あの日の君の笑顔は思い出に変わる
รอยยิ้มของเธอในวันนั้นกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำ
มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าระยะเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง...
แต่สำหรับตัวฉันมันยังคงรู้สึกเหมือนเดิม…
เช้าวันจันทร์อันเร่งรีบในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะบนถนน ป้ายรถเมล์ หรือสถานีรถไฟฟ้าก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนเหมือนๆกัน
‘ กรุงเทพฯนี่มันวุ่นวายจัง ไว้ครามเรียนจบ พี่มีเงิน เราไปหาบ้านอยู่ต่างจังหวัดกันเนอะ ’ ...ปิ๊บปิ๊บปิ๊บปิ๊บปิ๊บ...
เสียงประตูรถไฟฟ้าที่กำลังจะปิดดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ผมมาถึง นั่นหมายความว่ารถไฟผ่านไป 3 ขบวนแล้ว คนที่ยืนอยู่ก่อนบางคนก็ยังไม่ได้ขึ้น พร้อมๆกับที่มีคนใหม่มาต่อแถวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กรุงเทพฯตอนเช้านี่ช่างแออัดและวุ่นวายจริงเชียว ให้ตายเถอะ! ไม่น่าเผลอตัวเผลอใจไปเมาอยู่ที่ห้องไอ้ตี๋เลย ลืมไปซะได้ว่ามีนัดคุยงานตอน 9 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ยังดีที่สะดุ้งตื่นมาตอน 7 โมงด้วยเสียงโอ้กอ้ากของไอ้เพื่อนตัวดีที่ขย้อนน้ำข้าวและกับแกล้มที่กินไปเมื่อคืนซะหมดไส้หมดพุง ขบวนหน้าขอให้ได้ขึ้นเถอะ ไม่งั้นเดือนนี้ทั้งเดือนเห็นทีว่าคงจะต้องกินแกลบแน่ๆ เพราะงานที่จะไปดีลวันนี้เป็นงานใหญ่ชนิดที่ว่าแคนเซิลงานอื่นๆที่มาจับจองคิวไปเพื่อที่จะทุ่มเทให้กับงานนี้ ถ้าพลาดไปเนี่ย ต า ย แ น่ ๆ ! ! ! คำว่า
ศิลปินไส้แห้ง นี่ผมไม่อยากเข้าใกล้มันเลยจริงๆ กลัวแล้วจ้าาา
ไอ้เชี่ยตี๋ มึงนะมึง มาอกหักอยากเมาอะไรคืนก่อนกูมีงานวะ ฮ่วยยย ..ครืด ครืด..
พอบ่นถึงมันก็ไลน์มาทันที ตายยากจริงๆนะมึง Tee : ถึงบ้านยังมึง
ถึงกับเตี่ยมึงสิ กูรอมา 3 ขบวนละ ยังไม่ได้ขึ้นเลย :
เวรเอ้ยยยยย ถ้ากูชวดงานนี้ มึงต้องเลี้ยงกูทั้งเดือน! :
Tee : 555555
Tee : อย่าเกรี้ยวกราดไป ขบวนต่อไปได้ขึ้นชัวร์ เชื่อกู5555555
ไม่ต้องมาขำเลยไอ้เวร ถ้าไม่ใช่เพราะมึงอกหักกูคงไม่ยอมมาเมากับมึงหรอก :
ละกูก็จะไม่ต้องรีบขนาดนี้!! :
Tee : เอ๊ากูอกหักนี่ผิดหรอวะ55555
Tee : ตอนนี้ยังเฮิร์ทอยู่นะเว้ย แม่งหายเจ็บแค่เวลาเมาเองว่ะ
Tee : พอสร่างเมา ภาพเขาก็ขึ้นมาในหัวเหมือนเดิมแหละวะㅠ ㅠ
เอาไว้กูได้งานก่อนนะ :
แล้วกูจะมาเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดให้มึงเองเพื่อนรักส์ :
แล้วบทสนทนาก็ถูกทิ้งไว้แค่นั้น แล้วรถไฟที่ผมเฝ้ารอคอยก็กำลังจะมาถึงชานชาลา ตี๋เพื่อนรักมึงอย่าเพิ่งอกหักคิดสั้นไปก่อนนะ ตอนนี้กูขอใช้เวลาทั้งหมดไปกับการภาวนาให้กูไปทันเวลานัดก่อน
ใช้เวลาไม่นานนัก ผมก็มาถึงสถานีสุขุมวิท ผมรีบก้าวเท้าไปตามทางพร้อมๆกับคนอื่นๆที่เร่งรีบแบบไม่มีใครยอมใคร
นอกจากจะรอรถไฟแล้ว การรอคอยของผมยังไม่สิ้นสุด เรายังต้องมารอคิวมอไซค์ที่ถ้าเป็นเมื่อ 4 ปีก่อนผมคงไม่ต้องมารออย่างงี้ โอ้ยคุณพระคุณเจ้า
‘ ถ้าครามรีบก็บอกพี่สิ พี่บิดมอไซค์ไม่กี่ทีก็ถึงแล้ว ไม่ต้องไปรอวินให้เสียเวลาด้วย ’ หลังจากรออยู่เกือบ 10 นาทีก็ถึงคิว
“ ไปสุขุมวิท 29 พี่ เอาแบบด่วนๆเลยนะ ” ผมพูดจบก็รีบโดดขึ้นซ้อนท้ายอย่างเร็ว
พอบอกว่าด่วนพี่แกก็แว๊นมาให้อย่างไว เมื่อถึงจุดหมายปลายทางผมก็ควักเงินให้แล้วรีบก้าวเท้าเข้าบ้านไป ไม่รู้หรอกว่าจ่ายแบงค์อะไรไป ขาดหรือเกินก็ช่างมันละเวลานี้
เมื่อชำระล้างสารรูป เปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบข้าวของเรียบร้อย ผมก็รีบร้อนออกไปหาลูกรัก 2 ล้อที่จอดอยู่ในโรงรถ สตาร์ทเครื่องไปพร้อมกับตะโกนตอบแม่ที่ถามว่า ไม่กินข้าวก่อนหรอ ด้วยประโยคที่ว่า กินไม่ทันแล้วแม่ ไปด้วย หลังจากนั้นก็ทะยานตัวออกไปเพื่อไปให้ทันเวลานัด
ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีที่สถานที่ที่นัดดีลงานกับลูกค้าเป็นคาเฟ่เล็กๆที่ไม่ไกลจากแถวบ้านผมนัก ก็เลยทำให้มาทันเวลาอย่างฉิวเฉียด เฮ้อ รอดตายไปอีกเดือน
“ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม เดี๋ยวผมติดต่อไปทางไลน์นะครับ วันนี้คงต้องไปก่อน พอดีมีธุระต่อน่ะครับ ” คุณธีรยุทธลูกค้ากระเป๋าหนักของผมในเดือนนี้เอ่ยขึ้นมาหลังจากคุยรายละเอียดงานกันมาสักพัก
“ อ่อได้ครับ งั้นถ้าผมร่างแบบเสร็จจะส่งให้ยุทธดูอีกทีนะครับ ” ผมก็ตอบรับพร้อมฉีกรอยยิ้มพิมพ์ใจไปให้ด้วย
ลูกค้ารายใหญ่ของผมออกจากคาเฟ่ไปแล้ว แต่ผมยังไม่ย้ายสารร่างไปไหน ไหนๆก็บึ่งมาแล้ว นั่งทำงานต่ออีกสักหน่อยก็คงดี เมื่อก่อนสมัยเพิ่งเรียนจบ ยังเป็นฟรีแลนซ์มือใหม่อยู่ ผมนี่ตระเวนนั่งทำไมงานในร้านคาเฟ่ไปทั่วกรุงเทพฯเลย แต่มันก็นานมาแล้วที่ห่างหายไป
‘ นี่แถวที่ทำงานพี่มีคาเฟ่มาเปิดใหม่ ครามไปนั่งทำงานที่นั่นสิ พี่เลิกงานแล้วเดี๋ยวลงมาหา ’ ...ครืน ครืน…
นั่งทำงานมาสักพักก็ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ผมเลยเหลือบตามาดูเวลาตรงมุมด้านล่างขวาของโน๊ตบุ๊ค ปรากฏเวลา 11.23 น.
อะไรกันวะ ตกแต่วันเลยหรอวันนี้ พอบ่นในใจได้แป๊ปเดียวเท่านั้นแหละ สายฝนก็ร่วงหล่นลงมากันเกรียวกราว ตกแบบไม่ลืมหูลืมตา ผู้คนที่เดินอยู่ตามข้างทางรีบร้อนหาที่หลบฝนกันใหญ่
...กรุ๊ง กริ๊ง…
เสียงเปิดประตูร้านดังขึ้น พร้อมกับผู้คนแถวนั้นที่หลั่งไหลกันเข้ามาหาที่หลบฝน ด้วยความที่ผมนั่งติดกระจกร้านและหันหน้าไปทางประตูร้าน มันเลยทำให้ผมอดที่จะไม่เงยหน้าขึ้นมามองผู้คนเหล่านั้นไม่ได้
ผมเงยหน้าขึ้นมาพร้อมๆกับที่ผู้ชายคนนึงที่เข้ามาใหม่ก็หันมาทางผมเช่นกัน และทันทีที่เราสบตากัน เขา มีสีหน้าประหลาดใจส่งมาให้ แต่สำหรับตัวผมเองไม่รู้ว่าทำสีหน้าแบบไหนส่งกลับไป
...ในเมื่อคนที่เพิ่งสบตากันนั้น คือ
แฟนเก่า ที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบ 4 ปี…
พี่เต้ ผู้ชายที่ผมไม่เคยลบเขาออกจากใจได้เลย
เขาเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ เสร็จแล้วก็เดินตรงมายังโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
“ พี่นั่งด้วยคนนะ ” เขาพูดแล้วก็เลื่อนเก้าอี้ออกลงนั่ง
ใจผมอยากจะปฏิเสธออกไป โต๊ะอื่นก็มีว่างทำไมไม่ไปนั่งวะ แต่ว่าปากมันก็เกิดอาการพูดอะไรออกมาซะดื้อๆ เมื่อได้สติพี่เขาก็นั่งลงไปแล้ว
“ ไม่คิดนะเนี่ยว่าจะมาเจอครามที่นี่ ” เป็นเขาที่เริ่มเปิดบทสนทนา
ผมก็ได้แค่ฉีกยิ้มแห้งๆส่งกลับไป ไม่รู้จะตอบอะไรจริงๆ หัวมันตื้อไปหมด การเจอเขาในวันนี้ผมทั้งดีใจและก็เสียใจปนๆกันไป
เขาในวันนี้กับในอดีตไม่ได้ต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือแม้แต่บรรยากาศรอบๆตัว ผมแพ้เขายังไงวันนี้ก็ยังแพ้อยู่อย่างงั้น
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนคบพี่เต้ ผมผ่านมาหลายคน แต่มันไม่มีใครเหมือนพี่เขาเลย พี่เขาเป็นคนที่ผมยอมให้ทุกอย่างจริงๆ รอยยิ้มกว้างของเขาที่เป็นเหมือนพลังงานของผม ในวันนี้มันก็ยังเหมือนเดิม
อะไรๆก็เหมือนเดิม คงมีแต่ความสัมพันธ์ของเรานั่นแหละที่ไม่เหมือนเดิม “ พี่ทำให้ครามอึดอัดหรือเปล่า ขอโทษนะ เดี๋ยวพี่ไปนั่งโต๊ะอื่นก็ได้ ”
“ ไม่! ” ผมพูดออกมาเสียงดังหลังจากจบประโยคของเขา พี่เขาคงเห็นว่าผมไม่ตอบอะไรเลยพูดขึ้นมา ให้ตายสิ ผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ยังแพ้พี่อยู่ดี
“ ฮะๆ เบาๆก็ได้ ” เขาพูดขำๆพร้อมกับทำท่าจะมาขยี้หัวผม แต่ก็ชะงักมือกลับไปก่อน แล้วก็ค้อมหัวลงเชิงขอโทษ
“ ครามดีใจนะที่ได้เจอพี่เต้อ่ะ ” ในที่สุดผมก็พูดมันออกไป อยากจะเงยหน้าขึ้นไปสบตาแต่ใจมันบอกว่าไม่ไหว
“ นี่ครามยังตระเวนนั่งทำงานตามคาเฟ่อยู่อีกหรอ ไปครบทุกคาเฟ่ในกรุงเทพฯรึยังเนี่ย ” เขาถามอย่างติดตลก ส่วนตัวผมก็ทำได้แค่ส่งยิ้มกลับไปให้
จะให้พูดยังไง ผมไม่ได้ไปนั่งทำงานที่คาเฟ่ไหนอีกเลยหังจากเราเลิกกัน ผมกลัว กลัวว่าจะอดคิดถึงช่วงเวลาดีๆของเราไม่ได้ ผมไม่อยากเสียน้ำตาอ่อนแอให้ใครเห็น จึงทำได้แค่ส่งยิ้มกลับไปแล้วแสร้งเปลี่ยนเรื่องคุย
“ พี่เต้เป็นไงบ้าง ยังทำงานอยู่ที่เดิมป้ะ ”
“ ออกแล้ว ” พี่เขาตอบพร้อมส่งยิ้มอบอุ่นมาให้
“ เบื่อน่ะ มันอิ่มตัวด้วยมั้ง พี่เลยลาออก ตอนนี้ก็มาทำฟรีแลนซ์เหมือนเรานี่แหละ ”
“ ทำอะไร ” ผมถามกลับไปอย่างไว สมองสั่งว่าไม่อยากรับรู้เรื่องเขาเท่าไหร่ แต่มันก็ปฏิเสธใจที่อยากรู้ความเป็นไปของเขามาตลอดไม่ได้หรอก
“ รับสอนภาษาอังกฤษน่ะ ”
เมื่อได้รับคำตอบ ผมก็จินตนาการภาพตาม เขาน่าจะเป็นติวเตอร์ที่ลูกศิษย์ผู้หญิงปลาบปลื้มมากแน่ๆ
แล้วผมก็เห็นภาพซ้อนทับขึ้นมา มันเป็นสมัยเรียนที่เขาช่วยติวภาษาอังกฤษให้ผมตลอด
‘ ไม่ใช่อย่างงั้น ออกเสียงใหม่สิคราม ทำไมตลกอย่างงั้นหล่ะ สร้างคำใหม่หรอ ’ เขาพูดไปด้วยขำไปด้วย ไม่พอยังยื่นมาขยี้หัวผมซะยุ่งไปหมด เสียงคนตรงหน้าสนทนากับคนในโทรศัพท์ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ของวันวานมาอยู่กับปัจจุบัน
คิดถึงมันมากเท่าไหร่ก็คงย้อนเวลากลับไปไม่ได้ “ เต้ติดฝนอยู่ร้านโปรดฟิล์มนั่นแหละ...จ้าๆสั่งแล้ว ไม่ลืมหรอก..ไว้ฝนหยุดจะรีบไปนะครับ ”
ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้ามันบอกว่าเขามีความสุขแค่ไหน ไม่ต้องให้ผมเดาเลยว่าคนในสายคือใคร ที่ไม่ต้องเดาเพราะผมรู้มาตลอด ก็อย่างที่บอกว่าห้ามใจตัวเองไม่ให้อยากรู้เรื่องราวของเขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้มันให้ผมรับรู้ว่าเขากำลังมีรักครั้งใหม่ที่กำลังสวยงามและไปได้ดี ผมไม่ได้รับรู้มันจากการเห็นด้วยตัวเองหรอก แต่มันมาจากคำบอกเล่าของไอ้ตี๋อีกที ผมจะปฏิเสธที่จะรับรู้ก็ย่อมได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ทั้งๆที่พอรู้แล้วจะทำให้ตัวเองเจ็บเจียนตายก็ตาม
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีก พี่เขาได้เครื่องดื่มากินอยู่สักพักฝนที่ตกเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อครู่ก็เริ่มซาลง
“ คราม ”
ผมเงยหน้าจากหน้าจากงานที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆนับแต่พี่เขาเข้ามา พร้อมเิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามให้คนตรงหน้า
“ ฝนเริ่มซาแล้ว เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้วแหละ ”
“ อื้อ ครับ ”
“ ไว้พี่มีคาเฟ่เก๋ๆเดี๋ยวส่งไลน์ไปให้นะ แต่พี่ว่าครามคงไปมาหมดแล้วมั้ง ” เขาพูดพร้อมกับขำน้อยๆ ขำแบบสไตล์พี่เต้ ขำที่ทำให้คนยิ้มตามได้
แต่วันนี้ผมยิ้มไปกับเขาไม่ไหวจริงๆ ยิ้มที่ส่งให้เขามันต้องฝืดมากแน่ๆ
“ ไปแล้วนะ ” เขาเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว แล้วก็หมุนตัวเดินออกจากร้านไป
ออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ทิ้งไว้ให้ผม
รอยยิ้มที่จะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป เมื่อผมดึงสติตัวเองกลับมาจากความเศร้าสร้อยได้แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาตี๋เพื่อนรัก
มึง :
กินเหล้ากัน :
กูอกหักให้กับคนเดิมอีกแล้วว่ะ :
THE END