#รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 16 (18/12/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #รักไม่คาดคิดในวันพุธ : พุธที่ 16 (18/12/2019)  (อ่าน 14145 ครั้ง)

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2019 22:49:19 โดย babybaphomet »

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
Wednesday In Class
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



"บังเอิญจังเลยเนอะ"
"..."

ไปเนอะกับพ่อมึงเถอะ!!



------- ♡ Wednesday In Class ♡  -------



สารบัญ




------- ♡ Wednesday In Class ♡  -------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2019 17:56:41 โดย babybaphomet »

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
Prologue
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



วันพุธนี้ก็เป็นเหมือนกับทุกวันพุธของสัปดาห์


เด็กมหาลัยคนหนึ่งในชุดนักศึกษาเดินสบายๆ เข้าไปในร้านแม็คโดนัลสาขาสยามพารากอนอย่างคุ้นเคย ใบหน้าน่ารักหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อรำคาญคนที่เยอะตลอดเวลา ตั้งแต่ห้างนี้เปิดให้บริการ เขาไม่เคยจะเห็นว่ามันมีวันไหนที่คนร้างเลยสักครั้ง


วันนี้เขาเลือกแม็คโดนัล สาขาที่ติดกับธนาคาร ทั้งที่ปกติแล้วเขามักจะเลือกร้านอาหารนี้แต่อีกสาขามากกว่า แต่วันนี้ล้งเล้งรำคาญคน ร้านนั้นคนเยอะเกินไป


“ผมขอชุดแม็คฟิชชุดนึงครับ”
“ทานนี่หรือกลับบ้านคะ?”
“ทานนี่ครับ” 


พนักงานสาวหน้าตาท่าทางเหนื่อยอ่อน (นี่ยังไม่เที่ยงด้วยซ้ำ ทำไมถึงรีบเหนื่อย) ฉีกยิ้มการค้าอย่างไร้พลังงานมาให้ชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะทวนเมนูอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขายื่นเงินให้ก่อนที่จะรับใบเสร็จแล้วเดินขึ้นไปหาที่นั่งที่ชั้นสองด้วยความเคยชิน

นอกจากเป็นนักศึกษาแล้ว ล้งเล้งเป็นติวเตอร์ด้วยเช่นกัน


‘ครูพี่ล้งเล้ง: รับสอนภาษาอังกฤษราคากันเอง คอร์สละไม่แพง รายชั่วโมงก็มี ติวเตอร์แสนดีแถมหล่อ’ นี่คือสโลแกนของโรงเรียนสอนพิเศษ ‘ครูพี่ล้งเล้ง’

เขามองซ้ายมองขวาแล้วพุ่งไปที่โต๊ะโซฟาที่มีสองโต๊ะติดกันทันที ไม่รู้เว้ย! ทีมกูคนเยอะ กินเยอะด้วย ใช้พื้นที่เยอะด้วย ถึงตอนนี้ยังมีคนเดียวอยู่ก็เถอะ แต่คนเดียวก็เยอะได้เว้ย! เดี๋ยวก็มีมาอีกเป็นฝูงเว้ย!

หลังวางกระเป๋าผ้ากับพวกชีทที่เตรียมมาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ล้งเล้งก็รีบสับขาไปเอาอาหารที่สั่งเอาไว้อย่างว่องไว เขาคิดเอาเองว่าอาหารน่าจะเสร็จเรียบร้อย วันนี้ถึงแม้คนจะเยอะแต่ยังถือว่าบางตากว่าเสาร์-อาทิตย์มากโข


17.00 น.

ยังได้อยู่ เริ่มสอนตอนหกโมงเย็น ตอนนี้เหลือเวลาอีกเป็นชั่วโมง เขายังกินข้าวทันอยู่

ปกติแล้วล้งเล้งมักจะมาก่อนเวลาสอนเสมอ (ถ้าทำได้ แต่บางครั้งอาจารย์ก็ปล่อยช้าเหลือเกิน) มาเตรียมบทเรียนแล้วก็กินข้าวให้เรียบร้อยก่อนที่จะสอน แต่หลายครั้งด้วยความจำเป็นก็ทานข้าวไปสอนไป ถึงแม้มันจะดูไม่ค่อยเป็นมืออาชีพมากนักก็ตาม

อ่าว มีคนมานั่งแล้วว่ะ

เมื่อเดินกลับขึ้นมา โต๊ะข้างๆ ที่ควรจะว่างอยู่ถูกจับจองด้วยชายหนุ่มอีกคนเสียแล้ว ล้งเล้งเพียงแค่ยักไหล่ไม่ใส่ใจ แล้วเดินไปวางถาดบนโต๊ะ แล้วเตรียมตัวทานอาหารเหมือนกับทุกครั้ง คนที่กำลังจะอ้าปากงับแฮมเบอร์เกอร์ของตัวเองเลิกคิ้วมองไปทางทิศของโต๊ะที่เคยว่าง พอดีกับที่ชายคนนั้นหันมากระตุกยิ้มชั่วให้พอดี

ติวเตอร์คนเก่งอ้าปากค้าง รอยยิ้มกวนตีน ตาที่หรี่ลงเหมือนกำลังเจอเรื่องสนุกสนาน กับหน้ามึนๆ นั่นมันดูกวนส้นตีนจนเขาปรี๊ดขึ้นมา


มึง! มึงอีกแล้ว!!


ไอ้เวรที่เป็นคู่แข่งทางการค้าและกวนตีนเขามาตลอดหลายเดือน โผล่มานั่งอยู่ข้างเขา อีก-แล้ว!!


“บังเอิญจังเลยเนอะ”



ไปเนอะกับพอมึงเถอะ! ไอ้เหี้ย!



------- TBC -------


สวัสดีค่า
ลองมาแต่งแนวมหาลัยมั่ง ฮือ

ติชมได้อย่างที่ใจอยากเลยนะคะ 55555

ฝากแท็กนิดนึงนะก๊ะ
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ

ขอบคุณมากค่า XD

ป.ล. อันนี้สามารถอ่านแยกกับเรื่องวันจันทร์ และวันอาทิตย์ได้นะคะ เนื้อเรื่องไม่ต่อเนื่องกันค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2019 23:18:32 โดย babybaphomet »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2:

รออ่าน

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
1st Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ



วันพุธช่วงเย็นเป็นเวลารถติด


ล้งเล้งนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนรถตู้ วันนี้เขามีสอนเด็กตอนหกโมงครึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมง การจราจรกรุงเทพทำให้รถที่ควรจะไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินั้น กระจุกตัวรวมกันอยู่บนทางด่วนด้วยความเร็วเต่าขาขาดคลานไปมา

เมื่อไหร่จะถึงสักทีวะแม่ง

เด็กหนุ่มนั่งกัดเล็บอย่างหงุดหงิด ในใจนึกด่าการจราจรกรุงเทพฯ ไปจนถึงระบบการจัดการของรัฐบาลในทุกสมัยที่ไม่เคยเอาชนะปัญหานี้ได้ เด็กหนุ่มกระวนกระวาย เขาเป็นผู้สอนพิเศษ เขาไม่ควรไปสอนสาย มันจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็กน้อยที่เรียนพิเศษกับเขา ถึงแม้น้องจะนั่งบีทีเอสไปเรียนได้ ในขณะที่เขาต้องอ้อนวอนรถตู้จากรังสิตไปลงอนุเสาวรีย์ก่อน แล้วต่อบีทีเอสอีกทอดหนึ่งก็ตาม

หากเลิกเรียนแล้วนั่งๆ นอนๆ อยู่หอล่ะก็ ล้งเล้งจะไม่บ่นเลยแม้แต่น้อย รถจะติดแค่ไหนก็ช่างหัวมันไปสิ คนเราเดินไปเรียนได้ ไม่แคร์เว้ย!

แต่ชีวิตของเขาไม่ได้น่ารักขนาดนั้น 

ชายหนุ่มต้องเดินทางไปสอนพิเศษหลังจากเลิกเรียนตอนสี่โมงครึ่ง ฝูงเด็กนักเรียนมอปลายที่อยากเข้ามหาลัยกำลังนั่งรอเขาด้วยความหวังอยู่ที่แม็คโดนัล สยามพาราก้อน ซึ่งป่านนี้คงจะยังเดินเล่นอยู่ในห้างนั้นเพื่อรอเวลาเรียนอยู่

ส่วนตัวเขาเหรอ? อ๋อ รถติดอยู่บนทางด่วน ตอนนี้ยังไม่ถึงอนุสาวรีย์เลย แล้วชาติไหนมันจะถึงรถไฟฟ้ากันล่ะวะ! แม่งเอ้ย

หงุดหงิดฉิบหาย

ล้งเล้งสบถในใจอีกครั้ง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวเหล่าน้องๆ ที่ตัวเองสอนจะต้องมานั่งรอเดินรอนาน ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป่ากางเกง มือกดพิมพ์ข้อความลงไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจคนข้างๆ ที่ทำเหมือนจะหลับแต่แอบเหล่มาที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขา ซึ่งล้งเล้งไม่เคยเข้าใจว่ามันจะมาสนใจโทรศัพท์คนอื่นเพื่ออะไร ใช้ชีวิตของมึงไปสิ!

16.50 น.

น้องๆ ของครูล้งเล้งผู้หล่อเหลา (5)
ล้งเล้ง: พี่ว่าพี่น่าจะเลท
ล้งเล้ง: รถยังติดอยู่เลย
ล้งเล้ง: ทำการบ้านรอกันไปก่อนนะ

เด็กน้อยอ่านแทบจะทั้งหมดในทันที ส่วนใหญ่ส่งสติกเกอร์โอเคมาให้ รวมถึงเด็กที่ซนที่สุดที่เขากำลังสอนอยู่ด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ มันส่งโอเคมาแล้วไปเย้วๆ กันอยู่ในร้านแมคฯ ยินดีที่เขาไปถึงช้าแน่นอน

รอก่อน ใครไม่ทำการบ้านนะ จะดีดเหม่งให้!

เขาค่อนข้างจะสนิทสนมกับน้องสอนพิเศษมากพอสมควร ตั้งแต่เริ่มสอนพิเศษน้องๆ นี่ก็เข้าเดือนที่สามแล้ว เขาเริ่มสอนตอนที่ขึ้นปีหนึ่งใหม่ๆ ด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าว่าอยากจะเป็นคนที่สามารถทำให้เด็กนักเรียนเป็นนิสิตนักศึกษาในมหาลัยที่ต้องการให้ได้

ล้งเล้งจะเป็นครูที่ดี

เขาเชื่อว่าครูที่ดีไม่ใช่แค่คนที่ทำให้เด็กเข้ามหาลัยดังๆ ได้ แต่ต้องเป็นคนที่ทำให้เด็กสามารถเข้าคณะที่ตัวเองจะเรียนอย่างมี ‘ความสุข’ ได้

ชายหนุ่มเริ่มสอนตั้งแต่เริ่มเทอมแรกที่นี่ใหม่ๆ ช่วงมัธยมปลาย ล้งเล้งเป็นหนึ่งในหลายๆ คน ที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองอยากเรียนหรืออยากเป็นอะไรในอนาคตกันแน่ เขาแค่รู้ว่าตัวเองจำเป็นจะต้องมีที่เรียน ช่วงมัธยมปลายเลยพุ่งเป้าไปที่แผนการเรียนวิทย์-คณิต โดยไม่ลังเล เพราะเชื่อว่ามีทางเลือกรออยู่ในอนาคตมากกว่า

เขาคิดว่าตัวเองพอจะทำชีวะได้ คณะวิทยาศาสตร์ ภาคธรณีวิทยา ที่มหาลัยหนึ่งจึงเป็นช็อยส์แรกในการเลือกยื่นคะแนนเข้าไป คิดด้วยความหวังว่าจะเรียนมันได้แล้วจบมาทำงานในห้องแล็ปเท่ๆ แอดมิชชั่นเข้าไปได้ มันก็ต้องเรียนได้สิวะ!

คิดผิดที่สุดในชีวิต

ตอนที่ติดแล้วถึงรู้ว่าตัวเองไม่ใช่แนวนี้เลยแม้แต่น้อย เพื่อนก็โอเคแต่ไม่ได้สนิทใจมากนักเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันนาน เรียนได้สัปดาห์เดียวก็เลยตัดสินใจนอนอ่านหนังสืออยู่บ้าน

‘ซิ่วแม่งเลย ไอ้สัตว์เอ๊ย!’ คือคำตอบ

อย่างน้อยก็ตัดสินใจถูก ตอนนี้รู้เลยว่าตัวเองยอมเสียเวลาแค่ปีเดียว คุ้มค่ากว่าทนทู่ซี้เรียนต่อไปมากโข

ไลน์!

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เหี้ยบีม: มึง ใครทำการบ้านในหนังสือแล้วมั่ง
เหี้ยบุ๋ม: อิ๊งอ่ะ ที่อาจารย์สั่ง
เหี้ยบีม: เราสองคนต้องการลอก
เหี้ยบุ๋ม: เราขี้เกียจ
เหี้ยบีม: เราเหนื่อยล้า
เหี้ยบุ๋ม: เราเปิดตาไม่ขึ้นแล้ว
เหี้ยบีม: มันหนักหนา
เหี้ยบุ๋ม: มันสาหัส

เขามองกรุ๊ปไลน์ที่ไหลเร็วมากเพราะเพื่อนในกลุ่มสองคนดันแชทเหมือนว่างแต่ดันไม่ยอมทำการบ้านที่อาจารย์สั่งด้วยสายตาเหมือนกับที่มองกองขยะเปียกในวิชาแยกขยะและพลเมืองดีที่เรียนวันเสาร์

สองคนนี้นี่มันน่าเบื่อจริงๆ

บุ๋ม และ บีม เป็นเพื่อนสองคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับชายหนุ่ม บุ๋มเป็นชาวใต้ที่ผิวขาว ล้งเล้งจำไม่ได้เหมือนกันว่าเพื่อนมาจากจังหวัดไหน อาจจะเพราะบุ๋มเรียนที่กรุงเทพมาตลอด เลยไม่ได้ติดสำเนียงถิ่นมากนัก เพียงแต่ว่ามันฟังภาษาใต้รู้เรื่อง แล้วก็มักจะมีของกินหิ้วมาให้เสมอเวลามาเรียน

ถามว่าของกินเอามาจากไหน? ล้งเล้งจะตอบให้ว่ามันซื้อจากลอว์สันใต้หอ

นอกจากโอเด้งของร้านลอว์สันในบางวัน ของกินอีกอย่างที่จะเห็นบุ๋มถือติดไม้ติดมือไปไหนมาไหนด้วยก็คือสเต็กไก่ ซึ่งล้งเล้งก็ไม่เข้าใจว่าเพื่อนตัวเองเป็นเหี้ยอะไรถึงถือสเต็กไก่ไปมา


อีกคนหนึ่งคือบีม

บีมนั้นมีแม่เป็นคนเชียงรายพ่อเป็นคนปทุม ที่รู้เพราะว่ามันพูดแบบนี้ตลอดเวลาที่เจอกันตั้งแต่ครั้งแรก อันที่จริง มันพูดไม่หยุดพอๆ กับบุ๋ม เหมือนเป็นแฝดคนละฝาที่เพิ่งจะหากันเจอตอนเข้ามหาลัย แต่เข้ากันได้ดีเหมือนผีเน่าโลงผุ
หากเทียบกับบุ๋มแล้ว บีมผิวออกจะสีคล้ำกว่าหน่อย แต่ความกวนประสาทและมั่นหน้านั้นกินกันไม่ลงเลยทีเดียว ล้งเล้งเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันสองคนไปทำอีท่าไหนถึงกลายเป็นคู่หูที่คอยกวนประสาทชาวโลกไปเรื่อยแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ของกินที่ถือไปไหนมาไหนคือไส้กรอกซีพี งงเหมือนกันว่าจะกินไส้กรอกอะไรนักหนา

ใช่ สองคนนี่เป็นเพื่อนในกลุ่มของล้งเล้ง 

หากพูดถึงการคบ ‘เพื่อน’ ในมหาลัย สำหรับล้งเล้งแล้วมันไม่ยากเลย เขาจับกลุ่มกับไอ้พวกที่นั่งใกล้ๆ กัน คุยกันรู้เรื่อง เต้นแจวมาแจวจ้ำจึกน้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคนแจวมาด้วยกัน เลยตั้งกรุ๊ปไลน์กันแล้วลงเรียนด้วยกันมาตั้งแต่วันนั้น  ตอนนั้นเขาเองก็ไม่รู้จักใคร คิดเอาเองว่ามีเพื่อนไว้ก็น่าจะอุ่นใจกว่า อย่างน้อยพวกนี้ก็พูดกันรู้เรื่อง

แต่เมื่ออยู่กันได้สองสัปดาห์ เขาก็ค้นพบว่าตัวเองคิดผิด

เราดันเอาคนบ้ามาเป็นเพื่อนว่ะ

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
ล้งเล้ง: พวกมึงเป็นเหี้ยอะไร?

เหี้ยบุ๋ม: น้องล้ง
เหี้ยบีม: น้องเล้ง
เหี้ยบุ๋ม: อย่าร้าย
เหี้ยบีม: มันไม่เข้ากับน้อง

ล้งเล้ง: ทำไม?
ล้งเล้ง: มึงจะทำอะไรกู?

เหี้ยบุ๋ม: เราจะโป้ง
เหี้ยบีม: ไม่ให้เกี่ยวก้อยด้วย
เหี้ยบุ๋ม: ไม่ยอมคืนดี
เหี้ยบีม: โป้งแล้วโป้งเลย

สรุปคือ นอกจากรถติดแล้ว ยังต้องเจอเพื่อนเป็นบ้าอีกเหรอ?

ล้งเล้งถอนหายใจอีกครั้ง ข้อดีข้อเดียวของสองคนนี้คือทำให้เขาที่นั่งด่ารถติดและการจัดการจราจรที่ไม่ได้เรื่องของประเทศนี้ เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นด่าพวกมันแทน

ชื่อ ‘เหี้ยบุ๋ม’ กับ ‘เหี้ยบีม’ ที่เขาเมมในไลน์นั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย 

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เหี้ยบีม: อันที่จริงแล้ว
เหี้ยบุ๋ม: เราด่าล้งเล้งไม่ได้
เหี้ยบีม: เดี๋ยวไม่มีใครติวปลายภาค
เหี้ยบุ๋ม: สิ่งเดียวที่เราทำได้
เหี้ยบีม: คือด่าไอ้มู
เหี้ยบุ๋ม: ใช่ เราจะด่าไอ้มู
เหี้ยบีม: ไอ้เหี้ยมู ไอ้หมาโง่!
เหี้ยบุ๋ม: แกทำให้ชั้นอยู่แย่!

ล้งเล้ง: … สัดเอ้ย
ล้งเล้ง:  เสียเวลาอ่านของกูฉิบหาย

เขารู้สึกเหมือนกับเส้นเลือดในสมองเต้นตุบๆ ในหัวคือคิดแล้วว่าถ้าเจอหน้าจะต้องเตะมันคนละที ไม่เตะขานะ จะเตะข้อมือ อย่างน้อยมันน่าจะมือหักพิมพ์ไม่ได้สักสองสามวัน โลกจะได้สงบสุขขึ้นบ้าง

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เจ๋งเป้ง: กูบอกพวกมึงหรือยังว่ากูเกลียดชื่อกรุ๊ปฉิบหาย
เจ๋งเป้ง: ไม่คิดจะเปลี่ยนกันมั่งหรือไง
เจ๋งเป้ง: ปัญญาอ่อน

เจ๋งเป้ง คือเพื่อนอีกคนของกลุ่ม มันเป็นคนที่สูงมาก อันที่จริงเวลายืนกับเพื่อนในกลุ่มดูไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ หากไม่นับล้งเล้งละก็นะ ทุกคนเหมือนจะกินนมกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ถึงแม้ล้งเล้งจะไม่ต้องถึงระดับเงยหน้ามองเพื่อน แต่เวลายืนในรถสองแถวด้วยกัน เขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องก้มหัว

พูดแล้วก็เศร้า แต่เราทำอะไรไม่ได้แล้ว

หากพูดถึงระดับสติของเจ๋งเป้งนั้น ล้งเล้งจะให้คะแนนมากกว่าบุ๋มบีมอยู่หน่อย สองคนนั้นเหมือนลูกคู่บีหนึ่งบีสองในกล้วยหอมจอมซน ส่วนเจ๋งเป้งเหมือนต้นไม้ในเรื่อง ไม่ค่อยมีปากมีเสียง รู้ตัวทีเอากิ่งฟาดหน้าคนอื่นเรียบร้อยแล้ว

สำหรับล้งเล้งนั้น เจ๋งเป้งนิสัยดีที่สุดในบรรดาพวกนั้นแล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นคนที่มีสติมากที่สุดในกลุ่มต่างหาก มันเป็นผู้ใหญ่กว่าบุ๋มบีมเยอะ หล่อกว่าด้วย เขาจะชมตรงๆ แบบนี้แหละ ทั้งที่กระดากปากเวลาชมเพื่อนตัวเองก็ตาม

แต่หากให้พูดกันจริงๆ ล่ะก็ คนที่หล่อที่สุดในกลุ่มคือล้งเล้ง

ใช่ เขาเองแหละ

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เหี้ยบีม: นายเจ๋งเป้ง!
เหี้ยบุ๋ม: นายเกลียดอะไรเรา!
เหี้ยบีม: ชื่อนี้ดีที่สุดแล้ว! 
เหี้ยบุ๋ม: พวกเราช่วยกันตั้งชื่อนี้ด้วยความตั้งใจ 
เหี้ยบีม: พวกเราสองคนคิดขั้นมาอย่างปราณีต
เหี้ยบุ๋ม: นายมันคนหยาบคาย
เหี้ยบีม: นายมันคนเหี้ย
เหี้ยบุ๋ม: เราขอไล่นายออกจากกลุ่ม!
เหี้ยบีม: ไปไป๊ ชิ่วชิ่ว!

ล้งเล้งเลิกคิ้ว นี่ขนาดรถตู้เขามาจอดที่อนุสาวรีย์แล้วนะ พวกมันยังเถียงกันเรื่องไร้สาระไม่จบอีกเหรอ? เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว นี่หรือคือสมองของอนาคตประเทศ?

ปล่อยให้พวกมันคุยกันไป หลังจากที่รถตู้จอดเรียบร้อย เขารีบกระโดดแล้ววิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้าทันที โชคดีที่มหาลัยเขามีรถตู้มาถึงบีทีเอส ไม่งั้นถ้าต้องนั่งรถเมล์ออกมานี่คงจะใช้เวลาประมาณสามปี จากรังสิตกว่าจะถึงสยาม

ไลน์!

เชี่ย น้องตามหรือเปล่าวะ?

ล้งเล้งเสียวสันหลังแว๊บตอนที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากแอพแชทชื่อดังที่เอาไว้คุยกับชาวโลก มองดูเวลา เอ้า ก็ยังไม่สายนี่หว่า นักศึกษาคนเก่งส่ายหัวพลางดูแจ้งเตือนอีกที

อ่อ ไอ้กลุ่มเหี้ยนี่อีกแล้ว

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
ไอ้มู: กูบอกแล้ว พวกจับได้ไพ่ 7ถ้วย ชอบฟุ้งซ่าน
ไอ้มู: นั่นก็คือพวกมึงสองคน
ไอ้มู: ไอ้เวร
ไอ้มู: กูดูดวงอยู่
ไอ้มู: สมาธง สมาธิหายหมด

คนสุดท้ายของกลุ่มพวกเขาคือ มู อันที่จริงชื่อเล่นมันคืออะไรไม่รู้ ลืมไปแล้ว แต่ว่ามันทักว่าเขามีเนื้อคู่วนเวียนอยู่รอบตัวตอนที่เจอกันวันแรก ทุกวันนี้มันก็ยังทักแบบนั้น พวกเขาเลยเรียกมันว่า ‘มู’ แน่นอนว่าย่อมาจาก มูเตลู

เห็นมันเป็นบ้าแบบนี้ ….

แต่มันก็เป็นบ้าแบบนี้แหละ ใช่ครับ ไม่มีอะไรน้อยเลยนอกจากสติ

วันดีคืนดีมูมันก็เหลืองมาเรียนทั้งตัว บอกวันนี้สีเหลืองเป็นสีมงคล หรือบางทีก็บอกเพื่อนว่าเลขที่ห้องไม่ดี (ไอ้บุ๋มตอนนี้มียันต์แปะประตูห้องแล้วครับ ไอ้มูจัดการให้) หรือแม้กระทั่งคำนวณเบอร์โทรศัพท์เพื่อนให้เสร็จสรรพ หรือวันไหนเกิดอาเพศอะไรไม่รู้ มันก็จะทักเพื่อนแบบนี้

‘ล้งเล้ง มึงกำลังมีเนื้อคู่อยู่รอบตัวนะ’
‘ฮะ?’
‘มึงกำลังมีเนื้อคู่มาวนเวียนอยู่ใกล้ตัว’
‘อะไรของมึงวะ?’
‘ระวังท้องก่อนแต่ง’
‘ไอ้สัตว์’

หากให้พูดตามจริง ล้งเล้งไม่เชื่ออะไรที่มันบอกมาเลยสักนิด แต่ในเมื่อมันไม่ได้เดือดร้อนการใช้ชีวิต ชายหนุ่มเลยปล่อยให้เพื่อนมูนั้น มูเท่าที่ใจอยากจะมู

ถึงแม้ในหลายๆ ครั้ง การมูของมูมันจะน่ารำคาญไปหน่อยก็ตาม

อย่างเช่นครั้งหนึ่ง เขามาเรียนด้วยเสื้อนักศึกษาไปเรียน ตอนเย็นโดนมันลากไปตลาดนัดเพื่อซื้อเสื้อใหม่ เพราะมันบอกว่าเสื้อขาวเป็นกาลกิณี

กูถามจริง? ตอนสอบทำไง? ถอนทิ้งแล้วลงใหม่งี้เหรอ?

พอถามมันออกไปแบบนี้ มูก็เลยเปิดมาว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้วสมัยมันไปสอบแกทแพทช่วงมัธยมหก ตอนนั้นมันจะแก้เคล็ดด้วยการใส่เสื้อคาร์ดิแกนทับเสื้อนักเรียน จนถึงตอนนี้มันก็ยังคิดว่าตัวเองสามารถเข้ามหาลัยได้เพราะวันที่สอบแกทแพทใส่คาร์ดิแกนสีมงคล

เอาที่มึงสบายใจ แต่ไม่ต้องมายุ่งกับเสื้อของกู

พวกกูต้องตั้งชื่อกรุ๊ปสินะ (5)
เหี้ยบุ๋ม: เพื่อนมู
เหี้ยบีม: ทำอิ๊งยัง
เหี้ยบุ๋ม: ที่จารสั่งเมื่อเช้า
เหี้ยบีม: ที่มีการบ้าน
เหี้ยบุ๋ม: ทำหรือยัง
เหี้ยบีม: เราขอลอก
เหี้ยบุ๋ม: เราขี้เกียจ
เหี้ยบีม: เราคิดไม่ออก

ล้งเล้งปล่อยให้เพื่อนเถียงกันไปแบบนั้นในตอนที่กำลังจะแตะบัตรออกจากสถานีสยาม อันที่จริงเขาตั้งใจว่าจะนัดน้องเรียนใกล้ๆ ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต เพราะมหาลัยเขาอยู่แถวนั้น แต่เด็กๆ ที่สอนอยู่นั้นมีเรียนพิเศษที่อื่นกันก่อน ส่วนใญ่ไม่สะดวกเดินทางด้วย ล้งเล้งก็เลยเลยตามเลย

สยามก็ได้วะแม่ง ถึงจะไกลฉิบหายเลยก็เถอะ แต่เลือดครูสอนพิเศษมันเข้มข้น สอนที่ไหนก็ได้ขอแค่ให้ได้สอน


------- ต่อด้านล่างนะคะ -------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2019 00:03:23 โดย babybaphomet »

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
ต่อนะคะ

------- Wednesday In Class -------


เอาล่ะ จะถึงแล้ว

ครูสอนพิเศษรีบสับเท้าเพื่อไปให้ถึงร้านอย่างว่องไว เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งหลบคนไปเรื่อย ในใจเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว ยิ่งเมื่อต้องฝ่าฝูงนักท่องเที่ยวที่เดินช้าๆ คอยแต่จะถ่ายรูปกันอยู่ได้ ไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขารีบ! แล้วทำไมคนอื่นเขาถึงเกิดมาขายาวกันจังวะ ไม่รู้สึกเกะกะกันมั่งเลยหรือไง น่าหงุดหงิดฉิบหาย! 

วิ่งไม่นานก็ถึงร้านอาหาร ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวานิดหน่อย ก่อนจะประสานสายตากับหนึ่งในเด็กที่เขาสอนพอดี น้องมันสะดุ้งแล้วรีบพูดกับเพื่อนเลย แต่คงรีบไปหน่อย หรือไม่เขาก็เดินเร็วไปนิด เลยได้ยินที่มันพูดกันทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องพยายาม 

“เฮ้ย พี่ล้งเล้งมาแล้ว”
“เชี่ย กูยังไม่เสร็จแบบฝึกหัดเลยอ่ะ”
“มึงๆ กูขอลอกข้อนี้ก่อน”
“มาลอกอะไรตอนนี้ต้น”
“ก็เมื่อคืนกูลืมทำ”
“ไม่ทันแล้ว พี่แม่งอยู่นี่แล้วเนี่ย”
“การบ้านเสร็จแล้วใช่ป้ะ นั่งคุยกันเนี่ย?!”

พอเขาพูดปุ๊ปเด็กๆ ร้อง ‘เฮ้ย!’ ‘เชี่ย’ แล้วก็ ‘ฉิบหาย!’ ออกมา ฝูงเด็กน้อยแตกฮือ โต๊ะด้านข้างหันมามองกันสองสามโต๊ะ คาดว่าน่าจะเพราะไอ้เด็กพวกนี้มันเสียงดัง เขาเดินเข้าไปวางกระเป๋าที่ที่นั่งว่าง เมื่อกวาดตามองไปบนโต๊ะแล้วก็เห็นว่ามันมีชีทการบ้านที่เขาสั่งน้องๆ ไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ววางอยู่ มีแผ่นหนึ่งวางอยู่ตรงกลาง น่าจะเป็นของเกดที่เป็นต้นฉบับให้เพื่อนลอกอยู่

“พี่ล้งเล้ง หวัดดีค่ะ”

น้องลี่เป็นคนแรกที่ยกมือขึ้นมาไหว้ชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็รับไหว้แต่โดยดี ลิลลี่เป็นเด็กผู้หญิงจากโรงเรียนเอกชนที่หนึ่ง น้องก็ภาษาอังกฤษดี หัวไว แต่ขี้เกียจทำการบ้าน มาแต่ละครั้งน้องไม่เคยทำการบ้านให้พี่เลย แต่พอเห็นเด็กผู้หญิงถักเปียทำหน้าจ๋อยๆ ตัวชายหนุ่มก็ดุไม่ลง

ล้งเล้งเป็นคนรักเด็ก

ถัดจากน้องลิลลี่ก็คือลูกเกด น้องเป็นเด็กตัวผอมๆ ทานน้อย ทำการบ้านตลอด แต่ผิดทุกครั้งที่ทำส่งมา ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาเลย ในฐานะครูดูให้ได้อยู่แล้ว ทำผิดมายังดีกว่าไม่ทำอะไรมาเลย อย่างน้อยจะได้รู้ว่ามันทำอย่างไร ผิดจะได้แก้ไข เพื่อไปเจอโจทย์ที่ยากขึ้นจะได้ทำได้ แต่ถ้าไม่ทำการบ้านมาเลยสักนิด ตัวคนที่เป็นครูก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เด็กไม่เข้าใจตรงไหน สอนไปอาจจะไม่ถูกจุดก็ได้

คนต่อมาคือน้องต้น ซึ่งปกติล้งเล้งมักจะเรียกติดปากว่าไอ้เด็กต้น น้องเป็นเด็กกวนประสาท การบ้านไม่ค่อยทำ ยังดีหัวไวเลยไปตามเพื่อนได้ทัน แต่เหมือนน้องมันจะมีความสุขตอนที่เขาดุยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก เขาคิดตั้งแต่ตอนที่เจอน้องมันครั้งแรกๆ แล้วว่าน้องมันน่าจะเป็นบ้านิดหน่อย

คนสุดท้ายของกรุ๊ปนี้คือน้องโจ้ เอาจริงน้องโจ้เป็นเด็กผู้ชายเงียบๆ  ไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่ แต่ยังดีที่ทำการบ้านดี เรียบร้อย แถมยังแทบไม่เคยมาลอกให้เห็น อาจจะเพราะน้องตั้งใจเรียนทั้งในคลาส แล้วก็ชอบถามเขาในแชทหลังจากเรียนเสร็จ บางครั้งก็ทักมาคุยเล่นซึ่งตัวล้งเล้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

จากใจของติวเตอร์ น้องจะทำอะไรก็ได้ พี่ขอแค่ตั้งใจเรียนเป็นพอ

“ไหนพี่ล้งเล้งบอกจะมาเลทไงคะ? หนูก็เลย… เผื่อเวลาให้พี่มาเลทไง”

น้องลี่รีบพูดพร้อมกับส่งยิ้มแผล่มาให้เขา ซึ่งตอนนั้นคนอื่นที่โต๊ะคืออยู่ในสภาพของการลนลานโกยการบ้านของตัวเองกันใหญ่ เหมือนโจรที่พยายามจะปกปิดความผิดดทั้งที่ของกลางเต็มโต๊ะ

“การบ้านมันต้องทำตั้งแต่เรียนครั้งที่แล้วป่าว?”
“ก็แบบ” เด็กสาวเลิ่กลั่ก คล้ายกับกำลังหาข้ออ้างที่ดีที่สุดในเวลานี้ “ตารางหนูแน่นมากเลยพี่ ไหนจะกีฬาสี ไหนจะสามัคคีชุมนุม โห ไม่นับลูกเสืออีกนะ…”
“ลูกเกด เธอเป็นผู้หญิง”

ทั้งหมดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อ

“เห่ย ผู้หญิงก็เรียนลูกเสือได้”
“ลูกเกด เธออยู่มอปลาย ลูกเสือมันเรียนมอต้น”

บรรยากาศเงียบไปแป๊บนึง ก่อนที่เด็กน้อยจะพูดต่อ
 
“งั้นหนูเรียนรด.ก็ได้”
“ลูกเกด เรายังเป็นผู้หญิงเหมือนเดิมว่ะเอาจริง”
“ผู้หญิงก็เรียนรด.ได้พี่”
“แล้วเธอลงมั้ย?”
“ไม่อ่ะ”

แล้วจะพูดเพื่อ!

“ขออีกทีได้ป้ะ?”
“อ่ะได้ ให้โอกาส ขอดีกว่านี้อีกนิด”

ล้งเล้งมองหน้าเด็กน้อยที่ยิ้มเผล่มาให้ ก่อนที่ติวเตอร์หนุ่มจะพยักหน้า พร้อมกับพูดอนุญาต เด็กน้อยถึงได้เริ่มพูดต่อ

“งานหนูเยอะมากจริงพี่”
“ขอใหญ่กว่านี้ เอาแบบ พรรณนาโวหาร”

ติวเตอร์หนุ่มกอดอกมองเด็กหญิงที่เริ่มส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมคลาสเรียนพิเศษบ้างแล้ว แต่เเพราะรู้จักกันดี ล้งเล้งจึงรู้ว่าที่เด็กน้อยขอความช่วยเหลือน่ะ ไม่ใช่ในส่วนของข้ออ้าง แต่เป็นสายตาที่สามารถตีความหมายได้ว่า

 ‘ฉิบหายแล้ว! พรรณาโวหารคืออะไรวะพวกมึง!’

ทุกคนล้วนหลบตากันอย่างพร้อมเพียง ทิ้งเด็กหญิงให้ต่อสู้กับพี่ล้งเล้งอยู่คนเดียว

“คือมันแบบ พี่ล้งเล้ง… ก็แบบ ใช่ๆ พี่เห็นภาพถ่ายหลุมดำป้ะ? ไอ้ดำๆ ข้างในนั้นอ่ะ งานหนูหมดเลย ทับถมจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน”
“...”

ล้งเล้งทำหน้านิ่ง ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยคำถาม … กรรมอะไรของกู มาสอนเด็กเป็นบ้า

“นี่สุดตัวแล้วนะ เชื่อเถอะ หมดข้ออ้างจะแถแล้วจริงจัง”

เขามองน้องที่ยกมือไหว้เหมือนกับเขาเป็นเครื่องรางการเรียนที่พวกนี้ชอบพรีออเดอร์แล้วมาอวดเขา ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างอ่อนใจ เด็กๆ ทั้งกลุ่มร้อง ‘เย้ะ' ก่อนที่จะเขยิบออก เพื่อให้เขาได้ทรุดลงไปนั่งตรงกลางวง ที่ประจำของล้งเล้งเวลาจะสอนพิเศษน้องๆ

เอาเถอะ ถึงแม้น้องมันจะทำหรือไม่ทำการบ้านเขาก็ดุไม่ลงอยู่ดี เห็นแบบนี้แต่ล้งเล้งเป็นคนขี้ใจอ่อนมากเลยจริงๆ

“เดี๋ยวหยิบชีทที่เรียนคราวที่แล้วขึ้นมานะ ถ้าการบ้านยังไม่ทำก็ไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวมาดูไปพร้อมกัน”

ชายหนุ่มพูดพลางหยิบกระเป๋าขึ้นมาเพื่อเอากระเป๋าสตางค์ เพราะรีบร้อนออกมาทันทีที่เรียนเสร็จคาบบ่าย (แอบหนีออกมาก่อนด้วยอันที่จริงแล้ว) ตัวเองเลยยังไม่ได้กินอะไรแม้แต่น้ำเปล่า ตอนนี้ท้องของเขาร้องดังเซ็งแซ่เพราะหิวมากแล้ว

“นั่งทวนกันไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา รอบนี้เราจะมาต่อกันที่ค้างไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนกัน เคนะ แป๊บนึงขอซื้อของกินก่อน”

.
.
.


อ่าว มีคนใหม่มานั่งแล้วแฮะ 

ล้งเล้งถือถาดแม็คฟิช น้ำโค้ก และเฟรนช์ฟราย เดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อพบว่าโต๊ะด้านข้างที่เคยเป็นคู่หนุ่มสาวนักท่องเที่ยวลุกออกไปแล้ว แทนที่ด้วยเด็กนักเรียนมัธยมที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนสองสามคน พร้อมกับสมุดหนังสือบนโต๊ะ มองเพียงแว๊บเดียวก็รู้ว่าโต๊ะข้างๆ เองก็คงมาเรียนพิเศษหรือไม่ก็ติวหนังสือ ซึ่งล้งเล้งไม่ได้สนใจมากนัก เขาไม่ได้เป็นเจ้าของร้าน ใครจะนั่งก็ปล่อยให้เขานั่งไป

“คราวที่แล้วเราเรียนความแตกต่างของ active voice กับ passive voice ไปแล้ว คราวนี้เราจะมาเจาะลงที่ passive voice กันนะครับ”

เขาพูดตอนที่วางอาหารลงไปไว้ฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ก่อนที่จะเปิดชีทขึ้นมาเพื่อทำการสอนเด็กน้อยที่นั่งทำตาปริบๆ อยู่ ซึ่งไอ้เด็กต้นนั่งหาว เห็นนะเว้ย! ไอ้เด็กบ้านี่

การสอนของล้งเล้งเริ่มต้นขึ้นด้วยการยกตัวอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องเรียนครั้งที่แล้ว หรือไม่ก็เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กนักเรียนเข้าใจได้ง่าย และสามารถคิดตามได้อย่างรวดเร็ว

อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าวิธีนี้ถูกต้องหรือไม่ เท่าที่เคยอ่านๆ มา การสอนมีหลายรูปแบบ เพียงแค่เขาเลือกใช้วิธีนี้เพราะมันเหมาะกับวิธีการเรียนของตัวเขาเองเท่านั้น

‘ครืดดดดด’

พูดไปพูดมาได้สักพัก โต๊ะข้างๆ ก็มีผู้มาใหม่เดินเข้ามานั่ง ซึ่งล้งเล้งเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก จนกระทั่งได้ยืนเสียงลากเก้าอี้ พร้อมกับเสียงพูดยานคางอันเป็นเอกลักษณ์ลอยเข้ามากระแทกหู

“อ้าว บังเอิญจังเลย เจอครูพี่ล้งเล้งอีกแล้วนะเนี่ย”

คิ้วของชายหนุ่มกระตุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาพยายามดึงหน้านิ่งในขณะที่เด็กๆ ทั้งสี่คนมองกันไปมองกันมาเหมือนกำลังกลัวว่าเขาจะระเบิดอารมณ์หรือคว่ำโต๊ะในร้านแม็คทิ้งอะไรแบบนั้น

เหอะ! เขาไม่ทำลายข้าวของแบบนั้นหรอก!

ในตอนนี้น่ะนะ…

“เมื่อกี้พี่พูดถึงไหนแล้วนะ Passive ใช่ป้ะ”

ล้งเล้งดึงความสนใจทุกคนกลับมาที่บทเรียนตรงหน้า หยิบชีทที่ทำขึ้นมาเองแล้วซีร็อกส์มาร้อนๆ เมื่อบ่าย แจกจ่ายให้กับน้องๆ พยายามไม่สนใจเจ้ากรรมนายเวรโต๊ะข้างๆ ทั้งที่ในจินตนาการคือเฟรนช์ฟรายข้างหน้าคือหัวไอ้เวรนั่นที่กำลังถูกเขาเคี้ยวอยู่

สักวันเถอะ กูจะแดกหัวมึงแบบที่แดกเฟรนช์ฟราย! 

“ใครตอบพี่ได้บ้างว่า Active Voice คืออะไร?”

ทั้งวงเงียบ รู้เลยนะครับว่าตั้งใจเรียนกันเบอร์ไหน

“ที่เราเรียนกันไปอาทิตย์ที่แล้ว”
“...”
“ประธาน กริยา กรรม”
“...”
“นี่อาทิตย์ที่แล้วพี่สอนผีเหรอวะ? ตอบหน่อยเด็กๆ”
“...”

สอนดีขนาดไหนเด็กจำไม่ได้เลย น้ำตาไหลแล้วได้มั้ย

“โอเค ไม่เป็นไร มาเดี๋ยวพี่อธิบายให้ฟังนะ คราวนี้ก็ตั้งใจกันหน่อย” ล้งเล้งหยิบชีทของคราวที่แล้วขึ้นมา แล้วชี้ไปตรงความหมายที่เขียนเอาไว้ให้เด็กๆ ดู

“Active Voice คือรูปประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ เช่น Jojo eats cake ในประโยคนี้…”

เขาอธิบายเรื่องที่สอนไปคราวที่แล้วใหม่อีกรอบ น้องๆ ส่วนใหญ่ก็ดูตั้งใจฟังดี เหมือนกับทุกครั้งที่สอน มีแค่ต้นเท่านั้นที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นบ้าง แต่ถ้าเล็กน้อยล้งเล้งก็ไม่ได้จะดุอะไร

อันที่จริง นอกจากพวกนักเรียนตรงหน้าของล้งเล้งแล้ว ไอ้ติวเตอร์โต๊ะข้างๆ เอง ก็ดูเหมือนจะตั้งใจฟังที่เขาพูดด้วยเช่นกัน แจ้งตำรวจมาจับมันได้มั้ย? เงินก็ไม่จ่ายยังจะมาเนียนเรียนพิเศษด้วยอีก

“อันนี้คือรูปประโยคแบบ Active ส่วน Passive เนี่ยจะตรงข้ามกัน คือประธานของประโยคเป็นผู้ถูกกระทำ เช่น The cake is eatten by Jojo…”

ในตอนที่เขากำลังจะตอบน้อง โต๊ะข้างๆ ก็ดันพูดขึ้นมาว่า

“น้องๆ ครับ วันนี้เราจะมาเจาะไปที่คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับพวกรูปร่างกันนะครับ” เสียงยานคางเรียบเฉยพูดขึ้นมา เขาไม่ได้หันไปมอง แต่น้องๆ ในโต๊ะเขาหันหมด

เออดี เด็กกูแต่ละคน

“เรามาต่อ…” ล้งเล้งพยายามจะเรียกความสนใจเด็กกลับมา แต่ไอ้โต๊ะข้างๆ มันไม่ปล่อยให้ชีวิตการเป็นติวเตอร์ของเขามีความสุขง่ายขนาดนั้น

“อย่างเช่น” ไอ้โต๊ะข้างๆ นั่นพูดเสียงดังขึ้นมาหน่อย  “ถ้าโจโจ้กินเค้กมากเกินไป ในภาษาอังกฤษก็ If Jojo eats too much cake… ทุกคนรู้กันดีว่าโจโจ้ก็จะอ้วน คำว่าอ้วนในภาษาอังกฤษที่เราคุ้นเคยดีก็คือ fat ใช่มั้ยครับ? ไหน มีใครรู้คำอื่นอีกมั้ย?”

เด็กๆ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ ล้งเล้งมองหน้ากันเลิ่กลั่กคล้ายกับจะสื่อสารทางสายตาว่า ‘คำว่าอะไรวะ?’ ‘กูไม่รู้ มึงอ่ะ’ ‘มึงตอบดิสัตว์ กูไม่รู้ พี่เขาถามเชี่ยไรเนี่ย? สอนก็ยังไม่สอน กูจะไปหาคำศัพท์มาจากไหน!?’

ในขณะที่ล้งเล้งแอบเห็นไอ้เด็กโจ้ที่ตัวเขาเอามาแต่งประโยคเม้มปากเหมือนกลั้นขำ พอกวาดสายตาไปที่น้องๆ คนอื่น เด็กผู้หญิงสองคนก้มหน้าลงเหมือนจะกลั้นยิ้มในขณะที่ศอกสะกิดกันเหมือนกับกำลังเจอเรื่องฟิน ส่วนไอ้ต้นนั้นผิวปากอย่างถูกใจที่ครูของตัวเองโดนล้อ

 ดี มันต้องมีสักคนนี่แหละต้องตอบคำถาม! 

“โจ้ ฟังพี่อยู่ป้ะ?”
“ฟังครับพี่”

น้องตอบแล้วมองหน้าเขา ล้งเล้งขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกมองไม่วางตา จ้องนานไปมึง จ้องนานกว่าที่มองหนังสือเรียนอีกมั้งน่ะ ถ้าตอบคำถามไม่ได้ล่ะก็นะ!  ไอ้เด็กกวนประสาท

“เมื่อกี้พี่พูดอะไร?”
“ก็พูดเรื่องประโยค passive voice ว่า….”

ล้งเล้งพยักหน้าตามเมื่อน้องตอบถูกหมด เดิมทีโจ้เป็นคนเก่งอยู่แล้ว เอาเถอะ อยากจะทำอะไรก็ทำ หากสามารถเรียนรู้เรื่อง ตอบคำถามของเขาได้ ทำการบ้านมาส่ง ล้งเล้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องไม่พอใจอะไร เอาอารมณ์โกรธไปลงกับไอ้ติวเตอร์โต๊ะข้างๆ ดีกว่า

“เห็นแล้วใช่ป้ะว่ารูปประโยคมันจะไม่เหมือนพวก active voice…”

ล้งเล้งพูดต่อ แต่ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ได้ยินเสียงยานคางลอยมาให้ได้ยิน

“เห็นแล้วใช่มั้ยว่านอกจากคำว่า fat เรายังมีคำที่ความหมายคล้ายๆ กัน เยอแยะ อย่างเช่น chubby, overweight, …”

กวนส้นตีน

ล้งเล้งพยายามไม่สนใจโต๊ะข้างๆ ที่พูดเสียงยานคางสอนน้องทันที โดยลอกเลียนจากประโยคที่เขาพูดไปเป๊ะๆ ล้งเล้งพยายามไม่มองหน้าไอ้ครูโต๊ะข้างๆ การเป็นครูเราต้อง keep cool ถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้วเขาอยากจะเอาตีนตบหน้ามันก็ตาม

“มีใครสงสัยอะไรมั้ย?”

ติวเตอร์ที่ดั้นด้นมาจากแถบชานเมืองถามเด็กน้อยที่ตัวเองกำลังสอนอยู่ หลังจากที่อธิบายโครงสร้างเบื้องต้นของ passive voice พร้อมยกตัวอย่างให้เห็นภาพไปเรียบร้อย น้องลี่ถามมาสองสามคำถาม ส่วนคนอื่นเหมือนว่าจะไม่สงสัยอะไร ไอ้น้องต้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ลูกเกดน้องมองชีทขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ถามอะไร ส่วนน้องโจ้มองหน้าเขาอยู่ ไอ้นี่ก็มองไม่หยุดสักที

“โจ้ถามไรป้ะ? ถามได้นะ”
“ไม่ครับพี่”
“โอเค ถ้าไม่มีใครถามอะไรแล้ว พี่จะปล่อยให้ทำแบบฝึกหัดนะ”

พอเขากำลังจะแจกแบบฝึกหัดให้น้อง ได้ยินโต๊ะข้างๆ พูดขึ้นมาพอดี

“เฮ้ย พี่เพิ่งรู้ว่าเอาชีทพวกเราไว้ในกระเป๋าอีกใบ งั้นเดี๋ยวพี่ส่งให้ทีหลังนะครับการบ้านวีคนี้ มาลองทำโจทย์กัน เดี๋ยวพี่คิดให้ ขอห้านาที”

ล้งเล้งเผลอแสยะยิ้มออกมาเมื่อเจอช่องว่างที่จะด่าขู่แข่งทางการค้า

เสร็จกู! 

“น้องๆ ดูไว้นะครับ คนเราทำอะไรต้องมีการเตรียมพร้อม ถ้าไม่พร้อมแบบนี้จะโตไปเป็นคนไม่มีคุณภาพ”

เขาพูดลอยๆ พลางเอาชีทมาโบกเป็นพัดให้อีกคนดู เหมือนกับกำลังร้อน พร้อมทั้งสีหน้าที่แสดงความเหนือชั้นกว่า ไงล่ะมึง เห็นมั้ยกูเตรียมตัวดีกว่า!

“ถ้าเตรียมแล้วได้แค่นั้นก็อย่าเตรียมเลย เสียเวลา”
“...”
“ใช่มั้ยน้องหนูแดง”
“อ่า… มั้งคะ แฮะๆ”

ไอ้ติวเตอร์โต๊ะข้างๆ มันพูดกับเขาแน่นอน แต่ทำเนียนไปคุยกับน้องผู้หญิงที่มันสอนอยู่ ตอนนี้หากเป็นหม้อตั้งเตาละก็ ล้งเล้งคงจะเดือดระดับที่ส่งเสียงร้องดังไปสามบ้านแปดบ้านได้

 ดูมัน ดูนิสัยมัน! กวนตีนยังไงกวนตีนอย่างนั้น! 

เขาหันไปมองหน้ามันเต็มๆ เป็นครั้งแรกของวันนี้ นักศึกษา… เออ ขอโทษ! นิสิต!

นิสิตมหาวิทยาลัยดังที่ยังอยู่ในชุดเครื่องแบบนั่งมองหน้าเขาอยู่พอดี เครื่องแบบที่ดูเรียบร้อยขัดกับหน้ากวนตีนของมันนั่นทำให้ล้งเล้งเหม็นเบื่อ ลองเป็นมหาลัยเขาน่ะหรือ? คนใส่เสื้อนักศึกษาเต็มยศผูกเนกไทมีแค่ในจินตนาการละมั้ง เหมือนเป็นตำนาน ไม่เคยมีใครใส่จริง

ล้งเล้งไล่มองไปถึงส่วนหัว ผมของอีกฝ่ายยาวจนต้องมัดรวบยุ่งๆ ไว้ทางด้านหลัง ดวงตาของอีกฝ่ายไม่ได้เรียกว่าเล็กแต่ก็ไม่ได้โต ตาคมคิ้วเข้มมองแล้วล้งเล้งรู้สึกรำคาญเป็นบ้า หน้าตาของมันยังคงเป็นลูกหลานคนจีนเหมือนที่เคยเห็น ผิวตัวเหลืองซีด ใบหน้านิ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรนั้นส่งยิ้มกวนส้นตีนมาให้ ตาของมันหรี่ลง มุมปากยกขึ้นยิ้มคล้ายกับว่ากำลังเจอเรื่องสนุก

เรื่องสนุกของมึงคือกูหรือไงไอ้เวร!

คนที่ล้งเล้งรู้สึกว่า ‘ไม่เห็นจะหล่อเลยไอ้สัตว์เอ้ย!’ มองมาทางล้งเล้งพร้อมกับยักคิ้วทำหน้าตากวนตีนส่งมาให้ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เขาหักนิ้วด้วยความไม่สบอารมณ์ได้แล้ว โดยมีเด็กน้อยทั้งสองโต๊ะทำหน้าเลิ่กลั่ก มองติวเตอร์สองคนที่เขม่นกันไปมา ในขณะที่ล้งเล้งเหมือนจะระเบิดแล้ว แต่นิสิตอีกคนยังไงทำหน้ามึนกวนประสาท พร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น และกว้างขึ้นเรื่อยๆ   

สิ่งสุดท้ายในโลกที่เขาจะรักคือไอ้ผู้ชายในชุดนิสิตคนนี้!

กูเกลียดมึง! 

ไอ้เหี้ยทะเล!




-------- TBC ------- 



สวัสดีจ้า
ทะเลค่าตัวแพงเนอะ 555555
ฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ด้วยนะก๊ะ <333
ติชมเราได้นะ เราเขินๆ แต่งมหาลัย ฮือ ไม่คุ้นชิน 555555

ปล. อ่านแยกจากวันจันทร์ กับวันอาทิตย์ได้นะคะ





ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Mamamapp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้องทะเลนี่พี่คิดแฮชแท็กไว้ให้ล่วงหน้าเลยนะคะ
#ผีทะเล ค่ะล้งเล้ง สู้เค้านะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ชอบๆๆ ติดตามครับ,,,

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
2nd Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


ถ้าถามว่าล้งเล้งรู้จักกับไอ้ทะเลได้ยังไง


ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มจำความได้ เด็กชายล้งเล้งในวัยสามขวบเป็นที่รักของบ้านมาก เพราะเขาเป็นลูกชายคนแรกของครอบครัว มีพี่สาวคนหนึ่งที่อายุห่างกันหลายปี แต่พี่สาวของล้งเล้งก็มักจะเล่นกับเด็กน้อยเสมอเวลาที่อยู่บ้าน ทั้งพ่อกับแม่เองก็เป็นปลื้มกันใหญ่ แม่ถึงกับพูดทุกวันว่า


‘ล้งเล้งของเรา หล่อที่สุดในหมู่บ้านแล้ว!’


แน่นอนว่าล้งเล้งเชื่อสุดใจว่าตัวเองหล่อตั้งแต่เกิด มันคือเรื่องจริง ผู้ใหญ่ไม่พูดโกหกกับล้งเล้งอยู่แล้ว!   


วัยเด็กของเขาเป็นอะไรที่มีความสุข กินอิ่มนอนหลับน้ำหนักตามเกณฑ์ ตัวโตสมวัย วันว่างๆ ก็เล่นกับพี่สาว (บ้านของเขาเรียกว่าเจ๊) พี่สาวของเขาชื่อกุ๊กกิ๊ก เราห่างกันแปดปี พี่เขาดูแลน้องดีอย่างที่ล้งเล้งจะถามหาได้จากคนเป็นพี่ ถึงแม้จะไม่ยอมให้เขาไปโดดยางกับเพื่อนๆ ในซอยด้วย แต่ก็ยอมมานั่งเล่นกับน้องชายสองคนในบ้าน


อย่างที่บอกว่าพวกเรารักกันดี พวกเราจึงไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้ปวดหัวมากนัก

อันที่จริงแล้ว ปัญหามีอยู่เพียงแค่เรื่องเดียว

พี่กุ๊กกิ๊ก… อยากมีน้องสาว

ล้งเล้งเลยต้องไปเป็นน้องสาวให้พี่ตัวเอง


ตอนแรกๆ ล้งเล้งเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาหรอก พี่จับมัดจุกก็ยิ้ม พี่จับใส่กระโปรงก็หัวเราะ ตอนนั้นเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่องรู้ราวอะไร หากให้พูดตามตรง ตอนนั้นล้งเล้งคอนข้างที่จะไร้สาระไปวันๆ เขาจำได้ว่าตัวเองยังอยากโตไปเป็นโดเรม่อนอยู่เลย


‘ล้งเล้งน่ารักมากเลย ยิ้มหน่อยเจ้าตัวเล็ก!’



เขายิ้มแผล่ทุกทีที่ได้ยินแบบนี้ ตอนนั้นเห็นว่าแม่ก็ชมพ่อตอนอุ้มเขาว่าน่ารักมาก เขาเลยเข้าใจว่าผู้ชายชาติทหารเขาน่ารักกันเป็นเรื่องปกติ


 เขาไม่เคยคิดว่าการผูกแกะใส่กระโปรงมันเป็นเรื่องแปลก จนกระทั่งเพื่อนข้างบ้านคนแรกเข้ามาที่บ้าน เขาจำได้ดีว่าเด็กผู้ชายคนนั้นมองเขานิ่งๆ ใบหน้าตี๋แบบเด็กๆ ทำตาเป็นขีดเหมือนกับคนที่เพ่งอะไรบางอย่าง คนแปลกหน้ามองเขาคล้ายกับมองประโยคสัญลักษณ์ที่ไม่เคยมาก่อน


นายนั่นนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดถามด้วยเสียงยานคางว่า

 
“นายเป็นเด็กชายใช่มั้ย?”
“อือ”
“นายใส่ชุดผู้หญิงทำไมเหรอ?”
“อะไรนะ?”
“ก็เสื้อนายเขียนว่า ‘I am a Barbie Girl, in a Barbie world’ น่ะ”
“แล้วยังไงเหรอ?...”
“มันแปลว่าฉันเป็นบาร์บี้ ในโลกของบาร์บี้อ่ะ”


ล้งเล้งก้มลงมองเสื้อของตัวเอง ที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขายังสะกดไม่ออกด้วยซ้ำ เด็กน้อยจำได้ว่าเจ๊กิ๊กพูดว่าเสื้อตัวนี้เหมาะกับเขาที่สุดแล้ว แม่ก็บออกว่าน่ารัก พ่อก็บอกว่าเข้ากับเขาที่สุดในตู้แล้ว แบบนี้มันหมายความว่าอะไร?


“แล้วบี้ๆ เมื่อกี้คืออะไรเหรอ? มันแปลว่าหล่อเหรอ?”


นายนั่นนิ่งไปพักหนึ่งเมื่อเจอล้งเล้งถามต่อตาแป๋ว เด็กชายแปลกหน้าสำหรับล้งเล้งหรี่ตาลงอีกครั้งเหมือนกับเวลาที่เจ้าตัวพยายามใช้สมาธิท่องสูตรคูณที่มันออกจะเกินวัยอนุบาลไปหน่อย


“มันแปลว่าฉันเป็นสาวน้อย คิดว่านะ ไม่น่าจะผิดหรอก เราชอบภาษาอังกฤษ”
“...”
“ส่วนบาร์บี้คือตุ๊กตาเด็กผู้หญิงน่ะ”
“...”
“นายเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้เลย”
“...”
“เราเลยนึกว่านายเป็นเด็กผู้หญิงซะอีก เหมือนบาร์บี้จริงๆ ด้วย”


ที่ทุกคนในบ้านเคยพูด มันหมายความว่าอะไรน่ะ…


“เอ้า เด็กๆ มาอยู่นี่เอง”


เสียงผู้หญิงที่ล้งเล้งไม่คุนเคยดังขึ้นมาให้ได้ยิน เด็กน้อยคิดว่าคนแปลกหน้านี่น่าจะเป็นแม่ของไอ้ตี๋ที่มาพูดเรื่องบาร์บี้ใส่เขาแน่นอน เมื่อแม่ของเจ้าตัวเดินมาใกล้ เด็กนั่นน่าจะยังสงสัยในสิ่งเมื่อกี้อยู่ ไอ้ตี๋นั่นมันเลยชี้มาที่ล้งเล้งพลางพูดกับแม่ตัวเอง


“แม่ครับ ทำไมล้งเล้งเป็นผู้ชายถึงได้ใส่กระโปรงกับเสื้อ ‘I am a Barbie Girl, in a Barbie world’ ด้วยครับ?”
“...”
“มันแปลว่าสาวน้อยไม่ใช่เหรอครับ? หรือว่าเขาเป็นสาวน้อยที่เป็นเด็กผู้ชาย? เด็กผู้ชายไม่ต้องใส่กางเกงเหรอครับ?”


ถ้าจำไม่ผิด ผมคิดว่าผู้หญิงที่น่าจะเป็นแม่มันนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมา


“น้องทะเลคะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่ใส่กางเกงได้ หรือต้องเป็นผู้หญิงถึงจะใส่กระโปรง ใครๆ จะใส่อะไรก็ได้ถ้าตัวเองอยากใส่ ไม่เกี่ยวว่าจะต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะคะ…”


เขาจำได้ว่าตัวเองตอนเด็กนิ่งงันกับความจริงใหม่ที่เพิ่งได้รับรู้ หูอื้อไปหมดแล้ว ไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าไอ้เด็กคนนั้นมันพูดอะไรกับแม่ของมัน ผมยืนแข็งเป็นหินอยู่แบบนั้นจนแม่มาอุ้มไปกินข้าว


หลังจากวันนั้น เด็กชายล้งเล้งก็เริ่มเห็นว่า พ่อไม่ได้ผูกผมสองแกละ


และที่สำคัญ

พ่อ… ไม่ได้ใส่กระโปรง

.
.
.


ชั้นประถมหนึ่ง


วันแรกที่เปิดเรียนประถม ล้งเล้งตื่นเต้นมาก เด็กชายถือกระติกน้ำที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดไม่ปล่อยตั้งแต่ตอนกินข้าว ขึ้นรถมาถึงโรงเรียน จนกระทั่งเข้าแถวเสร็จแล้วนั่งเรียนอยู่ในห้อง ตัวเขากับกระติกน้ำอันใหม่ก็ยังรักกันดี เหมือนหมีพูห์และโถน้ำผึ้งของมัน


ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่กระโปรงอีกแล้ว ถึงแม้พี่กุ๊กกิ๊กจะเสียใจมากที่ยังถ่ายรูปน้องชายที่น่ารักไม่หนำใจก็ตาม
 

ล้งเล้งเข้าเรียนที่โรงเรียนเอกชนไม่ไกลจากบ้านนัก วันแรกที่เข้าไปเรียนเพื่อนๆ รอบตัวของเด็กน้อยก็ดูน่ารักดี สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือล้งเล้งสูงที่สุดในห้อง ป. ⅓ เขาดีใจมากขนาดที่ว่าเจ๊กุ๊กกิ๊กต้องคอยฟังเขาพูดถึงมันและความภูมิใจในส่วนสูงของตัวเองทุกวันจนเบื่อ (และพยายามจะหาทางให้เขาใส่เสื้อสีมพู ถักเปีย มัดแกะ และใส่กระโปรงสีหวานแหววต่อไป)


ประถม ⅓ เป็นห้องที่ดี เขาเป็นที่รักของเพื่อนๆ แล้วเพื่อนๆ ในห้องก็รักล้งเล้ง 

ทุกอย่างดีไปหมด

จนกระทั่งสัปดาห์ที่สอง


ไอ้เด็กตาตี่ข้างบ้านคนนั้นมันมาโรงเรียน แล้วมาอยู่ห้อง ป.⅓ เหมือนกัน!


ล้งเล้งจำมันได้ทันทีที่เห็นแค่คิ้วหนาๆ กับตาที่หรี่ลงทุกครั้งที่มองหน้าเขานั่นก็รู้สึกมวนท้องไปหมด ไอ้เด็กนั่นมีแค่ตาโผล่พ้นมาส์กปิดปากออกมาในการมาเรียนวันแรก ครูบอกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนไอ้ตี๋นั่นมันไม่สบายเลยมาเรียนไม่ได้ ครูจับให้มันมานั่งข้างเขาเพราะว่าเขาตัวสูง และไอ้บ้านี่ก็สูงเหมือนกัน


สิ่งที่เจ็บใจคือ มัน-สูง-กว่า!


ล้งเล้งจำได้ว่าตัวเองโมโหไปหมด โกรธกว่าตอนที่ตัวเองวิ่งตามรถไปติมไม่ทัน ตัวเขาที่เคยได้ตำแหน่งการยืนหลังสุดในห้อง ท้ายแถวของเพื่อนๆ ทุกคน ตอนนี้ที่ของเขาถูกแทนที่ด้วยไอ้ตี๋ข้างๆ ที่ยังซ่อนครึ่งใบหน้าอยู่ใต้หน้ากากอนามัย พลางไอค๊อกแค๊กน่ารำคาญทั้งวัน


“นายๆ”
“...”
ทะเเลพยายามจะพูดคุยกับล้งเล้งที่นั่งทำหน้าบู้บี้


กวนคนที่กำลังเรียน นิสัยไม่ดีเลย!


“เราทะเลนะ เราเคยเจอกันบ่อยๆ ตอนที่เราไปบ้านพี่กุ๊กกิ๊ก นายจำเราได้มั้ย?”
“...”


ไม่จำ! ไร้สาระ!


“ตอนเราไปบ้านนายน่ะ นายไม่ยอมมาเล่นกับเราเลย เราเล่นกับพี่กุ๊กกิ๊กกับพี่ชายนายอีกคน ชื่ออะไรนะ… ซกมก?”
“ซุกซน!”


ล้งเล้งแก้ชื่อญาติของตัวเองที่ไอ้คิ้วหนานี่เรียกชื่อลูกพี่ลูกน้องที่มาพักบ้านเขาช่วงปิดเทอมผิด ซึ่งมันไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น


“นั่นแหละ ซกมก... แคกๆ” ไอ้คนข้างๆ มันยังพูดไปไอไป โดยไม่สนใจว่าเขาทำหน้าบึ้งแค่ไหนตอนที่มันเรียกชื่อญาติเขาผิด
“บอกว่าชื่อซุกซน!”


ทะเลไอแบบไม่ใส่ใจชื่อของซุกซน แต่ดันพูดกับล้งเล้งต่อ


“นายไม่ยอมมาเล่นกับเรา”
“ก็เราไม่อยากเล่นด้วย”
“ทำไมไม่เล่นกับเรา?”


ไอ้คนป่วยนั่นยังคงพูดต่อไปด้วยเสียงยานคาง พร้อมกับทำหน้านิ่งๆ แต่คิ้วขมวดลงคล้ายกับสิ่งนี้เป็นปัญหาเชาว์ที่ไม่รู้วิธีคิด ในขณะที่ล้งเล้งหงุดหงิด คนไม่อยากเล่นด้วยจะมาชวนคุยทำไมนักหนา น่ารำคาญ!


น่ารำคาญกว่ากระดุมของเสื้อนักเรียนที่ติดยากๆ อีก!


“เพราะเราไม่ยอมใส่กระโปรงผูกโบว์เหมือนนายตอนอยู่บ้านเหรอ?”
“...”
“หรือเพราะว่าเราไม่มีเสื้อ ‘I am a Barbie Girl, in a Barbie world’ สีชมพูเหมือนกับนาย?”
“...”
“หรือว่าเพราะเรา… โอ้ย!”

 
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่านอกจากกระติกใช้เก็บน้ำเอาไว้กินแล้ว ยังใช้ฟาดหัวคนจนมันร้องไห้ได้เหมือนกัน 


.
.
.


มัธยมหนึ่ง


ล้งเล้งเกลียดการเข้าแถว

จากเด็กยักษ์ที่เคยสูงสุดในแถวตอนนั้น กลายมาเป็นไอ้ตัวจิ๋วที่อยู่หน้าสุดของแถวในวันนี้


หากพูดกันตามความจริง นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยเข้าใจ ล้งเล้งจำได้ว่าตัวเองสูงสุดในห้องได้แค่สัปดาห์แรกของปอหนึ่งเท่านั้น หลักจากนั้นห้องเขาก็มีไอ้ทะเลที่สูงสุดอยู่หลังเขา พอเริ่มโตมาเรื่อยๆ ทุกคนก็สูงขึ้นพรวดพราด ในขณะที่เขาค่อยๆ ยืดตัวอย่างเชื่องช้า คล้ยสล็อธเวลาที่ข้ามถนนอย่างใจเย็น จนตอนนี้ขนาดเด็กผู้หญิงบางคนยังสูงกว่าเขาเลย


โลกนี้มันอะไรวะแม่ง


ข้อดีข้อเดียวของเรื่องนี้คือไม่ต้องนั่งติดกับไอ้ทะเลอีกต่อไป ในขณะที่ล้งเล้งตัวไม่ต่างจากเด็กประถมเท่าไหร่ ไอ้ทะเลมันสูงพรวดพราดตลอดทุกปี สูงเร็วเหมือนกับมันกินนมทุกวันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ตอนนี้ล้งเล้งไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าตัวเขากับทะเลสูงห่างกันกี่เซ็นต์ และตอนนี้ทะเลสูงที่สุดในห้องตอลดมา มันเลยต้องไปนั่งหลังสุดตลอดเวลาหกปีในขั้นประถม


ในขณะที่เขาน่ะเหรอ?... นั่งหน้าสุดตลอดมา 


ชั้นมัธยมหนึ่งก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มได้แต่คิดปลอบใจตัวเองว่าเพราะว่าตั้งใจเรียกหรอก ครูเลยให้นั่งหน้าสุดกับเด็กผู้หญิงสองคนที่ตัวพอๆ กัน ไม่ใช่เพราะว่าสูงน้อยเสียหน่อย! ถ้าให้วัดกันจริงๆ แล้วล่ะก็ ใจเขาใหญ่มากเลยด้วยซ้ำ! 


ตามปกติเขาก็อยู่กับเพื่อนผู้ชายของตัวเอง มีต่อยตีบ้างตามภาษา ล้งเล้งมักจะกระจุกอยู่กับพวกเด็กผู้ชายหลังห้อง ที่เรียนหนังสือบ้าง แต่หลับเสียมาก แล้วก็โดดเรียนกันเป็นว่าเล่นเลยด้วยซ้ำ


ไม่มีครูคนไหนชอบพวกเขา เพื่อนในห้องเองก็คุยได้แต่บางส่วนก็ไม่อยากจะยุ่งด้วยเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากถามล้งเล้งล่ะก็ เขาคิดว่าเพื่อนตัวเองก็นิสัยดีนะ ถึงแม้จะขี้เกียจเรียนไปบ้างก็ตาม


ชีวิตโดยรวมของเขาโอเคดี ยกเว้นแค่วิชาเดียวเท่านั้น 


คหกรรม


อาจารย์สุ่มเลขที่ให้ทำงานกลุ่มละสามคนไปจนจบปี เลขที่ของเขาต้องทำงานกับเด็กผู้หญิงเงียบๆ คนหนึ่งของห้อง ซึ่งเขาจำชื่อเล่นของเพื่อนคนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะไม่ได้สุงสิงกันมากเท่าไหร่นัก นั่นไม่ใช่ปัญหา มีงานอะไรก็ทำๆ ไปให้มันหมดเวลาก็พอ


ปัญหาน่ะคือ… กลุ่มของเขาดันมีไอ้เหี้ยทะเลอยู่ด้วย


ไอ้ทะเลที่ตอนนี้ก็ยังคงเรียนอยู่ห้องเดียวกันอย่างที่เขาเกลียด ล้งเล้งทำให้ไอ้หน้านิ่งนี่มั่นใจว่าหกปีของชั้นประถมนั้นไม่ได้เข้าใกล้เขาเกินสามเมตร ทะเลไม่ใช่ส่วนหนึ่งในแก๊งเด็กผู้ชายสุดเท่ของเขา ไม่เล่นด้วยช่วงประถมหนึ่ง หนีตอนประถมสี่ พยายามแข่งวิ่งให้ชนะมันตอนประถมหก (และแน่นอนว่าแพ้ย่อยยับ ช่วงขามันจะยาวไปไหนไอ้เวร! โกงฉิบหายไอ้บ้าเอ้ย!)


ล้งเล้งเกลียดไอ้เหี้ยทะเล

เคยเกลียดยังไง ตอนนี้เกลียดมากกว่าเดิมอีกพันเท่า!


“ทะเลเก่งจัง เรียนก็เก่ง ขนมก็ทำเก่ง”


เด็กผู้หญิงเงียบๆ คนนั้นที่เขาก็ยังจำชื่อไม่ได้พูดขึ้นมาในตอนที่ทะเลเทก้อนแป้งลงหม้อต้มบัวลอย ล้งเล้งคิ้วกระตุกหน้าตึงทันที คิ้วขมวดลงอย่างไม่เข้าใจ ทะเลน่ะเหรอเก่ง? มันเก่งอะไรวะ คนที่ปั้นก้อนแป้งเฉยๆ น่ะเหรอเรียกเก่ง?


 เหอะ! คนที่ตั้งเตา เตรียมกะทิ คือกูนี่! กู!!


“ไม่หรอก เราไม่ได้ทำอะไรเลย ล้งเล้งเก่งกว่าเยอะ”


ไอ้ทะเลที่เทก้อนแป้งลงหม้อหมดแล้วหันมาพูดกับเพื่อนร่วมคลาสตัวน้อยด้วยเสียงยานคางกับหน้านิ่งๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว เพราะส่วนสูงที่ค่อนข้างต่างกันมากในช่วงหกปีมานี้ ทำให้เวลาที่ชายหนุ่มมองเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง เขาต้องก้มหน้าลงมามอง


“มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว”


ล้งเล้งยืนกอดอกอยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาด้วยเสียงขึ้นจมูกอย่างหงุดหงิด


“โห ไม่ถ่อมตัวเลยว่ะนาย”
“อะไรของมึง?”


ล้งเล้งถามกลับด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง เมื่อทะเลพูดกับเขาด้วยเสียงยานคางอันกวนประสาทในความคิดของเด็กหนุ่ม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำหน้านิ่งอยู่เลย แต่เมื่อคุยกับเขานั้น ไอ้ทะเลมันกระตุกยิ้มกวนประสาททันทีคล้ายกับเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ ซึ่งนั่นทำให้ล้งเล้งหงุดหงิด


เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมรุ่นพี่ชอบทะเละเยอะแยะอะไรนักหนา ไม่เเห็นจะมีอะไรดีเลยมันน่ะ! 


“ก็เปล่า”
“ไม่เปล่า มึงทำไม มึงมีอะไร พูดมาเลยดีกว่า!”


ล้งเล้งมั่นใจว่าสิ่งที่เขาเกลียดไม่น้อยกว่าทะเล นั่นคือท่าทางเฉยเมยกวนประสาทของมัน น้ำเสียงยานคางนิ่งๆ ของมัน รวมไปถึงการหรี่ตา และรอยยิ้มมุมปากของมัน ทุกอย่างที่ว่ามานั่น มันทำให้เขาเท้ากระตุก


เกลียดมัน ไอ้เวรทะเล!


“ไม่มีอะไร”
“มึงมี! อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องหน่อยเลยดีกว่า!” 


ล้งเล้งกระชากคอเสื้อทะเลอย่างแรง ถึงแม้จะต้องใช้ความพยายามนิดหน่อยในการยืดตัวให้สามารถกระชากถึงก็ตาม ไอ้ทะเลมันขมวดคิ้วลงเล็กน้อยคล้ายรำคาญ อาจจะเพราะมันต้องย่อลงมาเมื่อเขาดึงคอเสื้อมัน เออ ลงมาเลยมึง! จำใส่หัวเอาไว้ว่าล้งเล้งคนนี้ฆ่าได้หยามไม่ได้!

“บอกว่าไม่มีไงเล่าไอ้ลูกหมา”


มันพูดพร้อมกับสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเพื่อนสมัยเด็ก โชคร้ายที่ทะเลกะแรงผิดไปนิดหน่อย เพียงแค่การออกแรงให้พ้นจากการเกาะกุมครั้งเดียวนั่น ทำให้คนที่ยืนเขย่งกระชากคอเสื้ออีกคนอยู่นั่นเสียหลัก ล้งเล้งเซล้มไปชนกับโต๊ะของอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะลุกออกจากที่นั่งพอดี เก้าอี้ไม้ยาวแบบโต๊ะโรงอาหารล้มลงเสียงดังลั่น


โครม!


“ว้าย!”
“เฮ้ย!”


เสียงเพื่อนในห้องบางคนร้องขึ้นมาแต่ล้งเล้งไม่สนใจ เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นมายืนทันที เขาจำได้ว่าตอนนั้นโมโหจนเลือดขึ้นหน้า หูอื้ออึงด้วยความโกรธไปหมด ทะเลมันดูช็อกนิดหน่อยเหมือนกันที่เห็นเขาล้มกลิ้งไปแบบนั้น หน้าตาของมันดูตกใจแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก


ชั่วขณะหนึ่งล้งเล้งเองก็ประหลาดใจที่ได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของมัน เพียงพริบตาเดียว ความเจ็บปวดที่หลังก็เข้ามาแทนที่ เด็กหนุ่มสลัดความประหลาดใจทิ้งไป แล้วสวมใส่อารมณ์โมโหเข้ามาแทน


“ล้งเล้ง คือ…”
“ไอ้สัตว์ มึงจะเอาใช่ป้ะ!”


ผล้ัวะ!


เด็กหนุ่มเหวี่ยงหมัดหนักๆ เข้าหน้าทะเลทันทีด้วยความโมโห เสียงเนื้อกระทบกันเรียกความสนใจของคนทั้งห้อง เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงครูผู้หญิงวี๊ดว๊ายดังมาจากไกลๆ ซึ่งดังพอๆ กับเสียงฮือฮาของเพื่อนในห้อง แต่ตอนนั้นไม่สนใจอะไรแล้ว เด็กหนุ่มหูอื้อไปหมด เลือดขึ้นหน้าจนมั่นใจว่าเขาสามารถเอาโต๊ะทุ่มหัวไอ้กวนส้นตีนนี่ได้


“มึงว่าใครเป็นลูกหมาวะ?!”


ผล้ัวะ!


ตอนที่มันกำลังจะยืนขึ้นมาได้ ล้งเล้งอาศัยความว่องไวกระโดดเกาะทะเลเหมือนลูกลิงที่เกาะต้นไม้ คนที่ถูกนิยามว่า ‘ไอ้เหี้ยกวนส้นตีน’ เสียการทรงตัวล้มลง ตอนนั้นคนตัวเล็กขึ้นคร่อมทะเลแล้วปล่อยหมันลุนๆ ไปที่หน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง นาทีนั้นล้งเล้งคิดเพียงแค่ว่า ปากหมาอย่างงี้อย่าได้เหลือไว้กินข้าวเลยมึง!


วันนี้ถ้าทะเลไม่ตายคาตีน อย่ามาเรียกเขาว่าล้งเล้ง!!


.
.
.


แน่นอนว่าหลังจากนั้น ทะเลมันก็ยังเหลือปากไว้กินข้าว

ส่วนตัวของล้งเล้งนั้น มีอะไรเปลี่ยนไปนิดหน่อย


ผลจากการต่อยคนกลางห้องเรียนอย่างแรกคือ เพื่อนในห้องไม่ค่อยกล้าคุยกับล้งเล้งไปเป็นเดือน (โดยเฉพาะพวกเด็กผู้หญิง เขาเคยเห็นพวกนั้นเกาะกลุ่มกันจ้องมาที่เขาแล้วซุบซิบว่าเป็น ‘ลูกหมามือเปื้อนเลือด’ ซึ่งเป็นชื่อที่เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจในความโหดของตัวเองดีมั้ย) ในสายตาของหลายๆ คนเขากลายเป็นลูกหมาอารมณ์ร้อนไปแล้ว ไม่รู้ใครแม่งปล่อยข่าวว่าถ้าพูดคำว่า ‘ลูกหมา’ เขาจะพุ่งเข้าไปต่อย


ไอ้พวกปัญญาอ่อน

แต่ก็อยากต่อยแม่งทุกคนจริงๆ นั่นแหละ! ปัญญาอ่อน! ไอ้เวรเอ้ย โมโห!


มีแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นั่งข้างเขานั่นแหละที่ยังคุยกันอยู่ เธอชื่อเอิน อันที่จริงเด็กหนุ่มได้เอินช่วยไว้เยอะเหมือนกันสมัยเรียน เพราะเพื่อนของล้งเล้งนั้นไม่ใช่พวกที่พึ่งพาเรื่องเรียนได้ พวกการบ้านหรืองานอะไร เขาได้เอินที่คอยคุยกัน ช่วยถาม ช่วยตาม ช่วยกันทำงาน อาจจะเป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนในห้องที่ยังคุยกับเขาอยู่ด้วยซ้ำ


ส่วนพวกเพื่อนหลังห้องสถาปนาให้เขาเป็นหัวหน้าแก๊งพวกมันไปเรียบร้อยหลังจากนั้น เหตุผลเพราะล้งเล้งตัวเท่าลูกหมา สามารถล้มทะเลตัวเท่าแป้นบาสได้ด้วยมือเปล่า


อ่ะ ไอ้พวกนี้ก็บ้าพอกัน


อย่างที่สอง ล้งเล้งถูกเข้าห้องปกครองพร้อมทะเลคู่กรณี ตอนนั้นเจ๊กุ๊กกิ๊กที่เรียนมหาลัยแล้วมาเป็นผู้ปกครองให้เพราะเด็กหนุ่มไม่อยากบอกแม่ (ซึ่งไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิด) เขาถูกเจ๊ด่าหูชา ถูกตัดค่าขนม แถมมันยังให้เขาไปขอโทษไอ้ทะเลถึงบ้านอีก
 

ตอนที่ไปถึงบ้านไอ้ทะเล ล้งเล้งจำได้ดีว่าพี่สาวของเขาหน้าเสียแล้ว ส่วนตัวเด็กหนุ่มหน้าบึ้ง เขาไม่ได้อยากมาที่นี่เสียหน่อย!


เจ๊กุ๊กกิ๊กจับเขาก้มหน้าขอโทษพ่อแม่ของคู่กรณีถึงบ้านพร้อมด้วยกระเช้าของขวัญเซ็ตใหญ่ ล้งเล้งได้ยินเสียงใจดีของแม่ทะเลพูดว่าไม่เป็นไร เด็กเล่นกัน แค่ล้งเล้งมาขอโทษพวกท่านก็ไม่โกรธอะไรแล้ว


ส่วนคู่กรณีน่ะเหรอ?


“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เจ็บ” 


เขาเงยหน้ามองไอ้ทะเลที่พูดด้วยเสียงยานคางตามแบบฉบับของเจ้าตัว ช้ำไปครึ่งหน้าน่ะเหรอไม่เจ็บ?

 
“ยังไงพี่ก็ต้องขอโทษอีกทีนะน้องทะเล หน้าเป็นแผลเลย เพราะไอ้เด็กนี่แท้ๆ!”
“ไม่เป็นไรครับ”
“มันน่านัก!” 
“โอ๊ย! เจ๊! ไม่เอาไม่หยิกเล้งดิ!”


เขาโวยวายเมื่อพี่สาวหยิกแขนเขาต่อหน้าต่อตาไอ้เหี้ยทะเล ถึงแม้จะเป็นเด็กผู้ชายแต่การโดนพี่สาวทำเล็บมาหยิกจังๆ เข้าที่เนื้อต้นแขนนี่มันก็เจ็บเหมือนกันนะ


“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับพี่กุ๊กกิ๊ก”


ไอ้ทะเลมันพูดเสียงนิ่งๆ ยานคางตามสไตล์ มันปรายตามองเขาที่ยังคงลูบแขนตัวเองด้วยความเจ็บปวดอยู่ ใบหน้าที่ช้ำของมันไม่มีความโกรธเคืองอย่างที่ปากพูดจริงๆ มีเพียงแค่แววตาที่ล้งเล้งอ่านไม่ออกว่ามันหมายความว่าอะไรให้เห็นเท่านั้น


“เหมือนลูกหมากัดอ่ะพี่ ผมไม่ถือสาหรอก”
“ไอ้ทะเล! มึง! … โอ๊ย! พี่กิ๊ก อย่าหยิกเล้ง!”


เขาเกลียดมัน

ไอ้เหี้ยทะเล! ไอ้เวรเอ้ย!!!

.
.
.

------- TBC -------


เกลียดทะเล เกลียดทะเล
อิ____อิ

ฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ไว้ด้วยนะคะ
เห็นแบบนี้น่ะ เรา insecure มากเลย
สองเรื่องที่ผ่านมาคือวัยทำงาน และนี่กลับมามหาลัยที่ลืมไปเยอะแล้ว ;A;
ถ้ามีตรงไหนติดขัด/เจอคำผิด สามารถแจ้งเราได้ทุกช่องทางเหมือนเดิมน้า

ขอบคุณมากค่า

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เด็กผู้ชาย​มักจะชอบแกล้งคนที่ชอบนะ

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 อ๋ออออออออออ
ที่แท้ก็กัดกันมาตั้งแต่ป.1
ฉายาลูกหมามือเปื้อนเลือกไม่น่าจัวเลยอ่ะล้งเล้ง
น่าเอ็นดูววววว

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ล้งเล้งนี่ล้งเล้งจริง ๆ เลย ทะเลนี่เห็นล้งเล้งน่ารักตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วมั้ง เด็กผช.ชอบแกล้งคนที่ชอบนี่ท่าจะจริง

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ทะเลจีบมาตั้งแต่เด็กนี่เอง,,,

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
2nd Wednesday (Last Half)
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ

ถ้าหากว่าต่างคงต่างแยกย้ายกันไปล่ะก็ ล้งเล้งคงจะลืมๆ ไอ้ตัวเท่าแป้นบาสนั่นไปได้ง่ายๆ เหมือนกับการ์ตูนที่เคยตื่นมาดูสมัยประถม หากแต่ชีวิตเขาไม่ได้ดีขนาดนั้น

มัธยมสี่

ล้งเล้งเพิ่งพบเจอกับอาการอกหักครั้งแรกของชีวิต

หากย้อนกลับไปช่วงมัธยมต้นแล้วล่ะก็ เด็กผู้หญิงที่ยอมคุยกับเขามีเพียงจำนวนหยิบมือ ซึ่งในบรรดานั้น คนที่เขาคุยด้วยมากที่สุดก็คือ ‘เอิน’

เอินเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กกว่าล้งเล้ง ตอนที่เขาไม่ได้คิดอะไรเอินก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงเรียนเก่งธรรมดา แต่พออยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเพื่อนที่นั่งเรียนข้างกันน่ารักขึ้นมาเสียอย่างนั้น กว่าจะรู้ตัว เพลงรักทุกเพลงในตอนนั้นก็มีหน้าของเอินลอยมาแทนที่นางเอกเอ็มวีเสียแล้ว

ล้งเล้งตกหลุมรักเอินเข้าเต็มเปา

เขาตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะเอินบอกว่าชอบคนเรียนเก่ง การต่อยตีก็ลดลงเพราะเอินบ่น (แต่ยังไม่เลิกเด็ดขาด เพราะล้งเล้งเชื่อว่ามันเป็นวิถีของลูกผู้ชาย) ล้งเล้งพยายามเล่นบาส ร่วมทำงานและกิจกรรมต่างๆ ของห้อง ทำทุกอย่างที่เขาคิดว่าจะทำให้เอินหันมามองได้ อย่างน้อยถึงแม้จะไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่เขาอยากให้เอินจดจำล้งเล้งในภาพลักษณ์ของเพื่อนผู้ชายที่ดีเอาไว้

ตอนจบมอสาม ล้งเล้งจำได้ว่าตัวเองดีใจจนแหกปากโวยวายเสียงดังเมื่อเอินชวนไปเที่ยวดรีมเวิลด์ด้วยกันในวันหนึ่งของปิดเทอมขึ้นมอสี่ ตู้เสื้อผ้าถูกรื้อออกมาเพื่อที่ล้งเล้งจะได้เสื้อตัวที่ใส่แล้วหล่อที่สุดไปหาเอิน เดทในฝันของเขากับเอินจะเกิดขึ้นจริงแล้ว!

ชีวิต มักไม่เป็นอย่างที่คิดไว้

เดทในฝันพังทลายเมื่อพบว่าที่ดรีมเวิลด์ไม่ได้มีเพียงแค่เขากับเอินแค่สองคน

พอมาถึงที่ดรีมเวิลด์ ล้งเล้งเจอเพื่อนต่างห้องสองสามคนรออยู่แล้ว เขาถึงได้รู้จากปากเอินว่าอันที่จริงแล้วเอินอยากมาเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนต่างห้องแต่ตัวเองมาคนเดียว เลยชวนล้งเล้งมาเป็นเพื่อนด้วยเฉยๆ เด็กหนุ่มจำได้ว่าตัวเองส่งยิ้มแห้งให้กับเอินเมื่อได้รู้ความจริงจากปากของเด็กสาว ถึงแม้ว่าเพื่อนจะขอโทษขอโพยเขาหลายครั้ง แต่มันก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี

ดรีมเวิลด์วันนั้นเหมือนตลกร้าย เดทที่เขาละเมอไปเองคนเดียวไม่มีอยู่จริง

พวกเขาสี่ห้าคนเล่นเครื่องเล่นกันจนเย็น ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เอินมีคุณพ่อมารับ ตัวเขาเจ๊กิ๊กมารับ เพื่อนคนอื่นบ้างก็มีผู้ปกครองมารับ บ้างก็กลับเอง มีเพียงแค่เต้ หนึ่งในเพื่อนต่างห้องที่ไปด้วยวันนั้นคนเดียวเท่านั้นที่ขอติดรถเขากลับไปด้วย ตัวล้งเล้งเองก็เห็นว่าทางเดียวกันเลยไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เต้นั่งอยู่เบาะหลัง ส่วนเขาก็ทะเลาะกับเจ๊กิ๊กไปตลอดทาง

หลังจากดรีมเวิลด์วันนั้น เขาก็ไม่ได้คุยกับเอินอีกเลยจนกระทั่งเปิดเทอมชั้นมัธยมสี่

ล้งเล้งตัดสินใจเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม เหมือนกับเอิน ทะเล แล้วก็เพื่อนคนอื่นๆ อีกหลายคน ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่คนละห้องกับทะเล มันไปอยู่ห้องคิง ส่วนตัวเขาอยู่ห้องควีน ซึ่งเป็นห้องเดียวกับเอิน

ตอนที่รู้ว่าตัวเองได้ห้องนี้เหมือนเพื่อนสนิทเขาดีใจแทบตาย คิดว่าครั้งนี้ก็คงนั่งเรียนด้วยกันเหมือนกับเมื่อสามปีที่ผ่านมา แล้วมันอาจจะมีสักวันที่เขาจะหาช่วงเวลาดีๆ สารภาพความรู้สึกกับอีกคนออกไป แต่พอวันเปิดเทอมวันแรก ความรักของเด็กชายวัยมัธยมกลับทำตัวแปลกไป

เอินทำเป็นไม่รู้จักเขา

ล้งเล้งจำได้ว่าตัวเองโคตรงง เขาไม่เข้าใจ ตอนแรกเขาคิดในแง่ดีว่าเพื่อนสนิทอาจจะมองไม่เห็น หรือไม่แน่ใจว่าเขาคือล้งเล้งใช่มั้ย เขาไม่ได้สูงขึ้นกว่าเดิมเท่าไหร่ แต่อาจจะหล่อขึ้นหรือเปล่าเพื่อนเลยจำไม่ได้

แต่จนแล้วจนรอด ล้งเล้งก็มั่นใจว่าเอินตั้งใจทำเป็นเหมือนกับไม่รู้จักเขาจริงๆ ถึงจะไม่อยากยอมรับนักก็ตาม

เด็กหนุ่มปล่อยให้ความสงสัยเรื่องของเพื่อนต่างเพศอยู่กับเขาเพียงแค่ไม่กี่วัน เมื่อความอยากรู้ที่กดทับไว้มันระเบิดออกมา เขาสบโอกาสเขาจึงถามเพื่อนสนิทไปตรงๆ ช่วงพักเที่ยงของวันพุธที่พวกเราเดินสวนกันในโรงอาหาร

บทสนทนาในวันนั้นยังคงติดอยู่ในใจเขาจนถึงตอนนี้

‘เราไม่อยากเป็นเพื่อนกับล้งเล้งแล้ว’
‘เฮ้ย ทำไมอ่ะเอิน? เราขอโทษ เอินโกรธอะไรเรา? เราทำอะไรผิดบอกเราดิ’
‘ล้งเล้งจำวันที่ไปเที่ยวกันตอนมอสามได้มั้ย? เราชวนล้งเล้งไปเพราะว่าเต้เอาแต่ถามถึงล้งเล้ง แถมเอาเพื่อนมาด้วยเพราะคิดว่าล้งเล้งอาจจะไม่มา ความจริงเราอยากไปกับเต้แค่สองคน’
‘...’
‘เราสารภาพรักกับเต้ แต่เต้ไม่ได้ชอบเรา’
‘...’
‘เต้ชอบล้งเล้ง’
‘ให้เราไปต่อยมันมั้ย? มันทำเอินร้องไห้’

ล้งเล้งได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป ทั้งที่ตัวเขาแทบจะไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว

‘ล้งเล้งยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? เรารู้สึกแย่ทุกทีที่เห็นหน้าล้งเล้ง’

ใบหน้าของเด็กผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในสายตาของเขามีน้ำตานองหน้า ในขณะที่ล้งเล้งยื่นมือออกไปหมายจะเช็ดน้ำตาให้ อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบ

‘คนที่เราชอบ ดันไปชอบแกอ่ะ แกจะให้เรามองหน้าแกติดได้ยังไง?’
‘แต่เราไม่ได้ชอบมัน...เราชอบเอิน’


เอินเงียบไปหลังจากที่ได้ยิน แววตาของเธอไม่มีท่าทีตื่นตระหนก คล้ายกับเรื่องที่เขาพูดไปเป็นเพียงสิ่งที่เธอรับรู้อยู่แล้ว เอินนิ่งเงียบไปเพียงพักเดียว ก่อนจะพูดต่อ

‘ขอโทษนะ แต่เลิกชอบเราเถอะ เราไม่มีวันชอบล้งเล้งได้หรอก’
‘เพราะไอ้เต้เหรอ?’
‘ต่อให้ไม่มีเต้ หรือไม่มีใครเลย เราก็ไม่มีทางชอบล้งเล้ง’
‘...’
‘ล้งเล้งอาจจะไม่เคยรู้ แต่ก่อนหน้าที่จะชอบเต้ เราแอบชอบเพื่อนในห้องคนนึง เราโดนปฏิเสธมาด้วยเหตุผลเดียวกับของเต้เลย ’
‘...’
‘คนที่เราชอบสองคน ชอบล้งเล้งทั้งคู่เลย’


นอกจากจะโดนผู้หญิงที่ชอบปฏิเสธ ยังต้องมารับรู้ว่ามีตัวผู้แอบชอบตัวเองอีกเหรอ?

‘ล้งเล้งเคยเป็นเพื่อนที่ดีของเรานะ’
‘...’ เคยเป็น… อย่างงั้นหรือ?
‘แต่ถ้าให้เป็นแฟน เราไม่ได้ชอบผู้ชายที่หน้าตาเหมือนผู้หญิงแบบล้งเล้ง’
‘...’
‘ล้งเล้งน่ารักเกินไป ตัวเล็ก เหมือนผู้หญิงมากเกินไป เราคบกับล้งเล้งไม่ได้หรอก ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากคบเป็นแฟนกับคนแบบล้งเล้งด้วย’
‘...’
‘จำไว้นะล้งเล้ง … บนโลกนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากได้แฟนที่หน้าตาน่ารักกว่าตัวเองหรอก’


โคตรเจ็บเลย

เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าในคาบบ่ายเรียนอะไรไปบ้าง หูอื้อไปหมด รู้ตัวอีกทีคือตอนเย็นที่เป็นเวรทำความสะอาดห้อง ล้งเล้งต้องเป็นคนเอาขยะไปทิ้ง คล้ายกับคนที่หมดแรง หลังจากที่เทขยะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขายืนจ้องถังขยะโง่ๆ ของโรงเรียนอยู่สักพัก มีความคิดบ้าบิ่นวิ่งไปวิ่งมาในหัวมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่มีแรงแม้แต่จะทำอะไร

เด็กหนุ่มพาร่างแห้งเหี่ยวของตัวเองไปนั่งตรงซอกบันไดขึ้นตึก ที่ ณ ขณะนั้นปราศจากเด็กนักเรียนเพราะเลยเวลาเลิกเรียนไปนานมากแล้ว

“เฮ้อ”

เด็กหนุ่มทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมา แทนความคิดวุ่นวายในหัว เขาไม่รู้ว่าการอกหักหรือสิ่งที่หญิงสาวตอกหน้าในความจริงที่เขาปฏิเสธมาตลอดมันเจ็บปวดกว่ากัน

เขาหน้าเหมือนเด็กผู้หญิง

เอินไม่ใช่คนแรกที่พูดเรื่องนี้ ล้งเล้งรู้ตัวมาตลอด หลายคนมักพูดกับเขา ตอนไปข้างนอกก็เคยมีผู้ชายเดินเข้ามาขอเบอร์ แต่เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย การเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ตัวเขาชอบผู้หญิง มันแค่นั้นเลยจริงๆ 

ซึ่งตอนนี้ ผู้หญิงที่เขาชอบปฏิเสธเพราะว่าเขาดันหน้าตาน่ารักเกินไป

โลกนี้แม่งคือเหี้ยอะไรวะ?

ล้งเล้งเกลียดหน้าตาตัวเอง เกลียดความตัวเตี้ยของตัวเอง เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูแมนขึ้น ทั้งเสื้อผ้า พยายามเล่นกีฬา ทำทุกอย่างแล้วแต่สุดท้ายเอินก็ปาความจริงอันเจ็บปวดใส่หน้าว่าตัวเขายังคงเป็นเหมือนเดิม

‘จำไว้นะล้งเล้ง … บนโลกนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากได้แฟนที่หน้าตาน่ารักกว่าตัวเองหรอก’

ถ้าเลือกเกิดได้ เขาเองก็คงไม่เลือกมามีหน้าตารูปร่างแบบนี้หรอก

“โรงเรียนไม่อนุญาตให้พาหมามาเดินเล่นหลังเวลาเลิกเรียน”

เสียงยานคางที่พูดขึ้นมา พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังดึงเด็กหนุ่มออกมาจากภวังค์ของตัวเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครที่ปากแกว่งตีนแบบนี้ คนที่เขาเกลียดขี้หน้ามาตั้งแต่จำความได้

ไอ้เหี้ยทะเล

“เอ้า ลูกหมาทำไมเงียบ”
“...”
“กระดูกมั้ย?”
“ว่างก็ไปตาย กูไม่เล่น”
“ทำไมยังไม่กลับบ้าน?”

ทะเลวัยมัธยมสี่เมินคำด่าของเขา พร้อมทั้งพูดสวนกลับมาด้วยคำถามปัญญาอ่อนตามแบบฉบับกวนตีนตามสไตล์ของมัน หากนี่เป็นล้งเล้งในยามปกติ เด็กหนุ่มเลือดร้อนคงกระชากคอเสื้อขึ้นมาต่อยสักหมัดสองหมัดให้มันไม่มีปากจะพูดไปสองสามวัน

แต่ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงมากพอที่จะพาตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องเรียนด้วยซ้ำ

“เสือก”
“โมโหหิวเหรอ?”
“กูบอกว่าไม่เล่นไงไอ้เหี้ย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง?!”

ล้งเล้งหันหลังกลับไปตวาดอีกคน แววตาวาวโรจน์ด้วยอารมณ์โกรธและเสียใจไหลวนอยู่ในนั้น ทะเลที่ยืนอยู่บนบันไดเหนือจากล้งเล้งไปสามสี่ขั้นไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เด็กหนุ่มห้องคิงเพียงแค่ยืนนิ่ง ใบหน้าเรียบนิ่งที่คิ้วขมวดคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ตามแบบฉบับของเจ้าตัวที่ล้งเล้งเห็นจนชินตา

บนไหล่ของทะเลมีกระเป๋าเป้ของโรงเรียนสะพายอยู่คล้ายกับคนที่เตรียมจะกลับบ้าน ซึ่งตอนนี้ล้งเล้งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะมาวุ่นวายกับเขาทำไม กลับบ้านกลับช่องมึงไปสิไอ้เวรเอ๊ย

“หิวก็กลับบ้าน อยู่ทำไมเย็นๆ”
“เสือก!”
“หิวเหรอตกลง?”
“อย่ามายุ่งกับกู”

เมินทุกคำต่อว่าจากเพื่อนสมัยเด็ก ทะเลหรี่ตามองล้งเล้งเหมือนกับคนสายตาสั้นที่ไม่ยอมใส่แว่นแล้วเพ่งกระดานดำหน้าห้องเรียน ก่อนที่จะเดินลงมานั่งข้างๆ กับเด็กห้องควีนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งล้งเล้งจำใจต้องเขยิบหนีออกไปโดยอัตโนมัติ เพราะอีกคนทำท่าจะนั่งทับตัวเขาถ้ายังคงไม่ลุกหนี

แล้วถ้าพูดกันตามตรงแบบไม่อาย ล้งเล้งคิดว่าตัวเองไม่มีปัญญาผลักอีกคนออกไปจากตักแน่นอน ถ้าลองมันล้มตัวลงมาทับแล้วน่ะนะ

ในใจของล้งเล้งเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง คนเพิ่งจะถูกหักอกมา ยังเจอหมามากวนส้นตีนอีก วันนี้เวรกรรมอะไรของเขานักหนาวะเนี่ย

“ทำไมทำหน้าตาบู้บี้แบบนี้?”
“เสือก!”

ทะเลยังคงไม่ลุกไปไหน นั่งทำหน้านิ่งกวนส้นตีนอยู่ข้างๆ เขาเหมือนกับถูกตั้งโปรแกรมมาให้ทำแบบนั้น ตอนนี้ล้งเล้งได้มีโอกาสมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ทะเลในวัยนี้โตกว่าภาพจำที่เขามีอยู่มากโข หน้านิ่งของมันยังคงนิ่งเหมือนเคยไม่มีเปลี่ยน เพียงแต่กรอบใบหน้าดูชัดขึ้น คิ้วดูเข้มขึ้น เหมือนจะมีไรหนวดเล็กน้อย

เชี่ยอะไรของมันวะ ทำไมมันถึงได้ดูหน้าตาดีขึ้นได้ขนาดนี้ ในขณะที่เขาเพิ่งโดนหักอกเพราะน่ารักเกินไปมาเนี่ยนะ?! 

ตอนนี้ล้งเล้งไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าอย่างไรอยู่ แต่มันคงแย่มาก เขารู้สึกเหมือนพร้อมที่จะร้องไห้ออกมาตลอดเวลา ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ล้งเล้งก็ไม่อยากให้ใครเห็นว่าเขาร้องไห้  โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นคือไอ้เหี้ยทะเลนี่!

“ออกไป กูจะนั่งคนเดียว”

เด็กหนุ่มไล่คนที่เขาเรียกว่า ‘ไอ้เหี้ยทะเล’ อีกครั้ง แต่คู่สนทนาก็ยังคงทำเหมือนหูทวนลมตามเคย

“มึงเป็นไร?”
“กูไม่ได้เป็นอะไร”
“โกหก”
“เสือก”

ทะเลไม่ได้พูดอะไรออกมาเพิ่มเติม เด็กหนุ่มอีกคนทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ ล้งเล้งอย่างเงียบๆ นั่งมองถังขยะสีฟ้าข้างหน้าเป็นเพื่อนเขา ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แต่ล้งเล้งไม่มีแรงในการจะขยับตัวลุกหนีออกไป ในขณะที่เขานั่งก้มหน้าเช็ดน้ำตาที่มันพร้อมจะไหลทันทีที่อ้าปากเอ่ยอะไรออกมา   

“มึงเป็นไร?”
“กูบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร”
“อืม”

มันพูดแค่นั้นแต่ยังไม่ลุกไปไหน ส่วนเขาก็ยังไม่อยากลุกเช่นเดียวกัน ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ แต่น้ำตาโง่ๆ นี่แม่งไม่หยุดไหลสักที เรื่องราวที่เขาเจอมาในวันนี้มันหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กมอสี่ที่เพิ่งจะมีความรักครั้งแรก แล้วก็เพิ่งจะพบเจอกับการปฏิเสธความรู้สึกครั้งแรกในชีวิตเช่นเดียวกัน

เด็กหนุ่มมอสี่ทั้งสองนั่งอยู่แบบนั้นจนกระทั่งฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ตอนนี้ล้งเล้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนในห้องมันยังอยู่กันหรือเปล่า หรือล็อกประตูห้องแล้วลืมเขากับถังขยะเอาไว้แล้ว ช่างแม่งทั้งหมด ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอีกแล้ว

“มึงเป็นไร?”
“โอ้ย มึงสิเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย!  ยุ่งกับกูทำไมนักหนา!”

คนที่กำลังเล่นเอ้มวีอกหักถึงกับต้องเบรกมาด่าคนที่นั่งข้างๆ ด้วยความหงุดหงิด เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่ามันทำไมนัก

“ยุงกัด”
“กลัวยุงกัด มึงก็กลับบ้านมึงไป”
“กลับด้วยกันดิ”

ทะเลพูดด้วยเสียงยานคางเรียบนิ่งตามสไตล์ ล้งเล้งยอมเงยหน้าขึ้นมาจากเข่าที่เขาก้มลงไปร้องไห้เมื่อครู่ ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์พระเอกเอ็มวีอกหักหลงเหลืออยู่แล้ว มีแต่วิญญาณบัวขาวที่อยากต่อยคนจนน็อกเข้ามาสิงแทน

มันทำไมนักหนา!

“เป็นเหี้ยอะไรกับกูเนี่ย ยุงกัดมึงก็แค่กลับบ้านไป!”
“ยุงกัดมึงด้วย กลับกัน”

บางทีเขาก็คิดว่าไอ้เหี้ยนี่มันอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง

“ถามจริง มึงเป็นอะไรกับกูเนี่ย?”

ล้งเล้งหันไปมองหน้ามันเต็มตาอีกครั้ง ใบหน้าน่ารักมีความไม่พอใจให้เห็น ทะเลยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเคย เพียงแค่คิ้วของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ขมวดมุ่นเหมือนกับรำคาญใจในอะไรบางอย่าง

มันจะไม่ยินดียินร้ายกับอะไรหน่อยหรือไง หน้านิ่งไปไหน น่ารำคาญ!

“เป็นคนที่อยากกลับบ้านแล้ว ไปเร็วๆ ไอ้ลูกหมา ยุงกัดเต็มขาแล้ว”
“ลูกหมาที่หน้ามึงอ่ะไอ้เหี้ย!”
“ที่หน้ามึงไม่ใช่หน้ากู
“ไอ้เหี้ย!”

ล้งเล้งด่าคนข้างๆ อย่างไม่สบอารมณ์ เขาหงุดหงิดจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว

“กลับบ้านกัน เร็วไอ้ลูกหมา”
 “จ้างเท่าไหร่เลิกวอแวกูวะถามจริง กูรำคาญ”
“หมื่นห้า ค่าแรงขั้นต่ำ”
“แพงไป เอาไปทำไรเยอะแยะ”
“ทำแผลตอนโดนมึงชก”
“ไอ้สัตว์เอ๊ย”

เด็กหนุ่มด่าคนข้างกายแค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดฝุ่น พอได้มีความรู้สึกกลับมาอีกครั้ง เขาก็เพิ่งรู้สึกจริงๆ ว่าตอนนี้ยุงเยอะมาก ไอ้ยุงเวรนี่ มันน่าตบตายให้หมด! ตอนนี้ล้งเล้งยืนเต็มความสูง เขากำลังคิดว่าจะเอาถังขยะที่ถือติดมือมาทิ้งขึ้นไปเก็บบนห้อง เด็กหนุ่มหน้ามุ่ยด้วยความหงุดหงิดเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว

ยุงเวรนี่จะกัดทั้งแขนทั้งขาเลยหรือไง!
 
“ลูกหมา จะไปไหน?”
“เสือก!”

ครั้งนั้นอาจจะเป็นวันแรกที่เขาไม่ได้เกลียดมันมากเท่าไหร่ อันที่จริง กลุ่มก้อนในจิตใจตอนนี้มันคือความไม่เข้าใจมากกว่า จะมานั่งทำตัวกวนส้นตีนทำไม หรือเพราะเห็นว่าเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาตกต่ำของชีวิตมันเลยมานั่งโดนยุงกัดเป็นเพื่อน?

จะอะไรก็ช่าง ถือว่าวันนี้มันรอดไปที่เขาอกหักนะ ถ้าครั้งหน้ามีแบบนี้อีกสัญญาด้วยเกียรติของล้งเลยว่าจะซัดมันจนกว่าฟันจะโยก! ไอ้เหี้ยทะเล ไอ้สูง ไอ้เรียนเก่ง ไอ้เวรเอ๊ย! 

เป็นบ้าอะไรเรียกคนอื่นลูกหมาๆ อยู่ได้

น่ารำคาญ!

 
.
.
.

------- Wednesday In Class -------
[/b]

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter

มัธยมหก

“ล้งเล้งมึงจะเรียนพิเศษจนอ้วกออกมาเลยหรือไงวะ?”

เพื่อนในโรงเรียนคนหนึ่งทักล้งเล้งตอนที่บังเอิญเดินเจอกันที่ตึกเรียนพิเศษชื่อดังแถวพญาไท ซึ่งล้งเล้งที่เพิ่งจะออกจากห้องเรียนคณิตศาสตร์กะพริบตาปริบๆ ทำหน้าเมาสูตรตอบกลับไป

เขาไม่รู้จะตอบอะไร เพราะก็เรียนเยอะจริงๆ 

ถึงแม้ช่วงมัธยมต้นล้งเล้งจะไม่ได้สนใจเรียนมากนัก เรียกได้ว่าเกเรเสียด้วยซ้ำ มีเรื่องต่อยตีไม่เว้นวัน โดดเรียนไปเล่นเกมบ้าง ต่อยกับพวกเด็กห้องอื่นบ้าง เรียกได้ว่าสนิทกันดีกับอาจารย์ปกครองเลยก็ว่าได้

ทุกชีวิต มีจุดเปลี่ยน

การชกต่อยที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่อช่วงมัธยมสอง เขาจำได้ว่าเฮโลไปกับเพื่อนแก๊งหลังห้องที่ไปหาเรื่องคู่อริ สุดท้ายถูกจับได้และพาตัวเข้าห้องปกครองยกกลุ่ม เรื่องใหญ่ระดับที่ว่าเขาและเพื่อนๆ จะถูกเชิญให้ออกจากโรงเรียน เจ๊กุ๊กกิ๊กที่มักจะรับหน้าเป็นผู้ปกครองให้ตลอดอยู่ในช่วงสอบพอดี คนที่มาหาอาจารย์วันนั้นจึงเป็นแม่ของเด็กหนุ่ม

แม่ร้องไห้

แม่ร้องไห้เสียจนจะขาดใจ ท่านเพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่าเขาเป็นเด็กเกเรขนาดไหน ตามปกติแล้วแม่ดูเพียงแค่ผลการเรียนที่เขาสามารถทำมันได้ดี และฟังเรื่องราวในรั้วสถาบันการศึกษาผ่านคำบอกเล่าของเขาเพียงอย่างเดียว ท่านจึงเชื่อมาตลอดว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเป็นเพียงแค่เด็กซนๆ แต่ตั้งใจเรียนคนหนึ่งเท่านั้น

ภาพของมารดาที่มาทำเรื่องขอให้เขาได้เรียนต่อทำให้เด็กหนุ่มตระหนักได้ เขาเบรกเส้นทางเกเรของตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น เพื่อนยังคบอยู่หากแต่ไม่ไปสุงสิงกับพวกมันแล้ว โทษพักการเรียนหนึ่งสัปดาห์ และสายตาผิดหวังของครอบครัวนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ล้งเล้งอยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำสอง

เขาจะเป็นคนใหม่

หลังจากนั้นมาล้งเล้ง (พยายาม) ไม่ไปมีเรื่องแบบเดิมอีก เรื่องการเรียนตามปกติแล้วเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร อยู่ในระดับกลางๆ ของห้อง เมื่อมีเวลามาสนใจมันมากขึ้น ทำให้ผลการเรียนของเขากระโดดขึ้นสู่จุดสูงสุดของมัธยมต้น ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มได้เรียนรู้แล้วว่าอันที่แท้จริง ตัวเองควรจะทำอะไร

พอขึ้นมัธยมปลาย เส้นทางชีวิตเริ่มชัดเจนมากขึ้น

เพื่อนกลุ่มเดิมบางส่วนก็แยกย้ายกันไปโรงเรียนอื่น บางส่วนก็เลือกเรียนคนละแผนการเรียน ทำให้มีเพียงแค่ล้งเล้งคนเดียวที่อยู่ห้องวิทย์-คณิต เพราะว่าที่บ้านบอกว่าดี ซึ่งตัวเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับมัน เพราะว่าลุ่มๆ ดอนๆ มาถึงสองปี เมื่อรวมผลการเรียนแล้ว เขาจึงได้อยู่เพียงแค่ห้องควีนเท่านั้น

เรื่องดีที่สุดของมันคือเขาอยู่คนละห้องกับทะเล

เรื่องที่แย่… ไอ้เหี้ยทะเลคนนั้น อยู่ในจุดสูงกว่าเขาจนก้าวตามไปไม่ทัน 

กว่าจะรู้ตัว ทะเลคนนั้นก็เป็นหัวกะทิของโรงเรียนไปเสียแล้ว เขามักจะได้ยินชื่อจริงของมันประกาศหน้าเสาธงในตอนเช้า มักจะได้ยินครูพูดสรรเสริญมัน (และเพื่อนๆ ในห้องคิงของมัน)  ให้ฟังอยู่เป็นนิจ หากถ้าพูดด้วยความสัตย์จริง ล้งเล้งไม่ได้รู้สึกประหลาดใจในความอัจฉริยะของมันขนาดนั้น เด็กหนุ่มรับรู้มาตั้งแต่ประถมแล้วว่าทะเลเรียนเก่ง กิจกรรมก็ดี กีฬาก็เล่นได้ เป็นหัวหน้าห้องตอนประถมช่วงปลายๆ ส่วนตอนมัธยมก็ได้เป็นหัวหน้าสามปีมอต้น เป็นตัวแทนไปสอบนอกโรงเรียนก็บ่อย

จนกระทั่งตอนนี้ ทะเลก็ยังคงเป็นที่หนึ่งของระดับชั้นมอหกในเกือบทุกวิชา

นึกแล้วก็หงุดหงิด คนเหี้ยอะไรวะแม่ง สมองเลี่ยมทองหรือไง

ส่วนล้งเล้งน่ะหรือ? ในบางวิชาไม่ตกมีนห้องเขาก็ถือว่าตัวเองเก่งแล้วล่ะ!

สามปีมอปลายนั่นทำให้เขารู้เลยว่าตัวเองไม่ได้เก่งวิทย์มากเท่ากับที่คิดไปเอง ชีวะคาบแรกแทบทำให้เขาเป็นบ้า แต่เมื่อเลือกมาทางนี้แล้วล้งเล้งจะถอยไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงทุ่มเวลาทั้งหมดไปที่การลงเรียนพิเศษ หาติวเตอร์จากทุกที่ที่คิดว่าจะช่วยให้เขาได้เกรดดีมากขึ้น อาจจะถือเป็นโชคดีที่ที่บ้านไม่ได้มีปัญหาในการส่งเข้าสถาบันกวดวิชาเท่าไหร่ แม่ถึงกับตื้นตันจนน้ำตาไหลเมื่อเขาบอกว่าอยากเรียนพิเศษวิชาคณิตเพิ่มเติม เพราะอาจารย์ในห้องสอนไม่เข้าใจ

เป้าหมายแท้จริงที่เขากัดฟันทำทุกอย่าง ก็เพื่อที่จะเข้ามหาลัย C 

บ้านล้งเล้งเองก็เหมือนครอบครัวใหญ่เชื้อสายจีนทั่วไป ทุกวันสำคัญของปี บรรดาญาติๆ ของเขาก็จะมารวมตัวกัน  พร้อมกับอวดอ้างสรรพคุณของลูกหลานในบ้านตัวเอง เขาได้ยินจนเบื่อ ทุกคนต่างเรียนมหาลัยที่ดี มีหน้าที่การงานมั่นคง มันเลยเป็นจุดที่หล่อหลอมให้เขามองความสำเร็จของการศึกษามัธยมไว้ที่การได้เข้ามหาลัยชั้นนำ

ญาติสนิทของตัวเด็กหนุ่มเองก็ไม่ต่างกันมากนัก เจ๊กุ๊กกิ๊กก็สามารถสอบ SMART WIN จนเข้าคณะบัญชีของมหาวิทยาลัย T ที่มีชื่อเสียงได้ ลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันอย่างพี่ซุกซนก็เข้ามหาลัย T คณะบัญชีได้ด้วยการแอดมิชชั่น รวมถึงลูกพี่ลูกน้องหลายๆ คนที่เรียนมหาลัยรัฐดังๆ กันทั้งนั้น

ล้งเล้งจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นให้ได้ เขาจะต้องติดมหาลัย C ให้ได้!

“เออ ก็มันต้องเรียนว่ะ” เขาพูดตอบเพื่อนต่างห้องไป พลางคิดว่าตอนบ่ายต้องไปเรียนอะไรต่อ “กูอยากติดม. C”
“เชี่ย ถามจริง?”
“เออ”
“คะแนนสูงตายห่า”
“ก็เออไง กูถึงได้กัดฟันเรียนจนจะฝันเห็นครูสมศรีอังกฤษอยู่แล้วเนี่ย ท่องได้หมดแล้วแม่ง”
“มึงเรียนโหดจริงๆ นะ พักบ้างเหอะเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตก…  กูไปละ จองตั๋วหนังไว้”

ที่มันพูดไม่ได้เกินจริงเลย ล้งเล้งถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีตารางเรียนพิเศษแน่นที่สุดในห้อง เขาเรียนจันทร์ถึงศุกร์ช่วงหลังเลิกเรียนจนถึงสี่ทุ่ม พอเสาร์อาทิตย์ก็เรียนต่อทั้งวัน เด็กหนุ่มเรียนทุกวิชา ลงทุกสถาบันเท่าที่จะทำได้ ขนาดเพื่อนในห้องหลายคนที่เป็นสายตระเวนเรียนพิเศษเหมือนกันยังมองเขาแบบทึ่งๆ เมื่อเห็นว่าเขาลงเรียนอัดแน่นขนาดไหน

เรียนทุกวิชา เรียนให้ตายก็ได้ จะอ้วกออกมาเป็นพันธะเคมีอาจารย์มุ๊ก็ได้ แต่เขาจะต้องติดมหาลัย C!

22.00 น.

เขายืนหมุนไปมาอยู่ในร้าน 7-11 หน้าปากซอยบ้านอย่างเบลอๆ วันนี้เขาเรียนชดเชยที่ป่วยไข้ขึ้นไปเรียนไม่ได้เมื่อสัปดาห์ก่อน แถมวันนี้ก็มีทั้งเรียนเคมี คณิต สังคม เพิ่มเติมมาอีก เขาคิดว่าถ้าวันนี้ไม่โดดเรียนอังกฤษอีกเทป จะต้องอ้วกออกมาเป็นหน้าอาจารย์สถาบันกวดวิชาแน่นอน

ล้งเล้งยืนมองตู้แช่ที่วางไส้กรอก แฮม แซนด์วิช มองเลยไปจนถึงบรรดาโยเกิร์ตต่างๆ อย่างไม่รู้จะกินอะไร นมนี่ตัดทิ้งไปเลย ตอนเด็กๆ เด็กหนุ่มเคยอัดนมแกลลอนในครั้งเดียวด้วยความหวังว่ามันจะสูงขึ้น ผลสรุปคือเขาอ้วกแตกอ้วกแตน เข้าโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็เลยขยาดนมวัวไปเลย นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เขาไม่สูงสักที ตัวไม่ต่างจากตอนมอต้นเลย แม่งเอ๊ย

เด็กหนุ่มมองไปมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่ว่าหิวแต่ไม่รู้จะกินอะไรดีนี่มันน่าหงุดหงิดชะมัด 

“ไอ้ลูกหมา ยืนขวางทางทำไม?”

เสียงยานคางคุ้นเคยทางด้านหลังนั่นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เด็กหนุ่มกลอกตาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะรู้สึกอย่างไร  ตลอดชีวิตสิบแปดปีที่ผ่านมา มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีเสียงยานคางน่ารำคาญแบบนี้

มึงอีกแล้วไอ้ทะเล มึงตลอด!

อยู่ทุกที่ในจักรวาล น่ารำคาญเหมือนเชื้อราข้างฝาบ้าน!

“กูไม่ใช่ลูกหมา!”

ล้งเล้งพูดกับผู้มาใหม่ แววตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด หน้าตาบึ้งตึงแสดงอารมณ์ของเด็กหนุ่มออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งทะเลรับฟังด้วยใบหน้านิ่งเรียบเหมือนกับปกติ เด็กหนุ่มตัวสูงยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ข้างหลังล้งเล้งด้วยท่าทางกวนประสาท

แม่งมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาไม่รู้เรื่อง เคลื่อนตัวแบบผีหรือไงไอ้เวรนี่!

“มึงขวางตู้”
“เรื่องของกู มึงจะทำไม?!”

ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงจะหลบให้ แต่พอเป็นไอ้เหี้ยทะเลแล้วล่ะก็ ล้งเล้งทำให้แน่ใจว่าเขายืนกางแขนกางขาหน้าตู้แช่อย่างที่อีกฝ่ายไม่มีทางหยิบของได้อย่างแน่นอน

ให้มันรู้บ้างว่าใครเป็นใคร!

ทะเลมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคย อันที่จริงล้งเล้งเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าทะเลสูงกว่าเขามากขนาดที่ว่าเด็กหนุ่มต้องเงยหน้ามองอีกคน ยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิด ไอ้เหี้ยนี่มันจะไม่หยุดสูงจริงๆ ใช่มั้ย? มึงคอสเพลย์เป็นเปรตหรือไง?

ถึงจะสูงต่างกันประมาณยี่สิบกว่าเซ็นต์แต่ล้งเล้งก็แหงนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง สูงแล้วไง! ตัวใหญ่ไปก็เท่านั้น! ไม่เคยกลัวเว้ย!

“ลูกหมา หลบ  กูจะกินถั่วเแระ”
“ไม่! ทำไมฮะ? มึงเป็นอะไรนักกับคำว่าลูกหมานักหนาวะ เรียกกูอยู่ได้ กูเกิดปีเดียวกับมึงแหละเว้ยไอ้… เชี่ย!”

ล้งเล้งร้องเสียงหลงเมื่อทะเลดึงคอเสื้อของเด็กหนุ่มตัวจ้อยด้วยแรงมหาศาลในความคิดของตัวเอง แล้วจับเหวี่ยงไปด้านหลังจนเขาเสียหลังเซเกือบจะชนชั้นวางของ คนตัวสูงหันมามองอีกฝ่ายนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีก็พยักหน้ากับตัวเอง เปิดตู้แช่หยิบถั่วแระ แล้วเดินไปทางแคชเชียร์ด้วยหน้านิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่พนักงานคิดเงินมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คล้ายกับไม่รู้ว่าจะต้องเข้ามาห้าม เรียกตำรวจ หรือปล่อยเบลอดี

“มึง! ไอ้ทะเล! มึงมานี่เลยนะ เหวี่ยงกูทำเหี้ยอะไร? คิดว่าตัวสูงกว่าแล้วกูไม่กล้าต่อยมึงเหรอ?!”

พอได้สติ ล้งเล้งก็เดินตามคู่กรณีที่ถือถุงถั่วแระญี่ปุ่นออกจากเซเว่นไป ไม่กงไม่กินอะไรทั้งนั้นแล้วตอนนี้ ในใจมีเพียงแค่ความคิดว่าจะต้องเอาเลือดหัวไอ้เหี้ยนี่ออกให้ได้!

“ลูกหมาเป็นไร หิวเหรอ?”
“เสือก!”
“แสดงว่าหิวจริง”

มันพูดด้วยเสียงยานคางกับหน้ามึนๆ ของมัน เพียงแต่มุมปากมีรอยยิ้มกวนส้นตีนประดับอยู่ ไอ้ทะเลหยิบถั่วแระขึ้นมาชิ้นนึง ยื่นมาตรงหน้าเขา 

“อ่ะ กิน”
“พ่อมึงสิ ไอ้สัตว์!”

ล้งเล้งปัดมืออีกฝ่ายจนถั่วตกลงไปที่พื้น ไอ้เหี้ยนี่ คิดว่ากูเป็นตัวอะไรเอาถั่วมาให้เหมือนป้อนขนมหมาเนี่ย ไอ้เวร!

“ทำไมกลับดึก หลงทางเหรอ ปลอกคอหายนี่”
“กูไม่มีปลอกคอ”
“มึงเป็นลูกหมาเร่ร่อน?”
“ไอ้เหี้ยทะเล มึงจะเอาใช่ป้ะ?!”

ล้งเล้งเลือดขึ้นหน้า โมโหมากพอที่จะชกมันให้หมอบ เด็กหนุ่มตัวเล็กตั้งท่าจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาคุยให้รู้เรื่อง วันนี้ไอ้เรียนเก่งนี่มันต้องโดนเขาสักหมัดไม่งั้นอย่าเรียกเขาว่าล้งเล้ง!

ทั้งที่ล้งเล้งพร้อมจะกระทืบอีกฝ่ายให้ตายคาตีน แต่เหมือนทะเลไม่ได้สนใจอารมณ์โกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายมากนัก คนตัวสูงกว่ามองเลยไปที่มืออีกข้างของล้งเล้งที่ถือหนังสือเรียนเอาไว้ ไวกว่าความคิด ทะเลจับมือข้างนั้นของล้งเล้งขึ้นมา แล้วแย่งเอากองหนังสือเรียนพิเศษของอีกคนมาถือไว้เอง

“มึงไปเรียนพิเศษมา?”
“แล้วทำไม!”
“เรียนทั้งหมดนี่เลย?”
“มึงจะเสือกอะไร!”

ล้งเล้งพยายามที่จะเอาหนังสือคืน แต่เหมือนหมากระเป๋ากับยักษ์วัดแจ้ง เขาทำได้แค่เพียงขู่แง่งๆ ในขณะที่มันยกหนังสือขึ้นสูง เปิดดูทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ล้งเล้งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งนั่น

“มึงเรียนพิเศษทำไมวะ?”
“เสือก”
“กูถามดีๆ”
“ก็กูอยากเรียน กูอยากเข้าม.C มึงจะทำไม?!”
“มอ C งั้นเหรอ…”

หน้าทะเลยังคงเรียบนิ่งเหมือนเดิม คิ้วอีกฝ่ายขมวดลงเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งล้งเล้งไม่สนใจ เขาควรจะได้กลับบ้านไปรีบเข้านอนได้แล้ว วันรุ่งขึ้นเขามีเรียนอังกฤษแต่เช้า ต่อด้วยคณิต แล้วก็สังคมอีกทั้งวัน ถ้าง่วงไปเรียนนี่เละเทะหมดแน่นอน เขายังไม่อยากให้หน้ากระดาษของคอร์สวันพรุ่งนี้มีแต่ลายมือที่ละเมอเขียนแต่อ่านไม่ออกหรอกนะ

“มึงจะเรียนทำไมวะ?”
“เอ้า! ก็บอกไปแล้วไง ฟังสิวะ มีหูไว้ทำไมเนี่ย?!”
“ก็รู้ แต่กูแค่สงสัยว่าทำไมมึงไม่อ่านเอง ในห้องไม่ได้เรียนเหรอ?”
“อ่านเองห่าอะไร เข้าใจที่ไหนเล่าแม่ง”

ล้งเล้งบ่นกับตัวเองอย่างหงุดหงิด สาบานเลย ถ้าได้เป็นครูนะ เขาจะไม่สอนแบบที่ครูที่โรงเรียนทำแน่นอน

ในโรงเรียนที่เจอมา ครูหลายคนชอบพูดกับกระดาน อีกหลายคนให้ข้อสอบเด็กมาท่องจำเพื่อให้ผ่านไปครั้งต่อครั้ง เขานั่งกลางๆ ห้อง ไม่ใช่เด็กเก่งเหมือนไอ้ทะเล ไม่ได้เข้าใจทุกอย่างแม้ครูจะพูดคนเดียวกับกระดาน ไม่ได้เป็นที่รักของครูที่สามารถถามซ้ำหลายๆ ครั้งแล้วไม่โดนว่า

เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาที่อยากจะเข้ามหาลัยเท่านั้น

“กูสอนให้เอามั้ย? ฟรี”
“...” เขามองหน้ามันงงๆ เป็นบ้าอะไร เมาถั่วแระเหรอ?
“เออไม่น่าได้ว่ะ กูพูดภาษาลูกหมาไม่ได้”
“ไอ้เหี้ย! คือมึงจะเอาจริงๆ ใช่ป้ะ!!”

ล้งเล้งกระชากเสียงถาม พยายามจะเอาหนังสือคืนมาแต่มันดันชูสุดมือ แน่นอนว่าส่วนสูงที่ต่างกันเกือบ 20 เซ็นต์เป็นปัญหาโคตรๆ เลย

“มึงแค่ต้องตั้งใจในห้อง ไอ้ลูกหมา มึงก็เข้ามหาลัยได้”
“...”
“ตอนสอบมึงก็แค่…”
“อย่างมึงจะไปเข้าใจออะไรวะ!”

ล้งเล้งถามกลับอย่างโมโห

คนอย่างไอ้เหี้ยนี่น่ะเหรอจะมาเข้าใจอะไรเขา? เหอะ น่าขำ! คนที่ได้ที่หนึ่งตลอดเวลาโดยแทบจะไม่ต้องพยายามเรียนพิเศษอะไรเลย จะมาเข้าใจคนที่หัวกลางๆ ต้องพยายามสายตัวแทบขาดเพื่อที่จะทำข้อสอบให้ได้ได้อย่างไร?

อันที่จริงทะเลคือเด็กอัจฉริยะ

ล้งเล้งเองก็พอรู้อยู่ ถึงแม้จะเกลียดมันฉิบหายแต่ทุกคนพูดถึงทะเลกันหมดทั้งโรงเรียน มันเป็นเด็กเรียนดี กีฬาเก่ง กิจกรรมก็ทำ ให้ทำอะไรมันทำเป็นแม่งทุกอย่าง หน้าตาก็ดี ดูนิ่งๆ แบบที่ผู้หญิงชอบ สูงฉิบหายด้วย อย่างกับคนที่ไม่มีอยู่จริง

แถมมันไม่เรียนพิเศษเลย

เรื่องนี้ล้งเล้งรู้จากเพื่อนในห้องตอนที่พวกมันนั่งคุยกัน เพื่อนคนหนึ่งในห้องของเขาสนิทกับทุกคนในระดับชั้น ตอนที่พวกเขานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบกัน เพื่อนคนนี้ก็พูดทำนองว่าจะไปขอสรุปของทะเลมาให้ แล้วก็พูดชมไอ้หน้านิ่งนี่ให้พวกเขาทั้งหมดฟัง

‘กูงงสมองมันมากเลย มันไม่เรียนพิเศษเลยเชื่อป้ะ?’
‘ถามจริง?’
‘’จริงมึง กูไปถามมันไงว่าเรียนเลขที่ไหน มันบอกไม่ได้เรียน มันเรียนแค่ในห้องแค่นั้นแหละ’

“กูไม่เข้าใจ มึงก็อธิบายดิวะลูกหมา”

เสียงยานคางของทะเล ดึงล้งเล้งให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน แววตาของมันเต็มไปด้วยความสงสัย มันทำให้เขานึกย้อนไปถึงตอนอนุบาลที่มันอ่านคำสกรีนภาษาอังกฤษบนเสื้อเขาได้ ทั้งที่ตัวเองไม่รู้เลยสักนิดว่าสิ่งนั้นหมายความว่าอะไร

คนแบบมันทำให้ล้งเล้งเดือดดาล ยิ่งคิดว่ามันเก่งมันดีแค่ไหนโดยไม่ต้องทำอะไรเลยล้งเล้งก็ยิ่งไม่พอใจ ในขณะที่ตัวเขาตั้งใจเรียนในห้องแทบตายไม่เข้าใจ ไปเรียนพิเศษจนเหนื่อยอยากจะร้องไห้ออกมาทุกวันยังไม่รู้ว่าปลายทางของเทอมนี้จะไปอยู่ตรงไหน

คนอย่างไอ้เหี้ยทะเล เขาเกลียดฉิบหายเลย!

“เอาหนังสือกูคืนมา”

ล้งเล้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ความจริงจังที่ส่งผ่านออกมาทำให้คู่สนทนารู้สึกได้ คิ้วหนาขมวดลงอย่างไม่เข้าใจ เมื่อกี้ยังคุยกันอยู่ดีๆ ทำไมตอนนี้ถึงได้โมโหอีกแล้วล่ะ

“ลูกหมา?”
“คนแบบมึงน่ะ กูโคตรเกลียดเลย รู้ไว้ด้วยไอ้เหี้ย”
“ลูกหมา มึงเป็นอะ… โอ๊ย!”

ก่อนที่ทะเลจะได้พูดจนจบประโยค ล้งเล้งอาศัยความคล่องตัวเตะเต็มแรงเข้าไปที่ข้อพับของอีกฝ่าย จนทะเลเสียหลักทรุดตัวล้มลง เขาถึงได้ชิงเอาหนังสือเรียนของตัวเองคืนมา ในเมื่อได้ของที่ต้องการมาไว้กับตัวแล้ว ล้งเล้งก็เดินหันหลังหนีไป ทิ้งทะเลที่มองตามอีฝ่ายด้วยสายตาความขุ่นเคืองและเคลือบแคลงจากข้างหลัง

ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ล้งเล้งหอบหนังสือของตัวเองหันหลังไปอีกทางโดยมีจุดมุ่งหมายคือบ้าน มือของเด็กหนุ่มกอดหนังสือเรียนตัวเองเอาไว้แน่น

คนที่ไม่ต้องทำอะไร แต่ได้ทุกอย่างมาง่ายๆ อย่างมัน

เขาโคตรเกลียดเลย

.
.
.


-------- TBC ------- 


จบพาร์ทย้อนอดีตของล้งเล้งเขาแล้วนะคะ
อยากให้เข้ใจถึงความเกลียด(?)ทะเลของน้องเขาอ 55555

ฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ไว้ด้วยนะคะ <3

Baby Baphomet

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อีกคนที่บอกว่าชอบล้งเล้งค้องเป็นทะเลแน่เลย
ชอบที่ทะเลเรียกลูกหมาแล้วมานั่งเป็นเพื่อนตอนร้องไห้อ่ะ
รอฉากทะเลหิ้วคอเสื้อล้งเล้งไปฟัด

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทะเลกวนกับแค่ล้งเล้ง หรือจริงอาจแค่เลือกใช้คำพูดไม่เก่งเวลาอยู่กับล้งเล้งมันเลยดูเหมือนทะเลไปกวนทีนล้งเล้งหรือเปล่า

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
สนุกมาก มาต่ออีกนะครับ,,,

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
3rd Wednesday
#รักไม่คาดคิดในวันพุธ


“ล้งเล้ง”
“มึงทำหน้าเหมือนข้าวหมา”
“มึงทำหน้าบู้บี้”
“มึงทำหน้าเหมือนคนขี้ไม่สุด”

บางที ล้งเล้งก็คิดว่าตัวเองทำกรรมอะไรต้องมีเพื่อนแบบไอ้พวกนี้ 

“กูแค่คิดอะไรนิดหน่อย”

เขาตอบบีมบุ๋มกลับไป ตอนนี้เด็กนักศึกษาทั้งห้าคนนั่งกันอยู่ที่โรงอาหารคณะวารสารศาสตร์ที่เรียกติดปากว่าโรงเจซี ซึ่งอันที่จริงพอออกจากตึกเรียนมามันมีโรงอาหารไว้ให้ทานข้าวถึงสองโรง แต่ด้วยปริมาณเด็กที่อัดแน่นจนล้น ไม่ว่าจะไปไหนก็เหมือนกัน เพื่อนเขาอยากกินร้านอาหารในนี้เลยเดินเข้ามา

ประเทศนี้ มหาลัยนี้แม่งก็ร้อนเหลือเกินเว้ย ล้งเล้งมั่นใจว่าถ้าหากเขาเดินจากหอมาเรียนที่ตึกทุกวันนะ สี่ปีผิวที่แขนเปลี่ยนสีแน่นอน แดดแผดเผาอะไรขนาดนี้ ไม่เข้าใจ

แน่นอนว่าเด็กที่มีเป้าหมายจะเข้ามหาลัย C อย่างล้งเล้งน่ะ

 ตอนนี้… อยู่มหาลัย T ครับ

ล้งเล้งเข้าม. C ไปแล้ว ติดคณะที่เลือกไปแบบที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ด้วยอารมณ์ของเด็กมัธยมหก ล้งเล้ง ณ ตอนนั้นขอเพียงที่นั่งสักที่ในมหาลัย ไม่ว่าจะเป็นคณะอะไรเขาก็โอเค แต่พอเข้าไปเรียนเทอมแรกเขาก็รู้แล้วว่า

นี่มันเหี้ยอะไรวะ

ไม่ใช่ว่ามหาลัยไม่ดี แต่เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้ พอตัดสินใจแน่วแน่ว่ามองไม่เห็นอนาคตตัวเองในที่นี้จนถึงปีสุดท้าย ล้งเล้งก็ไปลาออกทันทีโดยไม่คิดเสียดายเวลาหรืออะไร กลับมาอยู่บ้าน ทบทวนหนังสือเรียนพิเศษกองพะเนิน แล้วสอบแกทแพทใหม่ เพื่อยื่นคะแนนแอดมิชชั่นอีกครั้ง

คราวนี้เขาได้คณะที่ตัวเองอยากได้ ในมหาลัย T

เท่าที่ใช้ชีวิตมาเกือบหนึ่งเทอม ล้งเล้งรู้สึกว่าที่นี่ ทั้งตัวคณะและมหาลัยเหมาะกับเขามากกว่าที่เก่า แถมเขายังได้เพื่อนที่ดี ถึงแม้จะไม่ค่อยมีสติก็ตามที

อีกสาเหตุที่ซิ่วน่ะเหรอ?

เหตุผลง่ายๆ

ไอ้เหี้ยทะเลมันอยู่มหาลัย C

คนที่ฉลาดอย่างมันเข้ามหาลัยท็อปเขาก็ไม่แปลกใจหรอก แต่ไอ้การที่มันมาเคาะประตูบอกเขาด้วยหน้านิ่งแต่มีรอยยิ้มกวนประสาทที่มุมปากว่า ‘เราเรียนที่เดียวกันอีกแล้วนะ’ มันทำให้เขาปักธงในใจเลย ว่าถ้ากูจะซิ่วครั้งนี่

กูจะไม่เรียนที่เดียวกับมึง!

หากพูดแค่นี้ก็ดูจะปัญญาอ่อนไปหน่อย อันที่จริงตอนช่วงเวลาหลังจากลาออกมหาลัย C ล้งเล้งว่างมากพอที่จะเข้าไปนั่งดูวิชาเรียนกับวิชาเอกแบบคร่าวๆ ของคณะที่อยากเข้าในหลายๆ มหาลัย ดูไปดูมา ถามเจ๊กุ๊กกิ๊กกับพี่ซุกซนที่จบจากที่นี่ รวมถึงญาติหลายคนจากทั้งสองมหาลัย จนสรุปได้ว่าเขามาที่นี่ดีกว่า

ตอนแรกพี่ๆ ก็เตือนว่ามหาลัยมันร้อนนะ
ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแม่งจะร้อนขนาดนี้

“มึงกินไอ้นี่ทุกวันไม่เบื่อเหรอวะน่ะ?”

มูถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าล้งเล้งถืออะไรขึ้นมาวางบนโต๊ะที่พวกเขานั่งกัน มันคือข้าวปลาซาบะจากร้านอาหารญี่ปุ่นที่เขาถูกปาก เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว คืออะไร? กูกินข้าวซ้ำกันทุกวันแล้วโลกมันร้อนขึ้นหรือเปล่า? ก็ไม่ไง

“ไม่อ่ะ กูเบื่อมึงมากกว่าอีก”
“เนี่ย พวกจับได้ไพ่ Chariot แข็งเป็นหิน ไม่มีความอ่อนโยน”

ผมปล่อยให้มันพูดพล่ามอะไรของมันไป ถ้าให้เดานี่แม่งต้องเข้าท็อปปิคมูเตลูแล้วแน่นอน บอกแล้ว ชื่อมูเตลูไม่ได้มาเพราะความบังเอิญ

“ตอนแรกกูก็กะจะเปลี่ยนเมนู แต่กินให้มึงถามอ่ะ รู้อยู่ละว่าเป็นคนขี้สงสัย”
“ด่ากูเสือกเลยสิ”
“เสือก”
“โห กูว่าละ พวกโหวงเฮ้งแบบมึงนี่โบราณว่าไว้ว่าเป็นพวกปากเปราะ”

อ่ะ เปรียบซะกูไม่ใช่คนเลย

เมื่อกี้บอกกูไม่อ่อนโยน ตอนนี้บอกกูโหวงเฮ้งปากเปราะอีก มึงเกิดมาเพื่อด่ากูหรือไง?

ล้งเล้งหันไปทำหน้าบึ้งใส่มันนิดหน่อยแต่มันยักไหล่ไม่สนใจ ตัวเด็กหนุ่มเลยเริ่มกินข้าวตรงหน้าตัวเองบ้าง มูเป็นสีสันของมหาลัย ซึ่งสีสันที่เขาพูดถึงคือ ‘สีสัน’ ตรงตัว

อย่างเช่นวันนี้ วันพฤหัส

สีมงคลของปีนี้สำหรับวันพฤหัสคือสีน้ำเงินแน่นอน

ถามว่ารู้ได้ยังไง? ไอ้เหี้ยมูมันคอสเพลย์เป็นสเมิร์ฟวันนี้ เพื่อนของเขามันน้ำเงินทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า หมวกฟ้า เสื้อลายตารางสีฟ้าน้ำเงิน กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบสีฟ้านีออน ถ้าทำได้ล้งเล้งคิดว่ามูคงจะเอาตัวจุ่มถังสีก่อนออกจากห้องแล้วแหละ

มันมีประโยชน์มากเวลาจองโต๊ะในโรงอาหาร เพื่อนคนอื่นไม่ต้องเสียเวลาในการมองหาโต๊ะที่แทบจะกลืนไปกับฝูงนักศึกษาที่หลั่งไหลออกมาจากห้องเรียน เรามีคนที่ที่สุดในโลกนั่งอยู่นี่แล้ว

มูเป็นนิยามของคนที่มาทางสายมูเตลูโดยแท้ ในคณะที่งานวิจัยก็อ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์ไป มันก็อ้างอิงหลักโหราศาสตร์ โหวงเฮ้งศาสตร์ เสื้อมงคลวิทยาอะไรของมันไปเรื่อย

“ปากกูงับหัวมึงได้”
“อย่าทำผ้ม”
“สัตว์! นั่งแดกข้าวไป มึงเป็นอะไรเนี่ย? ไม่หิวหรือไง?” 
“กูเป็นผู้รู้ ที่กำลังตื่น และอารมณ์เบิกบาน”
“โอเคผู้รู้ กูเป็นผู้หิวข้าว กูกินละนะ”

ล้งเล้งตอบไปมันพร้อมกับกินข้าวตรงหน้าไปด้วย ความจริงแล้วเขาไม่ได้ชอบอาหารจานนี้ขนาดนั้น มันดันเป็นร้านที่เร็ว กินได้ และราคาไม่แพง ก็เลยเลือกทาน

“เพื่อนมู น้องล้งเล้ง”
“พวกนายเห็นเจ๋งมั้ย?”
“เจ๋งเป้งหาย”
“เจ๋งเป้งตายหรือยัง?”

นอกจากมูแล้ว ไอ้สองหน่อนี่ก็ทำให้ประสาทเสียไม่แพ้กัน

บุ๋มบีมเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ โดยบุ๋มถือมาสองถาด ของตัวเองกับของบีม ส่วนบีมถือของมูมาให้ ทดแทนที่มูต้องนั่งเฝ้าโต๊ะแทนพวกเขาที่จะลงไปซื้อข้าวกิน

“เมื่อเช้าเจ๋งเป้งมันโดด ยังไม่เจอเหมือนกัน แต่เห็นบอกว่าจะไปกับเราตอนบ่ายด้วยนะ”

ล้งเล้งตอบเพื่อนไป ตอนนี้เขาทานอาหารตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย เลยนั่งเล่นมือถือรอเพื่อนกินไปก่อน อันที่จริงตอนเช้าวันนี้เขามีเรียนกับเจ๋งเป้งสองคน วิชาภาษาจีน แต่ไอ้เจ๋งมันโดด ในคลาสเลยมีเพียงแค่ล้งเล้งนั่งอย่างหงอยเหงาอยู่คนเดียวเท่านั้น   

“เอ้า ทำไมมันไม่มาเรียนวะ มันไปไหน?” มูถามพลางกินข้าวตรงหน้าไปด้วย 
“ตื่นสาย เลยขี้เกียจเข้า”
“อ่อ แต่ไปต่อตอนบ่ายได้?”
“มันว่างั้นนะ” 

มูมันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะกินข้าวต่อพร้อมกับเล่นมือถือไปด้วย ล้งเล้งมองปราดเดียวก็เห็นว่ามันเป็นมือถือสำหรับใช้ทำงาน

พูดถึงมูแล้ว การมีมือถือสองเครื่องหรือมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะตัวมันเองแปลกกว่านั้นเยอะมาก

ในช่วงแรกที่ยังไม่สนิทกันมากนัก บีมมันเคยถามว่าทำไมมูถึงมีมือถือตั้งสองเครื่อง มันก็ตอบกลับมาง่ายๆ ว่าเครื่องนึงมีไว้ใช้ อีกเครื่องมีไว้คอยรับดูดวง

จะบอกอีกครั้ง ชื่อมูเตลูนั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

ไลน์!

ล้งเล้งหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดูอ เขารีบกดเข้าไปดูเพื่อตอบเพื่อนในกลุ่มอย่างว่องไว พูดถึงเจ๋ง เจ๋งก็ไลน์มา ไอ้นี่มันตายยากจริง



เจ๋งเป้ง: ล้งเล้ง
เจ๋งเป้ง: เลิกแล้วใช่เปล่า
เจ๋งเป้ง: กินข้าวไหนกันวะ
 
ล้งเล้ง: โรงเจซี

เจ๋งเป้ง: โอเค
เจ๋งเป้ง: กำลังไป

ล้งเล้ง: เอาไรป้ะ?

เจ๋งเป้ง: ไม่เป็นไร กินแล้ว

ล้งเล้ง: เค

เจ๋งเป้ง: กินโกโก้ปั่นมั้ย
เจ๋งเป้ง: ซื้อให้
เจ๋งเป้ง: มึงชอบนี่

ล้งเล้ง: ไม่อ่ะ
ล้งเล้ง: แต้ง

ล้งเล้งมองข้อความตอบกลับล่าสุดจากเพื่อนซึ่งเป็นสติกเกอร์โง่ๆ แว๊บเดียวแล้วปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนั้น เจ๋งเป้งเป็นเพื่อนที่ดี แต่บางทีก็น่ารำคาญ ชอบวอแวจนบางทีผมรู้สึกเหมือนมีพ่อคนที่สอง

“ไอ้เจ๋งกำลังมานะ”
“เออๆ เคๆ”

ล้งเล้งบอกเพื่อนที่กำลังคุยกัน พอบอกพวกมูมันก็อืมๆ เออๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ในขณะที่พวกเขากำลังจะลุกไปวินรถตู้นั้น มีเสียงเรียกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะพอดี

“เอ่อ…ขอโทษนะคะ”

ทั้งสี่หันขวับ คนที่เรียกพวกเขาคือเด็กผู้หญิงเขาดำในชุดนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งยิ้มเห็นเหล็กดัดฟันมาให้ ล้งเล้งเป็นคนแรกที่ตอบออกไป เพราะว่าเธอยืนส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มพอดี

“ครับ?”
“ขอไลน์ได้มั้ยคะ?”

พวกเขาทั้งสี่คนเงียบนิ่ง มองหน้ากันเพราะไม่แน่ใจว่าเขาขอไลน์ใครกันแน่ จนผู้หญิงคนนั้นยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าเขาอย่างอายๆ

เชี่ย! เขาขอไลน์กู!!!

สำหรับล้งเล้งแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตมหาลัยที่มีคนมาขอไลน์ด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่ทำงานกลุ่ม เพื่อนของเขาอีกสามคนก็มองอึ้งๆ เช่นเดียวกัน ในส่วนของล้งเล้งนั้น หลังจากที่เลิกตกใจ ก็ยืดอกเชิดขึ้นด้วยความภูมิใจในตัวเอง

ก็คนมันหล่ออ่ะนะ

“เธอชื่อไรเหรอ?”
“ล้งเล้งครับ”

ล้งเล้งตอบในขณะที่พิมพ์ไลน์ของตัวเองใส่โน้ตให้เด็กผู้หญิงตรงหน้าไปด้วย เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเขาเห็นอีกฝ่านกระพริบตาเล็กน้อย เหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า ในขณะที่ล้งเล้งกำลังมือไม้เย็นเพราะตื่นเต้น เด็กผู้หญิงคนนั้นยิ้มๆ นิดหน่อย

“ชื่อน่ารักจรัง”
“อ่า… ครับ”

ในขณะที่ล้งหัวเราะแก้เขินอยู่นั้น กลุ่มเพื่อนๆ อีกสามคนมองหน้ากันด้วยสายตา ‘มึงๆ คิดเหมือนกูป้ะ?’ ‘เออๆ กูก็คิดเหมือนมึงเว้ย’ อยู่ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเรียบร้อย เด็กผู้หญิงผมดำกำลังจะเดินจากไป ในขณะนั้นเอง ล้งเล้งก็ได้เรียกเธอเอาไว้

“เดี๋ยว! เออ… แล้วเธอชื่ออะไรอ่ะ?”
“เราชื่อกิ๊บ”
“อ่อ คือ…”
“ไม่ต้องสนเราหรอก ไม่ต้องห่วงเราไม่แอดเธออยู่แล้ว เราขอไลน์เธอให้เพื่อนเรา”

เอ๊ะ?

ในขณะที่เขากำลังทำหน้าหมางงอยู่นั้น กิ๊บก็เดินจากไป ชายหนุ่มยักไหล่ สงสัยเพื่อนของกิ๊บอาจจะเป็นคนขี้อายล่ะมั้ง  คงไม่กล้าเดินมาขอไลน์ผู้ชายเองตรงๆ เลยฝากเพื่อนมาขอไลน์ให้แทน

โห รู้สึกหล่อขึ้นอีกแล้ว

“ไปกันยังไงดีวะ? เพื่อนมึงจองตั๋วที่ไหนไว้ พารากอนป้ะ?”

บีมเป็นคนถามขึ้นมาโดยมีบุ๋มพยักหน้าสนับสนุนอยู่ข้างๆ บางทีเขาก็สงสัย สองคนนี้เป็นบ้าอะไรต้องทำตัวติดกันอย่างกับฝาแฝดแบบนี้

“รถตู้ไง หรือมึงจะเดินไป?” มูพูดขึ้นมาพลางดูดน้ำแดงในแก้ว อ่ะ คอสเพลย์เป็นกุมารทองก็มา
“ถ้าเดินบนหัวมึงก็ได้อ่ะ” บีมเป็นคนตอบ โดยที่มีบุ๋มเป็นลูกคู่พูด ‘หว่ายยยยยยยย หว่ายยยยยยยย’ อยู่ข้างๆ
“งั้นเหาะไปก็ได้”
“ยากเลย กูเลืมเอาผ้าคลุมล่องหนมา”
“เขาใช้ไม้กวาดป้ะมึง แฮร์รี่ พ็อตเตอร์เข้าไม่ถึงหรือไงวะ เท่ๆ ขี่ไม้กวาดงี้”
“อย่างมึงเอามากวาดพื้นกูยังสงสารไม้กวาด”
“มันต้องสงสารพื้นป้ะ?”
“ไม่ สงสารไม้กวาดที่ถูกมึงจับ”

ไอ้บีมกับไอ้มูมันเถียงกันครับ อันที่จริงพวกมันเป็นบ้าเป็นบอกันทั้งหมด เหมือนในกลุ่มมีเขาที่มีสติอยู่คนเดียว อาจจะมีเจ๋งเป้งอีกคน ถ้ามันไม่เลิกทำตัวเป็นพ่อของเขา

“ตกลงขึ้นรถตู้นะ กูจะได้บอกเจ๋งให้มันไปเจอที่วิน”

ล้งเล้งถามอย่างเหนื่อยใจ ถ้าไม่พาพวกมันเข้าเรื่อง เย็นนี้ไม่ได้ไปหรอกสยามเนี่ย นั่งแม่งอยู่แต่โรงอาหารนี่แหละ เถียงกันจนหนังออกโรงไปเลยเถอะพวกมึง

“น้องล้งเล้งว่าไง”
“พวกพี่ก็ว่าตามนั้นครับโผ้ม”
“โหย เราสองคนนี่โคตรเท่เลยว่ะบีม”
“นั่นสิบุ๋ม”

ล้งเล้งกลอกตาเมื่อเพื่อนเขาเริ่มทำตัวไร้สาระกันอีกแล้ว ถ้าไอ้มูมันพูดจริงเรื่องนรกสวรรค์อะไรของมันนะ ล้งเล้งมั่นใจว่าเขาจะต้องได้ขึ้นสวรรค์ เพราะถ้าลงนรกแล้วไปเจอพวกมันอีกคือพอแล้ว ลาขาด รำคาญเว้ย!


สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไปถึงสยามกันจนได้

“กูไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่ดูที่ฟิวเจอร์วะ จะถ่อมาถึงนี่ทำไม”

เจ๋งเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่บนบันไดเลื่อนขึ้นบนของห้างสยามพารากอน วันนี้คลาสบ่ายของพวกเขาทุกคนยกเลิก ตอนนี้ก็เลยว่างมากพอที่จะออกมาดูหนังกันที่สยาม โดยตอนแรกมูเป็นคนที่จะจัดการทุกอย่างให้ พอมาถึงตอนเที่ยงล้งเล้งถึงได้รู้ว่าอันที่จริงแล้ว มูให้เพื่อนจัดการให้ สมกับเป็นเพื่อนมูจริงๆ

“กูให้เพื่อนจองตั๋วให้ มันก็จองที่ที่ใกล้มันป้ะวะ”

มูพูดพร้อมกับดูดแก้วน้ำแดงที่มันถือติดมือมาตั้งแต่รังสิตยันสยาม

“แล้วทำไมเราไม่จองกันเอง?” บีมถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ล้งเล้งก็คิดอยู่ในใจ 
“กูถือเคล็ด วันนี้กูไม่ควรทำอะไร” 
“แต่เมื่อเช้ามึงเข้าเรียน ไอ้ควาย”

คนด่าเป็นบุ๋มที่ยืนอยู่ข้างหลังของล้งเล้ง อันที่จริงแล้ว ล้งเล้งเกลียดการยืนอยู่กับเพื่อนในกลุ่ม ข้อแรกเลยคือพวกมันเป็นบ้า ซึ่งการอยู่กับคนบ้าเราจะกลายเป็นคนบ้าไปด้วย

แต่เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ เพื่อนของล้งเล้งทุกคนสูงถึงสูงมาก

เขายอมรับว่าตัวเองสูงมาตรฐานชายไทย นอกจากไอ้ทะเลคอสเพลย์เป็นเปรตแล้ว เด็กผู้ชายวัยเดียวกันทุกคนก็สูงไล่เลี่ยกันหมด แต่พอมาอยู่กับกลุ่มพวกมันแล้วเหมือนเป็นด็อบบี้ท่ามกลางฝูงโทร์ล หรือถ้าให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนผมเป็นหมาปอมท่ามกลางฝูงไซบีเรียนที่กำลังทำตัวโง่ 

เด็กหนุ่มมองเพื่อนที่เถียงกันว่าไก่กับไข่ทำไมเกิดหลังไดโนเสาร์ด้วยสายตาครุ่นคิด อันที่จริงเขาไม่เคยถามพวกมันเลยว่าสูงเท่าไหร่ แต่ถ้าให้กะน่าจะเกิน 180 แน่นอน ส่วนตัวเขาน่ะ ถ้าพยายามเขย่งกับทำผมตั้งๆ หน่อย ก็จะวัดได้เต็มที่คือ 171 เซนต์ 

คิดแล้วก็แค้น ถ้าตอนเด็กกูไม่ขยาดนมนะ ป่านนี้ไอ้เจ๋งไม่ได้แดกหรอกเดือนคณะน่ะ!

อันที่จริง ตอนแรกรุ่นพี่มาทาบทามพวกมันทั้งหมดให้ไปเป็นหลีดคณะด้วย เล่นเดินมาขอไลน์ทุกคนในกลุ่มยกเว้นล้งเล้ง ตอนนั้นเด็กหนุ่มน้อยใจมาก ยังดีหน่อยที่บรรดาเพื่อนไม่มีใครไปคัดหลีดเลย (เขาเลยไม่ต้องเท้งเต้งอยู่คนเดียว) บุ๋มบีมบอกขี้เกียจ เสียเวลาเล่นเกม ไอ้มูมันต้องนั่งสมาธิทำจิตอะไรไม่รู้ ส่วนเจ๋งเป้งมันลงแค่เดือน มันบอกขี้เกียจซ้อม แค่กิจกรรมคณะก็หนักหนาแล้ว ซึ่งพอเจ๋งเป้งได้เป็นเดือนคณะแล้ว ก็ถอนตัวหลังจากที่รู้ว่าต้องไปเก็บตัวต่อเพราะขี้เกียจ จนตอนนี้ล้งเล้งไม่รู้แล้วว่าเดือนคณะคือใคร 

อันที่จริง คณะภาษาที่พวกเขาเรียนกันมีผู้ชายเพียงแค่หยิบมือ จากเด็กเกือบพันนั้นเป็นผู้หญิงไปแล้วเก้าร้อย เหลือตัวผู้อยู่ไม่ถึงร้อย ซึ่งในร้อยคนนั้น ตั้งแต่เปิดเทอมมาเริ่มปัดมาสคาร่าไปทีละคนสองคน จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือเพศชายจนจบกันกี่คน

“แล้วนี่เพื่อนมึงอยู่ไหนวะ?”

ล้งเล้งหันไปถามมูที่ตอนนี้กำลังทะเลาะกับเจ๋งเป้งเรื่อง ‘ทำไมมึงใส่เสื้อสีม่วงในวันนี้ ไม่รู้หรือไงว่าเสื้อม่วงในวันพฤหัสมันกาลกิณี’ พวกมันถึงหยุดเถียงกัน เจ๋งเป้งกระแอม ส่วนมูมันเช็กโทรศัพท์มือถือแป๊บนึง ก่อนจะตอบกลับมา 

“แม็คชั้นล่าง ตรงใกล้ๆ ฟูจิ”
“งั้นเราไปเดินเล่นรอกันก่อนมั้ย ค่อยเจอเพื่อนมึงตอนเวลาใกล้ๆ จะดูหนัง?”

ล้งเล้งเสนอ จะให้ไปนั่งจ้องหน้าเพื่อนมูกินข้าวมันก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่ ซึ่งหลังจากเด็กหนุ่มพูดจบ มีเสียงแสดงความคิดเห็นจากเจ๋งเป้งตามมา

“เอางั้นก็ได้”

ตามด้วยเสียงคลอเป็นลูกคู่ของบุ๋มบีม

“น้องล้งเล้งว่าไง”
“พวกเราก็ว่าอย่างงั้น”
“โห เรานี่โคตรเท่เลยว่ะบีม”
“จริงด้วยบุ๋ม”

ล้งเล้งกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ถ้าเลือกเพื่อนได้ อย่าเลือกที่เป็นบ้า


.
.
.



เหลือเพียงล้งเล้งคนเดียวที่อยู่ร้านหนังสือ

จากที่เมื่อครู่คุยกัน อีกสี่คนที่เหลือยกโขยงกันไปนั่งรอในร้านกาแฟ ส่วนตัวเด็กหนุ่มอยากดูหนังสือสักหน่อยเลยแยกจากเพื่อนทั้งโขลงมาคนเดียว เมื่อนึกเหตุผลที่พวกมันไปหากาแฟแล้วยังหงุดหงิดไม่หาย

‘มึงไปเลย กูขอนั่งรอร้านกาแฟ กูไม่อยากเห็นเหี้ยอะไรที่เป็นตัวหนังสืออีกแล้ว แค่สไลด์เมื่อเช้าทำกูจะอ้วก’

ดูไอ้เหี้ยมูมันพูด มึงเห็นตัวหนังสือตรงไหนก่อน คนจดทั้งหมดให้พวกมึงซีร็อกส์กันคือกู กูนี่! ส่วนมึงนู่น มาถึงแล้วก็นอนกรน! 

เด็กหนุ่มสะบัดหัวเอาเรื่องเพื่อนปัญญาอ่อนออกไป ก่อนที่จะเดินดูบรรยากาศโดยรอบไปด้วย ตั้งแต่เด็กล้งเล้งชอบฝังตัวอยู่ในร้านหนังสือ ถึงแม้ว่าบางทีจะเป็นการเข้ามาเพื่อนั่งอ่านการ์ตูนก็เถอะ กว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็โตมาด้วยนิสัยที่ชอบเดินเข้าร้านหนังสืออยู่เป็นประจำไปแล้ว ถึงแม้หลายครั้งจะไม่ได้ซื้ออะไรติดมือออกมาเลยก็ตาม

สยามนี่ดีชะมัด มีร้านหนังสือใหญ่ๆ หลายร้าน ไม่เหมือนถวทุ่งรังสิต…

พอพูดถึงสยามแล้ว เด็กหนุ่มก็อดคิดถึงทะเลไม่ได้ เอาเถอะ วันนี้มันควรจะนั่งเรียนหัวฟูอยู่ที่คณะ โดนงานทับตายไปเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องมายุ่งเวลาเขาสอนเด็กอีก

“ไอ้ลูกหมา”

พูดถึงเหี้ย เหี้ยก็ทักทายเราทันที

ล้งเล้งกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ทำกรรมอะไรเอาไว้ถึงได้เจอมันถี่ขนาดนี้ ไอ้คนที่เรียกเขาว่าลูกหมาเมื่อครู่มายืนอยู่ข้างๆ วันนี้คู่แข่งทางการค้ามันก็ยังคงทำหน้าเหมือนง่วงนอนคล้ายกับทุกครั้งที่ล้งเล้งเจอ ใบหน้าหล่อมีรอยยิ้มกวนตีนคุ้นหน้าคุ้นตาประดับอยู่

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกๆ ที่ล้งเล้งสังเกตว่าส่วนสูงของพวกเขาต่างกันขนาดไหน นี่เขาว่าตอนที่ยืนอยู่ในดงเพื่อนตัวเองเป็นหลุมแล้วนะ เมื่อมายืนเทียบกับทะเลแล้วทำไมรู้สึกว่าตัวเองต้องเงยหน้ามากกว่าเดิมอีก มันคอสเพลย์เป็นเปรตจริงหรือไม่ก็ยังคงเป็นที่น่าสงสัยอยู่

“ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”

เขาทักทายมันอย่างสุภาพ

“อ่อ เปล่าอ่ะ ที่นี่นรก กูบังเอิญอยู่ขุมเดียวกับมึง”

มันตอบกลับอย่างสามานย์

เป็นอีกครั้งที่ล้งเล้งกลอกตาอย่างเบื่อๆ กรุงเทพก็ตั้งกว้างก็ดันมาเดินเจอกันที่สยาม รู้อยู่แหละว่ามหาลัย C มันใกล้แถวนี้ แต่มึงช่วยไปเดินที่อื่นได้มั้ย โลตัสเชียงใหม่ เซ็นทรัลหาดใหญ่อะไรก็ไปสิวะ รำคาญหน้า
 
ไลน์!

เด็กหนุ่มเลิกสนใจคนที่เดินตามเขาไปทั่วร้านเหมือนเป็นล้งเล้งเป็นเข็มทิศประจำตัว เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือที่เมื่อครู่มีแจ้งเตือนดังขึ้นมาดู บนหน้าจอแสดงว่ามีข้อความจากผู้ติดต่อที่เขาไม่รู้จักทักมา หัวใจของล้งเล้งเต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่ได้ มันต้องเป็นกิ๊บ เด็กผู้หญิงที่มาขอไลน์เขาที่โรงอาหารเมื่อครู่แน่นอน

เอ๋า ทำไมชื่อไลน์ gap ไหนบอกว่าชื่อกิ๊บไง

gap: เธอ
gap: ได้ไลน์มาจากโรงอาหาร
gap: มีแฟนยัง?
gap: เราจีบได้เปล่า?

ล้งเล้งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ตอนที่กำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า ‘โสด จีบได้ครับ’ เขารู้สึกตงิดใจแปลกๆ ไวกว่าความคิด มือของเด็กหนุ่มจิ้มไปที่ดิสไลน์ของผู้ติดต่อใหม่ทันที

เอ้า ไอ้เหี้ย ทำไมเป็นตัวผู้?!



------- Wednesday In Class -------


วันนี้มีแต่เรื่องปวดหัว

เรื่องแรก คนที่ไลน์มาจีบเป็นผู้ชาย คณะไหนชั้นปีอะไรก็ไม่รู้ พอล้งเล้งรู้ว่าไอ้ที่ทักไลน์มาเชิงชู้สาวเป็นตัวผู้ เด็กหนุ่มก็ด่าพ่อแล้วบล็อกไป เอาแบบที่เจอหน้ามันต้องมาต่อยเขาแน่นอน แล้วยังไงวะ? กลัวที่ไหน! มาเลยไอ้เหี้ยจะเตะให้ลืมตารางสอบกลางภาคเลยคอยดู!

เรื่องที่สอง

เพื่อนที่มูให้จองตั๋วหนังให้น่ะ … ชื่อทะเล

โลกกลมจนน่าเกลียด มูเป็นเพื่อนในค่ายที่ไอ้ทะเลมันเคยไปเข้ามาสมัยมอปลาย ค่ายรังนกซุปไก่อะไรก็ไม่รู้ ล้งเล้งไม่สนใจ ตอนมอปลายเด็กหนุ่มมัวแต่ทุ่มเรียนพิเศษจนไม่สนใจจะหากิจกรรมหรือค่ายอะไรทำเลย เขาเพิ่งรู้ว่าเพื่อนตัวเองเป็นเพื่อนกับตัวเหี้ย

ที่น่าตกใจกว่านั้น คือสองคนนี้สนิทกันฉิบหาย

มูมันเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าสมัยมอปลายมันมีเพื่อนเยอะมาก ทั้งจากโรงเรียนแล้วก็กิจกรรมนอกโรงเรียนที่มันทำ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าโลกของมันกว้างแค่ไหน ล้งเล้งไม่รู้ว่าสีหน้าของตัวเองอุบาศว์ขนาดไหนตอนที่มูโบกมือให้เขาอยู่หน้าร้านหนังสือ แต่เสือกเดินเข้ามาหาทะเล

“มึงไม่เห็นบอกกูเลยว่าเป็นเพื่อนกับทะล”
“บอกกี่รอบแล้วว่ามันไม่ใช่เพื่อนกู!”

ล้งเล้งเถียงเป็นรอบที่ห้า ตอนนี้พวกเขานั่งกันอยู่ในร้านแม็คโดนัลระหว่างรอขึ้นไปดูหนัง พวกเขานั่งโต๊ะใหญ่กันเพราะมีกันเกือบสิบคน

“โห ลูกหมา ต้องให้กูบอกเหรอว่าเสื้อสมัยอนุบาลของมึงเป็นลาย…”
“หยุด!”

ล้งเล้งรีบกระโดดจนกมุมโต๊ะไปที่อีกฝั่งที่ทะเลนั่งอย่างรวดเร็ว เพื่อปิดปากไอ้คนที่ทำท่าว่าจะพูดมากออกมา

“น้องล้งเล้งทำงี้”
“พวกพี่ยิ่งอยากรู้เลยนะเนี่ย”

บุ๋มบีมที่นั่งแทะเฟรนช์ฟรายพูดขึ้นมาอย่างสนใจ สองคนนั้นนับวันยิ่งหน้าเหมือนกันเข้าไปทุกวัน หากล้งเล้งไม่รู้พื้นเพมาก่อนต้องคิดว่ามันเป็นฝาแฝดกันแน่นอน

“ไม่ต้องสนใจ มันเป็นเรื่องไร้สาระ”
“เฮ้ยเราเข้าใจ พวกเราทุกคนต่างมียุคเทพซ่าด้วยกันทั้งนั้น ฮ่าๆ”

โซดาพูดบ้าง โซดาเป็นเพื่อนของทะเลกับมูที่มาดูหนังด้วยกัน  ล้งเล้งเองก็ไม่แน่ใจว่าเพื่อนคนนี้เรียนคณะอะไรเพราะไม่ได้สนใจขนาดนั้น โซดาเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาอิ่มเอิบรูปร่างจ้ำม่ำ ดูเป็นคนตลกเพราะระหว่างที่นั่งด้วยกันนี่ โซดาปล่อยมุกแป้กหลายครั้งมาก ซึ่งลูกคู่รับมุกก็คือบุ๋มบีมเจ้าเก่า

“เออๆ นั่นแหละๆๆๆ เป็นลายล้งเล้งเทพจังจ้า อิอิซ่า ห้าห้าบวก”

เด็กหนุ่มรีบเออออห่อหมกไปด้วย หวังให้ประเด็นสนทนาออกห่างจากเรื่องชุดน่าอายของเขาเสียที

“...”
“ยิ่งทำงี้ กูยิ่งอยากรู้”

เจ๋งเป้งเป็นคนที่พูดขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนในวงคิดตรงกัน อาจจะยกเว้นทะเลที่นั่งดูดน้ำไม่รู้ไม่ชี้ โดยมีล้งเล้งแยกเขี้ยวคู่อยู่ข้างๆ

“ก็บอกแล้วไงว่าอิอิซ่า ห้าห้าบวก มึงสนใจอะไร”
“น่าเชื่อมากไอ้เหี้ย”
“มีใครบอกมั้ย ว่ามึงโกหกได้กากมากจริงๆ”

เพื่อนในกลุ่มของล้งเล้งเริ่มออกความเห็นไปในทางเดียวกัน ซึ่งคนที่ตกเป็นเป้าเริ่มเลิ่กลั่ก เชี่ย พวกมึงคุยเรื่องการเมืองกันดิ เรื่องอากาศร้อนหนาวอะไรก็ทำไป มาสนใจเสื้อกูทำไมเนี่ย

“กูมีรูปนะ”
“เชี่ย!”

ล้งเล้งสบถเมื่ออยู่ดีๆ ทะเลก็พูดขึ้นมา ใบหน้าหล่อของทะเลที่ปกติแล้วแทบจะไม่แสดงอารมณ์อะไร บัดนี้มีรอยยิ้มกวนส้นตีนประดับอยู่

“ไอ้เหี้ย มึงไม่มี!”
“มี”
“ไม่มี!”
“มีจริงๆ”
“ไม่มี มึงโกหก มึงจะไปมีได้ไง!”
“กูขอพี่กุ๊กกิ๊กถ่ายจากอัลบั้มรูปบ้านมึงนานแล้ว ตอนไปหามึงที่บ้านแล้วมึงเรียนพิเศษ”

ล้งเล้งทำหน้าเหมือนตึกถล่ม ในเสี้ยวเล็กๆ ของจิตใจนึกโกรธพี่สาวที่ตอนนี้จ่ายค่าเทอมให้ ส่วนเสี้ยวใหญ่ในจิตใจคือนึกด่าไอ้เหี้ยทะเล มึงจะมาหากูที่บ้านทำไม! บ้านมึงก็ไม่ใช่ เสือกจริง!

“ไม่มี มึงลบไปแล้ว”
“กูเปิดให้ดูได้นะ”
“ไอ้สัตว์! มึงจะเอายังไง!”

ล้งเล้งถามอีกคนด้วยน้ำเสียงหาเรื่องตามปกติของเจ้าตัว ใบหน้าน่ารักบูดบึ้งอย่างหงุดหงิด เขาจะต้องทำยังไงไอ้ทะเลมันถึงจะคิดได้ว่าตัวเองควรบวชไม่สึกตลอดชีวิต แล้วหายไปจากชีวิตเขาสักที

“มาแข่งกัน”

ทะเลพูดพลางดูดน้ำคำสุดท้าย ก่อนจะวางแก้วลงกับโต๊ะ สีหน้าแสดงความมั่นใจนั่นทำให้ล้งเล้งหงุดหงิด มึงเป็นเหี้ยอะไรนักหนา

“ว้าว การแข่งขัน”
“น่าสนุก น่าสนุก”

บุ๋มบีมพูดต่อด้วยความสนใจ ตอนนี้ทั้งวงหันมาตั้งใจฟังในสิ่งที่ทะเลจะท้า ไม่เว้นแม้แต่มูที่ตอนแรกกำลังจัดคิวคนนัดดูดวงด้วยเช่นกัน

“น่าสนุกห่าอะไร มันแกล้งกูอยู่เนี่ย”

ล้งเล้งพูดกับเพื่อนของตัวเอง แต่ไม่มีใครสงสารเลย ทุกคนดูสนุกสนานกันมากกับการที่ทะเลกวนตีนเขา แม่งเอ๊ย ไม่มีมิตรแท้ในหมู่นักศึกษามหาลัย

“นั่นแหละที่น่าสนุก”

 เจ๋งเป้งเป็นคนตอบ ตอนนี้มันลูบหัวเขาเหมือนที่ชอบทำด้วย เอื้อมมือยาวๆ ผ่านหน้ามูมาลูบเนี่ย ซึ่งล้งเล้งปัดออกอย่างหงุดหงิด ไอ้เหี้ยนี่ก็ลูบหัวกูเป็นหมาเลย

“เอาไง กูเปิดรูปได้นะ”

ทะเลชูมือถือตัวเองขึ้น ทำท่าจะเปิดไปที่อัลบั้มจริงๆ ท่าทางไม่ล้อเล่นนั่นทำให้ล้งเล้งหงุดหงิด จากเดิมที่หงุดหงิดตลอดเวลากับเกือบทุกเรื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของทะเล เขาหงุดหงิดสิบเท่าจากเวลาปกติไปเลย

“มึงสิ จะเอายังไง แข่งอะไรก็ว่ามา”

ล้งเล้งกระชากเสียงถามอย่างขุ่นเคือง ซึ่งนั่นเข้าทางเพื่อนสมัยเด็กหน้านิ่งของเจ้าตัวพอดี

“ถ้าตลอดการดูหนังนี่ มึงไม่เข้าห้องน้ำเลย มึงก็ชนะไป กูจะไม่โชว์รูปสมัยเด็กของมึง”
“แค่นี้อ่ะนะ?”
“แค่นี้แหละ”
“โหย กระจอก”

ล้งเล้งเชิดหน้าขึ้น ไม่ว่ามองจากมุมไหนเขาก็ชนะใสๆ อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องพยายามอะไรเลย แค่อั้นฉี่ ฮี่โถ่!

ในขณะที่ล้งเล้งยินดีกับกติกากากๆ ของทะเลอยู่นั้น เพื่อนทุกคนที่เหลือมองหน้ากันไปมา มันจะรู้มั้ยว่าหนังที่กำลังจะดูกันคือหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีความยาวสามชั่วโมง

“ยังไงกูก็ชนะ”
“แต่ถ้าแพ้ นอกจากกูจะเอารูปให้ดูแล้ว มึงต้องเลี้ยงข้าวเย็นด้วยนะ”
“เออ ได้! แต่ถ้ากูชนะมึงจ่าย! แล้วก็ต้องลบไอ้รูปเหี้ยนั่นด้วย”
“ไม่มีปัญหา”
“มึงเตรียมเก็บปากไว้แตกเถอะ ไม่ได้แดกข้าวกูแน่นอน!”


------- TBC -------



ห้าวสุดในหมู่บ้านแล้วน้องล้งเล้ง

ขอฝาก #รักไม่คาดคิดในวันพุธ ไว้ด้วยนะคะ <3

ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ทะเลดูจะวนเวียนอยู่ในชีวิตล้งเล้งตลอด ล้งเล้งก็ดูล้งเล้งสมชื่อเมื่อเจอทะเล

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
เรียบร้อยเลยล้งเล้ง,,,

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด