[[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (เบต้าxอัลฟ่า Omegaverse) 13-10-19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (เบต้าxอัลฟ่า Omegaverse) 13-10-19  (อ่าน 7320 ครั้ง)

ออฟไลน์ ความฝันของดอกไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (10) 28-4-62
«ตอบ #30 เมื่อ28-04-2019 00:05:04 »

ถ้าเราได้คุยกันอีกครั้ง..

ความสัมพันธ์ก็จะเปลี่ยนไป ริมปากระบายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากได้ยินว่าเขาใกล้จะมาถึงอีกในไม่ช้า หน้าบานจนเพื่อนรักถึงกับเอยปากแซว ทว่าผมไม่ได้สนใจ เอาแต่กอดสมุดสีดำไว้แนบกาย เปรียบดังสมบัติค่ามากกว่าแก้วแหวนเงินทองมากกว่าทุกสิ่งอย่างบนโลก

หัวใจที่เต้นโลดแล่น

จากสายตาของเพื่อน ผมคงเป็นไอ้บ้าแน่ ๆ เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวเขินอยู่คนเดียว

แต่มันช่วยไม่ได้นี่นะ

ผมก็ไม่คาดไม่ฝันเหมือนกัน ว่าความรู้สึกของเราจะตรงกันแบบนี้ ด้วยช่วงอายุซึ่งแตกต่าง นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ผมไม่คิดจะบอกความนัยของตัวเองออกไป เขายังมีโอกาสเจอใครอื่นอีกตั้งมากมาย หน้าตาเขาถือว่าดูดี ถ้าไม่อย่างนั้นคงทำอาชีพอย่างว่าไม่ได้

แต่สุดท้ายเรื่องราวที่ถูกเขียนไว้กลับเป็นคำตอบของทุกอย่าง มันทำให้ผมมองข้ามเรื่องอายุ

ในความคิดของเขา ผมกลายเป็นของสูงที่ไม่อาจเอื้อม และคิดว่าสวรรค์เมตตาในวันที่เขาแทบจะทิ้งทุกสิ่ง กลับเป็นวันที่ผมฉุดเขาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แถมพลั้งปากซื้อเขามานอนกอดทุกคืน

ผมกลายเป็นเหตุผลในการมีชีวิต

ระมัดระวัง ไม่ให้ทราบถึงความรู้สึกอันแท้จริง

ซึ่งถ้าย้อนไปที่จุดเริ่มต้น หากเขาแสดงอาการว่ารักผมแม้แต่ครั้งเดียว เราคงเดินมาไม่ถึงจุดนี้

จุดที่เรามีความรู้สึกตรงกัน

เราต่างก็มีรักครั้งแรก ไม่แปลกเลยที่การแสดงออกจะดูเงอะงะกันทั้งคู่

ต่างคน ต่างคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รักตัวเอง ถึงกลายเป็นอะไรอ้อมโลกกันแบบนี้

"ฉันล่ะอิจฉาจริง ๆ ที่มีคนเขียนความรู้สึกถึงนายจนเอ่อล้นทะลัก ถ้าพูดถึงเจ้างี่เง่าล่ะก็ 10 ปี พูดว่ารักครั้งหนึ่ง อยากจะบ้า"

หลังจากเงียบอยู่นาน เห็นผมกอดสมุดนั่นไม่หยุดสักที จึงตัดพ้อเรื่องของตัวเองออกมา ทำให้ผมหลุดจากห้วงความคิด อะไรกันคนที่น่าอิจฉาคือพวกนายแท้ ๆ จะมาอิจฉาทางนี้ทำไม ถึงไม่พูดก็แสดงออกให้เห็นชัดอยู่แบบนั้น

"ใกล้ถึงหรือยัง"

ผมขอไม่ออกความเห็น และยิงคำถามไปแทน

"แหม เอ่ยปากมาก็ถามถึงเด็กต้อย อะไร ๆ ก็เด็กต้อย ถ้ารู้ว่าจะยุ่งยากแบบนี้ล่ะก็ รู้งี้พวกฉันบอกความรู้สึกของนายตั้งแต่แรกไปซะก็ดี"

คำพูดที่เล่นทีจริง

"ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันคงโกรธ"

แต่ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง

หากจะบอกว่ารัก ผมอยากจะให้เขาได้ยินจากปากผมเป็นคนแรก

ผมรู้ว่าเพื่อนหวังดีในแบบของพวกเขา ไม่อยากเห็นผมเจ็บปวด ไม่อยากเห็นผมร้องไห้ ไม่อยากเห็นผมเป็นแบบนี้

เพื่อนที่คอยช่วยเหลือ ประคับประครองกันมามากมาย ความจริงผมอาจไม่มีสิทธิ์โกรธอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำจริงผมคงผิดหวังน่าดู

คำว่า 'รัก' ที่เขารู้จากคนอื่น

คำว่า 'รัก' ที่ถูกพูดออกไปในวันที่ผมไม่พร้อม

ถ้า Say Yes ก็ดีไป

แต่ถ้า Say No ผมคงไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

และคงเป็นวันที่ผมไม่เหลือใคร แม้กระทั่ง 'เพื่อน'

ต่อให้รู้ว่าหวังดี แต่มันเป็นความหวังดีที่ผมไม่ต้องการ

ผมมองอีกคนที่กำลังฟุบหน้าลงเตียงอย่างไม่วางตา

"รู้น่า ยังไม่ได้พูดอะไรไปสักหน่อย แค่เอาสมุดสีชมพูอ่อนในลิ้นชักที่ล็อคกุญแจไว้อย่างดี ไปให้เด็กต้อยของนายอ่านเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลย เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งสามสิบกว่าปี สิ่งที่นายคิดทำไมจะไม่รู้ นายโกรธทีไรน่ากลัวจะตาย"

ก่อนจะพูดพึมพำในลำคออย่างสำนึกผิด ผมได้แต่อ้าปากค้าง

สมุดสีชมพูอ่อนที่ว่า

ก็เหมือนกับเขา สิ่งที่อัดแน่นภายในใจ หากไม่ระบายออก ก็คงอกแตกตายกันพอดี สมุดที่เต็มไปด้วยคำสารภาพรักและความรู้สึกของผมที่มีต่อเขา

หากเราเจอหน้ากันและพูดคุยกันอีกครั้ง

ผมไม่รู้เลยว่าจะเริ่มจากจุดไหนก่อน

อยากจะบ้าชะมัด

เสียงฝีเท้าที่หยุดอยู่บริเวณประตูหน้าห้องก่อนที่จะเปิดออก ผมจ้องมองอย่างใจเต้นระส่ำ ริมฝีปากระบายยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

แต่เมื่อเห็นผู้ที่เปิดประตูเดินเข้ามา ไม่ใช่บุคคลที่ผมรอคอยรอยยิ้มหุบไปในทันที พร้อมกับคิดว่าโอกาสที่เราจะได้คุยกันอีกครั้ง

มันอาจจะไม่มีอีกแล้ว

.

.

"คุณชายสี่ คุณชายห้า"

เพื่อนรักอุทานออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะลุกยืน โค้งกายทำความเคารพอย่างเผลอตัว เพราะความเคยชินที่ทำแบบนี้มาตลอดสิบห้าปี

ผมจ้องมองคนที่ใส่เสื้อผ้ายี่ห่อหรู ท่าทางหยิ่งผยอง อย่างไม่สบอารมณ์

"มาทำไม"

ก่อนจะถามเสียงกร้าว คิดว่าตนวิเศษวิโสมาจากไหน เวลาที่ผมเจอคนจากบ้านใหญ่ทีไรมักจะไม่มีเรื่องดีตามมาเลยสักครั้ง ถึงแม้ผมจะตัดขาดออกมาแล้ว ไม่รับมรดกอะไรทั้งนั้น ถึงแม้ผมจะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลแม่แล้วก็ตาม

"เรามาเยี่ยมน้องชายมีอะไรน่าแปลกตรงไหน และนี่ของเยี่ยม"

คำพูดพร้อมการกระทำพี่สี่โยนตะกร้าผลไม้ซึ่งถือมาอย่างไม่เต็มใจไปกองกับพื้นด้วยแววตาดูถูกและเหยียดหยาม จนของที่อยู่ภายในกระจัดกระจายเกลื่อนทั่วบริเวณ

"ว่าแต่นี่คือห้อง VIP ของโรงพยาบาลจริง ๆ เหรอเนี่ย"

เจตนาที่แท้จริงคงไม่ได้มาเยี่ยมดั่งคำว่าหรอก

"ใช่ครับพี่สี่ เล็กกว่ากรงเลี้ยงสุนัขของบ้านเราอีก"

ยังไงก็ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ไม่งั้นคงไม่ถ่อสังขารมาถึงชานเมืองแบบนี้

"แถมดูสภาพนายตอนนี้สิน้องหก โธ่ ๆ น่าสมเพชสิ้นดี"

คำพูดถากถางถูกพ่นออกมาไม่ขาด

"ตกต่ำถึงขนาดโดนเบต้า ข่ม-"

"ออกไปซะ"

ผมขบฟันกรอด กำหมัดแน่น อย่างหมดความอดทน มันจะมากเกินไปแล้ว ม้นชักจะมากเกินไปแล้ว มาเพราะเรื่องนี้เหรอ มาเพราะแบบนี้เหรอ

"ออกไปซะ"

ผมย้ำอีกทีอย่างระงับอารมณ์ ย้ำเผื่อว่าผู้มากรากดี จะฟังคำของคนธรรมดาไม่รู้เรื่อง ข่มขืน ? อย่างพวกคุณจะไปรู้อะไร

"เรากลับแน่"

พี่ห้ากล่าวอย่างไม่อยากจะเสวนา

"แต่นายต้องไปกับพวกเรา อีกอย่างขยาดกับสถานที่น่ารังเกียจ สกปรกเต็มทน อยากรีบทำรีบจบ จะได้กลับสักที จะกลับไปดี ๆ ไหม"

"ไม่ไป"

ผมตอบสวนขึ้นมาทันที

"อย่าหาว่าใจร้ายแล้วกัน"

สิ้นคำ พี่สี่ปรบมือเบา ๆ สองครั้ง เพียงเสี้ยววินาทีชายชุดดำก็กรูเข้ามารอบเตียง ผลักเพื่อนรักกระเด็นไปอีกทาง

"ท่านพ่อเตรียมคู่หมั้นหมายไว้ให้นายแล้ว ท่านไม่ยอมจะให้นายทำเสื่อมเสียชื่อเสียงของตระกูลไปมากกว่านี้"

ชื่อเสียงเหรอ ? อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลย

"ผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น"

ชายชุดดำปลดสายน้ำเกลือ

"หยุดนะ จะทำอะไร"

ผมถามอย่างเสียงหลง พวกมันไม่ฟังคำ ก่อนจะยกร่างของผมที่กำลังดิ้นขัดขืนด้วยแรงทั้งหมดที่มี

"เลือดซึ่งหมุนเวียนครึ่งหนึ่งของนายเป็นคนของตระกูล ต้องอุทิศตนเพื่อตระกูล เข้าใจไหม! เลิกดื้อด้านได้แล้ว ท่านพ่อเมตตาแค่ไหน บ่อยให้คนล้มเหลวอย่างนายใช้ชีวิตอย่างมีอิสระมาถึงทุกวันนี้ ถึงเวลาที่ต้องตอบแทน"

"ผมไม่เคยรับอะไรจากพวกคุณมาแม้แต่บาทเดียว"

"หึ จริงเหรอ" พี่สี่แสยะยิ้มที่มุมปาก

"ลองหันไปถามคนที่นายเรียกว่าเพื่อนสิ เจ้านั่นรู้ดีหมดทุกอย่างนั่นแหละ"

ผมหันไปตามคำว่า หวังจะได้ยินคำปฎิเสธ แต่กลับเห็นเพื่อนแววตาที่บ่งบอกว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง

"โลกมันโหดร้าย รู้ไหมครับน้องหก ถ้าท่านพ่อใจร้ายขึ้นมาจริง ๆ เงินเก็บที่นายได้มาถึงทุกวันนี้ ไม่มีวันจะได้มาหรอก ท่านมีอำนาจที่จะสั่งให้รับงาน หรือไม่รับงานตามบริษัทเพลงที่นายส่งไปก็ได้ แต่ท่านกลับเลือกเพื่อให้โอกาสนาย แต่บังเอิญว่าเพลงที่นายแต่งดันเปรี้ยงปร้างขึ้นมา"

คิดว่าออกจากใต้เงาของบ้านใหญ่มาได้แล้ว คิดว่าตัวเองเป็นอิสระ ทุกอย่างกลับตาลปัตร ความภาคภูมิใจที่ผมมีมาตลอด ถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี

สุดท้ายผมก็เป็นเพียงแค่คนโง่ที่หลงระเริงกับอิสระจอมปลอม

อึก..

ความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามา

เข็มฉีดยาที่ถูกทิ่มแทงเข้าผิวหนังในจังหวะที่เผลอ ดึงสติผมกลับคืน ทว่าดูเหมือนจะสายไป ภาพทุกอย่างเริ่มเลือนราง แววตามองไปยังเพื่อนที่กำลังพยายามจะนำตัวผมกลับมา จนถูกชายชุดดำสวนหมัดล้มกองไปกับพื้นอีกครั้ง

เขาและเพื่อนรักอีกคนเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี

พยายามจะช่วยทุกวิถีทาง

เสียงอึกทึกฮึกโหม ทำให้ผู้ป่วยหรือแม้กระทั่งหมอและพยาบาลพากันมามุงดู แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเพราะเมื่อเห็นหน้าบุคคลที่ก่อเรื่อง จึงไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง

สภาพสะบักสะบอมของคนสำคัญ

ด้วยความที่ไม่อาจสู้แรงและจำนวนที่มากกว่าได้

สุดท้ายผมถูกพาตัวไป ด้วยสภาพเพื่อนรักและเขา ไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว

ไม่แปลกเลย

เพราะชายชุดดำทุกคนล้วนแต่เป็นบอดี้การ์ดชั้นดี เป็นแค่นี้ถือว่ายังปราณี

ใบหน้าของเขาที่ผมอยากเห็น คำพูดที่อยากจะให้เขาได้ยิน

ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

ทั้งที่อีกนิดเดียว

อีกนิดเดียวแท้ ๆ

เขายังคงพยายามคลานตามมาอย่างสุดความสามารถ ร้องเรียกอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ถึงแม้จะมีเลือดไหลอาบใบหน้าก็ตาม เสียงที่เปล่งออกมาอย่างเจ็บปวด

ซึ่งในขณะนี้ผมสิ้นสติไปอย่างสมบูรณ์


TBC

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
«ตอบ #31 เมื่อ28-04-2019 12:09:35 »

 :hao5: :hao5:
ความรักมักมีอุปสรรค
โอยย สำหรับนายเอกคงเหมือนขึ้นเครื่องเล่นไปจุดสูงสุดแล้วถูกปล่อยลงมากระทันหันอ่ะ แง  :katai1:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
«ตอบ #32 เมื่อ28-04-2019 13:43:19 »

 :sad11: :sad11: :sad11:

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
«ตอบ #33 เมื่อ28-04-2019 23:03:19 »

หน่วง

ออฟไลน์ Pittabird

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
«ตอบ #34 เมื่อ28-04-2019 23:26:20 »

 :hao5:น่าสงสาร แล้วจะช่วยออกมาได้ยังไง :katai1:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
«ตอบ #35 เมื่อ03-05-2019 17:13:17 »

โอ๊ย!!!จะบ้าตาย  :katai1:

ออฟไลน์ BooJiRa_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
«ตอบ #36 เมื่อ09-05-2019 00:29:48 »

โอ้ยยยยยยยใจ  :hao5:

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
«ตอบ #37 เมื่อ13-05-2019 08:59:52 »

โอยยย นี่มันญาติประสาอะไรเนี่ยยยย

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
«ตอบ #38 เมื่อ14-05-2019 10:31:58 »

ลุ้นมากเลยยยยย  สนุกมากกกหวังว่าคนมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ ความฝันของดอกไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
บ้าน..

ไม่ใช่ Safe Zone หรือ Comfort Zone สำหรับทุกคน

'บ้าน' สำหรับผม ต่อให้เห็นแค่เพียงหางตาก็เหมือนถูกกดลงให้จมดิ่งสู่ห้วงทะเลลึก มืดมิดไร้สิ้นหนทางออก มีแต่ความอึดอัดจนทำให้หายใจไม่เต็มปอด อดีตที่ไม่น่าจดจำเข้าถาโถม สถานที่แห่งนี้ไม่ว่าจะผ่านสักกี่ปี ยังคงความน่าสะอิดสะเอียนไว้ไม่เปลี่ยน

ผมไม่เคยคิดอยากกลับมา ไม่มีความทรงจำที่ดี ไม่มีความผูกพัน ไม่มีอะไรเป็นสิ่งสำคัญ ไม่มีอะไรให้น่าคิดถึงทั้งนั้น

แค่เฉียด แค่ได้ยินคนสรรเสริญเยินยอ ผมยังแทบอยากจะอาเจียน

'บ้าน' ซึ่งทำให้อบอุ่น ทำให้ผมสบายใจ มีเพียงบ้านนั้นที่ผมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขามาตลอดสามปี

เขาเป็นคนเข้ามาเปลี่ยนบ้านที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า อ้างว้าง โดดเดี่ยว เป็นเหมือนหลุมศพซึ่งผมตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่และตายไปคนเดียว

กลับกลาย เป็นบ้านที่อบอวลไปด้วยความสดใสรายล้อมไปด้วยดอกไม้ที่เขาปลูกไว้ แต่งเติมโลกทั้งใบของผมให้มีความพิเศษขึ้นมา

ถึงแม้จะมีส่วนใดส่วนหนึ่งรับมาจากท่านพ่ออย่างไม่เต็มใจก็ตาม ถ้ามีโอกาสผมอยากจะจ่ายคืนอย่างสาสมโดยไม่ให้มีอะไรติดค้าง เพื่อบ้านจะได้กลายเป็นของผมเพียงคนเดียว

ตามความจริงคำว่าบ้านอาจจะฟังดูกว้างไป ผมวงเล็บให้แล้วกันว่า ‘บ้านเกิด’

และนี่คือคงเป็นสิ่งที่ครอบครัวเขากระทำกัน

ไม่ใช่สิ!

ผมลืมไปว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ครอบครัวกันมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่รู้ว่าพวกเขาปล่อยให้แม่ผมตาย

เอาใหม่

นี่หรือคือสิ่งที่บุคคลซึ่งเรียกตนเองว่าผู้ดีเขากระทำกัน

ผมมองข้อเท้าที่มีโซ่ล่ามไว้ไม่ต่างกับนักโทษ หลังจากเห็นผมฟื้นขึ้นมาและสำรวจร่างกายของตัวเอง พ่อบ้านยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง โทรรายงานสถานการณ์ให้พี่หนึ่งรับทราบ เหตุเพราะผมหลับไม่ได้สติเพราะฤทธิ์ยาสลบไปหนึ่งคืนเต็ม ๆ ก่อนจะจัดแจงหยิบชุดที่ผมควรจะสวมใส่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าใบเดิม

สภาพห้องยังคงเดิมทุกอย่าง

แม้กระทั่งรูปถ่ายของแม่ก็ยังถูกวางไว้ และข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ในสภาพเหมือนเดิม แม้นจะผ่านมาเนิ่นนานกว่ายี่สิบปี พ่อบ้านมาถามไถ่อาการว่าเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหน หรือจะให้ตามหมอไหม ผมบอกว่าไม่เป็นอะไร สิ่งที่เจ็บจริง ๆ ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นหัวใจของผมในตอนนี้มากกว่า

ทำได้ไง

จิตใจทำด้วยอะไร

ทำร้ายเพื่อนรัก

ทำร้ายคนที่ผมรักยังไม่พอ

ยังทำกับผมแบบนี้อีกจะต่ำช้ากันไปถึงไหน ทำเหมือนกับผมไม่ใช่คน เป็นตัวอะไรสักอย่าง

ทั้งที่อีกนิดเดียว

อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น

หยดน้ำตาโรยรินอาบแก้ม นี่เป็นอีกครั้งที่ผมไม่เตรียมใจพบกับความผิดหวัง เพราะมันอีกแค่นิดเดียว อีกแค่เสี้ยววินาทีเดียว ผมจะได้บอกในสิ่งที่อยากจะบอก อยากจะให้เขาได้รับรู้

ทั้งที่เรื่องมันเกือบจะจบอย่าง Happy Ending

ทำไมมันถึงได้กลับกลายมาเป็นแบบนี้

จะช่วงชิงสิ่งสำคัญไปอีกเท่าไหร่ ถึงจะพอใจ ชีวิตแม่ผมก็เอาไปแล้ว มันทำให้ผมฝังใจถึงขนาดไม่สามารถนอนคนเดียวได้ หรือต้องเอาชีวิตผมไปด้วย

ถ้าเป็นอย่างนั้นมันคงจะดีใช่ไหม

ผมตัดขาดก็คือตัดขาด ไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยว แต่พวกคุณจะเข้ามายุ่งกับชีวิตและทางเดินที่ผมเลือกทำไม จะมาแอบช่วยเหลือผมทำไม

ในสมองไม่มีความนึกคิดอยากจะขอบคุณ มีเพียงความรู้สึกโดนเหยียบย่ำศักดิ์ศรีกับทุกอย่างที่ผมภูมิใจมาตลอด ก็ปล่อยให้ผมตาย อดตายอย่างหมาข้างถนนไปสิ ใครถามก็บอกเขาไปว่าลูกคนที่หกได้ตายไปแล้ว ผมยังจะซึ้งน้ำใจมากกว่า

พ่อบ้านเห็นท่าไม่ดี เนื่องจากน้ำตาพร่ำพรูหนักกว่าเก่า จึงปรี่เข้ามาจะดูอาการ ทว่าผมยกมือบอกปัด ว่าไม่ต้องมาและเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างจำยอม

ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนอ่อนแอ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมร้องไห้แทบนับครั้งได้ แต่พอย้อนกลับมามองในตอนนี้ กลับกลายเป็นคนละคน กลายเป็นร้องไห้ได้ง่าย ๆ ร้องไห้เป็นว่าเล่น ร้องจนนับไม่ถ้วน เหมือนสะสมน้ำตามาทั้งชีวิตเพื่อกาลนี้ มันน่าขำสิ้นดี

โซ่ล่ามยาวพอที่ผมจะเดินไปไหนต่อไหนภายในห้องได้

ถ้าอยากจะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนครอบครัวสุขสันต์ก็ย่อมได้ ต่อให้ผมไม่เต็มใจ สุดท้ายก็โดนบังคับให้ไปร่วมวง และอยากจะขอบคุณเหลือเกิน ในความมีน้ำใจดูแลรักษาบาดแผลบนร่างกายทุกจุดเป็นอย่างดี ด้วยฝีมือคุณหมอประจำตระกูล ผ้าพันแผลบริเวณต้นคอซึ่งถูกเปลี่ยน คงจะเห็นรอยกัดบริเวณต้นคอด้วยเป็นแน่

และเรื่องอาจกระจายรู้กันทั่วบ้านว่าคุณชายหกโดนเบต้ากัดคอ ทั้งที่ตัวผมเป็นอัลฟ่าก็ตาม

ช่างประไร

ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจและการยินยอม ผมไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น สิ่งที่คิดมีเพียงอย่างเดียวคือจะยังไงให้ออกไปจากที่นี่ได้

โอกาสเดียวที่มีก็คงจะเป็นช่วงหลังกินข้าวเท่านั้น

ขาก้าวออกมาจากห้องน้ำ

เมื่อพ่อบ้านเห็นผมกำลังจะแต่งตัวจึงปลดโซ่ล่ามที่ข้อเท้าให้ ก่อนจะกลับไปยืนเฝ้าหน้าประตูเหมือนเดิม ผมมองไปยังหน้าต่างเผื่อว่าจะสามารถเปิดและกระโดดลงไป แต่พอเห็นถูกล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา

ซึ่งหมายความว่าผมหมดสิทธิ์ที่จะคิดหนี

ผมหันกลับมา และจัดแจงใส่เสื้อผ้าพร้อมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

นานแล้วที่ไม่ได้สวมสูทดูเป็นทางการแบบนี้

เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพ่อบ้านจึงเชิญผมไปที่โต๊ะอาหาร โดยเดินทำทางไป พร้อมมีแต่คนจับตามองตลอดระยะทาง

เก้าอี้ประจำตำแหน่งคุณชายหกยังถูกตั้งไว้ที่เดิม

ท่านพ่อนั่งหัวโต๊ะ และบรรดาพี่น้องซึ่งนั่งประจำที่ของตัวเอง

เมื่อผมเดินมาทุกสายตาจ้องมองเป็นตาเดียว

หมามักจะอยู่ร่วมกันเป็นฝูง

เสียงซุบซิบดังขึ้นมาไม่ขาดสายพร้อมสายตาดูถูกเหยียดหยามและเกลียดชัง มันเป็นเรื่องปกติที่ผมเจอประจำตลอดระยะเวลาที่ผมเคยอยู่บ้านอันแสนน่ารังเกียจ คงเพราะผมเกิดมาจากแม่เป็นคนใช้ที่หวังจะดันสถานะตัวเองละมั้ง ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ แต่แม่ก็เป็นแม่ที่ดี ดูแลปกป้องผมอย่างสุดความสามารถ ให้ความอบอุ่น เป็นคนที่ผมรักและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่าน ใครจะว่ายังไงผมไม่สนใจ

แม้จะผ่านไปยี่สิบปี นิสัยย่ำแย่ของคนเหล่านี้ก็ยังไม่เปลี่ยน ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางซุบซิบ ทั้งที่ตั้งใจพูดดังจนให้ผมได้ยินเสียขนาดนั้น

เป็นคนไร้น้ำยาบ้างล่ะ ตกอับโดนเบต้าข่มขืนบ้างล่ะ เป็นคนไร้ประโยชน์บ้างล่ะ ไม่รู้จะกลับมาทำไมบ้างล่ะ ทำไมไม่ตายไปซะบ้างล่ะ จะมาแย่งมรดกหรือไง

ผมอยากจะตะโกนบอกเหลือเกิน

ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากจะกลับมาเหยียบเป็นครั้งที่สอง

สุดท้ายผมได้แต่ทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกา ไม่คิดจะตอบโต้ ผมหย่อนกายนั่งลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านพ่อเห็นดังนั้น

"พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบครบกันทุกคนมาเนิ่นนานแล้ว พ่อมีความสุขจริง ๆ ที่เห็นลูกอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา"

"วันนี้เป็นวันดี เรามาดื่มฉลองให้กับชายหก ที่กลับมา"

ไวน์แดงรสเลิศถูกรินใส่แก้ว

"ผมแพ้แอลกอฮอล์"

หลังจบคำ ท่านพ่อชะงักรอยยิ้มชื่นมื่นหุบไปในทันที ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบ เพียงเสี้ยววินาทีเสียงซุบซิบลอยมาอีกครั้ง ว่าอ่อนแอชะมัด โดนข่มขืนคงเพราะน้ำเชื้อใช้การไม่ได้

ทว่าผมไม่ได้สนใจอีกเช่นเคย ไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องราวให้คนพวกนี้ฟัง เพราะคนสำคัญเขารู้ทุกอย่าง เข้าใจทุกอย่างแล้ว

แววตาคมกริบของท่านพ่อเปรยมองให้พ่อบ้านเปลี่ยนแก้ว

เป็นพ่อภาษาอะไรที่ไม่รู้ว่าลูกตัวเองแพ้อะไร แต่มันก็เป็นหลักฐานว่าไม่เคยใส่ใจ สนใจและไม่เคยอยู่ในสายตา ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวัง เรียกกลับมา เพราะห่วงฐานะหน้าตาทางสังคมสิไม่ว่า

เพราะบังเอิญว่าผมกลายเป็นคนมีความสามารถขึ้นมา สามารถเชิดหน้าชูตาได้ ถึงเรียกกลับมาเพื่อใช้งาน เพื่อแต่งงานกับคนชาติตระกูลดี จะได้ไม่น้อยหน้าบรรดาพี่น้องและขยายธุรกิจ

จริง ๆ ใช้คำว่า 'เรียก' ให้กลับมาไม่ได้ ต้องใช้คำว่า 'บังคับ' และ 'ลักพา' น่าจะถูกกว่า

ทุกคนมองมาทางผมราวกับจ้องจับผิดผม

การรับประทานอาหารอันน่ากระอักกระอ่วนยังดำเนินต่อไป ในขณะที่ผมแทบจะไม่ตักอะไรเข้าปาก มันไม่ใช่บรรยากาศน่าเจริญอาหารสักเท่าไหร่

ต่อให้มีรสชาติดีเยี่ยมเพียงใด

สำหรับผมไม่ต่างอะไรกับกัดกินก้อนดิน

ด้วยความอึดอัด ผมจึงบอกว่าอิ่มแล้ว และจะขอตัวก่อน แต่ท่านพ่อบอกมีเรื่องจะคุยด้วยให้ไปรอบนห้องทำงานของท่านที่ชั้นสอง

ผมจึงลุกไปแต่โดยดี พร้อมมีพ่อบ้านเดินตามคุมพฤติกรรมไม่ห่าง

บ้านยังคงเป็นบ้านที่ไม่อบอุ่น ผมแอบหวังในส่วนลึกว่าผ่านไปตั้งยี่สิบกว่าปี อาจจะมีอะไรดีขึ้นกว่าเดิม สุดท้าย สิ่งที่แตกต่างจากเดิม คือหอนางบำเรอ แตกหน่อมาสองสามเรือน

ยังน่ารังเกียจไม่เปลี่ยน

เมื่อมาถึงห้องทำงาน ซึ่งมีไว้สำหรับวางแผนงาน บริหารงานระดับโลก คิด ๆ ดู ถ้าหยิบข้อมูลสองสามใบไปเผยแพร่ บริษัทยักษ์ใหญ่จะเป็นยังไง คงโกลาหลน่าดู แต่ช่างเถอะมันไม่เกี่ยวกับผม

แววตามองสำรวจห้องทันที มองหาช่องทางที่สามารถหนีได้ ไม่รู้ว่าเพื่อนรักและเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง สภาพสุดท้ายไม่สู้ดีมากนัก

จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ทางเดียวคิดได้ในยามนี้คือระเบียง

เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำลายความเงียบ ผมหันไปมอง เห็นท่านพ่อเข้ามาพร้อมโอบกอดผม ประหนึ่งว่าดีใจที่ผมกลับมา ทั้งที่ดูแล้วมันจะเป็นการเสแสร้งก็ตาม

ถ้าผมไร้ประโยชน์คงไม่ได้ยืนจุดนี้

ท่านถามถึงสารทุกข์ สุขดิบ ว่าออกไปเผชิญโลกตั้งยี่สิบปีเป็นอย่างไรบ้าง ได้บทเรียนอะไรบ้าง พร้อมจะมาบริหารจัดการกิจการของครอบครัว พร้อมมีภรรยาสวย ๆ และทายาทหรือยัง

นี่สินะ คือประเด็นที่แท้จริง

เสแสร้งมา ก็เสแสร้งกลับ

ผมบอกว่าอาการป่วยยังไม่สู้ดี ขอไปคุยแบบสบาย สูดอากาศบริสุทธิ์ บริเวณระเบียงได้ไหม ท่านไม่คิดสงสัย คงวางใจที่ภายในห้องมีบอดี้การ์ดประมาณสิบคนและคงคิดว่าผมจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ

โดยที่ไม่รู้คนจนตรอก

ทำอะไรได้โง่กว่าที่คุณคิด

ท่านหยิบสมุดดูตัวใส่ภาพว่าที่เจ้าสาวมาให้ผมดูในขณะผมยืนหลังอิงราวระเบียง ก่อนบรรยาย สรรพคุณเธอว่าเป็นลูกสาวจะตระกูลขุนนางเก่าในประเทศอิตาลี และเป็นอัลฟ่าเหมือนกัน หน้าตางามงดราวกับเจ้าหญิงในนิทาน

ผมทำเหมือนตั้งใจฟัง แต่ในความจริงทำหูทวนลม ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง

พิธีหมั้นจะจัดขึ้นหลังจากบาดแผลบริเวณต้นคอของผมหายดี

และพรุ่งนี้เธอจะเดินทางมาเยี่ยมบ้านเรา

ผู้หญิงเพียบพร้อมขนาดนี้ คงไม่มีไอ้หน้าโง่คนไหนปฏิเสธลง

และผมคงเป็นไอ้หน้าโง่คนนั้น

หลังเสร็จงานหมั้น ก็จะจัดพิธีแต่งงานทันที วางแผนไว้อย่างเสร็จสรรพ บอกแผนงานแบบนี้ ทำเหมือนผมไม่มีสิทธิ์ขัดขืน

ผมกลั้นใจถามว่าเขาเห็นผมเป็นลูกหรือเปล่า ในขณะที่กระโดดขึ้นไปนั่งบนราวระเบียงแกว่งขาไปมา ท่านพ่อยังไม่ได้สงสัยในสิ่งที่ผมคิดจะทำ

ซึ่งคนธรรมดาที่ไหนคงไม่เลือกวิธีนี้แน่นอน

คำตอบคือเห็นผมเป็นลูก ถ้าไม่อย่างนั้นจะคอยช่วยเหลือผมห่าง ๆ ทำไม

ผมระบายยิ้มบาง

ก่อนจะพูดว่า ถ้าอย่างนั้นปล่อยผมไปได้ไหม ในชีวิตผมมีคนที่อยากจะแต่งงานด้วยอยู่แล้ว

หลังจากได้ยินถ้อยคำที่ผมกลั้นใจขอเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้าโกรธเกรี้ยวแสดงออกมาให้เห็น ทำให้ผมพอจะเดาคำตอบได้

แผ่นหลังค่อย ๆ เอนลง

ผมไม่ใช่ราพันเซลที่จะมีเจ้าชายปีนมาหาและช่วยเหลือ

ผมไม่ใช่ซินเดอเรลล่าที่จะมีรถฟักทองมารับถึงที่

ชีวิตตัวเอง ผมต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง

ถ้าไม่ใช่เขา ผมก็ไม่เอา อุตส่าห์ได้เจอคนที่ตัวเองรักทั้งที กว่าความรักของผมจะดำเนินมาถึงจุดนี้ ผมต้องผ่านการเจ็บปวดมามากแค่ไหน

ถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงขังแบบนี้ตลอดไป..

ถ้าคู่ชีวิตของผมไม่ใช่เขา

ขอลองวัดดวงกันดู รอด หรือ ไม่รอด

ผมปล่อยมือพร้อมทิ้งร่างให้ล่องลอยอยู่ในอากาศ บนท้องฟ้ามีพระจันทร์ดวงโต กับสายลมพัดผ่านร่างกาย เสียงท่านพ่อตะโกนเรียกคนภายในบ้านยกใหญ่ ด้วยสีหน้าเหลอหลาอย่างทำอะไรไม่ถูก ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ดูน่าตลกดี

บ้านอันน่าขยะแขยง ผมไม่อาจทนอยู่ได้นานกว่านี้ มันถึงขีดสุดเต็มทน ถึงแม้จะไม่ใช่หนทางที่ดี แต่ผมก็มองไม่เห็นหนทางอื่น ถ้ากลับเข้าไปในห้องนอนตัวเองอีกครั้ง ผมไม่มั่นใจเลยว่าจะได้กลับออกมาอีกหรือเปล่า

ต่อให้เหลือเพียงวิญณาญผมก็จะกลับไป กลับไปหาเขา เพื่อบอกความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจ

เสียงร่างกระทบลงสู่พื้นดังตุบ

ความรู้สึกเหมือนอะไรแตกหักสักอย่าง

โชคดีตรงมันเป็นแค่ชั้นสองไม่สูงมาก

โชคดีอย่างที่สองร่างผมตกกระทบกับกิ่งไม้ จึงลดแรงกระแทกไปได้

และโชคดีอย่างสุดท้าย คือ พื้นซึ่งผมตกลงมาคือพื้นหญ้า ถ้าเป็นปูนซีเมตอาจจะน็อคสลบไปแล้ว

ผมพยุงตัวลุกทุลักทุเล และหาช่องทางหนีอีกครั้ง หากยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม เดี๋ยวมีนานก็คงมีคนมาเจอแน่ เพราะตอนนี้เสียงวุ่นวายภายในบ้านที่ได้ยิน กำลังช่วยกันหาตัวผมอย่างจ้าละหวั่น

ช่องรั้วซึ่งเคยใช่เป็นทางแอบออกนอกบ้านเพื่อไปเยี่ยมหลุมศพแม่ในตอนดึกทุกคืน ถ้ามันยังอยู่ที่เดิมล่ะก็....

นั่นอาจจะเป็นหนทางเดียว

บนเนื้อที่บ้านกว่าพันไร่ ช่องทางลับมีเพียงผมกับเพื่อนรักทั้งสองเท่านั้นที่รู้

ขาข้างหนึ่งไม่สามารถหยัดลงพื้น เสียงอะไรบางอย่างหักที่ได้ยินเมื่อครู่ ผมทราบได้อย่างไม่ต้องเดา คงจะไปกระแทกกับอะไรสักอย่างนั่นแหละ มันชาจนหายเจ็บ แบบจะไม่รู้สึกอะไร แต่เวลานี้ไม่ใช่เรื่องจะไปสนใจ

สิ่งที่ต้องทำมีเพียงอย่างเดียวต้องออกที่นี่ให้ได้ ก่อนคนในบ้านจะวิ่งมาเจอ

หากโดนเจอเข้าล่ะก็ อย่าหวังว่าจะหนีออกมาได้เป็นหนที่สอง

ยิ่งว่าคุก ยิ่งกว่ากรงขัง

กว่าจะถึงวันงานคงไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน

ผมเดินขากระเผลกอย่างกล้ำกลืนฝืนทน พร้อมคอยหลบผู้คนซึ่งออกตามหาผมอย่างจ้าละหวั่น พลางบ่นไป บางคนก็ต่อว่า เพราะเป็นเวลาพักผ่อน ผมกลับสร้างเรื่องขนาดนี้

ความจริง ถ้าไม่พาผมมาตั้งแต่แรก

เรื่องก็คงไม่เกิด

ถ้าคิดว่าหาเจอได้ก็หาไป เพราะทุกอย่างมันก็ไม่ได้แตกต่างจากยี่สิบปีก่อน ไอ้เรื่องที่หลบซ่อนผมรู้ทุกจุดดี ถึงแม้จะมีบางจุดซึ่งเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

ต้องขอบคุณการเล่นซ่อนหาในป่าเมื่อสมัยก่อน ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะได้ใช้ประโยชน์มันวันนี้

ผมมาถึงจุดหมายอย่างหายใจเหนื่อยหอบ ไม่ต้องถามถึงสภาพขาของผม มันไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ อีกต่อไปร่างกายฝืนโน้มลง ฝ่ามือแหวกต้นไม้ประดับ เพื่อดูว่าช่องทางยังเหมือนเดิมหรือไม่ หัวใจเต้นอย่างลุ้นระทึก กับเสียงฝีเท้าที่ไล่ตามมาอยู่ไม่ไกล

และแล้ว

บิงโก!

ผมพ่นหายใจอย่างโล่งอก โชคดีแกมโชคร้ายอย่างที่สี่ คือผมแทบจะไม่ได้โตขึ้นไปมากกว่าตอนอายุสิบห้าเลย ไอ้ช่องทางเล็ก ๆ ถึงลอดไปอย่างสบาย ไม่รอช้าผมรีบทรุดตัวหมอบคลานทันที

ร่างกายโผล่ออกไปภายนอกเพียงครึ่งตัว กลับมีแสงจากไฟฉายถูกสาดส่องลงมา สว่างจ้า จนเผลอหยี่ตาพร้อมภายในใจคิดว่าซวยแน่

ซวยแน่

ไม่คิดว่าจะถูกเจอเร็วขนาดนี้

หัวใจกลับมาเต้นดังถี่อีกครั้ง ก่อนจะสูดลมหายใจตั้งสติ แววตาหรี่มองบุคคลตรงหน้าอย่างใจกล้ากลัว

"ค คุณครับ.."

น้ำเสียงคุ้นหู ถึงแม้จะเคยได้ยินไม่กี่ครั้ง แต่ผมจำได้อย่างแม่นยำ

"คุณครับ"

เสียงเรียกเต็มไปด้วยความดีใจ ก่อนจะทรุดกายนั่งลงและช่วยดึงผมออกมา เขาหันไปบอกอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังว่าเจอผมแล้ว คงได้ยินจากคนในบ้านว่าผมกำลังจะหนีออกมาถึงได้มาดักรอที่นี่ ใบหน้าของเขาซึ่งเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เพื่อนรักทั้งสองก็ไม่ต่าง

ตอนนี้ผมกลายเป็นร้องไห้ขี้แยราวเด็กอนุบาล ขัดกับอายุจริงตอนนี้ไปเท่าตัว

เขาดึงร่างของผมออกจากช่องทางอย่างระมัดระวัง ก่อนยกอุ้มเอาไว้ในท่าเจ้าหญิง อาจจะสังเกตเห็นในตอนผมลุกขึ้นยืนแล้วมีอีกข้างยืนได้ไม่เต็มเท้า ถึงได้ตัดสินใจอุ้มผมขึ้นมา

ผมซบลงบนแผ่นอกอันแสนคิดถึง สูดกลิ่นกายที่ใฝ่หามาตลอด ปลดทุกอย่างลง ความเหนื่อยล้า กับเรื่องราวซึ่งเจอมาทั้งวัน ปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลาย ความอบอุ่นทำให้สบายใจ

"กลับกันเถอะนะครับ.."

เสียงอันนุ่มละมุนทำให้ผมเงยหน้ามองใบหน้าของเขาอีกครั้ง

"ผมจะปกป้องคุณเอง"

เป็นดวงตาที่ดูกังวล

"กลับ..กลับไปยังบ้านอันแสนอบอุ่นของคุณ"

ดั่งไม่รู้ว่าควรจะพูดคำนั้นออกมาหรือไม่ เหมือนกับผม ถ้อยคำที่คิดไว้ ว่าเวลาเจอเขาจะพูดเรื่องอะไร แต่ในเวลานี้กลับนึกถึงได้เพียงคำเดียว ผมส่ายหัวบางเบา

"ไม่ใช่บ้านของคุณ..แต่กลับไปยังบ้านของเรา’

ก่อนระบายยิ้มกว้าง ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดจะได้รับกลับมา คือเขาระบายยิ้มทั้งน้ำตา พร้อมเดินไปยังรถสีดำซึ่งจอดรออยู่ไม่ไกล

รอยยิ้มของเขา ผมได้เห็นเป็นครั้งแรก

เล่นทำให้หัวใจกระตุกหวั่นไหวมากกว่าที่คิดไว้

บ้าน...ต่อไปนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียว

ห้อง...ต่อจากนี้จะไม่ใช่ของผมคนเดียว

บ้านที่มีเพียงเรา กับชีวิตประจำอันแสนเรียบง่าย แต่มีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด ไม่รู้ว่าบ้านใหญ่จะตามราวีผมอีกหรือเปล่า หากมีเขาอยู่ข้างกาย ต่อให้มีข้างหน้าจะอุปสรรคแค่ไหน ถ้ามีเขาเดินร่วมทางจับมือกันไปก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว

ถึงอนาคตข้างจะมีเรื่องให้จากลากันไป ผมจะไม่เสียใจ เพราะครั้งหนึ่งผมเคยได้รักใครมากกว่าชีวิตและลมหายใจของตัวเอง

บางครั้งความรักที่เกิดขึ้นมันอาจจะไม่มีเหตุผลอะไรเป็นรูปธรรมให้เข้าใจ

เพราะสุดท้ายแค่คำว่า "รัก" สำหรับผมเป็นคำตอบของทุกอย่าง ทุกความรู้สึกในใจโดยไม่อาจหาคำบรรยายใดมาเทียบเคียง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2019 00:36:09 โดย ความฝันของดอกไม้ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ ตอนจบ 11-6-62
« ตอบ #39 เมื่อ: 11-06-2019 03:27:21 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ความฝันของดอกไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ผมตื่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

เหตุการณ์มันวนเวียนอยู่แบบนี้จนไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ แต่สิ่งสำคัญซึ่งผมควรสนใจคือความอบอุ่นถูกส่งตรงมาจากฝ่ามือใหญ่ และสัมผัสได้ถึงความกังวล ความห่วงใย ทำให้ใบหน้าเกิดเห่อร้อนขึ้นมา

ริมฝีปากระบายยิ้มกว้างอย่างไม่อาจเก็บซ่อน ถึงแม้เปลือกตาของเขาปิดแน่นนิ่งสนิท แต่ยังคงกุมมือผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ราวกับกลัวจะหนีหาย การลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่ามีเขาอยู่ข้างกาย ไม่มีอะไรน่าดีใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

บรรยากาศรอบข้างอันคุ้นเคย แสงแดดสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่างเหมือนเดิม เสียงนกจิบร้องมีดั่งทุกวัน โลกของผมที่กลับมาสดใสอีกครั้ง ทำให้มีความสุขจนไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริง

ผมเอียงตัวเล็กน้อยอย่างยากลำบาก เนื่องจากขาหักจึงโดนใส่เฝือกเอาไว้ แต่ด้วยความอยากจะมองให้ชัด อยากจะตอกย้ำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป และคนที่อยู่ตรงหน้านั่นคือเขา

เป็นเขาจริง ๆ

ผมใช้มืออีกข้างที่มีสายน้ำเกลือรุงรังจับมือเขาไว้อีกชั้น

นี่คงเป็นครั้งแรกที่เราจับมือกัน

อุ่นกว่าคิดไว้อีกนะ

อีกทั้งมือยังใหญ่กว่าผมมาก

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าเรื่องระหว่างเรามีช่องว่างที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ แต่พอมาเปรียบเทียบกับในตอนนี้

ใกล้

มันใกล้

ใกล้แค่เอื้อมมือ

ไม่ใช่สิ

ใกล้เพียงปลายนิ้วสัมผัส

ไม่ใช่เพียงร่างกาย รวมถึงหัวใจของเราด้วย ไม่รู้ด่วนสรุปไปหรือเปล่า แต่ผมกลับรู้สึกว่าเราเข้าใกล้กันแล้ว..อย่างน้อยก็คงจะเข้าใกล้กันแล้วอีกสักนิด

เปลือกตาคนตรงหน้าเริ่มขยับเล็กน้อย

"ตื่นแล้วเหรอ”

“หิวไหม"

ผมอมยิ้มพลางเอ่ยถามในขณะที่เห็นเขาปรือตามองและค่อย ๆ เงยใบหน้าขึ้นมาจากเตียงอย่างสะลึมละสือ แต่ความจริงคำถามนี้มันควรเป็นเขาถามผมมากกว่า

แววตาคมมองผมอย่างนิ่งค้าง พอตั้งสติได้ เขาดึงมือกลับไปทันทีพร้อมใบหน้าเบี่ยงหลบไปอีกทาง

"เธอไม่อยากจับมือกับฉันแล้วเหรอ"

ด้วยความตกใจและไม่เข้าใจ ทำให้น้ำเสียงอ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่คิดว่าเขาจะกลับไปแบบกะทันหันอย่างสิ้นเยื่อใยแบบนี้ ทั้งที่เป็นฝ่ายมาจับก่อนแท้ ๆ

"ไม่ใช่ครับ แล้วคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ เจ็บตรงไหมครับ หิวไหมครับ เดี๋ยวผมจะไปตามหมอและเตรียมอาหารเช้ามาให้"

เขารีบปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมรัวคำถามออกมาชุดใหญ่อย่างกับหลีกเลี่ยงเพื่อปกปิดความจริง ถึงน่าดีใจเรื่องที่เขาพูดกับผมด้วยประโยคซึ่งยาวแถมออกแนวเป็นห่วง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยินในเวลานี้เท่าไหร่

"ไม่หิว ไม่เจ็บ ไม่ปวดอะไรตรงไหนทั้งนั้น เธออยู่ตรงนี้และตอบคำถามมา ถ้าไม่รังเกียจกัน งั้น...ทำไมล่ะ"

ทำไมถึงดึงมือกลับไปอย่างไม่ใยดี..

ทำไม..

นัยน์ตาสบประสานกันชั่วครู่ เขาเบี่ยงหลบไปอีกครั้งก่อนลูบต่ำมองพื้น บรรยากาศที่มีเพียงเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอก แตกต่างจากภายในห้องนอนซึ่งมีเพียงเรา เต็มไปด้วยความเงียบกินเวลาไปหลายนาที

ภาพที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือผู้ชายใหญ่ใส่ชุดเดียวกันกับเมื่อวานนั่งก้มหน้า มือสั่นเทากุมประสานอยู่ข้างเตียง แววตาสะท้อนถึงความลังเล

"มือของผม..มัน........”

เขาเว้นจังหวะ

“สกปรก"

ก่อนกลั้นใจพูดออกมาอย่างแผ่วเบาน้ำเสียงของเขาแทบจะกลืนหายไปในอากาศรอบกาย ราวกับไม่อยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนผมรู้สึกผิดที่ทำเหมือนบังคับให้เขาพูดออกมา ถึงกระนั้นหากไม่ทำ..เราคง...

“แต่เมื่อกี้เรายังจับมือกันอยู่เลยนะ..”

ผมสวนกลับอย่างไม่ยอมลดละ ต่อให้สกปรกหรือไม่ ป่านนี้คงไม่ทันแล้ว ผมมีเรื่องอยากจะพูดกับเขา เรื่องอยากจะบอกให้เขาได้รับรู้อีกตั้งมากมาย แล้วทำไมเราถึงมาต่อปากต่อคำด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่มากกว่าจับมือก็ทำมาแล้ว

และทำไมก็แค่จับมือ...

ถ้าเรื่องแค่นี้เรายังเคลียร์กันให้เข้าใจไม่ได้ และนับจากนี้จะเป็นยังไง สุดท้ายเรื่องที่เราเข้าใกล้กันแล้วอีกนิด คงเป็นสิ่งซึ่งผมคิดไปเองคนเดียว

เขายังคงอ้ำอึ้งเสมือนไม่รู้จะตอบคำไหน

แต่แทนที่จะโกรธเขา กลับทำให้ผมยิ่งโมโหตัวเองเป็นทวีคูณ เพราะคำพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจในวันนั้น กลับมีอิทธิพลมากขนาดนี้ กลายเป็นสร้างแผลทางใจให้เขาอย่างไม่รู้ตัว

ในเมื่อมีโอกาส

ทุกอย่างที่ผมคิด

ทุกอย่างที่รู้สึกกับเขา

ถ้าแค่ไอ้ข้อความในสมุดสีชมพูอ่อนมันยังทำให้เขาไม่มั่นใจ ผมจะบอกให้ชัดเจนอีกที

จะย้ำให้รู้ว่าความรู้สึกข้างในมันเอ่อล้นแค่ไหน

ไม่งั้นเราคงไม่เข้าใจกันจริง ๆ ผมก้าวเข้าหา แต่เขากลับถอยห่าง เป็นแบบนี้แล้วเมื่อไหร่ช่องว่างระหว่างเราถึงจะกลายเป็นศูนย์

ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

ผมดันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่เห็นแบบนั้นเขาก็ยังไม่ช่วยพยุง เพราะความคิดที่ว่าตัวเองสกปรกยังไม่เลือนหาย ราวกับตั้งใจจะสัมผัสร่างกายผมเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น

เขาจะคิดแบบนี้ก็คงไม่แปลกอะไร

เพราะต้นเหตุทุกอย่าง มันมาจากการกระทำของผมเอง

แผ่นหลังเอนพิงหัวเตียง ก่อนจะดึงอากาศรอบข้างโกยเข้าปอดและพ่นออกอย่างเชื่องช้า พยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้มากที่สุด

"ขอมือหน่อยสิ"

เขายังคงนิ่ง พยายามจะไม่สบตา และกุมมือของตัวเองเอาไว้แน่นราวกับกำลังตัดสินใจ

"นะ.."

น้ำเสียงที่เน้นย้ำอีกครั้งแกมขอร้อง เขาจึงจำยอมยื่นมือของตนมาอย่างสั่นไหว

ผมรับไว้ ก่อนจะจุมพิตลงไปบนบาดแผลที่ยังหลงเหลือรอยคมเขี้ยวซึ่งยังคงเห็นรอยฟันเรียงกันสวยงามอย่างชัดเจน เขาตกตะลึง แต่ยังคงนิ่งงัน ไม่คิดจะปริปากพูดอะไรสักคำ เห็นดังนั้น ผมจึงถอนริมฝีปากออกมาและประคองมือของเขาไว้ด้วยสองมือ ทะนุถนอมราวกับเป็นสิ่งของบอบบางแตกหักง่าย

"ขอโทษนะ"

ขอโทษจากใจจริง ที่ดึงเข้ามาพัวพัน

"ขอโทษที่ทำให้เธอเจ็บปวด ขอโทษที่ทำให้เธอต้องบาดเจ็บ"

“ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ ฉันคงทำให้เธอเข้าใจผิด สกปรกที่ว่าไม่ได้หมายถึงตัวเธอ แต่...ของของฉันที่เธอกำลังโลมเลียมันราวกับเป็นขนมหวานนั่นต่างหาก ยังไม่ได้ล้างเลยนะ ต้อง ส..ส.. สกปรบอยู่แล้วสิ ฮ่า ฮ่า”

ผมพยายามให้ดูตลก คลายบรรยากาศดึงเครียด แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน โดยความจริงตอนนี้หน้าผมคงแดงไปทั่วแน่ หัวใจที่เต้นแรง ทว่าไม่ได้เต้นแรงจนรู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อก่อน มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ คล้ายกับอาการตื่นเต้นบวกกับหัวใจพองโต และเต็มไปด้วยความสุขใจที่ได้มองเห็นเขาอยู่กับผมในตอนนี้

การสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตกับสภาพของเรามีแต่บาดแผล

ผมมองข้ามทุกอย่าง เรื่องอายุ เรื่องเพศ เรื่องอัลฟ่า เบต้า

มองเขาเป็นเพียงคนหนึ่งและผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่มีความรักอันบริสุทธิ์ใจมอบให้แก่กัน

"เธออ่านสิ่งที่ฉันเขียนลงไปแล้วใช่ไหม"

เขาพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อคำตอบเป็นไปดังหวัง ผมจึงระบายยิ้ม ก่อนจะย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอยังคงเป็นไปตามนั้น"

"เธอคือคนสำคัญ"

"ถึงเธอจะมองตัวเองยังไง"

"แต่อยากให้เธอมั่นใจ ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นอะไร ไม่ว่าอดีตจะเคยเป็นแบบไหน ไม่ว่าเธอจะเคยผ่านใครมากี่ร้อยพัน สิ่งที่วัดคุณค่าในตัวเธอคือปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยผ่านมา"

ทั้งที่ไม่อยากจะปล่อยมือของเขา แต่ต้องปล่อยอย่างจำใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นอ้าแขนสองข้างให้กว้าง

“มาให้กอดหน่อยสิ"

เพื่อรับอีกร่างเข้ามา

“ขอกอดให้หายคิดถึงหน่อยได้ไหม”

เขามองผมอย่างนิ่งตะลึง ริมฝีปากเม้นอย่างอดกลั้นแต่สุดท้ายก็ทนความต้องการไม่ไหว พลางกระโดดขึ้นมาบนเตียงในทันใด และใช้ใบหน้าซุกลงไปกลางแผ่นอก พร้อมอ้อมแขนโอบกอดผมแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี

ความเปียกชื้นทะลุผ่านชุดนอนบาง ๆ

ผมทำได้เพียงระบายยิ้มกว้างพลางลูบหัวของเขาอย่างแผ่วเบา

ไม่รู้การกระทำในครั้งนี้จะทำให้เขามั่นใจได้แค่ไหน

แต่สิ่งที่รู้ในวันนี้คือผมกลายเป็นฝ่ายกล่อมเขาจนเผลอหลับไปโดยใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ทว่าริมฝีปากของเขากลับระบายยิ้มเล็กน้อยอย่างอิ่มสุข

และสุดท้ายคือหัวใจเราเต้นไปในจังหวะเดียวกัน


END

ยังมีตอนพิเศษอีก 5 ตอนนะคะ













« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2019 01:09:02 โดย ความฝันของดอกไม้ »

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
«ตอบ #41 เมื่อ12-06-2019 22:59:39 »

น่ารักมาก ๆเลยคะ เบต้า × อัลฟ่า

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
«ตอบ #42 เมื่อ15-06-2019 20:31:42 »

เย้ ได้รักกันแล้ว โอ๋เอ๋พระเอกมาก  :pig4:

ออฟไลน์ NormalVee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
«ตอบ #43 เมื่อ18-06-2019 09:11:23 »

เป็นความรักที่อุปสรรคเยอะมากเลยค่ะ ทั้งภายในภายนอก แต่คิดว่ามาขนาดนี้แล้ว ต้องเป็นความรักที่สวยงามและมั่นคงมาก

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
«ตอบ #44 เมื่อ01-07-2019 22:46:34 »

รอจ้า :mew1:

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
«ตอบ #45 เมื่อ03-07-2019 05:04:40 »

 :hao5: กว่าจะเข้าใจกันนนนเนี่ยยไม่ยอมพูดกันตรงๆเยอะๆแต่แรก

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
«ตอบ #46 เมื่อ04-07-2019 09:34:22 »

 :katai2-1:
 :pig4:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
«ตอบ #47 เมื่อ07-07-2019 11:58:00 »

น้ำตาไหลเลย
กว่าจะเข้าใจกันได้

ขอบคุณคนเขียนนะคะ

ออฟไลน์ water

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
«ตอบ #48 เมื่อ13-07-2019 14:12:15 »

อ่านแล้วอยากจับตีจริงๆ 555555
ต่างคนต่างคิดไปเองจนจะเสียกันไป อยู่กันมาตั้งนานแล้วไม่อยากจะพูดกัน กว่าจะเข้าใจกันได้ ในที่สุดดด

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
«ตอบ #49 เมื่อ14-07-2019 10:45:01 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: กว่าจะพูดกันได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
« ตอบ #49 เมื่อ: 14-07-2019 10:45:01 »





ออฟไลน์ ความฝันของดอกไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนพิเศษ 1



แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง

ผมยันตัวเองลุกขึ้นมานั่งกวาดสายตามองทั่วห้องก่อนถอดถอนหายใจ

วันนี้ก็เหมือนเดิม

เหมือนทุกครั้งเมื่อผมตื่นขึ้นมา ข้างกายของผมพบเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาบุคคลใด ท่ามกลางบรรยากาศรอบด้านสว่างสดใส มีสายลมโชยพัดปะทะเข้ามา แววตาหันไปทางหน้าต่าง เหม่อมองผ้าม่านที่กำลังปลิวไสว เขาคงจงใจเปิดทิ้งไว้เพื่อให้อากาศภายในห้องถ่ายเท

ถึงแม้จะรู้ว่าเขาหายไปไหน

ผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ผมชอบช่วงเวลาที่ตื่นมาแล้วได้มองใบหน้าที่กำลังหลับพริ้มมากกว่า

ตัวเขาที่หายไป

กลับมีพานดอกไม้ธูปเทียนวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเสมอ ทิ้งไว้เพียงความสงสัย ผมพยายามถามทุกคนภายในบ้าน ล้วนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และโยนให้ไปถามเขาเอง หรือไม่ต้องลองตื่นก่อนเขาดู แล้วจะได้คำตอบ

บอกใบ้มาเสียขนาดนี้ ผมจึงเดาได้ในทันทีว่าเขาเป็นคนนำมาวางไว้

แต่ไม่อาจทราบได้ว่าด้วยเหตุผลประการใด และไม่รู้อะไรทำให้ผมตื่นขึ้นมาหลังเขาทุกที กลัวจะพบความจริงที่เขาตั้งใจทำ หรือเพราะความสบายใจที่ได้นอนกับเขา ได้รับไออุ่นจากเขากันแน่

ผมกลายเป็นคนขี้ขลาดในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของเขา สุดท้ายผมก็ได้แต่ปล่อยให้เรื่องดำเนินต่อไป โดยไม่รู้ว่าควรจะอะไรเช่นกัน

สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา

มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายหลายอย่าง ภายใต้ชีวิตประจำวันค่อย ๆ กลับสู่สภาวะปกติ

ทว่าบ้านของผมมีหลายอย่างเหมือนเดิม และหลายสิ่งที่แตกต่างออกไป จะว่ามันครึกครื้นก็ไม่ใช่ จะเงียบเหงาก็ไม่เชิง เพราะบ้านไม่ได้มีเพียงผมและเขา แต่ยังมีเพื่อนรักทั้งสอง และมีอาหมอที่ท่านพ่อส่งมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของทุกคน

ตามจริงผมรู้ตัวตั้งแต่แรก

ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นภาพตรงหน้าคือเพดานห้องนอนของตัวเอง

เหตุการณ์ลงเอยเช่นนี้

ยังไงต้องมีคนจากบ้านใหญ่ห้อยตามติดมาด้วยแน่ แต่ไม่คิดว่าท่านพ่อจะใจดีส่งคนคุ้นเคยอย่างอาหมอ ซึ่งเคยเป็นคนคอยรักษาอาการป่วยประจำตัวของผม เมื่อสมัยที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าอันน่าขยาดนั่น และหนึ่งประเด็นสำคัญ อาหมอยังเป็นคุณพ่อของเพื่อนรักฝ่ายภรรยาอีกด้วย

ไม่รู้ว่าใจดีจริง หรือจงใจ นำคนที่ไม่มีพิษภัยมาเฝ้าระวังและคอยรายงานสถานการณ์

ช่างประไร ส่วนตัวผมก็ไม่คิดจะหนีอยู่แล้ว ด้วยอำนาจของบ้านใหญ่ หนีไปก็ไม่รอด

ผมรู้ดี

แต่ที่ดิ้นรนหลบหนีออกมา แค่อยากจะกลับมาอยู่ในบ้านของตัวเองและเจอหน้าเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน ผมพร้อมรับมือ

และเขาบอกแล้วนี่นะ ว่าจะปกป้องผม ตามจริงคำนี้ผมได้ยินจากเพื่อนรักมาจนชิน ทว่าคำที่ออกมาจากปากของเขา กระตุกหัวใจของผมให้เต้นถี่ ถ้อยคำฟังดูธรรมดา กลับพิเศษขึ้นมาในทันใด พิเศษมากกว่าคำไหน นึกถึงทีไรทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ทุกที

สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่าง

คือเขาพยายามทำตัวให้มีประโยชน์ จนคนรอบข้างหรือแม้กระทั่งผมเองก็ยังรู้สึกได้ เมื่อก่อนจะดูแลแค่สวนดอกไม้อย่างเดียว ทว่าตอนนี้เขาทั้งกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้าของทุกคนในบ้าน แถมทำอาหารเช้าสายบ่ายเย็นทุกวัน

อีกเรื่องที่ผมเพิ่งค้นพบ เขาทำอาหารอร่อยกว่าผมไปหลายเท่าตัว จนผมแอบอายในฝีมือของตัวเอง

เขาแทบจะกลายเป็น 'พ่อบ้าน' มากกว่าสถานะ 'คนรัก'

ผมเคยย้ำ เคยบอกไปหลายรอบ ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้ก็ได้ เพราะยังไงก็มีแม่บ้านมาทำสองวันครั้งอยู่แล้ว

เขาดื้อกว่าที่ผมคิดไว้

กลายเป็นเด็กดื้อ

ดื้อจนชนิดที่ผมต้องขอยอมแพ้ ยอมแจ้งแม่บ้านไม่ต้องมาทำให้สักระยะ

และปล่อยให้เขาทำจนกว่าจะพอใจ เหมือนเรื่องพานดอกไม้ธูปเทียนข้างเตียง

เขาไม่ค่อยเผยความต้องการของตัวเอง ต่อให้เป็นเรื่องที่ไม่เห็นด้วย หรือไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร หากเขาทำแล้วมันสบายใจ ผมจึงยอมอ่อนโอนให้ทุกที

เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี

ผมไม่เข้าใจว่าทำไม ความสัมพันธ์ถึงไม่มีวี่แววจะพัฒนาไปมากกว่าเดิม

ถ้ามองจากความเดิมตอนที่แล้ว

คุณคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดคงจะจบลงอยากแฮปปี้แอนดิ้งแล้วใช่ไหม แต่มองตามหลักความเป็นจริง ถ้ามนุษย์เราเข้าใจกันได้ง่ายขนาดนั้น บนโลกนี้คงไม่มีคู่รักที่ต้องเลิกราด้วยความไม่เข้าใจ

ยิ่งขยับใกล้กันมากเท่าไหร่

ผมยิ่งรับรู้

เขาไม่ได้อยากอยู่กับผมในสถานะ 'คนรัก' โดยมักจะเว้นระยะไว้เสมอ สามารถใกล้ชิดผมได้แค่ไหน

ความรู้สึกของเราตรงกันก็จริง ผมรักเขา และเขารักผม แต่ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจะเปลี่ยนสถานะที่เป็นอยู่ได้ทันที ช่วงเวลาสามปี การเป็นแค่ผู้ซื้อกับผู้ขายมีอิทธิพลมากเกินไป จนกลายเป็นเขาไม่กล้าก้าวออกมาจากกรอบล้อมรอบตัวเอง

หรือบางทีเขาคงกลัว กลัวการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม

โดยเฉพาะเรื่องของเรา

เขาพยายามปฏิบัติตัวเหมือนที่เคยทำมา

ถามว่าผมกลัวไหม ผมเองก็เหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือผมมองข้ามหมดแล้วทุกสิ่ง

ทว่าสำหรับเขามันไม่ใช่

เขาอาจคิดว่าแค่นอนกอดก็ได้

แต่ประเด็นผมไม่ได้อยากแค่กอด ไม่ได้อยากอยู่ในฐานะนายจ้างตลอดไปด้วย

ถึงกระนั้นความคิดคนเราไม่สามารถเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ และคำพูดของผมแค่ครั้งเดียวคงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเข้าไปเคาะกำแพงภายในใจ

ถ้าย้อนถามว่าเขาเชื่อในสิ่งที่ผมพูดไปไหม ผมคิดว่าเขาเชื่อนะ แต่หากถามว่าเขาอยากอยู่กับผมในสถานะคนรักหรือเปล่า ผมยังยืนยันว่าคำตอบคือไม่

ท่ามกลางความย้อนแย้ง

เขาเหมือนเป็นก้อนไหมพรมที่มีปมความคิดพันกันยุ่งเหยิง เหมือนเป็นเม่นที่สร้างหนามแหลมขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง

ความกลัวที่ปกคลุมภายในใจ

ผมหวังเพียงสักวัน เขาจะเล่าความเจ็บปวดและอดีตที่เขาแบกรับเอาไว้ให้ผมช่วยแบ่งเบาบ้างก็คงดี

หากเราอ่านใจกันได้ บางทีอะไรคงจะง่ายดายกว่านี้

เรื่องความรักมันยากจริง ๆ หรือเป็นเพราะเราทำให้มันยากเอง

ความรู้สึกก็บอกไปแล้ว หัวใจก็ตรงกัน

ทีแรกผมคิดว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างธรรมชาติ กลับกลายเป็นว่าผ่านมาเกือบเดือนความสัมพันธ์ของเราย่ำอยู่กับที่ ผมใจร้อนเกินไปไหม หรือต้องรอเวลาต่อไป ต้องทำยังไงถึงจะให้ความรักของเราดำเนินไปอีกขั้น

แต่ถ้าขืนชักช้า

ผมกลัวชีวิตปกติที่เริ่มใกล้เข้ามา จะนำพาคลื่นลูกใหญ่ ซึ่งทำให้เรื่องมันยุ่งยากยิ่งไปกว่าเดิม

ร่างกายอาการป่วยของผมหายดี เหลือเพียงขาหักที่ยังคงใส่เฝือกเอาไว้ ส่วนเพื่อนรักทั้งสองก็เหลือเพียงแขนหักเหมือนกัน คาดว่าจะได้ถอดเฝือกประมาณปลายเดือนหน้า ส่วนเขาโชคดีตรงที่ไม่มีอะไรหักเหมือนคนอื่น  มีแค่คิ้วแตกซ้ำรอยเก่าเย็บยี่สิบเข็ม หัวแตกเย็บสิบห้าเข็ม คางแตกเย็บห้าเข็ม และรอยฟกช้ำอีกประมาณสามสิบกว่าจุด

อาการของทุกคนที่เริ่มหาย

กับความเงียบผิดปกติ

เงียบจนน่าหวั่นใจ

"คิดอะไรอยู่ หืม.. อาเห็นเรานั่งเหม่อมองด้านนอกตั้งนานสองนานแล้ว"

อาหมอที่เดินเข้ามาในห้องเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ เนื่องจากไม่ได้สังเกต เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนวุ่นวายไปหมด ผมระบายยิ้มเล็กน้อย

"เปล่าครับ"

ก่อนจะตอบพลางมองตามชายวัยหกสิบสองภายใต้เสื้อกาวน์สีขาว ทว่ายังดูไม่แก่เท่าไหร่ เดินมานั่งลงข้างเตียง  พร้อมหยิบปรอทวัดไข้มาให้คาบไว้

ปกติอาหมอเป็นคนช่างพูดและมักจะยิ้มอย่างอุ่นละมุนอยู่เป็นประจำ แต่วันนี้กลับมีบางอย่างผิดแปลกไป ในขณะที่รอผลการวัดประมาณสามสี่นาที อาหมอทิ้งบรรยากาศในห้องเข้าสู่สภาวะความเงียบ พร้อมกับความตึงเครียดปรากฏอยู่บนใบหน้า

ผลการตรวจแสดงตัวเลขบนปรอทวัดไข้คือสามสิบเจ็ดองศา

"เราหายดีแล้วนะ ตอนนี้อุณหภูมิร่างกายกลับสู่สภาวะปกติดีแล้ว"

น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวบอก ทว่าสีหน้ายังไม่คลายกังวล ถ้าหายดีแล้วทำไมถึงมีท่าทางอาการแบบนี้ อาหมอก็คล้ายกับเพื่อนรักฝ่ายภรรยา ตรงที่ว่าเวลามีเรื่องกังวลอะไร มักจะปกปิดความในใจเอาไว้ไม่อยู่

"มีอะไรหรือเปล่าครับ"

จนผมอดถามไม่ได้ และมองอย่างสงสัยในการกระทำ

"ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ"

แถมกล่าวย้ำเตือนในอายุของตัวเอง ว่าใช่เด็กเมื่อยี่สิบปีก่อนที่อาหมอเคยรักษาอีกต่อไปแล้ว เผื่อจะสามารถคลายความกังวลใจและยอมพูดเรื่องที่ปิดบังเอาไว้ได้บ้าง

"อุบ ฮ่า ฮ่า"

เหมือนได้ผลดีกว่าที่คาด อาหมอหลุดขำออกมาเสียอย่างนั้นหลังจากที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่

"นั่นสินะ"

ขำจนน้ำตาคลอ ถึงขนาดต้องใช้นิ้วชี้ยกขึ้นมาเช็ดคราบบริเวณปลายหางตา ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

"นั่นสิ เราไม่ใช่เด็กอายุสิบห้าอีกต่อไปแล้ว"

ริมฝีปากระบายยิ้มเศร้า

"แต่สำหรับอาเหมือนเรื่องราวเพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน ยังติดภาพที่เรายังเป็นเด็กน้อยวิ่งเล่นกันอยู่เลย เด็กแสบทั้งสามคน"

แววตาอันอบอุ่นหวนระลึกความหลัง พลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

"ทุกครั้งที่เราป่วย อามักจะภาวนาเสมอ อยากจะให้หายจากอาการป่วย ไม่อยากจะให้เราต้องทรมาน ได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน และกลับมาแข็งแรงโดยเร็วไว"

อาหมอกส่าวต่อโดยสายตายังคงทอดยาวออกไปไกลโดยไม่โฟกัสส่วนใดเป็นพิเศษ ผมได้แต่ฟังโดยไม่คิดจะพูดอะไรเช่นกัน

"สำหรับคราวนี้"

"อากลับภาวนาให้เราป่วยไปหลายเดือน ป่วยหนักกว่าเดิมได้ยิ่งดี อยากจะไม่ตั้งใจรักษาอยู่เหมือนกัน ดันมีคำว่าจรรยาบรรณค้ำคอไว้"

"ฮ่า ฮ่า ฟังดูแย่ใช่ไหม"

เสียงหัวเราะที่ฝืนเปร่งออกมาแกน ๆ

"แต่อามีความสุขที่เห็นทั้งสามคนวิ่งและยิ้มอย่างอิสระ อยากให้ใช้ชีวิตตามใจต้องการ"

"ขอโทษนะ ที่อาไม่อาจจะรั้งไว้ได้นานกว่านี้อีกแล้ว"

นัยน์ตามองอาหมอที่นั่งก้มหน้าน้ำตาคลอ ทว่าผมยังไม่ทันได้กล่าวตอบอะไร เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองตามทันที ส่วนชายสูงวัยยังนั่งอยู่ท่าเดิมดั่งเป็นเรื่องที่รู้อยู่ก่อนแล้ว

ท่าทางเหนื่อยหอบของเขา

"คุณ..ครับ มี..คู่หมั้น..ของคุณ..มา..ยืน..รออยู่..ที่ประตูหน้าบ้าน.."

น้ำเสียงและลมหายใจที่ขาดช่วง สงสัยเขาคงจะรีบวิ่งมาน่าดู ผมหันกลับไปมองอาหมออีกครั้ง ที่ยังคงนั่งและสีหน้าท่าทางยังเป็นกังวลเหมือนเดิม

"ไม่ใช่ความผิดของอาเลยครับ อาช่วยผมมาเยอะมาก จนผมขอบคุณสักกี่ล้านครั้งก็ยังไม่พอ"

ทั้งเรื่องที่คอยรักษาอาการป่วย ทั้งเรื่องที่เป็นส่วนหนึ่งคอยช่วยเหลือให้ผมหนีออกมาเมื่อสิบห้าปีก่อน ขัดขวางบ้านใหญ่ไม่ให้ออกตามหา จนผมได้ใช้ชีวิตอิสระมาตลอดตั้งยี่สิบปี อาหมอเงยมองสบตา

"อาขอโทษจริง ๆ"

ผมยิ้มกว้างเป็นสัญญาณบอกว่าผมไม่เป็นไร

มันผิดที่ท่านพ่อที่ไม่ยอมเข้าใจต่างหาก

การกระทำและพูดออกไปตั้งขนาดนั้น

ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจ ทันทีเมื่อผมหายป่วย ไม่คิดว่าจะส่งความวุ่นวายมาเสริฟมาให้ถึงที่แบบนี้ อย่างน้อยผมคิดว่าถ้าจะส่งมาจริง คงจะรอให้ขาผมหายดีก่อน

คิดผิดหมดทุกอย่าง

เรื่องเขายังไม่เคลียร์ ยังมาเจอเรื่องนี้อีก จังหวะเหมาะเหมือนจงใจ

"เอ่อ ขอโทษนะครับ ขออนุญาตพูดแทรกครับ คุณผู้หญิงยืนรอนานแล้ว เชิญเข้ามาเลยไหมครับ"

รับบทเป็นพ่อบ้านได้ดี เมื่อยังไงไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงถามย้ำและขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อนเปิดประตูรับแขกเข้ามา สีหน้าขณะที่พูดนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไร

คำว่าคู่หมั้น คำว่าคุณผู้หญิง ก็พูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ

เชิญเข้ามาเลยไหม

เป็นคำถามที่ทิ่มแทงหัวใจ

"แล้วแต่เธอ.."

"ถ้าเห็นว่าดี อยากจะเปิดให้เข้ามาหรือไม่ อยู่ที่เธอจะพิจารณาแล้วกัน"

.

.



TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2019 20:28:01 โดย ความฝันของดอกไม้ »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 23-7-62
«ตอบ #51 เมื่อ23-07-2019 21:07:55 »

 :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Fufufeel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 23-7-62
«ตอบ #52 เมื่อ12-08-2019 19:33:56 »

หน่วงมากเลย :katai1: :katai1: อยากให้ทั้งคู่สมหวัง

ออฟไลน์ ความฝันของดอกไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 18-9-19
«ตอบ #53 เมื่อ18-09-2019 13:57:10 »

ตอนพิเศษ 2



คงเป็นความผิดของผมเอง

ซึ่งไม่น่าไปพูดอะไรเหมือนกับการลองใจ เมื่อผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นดั่งที่หวัง จึงต้องมานั่งเจ็บปวดอยู่แบบนี้

คงเป็นความผมของผมเอง ที่คิดอะไรง่าย ๆ ถ้าเราได้คุยกันอีกครั้งแล้วความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไป

ไม่มีทางเปลี่ยน

ต่อให้คุยกันอีกสักกี่สิบครั้ง คงไม่มีทางเปลี่ยนไป ถ้าใจเขายังไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

เพราะความรักเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคน หากมีคนใดรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว เรื่องราวถึงลงเอยออกมาเป็นเช่นนี้ อย่างที่ผมเคยบอก เขามีความย้อนแย้งอยู่ในตัว มีความคิดอยากครอบครองและไม่อยากครอบครองอยู่ในเวลาเดียวกัน

แล้วความรู้สึกไหนชนะ?

คุณคงไม่จำเป็นต้องเดา

ถ้าเรื่องมันลงเอยด้วยดี เราคงได้ครองรักกันและจบลงอย่างมีความสุข

เพราะชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย

ไม่มีอะไรที่จบง่ายดายไปอย่างใจคิด

ทั้งที่มีความรู้สึกต่อผมรุนแรงถึงขั้นทำเรื่องอย่างคืนนั้น ทั้งที่มีความรู้สึกต่อผมยืนยาวมาถึงหกปี ทั้งที่ในสมุดก็เขียนเรื่องราวชีวิตประจำวันที่เกี่ยวกับผมมากมาย ถึงจะเป็นความสัมพันธ์ผู้ซื้อกับผู้ขาย ทว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ผมเคยมอบให้ เขาไม่ได้ใช้แม้แต่บาทเดียว

สามปีที่ผ่านมาเขาอยู่กับผมด้วยความต้องการของตัวเองมาตลอด

ผมไม่สงสัยเรื่องความรู้สึกของเขา ยังไงก็คือของจริงแน่นอน

แต่ไม่รู้ทำไม..

อะไรเป็นเหตุผลคอยเหนี่ยวรั้ง ปิดกั้นความต้องการจากส่วนลึกในใจ ไม่ให้เปิดเผยออกมา

แววตาอันน่าสงสารเฝ้ามองอยู่การณ์ไกล ในขณะที่ผมกำลังแสร้งยิ้มอย่างยินดี สนทนากับคู่หมั้นคู่หมายที่ท่านพ่อจัดสรรมาให้ เขาเป็นคนพาเธอเข้ามา พาผมมาหาเธอ โดยนั่งอยู่ในที่ประจำของเรา

เธอสวยกว่าในรูป ท่าทางและกิริยาบ่งบอกว่าเติบโตมาจากคุณหนูชาติตระกูลดี สมกับเป็นตระกูลขุนนางเก่าในประเทศอิตาลี

รอยยิ้มบริเวรมุมปากเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าอ่อนชวนมอง ประกอบกับฉากหลังเป็นสวนดอกไม้ ทุกอย่างรวมกันไม่อาจปฏิเสธได้ ภาพที่เห็นตรงหน้าประดุจดั่งสาวงามหลุดออกมาจากเทพนิยาย

แต่

แล้วมันยังไง มีประโยชน์อะไร

ในเมื่อหัวใจผมมอบให้เขาไปทั้งดวง

"เบต้าที่ยืนมองเราอยู่ตรงนั้นคือใครหรือคะ"

หลังจากพูดคุยทำความรู้จักกันได้สักพัก เธอเริ่มเปิดประเด็น

"ดิฉันเห็นคุณเปรยมองเขาอยู่เป็นระยะ"

และช่างสังเกต ผมหยิบแก้วชาส่งกลิ่นหอมขึ้นมาจิบ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ไม่อยากจะเอาอารมณ์ที่มันพลุ่งพล่านในตอนนี้ไปลงกับคนที่เพิ่งเจอครั้งแรก เมื่อเธอกล้าถามตรง ๆ ผมก็จะตอบตามความจริงเช่นกัน

"เขาคือคนที่ผมรัก แต่ตอนนี้กำลังรับบทเล่นเป็นพ่อบ้านอยู่"

แก้วชาถูกวางลง พร้อมกับใบหน้าหวานพยักรับคำ ประหนึ่งเข้าใจในความหมายที่ผมต้องการจะสื่อ

"หืม อย่างนั้นเหรอ..."

ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มกริ่ม

"ดิฉันรู้สึกว่า..คิดถูกจริง ๆ ที่เลือกคุณ"

ดวงตากลมโตกวาดมองชื่นชมบรรยากาศสดใสรอบข้าง

"ดอกไม้เหล่านี้เขาเป็นคนปลูกไว้หรือเปล่าคะ"

เธอเปลี่ยนประเด็นเร็ว จนผมไม่มีจังหวะได้เอ่ยถามอะไร ร่างสมส่วนลุกขึ้นยืน และเดินลงไปบริเวรแปลงดอกไม้สีขาวที่กำลังโอนเอนไปมาตามแรงลม ผมนั่งมองการกระทำของเธอ พลางยกแก้วชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง

"..ครับ"

จมูกสวยโน้มสูดกลิ่นหอมจากดอกนั้น ท่าทางเหมือนเป็นคำตอบที่เธอเดาไว้อยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มยังคงประดับอยู่ ผู้หญิงกับดอกไม้ดูเข้ากันจนไม่อาจละสายตา

"คุณรู้จักภาษาดอกไม้ไหมคะ"

เธอหันมาถามผม และผมมองเธออย่างสงสัย เราประสานนัยน์ตาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายยอมแพ้เบี่ยงหลบไปอีกทาง ดอกไม้รอบข้างที่มีนานาชนิด และหลากสีสัน ซึ่งผมเองไม่ทราบเหมือนกันว่าคือดอกอะไร แค่เห็นว่าสวยดี แต่ไม่เคยสนใจเรื่องชื่อหรือความหมาย

ในเมื่อดอกไม้มันก็เป็นแค่ดอกไม้

เธอขำในลำคอ

"ทึ่มจังเลยนะคะ"

 ท่าทางที่ผมแสดงออกมาทำให้เธอเดาคำตอบไม่อย่างไม่ยากเย็น เธอหันไปสนใจและเหม่อมองหมู่มวลดอกไม้อีกครั้ง

"ยิ่งเขาเริ่มปลูกดอกไม้เหล่านี้มานานเท่าไหร่ ซึ่งหมายความว่าเขารู้สึกกับคุณมานานเท่านั้น หรืออาจจะมากกว่านั้น ดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าดิฉันตอนนี้คือดอกคัตเตอร์ค่ะ"

'แม้คุณจะไม่มองผมไม่เป็นไร เพราะไม่ว่ายังไงผมก็จะมีเพียงคุณเสมอ'

"ความหมายโรแมนติกดีใช่ไหมคะ ส่วนใหญ่มักจะเป็นดอกไม้ที่ไว้สำหรับมอบให้คนที่แอบรัก เขาดูท่าจะหลงใหลในตัวคุณไม่ใช่น้อยเลยค่ะ"

เรียวนิ้วที่คล้องหูแก้วชาสั่นเทิ้มจนไม่อาจเก็บอาการ สีหน้า ความอัดอั้นที่กดเก็บเริ่มค่อย ๆ เปิดเผยออกมา กับคนซึ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรก

"คุณต้องการจะพูดอะไรกับผมกันแน่ จะบอกว่าความรู้สึกของผมกับเขาตรงกันอย่างนั้นเหรอ"

"ถ้าเป็นเรื่องนี้ ผมรู้ดีอยู่แล้วล่ะ รู้ดีอยู่แก่ใจ"

เรียวนิ้วที่ยังคงคล้องหูแก้วชาเกร็งแน่นอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ที่ใกล้จะปะทุ

"ดิฉันมาที่นี่..."

เธอหันประจันหน้ายืนหยัดอย่างมั่นคง

"เพื่อเจรจายกเลิกการหมั้นกับคุณค่ะ"

น้ำเสียงหนักแน่นและชัดเจน ผมผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่อย่างปลอดโปร่ง

"ถ้าเป็นเรื่องนั้น พักเรื่องผมเอาไว้ก่อน และเรากลับมานั่งคุยกันอย่างตั้งใจดีไหมครับ"

ใบหน้าหวานระบายรอยยิ้มกว้าง

"ดิฉันถึงบอกยังไงล่ะคะ คิดถูกจริง ๆ ที่เลือกคุณ"

ผมมองตามเธอที่กำลังเดินทรุดกายนั่งตรงหน้าผมอีกครั้ง

"ทางนี้ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเราจะมีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันจนน่าตกใจ"

การสนทนาระหว่างผมกับเธอซึ่งเคยมีแต่ความกระอักกระอ่วน เสแสร้งเข้าหากัน กลับกลายแลกเปลี่ยนได้อย่างสนิทใจ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดกลับกลายเป็นสนุกสนาน

ผมก็ไม่คาดฝันว่าจะมีวันที่ผมสามารถคุยกับใครสักคนอย่างเป็นกันเองราวกับคนในครอบครัวเหมือนเพื่อนรักทั้งสอง อาหมอและคุณน้า สิ่งที่น่าตกใจไปกว่าคือกับเธอที่เพิ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรก

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเรื่องราวในชีวิตของเราคล้ายคลึงมากถึงขนาดเล่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งไป กลายเป็นความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ต้องยอมรับว่าท่านพ่อตาถึง ถ้าผมเจอกับเธอเร็วกว่านี้สักสามปี เรื่องราวในชีวิตของผมคงเปลี่ยนไปอีกทาง

"ขออภัยที่มาขัดจังหวะกำลังสนุกนะครับ"

ระหว่างคุยกับเธอ ผมลืมสังเกตเขาไปเสียสนิท เขากล่าวพลางโค้งกายอย่างสุภาพ

"เนื่องจากเวลาใกล้จะเที่ยงแล้ว ผมจะไปจัดเตรียมอาหารกลางวัน คุณผู้หญิงมีของที่แพ้หรือไม่ชอบทานเป็นพิเศษไหมครับ"

ทั้งที่เห็นเธอกับผมคุยกันอย่างสนุกสนาน ทว่าเขาก็ยังคงนิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สา

"อุ๊ยตายจริง!"

มือสวยป้องริมฝีปาก พลางก้มมองนาฬิกายี่ห่อหรูบนข้อมือของตัวเอง

"เวลาป่านนี้แล้วหรือคะเนี่ย คุยเพลินจนไม่ได้สังเกตเลย"

เธอยิ้มแล้วหันมามองทางผม

"ทางนี้เองก็สนุกมากเช่นกันครับ"

"แต่น่าเสียดายนะคะ วันนี้อดชิมอาหารฝีมือ 'พ่อบ้าน' ที่คุณชื่นชม"

น้ำเสียงหวานจงใจเน้นคำว่าพ่อบ้านอย่างชัดถ้อยชัดคำ

"เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะไม่ใช่หรือครับ"

เห็นดังนั้นผมจึงยิ้มตอบอย่างมีเลศนัย เธอหยิบของบางอย่างออกมาจากในกระเป๋า ก่อนจะยื่นมาทางผม เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมกระดาษผืนผ้าซึ่งมีชื่อและเบอร์โทรติดต่อไว้พร้อม

"เกือบลืม อันนี้เป็นนามบัตรที่ติดต่อถึงดิฉันโดยตรงนะคะ"

ผมรับไว้อย่างยินดี

"จะติดต่อไปแน่นอนครับ"

รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มส่งมาให้

"ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีมีธุระที่ต้องไปจัดการต่อ"

"เดี๋ยวผมให้คนไปส่งครับ"

"ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ 'คนของดิฉัน' น่าจะมารอรับแล้วค่ะ"

"ถ้าอย่างนั้นผมขอไปส่งที่หน้าประตูบ้านนะครับ"

"แหม.. ไม่อยากจากกันขนาดนี้เลยหรือคะ"

"ต้องการคำตอบจริง ๆ หรือเปล่าครับ"

"ไม่ล่ะค่ะ ดิฉันกลัวตัวเองได้ยินแล้วจะเขินจนตัวม้วนไปเสียก่อน"

เธอหันไปและทำท่าทางเหนียมอาย

คำพูดหยอกเย้าของเธอและผมยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่เขาหน้านิ่งเป็นตอไม้เข็นวินแชร์พาผมไปส่งเธอ

"ดิฉันจะรอรับสายจากคุณนะคะ"

ผมเหม่อมองนามบัตรในมืออย่างครุ่นคิด

"ไม่ต้องห่วงครับ บางทีผมอาจจะโทรไปวันนี้เลยก็ได้"

เธอระบายยิ้มและโบกมือลา

"ดิฉันพร้อมเสมอค่ะ"

ริมฝีปากยกยิ้มตอบ

"แล้วเจอกันนะครับ"

เธอยิ้มหวานส่งท้ายพร้อมกับก้าวขึ้นรถไป ผมมองส่งรถเก๋งคันเก่าจนสุดสายตา ก่อนจะส่งสัญญาณบอกให้เขา พาผมกลับเข้าไปด้านใน

ระหว่างทางมีแต่ความเงียบ ทว่าไม่ใช่ความเงียบที่ทำให้สงบใจเหมือนดั่งเคย

เต็มไปด้วยความอึดอัด

ใบหน้าที่นิ่งตึงของเขายิ่งทำให้ผมหงุดหงิด

จะไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ

จะไมรู้สึกอะไรจริง ๆ ใช่ไหม

"เธออยากจะเป็นอะไรกับฉันกันแน่!"

ผมโพล่งถามอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่อยู่

บรรยากาศซึ่งมีเพียงสายลมพัดผ่านเราสองคน ไอแดดที่ร้อนระอุค่อย ๆ มลายหายไป กลายเป็นก้อนเมฆใบใหญ่เข้ามาบดบัง

เขาทิ้งความเงียบให้กินเวลาไปหลายวินาที

"อะไรก็ได้ครับ.."

"ถ้าอย่างนั้น..."

ผมไม่ทันได้พูดจบประโยค

"....ที่ไม่ใช่คนรัก"

เขาสวนตัดบทขึ้นมาทันใด ผมจึงต้องจำยอมเก็บถ้อยคำที่อยากจะเอ่ยลงคอไปโดยปริยาย บรรยากาศกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

มันเป็นคำตอบที่ผมรู้ดีอยู่แก่ใจ

ก็ไม่น่าจะไปถามตอกย้ำให้ตัวเองเจ็บปวด

มันเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกและรับรู้มาตลอด

พอมาได้ยินคำปฏิเสธจากเขาตอกย้ำ มันเจ็บยิ่งกว่าที่คิดไว้

เราเหมือนกำลังถือเชือกคนละเส้น ผมพยายามนำเชือกของตัวเองไปผูกไว้กับเขา แต่เขาเป็นคนแก้มัดและคลายปมนั้นอย่างไม่สนใจว่าผมจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนกับความพยายามที่ไร้ความหมาย

หรือเป็นเพราะผมฝืนไปผูกกับเขามากเกินไป ทั้งที่เขายังมีเรื่องราวและเรื่องที่ยังปกปิดเก็บซ่อนอยู่ส่วนลึกข้างใน

นัยน์ตาแหงนมองบนท้องฟ้ามีเมฆครึ้มเข้าปกคลุมไร้ซึ่งความสดใส ขุ่นมัวไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของเราสองคน ใช่ว่าผมไม่ดีใจเมื่อตอนได้ยินเรื่องภาษาของดอกไม้ ดีใจสิ ดีใจมาก ทว่ามันทั้งดีใจและเจ็บปวดไปในเวลาเดียว

เพราะถึงรู้ไป..ในเวลานี้มันก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา

ถ้าพูดด้วยปากแล้วยังไม่เข้าใจ ผมจะทำให้เห็นเองว่าไอ้ความสัมพันธ์สวยหรูอย่างที่เขาคิด ไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับเรื่องของเรา

ผมกดมือถือโทรหาคนที่เพิ่งมอบนามบัตรให้ผมเมื่อครู่

ถ้านั่นมันคือคำตอบของเขา

นี่ก็เป็นคำตอบของผมเช่นกัน



TBC





.



ขอบคุณที่ติดตามและกำลังใจนะคะ




























ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 18-9-19
«ตอบ #54 เมื่อ18-09-2019 18:15:52 »

 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ ss.suttida

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 18-9-19
«ตอบ #55 เมื่อ29-09-2019 01:40:36 »

 :hao3:เอ เหมือนตอนพิเศษนี่ต้องมีต่อรึเปล่าน้า

ออฟไลน์ totorobabii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 18-9-19
«ตอบ #56 เมื่อ29-09-2019 20:28:20 »

เพราะชนชั้นสินะ...
เข้าใจนะ แต่ก็สงสารด้วยยย :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ ความฝันของดอกไม้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เหมือนผมกำลังลอยคออยู่ในกลางแอ่นน้ำวน

ไม่ว่าจะทำอะไรไปเท่าไหร่ ก็หวนกลับมาดังเดิมทุกครั้ง

เหมือนความสัมพันธ์ของเราไม่ต่างอะไรกับบูมเมอแรง

ไม่ว่าผมพยายามพาเราเดินออกไปให้ไกลเท่าไร สุดท้ายก็วนกลับมา ณ จุดเริ่มต้นเสมอ

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป รู้แค่เรามีใจตรงกัน นอกเหนือจากนั้น ไม่มีอะไรเลย รังแต่จะแย่ลงเสียด้วยซ้ำ เรื่องความรัก ต่อให้มีความรู้สึกตรงกัน ใช่ว่าจะครองคู่กันได้เสมอไป เสมือนเรื่องราวของผมซึ่งมีแต่คำถามว่าทำไม

ทำไม!

ผลถึงลงเอยออกมาเป็นแบบนี้!

ผมทำอะไรผิดพลาดตรงไหน ทำไมเราถึงเป็นคนรักกันไม่ได้สักที

ร่างกายอ่อนเพลียนอนหงายบนเตียงใบใหญ่ซึ่งค่ำคืนนี้มีเพียงผมคนเดียว ส่วนเขา..ในเมื่ออยากจะรับบทเป็นพ่อบ้าน ผมจึงไล่ให้ไปนอนที่ห้องสำหรับ 'ลูกจ้าง' แทน

หลังจากที่ผมวางสายจากคู่หมั้นคู่หมาย ก็สั่งห้ามเขาไม่ให้เข้ามานอนในห้องของผมสักระยะ

และไปทำความสะอาดจัดเตรียมห้องนอนสำหรับแขก เพื่อต้อนรับคุณผู้หญิงที่จะเข้ามาอยู่กับเราตั้งแต่วันพรุ่งนี้

การที่ผมกำลังจะแต่งงาน หากยังนอนกอดกับ 'พ่อบ้าน' มันคงดูไม่ดี และนี่เป็นเหตุผลที่ค่ำคืนนี้ เหลือผมนอนถอนหายใจอย่างปล่าวเปลี่ยวเพียงคนเดียว

หยาดฝนโปรยปราย ทวีคูณความหนาวเหน็บ

ขาดไออุ่นจากคนเคยเคียงข้าง ยิ่งอ้างว้างจับขั้วหัวใจ

ถึงจะทรมาณและเจ็บปวดแค่ไหน ความจริงก็ยังอยากจะมีเขาอยู่ข้างกาย ทว่าตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ ไม่เก่งกล้ามากพอที่จะทำแบบนั้น ทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา เหมือนชนวนจุดระเบิดอารมณ์ซึ่งมันใกล้จะปะทุออกมาเต็มที

หลายเรื่อง หลากความรู้สึกที่อัดอั้น ถูกกดเก็บไว้

หากยังคงเห็นใบหน้าเขาในเวลานี้ ผมกลัวอารมณ์ที่มันกำลังแซงหน้าความเป็นเหตุผล พาลทำให้ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม ทั้งที่ตั้งใจจะใช้ทุกวินาทีร่วมกับเขาอย่างคุ้มค่า เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป

แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดาย

ปมความคิดของเขา ยิ่งพยายามจะแก้เท่าไหร่ ก็ยิ่งผูกแน่น

คำปฏิเสธที่ยังก้องกังวานในโสตประสาท หลอกหลอน ซึ่งยิ่งคิดเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอกย้ำ

ร่างกายฝืนพลิกตะแคง แววตาเหม่อมองหมอนใบเดิมที่เขาเคยนอนหนุน เอื้อมมือไปสัมผัสบางเบา ก่อนจะดึงมาโอบกอดแนบกาย ซึมซับเศษเสี้ยวไออุ่น ซุกใบหน้าลงจนมิด สูดกลิ่นหอมเจือจางอย่างคำนึงหา ทั้งที่ระยะเวลาเพิ่งผ่านมาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ทว่าความคิดถึงซึ่งก่อตัวเพิ่มพูนราวกับไม่ได้เจอกันมานานนับปี

ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ แล้วทำไมหัวใจถึงบีบรัดอย่างปวดร้าว ทรมานมากกว่า เมื่อตอนที่ผมพยายามตัดใจและไม่ได้เจอหน้าเขาหนึ่งเดือน ผมคงบ้าไปแล้ว

หรือเพราะตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเรามีใจตรงกัน

หรือเพราะตอนนี้ต่อให้มีความรู้สึกตรงกัน ก็ยังเป็นคนรักกันไม่ได้

เพราะอะไรกันแน่

เขาจะรู้สึกเหมือนกันบ้างไหม คืนนี้เมื่อไม่ได้นอนข้างกัน หลับลงหรือเปล่า

หรือมีแค่ผมที่กำลังคิดถึงแทบทนไม่ไหว

เลือกเอง

สั่งเอง

เจ็บปวดเอง

คิดถึงเอง

ทรมานเองอยู่ฝ่ายเดียว

ผมสูญเสียความเป็นตัวเองไปหลายอย่าง และกำลังกลายเป็นใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก

ตัวตนของผมในตอนนี้

กับตัวตนของผมจากอดีตที่ผ่านมา

เมื่อมองย้อนกลับไป

ความรักมีอิทธิพลทำให้มนุษย์คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ

ผมเคยเด็ดขาดกว่านี้ เรื่องอะไรที่ทำร้าย กัดกินความรู้สึก กดผมให้ดำดิ่งสู่ความเจ็บปวด เหมือนอดีตครอบครัว ต่อให้มีสายเลือดเดียวกัน ผมสามารถตัดขาด ตัดทิ้งได้อย่างไม่ลังเล ถ้าไม่จำเป็นไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยว

แต่พอมาเป็นเรื่องของเขา ถึงแม้จะเจ็บปวดให้ตายยังไง ไม่อาจทำลายความรักที่เอ่อล้นภายในใจให้สั่นคลอน

จากเคยตัดสินใจเด็ดขาด พอเป็นเรื่องเขา เต็มไปด้วยความสับสน ลังเล ไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหนถึงจะดี เดินไปทางไหนถึงจะถูกต้อง

จากเคยเข้มแข็ง แทบจะไม่หลั่งน้ำตาให้ใครเห็น กลับกลายเป็นร้องไห้ได้ง่าย ๆ

หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดุจหินผา แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนไหว ไม่ต่างอะไรดอกหญ้าที่โอนเอนไปมาตามแรงลม

เคยเฉยชากับทุกสิ่ง กลับใส่ใจทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา

เคยนอนกอดใครก็สามารถนอนหลับลงได้อย่างสบาย น่าขำสิ้นดี ทุกวันนี้การไม่มีเขาข้างกาย ทำให้ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้แม้แต่งีบเดียว

นาฬิกาแสดงเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะเข้าสู่เช้าวันใหม่

ผมยังคงนอนถอนหายใจไม่อาจนับครั้ง พร้อมกับฟังเสียงของสายฝน

การไม่เจอเขาหนึ่งคืนไม่สามารถช่วยให้อารมณ์ของผมเย็นลง

ทั้งที่อยากเจอแทบทนไม่ไหว แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรต่อไปแล้วจริง ๆ

ยิ่งพยายามจะเข้าใจเขามากเท่าไหร่ สุดท้ายมีเพียงความไม่เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น

เสียงฝีเท้าคุ้นเคยเดินวนเวียนอยู่หน้าห้อง

ผมเงี่ยหูฟังอย่างมั่นใจ แววตาเหล่มองนาฬิกาตั้งโต๊ะข้างเตียงอีกรอบ

ตีสี่ครึ่ง..

ถึงว่า..เช้าขนาดนี้ ผมตื่นตอนเจ็ดโมงทีไร ข้างกายจึงพบกับความว่างเปล่าทุกที

ผมผละหมอนของเขาออกจากอ้อมกอด พร้อมนำกลับไปวางไว้ หย่อนเปลือกตาลงและหันกลับมานอนหงายดังเดิม ผมคงเป็นเอามาก ขนาดเสียงฝีเท้าของเขา ผมยังจำได้อย่างแม่นยำ

อาจเพราะสองสามเดือนที่ผ่านมา ผมนอนซมแถมขาหักอยู่บนเตียง นอนฟังเสียงรอบกาย เพื่อรอเขามาหา จึงกลายเป็นว่าสามารถแยกเสียงฝีเท้าของเขาได้

โชคดีแกมตลกร้าย ที่ดันมีประโยชน์เอาตอนนี้ ผมห้ามไม่ให้เข้ามานอน แต่ไม่ได้หมายความว่าห้ามเข้ามาดูแลในฐานะพ่อบ้าน อย่างน้อยถ้าเขาตัดสินใจจะเข้ามา มันช่วยให้หลีกหนีการเผชิญหน้าที่ยังไม่พร้อมจะพบเจอ

ถึงความจริงมันจะขัดกับความต้องการของส่วนลึกในใจก็ตาม

หลังจากลังเลมาสักระยะ

ประตูห้องแง้มเปิดเสียงเบาอย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวจะผมจะตื่น โดยไม่รู้ว่าผมไม่ได้หลับตั้งแต่แรก

เสียงฝีเท้าย่องเข้ามา

เสียงสิ่งของบางอย่างที่เขากำลังถืออยู่กระทบกับเสื้อผ้า

ถึงแม้จะเป็นเสียงค่อนข้างเบาไม่อาจเทียบเท่าเสียงของหยาดฝน

ทว่าการกระทำทุกอย่างของเขาในเวลานี้ดังก้องไปทั่วหัวใจ กระตุกให้เต้นกระหน่ำหวั่นไหว

ผ้าห่มที่เคยอยู่ระดับเอว ถูกดึงขึ้นจนมิดลำคอ

หลังมือหยาบสั่นระริกแถมเย็นเฉียบ แนบสัมผัสบนหน้าผากเพื่อเช็คอุณหภูมิร่างกายอย่างเป็นห่วง อากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน สงสัยคงกังวลอาการป่วยที่เพิ่งหายของผมจะหวนกลับมาอีกรอบ

รสสัมผัสอันอ่อนโยน

ขจัดความหม่นหมองในใจไปจนหมด

เสียงร่างที่ทิ้งลำตัวยืนเข่าลงบนพื้นข้างเตียง เมื่อเช็คจนมั่นใจว่าในเวลานี้อุณหภูมิร่างกายของผมยังคงปกติ แต่เรียวนิ้วหยาบกระด้าง ยังไม่ผละออก พลางปัดไรผมบนใบหน้าอย่างบางเบา นุ่นละมุน เหมือนกับนำขนนกเกลี่ยไปมาลงบนผิว

ก้อนเนื้อข้างซ้ายเร่งจังหวะการเต้นจนแทบทะลุออกมาจากอก

ถึงจะดีใจแค่ไหน

กลั้นไว้

กลัวว่า ถ้าผมเผลอยิ้มออกไป แล้วเขาจะรู้ความจริง การกระทำแบบนี้ ซึ่งถ้าผมตื่น คงไม่มีทางแสดงออกมาให้เห็น

เรียวนิ้วชี้มาหยุดบริเวณริมฝีปาก กดสัมผัสอย่างทะนุถนอม ความประหม่าซึ่งสื่อออกมาจากปลายนิ้วอันสั่นเทิ้ม ใบหน้าคมกำลังโน้มลงมาใกล้อย่างกล้ากลัว

ใกล้..

ใกล้มากขึ้น

รู้สึกได้ถึงลมอุ่นรดบริเวณปลายจมูก ยิ่งพาลทำให้อะลีนาดีนแล่นสูบฉีดทั่วทุกส่วนประสาท สมองขาวโพลนจนไม่อยากจะคิดอะไร

เสี้ยววินาที เขาประทับริมฝีปากลงบนนิ้วชี้ของตัวเอง นุ่มนวลและแผ่วเบา ราวกับทุกอย่างรอบตัวหยุดเคลื่อนไหว ผมนอนแข็งทื่อเหมือนมีประจุไฟฟ้าวิ่งเต้นไปทั่วร่างกาย ลมหายใจของเราที่ประสานเป็นจังหวะเดียวกัน

ความห่างระหว่างริมฝีปากซึ่งมีเพียงนิ้วชี้ของเขากั้นกลางเท่านั้น

แววตาคมหย่อนคล้อยกลายเป็นหลับพริ้ม

ในขณะที่ผมสวนทางตกใจจนตาเบิกกว้าง

ตอนนี้การจะควบคุมความตื่นเต้นไม่ให้หลุดออกไปเป็นอะไรที่ยากเย็น อยากจะใช้อ้อมแขนทั้งสองโอบกอด รั้งต้นคอเขาเอาไว้ นำนิ้วชี้ของเขาออกไป ให้ริมฝีปากของเราแนบชิดไร้ช่องว่าง และกลายเป็นจูบจริง ๆ

ทว่า..ผมกลับอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไปมากกว่า จึงหลับตาลงและแกล้งทำเป็นหลับเหมือนเดิมอีกครั้ง

การกระทำอันแสนย้อนแย้งของเขา

สามารถกำหนดให้ผมมีความสุขได้ชั่วพริบตา

และทำให้ผมปวดร้าวจนแทบบ้าไปในเวลาเดียวกัน

ทั้งที่ทำให้ผมเจ็บปวดมาทั้งวัน ไม่ต่างอะไรกับการตบหัวแล้วลูบหลัง ถึงจะรู้แบบนั้น แต่ความโกรธภายในใจค่อย ๆ เหือดหายไปราวกับมีเวทมนตร์ ผมใจง่ายกว่าที่คิด แค่ถูกกระทำนิดหน่อยก็ให้อภัยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แค่นี้ก็ดีใจจนเนื้อตัวสั่น

มองอีกมุม.. มันก็คือหลักฐานว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้แล้ว

ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

แต่ช่วยอย่าทำให้หลงไปมากกว่านี้จะได้ไหม

อ้อมแขนที่กำลังจะยกขึ้นกอดเขาอย่างเผลอตัว โชคร้ายที่มันดันเป็นจังหวะที่เขาถอนกายออกไปพอดี ด้วยความเขิน ผมจึงแกล้งพลิกตะแคงและดึงผ้าห่มขึ้นมาปกปิดใบหน้า เพราะตอนนี้ผมกลั้นยิ้มไม่ไหวอีกต่อไป หวังว่าเขาจะไม่รู้ตัวว่าผมตื่นอยู่

กายใหญ่ที่ขยับไปที่ปลายเตียง

คงอาจจะตรวจดู ทำความสะอาดเฝือกบริเวณขาหักก็ได้

พอเขาตรวจเสร็จ ผมจะเอาผ้าห่มปิดหน้าออก

แล้วลุกขึ้นไปเซอร์ไพรส์ อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะทำให้เขาตกใจได้แค่ไหน

ของที่เขาถือมาด้วยก็วางปลายเตียง สงสัยคงจะเป็นกล่องพยาบาล

แต่..

ทว่า..

ผ่านไปนานสองนาน

ผ้าห่มบริเวณขาไม่ได้ถูกเปิดออก เฝือกไร้วี่แววของตรวจเช็ค หรือทำความสะอาด สายฝนโปรยปราย กลายเป็นโหมกระหน่ำ มีเพียงความรู้สึกบางอย่างที่กำลังคลอเคลียปลายเท้าเท่านั้น

"ผม..."

เสียงกระซิบผ่าวดังแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบ ด้วยความสงสัยผมจึงค่อย ๆ เปิดผ้าห่มแอบดูทีละน้อย

"ขอโทษนะครับ"

"ผมขอโทษครับ"

"ขอโทษ.. ขอโทษครับ"

"ขอโทษ"

น้ำเสียงกระเส่าพลางพูดย้ำคำเดิมเป็นสิบรอบ เหมือนคนเสียสติ

"ขอโทษ...ครับ.."

ผ้าห่มอยู่เปิดออกเต็มผืน ผมลุกพรวดพราดขึ้นมากะทันหัน

ความไร้เดียงสา

วูบหนึ่งในห้วงความคิด

จากการกระทำของเขาเมื่อครู่ ผมคิดว่าความสัมพันธ์กำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ภาพตรงหน้า แตกต่างจากสิ่งที่ผมนึกไว้ในใจราวฟ้ากับเศษหิน

เขาสะดุ้งโหยงหันมามองผมอย่างเหลอหลา สองมือ..

สองมือพนมยังคงวางไว้แทบปลายเท้า พานดอกไม้ธูปเทียนอยู่ด้านข้าง

ผม..

ผม..

ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้

ร่างกายมันแข็ง..

ชะงัก

ไม่คิดว่าจะกลับมาใช้คำนี้อีกครั้ง แต่คนละความหมาย

สมองขาวโพลน

ด้ายความอดทนเส้นสุดท้ายขาดสะบั้น ผมไม่เคยโกรธ โมโหอะไรจนขาดสติ และขาดการยับยั้งชั่งใจ ปล่อยการกระทำให้ไหลไปตามอารมณ์ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

พานดอกไม้ผมหยิบขว้างกระจัดกระจาย

ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดจาทำร้ายเขาไปแค่ไหน ภาพที่เห็นมีเพียงเขามองผมนิ่งอย่างไม่คิดจะตอบโต้อะไร เสียงอึกทึกครึกโครมทุกคนภายในบ้านตื่นกันหมดและรีบเข้ามายับยั้งสถานการณ์

ความสัมพันธ์ของเราเปราะบาง

เหมือนเจดีย์ทรายที่ถูกคลื่นทะเลซัดหาย

ถึงจะก่อมันขึ้นมาใหม่ก็คงไม่เหมือนเดิม

เหมือนความรู้สึกของเรา

พัง

พังทลาย

สุดท้าย สิ่งที่ผมกลัว กลายเป็นผมทำพังด้วยน้ำมือของตัวเอง เป็นคนโง่ คนเดิม ที่นำพาความรักของเรา มาถึงจุดดิ่งลงเหวอีกครั้ง

สุดท้ายกลายเป็นคนเดิมที่ทำพลาดอยู่ซ้ำ ๆ

หนึ่งประโยคที่ผมจำได้ไม่มีทางลืมคือไล่เขาไปให้พ้นสายตา

หนึ่งคำถามที่ผมจำขึ้นใจ

ผมถามเขาว่าขอโทษเรื่องอะไร

สุดท้าย..

คำตอบที่ได้คือความว่างเปล่าเช่นเดิม



TBC

.

.



ยังไม่ได้เกลาคำผิด เกลาประโยคนะคะ เราอาจจะมาเพิ่มเติมหลังจากนี้

ตอนนี้เกินเวลามามากแล้วค่ะ ต้องไปเติมพลังที่ร้านเนื้อย่างก่อน 555

รีบสุดฤทธิ์ เดี๋ยวจะไม่ทันร้านจะปิดไปเสียก่อน

เราอยากมี # ในทวิตบ้าง จริง ๆ ปกติเราไม่เคยเล่นทวิตเลยค่ะ เพิ่งหัดเล่นเมื่อไม่นานมานี้เอง

นิยายเรื่องนี้เรารู้สึกว่าไม่ค่อยมีจุดให้พูดคุยได้เท่าไหร่ 555 แต่ไปร่วมพูดคุยกันได้ที่ #ดอกคัตเตอร์ในมือคุณ

คนของเธอมันคือชื่อเพลง ส่วนใหญ่นิยายเราจะเป็นชื่อเพลงทั้งนั้นเลยค่ะ 555

ขอบคุณที่ยังติดตามนะคะ รัก♥

ออฟไลน์ Geawgard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ค้างงงง คุณเบต้าาาาทำอะไรหน่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด