในเมืองหลวงเป็นแน่


น่าตลกดีแท้ที่ทั้งนางและข้าต่างมีความคิดสงสัยฝ่ายตรงข้ามมิแตกต่างกันเลยสักนิด อาจเพราะอาจารย์สั่งสอนผู้แซ่เยี่ยมาหลายปีอยู่กระมัง ข้าจึงซึมซับบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง หากแต่นิสัยลงมือก่อนเอ่ยปากถาม คงเพราะข้าเป็นผีลามกที่ดีมีจิตใจอ่อนโยนมากกว่ากระมัง


“ล้วนเป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าวเอาไว้ แรกเริ่มแม้เจ็บปวดใจเจียนตาย หากวันหนึ่งก็สามารถตัดขาดจากรักได้โดยมิรู้ตัว ยามนี้ข้ามิรู้สึกอันใดถึงความรู้สึกเหล่านั้นอีกแล้ว” ข้าละเว้นไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ตนเองคล้ายกลับมามีความรู้สึกรักและหวงแหนไผ่หยกสกุลไป๋ยามยืมใช้ร่างของเหล่ยเจิ้นยวี่ไปเสียสิ้น ขณะที่ฝ่ามือถ่ายทอดพลังหยางไปสายหนึ่งเพื่อช่วยรักษาอาการบาดเจ็บตามเส้นชีพจรของอาจารย์หญิง “มิพบเจอหลายปีเหตุใดพลังฝึกปรือของท่านจึงถดถอยเยี่ยงนี้ เกิดเหตุการณ์ใดขึ้นหรือ”


นัยน์ตากลมโตของขันทีน้อยวูบวาบด้วยหลากหลายอารมณ์ นางโบกมือไล่คล้ายอยากตัดบทเต็มที เช่นเดียวกับน้ำเสียงห้วนสั้นในวาจาต่อมา “เวลาเกือบสิบเก้าปีทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยน ข้าเองก็พบเจอเรื่องราวมากมาย พลังฝึกปรือจะลดลงบ้าง เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”


จากใกล้โบยบินเป็นเซียนกลับลดระดับลงจนอ่อนด้อยกว่าข้าหลายขั้น ยามนี้หากพบเจอมารชั่วเข้ามีหรือที่อาจารย์จะรับมือได้ อาการคล้ายต้องการปิดบังบางสิ่งกับทำให้ข้านึกสะท้อนใจขึ้นมา จึงว่ากล่าวกับนางไปอีกหลายประโยค


“ซัดข้าหนึ่งฝ่ามือ ตัวท่านกระเด็นไปสามจั้งคงเรียกว่าพลังฝึกปรือลดลงไปบ้างมิได้ ท่านเก็บงำวาจาเช่นนี้มิใช่ว่าถูกใครทำร้ายจนพลังถดถอยหรอกหรือ ขอเพียงท่านบอกมาตามตรง ข้าเยี่ยอู๋จวินแม้ลาออกจากสำนักแต่ยังเคารพท่านเป็นอาจารย์ทุกลมหายใจ ข้าย่อมต้องแก้แค้นเอาชีวิตมันมาให้ท่านเป็นแน่”


อาจารย์หญิงนิ่งงันไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นอาการเอาจริงเอาจังของข้า ก่อนนางจะหยิบจอกชาว่างเปล่ามาปาใส่ข้าแทน เจิ้งปิงฉินอ่อนแรงถึงเพียงนี้ มีหรือจะสามารถทำอะไรข้าได้ “เคราะห์กรรมครั้งนี้ล้วนแต่เป็นบุญคุณความแค้นของข้าทั้งสิ้น หาใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามายุ่งเกี่ยว”


เมื่อนางดื้อดึงเช่นนั้นแล้วเยี่ยอู๋จวินยังมีหน้าที่ไหนไปเสนอตัวได้อีก แต่ข้อสงสัยที่ว่าเหตุใดอาจารย์หญิงจึงแฝงตัวอยู่ในวังหลวงของแคว้นจิ่วโจวเนิ่นนานเกือบปียังคงไม่คลี่คลาย หากเมื่อละทิ้งเรื่องมารชั่วอาละวาดและคิดใคร่ครวญดูให้ดีอีกรอบหนึ่งก็คล้ายว่าข้าจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้


คำถามมิใช่ว่านางรั้งอยู่ทำไม หากเป็นนางรั้งอยู่เพื่อใคร


“องค์ชายใหญ่เฮ่อหยาง...คงไม่ใช่อาจารย์อาเหลียงเหลียงเหลียงกระมัง”


เอ่ยถามไปเช่นนั้น แต่ในใจข้ามั่นใจถึงเก้าส่วนว่าบุตรชายผู้สติปัญญาไม่สมประกอบของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้คงเป็นชาติภพถัดมาของอดีตเจ้ายอดเขาอสูรคำรามเป็นแน่ จากคำบอกเล่าของไป๋เจี๋ยที่ว่ายามนั้นอาจารย์หญิงมาถึงช้าเกินไปอาจารย์อาเหลียงสิ้นชีพใต้เคราะห์อัสนี ดวงวิญญาณจึงเข้าสู่วัฏสงสารไปเสียก่อน ไหนเลยจะคาดคิดว่าคนกลับเกิดมามีสามจิตเจ็ดวิญญาณไม่ครบเสียได้ เคราะห์อัสนีของอาจารย์อาคงหนักหนาเกินไปแล้ว


เจิ้งปิงฉินที่ผู้คนกล่าวขานว่าหายสาบสูญแท้จริงคงตระเวนตามหาเสี้ยวจิตเสี้ยววิญญาณของอาจารย์อาไปทั่วทุกดินแดน สิบเดือนหนึ่งปีที่เฮ่อหยางอาการดีขึ้นมากย่อมเป็นเพราะได้รับเสี้ยววิญญาณบางส่วนกลับคืนมาเป็นแน่ แต่ไหนแต่ไรการตามหาดวงจิตและดวงวิญญาณที่แหลกสลายล้วนมิใช่เรื่องง่าย นางคงพลาดพลั้งเสียพลังฝึกปรือไปหลายส่วนคงเพราะเหตุนี้ คนถึงได้กล่าวว่าทั้งหมดล้วนเป็นบุญคุณหนี้แค้นของตน ผู้อื่นมิอาจสอดมือไปเกี่ยวข้องได้


ความเงียบงันและดวงตาหม่นแสงของอาจารย์ที่มิอาจกักเก็บความเศร้าโศกได้คล้ายเป็นคำตอบอย่างหนึ่งแล้ว เกรงว่านางคงนึกเสียใจที่ปล่อยให้เรื่องราวความรักสามเส้าในยามนั้นค้างคาจนดำเนินมาสู่ปลายทางที่ยากเกินแก้ไข เฮ่อหยางที่ชาตินี้มีชาติสกุลสูงส่งไม่มีความทรงจำครั้งเก่า ทั้งยังไม่รู้ว่ามีรากฐานเซียนเป็นเช่นไรบ้าง ต่อให้ลูกกลอนปราณไปบำรุงดูแลตนเองก็มิใช่ว่าจะหวนคืนสู่เส้นทางเซียนได้ง่าย อนาคตภายหน้าเป็นเช่นไรมิอาจคาดเดาได้เลยสักนิด


ความรักช่างทำให้ผู้คนสับสนวุ่นวายได้บัดซบยิ่งนัก


หัวคิ้วของจ้าวซิ่นจงที่มีข้ายึดครองร่างอยู่กระตุกเข้าหากัน แม้อาจารย์หญิงจะพลังฝึกปรือลดน้อยลงหลายขั้น แต่อายุขัยของนางยังคงยืนยาวหลายร้อยปี หากกลับไปบำเพ็ญเพียรอย่างขยันขันแข็งอีกครั้งก่อนหมดอายุขัยคงสามารถเหาะเหินขึ้นสวรรค์ได้
เว้นเสียแต่ว่านางละทิ้งหนทางเซียนเสียแล้ว


“หรือท่านคิดจะรั้งอยู่ดูแลเขาไปตลอดชีวิต”


