ตอนที่ 8
จะลืมได้ยังไง หันไปทางไหนก็ยังเป็นเธอ
เรื่องวันนั้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล ผมจำได้เพียงว่าเด็กนักเรียนคนหนึ่งกำลังถูกทำร้าย ผมพยายามที่จะเข้าไปช่วยจนถูกแทงตายและถูกทิ้งให้จมกองเลือดอยู่อย่างนั้นกระทั่งหมดลมหายใจ มันจึงเป็นค่ำคืนที่มืดมิดและเงียบงันในวันสุดท้ายของชีวิต
ผมไม่ได้เห็นหน้าเด็กคนนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ไม่รู้ว่าความช่วยเหลือของผมจะทำให้เขาปลอดภัยไหม จนถึงวันนี้ครบรอบสามปีผมเพิ่งจะได้รู้ ว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่...และมีชื่อว่าน้องพลีส
"วันที่น้องพลีสถูกคนใจร้ายรังแก พี่เขามาช่วยเอาไว้แต่โชคร้ายที่พี่เขาเสียชีวิต"
"..."
"เขาจึงเป็นคนที่เราจะไม่มีวันลืมค่ะ"
"..."
"ที่ผ่านมา น้องพลีสไม่กล้ามาหาพี่เขา ไม่ว่าหน่อยจะชวนกี่ครั้งก็ไม่เคยมาเลย"
"..."
"รู้สึกผิดจนไม่กล้ามาหา กลัวครอบครัวของพี่เขาจะโกรธ น้องพลีสให้เหตุผลแบบนี้อยู่เสมอ แต่วันนี้หน่อยดีใจนะคะที่น้องพลีสตัดสินใจมา พี่เขาไม่โกรธหรอก ดูสิคะ พี่เขายิ้มให้เราด้วย"
พี่หน่อยชี้ไปที่รูปถ่ายของผม เป็นไปอย่างที่พี่หน่อยพยายามจะบอก ผมไม่เคยคิดโกรธเด็กคนนั้นเลย แน่นอนว่ามันก็มีบ้างบางครั้งที่ผมรู้สึกเสียดายชีวิต เสียดายที่ตายเร็ว เสียดายที่ยังไม่ได้ทำอะไรอีกตั้งมากมาย แต่พลีสไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมต้องตาย คนใจร้ายคนนั้นต่างหากที่ไม่มีหัวใจ ทำร้ายพวกเราอย่างไร้ความปราณี
ในตอนนี้ที่รู้ว่าพลีสยังมีชีวิตอยู่ ผมกลับดีใจด้วยซ้ำไป อย่างน้อยๆ ความช่วยเหลือของผมก็ดูเหมือนจะมีประโยชน์ เพื่อให้อีกคนได้มีชีวิตอยู่ต่อก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ตายฟรี
ผมพบคำตอบที่เคยสงสัยว่าทำไมพี่หน่อยถึงหน้าตาคุ้นๆ พี่หน่อยเคยมาหาผมที่นี่และไปหาพ่อกับแม่ที่บ้าน ตอนนั้นผมไม่ทันได้สนใจอะไรคิดว่าเป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ที่ผมไม่รู้จัก
ผมมีคำถามเยอะแยะผุดขึ้นมาในหัวเกี่ยวกับพลีส ลังเลว่าจะถามพี่หน่อยดีไหม กลัวว่าพี่หน่อยจะสงสัยว่าทำไมพลีสถึงอยากรู้เรื่องของตัวเอง แต่เหตุผลที่ความจำสับสนยังคงใช้งานได้อยู่ ผมจึงตัดสินใจที่จะถามออกไป
"พี่หน่อยครับ"
"คะ"
"เพราะเรื่องวันนั้น ทำให้ผมต้องหยุดเรียนไปใช่ไหมครับ"
"ใช่ค่ะ เพราะสภาพจิตใจของน้องพลีสแย่มากจึงต้องหยุดเรียน น้องพลีสเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่ยอมพูดจากับใคร คนดีของหน่อยที่เคยสดใสและยิ้มเก่ง น้องพลีสคนเดิมคนนั้น ไม่กลับมาหาหน่อยอีกเลย"
"..."
"ช่วงนี้หน่อยเห็นน้องพลีสยิ้มบ่อยๆ ก็เลยดีใจ หน่อยอยากให้น้องพลีสมีความสุขค่ะ"
ผมก็อยากให้พี่หน่อยดีใจแต่ต้องยอมรับความจริงว่ามันเป็นยิ้มของผม ไม่ใช่ของพลีส หากว่าพลีสกลับมา ผมคิดว่าพลีสก็ยังคงจมดิ่งอยู่กับความเจ็บปวดและเรื่องราวเหล่านั้น พอลองประกอบรวมเรื่องราวระหว่างผมกับพลีส ก็พลันคิดไปว่า การที่ผมเข้ามาอยู่ในร่างของพลีสไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หนึ่งชีวิต หนึ่งวิญญาณ ที่ผูกพันกันโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงทำให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเรา
"พี่หน่อยครับ ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม"
"อะไรคะ"
"ถ้าพลีสกลับมา หมายถึง ถ้าผมคนเดิมกลับมา"
"..."
"ช่วยพาผมมาที่นี่อีกครั้ง แล้วบอกกับผมว่าอย่ารู้สึกผิด พี่แสงไม่ได้โกรธ"
"..."
"บอกกับผมว่าให้ผมใช้ชีวิตให้ดี ให้สมกับที่ยังมีชีวิต"
"..."
"บอกให้พลีส...ใช้ชีวิตเผื่อพี่แสงด้วยนะครับ" ...
ผมแยกกับพี่หน่อยจากที่วัด บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนทำให้วันนี้ไม่ร้อนอย่างทุกวัน ผมจึงยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ในความคิดไม่มีจุดหมาย แต่ความรู้สึกในใจพาสองขาเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของตัวเอง ผมกำลังจะเดินถึงหน้าร้านกาแฟของแม่แล้ว แต่จู่ๆ ฝนก็ลงเม็ดลงมาซะเฉยๆ ใจหนึ่งคิดจะหาที่หลบฝนก่อน อีกใจก็อยากไปให้ถึงร้านแม่ที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า สุดท้ายผมเลือกอย่างหลัง วิ่งฝ่าฝนไปจนถึงหน้าร้านของแม่ พลันสายตามองไปเห็นตามที่กำลังเดินผ่านตรงนั้นพอดี
"ตาม!"
ไม่ใช่ผมแต่เป็นแม่ที่เปิดประตูออกมาเรียก ตามไม่ได้ตอบรับยืนนิ่งอยู่กับที่ให้เม็ดฝนที่ตกลงมาทำเนื้อตัวเปียกปอน ก่อนที่ตามจะหันหลังให้แม่แล้วทำท่าจะเดินออกไป
"ตาม ตามหยุดก่อนลูก"
"..."
"ตาม!"
มือของแม่รั้งตามเอาไว้ไม่ให้เดินหนี
"เข้ามาข้างในก่อนสิ ตัวเปียกหมดแล้ว"
จนในที่สุดตามก็ยอมเดินตามแม่เข้าร้านไป ในตอนที่ทั้งสองคนหันมาเห็นผมพอดีจึงชวนเข้าไปด้วยกัน ผมนั่งลงที่โต๊ะคนละตัวกับตาม เพราะดูเหมือนว่าแม่มีเรื่องอยากจะคุยกับตาม ผมที่อยู่ในร่างพลีสก็ดูจะกลายเป็นคนอื่นจึงขยับไปนั่งที่อื่น แต่มันก็ใกล้พอที่จะได้ยินบทสนทนาของแม่กับเขา
"ตามเป็นยังไงบ้าง"
"..."
"สบายดีนะลูก"
ไม่มีคำตอบจากตาม และในตอนนั้นประตูร้านก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมเสียงบ่นของสายป่าน
"ฝนตกทำไมตอนนี้เนี่ย เปียกหมดเลย..." คำพูดหยุดชะงักเมื่อสายป่านหันไปเห็นตามที่นั่งอยู่ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยใบหน้าที่ดูไม่พอใจนัก คำถามห้วนๆ ถูกกระแทกเสียงใส่คนที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงนั้น
"มาทำไม!"
"สายป่าน" เสียงดุของแม่ไม่มีผลต่อสายป่าน น้ำเสียงที่ฟังดูคับแค้นใจถูกพูดออกมาตรงๆ
"เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวเราแล้ว จะมาทำไม"
"..."
"คิดว่าลืมพี่แสงไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่เคยโผล่หน้ามาหาพี่แสงสักครั้ง จะมาเอาตอนนี้ไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยเหรอคะ!"
"สายป่าน ขึ้นห้องไป!" เสียงของแม่ดังกว่าเดิม ก่อนที่สายป่านจะหันมองตามตาขวางด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินขึ้นห้องไปตามคำสั่งของแม่
ผมรู้ว่าน้องโกรธแทนผม การหายหน้าไปของตามหลังจากที่ผมตายจึงทำให้สายป่านไม่พอใจ เคยได้ยินน้องพูดกับแม่หลายครั้งว่าพี่ตามใจร้าย ไม่ยอมมาหาผมเลย
"ไม่ต้องไปสนใจสายป่านหรอก น้องก็แค่โกรธ อย่าไปถือสาเลย"
"ผมผิดเอง ที่ไม่เคยมาหาแสงเลย" ตามพูดออกมาเป็นประโยคแรกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ผมเข้าใจว่าทำไมตามไม่ยอมมาหาผม ก็เหมือนอย่างที่ผมไม่เคยไปหาตาม
"ไม่ใช่เพราะผมลืมแสงไปแล้ว แต่มันเป็นเพราะ..." คำพูดของตามหยุดชะงัก ก่อนค่อยๆ เอ่ยอีกประโยคที่หยุดค้างออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลในจังหวะเดียวกัน
"เพราะผมยังทำใจไม่ได้"
ผมรีบหันหน้ามองออกไปนอกร้านเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าน้ำตาของผมก็กำลังไหลอยู่เช่นกัน ฟังบทสนทนาของแม่กับตามที่กำลังพูดถึงผมก็ไม่อาจจะห้ามความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ได้
"ผมไม่กล้ามาหาแสง ไม่อยากบอกตัวเองให้เชื่อว่าแสงไม่อยู่แล้ว ไม่อยากรับรู้ว่าแสงไม่วันกลับมาแล้ว"
"..."
"ผมคิดถึงแสง"
"..."
"คิดถึงทุกวัน ไม่มีวันไหนไม่คิดถึงเลย"
"..."
"ยิ่งคิดถึงมากเท่าไร ยิ่งย้ำให้ตัวเองรู้ว่าแสงไม่มีวันกลับมา"
"..."
ที่ตามไม่มาหาผม ที่ผมไม่ไปหาตาม เพราะความรู้สึกโหยหาอาวรณ์ที่เรามีต่อกันมันทรมานเกินไป เราหลบเลี่ยงด้วยการไม่ขอพบหน้า แต่ไม่ได้แปลว่าเราต่างคนต่างทำใจได้
"ผมยังรักแสง แต่แสงไม่อยู่แล้ว"
"ไม่เป็นไรนะตาม"
"ถ้าวันนั้น..."
"ตาม"
"ถ้าวันนั้นผมอยู่ด้วย แสงก็คงไม่ต้องจากไปแบบนี้"
"มันไม่ใช่ความผิดของตามนะลูก"
"มันเป็นเพราะผม ทุกอย่างมันเป็นเพราะผม เป็นเพราะผมที่ทำให้แสงต้องตาย"
คำพูดของตามไหลพรั่งพรูพอๆ กับน้ำตาที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย เสียงร้องสะอึกสะอื้นกับถ้อยคำที่เอาแต่พร่ำโทษตัวเอง ทำผมเจ็บปวดแทบจะขาดใจ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากกำหมัดแน่นจนมือสั่นเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้
"วันนั้นผมน่าจะอยู่ ผมควรจะอยู่กับแสง วันนั้นเราไม่น่าทะเลาะกัน ผมไม่ควรเดินหนีแสงไปเฉยๆ ผมควรจะมาส่งแสงที่บ้านเหมือนทุกวัน ถ้าผมทำอย่างนั้นแสงก็คงไม่ตาย"
"..."
"ถ้าผมอยู่ด้วยแสงก็คงไม่ตาย"
"..."
"ผมขอโทษ"
"..."
"ผมขอโทษครับ" ตามพูดแค่นั้นแล้วลุกออกจากโต๊ะก่อนเดินออกจากร้านไป ผมไม่ทันชั่งใจคิดอะไร แต่ปล่อยให้ตามเดินออกไปทั้งที่ยังร้องไห้หนักขนาดนั้นไม่ได้ จึงลุกตามไปด้วย
ฝนที่ตกลงมากระหน่ำแรงกว่าเดิมเหมือนจะแกล้งกัน ผมวิ่งฝ่าฝนไปหาตามที่เดินนำหน้าผมไปก่อนทรุดตัวลงนั่งริมฟุตบาทท่ามกลางฝนที่กำลังตกหนัก
"เธอ"
เสียงเรียกของผมทำให้ตามเงยหน้าขึ้นมามอง ภาพที่เห็นทำให้ผมไม่อาจจะนิ่งเฉย ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วกอดตามเอาไว้แน่น ตามยิ่งฟูมฟายไม่ได้สติ ปล่อยน้ำตากับสายฝนให้ไหลปะปนกัน พลางเอาแต่พูดคำว่าขอโทษผ่านเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเจียนจะขาดใจ
"เราขอโทษ"
"..."
"เราขอโทษ แสง เราขอโทษ"
"มันไม่ใช่ความผิดของเธอ"
"..."
"มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะตาม"
ตามยังคงร้องไห้จนไม่ได้สนใจคำปลอบโยนของผมที่จงใจพูดออกไปแบบนั้นโดยไม่สนใจว่าตามอาจจะสงสัยที่ผมใช้สรรพนามผิด มันไม่ใช่คำพูดของพลีสแต่เป็นคำพูดของผม คำพูดที่ผมอยากบอกกับตามมาโดยตลอด
"มันไม่ใช่ความผิดของเธอสักนิดเลย" ...
ผมกลับมาที่บ้านหลังจากอยู่เป็นเพื่อนตามจนกระทั่งเขารู้สึกดีขึ้น แต่พอถึงช่วงเวลากลางคืนผมกลับรู้สึกเป็นห่วงตามอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะผมไม่ได้ไปส่งตามถึงที่บ้าน จึงไม่แน่ใจว่าตามจะกลับบ้านแล้วหรือยัง จะยังร้องไห้ หรือเสียใจอยู่ไหมนะ
หันมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม พลันคิดขึ้นมาได้ว่าในเวลานี้ตามน่าจะทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อ คิดได้อย่างนั้นจึงตั้งใจออกจากบ้านไปหาตาม ถนนหน้าหมู่บ้านน่ากลัวนิดหน่อย จนผมเกือบลังเลว่าจะไปต่อดีไหม แต่เพราะความเป็นห่วงเอาชนะความกลัวไปแล้วจึงถอยหลังกลับไม่ได้ รีบก้าวเท้าเร็วๆ จนแทบจะเป็นวิ่งเพื่อให้ผ่านตรงนั้นไป
ผมเดินมาถึงร้านสะดวกซื้อแล้วเข้าไปถามหาตาม แต่พนักงานคนอื่นบอกว่าตามหยุด นั่นยิ่งทำให้ผมเป็นห่วงเข้าไปอีก แต่เพราะไม่รู้ว่าจะติดต่อกับตามยังไงก็ดูเหมือนว่าจะไร้หนทาง ผมเดินออกจากร้านมาหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าร้าน ความคิดมืดแปดด้านจนอยากจะถอนหายใจแรงๆ ออกมาสักที แต่คนข้างๆ ทำแทนไปแล้ว
"เฮ้อ"
ผมหันมองเจ้าของเสียงถอนหายใจที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกตัว
"สายป่าน"
"อ้าว พี่"
"มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้"
"กินขนมจีบ" ว่าแล้วก็ยกถุงขนมจีบให้ผมดู
"แล้วถอนหายใจซะดังเชียว มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"
สายป่านพยักหน้ารับ ก่อนอ้าปากกัดขนมจีบเข้าไปทีเดียวสองลูก ไอ้อ้วนเอ๊ย!
"ไม่สบายใจอะไร เล่าให้พี่ฟังได้นะ"
"จริงป่ะคะ พี่มีเวลาฟังเหรอ"
"เรื่องมันยาวมากหรือไง"
"โคตรๆ"
"งั้นเดี๋ยวพี่ไปซื้อป๊อบคอร์นกับโค้กมานั่งกินระหว่างฟังก็แล้วกัน"
"โห่! พี่! ไม่นานขนาดนั้น เดี๋ยวหนูเล่าแบบกระชับๆ"
"อ่าๆ ว่ามา"
"คือหนูมีพี่ชายคนหนึ่ง แต่ว่าเขาตายไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าถึงทำตายเร็ว สงสัยรีบมั้ง"
พี่ก็ไม่ได้อยากตายเร็วหรอกโว้ย!
"วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพี่หนู แล้ววันนี้แฟนของพี่ชายหนูก็มาที่บ้าน ไม่รู้ว่ามาทำไม สามปีไม่เคยมาให้เห็นหน้าเลยนะพี่ แล้วอยู่ดีๆ ก็โผล่มา หนูโกรธอะ ก็เลยด่าไปชุดหนึ่ง"
"..."
"แต่หนูไม่รู้ว่าตัวเองพูดแรงไปหรือเปล่า"
"..."
"แต่หนูแค่โมโหอะ พี่เขาน่าจะกลับมาเยี่ยมพี่ชายหนูบ้าง เจอกันครั้งสุดท้ายที่งานศพแล้วหลังจากนั้นเขาก็หายไปแบบไร้ร่องรอยเลย ติดต่อก็ไม่ได้ แค่โทรกลับหรือส่งข้อความมาบอกว่าสบายดีสักคำก็ไม่มี หนูเป็นห่วงเขานะ แต่เขาไม่สนใจอะไรพวกเราเลย เป็นใครใครจะไม่โกรธ พี่ว่าป่ะ?"
"..."
"แต่หนูทำผิดใช่ไหมคะ ที่ว่าพี่เขาไปแบบนั้นโดยไม่ฟังเหตุผลเลย"
ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดๆ ยิ้มให้กับความคิดของสายป่านที่ยังรู้จักสำนึกผิด ตอนที่ผมยังมีชีวิต สายป่านกับตามก็สนิทสนมกันดี เด็กอ้วนกับคนขี้แกล้งอย่างตามเข้ากันได้ง่ายจนตอนนั้นไม่แน่ใจเลยว่าสายป่านเป็นน้องของใครกันแน่ นอกจากความโกรธแล้ว ผมคิดว่าสายป่านคงรู้สึกผิดหวังในตัวตาม จึงพูดออกไปแบบนั้นแล้วก็มานั่งรู้สึกผิดอยู่ตรงนี้
"เอาไว้วันหลัง เราก็ไปขอโทษเขาสิ"
"เขาคงโกรธหนูไปแล้ว"
"เขาไม่โกรธหรอก"
"พี่รู้ได้ไง"
"ก็รู้จักตามดี"
"อ้าว พี่รู้จักพี่ตามด้วยเหรอ"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่สายป่านจะยิ้มออกมานิดๆ
"งั้นเดี๋ยวหนูจะไปขอโทษพี่เขานะคะ"
"ดีมากอ้วน" ด้วยความพลั้งเผลอ ผมหลุดปากเรียกสายป่านแบบนั้นยังไม่พอ ยังยกมือตัวเองขึ้นไปขยี้หัวน้องเบาๆ อย่างที่เคยชอบทำ อีกฝ่ายทำตาโตมองหน้าผม เมื่อรู้ตัวจึงรีบชักมือออกแล้วแก้ตัวไปแบบข้างๆ คูๆ
"คือ...คือพี่ติดนิสัยชอบจับหัวคนอื่น แล้วก็...แล้วก็เอ่อ...ชอบเรียกคนที่อายุน้อยกว่าว่าอ้วน"
"ใช่ พี่เคยเรียกหนูว่าอ้วนไปแล้วครั้งหนึ่งในโรงอาหาร"
"ขอ...ขอโทษ"
"ไม่เป็นไร ไม่ได้โกรธเลย แต่จะว่าไปหนูยังไม่รู้จักชื่อพี่เลยนะ พี่ชื่ออะไรเหรอ"
"พลีส"
ไม่ใช่ชื่อผมด้วยซ้ำแต่จำเป็นต้องพูดออกไปเช่นนั้น คล้ายว่าทุกอย่างกำลังย้ำเตือน นี่คือพลีส...ไม่ใช่แสง ไม่ใช่เลย
"โอเค พี่พลีส งั้นหนูกลับบ้านก่อนนะคะ ดึกแล้ว"
"สายป่าน"
"คะ?"
"ขอกอดหน่อยสิ"
"กอด? คือ...พี่จะกอดหนู แบบ...หนูกับพี่กอดกัน?"
"อือ สายป่านเหมือนน้องสาวพี่ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ก็เลยคิดถึงน้องน่ะ อยากกอดสักครั้ง..."
มุมปากของสายป่านขยับเป็นรอยยิ้มก่อนจะอ้าแขนให้ผมกอดแล้วพูดกับผมขณะที่เรายังกอดกันอยู่
"บางทีเวลาที่หนูคุยกับพี่ ก็เหมือนได้อยู่กับพี่ชายหนูเหมือนกัน"
เพราะประโยคนั้นทำให้ผมกระชับกอดสายป่านให้แน่นกว่าเดิม พลางโต้ตอบบางคำอยู่ในใจ
ก็พี่เองไง...พี่เองนะอ้วน สายป่านกลับบ้านไปแล้วแต่ผมยังนั่งอยู่ที่เดิมเพราะติดฝนที่ตกลงมาอีกรอบ ขณะกำลังนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเสียงไลน์จากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เห็นว่าเป็นไลน์จากไอ้ปั้นก็เลยกดเข้าไปดู
ปั้น : กูทำรายงานส่วนของกูเสร็จแล้ว ดูด้วยว่าโอเคไหม
ปั้น : ถ้าไม่โอเค มึงแก้เองนะ
ความกวนของไอ้ปั้นทำเอาผมหลุดสบถคำหยาบอยู่ในใจบ่อยครั้ง ไอ้เด็กนี่มันกวนตีนจริงๆ ผมส่งสติกเกอร์กลับไปตัวหนึ่ง แล้วกดออกจากไลน์ เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปๆ มาๆ ก่อนสายตาไปจ้องอยู่กับแอพลิคชั่นเฟซบุ๊ก
ยังจำรหัสเฟซบุ๊กตัวเองได้อยู่ไหมนะ ถ้าอย่างนั้นนี่อาจจะเป็นช่องทางที่ทำให้ผมติดต่อกับตามได้ก็ได้นะ แต่...แสงตายไปแล้วนะ ถ้าขึ้นสถานะออนไลน์คนไม่ตกใจแย่เหรอวะ ผีเล่นเฟซบุ๊กเนี่ยนะ...ไม่รู้ด้วยแล้ว!
ผมคิดเพียงแค่ว่าจะใช้มันเพื่อดูความเคลื่อนไหวของตามเผื่อว่าจะมีอะไรให้เห็นบ้าง จึงออกจากระบบบัญชีของพลีสแล้วเข้าบัญชีตัวเองแทน กดเข้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของตามอย่างไวแต่ไม่มีอะไรเลย เฟซบุ๊กร้างเป็นป่าช้า โพสท์ล่าสุดก็เมื่อปีก่อน ตามเลิกเล่นไปแล้วหรือไง ผมกดเข้าไปดูในช่องแชทข้อความ บทสนทนาสุดท้ายระหว่างผมกับตามทำให้ผมยิ้มออกมาตอนที่เลื่อนอ่าน ยังคงยิ้มในประโยคถัดไปแต่น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว...
คิดถึงตาม คิดถึงช่วงเวลานั้น ผมยกมือเช็ดน้ำตาพลางตั้งใจจะกดปิดแชทนั่นแต่พลันมือไวของตัวเองก็สร้างความชิบหายด้วยการไปแตะโดนเข้ากับปุ่มไลค์ในช่องแชท ส่งนิ้วโป้งนิ้วหนึ่งไปหาตามเรียบร้อย
เวรแล้ว!
ผมลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจ ในใจเอาแต่ถามว่าทำยังไงดีวะ ทำยังไงดี ซวยแล้ว!
"เขี้ยวกุด!"
ผมหันขวับมองเสียงเรียกที่ดังลั่น คนที่กำลังคิดถึงปรากฏตัวตรงหน้าพอดี ผมหันไปมองตามที่เดินเข้ามาหา จึงละความสนใจจากเฟซบุ๊กนั่นรีบยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อน
"พี่ตาม"
"ใช่ครับ พี่ตามเองครับ"
หัวคิ้วผมขมวดเข้าหากันตอนที่ตามเดินเซๆ เข้ามาหา
"พี่เมาเหรอ"
"เละ" ยอมรับกันตรงๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งจนอยากจะถามว่ากินเข้าไปหรือเอามาอาบกันแน่
"บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้กินเหล้า"
"อะไรนะ"
"เปล่าๆ แล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะครับ"
"กลับไม่ไหว นอนตรงนี้แหละ"
"เฮ้ย! เธอ!" ผมโวยลั่นตอนที่ตามทิ้งตังลงนอนแล้วเอาหัวมาหนุนตักผม กำลังจะบอกให้ตามลุก แต่เสียงเบาๆ ของตามเอ่ยบอกกับผมก่อน
"ขอห้านาที"
"..."
"แค่ห้านาที"
คำพูดนั้นหยุดทุกความคิดของผมแล้วปล่อยให้ตามนอนหลับตาอยู่บนตัก ดูเหมือนว่าจะหลับไปจริงๆ เพราะนิ่งสนิท เลยปล่อยให้นอนอย่างนั้นไปก่อน ในตอนนั้นพลันสายตาผมมองไปเห็นโทรศัพท์ของตามที่ยื่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมโบกมือตรงหน้าตามเพื่อให้แน่ใจว่าหลับจริงๆ แล้วค่อยๆ ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ของตามออกมาช้าๆ
พ่นลมหายใจอย่างแผ่วเบาตอนที่โทรศัพท์นั่นอยู่ในมือผมแล้ว โชคดีที่ตามใช้รหัสเดิมจึงกดเข้าไปได้ง่ายๆ ผมตั้งใจจะรีบหาแอพพลิเคชั่นแมสเซนเจอร์แล้วลบนิ้วโป้งที่กดส่งไปให้ตามเมื่อครู่ แต่ความสนใจทั้งหมดกลับไปจดจ่ออยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ ตามยังใช้รูปของผมเป็นภาพหน้าจออยู่เลย ก่อนที่น้ำตาจะไหลหรือว่าตามจะตื่น ผมรีบกดเข้าแอพฯ แล้วลบแชทที่ตามยังไม่ได้อ่าน ให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"เขี้ยวกุด"
"ครับ!" ความตกใจทำให้เผลอตอบรับเสียงดัง ก่อนที่ตามจะลุกขึ้นจากตักแล้วมองมาที่โทรศัพท์ตัวเองในมือผม
"ขโมยโทรศัพท์พี่เหรอ"
"เปล่าซะหน่อย!"
"แล้วเอาไปทำอะไร"
"จะโทรหาพี่ต่อ ให้มารับพี่ไง พี่จะนอนตรงนี้หรือไง!" เสียงดังขู่ไว้ก่อน จะได้ดูไม่มีพิรุธ
"ไม่ต้องโทร พี่กลับเองได้" ตามว่าแล้วแบมือขอโทรศัพท์คืน ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าจะเดินออกไป ได้แค่ก้าวเดียวก็เซถลาไปอีกทาง โชคดีที่ผมโผเข้าไปรับไว้ได้ทัน
"พี่เมามากเลย ให้ผมไปส่งที่บ้านดีกว่า"
ตามไม่ปฏิเสธ คงเป็นเพราะรู้ตัวว่าเดินไปสภาพนี้คงไม่ถึงบ้านแน่ๆ จึงยอมให้ผมไปด้วย ผมกำลังจะเรียกแท็กซี่แต่ถูกตามห้ามเอาไว้ บอกว่าใกล้ๆ เดินไปได้ แต่เท่าที่ผมรู้ บ้านตามไกลจากตรงนี้มาก ถามไปถามมาจึงได้ความว่าตามอยู่ที่หอ ไม่ได้อยู่ที่บ้าน และเมื่อตามพูดชื่อหอของตัวเองออกมา ผมก็รู้ทันทีว่ามันเป็นที่เดิมที่เราเคยอยู่ด้วยกัน
"เขี้ยวกุด พี่ต้องไปซื้อดอกไม้"
"ดอกไม้?"
"อือ ดอกไม้"
"ไว้ซื้อพรุ่งนี้ก็ได้"
"ไม่ได้ ต้องวันนี้"
ดื้อจะไปหาซื้อดอกไม้ให้ได้ ผมจึงต้องพาไปเดินหาร้านดอกไม้ที่ตามเคยซื้อวันก่อน เมื่อได้ดอกไม้ที่ต้องการก็อารมณ์ดีเดินแกว่งถุงดอกกุหลาบพลางพูดคนเดียวเป็นทำนองเพลงมั่วๆ
"กุหลาบสีแดง กุหลาบสีแดงที่แฟนเราชอบ แฟนเราชอบมากๆ เลย"
หึ! เมาแทบตายยังไม่วายต้องซื้อดอกไม้ไปให้แฟน เราหึงได้ไหมเนี่ย!
เราเดินมาถึงหอพักที่เราเคยอยู่ด้วยกันตอนสมัยเรียน จริงๆ บ้านผมไม่ได้ไกลจากมหาลัยเท่าไร แต่มาอยู่กับตามเพราะอีกคนมันอ้อนจนใจอ่อน เอาจริงๆ มันก็สะดวกด้วย เพราะจากตรงนี้เดินไปมหาลัยได้สบายๆ เลย
เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา ผมมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตอนที่ตามยกมือขึ้นเปิดไฟ มันเหมือนเดิมแทบทุกอย่าง ผ้าปูที่นอน โคมไฟ ข้าวของทั้งของตามและของผม ทุกอย่างถูกวางอยู่ที่เดิมราวกับไม่มีใครอนุญาตให้มันเปลี่ยนแปลงไป
มีอย่างเดียวที่เพิ่มเข้ามา คือรูปถ่ายของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ หน้ารูปมีดอกกุหลาบสีแดงที่ยังไม่ทันแห้งเหี่ยวปักอยู่ในแจกันแก้วใส ตามใช้มือหนึ่งดึงกุหลาบดอกเดิมออกแล้วใส่ดอกใหม่เข้าไปแทน พลางหันหน้าพูดกับรูปถ่ายของผม
"กุหลาบแดง"
"..."
"ที่เธอชอบ"
น้ำตาที่พยายามกลั้นอยู่นานพลันไหลออกมาเพราะการกระทำของตาม ผมคิดว่าตามจะทำใจได้แล้ว คิดว่าตามคงจะค่อยๆ ลืมเรื่องราวของเราไป คิดว่าตามคงมีคนรักใหม่อย่างที่เคยพูด คิดว่าชีวิตของตามจะเดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่มีผม คิดว่าตามจะทิ้งความทรงจำเกี่ยวกับผมเอาไว้ในอดีต แต่ทุกอย่างไม่ใช่เลย ตามยังทำเหมือนกับว่าผมยังอยู่ที่นี่ ดอกไม้ที่ผมชอบตามก็ยังไม่ลืม แล้วแฟนของตามที่เคยพูดถึงก็ยังเป็นผม ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับตาม...
ยังคงเป็นผมตามเดินไปเปิดหน้าต่างที่มองออกไปเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มด้านนอก หยิบกล้องโพลาลอยด์ตัวเก่าที่ผมซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ก่อนจะกดถ่ายรูปท้องฟ้านั่น ตามหยิบรูปถ่ายที่ไหลออกมาจากกล้อง แล้วรอให้ภาพมันปรากฏขึ้นมาเอง แต่เพราะมันเป็นภาพท้องฟ้าตอนกลางคืน จึงมีแต่ความมืดมิดมองไม่เห็นอะไร ตามหยิบสมุดเก็บภาพโพลาลอยด์ที่เราชอบถ่ายด้วยกันประจำ หลังจากที่ผมตายไป ตามก็มีภาพถ่ายโพลาลอยด์เก็บลงในสมุดนั่นจนถึงหน้าสุดท้าย หยิบรูปที่ถ่ายเมื่อครู่เก็บลงในนั้นแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"โลกนี้ไม่มีเธอมาสามปีแล้วนะ"
"..."
"เธอรู้ไหม ท้องฟ้าเวลาไม่มีแสง มันโคตรมืดเลย" To be continued.