ใจเทพพิสุทธิ์ The Pure heart : (Yaoi) SM Drama (ตอนที่ 7 สมมติพิสุทธิ์)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ใจเทพพิสุทธิ์ The Pure heart : (Yaoi) SM Drama (ตอนที่ 7 สมมติพิสุทธิ์)  (อ่าน 3383 ครั้ง)

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



**********************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 23:24:42 โดย chin_va »

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ใจเทพพิสุทธิ์
«ตอบ #1 เมื่อ17-10-2019 22:31:58 »

ใจเทพพิสุทธิ์

เนื้อเรื่องย่อ

          วิหารที่สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน  นานนับพันปีตระหง่านง้ำ  อยู่หนือเมฆหมอกสีขาว  ที่สูงว่าสูงที่สุดกว่าดินแดนแห่งใดในสนธยานี้  บัดนี้คราคล่ำไปด้วย  ผ้าระยิบสีดำ  เพื่อไว้อาลัยแก่การจากไปขององค์กษัตริย์ 
   
   บุรุษที่ยืนอยู่ตรงโถงกว้างด้านหน้า  ประจันหน้าอยู่กับอีกหนึ่งบุรุษ  ทั้งสองต่างอยู่ในชุดกันคนละแบบ ทว่าสีขาวบริสุทธิ์ที่ทั้งสองคนสวมใส่นั้น  ประดับไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดี  หากต่างกันที่องค์รูปของแต่ละคนต่างกันด้วยวรรณะที่สองคนเป็นคนละอย่าง  มือชายผู้หันหลังให้โถงกว้างนั้น  หนึ่งข้างปล่อยแนบกับลำตัวอันงามสง่า  ส่วนมืออีกข้าง  ไพ่หลังเอาไว้แสดงถึงความแข็งแกร่งที่ตัวเองมี   ถ้ามีใครซักคนมองจากตรงนี้ไป  ก็จะเห็นเพียงเสี้ยวนิดเดียวของชายอีกฝั่งเท่านั้น

   “เสด็จพ่อสิ้นพระชนย์แล้ว”  น้ำเสียงอันราบเรียบนั้น กังวาน แต่แฝงไปด้วยความเศร้ายิ่งนัก

   “กระหม่อมทำดีที่สุดแล้ว  เตือนพระองค์ถึงสามครั้ง แต่พระองค์ไม่ทรงรับฟังคำเตือนของกระหม่อม” 

   “ท่านไม่ผิดหรอก เทพพิสุทธิ์  แต่ ณ บัดนี้ไป  เมืองรอบข้างทั้งหมด  คงจะมุ่งหันเข้ามาประชิดเมืองเราเป็นแน่   และเป้าหมายของพวกมันเหล่านั้น  ก็คงจะต้องเป็นท่าน  และตัวข้าเองก็เคยบอกกับท่านแล้ว ว่าข้าจะไม่ขอใช้อำนาจ หรือเวทย์พิเศษอันใดที่ท่านมีอยู่  เพื่อที่จะทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่  ข้า “องค์รัชทายาท”  แห่งเมฆาพยัค  จะใช้สติปัญญา  แลพลังกำลังของตัวเองที่มี  เพื่อที่จะปกป้องอาณาประชาราษฏร์  รวมไปถึง  ปกป้องท่านด้วยนับจากนี้” 

   ชายผู้ที่ถูกกล่าวถึง  ก้มหน้าลงเพียงนิด  ใบหน้าที่ขาวใสดุจหมอกรอบข้าง ยิ้มให้เพียงน้อย  ก่อนจะกล่าวขึ้น   

   “ทำไมทรงตรัส  เพื่อที่จะทำร้ายกระหม่อมเช่นนี้  นับตั้งแต่กระหม่อมถือครองวิหารบรรพชน นี้เป็นต้นมา  พระองค์ก็ทรงทราบไม่ใช่หรือ ว่าสองมือของกระหม่อม  เปื้อนเลือดมานับไม่ถ้วน   ถ้าไม่ทรงต้องการสติปัญญา แลพลังของพิสุทธิ์นี้  พระองค์จะทรงให้กระหม่อมทำเช่นไร  หรือว่าจะต้องฆ่ากระหม่อมทิ้งเสีย” 

   “ข้าไม่มีวัน  จะฆ่าท่าน  แต่ท่านต้องรับปากต่อหน้าองค์พระปฐมบรมพยัค ว่าท่านจะไม่ใช้เวทย์อันใดเพื่อที่จะปกป้องข้า และเหล่าทหารของข้าอีกเป็นขาด   ถ้าหากวันใดที่ท่านทำ แม้แต่เพียงครั้งแรก หรือครั้งเดียว   ข้าจะทำให้ความบริสุทธิ์ของท่านหายไป” 

   “ฝ่าบาท”  น้ำเสียงที่สั่นเครือ พูดออกมาอย่างแผ่วเบา กับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า  ก่อนที่ผู้ชายร่างสูงกว่านั้น  จะหันหนีและเดินออกมา ทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้   อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอีกครั้ง

   “ได้โปรดเถิด เทพพิสุทธิ์  บัดนี้ข้าไม่ใช่องค์รัชทายาทแล้ว แต่ข้าคือองค์กษัตริย์  กฎที่มันมีมานับพันปี  นับจากนี้  ข้าจะเปลี่ยนมัน ให้ข้าได้เป็นกษัตริย์อย่างแท้จริง  และนับจากนี้ก็ขอให้ท่านคือเทพพิสุทธิ์อย่างแท้จริงด้วยเถิด” 

   ถึงแม้คนที่พูดจะเป็นถึงว่าที่องค์กษัตริย์ใหม่แห่งมหานครานี้  แต่ตามกฎก็ยังต้องทำความเคารพต่อบุรุษร่างเล็กกว่าตรงหน้าอยู่ดี    “เทพพิสุทธิ์” รับการเคารพนั้น  ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินจากกันไป 

   หนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร  มีแต่เพียงสวรรค์เท่านั้นที่รับรู้ได้

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ใจเทพพิสุทธิ์
«ตอบ #2 เมื่อ18-10-2019 22:03:54 »

ตอนที่ 1  ปฐมบทแห่งพิสุทธิ์

      วิหารสีขาวทองด้านหลัง ใหญ่ตระหง่านง้ำอยู่เหนือขุนเขาที่สูงที่สุดของเขาทั้งปวงในอาณาบริเวณรอบข้าง ม่านน้ำตกคือฉากหลังที่ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดไหล  หากเปรียบประดุจว่าเมืองที่เห็นอยู่ตรงหน้าสวยกับราวเทพนิยาย ก็คงจะเปรียบได้ดังนั้น เบื้องซ้ายวิหารสีขาวทองด้านข้าง  เป็นอีกหนึ่งมุมของกลุ่มหลังคาโบราณ  ใหญ่ และงามสง่า  ลดหลั่นกันออกไปตามเชิงผาที่อยู่   ช่วงแทรกของเหวผานั้น ประกอบไปด้วยรูปปั้นหินยักษ์น่าเกรงขามของเหล่าบรรพกษัตริย์องค์เก่าๆ  แห่งเมฆาพยัค ลักษณะท่วงท่า  คล้ายกำลังปกป้องเมืองแห่งนี้อยู่  ถัดจากเบื้องซ้ายลงไป ตรงด่านล่างสุดของขอบเชิงเขาที่มีแม่น้ำอันเกิดจากน้ำตกด้านหลังไหลผ่าน  คลาคล่ำไปด้วยบ้านเรือนปลูกไว้อย่างมีระเบียบ แบบแผน  สวยงาม  ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ  ลงไปตั้งแต่ด้านซ้ายสุดของเชิงเขา  ถึงช่วงกลางที่แม่น้ำนั้นไหลผ่านและเลยไปจนถึงริมขวาของเขาอีกด้าน  แม้จะมองไกลๆ  ก็ดูยิ่งใหญ่นัก   แต่ก็ยังเทียบไม่ติดกับกำแพงเมืองสีน้ำตาลเปลือกไม้ ที่ทำให้เมืองนี้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งไปกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว

วิหารด้านบนสุดที่กล่าวถึง  อันเป็นที่ประทับเถ้าธุลีของสองบรรพชนใหญ่  ผู้ที่หนึ่งบรรพชน  ปกครองในระบอบกษัตริย์มายาวนาน ผู้ถืออำนาจการปกครอง รวมไปถึงเหล่าเสนาธิการทั้งหมด  ส่วนอีกหนึ่งบรรพชนคือสมติเทพผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดกับเทพที่ลงมาจุตติบนโลกมนุษย์ มีทั้งเวทย์ และศาสตร์ ที่ปรึกษาแห่งกษัตริย์   สองบรรพชนสองตระกูลที่เกื้อหนุนกันมานับพันๆ ปี   ณ ตอนนี้ วิหารบรรพชนแห่งนี้บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน  เสียงโหวกเหวกโวยวายที่อยู่ด้านใน  ถึงแม้จะไม่ดังมากนัก แต่ก็ยังพอจะจับใจความได้อยู่ดี
 
   “ตามหมอหลวงเร็ว”  เสียงหญิงกึ่งชราท่านหนึ่งประครองหญิงชราอีกฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงหนาสีทอง  ภายในห้องโถงใหญ่ ถึงแม้จะดูมีอายุ ด้วยวัยที่น่าจะล่วงเลยมาแล้วเกินช่วงอายุคนของทั้งสอง  แต่แววตา และสีหน้านั้นดูมีอำนาจมากเหลือเกิน
“อย่าตาม !!!  ไม่ต้องให้ใครเข้ามาในวิหารบรรพชน    ห้ามให้คนนอกเข้ามาเด็ดขาด  คุณเท้า  ตอนนี้รัตติอยู่ที่ไหน”  เสียงสุดท้ายเว้นวรรคไปซักชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง น้ำเสียงที่เป็นเชิงถามอยู่ในที กุมมือทั้งสองเอาไว้  แม้แรงที่จะพูดนั้นก็แผ่วเบายิ่งนัก

“อยู่กับองค์รัชทายาทเพคะ เห็นบอกว่าจะไปหัดทรงธนูกันทั้งสองพระองค์ตั้งแต่เช้า”  เสียงสั่นเครือของคนที่ถูกเรียกว่าคุณเท้า  บัดนี้น้ำตาเริ่มไหลออกมา ทั้งท่าที่และน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลยิ่งนัก

 “จงทำตามที่ข้าบอก ห้ามตามหมอหลวงหรือคนภายนอกมาเด็ดขาด  ปิดวิหารบรรพชนเจ็ดราตรีก่อนที่ฝ่าบาทจะกลับมา ให้ใครก็ได้ไปตามรัตติ แล้วเชิญให้พระองค์ไปสระเหมันต์   ส่วนตัวเจ้าออกไปทางเส้นทางลับ แล้วไปแจ้งกับองครักษ์รัชทายาท  คุ้มกันรัชทายาท  ห้ามให้เสด็จออกจากพระตำหนักตะวันตก ทหารที่เหลือที่ไม่ได้ติดตามฝ่าบาท   ให้รวมกองกำลังทั้งกองกำลังของวิหารบรรพชน และกองกำลังของท่านสมุหกลาโหม  ทั้งหมดที่เหลือจงไปฆ่าองค์ชายม่านพิทักษ์และพระชายาทิ้งเสีย  รีบไปเร็ว  !!!  ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้”  อำนาจของเสียงนั้น สะกดให้อีกคนต้องรีบทำตาม  ไม่มีน้ำเสียงใดที่จะทรงอำนาจไปกว่านี้  เหมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้ที่หญิงชราผู้ที่นอนแทบไร้เรี่ยวแรงพูดออกมานั้น  เป็นเรื่องปกติทั่วไป

“เพคะ”  น้ำเสียงตอบกลับละล่ำละลักของหญิงชราผู้มีศักดิ์ต่ำกว่า  ย่อตัวทำความเคารพอยู่ตรงหน้า พร้อมเดินถอยหลังออกมา  บัดนี้น้ำตาสองข้างอาบแก้ม  เพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น

   “อโนทัย   เจ้าจงติดตามไปกับคุณเท้า  ปกป้องคุณเท้าจนกว่าจะถึงพระตำหนักตะวันตก  ใครขวางฆ่าให้หมด จนกว่าทุกอย่างจะปลอดภัยดีแล้ว   เจ้าค่อยกลับมา  และท้ายสุดจงนำหัวของม่านพิทักษ์ มาให้ข้าดูด้วย” 

“พะย่ะค่ะ เทพีพิสุทธิ์” 

“ไปเร็ว !!!!”  ทันทีที่สิ้นเสียงของหญิงชราทรงอำนาจนั้น  ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างหุนหันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน   ด้านข้างเตียงยังคงคุกรุ่นไปด้วย หม้อยาที่ถูกต้มให้เดือดอยู่ตลอดเวลา   บัดนี้ หญิงชราผู้ที่นอนราบอยู่บนเตียงนั้น  ร่างกายผอมซูบลงไปตามวัย   เหม่อมองไปบนเพดานของห้องโถง  กล่าวขึ้นกับตัวเองช้าๆ

“น่าขันเหลือเกิน  ที่ข้า  รู้เรื่องสวรรค์ นรก  หรือบนโลกมนุษย์นี้ทุกอย่าง  ดวงตาของข้าสามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  ในเรื่องราวของอนาคตกาลข้างหน้า  เวทย์ที่สามารถบันดาลให้ดิน  ลม  ไฟ และน้ำ  เป็นไปได้ตามปรารถนา   แต่ข้า กลับไม่รู้อนาคตของตัวเองรวมไปถึงพิสุทธิ์คนต่อไปเลยหรือ” 

……………………………………

ลานกว้างที่อยู่เบื้องหน้า  ลาดปูด้วยแผ่นหญ้าสีเขียวอ่อนนุ่ม  เกล็ดของน้ำค้างยามเช้ายังคงไม่หายไป  หมอกที่เริ่มลงหนาในช่วงเช้า เริ่มหายไปด้วยเช่นกัน ลานแห่งนี้รายล้อมไปด้วยทหารชุดสีแดงน่าเกรงขาม   แต่ก็แยกกันเห็นเด่นชัดในส่วนกลางของลานกว้างนั้น   ด้านข้างหนึ่ง เป็นแผ่นไม้แกะสลักอย่างสวยงาม ทั้งห้าแผ่นวางเรียงกันอย่างมีระเบียบ  ส่วนของตรงกลางแผ่นไม้นั้น  มีลูกธนูปักอยู่ตรงกลางของแผ่นไม้อย่างแม่นยำ    ส่วนอีกฟากฝั่งหนึ่งนั้น  บุรุษผู้งามสง่าสองคน  ถึงแม้จะดูอายุจะย่างเพียงแค่  14-15   และวัยนั้นดูไล่เลี่ยกันทั้งสองคน  แต่ก็รูปร่างก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน   กำลังจะเงื้อธนู โดยมีเป้าหมายอยู่ที่แผ่นไม้ฝั่งตรงข้ามนั้นอย่างใจจดใจจ่อ   

   หนึ่งชายหนุ่มผู้สวมชุดสีทองระยับ  ปักดิ้นเงินจนเห็นชัดเจน  ลักษณะนั้นดูหรูหรา  แต่ก็แฝงไปด้วยความทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว  ผ้าที่คาดอยู่บนหน้าผาก สีทองล้วน ทำให้เสี้ยวหน้านั้นดูคมคายมากยิ่งขึ้น   หากผ้าสีทองที่คาดอยู่บนหน้าผากนั้นเป็นสีทองคำล้วน จนสะท้อนกับแสงแดดยามเช้านั้น   นั่นคือเครื่องหมายว่าชายผู้นี้คือองค์รัชทายาทแห่งเมฆาพยัคนั่นเอง

   ส่วนชายหนุ่มอีกคน ลักษณะรูปร่างถึงแม้จะดูเล็กกว่านิด แต่ก็ดูน่าเกรงขามไม่แพ้กัน  ชุดสีขาวสะอาด คลุมยาวไปหมดทั้งตัว  ลักษณะให้รู้ว่าเหมือนกับอยู่ในที่อากาศหนาวเย็นอยู่ตลอดเวลา  เสื้อสีขาวคลุมไหล่ลงมาทั้งหมด ยาวจนแทบจรดพื้น   หากสิ่งที่มีคล้ายกัน  คือผ้าคาดหน้าผาก  เป็นสีขาวสีเดียวกับเสื้อคลุม แต่ขอบด้านข้างตัดด้วยสีทอง  และนั่นก็คือเครื่องหมายว่าชายผู้นี้คือพิสุทธิ์คนต่อไปนั่นเอง

   “พี่ชาย ยิงเข้าได้แม่นกว่ารัตติ  รัตติฝึกตั้งหลายวัน  เข้าเพียงแค่สองแผ่นป้ายเท่านั้นเอง”  เด็กชายตรงด้านข้างนั้น เสียงพูดเจื้อยแจ้ว ตามประสาวัยเด็กที่กำลังจะโต ถึงจะกำลังพูดแต่ก็ไม่ได้หันเข้าหาสบตากับอีกฝ่าย

   “ก็รัตติวันๆ  เอาแต่อยู่ในวิหาร สวดอะไร พูดอะไร ภาษาอะไรก็ไม่รู้ พี่ฟังไม่เห็นรู้เรื่อง  นานๆ ถึงจะมาให้ตัวเองได้สัมผัสกับแสงแดดซักทีหนึ่ง  ผิวหน้าผิวกาย ซีดเหมือนคนตายแล้ว  พี่เห็นฝึกยิงธนูครั้งที่แล้ว  ธนูอันใหญ่หน่อย รัตติก็ยกแทบไม่ไหว”   คนที่ถูกพูดถึง  ไม่กล่าวคำค้านใดมาอีกครั้ง  เพียงแต่ ง้างธนูดึงสายขึ้นอีกครั้ง   หลับตาทั้งๆ  ที่รู้ว่าตัวเองก็ยิ่งยิงเป้านั้นได้ไม่แม่นยำนัก  แต่ไม่ใช่เพียงแค่หลับตา  ริมฝีปากของคนที่โดนสบประมาทเมื่อซักครู่กับเผยอขึ้นมานิดหนึ่งอยู่ตลอดเวลา คล้ายๆ  พูดกับตัวเอง จะมีเสียงรอดออกมาเพียงนิดเท่านั้น

   ทันทีที่ริมฝีปากคู่นั้น เงียบสนิทอีกครั้ง  ลูกธนูที่คิดว่าตอนแรกมีเพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้น ช่วงของการปล่อยสายธนู  กับเพิ่มลูกดอกออกเป็นถึง  10  ดอกภายในเสี้ยวของเวลาแม้เพียงกระพริบตาก็แทบมองไม่เห็น   แต่เหนือกว่านั้นลูกธนูทั้งสิบดอกที่หลุดออกไปจากเด็กชายชุดสีขาว กับพุ่งเข้าไปตรงกลางของแผ่นไม้ทั้งสิบแผ่นอย่างแม่นยำ ราวกับมีคนเอาไปปักไว้อย่างนั้น  ไม่เพียงแต่โดนตรงกลางของเป้าหมายพอดี  แต่แรงของลูกธนูนั้น กลับทำให้ลูกธนูคันเก่าที่ปักเอาไว้อยู่แล้ว ร่วงหล่นลงมา  โดยมีลูกใหม่ปักเข้าไปแทนที่

   “ขี้โกง” !!!!”   เสียงที่ไม่ดังนักขององค์รัชทายาท หันมามองผู้ที่กำลังจะเดินไปทางด้านหลัง  เหมือนกับว่าเรื่องราวตรงหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

   “ขี้โกงตรงไหน  ก็พี่ชายไม่ได้บอกว่ายิงธนูครั้งนี้  ห้ามรัตติใช้เวทมนต์นี่”

   “แต่พี่เคยบอกกับแล้ว ว่าอยู่กับพี่ห้ามรัตติใช้เวทย์มนต์”  ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าองค์รัชทายาทยังคงหาเหตุผลมาอ้างต่อ

   “พี่บอกแต่ว่าห้ามรัตติใช้เวทย์มนต์ในวันทีรัตติเป็นเทพพิสุทธิ์ต่างหาก  พี่ชายไม่ได้บอกซะหน่อยว่าตอนที่เป็นรัชทายาทเทพ ห้ามรัตติใช้”  ทันทีที่พูดจบ    เด็กอีกคนที่ตัวเล็กกว่าก็ทำทีท่ายักคิ้วหลิ่วตาให้กับอีกฝ่าย  เสมือนว่าการเถียงนี้ตนเป็นผู้ชนะ   พร้อมเดินก้าวออกไปอีกก้าว แต่เดินได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ร่างทั้งร่างก็ถูกกระชากกลับมา ถึงแม้จะไม่แรงนัก  แต่ก็ทำให้อีกคนล้มเซเข้ามาหาได้

   “ไอ้ตัวแสบ  !!!”  ทั้งน้ำเสียงและคำพูดนั้นดูไม่จริงจังนัก   องค์รัชทายาทส่งยิ้มให้อยู่ในที   การเถียงกันแต่ละครั้งของสองคน   ถ้าผู้คนรอบข้างมองเห็นก็จะรู้ตลอดว่า  ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าองค์รัชทายาท มักจะโอนอ่อนผ่อนตามให้กับรัชทายาทเทพโดยตลอด  เพราะไม่รู้ว่าเกิดจากความรัก เอ็นดูหรืออะไรก็แล้วแต่  ที่สองคนได้เห็น พบเจอกันตั้งแต่เกิดมาจนจำความได้  ก็มีกันเพียงแค่สองคนตลอด  คนหนึ่ง เพียบพร้อมด้วยพ่อแม่  อย่างในฐานะกษัตริย์  ส่วนอีกคนหนึ่ง  เป็นเพียงเด็กที่เกิดมาในแคว้นของเมฆาพยัค   กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก  เพียงแต่ชะตาของผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเทพและเทพีพิสุทธิ์  ได้กำหนดเอาไว้แล้วว่า เค้าผู้นี้คือ “รัชทายาทเทพองค์ต่อไป”

   ทั้งสองคนหัวเราะให้แก่กัน อย่างมีความสุข  รัชทายาทเทพ  ลุกขึ้นยืนขึ้นมาโดยการดึงขึ้นขององค์รัชทายาท  เพราะอีกนิดถ้าไม่รั้งเอาไว้ก็คงจะล้มไปด้วยกันเป็นแน่

   “รัชทายาท !!!”   เสียงตะโกนขึ้นมาดังจากด้านหลัง  ทหารผู้หนึ่ง  เดินวิ่งขึ้นมาจากมุมลานกว้างด้านล่าง  พร้อมกับทหารที่ติดตามมาอีกขบวนใหญ่  หนึ่งคือกลุ่มทหารเสื้อสีแดง คาดผ้าหน้าผากด้วยสีแดงชาดเฉกเช่นเดียวกัน  ในมือแต่ละคน ถือดาบและโล่ด้านข้างเอาไว้เต็มกำลัง  ส่วนทหารอีกกลุ่มหนึ่ง สวมชุดสีขาวยาวคาดผ้าหน้าผากด้วยสีขาวเช่นเดียวกับชุดที่สวมอยู่  ความเหมือนของทหารทั้งสองกลุ่ม มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันคือถือทั้งดาบและโล่เอาไว้ทั้งสองมือ

   “มีอะไร” 

   “โองการจากเทพีพิสุทธิ์กระหม่อม  ให้กระหม่อมคุ้มครองพระองค์กลับตำหนักตะวันตกเดี๋ยวนี้   และให้องค์ชายรัตติ กลับเข้าวิหารบรรพชนตอนนี้เช่นเดียวกันกระหม่อม”
 
   “ทำไมอยู่ดีๆ  เทพีพิสุทธิ์ถึงได้มีคำสั่งลงมา  เกิดอะไรขึ้นรึ”   องค์รัชทายาทถามขึ้นเพราะมีความสงสัยอย่างเต็มประดา  ปกติ  ถ้าเกิดวันไหนมีการเรียน การสอน  ไม่ว่าจะเรียนตำราในห้องทรงอักษร  หรือเรียนวิชาการรบ ทั้งเสด็จพ่อ และเทพีพิสุทธิ์ จะไม่ยุ่งเลยกับรัชทายาททั้งสอง   

   “เสด็จย่าอยู่ไหน”   เสียงคนข้างๆ  พูดขึ้นมา  แววเสียงมีความตระหนก  เพราะคงสะกิดใจอะไรในบางอย่างถึงความไม่ชอบมาพากลนี้

   “อยู่วิหารบรรพชนกระหม่อม   พระองค์ได้โปรดตามกระหม่อมกลับวิหารตอนนี้เถิด กระหม่อมจะให้องค์รักษ์รัชทายาท  พารัชทายาทกลับตำหนักตะวันตกเดี๋ยวนี้”  ทันทีที่ทหารผู้วิ่งขึ้นมาพูดจบ  เสียงของทหารรอบด้านก็แปลขบวนวางขวางและรายล้อมทั้งหมด  เมื่อมีคำสั่งให้คุ้มกันองค์รัชทายาททั้งสองกลับตำหนักของแต่ละองค์   ฝ่ามือแข็งแกร่งของชายตรงด้านข้าง  เอื้อมมือมาจับมืออีกข้างคนที่อยู่ด้านข้างไม่ห่างกัน

   “ระวังตัวด้วย ....รัตติ” 

   ทั้งสองพยักหน้าให้แก่กันอีกครั้ง สายตาที่มีความห่วงใย  ของทั้งสองดวงผ่านความรู้สึกของทั้งสองคนอย่างเห็นได้ชัด   องค์ชายรัชทายาท มุ่งไปทางด้านข้างของอีกฝั่งของลานกว้าง ส่วนรัตติ หรือรัชทายาทเทพ  เดินเฉียงขึ้นไปข้างบนอันเป็นเป้าหมายของวิหารสีทองบนสุดของเมืองนี้   

   ไม่รู้ว่าตลอดระยะเวลาเกิดอะไรขึ้น  ผ่านไปครู่เดียว  ทั้งเสียงดาบที่ฟาดฟันกันดังมาแต่ไกลของพระราชวังด้านหลัง  เมฆหมอกที่คละคลุ้ง ผสมปนไปกับควันสีดำทีเกิดจากการไหม้ที่ไหนซักแห่ง  จนองค์ชายรัตติเองก็อดสงสัยไม่ได้

   “เกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักขององค์ชายม่านพิทักษ์”   รัชทายาทเทพสอบถามผู้ที่นำเขาขึ้นมาเรื่อยๆ  เพื่อมายังวิหารทองคำ

   “มีคำสั่งให้ฆ่าองค์ชายม่านพิทักษ์คืนนี้กระหม่อม”  คำพูดในลักษณะราบเรียบนั้น แต่ความหมายและการกล่าวถึงออกมามันไม่ได้ราบเรียบเอาเสียเลย  รัชทายาทเทพหยุดชะงักเดินแทบจะทันที  ดวงตาเบิกขึ้นอย่างตกใจสุดขีด

   “ทำไมต้องฆ่าเสด็จอา”   ............    ยังไม่ทันเสียงที่จะตอบกลับมา  ม่านธนูนับสิบก็พวยพุ่งโดยจับหาทิศทางของมันไม่ได้  หนึ่งดอกปักเข้าที่กลางอกของคนตรงหน้าอย่างจัง   ดอกที่สองปักโดนคนที่กระโดเข้ามาขวางรัชทายาทเทพ   ทันทีที่ธนูพวยพุ่งออกมานั้น  เสียงของทหารที่อยู่ด้านหลัง ก็แข่งตะโกนกับเสียงดาบอีกฝั่งอย่างสุดกำลังเสียงที่ตัวเองมี

   “โดนลอบโจมตี  !!!!! คุ้มครอง รัชทายาทเทพ”   

   “รีบเสด็จหนีก่อนพะย่ะค่ะรัชทายาท  ทหารขององค์ชายม่านพิทักษ์ จะต้องมาเอาชีวิตพระองค์แน่” แม้จะยังไม่สิ้นคำพูดที่กล่าวออกมา ทหารที่อยู่ด้านข้างคอยอารักขาก็รีบฉุดกึ่งดึงจนสุดแรง  เพื่อให้เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า  รอดพ้นเงื้อมมือของเหล่าห่าฝนธนูนั้นออกมาได้   ผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่ารัชทายาทเทพ  เดินกึ่งวิ่งจากแรงฉุดนั้น  แต่หากสายตากลับมองไปยังอีกฝั่ง  ต้นทางของธนูเหล่านั้น   แม้ขาจะยังเดินตามคนที่ลากพระองค์ไปเรื่อยๆ   แต่ดวงตายังคงจ้องอีกฝั่งอย่างไม่รามือ  มือข้างที่ว่างอยู่จากการฉุดกระชาก กวาดออกไปช้าๆ ให้พ้นตัว  ดัชนีนิ้วชี้อันเรียวงาม  ชี้ไปยังต้นทางของธนูเหล่านั้น  ก่อนจะหมุนข้อมือจนรอบทิศ

   ทันใดนั้นเอง  แหล่งที่มั่นของอีกฝ่าย  ก็เผยให้เห็นแทบจะทันที   ม่านหมอกสีดำ  มืดสนิททางฝั่งของรัชทายาทเทพ  ที่ต่อให้ใครอยู่รอบนอกก็ไม่มีทางจะเห็นได้ว่าเป้าหมายที่จะยิงธนูมาอยู่ตรงไหน  แต่กลับตรงกันข้าม อีกฝั่งหนึ่งของฟากเขาที่ต้นทางของธนู กลับปรากฏแสงสีฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นอยู่เหนือหัวของพวกมัน ซึ่งกลายเป็นเป้านิ่งได้อย่างดี ที่จะทำให้ทหารของฝ่ายรัชทายาทเทพเห็นได้เต็มตา 

   ต้นธนู บัดนี้รู้แล้วว่าคือกลุ่มทหารสวมเสื้อสีดำ  ซึ่งรู้ได้ทันทีว่ามันคือกลุ่มทหารของวังหลัง  วังขององค์ชายม่านพิทักษ์   ปรากฏแทบจะเป็นเป้านิ่งให้กับอีกฝั่งอย่างชัดเจน  เสียงตะโกนอันไม่ได้ศัพท์  กับความตระหนกตกใจสุดขีดของพวกมัน กล่าวร้องกันเซ็งแซ่ อย่างหวาดกลัว

   “ตามหารัชทายาทเทพ  ระวังเวทย์มนต์ของมันด้วย”  เสียงทางฝั่งทหารเลวยังคงร้องตะโกนอยู่ แต่บัดนี้มันไม่รู้แล้วว่าชะตาได้มาถึงฆาตของทางฝั่งพวกมันเอง  ตอนนี้เหตุการณ์กลับตาลปัด  ห่าฝนของลูกธนูเมื่อซักครู่นี้เปลี่ยนไปทางของกลุ่มทหารชุดดำทั้งหมด  บัดนี้ รัชทายาทเทพ  ได้เดินมาจนถึงเกือบจะที่มั่น ริมวิหารทองคำ อยู่เพียงตรงหน้า หันกลับมาอย่างเต็มตัวอีกครั้ง  ไหล่ขวาถูกทหารองค์รักษ์ ยึดมั่นเอาไว้ไม่ให้พระองค์ทรงล้มลงไป   ด้วยวัยที่ยังเด็กเกินไป การใช้เวทย์ชั้นสูงเลยทำให้พระองค์หมดเรี่ยวแรง  โลหิตไหลออกจากข้างหนึ่งจากจมูก    แต่ถึงกระนั้น  น้ำเสียงที่สั่งออกมาก็ยังเฉียบขาดมากพอ

“ฆ่ามันให้หมด  อย่าให้พวกมันเข้ามาถึงวิหารบรรพชนได้ คุ้มครองเสด็จย่า”   

“พะย่ะค่ะ รัชทายาท”

“ทหารของเสด็จอาใช่ไหม  เกิดอะไรขึ้น  บอกข้ามา  เล่าความจริงมาให้หมด”  ถึงแม้จะดู

ภายนอกของรัชทายาทเทพว่ายังเยาว์นัก  แต่การถูกอบรมสั่งสอน  เพื่อจะให้เป็นเทพพิสุทธ์องค์ต่อไป  การตัดสินใจ  หรือการออกคำสั่งในช่วงเวลาอันคับขัน  ก็ไม่แพ้องค์รัชทายาทแห่งเมฆาพยัคเลยซักกนิด

“องค์ชายม่านพิทักษ์ ก่อการกบฏ ทำการกบฏในขณะที่ฝ่าบาทไม่อยู่กระหม่อม เทพีพิสุทธิ์ทรงทราบเรื่องนี้นานแล้ว  แต่เห็นว่าทางฝั่งนั้นยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม  แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างนั้น  กระหม่อมและทหารส่วนที่เหลือ ได้รับคำสั่งให้มาคุ้มครองพระองค์ไปยังสระเหมันต์เดี๋ยวนี้ ส่วนที่เหลือให้ไปสมทบกับทหารของท่านสมุหกลาโหม   คำสั่งคือฆ่าองค์ชายม่านพิทักษ์”

“พวกมันอยู่ที่ต่ำกว่า  แสงสุริยันของข้า เปิดม่านฟ้าออกมาอีกเพียงได้ครู่เดียวเท่านั้น  และหลังจากนั้นจะมืดสนิทดังเดิม จะฆ่าพวกมันได้ยาก   ให้ทหารของเราทั้งหมด  จุดคบเพลิง  ไฟธนู   แล้วเผาตรงส่วนที่พวกมันอยู่นั้นอย่าให้เหลือ  ให้ลามลงไปจนสุดทางแม่น้ำ และเพลิงจะหยุดของมันเอง   เพลิงนั้นกับตำหนักตะวันตกไม่มีทางไปถึงกันได้แน่  เพราะผ่านคลองพระราชวังส่วนกลางกั้นเอาไว้   เพลิงทั้งหมดจะกันเอาไว้ไม่ให้พวกมันเข้าสู่ตำหนักตะวันตกได้  ข้าได้ยินเสียงดาบตอนนี้ทหารของพวกมันบางส่วนน่าจะถึงตำหนักตะวันตกแล้ว รีบพาข้าเข้าไปในสระเหมันต์ก่อน  แล้วรีบกลับไปดูองค์รัชทายาท” 

“พะย่ะค่ะ รัชทายาท”   คำสั่งที่พูดออกมา ถูกสั่งซ้ำอีกครั้งอย่างใจความเดิม ทหารที่อยู่ด้านข้าง พารัชทายาทเทพขึ้นไปเรื่อยๆ   โลหิตยังคงไหลออกมาอยู่ตลอดเวลาจากจมูกบัดนี้ทั้งสองข้างแล้ว 

“พี่ชายอยู่ที่ไหน” มันไม่ใช่เสียงที่พูดออกมา  เพียงแต่รัชทายาทเทพกุมสายสร้อยและจี้ทองคำที่ห้อยติดตัวอยู่ตลอดเวลา เหมือนจะสื่อหาใครอีกคน

“พี่อยู่นี่รัตติ  อยู่ในตำหนักแล้ว  เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง พี่ห่วงเหลือเกิน”  เสียงตอบกลับมาในโสตประสาทที่ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้  มีเพียงผู้เดียวที่กุมจี้ทองคำนั้นเอาไว้เท่านั้น

“ขอบพระทัยพระองค์  รัตติกำลังจะถึงสระเหมันต์แล้ว  รัตติไม่เป็นไร เพียงแต่ตอนนี้มันหมดแรงแล้วเท่านั้น” 

อย่าใช้พลังเวทย์มากเกินไป  เมื่อครู่พี่เห็นแสงสีขาวตรงข้างวิหารทองคำ   เจ้าใช้มากเกินไป ร่างกายจะรับไม่ไหว   มีคำสั่งจากเสด็จย่าให้พี่อยู่ในนี้ถึงเจ็ดราตรี   รอพี่ก่อนนะรัตติ ผ่านพ้นไปเมื่อไหร่ พี่จะรีบไปหาเจ้าที่วิหารทันที”

   ทันทีที่ถ้อยความอันสื่อกันด้วยจิต ที่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงที่เปล่งออกมา  ทั้งดวงตาและสีหน้าของรัชทายาทเทพก็มืดดับลง   ยังผลให้แสงสีขาวที่อยู่ด้านล่างนั้นมืดดับลงไปด้วย

   “รัชทายาทเทพหมดสติแล้ว  พวกเรา คุ้มครองวิหารทองคำเดี่ยวนี้  !!!!!!!!!!”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2019 19:24:30 โดย chin_va »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: ใจเทพพิสุทธิ์
«ตอบ #3 เมื่อ19-10-2019 06:11:59 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ใจเทพพิสุทธิ์
«ตอบ #4 เมื่อ26-10-2019 23:19:14 »

ตอนที่ 2  สิ่งที่ต้องเป็น

     
           ความโกลาหลยังคงมีไปทั่ววิหารทองคำ  อีกฟากฝั่งหนึ่ง คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่สับสนอลหม่าน และวุ่นวายกันไปจนทั่วขุนเขาตั้งแต่ด้านบนเยื้องล่างไปจนถึงสุดแม่น้ำของอีกฝั่ง  เปลวเพลิงประทุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  แต่ก็ไม่สามารถผ่านแม่น้ำที่อยู่ตรงใจกลางของพระราชวังได้  เสียงปืนไฟ  ธนู หน้าไม้  ยั่งแห่แหน  ปะปนกันจนไม่รู้ว่าฝั่งไหนเป็นฝั่งไหน 
 
ภายนอกรอบด้าน ณ ตอนนี้ ถูกล้อมไปด้วยทหารองค์รักษ์ชุดสีขาวยาวดูสง่าและแข็งแกร่งในทุกท่วงท่าของการยืนนั้น  มีความเป็นระเบียบ สงบนิ่ง แต่ก็อยู่ในท่าทีเตรียมพร้อมเผชิญหน้า  ที่อาจจะมีอันตรายไปทุกขณะ

ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ถูกทหารที่วิ่งอยู่ด้านหน้าสุด อุ้มขึ้นมาจนถึงชานบันไดกว้าง   โลหิตสีแดงสว่าง ไหลออกจากจมูกทั้งสองข้างไม่หยุด  ด้านรอบข้างนอกที่ทุกคนวิ่งตามกันมา  ล้วนเป็นทหารองค์รักษ์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น   ประตูมุกด้านหน้า  แผ่นกว้างขนาดเท่ากับความยาวของบันได  ถูกเปิดออก เผยให้เห็นสระน้ำตรงกลางด้านใหญ่อยู่ในห้องโถงนั้น  น้ำสีฟ้าใส ดุจแสงของท้องฟ้า   สงบนิ่งอย่างไม่ไหวติง   ฝั่งด้านข้างบนเหนือขึ้นไป ปรากฏผู้หญิงชรา นั่งสงบนิ่งสมาธิอยู่ตรงแท่นหินกว้างนั้น   จนต่อเมื่อได้ยินเสียงประตู จึงเผยอลืมตาขึ้นมา

   “รอซักเดี๋ยว ใครที่อยู่ด้านนอก ห้ามให้เข้ามาเด็ดขาด  ปิดประตูทุกทิศ   ให้อโนทัยเข้ามาด้านหลัง  ส่วนเจ้า  อุ้มรัชทายาทไว้อย่างนั้นก่อน”   น้ำเสียงช้าๆ เนิบๆ นั้น  เปิดโอษฐ์ออกมาจากหญิงชราผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้น
 
   เวลาจะผ่านไปนานซักเท่าใดก็ไม่ทราบ  แต่สำหรับใครหลายคนคงคิดว่านานแสนนานเหลือเกิน  เสียงปืนไฟ  เสียงสะเก็ดจากไฟที่ถูกไหม้ตอนนี้เริ่มเงียบบ้างแล้ว   รวมไปถึงเสียงการรบราฆ่าฟันของดาบ  ก็เงียบแล้วเฉกเช่นกัน   แต่ด้วยความที่คนที่อุ้มองค์รัชทายาทเทพอยู่นั้น  ดูท่าทีเป็นกังวลเหลือเกินกับบุคคลที่เขาอุ้มอยู่  จนอดไม่ได้ที่จะต้องพูดออกมา

“เทพีพิสุทธิ์กระหม่อม  ตอนนี้รัชทายาทเสียเลือดมาก  เมื่อซักครู่พระองค์ใช้เวทย์มนต์ เพื่อช่วยทหารของเรา”    ยังไม่ทันที่ทหารผู้อุ้มชายที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นรัชทายาทเทพพูดจบ  อีกด้านหลังของประตู  ก็ได้มีทหารอีกด้าน  ชุดสีขาวเฉกเช่นเดียวกัน  และผ้าคาดหน้าผากนั้นก็สีขาวสะอาดตาเช่นเดียวกับชุดที่คลุมอยู่

“เรียบร้อยแล้วกระหม่อม  องค์รัชทายาทปลอดภัย  นี่คือสิ่งที่พระองค์ต้องการ”     สิ่งที่ชายผู้นั้นพูดไม่ทราบว่ามันคืออะไรกันแน่  แต่ผ้าที่อโนทัยส่งให้เทพีพิสุทธิ์ดูนั้น มันมีทั้งคราบเลือด ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วจนหมด   ถึงแม้อโนทัยจะส่งผ้าผืนนั้นที่ห่อหุ้มบางสิ่งบางอย่างงให้เทพีพิสุทธิ์ดู  แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเปิดแต่อย่างใด  เหมือนจะทราบอยู่แล้วว่าข้างในนั้นคืออะไรด้วยญาณหยั่งรู้ของพระองค์

“เอาหัวของมันเสียบประจานไว้ที่ประตูเมือง  ทหารที่เหลือของทางฝั่งองค์ชายม่านพิทักษ์  คนไหนยอมศิโรราบแต่โดยดี ให้เอาไปขังไว้ที่คุกใต้ดิน ไม่จำเป็นต้องฆ่า  เพราะบ้านเมืองนี้ แปดเปื้อนเลือดมามากพอแล้ว  อย่าทำให้ฝ่าบาทต้องเจ็บพระทัยไปมากกว่านี้อีกเลย   แค่รู้ตัวว่าน้องชายจะทำการกบฏ  ก็คงจะเสียพระทัยมากพอดู”

“พะย่ะค่ะ กระหม่อม” 

   “ปิดประตูทุกทิศทาง  อโนทัย  ดูรอบนอกให้ดีอย่าให้เกิดอะไรขึ้นอีกเด็ดขาด    เรียกทหารคุ้มกันรัชทายาทเทพ   มาคุ้มกันวิหารบรรพชนให้หมด ห้ามใครเข้ามาในสระเหมันต์ซักคนเดียว   มีอะไรภายนอกให้ติดต่อกับคุณเท้า และเจ้าเท่านั้นอโนทัยที่จะเป็นคนนำข่าวไปยังองค์รัชทายาทหากเกิดเหตุการณ์อะไรไม่สู้ดีขึ้นมา  แจ้งทหารองค์รักกษ์รัชทายาท แล้วย้ำอีกครั้ง ว่าอย่าให้พระองค์ออกจากตำหนักตะวันตกภายในระยะ  7  วันนี้  ถึงแม้กบฏมันจะตายกันหมดแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะยังเหลือดรอดอีกหรือเปล่า”    เสียงร่ายยาวจากเทพีพิสุทธิ์  พูดเพียงแค่นั้น ก็โบกมือให้อโนทัยออกไปจากที่ตรงนั้น   

   “พะย่ะค่ะ” 

“เอาล่ะ  คราวนี้ก็ถึงคราวของข้าแล้ว”  เทพีพิสุทธิ์ ยืนขึ้นอย่างช้าๆ  ก่อนที่จะก้าวลงไปในสระน้ำนั้น   เงยหน้ามองเด็กชายที่ถูกอุ้มอยู่ตรงหน้า ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน  เดินข้ามเข้าไปหา  พร้อมกับลูบไปที่เกศาดำสะอาดนั้นอย่างทนุถนอม

“รัตติ  มันใกล้ถึงเวลาของเจ้าแล้ว  ย่าเหนื่อยเหลือเกิน  6 รัชกาลที่ดูแลมาเกือบ 200  ปี  และนับจากนี้ราชวงศ์เทพจะยังคงภักดีและซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เมฆาพยัคตลอดไปจนชั่วลูกสืบหลาน  บัดนี้มันใกล้ถึงเวลาของเจ้าแล้วที่จะทำหน้าที่แทนย่า” 

เทพีพิสุทธิ์ไม่ทรงตรัสอะไรต่อทั้งสิ้น  แต่มือเล็กๆ อันเหี่ยวย่นนั้น  ยกขึ้นลอยอย่างช้าๆ  แนบลำตัว ไปพร้อมกันก่อนที่ร่างของรัชทายาทเทพ จะลอยเหนืออ้อมแขนของทหารผู้นั้นตาม    มือที่ผายไปยังสระน้ำ ทำให้ร่างที่ลอยอยู่  เคลื่อนไปที่สระน้ำตามอย่างช้าๆ  ก่อนจะแนบกับผิวน้ำอย่างสงบนิ่ง และค่อยๆ จมลงไปในที่สุด   ไม่เห็นแม้กระทั่งส่วนใดของร่างกายจะโผล่พ้นออกมา  มืออีกข้างที่ว่าง  ปัดไปหาทางทหารกลุ่มนั้นทั้งหมด  เสมือนเป็นคำสั่งให้ออกไปจากตรงสระนี้ไม่ให้เหลือใครซักคนที่จะอยู่ได้ในระหว่างช่วงทำพิธี

“เทพพิสุทธิ์องค์ต่อไป  ข้าขอสถาปนาเจ้านับจากนี้ ให้คือเทพพิสุทธิ์แห่งเมฆาพยัค    กายของเจ้า เลือดของเจ้าทุกหยาดหยดจะอยู่ในราชวงศ์เทพ  เลือดนั้นจะเป็นสีฟ้า  และจะไม่มีทางไหลหลั่งรินลงมาสู่พื้นดินเด็ดขาด เวทย์มนตราจะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเจ้าฟื้นออกมาจากสระเหมันต์  เจ้าจะหยั่งรู้อนาคต ความเป็นไป ในสกลโลกนี้ทุกอย่าง เจ้าจะคืออำนาจของเมฆาพยัค   เจ้าจะคือเสาค้ำจุนของเมฆาพยัค    และเจ้าจะเป็นเทพพิสุทธิ์ของกษัตรย์แห่งเมฆาพยัคไปอีกนานแสนนาน” 

   เวลานั้นจะผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ  บัดนี้  เทพีพิสุทธิ์ หรือหญิงชราผู้นั้น  ได้ขึ้นไปนั่งสมาธิอยู่บนแท่นศิลาเดิมนั้นแล้ว   ความเงียบปกคลุมไปทั่ว  ถึงแม้ดวงตาทั้งสองข้างจะยังปิดสนิท แต่ดวงตาที่สามนั้นหาได้ปิดสนิทตามไม่ ในครองจักษุภาพที่พระองค์เห็นอยู่ ณ ตอนนี้ ไม่ใช่ภาพในสระเหมันต์  แต่เป็นชายป่าแห่งหนึ่ง  ที่มีกระโจมปลูกไว้ชั่วคราวทั่วบริเวณชายป่านั้น  สายตาของตรีจักษุแห่งเทพีสุทธิ์ ยังคงมองไปเรื่อยๆ  จนถึงกระโจมหนึ่งที่เป็นสีทอง ก่อนจะใช้กายของตัวเอง  อันขาวใส แทบจะไม่มีใครมองเห็น ทะลุและผ่านเข้าไปในกระโจมนั้น 

   เสียงนั้นเบายิ่งนัก   และได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้น  บัดนี้ทั้งดวงจิตของเทพีพิสุทธิ์ อยู่  ณ กระโจมแห่งนี้แล้ว  มีเพียงแต่กายเนื้อเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสระเหมันต์แห่งนั้น   ถอดจิต เป็นเพียงเวทย์ง่ายๆ ของพิสุทธิ์ที่ทุกองค์สามารถจะกระทำได้
เบื้องหน้าของหญิงชรา ปรากฏชายหนุ่มวัยกลางคน ดวงหน้าดูน่าเกรงขามยิ่งนัก  ชุดนักรบ สีแดงเข้ม  ขลิบสีทองไปทั่ว ยิ่งขับให้ดูสง่ามากยิ่งกว่าที่เคย  ผ้าคาดหัวสีทอง ขลิบด้านข้างสีแดง  นั้นคือเครื่องหมายขององค์กษัตริย์แห่งเมฆาพยัค  และในทันที่ที่เห็นบุคคลหนึ่งเข้ามา  สายตาที่กระตุกตกใจเพียงชั่วครู่  ก็คลายความกังวลนั้นเพราะรู้ว่าผู้ที่มาคือใคร

   “เทพีพิสุทธิ์”    องค์กษัตริย์ผู้นำสูงสุด  ของเมฆาพยัค  โน้มกายโค้งคำนับ  ให้กับหญิงชราตรงหน้า   ในขณะที่เทพีพิสุทธิ์เองก็โค้งคำนับ และย่อตัวลง เพื่อแสดงความเคารพชายตรงหน้าเช่นกัน

ยศเท่ากัน  ศักดิ์เท่ากัน  เพียงแต่ปกครองกันคนละอย่างในเมืองแห่งนี้

ทันทีที่คำนับเสร็จแล้ว เทพีพิสุทธิ์ก็ก้าวเดินไปอย่างช้าๆ  มือข้างหนึ่ง จับที่แขนอันแข็งแกร่งนาบกับลำตัวนั้น  ส่วนมืออีกข้างถึงแม้จะเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา  แต่ก็ยังคงนุ่มนวลเหลือเกินในความรู้สึกของอีกฝ่าย  บัดนี้ประครองดวงหน้าชายตรงหน้า  ถึงแม้จะหยาบกร้านไปด้วยการกรำศึก  หน้าตาอ่อนล้า  แต่เทพีพิสุทธิ์ก็ยังคงประครองดวงหน้านั้นอยู่นิ่งๆ  น้ำตาทั้งสองไหลออกมาจากดวงตาสองข้าง

“หม่อมฉันมายินดีกับพระองค์ในชัยชนะครั้งนี้  นับจากนี้ไปอีกเป็นเวลา 7 ปี  จะไม่มีเมืองใด เข้ามากล้ำกรายพระองค์  เมฆาพยัค จะรุ่งเรืองที่สุดในดินแดนแถบนี้   แต่หลังจากนั้นไปอีก  7 ปี  พระองค์จะต้องระวังดินแดนทางเหนือ  เหนือขุนเขาเราขึ้นไปอีกนับ  30 โยชน์ เมืองนั้นจะทยอยความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ  พระองค์จะต้องระวังภัยจากทางน้ำ  และทางอากาศ  หนทางเดียวที่พระองค์จะชนะได้ คือต้องให้องค์รัชทายาท เป็นคนทำศึกในครั้งนี้   และการศึกนี้ พระองค์จะต้องให้เทพพิสุทธิ์องค์ต่อไป  เป็นคนกำหนดและยุทธวิธีการรบ  พระองค์ออย่ารบเองเป็นอันขาด  เพราะพระองค์จะรบไม่มีทางชนะ”     ตลอดระยะเวลาแห่งการพูดนั้น  ดวงตาทั้งสองข้าง  ของทั้งสองพระองค์ ไหลรินมาไม่ขาดสาย  เสียงสะอื้นเบาๆ จากหญิงชรา  มองชายตรงหน้าที่น้ำตาไหลรินออกมาเช่นกัน เพียงแต่ พยายามกลั้นเสียงนั้นเอาไว้ไม่ให้เสียชายชาตินักรบ   

“พระองค์จะเสด็จไปไหน”   องค์กษัตริย์กล่าวถามหญิงชราตรงหน้า

   “หมดเวลาของหม่อมฉันแล้วเพคะ บัดนี้  ถึงเวลาของหม่อมฉันแล้ว ที่จะต้องไปพบกับบรรพชนของเราต่อไป  เสี้ยนหนามของพระองค์  หม่อมฉันฆ่าจนไม่เหลือแล้ว  หนทางอันราบรื่นนี้  จะอยู่ยาวนานไปอีกถึง  7  ปี   7  ปี  แห่งการรอคอยที่จะให้พิสุทธิ์องค์ต่อไป แข็งแกร่ง และมีเวทย์อำนาจอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเหลือพระองค์และบ้านเมืองได้  อย่าโปรดทรงกังวล  หม่อมฉัน ลงม่านอาคมป้องกันเมืองเอาไว้แล้ว  ไม่มีศัตรูหน้าไหน จะมองเห็นเมืองของเราได้  มันจะเดินผ่านไปและคิดว่าเป็นเพียงป่ารกชัฏเท่านั้น”   

   มันคือกฏเกณฑ์  ถึงแม้เทพีและเทพพิสุทธิ์ทุกองค์ จะรู้ล่วงหน้า อนาคตของทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้  แต่ก็ไม่มีทางรู้ชะตาชีวิตของตัวเองและเทพพิสุทธิ์องค์ต่อๆ ไปเลย 

   บัดนี้ องค์กษัตริย์แห่งเมฆาพยัค คุกเข่าลงต่อหน้าหญิงชรา  เมื่อทราบดีถึงเวลาสุดท้ายแล้วของชีวิต   ที่ก่อนร่างกายนี้จะดับสูญ  ไม่มีใครสามารถห้ามหรือบังคับไม่ให้มันเกิดได้ 

   “พระองค์โปรดวางใจ   กระหม่อม จะรักษาเทพพิสุทธิ์  ด้วยชีวิตของกระหม่อม   ขอพระองค์ทรงเสด็จไปพบกับบรรพชนเถิด  และได้โปรดรอกระหม่อม   คงอีกไม่นาน กระหม่อมจะตามไป  ขอบพระทัยที่ได้ทรงช่วยและปกป้องเมฆาพยัคมานับร้อยปี   ด้วยเกียรติของกษัตริย์  กระหม่อมจะทำให้วิหารทองคำ ยังคงเป็นวิหารทองคำต่อไป”   คำพูดที่เปล่งออกมาล้วนเป็นคำพูดจากชายชาตินักรบ   ดวงตาของทั้งสองคู่ยังคงมองเข้าหากัน  ก่อนที่ร่างที่อยู่ตรงหน้าจะลานเลืองไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ

   “ขอบพระทัยเหลือเกินเพคะ   อีกสิ่งหนึ่งพระองค์ได้โปรดระวัง   ดวงของเค้าทั้งสององค์  รัชทายาทของเราทั้งสองพระองค์นั้น   มีทั้งหนุนนำซึ่งกันและกัน  และค้านซึ่งกันและกันอยู่ในที  นับจากนี้  อะไรที่ผ่อนหนักได้ เบาได้  ขอได้โปรดพระองค์ กำชับและตักเตือนทั้งสองพระองค์ด้วย”
 
   “.............. หม่อมฉันขอลาไปก่อน ...”   

   ร่างนั้นค่อยๆ  หายและบางเบาลงไปเรื่อยๆ  จนลับสุดสายตา  บัดนี้  เทพีพิสุทธิ์ได้จากไปแล้วตามกาลเวลาของพระองค์  องค์กษัตริย์  ยืนเหยียดขึ้นจนเต็มความสูงของพระองค์  ร้องเรียกตะโกนออกข้างนอกจนสุดเสียง

   “ทหาร !!!!!!” 

   ทันทีที่พูดจบ ทหารที่อยู่ตรงกระโจม  ก็วิ่งเหยาะเข้ามายังข้างในนั้น

   “พะย่ะค่ะฝ่าบาท”

   “เคลื่อนทัพ  กลับเมฆาพยัควันรุ่งขึ้น  ทหารคนไหนบาดเจ็บ ให้เอาใส่เลื่อน ดูแลคนเจ็บด้วย  พี่น้องเราที่ช่วยกันรบ ต้องพากลับบ้านให้หมดทุกคน  ให้ท่านแม่ทัพ  ดูการสร้างสะพานที่จะข้ามแม่น้ำอิสราใกล้เสร็จหรือยัง  เราต้องรีบกลับให้ไวที่สุด”
 
   “พะย่ะค่ะ  !!!”

……………………………………..
   เวลาจะผ่านไปนานซักเท่าใด  ภายในสระนั้นยังคงเงียบสงบ  ปราศจากคลื่น  ไม่มีแม้กระทั่งเสียงลมที่จะพัดผ่านออกมาจากรอบประตูนั้นได้  บัดนี้ กายของหญิงชราผู้ที่นั่งอยู่ตรงแท่นศิลาหินได้หายไปแล้ว   แต่หากยังมีร่างของเด็กชายคนหนึ่งที่ยังคงจมอยู่ใต้น้ำม่านน้ำสีฟ้าข้างล่างนั้น  นานๆ ถึงจะมีผุดพรายน้ำขึ้นมาซักทีหนึ่ง

   เจ็ดทิวา

   เจ็ดราตรี 

   บัดนี้ครบแล้ว  ม่านของน้ำที่อยู่ในสระบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามคล้ายกับผ้าไหมสีทองฉะนั้น  ร่างขององค์ชายรัตติ ค่อยๆ ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ    ดวงตาทั้งสองจากทีปิดสนิทค่อยๆ เปิดออกขึ้นอย่างช้าๆ  ผ้าที่คาดหัวไว้จากที่เคยเป็นสีขาว ตัดขอบด้านข้างด้วยสีทอง บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวล้วนสะอาดตา จากในนิมิต  ตลอดระยะเวลาเจ็ดราตรี 

   บัดนี้  เสด็จย่าได้จากไปแล้ว

   และหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นับจากนี้   รัตติรู้ด้วยญาณทันทีว่า ณ ปัจจุบันนี้เค้าคือใคร  และจะต้องทำอย่างไรต่อไป   ความเคว้งคว้าง  สับสน  และไม่รู้จะเดินไปทางไหนต่อ   มันมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกไปหมด  รัตติ หรือตอนนี้  ณ ปัจจุบันนี้คือ เทพพิสุทธิ์  เดินมองขึ้นไป  จนถึงแท่นหินศิลาตรงหน้า  พลางคุกเข่าลง

   “ลาก่อนเสด็จย่า  หลานจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด”  น้ำตาไม่เคยไหลรินออกและก็จะยังคงเป็นเช่นนั้น  กฎข้อห้ามอันเคร่งครัด ของการเป็นเทพพิสุทธิ์ที่เคยร่ำเรียนมา  คือน้ำตา และสายเลือดจะห้ามรินไหลออกมาเด็ดขาดจากทั้งดวงตาและทั่วสรรพร่างกาย วันใดที่น้ำตาทั้งสองข้างเอ่อไหลออกมา หรือแม้กระทั่งโลหิตหลั่งริน ใน ณ ขณะนั้น  ทั้งเรี่ยวแรง  อำนาจ  เวทย์ ญาณหยั่งรู้ที่พิสุทธิ์ทุกองค์มี  จะหายไปด้วยในชั่วขณะหนึ่ง    นี่คือกฎอันเคร่งครัด  และจะมีเพียงองค์เองเท่านั้นที่จะรู้ และจะสืบทอดกันเป็นความลับของรุ่นต่อรุ่น  ไม่มีใครทราบเรื่องนี้ได้ แม้กระทั่งองค์กษัตริย์

   เทพพิสุทธิ์องค์ใหม่น้อมคำนับแท่นหินที่อยู่ตรงหน้านั้นอยู่นาน  ก่อนจะยืนหยัดกายให้ตรงขึ้นอีกครั้ง  สูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มความรู้สึก เสมือนให้กำลังใจตัวเอง  ทรงเดินขึ้นมาเรื่อยๆ จากสระเหมันต์นั้น  ก่อนจะก้าวขึ้นสู่แผ่นหินศิลาอีกข้าง มือทั้งสองข้างกำขึ้นแน่น   แหงนมองเพดานหินด้านบน ที่มีแสงเทียนวาวระยับอยู่ไปทั่วไม่มีวันดับมอดไปด้วยพลังแห่งเวทย์  ผ้าที่เปียกและชื้นแฉะบัดนี้แห้งและเป็นชุดคลุมชุดใหม่ด้วยเพียงการปัดพระกรไปบนองค์เพียงครั้งเดียว  ชุดคลุมสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ทั้งแต่ช่วงต้นคอลงมาจนถึงกรอมเท้า ก็ดูสะอาดตาตามไปทันที 

   สองก้าวของพระองค์ เยื้องเดินไปด้านหน้าเรื่อยๆ ทางประตู  ที่บัดนี้ยังปิดสนิทอยู่   หากแต่พระองค์ก็ยังคงใช้มือข้างนั้น  ยกขึ้นช้าๆ  โดยไม่สัมผัสกับประตูแม้เพียงนิด  ประตูนั้นก็เปิดออกตามได้โดยง่าย 

   ดาวเดือนเคลื่อนคล้อย  ไม่ทราบว่าเวลานี้เป็นเวลาอะไรกันแน่แล้ว  สิ่งที่พระองค์เห็นตรงหน้าตลอดทางเดินลงไปจากประตูจะเป็นบันไดกว้าง ตลอดสองข้างทางประกอบไปด้วยทหารองค์รักษ์ ชุดขาว  รายล้อม เรียบด้านข้างของทางเดินลงไปในบันไดแต่ละขั้นนั้นตลอด  ด้านล่างสุดปรากฏ ชายสองคน ด้วยวัยที่แตกต่างกัน  แต่ก็ทรงคุ้นหน้าทั้งสองพระองค์เป็นอย่างดี   เทพพิสุทธิ์เดินมาเรื่อยๆ  จนถึงด้านหน้าของทั้งสองพระองค์นั้น ก่อนจะโค้งคำนับ  ชายผู้ซึ่งดูมีอายุมากกว่า  และได้รับการโค้งคำนับกลับเช่นกัน

   “ฝ่าบาท”

   “เทพพิสุทธิ์”

   “เสด็จย่าจากไปแล้ว ไวเหลือเกิน  กระหม่อมไม่ทันตั้งตัว  นับจากนี้กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อไป”   เทพพิสุทธิ์น้อย กล่าวต่อไปกลับชายตรงหน้า  ดวงตานั้นจากที่เคยสุกใสวาวโรจน์ กลับหม่นหมองจนเห็นได้ชัดเมื่อพูดถึงพิสุทธิ์องค์ก่อนหน้านั้น

   “อย่าโปรดทรงกังวลไปเลย    กระหม่อมยังอยู่ตรงนี้  ถึงแม้เทพีพิสุทธิ์จะจากพวกเราไป แต่พระองค์ก็ช่วยป้องกันภยันตรายจากทุกรอบทิศเอาไว้แล้ว  อย่าได้ทรงกังวล  บัดนี้ ขอให้กระหม่อมได้มองพระองค์อย่างเต็มพักตร์ทีเถิด   เด็กน้อยที่เคยวิ่งเล่น   บัดนี้คือเสาค้ำจุนของเมฆาพยัคแล้ว”   เสียงกังวานที่พูดออกมานั้นยังคงมีอำนาจแต่ก็แฝงความอบอุ่นยิ่งนัก  จนเทพพิสุทธิ์เผลอมองหน้าขึ้นอีกครั้ง และเรียกอย่างที่เคยเรียกองค์กษัตริย์เมื่อครั้งที่ยังทรงเป็นรัชทายาทเทพ

   “เสด็จพ่อ”
 
   “ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฏร์ไปด้วยกัน   พระองค์คงยังไม่ทราบว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสองสามวันมานี้ รัชทายาท มายืนรอพระองค์นานแล้ว  และไม่ยอมไปไหนเลย”    องค์กษัตริย์แห่งเมฆาพยัคผายมือไปยังเด็กหนุ่มด้านข้างที่ยืนเยื้องต่ำลงไปอีกนิด   กษัตริย์วารัญ หรือองค์กษัตริย์แห่งเมฆาพยัค องค์ปัจจุบัน  ผายมือพร้อมกับยิ้มที่มุมปากเพียงนิด   พระองค์รู้ว่าทั้งสององค์ด้านหน้านี้สนิทกันแค่ไหน  สายใยแห่งความผูกพัน  ที่เป็นทั้งเปรียบเสมือนพี่น้อง  เพื่อน   ที่สามารถตายแทนกันได้  หากแต่บัดนี้ความสัมพันธ์นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว  แต่ยังคงมีความห่วงใยให้กันอยู่จนสื่อถึงกันได้

   “รัชทายาท”  เทพพิสุทธิ์เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ   พร้อมกับจะเอื้อมขึ้นไปจับมืออีกข้างของเด็กหนุ่มตรงหน้า   หากแต่มือข้างที่ไขว้คว้าไปนั้นเป็นเพียงลม

   “กฎของราชวงศ์เทพ  กระหม่อมไม่มีสิทธิ์แตะเนื้อต้องตัวพระองค์พะย่ะค่ะ”    ถูกต้องแล้ว  นอกจากองค์กษัตริย์ ไม่มีใครสามารถแตะเนื้อต้องตัวเทพพิสุทธิ์ได้หากพระองค์ไม่ยินยอม 

   ดวงหน้าของทั้งสองพระองค์เปลี่ยนไปทันที  อีกคนเศร้าหมอง แต่อีกคนแข็งกร้าว

   รัชทายาทอรุณพยัค   ถอยหลังออกไปอีกหนึ่งก้าว   โค้งคำนับให้ผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่านับบัดนี้   ก่อนที่จะถอยอีกครั้ง  แล้วเดินหันหลังจากไป
   
   
   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2019 20:38:13 โดย chin_va »

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่  3   คำสัญญาที่ไม่เป็นจริง



   “พี่ชาย”   เสียงเรียกอันแผ่วเบา  จากใครคนหนึ่งที่ไม่ได้รับการตอบกลับเลยซักครั้ง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 5  วันเต็มๆนั้นจาการผ่านพ้นพระราชพิธีการขึ้นภิเษกของเทพพิสุทธิ์องค์ใหม่ ที่ล่วงเลยมาถึง 5  วัน  องค์รัชทายาทแห่งเมฆาพยัคแทบจะไม่มอง  ไม่สนใจ  และไม่กล่าวอันใดกับเทพพิสุทธิ์  ไม่มีการเอื้อนเอ่ยวาจาใดซักนิด  หรือแม้กระทั่งสบสายตา    คำบางคำที่เคยพูดพลั้งไว้เมื่อตอนที่ยังเด็กนั้นกลับมาอยู่ในโสตความคิดของเทพพิสุทธิ์อีกครั้ง

   “ถ้าเจ้าได้เป็นเทพพิสุทธิ์ก่อนที่พี่จะได้เป็นกษัตริย์  ถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่  เจ้าจะต้องฆ่าคน และจะต้องใช้อำนาจใดๆ  ก็แล้วแต่ ไปในทิศทางที่จะไม่เป็นธรรมกับศัตรู  วันนั้น พี่จะไม่เห็นรัตติเป็นคนที่พี่รักอีกต่อไป”   
นี่คือคำพูดหรือคำมั่นสัญญากันแน่นะ

   “ถ้าอย่างนั้น รัตติก็ขอให้พี่ชายขึ้นเป็นกษัตริย์ก่อน     แล้วรัตติค่อยเป็นเทพพิสุทธิ์ทีหลังซิ่ แล้วคราวนี้รัตติจะให้พี่ชายแสดงความสามารถอย่างเต็มที่  รัตติจะไม่ขัดขวางเลยจริงๆ”   เสียงของเด็กสองคนยังคงสนทนากันต่อเนื่อง 

   “รัตติ  เจ้าจะสัญญาได้ไหม  ว่าต้องให้พี่ขึ้นเป็นกษัตริย์ ก่อนที่เจ้าจะเป็นเทพพิสุทธิ์  เพื่อที่พี่จะได้ปกป้องเจ้าได้”   องค์รัชทายาทยังคงขอให้อีกคนยึดมั่นคำสัญญานั้น

   “พระองค์ก็รู้  เรื่องนี้เราสองคน กำหนดไมได้ รัตติก็กำหนดไม่ได้  พระองค์ก็กำหนดไม่ได้”  องค์ชายรัตติยังคงไม่รับคำสัญญานั้น

   “ถ้าหากวันใด ที่เจ้าจะต้องเป็น  เจ้าก็ขอผัดผ่อนไปก่อนซิ่ พี่เคยอ่านในตำราของบรรพชน  เคยมีนี่ ที่ช่วงเวลาหนึ่ง   เทพหรือเทพีพิสุทธิ์ไม่เกิดขึ้นในเมืองเรา นับสิบๆ ปี” 

   “นั่นมันเป็นช่วงเวลาที่พิสุทธิ์องค์นั้น ได้รัชทายาทกระชั้นชิดเกินไป และพิสุทธิ์องค์เก่าจากไปก่อน  เลยทำให้เกิดช่วงว่างเว้น”  รัตติยังกล่าวต่อโดยหาเหตุผลที่เป็นจริงมาอ้าง  แต่องค์รัชทายาทก็ยังไม่รับฟัง ยังคงหัวรั้น และจะดึงดันให้เป็นไปตามพระองค์เอง  จนอีกฝ่ายต้องจำใจสัญญาไปก่อน  เพื่อที่จะเอาใจอีกฝ่าย

   “สัญญาก็ได้  รัตติจะเป็นพิสุทธิ์หลังจากที่พี่ชายขึ้นครองราชย์”   

ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างสหายที่รู้ใจ  นิ้วก้อยเล็กๆ ของเด็กสองคน  เกี่ยวก้อยนั้นเป็นสัญญา  ว่าจะไม่มีวันลางเลือน

   แต่บัดนี้  ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว   

   ใครคนใดคนหนึ่ง ต้องผิดสัญญา  เพราะว่าบ้านเมืองนั้นสำคัญกว่ายิ่งนัก
   “พี่ชาย รัตติขอโทษ”   น้ำเสียงนั้นไม่ได้ลอดออกมาซักนิดจากเทพพิสุทธิ์  เพียงหากแต่ คิดในใจเท่านั้น  บัดนี้ห้องบรรทมได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว  เทพพิสุทธิ์จะต้องย้ายเข้ามาในห้องบรรทมใหญ่ที่เคยเป็นที่อยู่ของเสด็จย่า ส่วนห้องบรรทมห้องเก่านั้นจะต้องถูกปิดตายด้วยตะปูลงอาคมและผ้าม่านสีทองนั้นไว้ จนกว่าพิสุทธิ์องค์ใหม่จะเห็นด้วยญาณว่าใครจะคือพิสุทธิ์องค์ต่อไป

   ภายในห้องนั้นสงบเงียบ  ไม่มีเสียงอันใดที่จะเล็ดรอดเข้ามาได้   เทพพิสุทธิ์บรรจงตั้งสมาธิอีกครั้งก่อนจะเรียกใครบางคนฌานสมาธิ

   “รัชทายาท  จะไม่คุยกับรัตติหรือ”

   “...................”  ด้วยญาณรับรู้   คนฝั่งนั้นได้ยินเสียงเรียก  แต่ไม่มีเสียงอันใดตอบกลับมา

   “รัตติ.....ขอโทษ”  น้ำเสียงสั่นเครือสุดท้าย  เป็นการขอโทษจากใจจริง   ที่คนอีกฝั่งก็รับรู้ได้  เพียงแต่จะรับการขอโทษหรือเปล่าเท่านั้นเอง

   การรอนั้นนานแสนนานในความรู้สึกของอีกฝ่าย  ความเงียบอยู่ทุกรอบทิศ   คนรอรอด้วยความกระวนกระวาย  ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี  จนในที่สุด องค์รัชทายาทก็เอื้อนเอ่ยออกมาแต่ทั้งน้ำเสียง และสรรพนามที่เรียกนั้นถูกเปลียนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

   “ไม่เป็นไร  ไม่ต้องพูดเพื่อให้ตัวเองดูแย่เช่นนั้นหรอก  พระองค์คือเทพพิสุทธิ์แล้ว   ได้โปรดวางตัวให้ถูกต้องด้วย”

   “รัตติ ....  อยาก  .... เจอ ...... พี่ชาย”   เสียงนั้นตะกุกตะกัก  กึ่งกล้ากึ่งกลัว  แต่อีกฝ่ายกับพูดสวนขึ้นมาทันทีด้วยเหมือนกัน

   “กระหม่อมอยากพัก  ไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องเจอกัน  เจอกันไม่ได้  คนที่พระองค์จะต้องไปเจอหรือปรึกษาราชการ  คือองค์กษัตริย์ ไม่ใช่กระหม่อม” 

   “ยังโกรธหรือ”

   “ป่าว”

   “แล้วทำไมไม่คุยกับเหมือนเคย”

   “มันเหมือนเคยไม่ได้  ท่านไม่ใช่รัตติ แต่ท่านคือเทพพิสุทธิ์  เอาจริงๆ  กระหม่อมก็ไม่ควรคุยอะไรกับพระองค์มากด้วยซ้ำ  มันผิดกฏมณเทียรบาล”

   “แต่มีข้อจำกัดที่ว่า เว้นเสียแต่พิสุทธิ์พระองค์นั้นจะอนุญาต”    อีกฝ่ายยังคงดิ้นรนจะไปเจอให้ได้

   “อย่าเลยกระหม่อม  เว้นให้องค์กษัตริย์พระองค์เดียวเถิด” 

   “ท่านก็รู้ว่าข้าสามารถไปแห่งหนใดก็ได้เพียงแค่ชั่วพริบตา” 

   “เป็นพิสุทธิ์เพียงแค่ไม่กี่วัน จะหัดใช้อำนาจที่ตัวเองมีแล้วรึ”  อีกฝ่ายยังคงต่อต้านไม่ลดละ

   “ใช่”

   “เพื่ออะไร”
 
   “.........”    ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากผู้ที่เป็นเทพแห่งเมฆาพยัค     แต่บัดนี้ ประตูด้านหน้าห้องบรรทมเสมือนถูกลมพัดให้ปิดสนิท  ทั้งๆ  ที่ไม่มีลมอยู่ในนั้นเลย   แต่หน้าต่างกับถูกเปิดออก  ม่านสีเหลืองทอง ปลิวขึ้นลงอย่างแรง จนอีกเพียงนิดก็คงจะขาดได้   ลมแรงนั้นพัดมาอีกระลอก พร้อมกับกลิ่นหอมของกำยานชนิดหนึ่ง ที่ลอยเข้ามาปะทะกับจมูกขององค์รัชทายาทด้วย   ทรงยิ้มที่มุมปากเพียงนิด  ก่อนจะเสหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ตรงที่เกิดลมนั้น

   “พี่ชาย”  เสียงพูดอันแผ่วเบาอยู่ด้านหลังของพระองค์  แต่บัดนี้เสียงนั้นไม่ได้อยู่ในโสตแห่งประสาทแล้ว  แต่เสียงนั้นอยู่เพียงด้านหลังของพระองค์นี่เอง 

   บัดนี้  ชายชุดขาวอีกคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกินในห้องนี้  ได้ปรากฏกายอยู่  ณ ที่แห่งนี้  ไม่ได้เดินเข้ามาทางประตู  ไมได้แม้แต่จะปีนหน้าต่างขึ้นมา  แต่มาได้ด้วยเวทย์ที่ตัวเองมีอยู่   องค์รัชทายาทได้ยินดังนั้น  ถึงแม้จะไม่ได้เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามา แต่ด้วยคนที่เข้ามาเป็นเทพพิสุทธิ์   เค้าก็ต้องหันกลับมา พร้อมกับทำความเคารพคนที่อยู่ตรงหน้า

   เทพพิสุทธิ์รับการเคารพนั้นเพียงนิดเดียว   ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ  แต่อีกฝ่ายกลับถอยหนี

   “พี่ชาย”

   “มีอันใดกระหม่อม  มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้ ถึงมาดึกดื่นเช่นนี้”
 
   “ถ้าไม่มีอะไร   มาไม่ได้หรือ  แต่ก่อนก็เคยมาออกบ่อย”     อีกคนยังคงพูดต่อ  แต่น้ำเสียงเริ่มตัดพ้อบ้าง

   “ไม่ควรมา  นี่ดึกแล้ว” เสียงอีกคนนั้นแข็งเหลือเกิน เหมือนกับไม่รักษาน้ำใจของอีกฝ่าย

   “รัตติ ......ขอโทษ” ขอโทษเรื่องอะไร  เรื่องที่มาห้องบรรทมตอนดึกๆ หรือว่าขอโทษเรื่องอื่น  และก็เป็นจริงดังนั้น  อีกฝ่ายก็ถามย้ำกลับมา

   “ขอโทษเรื่องอะไร  เรื่องที่พระองค์มาห้องของกระหม่อมยามวิกาล  หรือว่าขอโทษเรื่องอื่นใดกัน”

   “ก็โกรธเรื่องอะไร  ก็ขอโทษเรื่องนั้น”

   “ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านมาแล้ว  กระหม่อมเองที่ผิด ที่ไปสัญญาอะไรบ้าๆ กับพระองค์” 

   “แล้วจะคุยกันแบบเดิมได้ไหม”

   “คงไม่ได้  กระหม่อมยังยืนยันคำเดิม”   

   “ทำไม”  อีกฝ่ายยังคงซักต่อ

   “กระหม่อมบอกไปแล้ว”

   “มันเกี่ยวอะไรกับที่รัตติเป็นพิสุทธิ์ แล้วรัชทายาทจะไม่คุยด้วย”  เสียงอีกฝ่ายเริ่มดังขึ้น  ถึงจะเป็นเทพพิสุทธิ์ แต่ก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ และเรื่องเถียงกัน สององค์นี้ก็เถียงกันบ่อยเหลือเกินในสมัยแต่เก่าก่อน

   “กลับไปซะเถิด  กระหม่อมอยากพักผ่อน” อีกฝ่ายตัดบททิ้ง  และเดินไปที่เตียงก่อนจะพลิกตัวลงนอนแล้วหันหลังให้

   “ถ้าข้าไม่ไปล่ะ”

   “จะอยู่ที่ไหนก็ตามใจท่าน ท่านคือพิสุทธิ์  ท่านคือเสาค้ำจุนของสองราชวงศ์  กระหม่อมจะทำอะไรได้”    รัชทายาทยังพูดต่อ  ในขณะที่นอนอยู่บนเตียงนั้น ไม่หันหลังกลับมา

   “ถ้าเห็นว่าข้าคือเทพพิสุทธิ์  ถ้างั้นข้าสั่งให้ท่านลุกขึ้น  ท่านก็ต้องลุกขึ้นมาซิ่”    จริงๆ นั้นแหละ ถึงแม้จะเป็นเทพพิสุทธิ์แล้ว แต่ความเอาแต่ใจของเด็กก็ยังมีอยู่

   “จะใช้อำนาจแล้วรึ”

   “ใช่”

   อีกฝ่ายจำใจลุกขึ้นมาจากเตียง  แววตาแข็งกร้าว  โกรธ โมโห  คนที่อยู่ตรงหน้า มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น   แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ 

   ดวงตาของทั้งสองคน มองเข้าหากัน  อีกฝ่ายดวงตาแดงก่ำไปด้วยความเสียใจ แต่ไม่มีน้ำตาแม้สักหยดหลั่งไหลออกมา  อีกฝั่งของดวงตาคู่หนึ่งตรงกันข้าม มองมาด้วยสายตาแดงก่ำเช่นกัน  แต่แววตานั้นน่าสะพรึงกลัวและไม่น่าไว้ใจยิ่งนัก

   “มี... อะ ... ไร”  น้ำเสียงที่เล็ดลอดไรฟันออกมา  กัดกรามจนเป็นสันนูนแน่น  เสมือนระงับความโกรธเอาไว้จนถึงที่สุด  จ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างหาเรื่อง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

   “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป  ข้าเทพพิสุทธิ์ ขอออกคำสั่งให้องค์รัชทายาท  ขึ้นไปที่วิหารบรรพชนในทุกเช้า เพื่อที่จะสอนอาวุธและศาสตราทุกชนิดที่ข้าจะต้องเรียนรู้”   องค์เทพพิสุทธิ์กล่าวขึ้น ก่อนจะเดินถอยหลังไปอย่างช้าๆ กล้าๆ กลัวๆ แต่สายตาก็ไม่ลดละไปจากองค์รัชทายาท

   “ทหารองค์รักษ์ เทพพิสุทธิ์มีออกเยอะแยะ  อโนทัย ก็เก่งกาจ  จะให้กระหม่อมสอนทำไม  ขออภัย กระหม่อมไม่สะดวก”   อีกคนกล่าวปฏิเสธแทบจะทันที

   “ข้าจะให้ท่านสอน  ท่านก็ต้องสอน  และ .....  ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”    เมื่อไม่ยอมกันก็คงต้องใช้อำนาจ   ตอนนี้สิ่งที่เทพพิสุทธิ์คิดมีอยู่เรื่องเดียวคือ ถ้าหากได้ใกล้ชิดกันแบบเดิม   จะทำให้เรื่องราวต่างๆ กลับมาดีได้เหมือนเดิม  เมื่อรู้ว่าตัวเองผิด  ขอโทษก็แล้ว  และองค์รัชทายาทไม่รับคำขอโทษนั้นก็เหลือเพียงวิธีการนี้วิธีเดียว

   องค์รัชทายาท  ผู้ที่ตลอดชีวิตที่เกิดมามีแต่คนตามใจ  บัดนี้ ถูกทั้งคนที่เคยเป็นเสมือนเพื่อน และพี่น้อง  กล่าวเช่นนี้  ความโกรธจึงมีมากขึ้น  แต่ด้วยขัตติยะ และกฎที่มีอยู่ ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธ ได้  ตอนนี้เพียงทำได้แต่ จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย สาวเท้าก้าวเข้าไปเรื่อยๆ  หมายจะเอาเรื่อง  เพียงแต่จริงๆ  แล้วเพียงพูดกระแทกกลับไปเท่านั้น

   อีกฝ่ายถึงแม้จะเป็นเทพพิสุทธิ์  เวทย์  อำนาจเต็มขั้น แต่ในเวลาที่แม้กระทั่งตัวเองยังไม่สามารถประครองสมาธิของตัวเองได้  ก็เพียงแต่ถอยหนีออกไปเรื่อยๆ เท่านั้น 

   “เคร้ง !!!!!!!!!”  เพราะมัวแต่ถอยหลัง จึงไปชนกับเชิงเทียนด้านหลังจนตัวเองต้องล้มลง   

   ความตกใจของทั้งสองคนเกิดขึ้นจนลืมตัวกันไปชั่วขณะ

   “รัตติ  !!!”  เสียงขององค์รัชทายาท  ระคนตกใจ แต่ก็ยังเจือปนไปด้วยความเป็นห่วงนั้น  จนเผลอเรียกชื่อเดิมออกม  เอื้อมมือจะไปจับให้คนที่ล้มอยู่ยืนขึ้นมาได้  แต่มีเสียงแข็งกลับมาแทบจะทันที

   “ไม่ต้อง   .....   ข้าคือเทพพิสุทธิ์  นอกจากกษัตริย์แล้ว ใครก็ไม่สามารถถูกตัวของข้าได้”    ร่างของคนที่ล้มลง พยายามประครองตัวเองให้ลุกยืนขึ้นมาได้ แต่ก็ยากเหลือเกิน มือสองข้างพยายามจับหาที่มั่นเพื่อพยาม หาที่มั่นให้ตัวเองยืนขึ้นมาได้   แต่ก็ยังช้ากว่าอีกฝ่าย

   “กระหม่อมขออภัยที่ต้องฝืนกฎ   ถูกของพระองค์  ไม่มีใครสามารถถูกเนื้อต้องตัวพระองค์ได้หรอก  หากแต่วันนี้กระหม่อมทำผิด และฝ่าฝืน  พรุ่งนี้กระหม่อมจะไปรับโทษที่วิหารบรรพชนแล้วกัน” 

   องค์รัชทายาทโน้มตัวลงไป ก่อนจะจับข้อเท้าอีกฝ่าย พลิกขึ้นดูอย่างช้าๆ ข้อเท้านั้นแพลงอย่างไม่มีปัญหา 

   “เสด็จกลับเองได้หรือไม่”  ชายที่ก้มอยู่ตรงด้านหน้า  เงยหน้าขึ้นถาม แบบต้องการคำตอบที่แท้จริง

   “ได้”  น้ำเสียงสั่นๆ  นั้นยังคงพูดต่อ  แต่ดูไม่มั่นคงเอาเสียเลย

   “กระหม่อมไปส่ง”

   “ไม่ต้อง”

   “อย่าดื้อ  !!!”

   การเถียงกันไม่มีประโยชน์ในความรู้สึกขององค์รัชทายาทตอนนี้  มือข้างที่ว่างขององค์เทพพิสุทธิ์ถูกจับคล้องคอขึ้นไปในองค์ราชทายาท ส่วนมืออีกข้างที่ว่างของเทพพิสุทธิ์นั้น ถูกมืออีกข้างกุมเอาไว้จนแน่น  ก่อนจะกระหวัดไปรอบตัว  จับนิ้วชี้ของเทพพิสุทธิ์ขึ้น  ก่อนที่ตัวเองจะกล่าวบทสวดสั้นๆ  แล้วร่างทั้งสองก็อันตรธานหายไปในพริบตาในห้องบรรทมนั้น

   ภายในห้องสีขาวสะอาดตาของอีกห้องบนยอดวิหารของบรรพชน  ปรากฏแสงสกาวขึ้นจนทั่วห้องก่อนที่ร่างของเด็กชายทั้งสองคนจะปรากฏขึ้น  องค์รัชทายาทประครอง เทพพิสุทธิ์เพื่อที่จะให้เดินไปที่เตียงได้สะดวก 

   “ให้ตามหมอหลวงไหม”

   “ไม่ต้อง”

   “ทำไม  อายหรอ ที่ไปห้องคนอื่นตอนดึกๆ  จนกระหม่อมต้องมาส่ง”

   “..........” อีกคนถลึงตามอง  ไม่พูดแม้คำใดออกมา

   “พรุ่งนี้กระหม่อมจะมาสอนแต่เช้า พร้อมมารับโทษด้วย ที่บังอาจแตะต้องพระองค์ในคืนนี้”    องค์รัชทายาท ยืนขึ้นเหนือชายเตียงตรงนั้น  ก่อนที่จะทำความเคารพแล้วหันหลังเดินออกไป

   “ไม่ไปส่งนะ”  เสียงตามมาด้านหลังจากคนที่นอนอยู่บนเตียง  ความหมายของการไม่ไปส่ง  นั้นคือองค์รัชทายาทต้องเดินกลับตำหนักตะวันตกเอง ไม่สามารถใช้เวทย์อะไรได้  เพราะคนที่มีเวทย์อาคมนั้นมีเพียงเทพพิสุทธิ์เท่านั้น   เมื่อครู่นี้ตอนมา  ด้วยความที่เคยชินตอนที่ยังเล่นอยู่ด้วยกัน  เวลาที่องค์รัชทายาทอยากไปไหน  และร่างกายของเทพพิสุทธิ์แข็งแรงพอ เพียงแค่สองคนจับมือกัน  ก็สามารถไปไหนได้ทุกที่ที่ใจอยากจะไป

   “กระหม่อมเดินเองได้”

   “รัชทายาท”  เสียงเรียกอีกครั้งจากคนที่นอนอยู่  เมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมรับให้เรียกว่า “พี่ชาย” ได้ดังเดิม  เทพพิสุทธิ์จึงเรียกว่ารัชทายาทเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

   “นิทราสวัสดิ์”

   “นิทราสวัสดิ์เช่นกันกระหม่อม”

   
   
   
   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2019 20:52:25 โดย chin_va »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่  4   อำนาจที่แท้จริง

   ความมืดแห่งรัตติกาล   รัตติ  ความงามที่งามที่สุดในเวลาที่มืดมน  อรุณ แสงสว่างของทุกๆ สรรพสิ่งในการที่จะเริ่มต้นของเช้าวันใหม่   ทั้งสองชื่อนี้เปรียบเสมือนเส้นทางขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้ 

   ......  ใครกันนะ ที่ตั้งชื่อทั้งสองนี้ขึ้นมาบนโลกใบนี้  .........   

   ทุกๆ ความมืด เทพพิสุทธิ์จะยังคงเห็นเรื่องราวในกึ่งฝันกึ่งความเป็นจริง  ดวงตาของใครหลายคน  ดวงหน้าของคนที่ไม่รู้จัก  และอีกหลายเรื่องราวจนถึงสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน  นั้นเป็นเพียงอย่างแรกเท่านั้น  ของอีกเวทย์ศาสตร์หนึ่งที่พิสุทธิ์ทุกองค์จะต้องมี  คืออนาคตล่วงหน้า  กว่ารัตติจะรู้ ก็ล่วงเลยเข้าไปถึง  7  ปีเต็มๆ

   วันเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งก็เช่นกัน  หากแต่อายุขัยของมนุษย์ทั่วไป  ก็เจริญวัยไปตามกฏเกณฑ์ของทุกๆ สิ่งอย่างเป็นเรื่องปกติ  แต่อายุขัยของพิสุทธิ์ที่ผ่านการตื่นมาจากสระเหมันต์นั้น ดูเหมือนจะดำเนินไปช้ากว่ามนุษย์ปุถุชนทั่วไป  ผ่านไปเกือบเจ็ดปีนี้  องค์ชายรัชทายาทอายุก็เข้าไป  22  ปีแล้ว แต่รัตติหรือเทพพิสุทธิ์อายุจะเพียงแค่  17  ปีเท่านั้น  ความอ่อนเยาว์ ความเดียงสาของดวงหน้าทั้งคู่จึงต่างกันบ้างเล็กน้อย   หากแต่ความคิด และสติปัญญามิได้ห่างกันไปเลย

   คำสัญญาหรือคำสั่งที่เทพพิสุทธิ์มีต่อองค์ชายรัชทายาท  ที่มีคำสั่งให้ต้องไปสอนเกี่ยวกับศาสตราวุธทุกชนิด  ทำให้องค์รัชทายาทมิอาจฝืนได้  ถึงแม้ไม่เต็มใจก็ตาม   ระยะเวลาผ่านไปเกือบ  7  ปี  การคุยกัน  สนทนาปราศรัย นั้นแทบจะไม่เกินเพียง  20  คำ   อีกคนเข้าหา  อีกคนห่างเหิน    จนเทพพิสุทธิ์เองก็หมดเรี่ยวแรงที่จะตามตอแยต่อไป   หากแต่องค์รัชทายาทก็ไม่ละทิ้งภาระหน้าที่ของตัวเองไปไหน   เมื่อให้มาสอนก็ยังคงสอนต่อไป  จนกว่าเทพพิสุทธิ์จะเก่งกล้าสามารถเทียบเท่ากับพระองค์เอง   หากแต่ลึกๆ แล้วเทพพิสุทธิ์นั้นยังคงที่จะคิดถึงวันคืนอันเก่าๆ  อยู่เสมอ แต่ไม่สามารถที่จะกระทำได้  ด้วยฐานะของพระองค์ตอนนี้ไม่ใช่รัชทายาทเทพอีกต่อไป   หากอีกฝ่ายจะโกรธเค้าเองก็จนปัญญาที่จะห้าม   จะโกรธก็โกรธไปซิ่  เค้าไม่ได้โกรธด้วยซะหน่อย   

   มันเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานแล้วในความรู้สึกของทั้งสององค์    บัดนี้ศาสตราวุธทุกอย่าง เทพพิสุทธิ์สามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่ว  ไม่ว่าจะเป็นหอก  ดาบ ธนู  มีดสั้น  หรือแม้กระทั่งมือเปล่า  เพียงแต่เวทย์มนต์เท่านั้นที่ยังไม่แข็งแรงพอ   หากใช้ติดต่อกันนานๆ   พระองค์จะหมดสติไปอย่างเช่นเคย   และถ้าฝืนใช้มากขึ้นมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก   เลือดสีฟ้าบริสุทธิ์ของพระองค์จะหลั่งไหลออกมา  และนั้นหมายถึงอำนาจเวทย์จะหมดและหายไปชั่วขณะหนึ่ง

   การประลองในวันนี้  คงจะใช้เวทย์มนต์บ้างตามคำสั่งของฝ่าบาท  แต่คงจะยังใช้เยอะไม่ได้

         อนาคตพระองค์มองเห็นหมดทุกสิ่ง  แต่ทำไมนะ  ทำไมถึงมองไม่เห็นอนาคตของชายที่อยู่ตรงหน้านี้ได้   นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เทพพิสุทธิ์ไม่เคยบอกกล่าวใครเช่นกัน    มันมีอยู่สองอย่างที่พระองค์เคยอ่านตำรามาในหอบรรพชน (ตำราที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปอ่านได้นอกจากพิสุทธิ์ หรือรัชทายาทเทพเท่านั้น)   คือหากวันใดที่เทพพิสุทธิ์ไม่อาจอ่านอนาคตของกษัตริย์หรือรัชทายาทองค์ใดในราชวงศ์เมฆาพยัคแล้ว  แสดงว่าเขาคนนั้น  ประการแรก ดวงชะตาเหนือกว่าพิสุทธิ์  ส่วนดวงชะตาที่สองคือเขาคนนั้น อนาคตเป็นคนที่จะต้องฆ่าพิสุทธิ์เสียเอง  ซึ่งในอดีตนั้น  เคยมีกษัตริย์องค์เดียวเท่านั้นที่จำเป็นต้องฆ่าพิสุทธิ์องค์นั้นทิ้งเสีย เนื่องจากหลงและมัวเมาในอำนาจมากเกินไป  จากที่ผ่านมานับพันๆ ปี  แทบจะไม่เคยมีเลยที่สองราชวงศ์บาดหมางกันรุนแรงถึงเพียงนี้

   สิ่งที่น่ากลัวนี้เทพพิสุทธิ์ก็ยังคงเก็บเอาไว้คนเดียว 

         บุรุษสองคนประจันหน้ากันอยู่คนละฟากฝั่งของสนามลานกว้างนั้น  ด้านบนประกอบไปด้วยเหล่าขุนนางอำมาตย์ มากหน้าหลายตาที่เข้ามาดูการประลองครั้งที่สำคัญที่สุดในการชุมนุม งานพิธี คัดเลือกองค์รักษ์ใหม่ที่ถือเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งพิธีหนึ่ง   

   ด้านบนสุดของมุขระเบียงด้านบนสนาม  กษัตริย์วารัญแห่งเมฆาพยัค  นั่งประทับเป็นองค์ประธานอยู่อย่างสง่างาม  เตรียมพร้อมถึงช่วงสุดท้ายของการทำพิธี  นั่นคือการประลองระหว่าง  อาจารย์ผู้สอนเหล่าทหารองค์รักษ์ และศิษย์เอกในการสอนแต่ละปี 
   
         หากแต่ปีนี้แตกต่างออกไป  แน่นอนว่าอาจารย์ผู้สอน จะเป็นองค์รัชทายาทนั้นเอง  แต่ศิษย์เอกในครั้งนี้คือเทพพิสุทธิ์  การประลองครั้งนี้จึงน่าสนใจไปยิ่งกว่าเดิม บุรุษผู้งามสง่า ของอีกฟากหนึ่ง ใส่ชุดประลองอย่างทะมัดทะแมงสีน้ำเงิน  ผ้าคาดหน้าผากสีทองล้วน   มองเห็นอย่างเด่นชัด  ทำให้เป็นที่น่าสะดุดสายตาแก่ผู้คนรอบข้างยิ่งนัก

   ส่วนอีกฟากฝั่งตรงข้าม บุรุษผู้นั้นก็งามสง่าไม่แพ้กัน   หากแต่ดวงหน้านั้นจะดูเยาว์กว่าชายหนุ่มอีกฝั่ง   เสื้อคลุมสีขาวล้วนปักดิ้นเงินทำให้ดูวาววับยามกระทบกับแสงแดด ยิ่งทำให้ดูน่ามองมากยิ่งขึ้น   ผ้าคาดหัวที่บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวล้วนสะอาดตา  ตั้งแต่เจ็ดปีที่แล้ว   ทำให้ดวงหน้าโดยรวมนั้นช่างหน้าจับตาเป็นยิ่งนัก

   เสียงอันดังก้องจากขุนนางท่านหนึ่งที่อยู่บนปรัมพิธี  กล่าวขึ้นด้วยเสียงดังและฟังชัด

   “การประลองในวันนี้   ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ทั้งสองพระองค์  อย่าออมมือซึ่งกันและกัน   สำหรับองค์รัชทายาท  ฝีมือในท่วงท่าของการรุกและรับการโจมตี  เป็นอันดับหนึ่งไม่เป็นรองใคร  หากแต่ครั้งนี้พระองค์จะต้องสู้กับเทพพิสุทธิ์  ผู้ซึ่งสามารถใช้เวทอาคมในการเข้าประลองได้   ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ ฝ่าบาทต้องการที่จะเห็นความแข็งแกร่งของเวทย์เทพพิสุทธิ์ว่าขึ้นไปถึงขั้นไหนแล้ว  นับจากนี้ ......เริ่มการประลองได้” 

   เสียงลมพัดรอบข้างทำให้ธงที่อยู่บริเวณโดยรอบโบกสะบัด ส่งเสียงมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม  หากแต่ไม่มีแม้เสียงใครซักคนจะพูดกัน  บริเวณโดยรอบตอนนี้จึงทำให้น่าดูหนักไปยิ่งกว่าเดิม

   แต่หากในโสตประสาทของใครบางคนอาจจะรับรู้คำพูดของอีกฝ่ายก็ได้

   “กระหม่อมจะใช้เวทมนต์เท่าที่จำเป็น” 

   “ไม่จำเป็น”  เสียงที่ตอบกลับมา ชัด สั้น และห้วนยิ่งนัก 

   “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ออมมือแล้วนะ”   เทพพิสุทธิ์ตรัสกลับไป  ทั้งดวงหน้าและน้ำเสียงในโสตนั้นมีแววน้อยพระทัยอยู่บ้าง

   “แล้วถ้าเกิดกระหม่อมไม่ออมมือขึ้นมาบ้างล่ะ  เกิดอยากฆ่าพระองค์เสีย  แล้วพูดกับคนอื่นว่ามันเกิดการพลาดพลั้งในการประลอง”  สิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสมันดูกึ่งทีเล่นทีจริงจนอยากจะเดาได้

   “คิดหรอว่าจะฆ่ากระหม่อมได้”

   “อ่อ  ลืมไป  เทพพิสุทธิ์เป็นผู้ล่วงรู้อนาคตแล้วนี่นะ”   

   “แน่นอน”   จำใจต้องตอบกลับไปทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ใช่   แต่สิ่งนี้เทพพิสุทธิ์ก็ไม่สามารถบอกกับใครได้  แม้คนที่ไว้ใจมากที่สุดตรงหน้านั้นก็ตาม

   หรือจะเป็นอย่างที่องค์รัชทายาทตอบกลับมา  เขาอาจจะต้องตาย...... 


   ไม่มีอะไรที่จะพูดต่อกันหลังจากนั้น  ทั้งสองพระองค์ต่างกระโดดตีลังกาด้วยท่าทางทะมัดทะแมงของทั้งสองฝ่ายเบื้องหน้าคือจับอาวุธที่แต่ละองค์จะถนัด   อาวุธที่องค์รัชทายาทถนัดยังคงเป็นดาบ  ส่วนเทพพิสุทธิ์ก็คว้าเอาอาวุธคู่กายที่ตัวเองถนัดนั้นคือมีดสั้นคู่ทั้งสองอัน  ถือพร้อมกันไว้ในมือ  ก่อนที่ใครคนใดคนหนึ่งจะตั้งตัว   เทพพิสุทธิ์อาศัยช่วงทีที่องค์รัชทายาทจะวิ่งก้าวเข้ามา  และหันดาบมาทางพระองค์  มีดสั้นนั้นก็พุ่งเข้าหาบุรุษตรงหน้านั้นเสียก่อน  ในเศษเสี้ยวของความไวนั้นเอง  ดาบที่องค์รัชทายาทถืออยู่นั้นก็กวัดแกว่งและปัดเอามีดสั้นนั้นตีออกไป  เพราะหากปัดไม่พ้น  เพียงนิดเดียวก็คงจะถึงตรงหน้าของพระองค์พอดี

   “แกร้ง !!!!!!!!!”  เสียงกระทบของโลหะสองชิ้นดังสนั่นไปทั่วบริเวณการประลอง  มีดสั้นเล่มแรกที่หลุดออกไปจากเทพพิสุทธิ์  บัดนี้ถูกตีวงให้กลับเข้ามาหายังข้อมือของเจ้าของดังเดิม  มันเป็นเพียงเวทย์อันน้อยนิดเท่านั้นแทบจะไม่ต้องใช้แรงอะไรเลย  ในการหยิบหรือจับสิ่งของให้ไปในทิศทางใดก็ได้    พลาดไปจากมีดเล่มแรก  เทพพิสุทธิ์ บิดข้อมือตัวเองเบาๆ อีกครั้ง
 ......  แต่หากรั้งนี้  มีดทั้งสองเล่ม ก็พุ่งเข้าหาองค์รัชทายาทพร้อมกันทั้งคู่   เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นที่ทั้งสององค์ห่างกัน   แต่ความไวนั้นไม่มีใครเชือดเฉือนกันได้ลงเลยทีเดียว

   ตอนนี้  องค์รัชทายาทเป็นเพียงองค์ที่ตั้งรับมากกว่าที่จะประชิด

   มีดสั้นทั้งสองถูกพุ่งเข้าหาองค์รัชทายาทอย่างเช่นเคย  แต่ด้วยความไวของพระองค์  มีดทั้งสองเล่มนั้นก็ถูกดาบนั้นปัดทิ้งออกไปจากด้านข้างตัวอย่างปลอดภัย  แต่หารู้ไม่ว่า  ตอนนี้คนฝั่งตรงข้ามขององค์รัชทายาทนั้น ได้เปลี่ยนจากมีดสั้นมาเป็นธนูแล้ว   จากเพียงไม่กี่ก้าวที่จะถึงเทพพิสุทธิ์ บัดนี้ห่างออกไปจากเช่นเดิมอีกมาก ทำให้องค์รัชทายาทยิ่งต้องก้าวเข้าไปให้กระชั้นชิดยิ่งขึ้นเพื่อที่ให้ตนเองได้เปรียบ   

   เทพิสุทธิ์ง้างศรธนูขึ้นในทันที   เวทย์มนต์นี้ องค์รัชทายาทเคยเจอมากับตัวเองแล้ว   ธนูเพียงดอกเดียวนั้นสามารถแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นนับสิบนับร้อยดอกได้เพียงร่ายคาถาบางอย่างที่มีองค์พิสุทธิ์เท่านั้นที่จะทำได้

   และมันก็เป็นจริงดังคาด  ทันที่ที่ธนูดอกนั้น ถูกปล่อยออกมาห่าฝนลูกธนูก็พุ่งมาทางพระองค์   ดาบกงจักรของพระองค์ไม่เคยทำงานพลาด   ข้อมือขององค์รัชทายาท จากการที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี บัดนี้หมุนควงดาบจนรอบทิศ  ประหนึ่งดาบนั้นได้กลายเป็นโล่ชั้นดี ไม่ให้พระองค์ถูกลูกธนูนับร้อยนั้นได้   เพียงแค่เสื้ยวของเวลา ในระหว่างที่พระองค์ป้องกันตัวไปด้วย องค์รัชทายาทก็สาวเท้าก้าวเข้าไปเรื่อยๆ  เพื่อที่จะไปหาเป้าหมายผู้เป็นชายตรงหน้าให้ได้ไวที่สุด  พระองค์เสียเปรียบตรงที่ไม่มีเวทย์มนต์  จะชนะได้ คือต้องประชิดตัวเท่านั้น

   และกฎข้อนี้เอง  เทพพิสุทธิ์ก็รู้  เมื่อรู้ว่าตัวเองพลาดเป็นครั้งที่สอง   ก็รีบลอยตัวแล้วถอยออกมาอีกจากด้านหลัง  บัดนี้มีดสั้นทั้งสองด้าม  ถูกกลับมาลอยอยู่เหนือข้อมืออีกครั้งหนึ่งแล้ว

   แต่ช้าไป  การใช้เวทมนต์สองครั้งติดกัน ทำให้พระองค์เซไปด้านข้าง  และนั้นทำให้การถอยห่างออกจากองค์รัชทายาทช้าขึ้นไปด้วย   ดาบที่อยู่ในมือของชายตรงหน้า บัดนี้ ถูกเขวี้ยงขึ้นมายังเป้าหมายซึ่งก็คือพระองค์เอง     มีดสั้นในมือหนึ่งข้าง ถูกป้องกันเอาไว้จากดาบเล่มใหญ่นั้น แต่แรงของดาบ บวกกับแรงของเจ้าของที่เขวี้ยงมานั้น  รุนแรงมาก   มีดสั้นป้องกันเอาไว้ได้ก็จริง  แต่มันกลับกระเด็นออกจากมือเทพพิสุทธิ์ไป

   เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์รัชทายาทพุ่งเข้ามาถึงพอดี  มีดสั้นเล่มที่หลุดไปนั้น กลับเข้าไปอยู่ในมือขององค์รัชทายาทพอดิบพอดีเหมือนกับจับวางไว้กระนั้น

   บัดนี้ทั้งสองพระองค์  มีอาวุธที่เหมือนกันแล้ว คือมีดสั้นทั้งคู่   

   “อยากรู้จริงๆ  เทพพิสุทธิ์จะหนีไปทางไหนต่อ  แค่นี้ก็ทรงเหนื่อยแล้วรึ  มีดแค่เล่มเดียวกระหม่อมยังแย่งมาได้”   ตอนนี้เป็นการคุยกันต่อหน้าแล้ว เสียงนั้นไม่ได้ดังนัก  และได้ยินกันเพียงแค่สององค์เท่านั้น

   “ใครว่ากระหม่อมเหนื่อย  อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง   แค่มีดเล่มเดียว  อย่าคิดว่าเอาชนะได้”  ทันทีที่เทพพิสุทธิ์กล่าวจบ มีดสั้นเล่มนั้นที่หลุดมือไปและไปอยู่กับองค์รัชทายาท  ทันใดนั้นเองมันก็พุ่งกลับเข้ามาหายังมือเทพพิสุทธิ์ดังเดิม  .......   บัดนี้  องค์รัชทายาทตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง  จะกลับเข้าไปเอาอาวุธอันใหม่ก็คงจะไม่ทันเพราะห่างมากนัก 

   “แย่งไป  ก็แย่งกลับมาได้   เอาล่ะ ถึงทีกระหม่อมบ้างล่ะนะ  หน้าหล่อๆ แบบนี้  มีแผลเป็นที่แก้มซักนิดจะเป็นอย่างไง” สิ่งที่เทพพิสุทธิ์กล่าวนั้นไม่ใช่คำขู่  มือข้างหนึ่งของพระองค์ยกขึ้น  พร้อมกับมีดสั้นที่ลอยอยู่ข้างข้อมือนั้น  พระองค์บิดข้อมือไปหนึ่งครั้งแล้วทรงใช้นิ้วชี้ชี้ไปยังที่หมายของมีดนั้นจะต้องไป  ความไวครั้งนี้  องค์รัชทายาทหลบไม่ทัน  และมันก็ไม่มีทางทันได้  มีดเล่มนั้นเฉียดออกไปทางแก้มของพระองค์ไปนิดเดียว  ทรงเบือนหน้าหลบมีดนั้นและคิดว่าจะหลบมีดนั้นพ้น แต่ท้ายมีดมีความยาว  จึงทำให้เกิดริ้วรอยที่แก้มไป 

   เลือดองค์รัชทายาทออกมาเป็นเส้นตามรอยบาดของมีดนั้น  ถึงแม้จะไม่ลึกมาก  แต่ก็เกิดรอยแผลขึ้นได้ และมันก็เป็นตรงแก้มพอดีตามที่เทพพิสุทธิ์ได้กล่าวไว้

   แต่ใครจะไปรู้ได้  ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น   และไม่มีใครล่วงรู้  บัดนี้มีดเล่มนั้นของพระองค์เทพพิสุทธิ์กลับย้อนกลับเข้ามาหาพระองค์เอง เป้าหมายของมันไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ต้องการ แต่กลับเป็นต้นแขน  ปลายของมีดนั้นเฉือนเป็นริ้วเส้นผ่านไปเฉกเช่นเดียวกับกับแผลบนแก้มขององค์รัชทายาท 

   รอยแผลนั้นเหมือนกันไม่มีผิด

   เลือดสีฟ้าสะอาดตาไหลออกมาจากต้นแผลนั้น  มันเป็นได้อย่างไรกัน  เกิดอะไรขึ้น  !!!!!

   เทพพิสุทธิ์สงสัยจนถึงขีดสุด   ไม่ใช่แน่ๆ  พระองค์ไม่ได้ร่ายเวทย์อันใดผิดไปแน่ๆ  เกิดเรื่องนี้ได้อย่างไร  และเลือดออก เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างมากที่ไม่ควรเกิดกับพิสุทธิ์องค์ใด

   บัดนี้ พลังเวทย์ ไม่สามารถใช้ได้ไปชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วจนกว่าเลือดนั้นจะหยุดไหล

   ความตระหนกไม่ได้เกิดเพียงแค่กับเทพพิสุทธิ์เท่านั้น  หากแต่บุรุษตรงหน้าก็สงสัยเช่นกัน   ถึงแม้จะห่างเหินกัน แต่ก็เหมือนมีบางอย่างในอดีตยังคงรบกวนจิตใจตลอดเวลา

   “รัตติ”  เผลอเรียกชื่อเดิมไปเมื่อครั้งคุ้นเคย

   ผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้น ก่อนจะหยิบมีดสั้นที่ตกลงมาด้านข้าง  ชี้หน้าไปยังเสียงเรียกนั้น  เหมือนจะไม่รับฟังหรือเหตุผลใด  ถึงเป็นเทพพิสุทธิ์ แต่ก็ยังคือเด็ก  ทั้งๆ ที่ตัวเองทำเค้าก่อนแท้ๆ   มีดที่ถือขึ้นมานั้นจับได้เพียงชั่วครู่ ก็ร่วงลงไปอีกรอบเหมือนแรงที่จับนั้นแทบจะไม่มี เผยให้เห็นแผลด้านข้างมากยิ่งขึ้นเมื่อเอี้ยวตัวหยิบมีดอีกครั้ง   

   องค์รัชทายาทรู้ตัวแทบจะทันที ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมรับความห่วงใยนั้น   ทรงยิ้มหยันในแทบจะทันที เมื่อเห็นแผลของอีกฝ่ายได้อย่างถนัด  ถึงแม้มันจะไม่เยอะมาก แต่ก็ทำให้อีกคนเกิดแผลได้  สิ่งที่น่ากังวลคือเทพพิสุทธิ์จะใช้เวทย์มนต์อันใดต่อไปเท่านั้นเอง

   หากแต่พระองค์ไม่รับรู้ว่า บัดนี้เทพพิสุทธิ์ไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ชั่วคราวแล้ว

   “เป็นอย่างไรล่ะกระหม่อม   เอาล่ะ ถึงคราวกระหม่อมบ้างแล้วนะ”    องค์รัชทายาทพูดพร้อมกับก้มไปหยิบดาบของตัวเองขึ้นมา   ณ ตอนนี้ระหว่างดาบเล่มใหญ่นั้น กับมีดสั้นที่เหลือเพียงเล่มเดียวของพระองค์ที่มันตกลงไปด้านข้าง   เทพพิสุทธิ์รีบเอี้ยวตัวเอื้อมไปหยิบมีดที่ตกลงไป  และยืนขึ้น

   สิ่งที่น่าผิดปกติ และทำให้องค์รัชทายาทสงสัย คือเทพพิสุทธิ์เดินเซออกไปด้านข้างเหมือนหมดเรี่ยวแรงที่จะยืน  จึงทรงตรัสขึ้นต่อกับชายที่อยู่ตรงหน้า

   “อ่อ !!!  หมดแรงแล้วรึ  เอาล่ะ  คงใช้เวทย์ไม่ได้ชั่วคราวซิน่ะ  ถึงทีกระหม่อมจริงๆ  ล่ะ”   พูดยังไม่ทันจะจบ  ดาบที่องค์รัชทายาทถืออยู่ก็เงื้อขึ้นสุดแรง เป้าหมายคือคนตรงหน้า 

   คนรอบข้างตอนนี้ให้เกิดความสงสัยยิ่งนัก ว่านี่คือการประลองเท่านั้น  หรือเป็นการฆ่าฟันกันจริงๆของทั้งสองพระองค์   บัดนี้ กษัตริย์วารัญ เริ่มนั่งอยู่ไม่เป็นสุข เมื่อเห็นสิ่งผิดปกติตรงหน้า   7  ปีที่ผ่านมา เทพพิสุทธิ์แกร่งขึ้น ทั้งเรื่องศาสตราและเวทย์อาคม  รวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออนาคตกาลที่พระองค์สามารถมองเห็นได้  แต่เทพพิสุทธิ์องค์นี้เป็นเหมือนกับไม่กี่องค์ในบรรพชน  ที่คิดจะมาเอาดีทางด้านศาสตราวุธด้วย

   ดาบที่องค์รัชทายาทฟันลงมา ถูกขวางด้วยมีดสั้นของเทพพิสุทธิ์  บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง  องค์รัชทายาท ก้าวข้างหน้ามาหนึ่งก้าว  ก็เงื้อดาบฟันลงไปหนึ่งครั้ง  เทพพิสุทธิ์ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายตั้งรับเพียงอย่างเดียว  ดาบทั้งฟาดลงมา  เสยขึ้นข้างบน  หันแฉลบฟันไปด้านข้าง  จนน่างงไปหมด  เพราะทั้งเปลี่ยนท่วงท่าและความเร็วนั้น  สุดท้ายมีดสั้นอันเล็กหรือจะสู้ดาบอันใหญ่นั้นได้ การฟันลงมาอีกครั้งขององค์รัชทายาท จึงยังผลให้มีดสั้นเล่มเล็กของเทพพิสุทธิ์หลุดไปจากมือด้วย  แรงของดาบคงจะแรงเกินไป  นอกจากจะทำให้มีดสั้นที่ขวางอยู่นั้น  หักและกระเด็นออกไป  แรงของมันยังคงทำให้ข้อมือของเทพพิสุทธิ์  ถูกหักออกด้วยความเร็วเกินไป

   กร๊อก  !!!!  เสียงที่ดังไม่มาก   และรับรู้กันได้เพียงแค่สองคน   แต่เสียงอุทานของอีกฝ่าย  ก็ทำให้คนหลายๆ คนที่อยู่รอบข้างได้ยินเช่นกัน

   “โอ้ย !!!!!”  มันคือเสียงที่เจ็บปวดของเทพพิสุทธิ์

   ชายตรงหน้ายังไม่ยั้งมือ  เพราะถ้าจะชนะให้ได้แล้วก็ต้องชนะให้เด็ดขาด  เมื่อเทพพิสุทธิ์เสียหลัก  พระองค์จึงยืนขึ้นไปและคร่อมชายที่อยู่ตรงหน้า มือข้างหนึ่งดึงชายเสื้อสีขาวนั้นขึ้นมา   เพื่อให้จับต้นคอได้ถนัด   มือข้างที่ถือดาบอยู่ก็วางนาบไว้กับลำคอของเทพพิสุทธิ์พอดี แต่มันกระชั้นชิดเกินไป  จนคนที่จับดาบเอง มือก็ยังสั่น   ลูกกระเดือกเจ้ากรรมนั้น  ก็ดันกระดกขึ้นลงแทบจะทันทีอีกเหมือนกัน ดาบยิ่งใกล้อยู่แล้ว เมื่อกระทบกับผิวหนังที่ยืนออกมา  เลยทำให้เกิดแผลที่สองบนร่างกายของเทพพิสุทธิ์อีกครั้งจนได้

   เสียงที่รอดไรฟันออกมาจากคนที่ถือดาบอยู่ แสดงความโมโหอย่างถึงที่สุด เค้นเสียงออกมาแต่ละคำนั้นต้องการที่จะให้คนที่อยู่ตรงหน้านั้นได้ยินเพียงแค่นั้น

   “จำเอาไว้ เทพพิสุทธิ์  วันใดที่กระหม่อมได้เป็นกษัตริย์  หากพระองค์ใช้อำนาจ  เวทย์  อาคมอะไรของพระองค์ก็แล้วแต่  กระหม่อมจะไม่ให้เกิดแผลเพียงแค่นี้แน่นอน”

   “ก็รอให้ถึงวันนั้นก่อน  มันอาจจะไม่มีวันนั้นของพระองค์ก็ได้” 

   “อ่อ  ทำนายอนาคตได้แล้วนี่นา  อ่ะ  ก็ลองมาดูกัน ว่ากระหม่อมจะเปลี่ยนอนาคตของพระองค์ได้หรือเปล่า”

   ไม่มีการพูดอันใดต่อกันอีก  บัดนี้เสียงปรบมือดังเซ็งแซ่ไปทั่วอาณาบริเวณ  การต่อสู้ที่ดุเดือดได้ผ่านไปแล้ว  กษัตริย์วารัญ มีความปีติยินดีเป็นอย่างมาก ที่เห็นพัฒนาการของเทพพิสุทธิ์ไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ  และความเก่งกล้าสามารถขององค์รัชทายาทก็ไม่มีใครเทียบเทียมได้

   องค์รัชทายาทลุกขึ้นยืน  ยกแขนขึ้นสูงทั้งสองข้างอย่างผู้ชนะ   ก่อนที่จะเอื้อมแขนลงไปเพื่อให้อีกฝ่ายได้จับ  และพยุงขึ้นมาได้ง่าย

   หากแต่เป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่า ไม่มีมือของใครที่มาสัมผัสกับมือของพระองค์แม้แต่น้อย

   “ไม่ต้องจับมือข้า  นับจากนี้  ห้ามถูกตัวของกระหม่อม  คนที่ถูกตัวกระหม่อมได้มีเพียงเสด็จพ่อเท่านั้น”

   “แพ้แล้วพาลรึ”

   “ไม่ต้องยุ่ง”

   “ก็ไม่ได้ยุ่งมาตั้งหลายปีแล้ว  ไม่คิดอยากจะยุ่งซะหน่อย”

   “ฮึ”  เถียงต่อไม่ได้  เทพพิสุทธิ์ก็ทำเสียงแค่นี้เพียงเท่านั้น  ดวงตาเริ่มเอ่อออกมา  เพราะความน้อยใจ  แต่ทำไม่ได้  ร้องไห้ไม่ได้

   “อย่าร้องไห้หากระหม่อมก็แล้วกัน”  องค์รัชทายาทพูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป

   
   
   


ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ 5 ความลงตัวที่บาดหมาง
«ตอบ #9 เมื่อ14-11-2019 01:10:03 »

ตอนที่ 5   ความลงตัวที่บาดหมาง

   หลังจากการประลองที่ผ่านมา  เทพพิสุทธิ์ก็ไม่เห็นหน้าคนที่ต่อสู้ด้วยอีกเลย  และถึงตอนนี้ก็ไม่ได้มีการสอนสั่งอันใดๆ แล้วจากองค์รัชทายาท จึงมีเหตุผลน้อยมากที่จะทำให้เจอกันได้อีก  ช่วงหลังๆมานี้ บรรยากาศในวิหารบรรพชนนั้นเงียบสงบยิ่งนัก  ตั้งแต่ช่วงเช้า  จนถึงบ่ายคล้อย    เขายังคงไม่ได้ออกจากวิหารไปไหน  ยังคงนั่งสงบนิ่ง  ทำสมาธิเข้าฌานอยู่อย่างนั้น ผ่านมานานวันเข้าไปเรื่อยๆ  บัดนี้เวทย์ของพระองค์นั้นแก่กล้าขึ้นมากแล้ว  คาถาอันใดที่ทำได้ยาก  ก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น อนาคตที่อยู่ในสากลโลก  พระองค์มองเห็นหมดทุกสิ่งอย่าง  แต่มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่พระองค์ไม่สามารถมองเห็นอนาคตของคนคนนั้นได้

   นั่นคือ  .....  รัชทายาทแห่งเมฆาพยัค

   เสียงเปิดประตูออกมาอย่างช้าๆ  ไม่มีการกล่าวใดๆ ก่อนทั้งสิ้น ซึ่งก็จะมีเพียงทหารองค์รักษ์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะทำได้  พระองค์ไม่ได้เปิดเนตรออกมา ยังคงหลับอยู่อย่างนั้น เสียงอันกังวานพูดขึ้นน้ำเสียงนั้นแข็งแกร่งสมกับเป็นทหารหาญ

   “เทพพิสุทธิ์”

   “มีอะไรอโนทัย” 
   
   คนที่เข้ามาและถูกขานชื่อโค้งตัวทำความเคารพบุรุษที่นั่งสมาธิอยู่ตรงหน้า  ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

   “ฝ่าบาทเสด็จมา  รออยู่ที่ห้องบรรพชนองค์พระปฐมกระหม่อม”
 
   เทพพิสุทธิ์ยิ้มให้ชายที่อยู่ตรงหน้าเพียงนิดก่อนจะลุกขึ้น  และคิดไว้ในใจอยู่แล้วว่าอย่างไงเสีย  ฝ่าบาทก็ต้องเสด็จมา   ด้วยบัดนี้เมืองทางเหนือเริ่มก่อตัวแข็งขึ้น และมีอำนาจมากขึ้นตลอดระยะเวลา  7 ปีที่ผ่านมา  ความสงบที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนแห่งนั้นบัดนี้เริ่มเปลี่ยนไป  อนาคตที่เทพพิสุทธิ์เห็น มันมีแต่การหลั่งเลือด  สำหรับอนาคตนั้นพระองค์สามารถที่จะเปลี่ยนมันได้  ไม่ว่าจะเปลี่ยนให้ไปในทางที่ดี  คือเมฆาพยัคชนะเหล่าราชศรัตรูนั้นและยอมอยู่ในสวามิภักดิ์ ไม่เสียเลือดเนื้อ   หรือจะทำให้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าย่อยยับไปกับมือจนแทบจะสิ้นเมืองไปเลยก็ย่อมได้

   ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความคิดของพระองค์ว่าจะให้ไปทางไหน

   บริเวณโถงกลางของวิหารบรรพชนแยกไปอีกทางปีกหนึ่งของตำหนัก  คือห้องบรรพชนองค์พระปฐมบรมพยัฆเป็นบริเวณที่เก็บป้ายและอัฐิของทั้งสองราชวงศ์  เบื้องซ้ายป้ายสีขาวนั้น คือของราชวงศ์เทพ  สีขาวแทนความบริสุทธิ์ที่พิสุทธิ์ทุกองค์จะต้องถือเอาไว้  และเบื้องขวา คือป้ายสีน้ำเงิน นั่นคือของราชวงศ์เมฆาพยัค  เทพพิสุทธิ์ มองเห็นชายวัยกลางคืนยืนอยู่ตรงกลางหันหลังให้  ชายผู้นั้นมองขึ้นไปป้ายบนล่าสุดของทางฝั่งซ้าย   ที่เพิ่งมาสถิตอยู่เมื่อ  7 ปีที่แล้ว   นั่นคือป้ายของเทพีพิสุทธิ์การุณย์เกสรา  เสด็จย่าของเขานั้นเอง 

   “ฝ่าบาท”   ทันทีที่เรียก กษัตริย์แห่งเมฆาพยัคก็หันมา  รอยยิ้มนั้นดูอบอุ่นยิ่งนัก   ถึงแม้จะอายุมากกว่าค่อนครึ่งชีวิต หากแต่องค์กษัตริย์ก็ยังต้องทำความเคารพเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงข้างหน้า

   “เทพพิสุทธิ์”   

   บุคคลที่ถูกเรียก น้อมรับการเคารพนั้น  พร้อมกับมองไปยังสิ่งที่กษัตริย์วารัญมองก่อนหน้านั้นแล้ว   ถึงจะผ่านไป 7 ปีเต็มก็ตาม  แต่ในความรู้สึกของเค้าก็ยังคงคิดถึงเสด็จย่าอยู่ทุกเวลา  จำได้ตอนเด็กๆ  ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในวิหารบรรพชนแห่งนี้  รัตติก็คือเด็กเร่ร่อนคนหนึ่งที่อยู่ในเมฆาพยัค  หากแต่ดวงชะตานั้น  พลิกผันว่าพระองค์จะต้องมารับหน้าที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่ง 

   เทพพิสุทธิ์ก้มลงไปที่พื้น ตรงด้านหน้าของป้ายจารึกชื่อทั้งหมดเกือบพันป้ายที่อยู่ตรงหน้า  ทั้งด้านซ้ายและขวา หมอนสีขาวนั้นสำหรับพระองค์เพียงเท่านั้นที่จะเป็นหมอนไว้รองมือสำหรับเวลาการเข้ามากราบไหว้ในตำหนักแห่งนี้   ธูปจำนวน 5 ดอก ที่หมายถึงการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถูกจุดขึ้นโดยสตรีคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลในตำหนักแห่งนี้โดยเฉพาะ

   “เสด็จมา ไม่ให้คนมาบอกกล่าวก่อน  กระหม่อมเลยไม่มีเวลาต้อนรับพระองค์”    ทันทีที่ไหว้เสร็จ  เทพพิสุทธิ์ก็หันไปกล่าวกับองค์กษัตริย์ตรงหน้า

   “กระหม่อมไม่อยากรบกวนพระองค์  เห็นทหารองค์รักษ์บอกว่าทรงทำสมาธิอยู่   แต่ก็ร้อนใจเหลือเกิน เลยต้องรีบมา”
 
   “กระหม่อมพอทราบมาบ้าง  บัดนี้  โยนลนคร เริ่มแผ่ขยายอำนาจมามากขึ้น  เริ่มกระทบตามชายแดนมาบ้างแล้ว  เห็นว่ากษัตริย์นั้นเก่งกล้าสามารถ แถมยังหนุ่มแน่น  พวกทหารห้าวบุกประชิด พระองค์ก็บุกประชิดตาม  ไม่หวั่นกลัวศัตรูเลย   เมืองรอบด้านของโยนลตอนนี้ล้วนพ่ายแพ้แก่กษัตริย์องค์นี้แล้ว  และคงไม่ช้านี้คงจะเข้ามาทางเราแน่นอน”

   “พระองค์ทรงเห็นอะไรบ้างในนิมิต”  ชายวัยกลางคน  ถามขึ้นมาโดยไม่อ้อมค้อม  เพราะรู้ว่าเทพพิสุทธิ์บัดนี้สมบูรณ์พร้อมในการมองเห็นอนาคตกาลข้างหน้าแล้ว

   “เสด็จย่าเคยบอกพระองค์แล้วใช่หรือไม่ ว่าอีก 7 ปีข้างหน้าในครั้งนั้น  ซึ่งก็คือเวลานี้  เมืองทางเหนือจะมีอำนาจแข็งแกร่งขึ้น  ซึ่งก็คือเมืองนี้นี่เอง พระองค์จะออกรบเองไม่ได้  ต้องให้รัชทายาทเป็นผู้นำศึกในครั้งนี้  กระหม่อมพอมองอะไรบางอย่างออก  ม่านอาคมที่เสด็จย่าลงเอาไว้เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว บัดนี้เวทย์นั้นย่อมเสื่อมถอยเป็นธรรมดา  ผู้คนมากหน้าหลายตาไม่คุ้นเคย เริ่มเข้ามาในเมืองเราได้บ้างแล้ว  และมันคงระแคะระคายอะไรบางอย่างแน่นอน”

   สีหน้าของกษัตริย์วารัญดูเป็นกังวลยิ่งนัก  ถึงแม้รัชทายาทจะเก่งกล้าสามารถเพียงใด  แต่ก็ไม่เคยกรำศึกหรือออกศึกที่ไหนมาก่อน  หากแม้การศึกครั้งนี้  รัชทายาทจะเสด็จไปพร้อมกับเทพพิสุทธิ์ก็ตาม  หากแต่  สองคนนี้เปรียบเสมือนไฟทั้งคู่
   สายตาของพระองค์มองเห็นถึงแม้จะไม่มีเวทย์อันใด  สองคนนี้เค้ารักกันเหมือนจะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา  แต่ในความรู้สึกของชายที่ผ่านชีวิตมาเกือบค่อนชีวิตมองออกเสมอ  .....  มันไม่ใช่ความรักของพี่น้อง   .....

   รักกัน แต่ก็ทิฐินั้นสูงด้วยกันทั้งคู่  แล้วจะมีใครยอมใครได้   ความกังวลนี้น่ากลัวเหลือเกิน

   คำพูดของเทพีพิสุทธิ์องค์เก่าเมื่อครั้งนั้น  ผ่านเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้งของพระองค์

              “ขอบพระทัยเหลือเกินเพคะ   อีกสิ่งหนึ่งพระองค์ได้โปรดระวัง   ดวงของเค้าทั้งสององค์  รัชทายาทของเราทั้งสองพระองค์นั้น   มีทั้งหนุนนำซึ่งกันและกัน  และค้านซึ่งกันและกันอยู่ในที  นับจากนี้  อะไรที่ผ่อนหนักได้ เบาได้  ขอได้โปรดพระองค์ กำชับและตักเตือนทั้งสองพระองค์ด้วย” 

   “.............. หม่อมฉันขอลาไปก่อน ...”   

   มันเป็นจริงดังนั้น  แค่การมองเห็นในช่วงการประลองที่ผ่านมา  ถึงแม้เป็นแค่การประลองนั้นแต่ก็แทบจะฆ่ากันให้ตายทั้งคู่
 
   “แต่รัชทายาทไม่เคยออกศึก”

   “ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีครั้งแรก   กระหม่อมก็ไม่เคยออกเช่นกัน  อย่าห่วงไปเลยฝ่าบาท  ถึงแม้เค้าจะเคารพกระหม่อมด้วยความไม่เต็มใจ  แต่ธรรมเนียมการศึก แม่ทัพก็ยังต้องฟังเสนาธิการทหาร  จะตัดสินอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้  ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกของทั้งสองคนเรา  ทั้งกระหม่อมเองและองค์รัชทายาท เค้าจะเป็นแม่ทัพ  กระหม่อมจะเป็นเสฯ  หากพระองค์กำชับ ให้ว่ามีอะไรขอให้ฟังกระหม่อมในฐานะที่เป็นเทพพิสุทธิ์ของเมือง   กระหม่อมเชื่อว่าองค์รัชทายาทเองคงไม่กล้าที่จะค้านกระหม่อมได้”

   “ครั้งนี้เราจะชนะเหมือนทุกครั้งใช่ไหม”  กษัตริย์วารัญ ถามขึ้นมาเพราะต้องการคำตอบที่แท้จริง

   “ชนะ”

   “ชนะแบบไหน”

   “คงต้องดู  กระหม่อมเห็นทั้งสองอย่าง  ทั้งสวามิภักดิ์  และโค่นล้มจนไม่แหลือแม้แต่ตอเมือง” 

   “แล้วแต่การตัดสินใจของพระองค์เถิด  การศึกครั้งนี้  กระหม่อมคงต้องฝากดูแลลูกชายด้วยในฐานะที่เป็นกษัตริย์ และเป็นพ่อของลูกทั้งสองคน  กระหม่อมไม่อยากเห็นลูกทะเลาะกัน  แม้พระองค์จะเป็นเทพพิสุทธิ์ แต่ก็ยังทรงเยาว์นัก รัชทายาทเองก็ใจร้อน”

   “พระองค์เคยบอกกับองค์รัชทายาทไหม ว่าฝากดูแลรัตติด้วย” 

   ชายผู้รับฝั่งอีกด้านส่ายหน้าช้าๆ  ถึงจะจับความรู้สึกได้ว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าพูดอย่างน้อยใจ

   “พ่อรักลูกทั้งสองคน  หากแม้คนใดคนหนึ่งพลาดพลั้งเสียท่า  อันตรายนั้นอยู่ตรงหน้า  พ่อคนนี้ก็จะเข้าไปขวางไม่ให้ได้รับภยันตรายใดๆ ทั้งคู่ หากแต่ลูกของพ่อที่อยู่ตรงหน้านี้คือเทพพิสุทธิ์  ผู้มีฤทธิ์อำนาจ  เวทย์ชั้นสูงกว่าใครในโลกนี้จะเทียบได้  และก็คงไม่มีวันแพ้แก่องค์รัชทายาทที่เป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งแน่นอน” 

   สิ่งที่เทพพิสุทธิ์คิดอยู่ในใจและไม่สามารถที่จะบอกกกล่าวกับใครได้แม้แต่องค์กษัตริย์ของเมือง  ใจอยากจะค้านในคำพูดที่กษัตริย์วารัญพูดอยู่ตรงหน้า  แต่ที่ทำได้ก็เพียงได้แต่นิ่งเงียบและคิดในใจเท่านั้น

   .ใช่แล้ว พระองค์ตรัสได้ถูกต้อง........เว้นเสียแต่ดวงชะตาของชายผู้นั้นเหนือกว่าพิสุทธิ์  ส่วนดวงชะตาที่สองคือเขาคนนั้น อนาคตเป็นคนที่จะต้องฆ่าพิสุทธิ์เสียเอง 

   ชายสองคนต่างวัย  หันหน้าเผชิญกันอีกครั้ง  ทำความเคารพให้กัน   คำทิ้งท้ายก่อนที่กษัตริย์วารัญจะเดินออกไป  เทพพิสุทธิ์ได้กล่าวขึ้น

   “กระหม่อมรบกวน   คงต้องให้รัชทายาทเสด็จมาที่นี่  เพื่อที่จะปรึกษาราชการงานศึกในครั้งนี้   เพราะคงอีกไม่เกินขวบเดือน ทั้งกระหม่อมและรัชทายาทคงต้องเดินทาง” 

   กษัตริย์วารัญ โค้งคำนับลงสั้นๆ  เสมือนรับคำกล่าวนั้นมาเสียเป็นของตัวเอง ก่อนจะเดินจากไป

…………………………………….

   ภายในสวนด้านหลัง  อันถูกออกแบบมาอย่างดีให้มีความสงบ  เหมาะกับการนั่งสมาธิและถือสันโดษอย่างยิ่ง ในวิหารทองคำแห่งนี้   ด้านหลังเป็นแถวของไม้ฉำฉา สูงใหญ่ตระหง่านกว่า  5 คนโอบ  เป็นแถวสองแถวด้านข้างเรียงกันไป  แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป จนสุดเกือบลูกหูลูกตา  ถึงแม้จะอยู่บนยอดเขา แต่ก็ยังมีทางเดินลานกว้าง ซึ่งมีเพียงบรรพชนของพิสุทธิ์เท่านั้นที่จะรู้ว่าปลายทางนั้นคือที่แห่งใด   ฝูงละมั่ง และเนื้อทราย  รายล้อมอยู่รอบใต้เงาร่มของต้นไม้ใหญ่นั้น  นับร้อยๆ ตัว    ทำให้บรรยากาศช่างสวยงามยิ่งนัก

แต่ความรู้สึกในโสตที่ได้ยินอยู่รอบด้านแม้ตัวเองจะยังคงหลับตาอยู่  ของเทพพิสุทธิ์หนุ่มน้อย การนั่งสมาธิเพื่อเข้าฌานนั้นเป็นเพียงอีกเวทย์หนึ่งง่ายๆ ที่พิสุทธิ์ทำมาได้ตั้งแต่เด็ก   เสียงรอบข้างที่ได้ยินในช่วงเวลานี้นับวันยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ

   เสียงจากที่ไกลแสนไกล  รวมไปถึงเสียงอันใกล้ที่อยู่เบื้องล่างลงไปในเมืองเมฆาพยัคอันมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปมา   แต่เสียงนั้นชัดเจนจนจับใจความได้

   ...........ตามหาชายผู้มีเลือดสีฟ้า  และฆ่ามันเสีย.........

   ........ จุดอ่อนของเมืองนี้คือเทพพิสุทธิ์ หากขาดมัน เมืองย่อมระส่ำระสายแน่........

   ........ข้าได้ยินมาว่าพิสุทธิ์องค์ใหม่ยังเด็กนัก  และก็เวทย์ยังไม่แก่กล้าอะไรมากด้วย น่าจะจัดการได้ง่าย.........

   ..........ฆ่ามัน ก่อนที่มันจะรู้อนาคตไปมากกว่านี้...........

   ...... ฆ่าเทพพิสุทธิ์เสีย ................

   ดวงตาอันอ่อนโรย ลืมตาขึ้นมาช้าๆ  เมื่อได้กลิ่นของน้ำหอมที่เกิดจากการอบเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นสูง  กระทบเข้ามาในโสตของคนที่นั่งอยู่  แม้จะยังไม่เปิดเปลือกตาออก แต่กลิ่นนี้นั้นก็คุ้นเคยตั้งแต่เด็ก  เพราะมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะสามารถใช้น้ำปรุงกลิ่นนี้ได้  .... องค์รัชทายาท

   แม้จะไม่เห็นว่าชายหนุ่มที่เข้ามาตรงหน้าทำความเคารพ  แต่เทพพิสุทธิ์ก็ไม่ได้ใส่ใจในขนบธรรมเนียมอะไรมากนัก   เพราะรู้ว่าคนตรงหน้านี้  ไม่ได้สนิทกันอย่างแต่เก่าก่อนแล้ว  พระองค์เผยลืมตาขึ้น  และก็ไม่ผิดเพี้ยนจากที่คิดไป  นี่คือครั้งแรกที่พระองค์ได้มองชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มตา  เกือบเจ็ดปีแล้วซินะ ที่หนุ่มน้อยคนหนึ่ง บัดนี้คือชายหนุ่มทีรูปลักษณ์สง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ในเมฆาพยัค  สมแล้วที่พระองค์คือองค์รัชทายาท   ผิวขาวละเอียดตามแบบอย่างของทั้งสองบรรพชน   รูปร่างสูง ผมยาวดุจไหมนั้นไล่เคลียไหล่ลงมาจนถึงจะเกือบกลางหลัง  ยิ่งขับให้ดูสง่ามากยิ่งขึ้น   ยังคงตกภวังค์เสียนาน ถ้าเจ้าของรูปร่างนั้นไม่เอ่ยพูดขึ้นมาเสียก่อน 

   “เห็นเสด็จพ่อทรงบอก ว่าอยากพบกระหม่อม” 

   “ใช่” 

   “มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้   หรือมีกิจอันใดที่ทรงจะให้กระหม่อมไปทำ  ทรงแจ้งได้เลย  แต่ถ้าจะพูดเรื่องศึกครั้งนี้ที่จะไป   ไม่ต้องห่วง  กระหม่อมต้องทำตามเสด็จพ่อและเทพพิสุทธิ์สั่งออกมาอย่างแน่นอน  โปรดอย่าได้กังวล”   นั้นแหละ  เค้าพูดออกมาหมดแล้ว นี่คือสิ่งในใจที่เทพพิสุทธิ์คิด

   “ถึงแม้จะไม่เต็มใจน่ะหรอ” 

   “ใช่”

   “ก็ดี ที่องค์รัชทายาทพูดออกมาตรงๆ  กระหม่อมจะได้ทำตัวได้ถูกว่าต้องปฏิบัติอย่างไร    ศึกครั้งนี้เราจะขึ้นไปทางเหนือ   หนทาง ไม่ลำบากมาก  แต่ทหารคงไม่เคยชินกับรบบนขุนเขา  กำลังพล  กระหม่อมขอให้เอาทหารม้าไปเพียงแค่  5000  กำลังราบเพียงหนึ่งหมื่น แต่หนึ่งหมื่นนี้ขอให้ทุกคนยิงธนูเป็น  และเอาช่างโยธา รวมถึงทาสที่ใช้แรงงานไปอีกหนึ่งหมื่น  เส้นทางที่จะไป ขอให้อ้อมหุบเขาโมกุล  เมืองโมกุล ไม่มีทางต่อกรกับเราได้แน่  แต่ต้องจัดการเมืองโมกุลเสียก่อน เพราะเมืองนี้คือแหล่งเสบียงของโยนล  หากพระองค์จะตัดกำลังโยนล ที่มีกำลังมากพอๆ กับเรา  พระองค์จะต้องตัดแหล่งเสบียงของทหารเสียก่อน”

   “กระหม่อมทราบ  ตามหลักพิชัยสงคราม   แต่โมกุลไม่ยอมอ่อนข้อแน่นอน  เพราะเมืองนี้มีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของโยนลนี่”

   “ก็ฆ่าเสีย” 

   “เก่งจริงๆ  เทพพิสุทธิ์ของเรา  พูดได้ง่าย ฆ่าเสีย” น้ำเสียงนั้นทั้งกึ่งหัวเราะ  กึ่งหยัน  ที่มีมาจากองค์รัชทายาท

   “ก็ต้องทำแบบนั้น  หรือพระองค์อยากให้ทหารของเราเสียเลือดเนื้อไปมากกว่าเดิม  บอกตรงๆ  กระหม่อมไม่อยากให้ใครต้องมาตาย  ทั้งทหารของเราและทหารของโมกุล  ถ้าฆ่ากษัตริย์ชั่วนั่นตายเพียงคนเดียวได้  แลกกับทหารของเราและทหารของมันอีกนับร้อยนับพัน  กระหม่อมว่าคุ้ม”
 
   “ทรงเห็นอะไรอีก”   องค์รัชทายาทเอ่ยถามแทบทันทีที่เทพพิสุทธิ์กล่าวจบ

   “ไม่ใช่ธุระของพระองค์ ทำตามที่กระหม่อมบอกก็พอ”

   “เก่งนะ เทพพิสุทธิ์  แต่ก่อนตอนเด็กๆ   เวทย์อะไรก็ไม่มี นกตัวเดียวก็ยังไม่กล้าฆ่า สงสารมัน  แต่เดี๋ยวนี้  ฆ่าคนได้เป็นผักปลา” 

   “กระหม่อมฆ่าได้หมด เพื่อบ้านเมือง   ใครจะไปรู้  อนาคตถ้าพระองค์ไม่เชื่อฟังกระหม่อม  กระหม่อมอาจจะฆ่าพระองค์ก็ได้” 

   “อย่าทรงเหลิงและมัวเมาในอำนาจมากเกินไป  เข้าไปห้องพระคัมภีร์ก็ออกจะบ่อย  รู้ไม่ใช่หรือ  เทพพิสุทธิ์ ที่เคยหลงมัวเมาในอำนาจ  สุดท้ายก็เคยโดนฆ่าตายเหมือนกันนี่”   

   ขมวดคิ้วของเทพพิสุทธิ์ขดเข้าหากันทันที  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เทพพิสุทธิ์ด้วยกันเท่านั้นที่รู้  แล้วองค์รัชทายาทรู้ได้อย่างไร

   “พระองค์รู้ได้อย่างไร”

   “เทพพิสุทธิ์ ท่านอย่าลืมว่าตอนเด็กๆ  เคยพากระหม่อมไปไหนบ้าง  หรือลืมไปหมดแล้วว่าเคยพากระหม่อมเที่ยวที่ไหน  อย่าลืมซิ่  ว่าพระองค์ก็ทรงแหกกฎของพิสุทธิ์เหมือนกัน ที่พาคนนอกเข้าหอพระคัมภีร์” 

   “แล้วรู้อะไรอีก”   เป็นครั้งแรกที่เทพพิสุทธิ์กัดคำพูดออกมาด้วยความโมโห ที่ยังไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้

   “รู้หมดทุกอย่าง”    การพูดขององค์รัชทายาทน้ำเสียงนั้นดูเหมือนมีชัยเหนือคนที่อยู่ตรงหน้า

   “ถ้ารู้หมดทุกอย่างก็ดี   แต่อย่าลืมองค์เอง ว่าตอนนี้พระองค์คือองค์รัชทายาท  ไม่ใช่กษัตริย์แห่งเมฆาพยัค  ถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่  กระหม่อมจะเตรียมคอเอาไว้ให้พระองค์เอง  ไม่หนีหรอก”

   “คอสวยๆ ฟันไปก็คงเสียดาย  สู้ทำอย่างอื่นดีกว่า”  อีกฝ่ายเงียบ เมื่อองค์รัชทายาทเสพูดไปอีกอย่าง   ทำให้เทพพิสุทธิ์ก็เปลี่ยนเนื้อเรื่องที่จะพูดไปด้วยเช่นกัน

“เรื่องกษัตริย์ของโมกุล กระหม่อมจัดการเอง  พระองค์ทรงทำและจัดกำลังพลตามที่กระหม่อมบอกก็พอ

   “รับพระบัญชา”  องค์รัชทายาท พูดขึ้นก่อนจะก้มลง แต่ก็เหมือนแกล้งทำมากกว่า

   เทพพิสุทธิ์เดินหันหลังหนีออกมา ไม่รับการแสดงความเคารพนั้นอย่างเสียมารยาท    ประกาศพูดขึ้นเสียงก้องดัง  โดยเฉพาะให้คนที่อยู่ตรงนั้นได้ยินอย่างถนัดและชัดเจนโดยไม่รักษาน้ำใจ

   “ประกาศออกไปให้ทั่ววิหารบรรพชน   นอกจากเสด็จพ่อ   ก็ห้ามให้ใครเข้ามาเป็นอันขาด   ส่งรัชทายาทกลับตำหนักตะวันตก  แล้วบอกกับพระองค์ด้วยว่า  วิหารนี้เป็นของเทพพิสุทธิ์  บุคคลภายนอกห้ามเข้า  แม้แต่องค์รัชทายาทเอง” 

   การพูดอย่างไม้ไว้หน้าต่อหน้าทหารนับร้อยที่อยู่ตรงนั้น ไม่ได้สร้างความโกรธเคืองอันใดให้กับชายหนุ่มที่ยืนสูงตระหง่าน  กับสร้างความสนุกให้ซะมากกว่า

   “ฮ่าๆๆ   กระหม่อมมิกล้า  บุคคลภายนอกอย่างกระหม่อมขอลาก่อน” 
      
   

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ตอนที่ 5 ความลงตัวที่บาดหมาง
« ตอบ #9 เมื่อ: 14-11-2019 01:10:03 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เรื่องก่อนที่ลงไว้ยังไม่ถึงไหนลงเรื่องใหม่อีกแล้ว

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ 6  ความลับที่ถูกเปิดเผย

   บริเวณชายแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวรุนแรงแม้กระทั่งในหน้าแล้งแห่งนี้  นี่แหละคือเมืองโยนลนคร นครแห่งหุบเขาที่เมืองทั้งเมืองถูกสร้างขึ้นคร่อมแม่น้ำ  อันเป็นชัยภูมิที่แปลกตาไปกว่าเมืองอื่น แต่ทว่าเป็นปราการป้องกันเมืองได้อย่างดี หากศัตรูคิดจะเข้ามากร้ำกราย เพราะเมืองทั้งเมืองรายล้อมไปด้วยกระแสน้ำอันไหลเชี่ยวรุนแรงยากที่จะเข้าถึงและหักใจกลางเมืองได้  ตรงช่วงกลางของแม่น้ำนั้น เป็นเกาะหินขนาดใหญ่ที่แทบจะโอบอุ้มเอาเมืองทั้งเมืองไว้ได้เลยทีเดียว   ปราสาทหินสีแดงที่อยู่ตรงกลางนั้นทำให้ดูน่าเกรงขามแม้กระทั้งจะมองในระยะไกล ก็ยังเห็นพระราชวังตรงกลางได้เป็นอย่างดี

   โยนลนคร  อีกเมืองหนึ่งที่ใหญ่ได้เกือบจะเทียบเท่ากับเมฆาพยัค  บัดนี้ความแข็งแกร่งของเมืองกำลังถูกท้าทายด้วยอำนาจเวทย์ของเทพพิสุทธิ์องค์ใหม่  ที่ไม่ว่าจะเมืองใดก็ต่างเกรงกลัวในอำนาจนั้น  หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น

   ท้องพระโรงกลางสีชาดเข้มแทบจะเป็นสีเลือด  กษัตริย์หนุ่มนั่งประทับบนบัลลังค์อยู่ด้านบนสุดของการประชุมกับเหล่าเสนาบดี  เอ่ยขึ้นด้วยเสียงกังวานดูมีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม

   “คนสอดแนมที่เราส่งเข้าไปในเมฆาพยัคแจ้งข่าวมาว่าอย่างไรบ้าง”

   “ฝ่าบาท บัดนี้เราส่งทั้งทหารและพวกสายลับเข้าไปในเมืองนั้นเยอะมากแล้วพะย่ะค่ะ  หากแต่ทุกคนยังกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเทพพิสุทธิ์พระองค์ใหม่ตั้งแต่ได้รับการสถาปนายังไม่เคยมีใครได้เห็นตัวจริงของพระองค์นั้นเลย”

   “ได้ข่าวว่ายังเป็นเด็กอยู่มาก  อายุประมาณเท่าไหร่”

   “17 ชันษาพะย่ะค่ะ”   ทันที่ที่คนด้านล่างพูดจบและดูจากตำแหน่งในการนั่งในท้องพระโรงนั้นคงจะเป็นข้าราชสำนักชั้นสูงทีเดียว  กษัตริย์แห่งโยนล  ได้ฟังดังนั้นแล้วถึงกับทวนคำพูดของเสนาบดีคนนั้นอีกครั้งง

   “17 หรอ..ดูท่าจะยังไม่มีความสามารถเท่าองค์เก่า แต่ก็ประมาทไม่ได้  หากพิสุทธิ์องค์นี้ฌานได้ถึงรู้เรื่องอนาคตหมดทุกอย่างแล้ว  เราคงต้องปรับแผนการวันต่อวันเลยทีเดียว  และคงจะต้องเหนื่อยกันไม่น้อย”

   “หนทางชนะยังมีพะย่ะค่ะ” 

   “ท่านมหาเสนาเชิญพูดขึ้นมาเถิดข้าจะรับฟัง”

   “หากเราเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ในเมือง  เห็นทีทางเราจะได้เปรียบ  ด้วยชัยภูมินั้นเหมาะกับเรายิ่งนัก   ตอนนี้เป็นฤดูแล้งแล้ว อีกไม่กี่เดือนน้ำทางเหนือก็จะหลากเข้ามา  ต่อให้ทางฝั่งนั้นเก่งกล้าสามารถซักแค่ไหน เสบียงของพวกมันก็ต้องหมดไป  จะล้อมเมืองเราได้ก็เพียงแค่ไม่เกิน 5 เดือนเท่านั้น เมื่อน้ำทางเหนือมา  พวกเมฆาพยัคก็ไม่สามารถสู้กระแสน้ำได้หรอกพระพุทธเจ้าข้า”
 
   “กลแผนนี้ของท่านมหาเสนาบดีข้าเห็นว่าไม่เหมาะสม”  เสียงที่แทรกพูดขึ้นมานั้นอยู่ก็แทรกขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและเป็นเสียงที่มาจากด้านหลังของบัลลังค์ในท้องพระโรง  ชายแก่เดินท่อมๆ เข้ามาโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง  เสื้อที่สวมใส่อยู่นั้นเป็นเพียงผ้าที่เฉียงคาดจากไหล่ซ้ายไปทางเอวด้านขวาเท่านั้น  ส่วนผ้านุ่งที่นุ่งอยู่ก็ทบพับกันหลายชั้น จนดูหนาน่ารำคาญไม่น่าจะเดินได้ถนัดนัก  มือขวายังคงกำไม้เท้าแน่น   พร้อมกับเดินเขย่งเข้ามาจนถึงท้องพระโรงด้านหน้า

   มหาเสนาอำมาตย์ทุกคน ทำความเคารพกับชายชราผู้ซึ่งปรากฏตัวขึ้นมาใหม่รวมไปถึงกษัตริย์ที่นั่งอยู่บนบัลลังค์นั้นก็ยังต้องยกมือไหว้ด้วย

   “ท่านอาจารย์” 

   “ทำไมอาจารย์ของข้าพเจ้าถึงได้เห็นว่าไม่เหมาะ ท่านอาจารย์มีความคิดเห็นเป็นประการใดหรือ”   

   “ฝ่าบาท  บัดนี้เทพพิสุทธิ์แห่งเมฆาพยัค ถึงแม้จะยังเชาว์ชันษานัก  แต่เวทย์อาคมก็มิได้ด้อยไปกว่าเทพีพิสุทธิ์องค์เก่าเลย  หากแม้ท่านเสนาบดี จะยั้งทัพของเมฆาพยัคด้วยน้ำ  ข้าไม่เห็นสม เพราะให้อย่างไร  ฝ่ายทางนั้นก็มีวิธีแก้เป็นแน่  กระหม่อมเข้าฌานมาก็นาน  ไม่ปรากฏตัวต่อผู้ใดก็เพราะเรื่องนี้.......” 
 
   ชายชราเว้นวรรคคำพูดของตัวเอง  ก่อนจะกล่าวอีกครั้ง  น้ำเสียงนั้นเสียงดังฟังชัด  เป็นเสมือนทั้งการเล่าให้ฟัง และคำสั่งกลายๆ ให้กับกษัตริย์หนุ่มของตัวเอง

   “ต่อให้เก่งขนาดไหน  ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่ดี  ตัวกระหม่อมเองมีเวทย์อาคมเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ถึงมีขนาดเทพพิสุทธิ์แห่งเมฆาพยัคได้   เวทย์ที่กระหม่อมใช้เป็นเพียงอาคมของฤๅษีแต่เก่าก่อน มิใช่เวทย์ที่มีกันมารุ่นต่อรุ่นอย่างเทพพิสุทธิ์  บัดนี้อนาคตที่เทพพิสุทธิ์มองเห็น อาจจะมองเห็นกระหม่อมไม่ชัดนัก เพราะเกราะเวทย์กระหม่อมปิดกั้นเอาไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่เห็นได้ซะทีเดียว  จุดอ่อนของเทพพิสุทธิ์อยู่ที่เลือดสีฟ้าของเขาเอง  พระองค์ต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้เลือดนั้นออกมา จะฆ่าเทพพิสุทธิ์ หรือให้โลหิตของเขาไหลออกมา  เมื่อโลหิตไหลออกมาแล้ว เวทย์จะใช้ไม่ได้ชั่วขณะ” 

   “เป็นจริงหรือท่านอาจารย์”   เสียงที่ระคนออกมาพร้อมกับความดีใจที่มีอยู่ในตัวของกษัตริย์หนุ่ม  เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรก และอาจเป็นเพียงเมืองเดียวเท่านั้นที่จะรู้ความลับนี้ได้

   ...........บัดนี้ ความลับของเทพพิสุทธิ์นั้นไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว...............

   “ใช่พะย่ะค่ะ  ฝ่าบาทต้องให้เทพพิสุทธิ์โลหิตออกจากกายของเขา  ถึงแม้จะเพียงหยดเดียวก็สามารถใช้ได้   แต่ปัญหาใช่ว่าจะไม่มี  เพราะพิสุทธิ์นั้นรู้อนาคต  หากจะมีใครไปทำร้ายจนถึงที่  เทพพิสุทธิ์จะต้องรู้ตัวก่อนแน่นอน  จะชนะก็เป็นไปได้ยาก  เทพพิสุทธิ์ผู้นี้  มีทั้งเวทย์และความสามารถด้านสรรพวุธ  อีกทั้งทหารองค์รักษ์ก็รายล้อมนับร้อยคน   จะเข้าถึงไมใช่เรื่องง่าย คนที่จะไปจัดการเรื่องนี้  จะต้องไม่เป็นรองในการรบประชิดตัว  เกราะของกระหม่อม สามารถกั้นเทพพิสุทธิ์ให้ไม่เห็นได้เพียงคนเดียว  หากผู้นั้นคิดจะทำลายพิสุทธิ์แล้ว ต้องทำให้จบเพียงในคราวเดียว  ดีสุดคือฆ่าทิ้งได้  เลวสุดคือโลหิตไหลออกมา   ........ กระหม่อมจะลงอาคมเกราะกำบังเทพพิสุทธิ์ให้คนผู้นั้นที่จะเข้าประชิดตัวเทพพิสุทธิ์เมื่อวันนั้นมาถึง แต่เมื่อกระหม่อมลงเกราะให้แล้ว กระหม่อมเองจะหมดสิ้นการกำบังทันที  และเมื่อนั้น เทพพิสุทธิ์จะรู้ทันทีอีกว่ามีกระหม่อมอยู่บนโลกใบนี้”

   “ถ้าอย่างนั้น  ท่านอาจารย์  งานสำคัญครั้งนี้  ข้าขอไปเอง”  เสียงที่เปล่งออกมาคือผู้ที่นั่งอยู่บนราชบัลลังค์ ก่อนที่จะยืนขึ้นและพูดใหม่อีกครั้ง

   “ข้า  อัคนีย์  กษัตริย์แห่งโยนลนคร   ถึงแม้รู้ว่าจะเสี่ยงอันตรายขนาดไหน  แต่ในเมื่อเป้าหมายในครั้งนี้ ก็คือเทพพิสุทธิ์  ก็ไม่เห็นจะมีใครเหมาะสมไปกว่าข้าอีกแล้ว  ถ้าชนะ  โยนลนครจะเป็นมหานคราไปอีกนับพันปี  แต่หากแพ้ ก็ไม่เสียชาติเกิดเพราะแพ้ด้วยน้ำมือของพิสุทธิ์”

   เสียงกระหึ่มดังไปทั่วท้องพระโรง   บุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาอัครเสนาบดี  บัดนี้วิ่งเข้ามาถึงตรงด้านหน้าสุด พร้อมกับก้มลงคัดค้านในสิ่งที่จะเกิดขึ้น

   “ไม่ได้เด็ดขาดพะย่ะค่ะ  เสี่ยงยิ่งนัก   ให้ทหารเอกของเราหรือไม่ก็พวกเสือหมอบแมวเซา  ทำไม่ดีกว่าหรือพระองค์  เสี่ยงเหลือเกิน  ได้โปรดคิดทบทวนเถอะพะย่ะค่ะ”    เสียงขับขานที่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านเสนาบดีพูดยังคงพูดขึ้นย้ำอีกครั้งเหมือนเป็นการ  ทักท้วงกันในที่ประชุดขณะนั้น

   “ได้โปรดทบทวนเถิดพะย่ะค่ะ” 

   มีเพียงคนเดียว ที่เงียบและไม่คัดค้านในครั้งนี้ ก็คือท่านอัครโยคีย์  หรือพระอาจารย์ของกษัตริย์แห่งเมืองนี้นั่นเอง

   “ขอบทุกทุกท่านที่เป็นห่วง  แต่ลืมไปแล้วหรือ ว่าการรบประชิดตัวนั้น  จนถึงบัดนี้ ก็ยังหาคนที่จะล้มข้าก็ยังไม่ได้   หากเกิดเพลี่ยงพล้ำไป  ก็ให้น้องหญิงขึ้นว่าราชการต่อได้เลยเถิด  โยนลนครใช่ว่าไม่เคยมีกษัตริย์หญิงเสียเมื่อไหร่   อย่ากลัวไปเลย”
 
   “ฝ่าบาท  แต่หนทางอันตรายยิ่งนัก   ณ ตอนนี้เรารู้เพียงแค่ว่า เมฆาพยัคจะเริ่มเดินทางมาทางเมืองเราแล้ว  นั่นคือการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะเราไปยึดเมืองนันนทรักษ์ อันเป็นเขตชายแดน   แต่จะทำเรื่องนี้ควรปรึกษาพระปิตุลาก่อนดีไหม พระพุทธเจ้าข้า” 

   “อย่าเลย รบกวนเสด็จลุงเปล่าๆ หุบเขาโมกุลเป็นกำแพงอันแข็งแกร่งทางธรรมชาติก็จริง แต่ครั้งนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเส้นทางเดินของเมฆาพยัคเป็นแน่  ถ้าหากเกิดอะไรกับโมกุล  เราก็ต้องส่งทหารและกองกำลังไปช่วยด้วยเหมือนกัน  ศึกครั้งนี้น่ากลัวก็จริง  แต่ถ้าเราไม่ทำศึก  แล้วเมื่อไหร่อาณาประชาราษฏร์จะลืมตาอ้าปากได้เล่า  คงต้องถูกเมฆาพยัคกดหัวไปอีกนับพันๆ ปีหรือ”

   “ฝ่าบาททท”
 
   “นี่คือราชโองการแห่งข้า  ประกาศไปให้ทั่วอาณาจักร  เร่งปลูกข้าวและเสบียงอาหารเก็บเข้ามาไว้ในท้องพระคลังข้างที่  เสบียงที่ได้จากโมกุลให้เก็บแยกเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง    และเปิดเส้นทางลับระหว่างเมืองโยนลและโมกุลให้ติดต่อกันได้สะดวก ให้ท่านมหาเสนาบดี   เป็นแม่ทัพใหญ่  คอยจัดการและทุกสิ่งอย่างในขณะที่ข้าจะออกจากนอกพระราชวัง   ท่านพระอาจารย์หากเห็นชอบดังนั้น ได้โปรดสร้างเกาะกำบังให้ข้าด้วย  เวทย์ของท่านจะทำให้พิสุทธิ์ไม่รู้ว่าว่าข้าคิดจะทำแผนการอันใดอยู่   ส่งทหารคุ้มกันตำหนักของน้องหญิงอย่างหนาแน่น  หากศึกจบลงแล้ว ข้ามิได้กลับมา  ก็ให้สถาปนาน้องหญิงขึ้นเป็นกษัตริย์ตรีต่อจากข้าได้เลย  ขอทุกท่านจงอย่าได้โปรดแย้งอันใดอีก  ข้าคือกษัตริย์ และหน้าที่ของกษัตริย์จะไม่มีทางโยนสิ่งอันตรายนี้ให้ใครแน่นอน”

   ความเงียบปกคลุมทั่วท้องพระโรงอีกครั้ง  พระอัครโยคีย์  เดินมาถึงเบื้องหน้าท้องพระโรงประจันหน้ากับอัคนีย์  ที่เป็นทั้งกษัตริย์และอดีตลูกศิษย์ของเขาเอง  ไม้เท้าที่เคยเอาไว้ค้ำยันพยุงตัว บัดนี้  ปัดเกว่งขึ้นเหนือศรีษะ  พร้อมกับการเดินลงมาของอัคนีย์ ก่อนที่จะคุกเข่าลงต่อหน้าพระฤาษีตนนั้น  พลันแสงสีแดง ก็ปรากฏทั่วกายของทั้งสองคน  ก่อนที่แสงสีแดงสว่างจ้าทางฝั่งของชายชราจะถูกเทไปยังอีกฝั่งของชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าจนหมดสิ้น

   “ขอบพระทัยพระองค์   ที่เห็นแก่โยนลนคร  บัดนี้ด้วยฌานของข้า  ข้ารับรู้ได้แล้วถึงการที่พิสุทธิ์รู้ว่ามีข้าผู้มีเวทย์อีกคนอยู่บนโลกใบนี้  แต่นับจากนี้พิสุทธิ์ผู้นั้นจะรู้แต่เพียงว่ามีกษัตริย์โยนลนครอยู่ แต่จะไม่ทางรู้ได้เด็ดขาดว่าเป็นใคร หรือผู้ใด  หรือถึงแม้แต่วันพระองค์จะได้ปลิดชีพเทพพิสุทธิ์เสีย  ทรงดูแลพระวรกายด้วย”    กษัตริย์อัคนีย์  เดินไปตรงกลางของท้องพระโรงอีกครั้ง  ก่อนจะหยิบพระแสงดาบให้กับ ท่านมหาเสนาบดี  ก่อนจะกล่าวอีกครั้ง

   “ฝากดูแลโยนลนครและน้องหญิงของข้าด้วย  บัดนี้ขอให้ท่านเสนาบดี  ดูแลแทนข้า  ข้าจะออกจากวังนับจากนี้ และจะเอาทหารที่สนิทไปเพียงแค่สองคนเท่านั้น  สิ่งใดที่ตัดสินใจ ได้โปรดปรึกษาหารือกับพระอาจารย์ด้วยเถิด”

   “ดูแลพระองค์ด้วยพระพุทธเจ้าข้า  ศึกด้านหน้านั้นกระหม่อมจะทำจนสุดความสามารถ ขอให้สิ่งที่พระองค์ต้องการบรรลุผลด้วยเถิด” 

   ท่วงท่าที่สง่างามของบุรุษผู้เป็นกษัตริย์ของเมือง เดินออกไปทันทีที่พูดจบ  พร้อมกับการคำนับจากผู้คนที่อยู่ในท้องพระโรงทั้งหมด

   บัดนี้ โยนลนคร   ทุกสิ่งทุกอย่างฝากไว้กับองค์กษัตริย์ผู้นี้แล้ว

   
.............................................................................   

            ณ บนวิหารบรรพชน  เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของวิหารยังคงนั่งทำสมาธิอยู่บนเตียงบรรทมแห่งนั้น  ลมหนาวยังคงพัดมาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่บนยอดเกือบจะสุดของยอดเขา  อากาศช่างหนาวเย็นยิ่งนัก  แต่หากบัดนี้ ทั้งผิวหน้าและผิวกายของเทพพิสุทธิ์กับผุดเหงื่อออกจนแทบจะท่วมตัว    เสื้อผ้าขาวสะอาดบัดนี้ชื้นแฉะไปด้วยหยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมา

         “ใคร  คนนั้นเป็นผู้ใด  ทำไมถึงรู้เรื่องของเราได้”  น้ำเสียงที่พูดออกมาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ  สิ่งที่ตกใจว่าองค์รัชทายาทรู้แล้วว่าเทพพิสุทธิ์มีจุดอ่อนเช่นไรบ้าง  แต่ตอนนี้แม้แต่อริศัตรูก็รู้เช่นกัน

          น่ากลัวเหลือเกิน

         “บ่นอะไร  !!!!!!!”  อยู่ ๆ เสียงก็ดังออกจากตรงหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้นั้น

           “รัชทายาท” 

           “ก็น่าจะรู้ว่าเป็นใคร  หรือมีหนุ่มคนอื่นขึ้นมาทางหน้าต่างของเทพพิสุทธิ์ได้อีกนอกจากกระหม่อม”

            “เข้ามาได้อย่างไง  ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้ท่านเหยียบมาที่นี่จนกว่าจะออกศึก  ไม่กลัวอาญา.....” ยังไม่ทันที่พิสุทธิ์จะพูดจบ  ชายหนุ่มตรงหน้าผู้ที่ปีนเข้ามาจากหน้าต่าง ก็ก้าวคร่อมขึ้นมาเหนือร่างพิสุทธิ์ผู้ที่นั่งอยู่บนเตียง  ความไวของทั้งสององค์แทบไม่ต่างกัน  ทันทีที่รู้ว่ารัชทายาทเข้ามาประชิดตัว ข้อศอกของพระองค์ก็ตั้งรับในทันที  แต่รัชทายาทก็ไวใช่ที่  ข้อศอกที่เห็นถูกจับเอาไว้ตรงข้อมือ  ก่อนจะพลิกข้อมือที่เล็กกว่าไพ่ไปด้านหลัง  แต่มืออีกข้างของเทพพิสุทธิ์ก็ยังว่างอยู่  นิ้วที่ทำท่าจะดีดและข้อมือหักออกมา  เป็นลักษณะของการใช้เวทย์ป้องกันตัว ที่รัชทายาทเห็นจนคุ้นชิน  และรู้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าเทพพิสุทธิ์จะทำอะไร  ความไวกว่ารอบที่สองจึงเกิดขึ้น มือของรัชทายาทข้างที่ว่างจับข้อมือนั้นก่อนที่เวทย์จะสัมฤทธิ์ผล  พาลไพ่ไปด้านหลังด้วยกันทั้งคู่  ข้อมือของรัชทายาทแกร่งกว่ามากนัก  ทำให้จับข้อมือทั้งสองของพิสุทธิ์ด้วยมือเพียงข้างเดียวได้อย่างสบาย   ถึงแม้เทพพิสุทธิ์จะใช้พลังเวทย์โดยการใช้มือเป็นตัวนำให้พลังนั้นออกมา แต่ปากของพระองค์ก็ยังสามารถท่องมนต์คาถาได้  แม้จะถูกพันธนาการไม่ให้มือขยับไปไหน แต่ปากของพระองค์ก็เปล่งตรัสขึ้นมาเบาๆ  แต่ท่องไปได้เพียงสองคำเท่านั้น........

              มืออีกข้างที่ว่างของรัชทายาท ก็ปิดโอษฐ์ของพิสุทธิ์เอาไว้ได้ทันท่วงที

               “อย่าคิด  รัตติ  จำไม่ได้หรือว่าเรื่องการต่อสู้แบบประชิดตัว พี่เก่งกว่าเยอะ”   รัชทายาทยิ้มให้บุคคลที่อยู่ในอาณัติที่ขยับหนีไปไหนไม่ได้แล้วตอนนี้   แต่ถ้าจะให้อยู่ในอาณัติชั่วคราว  ก็คงต้องทำให้หนักกว่านี้อีกซักหน่อย  ไม่อย่างนั้น ถ้าเทพพิสุทธิ์หลุดออกไปได้  คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต้องเป็นพระองค์อย่างแน่นอน

              มือขององค์รัชทายาทดันปากของเทพพิสุทธิ์ให้ห่างขึ้นไปอีกจนเผยให้เห็นลำคอยาวสะอาดตาตัดกับลูกกกระเดือกสีขาวนั้นอย่างชัดเจน  พลันองค์รัชทายาทก็ก้มหน้าลงไปตรงซอกคอที่อยู่ติดกับหัวไหล่ ลึกลงไปใต้ชายเสื้อนั้น  พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งอันใดที่น่ารังเกียจกับองค์รัชทายาท  แต่หากเป็นสิ่งที่เคยเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก  ......   ทันทีที่ก้มลงไป  เสียงดังอึกอักในลำคอแต่ตรัสออกมาไม่ได้ของเทพพิสุทธิ์พร้อมกับสะดุ้งจนสุดตัว แต่หากถูกร่างกายด้านบนนั้นทับเอาไว้จนขยับตัวไปไหนไม่ได้   รัชทายาทก้มอยู่นานจนรู้สึกได้ถึงรสชาติที่คุ้นเคย  และคงจะเป็นคนเดียวเท่านั้นเพราะพระองค์ไม่เคยทำกับคนอื่นใดเลย  ........  โลหิตของเทพพิสุทธิ์  สีฟ้าสะอาดตา ทำไมหวานยิ่งนัก

              “เรียบร้อย ....”  พูดจบก็ปล่อยมือ  นี่แหละคือการชนะเพียงชั่วครู่ที่มีต่อเทพพิสุทธิ์   ทันที่เป็นอิสระมือข้างหนึ่งของพิสุทธิ์ก็พุ่งเข้าไปด้านหัวเตียงบรรทมของอีกด้านทันที  มีดสั้นที่พระองค์เก็บเอาไว้เป็นประจำถูกดึงออกมาจากฝัก  ความไวของเทพพิสุทธิ์ก็ใช่ที่  เพราะทันทีที่มีดอยู่ในมือ บัดนี้มันถูกวางทาบเอาไว้พอดีกับลำคอขององค์รัชทายาท

              “อย่าได้ทำเช่นนี้อีก  นี่แหละกระหม่อมถึงได้ฝึกวิชาป้องกันตัวเอาไว้เหมือนกัน  ถ้าคิดจะทำกระหม่อมให้ไม่มีเวทย์เพียงชั่วครู่  ก็อย่าคิดว่าชนะเสมอไป”

                “จะฆ่าพี่หรอ”

                “ถ้าจำเป็น  กระหม่อมก็ทำ  นี่ในวิหารบรรพชน  แล้วถ้าเกิดในสนามศึกเล่า  พระองค์ทำกับกระหม่อมแบบนี้  ไม่คิดหรือว่าเมฆาพยัคจะย่อยยับแค่ไหน”

               “พี่ผิดมากหรอ”   ทำไมน้ำเสียงดูอ่อนลง

                  “ผิด”

                “งั้นก็ฆ่าซิ่”

              “................”     รัชทายาทเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง มีบางสิ่งผิดปกติไป

                “ดื่มสุรามาหรือ”

               “อือ”

             “เป็นอะไร ดื่มทำไม พรุ่งนี้จะเดินทางแล้ว   ทำไมทำองค์เช่นนี้”

              “อยากเจอรัตติ”

             “เฮอะ.....   เกือบ 7  ปี ไม่เคยจะมาหากระหม่อม  พอเมาถึงจะมา    แล้วก็มาทำอะไรเหมือนคนบ้า  ดีกระหม่อมไม่ฆ่าทิ้งตั้งแต่ตรงหน้าต่าง”

            “วันนี้ไม่ทะเลาะกันได้ไหม”

            “กระหม่อมไม่เคยอยากจะทะเลาะด้วย  พระองค์เริ่มต้นก่อนทั้งหมด”

            “ขอโทษ” 

           “................”   

          “คงเมาจริงๆ”  เทพพิสุทธิ์คิดในใจ  แต่ทั้งความคิดในใจ และก็พูดออกมามันคืออย่างเดียวกัน ก่อนจะตรัสถามคนตรงหน้าต่อ บัดนี้ มีดในมือถูกเอาเก็บเข้ามาในฝักเรียบร้อยแล้ว 

        “ทรงเป็นอะไร ทำไมถึงดื่มสุรา”

          “เป็นรัชทายาท”   อีกฝ่ายนอกจากจะเมาและอ้อนแล้ว ยังยียวนซะด้วย

        “กลับไปเลยไป” 

          “อย่าเพิ่งไล่ซิ่  ตอนนี้ลงหน้าต่างไม่ไหวแล้วมึนหัวไปหมด  ถ้าตกลงไปตายแน่”

         “ก็ดูตอบกระหม่อมเข้า” 

          “เจ็บไหมเมื่อกี้ ที่พี่กัด” 

          “ไม่เจ็บ  แผลแค่นี้ เกิดเป็นบุรุษไม่ควรเจ็บกับแผลที่เหมือนโดนหมากัด”

         “อ้าว......”

          “ถามอีกครั้งทำไมถึงดื่มสุรา  ตอบดีๆ ด้วย” 

         “ก็....”

         “ก็อะไร”  อีกฝ่ายซัก

          “ก็นี่ก็ไม่เมา  แต่ที่ดื่ม จะได้กล้ามาหารัตติไง  กลัวว่าไปทำศึกแล้ว คุยกันไม่ได้มาก  จะเสียดาย
โอกาส  พรุ่งนี้เราสองคนก็ต้องออกไปรบแล้ว  วันนี้ไม่ทะเลาะกันได้ไหม”

         “...................  ไปเดินเล่นอุทยานด้านหลังไหม”   ครั้งนี้เทพพิสุทธิ์เป็นฝ่ายชวนเสียเอง

        อีกฝ่ายไม่ตอบได้แต่พยักหน้าเหมือนเด็กๆ  ทำให้อีกฝ่ายที่มองเห็นอดอมยิ้มไม่ได้  นี่หรือองค์รัชทายาท   คงเป็นเขาคนเดียวนี่แหละที่ได้เห็นการกระทำของผู้ที่จะเป็นกษัตริย์แห่งเมฆาพยัคในเบื้องหน้า   

       “จะเดินไปไหน  เดินออกไปทางประตู  พวกทหารได้ตกใจกันหมด  กระหม่อมสั่งไปแล้วว่าไม่ให้พระองค์เข้ามา  ขืนพวกนั้นเห็นพระองค์เข้ามาคงโดนอโนทัยทำโทษแน่”

          “เกลียดอโนทัย”

        “เอ้า !!!!  ไปเกลียดเขาทำไม  เขาสง่างามกว่าพระองค์หรือ  ถึงได้ไปเกลียดเขา”

        “เฮอะ  .....”  เสียงนี้เลียนน้ำเสียงของเทพพิสุทธิ์เมื่อกี้ไม่มีผิดเพี้ยน

       “จับมือกระหม่อม”

        “มือนุ่มจัง”

         “...........”  สีหน้าของพิสุทธิ์ตอนนี้   ปะล่ำปะเหลือกกรอกตาขึ้นมองบน อย่างไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อไป  ถึงแม้จะอยู่ภายนอก ดูเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ แต่ทั้งสององค์ก็คือเด็กหนุ่มด้วยกันทั้งคู่    มือที่ประสานกันอยู่ชั่วครูปกติจะเกิดแสงสีฟ้าขึ้นมารอบตัว หากแต่บัดนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

         “ลืมไป  พลังเวทย์ไม่มีระยะหนึ่ง”  เทพพิสุทธิ์หันหน้าไปมองชายที่อยู่ตรงด้านข้างอีกครั้ง  แต่ทั้งน้ำเสียง และสีหน้าแสดงความไม่พอพระทัยอย่างชัดเจน

          “............”  อีกฝ่ายได้แต่ก้มหน้า  ยอมรับว่าตัวเองผิด  แต่สีหน้าทำไมดูระรื่นนัก

          “ไปทางหน้าต่างซิ่  เมื่อกี้พี่ก็มาทางหน้าต่าง”

          “รัตติปีนไม่เป็น”     เมื่ออีกฝ่ายแทนตัวเองว่าพี่  อีกฝ่ายหนึ่งจึงใช้เรียกชื่อตัวเองเหมือนกัน เมื่อครั้งยังเยาว์วัย

          “เก่งก็ตั้งหลายอย่าง  แต่ทำไมปีนหน้าต่างแค่นี้ปีนไม่เป็น เนี่ยหรอเทพพิสุทธิ์”

         “ไหนใครบอกจะไม่ชวนทะเลาะ”

        “............”  รัชทายาทเงียบและก้มหน้าเหมือนเดิม  ตอนนี้อะไรก็ได้  ขอให้ไม่ต้องทะเลาะกับอีกฝ่ายหนึ่งก็พอ 
       เทพพิสุทธิ์ไม่กล่าวอะไรต่อไป  แต่  เดินออกไปทางผนังด้านข้างและลึกออกไปจนถึงซอกมุมหนึ่ง อันเป็นที่เก็บคัมภีร์  และหนังสือทั่วไปที่เอาไว้อ่าน ด้านข้างเป็นภาพผนังตั้งพื้นขนาดใหญ่  บุคคลในภาพคือเทพพิสุทธิ์เองที่เป็นองค์ปัจจุบัน  มือข้างหนึ่งของพิสุทธิ์ดันออกเบาๆ  ภาพผนังด้านนั้นก็เสเปิดออกไป  จนเห็นทางเดินเป็นบันไดเดินลงไป  แม้จะมืดแต่ก็ยังพอมีแสงให้เห็นได้

            บุคคลที่เดินนำไปตรงหน้าจุดคบเพลิงแห้งที่อยู่ด้านข้าง  ก่อนจะจุดไฟที่น้ำมันตะเกียงตรงปากประตู  พร้อมกับเดินนำคนที่เป็นขี้เมาให้อยู่ด้านหลัง

              “มีทางลับซะด้วย”

               “หุบปาก !!! แล้วเดินตามมา”    คนที่โดนดุ  ก้มหน้างุดเดินตามไปอีกเหมือนเดิม  แต่เดินไปได้ยังไม่ถึงห้าขั้น   คบเพลิงที่ถืออยู่ก็ถูกแย่งออกไปโดยคนข้างหลังที่เดินแซงนำหน้ามา   ถึงแม้จะมีแสงไฟแต่ก็ใช่ว่าจะสว่างมากนัก  พอให้เห็นทางเดินได้แต่ก็อันตรายอยู่ดี  ทางนี้เสมือนถูกปิดไม่ได้ใช้มานาน  เพราะดูทั้งอับและทึบอย่างไรบอกไม่ถูก    มือข้างหนึ่งที่ว่างขององค์รัชทายาท  เอื้อมมาจับมืออีกข้างหนึ่งของเทพพิสุทธิ์  ถึงแม้จะเคยกล่าวกันเอาไว้ว่าอีกฝ่ายห้ามถูกเนื้อต้องตัวของเทพพิสุทธิ์เป็นเด็ดขาด  แต่ครั้งนี้ก็ขอผ่อนผันให้   เหตุผลที่ยกมาง่ายๆ เพื่อให้ตัวเองดูไม่ผิดก็คืออีกฝ่ายหนึ่ง “เมา”  แค่นั้นเอง 

               หนทางไปอีกไม่ไกลมากนัก  เพียงผ่านไปชั่วครู่ ปลายทางก็เห็นแสงของพระจันทร์รำไรแล้ว  ด้านหน้าถูกปิดไว้ด้วยตะแกรงเหล็กที่ขัดกันเอาไว้อย่างง่ายๆ  รัชทายาทจับกระแทกมันออกไปเบาๆ   

           ภายในบรรยากาศหลังอุทยาน  เป็นที่ประทับส่วนตัวขององค์พิสุทธิ์ไม่มีแม้ทหาร  หรือใครมาเฝ้าอารักขา อุทยานด้านหลังนี้เป็นที่เฉพาะของเทพพิสุทธิ์เท่านั้น และคือหนึ่งใน 2 ที่ ที่ห้ามใครเข้ามาเด็ดขาดแม้แต่องค์กษัตริย์   แห่งแรกคือสระเหมันต์  ส่วนแห่งที่สองก็คืออุทยานด้านหลังนี้นี่เอง เทียนทุกเล่มถูกจุดขึ้นมาจากเวทย์ที่เกิดขึ้นในพิสุทธิ์องค์แรกได้ทำเอาไว้  มันทำให้สว่างเพียงแค่ช่องทางเดินเท่านั้น  แสงจากพระจันทร์ต่างหากที่ทำให้เห็นบรรยากาศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น   มองออกไปจนสุดลูกหูลูกตา สองข้างคือต้นฉำฉาขนากยักษ์  ขนาบไปสองข้างทางจนสุดขอบฟ้าบรรจบกัน 

             สถานที่สวยราวกับเทพนิยาย   องค์รัชทายาทเคยมาที่นี่แล้วถึงสองครั้ง  ไม่รวมกับครั้งนี้ที่เป็นครั้งทีสาม  แต่ความงามอันน่าตื่นตาตื่นใจก็ยังมองได้อย่างไม่มีวันเบื่อ  มือของทั้งสององค์ยังคงจับและเดินไปด้วยกัน ก่อนที่องค์รัชทายาทจะหันไปพูดกับเทพพิสุทธิ์   

             น้ำเสียงนั้นเบา แต่อบอุ่นยิ่งนัก

              “สวยจัง”



    


   
   



   

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ chin_va

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตอนที่ 7  สมมติพิสุทธิ์

   “ทรงตรัสว่าอะไร” เทพพิสุทธิ์ แหงนมองขึ้นไปกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ  เพราะได้ยินไม่ชัดนัก

   “ป่าว”  คนที่ถูกถามหันกลับมามองยิ้มๆ  และยักไหล่ไปในทีท่าของคนที่กึ่งๆ มีสติ กึ่งๆ เมา

   “พรุ่งนี้ออกเดินทาง  กระหม่อมอยากให้พระองค์ มีพระวรกายที่พร้อมกว่านี้  ถ้าในยามศึก เมาแบบนี้ คงไม่ดีแน่”

   “คำสั่งจากเทพพิสุทธิ์  หรือว่าเป็นคำขอร้องจากรัตติ”  เป็นคำพูดที่มาพร้อมกับคำถามจากเจ้าของน้ำเสียงนั้น รัชทายาทหยุดเดินก่อนจะหันกลับมามอง  ยิ้มที่มุมโอษฐ์ขึ้นเพียงนิดก่อนจะก้าวพระบาทออกไปต่อ

   “ถ้าบอกว่าคำสั่งจากเทพพิสุทธิ์ล่ะ” เทพพิสุทธิ์ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้หันกลับมามองคนที่ถามอยู่ด้านข้าง

   “กระหม่อมก็พร้อมจะปฏิบัติตาม ถึงแม้จะไม่เต็มใจ” 

   “ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกฎเกณฑ์  ใครจะไปรู้ว่าวันข้างหน้า  เมฆาพยัคอาจจะไม่เหลือพิสุทธิ์องค์ใดต่อไปเลยก็ได้”  เทพพิสุทธิ์เงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า  เหมือนกำลังจะคิดอะไรบางสิ่งบางอย่าง  บางสิ่งที่ไม่สามารถจะบอกใครได้

   “ทำไมทรงตรัสเช่นนั้น  มีอะไรไม่สบายพระทัยหรือเปล่าเทพพิสุทธิ์”   เป็นรอบหลายปีเหลือเกิน ที่น้ำเสียงแห่งความห่วงใยนี้ที่เทพพิสุทธิ์กลับได้ยินมันอีกครั้งหนึ่ง   ความอบอุ่นจากน้ำเสียงนั้นมีพลังมากเพียงพอที่จะทำให้ลืมเรื่องราวอันเลวร้าย  ทั้งระหว่างสองพระองค์นี้เอง  หรือจากบุคคลรอบข้าง  รวมไปถึงอนาคตกาลข้างหน้า  เทพพิสุทธิ์กล่าวตอบกลับไป  เสมือนเป็นคำขอบคุณที่คนข้างๆ มอบให้

   “คืนนี้  เวลานี้  ขอให้มีเพียงอรุณย์พยัค  และรัตติเท่านั้นได้ไหม  ไม่มีเทพพิสุทธิ์ และไม่มีองค์รัชทายาทใดๆ ทั้งสิ้นในช่วงเวลานี้”   

   “รับพระบัญชา”  อีกฝ่ายก้มทำความเคารพให้แบบแกล้งยั่ว  ก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปจับมือของอีกฝ่าย  และพาเดินไปเรื่อยๆ 

   หากใครเดินตามไปด้านหลัง  คงเห็นชายหนุ่มสองคน ถึงแม้จะมีรูปร่างที่ต่างกัน  แต่การเดินท่วงท่าที่สง่างามของทั้งคู่นั้นก็เป็นภาพที่ตราตรึงยิ่งนัก  ภาพแห่งความทรงจำเมื่อวัยเด็กกลับมาอีกครั้งในความรู้สึกของรัตติ และอรุณพยัค เมื่อครั้งทั้งสองพระองค์พระยศยังคงเท่ากัน   ความเงียบสงบเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้  ถึงแม้จะเดินผ่านพื้นหญ้าที่ประโปรยไปด้วยน้ำค้างในช่วงกลางดึกเช่นนี้   แต่ความอบอุ่นในจิตใจนั้นมีมากเหลือเกิน

   “รัตติ”  รัชทายาทเป็นคนเริ่มต้นชวนพูดอีกครั้งหนึ่ง

   “หืม” 

   “คิดถึงพี่ไหม”

   “ตลอดระยะเวลา 7 ปี พี่ทำตัวห่างเหินจากรัตติเอง  รัตติไปหาพี่ก็ไล่ รู้ไหมว่าบางทีที่พี่หลับไปแล้ว รัตติยังเคยไปยืนมองเลย  และก็คิดเสมอว่าจะมาเล่นหรือคุยได้เหมือนเก่าไหม พี่เปลี่ยนไปตั้งแต่รัตติได้ขึ้นเป็นพิสุทธิ์  พี่ไม่รู้หรอก  ตั้งแต่ไม่มีเสด็จย่า  รัตติก็เหงาเหมือนกัน ไม่มีคนคุยอย่างแต่ก่อน  ถามรัตติว่าคิดถึงไหมก็ต้องคิดถึงแน่นอน  แต่ก็น้อยใจเป็นเหมือนกัน  ตอนสู้กัน   ก็เหมือนจะฆ่ารัตติทิ้งจริงๆ   พี่ใจดำเกินไป”   เหมือนความในใจของเทพพิสุทธิ์ที่ผ่านมาหลายปีมันเป็นคำพูดที่ผสมไปด้วยความน้อยใจจริงอย่างที่พูดออกไป จนอีกฝั่งได้ฟังยังรู้สึกสะอึก

   “ขอโทษ” 

   “พอเมาถึงจะขอโทษ  จากพระทัยจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้”  อีกฝ่ายยังคงตัดพ้อไปเรื่อยๆ

   “ทำอย่างไงถึงจะหายโกรธ”

   “...........”  ไม่มีเสียงตอบรับของอีกฝ่าย ไม่มีคำตอบ

   “ทำอย่างไรรัตติถึงจะหายโกรธ” รัชทายาทมองมาที่อีกฝ่าย  ก่อนที่จับไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของคนที่อยู่ข้างหน้า  ให้หันมามองตากันอีกครั้ง

   “ก็เคยทำแบบไหนก็ทำแบบนั้น  แต่ตอนนี้รัตติยังไม่อยากเห็นหน้าพี่ชาย”

   “นี่ไง  ไม่เห็นแล้ว”    มือทั้งสองจากคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง  ดึงเทพพิสุทธิ์เข้ามากอด  ตัวที่เล็กกว่า ทำให้ใบหน้าของอีกคนถูกซบอยู่กับหน้าอกกว้างนั้น   ถูกต้องแล้ว เทพพิสุทธิ์กล่าวได้ถูกต้อง  ตอนนี้เค้าไม่อยากเห็นหน้าคนที่ที่เค้ารักมากที่สุด   และก็เป็นไปในทำนองนั้นจริงๆ   รัชทายาทไม่ให้เทพพิสุทธิ์เห็นหน้าตามที่ได้กล่าวไว้  จึงกอดไว้ให้แน่นเสียเอง ......  ถูกต้อง  ไม่เห็นหน้าก็จริงแต่ทำแบบนี้ถึงแม้จะไม่เห็นหน้า  แต่มันยิ่งใกล้ชิดมากกว่าอีกไม่ใช่หรือ

   “ขี้โกง”  มีน้ำเสียงเล็ดรอดออกมาจากคนที่เอาหน้าซุกอยู่กับหน้าอกของอีกคน

   “ขี้โกงตรงไหน  รัตติไม่อยากเห็นหน้าพี่ พี่ก็ไม่ให้เห็นแล้วไง”  รัชทายาทยิ้มพร้อมกับก้มลงไปที่ปอยผมสลวยสีดำขลับสะอาดตา  ก่อนจะสูดลมหายใจเพื่อที่จะรับความหอมจากกลิ่นผมนั้น

   “ในห้องพระคัมภียร์จากวิหารบรรพชนกล่าวไว้ว่า  บุคคลใดที่ขึ้นมาจากสระเหมันต์  นอกจากเส้นผมจะเล็กบางดุจแพรไหมแล้ว  ยังดำขลับและส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา  พี่เชื่อแล้วจริงๆ”   ยังไม่ทันจะพูดจบคนที่กอดอยู่ก็ผลักออกแทบจะทันที แต่อีกคนก็ยังรั้งเอาไว้อยู่ไม่ให้ไปไหน  ทำให้เทพพิสุทธิ์ดิ้นไปมาอยู่อ้อมอกนั้นเอง

   “นี่อ่านตำราจบไปกี่เล่มแล้ว  และมีเล่มไหนบ้างที่พระองค์ไม่อ่าน  กระหม่อมอยากทราบจริงๆ”    คำถามนั้นมันมีความโมโหอผสมอยู่ด้วย ซึ่งรัชทายาทเองก็พอจะจับใจความได้  ทั้งน้ำเสียงและสรรพนามที่เปลี่ยนไป 

   “อย่าโกรธซิ่  ก็รัตติชวนพี่เข้าไปเองนี่นา  หลังๆ มา พี่ก็เลยแอบเข้าไปได้   ถูกต้อง พี่รู้ตำราแทบจะทกเล่ม  แต่พี่จะฆ่าคนที่พี่รักที่สุดได้ลงหรอ  จริงไหม  ถ้าให้เดา  ตอนนี้คงไม่รู้อนาคตของพี่ซินะ”         

   รัชทายาทหยุดพูดเพียงแค่นั้น  ก่อนจะจับให้เทพพิสุทธิ์หันมองหน้ากันอีกครั้ง  น้ำเสียงที่พูดอีกครั้ง มันทั้งหนักแน่นและชัดเจนยิ่งนัก

   “ถึงแม้เทพพิสุทธิ์องค์นี้ จะไม่รู้อนาคตของรัชทายาท ว่าที่กษัตริย์แห่งเมฆาพยัค  แต่ว่าที่กษัตริย์พระองค์นี้ ก็ขอสาบาน ด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย  ว่าจะปกป้องบ้านเมือง  และที่สำคัญ  จะปกป้องเทพพิสุทธิ์พระองค์นี้ตลอดไป  ถึงแม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม...... รัตติได้โปรดเชื่อพี่เถิดนะ”

   “แต่รัตติก็ผิดคำสัญญากับพี่ชายครั้งหนึ่งแล้ว”     เทพพิสุทธิ์ยังคงไม่มองหน้า และเสมองไปทางอื่นเสีย   ดวงตาทั้งสองข้าง ปราศจากน้ำตา  แต่น้ำเสียงนั้นสั่นเครือเหลือเกิน

   “วันใดที่พี่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์  วันนั้นพี่จะทวงคำสัญญาที่รัตติเคยให้พี่ก็แล้วกัน”

   “แล้วถ้ารัตติยังคงทำไม่ได้อีก......  จะทำอย่างไร”   ไม่มีน้ำเสียงตอบกลับมาจากคนที่ถูกถาม   รัชทายาทปล่อยมือออกจากไหล่ทั้งสองข้างของเทพพิสุทธิ์  แล้วเอื้อมลงไปกุมมือแทน   พาเดินออกไปจากตรงนั้นเรื่อยๆ 
 
   “อนาคตคือเรื่องของวันข้างหน้า   แต่ตอนนี้มีเพียงแค่อรุณย์พยัค กับรัตติเท่านั้นไม่ใช่หรือ”  จริงอย่างที่รัชทายาทพูด หนทาง ณ ตอนนี้ มีเพียงแค่สององค์เท่านั้น  ถึงแม้อนาคตข้างหน้าเทพพิสุทธิ์จะรู้มากเพียงไร  แต่ก็ยังเป็นเรื่องของอนาคตอยู่ดี

   “อยากกลับไปเป็นเด็กอีกจัง”
 
   “จะขี่คอพี่หรอ”

   “จะไปเล่นน้ำ ตรงหลังตำหนักตะวันตกต่างหาก” 

   “ถ้ากลับมาจากทำศึกกับโยนลนคร  จะพาไป”  ดวงหน้าของเทพพิสุทธิ์หมองลงไปทันที  ที่ได้ยินคำว่าสงคราม  ถูกแล้ว  ถึงแม้ศึกครั้งนี้อนาคตที่พิสุทธิ์เห็นจะชนะก็ตาม  แต่การเสียเลือดเนื้อของทั้งสองอาณาจักรย่อมมีแน่นอน   แม้จะได้เปรียบ  ที่รู้อนาคตมองเห็นทุกสิ่งอย่าง  แต่สิ่งหนึ่งที่เพิ่งปรากฏขึ้นมา  ใครบางคน   คนแก่คนนั้น นุ่งห่มคล้ายฤๅษีนอกรีต   วิชาเวทย์ถึงแม้จะไม่เทียบเท่ากับเขาเองก็ตาม  แต่ก็น่าวิตกอยู่ไม่น้อย
   
   “กลับเถิด องค์รัชทายาท  นี่ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พระองค์จะต้องตื่นแต่เช้า” 

   “รัตติรู้ไหม  ว่าหนทางเส้นทางนี้  ที่เค้าบอกว่าจะไปพบกับบรรพชนของทั้งสองเรา หนทางมันยาวแค่ไหน”   คนที่ถูกถามกลับถามกลับ และไม่ตอบในสิ่งที่เทพพิสุทธิ์ได้ถามไว้

   เทพพิสุทธิ์ไม่ตอบ   แต่ผายมือออกไปทางด้านหน้า พร้อมกับ  กระดกข้อมือขึ้น  พลันนิ้วทั้งห้านั้นก็ชี้ขึ้นบนฟ้า  ก่อนจะมีเส้นแสงสีฟ้าออกจากฝ่ามือ  พุ่งลำแสงนั้นไปยังถนนที่ทอดยาวจนสุดสายตา  หาปลายทางไม่เจอ 

   “เวทย์กลับมาแล้วหรือ”  องค์รัชทายาทลืมเวลาไปเสียสนิท เพราะนี่มันชั่วยามกว่าแล้ว    และตอนนี้หากจะทำแบบเดิมคงไม่ทันแน่

   ยังไม่ทันจะกล่าวอะไรต่อ นิ้วชี้อีกข้าง  ก็ตระหวัดขึ้น พร้อมกับคำพูดเบาๆ ที่อยู่ในโอษฐ์ของเทพพิสุทธิ์  เพียงสองสามคำเท่านั้น  มือข้างหนึ่งของรัชทายาท ก็ถูกพาดออกมาข้างหน้า  พร้อมกับมืออีกข้าง  ถูกแนบชิดกันทันที และความไวนั้นก็ไวเหลือเกิน  เพียงแค่ข้อมือสองข้างขององค์รัชทายาทถูกให้แนบชิดกัน  เชือกปริศนาสีขาวเส้นหนึ่ง ก็มัดข้อมือทั้งสองนั้น ถึงแม้จะไม่แน่นจนเจ็บ  แต่ดึงเท่าไหร่ก็คงดึงไม่ออก

   “เชือกเวทย์!!! ”
 
   “ถูกต้อง มันคือเชือกเวทย์  ถ้ายังไม่กลับ ก็ได้ แต่คงต้องให้พี่ชาย เดินแบบนี้ไปตลอด  และอย่าหวังจะได้เข้ามาใกล้รัตติแม้เพียงนิด  รู้ว่ามือใช้การไมได้ เพราะถูกมัดไว้ แต่ปากของพี่ชาย  รัตติก็ยังไม่อยากจะปิดมันตอนนี้หรอก  หรือถ้าไม่เชื่อ  จะลองดูก็ได้นะ”

   “ขี้โกง  รังแกคนไม่มีทางสู้นี่นา”

   “ก็ใครเริ่มก่อน  รัตติอยู่เฉยๆ แท้  อยู่ดีๆ ก็มากัดกัน” 

   “แก้มัดเถอะรัตติ  พี่ไม่ทำอะไรแล้ว  สัญญานะ  ไม่ทำอะไรแล้วจริงๆ”  เสียงคนเมาตอนนี้  ทั้งเมาและอ้อน  แต่ไม่มีความน่าสงสารเอาซะเลย  คนตัวใหญ่ๆ  อ้อนคนตัวเล็กๆ มันดูกึ่งๆ  แปลกๆ ในสายตาคนรอบข้างเหมือนกัน  ดีนะ ที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่ เพราะถือได้ว่าเป็นที่ส่วนพระองค์เท่านั้น

   “เดินไป  ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกน่า”  พิสุทธิ์กล่าวขึ้นมายิ้มๆ   ก่อนจะจับให้องค์รัชทายาทเดินตาม

   “เดินต่อก็ได้  แต่ขอจับมือด้วยได้ไหม”  องค์รัชทายาทยังคงต่อรอง

   “ไม่ได้”

   “เฮ้อ  !!!  ไม่น่าเล๊ยยย  ใครจะคิดนะ  ว่าเทพพิสุทธิ์ที่ทุกคนคิดว่าจิตใจดีงาม   เปี่ยมด้วยพระเมตตา  มีคุณธรรมสูง  จะรังแกคนอื่นได้ง่ายดายแบบนี้” 

   “จะพูดต่อ หรือจะให้รัตติปิดปาก”    เทพพิสุทธิ์ยังคงขู่ต่อ  แต่คำขู่นั้นมาพร้อมกับลักษณะที่พร้อมจะทำจริงเสมอ

   “ขู่ได้ขู่ไป    จริงๆ เลย  คนอะไรใจดำชะมัด”   ถึงแม้องค์รัชทายาทจะยังคงตัดพ้อต่อ  แต่มือสองข้างที่ถูกมัดไว้นั้น ก็แอบทำอะไรขยุกขยิก  ขยับเพียงเล็กน้อยเพื่อหลบสายตาจากเจ้าของเชือกเส้นนั้น

   “อย่าคิดจะตัดเชือกเส้นนี้ออก  รัตติรู้ว่าพี่ชายกำลังจะทำอะไร  นี่แหละรัตติถึงไม้ไว้ใจ  ต่อให้มีมีดนับพันเล่ม ก็ตัดเชือกนี้ออกไม่ได้  เพราะมันคือเชือกเวทย์ของพิสุทธิ์   มีเพียงกฤชของเสด็จพ่อเท่านั้น  ที่เสด็จย่าประทานให้ไว้ที่จะตัดมันออกได้” 
 เทพพิสุทธิ์ยังคงยิ้มอย่างผู้ถือสิทธิ์ในการชนะครั้งนี้  ก่อนจะเดินนำออกไป  ทิ้งให้คนข้างหลัง ทำหน้าขมวดยุ่งเหยิงอยู่อย่างนั้น

   เทพพิสุทธิ์ยังเดินข้างหน้าไปเรื่อยๆ  ปล่อยให้คนที่ถูกมัดข้อมือเดินตามไปเรื่อยๆ อย่างนั้น  ความเงียบปราศจากเสียงที่พูดออกมาทั้งสองคน ยังคงไปอีกซักพัก  ช่วงเวลาในการเดิน และเส้นทางที่เดินมานั้นมันไกลมากแล้วจากวิหารบรรพชน แต่หนทางนั้นก็ยังไม่จบสิ้นง่ายๆ  จนเมื่อใครคนใดคนหนึ่งทำลายความเงียบ  และเอื้อมมือไปจับคนข้างหน้านั้นแหละ เทพพิสุทธิ์ถึงสงสัยอีกครั้ง

   “เอ๊ะ !!!!”   

   มีดเล่มหนึ่งมีลักษณะหยักและโค้ง  สีเงินใสวาววับเมื่อยามต้องกับแสงจันทร์ ความยาวของมันประมาณข้อศอกของคนคนหนึ่ง  ปลายด้ามเป็นสีทองสกาว  ประดับไปด้วยมุกและอัญมณีหลากสีสวยงามจนหาที่เปรียบมิได้

   บัดนี้มือของชายคนที่ถูกเชือกเวทย์มัดเอาไว้  เป็นอิสระแล้ว มือข้างหนึ่งยังคงจับมือของเทพพิสุทธิ์ไว้แน่น  ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถือกฤชชูขึ้นให้ดู

   “เสด็จพ่อให้พี่ไว้ เมื่อบ่ายนี้เอง  บอกว่าเอาไว้ป้องกันตัวยามศึกสงคราม” 

   “...........”  ไม่มีคำตอบใดทั้งสิ้นจากเทพพิสุทธิ์ แต่ปากที่ขยับเพียงนิดทำให้รัชทายาทรู้ทันทีเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

   “รัตติ  พี่สัญญาจริงๆ  พี่ไม่ทำอะไรแล้ว  อย่าใช้เวทย์มนต์กับพี่เลยนะ  เดี๋ยวรัตติจะเหนื่อยด้วย พี่สัญญาจริงๆ”    ไม่พูดเปล่า  แต่รัชทายาทยังโผเข้าไปกอดเทพพิสุทธิ์อีกด้วย ไม่มีการล่วงเกินไปมากกว่านี้  รัชทายาทเพียงกอดไว้นิ่งๆ เท่านั้น
 
   “กลับกันเถอะ  ดึกมากแล้ว  พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า  ทั้งพี่ชายทั้งรัตติด้วย”    เป็นไปตามคำขอร้อง  เทพพิสุทธิ์ไม่ได้ใช้เวทย์มนต์อันใดต่อรัชทายาท   เพราะพระองค์ก็เหนื่อยมากเช่นกัน  การใช้เวทย์มนต์แต่ละครั้ง  ถึงแม้จะแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับพิสุทธิ์องค์ก่อนๆ ที่มีอายุนับร้อยๆ ปี

   “ยังไม่อยากลับ”

   “รัตติหนาว”

   “ถ้าหนาว พี่ก็กอดไว้ไง”

   “จะกอดทั้งคืนเลยหรือไง” 

   “ให้กอดป่าวล่ะ”

   “..............”     

   ทั้งสองคนยังคงกอดกันอยู่เช่นนั้น    แสงจันทร์ที่ส่องกระทบมาแทบจะเป็นร่างเดียวกัน   เส้นทางนั้นสวยงามเหลือเกิน แม้จะเป็นยามค่ำคืน  ต้นฉำฉาใหญ่สองข้าง  ยังคงมีให้เห็นเป็นริ้วแถวไปจนสุดสายตา   ลมบนยอดเขาบัดนี้พัดปลิวไปมาอย่างช้าๆ ไม่แรงมาก เสียงนกกลางคืน ยังคงร้องอย่างไพเราะ อันจับไม่ได้ว่าต้นเสียงนั้นอยู่ตรงไหน

   พลันแสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งโดยรอบของทั้งสององค์ ก่อนที่ ณ ตรงนั้นจะกลายเป็นที่ว่างเปล่าอีกครั้ง  ไม่มีใครเหลืออยู่ซักคน

   ในห้องบรรทมกว้างบนยอดวิหารบรรพชน  บัดนี้สองคนที่อยู่ในสวนตรงนั้น  ได้มาปรากฏกายที่นี่แทนแล้วด้วยเวทย์ของเทพพิสุทธิ์  เปลี่ยนสถานที่  แต่ไม่เปลี่ยนกริยาท่าทาง  รัชทายาทยังคงกอดอย่างไร ก็ยังกอดอยู่อย่างนั้น บัดนี้คนที่กอดอยู่รู้แล้วว่าตัวเองได้ถูกดึงตัวมาที่ห้องนอนของเทพพิสุทธิ์แล้ว แต่ก็ยังไม่คลายอ้อมกอดนั้น

   “ปล่อยเถอะ  ไปนอนได้แล้ว”     

   “........”    รัชทายาทไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น  ได้แต่ส่ายหน้าไปมาแทนคำพูด 

   “ถ้าไม่ปล่อย แล้วจะไปนอนได้อย่างไง”

   “อยากกอดรัตติเรื่อยๆ”    

   “ก็ไปนอนกอดบนเตียงก็ได้”  คนพูดคือเทพพิสุทธิ์ แต่พูดเสร็จก็หน้าแดงเสียเอง  จริงอยู่ที่รัชทายาทเอง หรือเทพพิสุทธิ์เอง ก็เคยต่างที่จะไปนอนในห้องของใครคนหนึ่งออกจะบ่อย  แต่นั้นคือเมื่อครั้งที่อีกคนหนึ่งคือรัชทายาทแห่งเมฆาพยัค ส่วนอีกคนหนึ่งคือรัชทายาทเทพ  แต่หากครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในฐานะรัชทายาทกับเทพพิสุทธิ์

   “นอนได้หรอ”  รัชทายาทถาม  แต่ก็ยิ้มไปด้วยที่อีกฝ่ายชักชวนเช่นนี้

   “ก็นอนได้  อย่าให้เสด็จพ่อรู้ก็แล้วกัน”

   ความรู้สึกที่แสนมีความสุขกลับมาอีกครั้งของทั้งสองคน   ความบาดหมางที่เกิดจากคำผิดสัญญา  ถูกลืม และลางเลือนไปชั่วคราว  แต่ในใจของเทพพิสุทธิ์นั้นก็อยากให้เป็นตลอดไป   เขายังจำได้ครั้งแรกที่เข้ามาสู่วิหารบรรพชน   นอกจากเสด็จย่าแล้ว เพื่อนในวัยเด็ก  ก็มีเพียงแค่องค์รัชทายาทนี้เท่านั้น  ถึงแม้จะเล่นกับอโนทัยบ้างแต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกแบบนี้  เมื่อครั้งที่สามคนยังเป็นเด็กกันอยู่นั้น  อโนทัยทหารองค์รักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหารบรรพชนนี่แหละ  ที่เป็นคนคอยแกล้งเทพพิสุทธิ์ตลอด  แต่ก็ได้รัชทายาทอีกเช่นกันที่คอยช่วยเหลือ  หลายครั้งที่เด็กสองคนในอดีต  ที่เป็นเพื่อนกัน จะมีเรื่องมีราวตลอด จนบางครั้งเลือดตกยางออกก็มี  แต่ทั้งเสด็จย่า และเสด็จพ่อเองก็ไม่เคยถือเอาเป็นเรื่องราวเพราะว่า ทั้งหมดนั้นคือเด็ก

   เทพพิสุทธิ์ยิ้มให้กับตัวเอง  ก่อนจะเงยหน้าแหงนมองขึ้นไปที่องค์รัชทายาทที่บัดนี้ยังนอนกอดอยู่  ลมหายใจเข้าออก จนสงบนิ่ง หมายถึงคงหลับสนิทไปแล้ว กลิ่นสุราอ่อนๆ  ยังคงเข้ามาแตะจมูก ถึงแม้จะไม่รุนแรงนักแต่ก็พอจับความรู้สึกนั้นได้  เรียวคางที่บัดนี้เริ่มมีหนวดเคราขึ้นบ้างแล้วอ่อนๆ จากเด็กน้อยหน้าใส่เกลี้ยงเกลา  เริ่มเป็นหนุ่มขึ้นอย่างเต็มตัว  เทพพิสุทธิ์จุมพิตไปที่คางนั้น  ก่อนจะซุกเข้าไปในอกอันอบอุ่นของคนที่สวมกอดไว้

   นิทรานี้มีความสุขเหลือเกิน
...............................................

   เช้านี้ที่อรุณพยัคนั้น ด้านล่างคลาคล่ำไปด้วยเหล่าทหารที่ถูกคัดเลือกและคัดสรรมาแล้วอย่างดี ยามเช้าที่ตื่นมา  เทพพิสสุทธิ์ไม่เห็นองค์รัชทายาทแล้ว  และนี่เขาก็สายมากแล้วด้วย   เพียงครู่เดียวเทพพิสุทธิ์ก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องบรรทม

   คนที่เจอคนแรกก็คือองค์รักษ์พิเศษของเขานั้นเอง  อโนทัยในยามนี้ ดูเข้มแข็งและสง่างามไม่แพ้ชายใดในอรุณพยัคเลยทีเดียว   เคยคิดเล่นๆ ว่า  ถ้าเอาสองคนนี้มาเทียบกัน ระหว่างรัชทายาท กับอโนทัย ใครจะสง่างามกว่ากันนะ

   “อโนทัย  วันนี้เจ้าดูดีขึ้นมากเลยนะ”  เป็นคำทักทายแรกที่เทพพิสุทธิ์กล่าวออกไปกับทหารเอกคู่ใจ  แต่ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงของโนทัยกลับไม่สดใสเหมือนคนที่ทักไปเลย

   “เมื่อคืนรัชทายาทอยู่ทีนี่หรือกระหม่อม”    คำถามที่ถามออกมา ทำให้เทพพิสุทธิ์ ทั้งตกใจและแปลกใจเช่นกัน  ทำไมอโนทัยถึงรู้ได้

   “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

   “เมื่อเช้าตอนที่กระหม่อมารอพระองค์   รัชทายาทเปิดประตูบรรทมออกมาทางนี้   ก่อนจะกลับเข้าไปแบบเดิม   แล้วทรงบอกกับกระหม่อมว่า  ลืมไป  ทางที่จริงต้องไปทางหน้าต่าง” 

   เห็นชัดเลยว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน  รัชทายาทไม่มีทางลืม ผ่านมากี่ปี ตั้งแต่เด็กจนโต  รัชทายาทแทบไม่เคยออกมาทางประตูนี้เลยซักครั้ง มีแต่เข้าและออกทางหน้าต่างของห้องตลอด นี่มันแกล้งกันชัดๆ  แกล้งเพื่อให้รู้ว่าเมื่อคืนนี้ทรงนอนที่นี่ และให้อโนทัยรู้

   เทพพิสุทธิ์มองหน้าองค์รักษ์ผู้หล่อเหลา  โดยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ  แต่ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องบอกอะไรบางอย่าง

   “มีใครรู้บ้างนอกจากอโนทัย”

   “มีกระหม่อมคนเดียว  ที่อยู่ตรงนี้ไม่มีใครอยู่”

   “อย่าบอกเสด็จพ่อล่ะ”

   “............”

   “อย่าบอกเสด็จพ่อ”  เทพพิสุทธิ์กล่าวย้ำอีกครั้ง

   “กระหม่อม” 

   “ลงไปกันเถอะ  ป่านนี้เสด็จพ่อรอแล้ว” 

   “ฝ่าบาท  ทรงอยู่ที่ห้องปฐม  ทรงอยากให้พระองค์พบกับสมมติพิสุทธิ์  อีกทั้งสามคน   ทรงกำชับว่า  ถ้าพระองค์ทรงตื่นบรรทมแล้วให้นำไปทันที โดยไม่มีใครติดตามไปด้วยนอกจากกระหม่อม”
   
   “อืม.. ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”   เพียงแค่เทพพิสุทธิ์กล่าวจบ อโนทัยก็ทำความเคารพ พร้อมกับเดินนำหน้าไป ตลอดระยะเวลาการเดินทาง เหมือนมีบางสิ่งบางอย่าง   ที่ทำให้อโนทัยเปลี่ยนไป  และ ความรู้สึกนั้นเทพพิสุทธิ์ก็รับรู้ได้

   ......... ขอโทษด้วยอโนทัย  เราไม่ได้รักเจ้าเลย  และต้องขอโทษจริงๆ  ที่หัวใจดวงนี้ของเรามอบให้คนอื่นไปเสียแล้ว.........

   ภายในห้องปฐม  ณ  บัดนี้ ปรากกฎเด็กหนุ่มที่ดูแล้วอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเทพิสุทธิ์เอง  ทั้งดวงหน้า  ถึงแม้จะไม่ละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่รูปร่างนั้นแทบไม่ต่างกันเลย   เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกตกแต่งอยู่บนร่างกาย ไม่ต่างอะไรกับเทพพิสุทธิ์แม้เพียงนิด   หากจะมีและคนภายนอกแทบจะสังเกตไม่เห็น ก็คือ ธำมรงค์วงหนึ่งที่ถูกสวมไว้ในนิ้วชี้ของเทพพิสุทธิ์องค์จริงเท่านั้น

   ณ ที่แห่งนั้น นอกจากสมมติพิสุทธิ์อยู่ที่นี่แล้ว  ยังมีทั้งเหล่าเสนาอำมาตย์  รัชทายาท รวมไปถึงกษัติย์แห่งเมฆาพยัคด้วย   เทพพิสุทธิ์เดินเข้ามาถึงตรงกลางโถงห้อง  พร้อมกับรับทำความเคารพจากทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้น

   “เสด็จพ่อ”   ทั้งเทพพิสุทธิ์และกษัตริย์วารัญต่างทำความเคารพซึ่งกันและกัน ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่พูดอะไร  แต่เทพพิสุทธิ์ก็รับรู้ได้ทันทีว่า ที่มาเป็นอย่างไร  ถูกต้องแล้ว เทพพิสุทธิ์ผู้แทบจะไม่เคยออกไปไหนจากวิหารบรรพชน จะมีเพียงกององค์รักษ์  เหล่าเสนาอำมาตย์ชั้นสูง และเหล่าพระบรมวงศ์เพียงบางองค์เท่านั้นที่รู้ว่าเทพพิสุทธิ์องค์จริงคือองค์ไหน เมื่อเข้ามารวมกลุ่มกันเป็นทั้งสี่คนเช่นนี้   

   การที่ทำให้มีสมมติพิสุทธิ์ขึ้นมาอีกสามองค์ ก็เพื่อไม่ให้รู้ว่าพิสุทธิ์องค์จริงนั้นคือองค์ใดกันแน่  ในยามออกไปศึกสงคราม ในตำราของหอบรรพชนนั้น  ได้มีบัญญัติไว้แน่นอน  และการคัดเลือกสมมติพิสุทธิ์นั้น นอกจากจะเอาโครงหน้า  รูปร่าง  และวัยที่ใกล้เคียง คล้ายกันแล้ว  ยังต้องดูที่สติปัญญา ไหวพริบ  และความซื่อสัตย์เป็นหลักอีกด้วย การคัดสมมติพิสุทธิ์จะเป็นหน้าที่ของพิสุทธิ์องค์เก่าที่จะคัดเลือกเอาไว้ตั้งแต่วันที่พิสุทธิ์องค์จริง เหยียบเข้ามาอยู่ในวิหารบรรพชน  แต่ทั้งสี่คน จะไม่มีวันได้เจอกันเด็ดขาด  จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม  และนี่เป็นครั้งแรก ที่เทพพิสุทธิ์องค์จริง  ได้เจอกับสมมติพิสุทธิ์อีกทั้งสามคน

   “เทพพิสุทธิ์และสมมติพิสุทธิ์ทั้งหมด  จะอยู่รวมกัน  เว้นเสียแต่ตอนบรรทม  ทุกสิ่งทุกอย่างจะปฏิบัติอย่างเดียวกันทั้งหมด คำพูด  การให้เกียรติ  บัดนี้ท่านทั้งสี่คน คือเทพพิสุทธิ์  มีแต่เพียงเราที่อยู่ในห้องปฐมนี้เท่านั้นที่จะรู้ว่าองค์ไหนคือองค์จริง  นับจากนี้ต่อไป  ขอให้ท่านทั้งสาม ประพฤติและปฏิบัติให้เหมือนเป็นเทพพิสุทธิ์องค์จริงด้วย เพื่อความปลอดภัยของเทพพิสุทธิ์ และไม่ให้ใครคนอื่นจับได้”  รัชทายาทกล่าวขึ้นพร้อมกับทำความเคารพหลังจากที่เทพพิสุทธิ์  ยืนอยู่ท่ามกลางสมมติพิสุทธิ์ทั้งสาม

   ทำไมถึงมีความห่างเหินอีกแล้ว ซึ่งเทพพิสุทธิ์เองก็จับความรู้สึกนั้นได้ดี   การคุยสัพเพเหระยังมีเกิดขึ้นอีกชั่วครู่ใหญ่ๆ  เทพพิสุทธิ์ทำความรู้จักกับทั้งสามคนผู้ซึ่งเพิ่งจะเจอกันเพียงครั้งแรก  แต่รัชทายาทบัดนี้ คงจะเดินออกไปตรวจตราด้านภายนอกแล้ว  เพราะเขาเองก็ไม่เห็นอยู่ในห้องโถงพระปฐมชั่วครู่แล้วเหมือนกัน

   ฤกษ์ยามที่จะออกศึก  ยังแหลือเวลาอีกนาน  เทพพิสุทธิ์ยังเดินออกมาเรื่อยๆ  บัดนี้ทหารหลายคนคงจะงงกันซักหน่อย เพราะพิสุทธิ์ที่เดินออกมา มีถึงสี่องค์ด้วยกัน   ทหารชั้นปลายแถว และทหารทั่วไปก็ยังคงไม่ทราบว่าองค์จริงคือองค์ไหน  องค์ไหนเดินผ่านไปทางไหน ก็ทำความเคารพไปทั้งสี่องค์ เป็นที่แปลกตาเป็นยิ่งนัก

   ชายผู้ยืนหันหลังให้ที่เทพพิสุทธิ์เห็น กำลังออกคำสั่งกับทหารกลุ่มหนึ่ง คงจะคุยถึงเรื่องทัพเป็นแน่  เทพพิสุทธิ์ปล่อยยังไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป  จนรัชทายาทเงียบและไม่ออกคำสั่งอะไรอีกทั้งสิ้น  ถึงได้เดินเข้าไปหา

   “พี่ชาย”  ไม่เพียงแต่พูดเปล่า แต่เทพพิสุทธิ์ยังคว้ามืออีกข้างหนึ่งตรงปลายนิ้วมือขององค์รัชทายาท  โดยไม่กล้าที่จะจับไปเต็มๆ

   คนที่ถูกจับมือ ไม่ได้หันกลับมาอย่างทันท่วงที  เว้นไว้อีกซักพักหนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับมาและทำความเคารพให้กับผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่า

   “เทพพิสุทธิ์” 

   “.............”  คำพูดที่เปลี่ยนไป สรรพนามที่เปลี่ยนไป   ทำให้เทพพิสุทธิ์รู้ได้ถึงอะไรบางอย่างก่อนที่จะถามไป

   “เมื่อคืนที่ทำดีกับกระหม่อม  คุยเหมือนเดิม เป็นเพราะสุราใช่ไหม”

   “ใช่....”  คำตอบนั้นชัดเจนยิ่งนักจากปากของรัชทายาท   เทพพิสุทธิ์ไม่กล่าวอะไรต่อไปอีก  เพราะแม้กระทั่งน้ำลายยังกลืนลงไปได้ยากแหลือเกิน  แต่รัชทายาทไม่ได้หยุดกล่าวเพียงแค่นั้น  เพราะคำที่สองนี้มันก็บาดความรู้สึกแทบไม่แพ้กัน

   “กระหม่อมขออภัย เมื่อคืนกระหม่อมเมา และพระองค์ก็เคยบอก ไม่ให้กระหม่อมแตะต้องตัวพระองค์  เพราะฉะนั้น  ปล่อยมือกระหม่อมเถอะ”
..................................
      
   
    
   

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ samanijt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาต่อ ให้ หน่อยสิ รอนานแล้ว :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ supermyrainbow

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :mew2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด