รังนุ่มนิ่มของคุณตัวเล็ก [Omegaverse] - ตอนที่ 16 - [ตอนจบ] - 6/03/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รังนุ่มนิ่มของคุณตัวเล็ก [Omegaverse] - ตอนที่ 16 - [ตอนจบ] - 6/03/2020  (อ่าน 58501 ครั้ง)

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แต่ทำไมตอนแรกฮานพูดเหมือนเป็นคู่แท้ อึงแงงงงงงง

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เราก็หวังว่าไอ้เรื่องคู่แห่งโชคชะตาจะรีบ ๆ โผล่มาตอนนี้จะได้รีบ ๆ จัดการมันไปซะจะได้ไม่ยุ่งยากมากนัก

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ palm_rawinda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นกำลังใจให้เอลกับฮาน สู้ๆทั้งคู่นะ :กอด1:

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
นี่ยิ่งกว่าโดนทดสอบ ที่เอลคิดไว้อีก นี่คือขอให้เลิกกันเลยนะ  :katai1:

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จุดย้อนกลับอะไรหว่า ต้องเป็นเหตุการ์ณครั้งสำคัญของคนทั้งสองเลยสินะ รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เล่าต่อสิลูก

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เอล กลับมาก่อนลูกกกก!!!
มาอธิบายต่อ แม่กำลังจะเข้าใจละ อีกนิดนึง เล่ามาก่อน จุดย้อนกลับอะไรลูกกก :katai1:

ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนนี้แสดงให้เห็นเลยค่ะว่าเอลก็หลงรักฮานไม่ไปน้อยกว่าที่ฮานรักเอลเลย และรับรู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปถึงขั้นไหน น้อง ไม่ได้มึนๆอึนๆไปวันๆ ก็คือความสัมพันธ์ทั้งคู่ ไปสุดมากแบบไม่มีจุดย้อนกลับแล้วและไม่ย้อนกลับด้วย ตอนแรกเหมือนจะเป็นนิยานเรียบๆเรื่อยๆ ตอนนี้เริ่มมีความตึงเครียดเข้ามาปะปนและน่าติดตามต่อไปมากๆ อยากรู้มากๆว่าจะเป็นยังไงต่อไป ถ้าไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตา เพราะฉะนั้นความรักที่ฮานมีให้เอลก็คือท่วมท้นและหนักหน่วงมากๆ แอบห่วงแต่ละฝ่ายตอนอีกฝ่ายนึงคลั่งขึ้นมาเลยค่ะ ยังไงรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณสำหรับผลงานที่ดีค่ะ

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ประโยคสุดท้ายนั่นคมมากเลยหนูเอล คุณพ่อกับคุณครูแน่เลยใช่ไหมคะ อุแงง มันเกิดอะไรขึ้นนะ ใครพรากเค้าออกจากกัน น่าสงสารจังเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่า แง ตอนแรกคิดว่ายังไงก็เป็นคู่แห่งโชคชะตาแน่ๆ แต่พอเริ่มมาทางนี้ก็รู้สึกว่าชีวิตรักของทั้งคู่จะยากลำบากขึ้นมาอีก โอ้ยย สู้ไปด้วยกันนะลูกกก

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
น้องเอลเก่งมาก ๆ ลูก

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ กวังกีเมย์บี

  • วาย ว๊าย วาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พ่อกับครูแน่ๆเลย ไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตาก็ไม่ควรจับคู่งั้นหรอ
ถ้าแบบนั้นธรรมชาติก็ด้วยสร้างให้ฮีทหรือรััทกับคู่แห่งโชคชะตาแค่คนเดียวพอแล้วสิ จะสร้างให้เกิดอาการกับคนอื่นทำมั้ย

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น




Acceptance



ชายวัยกลางคนตรงหน้า...คู่สนทนาของผม...พ่อทูนหัวของฮาน กำลังนั่งจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาคู่คมฉายแววหงุดหงิดปนไม่เข้าใจ


“หมายความว่ายังไง”


ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงการสบตา การสบตากับคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้มักทำให้ผมไม่สบายใจและสูญเสียสมาธิจนทำผิดพลาดมานักต่อนักแล้ว ถ้าเลี่ยงได้ สู้ไม่มองไปเลยน่าจะดีกว่า


“ผมเข้าใจนะครับว่าคุณลุงเป็นห่วงว่าหากพวกเราเจอคนแห่งโชคชะตาขึ้นมา เรื่องราวยุ่งยากมากมายก็จะเกิดขึ้น แต่ผมรับรองได้เลยครับว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ความรู้สึกที่ผมมีให้ฮานไม่ใช่แค่ความรู้สึกตื้นเขินอย่างความรักใคร่ชอบพอกันของเด็กๆ ผมรักเขาด้วยใจจริงและอยากจะดูแลเขามาตลอด จะให้ผมกลับไปเป็นเพื่อนกับเขาเหมือนแต่ก่อนผมเองก็คงทำไม่ได้ ความรู้สึกที่ผมมีให้ฮานมันผ่านจุดที่จะย้อนกลับนั้นมาแล้วล่ะครับ เพราะฉะนั้น...”


“เธอเอาอะไรมามั่นใจไม่ทราบ”


เสียงของผมถูกกลืนหายกลับลงไปในคออย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้เขาได้พูดต่อ


“ตัวเธอจะมั่นใจได้ยังไงว่าหลังจากนี้ หนึ่งปีหลังจากนี้ ห้าปีหลังจากนี้ สิบปี ยี่สิบปีหลังจากนี้ เธอจะไม่มีโอกาสได้เจอกับเนื้อคู่ของตัวเองเลย เธอมั่นใจได้ยังไงกัน”


ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดตอบ “จะพูดว่ามั่นใจก็คงไม่ถูกนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เจอกับคู่ของตัวเอง”


ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกสูดเข้าไปในปอดเพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง


“ตัวผมเกิดมาในหมู่บ้านที่มีแต่โอเมก้าและเบต้า ตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยเห็นใครจะได้มีโอกาสเจอคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองเลยสักคน เพราะฉะนั้น การมีชีวิตอยู่โดยไม่เจอคู่แห่งโชคชะตาไปตลอดชีวิตมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่ครับ”


นัยน์ตาผมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา


ตาคู่คมนั้นทั้งเรียบนิ่ง ทั้งสงบจนคล้ายจะไร้ความรู้สึกจนชวนให้รู้สึกไม่สบายใจยังไงพิกล


แต่สุดท้ายผมก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีแล้วพูดต่อ


“ขนาดคุณลุงเองก็ยังไม่เคยเจอเลยใช่ไหมล่ะครับ เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าปฏิเสธความสัมพันธ์ของผมกับฮานเลยนะครับ”


แล้วผมก็ก้มหัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้พร้อมกับภาวนาให้อีกคนยอมรับคำพูดของผมแต่โดยดี


ได้โปรดเถอะครับ ได้โปรดอย่าพรากผมกับฮานออกจากกันเลย


“ผมเองก็ขอร้องด้วยคนนะครับคุณพ่อ”


เอ๊ะ!


ผมรีบผงกหัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังอยู่ข้างตัว ร่างสูงใหญ่คุ้นตาของคู่ชีวิตที่เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่ผมนั่ง


และเขากำลังก้มหัวต่ำมากกว่าครั้งไหนที่ผมเคยเห็น


“พวกผมรู้และเข้าใจดีครับว่าเรื่องราวในตอนนี้อาจจะนำพามาซึ่งความยุ่งยากในอนาคต แต่พวกผมตัดสินใจแล้ว หากวันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นมา พวกผมก็จะขอรับมันเอาไว้เองครับ”


บ้าชะมัด ฮานนะฮาน ทำไมถึงใจดีกับผมไม่ยอมเลิกสักทีนะ


ไม่ได้แล้ว ผมเองก็ต้องต่อสู้ด้วยเหมือนกัน


ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยืนเคียงข้างฮาน


“ผมเองก็ขอร้องด้วยคนนะครับคุณลุง”


แล้วผมก็ก้มหัวลงอีกครั้ง


แล้วพวกเราก็ก้มหัวลงอีกครั้ง


ห้องรับแขกขนาดใหญ่ตกอยู่ในความเงียบอยู่นานแสนนาน แม้อาจจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ในหัวใจของผมกลับรู้สึกราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์


ได้โปรด อย่าพรากฮานไปจากผมเลย ผมสัญญาว่าจะเป็นคนดี ไม่ดื้อไม่ซน ไม่เอาแต่ใจ จะพยายามรักษาดูแลชีวิตตัวเองให้ดี แล้วก็...


“พอได้แล้วล่ะครับ นายท่าน”


เสียงของบุคคลที่สามที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมเผลอผงกหัวขึ้นมองโดยอัตโนมัติ ในความแปลกใจนั้นมีความไม่แปลกใจปนอยู่ จะว่ายังไงดีล่ะ การที่ผมได้เห็นว่าบุคคลที่สามนั้นคือคุณพ่อบ้านอัลเฟรดไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตกใจอะไร แต่พอคิดว่าจู่ๆ เขาก็เดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงแล้ว มันก็อดจะรู้สึกหวั่นๆ ในใจไม่ได้


ทำไมอัลฟ่าบ้านนี้ถึงได้เท้าเบานักนะ


ผมก้มหน้าต่ำลงทันทีที่รู้ตัวว่าเผลอมองพวกเขานานไปหน่อยแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงก็อดใจแอบเหลือบมองไม่ได้เลย น่ากลัวจะเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายเสียแล้วล่ะ


แม้จะเห็นไม่ชัดนัก แต่ผมก็พอบอกได้ว่าคุณพ่อบ้านกำลังเอามือบีบไหล่เจ้านายของตัวเอง


“พอเถอะครับแดน พวกเขาอุตส่าห์ขอร้องถึงขนาดนี้แล้ว”


แล้วมือใหญ่ของชายสูงวัยที่ถูกสวมทับไว้ด้วยถึงมือผ้าสีขาวอย่างนี้นั้นก็ค่อยๆ ไล้จากไหล่ลงมาที่ต้นแขนของคนที่นั่งไม่สบอารมณ์อยู่บนเก้าอี้นวมช้าๆ


“ถือเสียว่าผมขอนะครับ”


แล้วคุณลุงของฮานก็หลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“ให้ท้ายกันเข้าไปเถอะ ถึงเวลาถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน”


แล้วอัลฟ่าร่างโปร่งผู้เป็นเจ้าของบ้านก็พลันลุกขึ้นแล้วเดินกระแทกเท้าออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหรือปรายตามามองพวกผมเลยสักแว็บเดียว


นี่มัน...อะไรกันเนี่ย


“พอได้แล้วครับทั้งสองคน ยืนโค้งตัวแบบนั้นนานๆ มันไม่ดีกับหลังนะครับ”


แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ผมก็ยอมกลับมายืนตัวตรงตามที่เขาบอกได้โดยดี


ในหัวมีคำถามมากมายก่ายกองวิ่งวนอยู่เต็มไปหมดจนไม่รู้เลยว่าควรจะถามคำถามไหนออกไปก่อนดี โชคดีที่ผมยังมีคนข้างๆ อยู่ด้วย


“พ่อเขา...ยอมแล้วเหรอครับ”


นั่นล่ะฮาน คำถามนั้นเลย เก่งมากเลยครับ


ชายชราตรงหน้าไม่ได้ตอบคำถามของฮานในทันที เขามองหน้าพวกผมสองคนสลับกันไปมาก่อนจะคลี่ยิ้มบาง


“เรื่องนี้ ผมเองก็ตอบไม่ได้หรอกครับ”


แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ


“แต่สำหรับวันนี้ ผมคิดว่านายท่านคงยอมรามือแล้วล่ะครับ”


แฮะๆ แค่สำหรับวันนี้สินะ


แย่จังเลยน้า


“ไหนๆ ก็อุตส่าห์มาอยู่ที่นี่กันแล้ว ไม่ทราบว่านายน้อยกับคุณเอลจะรับประทานอาหารเย็นที่นี่เลยไหมครับ”


คำถามนอกลิสต์ที่จู่ๆ ก็ถูกโพล่งขึ้นมาทำเอาผมเสียศูนย์จนตอบไม่ถูก


และก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่า ‘ดีจังเลยน้าที่ฮานอยู่ตรงนี้ด้วย’


“ไม่ดีกว่าอัล ขอบใจมาก”


“อย่างนั้นเหรอครับ” คุณพ่อบ้านรับคำด้วยท่าทีผิดหวัง “ถ้ายังงั้น ไว้วันหลัง ต้องมาทานอาหารเย็นที่นี่ให้ได้เลยนะครับ”


อา แย่จัง รู้สึกเหมือนตัวเองเผลอทำเรื่องไม่ดีสุดๆ ลงไปเลย


แต่เหมือนว่าฮานจะไม่คิดเหมือนผมล่ะนะ


“อือ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยปากรับคำด้วยท่าทีนิ่งสงบ “ถ้างั้นพวกผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะครับ”


หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกที รถยนต์ที่พวกเรากำลังโดยสารก็เริ่มออกห่างจาก

อาณาเขตของตระกูลเจเล็ตเข้าไปทุกที วันนี้เรื่องราวทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน ยังไม่จะได้คิดให้ถี่ถ้วน สิ่งที่ผ่านเข้ามาก็สลายหายไปเสียแล้ว


แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกสิ่งที่เห็น ทุกสิ่งที่ได้ยินเหล่านั้นมันคือความจริง


‘ตัวเธอจะมั่นใจได้ยังไงว่าหลังจากนี้ หนึ่งปีหลังจากนี้ ห้าปีหลังจากนี้ สิบปี ยี่สิบปีหลังจากนี้ เธอจะไม่มีโอกาสได้เจอกับเนื้อคู่ของตัวเองเลย เธอมั่นใจได้ยังไงกัน’


คำพูดนั้นยังคงฝังแน่นอยู่กลางใจคล้ายเป็นม้วนเทปที่ยังกรอวนเล่นซ้ำไม่ยอมหยุด


ตัวผมเอง ก็ตอบคำถามนั้นไม่ได้เหมือนกัน สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็คือ...


ผมเอื้อมมือไปวางบนหลังมือของฮานที่กำลังจับพวงมาลัยแน่นเสียจนข้อนิ้วเริ่มซีดขาว


“ผมรักฮานนะครับ รักมาตลอด”


นิ้วมือทั้งห้าของผมลูบไล้หลังมือเขาคล้ายต้องการจะปลอบโยน


“ผมอยากดูแลฮาน อยากอยู่กับฮาน อยากอยู่ในอ้อมกอดของฮานตลอดไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น...”


แล้วผมก็โน้มหัวลงไปจูบหลังมือเขาเบาๆ


“ช่วยอยู่ด้วยกันจนกว่าจะถึงตอนนั้นด้วยนะครับ”


แล้วมือที่เครียดเกร็งของฮานก็คลายลง











หลังจากคำพูดประโยคนั้น ผมกับฮานก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ผมกับฮานไม่ค่อยจะคุยกันระหว่างขับรถหรือนั่งรถอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพอต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในภวังค์แบบนี้ ห้องโดยสารที่ปกติก็เงียบอยู่แล้วก็เลยเหลือแค่เสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงดนตรีจากวิทยุไปโดยปริยาย แต่ส่วนตัวผมก็ไม่ได้มองว่ามันน่าอึดอัดหรืออะไรหรอกนะ ความเงียบแบบนี้ออกจะเป็นความเงียบในเชิงบวกด้วยซ้ำ


เอ จะว่ายังไงดีล่ะ ผมก็อธิบายเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเก่งหรอก เอาเป็นว่า ทุกครั้งที่ฮานเงียบ ผมไม่เคยรู้สึกไม่ดีเลย กลับกัน มันกลับทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าไม่แปลกก็คงไม่แปลกล่ะนะ