“ไหนเลยจะเป็นเช่นนั้นได้” เจิ้งปิงฉินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายยอมรับในชะตากรรม แรกเริ่มข้ายังคิดว่าอาจารย์ยังสติไม่ฟั่นเฟือนพอนึกคิดมองเห็นความจริงได้บ้างว่าเส้นทางของนางและเด็กน้อยแซ่เฮ่อในชาตินี้คงมิอาจมาบรรจบกันได้อีกแล้ว แต่ประโยคถัดมาของนางกลับทำลายความคิดของข้าหมดสิ้น “ย่อมต้องมีหนทางอื่นที่จะพาเขาออกไปจากที่นี่ได้”


ไหนเลยจะมีหนทางง่ายดายเช่นนั้น เฮ่อหยางเป็นถึงองค์ชายใหญ่ โอรสของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้กับอดีตเต๋อเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานเหนือตำหนักในจนคล้ายเป็นรักแท้ของเฮ่อฉี แม้จะมีสติปัญญาไม่สมประกอบ แต่มีหรือที่เสด็จพ่อของเขาจะยอมปล่อยตัวผู้คนไปได้ คงต้องลอบลักพาตัวหรือไม่ก็แกล้งตายแล้วสลับสับเปลี่ยนศพกระมัง


ข้ายังมิท่านได้เปิดปากโต้แย้ง อากาศรอบข้างตำหนักกระจ่างไกลขององค์ชายใหญ่เฮ่อหยางพลันกระเพื่อมลงน้อยคล้ายมีผู้คนผ่านเข้ามาในเขตอาคมของอาจารย์หญิง ยังไม่ทันผู้คนจะเดินมาให้เห็นตัว เนื้อเสียงอันทรงพลังที่อีกเพิ่มเสียงอีกสักส่วนคงกลายเป็นการตะโกนก็ดังขึ้นให้ได้ยินเสียก่อน


“อาจารย์อาเจิ้ง! เห็นทีท่านจะชักช้ารั้งรออยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ศิษย์รักของท่านสืบได้ความมาว่าเมืองหลวงแคว้นจิ่วโจวมีมารออกอาละวาดสูบหยางผู้คนเป็นเรื่องราวใหญ่โต อีกไม่ถึงสิบวันครึ่งเดือนนายน้อยสกุลไป๋คงได้พาผู้ฝึกเซียนฝูงใหญ่บุกมาที่นี้เป็นแน่ ยามนั้นท่านจะเร้นกายซ่อนตัวอย่างไรก็คงมิอาจ...”


ถ้อยคำประโยคท้ายขาดหายไปเมื่อผู้มาใหม่เพิ่งสังเกตเห็นร่างสูงกำยำของแม่ทัพจ้าวที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นดินต่ำกว่าขันทีน้อยหน้าใสอยู่ระดับหนึ่ง นัยน์ตาของคนผู้นั้นเบิกถลน รูจมูกขยับหุบๆ อ้าๆ ริมฝีปากกระตุกสั่นจนพลอยให้หนวดยาวหร็อมแหร็มสั่นตามไปด้วย มิรู้ว่าด้วยอารมณ์ใดกันจึงได้ปรากฏหน้าตาแปลกประหลาดเช่นนั้นขึ้นมาได้ มองแล้วองคาพยพแสนธรรมดาสามัญดูน่าขันจนข้าเกือบหลุดหัวเราะออกมา หากข้ายังเห็นแก่เครื่องแบบเจ้าสำนักสีครามที่ปักลายเจ็ดเมฆมงคลและเจ็ดยอดบรรพตจึงไว้หน้าเขาไว้สักสองส่วน


ลาออกจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์มาสิบเก้ายี่สิบปี ห่างไกลจากสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์หลายพันลี้ นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับได้พบเจอคนคุ้นเคย ซ้ำยังไม่ใช่หนึ่งแต่เป็นถึงสอง...


“อาจารย์อา ดึกดื่นยามนี้แล้วเหตุใดท่านจึงนัดพบชายหนุ่มหน้าตาองอาจซ้ำยังสร้างเขตอาคมมิให้คนนอกเข้ามาได้อีก ไหนจะอาจารย์อาเหลียงอีกเล่า นี่มิใช่ว่า...มิใช่ว่า...” เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์คนปัจจุบันมองข้าสลับกับขันทีน้อยพลางพึมพำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ คนผู้นี้จิตใจหยาบช้าดีแท้ เห็นข้าอยู่กับอาจารย์หญิงก็อุตริคิดไปไกลเสียได้ หากมิหยุดความคิดของเขาเอาไว้ก่อนจะเลยเถิดไปกันใหญ่ อีกสักครู่ข้าคงเผลอตัวซัดฝ่ามือใส่เขาหลายกระบวนท่าเป็นแน่


“คารวะศิษย์พี่หม่า”


หม่าฮุ่ยเหวินถึงกับชะงักบ้างเมื่อได้ยินดังนั้น หัวคิ้วของคนกระตุกเข้าหากัน จากนั้นพลังเซียนสายหนึ่งก็พุ่งตรงมายังข้า ผู้แซ่เยี่ยปล่อยให้ตัวน่าตายแซ่หม่ากระทำการสำรวจอย่างเต็มที่ ผ่านไปเพียงชั่วลมหายใจคนก็กลับมามีสีหน้าตกใจอีกครั้ง ศิษย์พี่กะพริบตาถี่ระรัวมองข้าราวกับปีกแมลงปอยามกระพือบิน


“เจ้า...เจ้า...เจ้า”


“ย่อมเป็นเยี่ยอู๋จวิน” อาจารย์หญิงเอ่ยขึ้นตัดบทเพราะรำคาญที่ผู้คนผู้ติดอ่างไม่ยอมกล่าวจบประโยคสักที หม่าฮุ่ยเหวินได้ยินดังนั้นก็รีบคว้ามือข้าซึ่งไม่ใช่ข้าไปตรวจชีพจรเสียยกใหญ่ นัยน์ตาคู่งามของขันทีน้อยกัวเซิ่งปรายมองชายผู้นั้นด้วยอารมณ์เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม หากน้ำเสียงราบเรียบจนแข็งกระด้างกลับอธิบายความได้ชัดเจนดียิ่ง ซ้ำยังปกป้องข้าอยู่หลายส่วน “เพียงแค่ยืมร่างผู้อื่นฝึกวิชาเพื่อเป็นอ๋องผีเท่านั้น ยามนี้คนตัดอารมณ์รักไปหมดสิ้นแล้ว ย่อมห่างไกลจากหนทางมารด้วยเช่นกัน”


เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ได้ยินดังนั้นถึงกับชะงักนิ่งงันราวฉาบด้วยเกล็ดน้ำแข็งค้าง คนมิได้สนใจเรื่องราวการฝึกเป็นอ๋องผีของข้าเลยสักนิด หากกลับถามถึงผู้อื่นขึ้นมาเสียได้ “เช่นนั้นแล้วไป๋เจี๋ยเล่า....”


นึกถึงใบหน้ารอยยิ้มเศร้าสร้อยบนดวงหน้างามของไผ่หยกสกุลไป๋ยามแยกจากกลับครั้งล่าสุด หัวใจข้าพลันบีบรัดกลายเป็นความรู้สึกเจ็บแปลบทรมานยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่คนกะล่อนเจ้าเล่ห์แสนกลเช่นข้ามิรู้จะเอื้อนเอ่ยวาจาใดดี ขณะที่กำลังปั้นแต่งถ้อยคำ เจิ้งปิงฉินผู้มิรู้ว่านึกคิดสิ่งใดอยู่จนหน้าตามืดทะมึนกลับกระอักเลือดออกมาคำโต


“อาจารย์!”


“อาจารย์อา!”


ทั้งข้าและคนสกุลหม่าร้องประสานเสียงพลางขยับเข้าไปประคองร่างบอบบางคนละข้าง ศิษย์พี่หม่าจับชีพจรและสกัดจุดช่วยบรรเทาอาการลมปราณปั่นป่วนชีพจรยุ่งเหยิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นคนค่อยหยิบกล่องไม้จันท์หอมกล่องหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ภายในบรรจุลูกกลอนโอรสสีแดงใสลายเปลวเพลิงอันบ่งบอกถึงคุณภาพอันดีเยี่ยมสมกับเป็นอันดับหนึ่งจากยอดเขาทิพย์โอสถ อากัปกิริยาคล่องแคล่วว่องไวของหม่าฮุ่ยเหวินคล้ายว่าเคยรักษาอาการนี้มาแล้วหลายสิบหลายร้อยครั้ง


ข้าที่ถอยออกมาก้าวหนึ่งปล่อยให้หมอเทวดาได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะข้องใจว่าเกิดเหตุอาเพศอันใดกับอาจารย์กันแน่ เจิ้งปิงฉินเหลือบตามองข้าด้วยสายตาแปลกประหลาดที่มีประกายวูบไหวพิกล ครั้นสีหน้าของขันทีน้อยกลับมีสีเลือดดีขึ้นบ้าง คนก็มองเมินข้ากลับสนใจแต่ศิษย์พี่หม่าเสียได้


“อีกสองสามวันเจ้าจงใช้ฐานะเจ้าสำนึกเช้ามาขอพบสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แล้วค่อยบอกเขาว่าองค์ชายใหญ่มีกระดูกเซียนแน่นหนามีพื้นฐานปราณดีเยี่ยม หากฝึกฝนบำเพ็ญเพียรนอกจากอาการจะดีขึ้นแล้วอาจยังได้เป็นเทพเซียน ดีร้ายอย่างไรเฮ่อฉีผู้นั้นก็รักเอ็นดูบุตรชายอยู่ไม่น้อย เขาย่อมเข้าใจว่าเด็กผู้นี้มิเหมาะสมกับการแก่งแย่งชิงดีในวังหลวง” แม่นางแซ่เจิ้งสั่งความด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


วิธีการของอาจารย์เจิ้งช่างชาญฉลาด มิว่าฝ่ายใดก็ล้วนได้ประโยชน์กันทั่วหน้า กัวเซิ่งเป็นคนสนิทขององค์ชายใหญ่ย่อมถูกส่งตัวร่วมเดินทางไปด้วยย่อมหมายความว่านางจะได้ตัวคนรักในชาติภพใหม่กลับคืนไปอย่างง่ายดาย ส่วนด้านฮ่องเต้นั้นก็ได้หน้าอยู่ไม่น้อย ในราชสำนักล้วนรู้ดีว่าเฮ่อหยางเกิดมามีสติไม่สมประกอบ หากนางเล่นลูกไม้นี้ให้เขากลายเป็นผู้มีพลังปราณที่ถูกสำนักเซียนใหญ่รับตัวไป ไหนเลยใครจะจดจำได้อีกว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนปัญญาอ่อน ส่วนเกียรติยศของเต๋อเฟยสกุลจ้าวที่เคยแปดเปื้อนไปคราวให้กำเนิดพระโอรสคงได้กู้คืนกลับมาก็คราวนี้


เรื่องราวภายหน้าผู้คนจะหายตัวไปเช่นไรก็คงมิมีใครตามสืบข่าวได้แล้วกระมัง จากนิสัยของนางแล้ว อาจารย์หญิงคงคิดรักษาสถานะเร้นกายสูญหายไปในยุทธภพของตนเอาไว้เป็นแน่


หากศิษย์พี่หม่ากลับมีอาการลังเลอยู่ไม่น้อย “นี่มิใช่ว่าจะเป็นการหลอกลวงกันหรอกหรือ...เฮ่อหยางแม้มีรากฐานปราณอยู่บ้าง แต่ใช่ว่าจะแข็งแกร่งเป็นยอดอัจฉริยะเสียเมื่อไร”


“ตัวเจ้าเองก็ใช่ว่าจะมีกระดูกเซียนแน่นหนามาตั้งแต่เกิด เรื่องเช่นนี้หากบำรุงดูแลอย่างเหมาะสมย่อมก้าวหน้าได้ไวมิใช่หรือ” วาจานี้ของแม่นางแซ่เจิ้งคล้ายจะตบแสกเข้ากลางหน้าหน้าหม่าฮุ่ยเหวินเลยกระมัง เพราะตัวเขาเองที่ก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ได้ก็มิได้อาศัยกระดูกเซียนตั้งแต่แรกเกิดเสียเมื่อไร หากคนมีพรสวรรค์ด้านการปรุงยารักษาโรคและการมีอาจารย์ดีที่เอ็นดูรักใคร่ศิษย์ก็นับว่าเป็นพรสวรรค์อีกเช่นกัน


เรื่องราวความรักข้ามภพข้ามชาติของอาจารย์หญิงและอาจารย์อาเหลียงก็แก้ไขไปอย่างง่ายดายเช่นนี้เอง หากเรื่องราวของข้าไหนเลยจะจบสิ้น ยิ่งได้ยินว่าคนสกุลไป๋จะนำพาเหล่าสำนักเซียนมายังที่นี่ในอีกสิบวันครึ่งเดือน จะบอกว่าคนแซ่เยี่ยไม่ร้อนใจเลยก็คงเป็นการโกหกกันเกินไปแล้ว


“อาจารย์หญิงและศิษย์พี่หม่าอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ผู้แซ่เยี่ยมีเรื่องจะปรึกษาหารืออยู่บ้าง ที่ท่านกล่าวว่าไป๋เจี๋ยสืบพบเรื่องมารออกอาละวาด แท้จริงแล้วข้าก็ติดตามเรื่องนี้เพื่อล้างแค้นในร่างนี้และสร้างกุศลให้ตนเองอยู่ หากไผ่หยกพาเหล่าสำนักใหญ่มา เกรงว่าข้าคงมิอาจออกหน้าได้อีกแล้ว”


หม่าฮุ่ยเหวินพยักหน้าพลางมองข้าด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ คนคงรู้ดีว่าหนทางการฝึกวิชาเป็นอ๋องผีมิใช่เรื่องง่ายดาย ที่ผ่านมามีตำนานผู้ที่ฝึกสำเร็จอยู่เพียงแค่สองคนทั้งนั้น ครั้งเมื่อพลาดพลั้งฝึกมิสำเร็จยังมีราคามากมายที่ต้องจ่ายคืนให้ยมโลก ฉะนั้นแล้วการสร้างกุศลจึงเป็นเรื่องสำคัญเทียบเท่ากับการฝึกปรือ การปราบมารครั้งนี้จึงสำคัญต่อข้าเป็นอย่างมากเพราะการช่วยเหลือแว่นแคว้นย่อมเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่มิใช่หรือ


เมื่อข้าเริ่มเล่าเรื่องราวที่ตนสืบเสาะมาได้จนถึงตอนนี้โดยไม่แม้แต่จะตัดทอนส่วนที่ข้านึกสงสัยเจิ้งปิงฉินออกไป เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่งจนขมวดคิ้วแน่นหน้าตายุ่งเหยิงไปหมด ขณะที่อาจารย์หญิงยังคงรักษาความสงบนิ่งเย็นชาได้เหมือนเช่นเคย


“เมื่อพบเจอกระจกแปดทิศย้อนกลับที่ใต้เตียงของไหวอ๋อง ข้าจึงนึกคิดได้ว่ารากฐานของวิชานี้เดิมทีเป็นของเหล่าเซียน ใช่ว่ามารจะหยามเหยียดกันได้ง่ายๆ หรือว่าแท้จริงในเมืองหลวงอาจมิได้มีมารแฝงตัว หากเป็นผู้ฝึกเซียนที่คบคิดกับมารชั่วก็ได้กระมัง” ยามนี้ข้อสงสัยของข้าจึงไม่ได้อยู่ที่พิณน้ำแข็งอีกต่อไป หากย้อนกลับไปยังผู้อื่นที่ร่ำรู้วิชาเซียนเช่นกัน “มิทราบว่านักพรตหยวนจิ้งจากอารามละนิวรณ์แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไร”


กลับเป็นหม่าฮุ่ยเหวินที่ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย “หลายปีมานี้ข้าเคยพบปะเขาอยู่บ้าง หยวนจิ้งแม้จะไร้เดียงสาสื่อบริสุทธิ์จนเกินไปบ้าง แต่เนื้อแท้มิใช่คนเลวร้ายแต่อย่างใด มารดาเขาตายตอนร่วมขบวนปราบมาร คนจึงรังเกียจมารเสียยิ่งกว่าอะไร หากพบเจอไอมารเพียงเล็กน้อยก็นิวรณ์อันใดก็ไม่อาจละทิ้งได้อีก เจอมารฆ่ามาร เจอพระก็ฆ่ามาร บ้าคลั่งดีแท้”
คนกล่าวเช่นนี้ย่อมหมายความว่าสติปัญญาของนักพรตแซ่หยวนคงทึมทื่อซื่อบื้ออยู่หลายส่วน หากหยวนจิ้งมีความแค้นต่อมารทั้งเผ่าพันธุ์เช่นนี้ เกรงว่าชีวิตหน้าอีกสามชีวิตก็ยังคงมิอาจร่วมมือทำชั่วได้กระมัง


หม่าฮุ่ยเหวินยกมือขึ้นลูบเคราหร็อมแหร็มที่ปลายคางวางท่าเคร่งขรึมด้วยมาดของเจ้าสำนัก “เรื่องราวนี้น่าสนใจยิ่งนัก หยินมากหยางพร่องมิใช่อาการที่จะตรวจพบกันโดยง่ายดาย ยิ่งกลิ่นอายมารเบาบางมิชัดเจนยิ่งตรวจพบยากนัก เกรงว่าต่อให้ผู้คนถูกสูบหยางล้มตายกันไปมากมายก็คงคิดว่าเป็นเพียงอาการเจ็บป่วยธรรมดา”


“เห็นทีข้าคงต้องแฝงตัวเข้าไปตรวจสอบบ้างแล้ว” นัยน์ตาของศิษย์พี่หม่าเป็นประกายระยิบระยับคล้ายพบเจอเรื่องสนุกขึ้นมา ผู้คนล้มตายแต่อีกฝ่ายกลับรื่นเริงเปรมปรีดิ์ มิรู้ว่าจะสรรหาคำใดมาด่าเจ้าหมอเทวดาหน้าด้านตัวนี้ดี
อาจารย์หญิงที่นั่งฟังอย่างเงียบอยู่นานจ้องมองมายังข้าด้วยสายตาล้ำลึกเกินหยั่ง


“ฟังดูแล้วคล้ายว่ายังมีสิ่งสำคัญกว่าที่เจ้ามองข้ามไปมิใช่หรือ” น้ำเสียงของนางยามนี้เย็นเยียบเยือกเย็น “หากมารชั่วมีแผนการรวบรวมธาตุหยางจนเข่นฆ่าขุนนางและเหล่าอ๋องในแคว้นจิ่วโจวไปมากมายถึงเพียงนั้น...”
ประโยคถัดมาของนางกลับทำให้ข้าตะลึงลานจนแทบเสียกริยา


“เกรงว่าคนแรกที่ตายตกจะไม่ใช่เจ้าหรอกหรือเยี่ยอู๋จวิน”


โปรดติดตามตอนต่อไป...


ซินเอ๋อร์:

มาช้าแต่มานะคะะะ ฮือออ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ซินเอ๋อร์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
ผู้คนล้วนแต่มีแผนการในใจ



เพราะเกิดมามากความสามารถจึงถือตนว่าเป็นผู้มีมันสมองฉลาดปราดเปรื่องรู้เท่าทันผู้คนเกินใครตั้งแต่เยาว์วัย ครั้นเป็นเรื่องราวของตนเองข้าเยี่ยอู๋จวินที่เป็นคล้ายหมากเบี้ยตัวหนึ่งแม้มิได้ขี่ม้าชมดอกไม้ หากกลับมิสามารถมองเห็นจุดบอดและจุดอับของหมากทั้งกระดานเสียได้ ต้องอาศัยคนนอกที่นั่งอยู่บนภูมองดูด้วยสายตาที่กว้างไกลเตือนสติ หมอกควันที่บดบังความจริงถึงได้มลายหายไปได้บ้าง



เกิดมาสามสิบสี่ปี ตายตกมาได้อีกเกือบปี ข้าเยี่ยอู๋จวินมิเคยคาดคิดว่าตนเองเป็นตัวโง่งมเท่าวันนี้มาก่อน เพียงวาจาประโยคเดียวของอาจารย์ก็ทำให้ยามนี้ดวงตาเบิกกว้างขึ้นมาก พิรุธอันใดที่มิเคยสังเกตเห็นก็คล้ายปรากฏเบื้องหน้าเสียมากมาย



ยามนั้นก่อนสุ่ยเต๋อฮ่องเต้โยนข้าเข้าตำหนัก โอรสสวรรค์ได้ลอบวางยาปลุกกำหนัดในสุรา แรกเริ่มข้าคิดเพียงว่าพิษวรุณคลั่งรักวสันต์รัญจวนใจของวังหลวงช่างแข็งแกร่งเสียจนเกินต้าน แต่เมื่อหวนคิดให้ดีแล้วกลับพบว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง



เนื่องด้วยข้าเป็นปรมาจารย์วังวสันต์ผ่านรสรักมามากมาย ใต้หล้านี้ยาสวาทประเภทใดก็เคยลิ้มรสมาหลากหลายชนิดเสียจนร่างกายเริ่มคุ้นชิน กระทั่งคราวมารทิวาม่วงใช้กลิ่นกระตุ้นราคะ ข้ายังเป็นเพียงผู้เดียวที่ประคองสติตนไว้ได้...แล้วเหตุใดยาปลุกกำหนัดสูตรวังหลวงที่เดิมทีใช้เพียงคนในราชวงศ์จึงบีบคั้นให้ข้าขาดสติถึงขั้นมั่วโลกีย์กับสตรีถึงสามร้อยนางได้ พึงรู้ไว้ว่าเจ้าหน้าอ่อนสายเลือดมังกรพวกนี้เดิมทีล้วนแต่เป็นหมูในอวย ทั้งร่างกายทั้งจิตใจของข้าย่อมแข็งกล้ากว่าพวกเขาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า



หากการตายของข้าเป็นไปตามแผนการของมารร้ายดั่งคำว่ากล่าวของเจิ้งปิงฉิน คราวนี้เรื่องราวในแคว้นจิ่วโจวคงสลับซับซ้อนขึ้นเสียแล้ว



ด้านหนึ่งข้าไหว้วานให้คนสนิทของแม่ทัพจ้าวสืบเสาะหาตัวอย่างยาวรุณคลั่งรักวสันต์รัญจวนใจมาให้ข้าพิสูจน์พิษอีกครั้ง อีกด้านแผนการเข้าใกล้เพื่อช่วงชิงหัวใจโอรสมังกรก็ยังไม่ล้มเลิกแต่อย่างใด ข้ายังคงใช้ตัวใกล้ชิดผู้คนอย่างหน้าไม่อาย เฝ้ารอเพียงวันที่เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ปรากฏตัวเพื่อใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ต่อไป



หม่าฮุ่ยเหวินในชุดสีน้ำเงินครามปักลายเจ็ดเมฆมงคลและเจ็ดยอดบรรพตพร้อมพัดจิ้วลวดลายอลังการปรากฏตัวขึ้นในท้องพระโรงของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ในวันที่สามตามคำของอาจารย์หญิง ท่าทางวันนี้มองแล้วสุขุมสูงศักดิ์ราวเทพเซียนผู้ปราศจากโลกีย์มิสนใจความเป็นไปอันใดของโลกจนสามารถออกตัวได้โดยไม่อายปากว่าเป็นเจ้าสำนักใหญ่ ไหนเลยจะมีท่าทางเหลาะแหละเหมือนศิษย์พี่หม่าในวันวานอีก หลายปีมานี้ผู้คนคงผ่านเรื่องราวมามากมายจึงสามารถเล่นงิ้วเล่นละครได้เก่งกาจถึงเพียงนี้



“มิทราบว่าท่านเซียนมีธุระอันใดกับแคว้นจิ่วโจวหรือ” เรียวคิ้วงามของเฮ่อฉีกระตุกเข้าหากันคล้ายไม่สบายใจเท่าใดนัก ยามนี้ในวังหลวงไม่มีราชครูโหราจารย์เพราะหยวนจิ้งติดกิจจากสำนัก การปรากฏตัวของนักพรตคนอื่นย่อมสร้างความลำบากใจไม่น้อย หากฮ่องเต้หน้าหยกยังไว้หน้าชายเบื้องหน้ามากนัก เกรงว่าคงเป็นเพราะคนแซ่หม่าวางมาดสูงส่งจนมิอาจดูแคลนได้ว่าเป็นเพียงกรวดทราย



สีหน้าของเจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์คนปัจจุบันยังคงนิ่งเฉย หม่าฮุ่ยเหวินค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงถือตัวอย่างเซียนชั้นสูงถึงเจ็ดส่วน “ผู้เฒ่าบังเอิญผ่านมาเท่านั้น มิคาดคิดว่าจะมีวาสนาได้พบผู้มีกระดูกเซียนแน่นหนาในวังหลวงแห่งนี้”



สิ้นเสียงนั้นภายในท้องพระโรงที่ว่าราชการของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ถึงกลับเงียบกริบ เหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายได้แต่มองหน้ากันโดยไร้ซึ่งวาจา คำกล่าวที่ว่ามีกระดูกเซียนแน่นหนาจะว่าดีก็ดีจะว่าไม่ดีก็ไม่ดี กล่าวกันตามจริงแล้วมนุษย์ปุถุชนทั้งหลายย่อมมีความคาดฝันวาดหวังอยากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อเหาะเหินขึ้นสวรรค์กันเสียทั้งนั้น ยามโอกาสเปิดอยู่เบื้องหน้าเช่นนี้ย่อมรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาหลายส่วน เสียแต่ว่าคนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นผู้มีความสำคัญต่อแผ่นดินต้าโจวทั้งนั้น หากเผือกร้อนหัวนี้ตกไปที่ขุนนางใหญ่คนใดเกรงว่าเป็นเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี



กระทั่งสีหน้าของเฮ่อฉียังดำคล้ำเสียจนดูไม่ได้ คนนิ่งคิดไปครู่หนึ่งจึงเปิดปากขึ้นได้อย่างไม่เต็มใจอยู่หลายส่วน “ผู้มีวาสนาผู้นั้นเป็นใคร ท่านเซียนบอกเราด้วยเถิด”



หม่าฮุ่ยเหวินสะบัดแขนเซียนครั้งหนึ่งด้วยท่าทางสูงศักดิ์คล้ายคลึงแม่นางแซ่เจิ้งเต็มสิบส่วน หากเจิ้งปิงฉินแสดงอาการเช่นนี้ก็งดงามดีหรอก พอคนแซ่หม่าลอกเลียนนางบ้าง มิรู้ว่าเหตุใดจึงดูคล้ายตงซือขมวดคิ้วเลียนแบบซีซือไปเสียได้ เจ้าสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์คนปัจจุบันผายมือไปทางทิศทางวังหลัง



“ย่อมเป็นองค์ชายใหญ่ผู้อยู่ตำหนักกระจ่างไกลผู้นั้น”



สิ้นวาจานั้นทั่วท้องพระโรงของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ปรากฏเพียงความเงียบงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมีเสียงพึมพำซุบซิบดังขึ้นจากขุนนางโดยรอบ มิรู้ว่าผู้ใดปากกล้าถึงขั้นหลุดอุทานออกมาว่า “มิใช่องค์ชายใหญ่สติไม่สมประกอบหรอกหรือ”



คนปากดีผู้นั้นถูกฝ่ามือคนด้านข้างยกขึ้นปิดปากมิให้ว่ากล่าวถ้อยคำอันใดอีกต่อไป ยามนี้สีหน้าของโอรสสวรรค์ดูมืดคล้ำคล้ายโมโหโกรธาขึ้นมาแล้ว หม่าฮุ่ยเหวินถึงพลังฝึกปรือไม่เอาไหน แต่กว่าจะปีนป่ายมาถึงตำแหน่งเจ้าสำนักย่อมมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน เรื่องมองสีหน้าผู้คนจึงถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของเจ้าตัว



“องค์ชายใหญ่เฮ่อหยางนับเกิดมาสูงส่งมีกระดูกเซียนแน่นหนา นับว่าเป็นเด็กน้อยผู้มากความสามารถดีแท้” ผู้แซ่หม่าจงใจถอดน้ำเสียงท้ายประโยคลากยาวเล็กน้อยคล้ายไม่กลัวเกรงสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แต่อย่างใด เนื้อหาใจความต่างๆ ล้วนพูดจาได้กระทบจิตใจคน “น่าเสียดายที่เขาเกิดมาพร้อมเคราะห์กรรม หากบำเพ็ญเพียรนานเข้า วันหน้าย่อมต้องก้าวไกลยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครเป็นแน่”



บรรยากาศหนักอึ้งจากอารมณ์ขุ่นเคืองจางหายไปในทันที นัยน์ตาของเฮ่อฉีปรากฏประกายวูบวาบเมื่อได้ยินใจความถ้วน แต่ไหนแต่ไรการเห็นบุตรไร้ซึ่งอนาคตนับเป็นความทุกข์หนึ่งของพ่อแม่ ยิ่งองค์ชายใหญ่เกิดมาเป็นเช่นนั้นโอรสสวรรค์ยิ่งต้องเจ็บปวดใจ ยามนี้มีผู้ฝึกเซียนขั้นสูงมาพูดกล่าวต่อหน้าขุนนางใหญ่มากมายว่าบุตรของตนเกิดมาพร้อมวาสนาดีงาม ความทุกข์อันหนักอึ้งที่ผู้คนแบกรับเอาไว้มานานหลายปีย่อมจางหายไปบ้าง



หากความวูบไหวในแววตานั้นยังมีความลังเลแฝงอยู่ถึงสี่ส่วน หม่าฮุ่ยเหวินจึงรีบตีเหล็กตอนที่ยังร้อนอยู่



“ผู้เฒ่าได้พบเจอเขาถือว่าเป็นวาสนามีชะตาต่อกันจึงคิดจะรับองค์ชายใหญ่เป็นศิษย์สายตรง” นักแสดงหลักทอดสายตามองสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แล้วแสร้งเป็นทอดเสียงราวเสียดายเต็มที “หากฝ่าบาทไม่ประสงค์อยากให้องค์ชายใหญ่เข้าสู่มรรคาเซียน ผู้เฒ่าก็พอเข้าใจ แต่อยากให้ตรึกตรองให้ดีก่อน อีกห้าวันยามอู่ผู้เฒ่าจะมารับศิษย์คนใหม่ที่หน้าประตูทิศเหนือ เมื่อรอครบสองเค่อแล้วยังไม่เห็นคน ย่อมหมายความว่าทั้งข้าและเขาหาได้มีวาสนาเป็นศิษย์อาจารย์ต่อกันไม่”



นับว่าหม่าฮุ่ยเหวินรู้จักเว้นทางหนีทีไล่ให้คนดีแท้ กล่าวจบเขาก็คำนับกึ่งไม่คำนับครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวออกจากท้องพระโรงไปอย่างหยิ่งทะนงคล้ายไม่เห็นโอรสสวรรค์อยู่ในสายตาสักเศษเสี้ยว ทิ้งไว้แต่เสียงอื้ออึงของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักและแววตาสับสนวุ่นวายของเฮ่อฉีเพียงเท่านั้น



ชั่วขณะหนึ่งสุ่ยเต๋อฮ่องเต้หลุบสายตามองข้าที่ครอบครองร่างแม่ทัพจ้าวคล้ายไม่จงใจ คนโบกมือไล่ขุนนางปิดการว่าราชการช่วงเช้าเพียงแค่นี้ ก่อนจะหันมารั้งตัวจ้าวซิ่นจงเอาไว้ให้เป็นเพื่อนทรงพระอักษรเสียก่อน ไหนเลยผู้อื่นจะไม่รู้ว่าเขาต้องการปรึกษาหารือเรื่องบุตรชายผู้มีวาสนาสูงส่งของตนเอง หากข้ากลับมองเห็นอีกแง่มุมหนึ่ง เกรงว่ายามนี้พื้นที่ในใจของพระหมื่นปีจะมีจ้าวซิ่นจงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว



เมื่อเคลื่อนย้ายไปยังห้องทรงพระอักษร รอจนเกากงกงยกกาชาขาวเข็มเงินมาวาง โอรสสวรรค์ก็ยังคงยืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างคล้ายชมทิวทัศน์อันแสนงดงามของบุปผาหลากสีในช่วงฤดูร้อน ข้าที่สวมบทบาทแม่ทัพจ้าวได้แต่มุ่นคิ้วมอง แสร้งข่มกลั้นอารมณ์ด้วยการจิบน้ำชาชั้นดีครั้งแล้วครั้งเล่า



ผ่านไปครึ่งค่อนวันคนจึงหันหลังเปิดปากเอ่ยวาจา น้ำเสียงถอดถอนใจอยู่หลายส่วน “ในฐานะที่เจ้าเป็นลุงขององค์ชายใหญ่ ส่งเขาเข้าสำนักเซียนจะถือว่าผิดต่อเขาหรือไม่”



เยี่ยอู๋จวินย่อมต้องตอบว่าดี ดี และดีเป็นอย่างยิ่ง หากจ้าวซิ่นจงย่อมมิสามารถเอ่ยวาจาเช่นนั้นได้ เพราะต้องคอยมองสีหน้าคาดเดาอารมณ์เสียก่อน ข้าถอนหายใจยาวแล้วตอบอย่างระมัดระวัง “ดีไม่ดีล้วนคงมีแต่ฝ่าบาทที่ตัดสินใจได้” จากนั้นเว้นวรรคเล็กน้อยค่อยใช้ประโยชน์จากการคาดคะเนลักษณะนิสัยโดดเด่นไม่เหมือนสนมกำนัลคนใดของอดีตเต๋อเฟยปั้นแต่งคำตอบที่คาดว่าใช้จูงใจผู้คนได้ดีที่สุด



“แต่ไหนแต่เต๋อเฟยก็มิฝักใฝ่อำนาจ นางเคยเอ่ยกับข้าอยู่หลายครั้งว่ามิอยากให้บุตรที่เกิดมาต้องฟาดฟันกับพี่น้องเพื่อแย่งชิงบัลลังก์มังกร” ข้าจ้องลึกไปในดวงตาคู่งามของบุรุษหน้าหยกเบื้องหน้าด้วยสายตาลุ่มลึก ราวกับว่าถ้อยคำที่เอ่ยยามนี้ล้วนแต่เป็นน้ำใสใจจริงของตนทั้งสิ้น “บางทีมรรคาเซียนอันสงบสุขคงเหมาะสมกว่าเขากระมัง สำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์เป็นสำนักเซียนศักดิ์สิทธิ์เลื่องชื่อ ได้เป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนัก คืนวันข้างหน้าขององค์ชายใหญ่คงมิเลวร้ายเกินไปนัก”



นัยน์ตาของเฮ่อฉีคราวนี้ถึงกับไหวระริกด้วยอารมณ์มากมาย ใครว่าโอรสสวรรค์ไร้ใจไร้อารมณ์กัน มิใช่ว่าความรู้สึกต่างๆ ล้วนแต่กักเก็บไว้ในเบื้องลึกมิใช่หรือ คนพึมพำเบาๆ คล้ายรำพึงรำกันกับตนเอง “หากหลิงเอ๋อร์ยังอยู่ นางย่อมกล่าวเช่นเจ้า”



ฟังแค่นี้ผู้แซ่เยี่ยก็ทราบได้ทันทีว่าสุ่ยเต๋อฮ่องเต้มีใจโน้มเอียงไปทางเจ้าสำนักเจ้าบรรพตสวรรค์เป็นที่เรียบร้อย สาเหตุคงมิพ้นตามที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ ทางหนึ่งนอกจากจะเป็นการปูทางให้บุตรชายสติไม่สมประกอบได้เชิดหน้าชูตาอีกครั้งในฐานะผู้ฝึกเซียนสำนักใหญ่ อีกทางหนึ่งย่อมหมายถึงชื่อเสียงเสียหายของจ้าวเยี่ยนหลิงผู้เป็นดั่งหนึ่งเดียวในใจที่จะกลับมาดีประเสริฐสมกับตำแหน่งเต๋อเฟยอีกครั้งหนึ่ง



ข้าลุกขึ้นยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนหยุดยืนที่เบื้องหน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะรั้งนิ้วเรียวขาวผ่องที่มีรอยสากเพราะแรงกดจากพู่กันและการจับดาบจับธนูมาจับไว้หลวมๆ รุกล้ำจนมากเกินไปเพื่อไม่ให้ดูเร่งรัดจนเกินพอดี แต่แสดงเจตนาหมายอยู่เคียงข้างเขาอย่างชัดเจน เวลานี้ข้างกายของคนแซ่เฮ่อเหลือคนสนิทอยู่ไม่มากเช่นกาลก่อน การเข้าหาในช่วงเวลาที่ผู้คนจิตใจอ่อนไหว มากน้อยเพียงใดก็ต้องรุกคืบเข้าไปในใจได้บ้างเป็นแน่



“ฝ่าบาทตรองดูให้ดีก่อนเถิด ผลดีผลเสียเป็นเช่นไรล้วนแต่อยู่กับการตัดสินใจของท่าน”



สุ่ยเต๋อฮ่องเต้หลบสายตาไม่มองหน้าใบหน้าหล่อเหลาที่ซูบซีดไปบ้างของจ้าวซิ่นจง แต่กลับไม่ละมือออกหรือเอ่ยปากด่าว่าเรื่องที่โดนหลอกกินเต้าหู้ คนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงค่อยพยักหน้าอย่างแผ่วเบา สายตาที่มองมาแม้ยังสั่นไหวแต่ก็อ่อนโยนขึ้นมาก



หากเป็นจ้าวซิ่นจงที่กักเก็บซ่อนความรักเอาไว้หลายปี เมื่อเห็นสายตาคู่นี้ย่อมมิอาจอดรนทนไหวอีกต่อไป ข้ากระชับนิ้วเรียวเอาไว้แน่นขึ้นก่อนโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากจูบแนบกับหน้าผากมนของอีกฝ่ายอย่างผะแผ่วราวแมลงปอแตะผิวน้ำ ยามนั้นภายในห้องทรงพระอักษรมีเพียงความเงียบงัน จวบจนข้าถอนริมฝีปากออกแล้วมองพระหมื่นปีด้วยสายตารักใคร่ อีกฝ่ายจึงบีบปลายนิ้วข้าแน่นขึ้น



“เหิมเกริมแล้วจ้าวซิ่นจง เจ้าไม่กลัวตายบ้างหรือไร” น้ำเสียงของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้แม้กร้าวขึ้นกลับฟังดูเบาหวิวไร้น้ำหนักสิ้นดี สองแก้มยังปรากฏสีระเรื่อเจือจางก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าอย่าทำได้ใจไปเลย”



ข้าในฐานะแม่ทัพจ้าวได้ยินดังนั้นยิ่งขยับแย้มยิ้มกว้างขึ้นคล้ายสุขใจมิได้สนใจถ้อยคำต่อว่าของอีกฝ่ายแต่อย่างใด เฮ่อฉีจึงได้แต่ถอนหายใจ สายตาเสมองไปทางอื่น



“เอาเถิด ครั้งนี้เราจะไม่ถือสา ส่วนเรื่องที่เจ้าพูดก่อนหน้านั้น เราจะใคร่ครวญดูให้ดี”



ผู้คนออกปากเช่นนี้ย่อมหมายความว่าแผนการของอาจารย์หญิงสำเร็จไปแล้วถึงเจ็ดส่วน อีกสามส่วนที่เหลือล้วนแต่เป็นการตระเตรียมข้าวของมากมายเพื่อส่งองค์ชายใหญ่ไปยังดินแดนเทพเซียน พึงรู้ไว้ว่าแม้ในวังหลวงแคว้นจิ่วโจวจะเป็นแหล่งรวมพลังหยางของแดนดิน แต่ไม่ได้มีของวิเศษมากมายอันใด นอกจากไข่มุกราตรี ปะการังแดง หรือโสมร้อยปีที่หาได้ดาษดื่นในโลกของผู้ฝึกเซียน จึงมีเพียงเครื่องประดับและเงินทองมากเสียหน่อยที่จะติดตัวไปได้



สิ่งสำคัญที่สุดในการตระเตรียมการใหญ่ครั้งนี้คงมิพ้นผู้ติดตามข้างกายที่ต้องดูแลเฮ่อหยางไปตลอดชีวิต ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่ถูกคัดเลือกโดยพระหมื่นปีจะเป็นใครได้ หากมิใช่ขันทีน้อยหน้าตาหมดจดนามกัวเซิ่ง อย่างไรแล้วเขาก็คนสนิทที่องค์ชายใหญ่ให้ความสนิทสนมจนขาดไม่ได้ ยกหน้าที่นี้ให้ผู้อื่นไปจึงนับว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง



มิรู้ว่าอาจารย์หญิงใช้เวลานานเพียงใดจึงคิดแผนการเช่นนี้ขึ้นมาได้ แม่นางแซ่เจิ้งวางหมากได้ดีงามถูกต้องสมกับมาจากยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ที่รวบรวมเพียงคนเหนือคนโดยแท้ ยามที่สุ่ยเต๋อเรียกขันทีน้อยมาสั่งความพร้อมให้เงินทองทรัพย์สินมากมาย สีหน้ากัวเซิ่งสงบเยือกเย็นราวน้ำนิ่ง แต่ค่ำคืนนั้นยามข้าไปพบนางอีกครั้ง สายตาที่เจิ้งปิงฉินเหลือบมองข้ากลับปรากฏประกายตาระยิบระยับราวบอกเล่าว่านางเปี่ยมสุขถึงเพียงใด



ข้าคำนับอาจารย์หญิงด้วยท่าทางเหมือนเมื่อสิบเก้าปีก่อนบนยอดเขาอัสนีพิสุทธิ์ เจิ้งปิงฉินแย้มยิ้มมุมปากชั่วครู่ก่อนลูบศีรษะของข้าอย่างแผ่วเบา นางมิกล่าวอวยพรอันใดนอกจากย้ำเตือนให้ข้าระมัดระวังจิตมารเช่นเดิม มิเช่นนั้นหนทางเป็นอ๋องผีคงได้แปรเปลี่ยนไปในทางมาร วันหน้ากลายเป็นภัยพิบัติขึ้นมา ถึงเวลานั้นย้อนคิดเสียใจคงไม่ทัน



บอกลากันคราวนี้มิรู้ว่าเมื่อใดจะได้พบกันอีก แม้เป็นเพียงก้าวแรกยังมิใช่ปลายทางที่ทั้งสองกลับไปครองคู่อย่างที่ควรเป็นตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เพราะผู้อื่นคงต้องตามหาเศษเสี้ยววิญญาณอันขาดหายของอาจารย์อาเหลียงอีกหลายปี ครั้นเห็นอาจารย์หญิงสุขใจ ผู้แซ่เยี่ยถึงเป็นศิษย์ไม่รักดีเพียงใดก็ต้องยินดีกับนางอย่างเต็มหัวใจ รักสามเส้าของสามยอดเขาคงมาถึงจุดจบแล้วกระมัง



ห้าวันที่หม่าฮุ่ยเหวินประวิงเวลาเอาไว้นับว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่ละผู้ล้วนมีเรื่องราวของตนที่ต้องจัดการเสียมากมาย คนแซ่หม่าคราวนี้คงแฝงตัวเป็นหมอพเนจรท่าทางลึกลับเข้าไปตรวจสอบอาการป่วยของเหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ จนหน่วยสอดแนมของแม่ทัพปราบบูรพาสืบความมาได้ว่าด้วยฝีมือหมอเทวดาไร้ที่มาที่ไปถึงกับมีสองสามคนเริ่มกลับมามีสติอีกครั้งแล้ว หากพวกมารชั่วกลับยังเงียบงันไม่มีการเคลื่อนไหว กระนั้นก็ไม่อาจวางใจได้...มิใช่ว่าเยี่ยอู๋จวินประมาทจนต้องสังเวยชีวิตตนเองไปแล้วหรอกหรือ



ระหว่างอดีตศิษย์พี่ร่วมสำนักวุ่นวายกับการกลับไปเป็นหมอเทวดาทางหนึ่งข้าไปอยู่เคียงข้างช่วยสุ่ยเต๋อจัดการเรื่องราวขององค์ชายใหญ่พร้อมแสดงอาการถ้อยทีถ้อยอาศัยเพื่อให้คนไว้วางใจจนความไว้เนื้อเชื่อใจแปรเปลี่ยนเป็นความรักอย่างช้าๆ อีกทางข้ายังมีหน้าที่ผีลามกให้ต้องจัดการ มิใช่เพียงแค่เฮ่อฉีที่ต้องลาจากเมืองหลวง วันเดียวกันนั้นตั้งแต่ยามเฉินยังเป็นวันเดินทางของอ๋องแปดและชายาชายเพื่อย้ายอวยยศปกครองเมืองฉิน ส่วนถัดจากนั้นอีกไม่เกินสามวัน ไป๋เจี๋ยคงนำพาเหล่าผู้คนจากสำนักใหญ่บุกมาปราบมารพอดี



เมื่อคนสกุลไป๋มาถึง ย่อมหมายความว่าคนสกุลเยี่ยมิอาจรั้งอยู่ในวังหลวงได้อีก



วันเวลาล้วนแต่กระชั้นชิดคล้ายต้องการบีบรัดรอบลำคอของผีลามกผู้ตายไปแล้วรอบหนึ่งอย่างข้าเข้าทุกที โชคอันดีที่ข้าได้รับจดหมายลับจากน้องชายร่วมมารดาผู้ดูแลกิจการร้านค้าอยู่ที่เจียงหนาน จึงหมายความว่าเรื่องราวของผิงอ๋องที่ข้าเคยได้รับปากเอาไว้ย่อมเป็นไปตามแผนการเดิมมิมีเปลี่ยนแปลงมิจำเป็นต้องห่วงใยอันใด จะเหลือก็เพียงแต่เรื่องราวส่วนตัวของผู้แซ่เยี่ยเพียงเท่านั้น...



ยาปลุกกำหนัดวรุณคลั่งรักวสันต์รัญจวนใจมิใช่ยาที่หาซื้อได้โดยง่าย ซ้ำยังมีการจัดเก็บนับจำนวนอย่างแม่นยำ ผู้คนมิสามารถยักยอกหรือลักขโมยออกมาได้โดยง่าย แต่รองแม่ทัพแซ่หวังทำงานได้ดีเยี่ยมจนข้านึกอยากซื้อตัวผู้คนไปเป็นพ่อบ้านช่วยมารดาดูแลกิจการที่สกุลเยี่ยเหลือเกิน มิรู้ว่าใช้ความสามารถประการใดคนถึงคัดลอกสูตรยาต้นตำรับมาได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ กระทั่งต้องใช้เวลาเคี่ยวสิ่งใดเวลาเท่าไรยังระบุเอาไว้



ข้าอาจมิได้เก่งกาจเป็นเลิศด้านหลอมโอสถเหมือนหม่าฮุ่ยเหวิน หากเคยร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์หญิงมามิใช่น้อย ส่วนประกอบยาจำพวกสมุนไพรพวกนี้บางอย่างอาจหายากก็จริง แต่มิใช่ว่าไม่เคยพบเจอ มิหนำซ้ำสิบเก้าปีมานี้ข้ายังเดินทางท่องเที่ยวฝึกวิชาพบเจอยาปลุกกำหนดมาแล้วทั่วหล้า เพียงกวาดสามองข้าทุกสิ่งที่คลุมเครือพลันกระจ่างแจ้งชัดเจน...



ตัวยาเหล่านี้ต่อให้มีกรรมวิธีหลอมยาพิสดารเพียงใด ไหนเลยจะทำอันใดกับปรมาจารย์วังวสันต์ได้



คราวนั้นคงเป็นข้าประมาทขลาดเขลาไร้สติปัญญานึกคิดถึงแต่กายงามและพลังหยางอันสูงส่งของสุ่ยเต๋อฮ่องเต้กระมัง จึงได้พลาดพลั้งตายตกให้สมใจผู้อื่นไปเสียได้ แต่คิดเสียใจไปเกรงว่าคงเปล่าประโยชน์ มิสู้ใช้สมองครุ่นคิดหาหนทางแก้ไขปริศนาเรื่องราวต่างๆ มิดีกว่าหรือ



ผู้วางยาข้าในคราวก่อนมิใช่ใครแต่เป็นบุรุษหน้าหยกผู้ครอบครองบัลลังก์มังกรผู้นั้นเอง สนมนางกำนัลสามร้อยนางเป็นคนของเขา ผู้คนที่ล้มตายไปในแคว้นจิ่วโจว ไม่ว่าเหล่าอ๋องทั้งหลายก็ดี หรือขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็ดี ล้วนแต่เป็นคนข้างกายโอรสสวรรค์ทั้งสิ้น หากคิดแฝงกระจกแปดทิศย้อนกลับไปกับของพระราชฐานย่อมทำได้ ไหนจะพลังหยางที่เพิ่มพูนพุ่งสูงราวกับรวบรวมธาตุหยางจากใต้หล้ามาเป็นของตนเองอีกเล่า



ปมเงื่อนของมารร้ายอาละวาดในแคว้นจิ่วโจวที่มัดพัวพันกันแน่น ซ้ำยังสังเวยชีวิตผู้คนไปแล้วไม่รู้จักเท่าไร สุดท้ายเมื่อสาวต้นตอไปเรื่อยๆ ปลายเชือกกลับมิใช่ใครที่ไหน กลับกลายเป็นพระหมื่นปีผู้เป็นดั่งเจ้าของแผ่นดิน...ผู้เป็นดั่งเจ้าชีวิตของราษฎรทั้งปวง เกรงว่าจากฮ่องเต้ผู้มีเมตตาธรรมจิตใจแปรผกผันเป็นทรราชไปแล้วกระมัง



ยามนี้นอกจากภัยแล้งเป็นครั้งคราว แผ่นดินจิ่วโจวถือว่าสงบสุขไร้ภัยอันตรายอยู่มาก บัลลังก์มังกรยังคงมั่นคงไร้อำนาจใดมาเทียบเคียง จุดประสงค์ของผู้คนยังมิชัดเจนมากนักว่ามีเจตนาแอบแฝงอันใดจึงต้องใช้แผนการเช่นนี้ แต่วิชามารมิใช่ว่าเชื้อพระวงศ์ที่อยู่แต่ในวังหลวงจะเคยได้ร่ำเรียนมาก่อน นอกจากนี้เฮ่อฉียังเป็นมนุษย์ปุถุชนมิมีกลิ่นอายมารเพียงสักส่วน ฉะนั้นคงต้องพึ่งพามารชั่วจากภายนอกเป็นแน่ เสียแต่ว่าข้าอยู่ในร่างของจ้าวซิ่นจงมาครึ่งเดือน สืบเสาะข่าวมากมายเพียงใดก็ยังไม่พบพิรุธว่ามีขุนนางคนใดมีพิรุธจนน่าสงสัย



เกรงว่านอกจากมารชั่วจะรู้จักแฝงตัวได้อย่างยอดเยี่ยม เฮ่อฉีคงมีส่วนร่วมในการช่วยปกปิดตัวตนด้วยกระมัง แรกเริ่มข้าคิดจะใช้เล่ห์กลสืบความจากเกากงกงผู้อยู่ข้างกายสุ่ยเต๋อฮ่องเต้ตลอดเวลา หากเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาทุกขณะทำให้ตัดสินใจสอบถามผู้คนโดยตรงเสียเลยจะดีกว่า ปรมาจารย์วังวสันต์ผู้เชี่ยวชาญการเล่นละครยิ่งกว่าใครเช่นข้าย่อมมีวิถีทางให้เขาปริปากบอกเล่าได้อยู่แล้ว



รัชศกสุ่ยเต๋อปีที่สิบสี่ในฤดูร้อนเดือนแปดได้มีสองขบวนของเชื้อพระวงศ์สกุลเฮ่อเดินทางออกจากเมืองหลวงแคว้นจิ่วโจว หนึ่งเดินทางในยามอู่เพื่อตรงไปยังเมืองฉิน อีกหนึ่งเดินทางในยามเฉินเพื่อไปยังเดินแดนเซียนเร้นลับที่มนุษย์ปุถุชนมิอาจเหยียบย่าง สองขบวนทางเดินแตกต่าง ชะตาชีวิตของหนึ่งอ๋องหนึ่งองค์ชายย่อมแตกต่างเช่นกัน



จิตใจของข้าครานี้มิได้ร้อนรน หากกลับสงบนิ่งและแข็งแกร่งเยี่ยงหินผาเหมือนดั่งที่แล้วมา ยามยืนเคียงข้างส่งองค์ชายใหญ่ให้กับมือหม่าฮุ่ยเหวิน ข้าสามารถมองดูฉากแสดงความรักความเอื้ออาทรระหว่างบิดาและบุตรได้อย่างนิ่งขรึมราวจ้าวซิ่นจงตัวจริงก็มิปาน



อาจารย์หญิงในร่างกัวเซิ่งและศิษย์พี่หม่าส่งสายตาตรงมายังข้าชั่วพริบตาก่อนละออกไป สายตาของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ข้ารู้สึกอบอุ่นใจอยู่ไม่น้อย ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ดี แม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี แต่เมื่อคุ้นเคยกันครั้งหนึ่งแล้วย่อมหมายถึงคุ้นเคยตลอดไป ผู้คนในสำนักเจ็ดบรรพตสวรรค์ช่างคล้ายคลึงกันดีแท้



มิต่างอันใดกับคนสกุลไป๋กระมัง



ข้าคิดถึงอดีตคนรักขึ้นมาก็ได้แต่ถอดถอนใจ เพราะคำพูดก่อนจากคราวนั้นจึงทำให้ข้ามิอาจรั้งอยู่ในแคว้นจิ่วโจวต่อไปได้ มิเช่นนั้นคงมิอาจหลีกเลี่ยงกับพบประสบหน้าไผ่หยกแห่งสกุลไป๋เป็นแน่



วันนี้สุ่ยเต๋อฮ่องเต้มิได้มีใจว่าราชการ หากยังรั้งข้าอยู่เป็นเพื่อนให้มองดูเขาเหม่อลอยในอุทยานครั้งหนึ่ง ในห้องทรงพระอักษรอีกครั้งหนึ่ง มิรู้ว่าจิตใจล้ำลึกเกินหยั่งของพระหมื่นปีครุ่นคิดถึงสิ่งใด จวบจนเย็นย่ำตะวันคล้ายตกดินจึงคิดว่าหากมิเดินหมากต่อไปก็คงไม่มีวันคืบหน้าแล้ว



“เย็นมากแล้ว คงมิอาจรบกวนฝ่าบาทได้อีก” ข้ามองเขาอย่างทอดอาลัยก่อนจะขยับถอยหลังคล้ายจะโขกศีรษะคำนับ “เช่นนั้นกระหม่อมขอลา”



เฮ่อฉีกลับเอื้อมมือมาดึงรั้งแขนเสื้อของข้าเอาไว้ สายตาที่สะท้อนเงาสูงใหญ่ของจ้าวซิ่นจงช่างเต็มไปด้วยความวาบไหว



“คืนนี้อยู่ร่ำสุรากับเราก่อนเถิดซิ่นจง”



ข้าหลุบตามองโอรสมังกรพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่งนัก คล้ายว่าใต้หล้านี้ทั้งชีวิตทั้งสายตาของจ้าวซิ่นจงมีเพียงคนสกุลเฮ่อหนึ่งเดียวเพียงเท่านั้น มิว่าใครงดงามเพียงใดก็มิสามารถเทียบเคียงได้อีก หากในใจเฉยชาเย็นเฉียบเพียงใด คงมีแต่ผู้แซ่เยี่ยเท่านั้นที่รู้ดี



ได้เวลาชำระความแล้วกระมัง



โปรดติดตามตอนต่อไป...





ซินเอ๋อร์:

หายไปนานน แต่ไม่ได้เทนะคะ ดองสักนิด ช้าสักหน่อย เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างใช้พลังงานหนักมาก พอเรียนหนักๆ หรืองานยุ่งๆ ก็จะอืดมาก ต้องพยายามปลุกฟีลมาเขียน แต่จะเอาให้จบแน่ๆ ค่ะ ไม่เท เพราะเรารักอู๋เกอ ฮือออ

เรื่องราวตอนนี้ก็เข้าไคลแม็กซ์ขึ้นเรื่อยๆ แล้วค่ะ สกิลภาษาตกไปบ้างเล็กน้อยเพราะไม่ได้เขียนนาน ต้องขอโทษจริงๆ ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ยังอยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ค่ะะ ตอนนี้ชีวิตพังๆ บ้าง จะพยายามจัดสรรเวลามาหาอู๋เกอมากกว่านี้ค่ะะ

พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ คิดว่าน่าจะเร็วกว่า 4 เดือนแล้ว ฮืออออ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด