阳鳳 หยางเฟิ่ง จอมบุรุษเคียงราชันย์ บทที่ 7 11-12-2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 阳鳳 หยางเฟิ่ง จอมบุรุษเคียงราชันย์ บทที่ 7 11-12-2020  (อ่าน 3974 ครั้ง)

ออฟไลน์ ครามพิสุทธิ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บทที่ 7



…ยามเจ็บปวดในหทัย ดั่งน้ำกรดไฟไหลแล่นผ่านร่าง
ความอาดูรก่อบังเกิด  ดำดิ่งพสุธา ระทมตรมเศร้า...


ลั่วกงกง!  ลั่งกงกงอยู่ที่ไหน!”

สุรเสียงขุ่นเคืองตระเบ็งร้องเรียกขันทีคนสนิท เมื่อเหยียบย่ำเข้าสู่อี้คุนกง นับตั้งแต่กลับจากตำหนักฉือหนิง ดวงหทัยชายสูงศักดิ์ช่างแปรปรวนยิ่งนัก

“ทูลพระสนมกระหม่อมอยู่ที่แล้วพะยะค่ะ” ขันทีคนสนิท ลนลนวิ่งหน้าตาตั้งเข้ามาหา ในใจคิดหนทางดับไฟโทสะแทบวุ่น  มิเช่นนั้นแพะรับความโกรธจะเป็นเขาทันที 

“ข้าเรียกเจ้าตั้งนาน เหตุใดเพิ่งมา”

“พระสนมทรงระงับโทสะด้วย กระหม่อมจะรีบจัดของหวานมาถวายพะยะค่ะ”

“ไปเอามาสิ! หลายอย่างยิ่งดี” หมิงกุ้ยเฟยตรัสหนักแน่น

“พะยะค่ะ”

หมิงกุ้ยเฟยสั่งเสร็จ ได้แต่นั่งนิ่งหายใจหอบโกรธอยู่บนเก้าอี้ไม้ใหญ่ประจำตำแหน่ง พลางนึกไปถึงคำตรัสของฮ่องเต้ก่อนหน้านี้ว่า จะเลื่อนฮวาผิน เป็นฮวาเฟย  คิดไปแล้วยิ่งทวีความเจ็บแค้นไปใหญ่


เกาอู่หลงขึ้นครองราชย์ได้เจ็ดปี  แน่นอนว่าเหล่าสนมน้อยใหญ่ มีทั้งหญิงและชาย แต่การตั้งครรภ์ของสตรีเป็นสิ่งที่หมิงกุ้ยเฟยไม่อาจทนทานได้ แม้หลายปีที่ผ่านมา คิดในใจเสมอ ว่าสักวันฮ่องเต้ พระสวามีอันเป็นที่รักจำต้องมีรัชทายาทและโอรสธิดา เพื่อผนึกกำลังราชสำนักแน่แท้  แต่พอเอาเข้าจริง กลับทำใจรับยากยิ่งนัก


เดิมที ฮวาผิน เองเป็นคนเงียบๆ ไม่คิดว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวถึงเจ็ดปี ผลักดันตัวเองจนมาถึงสนมชั้นเฟยได้ แล้วตอนนี้ สนมเฟย มีถึง สามคน ห่างเขาเพียงขั้นเดียวเท่านั้น ทุกคนล้วนแล้วรอคอยวันขึ้นเป็นใหญ่กว่าเขาอย่างแน่นอน

“ทูลพระสนม สำรับของหวาน มาแล้วพะยะค่ะ”

ขนมหวานมากมายถูกนำมาถวายตรงหน้า มีจานขนมเปี๊ยะที่ลั่วกงกงถือเอาไว้ในมือด้วยความประหม่า เมื่อครั้งหมิงกุ้ยเฟยโมโหคราใด ไม่สั่งลงโทษพวกบ่าวรับใช้ ก็ทำลายข้าวของ

แต่รอบนี้กลับแตกต่างออกไป  มือขาวนวลราวไม่เคยหยิบจับงานหนักใดๆนั้น เอื้อมไปหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ในถาดภาชนะทองเหลือง พระองค์จับยัดเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าต่อหน้าต่อตาบรรดาบ่าวทั้งหลาย  ฉีกกัดและเคี้ยวอย่างหยาบๆ จนกระพุ้งแก้มป่องพองลมทั้งสองข้าง

การกระทำเช่นนี้ บ่าวไพร่ต่างตกใจมาก หันมองหน้ากันไปมา อึกอักมิกล้าห้ามปราม จนกระทั่งลั่วกงกงเป็นตัวแทนเข้าเปรยห้าม แม้จะรู้ว่าต้องโดนลงทัณฑ์อันใดตามมาบ้าง


“พระสนม  ทรงใจเย็นๆค่อยๆเคี้ยวพะยะค่ะ”


ไร้การตอบรับ หมิงกุ้ยเฟยยังคงหยิบขนมชิ้นแล้วชิ้นเล่า ยัดเข้าไปเรื่อยๆ เหล่าขันทีน้อยใหญ่ไม่อาจเข้าใจวัตถุประสงค์  จวบจนกระทั่ง...


“อะ...อึก อึก อ้วกกกกกกก  อ้วกกกกกก”

“อะ  พระสนมทรงอาเจียน  พวกเจ้า ไปเอาน้ำมาให้พระสนมเสวยเร็วเข้า”

เศษขนมเปื้อนน้ำลาย ถูกขย้อนออกมาตรงหน้าลั่วกงกง แทบหลบไม่ทัน  พอเงยหน้ามองเจ้านายผู้สง่างาม กลับพบดวงตาของหมิงกุ้ยเฟยแดงก่ำ พร้อมน้ำตาที่ไหลริน

“พระสนม  ทรงเป็นอะไรหรือพะยะค่ะ”

“ลั่วกงกง...เจ้าเห็นไหม  ข้าอาเจียนแล้ว  ข้าท้องแล้ว...” หมิงกุ้ยเฟยยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความตื้นตันใจ

“พะ...พระสนม...”  ลั่วกงกงเข้าใจการกระทำทั้งหมด ถึงกับเจ็บปวดหัวใจแทนยิ่งนัก

“ไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า มาตรวจครรภ์ข้า ตรวจชีพจรข้า ข้ากำลังตั้งครรภ์โอรสมังกรสวรรค์อยู่นะ ไปสิลั่วกงกง”

“โถ่ พระสนม ของกระหม่อม” ลั่งกงกง รู้สึกสงสารเจ้านายจับใจ  นี่คงเป็นเพราะข่าวฮวาผินตั้งครรภ์แน่แท้

“นั่งเฉยด้วยเหตุใด  ไปตามหมอหลวงมาสิ ไป!”

“พระสนม ทรงระงับความเศร้าด้วย พระองค์มิอาจตั้งครรภ์ได้นะพะยะค่ะ ” ลั่วกงกงทูลบอกพร้อมก้มศีรษะคำนับติดพื้นกระเบื้อง

“งั้นเหรอ...ข้าตั้งครรภ์ไมได้เหรอ ทำไมถึงจะไม่ได้ล่ะ  ข้าก็เป็นสนมของฝ่าบาท นี่....ดูสิ  เมื่อครู่ข้าอาเจียนเจ้าก็เห็น คนแพ้ท้องก็แบบนี้ไม่ใช่เหรอ ลั่วกงกง หืม?”  หมิงกุ้ยเฟยลุกจากเก้าอี้ไม้ลงมาจับไหล่ขันทีคนสนิททั้งสองข้างให้เงยหน้าขึ้นมามอง

“พระสนม...”

“ฮึก ฮึก  ฮือออออ  ฝ่าบาทททท  กระหม่อมไร้ความสามารถ เหตุใดกระหม่อมไม่เกิดมาเป็นสตรีเล่า....ฮืออออออ”

“พระสนมทรงระงับความเศร้าด้วยพะยะค่ะ ฮึก ฮือออออ”

ขันทีทั้งหลายก้มหัวแนบชิดพื้น คำนับร้องขอเจ้านายตนให้ออกจากภวังค์อันโหดร้าย การนั่งอยู่บนบัลลังก์อันสูงเกียรติ หาได้มีความสำคัญอันใดต่อสายเลือดมังกรที่จะคงไว้ซึ่งการสืบต่อราชบัลลังก์แม้แต่น้อย เพียงเพราะว่าตนนั้นเป็นชายชาตรี

เวลาผ่านไปพักใหญ่ ดูเหมือนอาการโศกศัล ของหมิงกุ้ยเฟย จะทุเลาลงแล้ว สติสัมปชัญญะ เริ่มกลับคืนมาครบถ้วน เหล่าบริวารได้แต่สั่งงานกันด้วยเสียงแผ่วเบา เกรงจะไปรบกวนเจ้านายที่กำลังพักผ่อนบรรทมอยู่ให้ห้อง

“ลั่วกงกง..”

“โอะ...ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือพะยะค่ะ”

“อืม...นี่ข้าหลับไปนานหรือไม่”

“ผ่านไปสี่ยามพะยะค่ะ พระสนมรอกระหม่อมประเดี๋ยว จะไปยกน้ำชามาให้ทรงเสวย”

“ช้าก่อน ไม่ต้องหรอก  ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้าอีกเรื่อง”

“เรื่องอะไรหรือพะยะค่ะ”

“เจ้ารู้หรือไม่  ข้าต้องทำหน้าที่ดูแลครรภ์ของฮวาเฟย  ฮองไทเฮายังทรงมีกระแสรับสั่งให้ทูลถวายความดูแลของฮวาเฟยทุกๆสามวันด้วย  ช่างน่าเจ็บใจนัก”

“นับว่าดีแล้วพะยะค่ะ”

“หืม...ดีเหรอ เจ้าไม่เห็นเหรอว่าข้าเสียใจแค่ไหน”

“พระสนมอย่าเพิ่งกริ้ว กระหม่อมได้ยินข่าวลือจากตำหนักฮองไทเฮา ว่าจะมีการแต่งตั้งตำแหน่งครั้งใหญ่ นั่นก็คือ หวงกุ้ยเฟย พะยะค่ะ ”

“หวงกุ้ยเฟยเหรอ?”

ชื่อ ตำแหน่งที่ขันทีคนสนิทเอ่ยมา นับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับหมิงกุ้ยเฟยอย่างแท้จริง  อีกทั้งเขากลับคิดว่า มันแปลกเกินไปที่ฮองไทเฮาทรงจัดแจงตำแหน่งล้ำค่าของวังหลังเช่นนี้ด้วยพระองค์เอง แทนที่จะเป็นฮ่องเต้


“จริงอย่างที่ลั่วกงกงทูลพะยะค่ะ ” 


น้ำเสียงนุ่มใสราวสำลีเปรยขึ้นจากทางประตูห้องบรรทม จนเจ้าของตำหนัก ทำตัวไม่ถูก  คงมีน้อยคนนักที่กล้าอุกอาจบุกเข้ามาในขณะที่เจ้าของตำหนักยังอยู่ในชุดบรรทม


“โจวผิน?”


“ถวายพระพร พระสนม ขอทรงประทานอภัยที่ข้าล่วงเกินเข้ามาถึงห้องบรรทม  เห็นว่าทรงไม่สบายพระทัย กระหม่อมจึงรีบมาอี้คุนกงทันทีพะยะค่ะ”

“หึหึ นั่งก่อนสิ” หมิงกุ้ยเฟยในชุดบรรทม แม้จะเรียบง่ายไปหน่อย แต่วาจาและท่าทาง ยังคงความทะนงอยู่มากนัก

“ลั่วกงกงให้คนไปบอกกระหม่อมว่าพระองค์ทรงเสียพระทัยอย่างหนัก หากให้กระหม่อมคาดเดาคงเป็นเรื่องของฮวาผิน ไม่สิ ต้องเรียกพระสนมฮวาเฟยแล้ว”

“หึ ไม่เสียแรงที่ข้ามองคนไม่ผิด ความฉลาดของเจ้า รู้หรือไม่ว่าบางคราข้ายังคิดหวั่นเจ้า”

“พระสนมทรงชมเชยเกินไป  ว่าแต่พระสนม...  เหตุใดไม่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสล่ะพะยะค่ะ”

“พลิกวิกฤตอย่างนั้นเหรอ นี่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หมิงกุ้ยเฟยสนพระทัยในวาจานั้นนัก

“กระหม่อมได้ข่าวจากโซ่คังกง  ไม่เพียงแต่ข่าวเลื่อนขั้นสนมชั้นเฟยให้ หญิงสาวตระกูลหยุนเพียงอย่างเดียว แต่ตำแหน่งอันยิ่งใหญ่เช่น หวงกุ้ยเฟย กำลังถูกพิจารณาด้วย ”

การสนทนาดำเนินไปอย่างเรียบง่าย กลิ่นชาหอมจากแผ่นดินใหญ่ และกลิ่นกำยานเบญจบุบผาลอยอบอวล  สร้างบรรยากาศให้ตำหนักแห่งนี้สดชื่น ละมุนละไมยิ่งขึ้น


โจวผิน เล่าเรียบเรียงถ้อยคำ ชักชวนให้หลงใหลคล้อยตาม  ความคุ่นเคืองในหัวใจของหมิงกุ้ยเฟยเริ่มทุเลาลงอย่างช้าๆจนกระทั่งหายเป็นปลิดทิ้ง

“หวงกุ้ยเฟยหรือ ข้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร ตำแหน่งนี้ก็ควรตกถึงข้าอยู่แล้ว” พระองค์ตรัสอย่างมั่นใจ

“ผิดแล้วพะยะค่ะ พระสนมลองตรองให้ดี หากฮองไทเฮาจะยกให้ท่าน เหตุใดจึงตั้งใจปล่อยข่าวเช่นนี้ให้หลุดออกมาได้ มิสู้รอประกาศพระนามของพระสนมเป็น หวงกุ้ยเฟย ในงานพีธีมิดีกว่าหรือพะยะค่ะ”

“โจวผิน เจ้ากำลังจะบอกว่า ข้าไม่คู่ควรตำแหน่งล้ำค่านี้ อย่างนั้นเหรอ”

“ผิดอีกพะยะค่ะ ที่กระหม่อมจะทูลบอกพระสนมก็คือ ฮองไทเฮากำลังเพ่งเล็งสนมทั้งหลายผู้มีความสามารถในการขึ้นนั่งแท่นบัลลังก์หงส์ ให้แก่งแย่งกันเองต่างหากล่ะพะยะค่ะ”

“หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง สนมทุกคนตอนนี้รวมแม้แต่เจ้า คือคู่แข่งข้าหมด งั้นหรือ...”

“ผิดอีกพะยะค่ะ สนมที่พระองค์ต้องระวังให้มากคือ เจียเฟย จิ้งเฟย และฮวาเฟย เพราะทั้งสามพระสนมนี้มีพระยศเป็นภรรยาฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่” หมิงกุ้ยเฟยทำสีหน้าครุ่นคิด ตามที่โจวผินพูดมามีทั้งเหตุและผล

“จริงด้วย ข้าจะประมาทใครไมได้ ไม่ได้ทั้งนั้น”

“อันที่จริง พระสนมนับว่าได้เปรียบสนมองค์อื่นมาก การที่ฮองไทเฮาทรงประทานอนุญาตให้ดูแลครรภ์ของฮวาเฟย จนลุล่วงตลอดการคลอด หากเป็นองค์ชายน้อย  รางวัลอันยิ่งใหญ่ภายหน้าย่อมเป็นของพระองค์แน่นอนพะยะค่ะ”

“หึหึหึ  จริงสินะ  เจียเฟย แม้เป็นที่ทรงโปรดของฝ่าบาทมาตั้งแต่อยู่ในจวนอ๋อง แต่หน้าที่นี้ฮองไทเฮาทรงไว้วางพระทัยข้าให้ดูแล ส่วนจิ้งเฟยก็คือสนมเฟยตกอับ ส่วนฮวาเฟย ทำดีย่อมเสมอตัว  หากให้กำเนิดองค์ชาย นางจะได้เป็นกุ้ยเฟยคนใหม่แทนข้า หากเป็นองค์หญิงนางก็จะได้เป็นเพียง เฟย เท่านั้น นางจะไม่มีวันได้เป็นหวงกุ้ยเฟย คนชาติตระกูลฮั่นอย่างนาง ห่างจากแมนจูแท้ๆอย่างข้ายิ่งนัก ราชสำนักมิอาจให้ความสำคัญมากเกินหน้าเกินตาไปได้”

“พระสนมตรัสถูกแล้ว เช่นนั้น พระสนมทรงมีแต่ได้ กับ ได้ แต่อย่าทรงประมาทเด็ดขาดพะยะค่ะ ”

“ขอบใจเจ้ามากโจวผิน นับว่าข้าเลือกคนไม่ผิดจริงๆ ”

“พระสนมทรงชมเกินไปแล้ว  อ้อ จริงสิ กระหม่อมต้องขอลาพระสนมไปหอฝึกจิตก่อนพะยะค่ะ”

“ไปเถอะ เจ้าเข้าถึงพุทธศาสนาเช่นนี้ หากข้าได้เป็นหวงกุ้ยเฟยเมื่อไหร่ ข้าจะทูลขอฝ่าบาทให้เจ้าขึ้นเป็นสนมเฟยทันที”

“ขอบพระทัยพระสนม   โจวผิน ทูลลา”

บุรุษผู้สง่า เดินละออกจากตำหนักไปอย่างเงียบๆ มีลั่วกงกงนำส่งจวบจนแน่ใจดีแล้วว่า โจวผินออกจากอาณาเขตอี้คุนกง จึงกลับมารายงานเจ้านาย

“ทูลพระสนม โจวผินพูดมานั้นถูกทุกอย่าง ลองทำตามดูมิเสียหายอันใดแน่พะยะค่ะ”

“ข้าก็คิดเช่นเจ้า  แต่เราประมาทมากไมได้ ส่งคนตามโจวผินไปที่หอฝึกจิต  ว่านางกำลังเล่นลิ้นอะไรกับข้าหรือไม่ หรือ...มีใครอยู่เบื้องหลังอีกไหม”

“ทราบแล้วพะยะค่ะ กระหม่อมจะให้ขันทีแผนกซักอาภรณ์ตามไปสอดแนม โจวผินต้องจำใบหน้าไม่ได้แน่นอน”

“ดี”


หมิงกุ้ยเฟยลุกไปส่องกระจกบนโต๊ะเครื่องหอม  สีหน้าที่สะท้อนให้เห็น บ่งบอกถึงความทะนงและมีจุดยืนในใจ การที่โจวผินดีกับเขา นับว่าเป็นดาบสองคม  ในเวลาคับขับเช่นนี้จะไม่ใจใครไมได้เด็ดขาด

“หากเจ้าเล่นลิ้นกับข้าเมื่อไหร่ เมื่อนั้นข้าจะตัดลิ้นเจ้าเสีย โจวผิน ”



****


....เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า  เหนือชะตาย่อมลิขิตเอง...


ท่ามกลางทางเดินเรียบกำแพงตำหนักต่างๆ  โจวผินเดินกับขันทีคนสนิทตามลำพัง จวบจนกระทั่งเดินผ่านจุดอับคน  จึงได้รู้ความผิดปกติบางอย่างเข้าแล้ว

“ทูลพระสนม เหมือนมีใครบางคนเดินตามพวกเรามา สักพักแล้วพะยะค่ะ”

“ไม่ต้องตกใจ ทำตัวปกติตามสบาย  เราคงไปยังจุดนัดหมายไมได้แล้ว  เปลี่ยนไปหอฝึกจิตจริงๆแทนก็แล้วกัน”

“แล้วจะบอกความคืบหน้า อย่างไรล่ะพะยะค่ะ”

“อย่าห่วง  เหตุการณ์ที่ต้องแก้ตอนนี้สำคัญกว่านัก ทำตามที่ข้าบอก”

“พะยะค่ะ”


‘ไม่ว่าคนแอบสะกดตามรอยจะเป็นคนของใคร  แต่จะไม่มีวันได้รับรู้ความลับนี้แน่’


โจวผินเปรยในใจ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า  โชคยังดีนักที่ทางไปจุดหมายกับหอฝึกจิตเป็นทางเดียวกัน จึงไม่มีพิรุธใดใดให้เห็น แต่การแสดงละครครั้งนี้เห็นทีคงต้องเล่นจริงๆเสียแล้ว







...กลิ่นโบตั๋นแย้มงามท่ามดงบุบผา  เสน่ห์ดึงดูดยวนเย้ายากนักเกินต้าน...


ผ่านไปหลายวัน อุทยานหลวงยามบ่ายคล้อยอากาศดี  ฝ่ายหอศิลป์ได้จัดแสดงละเล่น การร่ายรำของแคว้นใต้อย่างหางโจว บนเรือหลวงนับห้าลำ  กลางทะเลสาบหลวง นับว่าสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ฮ่องเต้ยิ่งนัก

ว่ากันว่าการแสดงชุดนี้ ผู้แสวงหามาคือเจียเฟย พระสนมคนโปรดผู้นี้ไม่ผิดเพี้ยน การปรนนิบัติฝ่าบาทอันไร้ข้อกังขาจากหมิงกุ้ยเฟย เห็นทีคงจะมีแต่เจียเฟยเท่านั้นที่กระทำได้  สืบเนื่องชาติตระกูลของเจียเฟย และหมิงกุ้ยเฟย นับว่ายิ่งใหญ่พอกัน แต่เมื่อครั้งรับเลือกภรรยาเอกที่จวนอ๋อง เจียเฟยพลาดที่อายุน้องกว่าหมิงกุ้ยเฟย ฮองไทเฮาจึงเล็งเห็นถึงความเหมาะสมด้วย ผนวกกับช่วงแรก เกาอู่หลงก็ดูชื่นชอบและหลงใหล หมิงกุ้ยเฟยมากนัก เรื่องจึงเลยตามเลย 


“ฝ่าบาทพะยะค่ะ  ขอทรงเลือกป้ายในค่ำคืนนี้ด้วยพะยะค่ะ”


เจ้ากรมพิธี เข้ามาถวายแผ่นป้ายชื่อพระสนมทั้ง สิบสี่คน  แต่เกาอู่หลงยังไม่มีอารมณ์เลือกในยามนี้ สิ่งที่ดึงดูดตรงหน้าสำคัญยิ่งกว่า จนกระทั่งเจียเฟยสะกิดด้วยสัมผัสนุ่มนวล  เอื้อมมือไปแตะไหล่อันแข็งแกร่งเบาๆ ใช้วาจาอ่อนหวานสักหน่อย เพียงเท่านี้ไม่เสียชื่อพระสนมคนโปรดแน่แท้

“ฝ่าบาท...”

“อ่ะๆๆ  รู้แล้วๆ  ข้าจะเลือกก็ได้”

ฮ่องเต้ทำตามอย่างว่าง่าย แต่พอใช้พระเนตรกวาดมองทุกแผ่นป้ายบนพานถวาย กลับลำบากใจยิ่งกว่าเดิม  พอได้อ่านป้ายรายชื่อทีละชิ้นๆ กลับฉงนใจถึงความไม่คุ้ยเคยชื่อบรรดาสนมแม้แต่น้อย


“นี่ข้ามีชื่อ สนมเหล่านี้ด้วยหรือ...”

“ใช่แล้วพะยะค่ะ ” เจ้ากรมพิธีตอบด้วยความยินดี  วันนี้เห็นสนมใหม่ๆจะได้ถวายงานแล้ว

“ฝ่าบาท  ทรงเลือกสักป้ายเถิดพะยะค่ะ” เจียเฟยออกแรงบีบนวดต้นแขนอันแข็งแกร่งเพื่อเอาใจ  และก็ได้ผลเช่นเคย

“ได้ ข้าเลือกป้ายนี้แล้วกัน  หยางกุ้ยเหริน  ชื่อไพเราะดี”

“เอ่อ ฝ่าบาท...”

“น้องเจียอี้มีอะไรอย่างนั้นเหรอ?” ฝ่าบาททรงหันไปถามด้วยความแปลกใจ

“หยางกุ้ยเหริน เป็นสนมที่พำนักอยู่ในตำหนักเสียนฝูของกระหม่อมเอง  พักนี้ดูเหมือนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงดีนักพะยะค่ะ”

“อ้อ...อย่างนั้นหรอกหรือ หากข้าเลือก  เจ้าเกรงว่าหยางกุ้ยเหรินคนนี้จะปรนนิบัติไม่เต็มที่สินะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“รับสั่งถูกแล้วพะยะค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าเลือก ฟางฉางไจ้”

“นับว่าไม่เลวพะยะค่ะ  ฟางฉางไจ้อยู่ตำนักฉ่งชิ่ง ตำหนักเดียวกับฮวาเฟย  พระองค์จะได้แวะไปดูแลครรภ์ของนางด้วย” แม้ในใจจะไม่ได้หมายความอย่างที่พูด ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่คือหน้าที่มิอาจเลี่ยงได้

“จริงสินะ  เจียเฟย เจ้าช่างใจกว้างนัก  เห็นทีข้าต้องหาเวลาอยู่กับเจ้าถี่กว่านี้สักหน่อย”

“ฝ่าบาททรงตรัสเกินไปแล้ว  กระหม่อมย่อมต้องดูแลบรรดาสนมใหม่ช่วยพระองค์นับว่าเป็นหน้าที่พะยะค่ะ”

“อืม จริงสิ  ข้านึกถึงคำพูดของเสด็จแม่ เรื่องการมองหาสนมขึ้นเป็น หวงกุ้ยเฟย  ตอนนี้ข้าเริ่มเห็นแววเจ้าเสียแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”

“เอ่อ...ฝ่าบาทอย่างทรงตรัสเล่น ตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยต้องเป็นของหมิงกุ้ยเฟย ถึงจะเหมาะสมพะยะค่ะ”

“หืม...เกี่ยวอันใดกับหมิงกุ้ยเฟย  หากข้าเห็นผู้ใดสมควรย่อมต้องเป็นผู้นั้น หมิงกุ้ยเฟย ขัดได้อย่างนั้นเหรอ”

“ทูลฝ่าบาท มิใช่อย่างนั้นพะยะค่ะ แต่หมิงกุ้ยเฟยมีคุณสมบัติเพียบพร้อม อีกทั้งยังเป็นพระสนมอับดับหนึ่ง พระองค์ได้โปรดอย่าทอดทิ้งหมิงกุ้ยเฟยเลย”

“เอาล่ะๆ ข้าเข้าใจเจ้า  ข้าแค่พูดล้อเจ้าเท่านั้น ตำแหน่งนี้ข้ายกให้ท่านแม่ดูแลแล้ว  อีกไม่นาน คงได้รู้กัน ส่วนเจ้า ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าตั้งใจแต่งตั้งเจ้าเป็น กุ้ยเฟยคนใหม่อยู่แล้ว  ”

“เอ่อ...ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“ไม่ต้องมากพิธี  เอาล่ะเจ้ากรมพิธี ข้าเลือกป้ายค่ำคืนนี้แล้ว ไปดำเนินการได้”

“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”

การแสดงยังคงดำเนินต่อไป  เกาอู่หลงนั่งชมพร้อมกับกุมมือเจียเฟยด้วยความรักใคร่  อันที่จริงแล้ว หากจะให้ถามความในใจของจักรพรรดิผู้นี้  ภรรยาอันดับหนึ่งคงจะเป็น เจียเฟย ไม่ผิดแน่ 






เคยได้ยินว่านักจิตรกรโบราณของราชวงศ์ถัง  ชื่นชอบการเดินทางไปทั่วหล้า หยิบพู่กันคู่ใจ ละเลงหมึกดำลงกระดาษ แผ่นแล้วแผ่นเล่า ขุนเขา ลำเนาไพร  ช่างงามนัก งามนัก


ในยามนี้หยางเฟิ่งคิดว่า จิตรกรผู้นั้นกล่าวถูกต้อง  หากได้ท่องยุทธภพกว้างใหญ่ ธรรมชาติจะอ้าแขนรอโอบกอดการมาเยือนเสมอ


ยะ!  ยะ!


เสียงควบรถม้าดังแข่งฝีเท้าม้าแกร่งและล้อเกวียน  สองขันทีน้อย นั่งควบคุมรถม้าอย่างทุลักทุเล ในขณะเดียวกันกลับรู้สึกสนุกตื่นเต้นไปด้วย  นี่คือครั้งแรกของพวกเขาที่ได้ออกจากวังต้องห้าม หลังจากเข้าไปถวายงานให้ราชวงศ์ตั้งแต่เด็ก


...ทุ่งกว้างเขียวขจี   ลำธารไหลเชี่ยว สองหนุ่มนั่งเคียง หัวใจแน่นแฟ้น...


“หยุดดดดดดดด”


เสียงไป่หลิวดังก้องเพื่อบังคับม้าสองตัวทำตามคำสั่ง  แน่นอนว่าม้าสองตัวยอมฟังคำสั่งเขาแต่โดยดี  พวกเขาเลือกหยุดอยู่กลางที่โล่งแจ้งมีเพียงลำธารตื้นเขิน ไหลเชี่ยวขนาบข้างรถม้า  แม้จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่ต้นลำธารแห่งนี้กลับไม่เคยเหือดหาย

“พระสนม ถึงแล้วพะยะค่ะ”

“เหลียงจั่ว  ข้าบอกว่าอย่างไร อยู่นอกราชวังต้องเรียกข้าว่า นายน้อยหยางเฟิ่ง” หนุ่มร่างเล็กเปิดม่านประตูออกมาก็เอ็ดขันทีคนสนิทยกหนึ่ง

“พะยะค่ะ เอ้ย  ขอรับนายน้อย”

“นายน้อย...ท่านอ๋องนัดพวกเราที่นี่จริงๆนะหรือ ข้าน้อยว่ามันเงียบเกินไป ” ไป่หลิวเริ่มกังวลใจเมื่อหันไปทิศทางใด ไร้วี่แววอีกคน

“ไป่หลิวใจเย็นๆ  ที่นัดหมายย่อมต้องห่างไกลคนพลุกพล่าน เชื่อใจท่านอ๋องเถิด”

“อะ!  นั่นใช่ไหมนายน้อย  มีคนขี่ม้าสีดำตรงมาทางเราแล้ว” เหลียงจั่วตะโกนร้องด้วยความดีใจ พลางชี้นิ้วไปยังเบื้องหน้า  หยางเฟิ่งมองตามไป  เห็นดังนั้นแล้วอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไมได้

“ใช่แล้ว  เราลงไปยืนรอท่านอ๋องกันเถอะ”

หยางเฟิ่งยิ้มแก้วปริ  นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้พบหน้าท่านอ๋อง  วันนี้โชคดีนัก  ที่เจียเฟยทรงสำราญใจอยู่กับฝ่าบาท  การขอกลับมาเยี่ยมบ้านที่จวนหยาง เป็นไปอย่างราบรื่นและเรียบง่าย การนี้ได้ขอคนติดตามสองคน ซึ่งก็ได้รับการอนุญาตอีก นับว่าเจียเฟยเอ็นดูเขาไม่น้อยเลย

แต่ทว่าเรื่องการมาพบท่านอ๋องเป็นการแอบแฝงเช่นนี้นับว่าผิดมหันต์และร้ายแรง ในฐานะสนมของฝ่าบาท มิควรกระทำอย่างยิ่ง  เรื่องนี้แม้แต่เจียเฟยก็ห้ามให้รับรู้เป็นอันขาด

ทันทีที่ม้าดำหยุดนิ่งตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสาม  บุรุษรูปงามร่างสูงจึงลงจากหลังม้า การแต่งการของพระองค์วันนี้ช่างดูแปลกตา หากไม่ทราบว่าเป็นท่านอ๋อง คงกำลังคิดว่าเป็นเพียงจอมยุทธท่องแผ่นดินกว้างเผลอผ่านทางมาแถวนี้แน่

“ถวายพระพรท่านอ๋อง”

“หยางเฟิ่ง อย่าได้มากพิธี  พวกเราอยู่กันนอกราชวัง ทางที่ดีอย่ากระทำอันใดให้ใครรู้เห็นจะดีกว่า”

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบพระทัย”

“อยู่นอกวังเช่นนี้ เรียกข้าว่า ท่านพี่เฉิง ได้หรือเปล่าล่ะ” เฉิงชินอ๋องโปรยเสน่ห์ด้วยวาจา แต่กลับได้ผลเสียนี่ หยางเฟิ่งยืนเกร็งหน้าแดงราวกับลูกตำลึงแล้ว

“ขอรับ ท่านพี่เฉิง”

“ฮ่าๆๆ เอาล่ะ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว  เพิ่งจะรู้ว่าเจ้าเป็นคนเขินอายง่าย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย” หยางเฟิ่งหันไปมองทิวทัศน์แทน เลี่ยงการประชันใบหน้าโดยตรง

“หรือว่า...เขินอายง่ายเพียงเพราะข้าคนเดียว?”

“ท่านอ๋อง...”

“ฮ่าฮ่าฮ่า  ก็ได้ๆ  ข้าไม่พูดแล้ว  นายของพวกเจ้าน่ารักจริงๆ ไป่หลิว เหลียงจั่ว”

“พะยะค่ะ” สองขันทีน้อยประสานเสียงตอบรับ พลางหันไปมองหน้ากัน  ต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มีความสุขที่ได้เห็นภาพการหยอกล้อของเจ้านายทั้งสอง

“ข่าวในวังหลังเป็นอย่างไรบ้าง  ข้าได้ข่าวมาว่าฮวาผินตั้งครรภ์และเลื่อนเป็น เฟย แล้ว จริงเหรอ? ”

“ใช่แล้ว  ข้าไปเยี่ยมพระนางที่ตำนักสองสามครั้ง  ดูพระนางแข็งแรงดีและถนอมวรกายเป็นอย่างมาก  ”

“เช่นนั้นก็ดี  หวังว่าการตั้งครรภ์จะเป็นไปอย่างราบรื่น ข้าได้ข่าวมาว่าฮองไทเฮาและเสด็จพี่คาดหวังกับโอรสองค์แรกนักหนา ”

“เห็นจะเป็นเช่นนั้น ”

“อืม....จริงสิ  ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า สำคัญมาก และคิดว่าเจ้าต้องดีใจนะหยางเฟิ่ง” เฉิงชินอ๋อง จั่วหัวเรื่องมาเช่นนี้ ทำเอาหยางเฟิ่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  เรื่องสำคัญที่ว่านั้นมันคือเรื่องอะไรกัน

“เรื่องอันใดหรือ ท่านพี่เฉิง”

“ข้าลืมบอกเจ้าไป  ว่าบรรดาสนมที่ได้รับคัดเลือกเข้าวังเพื่อปรนนิบัติฝ่าบาท  หากครบกำหนดสามปี ยังไม่ได้เข้ารับการถวายตัว  จะถูกส่งกลับบ้านในงานเฉลิมเฉลองปีใหม่”

“จะ...จริงเหรอ  ท่านพูดจริงเหรอ”

“ใช่ ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าต้องดีใจ”

“อื้ม...นี่ข้าก็เข้าวังมา หนึ่งปีแล้วสินะ  เหลืออีกสองปีเท่านั้น”

ชายหนุ่มยิ้มดีใจ แทบทำอะไรไม่ถูก  เฉิงชินอ๋องคว้าสองมือนุ่มขนาดเล็กกว่ามากุมไว้  ต่างฝ่ายต่างหันหน้าเข้าหากัน สายตาจดจ้องกันและกันไปมา จนแทบลืมไปว่ามีสองขันทีน้อยประกอบทิวทัศน์รอบกายอยู่

“หยางเฟิ่ง”

“ทะ...ท่านพี่”

“อีกสองปี เจ้าต้องทำสำเร็จให้ได้ ข้าจะรอเจ้านอกรั้วสีอิฐ  รอวันที่เจ้าเป็นอิสระจากเสด็จพี่”

“อื้ม...ข้าให้สัญญา ข้าจะต้องนำความบริสุทธิ์ของข้าออกนอกรั้ววังให้ได้”


คำตอบของหยางเฟิ่ง ทำให้หัวใจของเฉิงชินอ๋องพองโต  ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งอายุ ยี่สิบห้าปีแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกหลงใหลใครมากมายเช่นนี้ แต่เด็กหนุ่มลูกแม่ทัพตระกูลหยางผู้นี้กลับกุมหัวใจเขาได้อยู่หมัด ความหนักแน่นในรักแท้กำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง เริ่มมองเห็นทางแห่งแสงสว่างจริงๆแล้วสินะ...



****โปรดติดตามตอนต่อไป****



มาต่อแล้วนะผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน  และขอบคุณผู้อ่านทั้งคนเก่าคนใหม่ ที่พิมพ์ตอบ รีแอคให้กับผู้แต่ง  ขอบคุณมากๆเลยครับ
เพียงท่านพิมพ์ตอบแม้เป็นสติ๊เกอร์ ครามพิสุทธิ์ก็ตื้นตันมากแล้ว ขอบคุณครับ

 :L1: :L1: :L1: :L1:


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอให้สำเร็จน้า 3 ปี อย่าเพิ่งทุกข์เลย

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด