{ DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข  (อ่าน 20817 ครั้ง)

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 21

   
บางครั้งเขาก็คิดว่าตัวเองมีอิสระ
   
คิดว่าตัวเองนั้นหลุดพ้นจากสายตาของอาสิงห์ คิดว่าตัวเองเลือกทุกอย่างด้วยตัวเอง คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวนั้นเกิดขึ้นจากความตั้งใจของตัวเอง
   
“ฉันดีด้วยแล้วก็ทำตัวดีๆ เพราะถ้าเธอทำตัวมีปัญหามากฉันจะไม่ปราณี”
   
“…”
   
ทวิชก้มหน้าต่ำมองเท้าตัวเอง
   
เป็นอีกครั้งที่เขาสงสัยในตัวเอง เขาไม่แน่ใจแล้วว่าทุกสิ่งที่ตัวเองทำไปตลอดหลายปีมานี้มันเกิดขึ้นจากที่เขาต้องการจริงๆ หรือว่ามันเกิดจากการที่ใครมาโน้มน้าวให้เขาทำกันแน่
   
เขาไม่รู้เลย แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในท้องเขาตอนนี้เป็นความต้องการของอาสิงห์หรือเปล่า เขาก็ไม่รู้
   
อาสิงห์บอกว่าปล่อยให้เขาออกไปก็จริง แต่อิสระที่เขาคิดว่ามีก็อาจจะเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง เขาอาจจะอยู่ในการควบคุมของอาสิงห์มาตลอด
   
“เข้าไปซะ แล้วก็เลิกคิดเรื่องปฏิวัติงี่เง่านั่น มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดเธอไปก็จะตายโง่ๆ เหมือนพ่อเธอ”
   
สิงห์ปลายตามองทวิชด้วยสายตาเหยียดหยัน เพราะในสายตาเขาแล้วไม่ว่าจะพ่อหรือลูกเขาก็รังเกียจทั้งนั้น ความเท่าเทียมหรืออะไรพรรค์นั้นเป็นสิ่งที่เขารังเกียจอย่างที่สุด เขาไม่ชอบการที่คนจนอย่างพ่อทวิชจะขึ้นมามีอำนาจเทียบเท่ากับตัวเองและแย่งชิงทรัพยากรของเขาไป
   
เขาคิดว่าตัวเองไม่ผิดที่ร่ำรวยเพราะตอนต้นตระกูลของเขาก็ตรากตรำอย่างหนักในการสร้างตระกูลนี้ขึ้นมา เขาขยันมากกว่าพวกคนจนเหล่านี้ คนจนที่แสนเกียจคร้านและรอความช่วยเหลือไปวันๆ งอมืองอเท้าไม่ยอมทำอะไร
   
ซึ่งคนที่เขาไม่ชอบหน้าที่สุดก็คือพ่อของทวิช
   
เด็กยากจนที่ได้ทุนเรียนดีมาเสนอหน้าเข้ามาเรียนในโรงเรียนชั้นนำของพวกเขาได้ ก่อนที่มันจะล่อลวงผู้หญิงที่เขาชอบไปเป็นของตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ทั้งๆ เขากำลังจะขอพ่อให้หมั้นให้ด้วยซ้ำเพราะนอกจากจะเป็นการขยายความสัมพันธ์ภาคธุรกิจแล้วเขายังชอบแม่ของทวิชจริงๆ ด้วย
   
ทุกอย่างเกือบจะไปได้สวยถ้ามันเจียมตัวและไม่กระเสือกกระสนเข้ามาในสังคมของพวกเขา
   
และเพราะคนอย่างมัน ผู้หญิงคนที่เขารักถึงตอนโดนตัดขาดจากตระกูลแบบนั้น ต้องไปอยู่อย่างลำบากในย่านซอมซ่อที่มีแต่พวกคนชนชั้นแรงงานอยู่กัน
   
เขาถึงได้เกลียดคนพวกนี้นัก พวกคนที่ไม่จดจำสักทีว่าตัวเองนั้นอยู่ชนชั้นไหนและต่ำต้อยเพียงใด
   
สิงห์แค่นเสียงหัวเราะหยันเมื่อเห็นทวิชเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่เขาจะเดินกลับขึ้นรถของตัวเองเพื่อที่จะออกไปจากสถานที่ไม่น่าพิสมัยนี่สักที
   
หลังจากปิดประตูทวิชก็ยืนนิ่งจดจ้องห้องของตัวเองที่เคยคิดว่าจะไม่ได้กลับมาอีก แต่สุดท้ายเขาก็ถูกนำตัวกลับมาขังในกรงนี้อีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่ดีเพียงอย่างเดียวคือกรงนี้ยังคงสะอาดสะอ้านเช่นเดิม
   
ทวิชพาตัวเองไปยืนหน้ากระจกในห้องน้ำ
   
มองหน้าตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้งในรอบหลายปี
   
“...”
   
นัยน์ตาสีทองที่สะท้อนในกระจกนั้นสั่นระริก ดูเจ็บปวดไม่ต่างกับตอนที่จะได้ออกจากกรงแห่งนี้
   
เขาโตขึ้นแต่ตัวตนข้างในเขากลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
   
มือผอมลูบสีหน้าสิ้นหวังของตัวเองและหัวเราะเสียงแผ่ว
   
เขากำลังทำอะไรอยู่ ออกจากกรงเพื่อไปอะไร เพื่อไปใช้ชีวิตในกรงใหม่ที่เขาเลือกที่จะอยู่เองเหรอ
   
“ทำไมมึงไม่ทำตามที่อาเขาพูดให้จบๆ ไปวะ ทวิช”
   
ทวิชหัวเราะหนักขึ้นเมื่อเห็นน้ำตาไหลอาบน้ำตาตัวเองอย่างน่าสมเพช
   
“แค่ทำตามที่เขาบอกก็จบแล้ว ทำไมไม่ทำวะ ทวิช จะมัวแต่ไปทำอะไรโง่ๆ แบบนั้น ทำไม”
   
ทั้งๆ ที่เขาควรจะโกรธอาสิงห์เรื่องที่ดูถูกพ่อตัวเอง แต่ตอนนี้เขากลับโกรธไม่ลงเพราะมันเป็นความจริงที่ครอบครัวเขาใช้ชีวิตลำบาก เขารู้ว่าพ่อเขาเป็นคนฉลาดและพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะถีบตัวเองในการหาอาชีพมั่นคงเพื่อที่จะดูแลครอบครัว แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จจนสุดท้ายพ่อเขาก็เลือกที่จะเผาใบประกาศณียบัตรทิ้งและทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวันเพ่อเอาเงินมาเลี้ยงเขา
   
“ก็แค่ยอมแพ้แล้วก็ใช้ชีวิตเอง ทำไมไม่ทำวะ”
   
ทวิชสะอื้นจนตัวโยน รู้สึกเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว อิสรภาพที่เขาต้องการนั้นราคาแพงจนแทบจะบดขย้ำจิตวิญญาณเขาให้สูญสลายมาหลายครั้ง
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทนรับเรื่องราวพวกนี้มาตลอดได้ยังไง ทำไมเขาถึงยังพยายามอยู่ ความตายของพ่อแม่เขายังไม่ชัดเจนอีกเหรอว่ามันไม่มีทางสำเร็จ เขาไม่มีวันที่จะเรียกความยุติธรรมให้พ่อกับแม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาต่อสู้อยู่ก็คือคนแบบอาสิงห์ที่มีทั้งเงินและอำนาจซึ่งเขาก็ไม่มีปัญญาที่โค่นมันได้แน่ๆ ลำพังแค่จะตอบโต้อาสิงห์เขายังไม่กล้าพอเลย
   
“..มึงมัวแต่ทำอะไรอยู่วะ ทวิช จะมัวแต่เปิดร้านโง่ๆ นั่นทำไม”
   
ทั้งๆ ที่กำลังด่าตัวเองด้วยความตั้งใจ แต่ทวิชกลับเผลอกัดปากจนกลิ่นคาวเลือดอวลในปาก นัยน์ตาสีทองสั่นระริกเพราะเบื้องลึกของจิตใจนั้นปฏิเสธอย่างรุนแรง
   
เขาทำเรื่องพวกนี้เพื่อให้ทางออกกับคนที่สิ้นหวังแบบเดียวกับตัวเอง
   
“..ยอมแพ้สักที”
   
ทวิชสะอื้นหนักกว่าเดิมเมื่อนึกถึงลูกค้าคนแรกของเขาที่เป็นเด็กอายุไม่กี่ปีเท่านั้น แต่กลับแตกสลายยิ่งกว่าเขาเสียอีก แววตาสิ้นหวังที่ไม่มีความมุ่งหวังใดๆ ต่อโลกใบนี้อีกยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขา ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้ายและการขัดขืน
   
เด็กคนนี้โดนพวกอัลฟ่านักบวชข่มขืน สามารถหนีออกมาจากโบสถ์นรกนั่นได้ก็จริงแต่จิตวิญญาณความรู้สึกนึกคิดนั้นก็สูญสลายไปแล้ว ไม่กินข้าว ไม่นอน ไม่ร้องไห้ ทำเพียงแค่นั่งเฉยๆ ตัวสั่นเทาตลอดเวลาและขอร้องเขาให้ปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมานนี้
   
ความทุกข์ทรมานที่ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจชำระให้เบาบางลงได้ จนท้ายที่สุดเขาก็ยอมทำการุณฆาตให้ด้วยมืออันสั่นเทา เขาคุ้นเคยกับความตายก็จริง แต่ไม่เคยมอบความตายให้ใครมาก่อน
   
และมันก็ทำให้เขาต้องฆ่าคนครั้งแรกตั้งแต่ตอนอายุใกล้จะยี่สิบเอ็ดปี
   
‘ขอบคุณ’
   
ก่อนที่จะตายเด็กคนนั้นยิ้มจนตาหยีให้เขา ไม่หวาดกลัวต่อความง่วงงุนที่เป็นสาส์นเตือนต่อความตายที่ตัวเองจะเจอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ซึ่งนั่นก็เป็นรอยยิ้มแรกและรอยยิ้มเดียวที่เขาได้รับหลังจากอยู่ด้วยกันมา
   
‘…’
   
เขาในตอนนั้นก้มมองร่างไร้วิญญาณในอ้อมแขนตัวเองอย่างสงบนิ่ง
   
มันเป็นความรู้สึกราวกับว่าได้ปลดปล่อยความทุกข์ทรมานของคนอื่น คล้ายกับว่าเขานั้นกลับไปเป็นเด็กไร้เดียงสาที่แอบหนีแม่ไปให้กำลังใจคนที่ใกล้เสียชีวิตอีกครั้ง
   
เด็กไร้เดียงสาคนนั้นกระซิบบอกเขาว่าให้ทำสิ่งนี้ต่อไป ทำเพื่อที่จะช่วยทำให้ความเจ็บปวดของผู้คนที่น่าสงสารนี้หายไป ช่วยปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมานที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขมันด้วยตัวเองซะ
   
“…”
   
ทวิชพยายามใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกแต่มันก็ไม่หมดสักที
   
เขาเหนื่อย เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรอีกต่อไปแล้ว แค่มีความสุขไปวันๆ เขายังไม่อยากทำเลย
   
“..ทำไมมึงถึงยังมีชีวิตอยู่ว่ะ ทวิช”
   
ทวิชเลิกเช็ดน้ำตาและจ้องหน้าตัวเอง รู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ไม่ตายตั้งแต่ตอนนั้น เพราะการมีชีวิตอยู่ของเขามันทรมานจนเขาทนแทบไม่ไหวแล้ว
   
ครั้งนี้มันมาก มากจนเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะทนได้อีกนานแค่ไหน
   
คำพูดของอาสิงห์นั้นทำเขาใจสลาย
   
การปฏิวัติที่เขากำลังพยายามทำอยู่อาจจะเป็นเรื่องโง่ๆ จริงๆ ก็ได้
   
ทวิชหัวเราะเสียงขืนตอนที่เห็นจี้เงินของพ่อตัวเองซึ่งเป็นอีกาสยายปีก
   
พ่อของเขาเป็นถึงหัวหน้าคณะปฏิวัติ แต่เขากลับเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ เป็นแค่อะไรสักอย่างที่ยังมีชีวิตอยู่และด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างเขาก็ต้องมาเผชิญกับความเลวร้ายนี้ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
   
ทำไมต้องเป็นเขา?
   
ทำไมเขาถึงไม่ได้รับอนุญาตให้มีความสุข ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตปกติแบบคนทั่วไปไม่ได้ ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนนี้
   
“…”
   
ทวิชยิ้มหยันให้ตัวเองเพราะต่อให้มีคนตอบคำถามนี้ได้ เขาก็ยังต้องทนใช้ชีวิตเฮงซวยนี่อยู่ดี นอกเสียว่าเขาจะยอมแพ้แล้วทำมันตอนนี้ไปเลย
   
หากแต่น่าเสียดายที่โลกใบนี้นั้นก็ยังคงโหดร้ายต่อเขาเหมือนเดิม
   
“ทวิช”
   
“…”
   
ทวิชเหลือบมองบอดี้การ์ดคนสนิทของอาสิงห์ที่ถูกแบ่งหน้าที่ออกมาจับตาดูเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย ถึงแม้ว่าจะเติบโตมาพร้อมกับคนๆ นี้ก็ตาม แน่นอนว่าทุกคนที่ส่งจับตามองเขานั้นเว้นระยะห่างกับเขาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีใครพูดคุยกับเขา
   
“หนีไปซะ”
   
“…”
   
ทวิชขมวดคิ้วเมื่ออยู่ๆ คนที่เย็นชากับเขามาตลอดพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล นัยน์ตารียาวอย่างพวกเสือโคร่งนั้นจดจ้องเขานิ่ง
   
“อย่าไปเชื่อที่อาของเธอพูด การปฏิวัติเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และฉันเชื่อว่าครั้งนี้มันจะสำเร็จ”
   
“..ผม”
   
ทวิชก้มหน้ามองเท้าตัวเอง รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการต้องดิ้นรนเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี
   
เขาอยากยอมแพ้แล้ว
   
“เสรีภาพเป็นของราคาแพง พ่อกับแม่เธอยอมจ่ายชีวิตเพื่อให้เธอได้มันมา ถึงครั้งที่แล้วมันจะไม่สำเร็จ ตอนนี้มันจะสำเร็จ อย่าปล่อยให้คนอย่างอาเธอมาทำลายอุดมการณ์บริสุทธิ์ของเธอ ทวิช”
   
“..ทำไมคุณไม่ทำเอง”
   
“ฉันมารอปล่อยนกออกจากกรงก่อนถึงจะค่อยตามออกไป”
   
“...”
   
นัยน์ตาของทวิชสั่นระริก เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกลังเลว่าตัวเองนั้นควรจะอยู่ในกรงทองแห่งนี้ดีไหม เพราะอย่างน้อยที่นี่เขาก็ปลอดภัย ไม่ต้องกังวลในเรื่องการหาเงินแถมยังสามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น
   
แต่มันก็แลกมาด้วยอิสรภาพของเขาและยอมจำนนต่อความชั่วร้ายเหล่านี้
   
ซึ่งแน่นอนว่าเขายอมรับชีวิตแบบนั้นไม่ได้
   
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย”
   
ทวิชพูดพร้อมกับถอดเสื้อของตัวเองออกจนช่วงบนเปลือยเปล่า และปล่อยให้ปีกสีดำทมิฬงอกออกจากแผ่นหลังจนสุดความยาว
   
“ถ้ามันแพ้ ผมจะไม่สู้อีก”
   
แววตาของทวิชกลับมาเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง
   
“เสรีภาพจงเจริญ”
   
บอดี้การ์ดคนสนิทอวยพรทวิชด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะกระชากแขนทวิชออกทางหลังบ้าและผลักออกไป ส่วนตัวเองนั้นก็ชักปืนออกมายิงเพื่อนร่วมงานที่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าทวิชเหมือนกันอย่างไม่ลังเล
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
“หนีไป!! ทวิช!!”
   
การทำงานร่วมกันมาเกือบตลอดชีวิตทำให้พวกเขานั้นรู้จักกันเป็นอย่างดี การฆ่ากันในกระสุนนัดเดียวจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการประวิงเวลาให้มากพอที่จะปล่อยให้ทวิชหนีไป
   
แน่นอนว่าทวิชตกใจมากแต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว กางปีกออกมาและโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ลังเล
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
ห่ากระสุนจากบอดี้การ์ดอีกหลายคนยิงไล่หลังทวิช จนทวิชตัดสินใจเปลี่ยนเป็นร่างอีกาที่ขนาดตัวเล็กกว่าและบินสูงที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้
   
ปัง!
   
“!!”
   
ทวิชสะดุ้งเฮือกเมื่อมีนัดหนึ่งเฉี่ยวหัวตัวเองไปเพียงนิดเดียว แต่ปณิธานและอุดมการณ์อันแรงกล้าในกายนั้นก็กระตุ้นให้เขาบินให้เร็วขึ้น ก่อนที่สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดจะครอบงำเขาจนเขาแทบไม่มีสติรับรู้อะไรนอกจากบินไปทางรัฐสภา
   
เป็นเวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่ทวิชจะกลับมาได้สติอีกครั้ง ซึ่งพอมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนั้นใกล้ถึงบริเวณรัฐสภาแล้ว ทวิชค่อยๆ พาตัวเองลงไปในมุมอับและคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง กระชับกางเกงที่ร่นไปกองอยู่บริเวณข้อเท้าจากการคืนร่างต้นกระทันหันให้กลับคืนสู่สภาพขนาดพอดีตัวอีกครั้งจากอุณภูมิจากร่างกายมนุษย์
   
ทวิชก้มลงไปหยิบเสื้อยืดสีขาวที่ถูกทิ้งไว้ในพุ่มไม้ออกมาสลัดๆ สวมอย่างไม่ใส่ใจ และเดินเท้าต่อเพื่อเข้าไปร่วมกับกลุ่มปฏิวัติที่กำลังปราศรัยอะไรสักอย่างที่เขาได้ยินไม่ชัดนัก
   
“หนี!! หนีเร็ว!!”
   
ยังเดินไม่ถึงไหนก็มีผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งวิ่งหนีออกมาพร้อมกับร่างโชกเลือก ก่อนที่เสียงกระสุนและระเบิดจะดังกลบทุกอย่าง ผันแปรทุกสิ่งทุกอย่างทั่วบริเวณให้กลายเป็นลานสังหาร
   
“...”
   
ทวิชยืนแข็งอยู่สักพักด้วยความตกตะลึง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าการนองเลือดจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นไวและกลางวันแสกๆ แบบนี้
   
“หนีสิ!! เดี๋ยวก็ตายหรอก”
   
ผู้ชุมนุมคนหนึ่งที่แบกเพื่อนที่ถูกยิงมาด้วยกระชากแขนทวิชให้วิ่งตามไปด้วย ซึ่งทวิชก็วิ่งตามอย่างว่าง่ายก่อนที่จะถลาเข้าไปช่วยคนเจ็บอีกคนที่ถูกยิงบริเวณหน้าท้องและเดินโซซัดโซเซออกมาคนเดียว ทวิชประคับประคองอีกฝ่ายและพาหนีจนเสื้อสีขาวถูกย้อมด้วยเลือดเป็นสีแดงก่ำ
   
“อย่า อย่าโดนตัวผม”
   
คนเจ็บซึ่งเป็นหนึ่งในอาสาสมัครเพื่อชาติกระซิบบอกทวิชเสียงเบาด้วยสีหน้าเจ็บปวด
   
“ผมไม่ปล่อยให้คุณตายแน่ๆ อดทนหน่อย”
   
แน่นอนว่าทวิชไม่สนใจและคืนร่างต้นบางส่วนให้เป็นเสือดำเพื่อเพิ่มพละกำลังให้ตัวเอง
   
“..อย่าโดนตัวผม ฮึก ผม ผมขอร้อง แค่ก!!!”
   
คนเจ็บร้องไห้ไปพูดไปก่อนที่จะเผลอไอใส่ทวิชอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวตกใจและร้องไห้หนักกว่าเดิม
   
“ขอโทษ ฮึก ผมขอโทษนะ คุณ ผมขอโทษ”
   
ทวิชที่ขมวดคิ้วงงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ยังคงใช้สมาธิกับการหนีพร้อมกับหลบเลี่ยงกระสุนไปด้วย และใช้สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวในการเอาชีวิตรอดจากสมรภูมินรกแห่งนี้
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
“!!”
   
ทวิชเบิกตากว้างเมื่อเห็นกลุ่มคนที่วิ่งอยู่หน้าตัวเองไม่กี่เมตรล้มลงทันทีเมื่อมีเจ้าหน้าที่รัฐอีกกลุ่มตามมาสมทบ แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่สวมชุดป้องกันอย่างแน่นหนาจนแทบจะมองไม่ออกว่าเป็นมนุษย์ สิ่งเดียวที่ยังคงชัดเจนคือกระบอกปืนสีดำซึ่งมีสัญลักษณ์สีทองของพวกอัลฟ่าสลักอยู่
   
พวกมันไม่แม้แต่จะลงจากรถกันด้วยซ้ำ เรียงรายกันอยู่บนรถทหารหุ้มเกราะและกราดยิงลงมาราวกับห่าฝน ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายที่พวกเขาเข่นฆ่านั้นเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธด้วยซ้ำ
   
“อย่ายิง ฮึก อย่ายิง!”
   
ผู้ชุมนุมคนหนึ่งกรีดร้องออกมาเมื่อพี่ชายของตัวเองนั้นถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา แต่ถึงกระนั้นเสียงกรีดร้องของเขาก็ไม่อาจทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้เห็นใจแต่อย่างใด เพราะสิ่งเดียวที่เขาเชื่อฟังคือนายของพวกเขาเท่านั้น
   
พวกเขาเชื่อว่าการเข่นฆ่ากลุ่มกบฏบ่อนทำลายชาติเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกต้อง
   
เชื่อว่ามันจะคืนเสถียรภาพให้กับประเทศและจะทำให้พวกเขานั้นคือผู้ผดุงความยุติธรรมอันน่าเลื่อมใส
   
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะยิงผู้ชุมนุมคนนั้นต่อจนเจ้าตัวนั้นต้องกลายเป็นร่างไร้วิญญาณตามพี่ไป ก่อนที่จะพยายามกำจัดเหล่ากบฏคนอื่นที่ยังคงวิ่งเอาชีวิตรอดอยู่โดยไร้ซึ่งความละอายใจ
   
“ทางนี้!”
   
ท่ามกลางความวุ่นวาย ทวิชกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและวิ่งตามไปโดยไม่ต้องคิดสักนิด เพราะคนๆ นี้นั้นเป็นหนึ่งในคนที่เขาไว้ใจที่สุดนับตั้งแต่ออกจากกรงทองมา
   
“พอส!”
   
ทวิชตะโกนเรียกเพื่อนตัวเองที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้าและพยุงคนบาดเจ็บอยู่เหมือนกัน พอสมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นทวิชแต่วินาทีต่อก็ยิ้มกว้างทันที น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่คุยกันได้เท่าไหร่ ทั้งสองจึงไม่ได้คุยอะไรกันนักและใช้สมาธิกับการหนีเข้าตรอกซอกซอยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีใครตามมาฆ่าพวกเขาอีก
   
“เข้ามาในนี้!”
   
เมื่อมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกันแน่ๆ แล้ว พอสก็ตัดสินใจเปิดประตูตึกใกล้ๆ ที่ตัวเองยืนอยู่และรีบพาคนเกือบยี่สิบคนเข้าไปหลบในหนึ่งฐานที่มั่นของกลุ่มปฏิวัติที่พอจะมีอาหารยาให้ใช้อยู่บ้าง ซึ่งเมื่อเข้าไปจนครบหมอที่ประจำการอยู่สองสามคนก็มาช่วยกันทำแผลให้กับคนเจ็บทันที
   
“..อย่าให้หมอโดนตัวผม คุณก็ด้วย.. เอาศพผมไปเผาทิ้งซะ”
   
 อาสาสมัครก็ยังยืนยันคำเดิมกับทวิชด้วยสีหน้าเจ็บปวด
   
“ทำไม”
   
ทวิชยอมผละออกจากตัวอีกฝ่ายแต่โดยดีและใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดที่โดนไอใส่ออกจากหน้าตัวลวกๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก
   
“อึก พวกอัลฟ่า..ใช้อาสาสมัครเป็นตัวปล่อยโรคระบาด แค่ก!!” พูดยังไม่จบดีก็ไอโขลกออกมาอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้ยกมือปิดปากได้ทันก่อนที่จะแพร่เชื้อไปมากกว่านี้ แววตาสิ้นหวังบอกกล่าวได้ดีว่าเขานั้นเจ็บปวดขนาดไหนกับการถูกหลอกใช้จากกลุ่มคนที่เขาเทิดทูนมาตลอดชีวิต
   
“โรคระบาด?”
   
ทวิชขมวดคิ้วเพราะเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าทางการเคยใช้วิธีการนี้ในการปราบผู้ชุมนุมด้วย
   
“ใช่ โรคระบาด” เป็นพอสที่เดินมาตอบทวิชด้วยรอยยิ้ม หากแต่สีหน้านั้นซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยฟกช้ำบางอย่างที่เกิดขึ้นเองและอธิบายไม่ได้ “และข่าวดีก็คือกูก็ติดแล้วเรียบร้อย”
   
“ติดมากี่วันแล้ว พอจะรู้ไหม”
   
ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองคุ้นเคยกับความตายมากพอแล้ว แต่พอคิดว่าพอสนั้นจะตายก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้
   
แววตาของทวิชหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
   
“ไม่รู้ว่ะ น่าจะสักพักแล้วตั้งแต่พวกอาสาสมัครมันแทรกซึมเข้ามา แรกๆ อาการมันก็ไม่ค่อยออกหรอก กูก็คิดว่ากูแค่ล้าเฉยๆ แต่พอมาวันนี้อาการแม่งชัดเลยว่ากูต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ ”
   
ทั้งๆ ที่พูดถึงความเป็นความตายของตัวเองแต่พอสก็ยังคงยิ้มให้ทวิชได้ หากแต่ระหว่างที่พูดอยู่นั้นเลือดกำเดากลับไหลออกจากจมูกพอสคล้ายกับเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของพอส
   
“...กูรักมึงนะ ทวิช ถ้ากูตายก่อนก็สู้เผื่อกูด้วยแล้วกัน”
   
พอสหัวเราะเสียงแผ่วและใช้ชายเสื้อเช็ดเลือดตัวเองออก รู้สึกเสียใจเล็กๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้กลับไปกินอาหารฝีมือทวิชแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการได้เจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการต่อสู้ก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อยเหมือนกัน
   
“...”
   
 ทวิชพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรด้วยซ้ำ
   
เพื่อนเขากำลังจะตาย
   
“..ถ้าเป็นอัตราปกติเชื้อจะแสดงอาการชัดเจนในวันที่สอง แต่ถ้ามีตัวกระตุ้นที่มากพอก็จะแสดงอาการรุนแรงออกมาทันที” อาสาสมัครคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม นัยน์ตาปรือปรอยเข้าใกล้กับความตายเต็มทน พยายามนึกถึงข้อมูลที่ตัวเองบังเอิญไปรับรู้มาและพยายามที่จะไม่หลับก่อนที่จะพูดจบเพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากหลับไป ตัวเองจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้อีก
   
“ถึงตอนนั้นถ้าอยู่ต่อได้ถึงพรุ่งนี้ก็นับว่าโชคดีแล้ว”
   
พูดจบก็ไอหนักกว่าเดิมและหอบหายใจอย่างหนัก จนหมอที่ทำแผลอยู่อีกฝั่งนั้นวิ่งมาดูแต่พอสก็ใช้แขนบังเอาไว้ไม่ให้เข้าไปก่อนที่จะถอยห่างออกจากหมอที่ยังคงปกติอยู่ไม่ให้ติดเชื้อจากเขา
   
เชื้อที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันระบาดทางไหนหรือระบาดยังไง สิ่งที่เขารับรู้อย่างชัดเจนตอนนี้คือเขาแทบจะไม่สามารถหายใจได้อย่างปกติแล้ว ภายในร่างกายร้อนระอุและเจ็บปวด รอยช้ำตามร่างกายเขานั้นสร้างความทุกข์ทรมานให้กับความอย่างมหาศาลราวกับว่ามันกำลังกัดกินเขาอย่างช้าๆ ที่แย่ไปกว่านั้นคือเขาไม่สามารถคืนร่างต้นเต็มตัวได้แล้วเพราะมันจะทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ
   
ไม่ว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ เขาก็ไปไม่รอดแล้ว
   
“ไปดูคนอื่นเถอะ เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”
   
พอสยิ้มให้หมอที่สวมปลอกแขนหน่วยรักษาพยาบาลของกลุ่มปฏิวัติ และนั่งลงข้างๆ อาสาสมัครคนนั้นที่พิงอยู่กับกำแพงและหายใจช้าลงเรื่อยๆ
   
“แล้วพวกแกนนำปราศรัยอะไรไป ทำไมพวกมันถึงตอบโต้รุนแรงขนาดนั้น”
   
ทวิชนั่งลงข้างๆ เช่นกันโดยไม่หวาดกลัวว่าติดเองจะติดโรคระบาด ฮัมเพลงในลำคอเบาๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเพื่อช่วยขับกล่อมให้อาสาสมัครนั้นหวาดกลัวต่อความตายน้อยลง
   
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เปิดคลิปแฉว่าณภัทรมันมีเชื้อสายนกพิราบ”
   
พอสหัวเราะเสียงแผ่วกับความจริงอันตลกร้ายที่ตัวเองเพิ่งรับรู้เมื่อกี้ เพราะเขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่ยืนยันและภูมิใจนักหนากับความเป็นอัลฟ่าของตัวเองนั้นกลับมีเชื้อสายของพวกโอเมก้าด้วย ซึ่งนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีเลยว่าการแบ่งแยกอัลฟ่า เบต้า โอเมก้าก็เป็นแค่วาทกรรมไว้ใช้หลอกประชาชนประเทศเท่านั้นเอง
   
“..เป็นเรื่องจริงเหรอ”
   
ทวิชถามออกไปโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากภาพที่ณภัทรกลายร่างเป็นสิงโตเผือกทุกปีในงานฉลองวันสถาปนายังคงติดตรึงในความทรงจำของเขา ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับแต่ร่างต้นที่เป็นสิงโตของณภัทรนั้นสง่างามมากสมกับที่ใช้เป็นโฆษณาชวนเชื่อมาหลายสิบปี
   
“จริง แต่คนส่วนใหญ่ก็เหมือนนายนั่นแหละ คิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง ฉันเลยไม่รู้ว่าที่ทำกันจนถึงตอนนี้มันจะได้ผลไหม” พอสพยายามฝืนยิ้มให้ทวิช ทั้งๆ ที่เริ่มรู้สึกสิ้นหวังเต็มทน “หรือว่าที่เราทำมาทั้งหมดมันก็แค่เสียเวลาเปล่า”
   
“…”
   
ทวิชถอนหายใจและหลับตาลงเหนื่อยๆ แต่ก็ยังคงฮัมเพลงเบาๆ ให้บรรยากาศรอบกายที่แสนโหดร้ายให้เบาบางลง พอสยิ้มบางและตัดสินใจพิงกำแพงหลับบ้าง
   
การปราศรัยครั้งที่สำคัญที่สุดได้จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว ที่เหลือจากนี้ที่พวกเขาต้องรอคือผู้คนที่ยอมออกมาเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขามากขนาดไหน เขาเชื่อว่ามีคนที่ตาสว่างแล้วแต่ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตปกติ เพิกเฉยต่อความพยายามของกลุ่มปฏิวัติอย่างพวกเขาเพราะสามารถเอาตัวรอดจากความเหลื่อมล้ำนี้ได้แล้ว
   
ฉะนั้นชัยชนะของการปฏิวัติครั้งนี้ไม่ใช่กลุ่มปฏิวัติหรือรัฐบาลที่เป็นตัวตัดสิน
   
ประชาชนต่างหากที่เป็นคนตัดสินผลของการปฏิวัติครั้งนี้

---

 :z6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2020 23:26:50 โดย Foggy Time »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เชื้อโรคมา มีโควิทพอดี

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
กักตัว 14 วันนะ

ออฟไลน์ Thanaruedee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ทันต่อเหตุการ :really2: :really2: :really2: :really2:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 22
   
   
ข่าวใหญ่ตั้งแต่เมื่อคืนนั้นนอกจากข่าวเกี่ยวกับการปราบกบฏแล้ว ก็ยังมีข่าวเกี่ยวกับ ‘โรคระบาด’ แปลกประหลาดบางอย่างที่กำลังระบาดอย่างหนักในหมู่ประชาชน ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแต่กลับแสดงอาการของโรคออกมาอย่างน่ากลัว อาการแรกเริ่มของผู้ป่วยนั้นจะเริ่มต้นจากการครั่นเนื้อครั่นตัว ก่อนที่จะตามมาด้วยอาการหายใจลำบาก และรอยช้ำตามร่างกายต่างๆ ตามลำดับ
   
หากแต่อาการที่เด่นชัดที่สุดคือการเลือดกำเดาไหลอย่างไม่มีสาเหตุ ซึ่งหากมีอาการเช่นนี้แล้วทางรัฐบาลก็มีคำแนะนำให้ผู้ป่วยนั้นต้องไปโรงพยาบาลทันทีโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เพราะอาการเลือดกำเดาไหลนั้นคือสัญญาณเตือนสุดท้ายของร่างกาย และถ้าหากปล่อยเอาไว้ไม่รักษาอีกไม่นานอาการก็จะทรุดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากอาการนี้สะท้อนถึงสภาวะที่ร่างกายไม่สามารถรับมือกับโรคนี้ได้แล้ว
   
แน่นอนว่าสรีระร่างกายของแต่ละคนนั้นต่างกันการแสดงอาการของโรคจึงค่อนข้างไม่ชัดเจน ทำให้มีคนเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง ทั้งๆ ที่ร่างกายไม่ได้แสดงอาการอะไรด้วยซ้ำ
   
ประชาชนในระยะเวลานี้จึงตกอยู่ในความหวาดกลัว ความไม่แน่นอนในชีวิตทำให้พวกเขาเลือกที่จะเลือกเอาชีวิตไว้ก่อน ฉะนั้นไม่ว่าเรากบฏจะเรียกร้องหรือพูดอะไร พวกเขาก็ไม่คิดจะสนใจแล้วเพราะลำพังตัวเองพวกเขายังเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำ
   
ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของประชาชนในประเทศนี้นั้นจึงตกอยู่ที่รัฐบาล และรัฐบาลก็แสดงออกอย่างเต็มที่ในการดูแลประชาชนในประเทศของตัวเอง ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมานั้นเพิกเฉยมาตลอด ซึ่งรัฐบาลก็ฉวยโอกาสในตอนที่เหล่าผู้อยู่ใต้การปกครองกำลังหวาดกลัวในการสร้างความศรัทธาในตัวรัฐบาลขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
   
พวกเขามอบอาหารและเปิดโรงพยาบาลสนามตามท้องที่ต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าผู้ชุมนุมเริ่มขึ้นปราศรัย หล่อเลี้ยงความหวาดกลัวของประชาชนเพื่อให้พวกเขาเพิกเฉยต่อสิ่งที่เหล่ากลุ่มกบฏเรียกร้อง ก่อนที่จะฉีกทำลายความพยายามของกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความรุนแรงที่โหดเหี้ยมที่สุด
   
เสรีภาพ อิสรภาพ และภารดรภาพ
   
เหล่าชนชั้นนำจะไม่มีวันให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นในประเทศนี้อย่างเด็ดขาด
   
พวกเขาจึงทำทุกวิถีทางในการรักษาอำนาจของพวกเขาไว้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีที่เลวทรามขนาดไหนก็ตาม และแน่นอนว่าการเกิดโรคติดต่อในชั่วระยะเวลาสั้นๆ นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และเกินความสามารถของรัฐบาล
   
น้ำคือสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นตัวกลางในการแพร่ระบาด เพราะเป็นวิธีการที่ง่ายและไวที่สุด เนื่องจากระบบประปาของเมืองนี้นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในการดูแลของรัฐ หากแต่รัฐก็ไม่โง่เสียทีเดียว เลือกที่จะทำให้น้ำให้ปนเปื้อนไปด้วยแบคทีเรียเพียงไม่กี่เมืองเท่านั้น และไปโหมหนักกับการประโคมข่าวแทน
   
แน่นอนว่าสื่อทุกแขนงทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ ในมือของรัฐบาลนั้นก็ยังคงเป็นสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดี ยอมขายวิญญาณให้กับการผลิตข่าวเท็จออกมาเพื่อโจมตีกลุ่มกบฏ กล่าวอ้างว่ากลุ่มกบฏนั้นเป็นต้นเหตุของโรคระบาดโดยไม่สนใจว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร และพยายามเผยแพร่อาการของโรคอย่างคลุมเครือเพื่อสร้างหวาดกลัวให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุดตามคำสั่งที่พวกเขาได้รับมา
   
ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นก็ส่งผลให้เช้าวันถัดมาหลังจากที่กลุ่มปฏิวัติได้เปิดเผยความจริงต่อสาธารณชนนั้นจึงแทบจะไม่ส่งผลอะไรเลยกับคนส่วนใหญ่ พวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากลุ่มกบฏต้องการอะไรเพราะสิ่งที่จุกแน่นอยู่ในอกนั้นคือความหวัดกลัวต่อโรคระบาดและความโกรธเคืองในกลุ่มกบฏ
   
การโต้กลับครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกลุ่มปฏิวัติจึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
   
พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับวิธีอันเลวทรามของรัฐที่จงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อกระชากคอพวกเขาให้ลงมาเป็นแพะรับบาปในอาชญากรรมที่ตัวเองก่อในครั้งนี้อีกครั้ง
   
ความสิ้นหวังเกาะกุมกลุ่มปฏิวัติแต่เพราะครั้งนี้เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย พวกเขาจึงดิ้นรนกันต่ออย่างถึงที่สุด กลุ่มคนที่ยังไม่มีอาการป่วยก็พยายามรวมกลุ่มกันแสดงพลังอีกครั้ง แม้ว่าจุดจบของพวกเขาจะใกล้เข้ามาทุกที
   
อำนาจและอาวุธของศัตรูของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เกินไป แต่สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือเหล่าชนชั้นนำที่ถือครองอำนาจเหล่านี้ไม่มีความละอายใจใดๆ ต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่กลุ่มปฏิวัตินั้นพยายามจะใช้วิธีที่ประนีประนอมและสันติที่สุดในการต่อรอง
   
เวลาของกลุ่มปฏิวัติในครั้งนี้จึงใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว

   

“อยากตรวจก็เข้าแถวดีๆ !!”
   
ทหารที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วยเหลือหน่วยพยาบาลตะคอกออกมาเมื่อแถวที่มารอรับการตรวจนั้นเริ่มแตกแถวจากการที่มีคนมายืนออกันมากเกินไป ซึ่งก็มีผลที่ทำให้แถวนั้นเป็นระเบียบอย่างรวดเร็วเพราะประชาชนที่มาส่วนใหญ่นั้นก็ล้วนแล้วแต่ไม่อยากมีปัญหากับทางการทั้งนั้น และพวกเขาก็เชื่อว่ารัฐบาลอัลฟ่าของพวกเขานั้นจะเลือกหนทางที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือพวกเขาจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้
   
“...”
   
เวฟซึ่งอยู่ในแถวตรวจเหมือนกันก้มหน้าต่ำ พยายามทำตัวนอบน้อมที่สุดเพื่อไม่ให้สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ทั้งๆ ที่ในใจลึกๆ นั้นเจ็บปวดที่แม้แต่ตัวเขาเองนั้นก็ต้องมายืนในแถวนี้
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหนถึงมีอาการคล้ายกับที่โรคระบาดได้  ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าตัวเองนั้นภักดีต่อเหล่าอัลฟ่ามากพอแล้ว แต่ทำไมเขาถึงยังต้องมาอยู่ตรงนี้อีก
   
เขาไม่รู้จริงๆ และเขาก็ไม่อยากตายด้วย
   
แววตาของเวฟหม่นหมองเพราะเขายอมแม้กระทั่งทรยศเพื่อนและอุดมการณ์ของตัวเอง แต่เขาก็ยังต้องมาอยู่ในเกมการเมืองของกลุ่มอัลฟ่าอยู่ดี ซึ่งเขาก็รู้ว่ากลุ่มปฏิวัติไม่มีทางทำอะไรชั่วช้าเหมือนอย่างที่สื่อหลักของประเทศบอกแน่ๆ
   
พอสที่เขารู้จักไม่มีวันทรยศประชาชนด้วยกันเองแน่ๆ
   
“ตายไปได้ก็ดี!!! พวกเหี้ย!!”
   
เสียงผู้คนสบถด่าและคำรามดังลั่นเมื่อทหารจงใจลากพวกกบฏที่จับมาได้นั้นด้วยเชือก ปล่อยให้ร่างวิญญาณของคนบาปเหล่านี้นั้นได้ลากไปตามพื้นและให้เหล่าเบต้าผู้ที่โกรธแค้นได้มาระบายอารมณ์ใส่ บ้างก็ถุยน้ำลายใส่ บ้างก็ถอดรองเท้าและยัดเข้าไปในปากพวกเขา ทำซึ่งทุกวิถีทางที่จะทำลายตัวตนของเหยื่อที่ตายไปแล้วให้หมดสิ้นซึ่งความภาคภูมิใจให้พวกเขานั้นทุกข์ทรมานที่สุดให้สาสมกับการทำลายประเทศในครั้งนี้
   
“…”
   
เวฟเหลือบมองศพที่ถูกลากผ่านตัวเองด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา มีหลายคนที่เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขากลับหัวเราะชอบใจกับการที่มีชายวัยกลางคนหนึ่งบ้าดีเดือดมาฉี่รดใส่  และแทบทุกคนในแถวนั้นตะโกนให้ฆ่ากบฏบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ซะราวกับบุคคลที่เหล่านั้นเป็นปีศาจจริงๆ   
   
“แทงเลย! แทงเลย!”
   
เด็กที่ยืนข้างหลังเขาตะโกนออกมาอย่างสนุกสนานเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองอีกคนถือมีดเข้าไปจะแทงกบฏวัยรุ่นที่มีอายุใกล้ๆ กับตัวเอง สีหน้าของเหยื่อคนนั้นหวาดกลัวและร้องไห้ออกมาไม่หยุด พยายามอ้อนวอนขอชีวิตจากประชาชนด้วยกันเอง ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นความสูญเปล่าเมื่อปลายมีดคมนั้นถูกแทงเข้าที่อกทันที
   
“...”
   
มือของเวฟที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋านั้นกำแน่นจนเลือดซึมออกมา พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวเองร้องไห้หรือแสดงอารมณ์เจ็บปวดออกมาเพราะไม่เช่นนั้นเขาก็อาจจะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏไปด้วย
   
เขาไม่เข้าใจเลย..
   
ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าผู้คนยอมรับความรุนแรงแบบนี้ได้ยังไง
   
“!!”
   
เวฟเบิกตากว้างเมื่อศพที่ถูกลากมาทีหลังนั้นกลับเป็นคนที่เขารู้จักดีที่สุด
   
พอส!
   
นัยน์ตาของเวฟสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่และแทบจะร้องไห้ออกมา เพราะใบหน้าของพอสนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ตามลำตัวเต็มไปด้วยเลือดและรอยกระสุน หากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือลิ่มสีทองที่ถูกตอกไว้ที่อกเพื่อเป็นการปราบปีศาจ ทั้งๆ ที่เพื่อนของเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
   
ทำไม..
   
เวฟพยายามอย่างมากในการไม่ร้องไห้และใช้เสียงหัวเราะลั่นของตัวเองกลบเกลื่อน เสแสร้งความรู้สึกเพื่อผสมโรงไปกับความป่าเถื่อนอันบ้าคลั่งในบริเวณที่กำลังเกิดขึ้น ผนวกตัวเป็นส่วนหนึ่งกับความรื่นเริงในการฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองเพื่อที่จะเอาตัวรอดจากความโหดเหี้ยมนี้
   
ทั้งๆ ที่เขาควรจะดีใจที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แต่ในอกเขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นสักนิด
   
“...มึงมันก็ไม่ต่างจากคนพวกนี้หรอก เวฟ”
   
เวฟสะดุ้งสุดตัวเมื่อคล้ายกับได้ยินเสียงพอสข้างหู ใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนึกถึงประโยคที่พอสเคยหลุดพูดออกมาตอนที่นั่งกินเหล้าด้วยกัน
   
“ยืนเฉยๆ ตรงนั้น ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้พวกมันทำตามอำเภอใจแล้วปลอบใจตัวเองว่ามึงไม่ได้ทำอะไรผิด”
   
“แล้วกูผิดตรงไหนวะ พอส”
   
เวฟมองตามร่างของเพื่อนตัวเอง
   
“กูก็แค่ไม่อยากตายเหมือนมึงเท่านั้นเอง”

   

หนึ่งในสิ่งที่กลุ่มปฏิวัติคำนึงอยู่เสมอคือกรณีเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นได้กับพวกเขา แน่นอนว่าความพ่ายแพ้ก็เป็นกรณีนั้นแต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงคือเงื่อนไขในการแพ้ครั้งนี้ของพวกเขาที่ทางการเลือกใช้กลับเป็นโรคระบาด ทั้งๆ ที่หลายครั้งนั้นจะเน้นการปลุกปั่นด้วยวาทกรรมและข่าวปลอม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็ยังจะพาหาทางรับมือได้บ้าง
   
แต่พอมันเป็นแบบนี้พวกเขาก็จะไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันยังไง เพราะลำพังแค่พยายามไม่ให้ตัวเองติดเชื้อก็แทบจะทำไม่ได้แล้ว ไหนจะความกลัวตายของประชาชนที่จะมาฝังกลบทุกข้อเท็จจริงอีก
   
สิ่งที่พวกเขายังพอทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงแค่แบ่งกลุ่มคนที่ยังไม่ติดเชื้อและยังศรัทธาในอุดมการณ์ออกมาเท่านั้น แน่นอนว่าสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์คือการเอาตัวรอด เหล่าผู้ร่วมอุดมการณ์หลายคนจึงยอมถอนตัวจนกลุ่มสุดท้ายที่ยังสามารถยืนหยัดในการต่อต้านเหลือไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ
   
ความสิ้นหวังกัดกินกลุ่มปฏิวัติเพราะไม่ว่าพวกเขาเคลื่อนไหวอะไร ประชาชนก็พร้อมที่จะเกลียดชังพวกเขา ประฌามพวกเขาก่อนที่จะใช้ความรุนแรงกำจัดพวกเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
   
แน่นอนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองนั้นติดตาสมาชิกกลุ่มปฏิวัติ
   
พวกพ้องของเขาถูกกระทำอย่างต่ำทราม โหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรม แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้กลับมีเพียงเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เลวร้ายนั้นและออกมาต่อสู้เพื่อสืบสานอุดมการณ์ของเพื่อนตัวเองต่อ
   
พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้จริงๆ เหรอ?
   
ถึงแม้จะไม่มีใครพูดออกมาแต่พวกเขาก็รู้อยู่แก่ใจในความสั่นคลอนของอุดมการณ์ของพวกเขา
   
การต่อสู้ครั้งนี้พวกเขากำลังจะพ่ายแพ้และถ้าหากไม่รีบถอนตัวก็จะตายไปอย่างทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์คนอื่นๆ หากแต่ถ้าพวกเขาเลือกที่จะยอมศิโรราบกับความชั่วร้ายเหล่านี้ก็ไม่ต่างกับฆาตกรพวกนั้นที่เหยียบย่ำชีวิตของเพื่อนเขา
   
พวกเขาควรจะเลือกอะไร
   
อุดมการณ์? ชีวิตตัวเอง? หรือไม่เลือกอะไรเลย
   
เหล่าสมาชิกกลุ่มปฏิวัติที่ยังมีชีวิตอยู่กว่าครึ่งร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง ทั้งๆ ที่ก่อนจะแยกกับเพื่อนกลุ่มอื่นตัวเองนั้นก็รับปากมาอย่างดีว่าจะมาสู้ต่ออย่างถึงที่สุด หากแต่ความจริงที่พวกเขาเผชิญตอนนี้มันก็ช่างแสนเจ็บปวด
   
พวกเขาจนตรอกแล้ว
   
อาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขามีและทรงพลังที่สุดคือความจริง แต่ความจริงของพวกเขากลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไปแล้ว พวกเขาหมดหนทางแล้วกับการต่อสู้กับชนชั้นนำชั่วร้ายพวกนี้
   
“...”
   
ทวิชซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองจลาจลที่อยู่บนถนนด้วยความรู้สึกสิ้นหวังเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในห้อง เพราะถึงแม้ว่าเขาจะอยากต่อสู้ต่อเพื่อพอสและทุกคนยังไง ความพ่ายแพ้ของพวกเขาก็ชัดเจนพออยู่แล้ว
   
ตอนนี้พวกเขายังทำอะไรได้บ้างนะ..
   
[ ...สวัสดีเหล่าลูกที่รักทุกคนของพ่อ ]
   
สมาชิกหลายคนในกลุ่มปฏิวัติเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ วิทยุที่ฟังอยู่นั้นกลับปรากฏเสียงของ ‘ผู้ที่ทรงอำนาจ’ ที่สุดในประเทศนี้ ผู้ที่เป็นหนึ่งความชอบธรรมของการมีอยู่ของชนชั้นปกครอง และคอยเฝ้ามองการทำงานของรัฐบาลในประเทศนี้เสมอมา
   
แน่นอนว่าความสูงส่งยากจะเอื้อมถึงของณภัทรนั้นทำให้เจ้าตัวไม่ค่อยได้แสดงตัวนัก ถ้าหากไม่ใช่เหตุการณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นจริงๆ ก็จะหลบอยู่หลังฉาก ปล่อยให้ลิ้วล่อทำงานแทนตัวเองเพื่อสร้างความลี้ลับและความน่ายำเกรงให้กับตัวเอง
   
“...”
   
ทวิชยังคงหลุบตามองจลาจลเบื้องล่างด้วยสีหน้าเฉยเมย มองตามเหล่านักบวชของศาสนาซึ่งสวมชุดคลุมสีขาวขลิบทองที่ลงมาจากรถยนต์ต่างประเทศคันหรูและกระจายกันไปให้กำลังใจแก่ประชาชนที่กำลังประสบอยู่ในสภาวะความหวาดกลัวและหลงทาง
   
[ ..สำหรับพ่อแล้ว วันนี้เป็นวันที่แสนจะวิปโยค เป็นวันที่พ่อรู้สึกไม่มีความสุขและเป็นทุกข์เหลือเกิน ]
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นชาวบ้านหลายคนเบื้องล่างนั้นนั่งน้ำหูน้ำตาไหลกันซึ่งก็คาดว่าน่าจะได้ยินเสียงณภัทรจากลำโพงประจำเมืองด้านนอก สีหน้าของพวกเขาเหล่านั้นเลื่อมใสศรัทธาจนทวิชหัวเราะจนตัวโยน เพราะข้างกายพวกเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยซากศพของกลุ่มปฏิวัติที่ถูกเข่นฆ่าอย่างทารุณ
   
เขากำลังสู้เพื่อคนพวกนี้เหรอ?
   
คนที่ไม่เห็นค่าชีวิตของเขาด้วยซ้ำ คนที่พร้อมจะโห่ร้องยินดีเมื่อเขาตาย คนที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการเข่นฆ่าพวกพ้องของเขาในวันนี้
   
มันคุ้มค่าเหรอกับการที่ต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือคนที่ไม่เห็นค่าชีวิตของพวกเขา
   
[ ..พ่อจะไม่โกรธพวกคนชั่วที่ทำในสิ่งชั่วร้าย ถึงแม้การจงใจแพร่โรคระบาดจะเป็นบาปร้ายแรงที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แต่ลูกๆ เอ๋ย พวกเราเป็นผู้เจริญแล้ว อย่าปล่อยให้ปีศาจร้ายมาควบคุมร่างกายเหมือนกับกบฏพวกนี้ เราจะเป็นผู้ที่จะให้อภัยแก่ผู้อื่น เราจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมเพื่อที่จะชดใช้บาปของเราและไม่ให้บาปของตัวเองไปทำร้ายใครอย่างพวกคนบาปเหล่านี้ ]
   
น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจนั้นพูดอย่างเป็นจังหวะและน่าฟัง มีการทอดเสียงบ้างในบางจังหวะเพื่อให้ผู้ฟังได้คิดตามและหลงเชื่ออย่างไม่มีเหตุผลเพราะอัลฟ่าในประเทศนี้นั้นคือความถูกต้อง เป็นความจริงแท้ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถหักล้างได้ เป็นชุดความคิดเดียวที่ครอบงำสังคมและถูกยึดเป็นเหตุผลตรรกะทุกอย่างในประเทศ
   
ฉะนั้นสิ่งใดที่ขัดแย้งกับสิ่งที่อัลฟ่าพูดนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น
   
“...”
   
ทวิชสบตากับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในห้องที่ดูสิ้นหวังมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ร่างกายของพวกเขานั้นครบสมบูรณ์ที่สุดแต่ในเวลานี้กลับแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงหรือแรงใจที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งใดอีกแล้ว
   
[ ..และเพื่อเป็นการชำระบาปของคนชั่วเหล่านี้ พระเจ้าก็ได้ประทานยารักษาโรคระบาดนี้ให้กับพ่อ ยารักษาที่จะทำให้ลูกๆ ของพ่อรอดพ้นจากกระทำอันชั่วร้ายของพวกกบฏ ]
   
“..เล่นง่ายดีเนอะ”
   
นิลหรือหนึ่งในแกนนำปฏิวัติครั้งนี้หัวเราะเสียงขืน รู้สึกสิ้นหวังเพราะสิ่งที่พวกอัลฟ่าทำอยู่นั้นไม่เนียนเลยสักนิด การคิดยารักษาโรคระบาดที่เพิ่งอุบัติใหม่ได้ในเวลาไม่ถึงอาทิตย์นี้ดูจะเป็นความบังเอิญเกินไปแล้ว ถ้าหากคนทั่วไปลองคิดไตร่ตรองหรือสงสัยสักนิดก็จะรู้ว่ายารักษานี้มีความไม่ชอบมาพากลอยู่
   
ให้ตายเถอะ เขาเบื่อข้ออ้างพระเจ้าอะไรนั่นของพวกอัลฟ่าชะมัด เพราะแค่เอ่ยถึงพวกคนธรรมดาทั่วไปก็เชื่อแล้ว ไม่กล้าสงสัยเนื่องจากกลัวว่าบาปของตัวเองจะมากกว่าเดิม จากแต่เดิมที่มีอยู่เยอะแล้วตั้งแต่เกิด
   
เอาเข้าจริงเขาในสมัยเด็กก็เคยหลงเชื่อเหมือนกัน จนกระทั่งพ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตายด้วยข้ออ้างว่าเป็นความต้องการของพระเจ้า เขาถึงได้สำนึกรู้เลยว่าพวกอัลฟ่าไม่ได้สูงส่งอย่างที่พวกมันกรอกหัวใส่ประชาชน
   
ทุกคนในประเทศนี้ก็เป็นแค่มนุษย์ และมีคนกลุ่มหนึ่งแอบอ้างว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นก็เท่านั้น แน่นอนว่าการกำจัด ‘ณภัทร’ ไม่ใช่การยุติระบบการปกครองอัปลักษณ์นี้ สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ คือกลุ่มชนชั้นนำที่สนับสนุนระบบการปกครองนี้และนัยน์ตาที่มืดบอดของประชาชน
   
ซึ่งตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าคนส่วนใหญ่นั้นพอใจกับชีวิตลำบากเช่นนี้ มีความสุขกับภาพฝันที่เหล่าชนชั้นปกครองหลอกให้เชื่อและมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปตราบใดที่พวกมันยังคงควบคุมการศึกษาเอาไว้
   
“ยอมแพ้กันเถอะ” เบต้าคนหนึ่งพูดเสียงเบาและพูดประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม “...ผมยังไม่อยากตาย”
   
“…”
   
นิลพูดอะไรไม่ออกเพราะในห้องนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นหนึ่งในแกนนำการปฏิวัติครั้งนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนแกนนำคนอื่นๆ นั้นตายไปหมดแล้วตอนที่พวกอัลฟ่าส่งคนมากวาดล้าง บางคนก็ตายเพราะพวกอาสาสมัครที่แทรกซึมมาเพื่อที่จะเป็นพวกระเบิดพลีชีพ และอีกหลายคนที่ไม่ติดต่อไม่ได้แล้ว
   
อำนาจการตัดสินใจครั้งสุดท้ายอยู่ที่เขา
   
แววตาของนิลสั่นระริก
   
เขาไม่อยากยอมแพ้  ไม่อยากให้สิ่งที่ทุกคนทำมาตลอดหลายอาทิตย์นี้สูญเปล่า
   
เขา..
   
[ …แต่พวกกบฏพวกนี้ช่างใจร้ายนัก แม้แต่โบสถ์ของเรามันก็ไม่ละเว้นเผาสิ้นจนพ่อแทบใจจะขาด พี่น้องของเราก็ล้มตายไปมากมาย ลูกๆ เอ๋ยพ่อจะคืนความยุติธรรมให้กับพี่น้องของเรา ถ้าลูกพบพวกกบฏก็จงจับมันมาให้พ่อ พ่อจะชำระล้างบาปมหันต์ที่มันได้สร้างให้แก่เรา เราจะยินยอมให้มันใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติสุขไม่ได้อีกแล้ว ]
   
“!!!”
   
ทวิชที่กำลังยืนเหม่ออยู่นั้นสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ กลับมีบ่วงเชือกคล้องเข้าที่คอและรัดแน่น แน่นอนว่าทวิชขัดขืนตามสัญชาตญาณทันที
   
“ทำอะไรของมึงวะ!!!”
   
นิลตะคอกใส่เพื่อนสนิทตัวเองที่เป็นคนกระโจนเข้าใส่ทวิช แล้วถลาเข้าไปช่วยทวิชทันทีแต่คนอื่นที่เหลือก็มาช่วยกันจับนิลเอาไว้ไม่ให้เข้าไปช่วย
   
“กูไม่อยากตาย! เข้าใจไหม นิล! กูไม่อยากตาย!”
   
ความสิ้นหวังก็ยังคงทำให้ผู้คนบ้าคลั่ง
   
เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของนิลพยายามต่อสู้กับทวิช เพื่อที่จะนำตัวไปแขวนคอบนดาดฟ้าอันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ในการยอมสวามิภักดิ์ต่ออัลฟ่าและจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะผู้ที่ปราบกบฏ
   
“มึงทำแบบนี้ไม่ได้!!! มึงจะมาฆ่าพวกกันเองทำไมวะ มึงจะทำตัวแบบพวกมันทำไม!!!”
   
นิลตะโกนออกมาทั้งน้ำตาเพราะร่างต้นของเขาก็เป็นแค่กระต่ายอ่อนแอ เขาเลยไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะขัดขืนจากพันธนาการนี้ได้
   
“กูก็ไม่อยากทำแต่มันมีทางเลือกให้กูไหมล่ะ ฮึก กูอยากชนะพวกมัน แต่มึงก็ยอมรับความจริงเหอะว่าเราแพ้แล้วและทางเดียวที่เรามีคือต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรอโอกาสครั้งต่อไป”
   
“แล้วทำไมมึงไม่เอาตัวมึงเองวะ”
   
“กูก็บอกแล้วไง นิล ว่ากูไม่อยากตายแล้วเขาก็เป็นคนที่พวกเราสนิทน้อยที่สุดแล้ว”
   
กรรซ!!!
   
ในที่สุดทวิชก็ทนไม่ไหวตัดสินใจคืนร่างต้นครึ่งบนเป็นเสือดำแล้วปล่อยให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าครอบงำตัวเองทันที ทวิชกัดแขนของคนที่พยายามจะบีบคอเขาจนจมเขี้ยวก่อนที่จะสลัดออก นัยน์ตาสีทองวาวโรจน์อย่างดุร้าย หอบหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ
   
“..มึง มึง”
   
เบต้าที่โดนกัดมองแขนชุ่มเลือดตัวเองด้วยความตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าทวิชจะมีเชื้อสายของพวกสัตว์กินเนื้อด้วย ที่เขาพวกเขาแน่ใจคือทวิชนั้นเป็นพวกนกอย่างเต็มตัวแน่ๆ ดังนั้นการตายของทวิชจะช่วยให้พวกเขาทั้งหมดรอดพ้นจากการถูกชำระบาปจากพวกอัลฟ่าอย่างแน่นอน
   
กรรซ
   
ทวิชส่งเสียงขู่ออกมาอย่างดุร้าย จ้องมองคนอื่นๆ ที่ปล่อยตัวเขาได้ทันก่อนที่เขาจะกัด แน่นอนว่าด้วยความโกรธที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที ทวิชมั่นใจมากว่าตัวเองจะสามารถขย้ำคนพวกนี้ให้ตายคาห้องด้วยซ้ำ
   
เขาเกลียด..
   
เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกบ้าๆ นี่!
   
“ทวิช ใจเย็นๆ นะ อย่าฆ่าพวกเราเลย”
   
เบต้าวัยกลางคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มพยายามเข้ามาพูดไกล่เกลี่ย ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นเป็นคนเสนอชื่อทวิชและอดนึกเกลียดชังสายพันธุ์สัตว์กินพืชในร่างตัวเองไม่ได้ เพราะมันทำให้เขาหวาดกลัวทวิชจนตัวสั่น ซึ่งนั้นรวมถึงคนอื่นๆ ในห้องด้วยที่ล้วนแล้วแต่เป็นเบต้ากันทั้งนั้น ไม่มีใครที่มีเชื้อสายสัตว์กินเนื้อหรือนกทั้งนั้นนอกจากทวิช
   
นี่มันเป็นความบังเอิญบ้าบออะไรกัน
   
เบต้ากว่าครึ่งในห้องคิดอย่างหงุดหงิด เพราะหลังจากลอบปรึกษากันในระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาก็คิดว่าทวิชนั้นน่าจะเป็นคนที่จัดง่ายที่สุด ดูอ่อนแอเหมือนจะตายได้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายของพวกเขาที่เพลี่ยงพล้ำเองซะอย่างนั้น
   
แน่นอนว่าพวกเขาที่ไม่เหลือทางรอดแล้วจึงไม่ได้คิดจะปล่อยทวิชไปจริงๆ
   
“...ถอยไป”
   
ทวิชไม่สนใจและยังคงแยกเขี้ยวขู่อย่างดุร้าย ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้วนอกจากความต้องการของตัวเอง เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามจะทำเพื่อคนอื่น ก็จะเป็นทุกครั้งที่เขาถูกเอารัดเอาเปรียบ โดนกระชากคอให้รับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรด้วยซ้ำ
   
แค่การที่เขามีเชื้อสายนกเพียงคนเดียวในห้องเหรอ เขาถึงต้องรับผิดชอบการอยู่รอดของคนพวกนี้
   
ทำไมคนที่เป็นหนึ่งในแกนนำการปฏิวัติครั้งนี้อย่างนิลถึงไม่ถูกเลือก ทำไมคนอื่นๆ ในห้องนอกจากนิลถึงได้เห็นดีเห็นงามกับการตายของเขากัน การอยู่รอดมันสำคัญนักเหรอ อยากให้เขาตายมากนักเหรอ?
   
กรรซ
   
ทวิชคำรามซ้ำเมื่อไม่มีใครยอมถอยห่างออกจากประตูแม้แต่คนเดียว นัยน์ตาสิ้นหวังของผู้คนรอบกายเขานั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งไม่ต่างจากพวกที่หลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของพวกอัลฟ่าและไล่ฆ่าผู้คนด้านนอก
   
คนพวกนี้อยากมีชีวิตต่อ
   
นัยน์ตาของทวิชสั่นระริกอย่างเจ็บปวด เมื่อชั่วขณะหนึ่งนึกถึงพ่อตัวเองที่โดนแขวนคอเหมือนกัน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าพ่อโดนพวกพ้องด้วยกันเองทรยศเหมือนเขาหรือเปล่า
   
เขาเจ็บ.. เจ็บจนแทบบ้า
   
การมีอยู่ของอัลฟ่าคือสิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ผิดเพี้ยนถึงขนาดนี้เชียว
   
ผู้คนยอมละทิ้งซึ่งศีลธรรมและอุดมการณ์เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง
   
แน่นอนว่าเขาอยากตายก็จริงแต่การตายของเขาจะไม่มีวันเกิดจากคนอื่น และจะไม่มีใครหน้าไหนมาใช้ประโยชน์จากศพของเขาได้ทั้งนั้น
   
“ถอยไป”
   
ทวิชพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ หยิบเชือกที่คล้องคอตัวเองอยู่มากัดออกจนขาดเป็นสองท่อนจนเหลือความยาวแค่ถึงเอว ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังประตูโดยไม่สนว่าคนที่ขวางประตูอยู่
   
“จับมัน!!”
   
มีคนหนึ่งให้สัญญาณก่อนที่ความชุลมุนจะเกิดขึ้นในทันที แน่นอนว่าทวิชไม่เหลือความลังเลใดๆ อีกต่อไป ตะปบแขนคนหนึ่งและกระชากเข้าหาตัวก่อนจะกัดไหล่จนจมเขี้ยว เลือดที่ไหล่บ่าออกมาอาบหน้าทวิชจนเลอะไปด้วยเลือดแต่ทวิช
   
“ปล่อย!! ไม่เอา อย่าฆ่าผม อย่าฆ่าผม”
   
เบต้าคนที่โดนกรีดร้องออกมาขวัญเสีย แต่คนอื่นๆ ก็ยังคงพยายามต่อ บางส่วนก็คืนร่างต้น บางส่วนก็หยิบเอาไม้ในห้องมาทุบ ทวิชจึงยอมปล่อยออกจากไหล่และงับเข้าที่หลอดลมของคนที่อยู่ในมือแทน
   
“!!!”
   
ทวิชสบตากับคนอื่นๆ ที่ยืนตกตะลึงด้วยสีหน้าเฉยชา ก่อนที่จะคายเหยื่อออกจากปากตัวเองและแลบลิ้นเลียเลือดที่เปรอะอยู่ตามปาก
   
“..จะถอยไหม”
   
ทวิชถามซ้ำอีกครั้งด้วยการเตะเหยื่อที่กองอยู่แทบเท้าตัวเองไปยังเบต้าที่พยายามฆ่าเขา
   
คนพวกนั้นสะดุ้งสุดตัวแต่ก็ยังไม่กล้าทำอะไร มีบางคนร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองค่อยๆ ตายต่อหน้าจากรอยกัดเหวอะแหวะบริเวณคอ
   
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบอะไรทวิชก็เดินต่อ ซึ่งคราวนี้ก็ไม่มีกล้ามาขวางทางเขาอีก แน่นอนว่าก่อนที่ทวิชจะปิดประตูก็อดไม่ได้ที่มองอดีตเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองด้วยสีหน้าสมเพช และเดินเข้าไปในห้องน้ำอีกห้องเพื่อชำระร่างกายตัวเอง
   
ทวิชคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ ถอดเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดออก และวักน้ำจากก๊อกขึ้นมาร่างหน้าตัวเองเพื่อล้างเลือด
   
ทวิชครางออกมาเมื่อล้างไปได้สักพักร่างกายของเขาอยู่ๆ ก็ร้อนระอุขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ก่อนที่มันจะสร้างความเจ็บปวดให้เขาจนเขาควบคุมร่างของตัวเองไม่ได้
   
ทุกข์ทรมานอยู่พักใหญ่ในที่สุดความเจ็บปวดก็หยุดลง ทวิชมองตัวเองในกระจกที่มีปีกอีกาคู่ใหญ่บนแผ่นหลังและใบหูของเสือดำ ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดค่อยๆ ไหลออกจากจมูก
   
“...”
   
ทวิชเช็ดเลือดนั้นออกและก้มมองมือชุ่มเลือดของตัวเองด้วยแววตาสิ้นหวัง
   
เขาติดโรคระบาดแล้ว


-------

 :mew2:


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เศร้าตลอด จะมีความหวังมาบ้างไหม

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
วนไป มีแต่เรื่องแย่ๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อะไรจะโชคร้ายขนาดนี้นะทวิช :sad4:

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 23

   
“ไสหัวไปสักที”
   
กันต์พูดด้วยสีหน้าเย็นชาใส่ชนินทร์ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ไปไหน ทั้งๆ ที่เขาปล่อยให้หนีไปตั้งนานแล้ว
   
“ไม่”
   
ชนินทร์ตอบกลับอย่างไม่ลังเลและนั่งมองความชุลมุนข้างนอกร้านที่มีผู้คนเต็มไปหมด หลังจากที่มีข่าวเกี่ยวกับโรคระบาดเมื่อคืน แน่นอนว่าการเก็บตัวอยู่บ้านคือทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ แต่ความอดอยากและความหวาดกลัวก็บีบให้คนพวกนี้ออกมารอความเมตตาจากอัลฟ่าที่ว่ากันว่ามียารักษาโรคระบาดนี้แล้ว
   
“คุณคิดว่าทวิชจะติดไหม”
   
กันต์เผลอมองไปยังเก้าอี้ไม้ที่ทวิชชอบนั่งอย่างเผลอไผล ก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อคิดว่าทวิชนั้นอาจจะติดโรคระบาดที่ระบาดตอนนี้ไปแล้ว และอาจจะมีจุดจบแบบเดียวกับแม่ของเขาที่ตายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รู้ตัวว่าติดโรคได้ไม่นาน
   
ไม่.. เขายอมให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นกับทวิชไม่ได้
   
กันต์พยายามควบคุมตัวเอง แต่มือและร่างกายกลับสั่นอย่างเห็นได้ชัด
   
“ไม่รู้สิ ติดมั้ง ยังไงโรคระบาดมันก็ไม่เลือกคนหรอก”
   
สำหรับชนินทร์นั้นทวิชในตอนนี้ก็ไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าจะตายเพราะโรคระบาดหรือตายเพราะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏก็มีผลลัพธ์แบบเดียวกันคือความตาย
   
แน่นอนว่าชนินทร์ก็เสียดายทวิชอยู่บ้าง แต่เขาก็รักชีวิตตัวเองมากกว่า เขารู้ว่าสิ่งที่ทวิชทำนั้นคือการเสียสละเพื่อส่วนรวม หากแต่โอกาสความสำเร็จมันก็น้อยจนเขาไม่อยากเข้าไปเสี่ยงด้วย
   
เขารู้ดีว่าพวกอัลฟ่าโหดร้ายกับคนที่อยู่ข้างล่างยังไง รู้ดีว่าภายใต้ภาพลักษณ์เลิศหรูซุกซ่อนความเน่าเฟะอะไรไว้บ้างและเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของมันมาตลอด
   
เขายอมรับว่าตัวเองขี้ขลาดเกินกว่าจะออกมาทำอะไรแบบทวิช ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกอัลฟ่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย เห็นแก่ตัว แต่ตราบใดที่เขายังมีเชื้อสายของอัลฟ่าอยู่ เขาก็มั่นใจว่าเขาต้องหาทางกลับไปใช้ชีวิตในแบบอัลฟ่าได้แน่ๆ
   
ที่เขาบอกทวิชว่าจะช่วยตอนนั้นมันก็แค่คำโกหกของเขาเท่านั้น
   
เขาทนใช้ชีวิตห่วยๆ แบบนี้ตลอดไปไม่ได้หรอก
   
ชนินทร์กำลังจะหาวอีกรอบก็สะดุ้งเมื่อเห็นกันต์ลุกพรวดและเดินเข้ามากระชากคอเสื้อ
   
“ทำอะไรของมึงวะ!!”
   
คนเป็นอัลฟ่าร้องเสียงหลงเพราะนอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว เขายังถูกเรี่ยวแรงมหาศาลพาตัวออกมาด้านนอกที่มีผู้คนมายืนรอความช่วยเหลือมากกว่าที่เห็นจากข้างในอีก
   
“ปล่อย ปล่อยสิวะ!!”
   
ชนินทร์พยายามตะเกียกตะกายหนีแต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งกันต์ก็ใช้เพียงมือข้างเดียวเท่านั้นในการจัดการกับชนินทร์และใช้อีกข้างกับการล็อคประตูร้าน
   
“ผมจะไปเอายาให้ทวิช” กันต์พูดกับชนินทร์ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “และคุณก็ต้องไปกับผม”
   
“ติดเองก็ต้องรับผิดชอบตัวเองไหมวะ”
   
“…”
   
สีหน้าของชนินทร์ซีดเผือดเมื่ออยู่ๆ แรงที่บีบคอเขาแรงขึ้นกว่าเดิมจนหายใจไม่ออก
   
นัยน์ตาของกันต์วาวโรจน์อย่างเดือดดาล เพราะเขานั้นเกลียดคนแบบชนินทร์ที่สุด
   
คนที่เอาแต่โทษคนจนอย่างพวกเขาว่าผิด ไม่รับผิดชอบตัวเอง ทั้งๆ ที่เขาและแม่ใช้ความพยายามทั้งหมดแล้วในการเอาตัวรอดจากความเลวร้ายพวกนี้ พยายามมากจนไม่รู้จะพยายามยังไงแต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
   
แม่เขาต้องตายเพราะอยากรับผิดชอบที่ทำให้เขาเกิดมาด้วยการโหมรับงานเพื่อที่จะเอาเงินมาให้เขาใช้และหวังว่าสักวันมันจะมากพอให้เขากับแม่ออกไปตั้งตัวประกอบอาชีพอย่างอื่นที่เลี้ยงพวกเขาได้
   
แต่สุดท้ายแม่เขาก็ติดโรคจากพวกอัลฟ่าซะก่อน ฝันเฟื่องพวกนั้นเลยจบลงที่เขาต้องใช้ชีวิตอย่างเดนมนุษย์ เป็นปรสิตที่คอยแย่งอาหารที่ไม่ค่อยมีอยู่แล้วจากพวกเดียวกันเองเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออย่างมีความสุขเหมือนที่แม่อยากให้เขามี
   
เขาไม่รู้ว่าพวกอัลฟ่าอย่างชนินทร์ต้องการให้เขาพยายามมากแค่ไหนถึงจะพอ แต่เขาไม่อยากพยายามแล้ว เขายอมแพ้แล้วเหมือนกับระบบโสโครกนี้ ถ้าทวิชตายเขาก็ไม่มีอะไรต้องสนแล้ว
   
เขาไม่เหลือฝันอะไรให้ฝันถึงแล้ว
   
ถ้าเลือกได้จริงๆ เขาไม่อยากเกิดมาด้วยซ้ำ
   
“..กันต์!!”
   
ชนินทร์พยายามเค้นแรงเฮือกสุดท้ายต่อรองกับกันต์
   
“หน้าที่ของคุณก็แค่เก็บยาไว้ให้ทวิช”
   
“..เออ ทำ ทำแล้ว ปล่อยก่อน”
   
“...”
   
กันต์มองชนินทร์ด้วยสีหน้าสมเพชก่อนที่จะยอมปล่อยอย่างว่าง่าย ซึ่งทำให้ชนินทร์ทรุดลงไปกองกับพื้นทันทีและหอบหายใจเอาอากาศอย่างบ้าคลั่ง ส่วนกันต์นั้นก็มองตามรถตู้คันหรูสีขาวสะอาดที่มีตราประทับของพวกอัลฟ่าที่เพิ่งวิ่งผ่านหน้าไปและไปจอดบริเวณจตุรัสกลางเมืองที่มีการตั้งเต็นท์พยาบาลรอเอาไว้อยู่แล้ว
   
ผู้คนที่มายืนรอกันตามถนนนั้นวิ่งตามรถไปทันที ส่วนคนที่รออยู่บริเวณเตนท์อยู่แล้วก็พยายามที่จะไปยืนข้างหน้าสุดของกลุ่มเพื่อที่จะได้รับยาคนแรก แต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็ทำตามอำเภอใจไม่ได้นักเพราะหลังจากนั้นไม่นานรถของเจ้าหน้าที่รัฐอีกหลายคันก็ตามมาจอดใกล้ๆ ก่อนที่เหล่าทหารจะลงมาช่วยดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมกับอาวุธครบมือ
   
เจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มหนึ่งที่วุ่นอยู่กับการจัดการลำโพงประจำจตุรัสที่เสียอยู่สักพักก่อนจะยิ้มออกมา เมื่อมันถ่ายทอดเสียงผู้ที่พวกเขาเคารพนับถือที่สุดในชีวิตออกมาด้วยเสียงที่ชัดเจนและกังวาน ถึงแม้จะเปิดไม่ได้ทันตั้งแต่ตอนเริ่มแต่พวกเขาก็ยินดีกันมากอยู่ดี
   
[ ..พ่อจะไม่โกรธพวกคนชั่วที่ทำในสิ่งชั่วร้าย ถึงแม้การจงใจแพร่โรคระบาดจะเป็นบาปร้ายแรงที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แต่ลูกๆ เอ๋ย พวกเราเป็นผู้เจริญแล้ว อย่าปล่อยให้ปีศาจร้ายมาควบคุมร่างกายเหมือนกับกบฏพวกนี้ เราจะเป็นผู้ที่จะให้อภัยแก่ผู้อื่น เราจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมเพื่อที่จะชดใช้บาปของเราและไม่ให้บาปของตัวเองไปทำร้ายใครอย่างพวกคนบาปเหล่านี้ ]
   
ผู้คนในจัตุรัสโห่ร้องยินดีออกมาเมื่อเห็นนักบวชที่เป็นคนใกล้ชิดของท่านณภัทรลงมาจากรถ นักบวชในชุดคลุมขาวผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้ากำลังนำยารักษามารักษาพวกเขาด้วยความอารีย์และไมตรีจิต มือสองข้างประคองกล่องไม้สีขาวสลักด้วยลวดลายสิงห์ซับซ้อนสวยงามซึ่งภายในนั้นก็มียาที่บรรจุใส่บรรจุภัณฑ์อย่างดีพร้อมใช้งาน
   
[ ..และเพื่อเป็นการชำระบาปของคนชั่วเหล่านี้ พระเจ้าก็ได้ประทานยารักษาโรคระบาดนี้ให้กับพ่อ ยารักษาที่จะทำให้ลูกๆ ของพ่อรอดพ้นจากกระทำอันชั่วร้ายของพวกกบฏ ]
   
นักบวชวัยกลางคนนั้นยิ้มละมุนให้กับเบต้าอย่างอ่อนโยน พยายามทำตัวให้สมกับเป็นตัวแทนของณภัทรที่มาทำหน้าที่ชำระล้างบาปให้กับเบต้าในเขตนี้
   
แน่นอนว่ามันก็เป็นเพียงแค่การเสแสร้งเท่านั้น เพราะความจริงเขาก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่เกิดในชนชั้นปกครองและสนิทกับณภัทร การมาอยู่ตรงนี้ของเขานั้นก็เป็นแค่หนึ่งในการแสดงละครฉากใหญ่ของอัลฟ่าที่จะเหยียบย่ำกบฏให้จมดินและล้างผลาญอุดมการณ์เรื่องความเท่าเทียมให้หมดไปจากประเทศ ไม่ให้มีใครหน้าไหนกล้าที่จะนำเสนอมันขึ้นมาอีก
   
[ …แต่พวกกบฏพวกนี้ช่างใจร้ายนัก แม้แต่โบสถ์ของเรามันก็ไม่ละเว้นเผาสิ้นจนพ่อแทบใจจะขาด พี่น้องของเราก็ล้มตายไปมากมาย ลูกๆ เอ๋ยพ่อจะคืนความยุติธรรมให้กับพี่น้องของเรา ถ้าลูกพบพวกกบฏก็จงจับมันมาให้พ่อ พ่อจะชำระล้างบาปมหันต์ที่มันได้สร้างให้แก่เรา เราจะยินยอมให้มันใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติสุขไม่ได้อีกแล้ว ]
   
สิ้นประโยคของณภัทรได้ไม่นานก็เกิดจลาจล
   
แววตาของเหล่าอัลฟ่าพิเศษที่รู้เกี่ยวกับแผนของณภัทรนั้นเต็มไปด้วยความพออกพอใจ เมื่อเห็นว่าแผนที่พวกเขาใช้เวลาคิดและวางกันอย่างรอบคอบมาอย่างดีประสบความสำเร็จ
   
ประชาชนกำลังล่ากันเอง
   
เบต้าหลายคนที่มาคนเดียวนั้นถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏเพื่อจะนำตัวไปแลกกับยารักษา บางคนก็หนีตายอย่างไม่คิดชีวิต บางคนก็คืนร่างต้นและโต้กลับจนบาดเจ็บสาหัสไปหลายคน
   
ความวุ่นวายนั้นมากขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่คุมเชิงสถานการณ์อยู่พูดใส่โทรโข่ง
   
“ยามีไม่พอ!!! ใครอยากได้ก็ฆ่าเยอะๆ แล้วเอามาแลก!!! กบฏสามคนได้ยาหนึ่งหลอด!!!”
   
จากจัตุรัสธรรมดาจึงแปรเปลี่ยนเป็นแดนสังหารในพริบตา
   
เบต้าส่วนใหญ่ไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าคนตรงหน้าตัวเองจะเป็นกบฏหรือไม่ ขอเพียงฆ่าได้พวกเขาก็จะได้ยาและถ้าพวกเขาไม่ทำ พวกเขาก็ไม่มีวันรอดจากโรคระบาดนี้ได้เพราะคนแทบทุกคนในเมืองนี้นั้นก็ติดไปเกือบหมดแล้ว

[ ..ขอให้พระเจ้าทรงอวยพรและรักลูกของพ่อ ]
   
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของชีวิตและความจ้าละหวั่น เสียงของณภัทรก็ยังคงดังกึกก้องเหนือเสียงอื่นใด ราวกับเป็นการตอกย้ำถึงสถานะพิเศษที่อยู่เหนือเบต้าทุกชีวิตในที่แห่งนี้
   
กันต์ซึ่งพาชนินทร์ไปหลบหลังร้านก่อนที่จลาจลจะเกิดขึ้นแค่นเสียงหัวเราะเมื่อพอจะเดาได้ว่าณภัทรตั้งใจจะพูดอะไร นัยน์ตาสีเทาเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะกล่าวประโยคเดียวกันออกมาพร้อมกัน
   
“จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ”
   
[ จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ …ลูกที่รักของพ่อ ]
   
กันต์กลอกตาให้กับความจอมปลอมของอัลฟ่า และรู้สึกดีที่แม่เขาไม่ใช่คนที่หลงเชื่อไปกับคำหลอกลวงพวกนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะรู้สึกแย่กว่านี้ ถ้าตัวเองต้องไปเป็นหนึ่งในคนที่แย่งชิงยานั้นด้วยการฆ่ากันเอง
   
“..ยังจะเอายาอยู่เหรอ”
   
ชนินทร์ถามเสียงเบา ไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะกลัวจะไปดึงดูดเบต้าที่บ้าคลั่งข้างนอกมาฆ่าตัวเองที่แม้แต่ร่างต้นยังคืนไม่ได้ด้วยซ้ำ
   
“อืม”
   
กันต์ตอบในลำคอและหยิบข้าวของที่ซ่อนไว้หลังถังขยะออกมาให้ชนินทร์ ซึ่งข้าวของที่ว่านั้นก็คือชุดตำรวจที่ชนินทร์ภูมิใจนักหนากับยากระตุ้นเอกลักษณ์ที่ทวิชบอกว่าน่าจะพอช่วยชนินทร์ได้บ้าง
   
แน่นอนว่าอัลฟ่าหมาป่ามองสิ่งที่อยู่ในกันต์ตาพราวระยับ เพราะในสถานการณ์แบบนี้เครื่องแบบตำรวจอัลฟ่าคือสิ่งที่ทำให้เขาปลอดภัยที่สุดแล้ว
   
“อย่าลืมที่สัญญา” กันต์สบตากับชนินทร์ด้วยแววตาแข็งกร้าว “คุณมีหน้าที่เก็บยาให้ทวิช”
   
“เออ แค่เก็บยาไม่ยากเท่าไหร่หรอก”
   
ชนินทร์รับชุดตำรวจอัลฟ่ามาใส่อย่างดีอกดีใจ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เครื่องแบบของเขาแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในสถานะที่สูงส่งอีกครั้ง
   
“ยื่นแขนมา”
   
“เดี๋ยวมียาด้วยเหรอ”
   
ถามยังไม่ทันจบประโยค กันต์ก็กระชากแขนชนินทร์ออกมาแล้วฉีดยาเข้าเส้นเลือดให้ทันที ชนินทร์กัดปากจนเลือดซึมเมื่อความรู้สึกทุกข์ทรมานปั่นป่วนกลับมากัดกินเขาอีกครั้ง สารกระตุ้นร้อนระอุแทบจะแผดเผาอวัยวะภายในชนินทร์ พยายามฉุดกระชากอีกตัวตนหนึ่งที่ซุกซ่อนในร่างกายมนุษย์ให้แสดงออกมา
   
ฮื่ออออ
   
ชนินทร์คำรามออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อมันเหมือนจะกระตุ้นมากเกินไป ร่างกายของเขาจนแทบไม่เหลือเค้ามนุษย์และกลายเป็นหมาป่าสีเทาทั้งตัว ก่อนจะคำรามออกมาอีกครั้งตอนที่ถูกฉีดอีกเข็มซึ่งคราวนี้นั้นกลับเป็นเข็มที่บรรจุสารเย็นเฉียบซึ่งช่วยบรรเทาความร้อนระอุในร่างกายเขาลง ร่างของหมาป่าจึงค่อยๆ คืนกลับเป็นมนุษย์อีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น
   
“...”
   
กันต์มองชนินทร์ที่สามารถควบคุมร่างต้นได้ตามปกติแล้วด้วยสายตาทึ่งนิดๆ พราะไม่คิดว่ายาที่ทวิชให้มานั้นจะสามารถช่วยชนินทร์ได้จริงๆ
   
“ฉันทำแค่เก็บยานะ นอกนั้นฉันไม่สน”
   
ชนินทร์ซึ่งอยู่ในร่างต้นที่จงใจให้ร่างกายบางส่วนเป็นหมาป่าเพื่อแสดงความเป็นอัลฟ่า ครึ่งบนที่กลายเป็นหมาป่าไปแล้วจับจ้องมองกันต์นิ่ง ส่วนมือก็ยังคงสาละวนกลับชุดเครื่องแบบตำรวจของอัลฟ่าที่ค่อนข้างต้องใช้เวลาในการใส่เนื่องจากความสลับซับซ้อนของมัน
   
“ผมจะโยนให้คุณ คุณก็ตามเก็บให้ทันแล้วกัน”
   
“โยน?”
   
“คุณคิดว่าผมจะยอมฆ่าคนอื่นเพื่อยาเหรอ” กันต์พูดเสียงเรียบเรื่อยก่อนจะค่อยๆ คืนร่างต้นบ้าง หากแต่คราวนี้กลับไม่ใช่กระทิงแต่เป็น ‘สิงโต’ ที่สถานะอัลฟ่าเหนือกว่าชนินทร์ด้วยซ้ำ กันต์แค่นเสียงหึเมื่อเห็นสีหน้าอึ้งๆ ของชนินทร์
   
“ผมจะไปแย่งยามาจากพวกมัน ถึงตอนนั้นผมก็ไม่น่าจะฝ่าอาวุธของพวกมันกลับมาให้คุณได้ดีๆ แล้ว”
   
“…”
   
ชนินทร์ยังคงพูดอะไรไม่ออกเพราะยังอึ้งกับร่างต้นของกันต์อยู่
   
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สีขาวเผือกเหมือนณภัทร แต่ก็เป็นร่างต้นสิงโตที่สง่างามมากพอๆ กับพวกอัลฟ่าพิเศษที่มักจะแปลงให้ดูในวันสถาปนาประเทศ และสิ่งที่ทำให้กันต์ดูทรงอำนาจมากขึ้นไปอีกคือแผงคอขนาดใหญ่สีดำเข้มซึ่งแซมกับสีส้ม
   
เอาเข้าจริงถ้าหากเขาไม่รู้จักกันต์มาก่อนคงจะคิดว่าเป็นพวกนักบวชอัลฟ่าแล้ว
   
“จำไว้ หน้าที่ของคุณก็แค่เก็บยาให้ทวิช ถ้าแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พรรค์นี้คุณยังคิดจะไม่ทำ ผมก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว ทั้งๆ ที่ทวิชก็ยอมช่วยคุณขนาดนี้”
   
กันต์พูดอย่างเย็นชาก่อนจะเดินนำชนินทร์ออกไปด้านนอกที่ยังเป็นคนสมรภูมิรบ แน่นอนว่าด้วยความเป็นอัลฟ่าของทั้งสอง เบต้าส่วนใหญ่จึงพยายามเลี่ยงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองจึงสามารถเดินไปยังจัตุรัสที่ยังแจกจ่ายยาโดยไม่ยากเย็นนัก ซึ่งระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยเลือดและซากศพ ความหวังใหม่ที่จุดประกายขึ้นจากอัลฟ่านั้นผลาญทำลายชีวิตของเบต้ามากกว่าโรคระบาดเสียอีก เบต้าหลายคนจึงเลิกหวังที่จะเอายาและพยายามเอาชีวิตรอดไปจากสถานที่แห่งนี้แทน
   
ความดิบเถื่อนอันบ้าคลั่งยังคงดำเนินต่อไปภายใต้ความนิ่งเฉยของเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขาสนุกสนานกับความโหดร้ายตรงหน้าและมองความตายของเบต้าเป็นตัวเลขเท่านั้น
   
เพราะยิ่งตายมาก พวกเขาก็จะยิ่งได้ความดีความชอบมาก
   
การแจกยารักษาโรคระบาดแก่เบต้าก็เป็นแค่มหรสพสำหรับพวกเขา เพราะความจริงทางการนั้นสามารถผลิตวัคซีนต้านโรคระบาดได้แล้วและเจ้าหน้าที่รัฐก็ได้รับการฉีดวัคซีนการมาปฏิบัติงานที่เป็นที่เรียบร้อย
   
การต่อสู้เพื่อแย่งยารักษาในวันนี้จึงเป็นเรื่องที่โง่เง่าสมกับเบต้าดี
   
“คุณรอแถวนี้ พอได้ยาจากผมก็รีบกลับไปรอทวิชที่ร้านเลยนะ”
   
เมื่อเดินเข้าใกล้กับจัตุรัสกันต์ก็ตัดสินใจให้ชนินทร์รอรอบนอก ไม่ให้เข้าไปเสี่ยงกับวงข้างในที่ค่อนข้างวุ่นวายกับการนับหัวกบฏกับการมอบยาให้กับเบต้า
   
“..ถ้านายอยากกลับไปมีชีวิตแบบอัลฟ่า ฉันพอจะหาทางช่วยได้นะ”
   
อย่างไรก็ตามชนินทร์ก็ยังไม่ลืมว่ากันต์ก็เป็นเพียงเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ ถึงจะไม่รู้ว่ากันต์จะใช้วิธีการไหนในการเอายามาจากอัลฟ่าโดยไม่ฆ่าใคร แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าจุดจบของเรื่องนี้จะเป็นยังไง
   
กันต์แค่นเสียงหัวเราะไม่สนใจข้อเสนอและเดินเข้าไปสบทบกับจุดที่กำลังมอบยาให้กับเบต้า ในบริเวณนั้นมีสื่อมวลชนของรัฐบาลที่มาถ่ายทำภาพนักบวชอัลฟ่ามอบยาให้กับเบต้า สีหน้าของเบต้าเหล่านั้นซาบซึ้งน้ำตาไหล ทั้งๆ ที่การได้มาของยาในมือนั้นแลกมากับชีวิตคนทั้งคน มีสื่อดังหลายเจ้าที่มาช่วยถ่ายทำเหตุการณ์ครั้งนี้และสัมภาษณ์เบต้าพวกนั้นในลักษณะชี้นำคำตอบเพื่อให้ในคำตอบตามที่เบื้องบนต้องการ
   
“..มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ ท่าน”
   
ทหารคนหนึ่งที่มาช่วยดูแลความเรียบร้อยเดินเข้าไปถามกันต์อย่างนอบน้อม เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นอัลฟ่าสิงโตที่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในชุดที่เลิศหรูนัก แต่เชื้อสายอัลฟ่าสิงโตนอกจากในพวกอัลฟ่าพิเศษแล้วก็แทบหาไม่ได้ในอัลฟ่าทั่วไป
   
“...”
   
กันต์ส่ายหัวและจับจ้องไปยังกล่องที่ตั้งข้างมือนักบวชอัลฟ่า ในกล่องที่ถูกเปิดออกนั้นเต็มไปด้วยยา นัยน์ตาสีเทาเข้มขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวครอบครอง
   
“—ท่าน”
   
เพียงชั่วพริบตาในขณะที่อัลฟ่านักบวชคนนั้นกำลังมอบยาชุดต่อไปให้กับเบต้า เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กันต์ใช้พลังกายทั้งหมดในการพุ่งตัวเข้าไปแย่งกล่องใบนั้นมา ซึ่งในช่วงระยะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกันอยู่ กันต์ก็ได้ทำให้พวกเขาตกตะลึงไปมากกว่าเดิมด้วยปีกนกพิราบสีขาวที่งอกออกมาจากแผ่นหลังและโผบินขึ้นไปในอากาศพร้อมกับกล่องยา
   
“ฆ่ามัน!!”
   
อัลฟ่านักบวชคนนั้นตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก เนื้อตัวเย็นเฉียบเมื่อเห็นปีกบนแผ่นหลังกันต์ชัดๆ
   
ปัง! ปัง!
   
แน่นอนว่าเหล่าเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือทำตามคำสั่งทันทีโดยไม่ลังเลแม้ว่าจะเห็นอย่างชัดเจนก็ว่าผู้ที่ช่วงชิงยาไปนั้นคืออัลฟ่าสิงโต หากแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขานั้นต้องลงมือลั่นไกคือ ‘ปีก’ ของเหล่าปีศาจที่ต้องการจะทำลายประเทศได้ถูกกางออกมาอีกครั้ง
   
ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะไม่มีวันให้นกตัวใดรอดชีวิตไปจากประเทศนี้ได้
   
ชะตากรรมหนึ่งเดียวของพวกมันคือการตายเท่านั้น
   
ปัง!
   
กรรซ
   
กันต์คำรามออกมาเมื่อกระสุนนัดหนึ่งฝังเข้าที่ช่องท้อง แต่พอเห็นว่าอยู่ในระยะที่ใกล้พอที่จะโยนยาให้กับชนินทร์แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ และตัดสินใจโปรยยาเข้าใส่ฝั่งที่ชนินทร์ยืนอยู่ทั้งหมดแล้วขว้างกล่องคืนใส่เจ้าของกล่อง
   
ปัง! ปัง!
   
กระสุนอีกหลายนัดเจาะเข้าตามตัวกันต์จนเจ้าตัวแทบจะประคองให้บินต่อไปไม่ได้ ชั่วขณะหนึ่งที่ความเจ็บปวดจู่โจม กันต์หลุดสะอื้นออกคำหนึ่งเมื่อคิดว่าตัวเองจะไม่ได้เจอทวิชอีกแล้ว
   
กันต์พยายามประคับประคองให้ตัวเองบินหนีให้ไกลกว่านี้ แต่ความทุกข์ทรมานที่เขาเผชิญอยู่นั้นก็มากเกินไป เลือดไหล่บ่าออกจากแผลไม่หยุดจนตาพร่าแทบจะมองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำ
   
ปัง!
   
กระสุนนัดสุดท้ายที่ใช้ปลิดชีวิตกันต์นั้นเป็นของชายชุดดำที่ซุกซ่อนอยู่บนตึกซึ่งถูกส่งมาเพื่อฆ่าพวกนกโดยเฉพาะ ซึ่งกันต์ก็น่าจะเป็นรายแรกและรายเดียวของชายคนนี้ในวันนี้
   
“...ฮึก”
   
ชั่วขณะหนึ่งที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า ก่อนที่สติจะสูญสลายไปตลอดกาล
   
กันต์สะอื้นด้วยความเจ็บปวดและอวยพรให้ตัวเองได้เกิดมาพบกับทวิชอีกครั้ง ด้วยความหวังเล็กๆ ว่าการพบกันใหม่ครั้งหน้านั้น
   
โลกจะใจดีกับเขาทั้งสองมากกว่านี้

--


 :mew5:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 24

   
หลังจากที่รู้ว่าตัวเองติดโรคระบาดแล้ว ทวิชก็ตัดสินใจพาตัวเองกลับร้านโดยคืนร่างต้นครึ่งบนเป็นเสือดำเพื่อไม่ให้มีเบต้าบ้าคลั่งคนไหนมายุ่มย่ามกับตัวเอง แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายเหมือนปกตินัก
   
“..ฮื่อ”
   
ทวิชกัดปากตัวเองขณะที่พยายามตะเกียกตะกายกลับร้านด้วยไม้เท้าของใครสักคนที่ถูกทิ้งไว้ที่พื้น ความเจ็บปวดมหาศาลกัดกินทวิชตลอดเวลา จนเจ้าตัวอยากจะยอมแพ้ให้กับความชั่วร้ายพวกนี้แล้วไปเป็นหนึ่งในคนที่ยอมทรยศต่ออุดมการณ์เพื่อยารักษาพวกนั้น
   
มันเจ็บ.. เจ็บมากจริงๆ
   
นัยน์ตาสีทองคลอไปด้วยน้ำตาทุกครั้งที่ย่างก้าว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่หวาดกลัวต่อความตาย แต่ก็ใช่ว่าจะเคยชินกับความเจ็บปวดที่ถูกยัดเยียดให้
   
เขาเคยจินตนาการเล่นๆ ไว้มากมายถึงความทุกข์ทรมานที่ตัวเองจะได้รับก่อนตาย หากแต่สิ่งที่เขากำลังประสบอยู่ตอนนี้มันกลับแย่กว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
   
เขาแทบไม่อยากหายใจด้วยซ้ำ อากาศที่เขาสูดเข้าไปราวกับกรดร้ายแรงที่แผดเผาปอดของเขา ราวกับว่าเป็นประกาศิตของอัลฟ่าที่ไม่อนุญาตให้เขามีชีวิตในประเทศนี้อีกต่อไป
   
“..ฮึก”
   
ทวิชสะอื้นจนตัวโยนเมื่อต้องยอมทรยศอุดมการณ์ตัวเองด้วยการไม่สนใจความบ้าคลั่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว เหล่าเบต้าที่พวกเขาพยายามปกป้องชีวิตด้วยชีวิตของตัวเองนั้นกำลังฆ่ากันเอง
   
สิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง
   
ทวิชเดินตัวลีบอยู่ริมถนน หายใจอย่างเชื่องช้า เจ็บปวดที่เกิดการฆ่าล้างกันอีกครั้งไม่ต่างกับสมัยเด็กที่พ่อกับแม่ของเขาต้องเผชิญ ตลอดสิบปียี่สิบปีมานี้ประเทศนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักนิด ความพยายามของกลุ่มปฏิวัติสูญเปล่า นัยน์ตาของผู้คนยังมืดบอดและมัวเมาอยู่ในฝันที่เหล่าอัลฟ่าสร้างให้พวกเขาเชื่อ
   
ฝันหลอกลวงพรรค์นั้นมันสวยงามนักเหรอ?
   
ทวิชหัวเราะเสียงขืนเพราะแทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าตัวเองเจ็บปวดด้วยเรื่องอะไร
   
โรคระบาด ความสิ้นหวัง หรือทั้งสองอย่าง
   
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองไม่ยอมรับสักทีว่าประเทศนี้นั้นไม่ได้มีความหวังมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ชีวิตของพ่อแม่เขา พวกพ้องของเขา แม้แต่ชีวิตของเขาเองมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตื่นเลย
   
สิ่งที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่าคือเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายเพื่ออะไร เขาหมดสิ้นซึ่งศรัทธาในกลุ่มปฏิวัติครั้งนี้แล้ว เขาไม่มีหนทางไปแล้ว สิ่งที่เขาพอจะทำได้ตอนนี้คือกลับไปหากันต์ที่ร้านตัวเอง อย่างน้อยๆ การตายในร้านของตัวเองก็อาจจะเป็นรางวัลสุดท้ายที่เขาสามารถให้ตัวเองได้
   
ความยุติธรรมในประเทศนี้เป็นฝันที่สูงเกินไปสำหรับเขา ของพรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ลูกกบฏอย่างเขาจะฝันถึงได้ เพราะถึงแม้ว่ามันจะสวยงามแต่เขาก็ควรจะจำใส่กะลาหัวว่าใครเป็นคนควบคุมความยุติธรรมเหล่านั้น กลุ่มชนที่มีความคิดนอกรีตแบบพวกเขาจึงต้องได้รับความตายเป็นค่าตอบแทนจากการฝันสูงเกินไป
   
กบฏอย่างเขามันสมควรตายอย่างที่ทุกคนว่าจริงๆ
   
“ฮึก ฮึก”
   
เสียงร้องไห้แผ่วๆ ที่ดังในซอกตึกเรียกความสนใจของทวิช และเมื่อหันไปมองก็ถึงเห็นว่ามีเด็กชายคนหนึ่งที่นั่งนิ่งอยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของหญิงสาว
   
“...”
   
แววตาของทวิชสั่นไหวเมื่อสบตากับเด็กชายที่อายุน่าจะไม่ถึงสามขวบคนนั้น ก่อนที่จะพยายามบอกให้ตัวเองเลิกสนใจแล้วเดินต่อ เพราะยังไงคนอย่างเขาก็คงไม่มีปัญญาทำอะไรได้อีกแล้ว
   
“..แม่ง!”
   
ทวิชสบถกับตัวเองก่อนจะตะเกียกตะกายเข้าไปเด็กคนนั้น รู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ใจอ่อนทุกครั้ง
   
“..พอจะคืนร่างต้นได้ไหมครับ คนเก่ง”
   
ทวิชยอมทนเจ็บปวดจนการคืนเป็นร่างมนุษย์ในระยะเวลาสั้นๆ และฉีกยิ้มใจดีให้กับเด็กชาย “ไปกับพี่ชายไหมครับ”
   
“..แม่ ฮึก แม่ไม่ตื่น”
   
เด็กชายงอแงจนทวิชรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกราวกับโลกถล่มนั้นดี  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้มีเวลาพิรี้พิไรมากนักจึงได้แต่รีบเกลี้ยกล่อมเด็กชายก่อนที่เขาจะหมดแรง
   
“..เดี๋ยวพี่เป็นแม่ให้เอง ไปกับพี่นะ”
   
แววตาของทวิชสั่นระริกมากกว่าเดิม
   
“นะครับ คนเก่ง รีบคืนร่างต้นแล้วมากับแม่เร็ว”
   
เขากำลังโกหก
   
“อื้อ”
   
เคราะห์ดีที่เด็กชายยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่ายแล้วคืนร่างต้นที่เป็นกระรอกตัวจิ๋ว ซึ่งทวิชก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะถ้าหากร่างต้นเป็นสัตว์ใหญ่หรือถ้าเด็กชายดื้อกว่านี้ เขาคงจะพากลับด้วยไม่ไหว
   
ทวิชคืนร่างต้นเป็นเสือดำอีกครั้ง ซ่อนกระรอกตัวจิ๋วไว้ใต้เสื้อคลุมที่ขโมยมาและเดินกลับร้านตัวเองต่อ ซึ่งหลังจากเดินทางมาหลายชั่วโมงด้วยวิธีการต่างๆ ตอนนี้ร้านของเขาก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว
   
“...ฮึก”
   
ทวิชพยายามกลั้นสะอื้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมารบกวนเด็กชายที่ร้องไห้จนหลับไปแล้ว แต่เขาก็เจ็บมากเมื่อระลึกได้ว่านอกจากเขาที่กำลังจะตายแล้ว เด็กในท้องของเขาก็กำลังจะตายเหมือนกัน
   
ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจไว้แล้วก็ตามว่าจะแท้ง แต่เขาก็เจ็บปวดมากอยู่ดีที่ตัวเองไม่สามารถโลกที่ดีพอได้ ความฝันสวยงามของเขามันพังทลายไปแล้ว ที่เขาต้องยอมรับคือความพ่ายแพ้ของตัวเอง
   
แต่เขากลับยอมรับไม่ได้สักทีว่าตัวเองพ่ายแพ้ต่อความอยุติธรรมพวกนั้น
   
มันเจ็บปวดจนเขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้วจริงๆ
   
“..?”
   
ทวิชเบิกตากว้างเมื่อเห็นควันไฟสีดำขนาดใหญ่ลอยฟุ้งเหนือบริเวณที่ร้านเขาอยู่ ลางสังหรณ์รุนแรงกู่ร้องในหัวทำเขาลืมแทบทุกอย่าง ทวิชขว้างไม้เท้าที่ช่วยประคองร่างตัวเองมาตลอดทิ้งและออกแรงวิ่งโดยไม่สนใจสภาพร่างกายตัวเองอีก
   
ขอให้มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเถอะ
   
ทวิชพยายามอ้อนวอนต่อโชคชะตาของตัวเองทั้งน้ำตา

   

กลิ่นเหม็นไหม้ของเถ้าธุลีลอยฟุ้งไปในอากาศ

เพลิงกัลป์โหมไหม้รุนแรงกลายเป็นสีแดงฉานเสียดฟ้า

กองเพลิงร้อนแรงปะทุแผดเผาเคล้ากับเศษซากร้อนระอุ

มันกำลังแผดเผาทุกอย่าง


ทวิชหยุดยืนหน้าร้านตัวเองด้วยสายตานิ่งอึ้ง จับจ้องร้านสี่ชั้นของตัวเองที่กำลังไหม้จนไฟสูงเสียดฟ้า ก่อนที่ชั่วขณะหนึ่งคล้ายกับจะได้ยินคำกระซิบบางอย่างจากในความทรงจำอีกครั้ง

‘อะไรที่ฉันให้เธอได้ ฉันก็ยึดมันคืนได้เหมือนกัน’

“...ฮึก”

สุดท้ายทวิชก็ทนยืนต่อไปไม่ไหวเขาอ่อนทรุดตัวลงกองกับพื้นแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างเจ็บปวด

อาสิงห์ทำลายร้านของเขาเพื่อบีบให้เขายอมซมซานกลับไปอยู่ในกรงทองนั่นอีกครั้ง

แน่นอนการเห็นร้านที่ตัวเองที่ใช้ชีวิตมาตลอดหลายปีถูกทำลายมันทำให้เขาใจสลายยิ่งกว่าการโดนกลุ่มปฏิวัติทรยศซะอีก
ตัวตนของเขา ความฝันของเขา อุดมการณ์ของเขา และข้าวของความทรงจำมากมายของลูกค้าเขาในนั้น กำลังถูกทำให้เป็นเถ้าถ่าน ให้กลายเป็นความทรงจำที่ถูกลืมเหมือนที่พ่อแม่เขาเป็น เพราะคงไม่มีใครมาสนใจจดจำคนอย่างเขา ที่ต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครร้องไห้ด้วยซ้ำ

“ทวิช!! รีบฉีดยาเร็ว!!”

ชนินทร์ที่หลบอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นทวิชก็รีบพุ่งเข้าใส่ทันที และตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นทวิชเลือดกำเดาไหลไม่หยุด แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือท่าทางที่คล้ายกับคนที่ใกล้จะเสียศูนย์เต็มทีของทวิช

“กันต์ล่ะ กันต์”

ทวิชไม่สนใจยาที่ชนินทร์ยื่นให้และถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือกว่าเดิม

แน่นอนว่าชนินทร์ไม่อยากตอบความจริงนัก แต่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อให้โกหกไปก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี หนทางที่ดีที่สุดคงจะเป็นบอกความจริงกับทวิชเพราะคงจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว

ชนินทร์อึกอักอยู่สักพักก่อนจะตอบทวิชเสียงเบา

“..ตายแล้ว”

“…”

ทวิชตัวสั่นหนักกว่าเดิม ก่อนที่จะค่อยๆ ประคองกระรอกตัวจิ๋วที่ยังหลบอยู่ในเสื้อตัวให้กับชนินทร์ด้วยสีหน้าสิ้นหวังกว่าเดิม

“ให้ผมทำไม”

ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์แต่ชนินทร์ก็ยอมรับมาอุ้มอย่างว่าง่าย

“..จริงๆ จะฝากให้กันต์ดูแลต่อ แต่ถ้ากันต์ตายแล้ว นายจะทำอะไรกับเด็กนี้ก็ทำเถอะ ฉันไม่สนแล้ว”

ทวิชถอดจี้ห้อยคอออกและยัดมันใส่มือชนินทร์พร้อมกับยารักษาของตัวเอง

“..นายจะไม่ใช้ยาเหรอ ทวิช” ชนินทร์มองทวิชด้วยสายตาไม่เข้าใจนัก “กันต์ยอมตายเพื่อเอามาให้นายเลยนะ”

“ฉันยอมแพ้แล้ว ชนินทร์”

ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วและมองจี้หอยคอรูปอีกาสยายปีกของพ่อตัวเองด้วยความรู้สึกผิด ที่ตัวเองไม่เข้มแข็งพอที่จะสานต่ออุดมการณ์ของพ่อกับแม่ได้

“ฉันจะไม่สู้อีกแล้ว”

“…”

“นายกลับไปใช้ชีวิตปกติของนายเถอะ”

ทวิชยิ้มบางให้กับชนินทร์แล้วค่อยๆ ประคับประคองตัวเองไปยังร้าน แต่น่าเสียดายที่ชนินทร์ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นจึงกระชากแขนทวิช และรั้งแขนเจ้าตัวเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิดที่ยอมให้คนมาเผาร้านของทวิชง่ายๆ โดยที่ตัวเองไม่ได้เข้าไปห้ามหรือทำอะไร เพราะไม่คิดว่าร้านจะสำคัญกับทวิชถึงเพียงนั้น

“ไม่เอาน่า ทวิช นายยังไม่สิ้นหวังสักหน่อย นายยังมีโอกาสรอดจากโรคบ้าๆ นี่นะ แล้วร้านน่ะ เผาได้ก็สร้างใหม่ได้ อย่าหมดหวังสิ ตอนไม่มีที่อยู่ก็มาอยู่กับฉันก่อนก็ได้”

ทั้งๆ ที่ไม่อยากยุ่งกับทวิชอีก แต่ชนินทร์ก็ทนเห็นทวิชตายต่อหน้าไม่ได้

“..เลิกยุ่งกับฉันสักที!”

ทวิชพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะสลัดแขนของกันต์ออกและคืนร่างต้นเป็นอีกาบินเข้าไปในกองเพลิงที่กำลังเผาไหม้อยู่อย่างไม่ลังเล

โครม!

ตัวร้านถล่มลงมาทันทีหลังจากที่ทวิชพยายามเข้าไปในร้าน ไฟร้อนจัดแผดเผาปีกของทวิชจนไหม้ไปบางส่วนหากแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก และนึกขอบคุณที่ไฟข้างในไม่รุนแรงเท่าข้างนอก เขาจึงพอมีเวลาที่จะทำอะไรให้ตัวเองบ้าง

ทวิชคืนร่างเป็นมนุษย์ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวของตัวเองด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ทั้งๆ ที่ไฟร้อนระอุกำลังแผดเผาไปทั่วครัวและควันขโมงจนไอโขลกสำลักควันออกมาหลายครั้ง

มือที่มักจะทำอาหารอยู่เป็นกิจวัตรนั้น ในวันนี้นั้นกลับเลือกที่จะหยิบขวดไวน์แดงออกมาเทใส่แก้วไวน์จนเกือบเต็มแก้วก่อนจะพาตัวเองกลับที่ห้องอาหารอีกครั้ง ที่ซึ่งเขามักจะใช้เวลาไปกับการนั่งรอลูกค้าอย่างเบื่อหน่ายและวางแผนว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรเป็นอาหารให้กับลูกค้าของเขาดี

ทวิชลากเก้าอี้ไม้ตัวโปรดของตัวเองมานั่งในมุมร้านและจิบไวน์ที่พอสเคยเอามาให้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่มีโอกาสได้กินมันสักทีเพราะกะว่าจะรอเปิดขวดตอนได้อยู่กันพร้อมหน้าในช่วงปีใหม่

แต่น่าเสียดายที่คงจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว

“…”

นัยน์ตาสีทองสั่นไหวเมื่อเห็นป้ายชื่อร้าน ‘สิงหกุลโภชนา’ ถูกไหม้จนแทบจะดูไม่ออกแล้วว่ามันเคยสลักคำว่าอะไรมาก่อน
ความเจ็บปวดที่มากจนทนไม่ไหวบีบบังคับให้ทวิชยกไวน์ขึ้นมาดื่มอีกครั้งจนเหลือครึ่งแก้ว

ทวิชนั่งมองรอบๆ ร้านตัวเองที่กำลังพังทลายลงมาอย่างช้าๆ ด้วยแววตาว่างเปล่า ไม่สนใจสะเก็ดไฟที่ลุกลามและโลมเลียบริเวณปลายเท้าและเก้าอี้ไม้ของตัวเอง

น้ำตาที่คิดว่าจะหมดแล้วกลับยังคงไหลออกมาไม่หยุด

“..ฮึก”

ทวิชสะอื้นออกมาคำหนึ่งเมื่อยอมรับว่าตัวเองนั้นพ่ายแพ้อย่างหมดรูป และทิฐิของเขาก็สูงเกินกว่าจะกลับไปขอความเมตตาจากอัลฟ่าชั่วร้ายพวกนั้น เขายอมรับการมีชีวิตต่อไปด้วยความอนุเคราะห์ของพวกมันไม่ไหวหรอก

ครั้งนี้มันมากเกินไปจริงๆ

แววตาสิ้นหวังหลุบมองขวดบางอย่างที่หยิบติดมือมาด้วย ก่อนจะเทผสมลงในไวน์แล้วเขย่าให้เข้ากันด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง เพราะเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมของตระกูลพยัคฆโภคสกุลที่ตัวเองให้กันต์ไว้วางอยู่บนโต๊ะในสภาพดี

“…”

ความโกรธบางอย่างพลุกพล่านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ทวิชเลือกที่จะฝ่ากองเพลิงไปหยิบเสื้อคลุมนั้นขึ้นมาขว้างใส่โต๊ะที่อยู่ริมสุดซึ่งไฟกำลังแผดเผาไปถึงเพดาน

เพียงชั่วพริบตาเสื้อคลุมนั้นลุกไหม้ทันที

ทวิชยิ้มบางด้วยความพอใจก่อนจะพาตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง จับจ้องสัญลักษณ์ของอัลฟ่าที่ถูกเผาทำลายพร้อมกับจิบไวน์ที่รสชาติแปลกไปอย่างเห็นได้ชัดอย่างช้าๆ และปล่อยให้ความง่วงงุนครอบงำตัวเอง

‘ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว’

ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เขาจะหลับไป ทวิชนึกถึงสิ่งที่ตัวเองมักจะบอกกับลูกค้า ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ เขากลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด สิ่งที่เขารู้สึกมากกว่าคือความเป็นอิสระจากพวกมัน
พวกมันไม่สามารถควบคุมเขาได้และถึงแม้ว่าเขาจะยอมแพ้ แต่เขาก็จะไม่ยอมตายด้วยโรคระบาดของพวกมัน เขาจะตายด้วยวิธี
การของตัวเองที่เขาเลือกเอง

“อัลฟ่าจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญ”

ทวิชกระซิบกับไฟที่โลมเลียและหลับไปในที่สุด

เพลิงกัลป์แผดเผากาดำอย่างทารุณ

โหมไหม้ให้หายสิ้นซึ่งร่างและอุดมการณ์

แปรเปลี่ยนบาดแผลและความทรงจำให้กลายเป็นเถ้าถ่าน

ไม่ให้เหลือสิ่งใดที่จะสร้าง ‘ผี’ ขึ้นมาได้อีก

--------

ก่อนอื่นเลยขอบคุณนักอ่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ เพราะเนื้อเรื่องหนักมากก 555 แถมยังจบแบบนี้อีก แต่สำหรับเราที่เป็นคนเขียนแล้ว เราคิดว่ามันเป็นจุดจบที่ดีสำหรับทวิชที่ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาตลอด การได้เป็นอิสระจากความทุกข์ทรมานพวกนี้น่าจะเป็นของขวัญสุดท้ายที่เราจะให้ได้กับทวิชที่เป็นเด็กดีมาตลอดทั้งเรื่อง

จริงๆ เรื่องนี้เราไม่คิดว่าตัวเองจะเริ่มเขียนจนเขียนจบมาถึงตอนนี้ได้เลย เพราะความตั้งใจของเราคือต้องการสะท้อนเหตุการณ์ 6 ตุลา ในรูปแบบนิยายโอเมก้าเวิร์ส เช่นเหตุการณ์การกวาดล้างโอเมก้าที่ใช้วิธีเดียวกับการที่เหล่านักศักษาถูกใส่ไฟในช่วงนั้น หรือจะเหตุการณ์ความรุนแรงอื่นที่สอดแทรกในเรื่องก็อ้างอิงมาจากเหตุการณ์จริงบางอย่าง

ซึ่งแน่นอนว่าต้องหาข้อมูลเยอะมาก TWT ที่หายไปบางช่วงก็หายไปอ่านหนังสือค่ะ

สำหรับใครที่สนใจเรื่อง 6 ตุลา หรือเรื่องการเมือง ไรต์ขอแนะนำเว็ป doct6.com  , เพจประชาไท , นิตยสาร Way นอกจากนี้แล้วนักวิชาการที่ไรต์ชอบมากก็จะเป็น อ.ธงชัยค่ะ สัมภาษณ์กับบีบีซีได้ดีมากจริงๆ

และสุดท้ายนี้หวังว่าจะเป็นนิยายที่ทำให้ทุกคนอยากมาเป็น 'ทวิช' ด้วยกันนะคะ
 
เพราะไรต์ก็เหมือนมีความเชื่อแบบเดียวกับทวิชค่ะ :)

ติดตามกันต่อได้ที่ twitter : @foggytimenaja    ส่วนใครว่างๆ ก็ไปรีวิวทวิชในแท็ค #สิงหกุลโภชนา ได้นะคะ เงียบเหงามากเรย


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เศร้าจนจบจริงๆ

ออฟไลน์ Philosophy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
แงงงง เขียนดีมากเลย มันเศร้า มันหดหู่ สิ้นหวัง ร้องไห้  :m15:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นเรื่องที่หนักมากจริงๆค่ะ แต่ก็ขอบคุณที่แต่งนิยายแนวสะท้อนสังคมมาให้อ่านกันนะคะ

ออฟไลน์ 0832-676

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณที่เขียนนิยายเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ ขอให้ทวิชหลับให้สบาย ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอได้อีกแล้ว ไว้อาลัยแต่ทวิช กันต์ กาย พอส หมอนที และทุกคนที่ได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว เราเอาใจช่วยทวิชและทุกคนตลอด จนตอนท้ายๆที่ตั้งคำถามว่า ทวิชจะเหนื่อยเปล่ามั้ยที่ช่วยพวกเห็นแก่ตัวพวกนี้ พวกเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาจมปลัก เทิดทูนบูชา ยินยอมที่จะโดนกดขี่ ถ้าพวกเค้าไม่ทำตัวแบบนี้ เราคงเอาใจช่วยอย่างสนิทใจมากกว่านี้ ทั้งๆที่ทวิชไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พ่อแม่ตายหมด เพื่อนตายหมด แต่เค้าสู้เพื่อช่วยพวกคุณและคนรุ่นหลัง แต่นี่คือสิ่งตอบแทนที่เค้าควรได้เหรอ หักหลังเค้าแบบนี้เหรอ เราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว ทุกคนในเรื่องนี้จะหลุดพ้นวงจรนี้มั้ย หรือก้มหน้าก้มตายอมรับต่อไป แต่ขอให้ในความเป็นจริง พวกเราจะสามารถหลุดจากวงจรบ้าๆ จากคนบางกลุ่มที่เอารัดเอาเปรียบพวกเราอยู่ ...จงพินาศ เสรีภาพจงเจริญ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ขอให้มีกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆแบบนี้ต่อไป ❤️

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เป็นนิยายที่ดิ่งมาก ร้องไห้ทุกตอนบีบใจทุกตัวหนังสือที่อ่าน แง้ขอบคุณมากๆนะค

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนพิเศษ After the ceremony

   
ความรุนแรงและคำหลอกลวงคือสิ่งที่รัฐใช้ในการทำลายอุดมการณ์ของกลุ่มปฏิวัติ
   
เผาทำลายความหวังด้วยคำประกาศิตอันชัดเจนว่าพวกเขาคือที่จะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ตลอดไป
   
โอเมก้าจะไม่มีวันเป็นใหญ่ เบต้าจะไม่มีวันเป็นใหญ่ มีเพียงอัลฟ่าเท่านั้นที่จะเป็นใหญ่ เหล่าผู้ที่พ่ายแพ้จงยอมรับในความจริงและกล้ำกลืนความผิดพลาดอันขมขื่นนี้ตลอดชีวิตว่าพวกเขาจะไม่มีวันชนะ
   
จงทิ้งอุดมการณ์เลิศหรูจอมปลอมไปกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้และก้มหน้าใช้ชีวิตต่อไปด้วยความจำยอม
อย่าได้ผยองและกล้าเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาอีก

   

“ผมอยากกลับบ้านแล้วอ่า”
   
“รอก่อน”
   
ชนินทร์ซึ่งพาเด็กชายตัวเล็กมาทำงานด้วยยืนมองอดีตตึกแถวที่เคยเป็นที่เลื่องลือในย่านนี้ว่าขายบริการหลับสบาย ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าและมีพวกขอทานมาทำเพิงพักอาศัยอยู่กัน
   
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ๆ เขากลับรู้สึกผิดขึ้นมา ทั้งๆ มันก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว แต่ทุกอย่างในวันนั้นยังชัดเจนในความทรงจำของเขาราวกับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อวาน วันที่เขาเห็นทวิชบินเข้าไปในกองเพลิงแห่งนั้นอย่างไม่ลังเล
   
“…”
   
น้ำตาเขารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงสีหน้าสิ้นหวังของทวิช แววตาที่มักจะมองโลกอย่างเฉยชามาตลอดนั้นวันนี้กลับไม่เหลือความหวังใดๆ อีกต่อไปแล้ว
   
แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทวิชจะยอมตายเพื่อมันทำไม  ทำไมถึงไม่ยอมรับความชั่วร้ายพวกนี้แล้วเป็นส่วนหนึ่งของมันเพื่อที่จะได้ไม่เจ็บปวด อย่างไรก็ตามทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าไม่ว่าจะพยายามให้ตายยังไงพวกเขาก็ไม่มีวันเอาชนะคนพวกนั้นได้
   
ทำไมถึงไม่ยอมมีชีวิตอยู่ต่อ
   
“คุณลุง คุณลุงกระต่าย”
   
อยู่ๆ เจ้าเด็กที่ทวิชฝากเขาเลี้ยงก็พยายามแกะมือเขาออก แล้ววิ่งไปหาขอทานคนหนึ่งที่นอนคลุกฝุ่นอยู่ในเพิงและกำลังร้องไห้จนตัวโยน
   
“…”
   
ชนินทร์นวดขมับตัวเองเซ็งๆ เพราะเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงปล่อยทุกอย่างเลยตามเลยมาจนถึงขนาดนี้ จะไปเลี้ยงลูกใครก็ไม่รู้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยทิ้งให้ตายตั้งแต่วันนั้นเหมือนพวกเด็กคนอื่นๆ ที่หนีจากการล่าหัวไม่ทัน
   
“พี่นิน! พี่นิน!”
   
กระรอกเจ้าปัญหาตะโกนเรียกเขาจนเขายอมสาวเท้าตามเข้าไป และเมื่อเข้าไปใกล้ก็พบว่าขอทานที่ว่านั้นเป็นเบต้ากระต่ายวัยกลางคนที่ดูอมโรคใกล้ตายเต็มทน
   
“อย่าเข้าไปใกล้”
   
ชนินทร์ดึงตัวเด็กชายไปไว้ข้างหลังตัวเองทันที และสบตากับเบต้ากระต่ายที่ร้องไห้จนนัยน์ตาเป็นสีแดงก่ำ
   
“..ร้องไห้ทำไม”
   
เขาหลุดถามออกไปโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
   
เพราะแววตาของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่ต่างจากทวิชในวันนั้นสักนิด
   
“..ร้านสิงหกุลโภชนาไม่ได้อยู่แถวนี้เหรอครับ”
   
เบต้ากระต่ายก้มหน้าจนชิดอกด้วยความนอบน้อมและหวาดกลัว เพราะเครื่องแบบที่ชนินทร์สวมใส่อยู่นั้นคือชุดตำรวจอัลฟ่าของทางการ และเหล่าเบต้าส่วนใหญ่ก็รู้ดีว่าอำนาจของกลุ่มคนเหล่านั้นมากมายไพศาลเพียงใด
   
“…”
   
ชนินทร์แทบจะลืมวิธีพูดไปด้วยซ้ำ
   
ขนาดตายไปเป็นปีแล้วสิ่งที่ทวิชสร้างไว้มันก็ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนอยู่เลย
   
“..จะไปที่นั่นทำไม”
   
ทั้งๆ ที่สถานที่แห่งนั้นมีเพียงความตายรออยู่ ทำไมถึงได้อยากไปนัก
   
“..ผมอยากเจอคุณทวิช”
   
เบต้ากระต่ายพูดด้วยสีหน้าดีขึ้นเมื่อนึกถึงเจ้าของร้านที่คนเล่าลือกันว่าช่วยสามารถปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมานได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ขอแค่หาร้านให้เจอทุกความเจ็บปวดก็จะหายไป และเขาก็จะหลุดพ้นจากชีวิตอันเลวร้ายนี้เสียที
   
“…”
   
ตลกร้ายที่ตอนนั้นเขาไม่พอใจกับการมีอยู่ของร้านทวิชมากเพราะขัดต่อกฎหมายของอัลฟ่า แต่มาวันนี้เขากลับอยากให้ร้านของทวิชนั้นยังอยู่เพื่อที่จะช่วยปลดปล่อยคนๆ นี้
   
“..ชีวิตของคุณมันไม่มีหวังแล้วเหรอ”
   
ชนินทร์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
   
“ผมเหนื่อยจะสู้แล้ว คุณตำรวจ” เบต้าคนนั้นยิ้มบางให้กับชนินทร์ หากแต่นัยน์ตาสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด “ผมไม่อยากดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว”
   
“ถ้าผมให้เงินคุณ คุณจะเปลี่ยนใจไหม”
   
เบต้ากระต่ายส่ายหัวและหัวเราะเสียงแผ่ว
   
“ชีวิตผมมันได้แค่นี้แหละ คุณตำรวจ มันไม่มีทางดีไปกว่านี้ได้แล้ว”
   
“...”
   
ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกว่าความภาคภูมิใจในอาชีพตำรวจหายไปจนหมด ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกที่รุนแรงจนเขาอยากจะถอดชุดเครื่องแบบนี้ทิ้งเลยด้วยซ้ำ
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะภูมิใจในอาชีพไปทำไมในเมื่อเขาไม่สามารถปกป้องใครได้เลย ทุกวันนี้เขาก็ไม่ต่างจากกับหมาที่พวกรัฐบาลใช้เฝ้าบ้านคอยทำลายพวกกบฏ และเหยียบย่ำคนข้างล่างเหล่านี้อย่างหน้าไม่อาย
   
เขารู้ว่าตัวเองทำเพื่อความอยู่รอดแต่ขณะเดียวกันเขาก็เจ็บปวดที่ตัวเองไม่สามารถเป็นตำรวจในแบบเดียวกับที่พ่อของเขาเป็นได้ แถมเขายังเป็นส่วนหนึ่งของความเลวร้ายพวกนี้อีก
   
จริงๆ แล้วเขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันแน่
   
“คุณลุงกระต่าย ผม ผมให้”
   
เบต้ากระรอกตัวจิ๋วโผล่หน้าออกมาจากข้างตัวชนินทร์แล้วยื่นถุงลูกอมให้ด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา
   
“ขอบคุณนะ หนู”
   
เบต้ากระต่ายรับลูกอมไปด้วยรอยยิ้มหากแต่แววตาก็ยังเต็มไปด้วยความทุกข์ทน และรู้สึกเสียดายที่ความบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งไม่สามารถชำระล้างความเจ็บปวดของเขาได้
   
เขาเจ็บปวดเกินไป เจ็บจนแบกรับไม่ไหว ความตายของพวกพ้องและความสิ้นหวังที่ต้องเผชิญทุกครั้งที่ตื่น มันคอยกระซิบกระซาบเขาหยุดความทรมานนี้สักที
   
“รับไปสิ”
   
สุดท้ายชนินทร์ก็อดไม่ได้ที่จะควักเงินจำนวนหนึ่งให้อยู่ดี ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะให้ไปทำไม อาจจะเพราะความสบายใจหรืออะไรสักอย่างที่จะทำให้เขาไม่รู้สึกผิดไปกว่านี้
   
“…”
   
เบต้ากระต่ายมองเงินนั้นอย่างลังเลแต่เมื่อเหลือบไปเห็นขอทานคนอื่นๆ ที่นอนอยู่ข้างหลังก็ตัดสินใจรับไว้
   
“ส่วนร้านสิงหกุลโภชนาที่เขาคุณตามหา..” ชนินทร์หลบตาเพราะทนมองแววตามีความหวังนั่นไม่ไหว “ถูกเผาไปแล้วพร้อมกับเจ้าของร้าน ทวิชที่คุณตามหาอยู่ตายไปแล้ว”
   
“…เป็นเรื่องจริงสินะ”
   
แววตาของเบต้ากระต่ายจากที่ไร้แววอยู่แล้วตอนนี้ไม่เหลือโดยสิ้นเชิง
   
ความหวังเล็กๆ ที่จะได้ตายอย่างสงบและมีเกียรตินั้นไม่มีทางเป็นจริงได้แล้วจริงๆ
   
เบต้ากระต่ายยัดเงินกลับเข้ามือชนินทร์ ก่อนจะเดินโซซัดโซไปยังแม่น้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อที่จะหยุดความทุกข์ทรมานนี้สักที
   
“…”
   
ชนินทร์มองตามหลังอีกฝ่ายและหลุดสะอื้นในลำคอ
   
นี่อาจจะเป็นคำสาปที่ทวิชทิ้งเอาไว้ให้เขาก็ได้
   
“พี่นิน กลับบ้านกัน ผมหิวแล้ว”
   
“...อืม กลับบ้านกัน”
   
ชนินทร์ที่เพิ่งได้สติก้มลงอุ้มเด็กชายและรีบพากลับบ้านอย่างว่าง่าย
   
เพราะเขามั่นใจว่าถ้าตัวเองยืนอยู่ที่นี่นานต่ออีกนิด เขาคงจะใจสลายแบบเดียวกับเบต้ากระต่ายนั่นแน่ๆ


   

“ผมขอขอบคุณทุกท่านสำหรับความช่วยเหลือ ขอบคุณสำหรับทุกความเหนื่อยล้า ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับงานเฉลิมฉลองตำแหน่งของผมในวันนี้ อย่าได้เกรงใจผมเลยครับ เต็มที่เลย”
   
สิงห์หรือว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่มาร่วมโต๊ะจีนในวันนี้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะชูแก้วเหล้าขึ้นสูงร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตาทั้งทหาร ตำรวจ ผู้พิพากษา และผู้ที่มีส่วนรวมที่ทำให้การกวาดล้างกลุ่มปฏิวัติสำเร็จ
   
เขายิ้มให้กับเหล่าผู้ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นมิตรก่อนจะดื่มมันจนหมดแก้วในคราวเดียว
   
เฮ!!
   
เสียงเฮดังขึ้นอย่างครึกครื้นก่อนที่งานเฉลิมฉลองจะดำเนินไปอย่างคึกคัก ซึ่งแก้วที่สิงห์ดื่มไปเมื่อกี้นี้นั้นก็ไม่ต่างกับเลือดร่วมสาบานที่พวกเขาดื่มกินร่วมกันเพื่อผลประโยชน์อันสูงสุด
   
สิงห์ยิ้มบางให้กับแก้วเปล่าของตัวเองอย่างพอใจ เพราะเขาและคนในตระกูลหมายตาตำแหน่งนี้มาหลายสิบปีแล้ว ซึ่งตระกูลของเขาก็สูญเสียผลประโยชน์ ทรัพย์สิน คนและทรัพยากรไปมากมายเพื่อสนับสนุนรัฐบาล
   
หากแต่ผลตอบแทนที่พวกเขาได้รับตอนนี้ก็คุ้มค่าจนเขามั่นใจว่าเขาจะสามารถทำให้ตระกูลของเขามั่งคั่งได้ไปอีกร้อยสองร้อยปีกับการถือครองตำแหน่งนี้
   
เขากำลังจะได้ควบคุมตลาดและสินค้าในตลาดนั้นก็เป็นของเขาเอง
   
พวกเบต้ามักจะเรียกเขาว่านายทุนหน้าเลือดแต่เขากลับคิดต่างออกไป เขาคิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ให้ซะมากกว่า เพราะลำพังด้วยสติปัญญาของเบต้าเองคงไม่มีทางจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแบบเขาได้
   
เบต้าและโอเมก้าโง่เง่าจะตาย
   
ไม่สิ แม้แต่อัลฟ่าบางคนก็ยังโง่
   
สิงห์แค่นเสียงหัวเราะเหยียดหยันเมื่อนึกถึงทวิชที่ตายไปแล้ว เอาเข้าจริงในสายตาเขา ทวิชน่าจะเป็นคนที่โง่ที่สุดที่เขาเคยรู้จักด้วยซ้ำ
   
เขาให้โอกาสในการใช้ชีวิตมากมาย พยายามที่จะฉุดกระชากจากเด็กคนนี้ออกจากความเชื่อปัญญาอ่อนที่คิดว่าเพศทุกเพศเท่ากัน ทั้งๆ ที่มันไม่มีวันเป็นแบบนั้น อัลฟ่าต่างหากที่ต้องครอบครองทุกสิ่งและแจกจ่ายให้กับคนเบื้องล่าง
   
การตายของทวิชไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรสักนิดนอกจากความสมเพช เอาเข้าจริงถ้าทวิชยอมกลับมารับความอนุเคราะห์จากเขาอีกครั้งและทำตัวให้เข้าร่องเข้ารอยกว่านี้ เขาก็อาจจะพิจารณางานดีๆ ให้สักงานก็ได้ เพราะจากผลการเรียนทวิชก็ค่อนข้างหัวดีพอตัว เสียอย่างเดียวก็คืองมงายไปกับเรื่องความเหลื่อมล้ำหรือชนชั้นบ้าๆ นั่นแหละ
   
“ท่านครับ ท่านนายกให้ผมมาเชิญท่านไปชนแก้วครับ”
   
นายทหารคนสนิทคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับสิงห์อย่างนอบน้อม
   
“อืม ไปสิ”
   
สิงห์หันยิ้มให้กับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก่อนที่จะขยับตัวลุกขึ้นเพื่อไปกระชับมิตรกับเหล่าผู้ร่วมงานของเขาในอีกตลอดหลายสิบปีนี้ ซึ่งบทสนทนาที่พวกเขาจะได้พูดคุยนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์อย่างแน่นอน
   
“อัลฟ่าจงเจริญ”
   
ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กระซิบกับอากาศด้วยรอยยิ้มเย็น
   
เพื่อตำแหน่งนี้แล้วต่อให้เขาต้องฆ่าคนอีกสักกี่คนหรือต้องทำลายล้างอีกเท่าใด
   
เขาก็พร้อมที่จะแลกกับมันอย่างไม่ลังเล

เพราะมีเพียง ‘เงิน’ เท่านั้นที่จะทำให้เขาอยู่รอดบนโลกที่ไม่แน่นอนแห่งนี้

----------

หายไปนานเลย  :hao5:

รีเควสต์ตอนพิเศษได้นะคะ  :mc4: 

#สิงหกุลโภชนา
   
   

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เป็นเรื่องที่บีบหัวใจมากเลยค่ะ ไม่พลิกคืน ไม่ดีขึ้นเลย
ทวิชจมดิ่งไปเรื่อยแบบไร้ตัวตน ต่อสู้เพื่อคนที่ไม่รู้รักตัวเอง
ชีวิตแบกรับกับความเจ็บปวดที่จับต้องไม่ได้
ถูกกลืนกินกับความพยายามที่ไร้ผล ปลายทางคือที่สุดของชีวิตแล้ว
ยอมแลกกับการมีอยู่ เลือกที่จะจากไป

กันต์ก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะคนเราย่อมมีความหวังเสมอ
และเชื่อว่าจะช่วยทวิชได้ ถึงแม้ทวิชจะไม่อยากให้ทำก็ตาม

สิงหกุลโภชนาจริงๆ ค่ะ สุดท้าย สิงห์ก็ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ เป็นเรื่องที่อ่านยาวๆ ได้สนุกมาก
พีคทุกตอน ดิ่งทุกตอน ยิ้มได้แค่ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีเรื่องปฏิวัติ
หลังจากนั้น คือที่สุดของความระทม ทั้งชีวิตของทวิช



ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ต้องบอกว่า ขอบคุณมากจริงๆค่ะ เป็นเรื่องที่เรียบเรียงได้ดีและเล่าถึงเหตุการณ์จนเราเข้าใจจริงๆ เบื่อนิยายไม่ได้มาหลายเดือน เหมือนอ่านไม่จบไม่สนุกแต่พอมาอ่านเรื่องนี้ก็ทำเราอ่านไม่หยุดจนจบไปเลย ต้องขอบคุณนักเขียนมากนะคะที่นำเรื่องราวของทวิชมาเล่าให้ฟังแบบนี้ ถึงมันจะทำให้เราอึดอัดและรู้สึกเศร้าใจอยู่ตลอดก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่มีจริงและทวิชก็ทำได้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว ถึงเราจะอยากให้เขาพบความสุขบ้างก็เถอะนะ

ออฟไลน์ psyche

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นเรื่องที่เขียนดีมาก สะท้อนปัญหา​ปัจจุบัน​มาก อ่านไปก็คิดว่า เหมือนเราตกอยู่ในนิยายเรื่องนี้เลย เศร้ามากๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ brapair

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
หลังจากนี้หลังจากการต่อสู้ของทวิชเราเชื่อว่ามันจะต้องมีวันสำเร็จในสักวันสิ่งที่อัลฟ่าฆ่าไปคือผู้คนไม่ใช่อุดมการณ์ไม่ว่ายังไงอุดมการณ์เหล่านั้นก็จะยังอยู่ ผู้คนที่ตื่นรู้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะต้องมีวันสำเร็จแน่นอนค่ะ อยากให้ทวิชอยู่เจอความสำเร็จในประเทศเค้า แต่เค้าคงจะสู้ต่อไม่ไหวจริงๆ แต่ในสักวันนึงมันจะสำเร็จ และทวิชก็คงจะดีใจ

อัลฟ่าจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญค่ะ

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
To. ประชาชน

"เมืองสวรรค์สรรสร้างนามระบือ
แดนเลื่องลือรอยยิ้มพริ้มสุขขี
อาเรลปกครองถิ่นนี้ด้วยไมตรี
ชาวประชาเปรมปรีดิ์สุขอุรา

คราวถึงยุคทมิฬมารนึกครองเมือง
ความรุ่งเรืองสิ้นสลายกลายระกา
สังคมเนืองนองเลือดพสุธา
จิตวิญญาความรักราชพาป้องภัย"

พวกเรากลุ่ม New Tomorrow ขอเชิญชวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกท่านเข้ารับชมนิทรรศการงานศิลปะและละครเวที ในชุด "New Tomorrow The Musical"
สามารถลงทะเบียนสำรองที่นั่งเพื่อเข้ารับชมละครเวทีได้ที่ลิ้งก์ข้างล่างนี้

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ nonocong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดีใจที่ได้มาเจอเรื่องราวนิยายแนวนี้จัง ขอให้ทวิซได้ไปเจอสิ่งที่ดีนะ อำนาจมันมีอยู่ทุกที่ ใคร ๆ ก็ต้องการ   :hao5: :pig4: :sad4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด