{ DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข  (อ่าน 20842 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มาต่อแล้ว รอ มานานมากๆ ดีใจมากที่มาต่อ ขอบคุณ มาก ^^

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 ดีใจที่กลับมาต่อนะคะ จะรออ่านตอนต่อไปนะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 4

   
กลิ่นอายความตายเคล้ากับกลิ่นฟืนไฟโหมไปทั่วบริเวณ แทบไม่มีตารางนิ้วใดที่ไม่ปกคลุมด้วยควัน เหล่าผู้ที่ยังมีลมหายใจต่างจับจ้องกลุ่มควันฟุ้งซึ่งมีกลิ่นอายของผู้วายชมน์ด้วยความเศร้าโศก เพราะพวกเขาไม่แม้แต่จะสามารถรวบรวมอัฐิของผู้สูญเสียกลับไปประกอบพิธีการตามศาสนาด้วยซ้ำไป
   
ซึ่งถ้าหากต้องการจริงๆ ก็สามารถทำได้ แต่ใครเล่าจะกล้าบุกเข้าไปในเตาเผาขนาดยักษ์ที่ติดไฟอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่เหตุการณ์ปฏิวัติครั้งล่าสุด ศพจำนวนมหาศาลถูกลำเลียงมายังที่แห่งนี้เพื่อที่จะเผาทำลายโดยเฉพาะ ด้วยคำสั่งการทำลายหลักฐานของเหล่าอัลฟ่าชนชั้นนำ และถึงแม้ทุกวันนี้ศพในแต่วันจะน้อยลงแต่ไฟที่อยู่ในเตาหลอมก็ยังโชติช่วงและแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่ย่างกรายเข้าไปอยู่ดี
   
“..คนเดียว?”
   
เบต้าวัยกลางคนซึ่งสวมหน้ากากปิดปากสกปรกเหลือบมองทวิชด้วยสายตาเหยียดหยันแกมขี้เกียจ บริเวณใบหน้าที่ยังคงรูปลักษณ์กวางมีฝุ่นควันเต็มไปหมดจนดำไปทั้งแถบ
   
“ครับ คนเดียว”
   
ทวิชพยักหน้าน้อยๆ และเหลือบมอง ‘กวินทร์’ ที่นอนอย่างสงบในอ้อมกอดของตัวเอง ซึ่งดูเผินๆ แล้วเหมือนกับว่ากวินทร์เพียงแค่หลับไปเท่านั้น ไม่ได้จมไปสู่ความตายอันเป็นนิรันดร์จริงๆ
   
“เดี๋ยวก่อน” เบต้าคนเดิมที่กำลังจะปล่อยผ่านไปอย่างเบื่อหน่าย ถึงกับเบิกตากว้างตอนที่เห็นชัดๆ ว่าเบต้าสายพันธุ์ไหนที่อยู่ในมือของทวิชและแถมยังมีสภาพที่สมบูรณ์มากๆ อีก!
   
“หมอนี่ตายยังไง”
   
ทวิชเลิกคิ้วงงๆ เพราะนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้คุยกับพวกเจ้าหน้าที่ของทางการเกินหนึ่งประโยค ที่ผ่านมาพวกคนของทางการจะไม่ค่อยสนใจทำงานสักเท่าไหร่ ใช้ชีวิตอย่างเบื่อหน่ายเพราะหน้าที่ของพวกเขาในสถานที่แห่งนี้ก็คือการจดจำนวนศพที่ถูกนำเผาในแต่ละวันเพื่อเก็บสถิติส่งให้ทางการ ไม่มีอะไรมากมายกว่านั้น
   
ดังนั้นท่าทีกระตือรือร้นแปลกๆ ของอีกฝ่ายจึงทำให้ทวิชรู้สึกไม่ไว้วางใจสักนิด
   
“เขาป่วย”
   
“ใช่ โรคติดต่อร้ายแรงไหม? ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวผมจัดการเรื่องศพให้เอง”
   
“เขาถูกพิษจากโรงงาน”
   
ทวิชตอบแบบเดาสุ่มตามข้อมูลที่รู้มาจากกวินทร์ และคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยเขาไปสักที อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ของเขาที่มาแห่งนี้คือพากวินทร์มาพักพิงในสถานที่สุดท้ายของชีวิตก็เท่านั้น น่าเสียดายที่เขามีเงินไม่มากพอที่จะจัดพิธีเผาให้ทุกคนที่มาใช้บริการเขาให้เป็นเรื่องเป็นราว จึงได้แต่มาใช้บริการเผาฟรีของทางการที่มีวิธีการที่ค่อนข้างโหดร้าย ซึ่งก็คือการโยนร่างของคนที่ไร้ชีวิตลงไปในหลุมด้านล่างที่กองเพลิงโชติช่วง ที่เคยเผาผู้คนมานับหมื่นนับแสนคน
   
“งั้นเนื้อก็เป็นพิษงั้นสิ”
   
เบต้าวัยกลางคนสบถอย่างผิดหวัง แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างขี้เกียจเช่นเดิม
   
“ศพเล็กนี่ เอาไปเข้าไปเองเลย ไม่ต้องไปรบกวนไอ้พวกตัวขี้เกียจมาช่วยขนหรอก”
   
“..ครับ”
   
ทวิชก็ยังคงงุนงงอยู่ดีแต่ก็สาวเท้าเข้าไปในลานอย่างคุ้นชินโดยมีร่างใหญ่โตของกันต์เดินตามหลังต้อยๆ เงียบๆ
นัยน์ตาของกันต์นั้นยังคงไร้ประกายและทอดมองเหล่าเบต้าที่ร้องไห้ร้องห่มร้องไห้รอบตัวอย่างไร้ความรู้สึก มีเบต้าครอบครัวหนึ่งที่ต้องช่วยกันแบกศพของเบต้าแรดที่ตายในร่างต้นทำให้ค่อนข้างเปลืองพื้นที่ค่อนข้างมาก และแต่ละคนก็ดูเจ็บปวดมากกับสิ่งที่ตัวเองแบกอยู่จนแทบจะแบกร่างที่นำมาด้วยไม่ไหว

ทวิชเผลอชะงักหยุดมองและเหลือบมอง ‘พวกตัวขี้เกียจ’ ที่ว่าซึ่งเป็นเบต้าช้างนอนหลับกันบนพื้นอย่างเอกขเนก อาจจะเพราะด้วยการทำงานกับรัฐบาลที่ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีแรงจูงใจ ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งใจทำงานหรือไม่ตั้งใจทำงาน สุดท้ายก็ยังได้เงินเดือนเท่าเดิมและสวัสดิการเดิมๆ จึงไม่มีใครลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตนเองอย่างจริงจัง

“..กันต์”

“…”

ทวิชสบตากันต์และเหลือบมองเบต้ากลุ่มนั้นก่อนที่กันต์จะพยักหน้ารับ และเดินเข้าไปอาสาช่วยแบก ซึ่งเบต้ากลุ่มนั้นก็พร่ำขอบคุณกันต์ไม่หยุดปากทั้งน้ำตา

“ขอบคุณนะหนู ป้าขอบคุณมากเลยนะ”

เบต้าที่มีอายุมากที่สุดและมีศักดิ์เป็นภรรยาของผู้ตายสะอื้นไปพูดไป และปล่อยให้กันต์มาอยู่แทนที่ตัวเอง ทำให้การแบกร่างเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะกันต์นั้นค่อนข้างถนัดเรื่องการใช้พละกำลัง ไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหนก็มีพลังมหาศาลพอๆ กัน ผิดกับกายที่ไม่ค่อยได้ใช้พละกำลังเท่าไหร่ทำให้ร่างมนุษย์กับร่างต้นมีพละกำลังที่ค่อนข้างจะต่างกันมาก

“…”

กันต์ไม่ได้ตอบอะไรยอมแบกร่างและเดินตามทวิชที่นำไปก่อนเงียบๆ ไม่ค่อยตื่นตกใจนักเมื่อเดินมาถึงปลายทางและพบหลุมเพลิงร้อนระอุที่ไฟโหมแรงจนแทบจะคนที่ยืนอยู่ข้างบน ซึ่งพอถึงปลายทางกันต์ก็ปล่อยให้ครอบครัวเบต้าดูแลศพต่อ

“..ผมขอถามได้ไหมว่าเขาไปเพราะอะไร”

ทวิชที่ในมือยังคงลูบหัวกวินทร์ถามคุณป้าที่ยังร้องไห้โฮไม่หยุด มือผอมที่มีร่องรอยบาดแผลจากการปักชุนผ้ามาแทบทั้งชีวิตลูบหัวสามีของตนเองราวกับปลอบประโลมไม่ให้หวาดกลัวต่อไฟที่กำลังจะแผดเผาร่างอีกในไม่ช้า

“..ฮึก โรงงาน โรงงานบ้าๆ นั่นที่รัฐบาลโฆษณานักหนาไง หนู ป้าขอเตือนหนูเลยนะว่าอย่าไปทำที่นั่น อย่าไปเชื่อว่าทำแล้วหนูจะสบาย ฮึก สามีพี่เพิ่งทำได้แค่ปีครึ่งอาการก็ทรุด พออีกอาทิตย์นึงก็เสียเลย”

“..ผมเสียใจด้วยนะครับ”

หากทวิชยังคงอยู่ในร่างต้นที่เป็นเสือดำ ตอนนี้คงไม่วายหูลู่ลงมาอย่างหดหู่เจ็บปวด อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนมอบความตายให้กับลูกค้ามามาก แต่เขาก็ยังเจ็บปวดกับการตายของเบต้าทั่วไปอยู่ดี

เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมรัฐบาลที่มักจะโฆษณาว่าตัวเองเป็นผู้ประเสริฐดีเลิศนักหนาถึงได้ใจร้ายนัก กับแค่การเจียดเงินส่วนหนึ่งมาจ้างนักบวชคอยสวดภาวนาให้ผู้วายชมน์พวกนี้สักนิดกลับไม่คิดจะทำ ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้ที่นับถือศาสนาก็เถอะ แต่เบต้าทั่วไปยังนับถือศาสนากันอยู่ไง การมีสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวพวกเขาไม่ให้สูญสิ้นสติก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ

ไม่สิ เขาจะหาความชอบธรรมไปทำไม ในเมื่อคนที่เขาเรียกร้องคือกลุ่มคนเดียวกับกลุ่มคนที่ฆ่าพ่อแม่และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างเลือดเย็นกลางเมือง แถมยังได้รับความเห็นดีเห็นงามจากคนส่วนใหญ่ในประเทศอีก

“…”

ทวิชกัดปากแน่นจนได้กลิ่นคาวเลือดในปาก

มันเป็นความเจ็บปวดที่เขาทนแบกรับมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ต่อให้เขารอดจากการปฏิวัติครั้งนั้น

แต่แล้วมันจะมีความหมายอะไรล่ะ? เขามันก็แค่พวกเศษเหลือเดนจากการปฏิวัติก็เท่านั้น  แทบไม่มีใครจำได้แล้วว่าการปฏิวัติฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งก่อนได้เกิดขึ้นจริง มันถูกลบออกไปหมดแล้วอย่างหมดจด ทั้งในบทเรียน สื่อ หรือการสอนศาสนา และความทรงจำของผู้คน

เอาเข้าจริงลุงสิงห์ก็เคยเผลอเรียกเขาครั้งหนึ่งว่า ‘ผีปฏิวัติ’ ตอนที่เขาพยายามทำร้านขายความตายขึ้นมา เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันก็เป็นแค่ความพยายามโง่ๆ ของตัวเอง ที่พยายามจะต่อต้านไอ้พวกอัลฟ่าสารเลวพวกนั้น
การโดนเรียกแบบนั้นทำให้เขาเผลอหลุดหัวเราะออกมา เพราะมันเป็นคำเหยียดหยันที่เหล่าอัลฟ่าเคยใช้ด่าพวกเบต้าหรือคนกลุ่มสมัยใหม่ที่พยายามจะก่อการปฏิวัติขึ้นมาอีกครั้ง

ใช่ เขามันก็แค่ผีตัวนึงจริงๆ นั่นแหละ

ไร้ตัวตน ทุกข์ทรมาน กล้ำกลืนความพ่ายแพ้

บางครั้งบางคราที่เขามาที่นี่ เขาก็อยากจะกระโดดลงไปให้มันรู้แล้วรู้รอด เขาทนมีชีวิตอยู่ทั้งๆ ที่เห็นคนที่สั่งฆ่าหรือมีส่วนรู้เห็นในการฆ่ากวาดล้างครั้งนั้นได้ดิบได้ดีในสังคมต่อไปไม่ได้จริงๆ
ทำไมกับแค่การมีความเห็นที่แตกต่างและอยากให้สังคมดีขึ้น มันถึงกลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เหตุการณ์บานปลายถึงเพียงนั้น

ตลอดยี่สิบสามสิบปีมานี้ เขาพยายามหาคำตอบทุกวัน

แต่ก็ไม่มีคำตอบไหนที่สามารถตอบเขาได้ว่าทำไมอัลฟ่าถึงมีสิทธิ์ ‘ฆ่า’ โอเมก้า

ทำไมอัลฟ่าถึงสามารถปฏิบัติกับโอเมก้าราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ ทำไมอัลฟ่าถึงมีสิทธิ์ยิงโอเมก้า ทำไมการข่มขืนฆ่าโอเมก้าถึงไม่ผิด แล้วอัลฟ่ามีสิทธิ์อะไรมาปฏิบัติกับศพที่เสียชีวิตไปตั้งนานแล้วด้วยความหยาบคายเพียงนั้น การเอารองเท้ายัดปาก หรือการเอาลิ่มตอกอกนั้นถือว่าเป็นวิถีของผู้ที่เจริญแล้วจริงๆ หรือ?

ทั้งๆ ที่โอเมก้าพวกนั้นไม่มีแม้แต่อาวุธในมือด้วยซ้ำ พวกเขามีแค่เสียง ปากกาและอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของทุกคนให้ดีขึ้น ให้มีการแบ่งสันปันส่วนที่เป็นธรรม ไม่กระจุกอยู่กับแค่คนเพียงกลุ่มเดียวที่อ้างว่าตัวเองนั้นเป็น ‘อัลฟ่า’ จึงมีสิทธิ์เหนือเพศอื่นๆ

“…”

สุดท้ายทวิชก็เผลอยืนสะอื้นขณะที่จ้องลงไปในกองเพลิง

มีศพโอเมก้ากี่ศพกันที่ได้ลงไปในนั้น แล้วหนึ่งในนั้นมีร่างของพ่อแม่เขารึเปล่า?

“หลับให้สบายนะ กวินทร์ ในที่แห่งนั้นจะไม่มีใครทำร้ายนายได้อีก”

ทวิชพึมพำกับกวินทร์โดยมืออันสั่นเทา ทำใจอยู่สักพักก่อนที่จะโยนร่างกระต่ายเข้าไปในกองเพลิง เพียงชั่วพริบตาร่างของกวินทร์ก็ถูกแผดเผาสิ้น ไหม้เกรียมและกลายเป็นเถ้าถ่านทันควันไม่ต่างจากศพอื่นๆ ที่ถูกโยนลงไป

“…พี่ชายๆ ”

ระหว่างที่ทวิชจมอยู่ในภวังก์และความทุกข์โศก เด็กชายคนหนึ่งที่เด็กเกินกว่าจะเข้าใจความตายก็วิ่งมาหาทวิช และยื่นดอกไม้ที่เตรียมมาโปรยให้คุณตาตัวเองให้กับทวิช

“พี่ชายก็ร้องไห้เหรอ ไม่เอานะ แค่แม่ร้องไห้คนเดียวผมก็เจ็บหูจะแย่แล้ว”

เด็กชายซึ่งเป็นเบต้ากระต่ายเช่นเดียวกับกวินทร์กระดิกหูกระต่ายดุ๊กดิ๊กอย่างน่าเอ็นดู

“อ่ะ ผมแอบให้พี่ชายดอกนึง พี่ชายอย่าเศร้าไปเลยนะ”

“...ขอบคุณนะครับ”

ทวิชรับดอกไม้มาทัดไว้ตรงอกตัวเอง ย่อตัวลงให้ตัวเองสูงเดียวกับระดับเด็กชาย ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยสีหน้าเอ็นดูและเป็นมิตร

พอเห็นหน้าพี่ชายใกล้ๆ เด็กน้อยก็หน้าแดงแจ๋เพราะพี่ชายสวยมาก และเผลอพูดละล่ำละเลิกใส่อย่างควบคุมไม่ได้ “ผม ผมไปหาแม่ก่อนนะฮะ พี่ชายมีความสุขมากๆ นะฮะ”

“อืม”

ทวิชพยักหน้าและมองตามหลังเด็กชายด้วยรอยยิ้มจาง

ความทุกข์ตรมอันทุกข์ทรมานที่แบกรับมาตั้งแต่จำความได้จนถึงวินาทีนี้ เมื่อกี้คล้ายกับถูกชำละล้างไปด้วยความบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจความโหดร้ายของโลก

นัยน์ตาสีทองที่มันชืดชาเจ็บปวดตลอดเวลาดูอบอุ่นขึ้นมานิดๆ

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขายังทนมีลมหายใจต่อก็คงเป็นเพราะเด็กพวกนี้ เพราะเขาคงทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้แน่ ที่จะเห็นเด็กเหล่านี้ต้องถูกระบบโครงสร้างอันห่วยแตกของรัฐฆ่าเด็กเหล่านี้ทั้งเป็น

พวกมันพรากทุกอย่างไปจากเด็กคนหนึ่ง

สวัสดิภาพในการใช้ชีวิต สิทธิเสรีภาพ สิทธิ์ในการเข้าถึงการศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทั่วไปพึงมีและควรได้รับ เพื่อที่จะไปปรนเปรอในชนชั้นของตัวเอง

เขายอมรับตัวเองแค้น แค้นมากด้วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ระบบโครงสร้างล้มเหลวที่อยู่ตรงหน้าเขามันยิ่งใหญ่เกินไป เขาไม่มีอาวุธ ไม่มีกำลังทหาร ไม่มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่มากพอ เขาไม่มีอะไรเลย นอกจากตัวเนื้อตัวเปล่าๆ กับเงินอีกจำนวนหนึ่งที่ได้จากพ่อแม่มา

แววตาของทวิชจึงกลับมาเจ็บปวดอีกครั้ง

เขาอยากสร้างอนาคต สร้างสิ่งที่ดีกว่านี้ให้กับเด็กคนนั้น เขาไม่อยากให้เด็กคนนั้นต้องโตขึ้นมาเจ็บปวดเมื่อวันใดวันหนึ่งเกิดตาสว่างไม่เชื่อโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ของรัฐบาลที่ใช้หลอกเบต้าทั่วไปมาทั้งชีวิตขึ้นมา

อาจจะจริงในเรื่องที่ว่าเพราะฉลาดและตื่นรู้ ถึงได้เจ็บปวดมาก การเป็นคนโง่งมงายไปสิ่งที่ถูกสอนให้เชื่ออาจจะทำให้มีความสุขมากกว่านี้ เช่นเดียวกับเบต้าคนอื่นๆ ที่ยังหลงเชื่อในคำหลอกลวงของรัฐบาลอยู่

พวกเขาก็ไม่ต่างจากเด็กเหล่านี้ที่เซื่องซื่อ เพียงแต่ว่าอายุมากกว่าและทำงานหหนักกว่าก็เท่านั้น ซึ่งเบต้าพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตกว่าที่จะตาสว่างขึ้นม และแน่นอนว่ามันไม่ทันกาล

เพราะเมื่อรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็สูญเสียไปหมดสิ้นแล้ว

กรี๊ดดด

ทวิชสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ก็เกิดเสียงกรี๊ดดังลั่นและตามมาด้วยเสียงอึกทึกโวยวายทั่วบริเวณ ก่อนที่จะตกใจกว่าเดิมเมื่อตัวเองถูกใครบาง ‘หยิบ’ ออกจากสถานการณ์วุ่นวายตรงหน้าทันที

“อย่าเพิ่งออกไป กันต์ รอดูก่อนเผื่อว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น”

ทวิชที่ถูกกันต์อุ้มขึ้นมาในท่าเจ้าสาวอย่างง่ายดายบีบไหล่กันต์แน่นด้วยสีหน้าตึงเครียด ซึ่งภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซุกซ่อนความคิดวุ่นว่ายในใจเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ปกปิดจากกันต์ไม่ได้เลยคือแก้มที่ขึ้นสีนิดๆ อย่างประหม่า เพราะไม่เคยมีปฏิบัติกับแบบนี้กับเขามาก่อน

แน่นอนว่าทวิชไม่ได้ตำหนิกันต์ เนื่องจากมันก็เป็นสัญชาตญาณทั่วไปที่พอจะเข้าใจได้ เพราะถ้าเป็นสภาวะปกติในสถานการณ์อื่น เขาก็จะเผ่นออกจากสถานที่ทันทีเหมือนกัน

เพราะเขารู้ว่ามันคือการจงใจก่อความวุ่นวายขึ้นโดยฝีมือรัฐ ที่มักจะบอกว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี การวางระเบิดหรือการปะทะกันตามจุดต่างๆ มักถูกจัดฉากขึ้นมาเพื่อให้รัฐได้ส่งคนเข้าไปปราบปราม และรับตำแหน่งฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมของประเทศอยู่ร่ำไป

แน่นอนว่าถ้ามันเป็นหนังสือสักเรื่องเขาคงเผามันทิ้งได้ เพราะบทมันช่างห่วยแตกสิ้นดี แต่เรื่องที่ตลกร้ายกว่าคือมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้และเบต้าแทบทุกคนในประเทศนี้ก็เชื่อสนิทใจ

“…”

กันต์พยักหน้าน้อยๆ กระชับออกกอดให้แน่นขึ้น กระชับเสื้อคลุมสีดำสนิทที่ทวิชให้มาคลุมตัวให้ร่างในอ้อมแขน ราวกับกำลังซุกซ่อนอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ อยู่

“พวกนั้นไม่เคยก่อเหตุที่นี่”

สุดท้ายทวิชก็ทนประหม่าไม่ไหว ทุบไหล่ร่างใหญ่เบาๆ เชิงให้ปล่อย ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย ยอมปล่อยทวิชลงอย่างนุ่มนวล และจดจ้องไปยังเบต้าคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาในบริเวณด้วยความคลุ้มคลั่ง เนื้อตัวอาบไปด้วยเลือด ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับว่าโลกนั้นได้ถล่มลงมาต่อหน้า ในอ้อมแขนอุ้มร่างของเบต้ากระต่ายคนหนึ่งที่ร่างกายเหลือเพียงท่อนบน

“ฮว้ากกกกก!!!”

เขากรีดร้องออกเสียงเสียดหู กรีดร้องจนเสียงแหบแห้งขณะที่ตระกองกอดร่างในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมและลูบใบหน้าที่หลับสนิทด้วยความอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่อยู่ๆ จะกลับคืนสู่ร่างต้นซึ่งเป็นกระต่ายเหมือนกัน และโผเข้าหาฝูงชนที่ยืนออกันเพื่อปกป้องตัวเอง

ปัง!

กระสุนปืนคือคำตอบของการคืนสู่ร่างต้น

ปัง!! ปัง! ปัง!

เพราะการคืนสู่ร่างต้นนั้นทำให้ประสิทธิภาพของร่างกายเพิ่มขึ้น มีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดมากกว่า!

“อย่ายิง!!! ได้โปรดอย่ายิง!!”

เหล่าเบต้าที่ไม่เกี่ยวข้องต่างกรีดร้องออกมา มีบางส่วนพยายามอ้อนวอนขอร้องเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของรัฐบาลที่วิ่งตามกันมาทีหลังสามสี่คน และยังยิงเบต้าคนนั้นไม่หยุดโดยไม่สนใจว่าใครจะโดนลูกหลงบ้าง

ปัง! ปัง! ปัง!

น่าตลกที่กระสุนแทบจะทุกนัดล้วนแล้วแต่ถูกเบต้า แต่ไม่มันไม่ได้โดนบุคคลที่ทางการต้องการ การกราดยิงจึงยังไม่หยุดแม้ว่าจะมีเบต้าพยายามเข้าไปขัดขวางและอ้อนวอนแทบเท้าแค่ไหนก็ตาม

“พวกอัลฟ่ามันโกหก!! มันหลอกเรา!!! อย่าไปเชื่อมัน!!!”

เบต้าตัวต้นเหตุที่คล้ายจะวิปลาสไปแล้วนั้นร้องออกมาไม่หยุด วิ่งอย่างคลุ้มคลั่งรอบหลุมอันตราย

“หุบปากซะ! แกไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น!!”

หัวหน้าของคนของทางการที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีคำรามออกมา แล้วตัดสินใจยิงตัว ‘กบฏ’ คนนั้นด้วยตัวเอง ปืนกระบอกยาวที่รุนแรงและนิ่งที่สุดถูกตั้งลำบนไหล่ ก่อนที่จะเคลื่อนตามกระต่ายที่วิ่งไปมาอย่างแม่นยำ นับถอยหลังในใจสามวินาทีก่อนที่จะตัดสิดใจเกี่ยวไกปืน

ปัง!!!

“อ้ากกก”

กระสุนนัดนั้นเจาะเข้าที่กลางหลังอย่างแม่นยำ ก่อนที่มันจะบิดเกลียวและระเบิดทำลายอวัยวะภายในในชั่วพริบตา เบต้ากระต่ายคนนั้นกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แต่ก็ไม่สูญสิ้นสติสัมปชัญญะแทบทันที

“ฮึก พวกมัน พวกมันฆ่าคน แล้ว แล้วยังกิ--“

ยังพูดไม่ทันจบร่างของผู้ที่ถูกกล่าวว่าเป็นกบฏนั้นก็สะดุดศพเบต้าบางคน และเผลอร่วงหล่นไปในกองเพลิงพร้อมกับร่างกระต่ายครึ่งท่อนในมือ ซึ่งมันก็ดูคล้ายจะจบแล้ว แต่มันก็ไม่ได้จบเพราะเบต้ากระต่ายคนนั้นได้ชนใครอีกคนให้ร่วงหล่นไปด้วยกัน!

“แม่!!!”

ทวิชที่หลบอยู่ข้างหลังเบิกตากว้าง เมื่อเห็นร่างของเด็กชายที่ให้ดอกไม้ตัวเองตกไปในบ่อต่อหน้าต่อตา ร่างกายพุ่งเข้าไปในหาเด็กคนนั้นแทบจะทันทีโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“ปล่อย ปล่อยฉัน!! กันต์!!’

ทวิชคำรามออกมาทั้งน้ำตา รู้สึกทั้งโกรธแค้นทั้งเจ็บปวดและอยากคลุ้มคลั่ง

“…”

กันต์ไม่ได้พูดอะไรแต่รวบทวิชมากอดให้แน่นขึ้น ใช้ร่างกายของตัวเองเป็นกรงไม่ให้อีกฝ่ายออกไปตายแบบง่ายๆ แต่ทวิชก็ทั้งกัดทั้งทุบจนกันต์พูดออกมาประโยคหนึ่ง

“คุณจะตายฟรี”

“ก็ช่างสิ จะตายก็ให้มันตายไป นั่นเด็กทั้งคนเลยนะ กันต์!!! พวกนั้นมันฆ่าเด็ก!!!”

ทวิชร้องไห้ออกมาอย่างหมดท่า หยิบดอกไม้ที่เด็กชายให้ออกมาดูและสะอื้นไม่หยุด เพราะนอกจากเด็กที่ตายแล้ว ยังมีเบต้ามากมายที่ยังตายอยู่ตรงนี้

ทำไม ทำไมกัน ทำไมเขาถึงต้องทนกับความโหดร้ายเหล่านี้กัน ทำไมเขาถึงไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความถูกต้อง มันเป็นความรุนแรงที่รัฐต่อประชาชนอย่างอุกอาจ ไร้ซึ่งศีลธรรมและยางอาย

จะให้เขามีความสุขได้ยังไงกัน!

พรึ่บ!!!

ทวิชเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ก็มีอะไรพุ่งออกมาจากบ่อเพลิงไหม้ข้างล่าง ที่เขามองไม่ออกว่ามันคืออะไรเพราะฝุ่นควันต้องนี้ขโมงกว่าเดิมมาก ราวกับว่าศพที่ตกลงไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเชื้อไฟชั้นดีให้กับมัน

“แม่!”

ทวิชตกใจมากกว่าเดิม เพราะอยู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงเรียกคุ้นเคย ก่อนที่จะหันไปพบว่าเป็นเด็กชายคนเดิมคนนั้นวิ่งเข้าไปหาแม่

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ทวิชคิดด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจสถานการณ์นัก เขามั่นใจว่ามีอะไรสักอย่างที่ช่วยเด็กคนนั้นออกมา แต่กลับมองไม่ทันว่าเป็นอะไร

“ไปกันเถอะ”

กันต์พยายามลากทวิชออกจากบริเวณ จากประสบการณ์ที่เคยเร่ร่อนอยู่ตามถนนมานับสิบปีนั้นบอกอยู่เสมอว่าควรจะไม่ควรยุ่งกับพวกคนของทางการ ไม่ว่าเราจะถูกหรือผิดก็ตาม เพราะไม่ว่ายังไงคนพวกนั้นก็มักจะเล่นกลจนให้ตัวเองถูกอยู่เสมอ

แน่นอนว่าเป็นตัวเขาคนเดียวเขาคนไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ การโดนยิงตายตั้งแต่เมื่อกี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้สนใจอยากมีชีวิตต่ออยู่แล้ว

ซึ่งตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปเพราะตอนนี้เขารู้จักทวิช และทวิชก็ไม่สมควรตายด้วยเรื่องแบบนี้

“..อืม”

ทวิชมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อรู้ว่าเด็กคนนั้นรอด แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อเดินผ่านกลับทางเดิม และแห็นซากศพผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมากมายนอนก่ายกองกันตามพื้น มีบางศพที่ยังกอดดอกไม้ที่มาโปรยให้ผู้ตายด้วยซ้ำ

“ใครก็ตามที่ได้ยินกบฏเมื่อกี้มันพูด ลืมมันซะ!! เพราะอัลฟ่าไม่มีวันหักหลังพวกเรา!!! พวกมันคือกบฏที่มาพยายามให้พวกเราแตกแยก อย่าไปเชื่อมัน!!”

ทวิชเหยียดยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าคล้อยตามของเบต้าบางคนที่ไม่ได้ถูกยิง มีเบต้าบางส่วนที่โดนกระสุนตะโกนเถียง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับเสียงของเบต้าส่วนใหญ่ที่เออออเห็นด้วยกับมาตรการขั้นเด็ดขาดที่ทางการใช้กับกบฏ

“ตลกดีเนอะ”

ทวิชหัวเราะออกมาเมื่อมาถึงรถตัวเอง

“จนถึงตอนนี้ คนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อในสิ่งที่พวกอัลฟ่ามันหลอก”

“…”

กันต์ไม่ได้ออกความเห็นอะไร เพียงแค่สีหน้าเจ็บปวดของทวิชนิ่งๆ

“แล้วฉันล่ะ กันต์ ทำไมไม่เชื่อพวกมันบ้าง”

ทวิชสะอื้นออกมาจนตัวโยน ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองแน่นพยายามหยุดสะอื้น

เขาไม่ได้เตรียมใจที่จะมาเจอการกราดยิงคนบริสุทธิ์กลางวันแสกๆ แบบนี้ วันนี้เขาแค่ตั้งใจมาเผาร่างให้กวินทร์เท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายไปกว่านั้น

“ฮึก ฆ่าฉันที กันต์”

ทวิชดึงมือใหญ่ของกันต์ที่วางอยู่บนตักมากำรอบคอตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“ฉันเจ็บจนจะเป็นบ้าแล้วจริงๆ ”

===========

หายไปนานมาก  :mew5: กลับมาแล้วว รอบนี้ว่างยาวแล้วค่ะ น่าจะได้ลงเรื่อยๆ

ps ตอนนี้เขียนด้วยความโกรธล้วนๆ เลย 5555555





ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
โหดร้ายเกินไป

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อย่าเท กันนะ รอเสมอ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
หดหู่มากเลย หวังว่าสังคมนี้จะได้รับการเปลี่ยนแปลงไวๆนะ
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
มีอำนาจ แต่ใช้ไม่ถูกทางยังไงก็ล่มสลายค่ะ
ไม่มีใครสงบสุข ต่างกลัวและหวาดระแวง

สงสารทวิช ต้องเจออะไรมาเยอะ ถึงเลือกจะช่วย
ในสิ่งที่พอทำได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ก็เป็นสิ่งสุดท้าย
ส่งท้ายความเศร้าที่จะพบความสุข

กันต์จะปกป้องทวิชได้ใช่ไหม

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 5

   
ฟู่…
   
ทวิชที่เพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์เล่มสี่สีพิเศษที่ถูกนำมาแจกอย่างเร่งด่วนเมื่อเช้า อัดบุหรี่เข้าร่างกายและพ่นออกมาจนควันท่วมหลังตึก นัยน์ตาสีทองสั่นระริกรื้นไปด้วยน้ำตาเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นและอ่านไปเมื่อกี้
   
มันเป็นภาพเพื่อนของเขาในร่างมนุษย์ถูกแขวนคออยู่บนบานประตูเหล็ก บนอกถูกตอกด้วยลิ่มสีทองที่ทางการมักจะใช้กับนักโทษคดีร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิตเพื่อเป็นการประจาน บริเวณตามเนื้อตัวอาบด้วยเลือดและรอยกระสุน แทบจะไม่มีส่วนใดของร่างกายที่ดูปกติ
   
มีเพียงใบหน้าของ ‘กาย’ เท่านั้นที่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บสาหัส แต่มันกลับเป็นสีหน้าที่แสดงชัดถึงความเจ็บปวดมาก จนแม้แต่ความตายที่เข้ามาถึงตัว ก็ไม่สามารถทำให้ความทุกข์ทรมานที่คั่งค้างบนร่างกายหายไปได้
   
ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่พอจะได้เดาอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังโกรธมากและเสียใจจนตัวสั่นอยู่ดี
เพราะหนึ่งในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของรัฐบาลนี้คือการลงมือฆ่าประชาชนของตัวเองที่เห็นต่างอย่างเลือดเย็น พวกเขาเพิกเฉยต่อคำร้องขอที่เหล่าพลเมืองเรียกร้อง มองว่ามันเป็นการกระทำที่ประสงค์ร้ายต่อรัฐ เป็นความคิดที่มุ่งให้ประเทศเกิดความเสียหาย และเป็นการสมควรแล้วที่พวกเขาจะมีสิทธิ์อันชอบธรรมในการกำจัดบุคคลเหล่านี้

การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักปฏิวัติที่กระทำไปเมื่อวานจึงถูกนับว่าเป็นการก่อการร้ายในชั่วพริบตา ทั้งๆ ที่พวกเขาแค่พยายามจะทำอันตรายต่อรูปปั้นหินอ่อนสิงโตตัวนั้น พยายามจะบอกกับประชาชนคนทั่วไปว่าอัลฟ่านั้นไม่ได้วิเศษวิโสอย่างที่พวกเขาคิด เป็นเพียงบุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับเราๆ เท่านั้น

ไม่ใช่สมมุติเทพ เทพเจ้า หรืออะไรก็ตามแต่ที่ในศาสนาของอัลฟ่าพยายามจะพูดกรอกหูตลอดเวลาผ่านสื่อต่างๆ ทั้งบทเพลง โทรทัศน์ การเรียนหนังสือ หรือแม้แต่การมีวันรำลึกพระคุณของอัลฟ่าเป็นของตัวเองเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของอัลฟ่า

เอาเข้าจริง พวกเขาก็แค่อยากจะบอกให้ทุกคนเลิกเชื่อได้แล้วว่าตัวเองนั้นติดหนี้บุญคุณใหญ่หลวงกับประเทศนี้

เพราะถ้าหากประเทศนี้มีบุญคุณกับพวกเขาจริง ทำไมพวกเขาถึงยังใช้ชีวิตกันอยู่อย่างยากลำบากอยู่ล่ะ ทำไมวันทุกวันพวกเขาถึงต้องประสบกับความหวาดกลัวตลอดเวลาว่าตัวเองจะทำอะไรผิด กลัวว่าจะถูกทำให้หายไปโดยที่เอาผิดใครไม่ได้ ประเทศนี้มันเป็นประเทศแบบไหนกัน ที่มอบสันติสุขให้กับประชาชนแบบนี้

คนที่เกิดในประเทศนี้มันไม่ใช่คนที่โชคดีที่สุดในโลกหรอก

แต่เป็นประชาชนที่พยายามหลอกตัวเองด้วยวาทกรรมสวยหรูของรัฐบาลก็เท่านั้น พวกเขาไม่กล้าเชื่อโลกภายนอก ไม่กล้าเชื่อประเทศอื่น เพราะรัฐบาลไม่ให้เชื่อ ทั้งๆ ที่สิ่งพวกเขาเหล่านั้นพูดนั้นมักจะเป็นความจริง

ความโง่งมและนัยน์ตามืดบอดของประชาชนอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ประเทศนี้ไปไหนไม่ได้สักที

พวกเขาเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลบอกเสมอ แต่พวกเขากลับไม่เคยยอมเชื่อความจริงที่ปรากฏตรงหน้า มีคนตายมากมายเพื่อแลกกับการตื่นรู้ของพวกเขาเหล่านี้ แต่มันก็สูญเปล่าเสมอ เพราะทางการสามารถใช้สื่อได้อย่างเก่งกาจ ผลิตซ้ำประชากรในแบบที่ตัวเองต้องการได้มากเพียงพอ และปล่อยให้ประชาชนผู้เชื่องชื่อเหล่านี้ฆ่ากลุ่มกบฏด้วยตัวเองเพื่อที่มือของพวกเขาจะได้ไม่เปื้อนเลือดมากนัก

และเมื่อมีการนองเลือดมากเกินไป ก็โยนความผิดให้กับพวกเบต้าที่แสนเชื่องพวกนั้นรับไปเสีย

“…มีอะไรรึเปล่า? กันต์”

ทวิชกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองลวกๆ และหันไปมองกันต์ที่เปิดประตูเข้ามามองตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ลูกค้า”

กันต์พูดนิ่งๆ ไม่แสดงท่าทีอะไรกับสภาพที่เหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาของทวิช

“..อืม ขอบใจที่มาบอก”

ทวิชยิ้มและแตะไหล่ของกันต์เบาๆ เชิงขอบคุณตอนที่เดินสวนออกไป ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากได้ข่าวของกายแล้ว มันก็ทำให้เขาไม่พร้อมที่จะให้บริการหลับสบายกับใครเท่าไหร่ ลำพังแค่ความตายของเพื่อนเขามันก็หนักอึ้งพอแล้วจริงๆ

แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดขนาดไหน ทวิชก็ยังคงสามารถแสดงออกได้ออกมาอย่างเป็นปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“คุณ..?”

ทวิชเรียกคนที่น่าจะเป็นลูกค้าตัวเองด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เพราะอีกฝ่ายกำลังนั่งฟุบอยู่กับโต๊ะ

“..คุณคือทวิชใช่ไหม”

น้ำเสียงหวานของหญิงสาวเรียกชื่อทวิชด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ด้วยความเคยชิน ซึ่งมันก็เล่นเอาทวิชเลิกคิ้วนิดๆ เพราะไม่บ่อยนักที่จะมีคนรู้ชื่อเขา ลำพังแค่จะมาร้านของเขาให้ถูกยังยากเลย ถ้าไม่ได้แผนที่แบบแน่นอนหรือมีคนพามา

“ครับ”

พอเห็นทวิชพยักหน้า หญิงสาวก็ยิ้มจนตาหยีและเผยร่างต้นอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมา

“…เกรซ?”

ทวิชพึมพำด้วยความตกตะลึง  เพราะในระแวกนี้มีไม่กี่คนที่มีร่างต้นเป็นกระต่ายสีชมพูแบบนี้!

“ค่ะ”

เกรซพยักหน้าเบาๆ แล้วรีบกลับคืนร่างมนุษย์ ราวกับว่ารังเกียจร่างของต้นของตัวเองนักหนา

“คุณแน่ใจแล้วใช่ไหม?”

ถึงแม้ว่าทวิชจะตั้งใจว่าวันนี้จะไม่บริการให้ใครแต่ก็อดถามไม่ได้อยู่ดี เพราะเกรซนั้นเป็นกระต่ายสีชมพูที่มีชื่อเสียงในเขตย่านกามอารมณ์ที่คอยขายเรือนร่างและร่างกาย ซึ่งในที่แห่งนั้นมักจะมีการจัดอันดับและเกรซก็มักจะครองอันดับหนึ่งอยู่เสมอ
อาจจะเรียกได้ว่าเกรซตอนนี้นั้นมีทั้งเงินทอง ชื่อเสียง ถ้าหากต้องการอะไรที่ไม่ยากเกินไป พวกคนของที่แห่งนั้นก็คงจะหามาประเคนได้ง่ายๆ ในพริบตา เขายังจำได้ดีว่ามีอัลฟ่ามากมายที่อยากได้เกรซไปครอบครอง แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ไปสักที

“แน่ใจสิ” เกรซหัวเราะนิดๆ ก่อนที่จะมองทวิชด้วยแววตาคาดหวัง “ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหมคะ คุณทวิช”

“…”

ทวิชชะงักไปเมื่อได้ยินคำว่าตายชัดๆ แต่ก็พยักหน้ารับ

“ดีจัง”

เกรซยิ้มและถอดแหวนเพชรที่มีราคาเหยียบหลักล้าน ก่อนที่จะมอบให้กับทวิชโดยไม่ลังเล

“..ผมขอของที่มีค่ากับคุณจริงๆ เกรซ”

แน่นอนว่าทวิชพอจะมองว่าเพชรของเกรซนั้นเป็นของจริง แต่สิ่งที่เขาต้องการจากเหล่าผู้ใช้บริการนั้นไม่ใช่เงิน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะเก็บเงินทุกคนที่มาใช้บริการร้านเขาในราคาสูงๆ แล้ว

“แต่คุณรับไว้เถอะค่ะ อย่างน้อยๆ ถ้าคุณเอาไปขาย เงินพวกนี้อาจจะทำให้ร้านคุณอยู่ได้นานขึ้นก็ได้”

หญิงสาวประหลาดใจนิดๆ เพราะเคยได้ยินมาว่าธรรมเนียมของที่นี้คือมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตตัวเองแทนการชำระค่าบริการหลับสบาย และแน่นอนว่าแหวนนี้คือสิ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่เธอเคยได้รับมา

ซึ่งมันก็ไม่ได้มีความหมายกับเธอเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับอีกอย่างที่เธอพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา และจนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงพกมันอยู่

เกรซค่อยๆ ถอดสร้อยที่ห้อยของบางอย่างของตัวเองออกมาอย่างระมัดระวัง และยื่นมันให้กับทวิช แววตาแสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อมันอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับแหวนมูลค่าหลักล้าน แต่ถ้าหากเทียบกับการได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่เธอต้องทนเจอทุกวันนั้น แน่นอนว่ามันเทียบไม่ได้เลยจริงๆ

“ผมถามได้ไหมว่ามันคืออะไร”

ทวิชลูบแผ่นเหล็กเล็กๆ ที่สลักเลขเอาไว้ด้วยความสงสัยนิดๆ เพราะลักษณะของพวกมันคล้ายกับพวกป้ายชื่อที่กลัดไว้บนหูของพวกสัตว์ เป็นเลขประจำตัวของสัตว์แต่ละตัวตั้งแต่เกิด

“คุณเคยได้ยินเรื่องมนุษย์ทดลองไหม”

“…”

ทวิชเผลอตัวสั่นตอนที่มองเกรซ และเห็นอีกฝ่ายมองกลับมาอย่างเจ็บปวด

มนุษย์ทดลองคือโครงการที่รัฐบาลพยายามจะจับมนุษย์ไปทดลองและตัดต่อพันธุกรรมเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ แน่นอนว่ามันเป็นโครงการลับและผิดหลักมนุษยธรรม รัฐบาลจึงพยายามปกปิดให้มากที่สุด แต่สุดท้ายข่าวก็รั่วไหลอยู่ดี จนทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นมา พวกมันจึงยอมล้มเลิกโครงการนี้ไปอย่างไม่จำยอมนัก แต่ก็ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่า พวกรัฐบาลสารเลวพวกนั้นเลิกทำจริงๆ หรือเปล่า

“ไม่แปลกใจบ้างเหรอว่าทำไม ฉันถึงเป็นสีชมพูได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีกระต่ายสายพันธุ์ไหนเคยเป็นสีชมพูมาก่อน”

เกรซยิ้มบางมองเหล็กแผ่นบางในมือทวิช

“ที่คุณถืออยู่คือป้ายประจำตัวฉันตอนเด็กๆ เวลาที่พวกเขามาตรวจ ถ้าใครไม่มีหรือทำหาย พวกนั้นก็จะลากคุณไปทำโทษ บางคนที่พิการหรือร่างกายอ่อนแออยู่แล้วก็ตายไปเลย เวลาที่พวกมันซ้อม”

นัยน์ตาสีแดงอย่างพวกกระต่ายนั้นมองทวิชด้วยความเจ็บปวด

“ฉันมันก็แค่เด็กโชคดีที่หนีออกมาจากนรกแห่งนั้นเองเท่านั้นเอง คุณ” หญิงสาวยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “แต่ต่อให้หนีออกมาได้ ชีวิตของฉันมันก็ไม่ต่างจากตอนอยู่ในนั้นนรกนั่นอยู่ดี ฉันไปอยู่ที่ย่านบ้านั่น พวกมันก็จงใจให้งานฉันเยอะๆ ปล่อยให้พวกอัลฟ่าสารเลวพวกนั้นข่มขืนฉันเกือบทุกวัน”

“…”

จากที่ตั้งใจจะปฏิเสธให้อีกฝ่ายกลับมาในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ทวิชกลับพูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองจะไม่เจ็บปวดเวลาที่ได้ยินเรื่องราวจากเบต้าที่มาใช้บริการแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ดี

ทำไมอัลฟ่าถึงได้ใจร้ายกับคนที่ไม่ใช่พวกของตัวเองนักนะ

“เชิญคุณนั่งก่อน เดี๋ยวผมจะทำอะไรให้คุณกินสักหน่อย”

“..ไม่ต้องก็ได้ คุณ ฉันเกรงใจ”

แน่นอนว่าเกรซรู้ถึงธรรมเนียมให้กินอาหารมื้อสุดท้ายของทวิชดี จึงรีบปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ทวิชต้องมาเสียเวลากับตัวเอง ลำพังแค่มอบความตายที่ไม่ทุกข์ทรมานให้กับเธอก็ถือว่าเป็นความใจดีของทวิชมากเท่าไหร่แล้ว

“คุณนั่งเถอะ ผมเต็มใจ”

ทวิชยิ้มบางด้วยสีหน้ากึ่งบังคับ เกรซจึงยอมนั่งแต่โดยดี ซึ่งวันนี้ทวิชก็คงจะใช้เวลาเตรียมอาหารค่อนข้างนานกว่าปกติ ต่างจากวันทั่วไปที่มักจะตื่นมาทำตอนเช้าๆ เพื่อทำมันด้วยความพิถีพิถัน เพราะเขาอยากอาหารมื้อสุดท้ายของลูกค้าเขาเป็นมื้อที่ดีที่สุด
เขารู้ว่ามันอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับความขมขื่นทั้งชีวิตที่พวกเขาเจอ แต่เขาก็ยังอยากทำให้อยู่ดี

“คุณอ่านนี้รอไปก่อน”

ทวิชเดินไปหยิบหนังสือบนชั้นและยื่นมันให้กลับเกรซด้วยรอยยิ้มนิดๆ

“..มันคือ?”

เกรซรับไปดูด้วยความสนใจ เพราะหนังสือที่ทวิชยื่นให้นั้นเป็นสมุดภาพสีสันสดใสที่เล่าเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันระหว่างอัลฟ่า โอเมก้า และเบต้าอย่างเท่าเทียม ไม่มีใครมีอำนาจมากกว่าใคร ทุกคนเป็นคนเท่ากัน อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติ
   
“โลกหลังความตายของผม”
   
ทวิชหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของหญิงสาว
   
“ผมไม่เชื่อศาสนาของพวกอัลฟ่า ผมเลยลองเขียนโลกหลังความตายที่ตัวเองอยากไปดูเล่นๆ คุณจะลองวาดอะไรเพิ่มก็ได้นะ ผมไม่ว่า เพราะรูปอื่นๆ ในนั้นก็มีฝีมือลูกค้าคนอื่นๆ เหมือนกัน”
   
ไม่บ่อยนักที่ทวิชจะหยิบหนังสือเล่มนี้มาให้ลูกค้าอ่าน นอกเสียว่าจะถูกชะตากับลูกค้าคนนั้นจริงๆ เพราะเนื้อหาหลายอย่างในเล่มนั้นประกอบด้วยสิ่งที่ทางการห้ามไว้เต็มไปหมด แถมยังเป็นแค่ฝันเฟื่องโง่ๆ ของเขาเสียด้วย
   
เพราะความเท่าเทียมในประเทศนี้นั้นไม่มีอยู่จริง และถ้าหากจะมีคนที่เท่าเทียมกันก็จะมีแค่ชนชั้นเบต้าเท่านั้น ส่วนอัลฟ่านั้นจะอยู่บนยอดพีระมิดเสมอ ไม่มีวันที่เบต้าธรรมดาทั่วไปที่ไหนจะเทียบชั้นได้ ไม่มีสิทธิ์ที่แม้แต่จะคิดหรือเปล่งเสียงออกมาด้วยซ้ำ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือยอมศิโรราบอยู่แทบเท้าอัลฟ่าเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
   
แน่นอนว่านอกจากจะเรื่องความเท่าเทียมแล้ว ทวิชยังวาด ‘นก’ หรือสัญลักษณ์ต้องห้ามที่ทางการห้ามพูดถึงอย่างเด็ดขาดไว้เต็มสมุดไปหมด
   
“นี่คือโอเมก้าเหรอคะ”
   
เกรซลูบรูปโอเมก้าคนหนึ่งในร่างต้นที่ถูกทวิชวาดขึ้นมาด้วยความเผลอไผล
   
เธอไม่เคยเห็นนกมาก่อน เพราะเธอเกิดหลังจากช่วงกวาดล้างโอเมก้า ที่ทางการออกกฎหมายและสนับสนุนการฆ่านกทุกตัวที่อยู่ในประเทศ โดยไม่สนใจว่าเป็นโอเมก้าหรือนกจริงๆ ตามธรรมชาติ
   
พวกเขาเลือกที่จะฆ่ามัน ‘ทั้งหมด’ จนระบบนิเวศในประเทศนี้แปรปรวน แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาฆ่าจนในประเทศนี้ไม่เหลือนกตามธรรมชาติ แม้แต่นกอพยพที่บินเหนือประเทศพวกมันก็ไม่ละเว้น ทำให้ถูกประเทศรอบข้างประฌามถึงความเห็นแก่ตัวและไร้ความมนุษยธรรมนี้
   
แน่นอนว่าด้วยทิฐิแล้ว เหล่าอัลฟ่าไม่สนใจข้อครหาพวกนั้น และใช้สื่อในประเทศหลอกลวงประชาชนของตัวเองว่าการฆ่านี้คือความถูกต้อง ทั้งๆ ที่การฆ่ากันนั้นไม่สมควรได้รับความชอบธรรม ไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม โดยเฉพาะคนที่ถูกฆ่านั้นเป็นเพียงโอเมก้าหรือนักศึกษาหัวสมัยใหม่ที่ไร้ซึ่งอาวุธ แต่ต้องกลับกลายเป็นเป้ากระสุนปืนและตายอย่างทุกข์ทรมาน
   
“ครับ พวกเขาคือโอเมก้า”
   
ทวิชยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นราวกับเด็กๆ ของเกรซ ก่อนที่เธอจะตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือที่เขาเขียนขึ้นมาอย่างตั้งใจ พอเห็นว่าวางใจให้อยู่คนเดียวได้แล้ว ทวิชก็เดินกลับเข้าครัว พยายามคิดเมนูง่ายๆ ที่ใช้เวลาทำไม่นานนัก
   
“..อยากกินเหรอ”
   
ทวิชถามกันต์ที่มายืนมองเขาทำอาหารอย่างตั้งใจ แววตาที่เคยดูเลื่อนลอยไร้จุดมุ่งหมาย หลายวันมานี้ดูมีสีสันขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
“…”
   
ยิ่งเห็นกันต์พยักหน้าน้อยๆ ทวิชก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู
   
“ยังไงฉันก็ทำเผื่อเป็นมื้อเที่ยงของเราอยู่แล้วน่า นายไปนั่งเล่นเถอะ ไม่ต้องมายืนร้อนในนี้หรอก”
   
ทวิชพูดไปพร้อมกับผัดข้าวในกระทะอย่างคล่องแคล่ว
   
“…”
   
แต่ถึงพูดอย่างนั้นกันต์ก็ยังคงยืนดูเขาทำอาหารเงียบๆ ไม่ยอมออกไป ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร และทำอาหารต่ออย่างตั้งใจ เพราะมันเป็นไม่กี่สิ่งในตอนนี้ที่ทำให้เขามีความสุข ที่ทำให้เขาลืมความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ตัวเองกำลังแบกรับไว้อยู่
   
เขารู้ว่าเขาสามารถลอยตัวเหนือเรื่องพวกนี้ได้ อย่างไรก็ตามครึ่งหนึ่งของเขาก็เป็นอัลฟ่า แถมยังมีเงินอีกจำนวนหนึ่งที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ด้วย เขาสามารถชีวิตต่อจากนี้ได้อย่างสุขสบายถ้าหากว่าเขาต้องการ
   
ทั้งๆ ที่เขาก็อยากจะมีความสุข ใช้ชีวิตโง่ๆ ไปวันๆ แต่เขากลับทำใจทำแบบนั้นไม่ได้ ในเมื่อทุกครั้งที่เขาทำอาหารเขาก็มักจะนึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่แม่ลูบหัวเขาเบาๆ ค่อยๆ สอนเขาทำอาหารอย่างตั้งใจ และอีกมุมหนึ่งของห้องก็จะมีพ่อของเขาที่ก่นด่าอัลฟ่าแทบจะตลอดเวลา บางครั้งพ่อของเขาก็หงุดหงิดมากจนเผลอกระพือปีกแรงๆ ทำเอาขนนกของพ่อฟุ้งไปทั่วห้อง ให้แม่ของเขาเอ็ดเล่นๆ
   
เอาเข้าจริงตอนนี้เขาก็แทบจะจำใบหน้าของพ่อกับแม่ไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ มีเพียงอาหารรสมือของเขาเองที่ยังเหมือนเดิม เหมือนรสชาติที่แม่ทำให้เขากินก่อนที่จะออกไปทำงานเป็นพยาบาล คอยรักษาให้คำปลอบประโลมต่อผู้ป่วยที่แบกความเจ็บปวดทุกข์ตรมของความยากจนมาให้แม่เขาดูแล
   
บางครั้งเขาก็สงสัยนักว่าการสิ่งที่พ่อกับแม่เขาผิดมากถึงต้องฆ่ากันเลยเหรอ? กับแค่แนวคิดที่ทำให้คนทุกคนเท่ากัน ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นลง ให้ทุกคนได้รับในสิ่งทุกคนสมควรได้รับ มันเป็นอาชญากรรมต่อประเทศขนาดนั้นเลยเหรอ
   
เขากับพ่อแม่ก็เป็นแค่ครอบครัวธรรมดาเท่านั้นเอง
   
พ่อของเขาไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมาย เป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ที่ตั้งใจทำงานทุกวัน ก่อนที่อยู่ๆ จะตกงานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และไร้ค่าชดเชย ไม่สามารถร้องเรียนกับใครได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือเก็บงำความเจ็บปวดและหางานใหม่ ดีหน่อยที่ว่างานพยาบาลของแม่เขาค่อนข้างมั่นคง ถึงแม้ว่าภาครัฐจะจ่ายล่าช้าไปบ้างก็ตาม แต่มันก็ทำให้พวกเขาพออยู่ได้อย่างแร้นแค้น ไม่อดตาย
   
เขาไม่รู้และไม่แน่ใจว่าทำไมอยู่ๆ พ่อถึงได้ไปเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะการปฏิวัติได้ ตอนนั้นเขาก็เด็กเกินกว่าจะเข้าใจสถานการณ์ด้วย รู้ตัวอีกทีก็ถูกนำตัวไปฝากฝังกับเพื่อนพ่อแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ถูกขังไว้ในรั้วตระกูลพยัคฆโภคสกุลและไม่ได้ออกมาอีกเลย จนกว่าอายุจะบรรลุนิติภาวะ
   
สำหรับเขาทุกอย่างหลังจากที่พ่อแม่จากไป มันก็เหมือนกับฝันร้าย
   
เขาถูกซ่อนตัวเอาไว้ในห้องโดยไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ตายตอนไหน และตายยังไง กว่าลุงสิงห์จะยอมบอกว่าพ่อแม่เขาตาย มันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว
   
โลกของเขาล่มสลายครั้งแล้วครั้งเล่า จนบางวันเขาก็อยากจะเป็นลูกค้าของตัวเองซะเอง เพื่อที่จะได้จบความทุกข์ทรมานนี้ลงสักที
   
ทวิชยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นฝีมือข้าวผัดของตัวเองที่จัดเรียงบนจานอย่างสวยงาม เขาโรยผักตกแต่งจานนิดหน่อยก่อนจะเดินถือออกไปเสิร์ฟให้กับลูกค้าคนสำคัญที่ตอนนี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปกระต่ายในสมุดของเขาด้วย
   
“..นี่ครับ”
   
ทวิชวางจานลงตรงหน้าหญิงสาวอย่างเบามือ ก่อนที่จะเดินไปหยิบช้อนส้อมและน้ำมาให้
   
“ขอบคุณนะคะ” เกรซยิ้มออกมาและคืนสมุดให้กับทวิช ดูผ่อนคลายและมีความสุขต่างจากตอนที่เข้าร้านมาอย่างเห็นได้ชัด
   
“ครับ” ทวิชยิ้มรับ เปิดดูรูปของเกรซที่ถูกวาดไว้รวมกับของลูกค้าคนอื่นๆ ซึ่งมันก็เป็นกระต่ายสีขาวธรรมดาที่ดูมีความสุขเอามากๆ ในโลกหลังความตายของเขา
   
หลังจากกินไปสักพักเกรซก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา “จริงๆ แล้วมันคือแนวคิดของพวกโอเมก้าใช่ไหมคะ”
   
แน่นอนว่าถึงแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามปกปิด บิดเบือน ลบข้อมูลพวกนี้ขนาดไหน แต่ข้อมูลบางอย่างก็ยังถูกส่งต่อกันเรื่อยๆ ด้วยการเล่าต่อกันปากต่อปากอยู่ดี 
   
“ครับ”
   
ทวิชยอมรับง่ายๆ ทั้งๆ ที่การยอมรับสิ่งเหล่านี้คือความเสี่ยงที่จะถูกจับกุมได้ สำหรับประเทศนี้ความเท่าเทียมถือว่าเป็นอันตรายนัก อันตรายเสียยิ่งกว่าอาชญากรโรคจิตที่ไล่ฆ่าคนอีก
   
“..ถ้ามันเป็นแบบนั้นได้จริงก็คงจะดี”
   
เกรซหัวเราะเบาๆ แต่นัยน์ตากลับคลอไปด้วยน้ำตา

“ขอบคุณนะคะ คุณทวิชที่เปิดร้านนี้ขึ้นมา”
   
หญิงสาวสบตากับทวิช
   
“อาหารของคุณอร่อยมาก อร่อยกว่าที่ฉันเคยไปกินพวกนั้นอีก ฉันมั่นใจว่าถ้าคุณเปิดร้านอาหารในย่านที่พวกอัลฟ่าอยู่ คุณคงจะเป็นร้านดังไปแล้วแน่ๆ ”
   
“ขอบคุณครับ”
   
ทวิชยิ้มรับคำชม มองเกรซด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง รู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า คนๆ นี้ก็จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณเช่นเดียวกับเพื่อนของเขาในวันนี้
   
“ฉันพร้อมแล้วค่ะ” เกรซยิ้มให้ทวิช แม้ว่ากำลังจะพูดถึงความตายของตัวเองอยู่ก็ตาม


   

ห้องที่ใช้สำหรับให้บริการหลับสบายนั้นอยู่ชั้นสองของตึก มันเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะทวิชกั้นอีกครึ่งหนึ่งของห้องให้ไว้ใช้เป็นห้องสำหรับเก็บข้าวของต่างๆ ที่จำเป็นรวมถึงส่วนผสมของยาที่ใช้ฉีดด้วย ซึ่งทวิชก็ปล่อยให้เกรซขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้นวม ปล่อยให้หญิงสาวเพลิดเพลินกับมองแสงไฟในห้องที่เขาจงใจจัดขึ้นมาให้มันดูคล้ายแสงดาวบนผืนผ้าคลุมสีดำที่คลุมรอบห้อง
   
ทวิชใช้เวลาเตรียมยาที่ใช้ฉีดอยู่สักพัก แน่นอนว่าสูตรยาเหล่านี้นั้นไม่ใช่สูตรยาที่มีทั่วไปเหมือนตามที่โรงพยาบาลรัฐใช้กัน แต่เป็นสูตรที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยโอเมก้าสมัยช่วงปฏิวัติที่ใช้สำหรับการฆ่าตัวตายตอนที่ถูกพวกอัลฟ่าจับไป เพื่อที่ตอนตายพวกเขาจะได้ไม่รู้สึกทรมานจนเกินไป
   
ซึ่งสูตรยานี้ทวิชก็ได้มาจากหนังสือของพวกโอเมก้าที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เขาในห้องที่ใช้กักขังเขาไว้
   
“..ขอบคุณจริงๆ นะคะ”
   
เกรซพูดขึ้นมาตอนที่ทวิชใช้นิ้วลูบเส้นเลือดตรงข้อมือ
   
“ครับ” ทวิชยิ้มรับ “ก่อนที่จะคืนร่างต้น คุณมีอะไรอยากจะพูดกับผมอีกไหม”
   
เพื่อความสะดวกในการขนย้ายร่าง ทวิชจะให้ลูกค้าอยู่ในร่างที่ทำให้ตัวเองขนง่ายที่สุด เพราะลำพังแค่เขาคนเดียวคงจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะขนร่างพวกเบต้าสัตว์ใหญ่ๆ ได้ไหว
   
“ค่ะ ฉันอยากจะบอกความลับของพวกอัลฟ่าให้คุณฟังอย่างหนึ่ง”
   
เกรซที่คืนร่างต้นไปครึ่งหนึ่งแล้ว กระดิกหูกระต่ายบนหัวนิดๆ นัยน์ตาคู่สวยมองทวิชและยิ้มบาง
   
“พวกมันกินเนื้อเบต้า”
   
“…”
   
ลมหายใจของทวิชสะดุดไปจังหวะหนึ่ง ชั่วพริบตาเขาได้คำตอบทันทีว่าทำไมเจ้าหน้าที่คนนั้นถึงได้สนใจศพของกวินทร์นัก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากนั่งเฉยๆ และทำงานไปวันๆ
   
“..ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากฝากคุณให้เตือนเบต้าคนอื่นๆ ด้วย พวกนั้นเริ่มล่ากันแล้ว”
   
หนึ่งในเหตุผลที่เกรซทนมีชีวิตต่อไปไม่ได้ คือการเห็นเพื่อนของเธอบางคนหายไปอย่างลึกลับพร้อมกับอัลฟ่าสัตว์กินเนื้อสักตัว ซึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งเดียวจนเธอเริ่มทนต่อไปไม่ไหว หวาดกลัวว่าศพต่อไปจะเป็นเธอเข้าซะเอง
   
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีอัลฟ่าแค่กลุ่มเดียวที่นิยมกิน แต่ใครจะไปรู้ว่าสักวันหนึ่งถ้าหากมันเป็นที่นิยมของอัลฟ่าไปเสียหมด และออกกฎหมายให้ล่าเบต้าได้อย่างถูกกฎหมาย พวกเธอจะทำอะไรได้กัน ในเมื่อชั้นศาลและความยุติธรรมทั้งหมดของประเทศนี้นั้นตกอยู่ในมืออัลฟ่าอย่างเบ็ดเสร็จตั้งนานแล้ว
   
เธอไม่สามารถร้องเรียนใครได้ และได้แต่ยอมรับว่าความยุติธรรมของประเทศนี้นั้นมีให้แต่อัลฟ่าเท่านั้น
   
“ผมจะพยายาม”
   
ทวิชรับคำถึงแม้จะไม่มั่นใจนักว่าตัวเองจะสามารถทำได้ตามที่พูดจริงๆ เพราะบางอย่างต่อให้รู้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่เขาหรือคนอื่นๆ ก็ไม่มีความสามารถหรือมีอำนาจมากพอที่จะหยุดยั้งมันอยู่ดี
   
“..แล้วอีกอย่างที่ฉันอยากจะบอกคุณคือฉันอยากเห็นพวกโอเมก้า”
   
เกรซหัวเราะเบาๆ จดจ้องนกที่ถูกปักไว้บนผ้าคลุมของทวิช รู้สึกหลงใหลในปีกคู่นั้น ปีกที่เหล่าเบต้าเล่าลือกันว่ามันหมายถึงอิสรภาพ
   
“…ฉันเชื่อนะว่าพวกเขายังอยู่ อยู่ที่ไหนสักที่เพื่อซุกซ่อนตัวจากประเทศห่วยๆ นี่”
   
“…”
   
ทวิชมองหน้าเกรซ ชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่ปล่อยให้ปีกคู่ใหญ่งอกออกจากหลังตัวเอง เหยียดยาวสุดความยาวรอบหนึ่งเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนที่พับเก็บเรียบร้อย
   
“..คุณ คุณเป็นโอเมก้า” เกรซเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอตื่นเต้นกับปีกของทวิชมากกว่า มองปีกสีดำมันขลับด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
   
“คุณจะลองจับมันก็ได้นะ”
   
ทวิชพูดอย่างใจดีและกางปีกไปให้เกรซจับ แน่นอนว่าเกรซไม่ปฏิเสธจับมันอย่างตื่นเต้น
   
“ให้ตายสิ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยังมีโอเมก้าอย่างคุณซ่อนตัวท่ามกลางฝูงอัลฟ่าแบบนี้”
   
“ผมก็แปลกใจเหมือนกันที่ตัวเองรอดมาได้นานขนาดนี้”
   
ทวิชหัวเราะเบาๆ
   
“คุณเคยบินรึเปล่า ทวิช รู้ไหมว่าฉันน่ะอยากบินมากเลยนะ ฉันว่ามันต้องเป็นความรู้สึกที่ดีมากแน่ๆ เลย ตอนที่ได้อยู่บนท้องฟ้าแล้วมองลงมา”
   
“..เคย แต่เป็นตอนที่ผมยังเด็กมากๆ ”
   
ทวิชหุบยิ้มแทบจะทันที เพราะมันผ่านมานานมาก จนตอนนี้เขาก็แทบจะจำวิธีบินไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ เอาเข้าจริงเขาเกือบจะลืมไปแล้วด้วยว่าปีกของตัวเองนั้นมันสามารถใช้บินได้
   
“ขอบคุณนะคะ คุณทวิช”
   
เกรซกุมมือมือทวิชและยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะคืนสู่ร่างต้น ซึ่งเป็นกระต่ายตัวเล็กขนาดพอๆ กับกวินทร์ นัยน์ตาสีมันขลับจดจ้องทวิชนิ่งก่อนที่มันจะหลับตาลง

และเฝ้ารอความตายอันเป็นชั่วนิรันดร์ด้วยความสงบ   

-----
 :z13:


   
   


   

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เศร้ามาก T-T

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออออ อึดอัดแทนเลย

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 06

   

250 – Grace
   
เบต้า : สายพันธุ์กระต่าย { โครงการมนุษย์ทดลอง }
   
ทรัพย์สิน : แหวน
   
สาเหตุ : ถูกข่มขืน , ถูกล่า

   

“ทำอะไร?”
   
กันต์ที่รับหน้าที่เป็นคนคอยจับบันไดให้ ถามทวิชเพราะเพิ่งรู้ว่าห้องที่อยู่ชั้นสี่นั้นเป็นห้องสำหรับเก็บของ และมีข้าวของวางกองเรียงรายเต็มไปหมด แต่มันก็ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและมีหมายเลขกำกับไว้บนกล่องพวกนั้นทุกกล่อง
   
“เก็บของลูกค้า” ทวิชตอบพร้อมกับวางแหวนที่เก็บใส่ซองพลาสติกในกล่องด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ “เผื่อว่าสักวันหนึ่งของพวกนี้ได้ไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์สักที่”   
   
ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะคิดว่าทวิชจะนำทรัพย์สินมีค่าไปขายเผื่อทำทุน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วทวิชนั้นไม่เคยขายของพวกนั้นแม้แต่ชิ้นเดียว เขาเก็บรักษาพวกมันเป็นอย่างดีพร้อมกับเขียนประวัติต่างๆ โดยย่อแนบเอาไว้ เพื่อที่จะใช้เป็นสิ่งเตือนใจให้กับคนรุ่นหลังที่ได้มาเห็นของพวกนี้ ให้พวกเขาได้รับรู้ว่าเคยมีผู้คนสิ้นหวังกับการใช้ชีวิตในระบอบนี้มากมายขนาดไหน
   
เขารู้ดีว่ามันอาจจะเป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่า แต่เขาก็ทนเห็นลูกค้าของเขาตายไปเฉยๆ ไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้าหากไม่ทำอะไรเลย คนพวกนี้ก็จะตายฟรีเหมือนที่พ่อแม่ของเขา ไม่มีหลักฐานอะไรหลงเหลืออยู่ นอกจากความทรงจำอันเลือนรางกับความเจ็บปวด
   
“…”
   
กันต์พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ออกความเห็นอะไร
   
“เกรซเป็นคนที่สองร้อยห้าสิบ ซึ่งมันก็หมายความว่าฉันฆ่าคนมาตั้งสองร้อยห้าสิบคนแล้ว กันต์” ทวิชหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ทั้งๆ ที่จุกเสียกในอกจนแทบหายใจไม่ออก
   
หากเขาเปิดร้านต่อไปเรื่อยๆ เขาคงจะฆ่าคนเป็นพันไปแล้วแน่ๆ แต่ก่อนจะถึงตัวเลขนั้น พวกอัลฟ่าคงจะลงมาจัดการเขาก่อน เพราะการมีอยู่ของเขาทำให้แรงงานบางส่วนในระบบหายไป ซึ่งนั้นก็หมายความว่าคนที่จะเสียภาษีมีลดลง
   
“หรือจริงๆ ฉันควรจะเลิกทำร้านนี้สักที”
   
ทวิชลูบหน้าตัวเอง รู้สึกเจ็บปวดที่ตัวเองเป็นคนมอบความตายให้กับบุคคลเหล่านี้ ถึงพวกเขาจะขอบคุณเขา สรรเสริญเขา แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาสักนิด
   
เขาฆ่าคน
   
ฆ่าคนที่สมควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ถ้าหากเขาไม่ทำ พวกเขาก็ต้องทนตรากตรำใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากบนความเจ็บปวดที่ต้องถูกพวกอัลฟ่าเหยียบไว้ใต้เท้าทุกวัน
   
พวกเขาทำอะไรผิด ผิดเพราะเกิดในประเทศนี้เหรอ หรือว่าผิดที่เกิดมาในชนชั้นเบต้า ไม่ใช่ชนชั้นอัลฟ่าที่มีสิทธิ์เสวยสุขบนความทุกข์ตรมของเบต้าและความตายของโอเมก้า
   
อย่าว่าแต่ลูกค้าเขาเลย แม้แต่ตัวเองเขาก็ทนอยู่แทบไม่ไหวเหมือนกัน ประเทศที่แสนห่วยแตกพรรค์นี้ ถ้าหากเขามีโอกาสหนีออกไปได้ เขาก็อยากหนีออกไปเหมือนกัน เขาไม่อยากทนอยู่หรอก แต่เขาหนีไม่ได้ไง เขาไม่ใช่พวกอัลฟ่าจริงๆ แล้วการออกจากประเทศก็ต้องใช้การตรวจสอบเยอะด้วย
   
ถึงเวลานั้นเขาคงจะถูกจับได้ และยิงให้ตายตรงนั้นแน่ๆ
   
“…”
   
กันต์ก็ยังคงไม่ออกความเห็นอะไรอยู่ดี พอทวิชลงจากบันไดก็ยื่นน้ำเปล่าที่หยิบติดมือมาให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
   
“ขอบใจนะ” ทวิชหัวเราะเบาๆ รับน้ำมาดื่มสองสามอึกและส่งคืนให้กันต์ “ฉันก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องสนใจหรอก ตราบใดที่ฉันยังไม่ถูกพวกนั้นยิงตาย ฉันก็จะทำร้านนี้ต่อไปอยู๋ดี”
   
ทวิชไหวไหล่แล้วเดินลงมาชั้นหนึ่งเพื่อที่จะเตรียมอาหารเย็นให้ทั้งกันต์และตัวเองกิน แต่น่าเสียดายที่แผนนี้ก็จะต้องถูกล้มเลิกไป เพราะบริเวณบันไดนั้นได้มีคนๆ หนึ่งมายืนขวางเอาไว้
   
“พวกนั้นเริ่มกันแล้ว”
   
พอสยิ้มบางให้กับทวิชในมือถือใบปลิวที่ถูกเขียนว่า ‘NEW TOMORROW’ พร้อมกับวาดรูปปีกสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอิสรภาพไว้อย่างชัดเจน
   
“กลุ่มเดิมเหรอ”
   
ทวิชเดินเข้าไปหยิบใบปลิวมาอ่าน และพบว่าตรงมุมล่างก็เขียนกำกับไว้ถึงวันเวลาสถานที่เหมือนตอนที่นัดกันไปเผารูปปั้นสิงโตของพวกอัลฟ่า
   
“ใช่ กลุ่มเดิม แต่ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นมีมากแค่ไหน รู้แค่ว่าไอ้ใบปลิวบ้านี้คือปลิวว่อนไปทั้งเมืองแล้ว”
   
พอสพูดไปหัวเราะไป แน่นอนว่าของพวกนี้ย่อมเป็นของต้องห้ามของประเทศอยู่แล้ว ใครที่ทำหรือเก็บของพวกนี้ล้วนแล้วแต่มีความผิดกันทั้งนั้น แต่ตำรวจจะเอาเวลาที่ไหนมาตรวจคนได้ทุกคนกัน
   
“รอบนี้พวกนั้นจะทำอะไร”
   
“ทำลายสถานที่สำคัญของพวกอัลฟ่ามั้ง นายก็น่าจะรู้ดีว่าใช้วิธีปกติกับพวกอัลฟ่าไม่ได้”
   
บทเรียนชั้นดีสำหรับกลุ่มปฏิวัติคือการตายของโอเมก้าครั้งก่อน ที่ถูกปิดล้อมและกราดยิงเข้าใส่อย่างเลือดเย็น ทั้งๆ ที่พวกเขามาชุมนุมอย่างสันติ ไร้ซึ่งอาวุธ มีเพียงลำโพงกับอุดมการณ์อันแรงกล้าที่อันตรายมากพอที่จะทำให้ระบบชนชั้นที่เหล่าอัลฟ่าหวงแหนนักหนาสั่นคลอน
   
แน่นอนว่าการตายของโอเมก้าเหล่านี้ ไม่มีใครสามารถเรียกร้องความชอบธรรมให้กับพวกเขาได้ พวกเขาต้องตายฟรีโดยที่ไม่สามารถเอาผิดใครได้แม้แต่คนเดียว หนำซ้ำพวกเบต้า อัลฟ่าที่เป็นคนลงมือฆ่ายังได้รับการยกย่องเชิดชูราวกับวีรบุรุษอีกด้วย
   
ประเทศนี้นั้นเต็มไปด้วยเรื่องตลกร้าย เกิดการฆ่าล้างกลางเมือง ณ เวลากลางวันแสกๆ โดยที่มีคนถืออาวุธเพียงฝ่ายเดียว แต่ฝ่ายที่ผิดกลับเป็นโอเมก้าที่ไร้ซึ่งอาวุธ และถูกกล่าวหาว่าเป็นทั้ง ‘กบฏ’ และ ‘ปีศาจ’
   
และคนที่จะรับบทบาทตัวร้ายนี้อีกครั้งก็คงจะเป็นกลุ่ม ‘NEW TOMORROW’
   
กลุ่มคนที่เชื่อว่าเช้าในวันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ ถ้าหากทุกคนเข้าร่วมและเชื่อมั่นในอุดมการณ์เดียวกับพวกเขา
   
“โอกาสมาถึงแล้ว ทวิช” พอสลูบเบ้าตาที่ไร้ซึ่งของนัยน์ตาด้วยรอยยิ้มบาง “ฉันจะเข้าร่วมกับกลุ่มนี้ ฉันไม่สนหรอกนะว่าตัวเองจะตายไหม ฉันทนมามากเกินพอแล้วจริงๆ ”
   
ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของพอสฉายแววความมุ่งมั่นออกมา
   
“ฉันจะไม่ปล่อยให้กายตายฟรีแน่นอน กับแค่รูปขู่พรรค์นั้น คิดว่าคนกลัวนักเหรอวะ”
   
แน่นอนว่าการลงข่าวภาพชัดแบบสีสี่เช่นนั้นของรัฐบาลนั้นมีวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู ตักเตือนไปยังผู้คนที่มีความคิดที่จะกล้าก่อกบฏ ตอกลึกไปในความรู้สึกพวกเขาให้รับรู้ว่าต้องเจอกับอะไร ถ้าหากกล้าที่จะทำแบบเดียวกับกาย
   
แต่ก็น่าเสียดายที่ทางการนั้นประเมินความโกรธของผู้คนต่ำเกินไป ถึงแม้กลุ่มคนที่มีความคิดเป็นกบฏอย่างชัดเจนนั้นจะมีไม่มากนักในตอนนี้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขากลัวเลยสักนิด เพราะลำพังแค่ทุกวันนี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ มันก็ทุกข์ทรมานเกินพอแล้ว
   
พวกเขาต้องทนใช้สาธารณูปโภคห่วยๆ โรงเรียนไร้ประสิทธิภาพ นโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้สร้างโอกาสให้ประชาชนแต่เอื้อแต่นายทุนด้วยกันเอง หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาสมควรได้รับแต่ก็ไม่ได้รับ เพราะการคอร์รัปชั่นอย่างหนักของเบื้องบนที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้
   
พวกเขาสะสมความโกรธมามากพอแล้ว และกำลังเป็นระเบิดเวลาที่รอระเบิดในสักวัน ตอนนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะแสดงความโกรธออกมา ซึ่งมันก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่จะโดนฆ่าได้ตลอดเวลา
   
สิ่งที่ตลกร้ายกว่านั้นคือถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่พวกเขาก็เลือกที่จะตายอยู่ดี
   
“นายจะเอาด้วยไหม ทวิช พรุ่งนี้ฉันจะไปตามที่พวกนั้นนัด”
   
“ฉันว่ามันเสี่ยงไป”
   
ทวิชตอบอย่างตรงไปตรงมา และมองตำแหน่งพิกัดเวลาที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในใบปลิว
   
“แล้วอีกอย่าง ฉันว่าพวกนี้สื่อสารกันตรงเกินไป มันดูแปลกๆ ฉันว่านายอย่าเพิ่งไปเลยดีกว่า รอให้พวกนั้นสื่อสารแบบที่แค่พวกเรารู้ก็พอ ขืนนายไปตอนนี้ได้ไปตายฟรีๆ แน่นอน”
   
แน่นอนว่าถ้าหากทางการรู้เรื่องนี้แล้วย่อมไม่ปล่อยผ่านแน่ พรุ่งนี้พวกเขาคงจะเตรียมทหารตำรวจไว้เป็นร้อยๆ คนมารอต้อนรับพวกเขาแน่
   
“ก็จริง”
   
พอสพยักหน้ารับ เพราะตอนมาที่นี่คือรีบมามาก ไม่ได้คิดอะไรนอกจากจะชวนทวิชไปเข้าร่วมกลุ่มนี้ด้วย เพราะลำพังแค่กลุ่มที่พวกเขาอยู่กันสี่ห้าคนไม่ได้มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้สักนิด แถมแต่ละคนก็สิ้นหวังกับชีวิตตัวเองไปแล้วด้วย เหลือแค่รอวันหมดหวังและมาขอเป็นลูกค้าทวิชก็เท่านั้น
   
“งั้นลองไปซื้อข่าวจากแถวนี้ไหม ฉันว่ามันน่าจะมีคนพอรู้เรื่องนี้อยู่”
   
“แล้วนายจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันขายข่าวจริงให้เรา”
   
พอสขมวดคิ้วมุ่น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เขาเคยซื้อข่าวคือโดนข่าวปลอม ไม่มีอะไรจริงเลยสักนิด นอกจากเงินที่เขาเสียไปฟรีๆ
   
“ของแบบนี้มันก็ต้องเสี่ยงหน่อยไหมล่ะ” ทวิชหัวเราะในลำคอก่อนที่จะถามด้วยสีหน้าหมองลง “แล้วนายเผาห้องกายไปรึยัง”
   
“เผาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” พอสยิ้มเศร้าๆ “ฉันรู้ยังไงมันก็ไม่มีทางรอดหรอก”
   
“..แล้วนี่กินอะไรมารึยัง”
   
สุดท้ายทวิชก็ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะเริ่มรู้สึกเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ
   
“ยัง”
   
“งั้นกินเสร็จ ดึกๆ เราก็ออกไปหาข่าวแล้วกัน ฉันพอจะมีคนที่ไว้ใจอยู่” ทวิชแตะไหล่พอสเบาๆ เชิงปลอบ ก่อนที่จะหันไปมองกันต์ที่ยังคงยืนอยู่ตรงบันได และจ้องเขาไม่วางตา “ส่วนนายก็.. ตามสบายแล้วกัน ถ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันเรียก”
   
“เกรซ?”
   
กันต์ถามเสียงเรียบ ซึ่งมันก็ทำให้ทวิชนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้จัดการร่างของเกรซเลย แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะเขาได้เก็บร่างของเกรซในตู้แช่สำหรับเก็บรักษาร่างโดยเฉพาะแล้ว
   
“คงต้องพรุ่งนี้ล่ะมั้ง”
   
“เดี๋ยวทำให้”
   
“ทำให้?”
   
ทวิชทวนคำงงๆ
   
“เดี๋ยวจัดการให้” กันต์พูดยาวกว่าเดิม “คุณทำอาหารเถอะ”
   
“แน่ใจนะ” ทวิชขมวดคิ้วแต่ก็ยื่นกุญแจรถให้แบบง่ายๆ “ระวังตัวหน่อยแล้วกัน มีกระต่ายไม่กี่ตัวบนโลกหรอกที่มีสีชมพูแบบนี้”
   
“…”
   
กันต์พยักหน้าเชิงรับรู้แล้วเดินไปทันที ไม่พูดอะไรต่ออีก
   
“เหมือนนายจะโชคดีได้เด็กดีมาอยู่ด้วยนะ”
   
พอสหัวเราะเบาๆ อดแซวทวิชไม่ได้ เอาเข้าจริงแล้วตอนเขาเห็นกันต์ครั้งแรก เขาก็ไม่ค่อยรู้สึกไว้ใจอีกฝ่ายเท่าไหร่ แต่พอเห็นท่าทีของกันต์ก็วันนี้ก็รู้เลยว่ากันต์นั้นค่อนข้างเชื่อฟังทวิชมากจริงๆ
   
“อืม”
   
ทวิชยิ้มนิดๆ และลูบนิ้วตัวเองด้วยความอาลัยอาวรณ์
   
คุ้มค่าแล้วล่ะ กับชีวิตเด็กคนหนึ่ง เพราะถ้าหากเขาไม่ช่วยกันต์วันนั้นก็คงไม่มีใครช่วยแล้ว ถึงเจ้าตัวอาจจะเต็มใจตายที่สนามก็เถอะ แต่เขาก็คงจะปล่อยให้กันต์ตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้จริงๆ
   
“งั้นก็มาเรื่องของเราต่อ”
   
ทวิชเลิกคิ้วเมื่อเห็นพอสพูดด้วยสีหน้าจริงจัง จึงเผลอกลั้นหายใจและจริงจังตามไปด้วย
   
“ฉันอยากกินเกี๊ยวกุ๊ง”
   
“…”


   

ท่ามกลางความเจริญย่อมมีความโสมมซุกซ่อน สถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่ที่ว่านั้น  ‘เขตปลอดแสงสว่าง’ หรือเขตแดนที่กฎหมายและศีลธรรมใดๆ ไม่อาจเข้าถึงในสถานที่แห่งนี้ มันเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้คนทุกประเภทเอาไว้ ซึ่งทุกคนที่เข้ามาในเขตนี้ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่รู้กันเองคือต้องสวมเสื้อคลุมสีดำสนิททั้งตัวพร้อมกับสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า เพราะสถานที่นี้ไม่ใช่สถานที่ศิวิไลซ์อะไรนัก มีการใช้อาวุธและยาเสพติดพูดคุยต่อรองกันจนแทบจะเป็นเรื่องปกติ
   
แน่นอนว่าอัลฟ่ารับรู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่นี้แต่ก็เลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่ง และรับส่วยเป็นเงินก้อนใหญ่ทุกปีเพื่อแลกกับการไม่มายุ่มย่ามกับกิจการภายในเขตนี้ที่มีการซื้อขายกันแทบจะตลอดเวลา
   
“..นายมาที่นี่บ่อยเหรอ”
   
พอสกระซิบถามทวิชที่สวมหน้ากากของพวกเสือดำกับเสื้อคลุมและเดินนำด้วยความชำนาญทาง ไม่มีท่าทีหวาดกลัวต่อความมืดมิดหรือความจอแจของผู้คนเลยสักนิด หนำซ้ำนัยน์ตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากคล้ายจะเรืองรองขึ้นด้วย
   
“ทุกเดือน”
   
ทวิชตอบสั้นๆ และดึงกันต์หลบทางให้คนที่ขนของเข้ามาในเขต แสงไฟที่สลัวทำให้มองไม่ออกแทบด้วยซ้ำว่าในรถเข็นคันนั้นมีอะไร แต่ทวิชกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่ของทั่วไปอย่างแน่นอน
   
“…”
   
พอสตกตะลึงนิดๆ เพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน หรือเอาเข้าจริงแล้วเขาแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับทวิชด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่รู้จักกันมาเกือบปีแล้ว แต่ทวิชก็ยังเว้นระยะห่างกับทุกๆ คนอย่างชัดเจน  ถึงแม้ว่าจะดูใจดีกับพวกเขามากเป็นพิเศษก็ตาม
   
“เดินต่อ อยู่ที่นี่นายจะอยู่นิ่งนานๆ ไม่ได้”
   
ทวิชกระตุกชายเสื้อกันต์ให้เดินตามต่อโดยพยายามเลี่ยงกลุ่มคนที่พกอาวุธให้เห็นอย่างชัดเจน นัยน์ตาสีทองเหลือบมองตรอกใกล้ๆ และมองมันด้วยความไม่แน่ใจนัก เพราะครั้งล่าสุดที่เขามาซื้อข่าวมันก็นานมากจนเขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว
   
ซึ่งข่าวๆ นั้นก็เป็นข่าวเกี่ยวกับพวกโอเมก้าที่โดนฆ่าล้างไป เขาซื้อข่าวนี้ด้วยราคาที่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเท่าไหร่ นอกจากหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแผ่นเดียวที่เป็นภาพขาวดำของศพโอเมก้านับร้อยที่นอนกองอยู่ในเขตมหาวิทยาลัย
   
แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก มันเป็นเรื่องเกือบสิบยี่สิบปีที่แล้วด้วยซ้ำ เขาก็เพียงแค่คาดหวังเล็กๆ ว่าอาจจะรูปของพ่อแม่เขาให้เห็นสักรูป ไม่ว่าจะในสภาพไหนก็ตาม เขาก็คิดว่าเขาน่าจะทำใจยอมรับมันได้
   
“นั่น”
   
ม่านตาของทวิชหรี่ลงแทบจะทันทีเมื่อเห็นหนูสีเทาขนาดใหญ่นอนแทะขนมปังอยู่บนเก้าอี้ ดูขี้เกียจจนอยากจะคืนร่างต้นแล้วไล่ตะปบให้รู้แล้วรู้รอด
   
“คุณ”
   
ทวิชลากพอสมายืนข้างๆ รั้วนั้น และเงยหน้าขึ้นคุยกับเจ้าหนูตัวเขื่องที่ตอนนี้อมขนมปังไปทั้งก้อนจนแก้มพองเป็นรูปขนมปัง
   
“อะไร” เจ้าหนูก้มมองคนที่น่าจะเป็นลูกค้าของตัวเองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “วันนี้ไม่มีข่าวอะไรทั้งนั้นแหละ ถ้าอยากได้ข่าวก็ไปรอหนังสือพิมพ์ของทางการไป”
   
“คุณจำผมไม่ได้?”
   
ทวิชจงใจคืนร่างต้นเฉพาะส่วนข้อมือและตะปปไปที่หางของเจ้าหนู จนเจ้าตัวร้องจ๊ากกลืนขนมปังในคำเดียว ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์แทบจะทันที
   
“นาย นาย อย่าบอกนะว่าเป็นเสือบ้านั่นที่จะกินฉันน่ะ”
   
เจ้าหนูพูดรัวเร็วแทบไม่เป็นภาษา หัวใจในอกสั่นรัวอย่างหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นลูกค้าแบบไหน เขาก็จะรับมือได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าไอ้ลูกค้าคนนี้มันเคยจะ ‘กิน’ เขาจริงๆ ซึ่งไม่ใช่กินในความหมายแบบนั้นด้วย แต่เป็นกินแล้วเคี้ยวกร๊วมๆ ให้เขาไส้แตก และกลายเป็นมื้อเย็นแสนอร่อยในวันนั้น
   
“ใช่ แล้วผมจะกินคุณอีก ถ้าคุณยังไม่เลิกขี้เกียจ”
   
เสียงกระดูกดังลั่นก่อนที่ทวิชจะเลิกหน้ากากตัวเองขึ้นเพียงครึ่งใบหน้า และแยกเขี้ยวให้เห็นคมเขี้ยวคมของตัวเองที่พร้อมจะฉีกกระชากเจ้าหนูนี่ให้เป็นชิ้นๆ
   
จากหน้าที่ซีดอยู่แล้ว ตอนนี้หน้าของเบต้าหนูซีดกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
   
“มีๆๆ มี อย่ากินฉันนะ อย่ากินฉัน แม้แต่หางฉันนายก็ห้ามชิม! ฉันรู้ว่าช่วงนี้เนื้อเบต้ามันอินเทรนด์ แต่นายไปกินคนที่มันน่ากินกว่าฉันได้ไหมวะ”
   
เบต้าหนูวัยกลางคนบ่นขรมออกมาอย่างตัดพ้อ
   
“สรุปช่วงนี้มีข่าวไหม”
   
ทวิชกลับคืนสู่ร่างมนุษย์และดัดเสียงถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มกว่าเดิม ข้อมือที่ยังคงเหลือลักษณะของพวกเสือดำไว้เผยกรงเล็บออกมา และจงใจให้มันต้องแสงจนเกิดเป็นประกายที่ดูน่าขนลุกในสายตาเจ้าหนู
   
“มีสิ มี มันก็มีข่าวทุกวันแหละ นายอยากรู้ข่าวอะไรล่ะ”
   
เบต้าหนูบ่นงึมงำ แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อเขาถูกบังคับให้ขาย ก็ย่อมขายในราคาที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าเขาจะกลัวไอ้เสือบ้านี้แทบตายก็ตาม
   
“..พวกนี้”
   
ทวิชยื่นโปสเตอร์ของกลุ่มปฏิวัติให้กับเจ้าหนู ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตกใจอะไร ยืนคืนมันให้กับทวิขก่อนที่จะกอดอกด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน
   
“พวกนั้นเรียกตัวเองว่าวันพรุ่งนี้”
   
“วันพรุ่งนี้?”
   
ทวิชทวนคำ ซึ่งเจ้าหนูก็ยิ้มยิงฟันและแบมือทันที เชิงว่าเงินมาของไป ทวิชขมวดคิ้วแต่ก็ยอมควักเงินจำนวนหนึ่งวางบนมืออวบ พอเจ้าหนูนับเงินเสร็จก็พูดต่ออย่างคล่องแคล่วด้วยท่าทีเป็นมิตรกว่าเดิมมาก
   
“ใช่ วันพรุ่งนี้ พวกนั้นพยายามทำตัวเหมือนพวกโอเมก้าตอนนั้น” เบต้าหนูถอนหายใจออกมา “ฉันก็ยอมรับความใจกล้าของพวกนี้นะ แต่ภาพศพของญาติฉันยังติดตาอยู่เลยว่ะ นายคงจินตนาการไม่ออกหรอกว่าตอนนั้นว่าพวกอัลฟ่าฆ่าคนกันสนุกกันขนาดไหน พวกมันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครเบต้าหรือโอเมก้า ขอแค่ร่วมเดินขบวนกับพวกนั้นมันก็ฆ่าหมด ฉันบอกเลยนะว่าไอ้พวกนี้ก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน”
   
“..แล้วเรื่องนัดชุมนุมนี่มันเป็นเรื่องจริงไหม?”
   
เจ้าหนูแบมือมาอีก ทวิชเลยยัดเงินอีกจำนวนเงินให้อีกด้วยความหงุดหงิดนิดๆ เพราะเขายังได้ข่าวไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้หนูนี่เล่นเก็บเอาๆ ไม่หยุดสักที
   
“จริงและไม่จริง” พอได้ยินเสียงทวิชขู่ในลำคอ เจ้าหนูก็สะดุ้งสุดตัวและยิ้มแห้ง “ใจเย็นๆ ไอ้เรื่องนัดพวกนี้ก็ของจริงแหละ แต่ที่ไม่จริงคือเขาไม่นัดพวกเรา เขานัดพวกอัลฟ่าต่างหาก ล่อให้พวกมันออกไปไง ส่วนจะโผล่ที่ไหนก็อีกเรื่อง”
   
“แล้วถ้ามีเบต้าไปเข้าร่วมล่ะ”
   
“ก็อาจจะตายล่ะมั้ง” เจ้าหนูพูดอย่างไม่ยี่หระ “ยังไงซะทุกการปฏิวัติก็ต้องมีคนสูญเสียอยู่แล้ว นายก็เห็นข่าวเมื่อเช้าไม่ใช่เหรอ เบต้ากวางนั้นยังโดนซะขนาดนั้น คิดว่าพวกนั้นจะปล่อยคนที่กล้าต่อต้านพวกมันเหรอ”
   
“…”
   
นัยน์ตาสีทองของทวิชหม่นแสงทันที ไม่ต่างอะไรกับเบต้าหนูที่ซึมเซาลงเมื่อนึกถึงญาติของตัวเองหลายคนที่ตายไปกับการฆ่ากวาดล้างครั้งนั้น เพราะมันเพิ่งผ่านมาไม่ถึงชั่วอายุคนด้วยซ้ำ แต่กลับถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์แทบทั้งหมด เหล่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาแทบไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ถ้าหากไม่แอบเล่าสู่กันฟังแบบลับๆ
   
“ถ้าเป็นฉันนะ ฉันไม่ออกไปหรอก ไอ้พวกอัลฟ่าพวกนั้นอำมหิตจะตายไป อย่างน้อยๆ ถ้าฉันยอมทำตัวเป็นหนูโสโครกที่นี่ ฉันก็อาจจะมีชีวิตอยู่ไปอีกหลายปีก็ได้”
   
“แต่ถ้านายยอมมันพวกมันไปเรื่อยๆ สักวันกระสุนพวกนั้นก็จะตกถึงนาย ต่อให้นายจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้แค่ไหนก็ตาม”
   
ทวิชมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา ถึงแม้จะเข้าใจดีถึงเหตุผลของเจ้าหนูที่ยอมศิโรราบให้กับความอยุติธรรมนี่ แต่เขาก็ยังไม่พอใจมากๆ อยู่ดี เพราะการที่คนพวกนั้นออกมาแสดงออก มันก็คือความเสียสละ ถ้าหากเขาและทุกๆ คนต้องการอนาคตที่ดีกว่าทุกวันนี้ก็ควรจะออกมาช่วยกันสิ
   
มันอาจจะดูไร้ค่าในสายตาอัลฟ่า แต่ถ้าเป็นเขา เขาก็เลือกที่จะออกมาอยู่ดี ยังไงก็ตามทุกวันนี้ เขาก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว เขาไม่มีครอบครัว ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากความเจ็บปวดที่ตอกลึกในใจทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา
   
เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมพวกเบต้าถึงยังยอมอดทนกันอยู่ ความหวาดกลัวอาจจะเป็นหนึ่งในคำตอบ แต่คำตอบอื่นล่ะ เพราะศรัทธาในพวกอัลฟ่า? หรือเพราะมัวแต่หวังว่าชาติหน้าจะเกิดมามีโชคกว่านี้กัน!
   
“แต่วันนี้ก็ไม่มีกระสุนนี่”
   
เจ้าหนูหัวเราะเสียงแผ่วยอมรับการเสียดสีของทวิชแต่โดยดี เพราะรู้ดีว่าตัวเองมันก็แค่คนขี้ขลาดที่หวังว่าอนาคตจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้โดยไม่ทำอะไรทั้งนั้น นอกจากเฝ้ารอให้คนอื่นไปช่วงชิงมันมาให้กับตัวเองโดยแลกกับชีวิตของพวกเขาเอง
   
“ชีวิตของเราดีกว่านี้ได้นะ ถ้าไม่ถูกพวกอัลฟ่าขโมยไป”
   
“แต่นายก็เป็นอัลฟ่านะ”
   
เจ้าหนูเหลือบมองกรงเล็บทวิช
   
“แล้วนายคิดเหรอว่าอัลฟ่าปกติที่ไหนเขาจะมาอยู่ในที่แบบนี้”
   
“…โรงมหรสพพยัคฆโภคสกุล” เบต้าหนูตัดสินใจอยู่สักพักก่อนที่ให้ข่าวที่ราคาแพงที่สุดของตัวเองโดยไม่คิดราคาเพิ่ม
   
“อะไรนะ”
   
“พวกนั้นจะไปป่วนงานวันสถาปนาประเทศ พรุ่งนี้เป็นวันซ้อม ฉันไม่แน่ใจว่ากี่โมง แต่น่าจะช่วงกลางๆ งานก็น่าจะเริ่มทำอะไรกันแล้ว”
   
ทวิชกระพริบตาปริบอย่างประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยคาดหวังน้ำใจในสถานที่แห่งนี้สักนิด ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีราคาและอันตรายไปหมด
   
“นายรู้ได้ยังไง”
   
“ไม่สำคัญหรอกว่าจะรู้ได้ยังไง เอาเป็นว่านี่จะเป็นข่าวสุดท้ายที่ฉันจะให้นายได้ และหลังจากนี้ฉันกับนายถือว่าไม่รู้จักกันมาก่อน”
   
เจ้าหนูถอนหายใจใส่ทวิชก่อนที่จะคืนสู่ร่างต้น เป็นหนูขี้เกียจที่ดูไร้ค่าตัวเดิม และดึงผ้าห่มเปื่อยๆ มาคลุมตัวเองเพื่อตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก
   
“..ขอบคุณ” ทวิชหลุบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนลง
   
“…”
   
“สักวันนายจะได้อยู่ในที่ๆ ดีกว่าที่นี่”

===========



   
   



   
   

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอให้มันดีขึ้นสักที

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เศร้าใจจริงๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ขอให้ทุกอย่าง ดีขึ้น ขอบคุณ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 07

   

‘วันสถาปนาประเทศ’ นั้นคือวันที่มีการเฉลิมฉลองการมีอยู่ของประเทศนี้ โดยชนชั้นที่ตื่นเต้นของวันนี้เป็นพิเศษก็ยังเป็นพวกอัลฟ่าเช่นเดิม เพราะมันจะเป็นวันที่พวกเขาจะได้รับการสรรเสริญยกยอมากที่สุด เนื่องจากประวัติศาสตร์ของประเทศนี้นั้นถูกเขียนด้วยอัลฟ่า สิ่งที่พวกเขาเขียนย่อมเป็นการชื่นชมตัวเอง และแน่นอนว่าภายในประวัติศาสตร์พวกนั้นไม่มีโอเมก้า หรือเบต้าร่วมด้วยแม้แต่คนเดียว แม้ว่าความเป็นจริงแล้วประเทศนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของทุกคนก็ตาม
   
โดยภายในงานนั้นจะประกอบไปด้วยการเดินขบวน การแสดงละคร การประกวดแต่งคำขวัญ ดอกไม้ไฟ และอะไรอีกต่างๆ มากมายที่จะถูกจัดขึ้นมาเพื่อตอกย้ำถึงความสำคัญของอัลฟ่า  และแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่าเบต้านั้นเป็นเพียงประชาชนในประเทศ เป็นคนที่ติดหนี้บุญคุณอัลฟ่ามากมายอย่างเหลือล้นตั้งแต่กำเนิดมาในแผ่นดินนี้ 
ให้เหล่าเบต้าที่ยังคงเหลืออยู่จงสำนึกบุญคุณ และสำเหนียกตัวเองซะว่าพวกเขานั้นไร้ค่าเพียงใด หน้าที่เพียงหนึ่งเดียวของเบต้าคือการยอมทำคำสั่งพวกเขาแบบเชื่องๆ เท่านั้น ห้ามตั้งคำถาม ห้ามสงสัย หรือห้ามต่อต้านโดยเด็ดขาด เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์ สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขามีคือมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้และเสียภาษีตามที่ตั้งเกณฑ์ไว้เท่านั้น
   
แน่นอนว่าการที่เหล่าเบต้าจะเชื่องขนาดนี้ได้ก็ย่อมอาศัยหลายอย่าง โดยสองสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญนั้นก็คือระบบการศึกษาและสื่อที่ใช้เผยแพร่ ซึ่งเหล่าอัลฟ่าหรือกลุ่มชนชั้นนำก็ใช้สามารถใช้ปัจจัยเหล่านี้ได้อย่างชาญฉลาด
   
ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคน พวกเขาสามารถเปลี่ยนแนวคิดของเบต้าทั่วไปให้มาเคารพเหล่าอัลฟ่าอย่างสุดหัวใจจนยอมถวายชีวิตให้ได้ พวกเขาทำลายระบบการศึกษาที่เน้นการตั้งคำถามหรือต่อยอดแนวคิดให้เหลือเพียงการศึกษาที่มีคำตอบเพียงถูกกับผิด ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ใช่ทุกอย่างจะมีคำตอบที่แน่นอน ไม่มีอะไรที่ถูกเสมอไปหรือผิดเสมอไป สิ่งที่ระบบการศึกษาควรสอนมากกว่าคือการยอมรับความเห็นต่าง ไม่ใช่การมองคนอื่นเพียงผิดหรือถูก ขาวหรือดำเท่านั้น
   
นอกจากนี้แล้วพวกเขายังใช้สื่อในการผลิตซ้ำวาทกรรมที่ตัวเองต้องการ อย่างเรื่องที่ว่า ‘เบต้า’ นั้นต้องเป็นคนจนและถ้าหากอยากจะมีฐานะก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่ออนาคตที่ดี โดยพวกเขาถ่ายทอดแนวคิดเช่นนี้ผ่านละครโทรทัศน์ ละครวิทยุ บทความ มุกตลกต่างๆ ในรายการ ผลิตซ้ำไปเรื่อยๆ จนเกิดความเคยชินขึ้นมา และทำให้พวกเบต้าเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขาเป็นเช่นนั้น
   
และแน่นอนว่ามันก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้สามารถใช้ได้ผลกับทุกคน
   
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมเชื่องให้กับระบบชนชั้นที่แสนเห็นแก่ตัวนี้ ยังมีคนบางส่วนที่ยังจดจำได้ถึงเสรีภาพของตัวเองที่เคยมีก่อนการปฏิวัติครั้งล่าสุด พวกเขาเคยมีอิสระ เคยมีเงิน และเคยมีชีวิตที่ดีกว่านี้
   
พวกเขาเคยมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองพึงได้รับ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินแบบนี้ ทุกวันนี้ลำพังแค่เงินจะกินข้าวพวกเขายังแทบจะไม่มีด้วยซ้ำ ทุกอย่างแพงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหล่าชนชั้นนำนั้นใช้เงินอย่างมือเติบ ไร้ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ผลาญเงินไปกับการซื้ออาวุธมือสองและของไร้ประโยชน์ให้กับประเทศด้วยอ้างว่าเพื่อป้องกันตัวจากประเทศเพื่อนอื่น ทั้งๆ ที่ในยุคสมัยนี้นั้นกลายเป็นสงครามด้านเศรษฐกิจไปแล้ว
   
เป็นเรื่องตลกร้ายเหลือเกินที่เหล่าเบต้าส่วนใหญ่ก็ยังศรัทธาในอัลฟ่าพวกนี้อยู่ดี ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นกำลังใกล้อดตายเพราะไม่สามารถเข้าถึงระบบการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม
   
ซึ่งกลุ่มคนที่จะมาช่วยปลุกเบต้าเหล่านี้ให้ตื่นขึ้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากกลุ่มปฎิวัติกลุ่มใหม่ กลุ่มที่รวบรวมความหาญกล้าทั้งหมดในชีวิตตัวเองออกมาแสดงออกว่าต่อต้านอัลฟ่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าจุดจบที่รออยู่นั้นคือความตายอันทุกข์ทรมาน และอาจโดนทำให้ลืมไปเช่นเดียวกับกลุ่มปฏิวัติกลุ่มก่อน
   
“พวกเราคือกลุ่มวันพรุ่งนี้”
   
เบต้าหนูคนหนึ่งในร่างต้นพูดใส่ไมค์ก่อนที่เสียงจะออกมาตามลำโพงที่ซุกซ่อนตามที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง มีพวกเบต้าวัยทำงานพลุกพล่านเต็มไปหมด เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการเปิดเผยความจริงหรือโน้มน้าวอะไรสักอย่าง
   
“พวกมึงอยู่ไหน!!! ออกมาเดี๋ยวนี้!!!”
   
เจ้าหน้าที่รัฐอาวุธครบมือคนหนึ่งคำรามออกมาเสียงดังกึกก้อง สายตาพยายามสอดส่องหาต้นกำเนิดเสียงว่าอยู่ที่ไหนแต่ก็หาไม่เจอสักที เพราะทุกคนเดินกันจอแจไปหมด ถึงแม้ว่าจะมีเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐทั้งทหาร ตำรวจจำนวนนับร้อยคนกำลังเดินสอดส่องอยู่ก็ตาม
   
แน่นอนว่าเหล่าเบต้าทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวต่อเจ้าหน้าที่รัฐ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังมีหน้าที่การงานที่ต้องทำ จึงกดความกลัวลงและเดินผ่านแบบเร็วๆ แสดงให้เจ้าหน้าที่รัฐเห็นชัดว่าพวกเขาไม่สนใจเข้าร่วมการประท้วงของพวกกลุ่มวันพรุ่งนี้แต่อย่างใด
   
“จุดยืนของเราคือการทำให้เรากลับไปเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเสรีภาพอีกครั้ง” เบต้าหนูสูดหายใจครั้งหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อด้วยแววตาที่มุ่งมั่นกว่าเดิม “เราจะทำให้คนทุกคนสามารถใช้ชีวิตโดยปราศจากความกลัว ความสิ้นหวัง ความกระวนกระวาย ความหวาดหวั่น และความไม่แน่ใจ”
   
“อย่าไปฟังพวกกบฏมันพูด! มันหลอกเรา!! ต้องมีคนจ้างมันมาหลอกเราแน่ๆ !!”
   
“…”
   
มีเบต้าหลายคนที่ถึงแม้จะตีหน้าเฉยเมย แต่ลึกๆ ในใจก็แอบคิดตามในสิ่งที่เบต้าหนูนั้นพูด เพราะสำหรับพวกเขาแล้วคำว่า ‘เสรีภาพ’ นั้นกระทบจิตใจพวกเขาเหลือเกิน
   
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาโหยหามัน แม้ว่ามันจะขัดกับหลักศาสนาและกฎหมายในประเทศนี้ แต่พวกเขาก็อยากได้มันอยู่ดีเพราะมันอาจจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีกว่านี้ก็ได้
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
เสียงรัวกระสุนดังขึ้นเมื่อมีคนของทางการเจอหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มปฏิวัติที่กำลังแอบแจกใบปลิวอยู่ ร่างของหญิงสาวเบต้าคนนั้นจึงล้มลงในพริบตาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของประชาชนทั่วไปที่เห็นอาชญากรรมโดยรัฐ (state crimes) ต่อหน้าต่อตาตนเอง
   
“เราเชื่อว่าคนทุกคนเท่าเทียมกัน เพศที่อัลฟ่าใช้แบ่งนั้นมันไม่อยู่จริง มันเป็นแค่วาทกรรมหลอกลวงที่พวกอัลฟ่าใช้หลอกทุกคน พวกมันไม่ใช่สมติเทพ ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น นอกจากชนชั้นเห็นแก่ตัวที่กอบโกยผลประโยชน์ทุกอย่างไว้กับตัว แล้วปล่อยให้พวกคุณใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก”
   
ถึงแม้จะเห็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองนั้นตายไปทีละคนสองคน แต่เบต้าหนูผู้รับมอบหมายหน้าที่จากในกลุ่มก็ยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอันนิ่งสงบ ราบเรียบ และเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
   
“ถึงเวลาหรือยังที่พวกคุณทุกคนจะตื่นจากฝันร้ายพวกนี้สักที พวกคุณไม่ได้ไร้ค่า ไม่ได้ไร้สิทธิ์ไร้เสียงอย่างที่พวกคุณคิด พวกคุณทุกคนมีอำนาจอยู่กับตัว ถ้าไม่ได้เงินภาษีของพวกคุณ คิดเหรอว่าพวกมันจะมีเงินใช้กันแบบนี้”
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
พอเริ่มรู้สึกว่าหาตัวคนพูดไม่เจอ เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐจึงหันไปจัดการพวกลำโพงต่างๆ แทน ทำให้มีทั้งเสียงระเบิดและเสียงอื่นๆ ดังปนกันไปหมด จนทำให้เสียงที่ออกจากลำโพงนั้นเริ่มฟังยาก มีเสียงผิดเพี้ยนฟังเสียดหู แต่ก็ยังมีบางลำโพงที่ยังเหลือรอดให้เสียงที่เป็นปกติอยู่
   
“กระสุนแต่ละนัดที่พวกเขายิงคือเงินภาษีของพวกคุณ ความจริงแล้วพวกเขาควรจะรับใช้พวกคุณมากกว่าพวกอัลฟ่าพวกนั้นซะอีก”
   
“รีบหาตัวมันให้เจอสักที!!!”
   
ตำรวจอัลฟ่าคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างดุดัน
   
“ลองคิดดูสิ ทำไมพวกเขาถึงสอนให้คุณเกลียดชังพวกเรา? ทำไมถึงบอกว่าเราเป็นปีศาจ ทั้งๆ ที่เราก็เป็นคนเหมือนกับพวกคุณ เราไม่มีปืนหรืออาวุธด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่เรามีคือแนวคิดอันตรายที่จะทำให้พวกอัลฟ่าไม่ได้มีอำนาจเท่าเดิม และมันก็กำลังจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้เราตายกันอีกครั้ง”
   
เบต้าหนูผุดยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลังตัวเอง ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าเขาอาจจะมีชีวิตอยู่และพูดต่อได้อีกไม่กี่ประโยคเท่านั้น
   
“พวกคุณอย่าได้สิ้นหวังกับประเทศห่วยแตกนี้ เรายังสามารถเปลี่ยนมันได้ ขอแค่คุณเข้าร่วมกับพวกเรา—“
   
ปัง!
   
ยังไม่ทันจบประโยคดีกระสุนก็เจาะเข้าที่หัวอย่างแม่นยำ เบต้าหนูที่พูดเจื้อยแจ้วมาตลอดจึงล้มลงกับพื้น ทำให้ไมค์ตกและหวีดเสียงยาวฟังเสียดหู จนกระทั่งนายตำรวจเจ้าของกระสุนเมื่อกี้เข้ามาใช้ไมค์ต่อ
   
“ตอนนี้กบฏได้ถูกปราบแล้ว ขอให้ประชาชนทุกคนอยู่ในความสงบ อย่าได้หลงเชื่อคำหลอกลวงพวกมันเป็นอันขาด สิ่งเดียวที่เราเชื่อได้นั้นมีเพียงอัลฟ่า อัลฟ่าไม่เคยหลอกเรา กบฏพวกนี้มันถูกจ้างมาจากคนนอกประเทศ พวกโอเมก้าสวะที่ไม่หวังดีกับประเทศเรา!”
   
ถึงแม้จะเป็นการจับไมค์แบบฉุกละหุก แต่อัลฟ่าหรือนายตำรวจคนนี้ก็สามารถพูดออกมาได้อย่างลื่นไหล แม้ว่าจะไม่รู้ข้อเท็จจริงอะไรใดๆ เกี่ยวกับกลุ่มปฏิวัติหน้าใหม่นี้เลยก็ตาม
   
และแน่นอนว่าด้วยความเป็นอัลฟ่าของเขา ทำให้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาก็มีเบต้าบางส่วนที่พร้อมจะเชื่อทุกอย่างโดยไม่สนข้อเท็จจริงใดๆ
   
“ผมอยากจะทบทวนให้ทุกท่านฟังอีกครั้งว่าประเทศนี้นั้นถูกสร้างมาเพื่อทุกคน ไม่มีใครเสียเปรียบใคร และอัลฟ่าก็รับบทเป็นผู้เสียสละคอยทำให้สังคมของเรานั้นเป็นไปอย่างปกติสุข เราเหล่าอัลฟ่าทุกคนล้วนหวังดีต่อเบต้า ทุกท่านอย่าได้ลืมว่า ‘ใคร’ ที่เป็นผู้ที่ปกป้องประเทศนี้เสมอมา”
   
มีเบต้าวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังจะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ อยู่ๆ ความเจ็บปวดล้ำลึกที่ซุกซ่อนเอาไว้ในใจก็ตีตื้นขึ้นมาตอนที่เห็นเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐรุมใช้ไม้ตะบองตีเบต้าวัยรุ่นคนหนึ่งที่กอดใบปลิวที่ตัวเองนำมาแจกไว้อย่างหวงแหน เบต้าคนนั้นอายุไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำไป แต่กลับถูกทารุณราวกับว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าผู้คนมานับร้อยศพ
   
เสียงร้องขอชีวิตดังเคล้ากับเสียงร่ำไห้และเลือดที่เจิ่งนองบนพื้น ใบหน้าของเบต้าคนนั้นเจ็บปวดมากก่อนที่คำร้องขอชีวิตจะกลายเป็นการอ้อนวอนให้มอบความตายให้กับตนเอง เพราะทนการทรมานต่อไปไม่ไหว
   
สีหน้ายิ้มแย้มสนุกสนานของเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐทำเอาความอดทนของเขาหมดสิ้น ก่อนที่เขาจะระเบิดความคับแค้นใจออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกับคืนสู่ร่างต้น
   
“พวกมึงโกหก!! ไอ้พวกอัลฟ่าสารเลว!! ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมึง ชีวิตกูก็คงจะไม่เหี้ยแบบนี้!!!”
   
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดผลเช่นไร แต่เขาก็พุ่งตัวเข้าไปช่วยเด็กคนนั้นอยู่ดี
   
ปัง!
   
กระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้ากลางหลังเบต้าวัยกลางคนนั้นทันทีที่เขาเข้าไปใกล้เจ้าหน้าที่รัฐ แต่ด้วยความที่ร่างต้นของเขาเนื้อค่อนข้างหนาพอสมควร จึงพอทนกระสุนได้ เขาผลักพวกคนที่รุมทำร้ายเด็กนี้ออก ฉุดกระชากร่างโชกเลือดขึ้นมาประคอง และพยายามจะพาหนีไปให้ไกลที่สุด
   
“หนีไป ไอ้หนู หนีไป”
   
ปัง! ปัง!
   
กระสุนอีกหลายนัดฝังเข้าที่ร่างเขาอีกซึ่งมันก็ทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ แต่ความโกรธแค้นที่ยังหลงเหลือจากปฏิวัติครั้งก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ทำให้เขาคำรามออกมา แล้วผลักเด็กคนนั้นเข้าใส่ฝูงชน ก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับไปเผชิญกับ ‘ความยุติธรรม’ ในประเทศนี้ที่กำลังวิ่งไล่ล่าเขา
   
เขากระอักเลือดออกมาคำโต พุ่งตัวเข้าชนกับทหารคนหนึ่งที่กำลังเติมกระสุนปืนคล้ายจะกราดยิงเข้าไปในฝูงชน เขาครวญครางออกมาเมื่อถูกกระแทกกลับจนล้มไปกองกับพื้น และถูกทั้งตะบองทั้งรองเท้าบูทแย่งกันเรียกร้องความสงบสุขกลับคืนสู่ประเทศ
   
“…แม่ง”
   
ทั้งๆ ที่เจ็บแทบตายและรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายจริงๆ เขากลับเผลอหลุดหัวเราะออกมา เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่ขี้ขลาดอย่างเขา จะกล้ายอมทำตัวแหกกฎออกมาช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งแบบนี้
   
อาจจะเป็นเพราะครั้งที่แล้วเขาปล่อยให้เพื่อนตายต่อหน้าตัวเอง เขาตอนนั้นเอาแต่พร่ำขอชีวิตจากพวกมัน บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ และเกลียดชังกบฏพวกนี้เหลือเกิน ซึ่งผลจากการกระทำนั้น มันก็ทำให้เขามีชีวิตต่อไปโดยที่ต้องฝันร้ายถึงวันนั้นทุกวัน
   
เขาเห็นแก่ตัวมามากพอแล้วจริงๆ
   
นัยน์ตาของเบต้าวัยกลางคนหรี่ลงช้าๆ ใกล้จะหลับเต็มทน ก่อนที่อยู่ๆ ประโยคบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา และเขาตะโกนออกมาเสียงดังลั่นด้วยแรงเฮือกสุดท้ายของตัวเอง
   
“อัลฟ่าจงพินาศ!! เสรีภาพจงเจริญ!!!”
   
ปัง!
   
เพราะได้เอ่ยประโยคต้องห้ามออกมา กระสุนจึงฝังเข้าไปในสมองเขาในพริบตา
   
แต่ก่อนที่สติของเขาจะหายไปตลอดกาลนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรนัก เพราะการได้พูดคำขวัญของกลุ่มกบฏรุ่นก่อนก่อนที่ตัวเองจะตายนั้นก็นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิตเขาแล้วจริงๆ


   


“เพราะการมีอยู่ของอัลฟ่า ประเทศของเราถึงได้เจริญขนาดนี้ อัลฟ่าทุกคนในประเทศเขาเรานั้นต้องเสียสละมากกว่าอัลฟ่าประเทศอื่นมากมาย อัลฟ่าของเรานั้นทำงานอย่างหนักทุกวันเพื่อที่จะทำให้เบต้าทุกคนในประเทศนั้นได้อยู่อย่างสุขสบายและ—”
   
เสียงของเบต้าเด็กประถมคนหนึ่งดังเจื้อยแจ้วทั่วห้องโถง ในมือเล็กๆ นั้นกำลังถือเรียงความที่ตัวเองแต่ง และชนะการประกวดจากทั่วประเทศมาได้ ใบหน้าของเด็กหญิงนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจยามที่พูด นัยน์ตาสดใสจดจ้องไปยังที่นั่งบนอัฒจันทร์ที่มีอัลฟ่าบางส่วนมานั่งเรียงรายเพื่อรอซักซ้อมพิธีสำคัญที่จะจัดขึ้นในอีกหลายอาทิตย์ข้างหน้า
   
“…”
   
ทวิชซึ่งอยู่ในชุดสูทสีเลือดนกปักด้วยดิ้นทองลายเสือโคร่ง และมาในนามของพยัคฆโภคสกุลฟังเรียงความของเด็กหญิงด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่พังทลายไม่หยุด
   
เขาเพิ่งได้ข่าวจากพอสว่าพวกอัลฟ่าฆ่าคนอีกแล้ว
   
ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกนิดๆ ที่เลือกที่จะมาที่นี่แทนที่จะตามไปที่นั่น เพราะเขาคงจะทนมองภาพพวกนั้นไม่ได้อีก มันโหดร้ายเกินไปจริงๆ กับการที่เจ้าหน้าที่รัฐไล่ฆ่าประชาชนของตัวเองราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แล้วยิ่งอาชญากรรมที่ก่อโดยรัฐแบบนี้ยิ่งเป็นอะไรที่เอาผิดใครไม่ได้ ร้องเรียนใครไม่ได้

เพราะคงไม่มีโจรที่ไหนรับแจ้งความผิดของโจรด้วยกันเอง
   
สิ่งที่พวกเขาทำได้เช่นเดิมคือกล้ำกลืนความทุกข์ตรมพวกนี้เอาไว้กับตัว และสำเหนียกซะว่าในประเทศนี้มันไม่ได้มีความยุติธรรมให้กับทุกคนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
   
“หนูรักอัลฟ่าค่ะ”
   
“…”
   
ทวิชฉีกยิ้มนิดๆ ให้กับเด็กหญิงตอนที่ถูกมองมาด้วยสายตาเชิดชู เพราะตอนนี้นั้นเข้าอยู่ในร่างกึ่งร่างต้น เขาปล่อยให้ตัวเองมีลักษณะของพวกอัลฟ่าครึ่งหนึ่งเพื่อที่จะได้กลมกลืนกับอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่มักจะชอบอยู่ในร่างต้นเสมอ
   
เขายอมรับว่าตัวเองค่อนข้างเจ็บปวด ที่เห็นเด็กมากมายที่พวกอัลฟ่าพวกนี้ล้างสมองให้รักและจงรักดีกับอัลฟ่าแบบยอมถวายชีวิต ซึ่งมันก็ทำให้กลายเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำให้ทุกคนนั้นตาสว่าง
   
ระบบความคิด ความเชื่อ และทุกๆ อย่างในประเทศนี้นั้นมันฝังลึกในประชาชนเกินไป จนเขาไม่รู้ว่าต้องรอให้มีคนตายอีกเท่าไหร่ กลุ่มคนเหล่านี้ถึงจะยอมรับฟังความจริงเหล่านี้สักที   
   
การอยู่แบบโดนเปรียบว่าไร้ค่าและเป็นหนี้บุญคุณกับอัลฟ่ามากมายนี้ เขาถามจริงๆ ว่ามันเป็นชีวิตที่ดีนักเหรอ ทำไมถึงไม่ยอมเอะใจกันบ้าง เวลาที่ประเทศอื่นวิจารณ์อัลฟ่าของตัวเองในความเห็นที่ต่างออกไป ทำไมไม่รับฟังความเห็นพวกเขา จะมัวโง่งมเชื่อแต่ในสิ่งที่เขาหลอกทุกวันไปทำไม
   
ยิ่งไปกว่านั้นคือทำไมกลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์หรือต่อต้านอัลฟ่าถึงต้องโดนปฏิบัติด้วยความโหดร้ายถึงเพียงนั้น ทำไมกับแค่ความคิดชุดเดียวถึงทำให้คนพวกนี้ต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศอื่น และทำไมบางคนที่ลี้ภัยไม่ทันถึงต้องโดนจับยังถังแดงและฆ่าอย่างเลือดเย็น
   
นี่เป็นประเทศที่เจริญ อุดมไปด้วยศีลธรรมอันดีงาม และมีความสุขที่สุดในโลกจริงๆ งั้นเหรอ?
   
นัยน์ตาของทวิชเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้ ยิ่งเขามองการซ้อมการแสดงละครเวทีที่กำลังเชิดชูเหล่าอัลฟ่าตอนที่ไล่ปราบกบฏเพื่อคืนความสุขให้กับประเทศก็ยิ่งทำให้เขาเคียดแค้น
   
เขาเกลียดประเทศนี้เหลือเกิน
   
กลิ่นคาวเลือดอวลในลำคอตอนที่ทวิชเผลอกัดปากตัวเอง ซึ่งทวิชก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะมันกลายเป็นนิสัยเสียส่วนตัวไปแล้วที่เขามักจะเผลอทำร้ายตัวเองตอนที่เครียดจัดๆ บางครั้งเขายังเคยนั่งถอนขนปีกตัวเองออกด้วยซ้ำ
   
นัยน์ตาสีทองของทวิชจดจ้องไปทั่วงาน พยายามมองหาว่าสิ่งแปลกปลอมหรืออะไรสักอย่างในงาน เนื่องจากเขาไม่รู้เลยสักนิดว่าพวกกลุ่มปฏิวัติตั้งใจจะทำอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจแน่ๆ คือมันไม่ใช่ความรุนแรงอย่างแน่นอน เพราะเหล่าโอเมก้ามักจะสอนกันว่าไม่ให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ถึงแม้ว่าจะโดนความรุนแรงสั่งสอนกลับมาก็ตาม
   
“…?”
   
ทวิชกระพริบตาปริบเมื่ออยู่ๆ ก็มีขนนกลอยเต็มโถงไปหมด และเขาก็เผลอคว้ามันมาถือโดยไม่รู้ตัว
   
ขนนก?
   
“พวกกลุ่มกบฎมันบุกรุกที่นี่!!!”
   
มีอัลฟ่าคนหนึ่งที่เพิ่งได้สติหลังจากตกตะลึงไปสักพักตะโกนออกมา ก่อนที่คนในงานจะวุ่นวายกันแบบจ้าละหวั่น พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ติดอาวุธวิ่งหากบฏกันไม่หยุด ส่วนคนอีกบางส่วนก็วิ่งมาไล่เก็บขนนกที่ตอนนี้ลอยไปทั่วบริเวณทั้งในห้องโถงและบริเวณรอบนอก
   
“..ฉลาดชะมัด”
   
ทวิชนั่งงงอยู่สักพักก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ โดยที่พยายามแสดงสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิมเอาไว้ เพื่อไม่ให้ถูกคนอื่นจับได้ว่าตัวเองนั้นเห็นด้วยกับการกระทำของกลุ่มกบฏ
   
แววตาของทวิชดูมีสีสันขึ้นมายามที่มองขนนกในมือ
   
เพราะถ้าหากปีกนั้นเป็นนัยยะถึงอิสรภาพ ขนนกในมือของเขานี้ก็มีความหมายไม่ต่างกัน
   
อิสรภาพได้มาเยือนในที่แห่งนี้แล้ว

ซึ่งมันก็เป็นการกระทำที่คล้ายพวกอัลฟ่าตรงที่อัลฟ่าก็ชอบทำรูปปั้นของตัวเองไว้ตามที่ต่างๆ เพื่อบอกว่าเขตนี้นั้นอยู่ใต้การปกครองของอัลฟ่า ฉะนั้นจึงนับได้ว่าเป็นการแสดงออกทางการเมืองที่ฉลาดมาก เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ใครต้องได้รับบาดเจ็บแล้ว มันยังทำให้พวกอัลฟ่าแตกตื่นกันยกใหญ่ด้วย

แน่นอนว่าอัลฟ่ามักจะแสดงท่าทีมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าสามารถจัดการหรือควบคุมพวกกลุ่มกบฏเอาไว้ใต้เท้าตัวเองได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นหวาดกลัวการลุกฮือของประชาชนแทบตาย

“เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว”

ทวิชเผลอพึมพำประโยคหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะนึกได้ว่ามันคือประโยคที่พ่อของเขามักจะพูดกับเขาเสมอหลังจากที่ตกงาน

“…”

ทวิชพยายามกลั้นยิ้มอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มออกมา เพราะเขาดีใจมากจริงๆ

เขารอเวลานี้มานานมากแล้ว

“ทวิช”

“!”

ใบหน้าสวยหุบยิ้มทันที และเหลือบมองร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีขาวที่ปักดิ้นทองลายเสือโคร่งเหมือนกันด้วยสีหน้าสงบ ไร้อารมณ์ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นยังตกใจไม่หาย

“มาทำอะไรที่นี่”

นัยน์ตาสีทองอย่างสัตว์ตระกูลแมวมองทวิชอย่างซักไซ้ ใบหน้าคมคายที่ถึงแม้ว่าจะมีร่องรอยของอายุ แต่ก็ไม่ได้ทำเสน่ห์ที่มีอยู่นั้นด้อยลงแต่อย่างใด หนำซ้ำยังทำให้ดูสุขุมและเปี่ยมไปด้วยอำนาจมากขึ้นด้วย

“…”

ทวิชไม่ได้พูดอะไรและเลือกที่จะเงียบใส่แทนคำตอบ

“อาเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว” สิงห์หรือผู้นำตระกูลพยัคฆโภคสกุลในเวลานี้มองทวิชด้วยสีหน้าหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบัง
   
“…”
   
“ต่อให้มานั่งเฉยๆ เธอก็ไม่มีสิทธิ์ทำ ทวิช เพราะตระกูลพยัคฆโภคสกุลไม่เคยรับเลี้ยงลูกกบฏ”
   
ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
   
“ออกไปจากที่นี่ซะ แค่ทุกวันนี้ฉันยอมให้เธอใช้นามสกุลคุ้มกะลาหัวก็เป็นบุญคุณแค่ไหนแล้ว”
   
ทวิชไม่ได้ตอบ แต่ก็ยอมเดินออกไปเงียบๆ โดยไม่แสดงท่าทีก้าวร้าวอะไร เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นก็เป็นความจริงทั้งหมด
   
เขาอาศัยชื่อตระกูลของอาในการปกป้องตัวเองจริงๆ
   
“แล้วก็อย่าคิดที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏเชียว”
   
“…”
   
ทวิชเผลอชะงักไปสักพัก ซึ่งมันก็ทำให้อีกฝ่ายแค่นหัวเราะเหยียดหยามออกมา เพราะพอจะเดาได้ว่ายังไงเชื้อก็คงจะไม่ทิ้งแถวแบบเดียวกับพ่อมันอยู่แล้ว
   
“อะไรที่ฉันให้เธอได้ ฉันก็ยึดมันคืนได้เหมือนกัน”

=========

 :a12:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แอบเศร้า

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :เฮ้อ: โหดร้ายยยยย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ข้าวสวย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมา​ รอคอยเรื่องแบบนี้มานานมากกกก

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ปวดใจ

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ดีแบบดีมากๆ ชอบทุกอย่างในเรื่องนี้ เป็นโอเมก้าเวิสที่ลึกซึ้งมีทุกอย่างมากกว่าเรื่องเพศ แต่ชี้สังคมเรื่องชนชั้น ปัญหาต่างๆ ก็คือดีมาก ชอบมาก ประทับใจมากๆๆๆๆๆ ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะ❤

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
 ตอนที่ 08

   
ร่องรอยคราบเลือดบนพื้นค่อยๆ ถูกชำระล้างจากสายฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาหลังจากการประท้วงครั้งที่สองของกลุ่มปฏิวัติใจกลางเมือง และแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังคงเป็นการทารุณอย่างเลือดเย็นจากรัฐบาล พวกเขาฆ่าล้างคนที่มีความคิดต่อต้านโดยไม่ลังเลด้วยซ้ำ ก่อนที่จะกลบเกลื่อนความโหดร้ายของตัวเองด้วยการบังคับให้สื่อต่างๆ สร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับกลุ่มปฏิวัติ พร้อมกับให้เล่นข่าวไร้สาระที่ไม่สร้างประโยชน์หรือความรู้ใดๆ ให้กับคนอ่านเพื่อให้ประชาชนของตัวเองนั้นเกิดความเชื่อง ไม่สามารถฉุกคิดอะไรได้ นอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้จุดหมาย
   
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็นอะไรที่เหล่ากลุ่มปฏิวัตินั้นได้คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นลูกไม้เดิมๆ ที่รัฐบาลใช้ และมันก็ยังคงได้ผลมาตลอด แต่พวกเขาก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ เนื่องจากสื่อที่รัฐบาลกุมเอาไว้ในมือนั้นค่อนข้างมีผลต่อประชาชนในประเทศนี้จริงๆ
   
เอาเข้าจริงพวกเขาแอบคาดหวังใน ‘จรรยาบรรณสื่อ’ ของกลุ่มสื่ออยู่บ้าง เพราะจริงๆ หน้าที่ของสื่อนั้นควรจะทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน รายงานความจริง มีความเป็นกลาง ไม่รับใช้ใคร ทั้งๆ ที่มันความจะเป็นแบบนั้น แต่สื่อในประเทศนี้นั้นกลับขาดความกล้าเหล่านั้นไปซะหมด
   
พวกเขายินยอมศิโรราบให้กับความอยุติธรรมตรงหน้า สนับสนุนความรุนแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชนด้วยการบิดเบือนข่าวให้มันเป็นความชอบธรรม อีกทั้งยังเป็นสาเหตุหนึ่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โอเมก้าในครั้งที่แล้วด้วย
   
พวกเขาหลอกลวงประชาชนให้เกลียดชังกันเอง ใช้ความเป็นสื่อของตัวเองในการชี้นำสังคมไปในทางที่ผิด จนทำให้มีคนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องตายลงอย่างทรมานโดยที่ตนเองนั้นไม่ต้องการรับผิดชอบใดๆ และมักจะอ้างว่าทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
   
ทั้งๆ ที่เห็นแก่ตัวถึงเพียงนั้น แต่พวกเขาก็ยังได้รับการยอมรับในสังคมเสมอ ทั้งๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการฆ่าคนบริสุทธิ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะสนใจ และกำลังจะทำให้มันเกิดขึ้นอีก ด้วยการประโคมข่าวปลอมของกลุ่มปฏิวัติไม่หยุดด้วยการสร้างคำใหม่ขึ้นมา
   
‘ปีศาจ’
   
พวกเขาใช้คำนั้นแทนชื่อกลุ่มเหล่านี้อีกครั้ง การเลือกใช้คำนี้ก็ย่อมมีสาเหตุมาจากการที่พวกเขาต้องการลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนกลุ่มนี้ลง พยายามทำให้คนอ่านข่าวรู้สึกว่ากลุ่มคนที่พวกเขาเขียนถึงนั้นไม่ใช่คน ไม่ใช่มนุษย์เฉกเช่นเดียวกับตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขามีสิทธิ์อันชอบธรรมในการกระทำเลวร้ายใส่มากเท่าใดก็ได้ หรือจะฆ่าได้เลยก็ย่อมไม่มีความผิด เพราะพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจที่ต้องการสร้างความแตกแยกให้กับประเทศ อีกทั้งยังเป็นปีศาจที่เป็นสาเหตุของเรื่องเลวร้ายทั้งหมดในประเทศด้วย
   
ความยากจน ความอดอยาก ความเหลื่อมล้ำ ความล้มเหลวใดๆ ของประเทศนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงมาจากปีศาจตัวนี้ ปีศาจร้ายที่จะนำพาประเทศไปสู่หุบเหวแห่งความล่มสลาย และหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งปัญหาทั้งหมดเหล่านี้คือการฆ่าปีศาจเหล่านี้ซะ
   
การฆ่าเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบของการแก้ปัญหานี้ และผู้ที่หาญกล้าฆ่าพวกเขาก็จะรับคำว่า ‘คนดี’ แทนเหรียญตรารางวัลเพื่อความภาคภูมิใจในการกระทำ สนับสนุนให้พวกเขากระทำความรุนแรงอันบ้าคลั่งไม่ชอบธรรมนี้ต่อไป จนกว่าจะไม่มีปีศาจตัวไหนกล้าลุกขึ้นมาแสดงตัวอีก
   
แน่นอนว่ามีเบต้าหลายคนที่ฉุกใจคิดถึงการกระทำของตนเองเหมือนกันว่ามันโหดร้ายเกินไปเหลือเปล่า เพราะหนึ่งในปีศาจเหล่านั้นก็เคยเป็นเพื่อน ญาติ คนรู้จัก หรือแม้แต่ลูกของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็ฉุกใจคิดแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เนื่องจากทางรัฐบาลและสื่อได้เตรียมคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
   
‘ไม่มีอะไรที่เราสามารถแก้ไขได้’
   
รัฐบาลและสื่อบอกเช่นนั้นโดยผ่านดารา นักร้อง นักบวช หรือผู้มีอิทธิพลต่อความคิดประชาชนในสักคนในประเทศสักคนเพื่อเพิ่มน้ำหนักของเหตุผลนี้ เพราะพวกเขาไม่กล้าปล่อยให้คนที่มีความคิดอันเป็นปรปักษ์ต่อระบบชนชั้นมีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเขาหวาดกลัวว่าหากปล่อยไปแล้วคนที่คล้อยตามสิ่งที่พวกเขาพูดน้อยลงจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันใดวันหนึ่งระบบชนชั้นที่พวกเขารักยิ่งชีพมันจะถูกทำลายลงและหายไปตลอดกาล
   
ฉะนั้นพวกเขาจึงพยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามันไว้โดยไม่สนใจศีลธรรมใดๆ อย่างไรก็ตามศาสนาที่ประชาชนเชื่อถือในประเทศนั้นก็ถูกเขียนขึ้นมาโดยพวกเขาอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาต้องเชื่อมันเพราะมันสร้างมันถูกมาโดยน้ำมือมนุษย์ หลักคำสอนหลอกลวงที่เปรียบเสมือนยากล่อมประสาทคอยกล่อมเกลาให้ประชาชนเชื่อว่าความเลวร้ายทั้งหมดทั้งมวลที่ตัวเองประสบอยู่นั้นคือผลกรรมจากชาติก่อน ไม่ใช่เป็นผลของการกดขี่หรือความเหลื่อมล้ำในสังคม และหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้คือการมีศรัทธาในอัลฟ่าเท่านั้น
   
เรื่องที่ตลกร้ายกว่านั้นคือมีเบต้านับหมื่นนับแสนที่ยังเชื่อในหลักคำสอนพวกนี้ แต่ชีวิตของตนเองนั้นก็ไม่เคยดีขึ้นเลยแม้แต่วันเดียว
   
ประชาชนในตอนนี้โง่เขลาเกินไป งมงายเกินไป เชื่องเชื่อเกินไป ซึ่งถ้าหากมาในแง่ในรัฐบาลแล้ว นับว่ามันเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียวที่พวกเขาสามารถผลิตซ้ำประชาชนในตัวแบบที่ตัวเองต้องการได้มากขนาดนี้ และรู้สึกไม่เสียแรงที่สอดแทรกข้อมูลเกี่ยวกับอัลฟ่าลงไปในทุกแขนงวิชา ตั้งแต่อนุบาลยันอุดมศึกษา ทั้งๆ ที่มันไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่ประชาชนต้องรับรู้เรื่องราวพวกนี้
   
เอาเข้าจริงเหล่ากลุ่มปฏิวัติก็ไม่ได้มั่นอกมั่นใจอะไรนักว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนระบบการปกครองอันโหดร้ายนี้ได้ทันที แต่เหตุผลที่พวกเขายังทำอยู่ก็เพียงเพราะไม่อยากให้ความคิดและอุดมการณ์เหล่านี้ถูกกลืนหายไปกับการเวลาหรือถูกลบไปจากประวัติศาสตร์โดยพวกอัลฟ่า
   
ซึ่งอีกเหตุผลสำคัญเลยคือพวกเขายังศรัทธาใน ‘เสรีภาพและความเท่าเทียม’ และคาดหวังตัวเองนั้นจะเป็นยาหยอดตาให้กับพวกเบต้าที่ยังนัยน์ตามืดบอดเชื่อในอัลฟ่าอย่างไม่เคยนึกสงสัยมาก่อน เพียงเพราะถูกสอนให้เชื่อทันทีและศรัทธาโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ หากเผลอสงสัยขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็นตัวแปลกแยกในสังคม

ทั้งๆ ที่มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น เพราะการตั้งคำถามควรเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ และถ้าหากสิ่งๆ นั้นดีจริง ทำไมถึงไม่ให้มีการตั้งคำถามหรือสงสัยกัน?

แน่นอนว่าเหล่ากลุ่มปฏิวัติก็รู้สึกสิ้นหวังกันอยู่บ้างที่ผู้ร่วมอุดมการณ์ของตัวเองนั้นถูกฆ่าตายมากมายถึงเพียงนี้ ทุกคนที่แสดงตัวในที่สาธารณะแทบจะไม่มีใครเลยที่มีชีวิตรอดกลับมา หรือถ้าหนีรอดออกมาได้ก็มีสภาพปางตายและอาจจะตายในอีกไม่กี่วันเพราะไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษาของโรงพยาบาลได้

พวกเขาเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้คิดจะเลิกรา เพราะหลังจากการแสดงตัวสองครั้งก็มีผู้มาเข้าร่วมกลุ่มปฏิวัติของพวกเขามากขึ้น แววตาของเหล่าเบต้ายามที่มองความรุนแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชนนั้นมีความหวาดกลัวและเห็นใจ เนื่องจากสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นมันโหดร้ายเกินกว่ามนุษย์จะกระทำต่อกัน ต่อให้เป็นคนตรงหน้าปีศาจก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่สมควรถูกฆ่า พวกเขาไม่ได้ทำร้ายใครเลยด้วยซ้ำ

มีเพียงฝ่ายรัฐบาลผู้ป่าวประกาศแสดงตนว่าตัวเองเป็นคนดีนักหนาที่เข่นฆ่าเหล่าผู้มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐอยู่ฝ่ายเดียว!
พวกเขาใช้อาวุธ ใช้อำนาจความยุติธรรม ใช้ความเกลียดชัง ทารุณสั่งสอนเหล่าผู้คนที่ถูกตราหน้าว่าปีศาจที่ไร้ซึ่งอาวุธใดๆ ในมือ จนมีผู้บริสุทธิ์ตายนับพันนับแสนคน ยังไม่รวมบางคนที่ถูกลักพาตัวเข้าไปในค่ายและหายตัวไปอย่างลึกลับโดยไม่มีใครรู้ชะตากรรมอีกนับร้อยคน
   
ประเทศนี้เป็นประเทศแบบไหนกันแน่
   
กลุ่มปฏิวัติไม่ว่าจะรุ่นไหนตั้งคำถามนี้มาตลอด และปลอบประโลมกันว่าสักวันมันจะดีขึ้น สักวันพวกเราจะเปลี่ยนแปลงมันได้ สักวันจะมีคนมากพอที่ศรัทธาในอุดมการณ์เดียวกับพวกเขา
   
สักวันหนึ่งที่พวกเขาคาดหวังว่าวันเป็นวันพรุ่งนี้
   
วันที่เบต้าทุกคนจะหลุดพ้นจากความเป็นทาสและได้เสรีภาพกลับคืนมาเสียที

   

“คุณคือทวิชใช่ไหม?”
   
“…”
   
ทวิชที่กำลังยืนสูบบุหรี่หน้าร้านเลิกคิ้วมองเบต้าวัยรุ่นคนหนึ่งที่ทักตัวเองนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยกับเท่าไหร่ นัยน์ตาคู่สวยมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับสถานการณ์ของตัวเองตอนนี้เต็มทน
   
“อ่า นั่นสินะ ผมควรจะแนะนำตัวเองก่อนสิ” เบต้าคนนั้นหัวเราะเบาๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่าหัวเราะ อีกทั้งยังมีท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัด “ผม ผมเป็นตัวแทนจากกลุ่มวันพรุ่งนี้มาชวนคุณให้เข้าร่วมกลุ่มกับเราครับ”
   
“…”
   
ทวิชพยักหน้าน้อยๆ เชิงให้พูดต่อ ไม่ได้แปลกใจอะไรนักที่ตัวเองจะถูกชักชวน เพราะการกระทำของเขาทุกวันนี้มันก็ไม่ได้ดูเหมือนเบต้าทั่วไปเท่าไหร่ แถมเขายังเคยติดต่อกับกายด้วย
   
ซึ่งคนที่เป็นเบต้าเห็นทวิชดูค่อนข้างคุยง่ายก็พูดด้วยความมั่นใจมากขึ้น
   
“ที่พวกเราตัดสินใจชวนคุณทวิชเพราะเราเห็นว่าคุณทวิชมีศักยภาพพอที่จะช่วยเหลือพวกเราครับ ถึงพวกเราจะเป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่มาก แต่คุณทวิชก็มั่นใจได้เลยว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะไม่มีเหมือนครั้งก่อนแน่นอน”
   
“…”
   
ทวิชพยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้ ยังคงง่วนอยู่กับการอัดควันเข้าปอดและพ่นมันออกมาอย่างเฉยชา
   
“เราจะประท้วงพวกอัลฟ่าอย่างสันติ เราจะไม่ฆ่าใคร ทำร้ายใคร เหมือนที่พวกมันทำกับเรา เราจะเปลี่ยนวิธีการสื่อสารกับคนไปเรื่อยๆ ไม่ให้พวกอัลฟ่าเดาทางถูก”
   
“..ผมต้องทำอะไร”
   
ทวิชถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
   
เขารู้ดีว่าถ้าอาจับได้ว่าเขาเข้าร่วม เขาคงถูกยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่มีตอนนี้ ทั้งตึกที่เปรียบเสมือนชีวิตของเขา ข้าวข้องต่างๆ ที่เหล่าลูกค้าของเขาได้ฝากฝังเอาไว้ และที่สำคัญที่สุดคือตัวตนของเขา
   
‘สิงหกุลโภชนา’
   
ชื่อร้านที่ถูกสลักไว้บนแผ่นไม้ด้วยตัวอักษรสีทองและแขวนเอาไว้ในร้าน
   
ไม่มีใครรู้ว่าเขาตั้งชื่อร้านแบบนี้เพราะอะไรแม้แต่อาสิงห์ก็ตาม มีแต่เขาและครอบครัวของเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเขาตั้งชื่อร้านนี้เพราะอะไร
   
ทวิชอัดควันเข้าปอดอีกเพื่อความเจ็บปวดตีตื้นขึ้นมาจนเขาทนแทบไม่ไหว
   
เขาคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงน้ำเสียงที่เคยบอกเขาให้เลือกชื่อว่าอยากชื่ออะไรระหว่าง ‘ทวิช’ ที่แปลว่านก กับ ‘สิงหกุล’ ที่มีแปลว่าสิงห์ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เลือก พ่อกับแม่เลยเรียกเขาทั้งสองชื่อ จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกชื่อทวิช เพราะอยากให้ตัวเองมีอิสรเสรีแบบนก

ส่วนอีกชื่อหนึ่งเขาก็ไม่อยากทิ้งมัน เขาเลยสัญญากับแม่ว่าจะตั้งเป็นชื่อร้านอาหาร เขาจะทำให้มันดังๆ เพื่อที่เขาจะได้เงินเยอะๆ เราจะได้ไม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อกันแบบนี้อีก

แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้ว ฝันพวกนั้นก็เป็นได้แค่ฝันกลางวันของเด็กโง่ๆ คนหนึ่ง

“คุณจะคอยทำงานให้กับเรา คุณทวิช เราจะให้คลื่นความถี่ลับที่เราใช้ติดต่อกันให้กับคุณ”

ทวิชยื่นมือไปรับกระดาษและเมื่อพลิกดูก็มีตัวเลขเขียนกับตัวอักษรเขียนกำกับเอาไว้

“ครั้งต่อไปพวกคุณจะทำอะไร”

เบต้าวัยรุ่นยิ้มบาง

“พวกเราจะเล่นละคร”

“เล่นละคร?”

“ใช่ เล่นละครแบบเดียวกับพวกกลุ่มปฏิวัติรุ่นก่อนเล่นนั่นแหละ เราจะเล่นละครพวกนั้นซ้ำอีกครั้งที่จัตุรัสกลางเมืองพรุ่งนี้ พวกเบต้าที่มาซ้อมงานสถาปนาประเทศจะได้เห็นเรา แต่งานนี้ยังไม่ใช่งานของคุณทวิช คุณยังตายไม่ได้ เรายังต้องการคุณสำหรับงานอื่นๆ อยู่”

ทวิชพ่นควันออกมาอีกครั้ง

“พวกคุณวางแผนจะประท้วงไปจนถึงตอนไหน”

“จริงๆ พวกเราก็อยากประท้วงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะนะ แต่พวกเราก็รู้ความจริงกันดีว่ามันเป็นไปไม่ได้” เบต้าหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงแผ่ว แววตาสิ้นหวัง “เราจะประท้วงกันจนถึงวันสถาปนาประเทศ ถ้าจนถึงวันนั้นแล้วยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเราก็จะยอมแพ้ เพราะถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ เราก็คงไม่น่าจะมีอะไรเหลือแล้ว”

“..คุณจะยอมแพ้พวกมันจริงๆ เหรอ”

ทวิชถามเสียงแผ่ว รู้สึกเสียดายโอกาสเพราะถ้ารอบนี้จบลง เขาก็ไม่รู้ว่ากลุ่มปฏิวัติครั้งหน้าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้

“คุณก็รู้ดีว่าประเทศนี้มันเป็นยังไง เอาเข้าจริงต่อให้ผมไม่ยอมแพ้ จนถึงตอนนั้นคนก็น่าจะตายไปกันหมดแล้ว”

“…”

“ผมถึงได้ทุ่มทุกอย่างกับการปฏิวัติครั้งนี้ไง วันนี้ก็น่าจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้คุยกับคุณ เพราะพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปแสดงละครที่นั่น”

ทวิชพูดอะไรไม่ออก รู้สึกหดหู่ที่ช่วงนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียบ่อยเหลือเกิน ทั้งจากคนใกล้ตัวและไม่ใกล้ตัว แต่อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ที่สูญเสียไปนั้นก็เป็นชีวิตคนบริสุทธิ์ทั้งนั้น

“คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรนะ คุณทวิช เพราะมันเป็นความตายที่ผมยอมรับได้” เพราะกลัวว่าทวิชจะคิดมาก เบต้าหนุ่มจึงลนลานพูดต่อ “ถ้าการแสดงละครของผม มันทำให้พวกเบต้าตาสว่าง ผมก็ยินดีทำมัน”

“มันไม่มีใครสมควรตายเพราะแสดงละคร”

“พวกอัลฟ่าไม่สนใจหรอกเรื่องนั้น คุณทวิช” เบต้าหนุ่มหัวเราะเบาๆ “เอาเป็นว่าผมถือว่าคุณตกลงเข้าร่วมกลุ่มแล้ว หลังจากนี้คุณก็รอฟังข่าวจากวิทยุแล้วกัน เพราะหลังจากนี้จะไม่มีใครมาหาคุณอีก ถ้ามีใครมา ผมให้คุณสงสัยได้เลยว่าไม่ใช่กลุ่มพวกเราแน่ๆ ”

“…”

ทวิชพยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้ ซึ่งเบต้าวัยรุ่นก็กล่าวลาสั้นๆ และขอตัวกลับไปซ้อมละครสำหรับวันพรุ่งนี้ ทิ้งให้ทวิชยืนอยู่คนเดียวอีกครั้ง

ทวิชเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ยังคงครึ้มฝนด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง

เขาเลือกข้างไปแล้ว



“ช่วงนี้คุณระวังตัวหน่อยนะ”

“…”

ทวิชเหลือบมองเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มานั่งเล่นในร้านเขาอย่างถือวิสาสะโดยอ้างว่ามาตรวจดูความเรียบร้อย แต่จริงๆ แล้วคือตั้งใจมายุ่มย่ามกับเขาโดยเฉพาะ

“ฟังผมอยู่ไหมเนี่ย ผมอุตส่าห์มาเตือนคุณเลยนะ แล้วไอ้บริการหลับสบายอะไรของคุณเนี่ยก็เลิกไปก่อน ตอนนี้เบื้องบนจับตาดูทุกเขตเลย ถ้าขืนยังทำต่อไป คุณได้อยู่ไม่เป็นสุขแน่ ผมรับประกันเลย”

เพราะเพิ่งไปไล่จับโจรเบต้ามา ชนินทร์หรืออัลฟ่าหมาป่าจึงยังคงอยู่ในร่างกึ่งร่างต้นอยู่ หูทั้งสองข้างยังคงตั้งชันปกติ แต่พวงหางที่ทวิชมองไม่เห็นนั้นตกลงอย่างหงอยๆ เพราะทวิชไม่สนใจตัวเองเลยสักนิด

“คุณไม่มีอะไรให้ผมกินเลยเหรอ ผมก็อยากกินมั้งนะ”

รอบนี้แม้แต่หูของชนินทร์ก็ลู่ลง ไม่เหลือท่าทีน่าเกรงขามของพวกอัลฟ่าเลยแม้แต่นิดเดียว พร้อมทำหน้าหมาหงอยใส่ทวิชอย่างน่าสงสาร

“กินเสร็จผมไปเลย ไม่อยู่กวนใจคุณแน่นอน”

แน่นอนว่าชนินทร์ได้กลิ่นอาหารที่เหมือนเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ จากในครัว ก็เลยลองอ้อนทวิชดูเผื่อว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนบ้าง เขาไม่เชื่อหรอกว่าทวิชจะใจร้ายซื้ออาหารเม็ดมาให้เขากินจริงๆ

“นะ คุณทวิช ถ้ามีข่าวอะไรจากเบื้องบน ผมจะมาบอกคุณคนแรกเลย”

“..รีบกินแล้วก็ไสหัวไปแล้วกัน”

ทวิชกลอกตาใส่อย่างรำคาญ ยอมเดินไปหลังร้านแล้วตักซุปเห็ดกับขนมปังกลับมาให้ชนินทร์ด้วยสีหน้าไม่จำยอมนัก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อลองชั่งน้ำหนักในใจถึงความคุ้มค่ากับการผูกมิตรคนของทางการ ก็พบว่ามันก็คุ้มค่ามากพอ

เขายังต้องการข่าววงในอยู่ ต้องการรู้ความเคลื่อนไหวของทางการ เพราะส่วนหนึ่งของการปฏิวัติครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความข่าว ใครรู้ข่าวของอีกฝ่ายมากกว่า ฝ่ายนั้นก็ได้เปรียบ

“น่ากินจัง”

ชนินทร์กระดิกหางอย่างตื่นเต้น และพอมองข้อนิ้วที่ว่างเปล่าของทวิชก็ตื่นเต้นกว่าเดิม

“คุณโสดแล้วใช่ไหม ทวิช งั้นผมก็จีบคุณได้สิ”

“ผมมีคู่แล้ว แล้วคู่ผมก็ยืนอยู่ตรงนั้น”

ทวิชพยักพเยิดไปนอกร้าน ซึ่งเป็นกันต์ที่กำลังรดน้ำต้นไม้ให้อยู่

“อย่าโกหกผมเลยน่า เด็กนั่นไม่ใช่แฟนคุณหรอก” ชนินทร์ยิ้มแล้วหยิบขนมปังจิ้มซุปและกัดเข้าไปคำนึง “ผมเป็นตำรวจนะคุณ ผมดูออกว่าเด็กนั่นมาจากศูนย์รับเลี้ยง”

ทวิชถอนหายใจใส่แรงๆ เอาเข้าจริงเขาก็ไม่อยากพาดพิงถึงกันต์ แต่ไอ้ตำรวจนี้ก็ไม่เลิกสนใจเขาสักที ไม่รู้ว่าจะสนใจอะไรเขานักหนา

“ผมไม่สนใจอัลฟ่าอย่างพวกคุณ”

“ทำไมล่ะ คบกับอัลฟ่ามีอนาคตกว่าคบกับเด็กนั่นนะ แล้วผมก็มั่นใจว่าถ้าคุณคบกับผม ผมจะพาคุณออกจากที่ห่วยๆ นี่ได้แน่ๆ เขตบ้าอะไรไม่รู้ มีแต่พวกเบต้าติดยากับขอทานเต็มไปหมด”

“แล้วคุณรู้ไหมล่ะ ว่าทำไมพวกเขาถึงติดยา”

ทวิชแค่นเสียงหัวเราะตอนที่เห็นชนินทร์ตอบไม่ได้

“มันเป็นทางเดียวที่ทำให้พวกเขาลืมความเจ็บปวดไง คุณตำรวจ เพราะรัฐบาลของคุณทอดทิ้งพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาตกงาน อดอยาก แล้วก็เจ็บปวด อ้อ แล้วคุณรู้ไหมที่ผลิตยาพวกนี้มันอยู่ที่ไหน”

ทวิชตอนนี้คล้ายกับสติหลุดไปชั่วขณะหนึ่ง พรั่งพรู่ทุกอย่างที่ซุกซ่อนเอาไว้ในใจออกมา และพูดมันด้วยแววตาเกลียดชังจนคล้ายกับว่าชนินทร์นั้นเป็นตัวแทนของพวกอัลฟ่าทั้งหมด

“ศูนย์เภสัชกรรมของพวกอัลฟ่าไง คิดว่าพวกเบต้าธรรมดาๆ จะมีปัญญาหาสารตั้งต้นยาพวกนี้เหรอ แล้วถ้าคุณคิดว่าผมหลอกคุณก็แล้วแต่คุณเถอะ จะเชื่อไอ้บทเรียนโง่ๆ กับไอ้โฆษณาชวนเชื่อที่ล้างสมองคุณตลอดเวลาก็ตามใจ เอาสิ จะจับผมไหมล่ะ คุณชนินทร์ ยิงผมเลยก็ได้ ผมไม่โกรธ”

ปกติทวิชมักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีเสมอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาช่วงนี้มันมาเกินไปจนเขาแทบจะรับมันไม่ไหวจริงๆ

เขายอมรับว่าเขาคงทำใจไม่ได้ถ้าต้องสูญเสียร้านของเขาไป การปฏิวัติมันสำคัญกับเขา แต่ร้านของเขาก็สำคัญกับเขามากเหมือนกัน เขาไม่อยากจะสูญเสียมันทั้งสองอย่าง แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่อาจะปล่อยร้านเขาไป

เขาเจ็บปวดมาก เพราะสถานที่แห่งนี่เป็น ‘บ้าน’ หลังเดียวที่เขาเหลืออยู่ หอพักที่เขาเคยอยู่กับพ่อแม่ตอนเด็กๆ ตอนนี้ก็ถูกทำลายไปแล้ว ที่ทางทั้งหมดทั้งของฝ่ายพ่อและแม่ก็โดนยึดเป็นของอัลฟ่าไปหมด ส่วนตึกนี้เขาก็ตัดสินใจซื้อมันหลังจากที่ออกมาจากการดูแลของอาสิงห์

เขาอยู่ที่นี่มาเกือบสี่ปีแล้ว มันอาจจะไม่ใช่ที่ที่ดีมาก แต่มันก็เป็นบ้านของเขา เป็นที่ซุกหัวนอนแห่งเดียวที่อนุญาตให้เขาอยู่

“..คุณเป็นพวกกบฏเหรอ”

ชนินทร์พูดเสียงเบา รู้สึกตกใจความจริงที่เพิ่งรู้ตอนนี้มาก เพราะไม่เคยเจอกบฏที่เป็นอัลฟ่ามาก่อน

“อืม ผมเป็นกบฏ ยิงเลย ผมจะได้ตาย มันจะได้จบๆ แล้วเชิญคุณอยู่ในประเทศห่วยแตกที่ไม่มีวันเจริญนี่ต่อไปเถอะ”

ทวิชแค่นเสียงหัวเราะจ้องชนินทร์ตาเขม็ง ไม่หวาดกลัวต่อความตายสักนิด

“ใจเย็นก่อน คุณทวิช ผมไม่ยิงคุณแน่ๆ คุณ คุณต้องโดนพวกมันล้างสมองมาแน่เลย ใช่ มันต้องใช้คลื่นอะไรสักอย่างสะกดจิตคุณแน่ๆ คุณได้อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าไหม”

“แล้วคุณเชื่อเหรอ?” ทวิชแค่นเสียงหัวเราะ “รู้รึยังว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์ไม่ได้หมุนรอบโลก”

“ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย ผมเป็นห่วงคุณนะคุณทวิช ส่วนเรื่องเมื่อกี้ผมจะถือว่าผมไม่ได้ยินก็แล้วแต่กัน แต่ผมขอเตือนคุณเลยว่าพวกเบต้าที่มันออกมาประท้วงอะไรนี่มันต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ มันคิดกันเองไม่ได้หรอก”

“ทำยังไง พวกคุณถึงจะเลิกโง่นะ”

ทวิชพูดออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ส่วนชนินทร์ก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

“ผมไม่ได้โง่สักหน่อย ทวิช ผมสอบได้ท็อปทุกวิชาเลยนะ แล้วอีกอย่างที่คุณพูดเมื่อกี้มันก็ไร้สาระทั้งนั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงที่รัฐบาลจะเป็นคนขายยาให้กับพวกเบต้าเอง”

“คุณรู้อยู่แก่ใจ คุณตำรวจ”

ทวิชยิ้มบาง
   
“คุณก็แค่ไม่กล้ายอมรับความจริงก็เท่านั้น กลัวว่าความเชื่อตลอดอายุยี่สิบสามสิบปีของคุณมันพังทลาย แต่เชื่อผมเถอะว่า ถ้าคุณรู้ความจริงของเรื่องพวกนี้แล้ว คุณจะดีใจมากกว่าเสียใจ”
   
“คุณชักจะพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ”
   
“งั้นก็ฆ่าผมสิ ฆ่าอย่างที่พวกอัลฟ่าชอบทำกัน ไม่อยากเป็นคนดีเหรอ ชนินทร์ คุณจะปล่อยให้กบฏอย่างผมมีชีวิตต่อจริงๆ เหรอ”
   
ชนินทร์ตอนนี้หน้าซีดมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือเผลอเอื้อมไปจับด้ามปืน แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะยิงทวิชเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนอกจากคำพูดที่ดูคุกคามแล้วทวิชก็ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายเขา
   
หรือว่าที่ทวิชพูดจะเป็นความจริง?
   
ชนินทร์ครุ่นคิดอย่างงุนงง ซึ่งวินาทีถัดมาเขาก็แย้งกับทวิชในใจทันที เพราะอัลฟ่าที่เขารู้จักไม่ทำอะไรที่ชั่วร้าย เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม อีกทั้งยังรักความยุติธรรมด้วย
   
เอาเข้าจริง สิ่งที่พวกกบฏจะเป็นความจริงได้ยังไงกัน ทวิชก็แค่ถูกล้างสมองเท่านั้น เขาต้องหาทางช่วยทวิชก่อนที่ทวิชจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้!
   
“ไม่ต้องห่วงนะ ทวิช ผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ผมจะหาทางช่วยคุณให้ได้”
   
เพราะความตึงเครียดตอนนี้ทำให้ลิ้นของชนินทร์แทบไม่รู้รสสิ่งที่ตัวเองกิน ทั้งๆ ที่ตอนแรกรู้สึกว่ามันอร่อยมากๆ และตั้งใจจะชมทวิช ซึ่งตอนนี้เขาก็ยังอยากชมนะ แต่มันก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะเท่าไหร่
   
“แล้วแต่คุณ”
   
ทวิชกลอกตาและรู้สึกเสียดายเวลาที่ตัวเองอุตส่าห์อธิบายให้ชนินทร์ไปเมื่อกี้ แต่เอาเข้าจริงมันก็เป็นอะไรที่พอจะเดาได้อยู่แล้ว พวกที่โดนล้างสมองมาตั้งแต่เกิด จะให้กลับมาตาสว่างมันก็ยากอยู่หรอก ไม่อย่างนั้นพวกเบต้าก็คงจะตาสว่างกันทั้งประเทศแล้ว
   
“แต่ที่ผมสัญญากับคุณเรื่องข่าว ผมจะให้จริงนะ”
   
“…”
   
ทวิชเงียบไม่รู้จะตอบอะไร เพราะค่อนข้างกับงงกับเจ้าหมานี่พอตัว ทั้งๆ รู้ว่าเขามีใจฝักใฝ่เข้าข้างพวกกบฏก็ยังจะมาให้ข่าวจากฝั่งตัวเองอีก
   
“ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนดีทวิช คุณไม่ใช่กบฏหรอก คุณก็แค่ถูกพวกมันหลอกใช้”
   
ชนินทร์ยัดขนมปังที่เหลือเข้าปาก แล้วจัดการซุปที่เหลือทั้งหมดในคราวเดียว ซึ่งพอกินหมดก็หยิบหมวกตำรวจที่วางพาดไว้บนเก้าอี้มาใส่อีกครั้ง และยิ้มให้ทวิช
   
“อาหารของคุณอร่อยสมคำเล่าลือ ทวิช เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะหาอะไรมาฝากคุณนะ”
   
อัลฟ่าหมาป่าโน้มหัวอีกรอบเชิงขอบคุณ ก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป ไม่รอให้ทวิชพูดอะไร เพราะรู้ดีว่าคงจะไม่วายถูกอีกฝ่ายเอ็ดอีกแน่ๆ
   
“..หมาเวร”
   
ทวิชสบถเซ็งๆ
   
นี่เขาต้องทนไอ้หมาบ้าไปอีกนานเท่าไหร่กัน?

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด