YR Mine นายผู้ปกครอง - รักลุ้นๆ ของคนพี่ Ep.041 : บทสรุป : สัญญา - เวลา - ความรัก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: YR Mine นายผู้ปกครอง - รักลุ้นๆ ของคนพี่ Ep.041 : บทสรุป : สัญญา - เวลา - ความรัก  (อ่าน 23069 ครั้ง)

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

"สำหรับพี่ ทุกอย่างระหว่างเรามันไม่ใช่ความบังเอิญ ..แต่มันคือพรหมลิขิต" - พี่ข้าว                               
"สำหรับธาม มันไม่มีหรอกนะคำว่าบังเอิญ มันมีแต่ความตั้งใจ และเจตนา.." - ปรินซ์

โปรย..

มือหนาแกร่งๆของใครสักคนจับแน่นที่ข้อมือของผม พร้อมกับแรงกระชาก ร่างของผมเอนไปตามแรงนั้นได้อย่างง่ายดาย ผมมองตามมือนั้น มือของปริ้นท์.. ปริ้นท์กำลังมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน และพยักหน้าเหมือนกับบอกผมว่าให้เดินตามมันออกไปได้แล้ว ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวอะไร
     “คุณเป็นใครไม่ทราบ!” พี่ข้าวยังคงคอนเซ็ปต์ความเป็นพี่ว๊าก ปริ้นท์ไม่ตอบ แถมไม่แยแสพี่ข้าวสักนิด ปริ้นท์ออกแรงดึงมือผมอีกครั้ง เท้าผมขยับออกจากที่ยืนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมก็ดีใจมากที่ปริ้นท์เข้ามาช่วยผม ถึงขี้ใกล้จะเล็ด แต่ผมก็ซึ้งจนน้ำตาจะไหล แต่อีกใจนึงของผมก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ผมกำลังแหกกฎ แถมคนที่มาแทรกแซงห้องเชียร์ก็เป็นคนคณะอื่นอีก แต่นาทีนี้ผมต้องการไปห้องน้ำให้เร็วที่สุด ผลของมันจะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่อยากคิด… แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าเดินไป มือหนาของใครอีกคนก็จับเข้าที่ข้อมืออีกข้างของผม .. พี่ข้าววว!!! เมื่อร่างของผมไม่สามารถก้าวเดินตามแรงดึงของปริ้นท์ต่อได้ ปริ้นท์ก็หันหลังกลับมามอง สองร่างใหญ่กำลังเข้าสู่สงครามสายตา ฝั่งนึงก็ดวงตาดุเข้มใต้กรอบแว่น อีกฝั่งนึงก็ส่งสายตาเฉี่ยวคมโต้ตอบ ท่าทางศึกนี้จะยืดเยื้อ ผมไม่สนอะไรแล้ว ผมสะบัดข้อมือของตัวเองให้หลุดจากการจับกุมของทั้งสองคนแล้วรีบวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำ

สารบัญ
Ep.01 ปริ้นซ์..ธาม : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3980500#msg3980500
Ep.02 คณะนิเทศศาสตร์ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3980502#msg3980502
Ep.03 ภาวะนำใจ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3980503#msg3980503
Ep.04 การจากกัน : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3980504#msg3980504
Ep.05 สายลม แสงเดือน : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3980913#msg3980913
Ep.06 ลลิน : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3981805#msg3981805
Ep.07 ผิดพลาด : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3982133#msg3982133
Ep.08 ปลดปล่อย : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3982338#msg3982338
Ep.09 ห้องเชียร์ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3982756#msg3982756
Ep.010 ข้าว : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3983194#msg3983194
Ep.011 ความใกล้ - https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3983535#msg3983535
Ep.012 - ปรินซ์..ข้าว : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3983814#msg3983814
Ep.013 - จูบ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3984016#msg3984016
Ep.014 - จูบแรก : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3984249#msg3984249
Ep.015 - ระยะใกล้ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3984701#msg3984701
Ep.016 - ประกาศตัว : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3984825#msg3984825
Ep.017 - ความฝัน : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3985062#msg3985062
Ep.018 - สายรหัส : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3985321#msg3985321
Ep.019 - ตามหา : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3985559#msg3985559
Ep.020 - ลุงรหัส : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3985586#msg3985586
Ep.021 - ความใน : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3985714#msg3985714
Ep.022 -การกลับมาของปรินซ์ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3985921#msg3985921
Ep.023 - เจอหน้า : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3986157#msg3986157
Ep.024 - ขอได้ไหม? : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3986402#msg3986402
Ep.025 - ชมรม : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3986641#msg3986641
Ep.026 - ความรู้สึกของที : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3986890#msg3986890
Ep.027 - เลี้ยงชมรม เลี้ยงสาย : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3987029#msg3987029
Ep.028 - เมา : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3987246#msg3987246
Ep.029 - เป้ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3987455#msg3987455
Ep.030 - ยอมรับ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3988017#msg3988017
Ep.031 - รถไฟ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3988320#msg3988320
Ep.032 - แผน : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3988690#msg3988690
Ep.033 - ความในใจ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3988775#msg3988775
Ep.034 - ไอ้เชี่ยบอส : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3989052#msg3989052
Ep.035 - ลงดอย : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3989276#msg3989276
Ep.036 - ไอ้ ‘เฮีย’ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3989578#msg3989578
Ep.037 - ความแค้น : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3989940#msg3989940
Ep.038 - เคลียร์ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3990025#msg3990025
Ep.029 - ..พายุ : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3990261#msg3990261
Ep.040 - การเจรจา.. : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3990447#msg3990447
Ep.041 : บทสรุป : สัญญา - เวลา - ความรัก : https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.msg3990649#msg3990649
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2019 12:59:52 โดย After5p.m. »

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
01
ปรินซ์..ธาม

“อายุวัณโณ สุขัง พลัง”
“สาธุ”
“วันนี้ใส่บาตรคนเดียวรึ เจ้าธาม”
“ครับหลวงตา แม่บอกว่าให้ใส่บาตรคนเดียว จะได้รับแต้มบุญคนเดียวเต็มๆ สํารองไว้ใช้ตอนไปอยู่ที่มอน่ะครับ”
“แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะ”
“เช้านี้แล้วครับ”
“ตั้งใจเรียนล่ะ”
“ครับหลวงตา”
หลวงตามิ่งยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินจากไป ผมลดมือที่พนมไว้ลง มองตามหลวงตามิ่งด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นห่วงม๊ากับป้าอีกสองคน ผมคงจะขอออกบวชไปตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะว่าเกิดมาชีวิตก็ติดวัดแล้ว บ้านที่อยู่ก็อยู่หลังวัด โรงเรียนที่เรียนก็โรงเรียนวัด
“ใส่บาตรเสร็จรึยัง” ม๊าตะโกนเสียงดังลั่นมาจากหลังบ้าน
“เสร็จแล้วม๊า” ผมตะโกนกลับไปจากหน้าบ้าน

“ธามจะไปยัง” เสียงที่แสนคุ้นเคยนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากคนที่ผมสนิทที่สุดในชีวิต ..ปรินซ์
“แป๊บนึงนะปรินซ์” ผมตอบโดยที่ไม่มองร่างสูงที่เดินใกล้เข้ามาเพราะกำลังก้มเก็บอุปกรณ์ใส่บาตร ปรินซ์ทักทายผมด้วยการเอาแขนข้างนึงรัดเข้าที่คอของผมหลวมๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เจ็บอยู่ดีเพราะโดนเข้ากับลูกกระเดือกของผมเต็มๆ
“เรียกพี่สิ โตแล้วนะ เมื่อไหร่จะเรียกพี่สักที”
“อ่อยอ่อนน!!” ผมอ้อนวอนคนตัวสูงกว่าปรินซ์ปล่อยมือแทบจะทันทีเมื่อเห็นว่าผมเจ็บจริงๆ
“แค่ก แค่ก”
“โทษที ไม่คิดว่าจะบอบบางขนาดนี้” คนร่างสูง 180 กว่าอย่างปรินซ์คงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นนักกีฬาที่แข็งแกร่งขนาดไหน ลงเตะบอลแต่ละที ทําเอาคู่แข่งหวาดๆ ไม่กล้าตามประกบ เพราะกลัวว่าจะต้องปะทะร่างใหญ่แล้วล้มเองให้อับอายขายขี้หน้าประชาชีในสนาม ต่างจากผมที่เป็นแค่หนอนหนังสือตัวบางๆ นั่งๆ นอนๆ หลบมุมอยู่ในห้องสมุด
“จะเสร็จแล้วรอแป๊บ เดี๋ยวเข้าไปลาม๊าแล้วก็ไปได้” ผมบอกปรินซ์ขณะที่เทน้ำที่กรวดเสร็จแล้วลงกระถางต้นไม้หน้าบ้าน
“สวัสดีครับมาม๊า” เสียงของคนที่ผมกําลังคุยด้วยกลับไปดังจากในบ้านของผมซะงั้นไม่ได้ฟังกูเลย..เชี่ยปรินซ์!
“ปรินซ์มาแล้วเหรอ เจี่ยปึง กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” ม๊าผมใจดีกับปรินซ์เสมอ ปรินซ์เคยเป็นเด็กข้างบ้านผมก่อนที่จะย้ายไปอยู่ในคฤหาสต์หลังใหญ่ย่านฝั่งธน เพราะว่าพ่อของปรินซ์ทํามาค้าขึ้น หลังจากหนักเอาเบาสู้ ตระเวนท่องขึ้นเหนือลงใต้จนกลายมาเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ในวงการขายส่งหลอดไฟทุกยี่ห้อ ปรินซ์เองเลยโตมาแบบขาดๆ เกินๆ เพราะหลายครั้งที่ต้องเดินทางไกล พ่อแม่ของปรินซ์ก็จะขอฝากลูกชายไว้กับคนข้างบ้านอย่างม๊าของผมเสมอ
จะว่าไป.. ผมเองก็มีปรินซ์อยู่ข้างๆ ตัวมาตลอดตั้งแต่จำความได้เวลาเล่นก็เล่นด้วยกัน เวลากินข้าวก็กินด้วยกัน เวลาโดนม๊าดุม๊าตีก็โดนด้วยกันพอโตขึ้นมาก็เรียนโรงเรียนเดียวกัน กลับบ้านก็กลับด้วยกัน ทำการบ้านก็ช่วยกันทำเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม และตอนนี้ก็ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน..
“กินไม่ทันแล้วอ่ะม๊า เดี๋ยวสายแล้วรถติด” ผมบอกม๊าที่คะยั้นคะยอให้เราสองคนกินข้าว ม๊าทำหน้ามุ่ยลงทันที
“ใส่กล่องไปก็ได้ครับมาม๊า เอาไปกินบนรถ” ม๊ายิ้มกว้างทันทีที่ไอ้ปรินซ์ตอบ
“ดีๆ มาม๊ารีบไปจัดให้นะ” ม๊ารีบจัดอาหารใส่กล่องทัพเพอร์แวร์อย่างไว คงกลัวว่าถ้าช้าปรินซ์จะเปลี่ยนใจ..เอาอกเอาใจออกนอกหน้านอกตาเลยนะม๊า ผมจำได้ดีว่าตอนปรินซ์กับที่บ้านจะย้ายออก ม๊าร้องไห้เสียใจนอนซมไปหลายวัน ไม่ได้สนเลยว่าลูกชาย (แท้ๆ) จะรู้สึกยังไง ผมไม่ได้น้อยใจนะ แถมยังเข้าใจม๊าดีด้วย ก็ม๊าเลี้ยงปรินซ์เหมือนปรินซ์เป็นลูกชายอีกคน จะรักจะเศร้าก็ไม่แปลกส่วนผมก็รู้สึก..เหงา เพราะห้องนอนที่เคยมีปรินซ์นอนด้วยกันมันกว้างเกินไป

“ฝากธามด้วยนะปรินซ์” ม๊าบอกปรินซ์แล้วก็มองไอ้คนตัวสูงกว่าผมด้วยสายตารักใคร่แบบสุดๆ
“ธามมีอะไรก็ปรึกษาปรินซ์เขานะ อย่าคิดเองตัดสินใจเอง เชื่อปรินซ์เขา” ม๊าพูดเสียงหนึ่งใส่ผมทีกับไอ้ปรินซ์ล่ะเสียงสองเสียงสี่ สายตาที่มองมาก็ต่างมาก ก็รู้นะว่าม๊าเองก็รักผม แค่การแสดงออกมันต่างกัน
“ไปแล้วนะม๊า ฝากบอกป้าๆ ด้วย”
ผมมีป้าอีกสองคน.. ทั้งคู่รักผมมาก คงได้ซับน้ำตาแน่ถ้าต้องเห็นผมขึ้นรถแล้วจากไป ทั้งคู่เลยไปลุยไหว้พระ 9 วัด ตระเวนขอพรให้ผมแทน นี่ผมไม่ได้จะไปออกรบที่ไหนนะ ..แค่ไปเรียน แล้วผมก็ออกเดินทางพร้อมเป้หนักๆ เพียงหนึ่งใบ เพราะของอย่างอื่นปรินซ์ช่วยขนไปไว้ที่หอให้หมดแล้ว ..เป็นคนดีสมกับเป็นลูกรักของม๊าจริงๆ
“หิว”
“หิวก็กินดิ” ผมยื่นข้าวกล่องของม๊าให้คนขับรถ
“จะกินได้ยังไง พี่ขับรถอยู่ มือไม่ว่าง”
“งั้นก็รอติดไฟแดง”
“..แล้วบอสล่ะจะไปถึงกี่โมง”
“มันน่าจะไปถึงบ่ายๆ”
บอสคือหนึ่งในเพื่อนรักของผมที่มีอยู่ไม่กี่คน เราสอบติดที่เดียวกัน ถึงจะต่างคณะ แต่ก็อยู่หอเดียวกัน ห้องเดียวกัน
“แล้วนี่ทำไมต้องรีบไปคณะด้วย อีกตั้งสองอาทิตย์ถึงจะเปิดเทอม” ปรินซ์ถามผม
“ที่คณะมีรับน้องแรกเข้า”
“...”
“คณะปรินซ์ไม่มีเหรอ”
“มีมั้ง”
“โคตรไม่ใส่ใจงานคณะ”
“ก็นี่ปีสามแล้ว”
“ออ ลืมไปว่าปรินซ์แก่แล้ว”
“เลิกเรียกแต่ชื่อได้ไหม”
“ก็เรียกแบบนี้มาตลอด ไม่เห็นเคยว่านิ”
ปรินซ์ถอนหายใจเบาๆ “..อยากเรียกไรก็เรียก”
ผมกับปรินซ์มีเรื่องให้เถียงกันได้ตลอด เถียงมันตั้งแต่ยังใส่ผ้าอ้อม (ม๊าบอก) แต่ถึงอย่างนั้นตลอดเวลา 19 ปีของผมก็มีปรินซ์อยู่ข้างๆเสมอ ปรินซ์เป็นทั้งพี่ เป็นทั้งเพื่อน แล้วก็เป็นทั้งเบ๊ ผมต้องการอะไร ลำบากอะไร การบ้านยากขนาดไหน ต้องไปหาข้อมูลทำรายงานในที่แสนไกลยังไง ปรินซ์ก็จะคอยช่วยคอยทําคอยหาให้ทุกอย่าง ปรินซ์คงรักผมประหนึ่งน้องชายที่คลานตามกันมา อย่างว่า ปรินซ์มันไม่มีน้องเป็นของตัวเอง ผมเองก็ไม่มีพี่ชายเหมือนกัน ..ลูกชายคนเดียวทั้งคู่
“ถึงแล้ว”
“ฮะ ฮื้มมมมม”
“หลับสบายเชียวนะ น้ำลายไหลเปื้อนเบาะแล้วเนี่ย”
“ห๊ะ!! จริงเหรอ ไหนๆ” ผมขยับพลิกตัวหารอยน้ำลายที่ทำไว้ น่าอายชะมัด ได้โดนล้อจนลูกแต่งงานแน่ ผมทำอย่างนั้นอยู่สักพัก เสียงหัวเราะของไอ้ปรินซ์ก็ดังลั่นรถ
“พี่ล้อเล่น”
“เชี่ยปรินซ์”
“นี่พี่นะ สุภาพด้วย”
“อย่ามาอ้างความเป็นพี่ มึงหลอกกูก่อน”
“พูดไม่เพราะเลยนะ เสียชื่อเด็กธัมมะธัมโมหมด”
“เกี่ยวไรกับธัมมะวะ ธัมมะน่ะอยู่ในใจ ขอแค่เรารู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เผลอทำอะไรที่เป็นบาปก็เพียงพอแล้ว แล้วก็ไอ้การพูดจาไม่สุภาพเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย ..ไม่นับ”
“หยุดเทศน์เลยธาม อย่าไปทำอย่างนี้กับเพื่อนใหม่ล่ะ เดี๋ยวเขาจะเบื่อกัน ต่อให้เราหน้าตาดีแค่ไหน ก็ไม่มีใครเขาอยากมีเพื่อนเป็นพระหรอกนะ”
“...” อยากจะเถียงกลับ แต่ก็เถียงไม่ออก เพราะปรินซ์ทั้งด่าและชม
“ถ้าเก็บของเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อ”
“สำรวจโรงอาหาร หาข้าวกิน ขี่จักรยานสำรวจมหาลัย รอไอ้บอสมา หาข้าวกิน เล่นเกม อ่านการ์ตูน นอน”
“สรุปคือว่าง”
“อืม”
“งั้นไปเก็บของ แล้วพี่จะพาไปสำรวจโรงอาหาร”
”ไปคนเดียวได้”
“แต่มาม๊าฝากธามไว้กับพี่ ..ให้ไวด้วยล่ะ”
“เออ ก็ได้” แม่งหยั่งกับม๊ามาเอง ชีวิตมหาวิทยาลัยคงไม่อิสระอย่างที่คิด
   .
[มึงอยู่ไหน]
“กูอยู่หน้าหอ”
[ไหนวะกูก็อยู่หน้าหอเหมือนกันเนี่ย]
ผมมองหาไอ้บอสทั่วลานจอดรถ หลังกลับจากมินิทัวร์มหาลัยบายปรินซ์
[ไอ้ธามมมมมมมมม]
“ไอ้ธามมมมมมมมมม” ไอ้บอสตะโกนสุดเสียง
“พี่ปรินซ์ซ์ซ์ซ์ซ์” ไอ้บอสวิ่งมาด้วยความเร็วร้อยกว่า กางแขนออกกว้างอย่างกับภรรยาวิ่งเข้าหาสามีที่เพิ่งรอดตายจากการรบ
แปะ
ปรินซ์ยกมือใหญ่แปะเข้าไปที่หน้าผากของไอ้บอส เบรกร่างของมันให้หยุดอยู่ที่ระยะห่างเท่าความยาวแขนของปรินซ์
“โคตรคิดถึงพี่ ไม่ได้เจอตั้งนาน”
“เออ แต่ไม่ต้องแสดงมากกว่านี้ เดี๋ยวมึงขายไม่ออก”
“โธ่พี่ ระดับผม แค่ส่งยิ้มให้ ก็เดินมาหาผมแล้ว”
ไอ้บอสเป็นเพื่อนกับผมตั้งแต่มอต้น มันเป็นคนเฟรนด์ลี ต่างกับผมลิบ มันชอบพูด ผมชอบฟัง เราเลยเข้ากันได้ดีแล้วถ้ามันไปทําอะไรชั่วๆ มา มันบอกว่าแค่มาเล่าให้ผมฟัง มันก็จะรู้สึกดีขึ้น เหมือนว่าได้สารภาพบาปกับบาทหลวงในโบสถ์
“ไปเก็บของไป เดี๋ยวพี่พาไปกินนอกมอ”
“พี่ปรินซ์รู้ใจผมสุด งานนี้ต้องฉลอง”
“ฉลองในโอกาสอะไรวะ มึงนี่เอะอะหาเรื่องเมา”
“ก็ฉลองที่ได้เจอพี่ปรินซ์ไอดอลในดวงใจไงมึง”
ไอ้บอสยิ้มแบบร่าเริงสุด คือถ้าตอนนี้บอกมันว่า เห้ย อะดิดาสรุ่นลิมิเต็ดของมึงเหยียบขี้หมาอยู่ มันก็คงไม่รู้สึกอะไร ต่างจากปรินซ์ ที่หน้าไร้อารมณ์ร่วมสิ้นดี
..ไอ้บอสปลื้มปรินซ์มาก เพราะปรินซ์มันดังที่สุดในโรงเรียน (โรงเรียนมัธยมชายล้วน) เรียนเก่ง เกรดไม่เคยตํ่ากว่า 3.5 นักปราชญ์ในหมู่เด็กเนิร์ด ครูบาอาจารย์พากันเอ็นดรู เล่นกีฬาก็ดี เป็นตัวจริงมันทุกสนาม เล่นบอลแบบใสสะอาด จะไม่เข้าชนใครถ้าคนนั้นไม่เข้ามาปะทะมันก่อน และถ้าใครในโรงเรียนโดนคู่อริไล่กระทืบโดยไม่มีสาเหตุอันสมควร (แก่การโดนกระทืบ) ปรินซ์จะลุยเอาคืนแก้แค้นให้เต็มที่ขอแค่แจ้งพิกัด และจํานวนคนของฝ่ายนู้นมา เอาเป็นว่าความคูล ความแมน ความน่านับถือของปรินซ์ส่งให้มันขึ้นแท่นเป็น ‘ตํานาน’ ของโรงเรียน
ส่วนผมน่ะเหรอ แข่งกับปรินซ์ได้เรื่องเดียวคือเรื่องเรียน ไม่ใช่ว่าเก่งเท่ามันนะ แต่เป็นเรื่องเดียวที่ผมพอใช้ได้ ไม่ถึงกับโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับฉลาด ปรินซ์เลยได้เป็นติวเตอร์ให้ผมตลอด ไอ้บอสคือหนึ่งในเพื่อนกลุ่มผม เลยได้อานิสงค์ไปด้วย ได้ใกล้ชิดเข่าชนเข่ากับปรินซ์ กินนํ้าเหยือกเดียวกับปรินซ์ ได้ฟังเสียงปรินซ์มันได้ติวกับปรินซ์ที ละเมอเพ้อไปเป็นเดือน
.
.
..ร้านซำบายเป๋า
ปรินซ์บอกว่าถ้าเปิดเทอมต้องโทรจองโต๊ะล่วงหน้าก่อนถึงจะได้กิน แต่นี่ขนาดยังไม่เปิดเทอม เรายังต้องรอหน้าร้านสิบห้านาที ไม่ใช่เพราะอาหารอร่อย ราคากันเอง (เหมือนชื่อร้านหรอกนะ) แต่เพราะเจ้าของร้าน นักร้อง แม่ครัว คนเสิร์ฟ ยันคนโบกรถ เป็นหญิงสาวหน้าตาดี หุ่นเป๊ะปังทั้งนั้น ทั้งที่ร้านนี้มีนโยบายไม่ขายแอลกอฮอล์ เพราะกลัวความปลอดภัยของสาวๆ แต่ไม่มีกฎห้ามถ้าจะมาจีบพนักงาน แต่ขออย่างเดียว ..เชิญนอกร้าน
“ปรินซ์ซ์ซ์ซ์มาาาาาาาาาา” ผู้หญิงคนนึงร้องทักปรินซ์เสียงดังมาแต่ไกล จนใครๆ พากันหันมามอง สาวๆ หลายคนพากันยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บางคนก็หยิบตลับแป้งขึ้นมาเช็คหน้าเช็คผม
“อืม”
“ยังไม่เปิดเทอมเลยน้า มาก่อนแบบนี้ หรือว่าคิดถึงเค้าเหรอ”
“...” ปรินซ์ไม่ตอบ แถมเอาแต่มองเมนู
“แล้วนี่ใครล่ะ เด็กปีหนึ่ง?”
“คร๊าบบบบ ผมบอสนะครับ คุณ..”
“ส้มโอจ๊ะ เรียกเจ๊ส้มโอล่ะกัน”
“แหมมมม ใครเป็นคนตั้งชื่อให้ครับเนี่ย เหมาะกับเจ๊มาก” ไอ้บอสไม่พูดเปล่า ยังส่งสายตาชำเลืองเหลือบมองต่ำ ขนาดผมยังรู้เลยว่ามันมองอะไร
“แล้วอีกคนล่ะ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก” เจ๊ส้มโอพูดพลางเอานิ้วมาจิ้มแก้มผม ผมอดตกใจไม่ได้เพราะผมไม่เคยถูกผู้หญิงแตะเนื้อต้องตัวมาก่อน (เว้นม๊ากับป้า) ไม่ได้ถือตัวนะ แค่คิดว่าการสัมผัสตัวกันระหว่างชายหญิงที่ไม่ได้เป็นคู่หมั้นคู่หมายเนี่ย มันคือสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่สุด ลืมบอกไป นอกจากผมจะธัมมะธัมโมแล้ว ยังหัวโบราณตัวพ่อด้วย
“ไม่ต้องรู้หรอก” เสียงเย็นของปรินซ์เล่นเอาเจ๊ส้มโอเงิบ ความลั๊ลลาหายไป 95.5 เปอร์เซ็นต์
“เอาไข่เจียวกุ้งสับ ต้มแซ่บกระดูกอ่อนไม่เผ็ดมาก ไก่ทอด บอสเอาไรเพิ่ม” ปรินซ์ถามไอ้บอส
“ผมเอาหมูแดดเดียว แล้วก็ไก่หมักซอสเอ็กซ์โอ”
“ข้าวเปล่าสาม แล้วก็น้ำเปล่า เอาเท่านี้” ปรินซ์พูดจบก็ส่งเมนูคืนให้เจ๊ส้มโอ
“กูยังไม่ได้สั่งเลย” ผมมองหน้าปรินซ์อย่างเอาเรื่อง
“พี่สั่งให้แล้วไง ไอ้ที่สั่งก็ของโปรดไม่ใช่เหรอ”
“...” ผมเถียงไม่ออก ยอมรับว่าเมนูที่ปรินซ์สั่งคือของชอบของผมทั้งหมด
“โอยยยย อยากให้พี่ปรินซ์รู้ใจผมบ้างงง” ไอ้บอสทำเสียงน่ารำคาญ ส่วนผมก็ทำหน้ากระอักกระอ่วนไปไม่เป็น ขณะที่เจ๊ส้มโอที่ยังยืนอยู่ทำหน้าเหมือนเหม็นอะไรบางอย่าง
.
.

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
02
คณะนิเทศศาสตร์
เช้าวันนี้แสนสดใส แสงอาทิตย์สาดส่องทะลุม่านขาวละมุน (ที่ป้าๆ เลือกให้) ดวงตาค่อยๆ ปรับโฟกัสสแกนเพดานไปรอบๆ แต่มันยังคงไม่ค่อยชัด อาจเพราะขี้ตา ผมขยี้เบาๆ หวังว่าจะดีขึ้น
ที่นี่ไม่ใช่บ้าน
ที่นี่ไม่มีม๊า ไม่มีป้าๆ
ที่นี่ไม่มีนาฬิกาปลุก (ยังไม่ต้องปลุก เพราะยังไม่มีเรียน)
แต่ที่ที่นี่มีคืออิสระเสรี!
“เย้” ผมตะโกนเสียงดัง ไม่แคร์หรอกนะว่าเพื่อนข้างห้องจะได้ยินรึเปล่า ก็ผมมันคนที่อยู่ในโลกแคบๆมาตลอด มีแต่ม๊ากับป้าๆ วันหยุดก็อยู่แต่กับบ้าน จะได้ไปข้างนอกก็ต่อเมื่อปรินซ์มารับ
“ตื่นแล้วเหรอ” ผมหันหน้าแรงไปมองเจ้าของเสียง
“เชี่ย!” ปรินซ์ยืนเช็ดผมอยู่หน้าห้องน้ำ มีผ้าเช็ดตัวอีกผืนพันปิดส่วนล่างอยู่อย่างลวกๆ แผงอกของปรินซ์ขาวนวลเนียนไร้ตำหนิ ถึงตาจะสะดุดเข้ากับท่อนแขนที่มีสองสี เพราะต้องเตะบอลตากแดดกลางสนาม ถึงอย่างนั้นกล้ามเนื้อใต้ร่มผ้าก็ยังขาวชวนมองอยู่ดีถ้ากูเป็นผู้หญิงคงกรี๊ดสลบไปแล้ว ไม่ดิ เผลอๆ ไอ้บอสก็กรี๊ด
“ทำไมมาอยู่นี่”
ปรินซ์ไม่ตอบแต่กลับเดินเข้ามาขยี้หัวผมเบาๆ แล้วนั่งลงข้างๆ กลิ่นหอมของแชมพู (ของผม) ชวนสดชื่น
“ธามกินอิ่มก็ง่วงหลับคาโต๊ะ ปลุกยังไงก็ไม่ยอมตื่น”
“แล้วไอ้บอส..”
“บอสช่วยจับธามขึ้นหลังพี่ ส่งขึ้นรถเสร็จก็ขอตัวเลย”
“แล้วทำไมปรินซ์ไม่กลับห้อง”
“พี่อยู่ด้วยไม่ได้? อย่าลืมนะว่าอยู่นี่ พี่เป็นผู้ปกครองของธาม”
“เออๆ อยู่ก็อยู่ไอ้ผู้ปกครองขี้เบ่ง กูไปอาบนน้ำล่ะ”
   .
..ปรินซ์
“เออๆ อยู่ก็อยู่ไอ้ผู้ปกครองขี้เบ่ง กูไปอาบน้ำล่ะ”
ผมมองธามที่ลุกเดินไปห้องน้ำด้วยท่าทีหงุดหงิด ต่างจากผมที่กำลังนั่งยิ้มมองธาม..น้องข้างบ้าน อีกไม่นานสถานะระหว่างผมกับธามจะไม่ใช่พี่ไม่ใช่น้องอีกต่อไป เพราะผมจะคบธามในฐานะ..แฟน
ผมปรินซ์-อชิระ ผมแอบชอบธามมานาน นานจนบางทีก็อดรู้สึกชื่นชมตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงได้มั่นคงในความรักของตัวเองขนาดนี้ ทั้งที่ต้องอดทนรอให้ธามโตพอที่จะรับความรู้สึกของผมได้ มันเป็นการรอโดยที่ห้ามคาดหวังรอแบบไม่มีเงื่อนไขผูกมัด การเฝ้ามองคนที่ตัวเองรักอยู่ใกล้ๆ คงไม่ต่างอะไรจากงูจงอางที่หวงไข่ ผมไม่ได้เปรียบความรักของตัวเองว่าเหมือนความรักของแม่ที่มีต่อลูกนะ แค่อยากจะยืมเลเวลความหวงของแม่จงอางที่ผมมีต่อธามเท่านั้น ซึ่งตลอดเวลาที่นานขนาดนี้ ไอ้เด็กซื่อที่ชื่อธาม กลับไม่เคยสัมผัสได้เลยว่าผมรักเขามากแค่ไหน

“ตอนเย็นไม่ต้องมารับนะ กลับเองได้” ธามบอกผมเมื่อรถของผมจอดเทียบริมฟุตบาทด้านข้างตึกของคณะนิเทศศาสตร์
“...” ผมไม่ตอบ แค่ยิ้มเย็นมุมปาก..ธามห้ามพี่ไม่ได้หรอก
   .
   .
   .
..คณะนิเทศศาสตร์
..ธาม

“สวัสดีจ้า ลงชื่อตรงนี้ได้เลย”
“อออ น้องธาม สายรหัส 153 หนูไปนั่งรวมกับเพื่อนตรงโน้นได้เลย มีน้ำกับขนมให้กินนะ” พี่ปีสองคนนึงบอกผม จริงๆ ผมยังอิ่มจากข้าวเช้าที่ปรินซ์พาผมไปกินก่อนมาคณะ ผมเลยรับแค่น้ำจากพี่ๆ ที่โต๊ะสวัสดิการเท่านั้น
บรรยากาศของการรับน้องแรกเข้าสนุกมาก รุ่นพี่มาเต็มคณะ มีสันทนาการมีประธานเชียร์นำเชียร์ นำเต้นอย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยไม่เพราะฤทธิ์เอ็ม150 ก็คงเพราะที่นี่คือคณะนิเทศศาสตร์ คณะที่มีแต่ความสดใส เปี่ยมไปด้วยพลังงานติดนิดเดียวตรงที่ประชากรผู้ชายอย่างผมค่อนข้างจะน้อย แต่ก็เป็นข้อดีให้เราชาวแมนๆ รวมตัวกันได้อย่างรวดเร็ว ออกแนวรวมกันเราอยู่ แยกอยู่เราจะหากันไม่เจอ
“เอาล่ะน้องๆ คะ พรุ่งนี้เราจะมาเจอกันที่ใต้ตึกเวลาเดิม แต่ว่าพรุ่งนี้เราจะมีกิจกรรมพิเศษเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือ พี่จะให้น้องๆ แต่งชุดเข้ากับตีมของละครเวทีคณะที่จะมีขึ้นในปีนี้ นั่นก็คือ ละครที่มีชื่อเรื่องว่า หว่ออ้ายหนี่ ศึกรักพิทักษ์เธอ” พี่ปาน ประธานเชียร์ปีสามพูดพร้อมกับมองหน้าน้องกว่าเกือบสองร้อยชีวิตที่นั่งเหงื่อเหม็นเต็มใต้ถุนตึก
“แค่ชื่อก็รู้แล้วนะว่าเป็นละครสัญชาติจีน ดังนั้น ตีมของการแต่งกายเพื่อเข้ากิจกรรมพรุ่งนี้คือลุคจีน จะแต่งยังไงก็ได้ ออ ถ้าแต่งดี แต่งโดน มีรางวัลนะ”
เสียงฮือฮาดังลั่นในใต้ถุน
“เอาล่ะๆ เงียบกันก่อน พรุ่งนี้คงต้องกลับดึกกัน ถ้าไงพี่ขอให้น้องๆ แจ้งผู้ปกครองด้วย พี่ขอจบกิจกรรมรับน้องของวันนี้เพียงเท่านี้ แยกย้ายกันพักผ่อนได้จ้า”
“น้องธามกลับยังไงลูก” พี่บีบี้ พี่ปีสองสาวสวยในร่างสูงทักผม ถ้าพี่บีบี้ไม่ส่งเสียงออกมา ให้ตายเหอะ ผมคงตกหลุมรักพี่แกแน่ๆ สวยหยาดเยิ้ม ดวงตาคู่หวานชวนมอง ต่อให้สูงกว่าผมจนต้องแหงนมองก็ไม่หวั่นนะ
“เดี๋ยวผมเดินกลับหอน่ะครับ”
“อยู่หอในนี่เอง ให้พี่ไปส่งไหม แต่ไปหาอะไรกินกันก่อน”
“เห้ยไม่เป็นไรครับพี่” ทำไมต้องมาเอ็นดูผมออกนอกหน้าด้วยละเนี่ย หรือว่าพี่เขาจะเป็นพี่รหัสผม
คณะผมมีธรรมเนียมปฏิบัติมาช้านานก็คือการปกปิดตัวตนของพี่รหัสเป็นความลับกับน้อง

“พวกพี่เขาอยากให้น้องรู้กันเองว่าใครเป็นพี่รหัสพวกเราแม่งต้องแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่คู่ควร ถ้าพวกเราหาพี่เขาเจอก่อนวันเฉลย พี่เขาก็จะเป็นปลื้มมม” บรีส ..หนึ่งในเพื่อนใหม่ของผมบอกไว้

“เอ่อพี่ ผมเปลี่ยนใจล่ะ” โห กว่ากูจะคิดได้ พี่บีบี้เขาหน้าสลดเป็นผักข้ามวันไปล่ะ
“ดีเลย งั้นไปร้านซำบายเป๋ากัน”
ร้านเดิมที่ปรินซ์พาไปเมื่อวาน ..ไม่มีร้านอื่นรึไง “ได้หมดครับพี่”
“พี่ขอชวนเพื่อนไปอีกสองคนนะ”
“...”
“ธาม” เสียงเรียกคุ้นๆ ดังมาจากอีกฟากของใต้ถุน ปรินซ์มา.. มาทำไม
“มารับ” ปรินซ์ตอบหยั่งกับได้ยินว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“กรี๊ดดดดด พี่ปรินซ์ซ์ซ์” พี่บีบี้ร้องเสียงหลง “พี่ปรินซ์มานี่มีอะไรรึเปล่าเอ่ย” เสียงพี่แกแม่งอ่อนนุ่มกว่าตอนคุยกับผมยี่สิบเท่า
“มารับน้องน่ะ”
“กรี๊ดดดด น้องของพี่ปรินซ์อยู่คณะนี้เหรอ คนไหน เดี๋ยวบีบี้จะดูแลอย่างดี”
ปรินซ์เอานิ้วชี้มาที่ผม
“ออออ น้องธามมมม โอ้ยยย ต่อให้ไม่ใช่น้องของพี่ปรินซ์ บีบี้ก็ว่าจะดูแลอย่างดีอยู่แล้ว คนอะไรหน้าตาน่าเอ็นดู นี่ก็ว่าจะจีบน้องไปเป็นลีดอยู่น้า”
“ไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษหรอก”
“ได้ไงเล่า” พูดไป พี่บีบี้ก็บิดไป
“งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ” ปรินซ์ส่งสัญญาณให้ผมเดินตาม
“ต้องไปกินข้าวกับพี่บีบี้” ผมบอกคนตัวสูงกว่าทันทีปรินซ์ส่งสายตาเย็นยะเยือกมาให้ผม
“กลับยังไง”
“เดี๋ยวบีบี้ไปส่งเอง พี่ปรินซ์ไปกินด้วยกันไหม” พี่บีบี้ส่งสายตาออดอ้อนปรินซ์ไม่สนใจแต่กลับเอาแต่มองมาที่ผม
“ตามใจ” แล้วปรินซ์ก็เดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ข้างคณะ
เชี่ย เย็นชาฉิบ
“งั้นเราไปกันเถอะน้องธาม” พี่บีบี้เก็บหน้าที่โคตรเหวออย่างรวดเร็ว ปั้นหน้าแบบว่า ‘ฉันยังโอเค’ มาพูดกับผม
   .
..ร้านซำบายเป๋า
โต๊ะเรามีพี่บีบี้ พี่เนท พี่บัว แล้วก็ผมพี่เนทกับพี่บัวเป็นสองสาวสวยดีกรีลีดคณะ สวยของจริง ขนาดว่าหน้าพี่เขามีแค่เครื่องสำอางบางๆ แสงไฟในร้านก็สว่างแค่สลัวผมเนียนมองหน้าพี่ๆ เขาที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างเจตนา มองสลับไปสลับมา ..ฟิน
“นะน้องธาม มาเป็นลีดให้พวกพี่เถอะ”
บทสนทนาหลักระหว่างรออาหารก็คือการชวนผมไปเป็นลีดของคณะ ผมเนี่ยนะ! แต่ก็พอเดาได้แหละว่าทําไมต้องเป็นผม ก็คณะนี้มีประชากรผู้ชายน้อย ตัวเลือกก็เลยน้อย
“ไม่ไหวหรอกพี่ เดี๋ยวได้อับอายกันทั้งคณะ” ผมรู้ตัวดี ร่างกายก็ไม่ได้สตรองถึงขนาดให้ไปยืนทนแดดทนฝนกลางสนามได้ เรื่องออกท่าทางนับจังหวะยิ่งไม่ต้องพูดถึง สกิลต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นราบ
“หน้าหนูผ่านเลยลูก ส่วนเรื่องท่า เรื่องสเต็ป ของมันฝึกกันได้” พี่บีบี้พูดไปก็เอามือมาไล้ๆตรงไหล่ผมไป
“ใช่เลยน้องธาม พวกพี่ก็ไม่มีใครเคยเป็นนะ ก็แค่ต้องฝึกแล้วก็ฝึก มันเป็นเกียรตินะ เป็นหน้าตาคณะด้วย” พี่บัวพูดพลางเอื้อมมือมาจับมือผมที่ถือช้อนอยู่บนโต๊ะ
“เอ่อ”
“ยังไม่ต้องให้คําตอบพวกพี่ก็ได้ เก็บไปคิดนะ พี่ให้เวลาอาทิตย์นึงไปตัดสินใจ”
“ว่าแต่ธามเป็นน้องแท้ๆ ของพี่ปรินซ์เหรอ” พี่เนทถาม ถ้าผมมองไม่ผิด พี่แกกำลังเขิน เพราะนอกจากหน้าจะแดงแล้ว พี่เนทยังเอานิ้วเรียวพันปลายผมม้วนไปม้วนมาอีก ..โคตรน่ารัก
“ไม่ใช่น้องแท้ๆหรอกครับ”
“ก็ว่าอยู่ แค่ขาวเหมือนกันสินะ” พี่บีบี้พูดไม่พอยังกลอกตาสแกนร่างกายของผมด้วย
ขนลุกกกกกกกก ไม่ใช่ผมไม่เคยเผชิญสถานการณ์นี้มาก่อน ตอนอยู่โรงเรียนเพื่อนสาวก็เยอะ ผมชอบด้วยซ้ำเพราะดูมีความจริงใจดี เลยไม่ได้รังเกียจอะไร แต่พวกมันแค่แซะผมเล่นไง ไม่ได้ดูเอาจริงเหมือนพี่บีบี้
“เอ่อ ผมว่าพวกเรากลับกันเลยไหมครับ พอดีเมทรอผมไปเปิดประตูให้น่ะครับพี่” ดีที่กินกันเสร็จพอดี ถ้าอยู่นานกว่านี้มึงเสร็จพี่บีบี้แน่ แต่ที่แย่กว่านั้นคือมึงกำลังโกหกอยู่ ถึงจะโกหกเพื่อเอาตัวรอดก็เหอะ ..ผิดข้อศีลมุสา
“อ่ะ โอเคๆ เอางี้ พี่ไปส่งน้องธามก่อนแล้วกัน พวกแกก็นั่งกินต่อกันไปก่อน” พี่บีบี้บอกเพื่อนสาว
“ไม่เป็นไรพี่ ผมกลับเองได้”
“หอในตั้งไกล ไปๆ เดี๋ยวเมทรอนานนะ”
ผมปฏิเสธยังไงพี่บีบี้ก็ยืนกรานจะไปส่ง ผมเลยยกมือไหว้ลาพี่เนทกับพี่บัวแล้วลุกเดินตามพี่บีบี้

“จะกลับแล้วใช่ไหม”
เสียงเย็นดังลอยมาเข้าหูผมทันทีที่ผมเดินพ้นประตูร้านซำบายเป๋าไอ้ปรินซ์อีกแล้ว!
ไอ้คนตัวสูงกว่าพูดทั้งที่ตัวเองยังติดภารกิจพัวพันอยู่ในวงล้อมของสาวสาวดูมันจะไม่ได้สนใจอะไรใครเท่าไหร่เพราะเล่นเดินผ่ากลางวงออกมาหาผม
“พี่ปรินซ์ เจออีกแล้ว สงสัยเพราะเมื่อเช้าบีบี้ทำบุญมาแน่เลย วันนี้เลยได้เจอตั้งสองครั้ง จะมีครั้งที่สามไหมน้า ในฝันคืนนี้ใช่ไหมเอ่ย” พี่บีบี้พูดทักทายปรินซ์ทันทีที่ปรินซ์เดินมาถึงในระยะได้ยินเสียง
“กลับเลยไหม” ปรินซ์ไม่ตอบพี่บีบี้ แต่กลับหันหน้ามายิงคำถามใส่ผม
“...”
พอปรินซ์เห็นว่าผมไม่ตอบ ปรินซ์เลยหันไปเปิดบทสนทนากับพี่บีบี้ “เอ่อน้อง..”
“บีบี้ค่ะ” พี่บีบี้ยิ้มหวานตอบ
“ออ น้องบีบี้ ถ้าไงพี่ขอพาคนของพี่กลับก่อนนะ”
“..คนของพี่ปรินซ์..เหรอคะ”
“…” ปรินซ์ยิ้มรับคำ ส่วนผมก็ยืนยิ้มเจื่อนๆ ‘คนของพี่’ หมายถึงผมงั้นเหรอ? ผมมองพี่บีบี้ที่กำลังทำหน้าไม่เข้าใจ ผมรู้ในทันทีว่าพี่เขาคิดอะไรอยู่
“ผมเป็นแค่น้องข้างบ้านที่โตมาด้วยกันกับปรินซ์น่ะพี่บีบี้ เราเลยค่อนข้างสนิทกัน ปรินซ์ก็ไม่มีน้อง ผมเลยเป็นของเล่นของปรินซ์มาตลอดน่ะครับ พี่บีบี้อย่าคิดไปไกล”
“อออออ อย่างนี้นี่เอง” พี่บีบี้พยักหน้าอย่างพยายามเข้าใจ
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับพี่บีบี้ สวัสดีครับ” ผมลากปรินซ์เดินห่างจากพี่บีบี้อย่างเร็ว จะไม่รอให้ปรินซ์พูดอะไรคลุมเครือจนเป็นมลทินให้กับตัวผมได้อีก ผมรีบจ้ำอย่างไว ไอ้คนตัวสูงกว่าก็ยอมเดินตามมาโดยดี พอถึงลานจอดรถ ผมก็เดินไปหยุดหอบที่รถปรินซ์ทันที ผมจำได้อยู่แล้วว่ารถของปรินซ์คันไหน
“ไมพูดแบบนั้นวะ”
“...”
“มึงพูดเหมือนกับว่ากูกับมึงเป็นอะไรกัน ถ้าพี่บีบี้เขาเข้าใจแบบนั้นแล้วถ้าเขาไปบอกต่อล่ะ กูไม่ต้องมานั่งรับมือกับแฟนคลับของมึงรึไง” รู้เลยว่าตัวเองกำลังโมโหไอ้คนตัวสูงกว่าจริงๆ ผมอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ แต่ไม่ว่าจะยังไง ..คิดมากก็ดีกว่าคิดน้อย
ปรินซ์ไม่ตอบแถมยิ้มมุมปาก เอามือหนักๆ มาขยี้หัวผมหนึ่งที แล้วก็กดรีโมทรถ เปิดประตูให้ผมขึ้นไปนั่ง ใครจะไปยอมกลับกับไอ้คนที่เพิ่งสร้างปัญหาให้วะ..แต่ถ้ากลับเองก็ต้องเดินอีกไม่ต่ำกว่ายี่สิบนาที ถ้าจะรอแท็กซี่ก็น่าจะนาน เปลืองตังอีกตังหากเออ.. ขึ้นรถไอ้ปรินซ์ก็ได้วะ
“ทำไมนั่งข้างหลัง” ปรินซ์ถามผมทันทีเมื่อผมหย่อนก้นลงนั่งบนเบาะนุ่มด้านหลังราวกับเป็นเจ้าของรถที่มีสารถีส่วนตัวคอยขับรถรับส่ง
“ก็จะนั่งข้างหลัง”
“จะมานั่งข้างหน้าดีๆ หรือจะให้พี่โทรหามาม๊าครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนแถมยังคำลงท้ายแบบนั้นของไอ้ปรินซ์ทำผมขนลุก ไหนจะดวงตาคู่คมที่มองผ่านกระจกหน้ารถนั่นอีก
“..อย่าเอาม๊ามาอ้าง ตอนนี้ม๊านอนแล้ว”
ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ปรินซ์มันก็ยังหยิบมือถือสุดแพงของมันขึ้นมามันกดชื่อม๊าบนหน้าจอโทรออกให้ผมเห็นจะจะ
เชี่ยปรินซ์!
รีแอคชั่นของร่างกายผมมันตอบโต้เร็ว เผลอๆ สมองยังไม่ทันได้ออกคำสั่งด้วยซ้ำ ผมพุ่งตัวไปนั่งหน้ารถอย่างไว
ผมแพ้มันจนได้!!
.
.
..หอ
..บอส / ธาม
“หงุดหงิดไรวะไอ้ธาม” ไอ้บอสเพื่อนเลิฟที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงถามผมทันทีที่ผมโผล่ตัวเข้าไปในห้อง
“กลับมาได้แล้วเหรอมึง หายหัวไปทั้งคืนเลยนะ ทิ้งเพื่อนอย่างกูได้”
“เออ ก็เมื่อคืนสาวๆรั้งกูไว้ จะใจร้ายไม่สนใจคำขอมันก็จะดูไม่สุภาพบุรุษว่ะ”
“เหรออออ”
“นี่พี่ปรินซ์มาส่งอ่ะดิ”
“เออ มึงรู้ม่ะ ปรินซ์แม่งทำตัวเป็นแม่กูเลย ตามไปรับที่คณะไม่พอ ยังตามไปรับที่ซำบายเป๋าอีก กูโตแล้วนะเว้ย”
“โอยยยยย อิจฉาโว้ยยยยย เทพของโรงเรียนตามรับตามส่งมึง กูอยากมีประสบการณ์นี้บ้าง”
“มึงหยุดทำหน้าเคลิ้มเลย ปรินซ์มันเป็นผู้ชายนะเว้ย มึงจะปลื้มอะไรกันนักกันหนาวะ หรือมึงชอบผู้ชาย”
“เอาจริงๆ ป่ะ หญิงก็ได้ชายก็ดีเว้ย”
“...” ผมอึ้งกับคำตอบของมัน
“ไอ้ธาม นี่มันยุคไหนแล้ว ยุคนี้ความรักมันไม่จำกัดเพศแล้วโว้ย”
“แต่การขยายเผ่าพันธุ์จะไม่เกิดขึ้นถ้าเพศเดียวกันแม่งได้กันเอง ..ไหมวะ”
“หลอดแก้วก็ได้ไหมมึง แม่อุ้มบุญก็มี อีกอย่างตอนนี้ปริมาณมนุษย์ก็ล้นโลกแล้วคนยิ่งเยอะคุณภาพชีวิตก็ยิ่งแย่ ทรัพยากรก็ร่อยหรอ ไงมึง คล้อยตามกูเลยไหม”
“...”
“ไอ้ธาม ความรักน่ะ มึงเลือกไม่ได้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ กับใคร มันเป็นเรื่องของหัวใจที่บางทีมึงเอาเหตุผลจากสมองมาอ้างอิงไม่ได้”
“…”
“และมึง อย่ามาทําเป็นรําคาญพี่ปรินซ์เด็ดขาด มึงต้องไม่ลืมว่าพี่ปรินซ์คือแรร์ไอเท็ม ใครได้พี่ปรินซ์ไปครองคือปรินซ์เซสเลยนะเว้ยยยยย”
“ปรินซ์เซสเชี่ยไร กูไม่ขำ”
“ก็ม๊าสั่งพี่เขามา มึงจะคิดไรเยอะวะ”
“แต่กูว่ามันเยอะไปไง”
“เดี๋ยวเปิดเทอม เขาก็ไม่ว่างมาดูแลปรินซ์เซสอย่างมึงแล้ว มึงอย่ามาบ่นคิดถึงพี่เขาให้กูได้ยินก็แล้วกัน”
..มึงจะไม่มีวันได้ยินแน่นอน
.
.
.

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
03
ภาวะนำใจ
.
.
..ปรินซ์
..หกปีก่อน
   
“ไอ้ปรินซ์วิ่งเร็วมึงงงงง!!!!” เสียงของพี่โจ๊ก รุ่นพี่มอห้าขาโจ๋ประจำโรงเรียนมัธยมที่ผมกำลังเรียนอยู่เสียงพี่มันดังขึ้นในระยะห่างจากผมประมาณแค่สองเมตร แต่ถึงพี่มันจะตะโกนเสียงดังมากแค่ไหนก็ดึงสติของผมให้ทําตามที่พี่มันบอกไม่ได้ หูผมดับ ปิดการรับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผมกําลังเมาหมัดซัดคู่อริต่างสถาบันไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันใช่คู่อริไหม อาจจะเป็นพวกเดียวกันที่โดนผลักโดนดันจนมายืนเสนอหน้าใกล้ๆ ก็ได้ เอาเป็นว่าใครเข้ามาในรัศมีสายตา ผมก็ง้างหมัดอัดหน้ามันหมดคงเพราะตอนนี้ฟ้ามืดเหมือนฝนใกล้ตก ทัศนวิสัยเลยแย่ หรือจริงๆ แล้วเพราะตาของผมมันบวมจนเกือบปิดจากที่โดนต่อย ..มองเชี่ยไรแม่งไม่ชัดสักอย่าง
“ไอ้เชี่ยปรินซ์มึงต้องวิ่งแล้ว ปล่อยพวกมันไป พ่อมึงแห่มาแล้ว เร็วววว เดี๋ยวโดนจับ!!” พี่โจ๊กทั้งพูดทั้งกระชากคอเสื้อนักเรียนของผม แต่เลือดมันเข้าตาผมซะแล้ว ผมสะบัดตัวเองออกจากการดึงรั้งของรุ่นพี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมว่าผมน่าจะเผลอต่อยพี่มันเข้าสักหมัดสองหมัดด้วยซํ้า
.
.
..สามชั่วโมงก่อนหน้านั้น
..แท็งก์นํ้าข้างโรงเรียน
“วันนี้ศึกใหญ่พวกเราไม่ตํ่ากว่าห้าสิบ มึงจะไปไหม”
“ไม่พลาด”
“ดีมากไอ้น้อง อย่าลืมตามเพื่อนมึงมาด้วย ศักดิ์ศรีของพวกเราจะให้ใครมาหยามไม่ได้ ศักดาของพวกเราแม่งต้องระบือไกล” บทสนทนาสั้นๆ แต่เข้าใจไม่ยากระหว่างพี่โจ๊กกับผม มันเป็นการเชิญชวนให้ยกเพื่อนพาพวกไปตีกันกับคู่อริต่างสถาบัน..
พวกเราดักรอใกล้ๆ ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนของพวกมัน อาวุธที่พอหาได้ถูกเหน็บอยู่ในกางเกงพร้อม ส่วนผมนั้นอาวุธไม่ต้องมี แค่พาร่างนักกีฬาที่สูงใหญ่ กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งจากการวอร์มทุกวันมาก็พอ รุ่นพี่หลายคนชอบผมก็ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ใจกล้าร่างแกร่ง
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง แม้เหงื่อจะไหลเพราะอากาศร้อน แต่ความอดทนของพวกเราก็ไม่ลดลง ทันทีที่กลุ่มศัตรูปรากฏตัว พวกเราก็พุ่งเข้าหาราวเข็มที่ถูกซัดออกไปจากมือของจอมยุทธ พวกมันมากันเจ็ดคน ฝั่งเราเป็นต่อ งานนี้คงไม่ยืดเยื้อ แต่ผมคิดผิด พวกของมันแห่มากันแทบจะทั้งโรงเรียน บางทีพวกเราคงเลือกโลเคชั่นผิด มันใกล้กับถิ่นพวกมันมากเกินไป ถ้าเทียบกันเรื่องจํานวน พวกผมแพ้สนิท แต่แทนที่จะวิ่งหนีต่อข้อเสียเปรียบนี้ พวกผมกลับฮึกเหิม แลกหมัดแลกอาวุธไม่ยั้ง เกิดเป็นลูกผู้ชายทั้งที ศักดิ์ศรีที่มีแม่งต้องรักษาให้ได้!!
.
..ปัจจุบัน
“ไอ้ปรินซ์ซ์ซ์ซ์พ่อมึงมานู้นแล้วววว! พอก่อน!! เดี๋ยวติดคุกกก!!” ในที่สุดเสียงของพี่โจ๊กก็ดึงสติของผมออกจากการแลกหมัดอย่างเมามันได้สำเร็จ และได้สติว่าเรื่องร้ายกําลังวิ่งใกล้เข้ามา
“เร็วสิโว้ยย!!!” พี่โจ๊กส่งเสียงเร่งผม
ศัตรูเองก็เปลี่ยนท่าที พวกมันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คงชั่งใจว่าจะซัดต่อหรือว่าจะวิ่งหนี ถ้ามีใครสักคนนําพวกมันก็จะทําตาม แต่ถ้าเสียเชิงเป็นคนเปิดก่อน ก็จะกลายร่างเป็นหมาในสายตาพรรคพวกทันที..ผมก็เช่นกัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผมแทบจะประมวลภาพตามไม่ทันตํารวจทั้งกองวิ่งล้อมกรอบพวกเราเข้ามา ในมือของแต่ละคนมีทั้งโล่กําบังกับไม้กระบอง ผมเองเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ ก็เริ่มตื่นตระหนก การตีกันครั้งนี้มันคงเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเข้าร่วม เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ตํารวจจะแห่มาเยอะขนาดนี้นาทีนั้นเองที่พวกเราเปลี่ยนสถานะจากศัตรูเป็นมิตรรู้ใจ พร้อมเพรียงพากันออกวิ่งกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทางที่ตรงกันข้ามกับกองกำลังอันถูกกฎหมาย
มือของพี่โจ๊กกุมกระชากข้อมือของผมแน่นในหัวคิดอะไรไม่ออกแค่ปล่อยให้ขาสองข้างวิ่งตามแรงลากของพี่มันผมตัวสั่น หัวใจเต้นแรงความหวาดหวั่นเกิดขึ้นในใจ ผมกลัวที่จะต้องโดนจับ กลัวป๊าม๊าจะรู้ กลัวที่จะไม่ได้ไปโรงเรียน กลัวที่จะสูญเสียเวลาวัยรุ่นไปกับการติดคุก ผมกลัว..

ผมกับพี่โจ๊กซ่อนตัวอยู่ภายในซอยแคบๆ ขณะที่เสียงเกือกม้าของบูทตํารวจกําลังดังใกล้เข้ามา
“มึงเงียบๆ” พี่โจ๊กที่กำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างตัวกระซิบบอกผมเบาๆ ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังสะอื้นออกมาอย่างคนไร้สติ พยายามจะกลืนเสียงในลำคอให้หยุดเงียบ แต่ผมก็กดปิดเสียงของตัวเองไม่ได้
เสียงรองเท้าตำรวจดังใกล้เข้ามามากขึ้น ..ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่อาจจะเป็นสิบ!
“ไอ้ปรินซ์มึงเงียบ!!” เสียงดุที่เบาที่สุดของพี่โจ๊กกระซิบที่ข้างหูผม ผมพยักหน้ารับ แต่ผมก็ควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้ มันสะอื้นหนักขึ้น สั่นมากขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้น
“มึงหลบอยู่ตรงนี่ อย่าออกไป” พี่โจ๊กออกคําสั่งกับผมเสร็จก็ลุกขึ้นเต็มความสูง พี่มันวิ่งไปหน้าปากซอยก่อนจะหายตัวไปทางด้านซ้ายของปากซอย..หลังจากนั้นเพียงอึดใจ ตํารวจก็วิ่งไล่ตามพี่มันไปเสียงรองเท้าของทุกคนค่อยๆเบาลงเพราะระยะความห่างที่ค่อยๆ ไกลออกไป..ในที่สุดผมก็ได้ยินแค่เสียงสะอื้นของตัวเอง

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมไม่รู้ รู้แค่ว่าซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นนาน นานจนเหน็บกินไปทั้งตัว เพราะผมไม่กล้าขยับตัวแม้สักนิด ผมหยุดสะอื้นสติเริ่มกลับมา ในหัวคิดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือภาวนาให้พี่โจ๊กรอด และสองไปหาธาม..
.
.
..บ้านธาม
จู่ๆ ฝนก็ตกกระหน่ำหนักในค่ำคืนนี้ทั้งที่พยากรณ์ไม่ได้บอกแจ้ง ร่างบางของธามซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมหนาพร้อมพักผ่อนเพราะอากาศเย็นชวนนอน ไม่ก็เพราะงานกีฬาสีของโรงเรียนในวันนี้หนักหนาจนเขาเพลียเหนื่อย ถึงจะรับหน้าที่เป็นเพียงกองเชียร์นั่งส่งเสียงบนสแตนด์ก็เถอะ คืนนี้เขาเลยเข้านอนเร็วกว่าปกติ แต่ถึงสติที่มีจะใกล้ปิดเต็มที เขาก็ยังได้ยินเสียงโวยวายของม๊ากับป้าๆดังเบาๆจากชั้นล่างอยู่ดี
“ปรินซ์ซ์ซ์ ตายแล้ว! เกิดอะไรขึ้น!! เข้ามาเร็ว” เสียงของมาม๊าดังโหวกเหวก “เจ็งไปหยิบกล่องยาหมวยไปเอาผ้าเช็ดตัว!”
เสียงของม๊าดังซ้อนกันกับเสียงฝน ดังอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มมีสติตื่นแล้วก็คิดว่าตัวเองควรลงไปรับรู้ได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างล่าง ถ้าได้ยินไม่ผิดเมื่อกี้ม๊าพูดชื่อปรินซ์.. เออไอ้ปรินซ์ นี่มันกี่โมงแล้วทำไมเพิ่งกลับมาวะ ผมลุกจากเตียงแบบงัวเงีย สองเท้าเดินลงไปตามบันไดไม้ ผมเห็นม๊ากับป้าป้ากำลังรุมล้อมใครสักคนอยู่ ..มองไม่ถนัด ผมเลยค่อยๆเดินใกล้เข้าไปแล้วก็ใกล้เข้าไป
ปรินซ์กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีพนักพิง ม๊ากำลังเอาสำลีเช็ดเลือดที่ไหลอยู่ตรงมุมปากของคนตัวสูง ป้าเจ็งกำลังเตรียมสำลีลูกต่อไปเพื่อส่งให้ม๊า ส่วนป้าหมวยกำลังเช็ดหัวเช็ดตัวให้ปรินซ์ด้วยความเบามือ ร่างหนาของปรินซ์กำลังสั่น คงหนาวจากไอฝนที่สาดเปียกไปทั้งตัว
ปรินซ์ไม่พูดไม่จา เอาแต่พยักหน้ากับส่ายหน้าเมื่อม๊าถามว่าเจ็บไหม แรงไปไหม ปรินซ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยู่ตรงนั้น ทั้งที่ผมยืนจ้องมองอยู่ใกล้จนแทบหายใจรดคงเพราะตาทั้งสองข้างของปรินซ์บวมเป่งปิดจนมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว ผมยกมือขึ้นปิดปากแน่น กลัวว่าตัวเองจะเผลอส่งเสียงอะไรออกมา ม๊าหันมามองผม เอานิ้วมือทาบที่ปากเพื่อบอกให้ผมเงียบเสียงไว้ ถึงม๊าไม่บอก ผมก็ไม่กล้าส่งเสียงให้ปรินซ์มันรู้..มันต้องอายมากแน่ๆ
ปรินซ์ฝืนกินโจ๊กอุ่นๆ ด้วยความทรมานเพราะปากที่บวมปวด กินไปได้แค่สองคำปรินซ์ก็ส่ายหัวปฏิเสธก่อนจะรับยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ที่ม๊าเตรียมไว้ให้ แล้วกลืนลงคอไป ม๊ายิ้มพอใจก่อนจะหันมาลากผมหลบออกห่างจากปรินซ์ ม๊ากระซิบบอกให้ผมขึ้นไปห้องนอน เตรียมเสื้อผ้าให้ปรินซ์เปลี่ยน ผมรีบทำตามที่ม๊าสั่ง พอเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียงนอน เอาผ้าห่มคลุมตัวทำเหมือนว่านอนหลับไปแล้ว ไม่นานม๊ากับป้าก็ช่วยกันพยุงปรินซ์เข้ามาในห้อง ปรินซ์ยืนยันกับม๊าว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเองไหว ม๊ากับป้าป้าจึงออกจากห้องไป
ปรินซ์นอนห้องเดียวกันกับผมมาตลอดตั้งแต่เด็ก ก็ทุกครั้งที่พ่อแม่ของปรินซ์ต้องไปทำงานไกล จนในห้องต้องมีเตียงอีกเตียงสำหรับปรินซ์โดยเฉพาะแต่นั่นก็หลังจากที่ทั้งผมทั้งปรินซ์ตัวโตขึ้นจนนอนเตียงเดียวกันไม่ได้
ร่างใหญ่ของปรินซ์หายเข้าไปในห้องน้ำนาน นานจนน่าเป็นห่วง ผมเลยลุกจากเตียง ย่องเข้าไปใกล้หน้าประตูห้องน้ำจู่ๆ เสียงลูกบิดประตูหมุนดัง ผมหันตัวกลับรีบกระโจนกลับขึ้นเตียง หวังว่าปรินซ์จะไม่ทันเห็น
ปรินซ์นอนลงที่เตียง อีกพักใหญ่ปรินซ์ถึงหลับสนิทผมสังเกตจากเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ ผมถอนหายใจ ..หลับได้สักที
.
.
..ตี 5
..หน้าห้องนอน Vs ในห้องนอน
..ปรินซ์
“ธามเป็นอะไร ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้”
“...”
เสียงเบาๆ ดังมาจากข้างนอกห้อง มันเล็ดลอดเข้ามาในความง่วงของผม..บทสนทนาระหว่างม๊าของธามกับธาม
“หยุดร้องได้แล้ว เป็นอะไร ทำไมไม่นอน”
“ปรินซ์ครางทั้งคืนเลย..”
“ธามเลยนอนไม่หลับ?”
“ไม่ใช่”
“...ห่วงปรินซ์เหรอ”
“...”
“เจ้าเด็กติ๊งต๊องของม๊า มาๆ กอดที”
“หยุดร้องได้แล้ว เดี๋ยวปรินซ์จะตื่น ต้องให้ปรินซ์นอนพักเยอะๆรู้ไหม อย่าไปกวน”
“ก็นี่ไง เลยออกมาข้างนอก”
“ยังจะเถียงอีกนะ ไปนอนห้องม๊าก่อนไหม อีกตั้งเป็นชั่วโมงกว่าจะต้องเตรียมตัวไปโรงเรียน”
“..ไอ้เอา เอี๊ยวอับไออู่เอ็นเอื่อนอิ๊น”
“ม๊าขอแปลก่อน ไม่เอา เดี๋ยวกลับไปอยู่เป็นเพื่อนปรินซ์ ใช่ไหม”
“อือ”
“ขี้แยจริงๆลูกใครเนี่ย ปรินซ์เขาเจ็บขนาดนั้นยังไม่ร้องสักแอะ”
“...”
ผมจินตนาการภาพของธามในตอนนี้ได้ไม่ยากเพราะเห็นบ่อย ความขี้สงสาร ความขี้เห็นใจ ความขี้เซนสิทีฟ ธามมีครบทุกขี้ บางทีแค่ฟังข่าวของคนตกทุกข์ได้ยากก็น้ำตาคลอ เห็นหญิงชรานั่งขอบริจาคก็ต้องรีบหยิบเงินให้ หลายครั้งที่ผมเคยคัดค้านการทำความดีของธาม ก็โลกทุกวันนี้มันมีแต่ความหลอกลวง ธามกลับตอบผมด้วยน้ำเสียงเย็นว่า
“ความดีน่ะทำไปเถอะ แค่เรารู้สึกว่ามันโอเค ไม่ผิดบาป ไม่ผิดต่อใคร มันก็ดีต่อใจของเราแล้ว ส่วนเขาจะชั่วจะเลวจะหลอก มันก็เป็นส่วนของเขา ถ้าเรารับรู้มากไป จับผิดมากเกินไป การทำดีของเรามันก็จะเสียเปล่า”
..สาธุ

ธามกลับเข้ามาในห้องด้วยการเดินที่เบาเสียงที่สุด คงกลัวทําผมตื่น ธามเดินเข้ามาหาผมที่เตียง ลมหายใจอุ่นๆของธามรดหน้าผม ธามเอามือเล็กมาแตะที่หน้าผากผมเบาๆ และถอนหายใจ
“ต้องเจ็บมากแน่เลย” ธามไม่ได้ถามผม แต่ธามกําลังพูดกับตัวเอง
“ตีกันมันน่าสนุกตรงไหน ตีกันแล้วได้อะไร”
“...”
“ออ ได้แผล”
“...”
ผมเกือบจะหลุดขำ แต่ก็ทําไม่ได้อยู่ดี เพราะปากได้แผลเหมือนที่ธามว่า
“หายไวๆ นะปรินซ์”
ผมยิ้ม หวังว่าธามจะไม่เห็น
.
เช้าวันต่อมา มาม๊าของธามจัดการลาหยุดที่โรงเรียนให้ผม มาม๊ารู้ดีว่าร่างกายของผมมันสะบักสะบอมจนขยับแทบไม่ได้..มาม๊าของธามรู้ใจผมเสมอ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือมาม๊าไม่โทรไปบอกป๊ากับม๊าของผมที่กำลังเดินทางไกล คงกลัวว่าจะเป็นห่วง หรือไม่ก็กลัวว่าผมจะโดนป๊าตี ป๊าตีผมทุกครั้งที่ผมมีเรื่องชกต่อย ดีที่ครั้งนี้ป๊าม๊าไปจีนสองอาทิตย์ หวังว่ารอยแผลรอยช้ำจะดีขึ้น ก่อนที่พวกมันจะทําให้ผมโดนตีซํ้า ป๊าไม่เคยปรานีผมเลยทั้งที่ผมยังเจ็บอยู่ ผมเคยได้ยินป๊าพูดกับมาม๊าของธามว่า
“ตีให้เจ็บจะได้จำ โดนซ้ำจะได้รู้ว่าสิ่งที่มันทำ จะทำให้มันเจ็บซ้ำๆ”
ป๊าจะไปรู้อะไร ในวงการตีกัน ใครๆ ก็ยอมรับผมทั้งที่ผมเพิ่งเข้าร่วมได้ไม่นาน ผมไม่สนใจว่าป๊าจะคิดยังไง..คนที่ไม่มีเวลาให้ ไม่ควรมีสิทธิ์สั่งสอนว่าอะไรควรหรือไม่ควร ..ผมโตแล้ว เลือกเองได้ว่าตัวเองจะเป็นอะไร จะทำอะไร
..แต่ผมไม่เคยเห็นว่าป๊าแอบไปปาดน้ำตาทุกครั้งที่ตีผมเสร็จ
.
ธามหยิบกระเป๋าเตรียมไปเรียนตามปกติ ไม่มองผมด้วยซ้ำตอนที่จะออกจากห้องนอน
“จะไปเรียนแล้วเหรอ”
“ตื่นแล้วเหรอ”
“อืม”
“ไปเรียนไม่ไหวดิ”
“...”
“ทำตัวโง่ว่ะ”
ธามด่าผม ด่ามันทั้งที่ไม่หันหน้ามามอง
“เท่ตรงไหนวะ เจ็บปางตาย”
“...”
“ไม่ดิ ถ้าเก่งจริง คงไม่เละขนาดนี้”
“...”
ธามพูดถูก ผมมันไม่เก่งจริง คิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่าตัวใหญ่ แรงเยอะ ผลักใครใครก็ล้ม ..มันไม่จริงสักนิด ต่อให้แกร่งแค่ไหนก็ไม่มีใครรอดในเวทีมวยหมู่ที่คำขู่เรื่องศักดิ์ศรีไม่มีน้ำหนัก อีกอย่างคือไอ้ความคิดที่ว่าเจ็บแค่นี้เดี๋ยวก็หาย ร่างกายมันฉลาด ..โคตรจะเชื่อถือไม่ได้ ครั้งนี้ผมเจ็บหนัก แผลภายนอกอาจไม่หนักเท่าแผลชํ้าข้างใน ตอนนี้จะขยับกระทั่งแค่นิ้วเท้าก็ยังทำไม่ได้ ไอ้ที่พอขยับได้ก็มีแต่ปาก
“เดี๋ยวไปบอกม๊าให้ว่าปรินซ์ตื่นแล้ว”
“...”
ธามหันหน้ามามองผมในที่สุด ก่อนที่ธามจะหายไปหลังประตูที่ปิดลง
..ธามกําลังร้องไห้
ผมอึ้งเพราะไม่เคยเห็นธามทําหน้าเศร้าขนาดนี้ ..เป็นเพราะผมงั้นเหรอ
.
.

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
04
การจากกัน
.
.
มาม๊ากับป้าป้าของธามผลัดกันขึ้นมาดูแลผมอย่างดี ผมมีหน้าที่แค่กินกับนอน พอตื่น เบื่อๆ ก็ลุกอย่างยากลําบากไปหยิบการ์ตูนบนชั้นมาอ่าน เป็นการ์ตูนที่ผมกับธามเอามาจัดไว้ เราชอบอ่านการ์ตูนเรื่องเดียวกัน อย่างวันพีช นารุโตะ บลีช คินดะอิจิ โคนัน เราจะนั่งดูการ์ตูนอนิเมะด้วยกันหลังทำการบ้านเสร็จ ไม่ก็นอนอ่านการ์ตูนบนเตียง ผมกับธามอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาเว้นแค่เวลาเข้าห้องเรียนหรือเวลาที่เราจะต้องอยู่ในโลกของตัวเองบ้างอย่างตอนเข้าห้องน้ำ ผมว่านี่คือช่วงเวลาที่โคตรดี มีคนที่คุยภาษาเดียวกัน สนใจในเรื่องเดียวกัน แชร์เวลาสนุกด้วยกัน แต่พอธามขึ้นมอหนึ่ง ธามมีเวลาให้ผมน้อยลง เพราะต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ การเรียนแบบใหม่ๆ ไหนจะเรียนพิเศษ ทำกิจกรรม ผมรู้แล้วก็เข้าใจเพราะผ่านมาก่อน แต่ต่างกันตรงที่ผมไม่เคยคิดจะเข้าร่วม หรือทำไรเหมือนกับที่ธามทำ แค่เข้าเรียนกับเล่นบอลก็พอ ส่วนผม..พอขึ้นมอสามก็โดนย้ายจากห้องเด็กเก่งไปเรียนอยู่ในห้องที่มีพวกเด็กเกเรกว่าครึ่ง ผมเป็นเด็กใหม่หน้าละอ่อนร่างยักษ์ที่ดูยียวนในสายตาพวกนั้น หลังเลิกเรียนวันแรกของวันเปิดเทอม ผมเลยโดนนัดเจอหลังโรงเรียนตามสูตร
“หนึ่งต่อหนึ่ง” พวกนั้นบอก
“...” ผมไม่ตอบอะไร แค่ปล่อยให้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจากหมัดและตีนมันทำงานไปเองตามธรรมชาติ
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ผมก็กลายเป็นคนที่พวกนั้นยอมรับและเคารพ ผมรู้สึกดี การได้เป็นผู้นำในคนกลุ่มๆนึง มันทำให้ผมศรัทธาในตัวเองแล้วก็ภูมิใจกับการอยู่ในกลุ่มก้อนที่ให้ความเชื่อมั่นในตัวผม ..ผมถลำลึก ผมกลายเป็นพลเมืองคนสำคัญของกลุ่มเด็กเกเรประจำโรงเรียน ใครมีเรื่อง มีปัญหาทะเลาะวิวาทที่ไหนกับใคร ผมเป็นต้องโดดเข้าไปร่วม มันคือความกระหายเลือดของวัยรุ่น ชัยชนะที่รออยู่ข้างหน้าคือรางวัลตอบแทนที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงเยินยอจากคนร่วมสถาบันยิ่งโหมความกล้าบ้าบิ่นให้มีมากขึ้นในทุกครั้งที่ทำศึก และสุดท้ายผมก็ลืมว่าช่วงเวลาความสุขที่แท้จริงคือตอนไหนกันแน่

Rrrrr
“ค่ะ แม่ของธัญญ์ค่ะ” เสียงของมาม๊าดังอยู่ไม่ไกลจากห้องของธาม
“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลไหนคะ!! ค่ะ ค่ะ จะรีบไปด่วนเลยค่ะ ฝากดูแลธามด้วยนะคะคุณครู” เสียงของมาม๊าฟังดูทั้งตกใจ กระวนกระวาย ..ต้องเกิดเรื่องแน่ ผมรีบกะเผลกไปที่ประตูแล้วเงี่ยหูฟัง
“อาหมวยเอารถออก อาเจ็งเร็วเข้า!!” มาม๊าร้องเรียกป้าป้าของธามเสียงดังลั่นบ้าน
“มาม๊าครับ เกิดอะไรขึ้น” ผมตะโกนลงจากบันไดชั้นสอง ขณะที่สองเท้าค่อยๆ เดินลงบันได มาม๊าเงยหน้าขึ้นมามองผม มาม๊าหน้าซีดไร้สี ดวงตาแดงก่ำใกล้ร้องไห้
“ธามมมม ธามมมม ครูโทรมาให้มาม๊ารีบไป อยู่โรงพยาบาล บอกว่าเจอพวกเด็กโรงเรียนอื่น ธามเดินอยู่หน้าโรงเรียน แล้ว แล้วก็..” มาม๊าตอบไม่เป็นภาษา ผมรีบเดินลงบันไดไปจับมือมาม๊าไว้ มือมาม๊าของธามเย็นเฉียบ
“ผมไปด้วยนะ”
“...” มาม๊าพยักหน้า

พวกเราใช้เวลาอยู่บนรถแค่สิบห้านาที แต่เป็นสิบห้านาทีที่แสนยาวนาน ผมเห็นน้ำตาของมาม๊าจากที่นั่งด้านหลังผ่านกระจกมองข้าง ปกติมาม๊าของธามจะเป็นคนที่แกร่งที่สุดในบ้านถึงจะเป็นน้องคนเล็ก ส่วนป้าหมวยกำลังตัวสั่น ขับรถไปด่าการจราจรไปทั้งที่ปกติเป็นคนใจเย็นที่สุดในบ้าน ส่วนป้าเจ็งที่นั่งข้างผม ก็เอาแต่หลับตาสวดภาวนาอะไรสักอย่างอยู่ในใจ ขณะที่ผมเอง ..กำลังนั่งจินตนาการภาพของธามในหัว ..กลัว ผมกลัวจินตนาการของตัวเอง

“คุณแม่ของธามใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะธามเป็นยังไงบ้างคะ!”
“อาธามไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ!!”
“อาธามฟื้นแล้วใช่ไหม!!!”
มาม๊ากับป้าป้าของธามส่งเสียงถามครูโดยไม่คิดเปิดโอกาสให้คุณครูได้ตอบ
“คือ..” คุณครูชี้ไปที่รถเข็นนอนที่บุรุษพยาบาลคนหนึ่งกำลังเข็นมา
“ธามมมมมมมม!!! ฮือออออ ธามของม๊าาา”
“อาธามมมมมม!!!!”
“อาธามมมมมม!!!!”
มาม๊ากับป้าป้าของธามกรีดร้องเสียงหลงแหลมปานจะขาดใจขณะโผตัวไปที่ร่างบนเตียงนั้น ..ผมยืนนิ่งมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เวลาของโลกมันหยุด ทุกสิ่งรอบๆตัวไม่เคลื่อนไหว แม้แต่ภาพของมาม๊ากับป้าป้าของธามยังกลายเป็นภาพฟิล์มขาวดำที่ไม่มีเสียงผมเดินเข้าไปใกล้เตียงที่ธามนอนอยู่ผมยืนมองร่างที่ไม่ไหวติง..

ธาม..    “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”
ผม..    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน”
ธาม..   “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
ผม..   “แก้แค้นสิบปีไม่สาย”

บทสนทนาที่เราเคยโต้เถียงกันเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่เราไม่ได้เจอหน้ากันหลายวัน เพราะผมมัวแต่ยกพวกไปตีกับอริ

ธาม..   “ระวังไว้นะ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นจะตามคืนสนอง”

..กรรมควรมาสนอง มาลงที่ผม ไม่ใช่กับเด็กดีอย่างธาม..ธามไม่น่าจะมารู้จักกับคนอย่างผม.. ธามไม่ควรต้องมา..ตาย ..เพราะความเลวของผม
ภาพของธามเริ่มเบลอ ผมมองธามไม่ชัด คงเป็นเพราะตาของผมมันยังบวมปิด หรือไม่ก็เพราะม่านน้ำตาที่ไหลนองท่วมอยู่เต็มสองตาผมเอื้อมมือไปจับมือของธาม ..มือเล็กนั้นเย็นเยียบ
..ผมเสียธามไปแล้ว
ภาพความทรงจำที่ผมเคยคิดว่านั่นแหละคือความสุขที่แท้จริงย้อนกลับมาในความคิด
ผมย้อนเวลากลับไปได้ไหม..กลับไปนั่งอ่านการ์ตูนกับธามเหมือนที่เราทำเป็นประจำ..กลับไปมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กันแค่สองคน..ผมกับธาม มันคือความสุขจริงๆที่ผมมีมาตลอด ..มันเคยมีผมลืมมันไปได้ยังไง ตอนนี้ผมจำได้แล้ว และขอมันคืนได้ไหม ..ขอธามคืนกลับมาให้ผม

“ปรินซ์”
..ผมได้ยินเสียงของธามที่ผมกำลังจินตนาการถึง
“ปรินซ์”
..เป็นไปได้ไหมที่ผมจะได้ยินเสียงของธามอีกสักครั้ง
“ปรินซ์”
..เสียงเรียกของธามที่ผมโหยหายังคงดังอยู่
“ไอ้ปรินซ์!! ปล่อยมือได้แล้ววววว”
เสียงของธาม..ธามกำลังเรียกผมจริงๆ! นี่ผมกำลังฝันไป หรือว่าสวรรค์ต่อเวลาให้ผมได้มีช่วงเวลาสุดท้ายกับธามผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าของคนที่นอนอยู่ แม้มันจะยังไร้ซึ่งสีเลือดแต่มันก็ยังแสดงถึงความมีชีวิตผมไม่ได้ฝัน.. ธามของผมกลับมาผมปาดน้ำตาที่อาบท่วมหน้าจับมือของธามไว้แน่น ทั้งที่เจ้าของมือเพิ่งบอกให้ผมปล่อย ไม่.. ผมจะไม่ปล่อยมือนี้ แค่ห้านาทีที่ผมรู้ว่าธามหายไปจากชีวิต ผมก็รู้สึกไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว ..ผมกลัว กลัวว่าถ้าปล่อยมือเล็กนี้ไป ดวงวิญญาณของธามจะหลุดหายออกไปอีก
“คือว่าธามแค่สลบไปน่ะค่ะคุณแม่ แต่เพื่อนอีกคนของธามโดนตีหัวแตก โชคดีมีคุณตำรวจผ่านมา เหตุการณ์ก็เลยไม่บานปลายค่ะ”
ขณะที่มาม๊ากับป้าๆของธามยกมือกล่าวขอบคุณคุณพระคุณเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองธาม ผมกลับเอาแต่มองธาม ธามเองก็มองผม เรามองกันและกัน ผมไม่คิดจะหลบตาคู่งามคู่นี้ เพิ่งรู้ว่าคิดถึงมันใต้เปลือกตาของเจ้าของมากแค่ไหน ธามยิ้มจางให้ผม เหมือนกำลังบอกผมว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว เลิกร้องได้แล้ว เพราะธามพยายามเอื้อมมือที่ไร้แรงขึ้นแตะบนใบหน้าของผม..
“เกิดอะไรขึ้นอาเหมย!!” เสียงของป๊าผม ผมหันหลังกลับไปมองทันที ป๊ากับม๊าของผมกำลังเดินตรงมาอย่างรีบร้อน
“อั๊วไปหาพวกลื้อที่บ้าน แต่อาเต็ง (ข้างบ้าน) บอกว่าอาธามอยู่โรงพยาบาล อั๊วเลยรีบตามมา อาธามเป็นอะไรมากไหม” ม๊าของผมถามแม่ของธามโดยที่ยังไม่ทันสังเกตเห็นผม
“..อาธามแค่สลบ ตอนนี้ฟื้นแล้ว”
“ค่อยยังชั่ว” ป๊าม๊าของผมถอนหายใจ แล้ววินาทีนั้นเองที่ป๊าสังเกตเห็นผม ..ผมในสภาพยับเยิน ตาบวมแทบปิด น้ำหูน้ำตาไหลอาบสองแก้ม รอยช้ำ และรอยตีนที่เสื้อผ้าปกปิดไม่มิด
.
“ผมจะไม่ย้ายไปไหน!!!!” ผมในวัยสิบห้ากําลังยืนกัดริมฝีปากแน่นเพื่อข่มไม่ให้นํ้าตาไหลออกมาไปมากกว่านี้ ..มันเป็นเรื่องน่าอาย ที่ลูกผู้ชายอย่างผม กําลังต่อรองกับพ่อแม่ในเรื่องที่ผมควบคุมไม่ได้ ผมรู้แค่ผมไม่อยากไปจากที่นี่!!
“พอกันที อั๊วจะไม่ยอมให้ลื้อทำตัวไม่รู้จักโตแบบนี้อีกแล้ว อั๊วเหนื่อยที่จะตีลื้อ อาทิตย์หน้าเราจะย้ายบ้าน ลื้อต้องย้ายโรงเรียน อั๊วจะส่งลื้อไปเรียนต่อเมืองนอก!!” ป๊าพูดกับผมหลังจากพาผมเดินห่างออกมาจากธาม ..ไกลพอที่จะไม่มีใครได้ยิน
“...” ผมช็อก ผมเพิ่งรู้ตัวว่าต้องการอะไร แม้ผมจะยังไม่มีข้อสรุปที่ดีให้กับความรู้สึกที่เป็นอยู่แต่แล้วจู่ๆ ป๊าก็ใช้สิทธิ์ความเป็นพ่อมาทำให้ทุกอย่างมันจบ ทั้งที่ผมยังไม่ได้เริ่ม ตอนนี้ผมต้องการเวลาปรับปรุงตัว ผมต้องการทวงเวลาที่ผมไม่ได้มีร่วมกับธามคืน และผมต้องอยู่..เพื่อดูแลปกป้องธาม..คนของผม
“ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น! ผมจะอยู่ข้างบ้านธาม! ผมจะเรียนโรงเรียนเดียวกับธาม! จะอยู่ดูแลธาม! ผมจะ..อยู่กับธาม!!!” ผมตะโกนใส่หน้าป๊า อาจจะเพราะผมเพิ่งผ่านวินาทีเป็นตายของธามมา มันเลยทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวดีมากว่าธามสำคัญกับผมมากแค่ไหน
“...”
“..เพราะธาม ธาม..” น้ำตาของผมมันไหลหลากอย่างสุดกลั้น กรรมกำลังตามสนองผม ถ้าผมไม่ทำตัวเลวๆ เวลานี้ผมกับธามน่าจะดูการ์ตูนอยู่ด้วยกันสักเรื่อง ไม่ก็อยู่ที่สนามบอลของโรงเรียน ผมเตะบอลอยู่กลางสนาม ส่วนธามก็นั่งเชียร์ผมอยู่ข้างสนาม
“ทำไม.. ทำไมต้องธาม” ป๊าถามเสียงอ่อนลง ผมรู้ดีว่าป๊าเอ็นดูธามมาก เพราะธามเป็นเด็กดี หัวอ่อน แต่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ป๊าเคยบอกว่า ถ้าประชากรบนโลกรู้จักคิด รู้จักผิดชอบแบบเด็กอย่างธาม โลกเราคงไม่วุ่นวายขนาดนี้
“ลื้อก็แค่ไลน์คุยกัน วิดีโอคอลหากัน..”
“...”
“...”
“ป๊า.. ผมขอ” ผมมองหน้าป๊าอย่างที่ไม่เคยมองมาก่อนในชีวิตผมกำลังอ้อนวอนผู้ชายตรงหน้าที่ผมไม่เคยศรัทธา
“ลื้อ.. คิดอะไรกับธาม”
“...” ผมตกใจกับคำถามของป๊า
“ลื้อ.. คิดอะไรกับธาม ลื้อเห็นธามเป็นอะไร”
“...”
“ลื้อเห็นธามเป็นน้อง.. หรือลื้อ..”
“ผมไม่รู้ ตอนนี้ผมรู้แค่ว่า ผมอยากอยู่กับธาม ผมอยากดูแลธาม”
“...”
ป๊าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูด “ลื้อรู้ใช่ไหม ในโลกของการค้าขาย กำไรจะได้มาก็จากการลงทุน อั๊วอยากจะลองลงทุนกับความรู้สึกที่ลื้อมีในตอนนี้ กับสิ่งที่ลื้อพูดออกมา แล้วลื้อจะกล้าลงทุนด้วยสิ่งที่ลื้อมีตอนนี้ไหม เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่อั๊วจะได้จากลื้อ”
“...” ผมยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ป๊าพูด ผมเป็นแค่เด็กมอสามที่หันหลังให้การเรียนมาเกือบปี สอบก็แค่พอให้ไม่ตก จุดประสงค์ของป๊าคืออะไรกันแน่ ผมต้องแลกเปลี่ยนอะไรกับป๊า ป๊าจะได้กำไรอะไรจากผม แล้วผมล่ะจะได้กําไร หรือขาดทุน..
   .
ผมคุยกับป๊าต่อเนื่องอยู่สองวันหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เราคุยกันแบบคนโตๆแล้ว ป๊าบอกเงื่อนไขกับผม ข้อดีข้อเสียข้อได้เปรียบเสียเปรียบ อะไรที่ผมจะต้องเสีย แล้วอะไรคือสิ่งที่ผมจะได้ผมเซ็นสัญญาในเอกสารนั้นทันทีที่ป๊าอธิบายเงื่อนไขทุกข้อจบ
   .
“ไม่เกินไปเหรอเฮีย”
“เชื่อป๊าเถอะม๊า ป๊าดูคนออก แล้วนี่ลูกชายตัวเองแท้ๆทำไมป๊าจะดูมันไม่ออก เชื่อใจป๊านะม๊า ทุกอย่างจะดีกับปรินซ์มัน ตอนนี้ป๊าปูทางทุกอย่างให้มันแล้ว เหลือแค่ปรินซ์มันจะทำสำเร็จไหม”
.
.
.

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
05
สายลม แสงเดือน
.
.
..ธาม
เช้าวันที่สองของการรับน้องก่อนเปิดเทอม ..ปรินซ์ก็ยังคงมารับที่หออยู่ดี ถึงผมจะอ้อนวอนขอปั่นจักรยานไปคณะเอง
“แล้วจะมีจักรยานไว้ทําไม?” ผมถามปรินซ์
“พี่โทรหามาม๊านะ”
แม่งงงง ก็เอาแต่อ้างม๊า แล้วได้ผลไหม.. ก็ได้ผลสิ
                .
วันนี้กิจกรรมในคณะก็สนุกไม่แตกต่างจากเมื่อวาน สันทนาการกําลังละลายพฤติกรรมพวกเรา (รวมถึงพลังงานทั้งหมด) ถึงยังรู้จักกันไม่หมดทุกคน แต่พวกเราก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากัน เจอหน้ากันตรงห้องนํ้าก็ยิ้มทักกัน เวลากินข้าวพวกเราก็นั่งเรียงเป็นแถวตอนแน่นๆ มีพวกพี่ๆ คอยแจกอาหารกล่อง กินนํ้าจากถังเดียวกันมีเพียงหลอดหลากสีที่เสียบไว้ให้ได้เลือกดูด ความไม่แบ่งแยกกันของน้องปีหนึ่งหน้าใหม่ที่มาจากที่ต่างๆ ค่อยๆ ทลายลงทีละน้อยๆ เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นดีจริงๆ ..อุณหภูมิของใต้ถุนก็เช่นกัน
“เดี๋ยวพอทานข้าวเสร็จ พี่จะเรียงแถวน้องๆ ขึ้นไปยังห้องประชุมด้านบนกันนะคะ” พี่ปานพูดผ่านโทรโข่งเสียงดัง เพราะต้องต่อสู้กับเสียงนกกระจาบแตกรังของพวกเรา
ตึกเก่าของคณะนิเทศศาสตร์ยังคงความขลังอยู่เสมอ เพราะผ่านการใช้งานมากว่าสี่สิบปี รุ่นพี่บอกระหว่างทางว่า อีกไม่นานตึกเก่ารวมถึงใต้ถุนก็จะโดนทุบทิ้งแล้ว ขนาดพวกเราที่เพิ่งมาใหม่ ยังรับรู้ได้ถึงความผูกพันธ์ที่พวกพี่ๆ มีต่ออาคารหลังนี้ผ่านนํ้าเสียง และแววตาของพวกพี่เขา
พวกเราสนุกสนานไปกับมุกขำขำของพวกพี่บนเวที และเริ่มรับรู้ถึงการจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในละครนิเทศที่จะมีขึ้นทุกปี แต่คนที่ดูจะมีความสุขที่สุดในค่ำคืนนี้ก็คือบรีส บรีสได้รางวัลขวัญใจจากพวกพี่ๆ ที่โหวตให้การแต่งกายของบรีสเข้ากับตีมละครได้ดีที่สุด
“ผมคิดอยู่ทั้งคืนครับว่าผมจะแต่งตัวยังไงดี แต่เมื่อผมเห็นตัวเองในกระจก ตัวผมเองในกระจกบานนั้นบอกผมว่า ก็แค่แต่งเป็นตัวเองครับ” คำให้สัมภาษณ์ของบรีสเรียกเสียงโห่ฮิ้วได้ทั้งห้อง บรีสดูจะเป็นคนหลงตัวเองไม่น้อย แต่ผมว่าบรีสเป็นคนตลก และจริงใจดี
พวกเราอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั้นกันอย่างอบอุ่น (เพราะว่าทั้งห้องนั้นไม่ได้มีเพียงพวกเราชั้นปีหนึ่ง แต่รวมเอาชาวนิเทศตั้งสี่ชั้นปี!!) ผมเองก็ไม่สังเกตเลยว่าเวลาได้ล่วงเลยไปแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งถึงเวลาแยกย้าย
เมื่อออกจากห้องที่แสนอุ่น ผิวกายก็ปะทะเข้ากับลมเย็นยามค่ำคืน เสียงจักจั่นพากันทักทายงึมงำ ดวงตาสบเข้ากับดวงจันทร์เต็มดวงแสนละมุนตา จู่ๆ ผมก็ยิ้มกับตัวเอง และนึกถึงใครสักคน.. ถ้าผมมีใครสักคนเดินอยู่ข้างๆ ในเวลานี้คงจะดีไม่น้อย เสพบรรยากาศที่แสนโรแมนติกนี้ไปด้วยกัน ผมไม่ได้เหงา ไม่ได้ไขว่คว้าหาความรัก แต่ผมก็โตพอที่จะเริ่มมีความรู้สึกว่าตัวเองต้องการใครสักคน..
 
“ธาม”
ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองที่คุ้นเคย ..เสียงของปรินซ์ ผมว่าผมได้ยินนะทั้งที่ปรินซ์ไม่ได้เปิดปากสักนิด
“ปรินซ์”
ผมเองก็เลยเรียกชื่อปรินซ์ตอบบ้าง ..เรียกในใจ ..ผ่านสายตา
เรายืนมองหน้ากันอยู่พักใหญ่ในระยะห่างเพียงเอื้อม ขณะที่ก็มีใครมากมายกำลังเดินขวางเราสองคนอยู่ ผมยิ้ม.. ผมไม่รู้ว่าทำไมผมยิ้มให้ปรินซ์ คงเพราะบรรยากาศพาไป หรืออาจเพราะผมกำลังมีความสุขจากช่วงเวลาดีๆ ที่ผมได้สัมผัสมาตลอดทั้งวันก็ได้
                .
..ปรินซ์
ธามยิ้มให้ผม ยิ้มที่แสนอ่อนโยน ยิ้มที่ผมเฝ้าคิดถึงมาตลอด ผมอยากหยุดเวลานี้ไว้จริงๆ ผมอยากถ่ายรูปของธามในเวลานี้เก็บไว้ดูในยามที่ไม่ได้เจอตัว ไว้ดูตอนที่ผมคิดถึง หรือไว้ดูตอนที่เขาไม่เหลียวแลแม้แต่เงาของผม..สามปีที่ผมอยู่ในลู่ในทาง ‘ตํานาน’ ของผมเป็นแค่คําบอกเล่าที่ส่งต่อกันเพียงลมปาก ไม่เหลือภาพศึกใหม่ใดๆ ให้รุ่นน้องได้อ้างอิงว่าทําไมพี่ปรินซ์ถึงคือ ‘ตํานาน’
ผมเริ่มนับหนึ่งใหม่กับชีวิตของตัวเองหลังจากที่เซ็นสัญญากับป๊า ผมเริ่มเรียนรู้หัวใจของตัวเอง ตั้งคําถาม และหาคําตอบตามที่ป๊าบอก ลองพิสูจน์ว่าความรู้สึกที่ผมมีให้ธาม มันมากพอที่ผมจะแลก ‘ตัวตน’ ของตัวเอง กับสิ่งที่ผมก็ไม่แน่ใจว่าในท้ายที่สุดผมจะได้มันตอบแทนกลับมาไหม
ผมตั้งใจเรียนจนครูทุกคนในโรงเรียนลืมความเกเรในอดีตของผม ผมกลับมาเป็นนักบอลที่น่าเกรงขามในสนาม ไม่ว่าจะแข่งในหรือนอกโรงเรียน และผมก็ยังได้เจอธามเหมือนก่อนที่มันเคยเป็น แต่แล้วช่วงเวลาที่ผมต้องห่างจากธามก็มาถึง ผมเรียนจบมัธยม ต้องเข้ามหาลัย และจะไม่ได้เจอธามเป็นปี ป๊าบอกว่า ถ้ายังหาคําตอบดีๆ ให้ตัวเองไม่ได้ว่าคิดอะไรกับธาม ธามสําคัญมากแค่ไหน ก็ลองใช้เวลาที่ต้องห่าง ลองสัมผัสคนหน้าใหม่ๆ ที่จะผ่านเข้ามา ..ลองเปิดโอกาสให้ตัวเอง
.
.
.
 

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
06
ลลิน
.
.
..ปรินซ์
..ปีหนึ่ง
ผมคบลลิน ลลินเป็นลีดคณะนิเทศ ที่ได้เป็นลีดมหาลัย เราเจอกันเพราะงานมหาลัย เพราะผมถูกลากมาเป็นทีมสวัสดิการในงานกีฬามหาลัยประจำปี จริงๆ ผมควรได้ลงเป็นนักบอลคณะ แต่เพราะเวลาซ้อม เวลารับน้อง มันทับซ้อนกันจนผมทำให้มันลงตัวไม่ได้ ไอ้เป้เพื่อนผมเลยชวนผมมาเป็นสวัสดิการแทน มันบอกว่าผมจะได้ซ้อมเดินอยู่ข้างสนามก่อน ซึ่งผมก็ว่าดี ผมควรใช้เวลาที่ห่างธามให้เกิดประโยชน์มากที่สุด หรือเพราะมันจะทำให้ผมนึกถึงธามน้อยลงได้บ้าง
“หวัดดี เราชื่อลลิน” เธอเดินเข้ามาทักทายผมที่กำลังนั่งว่างๆ ในตอนที่ว่างๆ ระหว่างฟังพวกพี่ปีสูงประชุมฝ่ายงาน
“ออ เราปรินซ์”
“นั่งด้วยคนได้ไหม”
“...” ผมพยักหน้าตอบ
“หวังว่าวันนี้คงจะไม่ดึก” ลลินพูดขึ้น หลังจากที่เดดแอร์ราวห้านาที
“ลีดเคยกลับเร็วด้วยเหรอ” ผมที่ไม่ได้อยากจะเป็นคนมารยาทแย่เลยตอบเธอไป อีกอย่างผมปฏิเสธไม่ได้ว่าลลินเป็นสาวหน้าตาน่ารัก หุ่นดี ดวงตากลมโต ปากบางชมพูได้รูป เป็นความลงตัวที่ชวนมองไม่น้อย ใครจะไปกล้าปล่อยให้เธอเหวอได้ลงคอ
“โอเคค่ะทุกคน สำหรับการประชุมครั้งแรกก็จบเท่านี้ล่ะกันเน๊อะ” เสียงพี่ปีสี่ที่เป็นเฮดงานพูดปิด สีหน้าของทุกคนในที่ประชุมล้วนอารมณ์เดียวกัน ..จบสักที แม้วันนี้จะไม่ได้ความคืบหน้าอะไรมาก แต่เฮดของทุกฝ่ายก็รู้แล้วว่าจะต้องไปแจกงานอะไรภายในฝ่ายของตัวเอง
“ส่วนน้องๆ ลีดทั้งหลาย..” พี่เฮดลีดพูดขึ้น
“งือ เราอยากกลับแล้วอ่ะวันนี้” ลลินกระซิบเบาๆ กับผม เธอทำหน้าออดอ้อน ผมยิ้มแห้งตอบเธอ
“..วันนี้พวกพี่เหนื่อยแล้วอ่ะ ถ้ายังไงเจอกันพรุ่งนี้บ่ายสี่นะคะน้องลีดทุกคน”
“เย้” ลลินเผลอพูดดัง ทำเอาคนทั้งห้องหันมามอง เธอมุดหน้ามาแอบหลังผม ผมว่าเธอก็ดูน่ารักดีนะ และนั่นคือวันแรกที่เราได้ทำความรู้จักกัน เจอกัน พูดกัน และสนิทขึ้นเรื่อยๆ ตลอดการเตรียมงานกีฬาประจำปีของมหาลัย
“เฮ้ยปรินซ์ สรุปว่ายังไงวะกับลลินเนี่ย” ไอ้เป้ถามผมตอนเย็นวันนึงหลังจากที่เราส่งข้าวส่งน้ำให้ทุกฝ่ายที่มาประชุมความคืบหน้าของงานเรียบร้อย
“ยังไงวะ”
“มึงอ่ะตัวติดกับลลินตลอด ใครๆ ก็คิดว่าพวกมึงน่ะคบกันชัวร์ สาวก็สวยสุด ไอ้คุณมึงเนี่ยก็ดันเล่นตัวไม่เป็นลีดเอง สมกันหยั่งกับกิ่งไม้ใบมะม่วง”
“ทำไมต้องมะม่วงวะ”
“ก็กูชอบกินมะม่วง”
“...”
“สรุปยังไง พี่โบ้ทเขาก็ฝากกูมาถามเนี่ย”
“ทำไมวะ พี่โบ้ทเกี่ยวไรด้วย ขี้เผือก?”
ไอ้เป้ยกมือจะโบกหัวผม แต่มันก็ทำท่าง้างขู่ไปอย่างนั้น
“พี่โบ้ทเขาอยากจีบ”
“จีบลลิน?”
“จีบมึง”
“สัดดดด”
“จีบลลินอยู่แล้ว ถึงมึงจะหน้าตาดี แต่กูว่าแมนๆ อย่างพี่โบ้ทเขาไม่เล่นมึงหรอก ตัวหยั่งกับหมี”
“...”
“ว่าแต่เรื่องลลิน?”
“กูกับลลินเป็นเพื่อนกัน มึงก็รู้”
“กูก็ว่างั้น กูถามมึงก่อนเพื่อความชัวร์ไง จะได้ไม่รักสามเส้า นั่นก็พี่ นี่ก็เพื่อน กูขี้เกียจเคาะระฆังห้ามมวย”
ผมเข้าใจว่าไอ้เป้คงจะเป็นนกพิราบสื่อสารคาบข่าวไปบอกพี่โบ้ทเรียบร้อย เพราะผมเห็นพี่โบ้ทเข้าหาลลินอย่างเป็นทางการ แถมยิ้มให้ผมแต่ไกล คงพูดประมาณว่า เออ งั้นกูจีบล่ะนะ ส่วนผมก็พยักหน้าตอบ ..เรื่องของมึงไม่ต้องมาแจ้งกู
.
.
คืนนี้ผมอยู่เป็นสวัสดิการรอบดึก ต้องรอเคลียร์อุปกรณ์การประชุม เคลียร์ขวดน้ำ เคลียร์ขยะของฝ่ายต่างๆ ที่ทำงานอยู่ในโซนสนามกีฬากลาง
“ปรินซ์” เสียงตะโกนของลลินดังมาแต่ไกลผมหันหน้าไปมองต้นเสียง ลลินกำลังวิ่งมาอย่างรีบร้อนหยั่งกับหนีสัตว์ประหลาดข้ามมิติมา
“ปรินซ์” ลลินส่งเสียงหอบ เธอยกมือขอเวลาหายใจก่อนจะพูดต่อ
“คืนนี้ปรินซ์ไปส่งเราที่หอได้ไหม” จริงๆ แล้วผมก็มักขับรถไปส่งลลินในคืนที่ผมอยู่ดึก แต่หลังๆ ผมก็ขอบายลลินเพราะไม่อยากไปปิดโอกาสไอ้พี่โบ้ทมัน
“คืนนี้ไม่มีใครไปส่งเหรอ” ผมไม่ได้รังเกียจที่จะส่งลลิน ก็แค่ขับรถไปจอดหน้าหอ ปล่อยเธอลง
“ม่ะ ไม่มี” ลลินตอบตะกุกตะกัก
“...”
“นะปรินซ์ ขอล่ะ” ลลินเลื่อนมือมาจับต้นแขนของผม เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หรือเธอกำลังร้องไห้ ผมแยกไม่ออกจริงๆ ว่าหยดน้ำบนหน้าของลลินเป็นน้ำตาหรือแค่เหงื่อ
“ก็ได้ รอที่รถนะ” จะให้ปฏิเสธก็ดูจะโหดร้ายเกินไป ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง
 
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกับการเคลียร์อะไรมากมาย เป็นสวัสดิการใครว่าไม่เหนื่อย เหนื่อยจะตาย แล้วนี่ไอ้เพื่อนเป้มันหายหัวไปไหน ปล่อยให้ผมต้องทำงานอยู่คนเดียว ยังดีที่มีพี่สวัสดิการคนอื่นๆ คอยช่วย ผมมองนาฬิกา ..ห้าทุ่ม จะได้กลับสักที ถึงหอเมื่อไร อาบน้ำ ล้มตัวลงนอนได้เลย เพราะผมใช้เวลาว่างก่อนหน้านี้ทวนชีทที่เรียนวันนี้เรียบร้อยแล้ว และยังใช้เวลาอีกนิดเสิร์ชหาข้อมูลที่จะทำรายงานตอนปลายเทอมเรียบร้อยแล้วด้วย ..ผมขยัน ขยันอย่างที่ผมเป็นมาตลอดตั้งแต่หลังการลงนามในสัญญาครั้งนั้น ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องพยายาม แต่ผมรู้ตัวว่าผมกำลังทำอะไรเพื่ออะไร อนาคตที่จะเป็นของผมเอง ..ทั้งอนาคตของตัวเอง แล้วก็อนาคตของธาม
“ปรินซ์รีบไปกันเถอะ!!” ลลินแทบจะกระโดดขึ้นนั่งบนรถทันทีที่ผมกดรีโมท เธอดูรีบร้อน และร้อน ทั้งที่ตอนนี้อากาศกำลังเย็นสบาย
“...”
“จะไม่ถามอะไรลลินหน่อยเหรอ” ลลินพูดขึ้นหลังจากผมออกรถได้สามนาที
“...”
“พี่โบ้ทจีบเรา”
“ออ อืม”
“เราไม่ชอบพี่โบ้ท”
“...”
“เรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
“...”
“เราชอบปรินซ์” คำพูดของลลินทำผมเผลอเหยียบเบรก ผมรีบหันหน้าไปมองลลินด้วยความเป็นห่วงว่าจะบาดเจ็บรึเปล่า เลยสบตาเข้ากับลลินที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว
“...”
“ปรินซ์ไม่ได้ชอบเราเหรอ”
“...”
“แล้วที่ปรินซ์ไปส่งเรากลับหอได้ตลอด.. คุยกับเรา..” ลลินกำลังตัดพ้อด้วยความน้อยใต สายตาเธอกำลังบอกผมแบบนั้น
“คือ.. ลลินเป็นผู้หญิง กลับคนเดียวดึกๆ มันไม่ดี” ผมอยากจะบอกลลินว่าเธอมโนไปเอง
ลลินก้มหน้าลง น้ำตาเริ่มหยดลงบนกระโปรงพลีทสีดําของเธอ “ปรินซ์แค่ใจดีสินะ”
“...”
“แต่เราไม่ใช่สิ่งของนะ พอปรินซ์ไม่ต้องการก็่เลยโยนเราไปให้พี่โบ้ท”
“โยนให้พี่โบ้ท?”
“พี่โบ้ทบอกเราว่าปรินซ์เบื่อเรา เราเป็นแค่ผู้หญิงน่ารำคาญสำหรับปรินซ์ และที่สำคัญ ปรินซ์บอกพี่เขาว่า อย่างปรินซ์ต้องหาได้ดีกว่านี้”
“มันพูดแบบนั้น?” ลลินพยักหน้าพลางปาดนํ้าตา ขณะที่ผมกําหมัดแน่น ความเป็นพงเป็นพี่ไม่ต้องให้มันแล้ว จะจีบสาวทั้งทีแม่งใช้วิธีตํ่าๆ โคตรไร้ศักดิ์ศรี แถมยังเอากูไปพูดเชี่ยๆ แบบนั้นอีก ปีหน้าธามอาจจะมาเรียนที่นี่ ถึงเวลานั้นถ้าธามได้ยินข่าวลือบ้าๆ นี่แล้วเกิดเชื่อ ธามจะเห็นผมคนเป็นยังไง คนเลวชัดๆ ตบะคนดีที่ผมสั่งสมไว้แม่งคงได้พังทลายเพราะลมปากเน่าๆ ของมัน
“ไอ้เชี่ยโบ้ท!!” ผมหมุนพวงมาลัยเลี้ยวกลับทางเดิมทันที เสียงล้อรถบดกับพื้นถนนดังชวนเสียวไส้ ผมรู้ว่ามันยังไม่กลับแน่ๆ มันต้องยังอยู่ที่นั่น ..ที่ห้องประชุมสนามกีฬากลาง งานนี้ต้องมีเลือด..
.
.
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2019 15:39:54 โดย After5p.m. »

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
07
ผิดพลาด
.
.
เสียงเบรกรถลั่นของผมเรียกสายตาทุกคู่ที่นั่งอยู่บนม้านั่งนอกสนามกีฬากลางให้หันมา ผมเห็นไอ้เชี่ยโบ้ทแต่ไกลเพราะไฟหน้ารถที่สาดสว่างในความมืดที่เกือบสนิท ผมลงจากรถโดยที่ไม่สนเสียงคัดค้านของลลิน คุ้นๆ ว่าเธอน่าจะออกแรงแขนทั้งหมดในการดึงตัวผมให้ไม่ตรงไปที่โต๊ะตัวนั้น ..เธอทําไม่สําเร็จ ผมว่าลลินน่าจะกระเด็นไปไกลจากแรงเหวี่ยงของผม ผมไม่สนใจ ผมไม่เห็นอะไรในขอบเขตสายตาอีกแล้วยกเว้นแต่ไอ้เชี่ยโบ้ทที่ยืนหัวโด่กว่าคนอื่น สัญชาตญาณการต่อสู้ของผมที่มันมอดไปนานตั้งแต่ศึกใหญ่ตอนมอสามมันปะทุขึ้นมา บางทีผมอาจจะแค่อยากตอบสนองต่อความรุนแรงของตัวเองก็ได้ แล้วไอ้เชี่ยโบ้ทก็กําลังจะทําให้ผมได้ปลดปล่อย
“เป็นอะไรของมึงเชี่ยปรินซ์” เสียงของไอ้เป้ ผมมองหน้ามัน ไอ้สัดดด ตอนกูเก็บขยะมึงเสือกทิ้งกู แต่ตอนนี้มึงดันมาเสนอหน้า เพื่อนเชี่ย!!!
“ทําไมมึงหมาขนาดนี้วะ!!!” ผมเดินผ่านหน้าไอ้เป้ไปหาไอ้เชี่ยโบ้ท มันเองก็ดูจะพอรู้ตัว เพราะมันลุกจากโต๊ะมารอประจันหน้าผม มันกับผมสูงไล่เลี่ยกัน ตัวก็พอๆ กัน ผมเป็นนักบอล ส่วนมัน.. นักมวย ถึงดีกรีความบู๊แม่งจะต่างกัน แต่กูก็ ‘ตํานาน’ โรงเรียนมาก่อน กูจะไม่เป็นแค่กระสอบทรายของมึงแน่ ผมพุ่งตัวซัดหมัดหนักๆ เข้าไปที่หน้ามันหนึ่งที เลือดแทบจะไหลตามมือของผมในวินาทีที่มือของผมพ้นออกมาจากหน้าของมัน ผมคว้าปกเสื้อนิสิตของมันลอยสูงขึ้น หน้าของมันกับผมแทบจะจูบกัน ไอ้เชี่ยโบ้ทมันมองตาผมนิ่ง ไม่มีความสั่นไหวแม้สักนิด
“ทําไมมึงพูดเชี่ยแบบนั้นกับลลิน!!”
“กูพูดเชี่ยไร” ไอ้เชี่ยโบ้ทพูดด้วยเสียงปกติ ปกติจนผมรู้สึกว่าแม่งกําลังโดนหยาม
“เชี่ยปรินซ์กูว่าพอเหอะวะ เชี่ยมึง นี่พี่นะเว้ย!!”
“มึงเงียบไปเลยไอ้เป้!!” ผมพูดใส่ไอ้เป้ทั้งที่ตายังจ้องมองหาเรื่องไอ้เชี่ยโบ้ทอยู่ “ถ้ามึงจะจีบเขาก็อย่าเอาคนอื่นเข้าไปเกี่ยว”
“พอเหอะปรินซ์ไปกันเถอะ” ลลินยังคงพยายามจะดึงตัวผม
“กูถามมึงว่ากูพูดอะไร มึงได้ยินอะไรมา” ไอ้เชี่ยโบ้ทยังคงมองหน้าผม มันกําลังทําสงครามประสาทกับผม ถ้าผมตอบแบบที่ลลินเล่ามาผมว่ามันดูไม่แมน แถมมันดูเหมือนเด็กงี่เง่าที่แม่งโคตรไร้เหตุผล แต่นาทีนี้ถ้าผมถอยคือแม่งโคตรเสียหน้า!!
“ไอ้สัดดดด!!” ผมเลยกําหมัดง้างจะซัดมันอีกสักที แต่ไอ้เชี่ยโบ้ทมันไวกว่า มันยัดหมัดแน่นๆ ของมันเข้าที่กลางท้องของผม แค่ทีเดียวเท่านั้น มือของผมคลายจากเสื้อของมันแทบจะในทันที ร่างทั้งร่างทรุดลงคุกเข่าให้กับมัน มันทําท่าเหมือนจะยกเท้าขึ้นมาซํ้า แต่ลลินเข้ามาขวางไว้
“พี่โบ้ทคะ ลลินขอ” นํ้าเสียงของเธอเศร้ามาก นํ้าตาคงพรั่งพรู ผมคาดเดาล้วนๆ เพราะผมกําลังนั่งก้มหน้าอยู่ด้านหลังของลลิน แทบไม่อยากเงยหน้าขึ้นเผชิญกับความพ่ายแพ้น่าอับอายครั้งนี้
“...”
ผมไม่ได้ยินว่าพี่โบ้ทพูดอะไร รู้แค่ว่าไอ้เป้กับรุ่นพี่แถวนั้นอีกคนช่วยกันหิ้วปีกผมขึ้นรถ มีไอ้เป้เป็นคนขับรถพาผมออกไป
ลลินตามไปส่งผมที่คอนโด และขอตามขึ้นมาส่งพร้อมกันกับไอ้เป้ แล้วไอ้เชี่ยเป้ก็เสือกไม่ไปส่งลลิน ปล่อยให้เธออยู่กับผม มันไม่รู้เลยหรือไงว่าเลือดลมในร่างกายของผมมันกําลังพลุ่งพล่าน ไหนจะโกรธ ไหนจะอาย ผมแม่งกําลังจะคลั่ง พอลลินเข้ามานั่งใกล้ตัวผมที่โซฟาห้องนั่งเล่น เธอเอามือสัมผัสหน้าผมเบาๆ ปลายนิ้วเรียวของเธอค่อยๆ ลากไล่ทิ้งนํ้าหนักอย่างรู้จังหวะสัมผัส จะด้วยความเป็นห่วง ความรู้สึกผิดหรืออะไรก็แล้วแต่ เธอขยับตัวมาใกล้ผมแล้วโน้มตัวเอาริมฝีปากนุ่มมาเคล้าคลึงที่ใบหน้าของผม แต่มันไม่ได้มาแค่อวัยวะส่วนเดียว ส่วนนุ่มนิ่มใต้เสื้อนักศึกษาก็พาลแนบเข้ากับตัวผม สติของผมขาดแทบจะในทันที ผมดันไหล่ทั้งสองของลลินออก มองหน้าเธอชัดๆ เธอไม่ใช่คนของผม คนของผมมีเพียงคนเดียวคือธาม และผมคือคนของธาม ผมพยายามฝืนกับแรงขับ แรงต้องการภายในอย่างบ้าคลั่ง ถ้าลลินหยุด ทุกอย่างมันจะยังคงถูกต้อง ผมจะเป็นปรินซ์ที่รอธามอย่างปราศจากมลทินใดๆ ให้ธามนึกรังเกียจ ผมคิดอย่างนั้นแม้ในเศษเสี้ยววินาทีก่อนที่ลลินจะลุกลํ้าเข้ามาสานสัมผัสลึกซึ้งกับริมฝีปากของผม เธอชํานาญ ผมเข้าใจอย่างนั้น แล้วผมก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ผมปล่อยให้สัญชาตญาณอยากของความเป็นชายพวยพุ่งไปตามเกมของลลินอย่างรวดเร็ว ร่างอ่อนถูกจับให้อยู่ด้านล่างทันทีที่ผมถูกกระตุ้นโดยเธอ..
                .
ผมยืนนิ่งอยู่ใต้ฝักบัวนาน นานจนผมรู้สึกหนาว ความเย็นมันอาจช่วยให้ความคลั่งของผมลดลง สายนํ้ามันอาจช่วยล้างคราบเหงื่อคราบใคร่ทั้งของผมและของลลินออกจากร่างกายนี้ได้ ผมถอนตัวเองออกจากร่างของลลินแทบจะทันทีที่เธอทําให้ผมถึงจุดที่จะต้องปลดปล่อย ลลินตกใจไม่น้อย ทําปากเหมือนจะสบถอะไรบางอย่าง ผมเดินเข้าห้องนํ้าทันที ใจนึงนึกอยากจะร้องไห้ แต่ผมว่านั่นน่าจะเป็นลลินสิที่ร้อง ไม่ใช่ผม ผมข่มขืนเธอ!! ผมต้องรับผิดชอบ.. เสี้ยวความคิดนึงที่ผมอยากหยิบมีดมาปาดเอาของของผมทิ้ง แม่งเอ๊ยยย เพราะมันอันเดียว!! ..หรือจริงๆ ผมแค่อยากหาอะไรมารับผิดชอบต่อความพลั้งเผลอที่ตัวเองพลาดทําลงไป ไม่ใช่ว่าผมไม่เคย.. แต่ผมก็ไม่เคยจริงๆ เคยแค่ทําให้มันไม่ค้างด้วยสัมผัสของตัวเอง แต่นี่..
“ปรินซ์..” ลลินเรียกชื่อผม หลังจากผมเดินออกมาจากห้องนํ้า ผมอยู่ในนั้นนาน นานจนหวังว่าเธอจะกลับไปแล้ว ผมแม่งคิดอะไรโคตรเชี่ย เขาเสียหายไหมวะ แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยาม!!
ลลินยังคงนั่งอยู่ตรงโซฟา เธอคลุมตัวเองด้วยเสื้อนักศึกษาที่ยับยู่ด้วยแรงกระทําของผม มันน่าจะขาดจนใช้การไม่ได้อีกแล้ว เพราะผมยังคงเห็นเนื้อขาวอิ่มโผล่ออกมาอย่างหมิ่นเหม่ เธอมองผมด้วยตาเว้าวอน
“ลลินไปอาบนํ้าเถอะ”
ผมเดินไปหยิบเสื้อตัวหนากับกางเกงตัวใหม่ของผมให้เธอ หวังว่าเธอจะพอใส่ได้ ลลินเดินมาสวมกอดผมจากด้านหลัง ผมหันหลังแล้วดันตัวเธอทันที ตอนนี้ผมมีสติดี
“เราชอบปรินซ์มากนะ”
“...”
“เราไม่โกรธนะที่ปรินซ์..”
“ลลินคือเรา..”
“เราเป็นแฟนกันนะ”
“???” ลลินกอดผมแน่น ตัวเธอสั่น และกําลังร้องไห้ ผมรู้สึกได้เพราะหน้าอกเสื้อของผมเริ่มเปียก
“...”
“...”
“อืม”
ผมเลยได้รับสถานะที่ตัวเองไม่ต้องการ “ปรินซ์..แฟนลลิน” ผมคบกับเธอโดยมีภารกิจประจําคือไปรับไปส่งเธอเพื่อไปเรียน ไปซ้อมลีด พาเธอไปช็อปปิ้ง เทคแคร์เธอเท่าที่จะทําได้ มันไม่ได้ลําบาก แต่มันไม่มีความสุข ยิ่งผมโดนผูกติดกับเธอ ความเจ็บปวดที่มีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ผมจะมองหน้าธามได้ยังไง..
เหมือนผ่านไปนานเป็นชาติ ทั้งที่แค่คบกับลลินตั้งแต่งานกีฬาประจําปีต่อเนื่องมาจนจบเทอมนึงเท่านั้น
“ไอ้ปรินซ์!!” ไอ้เป้วิ่งตะโกนเรียกชื่อผมมาแต่ไกล
“มีไร คะแนนออกแล้ว?”
“มึงแคร์คะแนนมึงด้วยเหรอ มึงก็รู้ยังไงมึงก็ผ่าน”
“...”
“กูมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง และมีเรื่องจะถามมึง”
“เล่ามา”
“ไม่ กูอยากถามก่อนค่อยเล่า”
“เออ แล้วแต่มึง”
ไอ้เป้ หรือเชี่ยเป้เป็นเพื่อนตั้งแต่มอปลาย มันกับผมไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกัน ผมเจอมันที่ที่เรียนพิเศษช่วงก่อนสอบเข้ามหาลัย เรานั่งข้างกันตลอด มันชวนผมคุย อัธยาศัยดี จริงใจ เรื่องที่มันสนใจกับผมค่อนข้างตรงกันแทบจะทุกอย่าง ผมกับมันเลยสนิทกันง่าย ทั้งเรายังเลือกเรียนคณะเดียวกัน มอเดียวกัน ตอนนี้ไอ้เป้เลยได้ตำแหน่งเพื่อนสนิทของผมไป
“จริงๆ กูก็ไม่อยากเม้าท์นะ มันจะดูไม่คูล”
“งั้นมึงก็เงียบปากไป”
“กูไปได้ยินมาว่าลลินแฟนมึงอ่ะ”
“ไม?” ได้ยินแค่ชื่อผมก็นึกสาปแช่งตัวเองแล้ว
“มึงข่มขืนเขา”
“ไอ้สัดเป้ มึง!!” ผมแทบจะเอาหัวแข็งๆ ของผมโหม่งเข้ากับหัวของมัน มันรู้เรื่องของผม ผมเล่าเรื่องคืนนั้นให้มันฟัง เหมือนเด็กน้อยสารภาพผิด เพราะผมเครียดมาก มากจนอยากระเบิดตัวเองให้แตกออกเป็นพันๆ ชิ้น
“มึงใจเย็นนนนนนสิคร๊าบบบ”
“...”
“ที่กูได้ยินมาคือพี่ลลินเนี่ยนางซิ่วมาจากที่อื่น”
“แล้วไง มึงจะบอกกูว่าเขาแก่กว่ากู แค่นั้น”
ไอ้เป้ยกนิ้วชี้ของมันทําท่าปัดไปมา “โนๆ ไม่ใช่แค่นั้น แต่เหตุผลที่นางต้องซิ่วตังหาก”
“...”
“ลลินมีปัญหาเรื่องผู้ชายที่มอเก่าใหญ่โตขนาดที่คณบดีเชิญทั้งสองฝ่ายออกทั้งคู่”
“!!!”
“เออ เรื่องนี้กูกรองมาอย่างดี มึงอย่ามาทําหน้าไม่เชื่อ มึงต้องไม่เชื่อแน่ว่ากูน่ะลงทุนไปตามสืบถึงมอนู้น”
“แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับกูไหม นั่นมันอดีต กูสิเสือกไปเป็นปัจจุบันของเขา”
“เออ มึงอ่ะควาย ไม่ใช่เพราะมึงควายไปทําเขา เอางี้กูจะถามมึงล่ะ ตอบมาแบบจริงๆ ไม่ต้องตอบแบบสุภาพบุรุษปกป้องผู้หญิง”
“เออว่ามา”
“ก่อนที่มึงจะไปหาเรื่องพี่โบ้ท ลลินพูดอะไรกับมึงบ้าง”
“เขาพูดอะไรกับกูแล้วมันจะยังไงวะ”
“มึงนี่ควายแล้วควายอีกนะ เก่งแต่เรื่องเรียน มึงตอบกูมาก็พอ เดี๋ยวกูวิเคราะห์วิพากย์ให้มึงเอง”
“เออๆ ลลินก็แค่เล่าให้กูฟังว่าพี่โบ้ทบอกลลิน ว่ากูน่ะเบื่อลลินนู่นนี่ เอาเป็นว่าเชี่ยพี่โบ้ทของมึงใส่ร้ายกู”
“ประมาณนี้ งั้นกูขอยืนยันเลยมึงโคตรควายยยย”
.
.

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
08
ปลดปล่อย
.
.
“ลลิน ปล่อยเราไปนะ” ผมคุยกับลลินในเย็นวันนั้น วันที่ไอ้เป้มาถางเอาความควายของผมออก
“...”
“รู้ไม่ใช่เหรอว่าเราอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกัน”
“แค่นั้นเหรอปรินซ์ปรินซ์ก็แค่ยังไม่เปิดใจให้เราเอง เรารอได้ แค่ปรินซ์อยู่ข้างๆ เราอย่างนี้” ลลินเอื้อมมือมาจับแขนผมแน่น ผมค่อยๆ แกะมือเล็กนั้นออกอย่างถนอมนํ้าใจ
“...”
“แล้วเรื่องคืนนั้น ปรินซ์จะให้เรา..”
“...” ครับ มีแค่คืนนั้นที่ผมเผลอไผล เพราะหลังจากคืนนั้น แม้ผมจะต้องไปรับส่งเธอตลอด แต่ผมก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้ความอยากของผมก่อตัวขึ้นมาอีก ‘โคตรควาย’ คงใช้ได้กับผม ของดีอยู่ตรงหน้า แทบจะแอ่นรอผมอยู่ทุกเมื่อ แต่ผมดันเย็นชาเป็นพระอิฐพระปูนไม่สนไม่มองอะไรใดๆ ผมพอดูออกว่าลลินเองก็คงรู้สึกขัดใจไม่น้อย เพราะผมจะปัดมือเธอออกทุกครั้งที่เธอแตะตัวผม ร่างกายผมมันไม่ใช่ของผมเพียงคนเดียว แต่มันเป็นของธามด้วย แค่นี้ผมก็รู้สึกสกปรกตัวเองมากพอแล้ว
“พอเหอะ อย่าให้เราพูดไปมากกว่านี้เลย เรารู้เรื่องจากพี่โบ้ทหมดแล้ว”
“เรื่องอะไร?” สีหน้าลลินเปลี่ยนเล็กน้อย
“..เราจบกันแค่นี้นะ”
“ไม่อ่ะ เราทําอะไรผิด!!”
“น้องลลิน” เสียงใครสักคนดังมาจากใต้ต้นใม้ใกล้ๆ
“พี่โบ้ท..”
“ลลินปล่อยไอ้ปรินซ์มันไปเถอะ ให้เรื่องมันจบง่ายๆ อย่าให้มันบานปลาย”
“พี่โบ้ทอย่ามายุ่ง! ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย!!”
“พี่บอกมันไปแล้วว่าพี่ไม่ได้พูดอะไรเหมือนที่ลลินไปเล่าให้มันฟัง เลิกสร้างเรื่องจับปรินซ์มันสักที” ผมที่ฟังอยู่นํ้าตาแทบไหล ไอ้พี่โบ้ทมันเท่มาก มันกล้าพูดในสิ่งที่ผมคิด
“อะไรของพี่!” ลลินพูดเสียงดัง ขัดกับร่างเล็กๆ ของเธอ   
“พี่จะยุ่งอะไรด้วย เป็นพี่ก็อยู่ส่วนพี่ไปสิ!!”
“ก็พี่เป็นพี่ไง แล้วไอ้ปรินซ์มันก็ขอร้องพี่ไว้ เลิกยุ่งกับปรินซ์เหอะ ปรินซ์มันก็ไม่ได้เต็มใจจะคบ เรื่องคืนนั้นก็แค่ความสนุกร่วม วินวินกันไป”
“...”
“นี่พูดดีๆ แล้วนะ ตัวเองก็มีประวัติจากมอเก่า อย่าทําให้ต้องเป็นเรื่องใหญ่” พี่โบ้ทพูดขู่จนผมเองก็เริ่มรู้สึกว่าแม่งโคตรไม่แมนรึเปล่าไอ้การมายืนด่าผู้หญิงเนี่ย แต่พอหันไปมองลลิน ผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่พี่โบ้ทกําลังทําแม่งไม่ได้แรงอะไรเลย ลลินไม่สะทกสะท้านสักนิด
“ถามจริงๆ นะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของปรินซ์ จะมายุ่งทําไม หรือว่าหวง?” ลลินกอดอกถามพี่โบ้ท ทีท่าที่เคยอ่อนหวานเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ใช่ หวง พอใจไหม” ผมมองหน้าพี่โบ้ท โอเค พี่มึงหวงลลิน! ทุกอย่างลงตัวกูจะได้หลุดพ้น “..พี่หวงปรินซ์” ไอ้พี่โบ้ทมันหันมามองผม สายตาจริงจังของพี่มันทําผมหยุดหายใจไปหนึ่งจังหวะ ..อะไรของพี่มึงเนี่ย
“ออ ที่แท้ก็เป็น.. จะเก็บไว้เองสินะ หึ เห็นทำตัวเท่ ทำตัวแบดก็นึกว่าจะแมน ออ ไม่สิ ก็แมน แมนเหนือแมน เอ๊ะ หรือแมนใต้แมน”
“เอาเป็นว่าเข้าใจก็ดีแล้ว อย่ายุ่งกับปรินซ์อีก จบจบไปซะ พี่ไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง” พี่โบ้ทปั้นหน้ายิ้มใส่ลลิน
ลลินมองพี่โบ้ทหยั่งกับว่ากำลังมองตัวอะไรที่น่าขยะแขยง ไอ้พี่โบ้ทก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ สมควรแล้วที่พี่มันเรียนจิตวิทยา ถึงนิ่งได้ขนาดนี้ เป็นผมเจอคนพูดจาหมาขนาดนี้ ผมต่อยหน้าไปแล้ว แถมนี่ยังเป็นผู้หญิงอีก ผมขอยกให้มันเป็นเทพในทุกสนามสงครามประสาท
“เราขอโทษนะลลิน แต่เรามีคนที่เราชอบอยู่แล้วจริงๆ” ผมที่เห็นสถานการณ์เริ่มเหลือแต่ควันจางเลยรีบตัดจบสรุปเสร็จสรรพ
“ซึ่งก็คือพี่เอง หวังว่าลลินจะเข้าใจพวกเรานะ” ไอ้เชี่ยพี่โบ้ท กูขอถอนคำพูดชื่นชมมึง แถมยังเอามือหนามาโอบไหล่กูอีก
“แต่ถ้าลลินยังอยากได้ตัวปรินซ์ไว้แก้ขัดจริงๆ พี่ว่าเรื่องนี้คงต้องถึงพี่เบิ้ม”
‘พี่เบิ้ม’ คือใครผมไม่รู้ แต่แค่ชื่อก็ดูจะศักดิ์สิทธิ์ ลลินหน้าสลดลงทันที
“ถ้ารู้ดีขนาดนี้.. ก็คงต้องยอมล่ะนะ” ลลินจิกตามองพี่โบ้ท แล้วก็หันมามองผมด้วยดวงตาที่ปรับกลับไปเป็นลลินกวางน้อยใสซื่ออีกครั้ง
“แต่ถ้าปรินซ์ต้องการ จะโทรหาเราก็ได้ เมื่อไหร่เราก็พร้อมถ้าเป็นปรินซ์..” เธอกระซิบที่ข้างหูผมก่อนเดินจากไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ..จบสักที
“ไงมึง แค่นี้ถึงกับเหนื่อย” ไอ้พี่โบ้ทยิ้มยียวนใส่ผม ผมมองหน้าพี่มันนิ่ง ความรู้สึกผิด รู้สึกขอโทษ รู้สึกขอบคุณมันตีกันมั่วไปหมด
“ผมขอโทษ แล้วก็ขอบคุณที่พี่ช่วย”
“ไอ้เรื่องขอบคุณอ่ะไม่ต้องหรอก เพราะลลินแม่งเอาชื่อกูไปพัวพัน ส่วนเรื่องขอโทษก็สมควร เพราะมึงต่อยกู ทำกูกินข้าวไม่อร่อยไปหลายวัน มึงต้องพากูไปเลี้ยง และมึงต้องขอบคุณอีกหลายคนด้วย ที่เขาเข้าร่วม ‘พิทักษ์ปรินซ์’ โปรเจ็กต์”
“???”
               
มื้อนี้ผมคงต้องจ่ายหนักมาก เพราะคณะทำงาน ‘พิทักษ์ปรินซ์’ โปรเจ็กต์แม่งมีประชากรเกือบยี่สิบคน มีทั้งเพื่อนในคณะผม เพื่อนที่คณะนิเทศ (คณะของลลิน) น้องคณะไอ้พี่โบ้ท ไหนจะคนประสานข้อมูลที่มอเก่าของลลินอีก โดยทั้งหมดมีหัวหน้าคือไอ้เป้ ไอ้นี่ก็อีกคน มึงควรลาออกแล้วไปสอบตำรวจ ไม่ก็ไปอยู่หน่วยข่าวกรอง มึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
“กูน่ะดูออกตั้งแต่วันที่กูเดินเข้าไปคุยกับลลินแล้ว ดวงตาแม่งหน้าต่างหัวจายยยยย” ไอ้พี่โบ้ทพูดอวดเป็นครั้งที่ยี่สิบ มันพูดพร้อมอาการคอเอียงๆ ตามสไตล์คนกรึ่มๆ จะหลับไม่หลับแหล่
“ตาแม่งส่อ เหมือนมึงงงง…” ไอ้พี่โบ้ทชี้หน้าผม
“...”
“มึง มึงไม่ชอบผู้หญิงงงงง…”
“...” ผมไม่แคร์กับคำพูดของไอ้พี่โบ้ท ต่อให้มันโพสท์ขึ้นเฟสบุ๊คเพื่อป่าวประกาศก็เถอะ เพราะมันคือเรื่องจริง ผมนึกขอบคุณที่พี่มันพูดตอกย้ำสิ่งที่ผมเป็นให้ชัด หลังจากเหตุการณ์ของลลิน ผมว่าผมได้คำตอบที่ป๊าให้หาเรียบร้อยแล้ว ผมรู้ว่าผมชอบธามแบบไหน รู้สึกกับธามมากแค่ไหน และต่อจากนี้ผมต้องทำอะไร เพื่อให้ธามเป็นคนของผมให้ได้ การลงทุนของผมจะต้องไม่เสียเปล่า
ผมยังคงนั่งจิบน้ำอัดลมไปเรื่อย  เพราะรู้ว่านอกจากจะต้องสละทรัพย์เลี้ยงคนทั้งฝูงแล้ว เรื่องเมาก็ต้องงด ทั้งที่ตอนนี้ผมโคตรมีความสุขครึ้มอกครึ้มใจ เหมาะแก่การเมามาย แต่ถ้าผมเมาใครจะเก็บซากพวกมันทั้งฝูง
 
แต่มันก็คุ้ม..
 
คืนนี้ผมคงจะนอนหลับฝันถึงธามได้อย่างสบายใจสักที
.
.
.
..ปัจจุบัน
ผมอดนึกถึงความทรงจำที่ไม่อยากจำไม่ได้ เวลานั้นแม่งโคตรแย่ โคตรดาวน์ พอผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ ผมก็กลับมาตั้งใจเรียน ตั้งใจเล่นบอลในทุกสนาม แล้วในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ธามจะมาอยู่ใกล้ผมอีกครั้ง ถึงตลอดสองปีผมจะได้เจอธามอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมพยายามหาข้ออ้างดีๆ อย่างติวหนังสือให้ธามจนดึก เพื่อให้ได้ค้างบ้านธาม ได้มีเวลากับธาม ได้มองหน้าธามนานๆ แต่ทุกครั้งป๊าก็จะส่งข้อความมาเตือน
“อย่าลืมสัญญา”
เชี่ยเอ๊ย!! คือคําที่ผมสบถอยู่ในใจ ผมไม่ได้ด่าป๊านะ แต่ผมด่าตัวเอง ทําไมตอนนั้นถึงโง่ไปเซ็นสัญญาของป๊าได้!!
แล้วกว่าจะกล่อมให้ธามสนใจมอที่ผมเรียนได้ก็ช่างยากเย็น เหตุผลของธามคือ อยากไปเรียนที่ที่ไกลแสงสี ไกลผู้คน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเรืยนมอที่อยู่แถวภูเขา อากาศดี วันที่ไม่มีเรียนจะได้ไปหามุมสงบนั่งฝึกจิตในป่า.. เหตุผลของธามทําผมปวดหัวไปเป็นอาทิตย์ หนึ่งคือมอที่ผมเรียนไม่ใช่ที่ที่ธามอยากเรียน  และสอง หรือจริงๆ ผมไม่ควรไปฝืนทางธรรมของธาม!! แต่คิดแทนธามไปก็เท่านั้น รอให้ถึงเวลาที่ผมได้พยายามให้สุดทางก่อน ถึงเวลานั้นถ้าธามจะเดินเส้นทางนั้น ผมก็จะสนับสนุนธามเต็มที่ และก็เหมือนฟ้าส่งไอ้เด็กบอสนั่นมา มันเลือกมอผม แถมยังหว่านล้อมธามเก่งกว่าผมซะอีก สุดท้ายธามเลยยอมเลือกที่นี่ตามบอส
คืนนี้ผมนอนไม่หลับ มัวแต่ตื่นเต้น คิดอะไรไว้มากมาย เพราะภารกิจของผมจะเริ่มนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ภารกิจของการเป็นผู้ปกครอง..
.
.
.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
09
ห้องเชียร์
.
.
..ธาม
กว่าผมจะผ่านการรับน้องช่วงก่อนเปิดเทอมตลอดเกือบสองอาทิตย์มาได้ก็แทบตาย ร่างกายน่ะเหนื่อยมาก แต่ว่าก็สนุกมาก สมกับที่เป็นคณะนิเทศศาสตร์ จริงๆก็ไม่มั่นใจในการเรียนในคณะที่จะต้องแสดงตัวตนมากขนาดนี้ เพราะผมเป็นคนนิ่งๆ ดูภายนอกก็คือคนเรียบร้อยคนนึงเลย แต่ตัวตนจริงของผมก็คือคนบ้าๆคนนึงเลยเหมือนกัน แค่ผมแสดงออกไม่ค่อยเก่ง
เสื้ออยู่ในกางเกงเรียบร้อย ไทค์ก็ผูกตรงเรียบร้อย รองเท้าหนังสีดำก็เงางามเรียบร้อย ผมก็เรียบร้อย หน้าตาก็..พอใช้ได้ เช้านี้เป็นเช้าวันเปิดเทอม ซึ่งผมก็มีเรียนมันแต่เช้านี่แหละ ผมก้มลงหยิบเป้สีดำใบเก่งขึ้นหลัง พร้อมสำหรับช่วงเวลาชีวิตใหม่ๆ
“มึงจะไปเรียนแล้วเหรอ ไม่เช้าไปเหรอวะ” ไอ้บอสส่งเสียงทักทายทั้งที่ยังเมาขี้ตาอยู่บนเตียงข้างๆ
“เออ กูอยากไปนั่งโรงอาหารคณะ อยากเสพบรรยากาศตอนคนน้อยๆ”
“ติสสัดให้กูไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไปดิ”
“เชี่ย! มึงก็รู้ กูพูดตามมารยาท ไม่ไปด้วยหรอก”
“เออ กูรู้ มึงนอนไปเลยไป” ผมตอบไอ้บอสไปก็ล้วงเอามือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาดู ..ปรินซ์โทรมา
“ฮัลโหล ว่าไงปรินซ์”
[เปิดประตู]
“ห่ะ เปิดประตู? ประตูไหน?”
[ก็ประตูห้องไง]
“เห้ย! อยู่หน้าห้องเหรอ”ตลอดอาทิตย์ปรินซ์มันจะรอผมอยู่ใต้ตึก (ทั้งที่ผมไม่ได้ขอ) จะว่าไปมันก็ไม่ได้ขึ้นมาอีกเลยหลังจากที่มันมาค้างเมื่อคืนที่ผมอิ่มจนหลับคาโต๊ะที่ร้านซำบายเป๋า
“พี่ปรินซ์อยู่หน้าห้องเหรอวะ” ไอ้บอสถามเสียงกระซิบ ผมพยักหน้า ไอ้บอสรีบลุกมาใส่กางเกงวอร์มทับบ็อกเซอร์ของมัน พยายามดึงชายเสื้อยืดยับให้เรียบขึ้น ไม่รู้มันจะอะไรขนาดนั้น ก็แค่ปรินซ์มา..
ผมเดินไปเปิดประตูให้ปรินซ์ ไม่เข้าใจว่ามันจะมาทำไม ก็บอกไปแล้วว่าผมจะปั่นจักรยานไปเรียนเอง ไอ้ที่มารับๆส่งๆตลอดสองอาทิตย์เนี่ยมันก็มากเกินพอแล้ว ไม่ได้คิดเกรงใจอะไรหรอกนะ แต่ผมอยากขี่จักรยานไง อยากเอาหน้าต้านลม ดมกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าสองข้างทาง
“สวัสดีครับพี่” ปรินซ์พยักหน้ารับรู้ทีนึงให้ไอ้บอสมัน
“มาไม” ผมถามแบบไม่สบอารมณ์
“ก็มารับไปกินข้าว แล้วก็ไปคณะ”
“นี่มันยังเช้าอยู่เลย ยังไม่ไปคณะหรอก”
“แน่ใจ? เตรียมตัวออกจากห้องแล้วชัดๆ”
“…” ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง หลักฐานมันคาตา
“พี่กะแล้วว่าธามต้องอยากไปแต่เช้า”
“รู้ดีไปป่ะ” ปรินซ์เดินเข้ามาใกล้ผม มันยื่นมือมาขยับเนคไทค์ของผม แถมยังมองผมด้วยสายตา.. สายตาแบบที่ว่าสาวๆ คงมีละลาย แต่กูไม่ไงครับผมมองมันตอบแบบมีคำถาม กูว่าไทค์กูน่ะตรงเป๊ะเรียบร้อยดีอยู่แล้ว จะจับเพื่อ?
“ปีหนึ่งน่ะ ไทค์เบี้ยวนิดเดียวมันก็ดูไม่ดี เข้าใจไหมครับ” ปรินซ์ยังคงจ้องมองลึกเข้ามาในตาของผม ..เป็นผมที่ต้องหลบตามัน
“เออๆ ไปก็ไป” ผมปัดมือปรินซ์ออก ผมว่ามันน่ารำคาญนิดๆ นี่ผมโตจนหมากระโดดงับตูดไม่ถึงแล้วนะ ยังต้องมาจัดเสื้อผ้าให้อีก ขนาดม๊ายังเลิกยุ่งกับการแต่งตัวของผม ซึ่งนั่นก็นานมาแล้วด้วย
.
.
วันนี้ผมมีเรียนวิชารวมกับปีหนึ่งหลายๆ คณะ วาดภาพคาบแรกไว้ว่าจะได้นั่งฟังอาจารย์เกริ่นเนื้อหาสักครึ่งชั่วโมงแล้วก็ปล่อยให้เรียนรู้ตามอัธยาศัย ผมเดาจากตอนเรียนสมัยมัธยม แต่มันหาได้เป็นอย่างนั้นไม่ อาจารย์เดินเข้ามาพร้อมกับอาจารย์ผู้ช่วย แล้วพวกเราทุกคนก็ได้รับชุดข้อสอบ! สอบมันตั้งแต่คาบแรก!!
“ไม่ต้องตกใจไป” เสียงอาจารย์พูดดังผ่านไมค์ก้องไปทั่วห้องขนาดความจุห้าร้อยคน เสียงหึ่งๆของนักศึกษาเงียบลงแทบจะทันที
“นี่ไม่ใช่การเก็บคะแนน แต่คะแนนที่ได้ในครั้งนี้จะเป็นตัวบอกให้พวกคุณรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องพยายามมากแค่ไหนในการเรียนวิชานี้”
“เชี่ยยย คมว่ะ” บรีสที่นั่งอยู่ข้างๆผมพูด
“เออคม ได้แผลแหละเนี่ย”
หมดกันวันแรกที่แสนสดใสในชีวิตการเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง นี่ขนาดแค่วิชาแรกนะ
 
สี่โมงเย็นวันนี้พวกเรามีนัดกับรุ่นพี่ที่คณะเพื่อเข้าห้องเชียร์ ผมได้ยินเรื่องห้องเชียร์มาบ้าง แต่ก็ยังนึกไม่ออกหรอกว่าห้องเชียร์ของนิเทศจะเป็นยังไง และก็รู้ด้วยว่าเป้าหมายของการเข้าห้องเชียร์คืออะไร ผมเลยไม่คิดต่อต้าน ผมว่าระบบพวกนี้ถูกคิดขึ้นก็เพื่อให้ประโยชน์อยู่แล้ว เพราะถ้ามันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ก็คงไม่มีใครมานั่งสืบทอดรุ่นต่อรุ่นเรื่อยมาหรอก
ใต้ถุนตึกเย็นนี้แสนอบอ้าว แม้จะมีพัดลมหมุนสุดกําลังอยู่บนหัวถึงสี่ตัว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร พวกเราเกือบสองร้อยคนกำลังยืนเข้าแถวกันตามคำบอกของรุ่นพี่ปีสองที่คุ้นหน้าคุ้นตากันจากตอนรับน้องก่อนเปิดเทอม แต่วันนี้พวกพี่มาโหมดอึมครึม ไม่มีพี่คนไหนชวนน้องปีหนึ่งคุย จะมีก็แต่ประโยคสั้นๆ ที่ดูเป็นทางการ อย่าง..
“น้องค่ะ เสื้อเข้ากางเกงให้เรียบร้อยนะ”
“น้องครับ จัดเนคไทค์ให้ตรงด้วยครับ”
“น้องค่ะ ผมด้านหน้าเก็บให้เรียบร้อยด้วยค่ะ”
“น้องๆครับ แถวตรงนะครับ อย่าหันไปมา”
“น้องค่ะ อย่าคุยกันนะ”
..และอีกหลายประโยคบอกเล่าที่เป็นคำสั่งกลายๆ
ตอนแรกผมว่ามันคือความตื่นเต้น ตื่นเต้นว่าพวกพี่เขาจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง และจากสองอาทิตย์ที่สนุกมากๆ ผมเลยคิดว่า ‘ห้องเชียร์’ ก็ต้องมีอารมณ์คล้ายกัน คือสนุกสนานหรรษา แต่พอเวลาที่พวกเรายืนมันกินเวลานานขึ้นเรื่อยๆ จากสิบห้านาทีเป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมงเป็นชั่วโมง หรืออาจจะนานกว่านั้น ผมว่าตอนนี้มันคือความท้าทาย ท้าทายว่าตัวเองจะทนได้มากแค่ไหน แล้วก็เกิดคำถามต่อว่ามันจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เพราะเหงื่อของผมกำลังผุดเต็มใบหน้า แขนขาที่ยืนเกร็งตรงอยู่นานเริ่มจะไม่ไหว บางครั้งก็รู้สึกว่าลำตัวเอียงยวบไปข้างนึง แต่ผมก็รีบปรับท่าให้มันกลับมาตรงได้อีกครั้ง
“น้องค่ะ ถ้าคนไหนไม่ไหวให้ยกมือเลยนะ”
แม่งก็ควรมีคนไม่ไหว ขนาดผมเป็นผู้ชายยังเริ่มรู้สึกล้า แล้วพวกผู้หญิงล่ะ..
“ตามองตรงไปข้างหน้า!!!”
“ตามองตรงไปข้างหน้า!!!”
“ตามองตรงไปข้างหน้า!!!”
“ตามองตรงไปข้างหน้า!!!”
จู่ๆ ก็มีเสียงจากกลุ่มคนปริศนาตะโกนดังสนั่นลั่นทั่วใต้ถุน ขนาดผมยังเผลอสะดุ้ง มันดังจากทุกทิศทางรอบๆ และกำลังตรงมาที่พวกเรา ผมอยากจะหันไปมองใจแทบขาดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใครวะที่มารุมตะโกนตะคอกพวกเราอยู่
“พวกคุณ! กำลังทำอะไรกันอยู่!!” เสียงรุ่นพี่ผู้หญิงตะโกนเสียงดัง ตอนนี้พวกพี่เขาเข้ามาอยู่ในระยะสายตาของผมแล้ว ประมาณจากสายตาที่เห็นน่าจะมีพวกพี่เขาประมาณแปดคน มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหมดอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อย ไม่สิ เรียบร้อยกว่าพวกเราปีหนึ่งด้วยซ้ำ เว้นแค่ว่าพวกพี่ผู้ชายไม่ต้องผูกไทค์แล้ว
“นี่มันกี่โมงแล้ว!!” คราวนี้เป็นเสียงของพี่ผู้ชายพูดขึ้นบ้าง
“พวกเราให้โอกาสพวกคุณอยู่นาน นานมาก!! แต่พวกคุณทำได้แค่นี้เหรอ!!” เสียงของพี่ผู้หญิงอีกคน
“จะต้องให้พวกเรารออีกนานแค่ไหน!!”
“แค่ยืนแล้วตามองตรงไปข้างหน้า ยังทำไม่ได้เลย!!!”
“พวกคุณจะมาเป็นน้องเราจริงๆเหรอเนี่ย ทำไมผมถึงไม่เห็นอยากรับพวกคุณเป็นน้องผมเลย!!”
“สปิริตมีแค่นี้เหรอ ทำแค่นี้มันยากเหรอ!!!”
“ผมยังเห็นพวกคุณคุยกันอยู่เลย!!”
ผมไม่รู้นะว่าเพื่อนคนอื่นรู้สึกยังไง แต่ผมแม่งขนลุก เหงื่อซึมหนักขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกนี้มันคืออะไรวะ กำลังยืนให้โดนด่า โดนด่าแบบที่ต้องพยายามแกะรหัสให้ได้ว่าพวกพี่กำลังด่าเรื่องอะไร
“พวกคุณมากันกี่คน!” เสียงพี่ยังคงตะโกนต่อ
“...”
“ทำไมไม่มีใครตอบ!!!”
“ที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ใช่เพื่อนคุณรึไง ทําไมไม่รู้ว่ามากันทั้งหมดกี่คน!!!”
“นี่น่ะเหรอคนที่จะมาเป็นน้องของเรา!!”
“พวกเราไม่มีวันยอมรับพวกคุณที่ไม่สนใจเพื่อน บอกได้ไหมว่ามากันกี่คน!!!”
“...” ทั้งใต้ถุนเงียบจนเสียงพัดลมดังอย่างกับเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์
“พวกคุณนับเลยครับ พวกคุณมากันกี่คน!!”
เชี่ย!! ทําไงวะ สถานการณ์นี้มันจะจบเมื่อไหร่ จบยังไง มันมีแต่รังสีความอึดอัด ความมาคุคลุมอยู่ทั่วใต้ถุน
“...”
“หัวแถวนับสิคะ!! ต้องให้บอกรึไง!!” ผมว่าคนที่ยืนหัวแถวโคตรซวย เพราะเจอพี่ตะโกนใส่หน้าเต็มๆ
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม”
.
.
“สามสิบห้า”
“หยุดก่อน คุณได้ยินไหมว่าเพื่อนนับถึงเท่าไหร่แล้ว!!” เสียงพี่ผู้ชายถามจากแถวด้านหลัง
“ไม่ทราบค่ะ”
“ไม่ทราบ เห็นไหมว่าเพื่อนคุณไม่ได้ยิน!! พวกคุณมีแรงแค่นี้เหรอ!! หรือคุณไม่สนใจ ไม่ใส่ใจว่าเพื่อนของคุณจะได้ยินไหม!!!”
“รักแต่ตัวเอง!!!” พี่อีกคนตะโกนจากด้านหน้า
“แค่ขานเลขแค่นี้ยังทําเต็มที่ไม่ได้ พวกคุณยังจะมีหน้ามาเป็นน้องของเราอีกเหรอ!!!”
“เราต้องการความเต็มที่จากพวกคุณ!!”
“นับใหม่!!”
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม”
.
.
.
“หนึ่งร้อยห้าสิบสาม”
“วันนี้พวกคุณมาหนึ่งร้อยห้าสิบสามคน!!! รู้ไหมว่ารุ่นคุณมีทั้งหมดกี่คน!!”
“...”
“ไม่รู้งั้นเหรอ!!”
“สองร้อยสิบห้าคนค่ะ” เสียงของใครสักคนดังขึ้นจากอีกฟากที่ผมยืน เจ๋งว่ะ รู้ได้ไง
“ยกมือขึ้น พูดขออนุญาตก่อน แล้วค่อยพูด!!”
เธอคนนั้นยกมือขึ้นชี้ตรงไปในอากาศ “ขออนุญาตค่ะ”
“เชิญ!!”
“รุ่นเรามีสองร้อยสิบห้าคนค่ะ”
“สองร้อยสิบห้าคน แล้วทําไมมาแค่นี้!!”
“เพื่อนคุณหายไปไหน!!”
“ไม่ใส่ใจเพื่อนเลยใช่ไหม!!!”
“เขาไม่ใช่เพื่อนรึไง!!!”
“...”
ตอนนี้เสียงของพวกพี่ยังคงดังอยู่ในการรับรู้ของผมนะ แต่การที่จะต้องเอาแต่มองไปข้างหน้า ซึ่งก็คือการมองต้นคอ กับหัวดําๆของคนข้างหน้าเป็นชั่วโมงๆ ก็ทําเอาผมเริ่มจะเมื่อย (ลูกตา) เลยแอบกลอกตาไปทางขวา ดีนะที่ผมยืนอยู่ค่อนไปทั้งท้ายห้อง ฝังตัวเองตรงกลางๆ แถว ถ้าอยู่แถวริม ผมคงต้องเกร็งมากกว่านี้แน่ๆ เพราะคงจะแอบขยับลูกตาอย่างนี้ไม่ได้
ณ ที่ตรงที่พวกพี่ๆชั้นปีอื่นกำลังยืนจับกลุ่มมองมาที่พวกเรา ผมเห็นพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชวนสะดุดตา เพราะว่าร่างนั้นสูงโดดเด่นเหนือคนที่อยู่รายล้อม ชุดนักศึกษาที่สวมใส่ก็พอดีตัวจนเห็นสัดส่วนร่างกายได้อย่างชัดเจน ไหล่กว้างที่เหมาะรับเข้ากันกับสะโพกเล็ก ถึงจะดูเหมือนบอบบาง แต่กล้ามเนื้อบนแขนทั้งสองที่แน่นจนเกือบคับอยู่ในเสื้อนักศึกษากลับบอกว่าร่างกายนี้ผ่านการออกกำลังกายมาอย่างเหมาะสม ดวงตาคมๆถูกซ่อนอยู่ใต้แว่นกลมใสกรอบบางที่เข้ากันดีกับใบหน้าเรียว จมูกโด่งเป็นสันสูงและปากสีชมพูอ่อนถูกจัดวางอยู่บนเรือนหน้าผิวสีน้ำผึ้งที่ไร้ซึ่งจุดน่าตำหนิ จะมีก็แค่ไรหนวดอ่อนๆที่เพิ่งขึ้นระบายอยู่เหนือริมฝีปากเท่านั้น น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่าเขาดูมีเสน่ห์ทั้งที่น่าจะสูงแค่พอๆกันกับผม แต่พี่เขาดูเป็นผู้ใหญ่ ดูน่าเคารพ ดูน่าศรัทธา..
พี่เขากำลังทำหน้าเคร่งเครียด พลางกระซิบกระซาบกับพี่ผู้หญิงอีกคน แล้วชี้ไปทางด้านซ้ายของแถวพวกเรา ผมเผลอมองตามนิ้วที่ชี้นั้น นั่นเป็นแถวของผู้หญิง และถ้าผมมองไม่ผิด ร่างของเพื่อนผมคนหนึ่งกำลังโงนเงนเต็มที เธอกำลังจะล้มลงแล้ว!!แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดว่าเธอจะล้มด้วยซ้ำ กลุ่มพี่ผู้หญิงที่คุยอยู่กับพี่ผู้ชายคนเมื่อกี้ก็เข้าไปรับร่างที่ใกล้ไร้สตินั้นไว้ได้ทัน แล้วพาเธอออกจากแถวไปทางด้านหลัง ผมเข้าใจว่าน่าจะพาออกไปพัก และปฐมพยาบาล
เฮ้ออออ โล่งอก…
“คุณกำลังมองอะไรครับ” เสียงทุ้มเข้มเรียกสติของผมให้กลับคืนมา ผมหันกลับมามองต้นเสียงนั้นทันที พี่ผู้ชายคนเมื่อกี้กำลังยืนจ้องผมด้วยระยะที่ต้องกลั้นหายใจใส่กัน เพราะพี่เขาเล่นเข้ามายืนแทรกระหว่างแถวที่ยืนกันแบบแน่นๆ เขาสูงกว่าผมนะ น่าจะสูงพอๆกันกับปรินซ์ และถึงหัวใจของผมจะกําลังเต้นโครมคราม ผมก็อดเงยหน้ามองพี่เขาไม่ได้ คือไม่ได้จะกวนตีนอะไร ก็แค่ผมถูกสอนมาว่า การเป็นผู้ฟังที่ดีจะต้องมองหน้าผู้พูดก็แค่นั้น หรือจะให้ผมมองอกของผู้พูดมันก็ดูจะแปลกประหลาด
“ผมถามว่าคุณกำลังมองอะไร!!” พี่เขาเริ่มดันระดับเสียงของตัวเองให้ดังขึ้นไปอีก ผมเผลอสะดุ้ง พวกเพื่อนๆที่ยืนข้างผมก็คงสะดุ้งไปกับผมด้วยเหมือนกัน
“เอ่อ มองพี่ครับ” เชี่ยธาม!! มึงตอบอะไรไปเนี่ยยยยย
พี่เขาโน้มหน้าลงมาตรงหน้าผม “..จะกวนตีนผมเหรอ”  พี่เขาจ้องตาผมด้วยดวงตาคมๆคู่นั้น ผมเองก็สู้ตาพี่เขา แต่อยู่ได้สักวินาทีก็ก้มหน้าหนี
“..ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะมองพี่ มันเผลอมองไปเอง..” ผมตอบเสียงเบาจนเหมือนว่ากําลังพูดกับตัวเอง
“...”
ผมเผลอถอนหายใจตอนที่พี่เขายอมเดินจากไปโดยดี แล้วพาตัวเองกลับเข้าสู่โหมดตามองตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง ตอนนี้ผมมีแรงที่จะยืนตรงต่อแล้วเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้ทำผมตื่นตัว หรือเพราะผมได้ขยับหัว ขยับปากด้วยละมั้ง หัวใจเองก็ค่อยๆกลับเข้าสู่จังหวะการเต้นที่ปกติ ผมว่าหน้าร้อนๆของผมก็ค่อยๆอุ่นขึ้น ผมว่าผมกำลังเม้มปากตัวเองแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกบางอย่าง ใบหน้าของพี่มันยังลอยอยู่ตรงหน้าผมอยู่เลย เชี่ย!! ผมเป็นอะไรไปเนี่ย
 
“วันนี้เป็นวันแรกที่เราได้เจอหน้ากัน หน้าของคนที่เรายังไม่อยากรับเป็นน้อง!!” เสียงของพี่ว๊ากยังคงดังอยู่
“อย่าคิดว่าแค่สอบติดเข้ามาก็จะได้เป็นน้องเรา!!”
“สำหรับพวกแหกกฎ..
รู้ไว้ด้วยว่าต้องได้รับโทษแน่นอน!!!” เสียงทุ้มเข้มนี้ เสียงของพี่ผู้ชายคนเมื่อกี้ พี่มันพูดเสียงดังแหวกอากาศมาเลย คงยืนอยู่ห่างจากผมไปทางขวาสุด ผมแอบกลอกตาไปมอง แต่ก็ยังไม่เห็นพี่มันในระยะเกือบร้อยแปดสิบองศาของสายตา แอบหันหัวนิดนึงคงไม่เป็นไร ผมเห็นพี่มันแล้ว และพี่มันก็มองผมอยู่พอดี!! สายตาพี่มันแม่งเย็นเยือกอย่างกับผีดูดเลือด แล้วไอ้ที่พี่มันว่าเมื่อกี้ นั่นมันหมายถึงผมใช่ไหม!! มึงตายแน่ไอ้ธามมมมม!!
.
.
.

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
010
ข้าว
   .
   .
   ..ห้องประชุมคณะนิเทศศาสตร์
   ..ข้าว
“สำหรับพวกแหกกฎ..รู้ไว้ด้วยว่าต้องได้รับโทษแน่นอน!!”เสียงพี่หลินเฮดว๊ากปีสี่ที่กำลังล้อเลียนคำพูดของผม
ภายในห้องประชุมนี้จะมีก็แค่พวกเราชาวพี่ว๊ากและคณะกรรมการห้องเชียร์ที่จะมีกันทั้งปีสอง ปีสาม และปีสี่ พวกเราจะสรุปปัญหาที่เกิดขึ้น และช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหานั้นร่วมกัน และเพราะมีแต่คนกันเอง การล้อเลียนของพี่หลินเลยสร้างความเฮฮาผ่อนคลายให้กับพวกเราทุกคน ขนาดผมเองที่โดนล้อก็ยังยิ้มเก้อๆ พร้อมกับดื่มน้ำแก้กระหาย นี่ขนาดวันแรก ยังทำเอาผมแสบคอขนาดนี้ กลัวจริงๆ ว่าวันต่อๆ ไปจะไอให้อายน้องมัน
“ไอ้ข้าว ห้องเชียร์เรามีทำโทษด้วยเหรอวะ นี่นิเทศนะเว้ย เราสายเฮฮาป่ะวะ”
”นั่นดิ พอกูได้ยินมึงพูดอย่างนั้น กูนี่ไปไม่เป็นเลย สตั้นท์ว่ะ เชี่ยแม่ง มีทำโทษด้วยเว้ย นึกว่ากูวาปไปว๊ากอยู่วิดวะซะแล้ว”
“โทษทีพี่ อารมณ์มันพาไป พอดีเจอเด็กกวนตีน” ผมนึกถึงหน้าไอ้เด็กปีหนึ่งนั่นทันที
“แต่หวานว่าน้องธามไม่ได้ดูกวนอะไรนะ ตอนที่น้องเห็นว่าเพื่อนจะล้ม น้องมันยังทำท่าเหมือนจะพุ่งตัวไปเลย แต่พวกเราไวกว่าไง ดีที่ข้าวมาชี้ให้พวกเราเห็นก่อน เลยไปรับไว้ทัน”
“...”
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ก็ยังคงคอนเซ็ปต์นะ ต้องสอนน้องมันหลายอย่างอยู่…”
เสียงการประชุมยังคงดังต่อเนื่องอยู่เป็นชั่วโมง ผมเองซึ่งรู้หน้าที่ของการเป็นพี่ว๊ากดีอยู่แล้วจึงแค่พยักหน้ารับรู้หัวข้อเพิ่มเติมของการว๊ากในวันพรุ่งนี้ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากเพราะนี่เป็นปีที่สองที่ผมได้รับเกียรติให้มาทำหน้าที่นี้ แต่มันกลับมีบางอย่างกำลังกวนใจผม
“..ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะมองพี่ มันเผลอมองไปเอง..” คำพูดของเด็กนั่น นักศึกษาชายร่างบาง เตี้ยกว่าผมน่าจะราวสิบเซนต์ ผิวขาวเหมือนไม่ค่อยได้โดนแดด ตาไม่โตไม่ตี่แต่ก็มีสองชั้นไว้ใช้งาน จมูกไม่ใหญ่มากพอดีกับปากเล็กๆที่น่าจะกินข้าวคำใหญ่ไม่ได้ โดยรวมหน้าตาไม่ได้ดีโดดเด่นอะไร แต่น่ามอง อาจเพราะแก้มป่องๆบนใบหน้ารูปวงรีที่น่าหยิกสักสองทีก็ได้
“ข้าวยิ้มไรอยู่คนเดียววะ”
“ออ เปล่านิพี่” นี่ผมกำลังยิ้มเพราะวิเคราะห์หน้าไอ้เด็กยียวนคนนั้น ทั้งที่มองมันไม่ถึงหนึ่งนาทีเนี่ยนะ
.
..ธาม
“มึงนี่มันสุดยอดเลยว่ะไอ้ธาม” ไอ้บรีสพูดกับผมหลังเลิกจากห้องเชียร์ มันพาผมมากินน้ำปั่นที่ร้านยอดนิยมของคณะครุศาสตร์ คณะเพื่อนบ้านของพวกเรา
“อะไรของมึงวะ”
“กูเห็นไง ว่ามึงได้คุยกับพี่ว๊ากคนนั้นด้วย”
“คุยเชี่ยไรวะ กูเกือบจะได้โดนว๊ากแบบเอ็กคลูซีฟแล้ว”
“กูก็ลุ้นว่ามึงจะโดนว๊ากว่าอะไร ตื่นเต้นแทนมึงฉิบ” แล้วไอ้บรีสมันก็หัวเราะ ไม่รู้จะขำอะไรหนักหนา ตอนนั้นผมกลัวจะตาย พอเบื่อไอ้การหัวเราะไม่จบไม่สิ้นของไอ้บรีส ผมเลยเปลี่ยนอารมณ์ด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาดูหลังจากที่ไม่ได้มีโอกาสหยิบมันขึ้นมาเลยตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงในห้องเชียร์ ..สิบสายไม่ได้รับจากปรินซ์ และข้อความไลน์จากปรินซ์ ผมเปิดดูไลน์ทันที
[อยู่ตรงไหน รับสายด้วย]
[อยู่ใต้ถุน อยู่ตรงไหน]
[ถ้าไม่โทรกลับจะโทรไปแจ้งความ]
[ถ้าไม่โทรมาจะฟ้องมาม๊า]
เวลาของข้อความสุดท้ายระบุว่าส่งมาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
“เชี่ย!!”
“ด่ากูไมวะ”
“กูไม่ได้ด่ามึง กูต้องกลับคณะแล้วว่ะ พี่ชายมารับ”
“เห้ยมึงมีพี่อยู่นี่ด้วยเหรอวะ พี่อยู่คณะไร” บรีสพูดพลางขยับลุกจากม้านั่งพร้อมๆ กันกับผม
“บัญชี-บริหาร”
“งี้พี่มึงก็คงสายนุ่มนิ่มสิว่ะ ผู้ชายเรียนบัญชี”
“บริหารไหมวะ”
“มันก็บัญชีนั่นแหละ หนุ่มบัญชีก็ต้องนุ่มนิ่มอยู่แล้ว”
“กูท้าให้มึงไปพูดต่อหน้าพี่มันเลย แล้วมึงจะรู้ว่าตีนมันอ่ะไม่นุ่มนิ่ม”
ผมกับบรีสเดินกึ่งวิ่งข้ามถนนสองเลนระหว่างคณะนิเทศกับครุ ตรงไปยังใต้ถุน จริงๆ ผมเห็นปรินซ์แต่ไกลแล้วแหละ มันกำลังยืนคุยกับสาวอยู่ใต้ต้นไม้นอกใต้ถุน พอมันเห็นผมมันก็เดินมาหาผม ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังยืนอยู่ที่เดิมและยังมองตามร่างมัน
“จะกลับยัง รอนานแล้วนะ”
“แล้วใครใช้ให้มารอวะ” ผมตอบปรินซ์แบบห้วนๆ ตามเคยทั้งที่ก็เห็นนะว่าหน้าปรินซ์แม่งงอเป็นปลาทูแม่กลองแล้ว ผมว่ามันตลกดี เพราะมันขัดกับหน้าหล่อๆ ของมัน
“สวัสดีครับพี่ ผมบรีสเพื่อนธามครับ” บรีสที่เห็นช่องว่างของบทสนทนาระหว่างผมกับปรินซ์รีบพูดขึ้น
“อืม เห็นอยู่กับธามหลายทีล่ะ ฝากดูแลธามเวลาอยู่คณะด้วยนะ”
“เชี่ยปรินซ์ นี่ปอตรีแล้วป่ะ ไม่ใช่เด็กน้อยในเนอสซารี ฝากกูเป็นแม่ลูกอ่อนไปได้”
“ก็คนมันห่วง” ปรินซ์หันมามองผมด้วยสายตาอ่อนโยน มึงเป็นไรเนี่ย ฮอร์โมนความเป็นแม่เข้าร่างรึไง กูเริ่มขนลุกแล้วเนี่ย
“บรีส กูว่ากูพาแม่อีกคนกลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันโรงอาหาร”
“เออๆ เจอกันมึง หวัดดีครับพี่” พอปรินซ์พยักหน้าตอบไอ้บรีสเสร็จผมรีบคว้าข้อมือไอ้คนตัวสูงกว่าแล้วจูงมันไปที่รถ (ของมัน) ทันที
.
.
“จะพาไปไหน ไม่ใช่ทางไปหอ”
“ก็กำลังจะพาไปหอไง แต่หอนอกของพี่นะ”
“ไปทำไม”
“ไปก่อนค่อยว่ากันนะครับ” เสียงอ่อนๆ ของปรินซ์.. เก็บไปไว้ใช้กับสาวๆ ไหมครับ
ผมยังไม่เคยไปห้องของปรินซ์เลยทั้งที่จริงๆแล้วผมเกือบจะได้อยู่ห้องของปรินซ์ด้วยซ้ำ ทั้งม๊า ป้าป้าและปรินซ์สนับสนุนกันเต็มที่เพราะว่าผมจะได้มีปรินซ์คอยดูแล ม๊ากับป้าป้าจะได้ไม่ต้องห่วง แต่พ่อของปรินซ์ไม่สนับสนุน พ่อของปรินซ์บอกว่าไม่สะดวกหรอก สู้หอในไม่ได้ เพราะหอในน่ะอยู่ในตัวมหาลัยเลย ปลอดภัยกว่า ไปเรียนก็ง่ายกว่า ตื่นสายได้อีกนิดด้วย ผมเองก็เห็นด้วยกับพ่อของปรินซ์นะ อีกอย่างผมอยากได้อิสระไง แถมบอสมันก็บอกว่าจะอยู่กับผมด้วย ผมเลยเลือกอยู่หอในในที่สุด
“นั่งที่โซฟาก่อน เดี๋ยวหาไรให้กิน หิวแล้วป่ะ”
“อือ หิว” ผมไม่ปฏิเสธ ก็มันหิวจริงๆ เมื่อกี้ก็ได้แค่น้ำหวานไปเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้มีแรงขึ้นมาหลังจากยืนเหงื่อแตกอยู่เกือบสองชั่วโมง
ปรินซ์หายไปหลังเคาเตอร์เล็กๆ ที่ระบุตัวตนว่ามุมนั้นคือห้องครัว ส่วนผมก็หยิบมือถือขึ้นมาไถดูเรื่อยเปื่อย เวลาผ่านไปสักห้านาทีกลิ่นหอมๆ ที่เดาไม่ยากว่ามันคือกลิ่นของอาหารก็ลอยมาเตะจมูกผม (ได้เวลาอาหารสักที) ผมพยายามไม่ยิ้มให้กับกลิ่นของมัน กลิ่นนี้น่าจะเป็นกะเพราหมูสับ ส่วนอีกกลิ่นก็น่าจะเป็นไข่เจียวกุ้ง ผมค่อยๆ สูดดมกลิ่นของพวกมันที่ลอยเข้ามาใกล้มากขึ้น และชัดเจนขึ้นทุกที
“หลับตาพริ้มเชียวนะ พอได้กลิ่นของกิน”
ผมลืมตาขึ้น ปรินซ์พูดถูก ผมไม่เถียง เพราะผมโตมากับการช่วยงานเล็กๆน้อยๆ ในครัว ผมเลยมีประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นเป็นพิเศษ อย่างกลิ่นไหม้นิดๆ ของกระเทียมเจียว หรือกลิ่นเค็มของเห็ดหอมที่ถูกเจียวน้ำมันใส่ซีอิ๊วนิดหน่อย ก่อนที่ส่วนผสมทั้งคู่จะลงไปอยู่ในเมนูข้ามต้มทรงเครื่องที่แสนกลมกล่อม ม๊าเคยบอกว่าผมเป็นคนกินง่าย และกินอร่อย แม่ครัวคนไหนมาปรุงอาหารให้ผมกินเป็นต้องปลื้มแน่นอน เพราะผมจะกินจนลืมไปเลยว่าจานใบนี้ต้องล้าง แต่เมนูนั้นต้องอร่อยนะปรินซ์วางจานสองจานลงบนโต๊ะหน้าโซฟาที่ผมนั่งอยู่ ผมรีบมองดูของที่อยู่ในจาน เพราะอยากรู้ว่าต่อมรับกลิ่นของตัวเองทำงานพลาดรึเปล่า และก็ไม่พลาด
“ทำเองเหรอ” ปรินซ์ไม่ตอบ แค่ยิ้มให้ผม แล้วก็เอามือหนามาขยี้หัวผม ก่อนผละไปหยิบจานข้าวมาสองจาน
“เวฟเอาสิ พี่ทำเป็นที่ไหนล่ะ”
“เออแหะ ไม่น่าถาม แค่อยู่หอสองปีไม่น่าจะทำให้คนเราทำอาหารเป็นได้”
“กัดได้ตลอดเลยนะ พูดดีๆ กับพี่บ้างไม่ได้รึไงครับ”
“ก็พูดกันอย่างนี้มาตลอดแล้วป่ะวะ จู่ๆ นึกยังไงจะให้พูดจาดีๆ ด้วย”
“...”
“ธามกินก่อนเลยนะ” ปรินซ์ลุกขึ้นจากที่นั่งอยู่ข้างผมแทบจะทันที แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน คงจะต้องการความเป็นส่วนตัวล่ะมั้ง รีบกินแล้วรีบกลับดีกว่า

ผมก็กินเสร็จเรียบร้อยแบ่งกับข้าวส่วนของปรินซ์ไว้เรียบร้อย และอาหารก็เย็นหมดเรียบร้อย แต่ปรินซ์ก็ยังไม่ออกมา ทั้งที่เวลาผ่านไปเลยครึ่งชั่วโมงแล้ว จะไปเรียกก็กลัวจะกวน จะกลับก่อนโดยไม่บอกก็กลัวเสียมารยาท ถึงจะสนิทกันมาก แต่ก็รอให้ปรินซ์ออกมาก่อนล่ะกัน อีกอย่าง ปรินซ์เป็นคนพามา ก็ต้องเป็นคนพากลับดิว่ะ ระหว่างรอก็หลับล่ะกัน ผมขยับตัวหามุมสบายแล้วเอนศีรษะพิงพนักโซฟา เหนื่อยก็เหนื่อย เพลียก็เพลีย อิ่มก็อิ่ม ง่วงก็ง่วง 
.
..ปรินซ์
ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันจะยากขนาดนี้ ..การจีบคนที่ตัวเองรัก ผมเคยคิดมาตลอดว่ามันไม่น่าจะยาก ยิ่งกับคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาตั้งแต่เด็ก ผมคงเข้าใจผิดไปมาก

“กัดได้ตลอดเลยนะ พูดดีๆ กับพี่บ้างไม่ได้รึไงครับ”
“ก็พูดกันอย่างนี้มาตลอดแล้วป่ะวะ จู่ๆ นึกยังไงจะให้พูดจาดีๆ ด้วย”

ธามพูดถูก ผมกำลังคาดหวังอะไรอยู่วะ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะให้ธามพูดหวานๆ กับผม ในเมื่อมันมีแค่ผมคนเดียวที่คิดไปเอง สถานะของเราก็คือพี่น้อง เพื่อน ที่โตมาด้วยกัน สนิทกัน ผมเป็นแค่นั้นสำหรับธาม และเป็นผมฝ่ายเดียวที่กำลังพยายามเพื่อให้ตัวเองได้เป็นมากกว่านั้นสำหรับธาม
ผมนั่งพิงหลังประตูตั้งแต่เดินหนีธามเข้ามาในห้องนอน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทนต่อคำพูดของธามได้มากแค่ไหน ใจนึงอยากจะพูดบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ ธามจะได้รู้ว่าผมชอบธามแบบคนรัก และรักธามมานาน แต่ถ้าผมพูดออกไป ก็ไม่มีอะไรจะการันตีได้เลยว่าผมจะไม่เสียธามไปโดยที่ธามยังไม่ได้ทันเห็นความพยายาม และความตั้งใจของผมเลยสักนิด การรักใครสักคน ผมว่ามันต้องลงทุน ต้องเสี่ยง และสุดท้ายคือต้องลุ้น ลุ้นให้เขาเห็นความดีในตัวเรามากพอที่เขาจะรัก ตอนนี้ผมจึงควรต้องรอ รอที่วันนั้นจะมาถึง วันที่ธามจะเห็นผมในแบบที่ผมเห็นธามอย่างที่ผมเป็นมาตลอดหลายปี
เสียงช้อนส้อมของธามเงียบลงไปแล้ว ตอนนี้ธามคงหลับเหมือนทุกครั้งที่กินจนอิ่ม ไหนจะเพลียจากการเข้าห้องเชียร์อีก ธามไม่มีวันรู้เลยว่าวันนี้ผมไปยืนมองธามตั้งแต่เวลาของห้องเชียร์เริ่มขึ้น ธามยืนโอนเอนหลายทีจนผมเกือบเผลอจะเข้าไปคว้าเจ้าคนตัวบางนั้นออกมาจากแถว ทั้งที่ผมก็รู้ว่าธามไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เขาต้องผ่านมันไปได้อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากเห็นคนที่ผมรักยืนทรมานอยู่แบบนั้น และสิ่งที่ผมเห็นจากการไปยืนเฝ้าอยู่ห่างๆ ก็คือ ธามมองหนึ่งในพี่ว๊ากที่ยืนอยู่ด้านล่างของจุดที่ผมกำลังยืนอยู่ หนำซ้ำพี่ว๊ากคนนั้นยังเดินเข้าไปหาเรื่องธามอีก ตอนแรกผมกลัวว่าธามจะโดนว๊าก กลัวธามจะทนต่อคำพูดที่ทำร้ายจิตใจไม่ได้ แต่พอธามเงยหน้าขึ้นสบตาไอ้พี่ว๊ากนั่น แค่วินาทีเดียวผมก็ว่ามันนานเกินไปแล้ว ในความรู้สึกของผมมันเหมือนกับการได้เห็นคนรักของตัวเองกำลังนอกใจไปกับไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ พายุอารมณ์ของผมกำลังก่อตัวขึ้น ยิ่งมันเอาหน้าลงไปใกล้หน้าของธาม มือของผมยิ่งกำหมัดแน่น ดีที่ผมเห็นธามก้มหน้าหลบมันในที่สุด ธามเหมือนพูดพึมพำอะไรสักอย่างกับไอ้พี่ว๊ากนั่น หลังจากนั้นมันก็เดินออกจากแถว โดยไม่ได้ว่าอะไรธาม ผมเลยพยายามสงบสติอารมณ์ให้เป็นปกติมากที่สุด ถึงร่างแยกของผมพุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อไอ้พี่ว๊ากนั่นตั้งแต่ที่มันเดินเข้าไปใกล้ธามเรียบร้อยแล้ว
ธามกำลังหลับอยู่จริงๆ และหลับสนิท เพราะมีเสียงกรนเบาๆออกจากคนที่ตัวเล็กกว่าผมนิดเดียว หน้าธามตอนหลับน่ามองที่สุดผมรู้ดี ผมชอบแอบมองธามเวลาหลับ ชอบแอบเอามือไปลูบหัวของธามเบาๆ ผมเส้นไม่หนาของธามนั้นนุ่มชวนสัมผัส
“อยากผมนุ่มก็ใช้ครีมนวดด้วยดิ”
ธามเคยบอกผมเมื่อนานมาแล้วตอนที่ผมเริ่มสังเกตทุกสิ่งที่เป็นธาม
“แมนๆใครเขาใช้ครีมนวด”
“แมนๆ เนี่ยผมนุ่มไม่ได้รึไงวะ”
ตอนนี้ผมก็กำลังลูบผมของคนที่ผมแอบรักอยู่อีกครั้ง มันจะมีวันนั้นไหม วันที่ผมไม่ต้องแอบสัมผัสธามแค่ตอนนอน ตอนที่ธามไม่รู้ตัว
.
..ธาม

น้ำท่วมเหรอวะ ทำไมขาถึงรู้สึกเปียกๆ เชี่ยแล้ว!! น้ำท่วมจริงๆด้วย ต้องรีบไปบอกม๊ากับป้าป้า แล้วนี่จะทำไงดี ถ้าน้ำสูงกว่านี้ธามน้อยก็เปียกดิวะ ยังไม่ได้เตรียมถุง เตรียมรองเท้า เตรียมเรือเลย ถ้าเชื้อโรคเข้าธามน้อย ธามใหญ่จะทำไง!! แล้วปรินซ์รู้เรื่องยังเนี่ย!! น้ำจะท่วมโลกแล้ว ต้องรีบไปบอกปรินซ์ บอกพ่อแม่ปรินซ์จะได้หนีขึ้นเหนือไปด้วยกัน แต่ว่าจะไปยังไงดีวะ ขึ้นรถ ลงเรือ หรือขึ้นเครื่อง! ทางไหนก็ได้! เพราะกูว่ายน้ำไม่เป็นนนนนนนน ช่วยด้วย!!!

ผมสะดุ้งตัวแรงมาก หายใจหอบเหนื่อย แต่พอมองไปรอบๆก็สบายใจ แม้ไฟจะสลัวไปนิด แต่ผมก็ยังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องของปรินซ์ และมีปรินซ์กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม หน้าและตัวของปรินซ์เปียกอย่างกับโดนใครสาดน้ำสงกรานต์ใส่ หยดน้ำบนเส้นผมดำขลับของปรินซ์กำลังไหลแล่นไปทั่วหน้า
“ตื่นแล้วเหรอ ฝันร้ายใช่ไหม” ปรินซ์พูดทั้งที่ยังก้มหน้าผมเลยยิ่งมองปรินซ์ไม่ค่อยถนัดเพราะผมของปรินซ์ก็เปียกปิดหน้าปิดตาปรินซ์อยู่
“...” ผมก้มลงไปมองที่เท้าของตัวเอง เพราะรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังแช่อยู่ในน้ำ มันแช่อยู่ในน้ำจริงๆ น้ำอุ่นๆในกะละมังใบไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กไปกว่าเท้าทั้งสองข้างของผม และมีมือของปรินซ์ที่กำลังจับอยู่ที่น่องขาของผม
“เห้ย! ทำไรอ่ะปรินซ์”
“กำลังนวดเท้าให้ไง เห็นยืนมาตั้งสองชั่วโมง”
“เห้ย ไม่ต้อง ปล่อยเลยปรินซ์!!”
“อยู่เฉยๆ เถอะ ใกล้เสร็จแล้ว”
“...” จู่ๆผมก็รู้สึกว่าระหว่างเรามันมีความเงียบชวนอึดอัดขึ้นมา ระหว่างปรินซ์กับผมมันไม่เคยมีช่วงเวลาแบบนี้ เราเคยต่างคนต่างนอนอ่านการ์ตูนในห้องเดียวกันมาก็ตลอด แต่ความรู้สึกนี้มัน.. ผมอดเม้มปากไมได้ ใจก็อดเต้นแรงไม่ได้
“แล้วทำไมตัวเปียกวะ อาบน้ำแล้วลืมเช็ดตัว?”
“ไม่ได้อาบน้ำ แต่มันมีใครบางคนฝันร้ายแล้วก็ยกเท้าสะบัดน้ำขึ้นมา..”
“ห่ะ???” ผมจินตนาการตามแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นั่นมันน้ำที่แช่เท้าผมนี่หว่า โถ ปรินซ์ผู้น่าสงสาร ผมเอื้อมมือทั้งสองข้างไปจับหน้าของคนตรงหน้า แล้วลูบผมของปรินซ์ให้เปิดขึ้น ผมมองตาปรินซ์ทั้งที่ยังขำอยู่ ตอนนี้ระดับสายตาของเราสูงเท่ากันแล้ว ไม่สิ ตอนนี้ปรินซ์เตี้ยกว่าผมแล้วเพราะผมนั่งสูงกว่า ปรินซ์มองตาผมนิ่ง สายตาแข็งกร้าวเหมือนคนกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ ตัดพ้อ แต่ก็ดูอ่อนโยนอยู่ในที บวกกับหน้าเปียกๆ ผมเปียกๆของปรินซ์ในเวลานี้อีก เรียกว่าเซ็กซี่จะถูกไหม ผมเผลอมองขนตาดำยาวของปรินซ์ ขนตาของผมยาวไม่เท่าของปรินซ์ หน้าของผมเลยดูจะจืดๆเมื่อเทียบกับปรินซ์ที่มีดวงตาเข้มๆ ทั้งขนคิ้วของปรินซ์ก็หนาดำขลับเรียงเส้นสม่ำเสมอ จมูกของปรินซ์ก็โด่งดี ปากก็ไม่เล็กไม่ใหญ่พอเหมาะกับใบหน้าที่เรียวยาว แม้แต่กรามของปรินซ์เอง ผมก็ว่ามันดูลงตัวกับปรินซ์ไปซะหมด ผมไม่เคยมองหน้าปรินซ์นานขนาดนี้มาก่อน ผมว่าผมคงตกอยู่ในภวังค์ของอะไรสักอย่าง ปรินซ์เองก็ยังคงสบตาผมอยู่อย่างนั้น เหมือนปล่อยให้ผมได้มีเวลาพินิจหน้าของตัวเองเท่าที่ผมจะพอใจ ผมว่าการมองปรินซ์นี่ก็เพลินดี จนไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองได้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ปรินซ์มากแค่ไหนแล้ว
“ถ้าธามไม่ถอย พี่จะจูบธามนะ”
“!!!!!”
.
.
.


ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
011
ความใกล้
.
.
“กลับมาแล้วเหรอคร๊าบคุณธาม นึกว่าจะไม่กลับมานอนซะแล้ว นี่ก็กำลังคิดถึ๊งคิดถึง” บอสทักทายแบบหมาๆตั้งแต่ผมยังไม่ทันถอดรองเท้าเสร็จ
“...”
“เป็นไงมั่งวะห้องเชียร์ ได้ข่าวว่าหนัก”
“...”
“เลิกกันกี่โมงวะถึงกลับมามืดขนาดนี้ อีกยี่สิบนาทีมึงก็เข้าหอไม่ได้แล้วเนี่ย”
“...”
“แล้วนี่มีใครมาส่งมึงป่ะเนี่ย อย่าบอกนะว่าเดินกลับมาเอง เนี่ยแหละหนาให้พี่ปรินซ์ไปส่ง ถ้าเขาไม่ไปรับกลับก็ลำบากอีก จักรยานมึงก็จอดง่าวอยู่นี่”
“...”
“อ้าวเชี่ยธามคร๊าบบ ฮัลโหล ทำไมไม่ตอบวะคร๊าบบบ”
“...” ผมไม่นึกอยากตอบคำถามของบอสมันเลยสักนิด จะว่าไปผมก็เกือบเป็นใบ้ตั้งแต่ที่ปรินซ์พูดอย่างนั้นกับผม

“ถ้าธามไม่ถอย พี่จะจูบธามนะ”

ตอนนั้นผมถอนมือออกจากหน้าของปรินซ์แทบจะในทันที แล้วรีบลุกขึ้นยืนโดยลืมไปเลยว่าเท้าของผมยังอยู่ในการจับกุมของปรินซ์ในกะละมังที่มีน้ำอุ่น และเพราะอย่างนั้นผมเลยเสียหลักถลาหน้าคะมำไปข้างหน้าอย่างที่ไม่มีแรงฉุดไหนจะรั้งผมไม่ให้ล้มทับปรินซ์ได้ ผมหลับตาปี๋ ไม่อยากที่จะรับรู้ว่าตัวเองจะล้มในท่าที่น่าตลกมากแค่ไหน แล้วก็กลัวด้วยว่ามันจะต้องเจ็บแน่ๆ หน้าของผมน่าจะฟาดเข้ากับพื้นกระเบื้องแข็งๆ แน่ ผมน่าจะได้แผลแตก อาจจะต้องถึงขั้นไปเย็บ ต้องมีแผลเป็นแน่

ไม่เจ็บแหะ แต่ผมก็ไม่กล้าลืมตาอยู่ดี กลัวว่าตัวเองจะอยู่ในท่าที่โคตรน่าอาย
“เจ็บตรงไหนไหม” เสียงของปรินซ์ดังอยู่ใกล้หูของผมมาก ลมหายใจอุ่นๆ ของปรินซ์รดอยู่ตรงคอของผม
“ไอ้เอ็บ”
“ถ้างั้นก็ลุกขึ้น”
“ไอ้เอา”
“แต่พี่เจ็บนะ” ผมลืมตาทันที หน้าของผมกำลังซุกอยู่ใต้คอของปรินซ์ ด้วยความตกใจเลยยกหน้าของตัวเองขึ้นเสยเข้ากับปลายค้างของปรินซ์ปรินซ์กำลังมองผมอยู่ เชี่ยเอ๊ย!!! ใกล้กว่าเมื่อกี้อีก แถมตอนนี้ร่างของผมทั้งร่างยังทับอยู่บนตัวปรินซ์
“ไม่เจ็บก็ลุก” ผมรีบยันตัวเองขึ้นเพื่อไม่ให้ทับคนตัวใหญ่ที่บ่นว่าเจ็บ ตอนนี้ผมเลยกำลังคร่อมตัวปรินซ์อยู่ เราทั้งคู่เปียกเพราะโดนน้ำในกาละมังสาด แต่ปรินซ์ดูจะเปียกมากกว่าผม ผมอดไม่ได้ที่จะมองเสื้อยืดเปียกที่แนบเข้ากับกล้ามท้องแบนราบของปรินซ์ หุ่นของปรินซ์ดีสมกับเป็นนักบอล
“จะมองอีกนานไหมครับ” ผมไล่สายตาขึ้นสบตาปรินซ์ มันกำลังส่งสายตาพลังทำลายล้างสูงใส่ผม สายตาแบบนี้มันต้องให้คำจำกัดความยังไงวะ สายตาแบบที่ใครเผลอมองจะต้องละลายเป็นไอติมหน้าร้อน แม่งงงง เซ็กซี่ได้อีก นี่ขนาดกูเป็นผู้ชายเหมือนกันยังรู้สึกได้!
ขณะที่ผมกำลังคุยกับตัวเองอยู่ ปรินซ์ก็ดันร่างตัวเองขึ้นนั่ง นั่นทำให้ผมที่กำลังเหม่อไม่ทันตั้งตัวจึงหลบร่างใหญ่แทบไม่ทัน ร่างของเราใกล้กันอีกครั้ง หัวใจของผม!! หัวใจของผม!!! หัวใจของของผมหยุดเต้นไปแล้ววววว
“ธามไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพี่หยิบเสื้อผ้าให้เปลี่ยน” ปรินซ์กระซิบที่ข้างหูผม เชี่ย! ผมที่ได้สติเกือบจะทันทีรีบลุกแล้วเดินไปห้องน้ำอย่างเร็วเกือบจะเท่าความไวแสง หัวใจของผมกลับมาเต้น เต้นเร็ว และแรงมาก หน้ากำลังร้อนผ่าว ไม่ใช่แค่หน้า แต่ผมร้อนไปทั้งตัวทั้งที่ตัวผมเองก็เปียกน้ำ
ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากห้องน้ำอย่างไว ปรินซ์กำลังถูพื้นอยู่เพราะน้ำแช่เท้าของผมนองไปทั่วพื้น
“รอแป๊ปนึงนะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ปรินซ์พูดโดยที่ไม่มองหน้าผม หลังจากนั้นก็ด้วย ทั้งตอนปรินซ์ออกมาจากห้องน้ำ ตอนอยู่ในรถเพื่อมาส่งผม และจนผมลงจากรถ ไม่ใช่ปรินซ์ที่ไม่มองผม แต่เป็นผมมากกว่าที่ไม่มองปรินซ์เลยไม่รู้ว่าปรินซ์มันมองผมบ้างรึเปล่า ไม่รู้มันทำหน้ายังไง แต่ในส่วนของผมนั้น แม่ง ทำหน้าไม่ถูกกกก!

..ปัจจุบัน
“หน้ามึงแดงๆนะไอ้ธาม เป็นไข้เหรอวะ” เกือบลืมไปเลยว่าไอ้บอสมันเล่นเกมยี่สิบคำถามกับผมอยู่ และผมยังไม่ได้ตอบมันเลยสักคำถาม
“กูเปล่า กูจะนอนล่ะ” ผมคลุมโปงทันที
“มึงไม่อาบน้ำก่อนเหรอวะ”
“กูอาบมาแล้ว”
“แน่ะ ไปลงอ่างไหนมาล่ะมึงงงง”
สัดดดดด ผมไม่ได้ตอบไอ้บอส แต่ชิงหนีมันด้วยผืนผ้าห่มที่คลุมโปงปิดหน้า
.
.
..บอส
ผมชื่อนายธวัชชัย หรือบอส เพื่อนสนิทของนายธัญญ์ หรือธาม จากการสังเกตการณ์แบบไม่ห่างมากของผม ผมรู้สึกว่าคู่นี้มันชักจะยังไงๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นเขาอยู่ด้วยกันนะ แต่เพราะเห็นมาตลอดไง เลยรู้สึกได้ว่าพี่ปรินซ์มาแปลก สองปีที่พี่มันต้องห่างจากไอ้ธามไป ซึ่งผมเองก็เจอพี่มันน้อยลงไปด้วย แต่ไม่ใช่ว่าจะจำไม่ได้ว่าพี่ปรินซ์สนิทกับธามแบบไหน หรือเพราะผมไม่เคยสังเกตให้ดีก็ไม่รู้ คืนนั้นที่ร้านซำบายเป๋า ผมที่สนิทกับไอ้ธามมาตลอดรู้อยู่แล้วว่ามันต้องหลับแน่ๆ ก็เล่นกินเข้าไปซะขนาดนั้น ผมเลยเตรียมตัวพร้อมเพราะต้องแบกกระสอบข้าวขึ้นหลังไปเรียกรถกลับหอแน่นอน แต่พอพี่ปรินซ์จ่ายเงินเสร็จเท่านั้นแหละ พี่มันเอาธามขึ้นหลังพี่มันตั้งแต่อยู่ในร้านเลย เล่นเอาสาวน้อยสาวใหญ่ในร้านกรี๊ดลั่น อิจฉาไอ้เพื่อนธามของผมกันใหญ่ นึกว่ายืนดูซีรี่ส์เกาหลี พระเอกแบกนางเอกที่เมาโซจู แต่นี่พระเอกแบกนายเอกที่กินอิ่ม.. แถมพี่มันยังทำเท่โยนกุญแจหอของตัวเองให้ผมอีก สั่งผมว่าให้ไปนอนที่ห้องพี่มันแทน ผมนี่อยากจะกรี๊ดเป็นภาษาโปรตุเกส เพื่อนธามของกูกับไอดอลของผมมมมม!! ไม่อยากจะคิดว่าคืนนี้แม่งจะเกิดอะไรขึ้น ห่วงเพื่อนก็ห่วง หวงไอดอลก็หวง แต่ไอดอลดันสั่งให้ไป กูจะอยู่เป็นก้างได้ยังไงล่ะครับ นั่นคือส่วนของพี่ปรินซ์มัน เรื่องเมื่อหลายคืนก่อน แล้วส่วนของเพื่อนผมล่ะ คืนนี้อาการมันดูแปลกๆ ดูเหม่อๆ ถามไรก็ไม่ตอบ คนใสซื่ออย่างไอ้ธาม หญิงไม่เคยจีบ หนุ่มไม่เคยยุ่ง ถึงจะเคยดูหนังอย่างว่า แต่มันก็ไม่ได้เป็นพวกหื่นอย่างที่แมนๆ ควรเป็น เพราะมันมีความระลึกตัวอยู่เสมอ รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ อะไรควรเสพไม่ควรเสพ ทำยังไงให้ไม่เกิดสาเหตุแห่งทุกข์.. สาธุ แต่พอเห็นมันมีอาการเหมือนโดนใครขโมยจูบแรกไปเนี่ย บอกตรงๆ เลือดรักเพื่อนมันขึ้นหน้า ผมคงต้องคอยดูแลปกป้องไอ้ธามเพื่อนผมอย่างเต็มที่ ใครจะเข้ามาหาเพื่อนผม ต่อให้เป็นพี่ปรินซ์ไอดอลของผม ตำนานของโรงเรียน ก็ต้องผ่านด่านผมก่อน
.
..ธาม
“ไอ้ธาม ไอ้ธาม.. มึงตื่นได้แล้ว” ไอ้บอสส่งเสียงงัวเงียปลุกผม สงสัยเมื่อคืนลืมตั้งนาฬิกาปลุก
“ห่ะ ออ อือ อีกแป็บได้ป่ะวะ” 
“ไม่ได้ว่ะมึง มึงควรต้องตื่นแล้วว่ะ”
“เชี่ยบอส มึงก็ยังไม่ตื่นเหมือนกันนั่นแหละ จะเสือกมารีบปลุกกูทำไมวะ”
“ไอ้เชี่ยธาม งั้นมึงก็แหกตาดูบุคคลที่ยืนอยู่ข้างเตียงมึงหน่อย”
“...” ผมฝืนเปิดเปลือกตาขึ้นมองตามที่ไอ้บอสมันบอก ..ออ ปรินซ์ ผมรับรู้แบบเบลอๆ ก่อนจะได้สติ
“เชี่ย!! ตกใจหมด นึกว่าเจ้าที่”
“ถ้าเป็นเจ้าที่จริงๆ ธามจะทำยังไง”
“ก็ยกมือไหว้ แล้วบอกว่าขอนอนต่ออีกห้านาที” ผมพูดกับปรินซ์แต่ก็เนียนหลับต่อ บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ผมยังไม่พร้อมเจอหน้ามัน
“โอเคห้านาที งั้นพี่รอ” ปรินซ์นั่งลงบนเตียงของผม ..ทำไมดื้อขนาดนี้วะ!
“พี่ปรินซ์ ผมว่าพี่ไปก่อนเถอะ วันนี้ผมกับไอ้ธามมีเรียนบ่ายอ่ะพี่ พวกผมไม่รีบ” ไอ้บอสออกตัวแทนผม ..ขอบใจมึงมากเพื่อนเลิฟ
“แน่ใจ?”
“ใช่ครับพี่”
“งั้นก็แต่งตัวลงไปหาไรกิน”
“โธ่พี่ ให้ไอ้ธามมันนอนต่อเถอะ เมื่อคืนกว่ามันจะนอนหลับ ผมต้องเล่านิทานกล่อมมันตั้งหลายเรื่อง”
“ทำไมถึงนอนไม่หลับครับ” แค่คำถามของปรินซ์บวกกับหางเสียง ‘ครับ’ ก็ทำใจผมเต้นรัวแล้ว แต่ที่หนักกว่านั้น ก็คือลมหายใจของมันที่รดอยู่ใกล้หน้าผม เชี่ย!
“เรื่องของกู”
“นะพี่ ปล่อยมันนอนต่ออีกนิดเหอะพี่ เดี๋ยวตอนบ่ายมันเรียนไม่รู้เรื่อง”
“อืม ก็ได้”

“พี่มันไปแล้วมึง ไม่ต้องมาทำเป็นหลับ”
“ดีนะที่มึงพูดจนปรินซ์มันยอมไป” เพราะกูยังไม่พร้อมเจอหน้า..
“แต่กูว่าพี่เขาดูโกรธๆ ว่ะ”
“ช่างมันเหอะ มึงอย่าสนใจเลย” ผมตอบไอ้บอสไปอย่างนั้น แต่ทำไมผมกลับรู้สึกตงิดๆ กับตัวเอง หรือเพราะผมสนใจวะ..

วันนี้ผมมีเรียนบ่ายจริงๆ นั่นแหละ เป็นวิชารวมอีกตัวที่ว่าด้วยเรื่องการชื่นชมงานศิลป์ ตึกที่เรียนก็เป็นตึกคณะครุ ผมเลยปั่นจักรยานไปนั่งรอเวลาเรียนที่คณะตัวเอง บรีสบอกว่าเจอกันที่โรงอาหารคณะ จะว่าไปการที่ผมมีบรีสเป็นเพื่อนถือว่าเป็นการใช้แต้มบุญของผมก็ได้ ผมเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยเข้าหาใคร ต่างจากบรีส บรีสมันสามารถเข้าได้กับทั้งเพื่อนและพี่ มันสามารถรู้ความเป็นไปในคณะได้ลึกซึ้งทุกซอกทุกมุมทั้งที่มันก็เพิ่งเข้ามาเหยียบคณะนี้ด้วยเวลาพอๆ กันกับผมเท่านั้น
“พี่ว๊ากคนนั้นอ่ะ ชื่อพี่ข้าว”
“...”
“ก็พี่ว๊ากคนที่จะมาว๊ากมึงแบบเอ็กคลูซีฟไง มึงจำไม่ได้รึไงวะ”
“ออ เออ กูลืมไปเลย” เมื่อคืนดันมี กาละมัง - น้ำ - ปรินซ์ เข้ามากวนความทรงจำ
“พี่เขาอยู่ปีสาม เอกแมสคอม (Mass Communication) ส่วนสูง 180 หนัก 65 โล เป็นพี่ว๊ากตั้งแต่ปีสอง ไม่มีแหล่งข้อมูลใดระบุว่าโสดหรือสมรสแล้ว”
“โอ้โหมึง รู้ได้ไงวะ”
“กูถามพี่รหัสกู”
“เห้ย มึงรู้แล้ว?”
“ง่ายจะตาย”
“ก็สมุดขอลายเซ็นปีสองอ่ะ มึงก็แค่แอบสืบจากพวกพี่มันตอนที่มึงขอให้เขาเซ็นให้ไง”
“แต่เขาไม่ให้บอกป่ะว่ะ”
“จริงๆ ก็ใช่ แต่ตอนกูไปขอลายเซ็นพี่รหัสตัวเอง ซึ่งกูก็ไม่รู้ไงว่าเป็นพี่กู แล้วพี่มันดันพูดกับพี่แอ้วที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า เนี่ยใครได้เป็นพี่น้องบรีสต้องดีใจแน่ๆ เลย น้องบรีสเฟรนด์ลี น้องบรีสหน้าตาน่าเอ็นดู น้องบรีสโน่นนี่นั่น ก็เลยถามไง พี่ดีใจดิที่มีผมเป็นน้อง เท่านั้นแหละ ความแตก ไอ้พี่แอ้วยังฮาขี้แตกขี้แตน”
“สรุปใครพี่มึง”
“พี่ฝน”
“ออออ พี่ที่ตัวเล็กๆ ใส่แว่น”
“เออนั่นแหละ กูเลยเอาความเป็นน้องเข้าแลกกับข้อมูลพี่ข้าวให้มึงได้ไง มึงต้องรู้ข้อมูลพี่เขาก่อน รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
“มึงก็เวอร์ พี่เขาไม่ทำอะไรกูหรอก”
“แต่เรื่องที่มึงจะต้องจำไว้เลยคือ ต่อให้พี่มันไม่ทำอะไรมึง แต่แฟนคลับพี่มันอ่ะไม่แน่”
“แฟนคลับพี่มัน แฟนคลับพี่ข้าว คือไงวะ”
“ก็พี่เขาเป็นที่รักของคนในคณะ”
“เชี่ย มึงก็มโนไปถึงไหนล่ะ ต่างคนต่างอยู่ไหมมึง กูเองก็คงไม่กล้าเข้าใกล้พี่เขาอยู่แล้ว น่ากลัวฉิบหาย”
“กูกลัวแค่พี่มันจะมาเข้าใกล้มึงมากกว่า”
“...”
.
วันแรกของทุกวิชาในมหาลัยมันเป็นอย่างนี้เหรอวะ มันไม่มีความชิลในคาบเรียนเลย แม้แต่วิชาการชื่นชมงานศิลป์ ชื่อก็ดูออกจะเบาๆ แต่เนื้อไม่เบาเลย สไลด์มาเต็ม ชีทมาหนา เนื้อหาก็แน่น ผมที่นั่งแถวหลังสุดในห้องที่ปิดไฟสลัวจึงหลับแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย แต่ผมสัญญากับตัวเองไว้นะ ว่าคราวหน้าและครั้งต่อๆ ไปผมจะตั้งใจเรียน ไม่งั้นวิชาที่ดูเบาๆ คงได้เจิมเอฟให้ผมแน่ๆ
“มึงไม่ต้องหาวเป็นเพื่อนกูก็ได้” ผมที่เพิ่งหาวเสร็จหมาดๆ ทักไอ้บรีสที่นั่งข้างกัน หลังจากที่อาจารย์เปิดไฟของห้องขนาดความจุหนึ่งร้อยคนให้กลับมาสว่าง
“กูกลัวมึงเหงาไง เลยหาวเป็นเพื่อน”
“เออๆ”
“บรีส ธาม จะเข้าห้องเชียร์ไหมอ่ะ” เสียงของมะนาวที่ยืนรวมกลุ่มกับแก๊งค์เพื่อนสาวหน้าขาวไฮโซเอ่ยทักพวกผมขณะที่พวกผมกำลังจะเดินออกจากห้องเรียน
“เข้าดิ” ผมพยักหน้าให้กับคำตอบของบรีส
“เหรอ พวกเราว่าจะไม่เข้า”
“เห้ย ทำไมอ่ะ”
“ก็เมื่อยอ่ะแก รู้ป่ะว่าเมื่อวานปวดน่องมาก ปวดข้ามวันแล้วเนี่ย”
“แกไม่ปวดกันรึไง”
“ก็ปวดนะ” บรีสตอบไปอย่างนั้น แต่ทำไมผมไม่ค่อยปวดล่ะ คงเพราะผมอึดล่ะมั้ง ..หรือเพราะ กาละมัง - น้ำ - ปรินซ์ พอคิดถึงตรงนี้ หน้าปรินซ์ก็ลอยเข้ามาในหัว “ถ้าธามไม่ถอย พี่จะจูบธามนะ” ผมรีบสะบัดไล่ความคิดบ้าๆ ของผมให้ไปหลบอยู่อีกซีกของสมอง
“น่องก็จะใหญ่อ่ะแก วันนี้พวกเราเลยว่าจะโดด”
“แต่ว่าถ้าพวกแกไม่เข้า พวกเราที่เหลือจะยิ่งแย่นะ” คำพูดของบรีสทำสาวๆ ชะงักไปนิดนึง
“...”
“แล้วพวกพี่เขาก็จะเสียใจไหมอ่ะ” ผมพูดบ้าง หวังว่าพวกมะนาวจะคล้อยตามคำพูดของเราสองคน แต่พวกผมก็ไม่ได้อยู่คุยต่อกับพวกเธอ เพราะใกล้เวลาเข้าห้องเชียร์แล้ว พวกเราควรรีบหาอะไรรองท้องไว้ เพราะเมื่อวานแทบจะตายคาห้องเชียร์ หิวทั้งน้ำ หิวทั้งข้าว ไหนจะต้องฉี่ให้สุดเผื่อไว้ก่อน ก็ไม่ใช่ว่าพวกพี่เขาจะไม่ให้ออกไปห้องน้ำนะ แต่ผมว่า แมนๆ อย่างเรามันต้องไม่มีข้อแม้ในการหลบเลี่ยงสิ่งที่เรากำลังทำ แม้แต่การหาข้ออ้างไปพักเมื่อยสักห้านาทีในห้องน้ำก็เหอะ แต่แม่งต้องไม่ใช่กับการปวดท้องอุจจาระ!!

ผมปวดท้อง!! ปวดท้องมากๆ คงเพราะน้ำหวานโซดาเมื่อกี้ที่กินคู่กันกับขนมจีนน้ำยากะทิ มันเอาผมแล้ววว!! แถมเป็นตอนที่พี่ว๊ากมากันแล้วด้วยยย!! เอาวะ จะอึแตกตรงนี้แม่งก็โคตรน่าอาย ผมรีบยกมือขึ้น เพราะความปวดเสียวสะท้านไปทั่วร่าง อันเป็นสัญญาณอันตรายใกล้จะกลายเป็นความหายนะ!!
“คุณมีปัญหาอะไรครับ!!” แล้วทำไมจะต้องเป็นพี่ข้าว! จะว่าไปตั้งแต่เริ่มห้องเชียร์ ผมก็เห็นจากหางตาแล้วว่าพี่มันมายืนว๊ากอยู่ปลายแถวด้านขวาของผม สงสัยพี่มันจะพยายามจับผิดผม แต่ผมก็ตามองตรงไปข้างหน้าตลอด แต่ตอนนี้ผมต้องการแต้มบุญครับหลวงตา ช่วยผมด้วยย!
พี่ข้าวเข้ามายืนเบียดแถวอยู่ตรงหน้าผมอีกแล้วครับ ผมยังคงตามองตรงไปข้างหน้าอย่างถูกกฎ  เลยมองเห็นแค่ปกคอเสื้อนักศึกษาของพี่มัน
“ผมขออนุญาตเข้าห้องน้ำครับ” ผมพูดแบบดีๆ หวังว่าพี่มันจะปรานีเห็นแก่เหงื่อที่แตกชุ่มของผม
“ทำไมคุณไม่มองหน้าผม!!”
เชี่ยย!! ก็เดี๋ยวพี่มึงก็หาว่ากูกวนตีนอี๊กกก
“...”
“ถ้าคุณจะพูดกับผม ก็ต้องมองหน้าผมสิครับ แสดงความจริงใจหน่อย!!!” ผมเม้มปากแน่น ไม่ใช่เพราะโมโห เคือง หรืออะไรพี่มันเลยครับ แต่ลำไส้ของผมมันใกล้ถึงจุดปะทุแล้ว!! ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าพี่ข้าว ผมมองปลายจมูกมันครับ เดี๋ยวหาว่าผมกวนตีนอีก
“มองตาผม แล้วพูดเสียงดังฟังชัดให้เพื่อนได้ยิน ใครจะรู้ว่าคุณไม่ได้หาเรื่องอู้ หาทางเอาเปรียบเพื่อนด้วยการหนีไปห้องน้ำ!!!”
เชี่ยยย!!! พี่มึงได้โปรดดดด ผมเลยต้องสบตาพี่มันเพื่อแสดงความจริงใจ และพูดเสียงดังฟังชัด
“ผมปวดท้องจริงๆ ครับ พี่ข้าวจะตามไปเฝ้าผมที่ห้องน้ำก็ได้ครับ!” เชี่ยธามมมม มึงพูดอะไรออกไป มึงจะได้ไปไหมห้องน้ำ!!!
.
.


ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
012
ปรินซ์..ข้าว
.
.
“มองตาผม แล้วพูดเสียงดังฟังชัดให้เพื่อนได้ยิน ใครจะรู้ว่าคุณไม่ได้หาเรื่องอู้ หาทางเอาเปรียบเพื่อนด้วยการหนีไปห้องน้ำ!!!”
“ผมปวดท้องจริงๆ ครับ พี่ข้าวจะตามไปเฝ้าผมที่ห้องน้ำก็ได้ครับ!” นาทีนี้ผมยอมแล้วทุกอย่าง ขอแค่ให้ผมได้ก้าวเท้าออกจากแถวแล้วไปห้องน้ำเท่านั้น พี่ข้าวยังคงมองผม จ้องตาผมซึ่งผมคิดว่าตัวเองได้สื่อสารความจริงใจผ่านสายตาอย่างสุดความสามารถแล้ว แม้กระทั่งเม็ดเหงื่อบนหน้าของผมก็ผุดไหลประกาศความต้องการของร่างกายแล้วเหมือนกัน ..แต่ดูเหมือนพี่ข้าวจะยังสัมผัสมันไม่ได้ แล้วจู่ๆ ก็มีมือหนาแกร่งของใครสักคนจับเข้าที่ข้อมือของผมพร้อมกับแรงกระชาก ร่างของผมเอนไปตามแรงนั้นได้อย่างง่ายดาย ผมมองตามมือนั้น มือของปรินซ์.. ปรินซ์กำลังมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน และพยักหน้าเหมือนกับจะบอกผมว่าให้เดินตามมันออกไปได้ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวอะไร
“คุณเป็นใครไม่ทราบ!” พี่ข้าวยังคงคอนเซ็ปต์ความเป็นพี่ว๊าก ปรินซ์ไม่ตอบ แถมไม่สนใจพี่ข้าวสักนิด ปรินซ์ออกแรงดึงมือผมอีกครั้ง เท้าของผมขยับออกจากที่ยืนเรียบร้อยแล้ว ผมดีใจที่ปรินซ์มา ซึ้งใจมากด้วย ถึงอีกใจจะบอกว่ามันไม่ถูกต้อง ผมกำลังแหกกฎ แถมคนที่มาแทรกแซงห้องเชียร์ก็เป็นคนคณะอื่นอีก แต่นาทีนี้ผมต้องการไปห้องน้ำให้เร็วที่สุด ผลของมันจะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่อยากคิด..แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าเดินตามปรินซ์ไป มือหนาของใครอีกคนก็จับเข้าที่ข้อมืออีกข้างของผม ..พี่ข้าววว! เมื่อร่างของผมไม่สามารถก้าวเดินตามแรงดึงของปรินซ์ต่อได้ ปรินซ์ก็หันหลังกลับมามอง สองร่างใหญ่กำลังเข้าสู่สงครามสายตา ฝั่งนึงก็ดวงตาดุเข้มใต้กรอบแว่น อีกฝั่งนึงก็ส่งสายตาเฉี่ยวคมโต้ตอบ ท่าทางศึกนี้จะยืดเยื้อ ผมไม่สนอะไรแล้ว ผมสะบัดข้อมือของตัวเองให้หลุดจากการจับกุมของทั้งสองคนแล้วรีบวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำ

เฮ้อ.. โล่งงงง..
ผมนั่งเหม่อมองเพดานห้องน้ำ หยุดสนโลกไปราวสิบนาทีได้ อุณหภูมิในร่างกายค่อยๆ ลดลง สติก็ค่อยๆ กลับมา ดึงผมให้คืนสู่โลกปัจจุบัน ข้างนอกจะเป็นไงมั่งวะ ห้องเชียร์คงยังไม่จบ ปรินซ์กลับไปรึยัง ..แล้วปรินซ์มาทำอะไร? ปรินซ์กับพี่ข้าวจะมีเรื่องกันไหม? เออ ช่างแม่ง หนีกลับเลยดีไหม เออ น่าสนใจ แต่ถ้าตอนนี้ไม่กลับไปเข้าห้องเชียร์.. แล้วเพื่อนที่เหลือล่ะ  งี้ก็กลายเป็นคนหนีห้องเชียร์เหมือนที่พี่ข้าวมันพูดจริงๆ ดิ.. ออกไปดูลาดเลาก่อนแล้วกัน
แอ๊ด
ในห้องน้ำโล่ง ไม่มีใครสักคน คงเพราะทุกคน ทุกชั้นปีไปยืนให้กำลังใจพวกเรากันหมด ผมยิ้มให้กับตัวเองในกระจกอีกรอบก่อนออกไปเจอสถานการณ์ตึงเครียด ขอโทษพวกพี่เขาดีๆ เขาคงจะเข้าใจ พร้อม! ผมเปิดประตูห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าออกไป ผมเห็นเศษหนึ่งส่วนสองของด้านหลังชายร่างสูงสองคนที่ยืนอยู่กันคนละฝั่งของขอบประตู คนหนึ่งกำลังกอดอก อีกคนกำลังเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ผมอยากจะปิดประตูแล้วปีนหนีขึ้นไปบนฝ้าเพดานห้องน้ำ แต่การเผชิญหน้ากับความจริงย่อมดีกว่าการหนีปัญหา
“เรียบร้อยแล้ว?” ปรินซ์หันหน้ามาถาม ผมยิ้มแห้งตอบ แต่ก็อดรู้สึกดีไม่ได้ที่ปรินซ์ยืนอยู่ตรงนี้ รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ผมกลั้นใจหันหน้าไปมองอีกคน ภาวนาให้เป็นบรีส แต่จากส่วนสูงยังไงก็ไม่ใช่บรีส เพราะบรีสสูงพอๆ กันกับผม แล้วคนนี้คือ..
“เอ่อพี่ข้าว ..มาทำอะไรตรงนี้ครับ”
“คุณบอกให้ผมมาเฝ้าคุณที่ห้องน้ำ จำไม่ได้?”
“!!!” ใช่ ผมพูดแบบนั้น
“ผมขอโทษครับ ผมปวดท้องมาก เลยอาจจะพูดจาอะไรที่มันฟังไม่ค่อยได้”
“...”
“น้องมันขอโทษแล้ว ก็จบแล้วป่ะวะ” ปรินซ์สาวเท้าเดินประจันหน้าพี่ข้าว พี่ข้าวเองก็ทำเหมือนกัน ผู้ชายสองร่างที่ขนาดพอกัน ยืนใกล้กันจนอกแทบจะชนกันอยู่แล้ว นี่เหตุเกิดเพราะแค่ผมปวดท้องท้อง?
“ถ้าคุณเสร็จธุระแล้วก็กลับเข้าห้องเชียร์ได้แล้ว!” พี่ข้าวพูดกับผมทั้งที่ยังมองหน้าปรินซ์ ผมสัมผัสได้ถึงรังสีอาฆาตจากสายตาพี่ข้าว ไอ้ปรินซ์เองก็ดูจะเขม่นๆ พี่ข้าวแปลกๆ ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากัน
“ครับพี่” ผมรีบเดินกลับไปเข้าแถวอย่างไว โดยไม่สนว่าสงครามหน้าห้องน้ำจะจบยังไง
.
.
..19.05 น.
..ห้องประชุมคณะนิเทศศาสตร์
..ข้าว

“วันนี้น้องเริ่มร้องเพลงคณะล่ะ ดูมีความพยายาม”
“วันนี้ถึงคนจะเข้าไม่ครบ แต่พวกที่เข้าก็ดูตั้งใจดีมาก”
“น้องผู้หญิงวันนี้เกือบเป็นลมไปสองคน เพราะอากาศร้อนมากวันนี้ ถ้ายังไงรบกวนทีมพี่ว๊ากช่วยอะลุ่มอะล่วยให้น้องๆ ขึ้นไปห้องบนตึกเร็วอีกนิดนึงนะคะะ”
“ใช่ๆ เวลาฝึกร้องเพลง เวลาพูดคุยจะได้มีมากขึ้นด้วย”
“จริง เพราะน้องต้องเริ่มเตรียมตัวขึ้นสแตนด์เชียร์งานกีฬาประจำปีได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทัน”
“ไหนจะเรื่องที่พวกน้องต้องเลือกฝ่ายทำงานในละครเวทีคณะอีก”
“โห งานน้องแม่งล้นมือวะ”
“ออ ขอกลับมาที่ประเด็นเรื่องการว๊าก ปัญหาของวันนี้โดยรวมก็ไม่มีอะไร น้องที่ดูจะต่อต้านก็ไม่มีนะ ทุกคนดูสู้จริง”
“แต่..” พี่หลินเฮดว๊ากปีสี่พูด ก่อนจะหันหน้ามาทางผม
“ถ้าน้องดูไม่ไหวจริงๆ อย่างที่น้องธามเป็นวันนี้ มันคือเหตุสุดวิสัยนะ อย่าไปดื้อดึงใส่น้องดิวะ”
“...” พี่หลินกำลังพูดกับผม
“ถ้าน้องแม่งราดอยู่ตรงนั้น น้องต้องอับอายต่อหน้าเพื่อน ห้องเชียร์เรา ระบบว๊ากของเราก็จะต้องเสื่อมเสียไปด้วย เราไม่ได้แค่เสีย ‘ใจ’ ของน้องดีๆ ไปคนนึง แต่เราแม่ง จะไม่ได้ใจของน้องเลยสักคน”
“...”
“ยังดีที่ปรินซ์เข้ามาแก้สถานการณ์ให้มันไม่บานปลาย”
“แต่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนะครับ”
“...”
“มาแทรกแซงกระบวนการของพวกเรา ผมว่ามันไม่ถูก คนในคณะก็ไม่ใช่!”
“...”
“งั้นถ้าปรินซ์ไม่เข้ามา ข้าวจะทำยังไงต่อ”
“...”
“จากเหตุการณ์นี้นะ พี่ขอเลยกับทีมพี่ว๊ากทุกคน ถ้าน้องมันไม่ได้แกล้ง ไม่ได้เกรียน ก็ปล่อยน้องมันไป นี่ห้องเชียร์เว้ยไม่ใช่ห้องเชือด”
“...” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ สายตาที่มองพี่หลินบอกถึงความสลด และเสียใจอย่างเต็มที่ แต่จริงๆ ใครจะรู้ว่าผมกําลังคิดอะไรอยู่..
..มึง ..ไอ้เชี่ยปรินซ์!!
.
.
..19.10 น.
..ธาม
“พรุ่งนี้กูมีเรียนแบดที่วิทย์กีฬาว่ะ มึงลงตัวนั้นไว้ป่ะ”
“ลงดิ ตัวนี้พี่เขาว่าปล่อยเกรดง่าย”
“เออดี เอาไง เจอนู่นหรือเจอคณะ”
“เจอนู่นเลยล่ะกัน” ผมนัดหมายกับบรีสหลังห้องเชียร์เลิก ซึ่งนี่ก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าแล้ว
“เดี๋ยวก่อนๆ นี่มึงจะไม่เล่าโมเม้นท์ตอนมึงวิ่งไปขี้หน่อยเหรอวะ”
“เชี่ย จะให้กูเล่าไรได้วะ ก็แค่คนไปขี้”
“แต่มึงคงไม่รู้ว่าพอมึงวิ่งไป..”
“ไมวะ”
“เกือบมีมวยกลางใต้ถุนดิวะะ”
“!!!”
“เอออออ พี่ปรินซ์ของมึงอ่ะทำท่าจะเดินตามมึงไป แต่..” บรีสลดเสียงเบาลง เพราะยังอยู่ในอาณาเขตคณะ “..พี่ข้าวดันเดินมาขวาง เชี่ยยย แล้วพี่มึงอ่ะกระซิบอะไรพี่ข้าวไม่รู้เว้ย แล้วก็ชนไหล่พี่ข้าวเดินไปเลย กูแม่งเห็นพี่ข้าวกำหมัดแน่นเลยมึง!”
“!!!”
“ขนาดพี่ว๊ากยังเงียบกริบ แม่งลุ้นกันทั้งห้องเชียร์ กูก็ลุ้น คิดว่าพี่ข้าวแม่งต้องมีง้างหมัดแน่นอนแต่ไม่เว้ย พี่ข้าวแค่เดินตามพี่มึงไป”
“เออยังดีที่ไม่มีเรื่อง” ผมถอนหายใจ พอฟังบรีสมันเล่าเลยพอเข้าใจว่าทำไมผมถึงกลายเป็นจุดสนใจให้ใครต่อใครมองกันเต็มคณะไปหมด ทั้งพี่แล้วก็เพื่อน
“แต่กูว่าอีกไม่นานคงมีเรื่องว่ะ”
“ทำไมวะ”
“ก็ถ้าพี่มึงยังมาเฝ้ามึงที่คณะทุกวัน นั่นไงพี่มึงเดินมาแหละ งั้นกูไปก่อนล่ะกัน เจอกันพรุ่งนี้เว้ย” ผมพยักหน้ารับคํากับบรีส ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคนตัวสูงกว่าที่เดินมาจากอีกฝั่ง
“ไป กลับได้สักที”
“กูเอาจักรยานมา”
“ก็จอดไว้ที่นี่ ไม่ก็เอาขึ้นท้ายรถพี่”
“...”
“พี่อยากไปส่งธาม ยืนเมื่อยแล้วถ้ายังต้องขี่จักรยานกลับอีก พรุ่งนี้จะมีแรงยืนไหม”
“ถ้างั้นบอกมาก่อนว่าพูดอะไรกับพี่ข้าวในห้องเชียร์ แล้วก็..หน้าห้องน้ำด้วย”
“มันไม่มีอะไรหรอก ธามอย่ารู้เลย แล้วก็อย่าคิดมาก” ปรินซ์เอามือใหญ่ขยี้หัวผมเบาๆ ผมมองค้อนปรินซ์ทันที
“งั้นขอขี่จักรยานกลับหอเองนะ” ผมเดินตัวปลิวไปหาจักรยานตัวเองทันที ก็คนมันอยากรู้เว้ย เล่าให้ฟังแค่นี้ก็ไม่ได้ ไอ้คนขี้งก!!
.
..ปรินซ์
ผมมองตามหลังของธามไป คงงอน.. แปลกนะที่พอเห็นธามงอนแล้วผมกลับยิ้ม มันคงเป็นความฟินรูปแบบหนึ่งล่ะมั้ง เหมือนเราได้มีอารมณ์โกรธกันงอนกัน มันคงเป็นความสนิทรูปแบบหนึ่ง แต่ผมก็หุบยิ้มแทบทันทีเมื่อหันไปสบตากับมันเข้า มันน่าจะยืนดูผมกับธามอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้ที่มุมนั้น ผมไม่รู้ว่ามันกำลังทำหน้ายังไง เพราะมันค่อนข้างมืดและไกล แล้วมันก็เดินหายกลับเข้าไปในตึกคณะ ..ไอ้เชี่ยข้าว!! มันเป็นใคร ผมไม่รู้ เพราะผมไม่เคยรู้จัก แต่ต่อจากนี้ชื่อกับหน้าของมันผมคงต้องใส่ใจจำ จะให้มันใกล้ธามไปมากกว่านี้ไม่ได้..

..สองชั่วโมงก่อน
วันนี้ผมโดดซ้อมบอลตามเคย จะให้ทำไงได้ ผมเป็นห่วงธาม ห้องเชียร์ของนิเทศขึ้นชื่อเรื่องความโหด ถึงจะไม่เท่าวิดวะ แต่ผมก็ห่วงคนของผมอยู่ดี
ผมยืนอยู่ที่เดียวกันกับเมื่อวาน ธามเองก็ยืนอยู่ในตำแหน่งของแถวเหมือนเมื่อวานเช่นกัน ผมมองเห็นธามได้ถนัด แต่ที่รู้สึกขัดสายตาแบบสุดๆ คือการที่ไอ้พี่ว๊ากหน้าโหดนั่นมันมายืนอยู่แถวๆ ที่ธามยืน นี่มึงกะหาเรื่องธามแน่ๆ กูรู้ แต่วันนี้ธามไม่ขี้สงสัยเหมือนเมื่อวาน ตามองตรงไปข้างหน้าอย่างดี ไงล่ะ เด็กดีของกู อยู่ในระเบียบน่าชื่นชม ผมชมธามอยู่ในใจ แต่หลังจากเวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง จู่ๆ หน้าของธามก็ดูไม่ดี เหงื่อมันออกมากเกินไป หน้าก็เริ่มซีดๆตัวงอลง ใจคอผมเริ่มไม่ค่อยดี แล้วธามก็ยกมือขึ้น ดีที่ธามไม่ฝืน
“คุณมีปัญหาอะไรครับ!!” เป็นไอ้พี่ว๊ากนั่นจนได้ที่พุ่งเข้าไปหาธาม ธามเองก็ขออนุญาตดีๆ แม่งยังเสือกกวนตีน ผมเลยเดินเข้าไปในแถวนั่น ไม่ทันได้สนใจรุ่นพี่รุ่นน้องนิเทศที่ยืนอยู่ มีสองสามคนที่พยายามหยุดผมไม่ให้เดินเข้าไป แต่ผมก็สะบัดหลุดหมด ตาของผมมองแต่คนตัวเล็กกว่าที่กำลังยืนทรมาน ยังไงก็ต้องพาธามออกมาก่อน ยังไงนี่ก็ไม่ใช่คณะผมอยู่แล้วด้วย

“ธามคือคนของกู” นี่คือคำพูดที่ผมกระซิบบอกไอ้ข้าวที่ห้องเชียร์ หลังจากที่ธามวิ่งไปห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว

“กูจะแย่งธามของมึง” คือคำพูดของมัน ก่อนที่มันจะเดินตามหลังธามกลับเข้าห้องเชียร์

..จริงๆ ธามก็ยังไม่ใช่คนของผม ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำให้ธามรักได้ไหม แล้วนี่เสือกมีเชี่ยแม่งมารอแย่งอีก..
.
.
.

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

จูบ
.
.
“ได้เรียนด้วยกันสักทีนะมึง”
“เออ”
บอสโอบไหล่ผมเดินลงจากหอไปที่จอดจักรยานหน้าตึก อดแปลกใจไม่ได้ที่วันนี้ปรินซ์ไม่มาป้วนเปี้ยน ใจนึงก็อยากเจอ เพราะอยากรู้เรื่องเมื่อวานระหว่างมันกับพี่ข้าว แต่อีกใจก็ยังไม่อยากเจอ เพราะ.. เพราะอะไรวะ เออช่างมันเถอะ ปรินซ์คงมีเรียน แต่ก็ควรจะบอกกันก่อนไหมว่าจะไม่มา

รายวิชาการกีฬาเพื่อสุขภาพ (แบดมินตัน) เป็นวิชาที่ผมได้ลงเรียนกับบอส นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง คณะจิตวิทยา ไอ้บอสมันมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำงานอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์จิตใจมนุษย์ มันบอกว่าทุกครั้งที่มันได้มอง ได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของใครสักคน มันจะรู้สึกเพลิดเพลิน และถ้ามันคาดเดาถูกว่าคนคนนั้นกำลังคิดอะไร มันก็จะยิ่งฟิน หวังว่าผมคงจะไม่ตกเป็นกรณีศึกษาของมัน
“เพื่อนกูที่คณะก็จะมาเรียนด้วย” ผมบอกไอ้บรีส
“เพื่อนกูก็มา แต่ว่ามากันได้แค่สามคน วิชานี้ใครๆ ก็อยากลง”
“กูว่าต้องอาศัยแต้มบุญว่ะ”
“กูว่าเนทต้องแรงตังหากโว้ย แม่งการแข่งขันสูง”
“เออ จริงของมึง” ผมกับบอสนั่งคุยกันข้างคอร์ทแบดหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย พวกเรามาก่อนเวลาเรียนเพราะกลัวว่าจะหาคอร์ทแบดไม่เจอ
“นั่นไงเพื่อนที่คณะกูมาแล้ว” บรีสเดินมากับแพม แพมเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ถ้าบอกว่าหุ่นไซส์เด็กประถมก็คงไม่ผิด ยิ่งพอยืนกับแก็งค์ผู้ชายตัวเคื่องสูงเฉลี่ยร้อยเจ็ดสิบแล้ว แพมก็ยิ่งดูตัวเล็กเข้าไปอีก
“นี่บรีส แพม แล้วก็นี่บอสเพื่อนเรา อยู่จิตวิทยา”
ผมแนะนำเพื่อนคณะให้ไอ้บอสรู้จัก ไอ้บอสทักทายกับเพื่อนผมได้แป็บเดียว เพื่อนคณะของมันก็มา มีนก เอย แล้วก็วินวิน นกกับเอย สองสาวร่างไม่เล็ก พวกเธอเตี้ยกว่าผมนิดเดียว ส่วนวินวิน ก็ตัวพอๆ กันกับพวกผม พวกเราทําความรู้จักกันพอให้จําชื่อกับหน้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะอาจารย์เดินหน้านิ่งมาแล้ว

เวลาผ่านไปได้สักพักกับการสอนทฤษฎีการตี การรับ การเสิร์ฟลูกโดยอาจารย์ที่เป็นกันเองกว่าที่จินตนาการ
“เอาล่ะพวกเราก็ฝึกเสิร์ฟกันได้ค่อนข้างดีล่ะ อีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือผมจะให้พวกคุณจับคู่กับเพื่อนรับส่งลูก เอาแบบโต้นะ คราวหน้าจะมีเก็บคะแนน พวกคุณต้องตีโต้ประคองลูกให้ได้ยี่สิบครั้ง โอเคนะ”
ผมหันมองกลุ่มเพื่อน บรีสคู่กับแพม นกคู่กับเอย บอสมันก็ต้องคู่กับวินวิน ส่วนผม..
“พวกมึงคู่กันได้เลยเว้ย เดี๋ยวกูไปหาคนที่ยังไม่มีคู่เอง” ผมพูดเพื่อนๆ แบบแมนๆ ทั้งที่ยังนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองจะหาคู่ได้ยังไง ก็ในเมื่อผมเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ
“คุณยังไม่มีคู่ล่ะสิ” อาจารย์ทักผมทันทีที่เห็นผมเดินแยกออกมาจากกลุ่ม
“ครับ” ผมเอามือเกาหลังหัว โชว์คูลต่อหน้าเพื่อน มาหงอยหน้าอาจารย์ ..โคตรหล่อ
“นั่นไงคู่คุณเดินมานู้นแล้ว ว่างใช่ไหม มาเป็นคู่ให้น้องมันหน่อย” อาจารย์ตะโกนข้ามหัวผมไป คงทักทายใครสักคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ซึ่งต้องไม่ใช่เด็กปีหนึ่งแน่นอน เพราะดูจะสนิทสนมกับอาจารย์เป็นอย่างดี เอาเป็นว่าผมมีคู่ซ้อมล่ะ ถึงจะชั่วคราวก็เหอะ
“ได้ครับอาจารย์ พอดีผมไม่มีเรียนเลยว่าจะมาเรียกเหงื่อสักหน่อย” ผมหันหน้าไปมองร่างของคนข้างๆที่เพิ่งเดินมาถึง จริงๆผมน่าจะคุ้นเสียงของเขานะ แต่คงเพราะตอนนี้เขาพูดแบบสุภาพไม่ได้ว๊าก.. ..เชี่ยพี่ข้าว!
ผมจำหน้าของพี่ข้าวไม่ได้ในตอนแรก เพราะพี่มันถอดแว่นพอไร้ซึ่งสิ่งปิดบังดวงตาคู่คมที่มองมาทำเอาผมอึ้งไปเล็กน้อย เคยคิดมาตลอดว่าคนที่ใส่แว่นส่วนใหญ่ตาจะปูดโปน แต่ไม่ใช่กับพี่ข้าว.. ถ้าบอกว่าส่วนไหนของใบหน้าพี่เขามีเสน่ห์สุด ก็คงเป็นดวงตา
พี่ข้าวเดินเข้าไปพูดอะไรเบาๆกับอาจารย์โดยที่ผมไม่ได้ยิน อาจารย์พยักหน้าตกลงแทบจะทันที
“ตามผมมา..” พี่ข้าวพูดกับผม ผมทำหน้างงๆ แต่ก็เดินตามพี่เขาไป ส่วนไอ้พวกเพื่อนๆ ที่ซ้อมกันอยู่ก็คงไม่ทันมองว่าผมหายไปไหน หายไปกับใคร

ผมเดินตามพี่ข้าวมาคอร์ทแบดข้างๆ ที่ไม่มีใครอยู่สักคน บรรยากาศดูน่ากลัวมากกว่าจะน่ามายืนตีแบดแบบชิลๆได้แม้ทันใดนั้นห้องกว้างจะสว่างขึ้นเพราะพี่ข้าวกดสวิตช์เปิดไฟก็ตาม
ผมมองร่างสูงที่ยืนไกลออกไปอีกฝั่งของตาข่าย พี่ข้าวยืนยืดกล้ามเนื้ออยู่สักพักจึงเงยหน้ามองผม
“พร้อมแล้วใช่ไหม”
“คะครับ” เอาวะก็แค่ตีแบดฝีมือก็พอมี ถึงไม่ใช่มือตบ มืองัด แต่ผมก็รับได้เกือบทุกลูก อีกอย่างยังไงผมก็น้องคณะ พี่ข้าวคงไม่ใจร้าย แถมใครจะรู้ ฝีมือพี่ข้าวอาจจะอ่อนกว่าผมก็ได้ ไหนจะสายตาสั้นอีก (เพราะถอดแว่น) คิดประมาณนี้ก็เริ่มใจชื้น เดินไปประจำที่ฝั่งตรงข้ามพี่ข้าว
พี่ข้าวโยนลูกขนไก่ในมือขึ้นกลางอากาศก่อนจะเอาไม้ฟาดเข้ากับลูกนั้นข้ามตาข่ายแหวกอากาศเสียงดังฟ้าววว มันพุ่งมาเร็วมากจนผมมองไม่ทัน และลูกนั้นเฉียดตัวผมไปนิดเดียว เชี่ยยยย นี่แค่ลูกเสิร์ฟไหมวะ! ผมก้มลงเก็บและตั้งท่าจะเสิร์ฟบ้าง แต่พี่ข้าวอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะเสิร์ฟต่อแล้ว ผมยืนตัวแข็ง ลูกที่สองความแรงไม่ต่างจากลูกแรก และมันก็ยังมาตกอยู่ข้างตัวผมอีก! พี่มันต้องการอะไรจากผมวะ!
“พี่ข้าวครับ” ผมรีบพูดก่อนที่พี่ข้าวจะอัดลูกเสิร์ฟลูกต่อไปใส่ผม
“...”
“คืออาจารย์ให้ฝึกตีโต้น่ะครับพี่”
“...” เหมือนว่าคำพูดของผมจะทำให้พี่ข้าวนึกขึ้นได้ พอพี่ข้าวเสิร์ฟอีกครั้งผมจึงรับได้ แต่.. ก็โดนพี่ข้าวตีหลอกให้วิ่งไปรับทางซ้ายทีขวาทีหน้าเนททีท้ายคอร์ทที และยิ่งคนที่เล่นกับพี่เขาเป็นผม บุคคลซึ่งออกกำลังกายแทบนับครั้งได้ ครึ่งชั่วโมงที่วิ่งรับลูกที่รับได้ กับวิ่งเก็บลูกที่รับไม่ได้ ทำเอาผมรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายเต็มที ขาของผมล้าจนแทบจะวิ่งต่อไม่ไหว อาการขาดน้ำทำเอาไร้เรี่ยวแรงทั้งที่ตัวของผมเปียกไปหมดเหราะเหงื่อ ความร้อนในตัวพุ่งขึ้นสูงจนน่าจะเอาหมูสไลด์มาจี่ให้สุกได้ ผมยกมือขอพักเบรกทันที ก่อนจะพาตัวเองเดินไปนั่งพิงกำแพงที่มีพัดลมส่ายไปมาอย่างขี้เกียจผมหลับตาหายใจหอบอยู่อย่างนั้น พลางคิดว่าพี่ข้าวมันโกรธแค้นอะไรผมหนักหนา ถ้าเพราะผมกวนตีน..ก็อาจใช่ หรือเพราะปรินซ์ที่ดันเผือกเข้ามาช่วยผม..ก็อาจใช่ เพราะพี่ข้าวคงรู้สึกเสียหน้า และโกรธไม่ใช่น้อยที่มีคนมาท้าทายตอนพี่มันว๊าก.. เออว่ะมีเหตุผล พี่เขาจะโมโหแล้วมาลงกับผมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผมนึกไปก็ภาวนาให้ตัวเองหายเหนื่อยเร็วๆแล้วกลับไปรองรับความโกรธของพี่ข้าวต่อ แต่คงเพราะผมมัวแต่หอบและอยู่กับความคิดของตัวเอง เลยไม่ทันได้ยินเสียงพื้นรองเท้าผ้าใบที่บดกับพื้นสนามใกล้เข้ามา จู่ๆ ปากของผมก็ถูกประกบด้วยปากของใครสักคนที่อยู่ตรงหน้า ผมตกใจรีบเปิดตามองทันที สายตาสองคู่ประสานกันในอารมณ์ที่แตกต่าง คู่หนึ่งกําลังเบิกโพลงเพราะตกใจสุดขีด ส่วนอีกคู่กําลังมองลึกดุดันราวกับแวมไพร์ที่หมายจะดูดเลือดของเหยื่อให้เหือดแห้ง ผมออกแรงทั้งหมดที่พอมีดันอกเปียกชุ่มของพี่ข้าวให้ผละออก แต่มันก็ไม่ได้ผล แขนของผมล้าเกินไป พี่ข้าวจับข้อมือของผมล็อกไว้กับกำแพงเพื่อกันไม่ให้ผมขัดขวางอะไรพี่มันได้อีก พี่ข้าวยังคงบดเบียดริมฝีปากของผม ลุกลํ้าผมอย่างไม่คิดจะเปิดช่องว่างให้ผมได้หายใจ ..ผมกําลังจะตายจริงๆ แล้ว ..ผมต้องการออกซิเจน

“ไอ้ธามไปหาไรแดกกัน…”
“!!!!” ผมจําเสียงไอ้บอสได้ มันน่าจะอยู่ตรงทางเข้าด้านนอกก่อนถึงส่วนของสนาม พี่ข้าวปล่อยมือของผม และยอมถอนริมฝีปากที่กดร่างผมในที่สุด แต่ก็ช่างอ้อยอิ่ง เหมือนกับต้องการให้ผมจดจําได้ในทุกวินาทีที่พี่มันสัมผัสผมได้ พี่ข้าวยังคงจ้องผมด้วยสายตาคม ทั้งที่ค่อยๆ ถอยหน้าห่างออกจากผมไป แต่แล้วจู่ๆ พี่มันก็ยื่นหน้าเข้ามาหาผม ผมหันหน้าหนี หลับตาแน่นสนิททันที
“เจอกันห้องเชียร์” พี่ข้าวพูดเสียงแหบพร่าที่ข้างหูผม ตัวผมเกร็ง และหัวใจเต้นแรง

“ไปมึง กูก็หามึงตั้งนาน พอถามอาจารย์เลยรู้ว่ามึงมาซ้อมอยู่สนามนี้ แล้วนั่นคู่ซ้อมมึงเหรอวะ ใครวะ รุ่นพี่หรือรุ่นเดียวกัน คณะไรวะ” ไอ้บอสยิงคำถามใส่ผมเป็นชุดหลังจากมันเดินสวนพี่ข้าวเข้ามา
“...”
“เดี๋ยวมึงเป็นเชี่ยไรเนี่ย!! ทําไมหน้าแดงแจ๊ขนาดนี้วะ แล้วทําไมปากมึง..”
“มึงอย่าเพิ่งถาม! กูอยากอาบนํ้า”
ไอ้บอสยื่นมือมาดึงผมให้ลุกขึ้นจากพื้น ตัวของผมกำลังสั่น ลมหายใจยังไม่เป็นปกติ ผมรีบตรงดิ่งไปที่ล็อกเกอร์หยิบของที่จำเป็นแล้วพาตัวเองเข้าห้องน้ำ
“มึงเป็นไรรึเปล่าวะไอ้ธาม” ไอ้บอสถามผมด้วยความเป็นห่วงอยู่หน้าห้องน้ำ
“กูไม่เป็นไร” ผมเปิดฝักบัวเพื่อกลบเสียงของไอ้บอสที่กําลังจะตั้งคําถามต่อทันที ถึงจะตอบไอ้บอสไปอย่างนั้น แต่ร่างกายผมกำลังเป็น.. มันหวั่นไหวกับแรงปลุกเร้าเมื่อกี้ นี่มันเรื่องเชี่ยไรเนี่ย!!
.
.
“มึงเป็นอะไรวะ” บอสกระซิบถามทันทีที่มันเดินอยู่ข้างๆผมระหว่างทางเดินไปสนามกีฬากลาง หลังเดินออกจากโรงอาหารกลาง
บ่ายนี้ผมกับบรีสไม่มีเรียน เมื่อวานบรีสจึงชวนผมมาเดินดูงานเปิดโลกกิจกรรมของมหาลัย ตลอดทั้งอาทิตย์จะมีงานออกบูทของชมรมต่างๆ ในมหาลัยให้เหล่าเฟรชชี่อย่างพวกผมเลือกสมัครเพื่อเรียนรู้โลกใบใหม่ รู้จักคนใหม่ๆ เพิ่มประสบการณ์ชีวิต บรรยากาศรอบทางเดินตามแนวอัฒจรรย์ของสนามกีฬากลางครึกครื้น นักศึกษาปีหนึ่งพากันจับกลุ่มเดินไปมาตามบูทต่างๆ ของรุ่นพี่ ที่ล้วนประดับตกแต่งดึงดูดเด็กหน้าใหม่อย่างพวกเรา ไอ้บอสที่ไม่มีเรียนเหมือนกันเลยตามมาด้วย ผมรู้ว่ามันคงเป็นห่วงผมด้วยส่วนหนึ่ง
“พวกมึงมานี่ นี่บูทพี่โรงเรียนเก่ากูเอง” พอบรีสกวักมือเรียก ผมเลยเดินไปทันที โดยยังไม่ตอบคำถามของบอส
“หวัดดีครับพี่โบ้ท พี่จอม พี่เป้ พี่ที” บรีสทักทายรุ่นพี่ในบูทอย่างสนิทสนม ผมกับบอสเลยยกมือไหว้อย่างนอบน้อมตามบรีส
“เพื่อนคณะเหรอวะ”
“นี่ธามเพื่อนนิเทศ แล้วก็บอสเด็กจิตวิทยาครับพี่”
“อยู่จิตเหรอวะไอ้น้อง”
“ออครับพี่” ไอ้บอสตอบ ผมเข้าใจว่าคนที่ถามคือพี่ที่ชื่อโบ้ท
“งั้นพวกมึงเข้าชมรมกูเลย”
“…” ผมเงยหน้าดูแผ่นป้ายผ้าที่ห้อยลงมาเหนือหัว ‘เดินดอย’
“กูเห็นเพื่อนมึงทำหน้าสงสัยแล้วสลดเลยว่ะ” พี่โบ้ทเอามือใหญ่ปิดหน้าเหมือนจะร้องไห้ แอคติ้งชัดๆ “น้องเป้เล่าความ ‘เดินดอย’ ของเราสิ”
“ชมรมของเราเนี่ยก็คือชมรมค่ายอาสาชมรมนึงนั่นแหละ เหมือนอีกสองชมรมข้างๆ” พี่เป้พูดพลางผายมือไปบูทด้านข้าง พี่โบ้ทเอามือตบเข้าที่ผมหนาๆ ของพี่เป้ทันที
“มึงจะไปเรียกแขกให้ชมรมอื่นทำไมวะ”
“เจ็บนะเว้ยพี่! เออนั่นแหละ เราก็คือชมรมออกค่ายอาสา ส่วนใหญ่ก็ไปช่วงปิดเทอมล่ะนะ แต่ที่ที่เราจะไปน่ะพิกัดจะอยู่แต่บนดอยเท่านั้น” ผมยืนมองพี่เป้ตาแป๋ว การขึ้นดอยขึ้นภูเขาเป็นความชอบของผมอยู่แล้ว เพราะบนเขามักจะสงบร่มเย็นเป็นสุข.. แต่ไอ้บอสคงไม่คิดอย่างนั้นมันเดินไปชมรมข้างๆแล้ว ผมเห็นรุ่นพี่สาวสวยอยู่บูทนั้นเพียบ
“มึงจะไปไหน” เสียงพี่โบ้ทดังขึ้น พี่โบ้ทไม่พูดเปล่า แต่เดินไปล็อกคอลากไอ้บอสกลับมาเลยทีเดียว
“กูปีสี่จิต พี่มึงอยู่นี่ มึงก็ต้องอยู่นี่ ลงชื่อซะ”
“เห้ยพี่ นี่มันสิทธิ์ส่วนบุคคลป่ะวะ แถมนี่ก็นอกคณะด้วย” ไอ้บอสเถียงทั้งที่คอมันยังโดนล็อกอยู่
“แต่กูรู้ว่าเพื่อนมึงจะเข้าชมรมกูแน่นอน ตาแม่งบอก เพราะงั้นมึงก็ต้องเข้าชมรมกู”
“ไอ้เชี่ยธามมึงจะเข้าชมรมนี้เหรอวะ!”
ผมส่งยิ้มให้มันแทนคำตอบ
“...”
“เห็นม่ะ”
“พี่แม่งโคตรเอาแต่ใจ ลูกคนเดียวล่ะสิ”
“ใช่ กูลูกคนเดียว ส่วนมึงน่ะ.. กำลังอยากลองเปลี่ยนรสนิยม” ประโยคสุดท้ายผมไม่ได้ยินว่าพี่โบ้ทพูดอะไรกับไอ้บอส เพราะพี่มันกระซิบเอา แต่ทำเอาไอ้บอสหน้าง้ำหงิกพยายามแกะมือของพี่โบ้ทวุ่นวายแต่ก็คงยากน้อยเพราะร่างกำยำของพี่โบ้ทนั้นหนาแน่นกว่าถึงจะความสูงใกล้เคียงกันก็เถอะ
ในที่สุดพวกเราทั้งสามคนก็ลงชื่อเข้าชมรม ‘เดินดอย’ บรีสนั้นตั้งใจจะอยู่กับศิษย์พี่ร่วมสํานักอยู่ก่อนแล้ว..ฟิน ส่วนผมนอกจากจะได้ทํางานบุญได้กุศลแล้วยังได้ขึ้นดอยไปฝึกจิตฝึกร่างกายเป็นของแถม..ฟิน มีก็แต่ไอ้บอสที่แสดงความหงุดหงิดตลอดทางที่พวกเราเดินแวะชมบูทอื่นๆ ผมอดขํากับท่าทีของมันไม่ได้ ท่าทางพี่โบ้ทจะจับทางไอ้เพื่อนจอมวิเคราะห์ของผมได้ จะเรียกว่าเหนือฟ้ามีฟ้า เหนือบอสมีโบ้ทก็คงได้ นี่ขนาดเพิ่งเจอกันครั้งแรก อยู่ชมรมนี้คงมีเรื่องน่าสนุกแน่นอน ทําเอาผมลืมเรื่องเมื่อเช้าไปเกือบสนิท ถ้าไม่ใช่เพราะว่าใกล้จะได้เวลาห้องเชียร์อีกแล้ว..
“เจอกันห้องเชียร์”
คำพูดของพี่ข้าวเมื่อเช้าผุดขึ้นมาให้นึกถึงนี่ผมจะต้องทําหน้ายังไงเวลาเจอพี่มันกัน
“มึงโอเคเปล่าวะ จู่ๆหน้ามึงก็แย่” ไอ้บอสเปลี่ยนท่าทีจากที่เซ็งๆ อยู่ทันทีแล้วรีบยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของผม
“ไอ้บรีสกูว่าไอ้ธามตัวร้อนวะ”
“ไหนดูดิ” ไอ้บรีสเอามือแตะหน้าผากผมอีกคน
“เออว่ะ มึงไหวไหม กูว่ามึงโดดห้องเชียร์เหอะว่ะวันนี้ เดี๋ยวมึงก็ไปล้มให้พี่ข้าวด่าซํ้าเปล่าๆ”
“พี่ข้าวคือใครวะ?”
“พี่ว๊ากอ่ะมึง เข้าห้องเชียร์มาสองวันก็มีประเด็นแต่กับไอ้เชี่ยธามตลอด”
“กูไหวเว้ย แค่ปวดหัวนิดหน่อย”
“แต่หน้ามึงบอกว่ามึงไม่ไหว”
“แล้วนี่มึงยังมาเดินตากลมตากแดดกับพวกกูอีก กูว่ามึงกลับหอเหอะว่ะ”
“เชี่ยไรของพวกมึงเนี่ย อย่าเวอร์ดิวะ กูไหว ไอ้บรีสกลับคณะกัน ส่วนมึงไอ้บอส เจอกันที่ห้อง”
“เออๆ แล้วแต่มึง ดื้อฉิบ ฝากมันด้วยนะไอ้บรีส นี่เบอร์กู มีไรโทรตามได้เลย เอางี้ห้องเชียร์เลิกเมื่อไหร่มึงโทรหากู เดี๋ยวกูปั่นจักรยานมารับ” ผมพยักหน้าตอบไอ้บอส อย่างหนักแน่น ไม่งั้นมันคงไม่ยอมไปแน่ๆ
.
.
บรรยากาศของห้องเชียร์ยังคงเหมือนกันกับทุกวัน พวกเราเริ่มเคยชินกับการเข้าแถวในที่เดิม ตำแหน่งเดิม และตามองตรงไปข้างหน้า น่องขาของพวกเราก็เริ่มเคยชินกับการยืนนานๆ โดยที่คิดว่าการไม่ได้ขยับเท้าเลยก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรมาก แต่ที่ยังคงไม่ชินก็คือการที่พี่ว๊ากเดินว๊ากมาจากทุกทิศทาง และตั้งคำถามที่เราอาจจะหาคำตอบที่ดีให้ไม่ได้ อย่างเช่น ทำไมเพื่อนพวกคุณจึงมาไม่ครบทั้งชั้นปี..
วันนี้พี่ข้าวไม่ได้ยืนว๊ากอยู่ใกล้ๆแถวผม นั่นทำให้ผมมีสมาธิในการยืนนิ่งๆมากขึ้น แต่อาจเพราะผมกำลังยืนนิ่งว่างๆอยู่ก็ได้ ในหัวถึงได้อดเก็บเอาภาพเหตุการณ์เมื่อเช้ามาทบทวนไม่ได้ ทำไมพี่ข้าวต้องทำกับผมแบบนั้น คนเราจะจูบกันได้เพราะอะไรบ้าง ถึงอีกฝ่ายจะไม่เต็มใจ แต่พี่ข้าวต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้นกับผมหลังจากที่แกล้งให้ผมเหนื่อยแทบจะตาย.. แล้วผมล่ะ ผมรู้สึกอะไร ผมควรจะโกรธไหม มีคนมาขโมยจูบ แถมเป็นผู้ชายยยย เชี่ยยย ฟ้าต้องผ่าแน่ๆ หรือผ่าไปแล้วผมอยู่ในตึกเลยไม่ทันรู้ว่าฟ้าพิโรธแค่ไหน ผมคิดวนเวียนไปทั้งที่ความปวดหนึบในหัวเพิ่มขึ้นทุกขณะ ทำไมวันนี้ห้องเชียร์ไม่ร้อนอบอ้าวอย่างที่เคยเป็น ผมรู้สึกหนาวสะท้านทั้งที่สวมชุดนักศึกษามิดชิด ขาทั้งสองของผมเริ่มโงนเงนแต่ผมก็ยังมีสติพอที่จะใช้สมองสั่งการให้พวกมันกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง แต่มันก็คงจะยากสุดพลังรั้งของประสาทสั่งการแล้ว ถ้าระบบในร่างกายพากันประท้วงพร้อมกัน..
ตัวผมกำลังหล่นวูบแต่ยังไม่ทันที่ร่างของผมจะปะทะกับพื้นแข็ง พี่ข้าวก็เข้ามารับร่างของผมไว้ ผมทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไว้กับร่างสูงของพี่ข้าว มีเพียงเปลือกตาหนักที่ยังคงเปิดทางให้รูม่านตารับภาพจากภายนอก พี่ข้าวกลับมาใส่แว่นกลมใสอีกครั้ง หน้าของพี่ข้าวตอนนี้ไม่ได้ดุดันเหมือนตอนที่จู่โจมผมเมื่อเช้า แต่ดูตระหนกและแฝงด้วยความเป็นห่วง คงกลัวว่าผมจะตายคาห้องเชียร์.. ผมโดนหิ้วปีกออกมานั่งพักที่ด้านหลังของห้องเชียร์ พี่หลายคนช่วยกันปฐมพยาบาลผม หาอุปกรณ์มาพัด ก้อนแอมโมเนียถูกจ่อใกล้จมูกของผมทันทีโดยอ้อมอกของพี่ข้าวที่นั่งลงเป็นผนังแกร่งให้ผมพิง
“ฝ้ายฝากถือหน่อย” พี่ข้าวยื่นก้อนสำลีที่ชุบแอมโมเนียจนชุ่มไปให้พี่ฝ้ายถือให้ผมดมแทน แล้วพี่ข้าวก็เอามือที่เพิ่งว่างของตัวเองมาขยับเนคไทของผมออกและปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผม
“โอเคขึ้นไหม”
“...” ผมพยายามพยักหน้าแทนคำตอบ
“พี่ข้าวค่ะ ให้พวกเราดูแลน้องธามต่อก็ได้ค่ะ”
“อืม ฝากด้วย” พี่ข้าวค่อยๆลุกขึ้นหลังจากที่ได้พี่ฝ้ายมานั่งให้ผมพิงแทน ก่อนเดินไปพี่ข้าวยังหันมามองผม.. พี่เขาคงหายโกรธแล้วมั้ง แล้วสติการรับรู้ของผมก็ดับลง
.
.
.

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
014
จูบแรก
.
.
ผมกระพริบตาเพราะรู้สึกอยากตื่น ร่างกายยังรู้สึกชาคงเพราะฤทธิ์ไข้ หน้าผากของผมน่าจะมีผ้าชุบนํ้าวางอยู่ ขณะที่ตัวของผมถูกห่ออยู่ในผ้านวมหนาอย่างกับตัวเองเป็นไส้ในซูชิโรล พอมองไปรอบๆ ห้องที่ที่ผมนอนอยู่ช่างไม่คุ้นเคย ที่นี่ที่ไหน.. ผมขยับร่างกายเพราะเริ่มรู้สึกอึดอัด ร้อน และหิวน้ำ
“ตื่นแล้วเหรอวะมึง เพิ่งตีห้าครึ่งเอง มึงนอนต่อเหอะ ไม่มีเรียนด้วยนิวันนี้” หน้างัวเงียของไอ้บอสโผล่มาที่ขอบประตู
“อืออ ที่นี่ที่ไหนวะ”
“ก็ห้องไอดอลกูไง”
“ห้องปรินซ์??”
“เออ เมื่อคืนมึงอ่ะนอนนี่ ส่วนกูเนี่ยเพิ่งมาถึง”
“..”
“เอางี้ กูว่ามึงนอนต่ออีกหน่อย เดี๋ยวค่อยคุยกัน กูขอไปนอนต่อก่อน” แล้วมันก็หายตัวไปพร้อมกับประตูที่ปิดลง
“...” ผมยอมนอนต่อตามที่ไอ้บอสบอก แต่ก่อนที่เปลือกตาหนักจะปิดลงอีกรอบ ผมมองสำรวจห้องสลัวอีกครั้ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาในห้องนี้ ห้องนอนของปรินซ์เรียบง่าย มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นอย่างเตียงที่ผมนอนอยู่ ตู้เสื้อผ้า และเก้าอี้โซฟาด้านหน้าเตียงอีกตัว ผมไล่สายตาจนไปสะดุดเข้ากับกรอบรูปขนาดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง คงจะดีถ้าผมสามารถมองเห็นมันได้ชัดกว่านี้.. รอสว่างก่อนล่ะกัน
.
“เอ้ามึง ตื่นมากินโจ๊กก่อน แล้วค่อยนอนต่อ” เสียงใสของไอ้บอสต่างจากเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วลิบลับ มันอยู่ในชุดนักศึกษาเกือบเรียบร้อย
“กูขอกินนํ้าก่อนได้ป่ะวะ”
“ได้ดิวะ นํ้าเปล่าในแก้วของพี่ปรินซ์ซ์ซ์” ไอ้บอสยื่นแก้วน้ำเปล่าส่งให้ผม
“กูมาอยู่นี่ได้ไงวะ แล้วปรินซ์อ่ะ”
“แหมตื่นมาก็ถามหาปรินซ์เลยน้า”
“...”
“อ่ะนี่โจ๊กมึง โจ๊กใส่แต่หมูสับ ไข่สุก และนี่โจ๊กกู พี่ปรินซ์แม่งเขียนมาบนถุงเลยเว้ยว่าถุงไหนของมึง ดีนะยังมีใจซื้อเผื่อกูด้วย นํ้าตาจะไหล ปลื้มว่ะ”
“...”
“ให้กูป้อนไหมปรินซ์เซส”
“เดี๋ยวเหอะมึง”
“เมื่อวานมึงอ่ะล้มคาแถวห้องเชียร์ บรีสมันก็รีบแอบโทรหากู แต่กูน่ะดันติดประชุมกับเพื่อนที่คณะ กูก็เลยโทรหาพี่ปรินซ์ พี่ปรินซ์ก็เลยไปอุ้มปรินซ์เซสอย่างมึงออกมาสลบไสลต่อที่หอคอยนี้แหละ”
“ไอ้สัดบอส!” ผมเกือบจะได้ยันมันลงจากเตียง แต่ไอ้บอสดันดีดตัวหลบทัน
..คลับคล้ายคลับคลาในความทรงจําว่า เมื่อวานปรินซ์มาเขย่าตัวผมที่ไม่ค่อยจะมีสติ
“เดินไหวไหม” ปรินซ์ถามผม ผมพยักหน้าตอบ แต่แล้วจู่ๆ ปรินซ์ก็ช้อนเอาร่างหนักของผมลอยขึ้น มีเสียงวี๊ดว๊ายของพวกพี่ผู้หญิงดังขึ้นทันที ผมมองหน้าปรินซ์แบบงงๆ พยายามจะขืนตัวให้หลุดจากการอุ้ม ผู้ชายอุ้มผู้ชาย!! เชี่ย!!ขนาดสติที่เหลือน้อยนิดของผมตอนนั้นยังบอกเลยว่าแม่งโคตรน่าอาย!! 
“ธามอย่าฝืน ถ้าหล่นจะเจ็บนะ”
“...”
“ถ้าไงพี่ขอพาตัวธามไปก่อนนะ ถ้าไม่ดีขึ้นจะได้พาไปหาหมอ” ปรินซ์พูดกับพวกพี่ๆ ตรงนั้น ผมที่อยากจะปกป้องศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายแมนๆ แทบตาย แต่ก็ไม่มีแรงต่อต้าน เลยได้แต่นอนตัวหนักในอ้อมแขนของปรินซ์อย่างช่วยไม่ได้ ถึงจะรู้สึกอายโคตร ไม่อยากจะจินตนาการว่าตัวเองจะถูกคนมากมายในคณะมองยังไงเลยหลับตาแม่งให้สนิทปิดการรับรู้ไปซะ แต่ในใจก็อดผ่อนคลายไม่ได้ รู้สึกอุ่นใจที่ปรินซ์มารับ ตอนนี้ผมคงหมดสติได้จริงๆ สักที

“ไอ้ธาม อ้ามมมม มากูป้อนนนน” หน้าไอ้บอสที่ยื่นมาใกล้ทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว
“ทำเชี่ยไรเนี่ยมึง!”
“ก็กูเห็นมึงถือช้อนอยู่นานล่ะ คานิ่งหยั่งกะมึงถ่ายเดอะแมททริกอยู่ กูเลยนึกว่ามึงวาปไปอยู่ในช่องว่างมิติเวลาซะแหละ” บอสร่ายยาวแล้วก็ตักเอาโจ๊กเข้าปาก
“กูพยายามนึกตอนที่ปรินซ์มันไปรับกูอยู่”
“พูดถึงพี่ปรินซ์ กูว่าพี่มันแม่งไม่ได้นอนชัวร์ ตอนไปรับกูมานี่ ตาแม่งดำหยั่งกับโดนใครป้ายมาสคาร่าแล้วสีแม่งตก”
“ภาพแม่งโคตรชัด” ผมหัวเราะ
“กูล่ะอยากจะโคฟเป็นมึงจริงๆ เมื่อคืนคงเป็นค่ำคืนแสนหวานนนนนน”
“แสนหวานเชี่ยไรของมึง”
“อ่ะ มึงคิดดู พี่ปรินซ์แม่งต้องแก้ผ้าให้มึง เช็ดตัวให้มึง เฝ้ามึง มองมึง เช็ดตัวให้มึง เฝ้ามึง มองมึง วนไปเรื่อยๆ ทั้งคืน แล้วถ้ามึงบ่นว่าหนาว พี่มันก็อาจจะเอาเนื้อห่มเนื้อให้มึงหายหนาว..”
“มึงหยุดมโนเลยไอ้เชี่ยบอส กูขนลุกหมดแล้วเนี่ย!!”
“เออๆ กูไม่แกล้งแล้ว”
“ปรินซ์มันเป็นพี่ป่ะวะ มันก็ดูแลกูอย่างนี้ตลอดนั่นแหละ”
“อออออแล้วมึงหน้าแดงทำไมวะ หรือว่ามึงนึกภาพตาม??”
“สัดดดด”
“เดี๋ยวนี้ทะลึ่งใหญ่แล้วน้าาาา”
“...”
“เออไอ้ธาม กูถามไรมึงอย่างได้ไหมวะ”
“ไร”
“เมื่อวานที่คอร์ทแบด..” ผมวางช้อนในมือทันที นึกอยู่สองวิว่าผมจะเล่าหรือไม่เล่า
“กูโดนจูบ..” ไอ้บอสพ่นโจ๊กที่เพิ่งเข้าปากออกมาทันที
“ไอ้เชี่ยบอสสสส!! เล่นไรเนี่ย ไปหาทิชชู่มาเช็ดเลย”
บอสรีบกระวีกระวาดไปหาทิชชู่อย่างไว
“มึงเล่ามาเลย เอาละเอียด”
“พี่คนนั้นเขาชื่อพี่ข้าว เป็นพี่ว๊ากที่คณะ ตอนฝึกตีโต้แม่งก็แกล้งกูฉิบหาย กูวิ่งรับลูกเก็บลูกจนกูไม่ไหวเลยขอไปนั่งพักหายใจ แต่จู่ๆ พี่มันก็..จูบกู”
“เชี่ยยยย!! แล้วมึงก็นั่งนิ่งให้เขาจูบเนี่ยนะ??”
“กูพยายามดันแม่งออกแล้ว แต่กูสู้แรงไม่ไหวจริงๆ ดีที่มึงมาก่อน”
“กูมาขัดจังหวะมึงล่ะสิ”
“สัดดด!!”
“แล้วมึงรู้สึกไง?”
“กูว่ากูอึ้ง งง แล้วก็..”
“ชอบม่ะ?”
“...”
“ทำไมมึงไม่ตอบ”
“กูไม่รู้ แต่กูพยายามดันพี่มันออกแล้ว”
“มึงรังเกียจป่ะล่ะ”
“...”
“แสดงว่าไม่ได้รังเกียจจูบจากผู้ชาย แล้วรู้สึกโกรธม่ะ?”
“กูว่ากูงง อึ้งมากกว่าจะโกรธว่ะ แล้วพอมาคิดอีกที สองวันก่อนในห้องเชียร์กูก็โคตรป่วน ถ้าพี่มันจะไม่พอใจจะแกล้งกูกูก็เข้าใจ อีกอย่างตอนกูจะร่วงในห้องเชียร์ พี่ข้าวก็มารับกูไว้”
“ออออ ทำบุญไถ่บาปว่างั้น เจ๊ากันไป??”
“...”
“แต่นั่นมันจูบแรกของมึงเลยนะเว้ย!! มึงต้องมีอารมณ์อยากชกหน้าพี่มันป่ะวะ”
“มึงอย่ามารู้ดี!”
“ห่ะยังไง กูรู้ดีเรื่อง? เรื่องที่มึงไม่อยากต่อยพี่มันกลับ หรือเรื่องที่..นี่ไม่ใช่จูบแรกของมึง?”
“...”
“งั้นกูขอฟันทิ้งในส่วนของพี่ข้าวอะไรนี่ก่อนเลย พี่มันชอบมึงชัวร์”
“กูว่าพี่มันแค่แกล้งเปล่าวะ”
“แกล้งเชี่ยไร คนเราจะแกล้ง จะลงโทษมันมีวิธีอื่นเยอะแยะไหมวะ แค่ลากมึงออกไปซ้อมอีกคอร์ทกูก็ว่าทะแม่งๆ แหละ แล้วนี่ยังฉวยโอกาสกับมึงอีกจะคิดอย่างอื่นแม่งไม่ได้ล่ะ นี่ถ้าเป็นสาวๆ คงปลื้มตาย พี่ว๊ากเท่ๆ มาแจกจูบใส่ กูชอบนะคนจริง คิดไรก็ลงมือลุยเลย”
“...”
“แล้วทีนี้พี่ปรินซ์ของกูล่ะจะทำไง”
“เกี่ยวไรกับปรินซ์วะ”
“ไอ้ธามมม นี่มึงไม่รู้สึกอะไรมั่งเหรอวะ”
“ให้รู้สึกอะไรวะ”
“พี่ปรินซ์น่ะจีบมึงออกนอกหน้าขนาดนี้” ไอ้บอสเอื้อมมือมาตบหัวคนป่วยอย่างผมเบาๆ
“ไปรับ ไปส่ง ไปเฝ้า เป็นห่วงเป็นใย เอาใจใส่ ไม่สนโลก ไม่แคร์ใคร ถ้าไม่ใช่ว่าพี่มันมีใจให้ กูว่าไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ป่ะวะ”
“...”
“มึงฟังกู ไอ้ที่พี่มันบุกคณะมึง ไปแหกกฎห้องเชียร์ของคณะอื่น มึงว่าคนอื่นจะมองพี่มันยังไงวะ เยอะ วุ่นวาย ยุ่มย่าม พ่อแม่ก็ไม่ใช่ มึงอ่ะคงไม่รู้ว่าพี่ปรินซ์ของมึงอ่ะดังแค่ไหนในมหาลัย ไอ้ที่มันไปทำตัวอย่างนี้ชื่อเสียงจะเสียเลยนะ แล้วถ้าบานปลายถึงหูคณบดีล่ะ”
“...” ผมคิดมาตลอดว่าที่มันคอยดูแลผมเพราะม๊าสั่งมา ก็เห็นปรินซ์ชอบอ้างม๊าตลอด แต่พอฟังไอ้บอสพูด ทั้งหมดก็ดูจะมากเกินไปจริงๆ ..มันเอาตัวเองมาเสี่ยงกับผมมากเกินไป
“พี่ปรินซ์น่ะคิดกับมึงเกินน้องเกินเพื่อนแน่นอน เชื่อกู”
“...”
“ฮอตนะเนี่ยเพื่อนกู มีหนุ่มเท่ๆ คูลๆ มารุมจีบทีเดียวสองคน ยังไงดีล่ะมึง”
“กูควรดีใจเหรอวะ มันแม่งโคตรไม่ใช่ ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิงมีนมดิวะ”
“มึงนี่โบชะมัด โลกมันไปถึงไหนแล้ว อีกอย่างนะเว้ย ชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก เราเลือกไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นกับใคร กับเพศไหน ขอแค่ใจคนทั้งคู่มันตรงกันก็พอแล้ว”
“...”
“เอางี้ ส่วนของพี่ข้าวอะไรนั่น มึงต้องดูยาวๆไป แต่มึงอยากรู้ม่ะว่าพี่ปรินซ์คิดยังไงกับมึง”
“เออ ก็อยาก”
“เออออ กูรู้ว่ามึงก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างแหละ ยังไงพี่ปรินซ์แม่งก็โคตรดี โคตรเท่ ถ้าพี่มันจะชอบมึงจริงๆ และมึงจะชอบพี่มัน กูก็ดีใจนะ ถึงกูจะหวงไอดอลของกู แต่ถ้าเป็นมึงกูก็ยอมหลีกทางให้”
“มึงก็อย่าเพิ่งสรุปอะไรได้ไหมวะ”
“เออๆ เอางี้ ถ้ามึงเจอหน้าพี่ปรินซ์ มึงก็ลองเล่าเรื่องที่คอร์ทแบด แล้วมึงก็ดูว่าเขาทำหน้ายังไง”
.
..ทางเดินริมสนามฟุตบอล
..ปรินซ์ / โบ้ท

“โอะโอววววว นี่มันนักบอลมหาลัยสุดหล่อนี่หว่า ไงมึง ทําไมมาวิ่งแต่เช้าวะ”
“โดนโค้ชทําโทษว่ะพี่”
“น่าสงสาร เอ้า พวกมึงวิ่งนําไปก่อนเลย เดี๋ยวกูอยู่ประกบนักบอลก่อน” พี่โบ้ทสั่งกลุ่มชายฉกรรจ์ที่วิ่งตามหลังมา
“ไมโดนทําโทษวะ”
“ผมโดดซ้อมหลายวัน”
“เออสม มัวแต่ไปเฝ้าหนุ่มเหรอวะ” ผมยิ้มตอบ ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อตอนปีหนึ่ง ผมเลยนับถือพี่โบ้ท และก็ฝากตัวเป็นรุ่นน้องของพี่มันตามไอ้เป้ไป ถ้าว่างก็ตามไปกินเหล้ากับก๊วนเพื่อนพี่มัน
“หนุ่มคณะไหนวะ”
“นิเทศ” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด พี่โบ้ทมองผมขาดอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิด และผมก็ไม่คิดจะปิดบังใครด้วย
“นิเทศอีกล่ะ ว่าแต่คนมีความรักมันต้องยิ้มแย้ม แล้วทำไมมึงทำหน้าเหม็นขี้อย่างนี้วะ มีอะไรในใจ?”
“รู้สึกเหมือนมีคู่แข่งว่ะพี่”
“โหวว เสน่ห์แรงด้วย กูอยากเห็นหน้าหนุ่มของมึงเลยเนี่ย”
“ก็น้องมันน่ารัก..” ผมอดนึกถึงหน้าของธามเมื่อคืนไม่ได้ ธามไม่มีสติเลยสักนิด ทั้งที่โดนผมจับถอดเสื้อผ้า ตัวมันโอนอ่อนไปหมด จะจับคว่ำ จับตะแคงยังไงก็ได้ เนื้อตัวเปล่าอุ่นๆ ของธามทำผมแทบคลั่ง ต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ธามตอนนี้เซ็กซี่ฉิบ.. นึกอยากรังแกคนป่วยแทบแย่แต่ก็ทำได้แค่เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แล้วก็ห่อธามให้มิดชิดที่สุด ผมจะได้ทำอะไรธามไม่ได้ แต่แค่ผ้าห่มผืนเดียวคงห้ามอะไรผมไม่ได้หรอก ถ้าผมจะทำ..
“แล้วคู่แข่งมึงน่ากลัวไหม”
“เป็นพี่ว๊ากอยู่คณะเดียวกันกับน้องมัน”
“พี่ว๊ากส่วนใหญ่จะฮอตซะด้วย เป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับมึงเลย แถมน้ำตาลยังใกล้มด ระวังจะโดนมดเลียจนละลายล่ะมึง” ขาของผมที่วิ่งอยู่หยุดกึกทันที
“มึงก็แค่ต้องทำอะไรให้มันชัดเจน ถ้าน้องมันยังไม่รู้ตัว มึงก็ต้องบอก กูเห็นหลายคนล่ะ มัวแต่ช้าสุดท้ายก็โดนหมาคาบไปแดก แค่พฤติกรรมที่แสดงออกอ่ะ มันไม่มีทางชัดเท่าคำพูดนะ”
“...”
.
..คอนโดปรินซ์
..ธาม

“เออมึงพี่ปรินซ์ฝากบอกว่าชุดนักศึกษาอ่ะ ซักรีดให้แล้ว เผื่อมึงต้องไปเรียน แต่กูก็บอกพี่มันแล้วนะว่ามึงไม่มีเรียน น่าอิจฉาเน๊อะ”
ไอ้บอสบอกผมก่อนออกไปเรียน ส่วนผมก็ลุกขึ้นมาล้างชามสะอาดเก็บเรียบร้อย แล้วก็เดินกลับเข้าไปนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงของปรินซ์เพราะยังอยากนอนต่ออีกนิด กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ติดอยู่บนหมอนกับผ้าห่มเป็นกลิ่นของปรินซ์ กลิ่นที่ผมคุ้นเคยมาตลอด ..กลิ่นเฉพาะของปรินซ์
กรอบรูปเล็กที่ผมมองไม่ออกว่ามันคือรูปอะไรเมื่อตอนเช้ามืดยังวางนิ่งอยู่ที่เดิม ผมเขยิบตัวเล็กน้อยเพื่อจะหยิบเอามันมาดูใกล้ๆ ผมจำมันได้แทบจะในทันที ..รูปถ่ายของผมกับปรินซ์เมื่อสองปีก่อน ตอนที่ปรินซ์อยู่ ม.6 และผมอยู่ ม.4 งานกีฬาสีโรงเรียนครั้งสุดท้ายของปรินซ์ เราได้อยู่สีเดียวกัน ..สีฟ้า ปรินซ์เป็นนักกีฬาฟุตบอล ส่วนพวกผมชั้น ม.4 มีหน้าที่ดูแลสแตนด์เชียร์ คุมน้องๆ ที่อยู่บนสแตนด์ ตลอดการแข่งบอลรอบชิงผมเลยได้ดูปรินซ์ตลอดการแข่งขัน ปรินซ์เป็นกองหลังที่ดี เป็นกำแพงที่แกร่งกล้า ถึงจะตัวสูงหนาแต่กลับคล่องตัว ตัดบอลเก่ง และจ่ายบอลแม่น ผมเคยถามว่าทำไมถึงเป็นกองหลัง ทำไมไม่ไปเป็นกองหน้า ตัวทำแต้มเท่กว่าเป็นไหนๆ ปรินซ์ก็ตอบผมว่า ในเกมฟุตบอลน่ะ ไม่ว่าจะเล่นตำแหน่งไหนก็สำคัญทั้งหมด แล้วก็เท่ได้เหมือนกัน ถ้าเราเล่นแบบเต็มที่ เล่นแบบตั้งใจ เหมือนอย่างตัวปรินซ์มันเองที่เท้าแตะลูกทีไรก็มีเสียงเชียร์ดังสนั่น พอปรินซ์พูดจบผมทำหน้าเหมือนจะอ้วกใส่ หมั่นไส้คำพูดหล่อๆ กับความหลงตัวเองสุดๆ ของปรินซ์ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยปฏิเสธในความเก่งของปรินซ์ และก็อดเห็นด้วยไม่ได้ว่า ตอนปรินซ์อยู่ในสนามน่ะโคตรเท่
บ่ายวันนั้นทีมฟุตบอลสีเราชนะได้เหรียญทองตามความคาดหมาย ปรินซ์พาร่างร้อนๆหลังจบเกมเก้าสิบนาทีมาหาผมที่สแตนด์
“พาไปห้องพักของสีเราหน่อยดิ”
“ได้” ผมตะโกนแข่งกับเสียงเชียร์สนั่นกลางสนาม บอกเพื่อนที่ยืนข้างกันให้ช่วยดูสแตนด์ต่อ

“เหนื่อยดิ”
“โคตรเหนื่อยอ่ะ ไอ้พี่เฮง (ศิษย์เก่าที่อาสามาเป็นโค้ช) แม่งไม่เปลี่ยนตัวเลย”
“เห็นอยู่ ก็เป็นตัวจริงนิ”
“ตัวจริงก็คนป่ะ จะให้ออกมาพักมั่งก็ไม่ได้”
ผมเดินพาปรินซ์มาที่ชั้นสองของตึกวิทย์ที่ตอนนี้โดนแปลงสภาพมาเป็นห้องพักของสีฟ้า กระเป๋าเป้ พู่เชือก และข้าวของอีกมากมายถูกวางระเกะระกะอยู่เต็มห้อง และเพราะตอนนี้ใกล้จะจบงานแล้ว ทุกคนจึงลงไปอยู่ที่สนามกันหมด เพื่อรอคอยเวลาประกาศชัยชนะว่าปีนี้ถ้วยเกียรติยศอันทรงเกียรติจะเป็นของสีใด
“เดี๋ยวกูไปหาน้ำมาให้” ผมบอกปรินซ์ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ซึ่งก็หลังจากที่ปรินซ์ถอดเสื้อบอลออกแล้วพับเป็นก้อนใช้นอนแทนหมอน

“ลุกขึ้นมากินน้ำก่อน” ปรินซ์ลุกขึ้นมานั่งทันที และรับน้ำจากผมไปกิน
“รีบไปไหนป่ะ” ปรินซ์ถามผม
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ งานใกล้เลิกแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง
“งั้นยืมตักหน่อย สักสิบนาทีนะ” มือหนาของปรินซ์ดึงมือผมให้นั่งลง ก่อนจะเอาหัวหนักๆวางลงบนตักผม มันไม่รอฟังด้วยซ้ำว่าผมจะอนุญาตรึเปล่า..อยากจะขัดใจ แต่ก็ทำไม่ลง เพราะรู้ดีว่าปรินซ์เพลียมากจริงๆ ปรินซ์ซ้อมหนักมาตลอดเดือนต่อเนื่องเพื่อแมตช์สุดท้ายในรั้วโรงเรียนนี้
แป๊บเดียวปรินซ์ก็หลับไปผมนั่งเกร็งไม่กล้าขยับกลัวว่าจะไปปลุกคนตัวโตให้ตื่น ใจนึกอยากจะหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงแต่ก็ทำไม่ได้ เลยได้แต่สอดส่ายสายตามองสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในห้อง กระดานดำที่ไอ้พวกเวรทั้งหลายเขียนด่ากันเล่นระหว่างเตรียมตัวขึ้นสแตนด์ บอร์ดข้างกระดานดำที่จัดหัวข้อวันวิสาขบูชาซึ่งมันมีความรู้ให้อ่านฆ่าเวลา แต่ผมก็ดันนั่งอยู่ไกลจนอ่านอะไรไม่ออก กระเป๋าเป้ใบดำเขื่องนั่นของไอ้พลัม มันใส่อะไรมาวะ ส่วนกระเป๋าลายโคนันของไอ้นา กูชอบลายวันพีชของมึงมากกว่า ผมมองไปเรื่อยๆ จนหมดความสนใจจากสิ่งต่างๆ รอบห้องเลยลดสายตามามองคนที่อยู่ใกล้ตัวแทน
กล้ามเนื้อท้องพองยุบเป็นจังหวะสม่ำเสมอแสดงว่าหลับสนิท ลำแขนที่วางอยู่ด้านข้างมีสองสีเพราะตากแดดไม่เท่ากัน หน้าอกมีกล้ามแน่น อ๊ะ หัวนมสีชมพูซะด้วย ลำคอหนาแต่ก็จัดว่ายาว เป็นยีราฟกลับชาติมาเกิดรึไงรูปหน้าจัดว่าเรียว ตาไม่โตมาก แต่ขนตาก็ยาวเป็นแพ.. เอาไว้ถ่อล่องน้ำตกได้ จมูกเรียกว่าโด่งก็ได้มั้ง ส่วนปากก็..
ผมมองซ้ายมองขวา ไม่มีใครในห้อง มีแค่มันกับผม ปรินซ์น่ะหลับลึกแน่นอน ถ้าแค่ลองแตะดูคงไม่เป็นไรมั้ง ผมเอามือไปแตะริมฝีปากนั้นเบาๆ นุ่มดีแหะ แล้วถ้า.. เป็นปากกับปากล่ะ.. ผมค่อยๆ ก้มหน้าของตัวเองลงไปใกล้ รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ก็กลั้นหายใจแน่นเพราะกลัวจะไปปลุกเอาคนร่างหนาให้ตื่นขึ้นมารับรู้ว่าตัวเองโดนขโมยจูบ อีกนิดนึงไอ้ธาม อีกนิดเดียว ผมก้มหน้าลงไปเรื่อยๆ จนรับรู้ในที่สุดทั้งที่หลับตาแน่น ริมฝีปากของผมสัมผัสกับริมฝีปากของปรินซ์แล้ว มันนุ่มจริงๆ ด้วย นุ่มกว่าใช้มือสัมผัสซะอีก ผมอยากจะลองกดแรงลงไปอีกนิด แต่จู่ๆ เจ้าของริมฝีปากนุ่มก็ขยับร่างกาย ผมรีบเงยหน้าตั้งหลังตรงทันที ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปรินซ์ยังคงหลับอยู่.. ผมถอนหายใจ แล้วอีกห้านาทีต่อจากนั้นผมก็นั่งสำนึกผิดอยู่กับตัวเอง ทั้งเทศนา ทั้งบ่นตัวเองว่าทำอะไรลงไป มันผิดธรรมชาติมนุษย์ ชายหญิงสิคือของคู่กัน แล้วไอ้การล่วงละเมิดโดยที่ไม่ได้รับการยินยอมเนี่ยมันก็ผิดกฎหมาย หนำซ้ำการเผลอใจทดลองอะไรแบบนี้มันก็ดูไม่ใช่ผม ผมต้องมีสติไม่เผลอไผลไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการของตัวเองง่ายๆ ต่อให้มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ผู้อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ก็เถอะ ผมด่าตัวเองวนไปจนปรินซ์ตื่น
“เมื่อยไหม”
“ไม่”
“ทำไมหน้าแดงๆ”
“ก็ตากแดดมาทั้งวัน”
ปรินซ์เอามือหนามาแตะหน้าผากผม“คงแค่เพราะแดด เพราะตัวไม่ร้อน งั้นเราลงไปข้างล่างกันเถอะ”
“อือ” ผมเดินตามหลังปรินซ์ลงไปชั้นล่าง รู้สึกอายตัวเองอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ลืมเรื่องนี้ทันทีเมื่อรับรู้ว่าพวกเราสีฟ้าเป็นเจ้าเหรียญทอง ภาพของพี่ใจ ประธานสีฟ้าขึ้นรับถ้วยรางวัลแห่งชัยชนะทำเอาผมตื้นตัน ผลจากความสามัคคี ความตั้งใจ ความพยายามของพวกเราในทุกส่วนงานส่งผลให้พวกเราชนะ แต่ถ้วยรางวัลนี้ก็พร้อมจะผลัดเปลี่ยนมือไปยังสีอื่นที่มีความพยายามในปีต่อๆ ไป ในทุกเกมการแข่งขันมีฝ่ายที่แพ้ก็ต้องมีฝ่ายที่ชนะ มีมานะก็ต้องมีมานี ใครที่มีความตั้งใจมากกว่า อดทนมากกว่า พยายามมากกว่า ก็สมควรที่จะได้รับผลแห่งความตั้งใจนั้นเสมอ
พอเสร็จสิ้นพิธีการบนเวที พวกเราทุกคน ทุกสี ทุกชั้นปีจับมือไขว่กันเป็นวงกลมหลายชั้นโดยไม่แบ่งแยกว่าใครอยู่สีอะไร ชั้นปีอะไร เราร้องเพลงสามัคคีชุมนุมดังกระหึ่มไปทั่วโรงเรียน ผมจับมือปรินซ์กระชับแน่น มันช่างอบอุ่นจริงๆ ทั้งงานกีฬาสี และมือของปรินซ์ เรายิ้มให้กันอย่างมีความสุข ผมจะไม่มีวันบอกปรินซ์เด็ดขาดว่าปรินซ์คือจูบแรกของผม จูบที่ผมแอบขโมยตอนปรินซ์หลับ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ได้โดนปรินซ์แบล็คเมล์ไม่จบสิ้นแน่ๆ
“พี่ปรินซ์คร๊าบบบบ ไอ้ธามคร๊าบบบ ยืนคู่กันหน่อยคร๊าบบบบ จะถ่ายรูปล่ะนะคร๊าบบบ หนึ่ง สอง สี่ ชีสสสสสส”

..และรูปคู่ของพวกเรารูปนี้ก็ได้มาเพราะบอสคะยั้นคะยอที่จะถ่ายให้พวกเรา ปรินซ์ยังเก็บมันไว้ ผมก็ยังเก็บมันไว้เหมือนกัน..
.
.

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
015
ระยะใกล้
.
.
..ธาม
“อะอืออออ” เสียงสั่นของมือถือดังอยู่บนโต๊ะหัวเตียง มันสั่นครืดคราดอยู่นาน นานจนดับ แล้วก็ดังอีก ผมทนรําคาญไม่ไหวเลยเอื้อมมือไปหยิบ นิ้วมือลากสไลด์บนหน้าจอด้วยความเคยชิน ใครสักคนโทรมา..สภาพร่างกายเริ่มกลับมามีแรงอีกครั้งหลังได้ยากับอาหารเช้า ก่อนจะเผลอหลับไปอีกทั้งที่ในหัวยังคิดถึงเรื่องราวที่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น เมื่อวาน
“อืมมมมม” ผมครางตอบปลายสายที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
“ธามยังอยู่ที่ห้องพี่ใช่ไหม”
“อืมมม”
“เดี๋ยวพี่เอาข้าวกลางวันไปให้ รอก่อนนะ”
“อืมมม”
ผมวางสายปรินซ์แล้วพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกข้าง ยกขาพาดหมอนข้างที่วางอยู่ ยังรู้สึกอยากนอนต่อ เมื่อกี้ใครนะ กำลังจะเอาข้าวมา ข้าวกลางวัน ปรินซ์เป็นคนโทรมา ปรินซ์กําลังจะมา..
“เชี่ยปรินซ์กําลังจะมา!” พอประมวลบทสนทนาเมื่อกี้ได้ผมก็สะดุ้งลุกขึ้นนั่งอย่างไว มองสภาพตัวเองที่สุดแสนโทรม หน้ายังไม่ได้ล้าง ฟันก็ยังไม่ได้แปลง ยกเสื้อขึ้นดมกลิ่นของตัวเอง เสื้อของปรินซ์น่ะหอม แต่ตัวของผมนี่สิ หมักมาตั้งแต่เมื่อวาน ผมรีบลุกขึ้นแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องนํ้าทันที เดี๋ยวได้โดนปรินซ์แซวว่าซกมกเป็นสมาชิกพรรคกะยาจกพอดี

..ปรินซ์
“ธาม โจ๊กมาแล้ว”

ไม่มีเสียงตอบจากคนตัวเล็กผมเปิดประตูห้องนอนเมื่อไม่เห็นว่าธามอยู่ที่ส่วนของห้องนั่งเล่น แต่ธามก็ไม่อยู่ในห้องนอนเหมือนกัน เหลืออยู่ที่เดียวคือห้องน้ำ ผมเดินเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวที่กำลังสาดจากด้านบนสู่เบื้องล่าง คนตัวเล็กของผมคงกำลังอาบน้ำอยู่ อาการคงดีขึ้นแล้ว ผมยิ้มสบายใจ แล้วเดินไปโซนห้องครัว เทโจ๊กที่หาซื้อแสนยากในเวลาอันเป็นมื้อกลางวันอย่างตอนนี้ จริงๆ ถ้าเพียงผมเลือกเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ ก็น่าจะได้โจ๊กซอง โจ๊กถ้วยพร้อมปรุง แค่ฉีกซอง เติมนํ้าร้อน ออกแรงคนอีกนิด เป็นอันจบ แต่ผมอยากให้ธามได้กินของอร่อยๆ ได้กินโจ๊กที่ผ่านการใช้เวลาปรุงจากในหม้อ เลยถ่อไปหาโจ๊กไกลถึงตลาดใหญ่ที่ไกลออกไปจากมหาลัยหลังเลิกเรียนช่วงเช้า ..ธามจะรู้ถึงความพยายามของผมไหมนะ
เสียงประตูห้องน้ำดังขึ้น มันค่อยๆ แง้มออก พร้อมกับกลุ่มไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาเป็นม่านจางๆ อย่างกับใครเอาเครื่องทำควันสโม๊คเข้าไปไว้ในนั้น เด็กน้อยของผมคงอาบน้ำอุ่น
“มาแล้วเหรอ” ธามที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันร่างกายส่วนล่างอยู่เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผมที่เปียกปรกหน้า ผมมองร่างบางละเอียดอย่างกับเครื่องสแกนอาวุธ แม้เมื่อคืนจะถือวิสาสะมอง (และสัมผัส) ไปแล้วก็เถอะ
“อาบน้ำนานรึเปล่า”
“ก็เปล่านะ”
“อือดี อาบนานเดี๋ยวไข้กลับ มานั่งนี่” ผมเลื่อนเก้าอี้ให้ธาม ธามเดินมานั่งโดยดี
“เดี๋ยวพี่เอาผ้ามาเช็ดหัวให้” ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนในห้องนอน ก่อนจะวางมันลงบนหัวคนตัวเล็กกว่าและเริ่มขยี้ผมของธามเบาๆ กลิ่นแชมพู กลิ่นสบู่ บวกกับไอร้อนอุ่นๆ ที่ออกมาจากตัวธามทำผมเคลิ้ม
“ไม่ต้อง เอามานี่ เช็ดเองได้”
“มีแรงเช็ดแล้วเหรอ”
“…”
“เอางี้ ธามนั่งกินโจ๊กไปเลย เดี๋ยวพี่เอาไดร์มาเป่าให้ จะได้แห้งไวๆ”
“ก็ได้” ธามยอมตักโจ๊กกินอย่างว่าง่าย เด็กดีจริงๆ อยู่ในโอวาท

“ไม่ร้อนไปใช่ไหม” ผมถามขณะที่กำลังใช้ไดร์เป่าผมให้ธาม
“อือ พอดีกิน โจ๊กอร่อยดีนะ แต่คนละเจ้ากับเมื่อเช้าใช่ป่ะ”
“อืม” เซนส์เรื่องการกินของธามไม่เคยพลาด ผมยิ้ม
“มีเรียนตอนบ่ายรึเปล่า”
“มี”
“นี่ของปรินซ์ใช่ป่ะ” ธามชี้ไปที่โจ๊กอีกชามที่วางอยู่
“ใช่”
“งั้นก็มากินได้แล้ว ไม่ต้องเป่าแล้ว เดี๋ยวไปเรียนไม่ทันหรอก”
“งั้นธามก็ป้อนพี่..”
“ก็เลิกเป่าแล้วมากินเองดิ มือก็มี”
“ก็อยากให้ป้อน..”
“...”
“ก็แค่ตักมาส่งที่ปากให้หน่อย ไม่เสียเวลาเป่าผมให้ธามด้วย จะได้เสร็จแล้วก็ออกไปพร้อมกันไง ธามจะเข้าคณะไม่ใช่เหรอ”
“รู้ได้ไง”
“ธามน่ะนอนนิ่งๆทั้งวันไม่ได้หรอก พี่รู้”
“เออ ไอ้คนรู้ดี”
“งั้นก็ป้อนดิ จะได้เสร็จพร้อมๆ กัน”
“...” คนตัวเล็กทำหน้างอ ผมชอบจริงๆ เวลาที่ผมต้อนธามจนจนมุมได้
ธามตักโจ๊กในชามของผม
“เป่าให้พี่ด้วย” ธามหน้างอขึ้นอีกนิด ผมยิ้ม
“อ่ะ อ้าปาก” ผมก้มหน้าลงไปใกล้ธาม หน้าของเราห่างกันแค่ช้อนกั้น จมูกของเราแทบจะสัมผัสกัน โจ๊กนั้นเข้าปากผมเรียบร้อยแล้ว แต่ตาของผมนั้นจ้องนิ่งสบกับดวงตาของธามอย่างเจตนา ผมอยากรู้ว่าธามจะทำยังไง จะมีปฏิกิริยายังไงกับความใกล้ขนาดนี้ของเราอีกครั้ง คืนนั้นธามนิ่งไปอาจจะเพราะธามเพิ่งตื่นนอน แต่ตอนนี้ธามรู้ตัวดีมีสติ ถ้าธามเลือกจะผลักผมออก ผมคงปวดใจไม่น้อย
.
..ธาม
ผมมองตาปรินซ์อยู่นาน (นานในความรู้สึก) เหมือนเรากำลังแข่งเล่นเกมจ้องตากัน มันก็แค่เกม แต่ทำไมในดวงตาของปรินซ์เหมือนกำลังบอกอะไรบางอย่างกับผม.. หรือปรินซ์มันกําลังด่าผมอยู่ ปรินซ์มองตาผมนิ่ง ดวงตาอ่อนโยนแต่ก็กวนประสาทแปลกๆ ทั้งชวนมองแต่ก็ชวนตั้งคําถาม ผมไม่ทันรู้ตัวเลยว่าตัวเองเผลอกระพริบตาไปหลายที กลืนน้ำลายไปหลายครั้ง เม้มปากแน่น แถมยังแอบมองปากชมพูที่คาบช้อนอยู่ของคนตรงหน้า จูบแรกของผม.. ผมเองยังอยากมองตาปรินซ์ต่อไป ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ ทั้งที่หัวใจก็กำลังเต้นรัวหยั่งกับมีใครมาตีกลองเชิดสิงโตวันตรุษจีน ..ใกล้กันแบบนี้อีกแล้ว ทำยังไงดีว่ะเนี่ย!
.
..ปรินซ์
ธามดึงช้อนออกจากปากของผม พร้อมกับก้มหน้าก้มตาหลบก่อนพูดเสียงเบา
“ไง อร่อยดีเน๊อะ” ธามหน้าแดง.. ผมเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกพอใจ ผมยิ้ม อย่างน้อยธามก็ไม่ได้รังเกียจผม ผมถอนใบหน้าออกจากธามช้าๆ ใจเย็นไว้ไอ้ปรินซ์ ธามยิ่งหัวโบราณอยู่ ธามไม่กระโดดถีบแถมเทศนาอีกหนึ่งย่อหน้าก็บุญเท่าไหร่แล้ว
.
..ธาม
“..เอางี้ ถ้ามึงเจอหน้าพี่ปรินซ์ มึงก็ลองเล่าเรื่องที่คอร์ทแบด แล้วมึงก็ดูว่าเขาทำหน้ายังไง” ไอ้บอสมันสอนผมไว้ แต่ตอนนี้แค่ทำหัวใจตัวเองให้เต้นช้าลงยังทำได้ยาก จะหาเรื่องให้หัวใจทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีกทำไม ถึงจะอยากรู้ก็เถอะว่าปรินซ์มันจะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าผมโดนพี่ข้าวจูบ.. แล้วปรินซ์ชอบผมเกินน้องจริงเหรอ? ผู้ชายกับผู้ชายเนี่ยนะ!
ผมก้มหน้าก้มตากินโจ๊กต่ออย่างตั้งใจ ปล่อยให้เสียงไดร์เป่าผมกลบเสียงความคิดของตัวเอง แน่นอนผมเลิกป้อนไอ้ปรินซ์แล้ว และปรินซ์เองก็ไม่ได้คะยั้นคะยอจะให้ป้อนต่อด้วย
“อิ่มแล้วเหรอครับ”
“อือ”
“งั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมแห้งแล้ว”
“อือ” ปรินซ์นั่งลงจัดการโจ๊กของตัวเองบ้าง ส่วนผมก็เดินเข้าห้องนอนไป ชุดนักศึกษาที่ซักรีดเรียบร้อยของผมแขวนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า มันมีกลิ่นเดียวกันกับเสื้อผ้าของปรินซ์.. อดคิดไม่ได้ว่า นอกจากปรินซ์จะต้องเฝ้าไข้ผมทั้งคืนแล้ว ยังต้องซักแล้วก็รีดเสื้อผ้าให้ผมอีก สมกับที่เป็นผู้ปกครองของผมจริงๆ ม๊าเลือก (ใช้) คนไม่ผิด ผมหัวเราะ

“คืนนี้พี่จะมารับนะ” ปรินซ์บอกผมเมื่อรถของปรินซ์ขับมาถึงคณะนิเทศ
“...”
“อย่าลืมสิ วันนี้ธามไม่ได้เอาจักรยานมานะ อย่าดื้อ เพิ่งหายป่วยด้วย”
“...” ปรินซ์เอื้อมมือมาขยี้หัวของผมเบาๆ
“เออ จะรอ”

“ไงมึง ดีขึ้นแล้วดิ” ไอ้บรีสเดินเข้ามาทักทายผมทันทีที่ผมเดินเข้ามาในเขตของใต้ถุน ตอนนี้ที่นี่เต็มไปด้วยรุ่นพี่ปีสองและน้องปีหนึ่งอย่างพวกผม พวกเราปีหนึ่งที่ตารางเรียนคล้ายๆ กันล้วนแต่ต้องมาคณะเพื่อล่าลายเซ็นของพี่ปีสองให้ครบ (ไม่ก็ให้ได้มากที่สุด) เพื่อแสดงถึงความพยายามที่อยากจะเป็นน้องของพวกพี่ๆ พี่ปีสองเองก็รู้หน้าที่ดีถึงได้มานั่งรวมตัวกันเกือบเต็มพื้นที่ของใต้ถุนเช่นกัน ยิ่งใกล้เวลาเฉลยพี่รหัสด้วยแล้ว น้องๆ ก็ขยันเข้าหาพี่ พี่ๆ เองก็ขยันมาให้ลายเซ็นอย่างเต็มใจเช่นกัน
“สวัสดีครับพี่บีบี้ ผมมาขอลายเซ็นพวกพี่ๆ ครับ”
“น้องธามน่ะเอง มามาพี่เซ็นให้ รู้รึยังว่าใครเป็นพี่รหัส”
“ยังเลยครับ”
“ไม่เป็นไรๆ ขอให้หาเจอไวๆ พี่เราเขาน่ารักนะ ว่าแต่เรื่องลีดที่พี่เคยชวน”
“...” ผมลืมไปซะสนิท
“ผมว่าผมไม่เหมาะครับพี่”
“อย่าถ่อมตัวสิ เราน่ะออกจะหุ่นดี ถึงจะดูบางไปหน่อย หน้าตาก็โอเคเลย ฟิตซ้อมนิด แต่งหน้า แต่งหล่อหน่อย รับรองปัง”
“...”
“น้าน้องธาม รุ่นเราก็มีผู้ชายอยู่แค่นี้เอง จะให้พี่ไปหาเพื่อนเราคนไหนได้อีก ที่พี่เล็งไว้ก็ตอบตกลงหมดแล้ว เริ่มซ้อมไปบ้างแล้วด้วย” พี่บีบี้ กับพี่ๆ ปีสองที่เป็นลีดมองหน้าผม ตาเป็นประกาย ไม่มีใครหรอกที่ไม่อยากเป็นลีด ตำแหน่งที่จะการันตีความฮอตในระดับคณะ เผลอๆ อาจจะในระดับมหาลัยด้วย
“คือ.. ขอโทษจริงๆ ครับพี่ ผมจะทำให้พวกพี่ผิดหวังมากกว่า” ผมมองตอบอย่างรู้สึกผิดจริงๆ จะให้ผมรับปากเป็นลีดได้ยังไงในเมื่อผมรู้ตัวเองดีว่าสกิลการเต้นของตัวเปองน่ะเทียบเท่าเด็กอนุบาล (เผลอๆ เด็กอนุบาลบางคนอาจจะเต้นดีกว่าผมในตอนนี้ด้วยซ้ำ) ดูอย่างตอนที่จะต้องเต้นแสดงความพร้อมเพียงในงานกีฬาสีมอสาม ผมน่ะเรียนรู้ท่าได้ช้าสุดจนรุ่นพี่ขอร้องให้ผมออกมาเป็นทีมสวัสดิการส่งน้ำส่งขนมให้เพื่อนแทน หรืออย่างตอนเรียนวิชาลีลาศเบื้องต้น ครูที่สอนยังต้องกินพาราไปหลายเม็ดกว่าจะสอนผมให้เต้นจังหวะชะชะช่าได้ ไม่ต้องพูดถึงความน่าสงสารของคนที่ต้องสอบเต้นคู่กับผมอย่างไอ้บอส..
“เฮ้ออออ ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องธามจะปฏิเสธ พวกพี่คิดว่ายังไงก็ต้องได้น้องธามมาเป็นหน้าเป็นตาคณะเราแน่ๆ”
“นั่นสิ น่าเสียดาย”
“แต่โอเค ไม่เป็นไร พวกพี่ไม่บังคับเราหรอกมามา พี่เซ็นชื่อให้”
“ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่เมื่อคืนกลับไปนอนหอรึเปล่าเอ่ย โดนอุ้มออกไปแบบนั้น พวกพี่ตกใจหมด” พี่บีบี้เป็นคนถาม ส่งสายตาเย้าแหย่
“เมื่อคืนผมไปนอนหอนอกน่ะครับ”
“ห้องเพื่อนเหรอ” พี่อีกคนถามบ้าง
“ออ ห้องพี่น่ะครับ”
“ห้องพี่ปรินซ์รึเปล่าเอ่ย”
“ออใช่ครับ ห้องปรินซ์”
“น่าอิจฉาอ่ะ ได้นอนห้องพี่ปรินซ์ด้วยยยยย”
“โอยแก แค่เดินเฉียดพี่เขาฉันยังใจเต้นแรงเลย”
“แล้วนี่ถ้าได้อยู่ห้องหอเดียวกัน อ๊ายยยยย”
“อินี่ก็ขี้มโนนนนนน” พี่บีบี้และผองเพื่อนพากันเม้าท์มอยออกรสออกชาติ ส่วนผมพอรับสมุดลายเซ็นคืนเรียบร้อยก็ยกมือไหว้ขอบคุณและขอตัว ยังมีพี่อีกหลายคนที่ผมยังไม่ได้เข้าไปทำความรู้จัก

บรรยากาศของใต้ถุนในยามบ่ายนี้เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานระหว่างน้องใหม่กับพี่ปีสอง ก่อนที่พวกเราทุกคนจะช่วยกันเคลียม้านั่งออกจากใต้ถุนเมื่อใกล้ถึงเวลา ปรับสถานที่ให้พร้อมสำหรับการเป็นห้องเชียร์ พวกเรายืนเข้าแถว ณ ตำแหน่งเดิม วันนี้เป็นวันที่สี่ของการเข้าห้องเชียร์แล้ว พวกเราเรียนรู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงในห้องเชียร์ ผมเองก็เช่นกัน ถึงจะเป็นคนเดียวด้วยซ้ำที่แหกกฎมาตลอด แต่มันก็ล้วนเกิดขึ้นจากความไม่เจตนาทั้งนั้น
“แพรวๆ นับได้เลยจ๊ะ” เทนนิสตะโกนเสียงสองบอกแพรวผู้ที่ยืนอยู่หัวแถวเมื่อเห็นว่าเพื่อนในรุ่นเริ่มยืนประจำที่กันเรียบร้อย ตั้งแต่วันแรกที่โดนถามเรื่องจำนวนเพื่อนในรุ่นที่มา วันต่อมาพวกเราก็เริ่มนับกันเองก่อนที่เวลาของห้องเชียร์จะเริ่ม อย่างน้อยก็เอาตัวรอดจากการว๊ากของพี่ๆ ไปได้หนึ่งเรื่อง ส่วนเรื่องที่ว่าเพื่อนบางคนที่ไม่เข้าห้องเชียร์หายไปไหน พวกเราก็ยังตอบไม่ได้อยู่ดี ก็ไอ้คนที่ไม่เข้าห้องเชียร์มันไม่ได้บอกว่าจะไปไหนแล้วถ้าจะให้ไปถามหาเหตุผล มันก็ดูยุ่ง (เรื่องของคนอื่น) มากเกินไป ผมว่าเราทุกคนล้วนมีสิทธิเสรีภาพ โตแล้วก็คงจะคิดเองได้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ การเข้าห้องเชียร์มันไม่ได้ยากขนาดนั้น ผมว่านะ อีกอย่างห้องเชียร์ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนและพี่ๆ เร็วขึ้น เวลาออกไปเจอกันนอกคณะจะได้อุ่นใจว่านี่เพื่อนเราพี่คณะเรา มีอะไรก็ช่วยกันได้
“ไอ้ธาม มึงจะกลับเลยป่ะวะ” บรีสถามผมหลังจากเราเดินลงมาจากห้องเชียร์ด้านบนจนมาถึงใต้ถุนที่ยังสว่างไสวและมีพวกพี่ๆ หลายชั้นปีนั่งกระจายตัวกันเต็มทุกม้านั่ง
“อีกแป๊บนึงว่ะ อยากขอลายเซ็นเพิ่ม เมื่อวานกูก็ดันกลับก่อน”
“เออๆ งั้นกูอยู่ขอด้วยดีกว่า”

“มึงเป็นอะไรกับพี่ปรินซ์วะ” พี่ผู้ชายคนนึงถามผมหลังจากเซ็นสมุดเชียร์ให้ คงไม่มีอะไรเป็นความลับในคณะนี้จริงๆ  และดูเหมือนผมจะเป็นที่รู้จัก เป็นที่จับจ้องของใครๆ ในคณะไปเรียบร้อยแล้ว
“ผมเป็นน้องข้างบ้านปรินซ์น่ะครับ”
“โหเรียกแต่ชื่อด้วย แสดงว่าสนิทมากดิ”
“ก็นิดนึงพี่”
“กูโคตรชอบเวลาพี่มันครองบอล” พี่ผู้ชายอีกคนร่วมวง
“เออ กูก็ด้วย กระชากบอลหลบทีกูแม่งลุกขึ้นยืนดูเลยมึง”
“ตัวอย่างหนาแต่โคตรพลิ้ว”
“วิ่งทีกูนึกว่าเหาะ เออ แล้วกูก็โคตรฮาเวลามีไอ้พวกวิ่งเข้าปะทะพี่มันแล้วมันล้มเอง” พวกพี่เขาแลกเปลี่ยนความชื่นชมในฝีเท้าของปรินซ์กันอยู่นาน
“ถ้ามึงเจอพี่เขาก็ฝากบอกด้วยว่ามีแฟนบอลอยู่นิเทศ” ผมยิ้มรับคําน่าปลื้มใจแทนปรินซ์

“บี้ คนไหนน้องธาม”
“บีบี้ย่ะ”
“เออๆ”
“แกจะเซ็นให้น้องมันใช่ม่ะ”
“ก็ด้วย แต่อยากเห็นหน้าไง”
“แสดงว่าแกพลาดช็อตเด็ดล่ะสิ”
“ก็เออน่ะสิ”
“ไว้จะชี้ตัวให้ น้องน่าจะกลับแล้ว”
“แกว่าน้องธามกับพี่ปรินซ์เขาเป็นอะไรกัน”
“นั่นดิ ฉันก็ว่าชักจะยังไงๆ นะ แกจำคืนที่เราพาน้องเขาไปกินซำบายเป๋าได้ป่ะ”
“จำได้ๆ”
“ทําไมวะ”
“ฉันน่ะเจอพี่ปรินซ์ทั้งที่คณะกับที่ร้านเลยจ้าาา”
“ว๊ายพรหมลิขิต!”
“แหมมมม ถ้าได้ก็ดี แต่ฮีมารับน้องธามจ้า”
“!!!”
“..จะเม้าท์”
“มา..”
“ตอนรับน้องแรกเข้า ฮีก็มารับน้องธามที่คณะ แต่น้องธามต้องไปกินข้าวกับพวกฉันไง พี่ปรินซ์ก็กลับสิ”
“แล้วๆ”
“พอตอนน้องธามกินเสร็จจะขอกลับก่อน ฉันก็เดินออกมาส่งหน้าร้านไง”
“…”
“พี่ปรินซ์ก็มารอรับแล้วววว”
“!!!”
“ไงช็อกสิ อิฉันก็ช็อกจ้าาาา”
“ฉันว่าต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอนเชื่อเซ้นส์แม่หมอได้เลยยย”
“น้องบอกว่า น้องเป็นเด็กข้างบ้านน่ะ อาจจะแค่สนิทกันนนน”
“โนวโนว ฟังไม่ขึ้นจ้ะ”
“แต่แกน่ะยังได้ข่าวไม่ครบนะจ๊ะ”
“อะไรกันอีกล่ะ ฉันแค่กลับมาช้าไปอาทิตย์เดียวววว”
“พี่ข้าวน่ะ..”
“พี่ข้าว.. ทำไมพี่ข้าวของฉันทำไม??”
“ฮีน่ะเข้าไปยืนว๊ากระยะประชิดน้องธามเกือบทุกวัน”
“พี่ข้าวเนี่ยนะ!”
“เออสิ ฉันก็คิดว่าตายแน่น้องธามตายแน่ โดนพี่ข้าวล็อกเป้า”
“ตายตาย!”
“แต่เมื่อวานน้องธามอ่ะ จะเป็นลม.. พี่ข้าวน่ะพุ่งเข้าไปหาตัวน้องธามอย่างไวเลยจ้าาา”
“ฉันน่ะก็เพ่งเล็งน้องอยู่ตลอด พี่ข้าวไม่ได้ยืนอยู่แถวน้องธามด้วยนะตอนนั้น”
“โคตรใส่ใจอ่ะแก๊”
“มากเกินไปป่ะวะ”
“พี่ข้าว?”
“น้องธามไรเนี่ย”
“?”
“เพิ่งเข้ามาก็อ่อยไปทั่ว”
“แกก็เกินไป น้องไม่น่าจะเป็นคนอย่างนั้น”
“ใช่ น้องไม่ยอมเป็นลีดด้วยนะ ถ้าจะอ่อย จะพาวก็เป็นลีดไปเลยม่ะ”
“ก็นี่ขนาดไม่เป็น ยังได้ไปสอง ทั้งตัวท็อปคณะตัวท็อปมหาลัย”
“แกอคติป่ะวะ”
“แกรอดู”

แม้เสียงจอแจของทุกคนจะดังรายรอบ ผมก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยของกลุ่มพี่บีบี้ อาจเพราะผมยืนหันหลังอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะพวกพี่เขา หรือเพราะมนุษย์เรามักจะหูดีเวลาที่ชื่อของตัวเองกําลังถูกคนอื่นพูดถึง
.
.
.

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
016
ประกาศตัว
.
.
ผมเดินจํ้าออกไปจากตรงนั้นทันที มุมมืดของตึกด้านนอกใต้ถุนเป็นที่ที่ผมจะได้ใช้เวลากับคําพูดของพวกพี่ๆที่ได้ยินเมื่อกี้

อ่อยไปทั่ว..
นี่ขนาดไม่เป็น (ลีด) ยังได้ไปสอง..
ตัวท็อปคณะ ท็อปมหาลัย..

ผมเนี่ยนะ ผู้ชายอย่างผมกําลังอ่อยผู้ชายด้วยกัน นี่มันเรื่องเชี่ยไรกัน!!ผมมาเรียนหนังสือหาความรู้ ได้ปริญญา ไม่ได้มาหาผู้ชาย เชี่ย! หาผู้ชาย! หาผู้ชายเนี่ยนะ มันไม่ใช่ป่ะวะ!! แค่คิดยังรู้สึกย้อนแย้ง
“น้องธาม”
ผมหันหน้าไปหาเจ้าของเสียง คงเป็นพี่ผู้หญิงในคณะสักชั้นปี ผมแน่ใจจากกระโปรงที่พี่เขาใส่ มันไม่ใช่พีทสําหรับปีหนึ่ง
“เอ่อครับ พี่..”
“พี่ชื่อฟ้า”
“ครับพี่ฟ้า”
“พี่อยากคุยอะไรด้วยหน่อยน่ะ”
“ออได้ครับ” ผมพยายามปรับอารมณ์เพื่อคุยกับพี่ที่มาใหม่ อย่าปล่อยให้อารมณ์โมโหอยู่เหนือสติ เพราะมันจะมีแต่เรื่องแย่ๆ ตามมา
“ได้ยินที่พวกบีบี้คุยกันใช่ป่ะ”
“ครับ”
“พี่ไม่รู้หรอกว่าความจริงเป็นยังไง แต่..มันเป็นเรื่องส่วนตัวของธาม ของพี่ปรินซ์ ของพี่ข้าว คนอื่นจะมอง จะรู้สึกยังไง อย่าไปเก็บมาคิด เพราะพวกเขาก็ไม่ได้มารู้ความสัมพันธ์จริงๆ ระหว่างธามกับพี่พี่ทั้งสองคน”
“...”
“อีกอย่างนะน้องธาม เรื่องความรักน่ะ มันเป็นเรื่องดีๆ ของชีวิต ตราบใดที่มันไม่ได้ทำร้ายใคร หรือมาทำให้ชีวิตเราแย่ลง ดาวน์ลง เข้าใจที่พี่พูดใช่ป่ะ”
“...”
“เห้ย ทำไมมองพี่อย่างนั้นล่ะ อย่าร้องนะ พี่ปลอบคนไม่เก่ง”
“เห้ยเปล่าสักหน่อยพี่ แค่ซึ้งน่ะพี่”
“เออก็ดีแล้ว อีกอย่างนึงนะ พี่ว่าดีออกที่ใครๆ พากันสนใจธาม มองธาม”
“?”
“หรือว่าไม่จริง การมีตัวตนในคณะที่โคตรจะมีสีสันแบบคณะเราเนี่ย ไม่ง่ายนะจ๊ะ ไม่หล่อเวอร์ ก็ต้องสวยขาว ไม่ก็ต้องติสสุด อีกทีก็ต้องตุ๊ดแรดเท่านั้นแหละ” ทั้งผมทั้งพี่ฟ้าพากันหัวเราะ ที่พี่ฟ้าพูดคือโคตรจริง
“พี่ฟ้าเป็นพี่รหัสผมใช่ป่ะ” ผมยืมมุกบรีสมาใช้บ้าง แอบคิดว่าถ้ามีพี่ฟ้าเป็นพี่รหัสคงจะดีไม่น้อย
“..คือ”
“ถ้าใช่ผมคงโคตรดีใจ”
“..เออ ใช่ก็ใช่”
“ผมว่าแล้ว” เพราะถ้าไม่ใช่ พี่คงไม่มายืนปลอบผมอยู่อย่างนี้หรอก ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว การมีพี่มันดีอย่างนี้นี่เอง
“นี่ครับสมุดเชียร์ เซ็นชื่อให้ผมด้วย”
.
..ปรินซ์

“เชี่ย!! ตายยากสัด”
“อะไรของมึงวะ ใครตายยาก”
“นั่นไง เดินมานู้นล่ะ”
“เชี่ย!! ตายยากจริง มาทั้งชุดบอลด้วย สงสัยซ้อมอยู่แน่เลยว่ะ”
“มาคณะเราทําไมวะ”
“มาไมไม่รู้ กูรู้แค่ว่าห้ามพลาด”
“พี่มันเดินไปโต๊ะแก็งค์ลีดว่ะ”
“มาจีบใครป่ะวะ”

“กรี๊ดดดด พี่ปรินซ์ซ์ซ์”
“เจอกันอีกแล้วนะ น้อง…”
“บีบี้ค่ะพี่ปรินซ์ จำชื่อน้องยังไม่ได้อีกเดี๋ยวตีเลย”
“พี่ปรินซ์มีอะไรรึเปล่าคะ”
“หรือว่ามาหาใครเอ่ย”
“พี่อยากคุยกับพวกเราหน่อยน่ะ”
“?”
“พี่อยากบอกพวกเราว่า ธามน่ะไม่ได้อ่อยพี่หรอก เป็นพี่เองที่พยายามอ่อยธามอยู่..”
“!!!!/ !!!! / !!!!!”
“..เป็นกำลังใจให้พี่ด้วยนะ”
“กรี๊ดดดดด / กรี๊ดดดดด / อ๊ายยยยย”
ผมไม่ได้อยู่ฟังเสียงกรี๊ดปรอทแทบแตกของพวกรุ่นน้องต่างคณะ ไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเธอจะคิดยังไงกับการที่ผมเข้าไปอธิบายสิ่งที่พวกเธอกำลังเข้าใจคลาดเคลื่อน แต่ก็หวังว่าพวกเธอนี่แหละจะเป็นลำโพงกระจายข่าวที่ถูกต้อง ธามจะต้องไม่ลำบากเพราะผมที่เข้ามาวุ่นวายถึงในคณะ
ผมเดินออกมานอกใต้ถุนเพราะรู้อยู่แล้วว่าธามเดินไปทางไหน ธามอยู่ตรงนั้นกับรุ่นพี่ สีหน้าของธามดูดีขึ้นในความมืดของไฟทางสลัว ผมก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ธาม แต่แล้วสายตาที่เหลือบมองไกลออกไปก็สะดุดเข้ากับร่างสูง ผมหยุดเดินทันที ..ไอ้ข้าวยืนอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ธามกับรุ่นพี่สาวยืนอยู่ระหว่างผมกับไอ้ข้าว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ไอ้ข้าว..
.
..ธาม
“มึง.. ไอ้เชี่ยธามมมมมม อยู่นี่นี่เอง กูหาซะทั่ว ที่สว่างๆไม่มีให้ยืนรึไงมึง” บอสพูดเสียงหอบ แต่ก็ยังร่ายยาวเหมือนเดิม
“อ้าวมึงมาทำไร”
“ก็.. กู.. ออ หวัดดีครับพี่”
“เออๆ นี่พี่รหัสกูเอง พี่ฟ้า”
“หวัดดีครับพี่ฟ้า ผมชื่อบอสครับ เป็นเพื่อนไอ้ธาม อยู่จิตวิดยา”
“จ้ะ เออธาม งั้นพี่ไปก่อนดีกว่า อย่ากลับดึกล่ะ ไว้คุยกัน ไปก่อนนะน้องบอส”
“หวัดดีคร๊าบบบ / หวัดดีครับ”
“อ่ะ มึงมาไม”
“กูโดนพี่ปรินซ์ผู้ปกครองมึงอ่ะโทรตามให้มารับมึง”
“รับกู? เพื่อ?”
“เออกูก็ไม่รู้ว่าทำไมปล่อยให้มึงกลับเองไม่ได้ และที่น่างงกว่านั้นคือ รถพี่ปรินซ์แม่งจอดอยู่นอกคณะมึงเนี่ย ถ้าจะรับมึงกลับก็กลับรถพี่มันไม่ได้รึไง ทำไมต้องโทรตามให้กูขี่จักรยานสองล้อมารับมึง แล้วนี่กูก็มาไกลจากสนามกีฬากลางฝั่งนู้นโน่น”
“แล้วมึงไปทำไรตรงโน้นว่ะ”
“กูไปเป็นสวัสดิการคร๊าบบน้องธาม”
“สวัสดิการ?”
“เออสวัสดิการกลางน่ะ ก็ไปช่วยดูแลนักกีฬา ดูแลข้าวของ ดูแลลีดมหาลัยงี้”
“อออ เพื่อจะได้ดูแลลีดล่ะสิมึง”
“เออ กูไม่เถียง แล้วนี่เอาไง กลับเลยม่ะ”
“ก็อยากกลับ แต่มึงบอกว่ารถปรินซ์อยู่แถวนี้ แสดงว่าตัวมันก็ต้องอยู่แถวนี้ดิวะ กูอยากเจอมันก่อนกลับ” ก็ไอ้คนตัวสูงกว่าบอกว่าจะมารับนิ!
“มีอยากเจอด้วยยยย ตอนที่วิ่งหามึงรอบคณะอ่ะกูไม่เห็นนะ แต่ถ้ามึงอยากเจอก็ไปกับกูนี่ เจอชัวร์ตัวอุ่นๆ”
.
..ปรินซ์
“มีอะไรก็ว่ามา”
ไอ้ข่าวถามผมทันทีที่เราสองอยู่ในที่ที่จะไม่มีใครเดินมารบกวน
“...”
“ถ้ามึงไม่มีอะไร..”
“ทําไมต้องเป็นธาม”
“ก็เพราะเป็นมึงไง”
“เพราะเป็นกู? กูไปเดินเหยียบหางมึงตอนไหน”
“...”
“หรือมึงแอบชอบกู”
“กูไม่มีวันชอบหน้าตัวเมียอย่างมึงหรอก”
“สัดดดด!!” ผมกระชากคอเสื้อนักศึกษาของไอ้ข้าว มันมีสิทธิ์อะไรมาด่าผมแบบนี้
“เอาเลย มึงต่อยกูเลย กูก็อยากรู้ว่าธามจะเห็นมึงเป็นคนยังไง”
“!!!”
“มึงรู้ไว้เลยนะ ถ้ามึงเผลอเมื่อไหร่.. ธามเสร็จกูแน่”
ผมมองหน้าไอ้ข้าวอย่างไม่เข้าใจ ผมไปทำอะไรมันไว้
.
.
..ข้าว
“มึงจะทำอย่างนั้นจริงๆเหรอวะ” ไอ้ที เพื่อนสนิทที่รู้จักตัวตนของผมดี และรู้จักแม้กระทั่งครอบครัวของผม ครอบครัวที่ครั้งหนึ่งมันเคยสุขสมบูรณ์..

ไอ้ทีแยกตัวผมออกจากไอ้ปรินซ์ที่กำลังเกาะกุมคอเสื้อนักศึกษาของผมจนกระดุมหลุดหายไปสองเม็ด แววตาของมันบอกว่ามันพร้อมที่จะซัดผมให้สลบคาที่ แต่ก็ต้องยั้งเอาไว้เพราะมัวแต่ห่วงความรู้สึกของธาม โคตรสะใจ!! ป๊อดฉิบหาย!

“เออ กูจะทำ” ผมตอบคำถามไอ้ที
“มึงไม่ควรลากน้องธามมาเกี่ยวกับการล้างแค้นของมึงไหมวะ”
“กูไม่สน ใครที่อยู่ข้างๆไอ้เชี่ยปรินซ์ ก็ต้องหารความเลวของมันไปด้วย”
“กูว่าไม่ใช่แล้วว่ะ”
“ทำไมวะ ทำไมมึงต้องเดือดร้อนแทนพวกเชี่ยนี่ด้วย”
“ก็เพราะมึงไม่แยกแยะไง!”
“...”
“มึงแค้นไอ้ปรินซ์ มึงก็ไปต่อยมันดิ ไปเอาคืนมันนู้น น้องมันเกี่ยวไรด้วย”
“ถ้ากูเล่นงานมัน ต่อให้เจ็บปางตาย แต่เดี๋ยวมันก็หาย แต่ถ้ากูได้ธาม.. มันจะเจ็บไปตลอดชีวิต”
“หึ กูว่ามึงกำลังหาข้ออ้างให้ตัวเองมากกว่า”
“ข้ออ้าง ข้ออ้างเชี่ยไร”
“กูว่ามึงน่ะสนใจน้องธาม”
“ไอ้เด็กนั่นมันมีเหมือนกูทุกอย่าง กูไม่เอามันมาทำพ่อกูหรอก!”
“กูจะรอดู และกูขอบอกมึงไว้ตรงนี้เลย ถ้ามึงเจ็บมาอย่าหวังว่ากูจะสงสาร เพราะไอ้ที่มึงจะทําแค่คิดแม่งก็ผิดแล้ว”
.
..ปรินซ์
ผมนึกไม่ออก ผมไปทําเชี่ยไรไว้กับไอ้ข้าว มันถึงได้แค้นฝังร่างขนาดนี้ ช่างมัน! ต้นเหตุคืออะไรยังไม่อยากคิด แต่ผลของมันต่างหากที่ผมต้องกังวล สายตาของไอ้ข้าวบอกผมว่ามันเอาจริงแน่
“หายไปไหนมา!” ผมหันขวับทันที ถึงไม่หันไปมองผมก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเสียงของใคร.. โค้ชเหี้ยม โค้ชหน้าดุ แถมไม่ได้ดุแค่ชื่อกับหน้า ชื่อเล่นนี้คงได้มาจากนิสัย ‘เหี้ยมๆ’ ที่เล่นเอานักเตะชูธงขาวยอมแพ้ขอลาออกจากทีมไปแล้วหลายคน แต่ก็นะ ถ้าไม่อึด ใจไม่รัก โดนพัฒนาแค่นี้ก็ไม่สู้ ไม่ทน ไม่พยายาม ก็สมควรออกไป
“ผมมีธุระด่วนน่ะครับโค้ช ขอโทษด้วยครับ ผมจะไปวิ่งรอบสนามสามรอบตอนนี้เลยครับ” ผมรีบระบุบทลงโทษตัวเองอย่างรู้งาน แต่ความจริงคือ ถ้ารอให้โค้ชสั่งเองคงไม่ตํ่ากว่าห้ารอบ
“เดี๋ยวก่อน”
“ครับโค้ช”
“จะเปลี่ยนคําตอบไหม”
“..ถ้าเรื่องไปกีฬามหาลัยโลก ผมยังขอปฏิเสธเหมือนเดิมครับ”
“เอาเหตุผลจริงๆ มาบอกผมสิ”
“...”
“โอกาสมันไม่ได้มาถึงมือง่ายๆ นะ ถ้าไปแข่งรายการนี้ โอกาสทําผลงาน โชว์ศักยภาพมันมีไง คุณอาจได้ไปไกลถึงทีมชาติ”
“โค้ชครับ ..ผมไม่อยากเสียการเรียน”
“นั่นมันแค่ข้ออ้างหลอกๆ อย่างคุณน่ะแค่หายไปสองอาทิตย์ หรือต่อให้ขาดเรียนเป็นเดือน คุณก็กลับมาตามเรียนทันอยู่แล้ว เพราะอะไร.. เพราะคุณขยัน มีความพยายาม แล้วก็มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน”
“...”
“ไงหมดข้ออ้างดีๆแล้วใช่ไหม ผมสรุปก่อนเลยว่าคุณจะไป จนกว่าจะหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้มาบอกผมได้ก่อนซ้อมเสร็จคืนนี้”
“แต่โค้ชครับ..”
“ออ สามรอบน่ะมันน้อยไป จะไปเป็นตัวแทนนักศึกษาของประเทศมันต้องถึก ไปวิ่งเจ็ดรอบ แล้วก็ซ้อมต่อในสนามปฏิบัติ!”
โธ่เว๊ย! อยากตะโกนไล่หลังโค้ช แต่ก็กลัวว่าจะเพิ่มรอบวิ่งไห้ตัวเองเปล่าๆ
“เชี่ยปรินซ์!”
ผมหันหลังไปมองหาต้นเสียง รู้อยู่แล้วว่าเป็นเสียงของคนตัวเล็กกว่า
“ธาม.. มาทําอะไรที่นี่”
.
.
.


ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
017
ความฝัน
.
.
..ห้าปีก่อน
..โรงเรียนมัธยม
..ธาม

“น่าอายว่ะ” ผมพูดกับปรินซ์
“สีตัวเองชนะนิ อยากพูดไรก็พูด”
แม้แดดจะร่มลงในยามบ่ายแก่ค่อนไปเย็น แต่อากาศโดยรอบก็ยังร้อนอบอ้าว อาจเพราะอุณหภูมิในหน้าร้อนอันเป็นธรรมดา หรือไม่ก็เพราะความคุกรุ่นของเกมการแข่งขันระหว่างสองสีที่เพิ่งจบลง ผมกับปรินซ์กำลังนั่งอยู่บนสแตนท์โล่งที่ไร้ผู้คน คงจะมีเหลืออยู่แต่เพียงกลุ่มพี่ๆ บางส่วน ที่ต้องคอยดูแลเรื่องขยะ และความเรียบร้อยของพื้นที่หลังจากการแข่งจบลงอยู่ตรงบริเวณสนามฟุตบอลไกลออกไป มันเป็นงานกีฬาสีปีแรกของผมในโรงเรียนมัธยม ผมนั่งอยู่บนสแตนด์ของสีเขียวแต่สายตาของผมคอยจับจ้องแต่นักกีฬาฟุตบอลของสีตรงข้ามตลอดเก้าสิบนาที ผมรู้อยู่แล้วว่าปรินซ์เป็นนักบอลที่มีฝีมือมาแต่ไหนแต่ไร วันนี้ผมจึงตื่นเต้นมากที่จะได้ดูปรินซ์วิ่งในสนามที่ใหญ่ขึ้น และจะต้องเท่ขึ้นตามประสบการณ์ที่ปรินซ์มีแน่ๆ
“จะกลับบ้านเลยไหม..” ปรินซ์ถาม
“อุตส่าห์ตัดบอลได้แล้ว ทำไมถึงปล่อยให้พี่วิทย์ตามฉกกลับได้ง่ายๆวะ” ผมยังอินอยู่กับแมตช์ฟุตบอลเมื่อครู่
“...”
“แล้วไอ้ลูกที่จ่ายไปให้กองกลาง โคตรจะไม่แม่น จะส่งให้เขาเล่นต่อ หรือจะให้เขาวิ่งตามเก็บลูกกันแน่”
“...”
“ไหนจะตอนที่เขาบุกมาถึงหน้าโกลแล้ว ทำไมกันไว้ไม่อยู่วะ ปล่อยหลุดแบบง่ายๆ”
“...”
“ใครๆก็บอกว่าปรินซ์เป็นกองหลังที่สุดยอด ขนาดพี่ในสีเขียวยังบอกว่าปรินซ์เป็นคนเดียวที่ต้องระวัง แต่แม่งไม่ใช่เลย โคตรจะไม่ภูมิใจเลยอ่ะ ดีนะที่โรงเรียนไม่ให้ผู้ปกครองเข้ามาดู ไม่งั้นทั้งม๊า ทั้งป้าป้าที่ปลื้มปรินซ์เว่อร์ๆ คงได้ร้องไห้แงๆ แน่”
“ใครมันจะไปเก่งมันทุกเกม แล้วยิ่งถ้าเก่งอยู่คนเดียว แต่คนอื่นมันไม่เก่ง มันก็แพ้ไปด้วยกันนั่นแหละ!”
“ไม่ใช่หรอก นี่ไม่รู้ตัวจริงๆเหรอ ว่าวันนี้ปรินซ์คือตัวถ่วงของทีม”
“ธาม!! จะมากไปแล้วนะ” ปรินซ์ลุกขึ้นยืนมองหน้าผม
“คิดดูดีๆ คนอื่นเขาก็พยายามกันเองโคตรๆ เขาพยายามไม่ต่อบอลให้ปรินซ์ พยายามไม่พึ่งปรินซ์ เขารู้ไงว่าปรินซ์น่ะไม่พร้อม ทำไมรู้ไหม ก็เพราะพอเขาจ่ายบอลให้ ปรินซ์แม่งก็ทำลูกหลุดตลอด ใครกันแน่วะที่ไม่เก่ง ใครกันแน่วะที่ทำทีมแพ้!”
“เชี่ยธาม!!” ปรินซ์ก้มลงกระชากคอเสื้อผม
“ใครวะที่บอกว่าอยากเก่งเหมือนเมสซี่ ใครวะที่บอกว่าพรสวรรค์มันต้องคู่กับพรแสวง แล้วใครวะที่บอกว่าจะไปเป็นกองหลังทีมชาติที่เท่ที่สุด หล่อที่สุด แกร่งที่สุด”
“เออ กูเองไง!”
“แต่ตอนนี้ปรินซ์มึงแม่งกลืนน้ำลายตัวเองไปแล้วไง!”
ผมในตอนนั้นพยายามที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล จำได้ว่าไม่ได้กลัวโดนปรินซ์ต่อย แต่ผมว่าผมกำลังอายแทนปรินซ์ เจ็บใจแทนปรินซ์ เสียใจแทนปรินซ์ ผมอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้มันเกเรไปบ้าง แต่ผมก็ยังคิดว่าตัวเองรู้จักปรินซ์ดีที่สุด
“...” ปรินซ์ปล่อยมือออกจากคอเสื้อของผม แล้วนั่งลงบนสแตนด์ข้างผมอีกครั้ง
“เงียบเลยธาม จะร้องทำไม” ปรินซ์เอามือหนามาปาดน้ำตาของผม ผมสะอื้น พอได้เริ่มร้องแล้ว มันก็คงหยุดไม่ได้ง่ายๆปรินซ์ลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะรั้งเอาหัวของผมซบเข้ากับบ่าหนาของมัน มืออีกข้างของปรินซ์ลูบไปมาที่หลังของผม
“มอหนึ่งแล้วนะ ทำไมยังร้องเป็นเด็กงอแงจะขอกินลูกอม”
“…”
“ที่ธามด่าน่ะ..ถูกหมดนั่นแหละ” เสียงของปรินซ์อ่อนลง
“…”
“ตอนนี้ปรินซ์ของธามมันห่วย โคตรห่วย”
“...”
“ขอโทษนะ ทำให้ธามผิดหวังมากใช่ไหม”
“...” ผมพยักหน้าแทนคำตอบโดยที่หน้าของตัวเองยังฝังอยู่ตรงบ่าของคนตัวสูง
“อืม จะพยายามให้มากกว่านี้ จะขยันซ้อมให้มากกว่านี้นะ”
“...” ผมพยักหน้า
“ธามก็ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้ปรินซ์ตลอดไปด้วยนะ”
“...” ผมยังคงพยักหน้า
.
.
..ปัจจุบัน
..สนามบอล
..ปรินซ์

“เชี่ยปรินซ์!”
“ธาม.. มาทําอะไรที่นี่” ผมพยายามปั้นหน้ายิ้ม หวังว่าธามจะเพิ่งมาถึง และไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างผมกับโค้ชเหี้ยม
“ไหนบอกว่าจะไปรับ”
“ออ.. ดีใจนะที่ธามรอให้พี่ไปรับ”
“ถ้าไม่ว่างก็บอกดิ”
“โทษที พอดีมีซ้อมน่ะ ก็เลย..”
“แต่ก็ขับรถไปถึงคณะแล้ว..”
“คือ..”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้โคตรผิดหวังว่ะทําไมจะไม่ไป ทําไมจะทิ้งโอกาสวะ”
“?” ผมทำหน้าตาไม่เข้าใจในสิ่งที่ธามพูด
“ก็เรื่องกีฬามหาลัยโลก.. ทำไมจะไม่ไป จะได้เข้าใกล้ความฝันอีกก้าวนึงแล้ว ไปเลย”
“พี่ไม่อยากไป”
“ทําไมถึงไม่อยากไป”
“...”
“พูดมาดิ”
“ก็เพราะเรื่องเรียนไง มันต้องไปตั้งเกือบเดือน กลัวเรียนตามไม่ทัน กลัวพลาดสอบย่อย กลัวคะแนนไม่ถึง กลัวติดเอฟ กลัวต้องเรียนซํ้าคลาส กลัวเรียนไม่จบในสี่ปี..” ผมหาข้ออ้างมากมายมาตอบคนตัวเล็กกว่า แต่จริงๆ คือ เพราะพี่ไม่อยากห่างธาม..
“พอเลยปรินซ์ อย่างปรินซ์อ่ะทําได้อยู่แล้ว หัวก็ดี ขยันก็ขยัน โค้ชยังพูดเลย มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ” ผมกําลังถูกคนตัวเล็กกว่าต้อนจนจนมุม ดวงตาใสกําลังส่งอารมณ์ขุ่นเคืองมาที่ผม ..มันน่ามองมากในสายตาผม
“จะยิ้มทําไมวะปรินซ์ นี่ซีเรียสอยู่นะ”
“ก็ขําธามไง จริงจังกว่าพี่อีก”
“ก็นี่มันโอกาสที่หาได้ยากไง”
“...”
“เอาจริงๆ ทําไมถึงไม่อยากไป” ธามกอดอกเงยหน้ามองผม อาการบึ้งตึงของคนตรงหน้าทําผมคิดหนัก.. ถ้าไม่บอกเหตุผลจริงๆ ธามคงโกรธมาก ผมเคยจินตนาการไว้ว่าจะค่อยๆ ทําให้ธามตกหลุมรักผม เห็นความดี (ที่มีอยู่แล้ว) เห็นความจริงใจของผม แล้ววันนั้นผมก็จะสารภาพความรู้สึกที่มีกับธาม ซึ่งก็น่าจะเป็นวันที่ธามเองก็รู้สึกเหมือนกันกับผมแล้ว แต่คืนนี้ผมหมดข้ออ้างอื่นที่จะแก้ตัวแล้วว่าทำไมถึงไม่อยากไป.. ผมคงต้องสารภาพความรู้สึกของตัวเอง.. ไม่รู้ว่าธามจะมีปฏิกิริยายังไง หวังว่าบรรยากาศในคืนข้างขึ้นที่ไร้เมฆทึบบดบังแสงนวลจากดวงจันทร์จะทําให้ธามเข้าใจ และยอมรับความรู้สึกของผม
ผมจูงมือธามพาเดินไปยังบริเวณข้างสนาม ที่ที่แสงสว่างจากเสาไฟสปอตไลท์ดวงใหญ่ในสนามส่องมาไม่ค่อยถึง คนตัวเล็กกว่ายอมเดินตามผมมาโดยดี ธามยกสองแขนขึ้นกอดอกทันทีที่ผมปล่อยมือธามให้เป็นอิสระ อารมณ์ของธามยังคงบูดตึง
“อ่ะพูดมาได้แล้ว”
“...” ผมรวบตัวธามเข้ามากอดกระชับ
“เห้ยปรินซ์! ทําไรเนี่ย!!” ธามโวยวาย พยายามจะต้านแรงกอดรัดของผม
“อยู่เฉยๆ นะครับ แล้วพี่จะบอกว่าทําไมถึงไม่อยากไป” ธามหยุดดิ้นแทบจะทันที หัวใจผมเต้นแรง แต่ผมก็พยายามข่มนํ้าเสียงตัวเองให้เป็นปกติ ก่อนกระซิบที่ข้างหูธาม
“ที่ไม่อยากไป.. เพราะพี่ไม่อยากห่างธาม”
“!!!”
“มันอาจจะกะทันหันสําหรับธามนะ แต่พี่ชอบธามมานานแล้ว ชอบมาตลอด..”

ธามนิ่งไปจนผมเริ่มหวั่นใจ

“ปรินซ์ ปล่อยก่อน..”
ผมยอมคลายอ้อมแขนออกเพราะไม่อยากขัดใจธาม แต่ผมก็จับข้อมือของธามไว้ข้างหนึ่ง ผมกลัวธามจะวิ่งหนีไป..
“เอาไว้คุยกันหลังกลับมา..” ธามหลบตาผมพูดอ้อมแอ้ม ผมนึกด่าตัวเองที่พาธามมาคุยในที่มืดๆ เลยไม่ได้เห็นสีหน้าของธามชัดๆ ใครจะรู้ ธามอาจจะกำลังเขินผมก็ได้
“คือ.. ไปโฟกัสเรื่องเตะบอลก่อนได้ไหม มันก็ไม่ได้ต้องไปนานเป็นปีเป็นชาติสักหน่อย”
“...”
“..จะรอดูตอนถ่ายทอด”
“...”
“..อยากเห็นปรินซ์ในสนาม”
..ผมยิ้มกว้าง คําพูดของธามกำลังทำให้หัวใจของผมพองโต ต่อให้ธามอาจจะแค่หลอกให้ผมยอมไปเตะ แต่มันก็โคตรรู้สึกดี
“ขอมือถือหน่อย” ผมยืมมือถือของธามและกดโทรออก “บรีส นี่พี่ปรินซ์ พี่ของธาม พี่มีเรื่องจะกวนหน่อย”
[ว่ามาเลยครับพี่]
“ช่วงที่พี่ไม่อยู่ ฝากดูแลธามด้วย อย่าให้ใครเข้ามายุ่งกับคนของพี่ได้ เข้าใจใช่ไหม” ผมบอกกับบรีสต่อหน้าธาม ผมอยากให้ธามรู้ว่าผมจริงจังและจริงใจกับความรู้สึกที่ผมมีต่อธามมากพอที่จะเปิดเผยกับคนที่อยู่รอบตัวธาม ที่สำคัญ.. ผมต้องการคนที่จะคอยกันไอ้ข้าวที่เพิ่งประกาศสงครามกับผม
ผมคืนมือถือให้ธามหลังจากที่พูดกับบรีสเสร็จ “ถ้าอยู่ในคณะต้องอยู่กับบรีส ถ้าอยู่นอกคณะก็ต้องอยู่กับบอส รับปากพี่”
“เห็นเป็นเด็กห้าขวบรึไง โตแล้วนะดูแลตัวเองได้”
“ถ้าธามไม่รับปาก พี่ก็จะไม่ไป”
“เออ.. ก็ได้ๆ”
“...”
“ทำให้เต็มที่ล่ะ”
.
.
..ธาม

‘ที่ไม่อยากไป.. เพราะพี่ไม่อยากห่างธาม’
‘มันอาจจะกะทันหันสําหรับธามนะ แต่พี่ชอบธามมานานแล้ว ชอบมาตลอด..’

“เป็นไรของมึงเนี่ยไอ้ธาม มึงดูกระวนกระวายนะ นั่งดีๆ” ไอ้บอสถามผมโดยที่ไม่ได้หันหลังมามอง มันกําลังตั้งใจปั่นจักรยานกลับหอโดยมีผมนั่งเป็นกระสอบทรายถ่วงอยู่เบาะหลัง
“กู..” ..กําลังนึกถึงคําพูดของปรินซ์
“สรุปพี่ปรินซ์ยอมไปเตะสินะ”
“เออ”
“แล้วนี่มึงเป็นอะไร”
“กูกําลังสับสนว่ะ”
“สับสน? สับสนเชี่ยไร เออ จู่ๆ พี่มันก็มาพูดจาแปลกๆ กับกู พี่มันสั่งกูให้ดูแลมึง อย่าปล่อยให้มึงคลาดสายตา ถ้าเป็นไปได้ ไม่ดิ พี่มันสั่งว่า ทุกคืนกูต้องไปรับมึงที่คณะ นี่พี่มันแค่ไปเตะบอลป่ะวะหรือว่าพี่มันจะไปออกรบ สั่งลาเป็นตํารวจตระเวนชายแดนห่างเมียไปได้”
“สัดดด กูไม่ใช่เมียมัน!”
“แหมมมม ร้อนตัวเชียวน้าาา”
“!!!”
“เออ แล้วเมื่อกี้มึงบอกว่าสับสน”
“ก็ไอ้ปรินซ์นี่แหละที่ทํากูสับสน”
“ยังไงวะ”
“มันบอกว่ามันชอบกู”
บอสเบรกจักรยานแรงจนหน้าผมทิ่มเข้าไปเต็มหลังของมัน
“เชี่ยบอสสสสส! จมูกกูแทบหัก”
“ไอดอลกู!! ชอบมึงจริงๆ เหรอเนี่ย!”
“เออ กูก็ไม่รู้โว้ยยยย! มันบอกกูมาแบบนี้!”
“เชี่ยธามมมม กูซึ้งจนน้ำตาจะไหล ระฆังวิวาห์ของเพื่อนรักกูใกล้จะลั่นแล้วสินะ”
“สัดดด!! กูเพิ่งบอกมึงว่ากูกำลังสับสน”
“มึงบอกมาว่ามึงสับสนอะไร” บอสออกแรงปั่นจักรยานต่อ
“ข้อหนึ่ง ผู้ชายบอกชอบผู้ชาย โคตรผิดธรรมชาติ กูว่ากูยอมรับได้ยาก”
“...”
“ข้อสอง ปรินซ์กับกูเนี่ย กูว่าเราแม่งคือพี่น้องคือเพื่อนสนิท มันจะกลายเป็นอย่างอื่นได้ไงวะ”
“...”
“ข้อสาม …”
“ก่อนที่มึงจะพยายามหาข้ออ้างมากมายมาซัพพอตความสับสนของมึง กูถามมึงข้อเดียวเลย ตอนที่ปรินซ์บอกชอบมึง มึงรู้สึกอะไร”
“กูก็.. ใจเต้นแรงมาก เขิน เชี่ยย ไม่อ่ะกูไม่ได้เขิน กูแค่ไม่กล้าสู้ตาปรินซ์ กูทนมองตามันไม่ได้ เหมือนตัวกูจะละลาย เหมือนว่าสู้ไม่ไหว ยังไงก็แพ้.. กูว่ากูก็ดีใจ แต่ว่า.. กูว่ากูอาจจะแค่.. เออ ดีใจก็ได้ ยังไงมันก็เป็นไอดอลคนนึงของกูเหมือนกัน แล้วก็.. ไม่ได้รังเกียจที่โดนมันกอด.. ออกจะรู้สึกดีตะหงิดๆ แต่มันก็อาจเหมือนกอดจากญาติสนิทคนนึงก็ได้.. แล้วตอนนี้กูก็ยังคิดถึงแต่คำพูดของมัน.. หน้าของมัน...”
“อ๊ากกกก กูอยากได้หมอนมาขยำฉีกให้ขนเป็ดกระจุย มึงกับพี่ปรินซ์กอดกัน!! ทำไมมึงไม่ตามกูไปดู! นี่ขนาดแค่ฟังมึงเล่ากูยังเขินแทนเลยเชี่ยธามมมมม มึงคือปรินซ์เซสสสสส”
“มึงเวอร์ไปล่ะ”
“กูไม่ได้เวอร์ ถ้ามึงไม่เชื่อ มึงลองไปโพสต์โมเมนท์ถูกสารภาพรักในพันธ์ทิพย์ รับรองโพสต์มึงได้ติดเทรนด์ฮิตแน่นอน”
“...”
“ส่วนอาการของมึง.. ทั้งเขิน ทั้งรู้สึกดี ไหนจะละลาย กูว่ามึงน่ะตกหลุมผู้ปกครองมึงชัดๆ”
“กูว่าไม่ มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ”
“มึงนี่มันดื้อฉิบ!! ไม่ยอมเชื่อความรู้สึกตัวเอง”
“...”
“คิดถึงแต่คำพูดของพี่มัน นี่ยังบอกว่าไม่ได้คิด.. แล้วนี่มึงตอบพี่มันไปว่าไง”
“กูบอกว่าไว้ค่อยคุยหลังจากที่มันกลับมา..”
“เออดี อย่างน้อยมึงก็ไม่ได้โง่ปฏิเสธพี่มันไป ไม่งั้นกูว่านอกจากพี่มันจะไม่ไปเตะบอลแล้วเนี่ย กูว่าพี่ปรินซ์กูมีทิ้งเรียนทิ้งชีวิตแน่ๆ เสียเซวฟ์ฉิบหาย โดนเด็กข้างบ้านปฏิเสธรักหักอกกลางสนามกีฬา รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“...”
“เอาเหอะ เรื่องอย่างนี้มันต้องใช้เวลา มึงก็ค่อยๆดูความพยายามของพี่มันต่อไป แล้วก็สำรวจใจของตัวเองไป แต่อย่านานล่ะมึง เดอะปรินซ์ของกูอาจจะเปลี่ยนใจจากเดอะปรินซ์เซสอย่างมึงก็ได้”
“...”
ผมคิดตามสิ่งที่ไอ้บอสพูด ผมคิดยังไงกับปรินซ์กันแน่
.
.
.


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
018
สายรหัส
.
.
อาทิตย์แรกของการเข้าห้องเชียร์กำลังจะสิ้นสุดลง คืนนี้หลังจากที่เลิกห้องเชียร์เราจะได้รู้สักทีว่าใครคือพี่รหัส เพื่อนหลายคนยังคงมืดแปดด้าน ขณะที่หลายคนก็รู้แล้วว่าพี่รหัสของตัวเองคือใครเหมือนผมกับบรีส
ใต้ถุนคืนนี้ประชากรหนาแน่นกว่าทุกคืน เพราะพี่ปีสองทุกคนจะมารอต้อนรับน้องรหัสของตัวเอง ผมกับบรีสที่รู้จักพี่ของตัวเองอยู่แล้วจึงแยกกันเดินตามหาพี่ใครพี่มัน
“พี่ฟ้าครับ”
“จ้าน้องธามมมม เซ็งอ่ะ ธามชิงรู้ก่อน ว่าจะเตรียมแผนเซอร์ไพรส์สักหน่อย”
“ไม่ต้องหรอกพี่ แค่พี่ปลอบผมคืนก่อนผมก็โคตรเซอร์ไพรส์แล้ว”
“มาๆกอดที” ผมกอดพี่ฟ้าหลวมๆ ถึงจะรู้สึกไม่เหมาะเท่าไรก็เถอะ แต่คงเพราะคืนนั้นพี่ฟ้าทําลายกําแพงความเป็นคนแปลกหน้าต่อกันระหว่างเราไปบ้างแล้ว และผมก็รู้สึกเคารพพี่ฟ้า ถึงจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ว่าความคิดและความห้าวของพี่แกกลับไม่ได้เล็กตามตัว
“ยินดีต้อนรับน้องธามมาเป็นน้องคนใหม่ของสายเรานะ” พี่ฟ้าลูบหลังผมเบาๆ
“เอ้านี่ พี่มีของเล็กๆน้อยๆมารับขวัญ ยื่นมือมา เอาข้างที่ไม่ได้ใช้ล้างตูด” พี่ฟ้าสวมสร้อยข้อมือถักเองที่ข้อมือซ้ายของผม
“โธ่พี่ สายฉีดตูดก็มี ไม่ก็ถอดออกก่อนก็ได้”
“เออว่ะ พี่ลืมไป ขอให้มีความสุขกับคณะที่ธามเลือกเข้ามานะ มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ตลอด ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องหัวใจ”
“ครับพี่” ผมยิ้มตอบ
“อออ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะขนหนังสือ ขนชีทเรียนมาให้นะ เตรียมเคลียร์ล็อกเกอร์ไว้ได้เลย”
“ได้พี่ เยอะไหมอ่ะ”
พี่ฟ้ามองบนแทนคำตอบ ก่อนเราสองคนจะหลุดหัวเราะพร้อมกัน ผมไม่น่าถาม มันต้องเยอะอยู่แล้ว จะว่าไปหนึ่งในหลายๆ ความต่างระหว่างการเรียนมหาลัยกับการเรียนมัธยมก็คือ ตอนเรียนมัธยมเราเก็บความรู้ส่วนใหญ่ในรูปแบบเล่มหนังสือ เก็บง่าย พกสะดวก แต่ตอนเรียนมหาลัย เราเก็บความรู้ส่วนใหญ่ในรูปแบบชีท เมื่อเราโตขึ้นก็ต้องเรียนยากขึ้น หนักขึ้น การไล่ตามเก็บทุกชีทให้ครบก็อาจเป็นมิชชั่นหนึ่งในการวัดความรับผิดชอบของเราที่ต้องมีเพิ่มขึ้นก็ได้ ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง..
“แล้วก็นี่ คำใบ้แรกของลุงเรา”
“ลุง?”
“ก็พี่รหัสของพี่อีกทีไง”
“?”
“เอางี้ นึกถึงภาพผังลำดับญาตินะ ธามเป็นน้องปีหนึ่งมีพี่รหัสก็คือพี่ปีสอง ซึ่งก็คือพี่” ผมพยักหน้า
“ลำดับต่อไปก็คือพี่ปีสามในสายรหัสเรา เขาจะเรียกกันว่าลุง ถ้าเป็นพี่ผู้ชาย แล้วก็เรียกว่าป้า ถ้าเป็นพี่ผู้หญิง” ผมพยักหน้า
“ลำดับต่อไปก็คือพี่ปีสี่ในสาย ก็จะเรียกว่าปู่ย่า แต่ถ้ารุ่นเหนือขึ้นไปกว่านี้อีกก็เรียกว่าทวดงี้” ผมก็ยังคงพยักหน้า
“ทีนี้พี่ปีสามในสายเราเนี่ยเป็นพี่ผู้ชาย ก็เลยเรียกว่าลุง”
“ออออออออ เข้าใจล่ะพี่”
“ธามทำพี่เหนื่อยเลยเนี่ย” พี่ฟ้าแอคติ้งทําท่าปาดเหงื่อ
“โทษทีพี่ ก็ผมโตขนาดนี้แล้ว จู่ๆ ก็จะมีลุง เลยนึกว่าแม่ผมเจอพี่ชายที่พลัดพรากอะไรงี้”
“เรานี่มาเป็นสตอรีเลยนะ ไปเรียนเขียนบทไป๊ เอ้านี่คําใบ้แรกจากพี่ เอากระดาษแผ่นนี้ไปหาพวกพี่ปีสอง ทุกคนจะเขียนคำใบ้เพิ่มให้ เอาไว้เป็นข้อมูลตามหาตัวลุงเราได้” ผมเปิดกระดาษสีขนาดเท่าโพสท์อิทออกดู
‘คนดีของคณะ’
“โหพี่ งี้พี่คนอื่นก็เป็นคนชั่วดิ”
“ช่างคิดเน๊อะะะ” พี่ฟ้าตบแขนของผมเบาๆ คงหมั่นไส้ในความกวนของผม
“คือพี่เขาน่ะเป็นคนดีจริงๆ ไง ดีสุดๆ”
“ยังไงอ่ะ”
“อย่ามาเนียนขอคําใบ้เพิ่ม ไปนู้นเลย ไปขอจากคนอื่น”
“...”
“แต่ไว้ขอวันอื่นนะ คืนนี้ให้ทุกคนเขาคุยกับน้องของตัวเองกันก่อน”
“ครับผม”

“กูมารับคุณมึงแล้วคร๊าบบบ” ไอ้บอสเดินตรงมาหาผมที่กําลังนั่งชิลๆ มองผู้คนในคณะอยู่นอกใต้ถุน
“มึงนี่ก็ยังบ้าจี้ทำตามคำสั่งปรินซ์มัน”
“กูเคารพไอดอลกู ศรัทธา มึงเข้าใจไหมศรัทธา ว่าแต่มึงเหอะ เอาแต่ว่ากู มึงก็รอกูมารับไม่ใช่รึไง”
“เออๆ ไปๆ” ผมตัดบทรีบลุกเดินนำบอสไปที่ที่จอดจักรยานด้านนอกคณะ ขี้เกียจจะเถียงกับไอ้เพื่อนเวร ไม่ได้กลัวจะเถียงสู้ไม่ได้ แค่ไม่มีอารมณ์จะเถียง
“ไอ้บอส กูหิวว่ะ ไปหาไรกินกัน”
“งั้นกลั้นใจปั่นกลับห้อง เดี๋ยวกูปรุงรามยอนใส่กิมจิให้มึงกิน”
“เอาเรื่องจริง”
“มาม่าใส่ไข่ กูให้มึงสองฟองเลย”
“เออ แค่นี้ก็หรูแล้ว”

เป็นอีกคืนที่ผมได้ปั่นจักรยานในรั้วมหาลัยอย่างที่ตั้งใจ สายลมเย็นยามคํ่าตีหน้าเบาๆ ตามความเร็วที่เท้าผมออกแรง ปรินซ์เดินทางไปอิตาลีเพื่อเก็บตัวฝึกซ้อมก่อนแข่งจริงได้สองวันแล้ว ถ้ารวมเวลาเก็บตัวและเวลาแข่งขันเข้าด้วยกัน ก็เกือบเดือนที่ผมจะไม่ได้เจอปรินซ์ คืนที่ปรินซ์สารภาพความในใจกับผมเป็นคืนสุดท้ายก่อนออกเดินทาง แต่พอปรินซ์คอนเฟิร์มกับโค้ชในคืนนั้นว่าพร้อมจะไปโดยไม่มีข้อติดขัดอะไรแล้ว มันก็ต้องหงุดหงิดสุดขีดแทบจะเขวี้ยงสตั๊ดตามหลังโค้ช เพราะโค้ชบอกมันว่าพรุ่งนี้หกโมงเช้าให้ตื่นมารอรถตู้ที่หน้าหอได้เลย เตรียมแค่ของใช้ส่วนตัว เพราะของที่จำเป็นต่อการฝึกซ้อม โค้ชประสานงานกับทีมที่จะคอยดูแลตลอดการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว ผมยังจำใบหน้างอหงิกของปรินซ์ได้ ถึงจะโมโหแต่ก็ทําอะไรไม่ได้แล้ว ต้องไปอย่างเดียว ส่วนผมก็ทั้งขํา ทั้งสงสาร โค้ชก็เกินไป ถึงจะมีเหตุผลที่สมควรก็เถอะ
“โค้ช (พี่) หยวนเขาอยากให้ไปเก็บตัวเร็วขึ้นสามสี่วัน จะได้มีทีมเวิร์กที่ดี แล้วก็จะได้คุ้นกับสภาพอากาศก่อนแข่งด้วย ไหนจะติวเข้มเรื่องแทคติก กับเรื่องแผนรุกรับทั้งของทีมเราแล้วก็ของฝ่ายตรงข้าม” ผมเห็นปรินซ์แอบพ่นลมหายใจเบาๆ ทั้งที่ยังยืนตรงต่อหน้าโค้ชเหี้ยม
“แล้วก็.. ผมฝากไว้อีกเรื่อง หลังฝึกซ้อมทุกครั้งที่นู้น วิ่งรอบสนามอีกสามรอบด้วย ไม่สิ อย่างน้อยสามรอบ”
“!!”
“อย่าลืมว่าความอึดเป็นสิ่งสําคัญ ทราบไหม!!!”
“ทราบครับ!!!” ผมที่ยืนอยู่ไม่ไกลฟังแล้วนึกปวดขาแทน เข้าใจแล้วว่าทําไมถึงได้ฉายาว่าโค้ชเหี้ยม และถ้าปรินซ์จะเขวี้ยงสตั๊ด (ลงพื้น หลังโค้ชเดินห่างไปไกล) ผมก็เห็นด้วยนะ ต่อให้มันเป็นพฤติกรรมก้าวร้าว ก็ความไม่ได้ดั่งใจ มักทําให้เราหงุดหงิดได้เสมอ เหมือนที่ผมเองก็กําลังเป็น แม้ปรินซ์จะไม่ได้ขาดการติดต่อจนเหมือนอยู่กันคนละกาแล็กซี่ แต่การไม่ได้เจอหน้าคนที่มาปรากฏตัวทุกเช้าเย็น มันก็อดทําให้รู้สึกลึกๆ ไม่ได้ว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป แล้วยิ่งก่อนไปเจ้าคนตัวสูงกว่าเพิ่งจะมาทำให้ผมสับสนด้วย

[ซ้อมหนักมาก เป็นกำลังใจให้พี่ด้วย]
[อือ สู้ๆ - _ - ]
[จะรอเชียร์นะ...]
แอพสีเขียวบอกผมว่าปรินซ์อ่านข้อความของผมเรียบร้อยแล้ว มันเป็นบทสนทนาเดียว และเป็นบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่ปรินซ์จะเงียบหายไป..
“มึงถอนหายใจมาสามรอบล่ะ ทำไมวะมาม่าไข่คู่ของกูไม่อร่อยรึไง”
“มันก็อร่อยเป็นมาตฐานสากลอยู่แล้วป่ะวะ”
“แล้วมึงเป็นไร”
“ไม่รู้ว่ะ” ผมเขี่ยเส้นมาม่าที่เริ่มอืดอยู่ในชาม
“ไหนมึงบอกว่าหิว กินให้หมดเลย กูอุตส่าห์ตั้งใจทำ”
“...”
“หรือมึงตรอมใจเพราะว่าสามีเดินทางไกลไปต่างแดนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่นี่มันเพิ่งสองวันเองนะเว้ย”
“ไม่ใช่แหละไอ้เชี่ยบอส”
“งั้นมึงก็ตั้งใจกินมาม่ากูหน่อยสิคร๊าบบบ เอาแต่มองมือถืออยู่ได้”
“เออๆ”
“มึงรู้เปล่าว่าทำไมเขาต้องให้นักกีฬาไปเก็บตัวก่อนแข่ง”
“ก็จะได้เอาแต่ซ้อมซ้อมแล้วก็ซ้อม”
“เก่งนิมึง”
“ไม่ต้องเก่งก็รู้ไหมวะ”
“ก็รู้นิหว่า เขาต้องเอาแต่ซ้อมไง มันจะได้มีทีมเวิร์ก มีสมาธิ จะให้เอาแต่สนใจส่งไลน์หาเมียได้ไงวะ”
“ไอ้เชี่ยบอส!”
“เผลอๆ แม่งโดนยึดมือถือด้วยซ้ำเอาน่ามึง แค่ครึ่งเดือนกว่าๆ เอง”
“กูจะไปอาบน้ำนอนแล้ว มึงกินต่อด้วย เอาให้หมดเสียดายของ” ผมวางชามมาม่าไว้บนโต๊ะเตี้ยก่อนหยิบผ้าเช็ดตัวหนีไอ้บอสจอมชงเข้าห้องน้ำ ใครเมียไอ้ปรินซ์วะ!
“เห้ยยยยยมึงงง พี่ปรินซ์ไลน์มา!”
“!!!!”
“แหมมมม วิ่งสี่คูณร้อยมาเลยน้าาาาน้องธามมมมม”
“สัดบอสสส!”..ไอ้เชี่ยบอสมันหลอกผม
.
.
เสาร์อาทิตย์แรกหลังจากเปิดเทอม ผมกับบอสยังคงใช้ชีวิตในมหาลัย ไม่ได้แยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะต่างคนต่างก็มีสิ่งที่ต้องทํา ไอ้บอสพาตัวเองไปเป็นสวัสดิการกลางควบคู่กับทํากิจกรรมของคณะ เหมือนกับเด็กปีหนึ่งทั้งมหาลัย พวกเราเด็กนิเทศเองก็เหมือนกัน เรานัดกันมาเตรียมอุปกรณ์สําหรับขึ้นสแตนด์เชียร์ในงานกีฬามหาลัยประจําปี
“ฉันว่าเราต้องมีคอนเซ็ปต์” เทนนิสเปิดประเด็น “เสนอมาค่ะ เราจะช่วยกันคิด”
“เอาให้เกี่ยวกับละครดีไหมเมิงง”
“เออฉันก็ว่าดีนะแกร ใครว่าไงมั่ง”
“งั้นก็มีพร็อพแต่งตัวกันด้วยดีม่ะ จะได้เลอเลิศสมเป็นนิเทศ”
“มีพร็อพที่เหมือนกัน แต่แต่งตัวไม่เหมือนกันงี้ดิ ง่ายดีด้วย”
“เออก็ดี”
พวกเราถกกันนานเป็นชั่วโมงจึงได้คอนเซ็ปต์ของสแตนด์ สแตนด์ที่จะเป็นหน้าเป็นตาของนิเทศ ซ้ำยังจะต้องประกวดกับสแตนด์ของคณะอื่นอีก เราจึงเต็มที่และตั้งใจมาก ฝ่ายงานถูกจัดแบ่งตามความถนัดและความสมัครใจ ฝ่ายทำพู่เชือก ฝ่ายทำพร็อพ ฝ่ายจัดหาของอุปกรณ์ แล้วพวกเราก็ลงมือทำอุปกรณ์กันเลยในตอนบ่ายหลังจากแยกย้ายไปหาอะไรกินที่โรงอาหารเรียบร้อยแล้ว
“แพมมาทำพู่กับเราดิ” บรีสเอ่ยปากชวนแพมที่เพิ่งกลับเข้ามาในใต้ถุน
“เอาดิๆ สอนเราด้วย” แพมนั่งลงตรงที่ว่างข้างบรีส
“เออไอ้ธาม”
“ว่า..”
“ไมกูไม่เห็นพี่ปรินซ์ของมึงเลยวะ”
“ก็มันไปเก็บตัวกีฬามหาลัยโลกแล้ว”
“โหยยย งี้พี่มันก็ไม่ทันลงเตะในกีฬามอดิวะ”
“เออ จริงด้วย” นึกแล้วก็เซ็ง อดเห็นปรินซ์เตะสดๆ ใกล้ๆ
“เสียดายว่ะ อยากเห็นฝีเท้าพี่มึง”
“มึงก็ดูนัดที่ไปแข่งมอโลกก่อน”
“โหมึง ไม่ดูก็รู้ผลแล้วป่ะวะ ลุ้นยาก ฝรั่งแม่งตัวหยั่งกับยักษ์”
“เออก็จริงของมึง”
“น้องๆ จ๊ะ น้องธามอยู่นี่ไหมเอ่ย” เสียงพี่ผู้หญิงสักคนดังจากทางด้านหลังของผม ผมรีบหันไปหา
“อยู่นี่เอง อ่ะนี่จ๊ะน้องธาม ลุงเราเขาฝากมาให้” ผมยื่นมือขึ้นไปรับขนมถุงใหญ่ที่รุ่นพี่ส่งมาให้
“ลุงฝากบอกว่าแบ่งเพื่อนๆ ทานได้เลยนะ ออ แล้วก็เอากระดาษคำใบ้ลุงเรามาป่ะ พี่จะช่วยใบ้ให้”
“เอามาครับพี่” ผมรีบเปิดกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ใกล้ตัว หยิบเอากระดาษแผ่นเล็กขึ้นมา
“นี่ครับ” พี่เขารับกระดาษไปและเขียนอะไรอยู่สักพัก
“อ่ะนี่จ้ะคำใบ้ ส่วนพวกเราคนไหนอยากได้คำใบ้ ก็ทยอยไปขอพวกพี่ได้เลยนะ”
“ครับ/ค่ะ”
“งั้นกูไปขอคำใบ้ก่อนนะ ไปกันแพม” ผมพยักหน้าเออออ เพื่อนที่ยังเหลืออีกสี่ห้าคนก็ยังคงจดจ่อกับการทำงานต่อไป รอให้บรีสกับแพมกลับมาก่อน จึงค่อยผลัดกันไปขอคำใบ้บ้าง
“ลุงแกใจดีว่ะ ซื้อขนมมาให้ตั้งเยอะ”
“เออนั่นดิ พวกแกเปิดกินเลยเว้ย จะได้เพลินๆ”
ผมเปิดกระดาษคำใบ้ออกดู
‘ลุงน้องธามน่ากิน ขอพี่เป็นป้าได้ไหม’
ผมตกใจกับคำใบ้ คือมันไม่ได้ช่วยให้ผมหาลุงได้ ส่วนไอ้ที่มาขอเป็นป้าเนี่ย ผมอนุญาติแทนเจ้าตัวได้ด้วยเหรอ
“ไงมึงคำใบ้ รู้ตัวเลยไหมวะ” บรีสที่กลับมาจากโต๊ะพี่ปีสองถามผม
“กูว่ามันไม่ได้ช่วยไรเลยว่ะ”
“โต๊ะพี่เขามีอีกสองคน มึงไปขอเพิ่มดิ”
“แล้วมึงอ่ะ อย่าบอกว่ารู้แล้ว”
“กูว่ามันโหดไปว่ะ แต่ว่ามันก็พอมีทางเว้ย เราแค่ต้องเอาคําใบ้ไปสืบจากพี่ปีสามอีกที ซับซ้อนฉิบ ใครคิดวะเนี่ย” ขนาดบรีสผู้แสนเฟรนด์ลียังโอดครวญ
“เออ เดี๋ยวกูลองไปขอเพิ่มดู”

“หวัดดีครับพี่ๆ ผมธามครับ”
“จ้าน้องธาม สายอะไรเอ่ย”
“153 ครับ”
“พวกพี่ดูโพยแป๊บ”
“...”
“ว๊ายยยย ลุงน้องธามเหรอเนี่ย โอยยยย ตายแล้วววว พรหมลิขิต”
“แกทำน้องตกใจแล้ว ดูหน้า..”
“โทษทีๆ พี่แค่ตกใจน่ะ โอยยย อิจฉาน้องงงง มาๆ พี่ใบ้ให้”
“ฉันด้วย ฉันก็อยากใบ้” ดูท่าลุงของผมคนนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
“อ่ะเสร็จแล้วจ้ะ”
“ขอบคุณครับ”
“ขอให้เจอลุงไวๆนะ แต่พี่ว่าน่าจะยากหน่อยอ่ะ เน๊อะแก” พวกพี่พี่ดูจะสนุกกับการตามหาลุงของผม..ผมยิ้มแห้งตอบผมก้มหน้าอ่านคำใบ้ที่ได้รับหลังจากเดินห่างออกมาจากพวกพี่เขา
‘ไม่เตี้ยกว่าน้องธาม’
‘หาตัวยาก ปกติว่ายาก ตอนนี้ยิ่งยากใหญ่’
ผมอ่านคำใบ้แล้วปวดใจจริงๆ ภารกิจนี้มันจบแล้ว
‘หาตัวยาก ปกติว่ายาก ตอนนี้ยิ่งยากใหญ่’
แล้วผมจะไปหาลุงแกเจอได้ยังไง..
.
.

ออฟไลน์ kajeaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 529
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • กาเจี๊ยว
น่าติดตาม ใครน้อ ลุงรหัส

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
019
ตามหา
.
.
“ไงธาม”
“อ้าวพี่ฟ้า หวัดดีครับ”
“มาแต่เช้าเลยนะวันนี้”
“ผมมีเรียนเช้าน่ะพี่”
“แต่นี่ก็เช้าไปนะ” พี่ฟ้าพูดพลางมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองที่กำลังบอกเวลาเลยเจ็ดโมงเช้ามาเล็กน้อย
“แล้วพี่ฟ้าล่ะ ก็มาแต่เช้าเหมือนกัน”
“พี่ก็มีเรียนเช้า แล้วก็อยากมานั่งแจกคำใบ้ให้พวกเราก่อนไง” ผมพยักหน้าพลางตักเอาหมูสับในโจ๊กเข้าปาก
“ว่าแต่ธามล่ะ รู้ตัวลุงรึยังอีกสองวันเองนะ
“ยังเลยพี่ แต่คำใบ้น่ะ ผมได้มาแทบจะล้นแผ่น”
“เอ๊า แล้วทำไมยังไม่รู้” พี่ฟ้าทำหน้าค้อนแบบไม่จริงจังนัก
“ก็พอผมไปสืบจากพวกพี่ปีสาม พวกพี่เขาไม่บอกอะไรเลย เอาแต่ถามเรื่องผมมากกว่า”
“ยังไง”
“ก็.. คิดว่าห้องเชียร์เป็นยังไง อยากเรียนภาคอะไร ตั้งแต่เข้าคณะมาประทับใจพี่คนไหน..”
“แล้วธามตอบว่า..”
“ห้องเชียร์น่ะ ผมโอเค ท้าทายดี ฝึกความอดทน อนาคตถ้าผมจะต้องไปเป็นนักข่าว เป็นตากล้อง ผมอาจจะต้องยืนนานๆเหมือนอย่างตอนเข้าห้องเชียร์ก็ได้”
“อืมๆ น่าคิด”
“เรื่องเรียนภาคไหน ยังไม่ได้ตัดสินใจ ลองเรียนไปก่อน”
“พี่ก็คล้ายธาม ค่อยๆดูว่าตัวเองชอบอะไร แต่อย่านาน”
“ครับ ส่วนประทับใจพี่คนไหน..ก็ต้องพี่ฟ้าคนนี้อยู่แล้ว”
“แหมมมมม ตอบงี้จริงเหรอ”
“จริงพี่ ไม่เชื่อไปถาม”
“อ่ะโอเค เชื่อๆ เห็นเป็นธามคนซื่อหรอกนะถึงเชื่อ แล้วมีคำถามไรอีก”
“ก็.. ในกลุ่มพี่ว๊ากเนี่ย ชอบพี่คนไหน”
“อืม คนไหนล่ะ”
“ก็ทุกคนนะพี่ ผมว่าพวกพี่เขาน่าจะเหนื่อย คงต้องกินยาแก้เจ็บคอทุกวัน”
พี่ฟ้าหัวเราะ “เออๆ แล้วมีอะไรอีก”
“ระหว่างคนดีที่มาทีหลังกับคนสนิทที่มีประวัติไม่ค่อยดี ถ้าคนทั้งคู่มาจีบพร้อมกัน ผมจะเลือกใคร นี่คำถามล่าสุดเลย”
“จำได้ป่ะว่าพี่คนไหนถาม”
“พี่เขาชื่อ.. พี่ที”
“พี่ทีที่ขาวๆ หน้าตาโอเคๆ ดูสะอาดๆ ใช่ม่ะ”
“ใช่พี่”
“แล้วธามตอบว่า”
“ผมว่าคนดีก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว คนดีแสดงว่าดีในทุกเรื่อง ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่คนที่เคยทำไม่ดีในอดีต ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะกลับตัว เปลี่ยนตัวเองไม่ได้ แต่มันก็ไม่มีอะไรบอกว่าเขาจะไม่กลับไปเป็นคนไม่ดีอีกไม่ได้เหมือนกัน”
“ฟังแล้วงงแหะ สรุปว่าถ้าคนดีที่มาทีหลังมาจีบ ธามก็จะเอนเอียงไปทางนั้นสินะ”
“หึ ถ้าเป็นผู้หญิงมาจีบผู้ชายอย่างผมก่อน ผมก็ไม่เอาทั้งสองคนนะ ผมว่าผู้ชายต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนสิ ถึงจะถูก”
“หัวโบราณนะเรา”
“…” ผมไม่ปฏิเสธ
“แล้วถ้าเป็นผู้ชายมาจีบธามก่อนล่ะ..”
“…” ผมนึกถึงหน้าของคนตัวสูงกว่าที่อยู่ไกลออกไปเกือบค่อนโลก
“ทำไมหน้าแดง.. เอ้า ตอบพี่มาตรงๆ พี่อยากรู้”
“ผม.. ผมว่ามันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ”
“อือออ งี้ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ถ้ามาจีบธามก่อนก็อาจจะกินแห้ว ต้องเป็นธามที่เป็นฝ่ายเดินไปจีบเขาก่อนสินะ”
“..ก็คงใช่แหละพี่”
“จะไม่หวั่นไหวเลยเหรอ..”
“...”
“ว่าไง..”
“ผมกินเสร็จแล้ว ขอเอาชามไปเก็บก่อนนะ”
“โธ่ธาม ไม่ต้องมาทำเป็นหาเรื่องชิ่งเลย ไม่ตอบก็ไม่ตอบ งั้นพี่เตรียมตัวไปเรียนก่อนดีกว่า ไปล่ะ”
“ครับพี่ฟ้า” แล้วพี่ฟ้าก็เดินห่างไปทางบันไดขึ้นตึก
หวั่นไหวงั้นเหรอ.. ไม่มีทาง!
.
.
ในที่สุด.. คืนนี้ก็มาถึง คืนแห่งการเฉลยสายรหัสปีสาม จนแล้วจนรอด ผมก็ยังหาว่าใครเป็นลุงรหัสไม่ได้ ต่างจากเพื่อนคนอื่น ผมถามคนไหน คนนั้นก็ตอบว่ารู้แล้วๆ กันหมด ทั้งที่มันไม่ง่าย ..บรีสก็เหมือนกัน
“พี่เจียวเว้ยลุงกู” มันอวดผมในบ่ายวันที่สามของสัปดาห์ที่สองก่อนห้องเชียร์เริ่ม “ก็ยากหน่อย แต่ไม่เกินพยายาม” ไอ้เชี่ยบรีสมันพูดซะจนผมดูขี้เกียจไปเลย ทั้งที่ผมโคตรตั้งใจ แต่ไหงรู้สึกเหมือนโดนพี่ปีสามทุกคนช่วยกันพยายามปกปิดไม่ให้ผมรู้ว่าใครคือลุงของผม
“เอาหน่ามึง เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้เอง กูว่าพี่มึงต้องไม่ใช่มนุษย์แน่นอน อาจจะเป็นอุลตร้าแมนไม่ก็พิคโกโร่พอช่วยโลกเสร็จก็ต้องกลับดาวนาเม็กงี้”
“พอๆ เพ้อไปไกลล่ะมึง”

บรรยากาศของห้องเชียร์ยังคงดุดันท้าทายความอดทนของพวกเราแต่วันนี้ผมไม่ได้สนใจห้องเชียร์มากนัก เพราะมัวแต่ตื่นเต้นที่จะได้เจอ ‘ลุง’ ลุงที่แสนจะไม่ธรรมดาของตัวเอง..
“ไงมึง เจอลุงมึงยัง” ไอ้บรีสรีบถามหลังจากเราเลิกห้องเชียร์ อันเป็นเวลาที่น้องปีหนึ่งจะได้เจอพี่ปีสามสายรหัสของตัวเองอย่างเป็นทางการ
“ยัง”
“งั้นมึงไปกับกู ไปถามลุงกูกัน”

“หวัดดีครับพี่เจียว” ผมสวัสดีพี่เจียวลุงรหัสไอ้บรีสทันทีที่เดินถึงโต๊ะที่พี่มันนั่งอยู่
“เห้ยย รู้จักกูด้วย”
“พอดีไอ้บรีสมันมาอวดตั้งแต่วันก่อนแล้วพี่”
“อาวเหรอ ไอ้บรีสมันฉลาด ขนาดกูหลบไม่เข้าคณะเลยนะ มันยังอุตส่าห์สืบจนรู้ ได้ข่าวว่ามันไปตามสืบถึงอาจารย์ในภาคด้วย” พี่เจียวไม่พูดเปล่า ล็อกเอาคอไอ้บรีสที่นั่งอยู่ดูท่าจะเอ็นดู ไม่ก็หมั่นไส้หลานอย่างไอ้บรีสมาก
“ก็ผมอยากรู้ไง แต่จริงๆ คือพี่เจียวไม่ได้หลบกูหรอกเว้ย” ไอ้บรีสหันมาคุยกับผม “เรื่องจริงคือพี่มันไม่เข้าเรียน”
“อาวไอ้หลานรหัส มึงได้ข่าวมาจากแหล่งไหนเนี่ย” พี่เจียวทำท่าหยิกเข้าที่พุงของไอ้บรีสแบบทีเล่นทีจริง
“มันมั่วใช่ไหมพี่” ผมเริ่มรู้สึกสนุก
“แม่งงงง ข่าวจริง” แล้วพวกเราทั้งสามคนก็พากันหัวเราะเสียงดังจนหลายคนหันมามอง
“แล้วนี่มึงเจอลุงมึงยัง” พี่เจียวหันมาถามผม
“ยังเลยพี่ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใคร”
“มึงรหัสอะไร”
“153”
“กูนึกก่อน กูไม่เคยจำรหัสคนอื่น” พี่เจียวทำหน้าเหมือนคุยกับแม่ซื้อได้สักพัก ก็ลุกไปกระซิบกับพี่ผู้หญิงอีกคน พูดไปก็มองหน้าผมไป ก่อนจะเดินกลับมา
“ว่าไงพี่ ใครเป็นพี่มัน” ไอ้บรีสชิงถามก่อนผม มันเองก็คงอยากรู้ไม่ต่างจากผม
“...”
“พี่ถอนหายใจไมวะ”
“ก็..”
“ธาม ธาม อยู่นี่เอง อ๊ะ พี่เจียวหวัดดีค่ะ วันนี้เข้าคณะได้ด้วยเหรอพี่ ไม่ร้อนเหรอ” เป็นพี่ฟ้าพี่รหัสผมที่เดินเข้ามาร่วมวง
“แหม น้องฟ้าาาาาาาา ห้าวตลอดเลยน้าาา นี่พี่เองงงงง”
“ก็เพราะเป็นพี่ไง ไว้คุยกัน ฟ้าขอตัวธามก่อน ไปกันธาม”
“งั้นหวัดดีครับพี่เจียว ไปก่อนเว้ยมึง” ผมรีบลุกแบบงงๆ
“เออๆ มึงอย่าลืมโทรหาไอ้บอสให้มันมารับด้วยล่ะ”
“เอออออออออ” แม่งอยู่ในโอวาทปรินซ์กันหมด!!

“พี่ฟ้า ผมยังไม่เจอลุงเลย..”
“พี่ก็เลยมาแทนลุงนี่ไง”
“?”
“คือพี่เขามาไม่ได้จริงๆ”
“...”
“แต่ว่าพี่เขาสัญญานะว่าวันเฉลยสายรหัสปีสี่จะมาแน่นอน”
“อาทิตย์หน้าเลยดิพี่”
“อืม ใช่ แต่พี่เขาฝากของมาให้ธามด้วย” พี่ฟ้ายื่นถุงกระดาษใบเล็กๆ ให้ผม
“พี่เขารู้สึกผิดมากนะ แต่ว่าเขาติดธุระจริงๆ ธามอย่าน้อยใจล่ะ”
“ไม่น้อยใจหรอก เรื่องแค่นี้เอง ไว้เจอวันอื่นก็ได้” ถึงผมจะพูดไปอย่างนั้นแต่ก็อดรู้สึกเซ็งไม่ได้ ก็คนอุตส่าห์ตื่นเต้นมาทั้งวัน สุดท้ายก็ไม่ได้เจอ
.
ผมปั่นจักรยานกลับหอพร้อมไอ้บอส หลังจากถ่อไปนั่งรอมันทำงานสวัสดิการที่สนามกีฬากลาง ไม่เข้าใจจริงๆว่ามันจะขยันทำกิจกรรมอะไรเบอร์นี้ งานคณะก็มี ทําอย่างกับมีร่างแยก
“วันจริงมึงจะขึ้นสแตนด์หรือจะมาทำสวัสดิการ” ผมถามมันระหว่างทางเดินไปที่จอดจักรยาน
“กูก็ต้องขึ้นสแตนด์ดิวะ ถ้าไม่ขึ้นไอ้พี่โบ้ทเวรได้ด่ากูหูชาแน่”
“พี่โบ้ท..?”
“ก็ไอ้พี่ประธานชมรมเดินดอยไง แม่ง จ้องจับผิดกูตลอดเวลา ตั้งแต่รู้จักพี่มันวันนั้น พอเจอกันในคณะทีไร ต้องมารัดคอกูตลอด”
“เอ็นดูไงมึง”
“เอ็นดูเชี่ยไร แม่งเอาเหงื่อเหม็นๆของมันมาเช็ดกูชัดๆ”
“…” ผมกลั้นขำ หน้าของไอ้บอสแม่งดูมีอารมณ์
“พี่มันเป็นนักมวย แล้วกูก็ซวยเจอมันทุกครั้งหลังมันซ้อมเสร็จ”
“เออ ซวยฉิบ มึงก็เปลี่ยนเส้นทางดิวะ”
“กูทําแล้ว แม่งก็ยังบังเอิญเจอได้อี๊กกกกกก” ผมสุดกลั้นเลยหลุดหัวเราะอย่างสะใจให้กับชะตากรรมที่น่าสมนํ้าหน้าของไอ้บอส อาจเพราะมันไปกวนตีนพี่โบ้ทตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ไม่ก็หน้ากวนๆของมันคงไปเตะตาพี่โบ้ทเข้า ผมฟังไอ้บอสบ่นยาวๆขณะเดินเลียบข้างสนามบอลมาเรื่อยๆ มันเป็นคนละฝั่งกับตอนขามา แต่ที่ตรงนี้เป็นที่ที่ปรินซ์กอดผม..

“ถุงไรวะ” ไอ้บอสตั้งคำถามกับถุงที่ผมหยิบออกจากเป้และวางลงบนโต๊ะน้อยกลางห้อง
“ลุงรหัสให้กูมา”
“กินได้ม่ะ”
“ไม่รู้ กูยังไม่ได้ดู”
“มึงก็เปิดดูสิคร๊าบบบบไอ้ธาม”
“อ่ะมึงอยากรู้ มึงก็เปิดดูเอง กูจะไปอาบน้ำ”

“เป็นกล่องช็อกโกแลตว่ะ ในกล่องมีการ์ดของลุงมึงด้วย” ไอ้บอสรายงานผมหลังจากผมออกมาจากห้องน้ำ
“การ์ดไรวะ” ผมปิดไดร์เป่าผมถามไอ้บอส
“ไม่รู้โว๊ย กูไม่ได้เปิดดู กู..คนมีมารยาท”
“เออเออ ไอ้คนมีมารยาท” ผมเดินผ่านหน้ามันไปที่โต๊ะน้อย แต่แวะเอาเท้าเตะเข้าที่น่องของคนมีมารยาทหนึ่งที
“เจ็บนะไอ้เชี่ยธามมมม” มันเงยหน้าขึ้นจากโคนันในมือทันที
“...” ผมเปิดการ์ดนั้นออกอ่าน
“เขียนว่าไงวะ”
“ไหนบอกมีมารยาท”
“ก็กูถามตรงๆ แบบมีมารยาท”
“เออๆ” ระหว่างบอสกับผมไม่เคยมีความลับที่เล่าสู่กันฟังไม่ได้อยู่แล้ว
“ถึงน้องธาม ยินดีต้อนรับสู่สายรหัส ลงชื่อ ลุง”
“แค่นี้!!”
“เออ แค่นี้”
.
.
.

ออฟไลน์ kajeaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 529
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • กาเจี๊ยว
ลุงยังลึกลับอยู่ต่อไป…ฮ่วย

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
020
ลุงรหัส
.
.
เฮ้อออออ อยากจะมีเวลา และอารมณ์ตั้งใจดูแมทช์แข่งขันของปรินซ์มากกว่านี้ ทั้งที่ตอนนี้ผมก็กำลังดูย้อนหลัง (เพราะเวลาไทยเร็วกว่าอิตาลีห้าชั่วโมง เวลาจริงที่ปรินซ์เตะผมก็จะกำลังนอน..) ตลอดเก้าสิบนาทีที่ปรินซ์ลงสนาม ผมทำได้แค่ฟังเสียงจากเว็บไซต์ที่เปิดในโน้ทบุ๊ค แต่สายตา สติและสมาธิของผมกลับต้องจดจ่ออยู่กับชีท และการบ้านตรงหน้า ถึงบางครั้งจะเหลือบมองหน้าจอโดยหวังว่าจะเป็นจังหวะที่กล้องกำลังถ่ายไปที่ปรินซ์พอดี ..แต่ก็ไม่บ่อยนัก ถึงอย่างนั้น ผมก็ได้เห็นโมเม้นท์เท่ๆ ของปรินซ์ตอนตัดบอล และจ่ายลูกต่อไปยังผู้เล่นคนอื่นอย่างแม่นยำ สายตาปรินซ์จดจ่อแต่กับลูกฟุตบอลและเพื่อนร่วมทีม ผมชอบ.. ชอบมองปรินซ์เวลาที่ปรินซ์ตั้งใจทำอะไรสักอย่าง โดยไม่สนสิ่งรอบข้าง แม้กระทั่งเสียงเชียร์ที่ดังทั่วสนามไม่ว่าผลจะเป็นยังไง แต่ผมก็รู้ว่าปรินซ์จะพยายาม และวิ่งอย่างเต็มที่ในทุกนัด
ถึงจะเป็นเพียงสัปดาห์ที่สามของการเปิดเทอม แต่การเรียนในมหาลัยก็ไม่ได้เมตตาปรานีต่อผู้เพิ่งมาใหม่ บางวิชาก็สอบย่อยเกือบทุกครั้งที่เรียน บางวิชาก็แจ้งโปรเจ็กต์ที่จะต้องทำส่งปลายเทอมแล้ว ขณะที่บางวิชาที่ดูสบายๆ เนื้อหาไม่ยากเน้นความเข้าใจ ไม่มีสอบเก็บคะแนนใดๆ ไม่มีการบ้านให้ต้องทำ แต่รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มาก่อนก็จะเตือนว่าอย่าประมาท! เพราะตอนสอบแทบจะต้องต้มชีทเรียนกิน (ที่หนาหนักเกือบกิโล) ให้ร่างกายดูดซึมเข้าเส้นเลือดแทนอาหาร เพื่อให้เนื้อหาที่เรียนมาทั้งเทอมถูกคลุกเคล้าส่งตรงไปยังสมอง ประมวลผลออกมาแล้วใช้เขียนตอบลงในแผ่นกระดาษขาวสะอาดแลกกับคะแนนที่จะชี้ชะตาในคราเดียวว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน!
สำหรับเด็กปีหนึ่งคณะนิเทศศาสตร์ แม้เรื่องเรียนจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ (สำหรับผมนะ)  แต่เรื่องทุ่มทั้งใจให้กับกิจกรรมคณะก็ต้องมี พวกเราที่ไม่มีเรียนจะผลัดกันมาทำพร็อพและซักซ้อมการขึ้นสแตนด์ที่ใกล้เข้ามา ทั้งจะต้องตามหาปู่ย่าของตัวเองด้วยวิธีที่เหมือนจะง่ายอย่างการ ‘เดินเข้ามาถามหน้าด้านๆ ..แล้วจะตอบ’ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่พี่ปีสี่ระบุมาให้
“สวัสดีครับ ผมธาม รหัส 153 พี่ชื่ออะไร รหัสอะไรครับ”
ผมจำได้ว่าผมถามพี่ปีสี่เกินห้าสิบคนแล้ว (ไม่นับที่ผมเดินเข้าไปถามซ้ำเพราะผมดันจำหน้าพี่เขาไม่ได้)และตอนเย็นก็ต้องเข้าห้องเชียร์ที่บรรยากาศอึมครึมขึ้นทุกวัน แม้สัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์สุดท้ายแล้วก็ตาม..

“พวกเราไม่เข้าใจพวกคุณเลย!!! นี่มันสัปดาห์สุดท้าย และเป็นวันสุดท้ายของห้องเชียร์แล้ว!!! ไม่คิดจะพัฒนาตัวเองให้พวกเราเห็นเลยรึไง!!!”
“เพื่อนของคุณก็ยังเข้าห้องเชียร์ไม่ครบ!!! ไม่คิดจะนับพวกเขาเป็นเพื่อนรึไง!!!”
“เห็นแก่ตัว!!! คิดแต่จะเอาตัวรอด!!! คิดแต่ว่าตัวเองจะได้เป็นน้องของพวกเราอยู่กลุ่มเดียว ก้อนเดียว!!! แล้วเพื่อนที่หายไป.. ไม่คิดจะให้เขาได้มีพี่บ้างรึไง!!!”
“ดิฉันเห็นนะคะ!!! ที่พวกคุณกำลังพยายาม..!!! แต่พยายามกันได้แค่นี้เหรอ!!!”
“คิดเหรอว่าไอ้ที่พยายามทำกันอยู่!!! พวกเราจะพอใจ!!!”
“คิดว่าพี่ทั้งสองชั้นปีที่ได้มา!!! เขาเต็มใจที่จะรับพวกคุณเป็นน้องจริงๆน่ะเหรอ!!! น้องที่ไม่ได้มีความเต็มที่จริงๆเขาก็ไม่ได้อยากจะรับเป็นน้องหรอกนะ!!!”
“เพราะอะไรรู้ไหม!!! เพราะพวกเราเห็นไง!!! เห็นว่าพวกคุณหลายคนเข้าห้องเชียร์แค่วันที่เฉลยสายรหัส!!! ความเต็มที่น่ะมีกันบ้างไหม..!!!”
“อย่าคิดนะว่าพวกเราทั้งหมดในคณะนี้ จะยอมรับคนแปลกหน้าอย่างพวกคุณเข้ามาเป็นน้อง!!!”
“พวกเราทั้งสามชั้นปีเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง!!!”
“แต่พวกคุณหลายคนกำลังทำให้พี่เรา เพื่อนเราร้องไห้!!! พวกคุณไม่เห็นความสําคัญของห้องเชียร์!!! ห้องเชียร์ที่พวกเราทุกชั้นปีต้องผ่านร่วมกัน และภาคภูมิใจ!!!”
“พวกคุณรู้ไหม!!! ไม่เคยมีใครไม่เข้าห้องเชียร์ในรุ่นของพวกเรา!!! เพราะอะไร!!! เพราะเราเห็นทุกคนในรุ่นเป็นเพื่อน!!! และใส่ใจความรู้สึกของรุ่นพี่!!!”
“ความไม่เต็มที่ของพวกคุณ ทําให้เรารู้ว่าพวกคุณก็แค่คนแปลกหน้า!!! คนแปลกหน้าที่เข้ามาทําร้ายจิตใจเพื่อนเราพี่เรา!!!”
“อย่าคิดว่าพอจบห้องเชียร์แล้วจะได้เป็นน้อง!!!”
“พวกเราจะไม่มีวันยอมรับพวกคุณเข้ามาเป็นน้องของเรา!!!”

ความกดดันขั้นสุดที่ผมได้ยินขณะที่ปิดตาแน่นสนิททำให้ผมเผลอหลั่งนํ้าตาอุ่น ความจุกแน่นในอกกําลังโดนเสริมแรง ภายในห้องเชียร์ด้านบนที่พวกเราทั้งชั้นปีกำลังนั่งอยู่เงียบสงัดลงหลังจากเสียงเดินของกลุ่มพี่ว๊ากจากไปและประตูบานใหญ่ปิดดัง ผมจินตนาการภาพตามแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยตาที่ปิดสนิทอยู่ ตอนนี้คงไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่มีอาการอย่างนี้ เพราะเสียงสะอื้นเบาๆ ดังอยู่ทั่วห้องจากการรับรู้ของผม ใครวะที่เข้าห้องเชียร์แค่วันเฉลยสายรหัส ใครวะที่ทำให้วันสุดท้ายในห้องเชียร์พังไม่เป็นท่า แล้วแบบนี้จะได้เจอปู่ย่าไหม! ความพยายามที่ทำมาทั้งหมด..แม่งจะสูญเปล่าเพราะคนไม่กี่คน อย่าให้รู้นะว่าเป็นใคร! ..คงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในหัวของพวกเรา ผมก็เองก็ด้วย
“น้องๆ คะ” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นในความเงียบของห้องกว้าง
“ค่อยๆลืมตากันนะ” แต่ถึงอย่างนั้น ภายในน้ำเสียงก็มีความขุ่นเคือง และหม่นหมอง
“พวกพี่รู้ว่ามันอาจจะน่าผิดหวังสำหรับน้องๆ ทั้งที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของห้องเชียร์.. มันก็ควรจะปิดแบบดีๆ ละเน๊อะ..” หางเสียงและรอยยิ้มโศกของพี่เขายิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่
“แต่ไม่เป็นไรนะคะ พวกเราก็ทำกันมาเต็มที่แล้ว..” เสียงสะอื้นกลับยิ่งทวีดังเพิ่มขึ้นไปทั่วห้อง แม้แต่ในกลุ่มผู้ชาย..
“เอาล่ะ.. ยังไงวันนี้พวกน้องก็จะได้เจอพี่ปีสี่ของตัวเอง.. ตอนเจอก็อย่าทำให้พี่ๆ เขาผิดหวังนะ”
“หัวแถวลุกเลยค่ะ” พวกเราลุกขึ้นเดินออกจากห้องเชียร์โดยไร้ซึ่งเสียงสนทนาเหมือนทุกครั้ง แต่บรรยากาศวันนี้มันต่างออกไป ความรู้สึกผิดถาโถมอัดแน่นอยู่ในใจ ความผิดหวังที่คิดว่าวันนี้มันจะจบแบบแฮปปี้เอนด์ดิง และความผิดคาดเหมือนการได้ดูหนังที่หักมุมในตอนจบแบบไม่เคยรู้สปอยมาก่อน พวกเราคาดหวังว่าวันนี้พวกเราจะได้รู้จักตัวตนของพี่ว๊ากที่ทำหน้าที่หนักมาตลอดเกือบเดือนสักที.. อยากรู้ว่าพี่ผู้หญิงผมยาวใส่แว่นที่ดูเนี๊ยบที่สุด ดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุด ชื่อพี่อะไร (ไม่ใช่พี่ว๊ากทุกคนที่ไอ้บรีสมันจะสามารถสืบหาตัวตนของพี่เขาได้) อยากรู้ว่าพี่พีท (ที่เสียงหล่อที่สุด) พี่เกลือ (ที่ตัวเตี้ยที่สุด) พี่ดาว (ที่ร่างบางที่สุด แต่เสียงดังที่สุด) พี่ข้าว (ที่ดูใครๆจะสนใจที่สุดเพราะหน้าตาที่ดุแต่กลับน่ามองที่สุด) และพี่ว๊ากอีกหลายคน จริงๆแล้วพวกพี่เขาเป็นคนยังไงกันแน่ จะดุโหด จะขี้เล่น หรือจริงๆอาจจะตลกสดใส อย่างที่พวกเราเคยสรุปกันไว้.. พวกเราน่าจะเผลอเคารพ หลงรัก และศรัทธาในตัวพี่ว๊ากไปแล้ว พวกเราติดการโดนว๊าก ถ้าวันไหนที่พี่ว๊ากว๊ากน้อย หรือมีพี่ว๊ากคนไหนหายไป พวกเราก็จะรู้สึกว่ามันไม่ครบ ไม่ชิน ไม่ฟิน และไม่อินกับห้องเชียร์ซะอย่างงั้น.. หรือจริงๆ พวกเราอาจจะเสพติดความเจ็บปวดไปแล้วก็ได้..

“ก่อนจะถึงใต้ถุน น้องๆ จะถูกปิดตานะ ไม่ต้องตกใจ”
ผมเห็นพวกเพื่อนที่ยืนอยู่ก่อนผมพยักหน้าเข้าใจ ตอนนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการได้เจอปู่ย่าที่รอคอยมาตลอดอาทิตย์ และมันอาจจะช่วยรักษาอารมณ์แย่ๆ ของพวกเราให้ดีขึ้นมาได้บ้าง
ผมเห็นพี่ฟ้าทันทีที่ตัวเองเดินมาถึงปลายบันได น้ำตาของผมร่วงหล่นพรั่งพรูแบบห้ามไม่ได้ พี่ฟ้ายิ้มอ่อนโยนและกอดผมกระชับ
“ไม่เป็นไรนะธาม ไม่ต้องร้องๆ” ผมผละออกและเช็ดน้ำตาของตัวเอง
“ก้มหน่อย เดี๋ยวพี่จะผูกผ้าปิดตาให้ ลุงกับย่าเขารอธามอยู่” ลุงกับย่า! นี่พวกเรายังมีหน้าไปเจอพวกเขาจริงๆเหรอ ทั้งที่เพิ่งทําห้องเชียร์พังไม่เป็นท่า
“ครับ” พี่ฟ้าผูกผ้าปิดตาให้ผมเรียบร้อย และเช็คว่าผมมองเห็นอะไรภายใต้ผ้าผืนไม่หนาไม่บางรึไม่ ก่อนจะคว้าข้อมือผมให้ไปจับกับมือของใครสักคน
“น้องๆ ทุกคนผูกผ้ากันเสร็จแล้วนะ ขอให้จับมือกันแน่นๆ ตอนนี้พวกน้องทั้งชั้นปีกำลังจะเดินทางไปหาพี่คนโตที่สุดของสายรหัสพร้อมๆ กัน ไปทำให้พี่เขารับเราเป็นน้องให้ได้ อย่าทำให้พวกพี่ผิดหวังนะ บทเรียนสุดท้ายที่ห้องเชียร์จะให้น้องๆ ได้คือความเชื่อใจ และไว้ใจ เชื่อใจในเพื่อนที่จะไม่มีวันปล่อยมือกันไม่ว่าจะในคืนนี้หรือในอนาคต และไว้ใจในพวกพี่ที่จะคอยดูแลไม่ให้พวกน้องต้องล้มระหว่างทางไม่ว่าปัจจุบันหรือจะอีกสิบปีข้างหน้า.. เพราะพวกเราเป็นเด็กนิเทศ และจะเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกันตลอดไป ขอให้น้องๆ ทุกคนผ่านคืนนี้ไปได้ และผ่านมันไปด้วยกันค่ะ”
“...”
“น้องๆ ค่อยเดินตามแรงที่เพื่อนดึงนะ ไม่ต้องรีบ” ตอนนี้เท้าของผมเริ่มขยับย่างก้าว พวกผมกำลังออกเดินไปที่ใดสักที่หนึ่งที่ยากคาดเดา

“น้องระวังค่ะ เดินไปทางซ้ายอีกนิด”
“น้องแพรวยกเท้าขึ้นสูงอีกนิดนะลูก”
“น้องเพชรก้มตัวลงนะ น้องหญิงก็เตรียมก้มตัวด้วยจ้ะ
“น้องธามระวังชน ค่อยๆ เดิน”
พี่ผู้หญิงและพี่ผู้ชายสลับกันส่งเสียงตลอดทาง มือของเพื่อนทั้งซ้ายทั้งขวาทำให้ผมอุ่นใจพอๆ กันกับเสียงของรุ่นพี่ พวกเราแค่ต้องไว้ใจและเชื่อใจกัน.. ในความมืดมิดเช่นนี้อดทำให้ผมกลัวไม่ได้ว่าผมจะเผลอไปสะดุดอะไร และลากเอาเพื่อนล้มไปด้วยผมจึงตั้งสติกับการฟังเสียงของพวกพี่ๆ เราเดินกันอยู่นาน ผมว่ามันนานเพราะไม่รู้ว่าเรากำลังเดินอยู่ตรงไหน และจะกำลังเดินไปไหน..

ในที่สุดการเดินทางก็หยุดลง เพื่อนข้างหน้าบอกผมล่วงหน้าว่ากำลังจะนั่งลง ผมเองก็ทำตามด้วยการหันไปบอกต่อเพื่อนที่อยู่ถัดไป มือทั้งสองข้างที่ยังคงไม่ว่างทำให้การนั่งลงขัดสมาธิออกจะลำบากเล็กน้อย
“ธามปล่อยมือเพื่อนได้แล้ว” เสียงพี่ผู้หญิงคนนึงดังจากทางด้านหน้า ผ้าปิดตาของผมค่อยๆถูกเลื่อนลงไปที่คอ
“ค่อยๆ ลืมตานะ” ผมทำตาม ผมกระพริบตาเล็กน้อย ปรับสายตาเพื่อเผชิญกับแสง.. แสงจากเทียนส่องสว่างนวลอยู่ตรงหน้าผม มันส่องสลัวแต่อบอุ่น
ผมหันมองภาพทั้งซ้ายและขวาแล้วอดทึ่งไม่ได้ ทุกคนในชั้นปีเองก็กำลังมีโมเม้นท์ดีๆ กับพี่สายรหัสของตัวเองแสงเทียนถูกจุดเป็นแถวคดเคี้ยวตามสภาพพื้นที่ริมฟุตบาท และทางเดินรอบคณะ ใช่รอบคณะ!พวกเราเดินกันอยู่นานทั้งที่จริงๆ พวกเราไม่ได้เดินไปไหนไกลเลย
“ขอต้อนรับน้องธามสู่สายรหัส 153 นะ”
“เห้ยพี่!”
“ไงเราจำพี่ได้ไหม”
“พี่ตาว นี่พี่ตาวเป็นย่าผมเหรอ”
“เออใช่ เห้ยฟ้า โคตรปลื้มว่ะ ธามมันจำฉันได้ด้วย” พี่ตาวหันหลังไปพูดกับพี่ฟ้า ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าพี่ฟ้านั่งซ้อนอยู่ข้างหลังของพี่ตาว
“แต่ผมถามพี่ตาวตั้งสองรอบเลยนะ ไม่เห็นพี่บอกเลยว่าเป็นพี่ผม”
พี่ตาวหัวเราะ “ช่วยไม่ได้ มิชชั่นของพวกฉันคือ ต่อให้พวกแกหน้าด้านมาถามสักกี่รอบ พวกฉันก็ต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่”
“โหพวกพี่โคตรใจร้าย เพื่อนผมหลายคนใจเสียหมดเลย โคตรท้อ”
“ถ้ารับกันง่ายๆ ก็ไม่ใช่ปีสี่ดิ”
“...” ผมแอบค้อนเบาๆ
“ธามยื่นมือมา” ผมยื่นมือให้พี่ตาว สายสิญจน์เส้นขาวพร้อมรออยู่แล้วในมือของพี่เขา
“ขอให้ธามเรียนก็สุข เล่นก็สนุก มีชีวิตมหาลัยตลอดสี่ปีที่ดี เรียนจบก็ขอให้มีงานทำ จะมีแฟนก็ขอให้ได้แฟนที่รักแต่ธาม แต่ถ้ามีไรจะถามก็โทรหาพี่ได้ตลอดเวลา”
ผมมองตามมือเล็กของพี่ตาวที่ผูกสายสิญจน์ให้ พี่เขาผูกเสร็จและเงียบไป จนผมต้องเงยหน้ามอง
“อาว จบแล้วเหรอพี่”
“ไอ้เด็กนี่มันกวนตีนพี่อ่ะฟ้าาาาา”
“ก็ผมเห็นพี่ตาวอ่านโพยก็เลยคิดว่าน่าจะยาวกว่านี้”
“เดี๋ยวเหอะ เอ้าผูกสายสิญจน์เสร็จล่ะตามธรรมเนียม มันเป็นน้องเราแล้ว ฟ้าลงโทษมันเลย มันกวนตีนพี่ นี่คือคำสั่ง”
“พี่ตาวทำตัวเป็นเด็กอีกล่ะเราแก่แล้วนะ”
“ฟ้าใจร้ายกับพี่อีกแล้วววววว ธามดูดิ ช่วยพี่ด้วย”
ภาพของผู้หญิงตัวเล็กสองคนหยอกล้อกันทำผมยิ้มและผ่อนคลาย ผมจำพี่ตาวได้ไม่ยากนัก หนึ่งเพราะพี่ตาวเป็นคนที่ผมเดินเข้าไป ‘หน้าด้าน’ ถามถึงสองรอบ และรอบที่สอง ผมโดนพี่ตาวสั่งให้ลุกนั่งยี่สิบครั้งโทษฐานที่จำไม่ได้ว่าเคยถามพี่เขาแล้ว
“แล้วลุงของผมล่ะพี่” ผมถามพี่ทั้งสองคนที่เหมือนจะหลุดไปอยู่อีกโลกนึงเรียบร้อยแล้ว
“เออใช่พูดถึงไอ้..”
“อออออ” พี่ฟ้ารีบพูดแทรกพี่ตาว ผมว่าผมเห็นพี่ฟ้าบีบต้นแขนของพี่ตาวด้วย
“เออ ไอ้ลุงของเราน่ะ มันรออยู่ แป๊บนะ ขอดูเวลาก่อน ฟ้าาาา ดูเวลาในมือถือให้หน่อย พี่ลืมใส่นาฬิกามา” พี่ตาวก็ยังหาเรื่องอ้อนพี่ฟ้าต่อไป สภาพแบบนี้ใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่
“ได้เวลาล่ะ พวกพี่จะพาไปหามัน มามา ปิดตาอีกทีนะ”
“เห้ยพี่ ยังต้องปิดอีกเหรอ”
“อือออ”
“ลุงผมเป็นคนสั่งเหรอพี่”
“ใช่ มันอยากทรมานธามอีกนิด โทษฐานที่สืบไม่ได้ว่าลุงตัวเองเป็นใคร”
“โธ่พี่ ก็พวกพี่ปีสามแกล้งผม”
“ไม่ต้องมาอิดออด ทำๆ ไปเถอะพวกฉันต้องพาแกเดินไปเนี่ย ลำบากกว่าเยอะ”
“พี่ตาวอย่ามาบ่น ได้ข่าวว่ารอให้ธามโดนปิดตาก่อนแล้วจะชิ่ง”
“ฟ้าาาา พูดเรื่องจริงอย่างนี้พี่ก็แย่ดิ ก็จะกลับไปทำกับข้าวรอไง..”
“...” จู่ๆ พี่ฟ้าก็ไม่เถียงพี่ตาว แถมยังหลบตาพี่ตาวด้วย
“เออๆ รู้แล้ว จะกลับก็กลับก่อน งั้นธามบอกลาพี่ตาวมันตอนนี้เลย”
“หวัดดีครับพี่”
“เดี๋ยวไว้พี่จะนัดเลี้ยงสายนะ ไว้เจอกัน”
“คร๊าบบบบ” ผมมองตามหลังพี่ตาวไป พี่ตาวแวะทักทายเพื่อน และน้องๆตลอดทางที่เดินผ่าน
“มาๆ ส่วนธามต้องไปกับพี่ ปิดตาอีกทีนะ เชื่อใจพี่..” พี่ฟ้าพูดลากเสียงยาวในตอนท้าย ผมกับพี่ฟ้าต่างก็หัวเราะ ผมรู้ว่าพี่ฟ้าไม่ได้จะแซวหรือแดกดันกระบวนการห้องเชียร์ แต่คงเพราะมันดูเป็นประโยคที่ชวนจักกระจี๋ในเวลาผ่อนคลายเช่นนี้

“พี่มาส่งธามแค่นี้นะ” พี่ฟ้ากระซิบบอกผม ตอนนี้เสียงผู้คนที่ดังอยู่รอบข้างเบาลงจนเงียบงัน คงมีแต่เสียงลมที่พัดอ่อนๆเป็นระยะ ตรงที่ผมยืนอยู่นี้คงเป็นพื้นที่โล่ง
..พี่เขาจะเป็นคนที่เคยเห็นหน้าแล้วป่ะวะ
..เป็นคนดีของคณะดีๆ เป็นคนดีก็ต้องดีกว่าเป็นคนชั่ว จะได้ไม่ลำบากใจกัน
..จะสูงสักเท่าไรวะ..สูงกว่ากู งั้นก็สักร้อยเจ็ดสิบเอ็ดล่ะกัน สูงกว่าหนึ่งเซนก็เรียกว่าสูงกว่าแล้ว
..สรุปแล้วพี่เขาเป็นคนยังไงวะ?? ไหนๆ ก็ว่างอยู่ ลองวิเคราะห์จากพฤติกรรมของพี่ในสาย (ซึ่งก็ไม่น่าเกี่ยวกัน)
..พี่ตาวคุยสนุก เข้าถึงง่าย แต่นิสัยเด็กโคตร
..พี่ฟ้าห้าว ดูแมนๆ แต่ก็คุยได้ แถมจริงใจสุดๆ
..เห้ยยย! นี่หมดเรื่องจะคุยกับตัวเองแล้วนะ จะให้รอนานไปถึงไหนเนี่ย!
..แม่ง! เมื่อไหร่พี่มันจะมาวะ!!
ผมเริ่มหมดความอดทน อากาศก็เริ่มเย็นลงแล้ว ผมขยับมือข้างหนึ่งเพื่อจะเอาผ้าปิดตาออก ทันใดนั้นข้อมือของผมก็ถูกคว้าไว้ก่อนที่มันจะไปถึงผ้าปิดตา..
“พี่ พี่เป็นลุงของผมใช่ไหมครับ” ไอ้เชี่ยลุง! กว่าจะมาได้
“...” ไม่มีเสียงตอบจากความมืดมิด แต่ข้อมือหนารั้งเอามือของผมเลื่อนลงมาช้าๆและจับมือของผมให้แบออก ก่อนวางวัตถุฐานกลมที่มีอุณหภูมิอุ่นลงบนฝ่ามือของผม มันมีน้ำหนักนิดหน่อย ผมคิดว่าผมควรถือมันนิ่งๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“ขอโทษที่ปล่อยให้รอนาน” เสียงนุ่มๆ อุ่นๆ กระซิบที่ข้างหูผม ใจผมเต้น พี่มึงจะกระซิบที่หูกูเพื่ออออ! ขนลุกโว๊ยยยยยย!!
ผ้าปิดตาของผมค่อยๆถูกเลื่อนลงโดยคนมือหนา ผมลืมตามองคนตรงหน้าทันที สำหรับค่ำคืนนี้คงเจอแสงที่แรงสุดก็คือแค่แสงจากเทียน ..และก็แค่แสงเทียนจริงๆ ท่ามกลางความมืดสนิทของลานหน้าหอสมุด แสงเทียนในมือของผมกำลังส่องแสงสลัวให้ผมเห็นคนตรงหน้าได้ถนัด ไม่ใช่เพราะแรงเทียนที่จุดสว่างไสว แต่เพราะคนตรงหน้ายืนอยู่ใกล้ผมมาก ..ห่างกันระยะแค่คืบ ผมกระพริบตาถี่ ภาพเหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นกับผมแล้ว.. พี่ข้าว!
“รู้ไหมว่ามันไม่มีหรอกนะความบังเอิญ..”
“...”
“..มันมีแต่พรหมลิขิตเท่านั้นแหละ”
“...”
“เรามาเริ่มกันใหม่นะ”
“!!!”
.
.
.
มาต่อไวให้คุณ kajeaw ^ ^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-06-2019 15:49:54 โดย After5p.m. »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
021
ความใน
.
.
..บอส
แม่งจะทำอะไรไอ้ธามอีกวะ! ผมขยับเท้าจะพุ่งไปหาคนทั้งคู่ที่ผมแอบดูอยู่นาน ตอนแรกผมจำไอ้คนตัวสูงไม่ได้ แต่รู้สึกว่าคุ้นหน้า ตอนนั้นมันไม่มีแว่น.. แล้วในที่สุดก็นึกออก ไอ้พี่คนที่อยู่กับไอ้ธามที่คอร์ทแบท คนที่ขโมยจูบเพื่อนของผม! ผมจำชื่อมันไม่ได้ทั้งที่ไอ้ธามเคยบอกไว้ ก็ผมไม่ได้ยินชื่อพี่มันมาสักพัก เลยคิดว่าเหตุการณ์วันนั้นคงเป็นแค่การหยอกล้อ หรือไม่ก็การเข้าใจผิด จู่ๆ ผมก็สังหรณ์หรือเป็นเพราะไอ้พี่คนนี้รึเปล่า พี่ปรินซ์ไอดอลของผมถึงได้สั่งให้มาคอยดูแลไอ้ธาม คืนนี้ก็เหมือนกัน ผมรู้ว่าเป็นคืนปิดห้องเชียร์ ผมมาถึงตอนที่พวกปีหนึ่งนั่งกันเป็นแถวรอบคณะแล้ว เดินตามหาไอ้ธามอยู่สักพักสายตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นไอ้ธามกับพี่ฟ้ากำลังลุกขึ้น ผมเลือกที่จะเดินตามมาและแอบมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ไอ้ธามมันยืนอยู่คนเดียวได้สักพัก ไอ้พี่แว่นมันก็มา แถมยังยืนมองไอ้ธามเพื่อนผมทั้งที่ไอ้ธามยังโดนปิดตาอยู่ แม่ง โรคจิตชัดๆ พี่ปรินซ์สั่งมา จะให้ใครเข้าใกล้ไม่ได้ ผมสาวเท้าเดินออกจากที่มั่นทันที แต่จู่ๆ ไหล่ขวาของผมก็ถูกดึงรั้งไว้ ผมหันหน้าไปมองทันที
“มึงใจเย็น”
“ไอ้เชี่ยบรีสสส มึงปล่อยกู มึงดูโน่น”
“พี่ข้าวเขาเป็นลุงรหัสของไอ้ธาม”
“ลุงรหัส?”
“เออ เขาเป็นสายรหัสกัน มึงใจเย็น”
“แต่ว่ามึงดู..”
“ก็แค่พี่สายรหัส มึงอย่าคิดเยอะดิวะ”
“...”
“งั้นมึงกับกูรอดูอยู่ตรงนี้ ถ้ามันไม่โอเคก็ค่อยเข้าไป”
“...”
“แล้วอีกอย่างนะเว้ย ถึงพี่ปรินซ์จะมาก่อน แต่กูว่าพี่ข้าวของกูก็มีสิทธิ์ป่ะวะ”
“!!!”
.
..ธาม
“รู้ไหมว่ามันไม่มีหรอกนะความบังเอิญ..”
“...”
“..มันมีแต่พรหมลิขิตเท่านั้นแหละ”
“...”
“เรามาเริ่มกันใหม่นะ”
“!!!”
“เอ่อคือ.. พี่ข้าวเป็นลุงของผม?” ผมพยายามปั้นหน้าให้เห็นว่าตอนนี้ผมโคตรจะปกติ ทั้งที่จริงๆ ใจแม่งเต้นระทึก ไอ้ที่พี่มันพูดเมื่อกี้มันคืออะไรวะ!
“ใช่ พี่เป็นลุงของธาม”
ผมฝืนยิ้ม ตอนนี้ผมโคตรเชื่อเลยว่าความบังเอิญมันแม่งมีจริง
“พวกเพื่อนต้องอิจฉาแน่ๆ ได้เป็นน้องพี่ว๊ากที่โคตรฮอต..”
“เหรอ แล้วธามดีใจไหมที่มีพี่เป็นพี่”
“ก็.. ดีใจดิ ใครได้พี่ข้าวเป็นลุงก็ต้องโคตรดีใจอยู่แล้ว..” ผมยิ้มกลบเกลื่อนความตื่นประหม่าและกังวล
“อืม”
“ผมโทรหาพี่ฟ้าดีกว่า บอกว่าผมเจอพี่ข้าวแล้ว..” ผมรีบหาทางออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัด จะพูดอะไรกับพี่เขาต่อดีวะเนี่ย กดดันโว๊ยยยย
“ทำไมต้องโทร เขิน?”
“เขิน???” พี่มึงพูดเชี่ยไรเนี่ย “ผมเนี่ยนะเขินพี่ ทำไมต้องเขินวะ พี่ไม่ใช่ผู้หญิงน่ารักๆ สักหน่อย”
“เหรอ ก็นึกว่าเขินที่วันนั้นโดนพี่จูบ..”
ผมยืนสตั้นท์นิ่ง พี่ข้าวเขยิบเข้ามาใกล้ผมอีกนิด แล้วก้มหน้าลงมามองผม
“คือผม.. ผมลืมไปแล้ว”
“ให้พี่ช่วยทวนความจำไหม”
“!!!”
“ไม่ต้องเม้มปากแน่นขนาดนั้นก็ได้” พี่ข้าวเงยหน้าขึ้นและใช้มือดันแว่นของตัวเองให้สูงกระชับ
“พี่จะไม่ทำอะไรธามแบบนั้นอีกแล้ว”
“...”
“พี่บอกแล้วไง ว่าเราจะมาเริ่มกันใหม่ เริ่มกันใหม่แบบดีๆ วันนั้นพี่ใจร้อนไปหน่อย แต่ต่อจากนี้ พี่จะดีและสุภาพกับธาม ..พี่อยากให้ธามเห็นความจริงใจ ว่าพี่ตั้งใจจะจีบธามจริงๆ”
“!!!”
“และนี่.. ของรับขวัญจากพี่” จี้เงินรูปเม็ดข้าวห้อยอยู่บนสายสร้อยสีดำถูกยกขึ้นมาให้ผมเห็นในระดับสายตา แล้วมันก็ถูกพาดลงบนคอของผม พี่ข้าวเดินเข้ามาเกือบชิดร่างของผมที่นิ่งแข็ง ก่อนใช้แขนทั้งสองข้างอ้อมไปหลังคอของผมเพื่อติดตะขอสร้อย หน้าของพี่ข้าวแทบจะแนบเข้ากับแก้มของผม
“นี่ของรับขวัญจากลุง.. ห้ามถอด” ลมหายใจอุ่นกระทบใบหู ส่วนสัมผัสอันอ่อนไหวของผม.. ผมได้สติแทบจะทันทีรีบก้าวเท้าถอยห่างออกจากร่างของพี่ข้าวที่ยังคงยืนนิ่งในท่านั้น.. ท่าทางที่น่ามอง และยิ่งชวนมองใต้แสงเทียนสลัวนี้
“ธามหน้าแดง คงเขินพี่จริงๆ”
“ไม่ใช่เว๊ยพี่ เพราะเทียนตังหาก!!”
“เวลาธามเขิน.. น่ารักดีนะ”
“!!!”
“น่ารักพอๆ กันกับตอนกวนตีน พี่ชอบ”
“!!!” พี่ข้าวเอื้อมมือมาใกล้หน้าผม..
“ไอ้ธามมมมมม!” ผมหันไปมอง ถึงไม่มองก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นเสียงของไอ้บอส ขอบคุณมึงมากกก กูกลั้นหายใจจนจะตายอยู่แล้ว!
“ไอ้บอส ไอ้บรีส” ดีๆ มึงมาเป็นคู่ กูยิ่งอุ่นใจ
“สวัสดีครับพี่ข้าว ผมบรีสครับ น้องปีหนึ่ง”
“พี่รู้แล้ว บรีส ยุทธนา รหัส 167”
“โหพี่ โคตรเจ๋งงง”
“เป็นพี่ว๊ากก็ต้องรู้อยู่แล้วป่ะวะ” ไอ้บอสส่งเสียงเข้มดังแหวกอากาศเข้ากลางวง
“นั่นสินะ มันคงธรรมดาไป แล้วถ้าพี่ก็รู้ว่าเราชื่อบอส ธวัชชัย ปีหนึ่งจิตวิทยาล่ะ
“!!!” ไอ้บอสทำหน้าไปไม่เป็น ขณะที่ไอ้บรีสปรบมือรัว
“พี่จำเป็นต้องรู้จักผม?”
“..ก็จำเป็น เพราะน้องเป็นเพื่อนสนิทของธาม ใครที่อยู่รอบตัวธาม พี่ก็ต้องทำความรู้จักไว้” พี่ข้าวมองตรงไปที่ไอ้บอส สายตาดุคมใต้กรอบแว่นทําผมรู้สึกหนาว
“พี่จะจีบไอ้ธาม..?”
“!!!” ไอ้บอสมึงงง
“ใช่ พี่จะจีบธาม” ผมทําได้แค่มองซ้ายขวาสลับไปมา ส่วนไอ้บรีสคงช็อกไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผมเห็นมันอ้าปากค้าง
“มันคงไม่ง่ายเท่าไหร่” ไอ้บอสบอกพี่ข้าว
“ก็ไม่คิดว่ามันจะง่าย”
พลังงานบางอย่างระหว่างพี่ข้าวกับไอ้บอสถูกส่งออกมารุนแรงจนผมสัมผัสได้
“กูว่าดึกแล้ว กลับกันดีไหมวะไอ้บรีส” ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง อีกสักพักคงได้เป็นกรรมการเคาะระฆังมวยแน่ๆ
“เออใช่ นี่ใกล้เที่ยงคืนแล้วพวกมึงต้องรีบกลับเข้าหอแล้วนิ”
“ไอ้บอสกลับได้แล้ว พี่ข้าวครับพวกผมกลับก่อนนะครับ” ผมคว้าเอาแขนของไอ้บอสที่ขืนแข็งสู้แรงผมเล็กน้อย
“เออ กลับก็กลับ”
“หวัดดีครับพี่ข้าว/หวัดดีครับ/…” ยังดีที่ไอ้บอสยอมยกมือไหว้พี่ข้าว..

“พวกมึง เมื่อกี้กูไม่ได้ฟังผิดใช่ป่ะวะ ที่พี่ข้าวบอกว่าจะจีบมึง” ไอ้บรีสชี้มาทางผม มันถามทําลายความเงียบหลังจากที่พวกเราเดินห่างจากพี่ข้าวมาไกล และมั่นใจว่าพี่ข้าวไม่ได้เดินตามมา
“เออ เต็มหกหูนี่แหละ” ไอ้บอสตอบ
“โอวววว”
“โอววว เชี่ยไรของมึงวะ”
“คือนั่นมันพี่ข้าวไงมึง แล้วมาจีบไอ้ธามเนี่ยนะ”
“เป็นไอ้พี่ข้าวแล้วมันจะยังไงวะ”
“มึงไม่รู้ไร ในคณะกูเนี่ย พี่ข้าวดังสุดแล้ว ลองพี่มันกล้าประกาศต่อหน้าพวกเราขนาดนี้ แสดงว่าพี่ข้าวเอาจริง นี่มันข่าวใหญ่ของคณะเลยนะเว้ย”
“งั้นว่าแปลกล่ะ”
“ยังไงวะ” ผมถามบ้าง
“ก็เพราะมึงเป็นไอ้ธาม เด็กเนิร์ดๆ ซื่อๆ หัวโบราณ กวนตีน มีดีก็แค่น้ำใจ”
“มึงก็พูดซะ ถึงกูจะเพิ่งรู้จักไอ้ธาม กูก็รู้เว้ยว่าไอ้ธามเนี่ยมันเป็นคนจริงใจ”
“กูซึ้งเลยไอ้บรีส”
“ได้ข้อเดียววะมึง”
“ไอ้เชี่ยยย พวกมึงรุมกู”
“เห็นม่ะ นิสัยมึงอาจจะผ่าน แต่พี่มันเพิ่งรู้จักมึงไงจะมารู้จักมึงดีได้ยังไงวะ แล้วมึงก็ไม่ได้แบบ หล่อวิ๊งปิ๊งประกาย เปล่งแสงใสไร้สิวเสี้ยน หุ่นดีน่าขบน่ามอง มึงก็แค่พอดูได้ หน้าใสสไตล์ตี๋ น่าเอ็นดูดูสะอาด แต่ก็ผอมบางปราศจากกล้ามเนื้อ แล้วพี่มันจะเอาตรรกะ เอาอารมณ์ เอาเหตุผลอะไรมาชอบมึงวะ”
“…” ไอ้บอสมันถอดรหัสความเป็นผมซะละเอียดเอาซะผมเถียงไม่ออก
“ก็จริงของมึงไอ้บอส แล้วมึงจะเอาไงต่อไอ้ธาม”
“เอาไงไรวะ”
“กูน่ะไม่ได้โง่นะ พี่ปรินซ์เขาก็จีบมึงอยู่ ดูจะหวงมึงมากด้วย ส่วนพี่ข้าวเนี่ยก็ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน”
“กูไม่ได้ชอบผู้ชาย!”
“หึ/หึ”
“พวกมึงประสานเสียง ‘หึ’ ใส่กูเพื่อ?”
“กูกลับก่อนดีกว่า กูฝากมึงดูแลเด็กน้อยด้วยล่ะกันไอ้บอส”
“เออ” ไอ้บอสตอบไอ้บรีส แล้วไอ้บรีสก็เดินแยกไปอีกทางเมื่อพวกเราเดินมาถึงที่จอดจักรยานข้างคณะนิเทศ
“ไอ้ธาม กูถามมึงจริงๆ ทำไมมึงไม่หลบไอ้พี่ข้าว”
“หลบ หลบอะไรวะ หลบตอนไหน”
“ก็ตอนพี่มันเอาหน้าเข้าไปใกล้ๆมึง”
“...กูตกใจ กูก็เลยทำอะไรไม่ถูก”
“พี่ปรินซ์เคยทำแบบนี้กับมึงไหม” ผมมองหน้าไอ้บอส ตอนนี้มันทำหน้าอย่างกับผมเป็นจำเลยที่กำลังถูกเค้นสอบในห้องควบคุม ระหว่างมันกับผมมีโต๊ะตัวเล็กกั้น และแสงไฟสีเหลืองกำลังสาดใส่หน้าผม
“..ก็ ก็เคย”
“มึงถอยไหม”
“กู.. กูก็ถอย”
“มึงหลบทันทีเลยไหม หรือมึงสตั้นท์ ค้างแข็ง นับหนึ่ง สอง สาม แล้วค่อยถอย”
“เอ่อ ก็ประมาณนั้น” ผมหันหน้าหลบตาไอ้บอส
“แบบไหน เอาชัดๆ”
“แบบหลัง..”
“หึ”
“หึหา..”
“มึงรู้ม่ะ ถ้ามึงหลบทันทีที่ผู้ชายมาอ่อยมึง คือมึงรังเกียจไง แต่ถ้ามึงสตั้นท์ ค้าง นิ่ง รอ จนได้สติแล้วค่อยถอยน่ะ คือมึงไม่ได้รังเกียจไง เผลอๆ กูว่ามึงชอบด้วยซ้ำ”
“!!!”
“มึงอย่าเพิ่งอึ้ง ตอบกูมาอีกข้อ”
“...”
“ระหว่างพี่ข้าวกับพี่ปรินซ์ มึงรู้สึกดีตอนที่ใครพยายามอ่อยมึงมากกว่ากัน”
“ทำไมกูต้องตอบมึง”
“ก็เรื่องมันจะได้ง่ายขึ้นไง”
“ก่อนอื่นมึงฟังกู ไอ้การที่มึงสรุปว่ากูไม่ได้รังเกียจเนี่ย จริงๆ มันก็แค่เพราะว่ากูตกใจเลยทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นคำถามข้อต่อมาของมึงกูก็จะไม่มีคำตอบให้ เพราะมึงไม่สามารถสรุปได้ชัดๆ ว่ากูชอบ หรือกูไม่ชอบผู้ชาย”
“โอ้โหมึง จู่ๆ มึงก็กลายร่างเป็นมนุษย์ตรรกะ ไว้กูไปหาหลักฐานพยานมาซักค้านเอาให้คําให้การของมึงตกจมธรณีไปเลย ส่วนวันนี้กูยอมแพ้ให้กับความพยายามแถของมึง”
“...” เอออออ.. กูแถ..ก็เพราะมันเป็นครั้งแรกของกูไง ครั้งแรกของหัวใจกู!
.
.
..ข้าว
...ถ้ามันง่ายก็คงไม่สนุก
ผมนัดแนะฟ้ากับพี่ตาวไว้เรียบร้อย คืนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับธาม จากที่เห็นธามเป็นเด็กใสซื่อ หัวอ่อน ถึงจะมีความกวนเล็กๆ แต่ก็ดูเป็นเสน่ห์ชวนให้อยากแกล้ง
ร่างบางของธามยืนอยู่ท่ามกลางความมืดที่ไม่สนิทเพราะได้แสงจากเสาไฟรายทางที่ห่างออกไป ผมรออยู่ก่อนแล้วที่ลานหน้าหอสมุดธามยืนนิ่งได้สักพักก็ยกมือขึ้นกอดอก ธามไม่รู้ตัวสักนิดว่าผมยืนอยู่ตรงหน้า คิ้วไม่หนาไม่บางแต่ได้รูปยกขึ้นขมวดเล็กน้อย คงจะเริ่มหงุดหงิดที่ลุงอย่างผมไม่ปรากฏตัวสักที ผมนึกขํา.. ใช่ ผมขําเด็กคนนี้ตั้งแต่วันแรกในห้องเชียร์ ธามมองผมทั้งที่ตาจะต้องมองตรงไปข้างหน้า แถมยังหันหน้ามองเพื่อนที่กําลังจะล้ม ผมเห็นธามทำท่าจะก้าวเท้าออกไป คงเป็นห่วงเพื่อน.. ช่างน่าประทับใจ แต่การที่เอาตากลมโตมามอง แล้วตอบโต้ผมด้วยความกวนที่ใสซื่อ..
“ผมถามว่าคุณกำลังมองอะไร!!”
“เอ่อ มองพี่ครับ”
“..จะกวนตีนผมเหรอ” 
“..ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะมองพี่ มันเผลอมองไปเอง..”
..นั่นทําให้ผมเกือบจะเสียอาการ ทั้งขํา ทั้งรู้สึกดี แทบจะว๊ากต่อไม่ได้ ผมจดจําธามได้ตั้งแต่วันนั้น ธามจึงอยู่ในสายตาของผมตลอด แล้ววันต่อมาในห้องเชียร์ ธามทําหน้านิ่วตัวเริ่มงอ ผมจึงเข้าไปว๊ากตามหน้าที่ทั้งที่อีกใจนึกอยากจะถามดีๆมากกว่าว่าเป็นอะไรเพราะผมเป็นห่วงในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ที่ดี ธามก็ยังไม่วายพูดจากวนแบบใสซื่อใส่ผม จนไอ้ปรินซ์มันมา.. ผมจําไอ้ปรินซ์ได้แทบจะทันทีถึงมันจะไม่รู้จักผมก็ตาม มันประกาศชัดเจนว่าธามคือคนพิเศษของมัน ตอนแรกผมไม่เข้าใจ ..นี่มันกำลังหวงเด็กคนนี้?? มันเป็นความบังเอิญจริงๆ ที่ผมนึกเอ็นดู ถูกชะตาธามก่อนที่จะสนใจว่าธามคือหลานรหัส แต่ตอนนี้ผมยกระดับความสําคัญของธามขึ้นไปอีก ..วันไหนที่ผมได้ใจของธาม วันนั้นจะเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด เพราะไอ้ปรินซ์มันคงเหมือนตายทั้งที่ยังหายใจ ส่วนธาม.. ก็หมดประโยชน์ อาจจะฟังดูโหดร้าย แต่ใครใช้ให้ธามดันเป็นคนที่ไอ้ปรินซ์มันหมายปอง ยิ่งธามเจ็บ ไอ้ปรินซ์มันก็ยิ่งเจ็บ.. ถึงจะไม่มีทางเทียบกันได้กับสิ่งที่พี่ชาย และผมต้องเจอ..
.
.

ออฟไลน์ kajeaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 529
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • กาเจี๊ยว
ข้าวใจร้ายอ่ะ

ออฟไลน์ After5p.m.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
022
การกลับมาของปรินซ์
.
.
“พี่ปรินซ์พลาดเหรียญ..”
“เออ กูเห็นข่าวล่ะ” ไอ้บอสพูดกับผมหลังจากมันเดินออกจากห้องนํ้าในตอนเช้าก่อนไปเรียน
ผมตามข่าว ตามดูย้อนหลังทุกนัด ถึงจะเน้นฟังมากกว่าดูก็เถอะ ถึงทั้งทีมจะทําได้ดี เล่นอย่างตั้งใจ แต่ผมว่าเราคงต้องพัฒนาอีกเยอะเมื่ออยู่ในการแข่งขันระดับโลก หวังว่าปรินซ์มันจะไม่ท้อไปซะก่อน
“แล้วนี่พี่ปรินซ์จะกลับมาก่อนเลยป่ะวะ เผื่อจะทันลงเตะกีฬามอ”
“ไม่รู้ว่ะ แต่ถ้าให้กูเดากูว่าคงไม่ทัน น่าจะต้องอยู่ร่วมขบวนในพิธีปิดก่อน”
“เออว่ะ”
ผมยังคงนอนไถดูอะไรเรื่อยเปื่อยในเฟสบุ๊ค ทั้งที่ควรลุกไปอาบนํ้า
“แล้วพี่ปรินซ์ไม่ได้ไลน์หามึงเลยรึไง?”
ผมชะงัก “เออ” ทําไมมันจะต้องไลน์หากู! คิดแล้วก็หงุดหงิดนิดๆ นี่ไอ้ปรินซ์มันยังไม่ได้มือถือคืนอีกรึไง แข่งจบก็ต้องว่างแล้วไหมวะ พ่อแม่มันจะเป็นห่วงขนาดไหนแล้ว ติดต่อลูกชายคนเดียวไม่ได้
“แล้วนี่มึงจะไม่ถอดสร้อยนั่นเหรอวะ”
“สร้อย? ออ สร้อยลุงกูน่ะเหรอ”
“เอออ ก็สร้อยลุงมึงนั่นแหละ”
“ก็ลุงกูบอกห้ามถอด”
“ไอ้หัวอ่อน! ถ้ามึงไม่ถอดแล้วพี่ปรินซ์กลับมาเห็น ไม่ต้องโทรตามกูไปช่วยจับเขาแยกนะ”
“กูว่ามึงคิดมากไปว่ะ”
“ก่อนไปพี่ปรินซ์พูดกับมึงว่าไง แล้วไอ้พี่ข้าวเพิ่งพูดกับมึงว่าไง” ผมนึกตาม
“แล้วมันจะยังไงวะ กูก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับใคร ส่วนสร้อยเนี่ยพี่ข้าวเขาให้เพราะเป็นของรับขวัญจากลุง กูจะต้องกลัวอะไรวะ”
“กูพูดกับมึงแล้วเหนื่อย กูว่ากูต้องไปหาพาราตามหลังโจ๊กสักสองเม็ด ปวดหัวโว๊ยย”
ผมยังนึกไม่ออกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ปรินซ์เห็นสร้อยนี้แล้วมันจะยังไง..

หลังจากห้องเชียร์ผ่านพ้นไป พวกเราก็หายใจโล่งขึ้น ถึงแม้ลึกๆจะรู้สึกคว้างๆ ว่างๆในยามเย็น แต่เวลาที่ได้คืนมาพวกเราก็กําลังทุ่มเทให้กับการขึ้นสแตนด์ครั้งแรกในรั้วมหาลัย พวกพี่ว๊ากที่ค่อยๆปรากฏตัวในใต้ถุนทีละคนสองคนเรียกเสียงฮือฮากระซิบกระซาบของพวกเราชั้นปีหนึ่งอย่างกับนกกระจิบกระจาบแอบคุยกัน เพื่อนมั่นๆของผมบางคนก็กล้าพอที่จะเดินเข้าไปเปิดบทสนทนากับพวกพี่เขาและขอลายเซ็นเพราะช่วงตามหาพี่สายรหัส พวกพี่ว๊ากจะไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับน้องๆคนไหนรวมถึงน้องสายรหัสของตัวเอง เรื่องนี้ผมก็เพิ่งจะรู้ รอยยิ้มแทนที่คิ้วที่มักขมวดตึง เสียงหัวเราะแทนที่การตะเบ็งแสนโกรธเกรี้ยว พวกเราพอเห็นรีแอคชั่นเหล่านั้นของอดีตพี่ว๊ากก็จะพากันทยอยเข้าไปขอลายเซ็นบ้าง แนะนําตัวบ้าง ผมว่า..มันโคตรจะดี เหมือนเราได้ใกล้ชิดพี่ที่โคตรฮอตแบบใกล้ชิดจริงๆ ..แล้วตกลงพี่เขารับเราเป็นน้องยังวะ? เป็นคำถามที่ยังเป็นปริศนาต่อไปในใจผม..
“มึง พี่ข้าวมา แต่ทำไมกูว่าแปลกๆ”
“...” ผมค่อยๆหันหน้าไปมองตามการพยักเพยิดของไอ้บรีส พี่ข้าวมาจริงๆ มาแบบไม่มีแว่นลุคที่พี่ข้าวไม่มีแว่นทำให้ผมนึกย้อนไปถึงการตีลูกขนไก่สุดโหดและจูบที่ไม่มีที่มาที่ไป
“แกๆ แกว่าพี่เขาสายตาสั้น แต่ตอนนี้ใส่คอนแทค?”
“หรือว่าจริงๆไม่ได้ใส่แว่นอยู่แล้วป่ะ”
“หรือว่าพี่เขาลืมใส่แว่น”
“หรือว่าพี่เขาทำแว่นหาย”
“โอ๊ยยยย นี่พวกแกรรรรร จะมานั่งมโนหรือว่า หรือว่า หรือว่า บลาๆอีกนานไหม” เทนนิสพูดเบรกการคาดคะเนของกลุ่มเพื่อนสาวที่กระซิบกันอย่างออกรส ผมเองก็นั่งฟังเพลิน ไม่น่าแปลกใจที่ตอนนี้เด็กปีหนึ่งที่นั่งทำอุปกรณ์อยู่ใต้ถุนจะหันมองพี่ข้าวเป็นจุดเดียว ก็ในเมื่อพี่ข้าวเป็นพี่ว๊ากที่โดดเด่นที่สุด ทั้งหน้าตา และน้ำเสียง ..แม่งดุฉิบ
“ก็แค่เดินเข้าไปถามพี่เขาตรงๆ..” เทนนิสลากหางเสียงอ้อยอิ่งแบบสวยๆ พร้อมรูปปากเจ่อๆ
“แกจะไปถามใช่ป่ะนิด”
“เทนนิส!! แอคเซ้นสิ์ สึ.. ยูโน้ว!”
“เออ แกจะไปเป็นหน่วยกล้าตายใช่ไหม”
“โนววววว ฉันแพ้สายตาเขา ยิ่งถอดแว่นมาขนาดนี้ บอกเลยยยย ว่ายอมมมมม”
“ยอมพลีกาย?”
“ม่ายยย ยอมแล้วครับพี่ อย่าทำอะไรผมเลยยยย” เทนนิสพูดเสียงผู้ชายแทนที่จะพูดเสียงสอง พวกเราทั้งโต๊ะพากันหัวเราะครื้นเครง เวลาเม้ามอยนินทามันก็จะสนุกๆอย่างนี้แหละนะ
“แต่แกรรรร พี่ข้าวเดินมาทางนี้แล้วววว”
“กรี๊ดดดด (แบบไร้เสียง) ทำไงกันดีแกรรรรร!” เทนนิสออกท่าทางจนผมลืมอะไรไปบางอย่าง.. ไม่ทันแล้วว!ผมลืมว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย!
“กรี๊ดดดด พี่ข้าว / พี่ข้าว / พี่ข้าว / พี่ข้าวววววว” พี่ข้าวยิ้มตอบแบบโคตรละมุน แถมมองสบตากับทุกคนอย่างเป็นกันเอง
“รู้จักพี่กันหมดแล้วดิ”
“รู้จักดีเลยค่ะพี่” เทนนิสยังทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทนทุกคนได้เป็นอย่างดี “แล้วพี่ข้าวรู้จักพวกเราดีรึยังเอ่ยยย” ผมอดนับถือในความกล้าหาญของคุณเทนนิสไม่ได้
“โห นี่กะเอาให้พี่ต้องอับอายเลยใช่ไหม” รอยยิ้มยังคงระบายอยู่บนหน้าของพี่ข้าว นี่มันร่างสามของพี่มันใช่ไหม ดุ/หื่น/ดี มีทีมันสามบุคลิกไปเลย
“แล้วพี่ข้าวกล้ารับคำท้าของเทน…”
“...นิส เราชื่อเทนนิส พี่พูดถูกไหม”
“กรี๊ดดดดด ถูกค่ะน้องชื่อเทนนิสค๊าาาาา ดีใจจังพี่ข้าวจำชื่อเราได้ น้ำตาจะไหลเลยอ่ะแกรรร” เทนนิสหันมาอวดเพื่อนที่นั่งอยู่รายล้อม
“ส่วนเราก็น้องน้ำหวาน น้องพลอย น้องอร น้องต้นน้ำ น้องพล น้องพี น้องใหม่ น้องโมทย์ น้องตั้น น้อง…” พี่ข้าวค่อยๆพูดทีละชื่อเรียงตามลำดับการนั่ง พวกเรานั่งอึ้งเงียบกันทั้งโต๊ะ ผมเองก็เช่นกัน
“น้องบรีส แล้วก็สุดท้าย.. ธาม” ผมเผลอสบสายตาอ่อนโยนที่มองมา
“อ๊ายยยย พี่ข้าวกินแปะก๊วยปั่นแทนน้ำเหรอคะ ถึงได้ความจำดีขนาดนี้” เทนนิสยังคงหาญกล้า ภาพพี่ข้าวในห้องเชียร์คงมลายสลายสิ้นจากความทรงจำไปแล้วเรียบร้อย
“พี่ก็ไม่ได้กินอะไรเป็นพิเศษนะ พี่กินได้ทุกน้ำ”
“กรี๊ดดดดด ทุกน้ำเลยเหรอคะ” มันน่ากรี๊ดตรงไหน ผมไม่เห็นจะเข้าใจ มันมีอะไรพิเศษรึไง คุณเทนนิสถึงได้สะดิ้งเลเวลอัพขึ้นไปอีก แต่ไม่ใช่แค่คุณเทนนิสสิ เกือบทั้งโต๊ะก็บิดเขินไปมาหน้าแดงหน้าร้อนกันใหญ่
“ไอ้บรีส ไอ้บรีส กินได้ทุกน้ำนี่มันเป็นแสลงอะไรเหรอวะ” ผมหันไปกระซิบถามไอ้บรีสที่นั่งอยู่ข้างๆ
“มึงน่ะเด็กน้อย ไม่ต้องรู้หรอก” โอเค กูไม่อยากรู้ก็ได้
“พี่ข้าวววว น้องเทนนิสมีคำถามค่ะ”
“...”
“พี่ข้าวสายตาสั้นรึเปล่าค่ะ”
“ไม่นะ พี่สายตาปกติ ออกจะสายตาดีด้วยซ้ำ” พี่ข้าวมองผ่านคุณเทนนิสมาหยุดที่ผม
“แล้วพี่ข้าวใส่แว่นทำไมล่ะคะ”
“เพื่อนมันบอกให้ใส่แว่นเพิ่มความดุน่ะ แล้วเรากลัวพี่ไหม” จะแว่นหรือไม่แว่นผมว่าพี่ข้าวก็ดุมันทุกลุค ผมก้มหน้าก้มตาคิด ในมือก็ฉีกพู่เชือกต่อไป แล้วจู่ๆ ก็มีมือหนาของใครมาแตะที่ไหล่ซ้ายของผม ผมหันหน้าไปมองทางซ้ายทันที แต่ก็ไม่เห็นใคร มีแต่ไอ้บรีสนั่งทำหน้าแปลก ผมเลยหันไปทางขวาแทน เลยประจันเข้ากับหน้าของพี่ข้าวที่กำลังมองมาใกล้จนผมต้องหดคอหนีพี่มันเดินมาตอนไหนวะ!
“ว่าไง ธามกลัวพี่ไหม”
เชี่ยยยพี่มึง! จะมาถามแบบเอ็กคลูซีฟกับกูต่อหน้าพลเมืองปีหนึ่งเพื่อ! ผมแอบเห็นสายตางงงันของหลายๆ คนที่พากันมองมาเป็นตาเดียว
“เอ่ออคือ..”
“โหไอ้เชี่ยธามมึงได้ลุงดีสุดๆ อ่ะ มีรีเช็คความรู้สึกกันด้วย” ไอ้บรีสโพล่งขึ้นมากลบเดดแอร์และดูเหมือนจะได้ผล
“ลุง?”
“ใช่ลุง พี่ข้าวเป็นลุงไอ้ธามมัน โคตรน่าอิจฉา”
“ว๊ายยยย น่าอิจฉาขั้นสูงสุด” เสียงวี๊ดว๊ายเม้ามอยดังงึมงําทั่วโต๊ะ “ฉันอยากมีลุงแบบนี้”
ผมแอบถอนหายใจ ดีที่ไอ้บรีสไหวพริบดี ว่าแต่ทำไมพี่ข้าวยังไม่ยอมถอยหน้าออกไป..
“จะไม่ตอบพี่หน่อยเหรอ” ระหว่างที่บรีสทำหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ชวนน่าเข้าใจผิดให้ผม พี่ข้าวที่ยังคงโอบไหล่ผม ก็กระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหู
“กลัวดิพี่” ผมก้มหน้าก้มตาตอบ
“ว่าแต่.. พี่ดีใจนะที่ธามทำตามที่พี่ขอ”
“ขอ?” ผมเงยหน้าหาพี่ข้าว พี่ข้าวขอไรกูไว้วะ
“ก็ธามไม่ถอดสร้อยที่พี่ให้” พี่ข้าวไม่ได้แค่พูด แต่เอานิ้วของมือข้างที่ว่างมาเขี่ยที่สายสร้อย ..เลยมาถึงผิวเนื้อส่วนคอของผม..เชี่ยพี่ข้าวว กูขนลุก!
“พี่จะคิดว่าธามชอบนะ”
“!!!” พี่ข้าวยอมยืดตัวถอยห่างออกจากผม ..ที่ไม่ถอดเพราะไม่กล้าถอดโว๊ยยยยยพี่มึงจะมาสรุปแบบนี้ไม่ได้!
“ไอ้ข้าว ทำไมวันนี้เข้าใต้ถุนได้วะ” พี่เจียวที่เดินมากับพี่ทีตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล เรียกเอาความสนใจของคนทั้งโต๊ะ
“ก็อยากเข้า มึงมีปัญหาอะไรไหมไอ้เจียว”
“กูไม่กล้ามีปัญหากับพี่ว๊ากหรอกคร๊าบบบ เดี๋ยวโดนน้องรุมมมม”
“สวัสดีค่ะ / หวัดดี / หวัดดีครับ พี่ที พี่เจียว”
“กูไปก่อนนะ” พี่ทีพูดกับพี่เจียว หน้าตาเหมือนกําลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง
“อ้าวมึงไม่รอไปพร้อมปาท่องโก๋ของมึงเหรอ”
พี่ทีไม่ตอบแถมยังเดินจากไปแบบเย็นๆ ผมว่าบรรยากาศที่พี่ทีทิ้งไว้มันชวนเย็นยะเยือก ผมแอบมองไปที่พี่ข้าว สายตาขรึมของพี่ข้าวกำลังมองตามหลังของพี่ทีไป ก่อนจะปรับอารมณ์ที่ปรากฏเพียงชั่ววินาทีมาสนใจพวกผมต่อ คงมีปัญหากันสินะ..
.
.
..ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันขึ้นสแตนด์เชียร์ของปีหนึ่งทุกคณะ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของกิจกรรมกีฬามหาลัยประจำปี จริงๆแล้วผมไม่รับรู้เลยว่าเขาแข่งกีฬาอะไรยังไงกัน มีแข่งกีฬาอะไรกันบ้าง แข่งกันที่ไหน แล้วใครไปแข่ง เพราะตั้งแต่ก่อนเปิดเทอม ผมก็รู้แค่ว่ามีหน้าที่เข้าห้องเชียร์ ซึ่งแค่นี้พวกเราก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว
“โอเคค่ะทุกคน” เทนนิสที่รับหน้าที่เป็นผู้นำ (ซึ่งพวกเราทั้งชั้นปีโหวตเลือกในทางลับ) กำลังยืนพูดเสียงดังผ่านโทรโข่งอันจิ๋วอยู่บนม้านั่งที่ใช้เพิ่มระดับความน่าสนใจให้กับตัวเองต่อหน้าคนเกือบสองร้อย ณ ใต้ถุนที่กลับมาดูคับแคบอีกครั้ง “
เช็คความพร้อมของตัวเองกันนะคะ หนึ่งคือที่พร้อพบนหัวและหน้ากากค่ะ” เทนนิสชูอุปกรณ์ทั้งสองโบกไปมา “และสองก็คือพู่เชือกในมือค่ะ โอเค ทุกคนมีครบแล้วเน๊อะ ทีนี้ย้ำอีกทีนะ ช่วงพิธีการที่เขาห้ามใช้เสียง เราจะสันเงียบกัน (สันทนาการโดยไม่ออกเสียง ออกแต่ท่าทาง) พวกเราต้องสนใจลิสเพลงที่เทนนิสกับคนนำจะชูบอกนะจ๊ะ มีใครจะพูดไรอีกป่ะ ฉันว่าได้เวลาต้องมูฟล่ะ” พวกเราพากันส่ายหน้า “งั้นก็ไปสนุกให้เต็มที่กันคร๊าาาา”
พวกเราเดินเรียงแถวออกจากคณะโดยมีพี่ปีสองคอยนำทาง พูดคุย และควบคุมความเป็นระเบียบของพวกเรา สีสันสดใสของเครื่องแต่งกายของพวกเราดึงดูดสายตาของเหล่านักศึกษาต่างคณะให้หันมาสนใจตั้งแต่เดินออกจากคณะ เรื่อยไปจนถึงตอนที่พวกเราขึ้นสแตนด์ของสนามกีฬากลาง ไม่รู้หรอกว่าปีก่อนๆ ที่ผ่านมาพวกพี่เขาทำสแตนด์กันแบบไหน แต่.. ‘นิเทศชนะประกวดสแตนด์เชียร์ทุกปีนะ’ ข้อมูลนี้ทำให้พวกเราเกิดอาการกดดันกันทั้งรุ่น ประวัติศาสตร์แห่งชัยชนะจะมาขาดช่วงที่รุ่นเราไม่ได้ ความเต็มที่มีแค่ไหนจะใส่มันให้หมดในวันนี้
“ไอ้ธาม พี่ปรินซ์ได้ลงเตะไหมวะ”ไอ้บรีสตะโกนถามผมหลังจากที่เรานั่งบนสแตนด์เชียร์เรียบร้อย และกำลังรอสัญญาณจากแก๊งค์เทนนิสที่รับผิดชอบในการนำเชียร์ทําไมพวกมึงต้องถามถึงแต่ปรินซ์วะ และที่ไอ้พวกมึงถามกูเนี่ยกูก็อยากรู้เหมือนพวกมึงนั่นแหละ
“กูไม่รู้” ผมตะโกนตอบแข่งกับเสียงร้องเพลงเชียร์ที่ดังสนั่นเซ็งแซ่ตีกันจนฟังแทบไม่ออกว่ากำลังร้องเป็นภาษาอะไรของเหล่าปีหนึ่งคณะต่างๆที่นั่งอยู่เต็มทั่วทุกอัฒจรรย์ จนเมื่อช่วงเวลาพิธีการมาถึง ทั้งสนามจึงค่อยเงียบสงบลง
“..เอาล่ะ ขอให้วันนี้เป็นหนึ่งในความทรงจำของพวกคุณทุกคน ขอบคุณครับ” เสียงประธานในพิธีพูดจบลงในที่สุด สันทนาการเงียบของพวกเราก็เช่นกัน ต่อจากนี้จะได้สันกันแบบเต็มที่ เสียงมีเท่าไหร่ตะโกนออกมาให้ดังที่สุด..

“..กิตติชัยลากบอลยาวใกล้หน้าประตูเต็มทีแล้วครับ ผ่านกองกลางบัญชีไปอย่างไม่ยากเย็น”
“ต้องมาดูกันว่าแผงหลังบัญชีจะต้านพลังแชมป์เก่าสองสมัยอย่างวิศวะได้รึไม่”
“มาแล้วครับมาแล้วครับกิตติชัยไม่ยิงเองครับ ส่งต่อสมพล สมพลลากหลบปีติ ยังไงดีครับจะส่งต่อหรือจะยิงเอง”
“สมพลตัดสินใจยิงเองครับ แหม ชนคานแฉลบออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย”
“เสียงโห่ดังมากเลยครับ ผมเดาว่าน่าจะมาจากทางฟากแชมป์เก่าครับคุณคมสัน”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นครับคุณชัยชนะ กองเชียร์วิศวะเริ่มนั่งไม่ติดแล้วครับ เพราะวิศวะยังตีไข่ไม่แตกสักที ถือว่าผิดฟอร์มจากนัดก่อนๆ มากครับ”
“นี่ก็ใกล้จะจบครึ่งแรกแล้วครับแต่ทั้งสองฝ่ายยังทำอะไรกันไม่ได้”
“ผมว่าเราคงจะได้เห็นไข่แตกเอาช่วงครึ่งหลังเลยครับ”
“อา เสียงนกหวีดดังแล้วครับ ตามที่คาดไว้ครับจบครึ่งแรกไปโดยที่ทั้งสองฝ่ายทำอะไรกันไม่ได้ ศูนย์ประตูต่อศูนย์”
“จริงๆ ก็มีหลายลูกนะครับที่น่าจะเป็นประตูให้กับฝั่งวิศวะได้”
“ใช่เลยครับ แต่ก็พลาดไปอย่างฉิวเฉียด หวังว่าเราจะได้ยินเสียงเฮจากทั้งสองคณะในช่วงครึ่งหลัง ไม่เอาชนะลูกโทษนะครับ..”
ครึ่งแรกของแมทช์ฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศจบลงโดยที่พวกเราชาวนิเทศ โดยเฉพาะปีหนึ่งอย่างพวกผมไม่ได้สนใจ ใส่ใจ หรือรับรู้อะไรเกี่ยวกับการแข่งขันที่ดำเนินอยู่ในสนามตรงหน้า ผมว่าสแตนด์คณะอื่นก็คงเหมือนกัน อาจจะยกเว้นวิศวะกับบัญชี ที่น่าจะสนใจเชียร์เกมการแข่งขันมากกว่า
“คุณคมสันครับ”
“ครับคุณชัยชนะ”
“นอกจากการแข่งแมตช์ฟุตบอลหยุดมหาลัยแล้วเนี่ย วันนี้ยังมีการประกวดสแตนด์ของเหล่าเฟรชชี่จากแต่ละคณะด้วยครับ”
“สำหรับปีนี้เนี่ยผมยอมใจความสร้างสรรค์ของทุกคณะเลยนะ”
“ระหว่างนี้ เรามาทักทายน้องๆของทุกคณะกันดีกว่านะครับ”
“เริ่มจากด้านขวามือของผมครับคุณคมสัน”
“ไม่ครับ เอาเป็นด้านขวามือของผมดีกว่า”
“มันก็ข้างเดียวกันนั่นแหละครับ”
“โอะ จริงด้วยครับ”
“เราเลิกเล่นมุกแล้วเริ่มกันเลยดีกว่าครับ”
“เริ่มจากคณะนี้เลยครับ อยากเป็นคนไข้ให้เธอดูแล แพท-ทา-ยะ-ศาสตร์”เสียงกรี๊ดดังสนั่นสั่นสะเทือนไปทั่ว ไม่น่าเชื่อว่านี่คือพลังของเหล่าว่าที่หมอในอนาคตที่เจอในห้องตรวจทีไรก็แสนคีบลุค
“คบกับเธอไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะเธอรู้ดีว่าเราคิดอะไร จิต-ตา-วิท-ทา-ยา”
“คบกับเธอไม่ต้องกังวลเรื่องกินแล้วอ้วน เพราะมีเธอเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัว วิท-ทา-ยาศาสตร์การกีฬา”
“ก่อนที่จะไปคณะต่อไป มีคำถามจากทางบ้านครับคุณคมสัน”
“ว่าไงครับคุณชัยชนะ”
“ใครเป็นคนคิดคำแนะนำตัวให้แต่ละคณะค่ะ”
“ทำไมเหรอครับ”
“แหม โดนใจมากเลยคร๊าาาา”
“ถ้าโดนใจ แอดไลน์มาได้เลยครับที่ไอดีดับเบิ้ลเอ็ม..”
“พอเลยครับคุณคมสัน ผมว่าเรารีบต่อที่คณะต่อไปเลยดีกว่าครับ นักบอลรอจนจะหลับไปอีกตื่นแล้วครับ”
“โอเคครับ ต่อกันเลยกับคณะที่มีแต่สาวสวย จนอยากให้เธอมาบริหารทรัพยากรชีวิตร่วมกัน บัญชี”
“คณะต่อไปก็มีสาวสวยเยอะไม่แพ้กัน ถ้ามีเธอเคียงข้าง จะพาเดินห้างทุกวันเล้ย อักษรศาสตร์”
“เดี๋ยวครับคุณคมสัน ไม่มีที่อื่นให้ไปเดินเหรอครับ”
“มีครับ แต่ผมชอบเดินห้าง”
“ทําไมครับ”
“เดินห้างมันไม่ร้อน จะได้อ้อนเธอได้ไม่หงุดหงิด ถ้าเธอหนาวเราก็เนียนได้ใกล้ชิด ตีสนิทเธอได้จนห้างวาย”
“โอ้โหคุณคมสันครับ”
“ครับคุณชัยชนะ”
“เสียเวลามากครับมึงครับ โอ๊ะขออภัยในความไม่สุภาพครับ”
“คุณชัยชนะครับ แต่นี่เรื่องจริงจากประสบการณ์ของผมเลยนะครับ”
“ไม่ทราบว่าคุณพาสาวคนไหนไปเดินห้างเหรอครับ”
“ผมก็เดินแค่กับคุณคนเดียวนะครับ”
“ไอ้…!!!”
ตุบบบ วี๊ดดด.. เสียงไมค์หล่นและหอนดัง ทําเอาผู้คนทั่วทั้งสนามต้องยกมือปิดหู
“ขออภัยครับ พอดีคุณชัยชนะจะเผลอหลุดคําไม่เหมาะสม ผมเลยต้องดูดเสียงคุณชัยชนะก่อน ตอนนี้ขอให้คุณชัยชนะพักหายใจก่อนนะครับ ดูจากสีหน้าแล้ว ท่าจะใจเต้นแรงกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่อยู่นะครับ ..งั้นเรามาฟังเสียงคณะสุดท้ายกันเลยดีกว่าครับ คณะนิเทศศาสตร์”
…..
“เสียงกระหึ่มสมกับเป็นคณะนิเทศครับ เป็นไงบ้างครับคุณชัยชนะสำหรับสแตนด์เชียร์ของตัวเต็งปีนี้”
“ครับ ยังโดดเด่นเหมือนเดิมครับ”
“พูดน้อยจังเลยนะครับคุณชัยชนะ”
“พ่…!!”
“เอาล่ะครับ ครึ่งหลังเริ่มขึ้นแล้วครับ หวังว่าเราจะได้เฮกันบ้างนะครับ”
“คุณคมสันครับ”
“ครับ”
“ผมไม่แน่ใจว่าเบอร์สิบที่กำลังวอร์มอยู่ข้างสนามของทางฟากบัญชี..”
“โอะ ใช่เลยครับ จริงๆ ผมเห็นในรายชื่อผู้เล่นสำรองนะครับ แต่ไม่เห็นลงเล่นเลยตลอดครึ่งแรก”
“จริงๆ แล้วอชิระเดินเข้าสนามตั้งแต่เริ่มเกมนะครับ แต่ที่ไม่ได้ลงคงเพราะอาจจะยังไม่พร้อม”
“นั่นสิครับ อิตาลีกับไทยเวลาต่างกันหลายชั่วโมง แค่เห็นว่ามีรายชื่อเป็นตัวสํารองผมยังแปลกใจเลยครับ ไม่คิดว่าจะกลับมาทันแมตช์นี้ด้วยซํ้า”
“ต้องบอกก่อนครับว่าอชิระเนี่ยได้เป็นหนึ่งในนักเตะที่ไปท้าแข้งรายการกีฬามหาวิทยาลัยโลก ซึ่งถึงจะพลาดเหรียญแต่ก็โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจ”
“ใช่ครับ มีคําชื่นชมจากโค้ชคู่แข่งด้วยครับ”
“เอาล่ะครับถ้าลุกมาวอร์มร่างกายแบบนี้ คงพร้อมลงเตะแล้วครับ”
“ฟากวิศวะคงต้องทํางานหนักมากขึ้นนะครับ”
“ครับ อชิระขึ้นชื่อว่าเป็นกองหลังตัวอันตราย ความสามารถในการตัดบอลที่เด็ดขาด จ่ายบอลยาวแม่น แถมเป็นกําแพงเสริมใยเหล็ก แกร่งจนตัวทํากองหน้าหลายคนบอกว่าไม่อยากเจอ ผมว่าแมตช์นี้ไข่อาจแตกเอาตอนดวลลูกโทษท้ายเกมเลยก็ได้นะครับ”
.
“ไอ้ธามๆ” บรีสตะโกนแข่งกับเสียงดังระบบเซอร์ราวด์รอบทิศทางทั้งจากเพื่อนๆ ร่วมคณะต่างคณะและเสียงโฆษก
“อะไรมึง”
“พี่ปรินซ์มึงลงเตะด้วยเว๊ย”
“ห่ะ?”
“มึงดูที่สนามพี่ปรินซ์มึงลงเตะด้วยยย”
ผมสแกนสายตาไปทั่วทั้งสนาม ดีที่ผมอยู่แค่แถวสามจากด่านล่างของสแตนด์ และที่นั่งนักเตะคณะบัญชีก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ..ผมเห็นปรินซ์ ร่างหนาสูงโปร่งกําลังยืนหันหลังอยู่ที่ข้างสนาม คงกําลังรอเปลี่ยนตัว เขาว่าถ้าเราพยายามจ้องมองใครสักคนหนึ่งอย่างตั้งใจ มันจะมีแรงดึงดูดบางอย่างทําให้คนคนนั้นรู้ตัวว่ากําลังถูกจ้องมอง และหันมา.. ..ปรินซ์หันหน้ามาทางผม เหมือนมันรู้ว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งที่มีระยะทางหลายเมตรกั้นกลาง ผมเดาว่าปรินซ์คงกําลังยิ้มให้ผมแบบเท่ๆ เหมือนที่มันทําทุกครั้ง ก่อนที่ขายาวๆ ของคนตัวสูงจะก้าวเข้าไปสู่พื้นที่ของเขตสนาม..
.
.
.

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด