Read me like a book : Page 1
“สนใจเล่มไหนสอบถามได้นะครับ”
ผมเอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มนิด ๆ ให้ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาดูหนังสือในบูธที่ผมกำลังรับจ๊อบเป็นพนักงานขายอยู่ แต่เขากลับแสดงเจตนาว่าต้องการเดินดูด้วยตนเองผมเลยปล่อยให้เขาเลือกตามสบายแล้ว
หันไปดูแลลูกค้าท่านอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือแทน
ด้วยความที่พ่อกับแม่ผมเสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งไว้เพียงผมกับน้องชายวัย
สิบห้า เราสองคนไม่มีญาติฝั่งไหนให้ความสนใจไยดี ก็นะ...บางคนกลับมองว่าเป็นภาระซะอีก กลายเป็นว่าครอบครัวของผมเหลือมีแค่น้องชายคนเดียวให้ดูแล
จริง ๆ ผมควรจะได้ขึ้นปีสามพร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่น แต่ก็นะอะไรหลาย ๆ อย่างมันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป แถมผมยังไม่ได้รับทุนจากคณะด้วยเพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องผมก็เรียนพอผ่าน ๆ เกรดก็ไม่ได้ดีมากมาย ผมเลยตัดสินใจดรอปเรียนไว้ก่อนเนื่องจากภาระเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จนตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วหลังจากที่สูญเสียพ่อกับแม่ไป
ดังนั้นผมเลยต้องออกมาหางานทำเพื่อหาเลี้ยงปากท้องสองชีวิต งานไหนที่รับนักศึกษายังไม่จบปริญญาตรีเข้าทำงาน ผมลองทำมาหมดแล้วเกือบทุกอย่าง ทั้งร้านอาหาร ส่งของ เด็กเสิร์ฟ ร้านหนังสือ ล่าสุดนี่ก็มารับเป็นพนักงานขายพาร์ทไทม์ในงานหนังสือ เพราะต้องหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว ค่ากินอยู่ ค่าข้าว ค่าน้ำค่าไฟ ค่าของใช้ ค่าเดินทางต่าง ๆ การใช้ชีวิตในเมืองหลวงนี่มันง่ายซะที่ไหนกัน ถึงแม้จะพยายามประหยัดแต่ค่าครองชีพต่อเดือนก็ยังทำให้พวกเราลำบากอยู่ดี
ช่วงนี้พีปิดเทอม เลยยังไม่มีภาระเรื่องค่าเรียน ทั้ง ๆ ที่ผมอยากให้เขาโฟกัสแต่กับเรื่องเรียน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายแต่เจ้าตัวก็อาสาไปช่วยงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านก๋วยเตี๋ยวแถวบ้านด้วยเหมือนกัน
แต่ไม่ว่าจะเศร้าแค่ไหน ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปอยู่ดี...ถ้าเกิดผมล้มไปอีกคน เจ้าพีน้องชายผมก็คงลำบากน่าดู บทเรียนครั้งนี้คงเป็นโชคชะตาให้ผมแข็งแกร่งขึ้นล่ะมั้ง
“พี่คะ เรื่องเจ้าบ่าวของยมทูตอยู่ตรงไหนหรอคะ” เสียงน้องผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัว
“เชิญด้านนี้เลยครับ เดี๋ยวผมหยิบให้” ผมตอบอย่างสุภาพก่อนจะแนะนำน้องไปตามที่สำนักพิมพ์ได้เทรนมาก่อนเริ่มงาน
“ขอบคุณมากค่ะ เอ่อ..พี่พีท?” พนักงานทุกคนจะมีป้ายชื่อติดไว้ เธอคงมองดูป้ายชื่อของผม
“ยินดีครับ” ผมยิ้มนิด ๆ ไม่ได้ถือสาอะไร แล้วทำทีเป็นขอตัวเพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ ปล่อยให้ลูกค้าได้เลือกตามสบาย แต่ก็ทันเห็นน้องเขามองมาที่ผม แก้มขึ้นสีแดงระเรื่อก่อนที่เจ้าตัวจะรีบหันไปคว้าแขนเพื่อนเดินออกจ่ายเงินด้วยความเขิน
เมื่อละออกมาจากน้องผู้หญิง ผมไล่ดูหนังสือบนชั้น ถ้าเห็นว่าเล่มไหนเริ่มน้อย ผมก็มีหน้าที่คอยเติม
สต๊อกหนังสือให้เต็มด้วยเหมือนกัน
ตลอดเวลาที่ทำงานยังพอจับความรู้สึกได้ว่ามีสายตายังคงจับจ้องมาหลายต่อหลายครั้ง ผมพยายามทำใจให้ชินกับสายตาเหล่านั้น ด้วยความที่รายได้ต่อวันก็ดี แถมยังไม่ไกลจากบ้านเท่าไร ผมเลยเลือกมาทำงานที่นี่
“สนใจเรื่องไหนอยู่หรือเปล่าครับ ถ้าหาไม่เจอสอบถามได้นะครับ” ผมเดินเข้าไปสอบถามลูกค้าคนนึงพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นกันเอง เห็นเขากำลังยืนดูหนังสือด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์
เขาคาดแมสปิดปากสีดำ ปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงพอเห็นนัยน์ตาคมคู่สวยได้ราง ๆ ผ่านเส้นผมที่ปรกหน้าผากขาว ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกมัดลวก ๆ ไว้ที่ท้ายทอยทำให้เขาดูเหมือนผู้หญิงห้าว ๆ คนหนึ่ง แต่เมื่อดูจากท่าทาง รูปร่าง ส่วนสูงและเสื้อผ้า บางอย่างก็บอกผมว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชาย
ลูกค้าคนนั้นตวัดสายตาจากกองหนังสือหันกลับมามองผมด้วยแววตาเฉยเมย ทำให้ผมแอบหวั่นใจนิด ๆ สูญเสียความมั่นใจเบา ๆ แหะ
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองสบตาผมชั่วขณะแล้วเจ้าตัวก็หันหลังเดินออกไปจากบูธแบบนิ่ง ๆ โดยที่ไม่ได้หันมองกลับมาและดูจะไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลย
อ่า...เพิ่งเคยเจอลูกค้าแบบนี้แหะ หรือผมทำอะไรผิดกัน?
ผมละความสนใจจากเขาก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ต่ออย่างขยันขันแข็ง บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน จริง ๆ แล้วมันก็สนุกดีนะที่ได้ลองอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน ด้วยความที่ผมชอบอยู่กับหนังสือด้วยมั้ง กลิ่นหนังสือทำให้ผมรู้สึกจิตใจสงบ... ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้มีเวลาอ่านหนังสือเท่าไรก็ตาม
มรดกชิ้นใหญ่ที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้นอกจากเงินเก็บจำนวนหนึ่งก็มีชั้นหนังสือในบ้านที่เป็นของสะสมของพวกท่าน เวลาเหนื่อย ๆ แค่ได้นั่งมองหนังสือบนชั้นเหล่านั้น ร่างกายก็เหมือนจะถูกโอบกอดปลอบประโลมให้หายเศร้า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง
“ขอโทษนะคะ ช่วยหยิบหนังสือเล่มนั้นให้หน่อยได้มั้ยคะ” เสียงลูกค้าผู้หญิงดังขึ้นข้างตัวทำให้ผมรีบเรียกสติพร้อมทำหน้าที่ต่อไปด้วยรอยยิ้ม
เธอชี้ปกหนังสือเรื่องหนึ่งที่อยู่บนชั้นก่อนจะส่งยิ้มหวานออกมา
ไม่ใช่ว่าจะดูเจตนาไม่ออก... แต่ด้วยความที่ผมก็มีหน้าที่ของผมเลยไม่ได้ปฏิเสธอะไรพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นไปหยิบหนังสือเรื่องที่เธอต้องการส่งให้แทน
“ขอบคุณมากนะคะ” เธอยิ้มอีกครั้ง ยกมือขึ้นมาจับผมทัดหูอย่างเอียงอาย
“เอ้า ขอน้องเขาเลยซิมึง” เสียงเพื่อนของพี่ผู้หญิงที่ดูน่าจะเป็นวัยทำงานกระซิบเบา ๆ ด้านหลัง พยายามที่จะสะกิดดันให้ลูกค้าคนนั้นทำอะไรบางอย่าง
ผมกลัวว่างานจะเข้า เลยพยายามลอบมองซ้ายมองขวาหาผู้จัดการเพื่อขอความช่วยเหลือ
“เอ่อ พี่ขอถ่ายรูปน้อง...พีทหน่อยจะได้มั้ยคะ” เธอขอพร้อมกับหยิบโทรศัพท์เตรียมถ่ายรูปเต็มที่ จ้องมาที่ผมด้วยแววตาคาดหวัง
“คุณลูกค้ามีอะไรหรือเปล่าครับ” พอดีกับที่พี่โน้ตคนประสานงานกับสำนักพิมพ์เห็นผมส่งสัญญาณให้ พี่เขาเลยเดินเข้ามาถามพอดี แต่พอได้ความว่าพี่ผู้หญิงเขาอยากถ่ายรูปพนักงานอย่างผมเลยกลายเป็นว่า
พี่เขาเลยสั่งให้ผมถ่ายรูปแทน
“อย่าลืมยิ้มหล่อ ๆ ด้วยนะมึง จะได้โปรโมทบูธไปด้วย” ไม่ลืมหันมากระซิบย้ำกับผมอีก
นี่คือ..ผมกลายเป็นมาสค็อตบูธนี้ไปแล้วไง
ครับ... เรื่องจบลงที่ลูกค้าท่านนั้นได้รูปหล่อ ๆ ของผมไปลงเฟซเจ้าตัว โดยที่ไม่ลืมโฆษณาบูธและ
ชี้เป้าบอกบุญให้คนอื่นด้วย แถมแอดมินเพจของสำนักพิมพ์ได้ยังแชร์ภาพนั้นไปอีก
กลายเป็นว่าเกือบทั้งสัปดาห์หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ขายของอย่างสงบสุขอีกเลย จะต้องมีสาว ๆ ทั้งวัยเรียน วัยทำงาน แวะเวียนมาขอให้ผมช่วยนั่นนี่ แนะนำหนังสือบ้าง หยิบหนังสือให้บ้าง ชวนคุยเรื่องหนังสือบ้าง แทบไม่ได้หยุดหย่อนเลยทีเดียว
จากที่เป็นสำนักพิมพ์มีชื่อเสียงลูกค้าเข้ามาเยอะอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูเหมือนจะยิ่งมีสาว ๆ แวะเวียนเข้ามามากขึ้นกว่าเดิมอีก ก็พอจะรู้ตัวว่าหน้าตาค่อนข้างดี แต่แบบนี้ก็เกิดไปมั้ยครับ...
“พีท พี่โน้ตเรียกนายไปพบแน่ะ” เพื่อนผู้ชายที่เป็นพนักงานคนนึงเดินมาเรียกผมในขณะที่กำลังกินข้าวกลางวันที่เตรียมมาเองจากบ้าน ลำบากหน่อยตรงที่บูธไม่ได้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้พนักงานด้วยนี่แหละ อาหารในนี้แพงจะตาย อะไรประหยัดได้ผมก็จะประหยัดนะ
“มึงไปทำอะไรไว้หรือเปล่าเนี่ย”
“อ่า ก็ไม่นะ...สงสัยกูหล่อเกินไปจนลูกค้าคอมเพลนมั้ง” ผมตอบหน้านิ่ง ๆ จนเต้อดเบ้ปากหัวเราะไม่ได้เราเพิ่งรู้จักกันที่ทำงานนี่ แต่ด้วยความที่เขาอัธยาศัยดีแถมวัยใกล้กันอีกเลยทำให้สนิทกันได้ง่าย แถมเรื่องที่มีคนโพสต์ภาพผมลงโซเชียลก็รู้กันทั้งบูธแล้ว กลายเป็นว่าพวกเพื่อน ๆ ชอบมาแซวอีก
ผมรีบกินข้าวกล่องให้หมดก่อนจะเดินกลับไปยังบูธแล้วมองหาคนที่เรียกพบ
“มาทางนี้เลยพีท” พี่โน้ตกวักมือเรียกผมเข้าไปหา หลบด้านหลังบูธ
“มีเรื่องอะไรหรอครับพี่โน้ต”
“เอ่อ...” พี่โน้ตทำท่าจะพูดแต่นิ่งไปสักพักทำให้ผมใจคอไม่ดี “ตอนที่พี่สัมภาษณ์เราเคยบอกว่ามีน้องชายคนนึงต้องดูแลใช่มั้ย”
“ใช่ครับ น้องผมเพิ่งสิบห้า”
“เราทำงานบ้านได้หรือเปล่า ซักผ้า ล้างจาน ล้างห้องน้ำ อะไรพวกนี้อะ” พี่โน้ตยื่นมือมาคว้าไหล่ทั้งสองข้างของผมแล้วพูดออกมารัว ๆ
“ได้ครับ มีอะไรหรือเปล่าเนี่ยพี่”
“ทำอาหารล่ะ พอได้มั้ย”
“ได้ครับ ทำกินที่บ้านบ่อย ประหยัดกว่าซื้อข้างนอกนะ” ผมลอบมองเขางง ๆ แต่ก็ตอบตามจริง
พี่แกจะถามผมไปทำไมวะ
“เพอร์เฟ็ค! เราอยากได้จ็อบรายได้ดีมั้ย งานง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก มึงช่วยพี่หน่อยนะพีทนะ” พี่โน้ตทำตาเป็นประกายแล้วจับมือผมเขย่า ๆ เอ่อ...
“พี่ไม่ได้จะหลอกผมไปขายใช่มั้ย” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า
“ไม่ใช่โว้ย คือพี่เห็นเราทำงานดีไง ใจเย็น ช่างดูแล ชอบเทคแคร์ เอาใจใส่ลูกค้าดีด้วย แถมยังทำงานบ้าน ทำอาหารเป็นอีก--”
“พี่ชมซะเล่นเอาผมขนลุกเลยอะ”
“พี่พูดจริงโว้ยไอ้นี่ เพราะอย่างนั้นพี่เลยอยากให้เราช่วยไปเป็นคนดูแลนักเขียนของสำนักพิมพ์คนหนึ่ง รายนี้เขาเอาใจยากหน่อย”
“อ่อ...เป็นพ่อบ้าน ประมาณนั้นใช่มั้ยครับ”
“ก็ไม่เชิงนะ พอดีคุณคนนี้ออกจะติสต์ ๆ นิดนึง ชอบหมกตัวทำงานที่คอนโดคนเดียว ไม่สนใจโลกภายนอกเท่าไร พี่อยากให้เราช่วยดูแลเรื่องการใช้ชีวิตเขาด้วย มันก็มีใช่มั้ยพวกที่จมอยู่กับงานจนไม่สนใจดูแลตัวเองเลยน่ะ แล้วนี่คือเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลหลายรอบแล้วด้วย พวกบก.เองก็ลำบากเลยอยากได้คนมาช่วยดูแลหน่อย”
“แล้วปกติไม่มีคนทำหน้าที่นี้อยู่แล้วหรอครับ?”
“เอ่อ... ก็เคยมี แต่แบบว่า...ทนไม่ไหวน่ะ ลาออกกันเป็นแถว”
“...”
“จริง ๆ แล้วคุณฟองค่อนข้างจะเอ่อ...เจ้าอารมณ์นิด ๆ เอาใจยากหน่อย ๆ แต่พี่เชื่อว่าพีทต้องรับมือได้แน่นอน”
“คุณฟอง? ผู้หญิงหรอครับ แล้วจะดีหรอที่ให้ผมเข้าไปอยู่บ้านเขาสองต่อสองน่ะ”
“หืม เอ่อ...คือ... น่า ไม่เป็นไรหรอก คนนี้เขาวัน ๆ จมอยู่แต่กับนิยายจนลืมกินลืมนอน นาน ๆ จะลุกออกจากหน้าคอม เราเข้าไปแค่ทำความสะอาดบ้านกับช่วยเตรียมหาอาหารให้ด้วยก็พอ”
“แต่ผมต้องดูแลน้องด้วยนะครับ คงไม่ค่อยสะดวกที่จะไปทำงานที่นั่นนาน ๆ ผมเป็นห่วงน้องชาย”
“สบายมาก เข้าออกงานไม่เป็นเวลา จะมาช้ากลับเร็วก็ได้ ขอแค่ช่วยจัดระเบียบห้องให้สะอาดสะอ้าน แล้วก็ช่วยดูแลเขาให้ดีก็พอ อ้อ รายได้ดีด้วยนะ สัญญาทดลองว่าจ้างเดือนนึงก่อน ค่าตอบแทนสามหมื่น
มัดจำให้นายก่อนด้วยหมื่นห้า”
“โห ทำไมเยอะจังอะพี่” คือสามหมื่นสำหรับผมตอนนี้นี่จัดว่าเยอะมากเลยนะ
“ใช่มั้ยล่ะ สรุปว่า...เราโอเคเนอะ”
“...ตกลงครับ” ผมตัดสินใจรับงานนี้ทันที จะปฏิเสธก็เสียดายแย่ พีคงเข้าใจอยู่แล้วแหละ
“เยี่ยมไปเลย! เริ่มงานอาทิตย์นี้หลังจบงานหนังสือนะ แล้วเดี๋ยวพี่จะพาเราไปบ้านเขาเอง”
“ได้ครับ”
ถ้าผมได้ทำงานนี้ต่อไปสักระยะ ไม่แน่ว่าเทอมหน้าก็อาจจะมีเงินพอจ่ายค่าเทอมที่มหาลัยแล้ว
เก้าโมงเช้าวันอังคาร พี่โน้ตขับรถมารับผมที่บ้านก่อนจะพาไปยังบ้านของคุณนักเขียนที่ผมตัดสินใจรับหน้าที่ดูแลเขา เมื่อคืนผมบอกเจ้าพี รายนั้นก็ดูดีใจที่ผมไม่ต้องออกตระเวนไปทำงานหลาย ๆ อย่างในวันเดียวกันอีก แถมสำนักพิมพ์ได้โอนเงินมัดจำเข้ามาในบัญชีของผมก่อนด้วย มื้อค่ำเมื่อวานเราสองคนพี่น้องเลยช่วยกันทำอาหารหลายอย่างกินเลี้ยงฉลองให้กับความโชคดีนี้
ผมเงยหน้ามองคอนโดดีไซน์ทันสมัยที่ตั้งสูงตระหง่านติด BTS ในขณะที่รถยนต์ของพี่โน้ตขับเข้ามา ให้ตาย หรูเป็นบ้าเลย เจ้าของห้องนี่ต้องรวยขนาดไหนถึงจะสามารถซื้อคอนโดระดับนี้ย่านทองหล่อได้ด้วย
“เดี๋ยวพี่พาเราไปส่งที่ห้องนะ แต่ต้องขอตัวกลับก่อน อยู่คุยด้วยไม่ได้จริง ๆ พอดีมีงานด่วนที่สำนักพิมพ์น่ะ” พี่โน้ตบอกผมขณะที่พาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 14 ที่นี่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก
คนนอกไม่สามารถเข้ามาได้เลยถ้าไม่มีบัตร ยกเว้นก็แต่เจ้าของห้องได้ติดต่อทำเรื่องกับสำนักงานไว้ให้
จะได้คีย์การ์ดเข้าออกคอนโดมาอีกอัน
“พี่มีคีย์การ์ดห้องคุณเขาด้วยหรอครับ”
“ไปหักคอขอมาจากบก.เขาน่ะ รายนี้ปล่อยทิ้งไว้คนเดียวไม่ได้หรอก เดี๋ยวได้ตายคาห้อง”
พี่โน้ตพาผมเดินตรงเข้ามาผมแอบมองซ้ายมองขวา ทั้งชั้นนี้มีประตูประมาณห้าห้องเท่านั้นเอง
“ถึงแล้ว ห้องนี้แหละ” พี่โน้ตหยุดหน้าห้องหมายเลข 1403 เขาหันมายิ้มพร้อมทั้งส่งคีย์การ์ดและลิสต์รายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมาให้
“ถ้ามีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดนะ พี่ไปละ โชคดีนะพี่” เขาว่าก่อนจะเดินหันกลับกลับออกไปแทบจะทันที
ก๊อก ๆ
ผมเคาะห้องตามมารยาทให้เจ้าของห้องทราบ.... ไม่มีเสียงตอบกลับ และไม่มีวี่แววว่าห้องจะเปิด
เอาไงดีวะ ... ก้มหน้ามองคีย์การ์ดในมือก่อนจะตัดสินใจใช้มันเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไป
นี่มีเจตนาดีนะ ไม่ได้มาขโมยของ ไม่เป็นอะไรหรอกมั้งนะ
ด้านในเป็นคอนโดตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายโทนสีขาวครีมอบอุ่นสบายตา แต่ตามมุมต่าง ๆ กลับมีข้าวของวางระเกะระกะมากมาย ไหนจะมีขวดน้ำเปล่ากองพะเนิน บนพื้นก็มีเศษกระดาษขยำเป็นก้อนปะปนไปกับกองเสื้อผ้าที่ดูเหมือนว่าจะใส่ไปแล้ว
เรียกได้ว่าเละเทะ... ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องทนรับสภาพนี้ไหวได้ยังไงกันนะ แถมนี่ห้องผู้หญิงไม่ใช่หรอ
“สวัสดีครับคุณฟอง” ผมส่งเสียงเรียกเจ้าของห้องที่ยังไม่เจอวี่แวว ไม่ใช่เกิดมาเห็นผมบุกเข้ามาแล้วเข้าใจผิดว่าเป็นโจรนี่แย่เลยนะ
“คุณฟองครับ ผมเป็นคนดูแลมาจากสำนักพิมพ์ครับ”
... เงียบกริบ หรือว่าจะไม่อยู่?
โครม!
เสียงเหมือนของมีน้ำหนักบางอย่างกระทบกันดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะรีบมองหาที่มาด้วยความรวดเร็ว พลันสายตาไปสะดุดกับประตูห้องนึงเปิดอ้าไว้เล็กน้อย
เมื่อลองแง้มประตูเข้าไปดูก็ต้องตกใจที่เห็นร่างบอบบางในชุดสีเข้มนอนฟุบตัวล้มอยู่ใต้โต๊ะทำงาน
ผมยาวสยายปกคลุมแผ่นหลัง เก้าอี้เอียงคว่ำไปอีกด้าน ไม่รอช้าผมรีบวางกระเป๋าก่อนจะพุ่งตรงไปสำรวจที่ร่างนั้นทันทีเผื่อมีอันตรายอะไร พอเห็นว่าเขาดูเหมือนจะแค่สลบไปเพราะพิษไข้เลยค่อย ๆ ประคองร่างบางขึ้นมาแล้วอุ้มไปที่เตียงในห้อง จัดท่าทางให้เจ้าตัวนอนสบายก่อนจะจับตัวและสังเกตดูอาการโดยคร่าว ๆ
สวย
คำแรกที่แวบขึ้นมาในสมอง หลังจากที่ได้เห็นร่างบางในชุดเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนเต็มตา ผมสีน้ำตาลเข้มนุ่มสลวยกระจายอยู่บนหมอนสีขาว แพขนตายาวรับกับคิ้วสวย จมูกได้รูป
แต่ที่ใบหน้าขาวซีดมีเหงื่อซึมตามไรผมจนเปียกชุ่ม ริมฝีปากบางดูซีดเซียวแห้งผากจนทำให้คนคนนี้ดูราวกับว่าจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ
แค่จับตัวเมื่อกี้ก็รู้แล้วว่าดูท่าจะมีไข้สูง... มิน่าถึงได้สลบคาโต๊ะทำงานไปแบบนี้เลย
ผมตัดสินใจหันไปสำรวจดูรอบ ๆ ห้อง ถือวิสาสะเปิดประตูเสื้อผ้ามองหาผ้าเช็ดตัวก่อนจะหยิบมันไปชุบน้ำบิดหมาด ๆ แล้วนำมาเช็ดซับเหงื่อที่ใบหน้าและตามตัว
พยายามหลับตาปี๋ไม่มองร่างบางของคนป่วยบนเตียงพลางเอาผ้าที่ชุบน้ำลูบไปตามตัว ผมเจตนาดีนะ
แต่..เดี๋ยวก่อน
เอ่อ... ดูท่าว่าผมจะเข้าใจผิดไปเองสินะ
...คุณฟองเป็นผู้ชาย...
ไอ้เราก็คิดว่าชื่อฟองก็คงจะเป็นชื่อผู้หญิงนี่นา รวบรวมความกล้าก่อนตัดสินใจเช็ดตัวให้ตั้งนาน
ที่รู้ก็เพราะตอนที่เช็ดตัวให้เขาดันเผลอลอบมองด้านบนไปพอดี คือจะว่าหน้าอกแบนมันก็ไม่ใช่ไง
แต่ไอ้เรื่องที่คุณเขาสวยเกินไปนี่ก็ทำใจยากน่าดูเหมือนกันนะ ขาวเจิดจ้าแสบตามากครับ
หลังจากที่เช็ดตัวโดยที่พยายามจะไม่ใส่ใจกับความขาวเสร็จ ผมก็พยายามเดินหากล่องปฐมพยาบาลของเจ้าของห้องแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอ แต่ก่อนจะกินยาก็ต้องกินข้าวก่อนสินะ
เมื่อลองเปิดตู้เย็นดู...ไหงมีแต่ช็อกโกแลตหลากหลายยี่ห้อกับน้ำเปล่าเนี่ย ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลย
ไข่สักฟองก็ยังไม่มี ในตู้เก็บของก็ไม่มีข้าวสาร เครื่องปรุงใด ๆ ก็ไม่มีเลยแม้แต่อย่างเดียว มีแค่หม้อไฟฟ้าที่ยังเก็บไว้ในกล่องอย่างดี
เฮ้อ คิดแล้วปวดหัว คนคนนี้ใช้ชีวิตรอดมาได้แบบไหนกันแน่นะ
ไหน ๆ ก็มีคีย์การ์ดมาแล้ว ผมเลยตัดสินใจผละออกจากร่างที่นอนอยู่ลงไปด้านล่างคอนโดเพื่อหาซื้อยาลดไข้เป็นอันดับแรก จากนั้นก็ไปตามหาซุปเปอร์มาร์เกตใกล้ ๆ ซื้อข้าวสาร ไข่ หมูสับ พร้อมทั้งวัตถุดิบอื่น ๆ กะว่าจะมาตุนใส่ในตู้เย็นไว้ รวมทั้งซื้อเครื่องปรุงรสต่าง ๆ มาเตรียมทำข้าวต้มเครื่องให้คุณคนป่วย ยังดีที่ได้รับเงินมัดจำมาจากสำนักพิมพ์แล้วด้วย คงต้องดูแลคุณเขาให้ดีที่สุดล่ะนะ
“คุณ...คุณฟอง ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนครับ”
หลังจากที่ทำข้าวต้มเสร็จเรียบร้อย ผมก็ยกชามเข้ามาในห้องนอนแล้วสะกิดปลุกคนป่วยให้รู้สึกตัว
“..ใคร” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นมานิ่ง ๆ ดวงตาคมค่อย ๆ ปรือขึ้นมามองสบตากับผม
“ผมชื่อพีท สำนักพิมพ์ส่งผมมาให้ช่วยดูแลคุณ ฝากตัวด้วยนะครับ ขอโทษที่เข้ามาโดยพลการนะครับ แต่พอดีผมได้ยินเสียงดังพอเข้ามาก็เห็นคุณล้มอยู่ใต้โต๊ะน่ะครับ” ผมแนะนำตัวพร้อมกับยิ้มแสดงความจริงใจ
“อืม งั้นหรอ”
“แล้วคุณฟอง...ไม่แนะนำตัวหน่อยหรอครับ” ผมยิ้มถามพลางจัดที่วางชามข้าวต้มตรงโต๊ะด้านข้าง
คนป่วย
... เอ่อ ผมตื่นเต้นเอง บ้าเอ๊ย คุณฟองก็ชื่อฟองสิ
“...” เขาเงยหน้าขึ้นมามองสบตาผมนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไร ดวงตาคมคู่สวยดูเย็นชาซะจนแอบขนลุกไม่ได้
“เอ่อ... คุณฟองอายุเท่าไรแล้วหรอครับ ปีนี้ผมอายุ 21 พอดี น่าจะอายุน้อยกว่าคุณไม่เท่าไรหรอกมั้งนะ”
“...”
“ขอโทษครับ ถ้าคุณฟองไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ อ๊ะ อย่าลืมเป่าก่อนนะครับ มันร้อนนะ”
ผมเอ่ยประโยคหลังออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าค่อย ๆ หยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มที่ผมทำไว้เข้าปาก
“...” ไม่ทันขาดคำ เขาก็ชะงักนิด ๆ เมื่อช้อนแตะมุมปาก แล้วจากนั้นก็วางช้อนกลับไปในชามเหมือนเดิม
“เป่าก่อนสิครับ ผมเพิ่งทำเสร็จเอง กินก่อนนะแล้วค่อยกินยา จะได้หายไว ๆ”
ผมตักข้าวต้มขึ้นมาคำเล็ก ๆ ก่อนจะเป่าให้แล้วยื่นช้อนไปด้านหน้าร่างบางตรงหน้า
เขามองสบตาผมกลับมานิ่ง ๆ
...เอ่อ เชี่ย ลืมตัว คือปกติผมก็ชอบพูดกับน้องชายเวลาที่เขาไม่สบายแบบนี้ไง เลยทำด้วยความเคยชินล้วน ๆ เขาจะรู้สึกแปลก ๆ หรือเปล่าเนี่ย
เมื่อเห็นว่าคนป่วยดูท่าว่าจะหงุดหงิดที่ผมลามปาม ผมเลยชะงักแล้วรีบวางช้อนลงด้วยความรวดเร็ว
ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงพลางมองคนป่วยกินข้าว เขาดูท่าว่าจะไม่อยากอาหารเท่าไร เมื่อกินไปสองสามคำก็วางช้อน
“ไม่อร่อยหรอครับ กินอีกหน่อยนะ เดี๋ยวไม่หายป่วยหรอกครับ”
“อิ่มแล้ว”
“กินน้อยไปแล้วครับ นะ กินอีกหน่อย แล้วเดี๋ยวจะได้กินยาพักผ่อน อย่าลืมดื่มน้ำเยอะ ๆ ด้วย
รับรองว่าพรุ่งนี้หายดีแน่นอน”
“...” สายตาคมตวัดมามองผมนิ่ง ๆ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วยอมหยิบช้อนขึ้นมา ตักข้าวต้มกินต่อจนหมดชาม
“เป็นยังไงบ้างครับ ฝีมือผมพอใช้ได้มั้ย”
“ก็ดี” สรุปว่ามันดีใช่มั้ยครับ!
“ดีใจที่คุณฟองชอบนะ แฮ่ ผมตั้งใจทำสุดฝีมือเลย สูตรพิเศษ”
“อืม”
“บ้วนปากก่อนนิดนึงนะครับ” ผมส่งแก้วใส่น้ำให้เขาได้กลั้วปาก พร้อมกับถือกะละมังใบเล็กเตรียมไว้ โชคดีที่คุณฟองยังยอมทำตามที่บอกแต่โดยดี ถึงแม้ว่าหน้าเขาตอนนี้จะไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยก็ตาม
“เดี๋ยวผมจะออกไปจัดการเก็บข้าวของข้างนอกก่อนนะครับ อีกสักพักเดี๋ยวคุณลุกมากินยานะ”
ผมวางแก้วใส่น้ำพร้อมกับยาลดไข้ไว้ข้างเตียงคนป่วย ยื่นมือไปแตะหน้าผากเขาเบา ๆ เพื่อวัดไข้อีกครั้ง หลังจากเช็ดตัวไปเมื่อกี้ก็ดีขึ้นกว่าตอนแรกหน่อยล่ะนะ
“...อืม”
ร่างบางใต้ผ้าห่มหนาพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเอนตัวลงพิงกับหัวเตียง ผมลุกขึ้นเก็บกะละมังพร้อมกับผ้าเช็ดตัวออกไปซัก จัดผ้าห่มคลุมร่างเขาให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องนอน
เมื่อเข้าไปในครัว ผมจัดการเก็บล้างทำความสะอาดจานชามจนเสร็จเรียบร้อยก่อนจะจัดเครื่องปรุงบนชั้น และเรียงวัตถุดิบต่าง ๆ แช่ในตู้เย็น
ผ่านไปไม่นานผมเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนคุณฟองแล้วสะกิดให้คนป่วยลุกขึ้นมากินยา เมื่อเรียบร้อยดีแล้วผมจึงผละลุกขึ้นมาปิดไฟในห้องนอน ปิดประตูเบา ๆ ต่อไปกะว่าจะทำความสะอาดห้องนั่งเล่นต่อ
งานนี้สาหัสนิดหน่อย อุปกรณ์ทำความสะอาดอะไรก็ไม่มีเลย ทำให้ผมต้องออกไปขอยืมมาจากแม่บ้านของคอนโดก่อน
เมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งผมพยายามเลือกงานที่ไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนป่วยที่กำลังนอนอยู่
เลยก้มลงเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้าแยกไว้เตรียมไปส่งซัก เก็บขวดน้ำพลาสติกมาแยกใส่ถุงไว้รีไซเคิล ส่วนพวกเศษกระดาษก็แยกไว้ต่างหาก
สำหรับข้าวของต่าง ๆ ผมยังไม่กล้าแตะต้อง คงต้องรอเจ้าของห้องอนุญาตก่อนแล้วกัน
ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาจดบันทึกรายการของใช้ที่ต้องซื้อเพิ่ม เป็นพวกอุปกรณ์ทำความสะอาด น้ำยาถูพื้น น้ำยาเช็ดกระจกและน้ำยาล้างห้องน้ำพวกนี้ รวมทั้งไม้กวาด ไม้ถูพื้น เครื่องดูดฝุ่นด้วย
ไม่รู้ว่าทุกวันนี้คุณฟองเขาอยู่ไปได้ยังไง แต่เอาเป็นว่านับจากนี้ผมจะทำให้เขารู้สึกดีที่มีผมคอยดูแลจนต้องต่อสัญญาจ้างแน่นอน