ผมขยับตัวเพื่อเอาหัวพิงกับประตูรถแล้วทอดสายตามองทิวทัศน์ด้านนอก


วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ คงเพราะมีนู่นมีนี่ให้ต้องทำเต็มไปหมด กว่าจะได้กลับบ้านก็ปาไปเกือบพระอาทิตย์จะตกดินแล้ว ปกติผมไม่ใช่พวกกลับบ้านค่ำ ฮานเองก็เหมือนกัน เพราะแบบนั้นผมเลยไม่ชินกับท้องฟ้ายามโพล้เพล้แบบนี้เอาเสียเลย


ทุกทีก็เคยเห็นวิวแบบนี้แค่จากห้องนอนของตัวเองน่ะนะ พอได้มามองดูท้องฟ้าผืนใหญ่เต็มๆ ตาแบบนี้ก็รู้สึกแปลกพิลึกดีเหมือนกัน


“ง่วงเหรอครับ”


คำพูดที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของคนขับรถทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ในทันที ความคิดมากมายที่เคยลอยฟ่องอยู่ในหัวก็พลันสลายหายไปหมด


ช่างเป็นเสียงที่มีพลังจริงๆ เลยน้า


ผมหันไปมองคนถามที่ยังคงจดจ่ออยู่กับการขับรถพลางส่ายหน้าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่เห็น


“เปล่าหรอกครับ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”


เขาเงียบไปอึดใจ “คิดอะไรเหรอครับ”


“เรื่องไร้สาระน่ะครับ” ดวงตาของผมเหลือบมองข้อนิ้วที่เริ่มเครียดเกร็งของฮาน “อย่างเรื่องที่ว่าผมไม่ค่อยได้กลับบ้านเย็นก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นท้องฟ้าในเวลาแบบนี้นอกบ้านเลย พอได้เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆ ดีน่ะครับ”


แล้วข้อนิ้วที่ขาวซีดก็เริ่มมีเลือดฝาด “อย่างงั้นเหรอครับ งั้นไว้คราวหน้าผมพาเอลไปกินข้าวเย็นนอกบ้านบ่อยๆ ดีไหมครับ จะได้เห็นท้องฟ้าแบบนี้นอกบ้านบ้าง”


ผมทอดสายตามองท้องฟ้าอยู่พักนึงก่อนจะค่อยๆ เอนหลังทิ้งตัวลงพิงเบาะโดยสาร


“ก็ดีนะครับ”


น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงไปในคออย่างยากลำบาก ผมกำลังชั่งใจอยู่ระหว่างการก้าวเดินออกจากพื้นที่ปลอดภัยพร้อมกับความกระจ่างหรืออยู่ในพื้นที่ปลอดภัยพร้อมกับอาการขุ่นมัวในหัวใจ


แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะเสี่ยง


“นี่ฮาน”


“ครับ” เขาขานรับเสียงเรียกของผมในทันทีเหมือนอย่างทุกครั้ง


“ผมมีเรื่องอยากจะถามน่ะครับ”


เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้ดูเหมือนปกติ “มีอะไรเหรอครับ”


อา เจ้าบ้าฮาน ท่าทางจะกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น้อยเลยสินะ


แต่เอาเถอะ ไว้คืนนี้ผมค่อยปลอบเขาก็ได้ ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าอยู่


“ผม...ขอถามเกี่ยวกับคุณลุงของฮานได้ไหมครับ”


“คุณพ่อน่ะเหรอ” แม้จะไม่ได้หันไปมอง ผมก็พอเดาได้ว่าเขากำลังเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนใจ “มีอะไรเหรอครับ”


ผมฝังตัวเองเข้ากับเบาะนุ่มที่นั่งอยู่ลึกขึ้นอีกหน่อย


“แบบว่า...” ริมฝีปากของผมเปิดแล้วก็ปิด ปิดแล้วก็เปิด อยู่อย่างนั้นอึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่กับตัวเอง “ฮานเคยเห็นรอยแผลเป็นที่ข้อมือของคุณลุงไหมครับ”


ถามออกไปแล้ว ถามคำถามที่อันตรายที่สุดออกไปแล้ว


เอ๊ะ


ผมเบิกตาขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป


เมื่อกี้นี้ ถ้าผมตาไม่ฝาด เหมือนมือของฮานจะดูผ่อนคลายลงนิดนึงรึเปล่านะ


ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตริตรองอะไรกับตัวเองไปมากกว่านั้น คนข้างตัวก็พลันชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน


“เคยครับ จริงๆ สาเหตุของรอยแผลนั่นมันก็นานมากแล้วน่ะครับ” เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะเอียงหัวมาทางเบาะโดยสารของผมทั้งที่นัยน์ตายังคงจดจ่ออยู่กับการขับรถ “อยากฟังรึเปล่าครับ”


แหมๆ พูดมาขนาดนี้เขาคงคาดหวังให้ผมตอบกลับไปว่า ‘ไม่ดีกว่าครับ’ อยู่หรอก ทำเหมือนไม่รู้จักกันไปได้


แต่ก็นะ ฮานก็คือฮานนั่นล่ะ


พอเห็นผมเงียบ คนตัวโตกว่าก็หัวเราะร่วนออกมา


“ไม่น่าถามเลยเนอะ”


ถูกต้องนะคร้าบ เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าหมียักษ์


“เมื่อครู่ตอนคุยกับคุณพ่อ เอลก็น่าจะได้ยินเรื่องที่ท่านบอกว่าถ้าอัลฟ่ารัทกับคนที่ไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตาของตัวเอง ก็มักจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมใช่ไหมครับ”


ฝ่ามือใหญ่หมุนพวกมาลัยเพื่อเข้าโค้งด้วยท่าทีสบายๆ ตามปกติ


“ประสบการณ์นั้น เป็นเรื่องของคุณพ่อเขาเองน่ะครับ”


อา เรื่องนั้นก็พอจะเดาได้อยู่ล่ะนะ


ภาพข้อมือที่มีรอบแผลเป็นใหญ่น่ากลัวที่เห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนฉายกลับขึ้นมาในหัว


อันที่จริงผมก็พอเข้าใจเขาอยู่หรอกนะว่าทำไมถึงต้องพูดอะไรแบบนั้นออกมา


จู่ๆ ในอกก็รู้สึกเจ็บแปล๊บๆ พิกล


เขาคนนั้น...คุณลุงของฮาน คงผ่านอะไรมาเยอะมากมายเลยทีเดียว


“ความจริง ผมเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก เพราะตอนที่เกิดเรื่องขึ้นผมยังเด็กมากๆ เหมือนคุณลุงจะเข้าคุกไปก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีกครับ แล้วพอผมโตขึ้นมา พวกผู้ใหญ่ในตระกูลเขาก็ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเรื่องนี้กันสักเท่าไหร่ อัลเฟรดเองก็ดูไม่ค่อยอยากเล่าลงรายละเอียดอะไรมากมาย สิ่งที่ผมรู้ก็เลยเป็นแค่เรื่องราวกว้างๆ เท่านั้นเองครับ”


คนเล่าเรื่องจดจ่ออยู่กับรถยนต์ที่กำลังแล่นไปตามท้องถนนอย่างนุ่มนวลตามปกติ


“เท่าที่จำได้ เหมือนคุณพ่อเขาจะตกหลุมรักเบต้าคนหนึ่งมาก มากเสียจนไม่สามารถเก็บงำความรักที่มากมายมหาศาลนั้นเอาไว้ได้ สุดท้ายก็เลยกลายเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยว” เขาเงียบไปอึดใจคล้ายกำลังคิดว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี


ผมว่าความทรงจำนี้ เขาเองก็คงไม่อยากจะจำมันสักเท่าไรนัก


“เรื่องราวมันควรจะจบลงที่การที่คุณพ่อโดนจับแล้วก็ปรับความประพฤติใช่ไหมล่ะครับ แต่ความโชคร้าย...” แล้วฮานก็หัวเราะแปร่งๆ ออกมา “คนอื่นมักจะบอกว่านี่ไม่ใช่ความโชคร้าย แต่สำหรับผม ยังไงซะมันก็เป็นความโชคร้ายอยู่ดี”


ไฟข้างทางตามท้องถนนที่เริ่มสว่างจ้าเพื่อรับช่วงต่อจากพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าสะท้อนเข้าไปในดวงตาคู่คมจนปรากฏบางอย่างออกมา


ดวงตาของฮาน ดูนิ่งเรียบกว่าปกติจนผมเองยังรู้สึกวูบโหวงในใจ


ทำไม ดวงตาของเขาถึงได้ดูไร้ความรู้สึกขนาดนั้นกันนะ


“ในระหว่างที่พ่อกักขังคนรักเอาไว้อย่างลับๆ และยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เขาก็ดันโชคร้ายไปเจอกับโอเมก้าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตาเข้า”


เอ๊ะ


ถ้อยคำที่ผมเพิ่งพูดออกไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนย้อนกลับมาในหัวราวกับฉายซ้ำ


‘ตัวผมเกิดมาในหมู่บ้านที่มีแต่โอเมก้าและเบต้า ตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยเห็นใครจะได้มีโอกาสเจอคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองเลยสักคน เพราะฉะนั้น การมีชีวิตอยู่โดยไม่เจอคู่แห่งโชคชะตาไปตลอดชีวิตมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่ครับ’


เข้าใจแล้ว ในที่สุดผมก็เข้าใจแล้ว


‘ขนาดคุณลุงเองก็ยังไม่เคยเจอเลยใช่ไหมล่ะครับ เพราะฉะนั้นกรุณาอย่าปฏิเสธความสัมพันธ์ของผมกับฮานเลยนะครับ’


ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว สิ่งที่ผมติดใจมาตลอดจนต้องถามเรื่องแผลเป็นขึ้นมาก็เพราะแววตาในตอนที่ผมพูดประโยคนี้ออกไปนั่นเอง
นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้ปรากฏร่องรอยอะไรเลย มันทั้งนิ่ง ทั้งสงบจนผมเองยังแปลกใจว่าทำไมคนที่พยายามไล่ต้อนให้ผมเลิกกับฮานมาตลอด จู่ๆ ถึงได้ปรากฏแววตาแบบนั้นออกมา


เข้าใจแล้ว เพราะเขากำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีตของเขานี่เอง


ผมบีบฝ่ามือชื้นเหงื่อเขากับชายเสื้อของตัวเอง


ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแววตาคู่นั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีจนต้องเก็บกลับมาคิด ผมเข้าใจแล้ว


เพราะนัยน์ตาคมนั้น ไม่มีร่องรอยของความรู้สึกอะไรเลย ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีความสุข ไม่มีความเสียใจ ไม่มีอะไรเลย


...คล้ายแววตาของสัตว์ที่บ้าคลั่งจนถึงขีดสุด...


“และด้วยความบ้าคลั่งของเขาในตอนนั้น เขาเลยฆาตกรรมโอเมก้าผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปโดยไม่ทันยั้งคิด สุดท้ายเขาก็เลยโดนจับและต้องปรับพฤติกรรมอยู่ในคุกประมาณสิบสองปี หลังจากนั้นคุณตาของผมก็ไปประกันตัวเขาออกมา แต่โทษของคุณพ่อเขาเป็นสิ่งที่...”


ฮานนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ


“เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่มองว่ายากต่อการให้อภัยน่ะครับ สุดท้ายเขาก็เลยโดนทางการกักบริเวณตลอดชีวิต ไม่สามารถออกจากเขตบ้านได้จนตาย ถ้าวันนี้พวกเราอยู่ทานข้าวเย็นที่นั่น คุณก็คงได้มีโอกาสเห็นรถตำรวจมาตรวจตราความเรียบร้อยช่วงประมาณหนึ่งทุ่มน่ะครับ”


นี่สินะ โศกนาฏกรรมที่เขาพูดถึง


“รอยแผลเป็นที่ข้อมือนั่นก็ได้มาจากตอนที่เขาเข้าไปอยู่ในคุกนั่นล่ะครับ เท่าที่เคยได้ยินพวกคนฝั่งตระกูลใหญ่ซุบซิบนินทากัน พ่อเขาเหมือนจะโดนขังเดี่ยวด้วยระบบรักษาการสูงสุด และเหมือนตัวเขาเองในตอนนั้นก็บ้าคลั่งเอาเรื่อง ก็เลยได้แผลเป็นมาเต็มตัว แต่หลังจากออกจากคุก ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาหายดีกลายเป็นคนละคนอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะครับ บางทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะดีสำหรับเขาแล้วก็ได้”


หายดีอย่างงั้นเหรอ...


ผมหลุบตาลงมองมือสองข้างที่กุมกันแน่น


ไม่หรอก เขาไม่เคยหายเลย เขาแค่กดมันไว้เก่งขึ้น หลอกทุกคนเก่งขึ้นแต่เขาไม่เคยหายเลย


เรื่องนี้...พูดออกไปไม่ได้สินะ ไม่งั้นฮานจะต้องเสียใจแน่ๆ


เอาเถอะ ยังไงคุณลุงเขาก็ต้องโดนกักบริเวณไปจนตายอยู่แล้ว ผมจะถือว่าผมไม่รับไม่รู้เกี่ยวกับอาการของเขาก็แล้วกัน


เอ๊ะ เดี๋ยวนะ กักบริเวณไปจนตายเหรอ...


“ฮานครับ”


“ครับ?”


“เมื่อกี้นี้ฮานบอกว่าคุณลุงโดนกักบริเวณตลอดชีวิตใช่ไหมครับ”


คนที่กำลังจดจ่อกับการขับรถพยักหน้าเบาๆ ผมจึงได้โอกาสถามสิ่งที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้


“แสดงว่าคนที่พาฮานไปโอเซนเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนก็ไม่ใช่คุณลุงสิครับ”


“อ๋อ” คราวนี้เขาพยักหน้าแรงกว่าเก่า “ใช่ครับ ตอนที่ผมไปโอเซนนั้น พ่อเขาเพิ่งออกจากคุกมาได้ไม่กี่วันเท่านั้นเอง ตอนแรกผมก็อยากจะอยู่ดูแลเขานะครับ เพราะเขาดูแย่มากๆ เลย แต่คำสั่งที่ให้ไปโอเซนนั่นก็เป็นสิ่งที่คุณตาหรือก็คือผู้นำตระกูลสูงสุดในตอนนั้นสั่งมา ผมก็เลยต้องติดสอยห้อยตามไปกับคุณลุงอีกคน คุณลุงคนนั้นโจนาธาน เป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ผมน่ะครับ เขาไม่ค่อยจะใจดีกับผมเท่าไหร่ด้วยนี่สิครับ”


คนพูดนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “อันที่จริง ต่อให้ตอนนั้นพ่อเขาได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านได้ ยังไงเสียเขาก็คงไปรัฐโอเซนไม่ได้อยู่ดีล่ะครับ”


ผมเลิกคิ้ว “ทำไมเหรอครับ”


เอ๊ะ เดี๋ยวนะ


จู่ๆ ความทรงจำบางอย่างวิ่งตรงเข้ามาในใจผมอย่างได้เวลาพอเหมาพอเจาะจนน่าประหลาด


“ปกติ เวลาเกิดคดีแบบนี้ ทางการจะออกหมายศาลห้ามให้จำเลยอาศัยอยู่ในรัฐเดียวกับโจทย์ใช่ไหมล่ะครับ”


ได้โปรด อย่าเป็นอย่างที่ผมคิดเลย...


“แล้วคนที่พ่อเขารักจนเคยขังเอาไว้อาศัยอยู่ที่รัฐโอเซนพอดีน่ะครับ เพราะฉะนั้น ต่อให้อยากไปแค่ไหนก็ไปไม่ได้อยู่ดี”


แล้วภาพรอยแผลเป็นที่ข้อเท้าของอาจารย์ที่ผมเคารพรักที่สุดในชีวิตคนหนึ่งก็พลันปรากฏชัดขึ้นมาในหัว


อา ผมเข้าใจแล้วล่ะ


‘อะไรที่มันมากเกินไป มันก็ไม่ดีทั้งนั้นล่ะจริงไหม ความรักก็เหมือนกันนั่นล่ะ ถ้ามันมากเกินไป ก็จะกลายเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่พันธนาการเราเอาไว้ไม่ให้ไปไหน’


‘เมื่อไรก็ตามที่อัลฟ่าบ้าคลั่งเพราะความรักที่มากมายจนเกินไป เมื่อนั้นจะเกิดโศกนาฏกรรม’



ถ้อยคำที่เคยได้ยินมาในอดีตไหลหลากกลับเข้ามาในหัวคล้ายกับแม่น้ำที่เชี่ยวกราก


‘บางคู่น่ะ อัลฟ่าถึงกับล่ามคู่ตัวเองไว้กับเตียงไม่ให้เห็นเดือดเห็นตะวันเลยก็มีนะ ถึงส่วนตัวแล้วครูจะมองว่ามันเข้าใจได้ แต่ยังไงซะ การริดรอนเสรีภาพคนอื่นแบบนั้นก็เป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้อยู่ดีจริงไหม’


‘โซ่ตรวนแบบนั้น ฉันรู้จักมันดี’



ทั้งที่ผมได้ยินคำเหล่านั้นจากคนละห้วงเวลา แต่ความรู้สึกที่เจืออยู่ในน้ำเสียงและคำบอกเล่าของคนพูดนั้นกลับสื่อถึงกันอย่างน่าประหลาดใจ


‘ไม่ว่าอัลฟ่าจะเพียรกัดเบต้ามากแค่ไหน เบต้าก็ไม่มีวันที่จะผูกพันธะกับอัลฟ่านั้นได้ สุดท้ายแล้วก็คงเพราะกลัวจะสูญเสียนั่นล่ะ ก็เลยทำอะไรลงไปโดยไม่คิด พอรู้ตัว ก็เลยสูญเสียมันไปจริงๆ’


‘สายสัมพันธ์นี้คือคำสาป’



ผมเข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่างที่พวกเขาพูดแล้ว


‘รีบถอยออกมาในตอนที่ยังมีโอกาส ดีกว่าถลำลึกลงไปจนย้อนกลับมาไม่ได้จะดีกว่า’


นี่สินะ ที่เขาเรียกกันว่าโศกนาฏกรรม




***********************************************************************





ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :mew5: ผู้มีประสบการณ์ตรงมาเราเอง ก้ฟังเป้นข้อคิดบ้างนะจ๊ะ ทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ฮือ..จะดราม่ามั้ยกลัวววววเราอยากเห็นคุณตัวเล็กท้องแล้ว

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1296
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
ขอให้ฮานและเอลไม่เป็นแบบคุณพ่อและคุณครู

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ใครคือคู่แท้ของพ่อบุญธรรม อัลเฟรดรึ???   :ruready

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
หวังว่าคู่แท้ของฮานจะไม่โผล่มานะ

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อาจารย์ของคุณตัวเล็กจะคิดถึงคุณพ่อของฮานบ้างไหมนะ :กอด1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เป็นอดีตที่หนักหน่วง  :hao5:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คุณพ่อบ้านกับคุณพ่อบุญธรรมมีซัมติงกัน?? หรือเราคิดมากไปเอง?

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ว่าแล้วเชียว..ว่าแล้วเชียว..ว่าต้องเป็นคุณครูแน่ ๆ   :hao7:

ออฟไลน์ Pangpang24pp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารคุณครูกับคุณพ่ออ่ะ เค้ารักมากแล้วต้องแยกกันแบบกลับไปเจอกันไม่ได้เลย แงงงเศร้า หวังว่าคู่น้องจะไม่ซ้ำรอยนะ แต่กลัวกลัวใจฮานเหมือนกันนะเค้ารักของเค้ามากอยู่ ไม่ใช่น้องไม่รักฮานนะ แต่น้องใสๆอ่ะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร แต่ฮานเค้าชั้นเชิงลึกกว่าไงเลยกลัวใจเค้า แต่สงสัยอีกจุดทำไมคุณพ่อถึงฟังอัลขนาดนั้นล่ะ เค้ามีซัมติ้งอะไรป่าวอ่าา

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
บีบหัวใจละเกินนนน

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น


Recall




หลังจากเกิดเรื่องราวมากมายขึ้นที่บ้านเจเล็ต ทั้งผมทั้งฮานก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องคู่แห่งโชคชะตาหรืออะไรขึ้นมาอีกเลย ตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเราต่างใช้ชีวิตไปตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือถ้าจะพูดให้ถูก พวกเราก็แค่ใช้ชีวิตเหมือนเดิมเหมือนกับที่เป็นมาตลอดสี่ปีที่ผมย้ายเข้ามาอยู่กับฮาน ผมเองก็ยังไม่ได้เริ่มหางานเพราะอยากจัดการบอกเรื่องจับคู่กับที่บ้านให้เรียบร้อยก่อน ฮานเองก็ยังออกไปเข้าเวรรักษาคนไข้เหมือนอย่างปกติ ผมยังคงทำงานบ้านและอาหารให้ฮานเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด ฮานเองก็ยังชอบซื้อขนมจากใต้โรงพยาบาลมาให้ผมกินเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ชีวิตคู่ของผมไม่ได้มีอะไรหวือหวาขึ้นมาเลยสักนิด ไม่มีแม้แต่ความการพูดคุยเรื่องการไปฮันนีมูนเหมือนอย่างคู่อื่นๆ เขาด้วย


แบบนี้เรียกว่าผิดปกติไหมนะ


“เอล”


เสียงเรียกที่ดังขึ้นมาไม่ให้ตั้งตัวทำให้ผมเผลอสะดุ้งน้อยๆ “ครับ?”


เพื่อนร่วมหอ...ไม่สิ คู่ชีวิตของผมเลิกคิ้วสบตากับผมสลับกับมองมีดและแครอทในมือผมด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เป็นอะไรไปรึเปล่าครับ ดูเหม่อๆ นะ”


“อ๋อ...” ผมเบนสายตาไปทางอื่น “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ”


คนฟังเงียบไปชั่วอึดใจคล้ายอยากจะล่อให้ผมตายใจว่ารอดแล้วก่อนที่จะตัวจะพุ่งเข้าจู่โจมด้วยการเดินเข้ามาประชิดตัวผมอย่างรวดเร็ว


ฮานนี่ชอบใช้พรสวรรค์ของอัลฟ่ากับเรื่องไร้สาระจริงๆ ด้วยสินะ


ฝ่ามือใหญ่นาบลงบนหัวผมเบาๆ ก่อนจะเคลื่อนไปมาเหมือนอย่างที่เขาชอบทำ


“เวลาโกหกทีไร คุณไม่ยอมสบตาผมตลอดเลยนะ”


อา โดนจับได้แล้วสิ


“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ นี่นา” ผมตอบทั้งที่ยังคงหลบตาก่อนจะสำเหนียกได้ว่าอย่าพยายามเลยน่าจะดีกว่า “อะ ก็ได้ๆ จริงๆ ก็คิดเรื่องอะไรอยู่นิดหน่อยน่ะครับ”


“ซึ่งก็คือ?”


“ซึ่งก็คือ...” ผมหลบตาอีกครั้ง “พักโฆษณาสักครู่นะครับ!”


“เอล”


“โอเค ไม่เล่นแล้วก็ได้” ผมมองคนที่ทำหน้าจริงจังพลางเบะปากใส่ “ฮานเนี่ยชอบทำให้ผมสับสนจริงๆ นะว่าเราเป็นเพื่อนกันหรือเป็นคู่ชีวิตกันกันแน่”


เขาเลิกคิ้วด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ผมทำอะไรพลาดไปเหรอครับ ผมทำอะไรให้เอลไม่สบายใจรึเปล่า”


“เปล่าหรอก ไม่ใช่อะไรแบบนั้น” มือสองข้างผมหยุกหยิกไปมา “แบบว่า ต่อให้จดทะเบียนกันแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมอยู่เลย”


คราวนี้ฮานยิ่งทำหน้ากังวลหนักเข้าไปอีก “มัน...ไม่ดีเหรอครับ”


“เปล่าๆ ไม่ใช่หรอก”


จะอธิบายยังไงดีน้า


“แบบว่า ปกติแล้ว เพื่อนกับแฟนมันเป็นความสัมพันธ์คนละรูปแบบกันใช่ไหมล่ะครับ เพราะฉะนั้นผมเลยเข้าใจมาตลอดว่า คนที่เป็นแฟนกันกับคนที่เป็นเพื่อนกันย่อมได้รับการปฏิบัติในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่พอมาเจอเข้ากับตัวจริงๆ มันก็...” ผมเอียงคอเล็กน้อย “ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเปลี่ยนสถานะทุกอย่างมันก็ดูเหมือนเดิมไปหมดจนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าการจับคู่ของเรามันถูกต้องจริงๆ แล้วรึเปล่าน่ะครับ”


‘ฮานรักผมแบบคนรักจริงๆ หรือเปล่าครับ’ นั่นต่างหากคือคำถามที่แท้จริง


ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกพ่นออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นในใจ


“ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี ใจนึงผมก็รู้สึกว่ามันถูกแล้ว แต่อีกใจนึงผมก็ดันรู้สึกว่า ‘เพราะผมบีบบังคับฮานรึเปล่านะ’ ถ้าผมไม่ฮีทวันนั้น บางทีฮานอาจจะได้มีโอกาสพบกับคนอื่น...ได้พบกับคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองในสักวันหนึ่ง เพราะฉะนั้น....”


“เอลเสียใจที่ได้จับคู่กับผมเหรอครับ”


ถ้อยคำที่พูดแทรกขึ้นมาทำให้ผมตัวชาวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ทั้งที่ฮานก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนปกติแท้ๆ ทำไมผมถึงรู้สึกได้ถึงอารมณ์บางอย่างที่เจืออยู่ในนั้นกันนะ


ไม่ใช่ความเสียใจ กระแสอารมณ์ที่สื่อมาถึงนั้นไม่ใช่ความหดหู่โศกเศร้า แต่เป็นอะไรบางอย่างที่ล้ำลึกกว่านั้น


“ถ้าวันนั้นเราไม่จับคู่กัน เอลก็จะกลายไปเป็นของคนอื่นในสักวันหนึ่ง เรื่องแบบนั้นน่ะ ผมยอมไม่ได้หรอกครับ”


บางอย่างที่ผมเคยสัมผัสมาแล้วจากที่ไหนสักแห่ง


อะไรกันนะ ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไรกัน


“ผมอยากเป็นของเอลแค่คนเดียว และผมก็อยากให้เอลเป็นของผมแค่คนเดียว แม้ว่าผมอาจจะแสดงออกไม่ชัดเจน แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมรักเอลมาตลอด”


ฝ่ามืออุ่นร้อนของคนพูดดึงมือผมให้ปล่อยแครอทและมีดทิ้งก่อนจะคว้าไปกุมไว้


“ที่ทุกอย่างมันเหมือนเดิมก็เพราะผมรักเอลและปฏิบัติกับเอลอย่างคนๆ หนึ่งจะทำให้คนที่รักได้มาตลอด เพราะแบบนั้นมันก็เลยน่าสับสน ผมผิดเองที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้”


ผมกลั้นใจสะกดความลังเลแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูดอย่างเถรตรง


แล้ววินาทีนั้นเองผมก็เข้าใจ


“อย่าได้สับสนกับความรักของผมเลยนะครับ ผมรักเอล รักมาตลอด ปฏิบัติกับเอลอย่างที่คนรักคนหนึ่งจะทำได้มาตลอด เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมเต็มใจครับ”


ดวงตาของฮานนิ่งสงบเหมือนกับดวงตาของคุณลุงตอนที่พูดถึงคนรักเบต้าไม่มีผิด


ดวงตาที่นิ่งสงบ ดวงตาที่ไร้ซึ่งความลังเล อาจจะดูเหมือนพูดเกินจริงไปสักหน่อยแต่ผมรู้สึกได้ว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและศีลธรรมทั้งหมดทั้งมวลในจิตใต้สำนึกของฮานถูกผลักหายไปที่ไหนสักแห่งที่ผมมองไม่เห็นเสียแล้ว


นี่สินะโซ่ตรวนแห่งพันธนาการที่ทุกคนพากันพูดถึง


ช่างงดงามและอันตรายเหลือเกิน


รอยฝีปากของผมคลี่ยิ้มกว้างพลางโผตัวซุกเข้าไปในอ้อมกอดของคนตรงหน้า “ขอบคุณนะครับ ผมสบายใจขึ้นเยอะเลย”


แปลกจัง ทำไมผมถึงไม่กลัวกันนะ


“ผมเองก็มีแค่ฮานมาตลอดทั้งชีวิต ฮานเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งคนรัก เป็นทุกอย่างเสียจนผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะระบุสถานะฮานเอาไว้ตรงไหน รู้แค่ว่าถ้าขาดฮานไปผมต้องแย่แน่ๆ”


สายเหล็กกล้าที่รัดตรึงเราไว้นั้นอาจจะดูน่ากลัว


“ผมดีใจนะครับที่ได้มาอยู่ตรงนี้กับฮาน ได้เป็นคู่ชีวิตของฮาน ได้รักและเป็นครอบครัวของฮาน เหมือนกับฝันเลยล่ะ”


หลายครั้งมันก็อันตราย แต่สำหรับผม แล้ว...


“ช่วยอยู่กับผมตลอดไปเลยนะครับ”


สัมผัสเย็นเยียบของมันกลับชวนให้สงบใจพิกล


สำหรับโซ่ตรวนเส้นนี้ ผมเต็มใจ


“ฮานเป็นคู่ชีวิตของเอลแล้วนะ ห้ามไปเจ๊าะแจ๊ะกับใครเข้าใจไหม”


คนฟังหัวเราะออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ “เอลก็ห้ามไปเป็นของใครอีกเหมือนกันนะ”


ตอนนี้เองที่ผมเพิ่งจะเข้าใจ พันธนาการนี้ไม่ใช่การพันเส้นเหล็กกล้าเข้ากับคนๆ หนึ่งแล้วมัดเอาไว้เหมือนอย่างอาจารย์กับคุณลุงแดเนียล ผมกับฮานไม่เหมือนพวกเขา


ถ้าฮานเป็นโซ่ตรวนเส้นใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัว ผมก็ไม่ต่างจากแท่งแม่เหล็กที่คอยดึงดูดโซ่นั้นเอาไว้


อา นี่สินะที่เขาเรียกว่ากิ่งทองใบหยก


แล้วผมก็อมยิ้มน้อยๆ พลางซุกหน้าสูดกลิ่นเฉพาะตัวของอีกคนเข้าไปจนเต็มปอด


ถ้าขาดกลิ่นนี้ไป ผมไม่รู้เลยว่าจะอยู่ต่อไปได้ยังไง


อยากให้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาจังเลยน้า


“เอลครับ” คนตัวโตว่าพลางลูบหัวผมไปมาเบาๆ “ผมเองก็อยากจะกอดเอลนานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่พอดีว่าผมมีเคสผ่าตัดใหญ่ตอนกลางคืนนี้ เพราะฉะนั้นผมต้องไปแล้วนะ”


“อีกแล้วเหรอครับ เมื่อคืนก็เพิ่งมีเคสนึงนี่นา” ผมว่าพลางกอดเขาแน่นขึ้น


แปลก ไม่ต้องให้ใครมาบอกผมเองก็รู้สึกได้ว่าตัวเองแปลกไป แต่ถึงจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ ผมก็ยังไม่สามารถหยุดพฤติกรรมตัวเองได้อยู่ดี


เกิดอะไรขึ้นกับผมกันนะ


“อย่าอ้อนอย่างงี้สิครับ ไม่งั้นผมได้เสียงานเสียการกันพอดี” ว่าแล้วเขาก็โน้มใบหน้าลงมาหอมหน้าผากผมเบาๆ “สัญญาว่าจะซื้อขนมเค้กที่โรงพยาบาลกลับมาฝากนะ”


ไม่พอ ข้อเสนอไม่ดีเลยสักนิด


ถึงจะอยากพูดออกไปแบบนั้น แต่จนแล้วจนรอดผมก็ใช้พลังใจทั้งหมดในการข่มความรู้สึกนั้นเอาไว้แล้วค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกช้าๆ


“ไม่ต้องซื้ออะไรมาหรอกครับ” ผมพูดเสียงค่อย “แค่ฮานกลับมาอยู่ด้วยผมก็ดีใจแล้ว”


เขาเลิกคิ้วแล้วเงียบไปอึดใจ


“นี่...เอลไม่สบายรึเปล่าครับ” แล้วหลังมืออุ่นก็นาบลงบนหน้าผากของผม “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา”


ผมไม่ได้ตัวร้อนหรือเป็นไข้อะไรทั้งนั้นล่ะ อันที่จริงผมก็อธิบายอาการพวกนี้ไม่ได้เหมือนกัน เหมือนมันจะเป็นความปั่นป่วนที่ไม่มีสาเหตุจากข้างในในแบบที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ สิ่งเดียวที่ผมรู้คือผมอยากอยู่ใกล้ๆ ฮาน อยากได้กลิ่นของฮาน อยากจะกอดแล้วซุกตัวเขาเอาไว้ทั้งวัน แต่มันทำไม่ได้ไงเล่า


ผมเบะปากพลางปัดมือเขาออกเบาๆ


“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ฮานไปทำงานเถอะ ระหว่างนี้ผมก็จะนั่งเขียนต้นฉบับไปด้วยเหมือนกัน”


อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะยอมพยักหน้าแต่โดยดี “โอเคครับ เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ”


“อือ” ผมพยักหน้าเบาๆ ทั้งที่ยังไม่สบอารมณ์ “ขอให้การทำงานผ่านไปด้วยดีนะครับ”


“เช่นกันครับคุณตัวเล็ก”


แล้วเขาก็หอมหน้าผากผมอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป


วินาทีที่กลิ่นมะลิประจำตัวของอีกฝ่ายจางลง อาการครั่นเนื้อครั่นตัวก็พลันรุนแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด จิตใจของผมงุ่นง่าน ร่างกายของผมรู้สึกไม่สบายตัวอย่างร้ายกาจ


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ


ไม่ไหว ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าฮานจะกลับมา


ทันใดนั้นผมก็พลันนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้


ผมรู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไร











เสื้อผ้ามากมายของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตลอดสี่ปีถูกขนออกมาวางกองบนเตียงแบบลวกๆ ผมไล่พับเสื้อผ้าแต่ละชิ้นอย่างระมัดระวัง ดูเผินๆ ก็ไม่ได้ต่างจากการทำงานบ้านตามปกติของผมสักเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็เห็นจะเป็น...


“ตัวนี้ฮานไม่ค่อยได้ใส่ใช่ไหมคุณเมโม่”


ผมหันไปคุยกับปลาทองที่ฮานเลี้ยงมาตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนพลางสูดดมเอากลิ่นหอมจากเสื้อเชิ้ตในมือเข้าไปเต็มปอด


ไม่ใช่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม ไม่ใช่กลิ่นถุงหอมในตู้เสื้อผ้าด้วย


นี่มันกลิ่นของฮาน กลิ่นของฮานทั้งนั้นเลย


จมูกเล็กๆ ของผมไซร้เสื้อตัวใหญ่ในมือไปมาอย่างมีความสุข แม้จะอ่อนจาง แต่กลิ่นหอมของฮานที่ฝังติดแน่นอยู่ในเสื้อตัวนี้ก็มากพอจะทำให้ความรู้สึกปั่นป่วนร่างกายของผมลดลงได้


ทั้งที่วางแผนกันไว้เสียดิบดีว่าสุดสัปดาห์นี้ฮานกับผมจะเดินทางกลับไปโอเซนเพื่อไปบอกเรื่องการผูกพันธะของพวกเราให้ที่บ้านผมรับรู้ แต่ขืนร่างกายยังปั่นป่วนอยู่แบบนี้ผมคงเดินทางไม่ได้แน่ มันไม่ใช่เรื่องสับซ้อนอย่างอาการเจ็บไข้หรืออะไรทำนองนั้นหรอก ถ้าจะพูดให้ถูก ผมคงกลัวจะห้ามตัวเองไม่ให้โผเข้าไปซุกฮานไม่ได้มากกว่า


อา อยากซุกแล้วดมกลิ่นมะลิของฮานทั้งวันจังเลยนะ


-กริ๊ง กริ๊ง-


ผมผละตัวเองออกจากเสื้อผ้าหอมนุ่มในมือแล้วหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่กำลังแผดเสียงร้องน่ารำคาญด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ


ใครมันช่างโทรมาขัดจังหวะเก่งเหลือเกินนะ


เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว อุปกรณ์สื่อสารเครื่องจิ๋วก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าในระยะที่เอื้อมถึง ทีแรกผมก็ตั้งใจจะกดรับทันทีอยู่หรอก แต่พอเห็นชื่อคนโทรแล้วนี่มันก็อดจะลังเลใจขึ้นมาไม่ได้


-กริ๊ง กริ๊ง-


และผมก็รู้ด้วยว่าต่อให้ผมจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วปล่อยมันไว้ มันก็จะดังอยู่อย่างนี้ตลอดไปจนกว่าผมจะหมดความอดทนจนต้องเดินมารับอยู่ดี ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่โทรศัพท์หรอก


-กริ๊ง กริ๊ง-


เจ้าพี่ชายน่ารำคาญของผมต่างหากล่ะปัญหา


ผมคิดแบบนั้นในขณะที่กดปุ่มรับสายอย่างช่วยไม่ได้


“ว่าไงมิกเกล”


[กว่าจะรับได้ ฉันนึกว่านายตายไปแล้วซะอีก]


ผมกลอกตามองบน “อาฮะ ทางนี้ก็คิดว่าพี่ตายไปแล้วเหมือนกัน”


[ว้าวๆ] ปลายสายทำเสียงตื่นเต้น [ไอ้เด็กตัวจ้อยที่เคยนอนฉี่รดเตียงตอนนั้นมันเริ่มมีพัฒนาการแฮะ]


นี่ไง ผมบอกแล้วว่าเขาน่ะน่ารำคาญ


“แล้วโทรมานี่มีอะไรรึเปล่า ผมไม่ว่างคุยกับพี่ทั้งวันหรอกนะ”


[อะไรกันเล่า] เขาทำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อนเหมือนอย่างทุกที [คนตกงานนี่ยุ่งขนาดนั้นเชียว]


เอื้อะ โดนกลางใจไปหนึ่งจึ้ก


ไม่ได้นะเอล รักษาภาพลักษณ์ไว้ อย่าไปยอมแพ้ง่ายๆ


“ใครบอกว่าผมตกงานกัน ผมตั้งใจไม่หางานเองต่างหาก”


[อย่าบอกนะว่านายเตรียมตัวจะเป็นแม่คนแล้วน่ะ] เสียงหัวเราะร่วนลอดเข้ามาในสาย [ทั้งที่ยังไม่ทันได้รู้จักการชีวิตจริงๆ เลยแท้ๆ น่าเสียดายออกน้า]


เอ๊ะ


ผมกลืนน้ำลายเหนียวข้นลงไปในคอเมื่ออีกฝ่ายเพิ่งตระหนักถึงสิ่งสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้


นั่นสิ ผมยังไม่ทันได้เลือกทางเดินชีวิตของตัวเองอย่างจริงจังเลยนี่นา นอกจากเป็นคนรักของฮานแล้ว ตัวผมก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากทำอะไรกันแน่ ใจอยากทำอาชีพอะไรก็ไม่รู้ นักเขียนเหรอ? อา เพ้อฝันไปหน่อยล่ะน้า


เมื่อเห็นผมเงียบไปพักใหญ่ คนปลายสายก็ชิงพูดต่อ


[เฮ้ๆ อย่าบอกนะว่านายไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลย ให้ตายสิ อย่าไปบอกใครเขานะว่าเป็นน้องชายฉัน อายตายเลย]


ผมอยากจะเถียงกลับไปอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าผมดันรู้สึกถึงความไม่ปกติบางอย่างขึ้นมาได้เสียก่อน


น้ำเสียงของพี่มันเปลี่ยนไปนี่นา...ไม่สิ ไม่ใช่น้ำเสียง


[คิดให้ดีนะเอล ทางที่นายกำลังจะเดินไปตอนนี้ใช่ทางที่ตัวเองเลือกแล้วจริงๆ รึเปล่า] ปลายสายเว้นเสียงอย่างจงใจก่อนจะพูดต่อ [หรือมีใครกำหนดมันไว้แล้วต้อนให้นายเข้าไปเดินโดยดูเหมือนว่าเต็มใจกันแน่]


ปกติพี่จะเจือความร่าเริงและกระตือรือร้นเอาไว้ในทุกคำที่พูดออกมา แต่ตอนนี้ผมกลับสัมผัสถึงอารมณ์เหล่านั้นไม่ได้เลย


จริงสิ น้ำเสียงของพี่ไม่ได้เปลี่ยน อารมณ์ที่เจือมากับเสียงต่างหากที่เปลี่ยน


ปกติพี่จะทำแบบนี้แค่เวลากำลังพูดเรื่องจริงจังนี่นา ทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงได้ใช้เสียงแบบนี้กับผมล่ะ


หรือว่า...พี่เขาจะไม่ชอบฮานกันนะ...


ความเงียบไม่มีที่มาที่ไปเกิดขึ้นระหว่างเราอย่างฉับพลัน เขาเองก็เงียบ ผมเองก็เงียบ ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์บางอย่างที่ยากจะอธิบาย


สุดท้าย ผมก็ตัดสินใจขึ้นมาก่อน


“ใครที่พี่ว่านี่..” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเงียบๆ “หมายถึงฮานเหรอ”


ทั้งที่คิดเอาไว้ว่าสถานการณ์จะต้องกดดันยิ่งกว่านี้ แต่พอพี่ชายของผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น บรรยากาศมัวหมองเมื่อครู่ก็พลันสลายหายไปในพริบตา


ราวกับเวทมนต์อย่างไรอย่างนั้นเลย


[ดูคำถามสิ บ้าจี้ชะมัด อย่าไปบอกใครเขาล่ะว่าเป็นน้องชายฉันน่ะ] เขายังคงหัวเราะไม่หยุด [ถามเรื่องที่ตัวเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วออกมาเนี่ยะ สติยังดีอยู่ใช่ไหมเนี่ย]


ให้ตายสิๆ เขากลับมาอยู่ในโหมดปกติแล้ว


“แล้วทีตัวเองคอยมาไล่บี้จิตใจชาวบ้านเขาแบบนี้เนี่ย เป็นจิตแพทย์ประเภทไหนกัน”


ปลายสายนิ่งไปอึดใจ พนันได้เลยว่าเขากำลังยักไหล่ใส่โทรศัพท์อยู่แน่ๆ [เป็นจิตแพทย์ที่เก่งและหน้าตาดี]


นั่นไงเล่า ผมบอกแล้วว่าพี่ชายผมน่ะประหลาด


“แล้วตกลงที่โทรมามีอะไรกันแน่เนี่ย”


[อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ]


ไม่นะ ขอล่ะ ถ้าเขาพูดคำว่าคิดถึงออกมาผมต้องวิ่งไปโก่งคออาเจียนแน่เลย


[ก็แม่ให้โทรมาถามว่าจะมาถึงกี่โมง จะได้เตรียมไปจ่ายตลาดทัน]


เฮ้อ ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้เขาไม่พูดคำแสนสยองนั้นออกมา นับว่าเป็นโชคดีของผะ...


[แล้วจริงๆ ก็คิดถึงด้วยแหละ]


โอ้ ม่ายยย เขาพูดมันออกมาแล้ว พูดออกมาอีกแล้ว


“ขนลุกน่า”


ผมข่มความรู้สึกคลื่นไส้ก่อนจะตอบเขากลับไปเหมือนอย่างทุกที ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ นะ ดูขนแขนผมตอนนี้สิ ลุกขึ้นยืนตรงกันหมดเลย


[อะไรกัน] อีกฝ่ายทำบ่นงึมงำกลับมา [นี่ฉันทำตามหนังสือส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวเลยนะ]


“งั้นก็เลิกอ่านเถอะ ถือว่าผมขอ”


[เฮ้อ วัยรุ่นเดี๋ยวนี้นี่มันเข้าใจยากจริงๆ เลยนะ]


ตัวเองก็เพิ่งจะสามสิบไปเองไม่ใช่หรือไงฮะ! ทำเป็นพูดเหมือนตาลุงอายุแปดสิบไปได้


ผมกลอกตามองบนรอบที่ล้านก่อนจะแสร้งไม่สนใจสิ่งที่อีกคนพูด


“ผมว่าจะออกจากที่นี่กันสักประมาณเก้าโมงเช้า ไปถึงนู่นก็น่าจะประมาณบ่ายโมงนะครับ”


[แล้วจะกินข้าวเที่ยงระหว่างทางหรือจะมากินที่บ้านล่ะ]


ผมหยุดคิด “พวกผมจัดการกันเองดีกว่าครับ”


[โอเค] เสียงปากกาที่ขีดเขียนไปมาบนแผ่นกระดาษลอดเข้ามาในโทรศัพท์ [งั้นฉันจะบอกให้แม่ทำแค่อาหารเย็นเลยก็แล้วกันนะ]


“ของหวานด้วย” ผมท้วง


[โอ๊ะ เสียงอะไรนะ ไม่ได้ยินเลย]


นั่นไง ผมบอกแล้วว่าพี่ชายผมมันเป็นคนบ้า!


“บอกแม่ด้วยว่าอยากกินขนมโกทัน”


[โอ๊ะ อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย วางก่อนนะ]


เอ๊ะ หรือทางนู้นจะสัญญาณไม่ดีจริงๆ นะ...


[อ้อ แล้วฝากบอกคุณน้องเขยด้วยว่ารีบๆ มาล่ะ ไม่งั้นขนมโกทันหมดไม่รู้ด้วยนะ]


แล้วเขาก็วางสายไปโดยไม่เว้นช่องว่างไว้ให้ผมได้ตอบโต้กลับเลย


เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้วว่าพี่ชายผมน่ะ มัน ประ หลาด!


แต่ถึงจะเป็นพวกบ้าบอแค่ไหนก็เถอะ...


[แล้วจริงๆ ก็คิดถึงด้วยแหละ]


เอาเข้าจริงก็เป็นคนดีล่ะน้า


ผมอมยิ้มพลางเดินกลับไปทิ้งตัวลงนอนในกองเสื้อผ้าของฮาน


[คิดให้ดีนะเอล ทางที่นายกำลังจะเดินไปตอนนี้ใช่ทางที่ตัวเองเลือกแล้วจริงๆ รึเปล่า]


สุ้มเสียงที่ดังขึ้นในหัวยิ่งทำให้ผมอมยิ้มมากขึ้นกว่าเก่า


เจอหน้ากันครั้งนี้ผมคงต้องคุยกับเขายาวเลย ต้องเลิกทำให้เจ้าพี่ชายบ้าจี้นี่เลิกสงสัยกับทางเลือกของผมสักที ต้องทำให้เลิกมองฮานในแง่ร้ายด้วย บางทีถ้าใช้ขนมโกทันเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ก็น่าจะดีนะ


อา ขนมโกทันเหรอ...


ผมขยับตัวเพื่อให้ใบหน้าฝังลงในกองเสื้อผ้ามาขึ้นพลางอมยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่า


ถ้าฮานจำได้ก็ดีสินะ...





****************************************************************************



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด