ภุชงค์เล่นแสง [ย้อนยุค,Mpreg] ตอนที่ ๒๔ (จบ) ๐๗.๐๗.๖๓ หน้า ๙
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ภุชงค์เล่นแสง [ย้อนยุค,Mpreg] ตอนที่ ๒๔ (จบ) ๐๗.๐๗.๖๓ หน้า ๙  (อ่าน 48139 ครั้ง)

ออฟไลน์ Thichadad3938

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1

ก่อนจะไปอ่าน รบกวนนักอ่าน อ่านที่เราจะอธิบายสักนิด บางคนจะสงสัยว่าทำไมจู่ๆ น้องแสงที่อ่อนหวาน อ่อนแอถึงร้ายขึ้นมา นั่นก็เพราะคุณแม่ชมนาดท่านสั่ง ท่านสอน ท่านปั้นสะใภ้มากับมือ แล้วอีกอย่างน้องแสงตอนอยู่การเวก คือ โดนรังแกมาตลอด ถึงจะยอมโดนรังแก แต่จริงๆ แล้วน้องเก็บกด แม่น้องมาก่อน แต่ต้องเป็นรอง ดดนรังแก ต่างๆ นานา ดังนั้น น้องจะไม่ยอมให้ผัวมีรองเด็ดขาด แล้วยิ่งแม่ผัวคอยหนุนแบบนี้ น้องจะร้าย ร้าย ร้ายยยยยยยย~

 

ภุชงค์เล่นแสง ๑๘


 

องค์พาฬยังมิได้พาเจ้าน้อยสลิลกลับศารทูลในทันที เนื่องจากจู่ๆ เจ้าน้อยธาราสลิลก็จับไข้ ประชวรเสียจนต้องพักรักษาอยู่ที่ภุมริกาต่ออีกห้าวัน เมื่ออาการทุเลาจึงได้เพลากลับศารทูล ซึ่งก็คือวันพรุ่ง

“เจ้าแสงแรก” เจ้าชมนาดตรัสเรียกสุณิสาของพระองค์ วันนี้หลังจากที่องค์ภุมริน แลองค์ภุชงค์ออกว่าราชการที่ท้องพระโรง พระชายาชมนาดท่านจึงมีรับสั่งให้สุณิสาของพระองค์เข้าเฝ้าที่ตำหนักหลวง

“พระเจ้าค่ะ เสด็จแม่” เจ้าแสงแรกผละมือออกจากครรภ์นูนของตน แลผินพักตร์ไปหาแม่ผัว

“แม่จักไปเยี่ยมเจ้าน้อยสลิล เจ้าก็ไปด้วยกันหนาลูก” เจ้าชมนาดตรัส

“พระเจ้าค่ะ เช่นนั้นหม่อมฉันจักให้ข้าหลวงเตรียมพระกายาหารว่างไปด้วยดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกเสนอ

“แม่ให้คนเตรียมแล้วเจ้า” เจ้าชมนาดตรัสตอบ แลแย้มสรวลให้สุณิสา

“พระเจ้าค่ะ”

“เยี่ยงนั้นไปกันเลยเถิด” เจ้าชมนาดตรัส แลลุกขึ้นจากตั่ง

 

ยี่สุ่น แลชงโคประคองคนเป็นนายลุกขึ้น เจ้าแสงแรกดำเนินช้าๆ ประคองครรภ์ตนไปเกาะพระกรของพระสัสสุ ก่อนจักดำเนินไปด้วยกัน

 

ณ ตำหนักรับรองของเจ้าน้อยธาราสลิล

“ทูลองค์พาฬ พระชายาชมนาด แลพระชายาแสงแรกเสด็จมาเยี่ยมเจ้าน้อยธาราสลิลพ่ะย่ะค่ะ” พ่อขุนองครักษ์คนสนิทของเจ้าหลวงศารทูลกราบทูลคนเป็นนาย

“...ให้พระชายาท่านรอประเดี๋ยว” องค์พาฬเงยพักตร์ขึ้นจากซอกคอขาวของเจ้าสลิล ตรัสบอกองครักษ์คนสนิท ก่อนจักซุกพักตร์พรมจูบฉวีนุ่มต่อ พระกรแกร่งกอดรัดร่างแน่งน้อยแน่น

“พ่ะย่ะค่ะ”

“...ปล่อยหม่อมฉันได้แล้ว” เจ้าสลิลตรัสสุรเสียงแผ่ว พลางดันพระพักตร์ขององค์พาฬออกจากซอกศอของตน

 

.

.

.

 

เพลาผ่านไปครู่ใหญ่จนสองแม่ผัว ลูกสะใภ้ลอบมองพักตร์กัน เหตุใดจึงเงียบหายไปเลย เจ้าแสงแรกยิ้มแหยให้พระสัสสุ เจ้าชมนาดยกพัดขึ้นสะบัดใส่ตนเอง แลเผื่อแผ่ไปยังลูกสะใภ้

“เสด็จแม่ องค์พาฬท่านจักให้เราเข้าพบเจ้าน้อยหรือไม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกเอนกายกระซิบของพระกรรณของเจ้าชมนาด

“แม่ว่า...”

“ทูลพระชายาชมนาด แลพระชายาแสงแรก เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ยังมิทันที่เจ้าชมนาดจักได้ตรัส องครักษ์คนสนิทขององค์พาฬก็กราบทูลเชิญเสียก่อน เจ้าชมนาด แลเจ้าแสงแรกจึงเสด็จเข้าตำหนักรับรองเพื่อเยี่ยมเจ้าน้อยธาราสลิล

“ถวายพระพรพระชายาชมนาดพระเจ้าค่ะ” เจ้าน้อยธาราสลิลหมอบกราบมารดาแห่งภุมริกา

“ถวายพระพร องค์พาฬพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันต้องกราบขออภัยที่มิสามารถหมอบกราบพระองค์ได้หนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกพนมหัตถ์ไหว้เจ้าหลวงต่างแคว้น มิสามารถหมอบกราบได้เนื่องจากติดครรภ์

“มิเป็นกระไร...ทูลพระชายาชมนาด หม่อมฉันขอตัวก่อนหนาพ่ะย่ะค่ะ” องค์พาฬพยักพักตร์มิถือสา ก่อนจักผินพักตร์มาตรัสกับเจ้าชมนาด

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าชมนาดค้อมเศียรให้เจ้าหลวงต่างแคว้นน้อย รอจนท่านเสด็จออกไปแล้วจึงได้ประทับพูดคุยกับเจ้าธาราสลิลให้เป็นเรื่องเป็นราว

“เป็นเยี่ยงไรบ้าง เจ้าน้อยธาราสลิล” เจ้าชมนาดตรัสถามด้วยความห่วงใย

“ทุเลามากแล้วพระเจ้าค่ะ” เจ้าธาราสลิลตรัสตอบ แลแย้มสรวลให้พระชายาชมนาดท่าน

“ดีแล้วเจ้า ประเดี๋ยวพรุ่งเดินทางจักได้มิลำบาก” เจ้าชมนาดตรัส แลลูบเกศาเจ้าสลิลแผ่วเบา จนเจ้าน้อยต่างแคว้นอัสสุชลคลอนัยน์ตา

“ข ขอบพระทัยหนาพระเจ้าค่ะ แลหม่อมฉันต้องกราบขอประทานอภัยที่มาสร้างความลำบากพระทัยให้ทางภุมริกาหนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าธาราสลิลตรัส แลก้มลงกราบบนพระเพลาเล็ก

“มิเป็นกระไร มิต้องคิดมากหนา”

“ข ข้าก็ต้องขออภัยเจ้าอีกคราหนาเจ้าแสง”

“มิเป็นกระไรพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกแย้มสรวลให้เจ้าน้อยสลิลบางๆ

 

ทั้งสามพระองค์อยู่พูดคุยรับพระกายาหารว่างด้วยกันอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งองค์พาฬท่านกลับมาที่ตำหนักรับรองของเจ้าน้อยธาราสลิลแล้ว เจ้าชมนาด แลเจ้าแสงแรกจึงได้ขอตัวกลับตำหนักองค์เอง หากแต่ตอนที่ดำเนินสวนกับองค์พาฬนั้น เจ้าชมนาดมิวายตรัสกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองพระองค์

“หากรัก ก็ถนอมเสียหน่อยเถิดพระเจ้าค่ะ เขาจักได้รู้ว่ารัก”

“...” องค์พาฬก้มพักตร์ลงเล็กน้อย หากแต่ก็มิได้ตรัสกระไรตอบ

 

.

.

.

 

หลังกลับจากตำหนักรับรองของเจ้าน้อยธาราสลิล เจ้าชมนาดเสด็จมาส่งสุณิสาที่ตำหนักก่อนจักเสด็จกลับตำหนักหลวง

“ไปซนที่ไหนมาเจ้า” องค์ภุชงค์ตรัสถาม ยามเสด็จออกมารับเจ้าแสงแรกที่หน้าตำหนัก

“หม่อมฉันหาได้ซนไม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงตรัสแย้ง พลางดำเนินเข้าไปในวงพระกรของพระภัสดา

“จริงหรือ” พระภัสดาตรัสถาม แลโอบกฤษฎีกลม จรดพระนาสิกที่ขมับขาวอย่างรักใครร่

“จริงพระเจ้าค่ะ ไปกับเสด็จแม่ท่านจักซนได้อย่างไร”

“หึหึหึ”

“ฝ่าบาทกลับมานานแล้วหรือพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัสถามพระภัสดา พลางดึงซับพระพักตร์ออกจากชายพกมาซับหยาดเสโทบนพักตร์งามขององค์ภุชงค์

“นานจนรู้ว่าเมียหนีไปเล่นซนนอกตำหนักนั่นแล” องค์ภุชงค์ตรัสเย้าแหย่

“หม่อมฉันไปเยี่ยมเจ้าน้อยธาราสลิลกับเสด็จแม่ท่าน หาได้ไปเล่นซนไม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกพักตร์งอ หยิกพระกรของพระภัสดาจนท่านต้องสูดโอษฐ์

“ซี๊ด...ยอมแล้วเจ้า ยอมแล้ว” องค์ภุชงค์ตรัสสุรเสียงออดอ้อน เจ้าแสงจึงได้ยอมปล่อยมือ พระหัตถ์ใหญ่ละออกจากกฤษฎีกลม แลยกลูบรอยแดงจากน้ำมือเมียไปมา

“...” เจ้าแสงแรกทอดพระเนตรรอยแดงบนพระกรขาวของพระภัสดา แลก็รู้สึกผิด ตั้งแต่มีครรภ์อารมณ์ก็มิสงบดังเดิม หงุดหงิดงุ่นง่านให้รำคาญตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

“ชู่ว ไห้ทำไมเล่า...คนดี” องค์ภุชงค์รั้งเมียเข้ามากอดแนบพระอุระ ก่อนจักประคองร่างนุ่มนิ่มให้เข้าไปในตำหนัก

“ฮึก ม หม่อมฉันทำพระองค์เจ็บ” เจ้าแสงแรกน้ำตาคลอ

“พี่มิเจ็บเลยเจ้า มิต้องคิดมากหนา” องค์ภุชงค์ปลอบเมียสุรเสียงอ่อน

“อึก จริงหนาพระเจ้าค่ะ”

“จริงเจ้า...มิไห้หนาคนดี ประเดี๋ยวลูกก็งอแงตามดอก”

“พ พระเจ้าค่ะ”

“เก่งมาก” ตรัสชม แลแตะพระนาสิกหอมขมับเมียฟอดใหญ่

 

.

.

.

 

สองเดือนผ่านไป

ครรภ์ของเจ้าแสงแรกมีอายุหกเดือนกว่าแล้ว ขนาดของครรภ์ขยายใหญ่เสียยิ่งกว่าเจ้าชมนาดตอนตั้งครรภ์ลูกแฝดเสียอีก ดังนั้น ทั้งพระภัสดา พระสัสสุ แลบ่าวคนสนิททั้งสองต่างก็ประคบประหงมเจ้าแสงแรกราวกับไข่ในหิน เจ้าแสงจำได้แม่นว่าองค์ภุชงค์ท่านดีพระทัยมากเพียงใด

 

.

.

.

 

“เป็นกระไรไปหรือพระเจ้าค่ะ พระชายา” ชงโคเอ่ยถามคนเป็นนาย เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ

“มิรู้สิชงโค ข้าเพิ่งจักกินข้าวไป หากแต่ในท้องมันรู้สึกหวิวๆ ราวกับมีลมอยู่ในท้อง หรือไม่ก็ราวกับท้องร้อง บอกมิถูกเช่นกัน” เจ้าแสงตรัสกับคนสนิท ในพระทัยนึกห่วงลูกในครรภ์ขึ้นมาทันที

“ตามหมอหลวงดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ” ยี่สุ่นกราบทูล

“เจ้าเป็นกระไรหรือเจ้าแสง ไยจึงต้องตามหมอหลวง” องค์ภุชงค์ที่เพิ่งกลับจากว่าราชการ มาทันได้ยินที่บ่าวคนสนิทของเมียกราบทูลพอดี

“พระชายารู้สึกมิสบายท้องพระเจ้าค่ะ ยี่สุ่นจึงจักไปตามหมอหลวง”

“เช่นนั้นก็รีบไปเถิด”

“พระเจ้าค่ะ”

 

รอมินานหมอหลวงสองท่านก็เร่งรีบเข้ามาที่ตำหนักในขององค์รัชทายาท แลพระชายา หมอหลวงท่านจับๆ คลำๆ ชีพจรของเจ้าแสงแรก

“พระวรกาย แลครรภ์ของพระชายามิได้มีกระไรผิดปกติหนาพ่ะย่ะค่ะ”

“แลที่ข้ารู้สึกแปลกๆ ในครรภ์เล่า มันเป็นเพราะกระไรหรือท่านหมอ” เจ้าแสงแรกตรัสถาม

“ทูลพระชายา เพลานี้พระองค์ก็ทรงครรภ์ได้สี่เดือน จวนจักห้าเดือนแล้ว อาการที่พระองค์รู้สึกแปลกๆ ในครรภ์นั้น เป็นเพราะองค์รัชทายาทในครรภ์กำลังดิ้นพ่ะย่ะค่ะ”

“ม หมายความว่าที่เจ้าแสงรู้สึกแปลกๆ ในครรภ์นั่นเป็นเพราะลูกของข้าดิ้นแล้วงั้นหรือ” องค์ภุชงค์ตรัสถาม สุรเสียงสั่นเล็กน้อย

“พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าแสง...นี่พ่อเองหนาลูก” องค์ภุชงค์คว้าเมียเข้ากอด พระหัตถ์อุ่นลูบคลำบนครรภ์เมียทักทายลูกน้อยแผ่วเบาทะนุถนอม พระพักตร์งามโน้มลงกระซิบกับครรภ์โตๆ

 

.

.

.

 

ปึก


ปึก


ปึก

 

“อ โอย” แรงถีบจากเจ้าตัวน้อยในครรภ์ทำเอาเจ้าแสงแรกพักตร์เหยเก องค์ภุชงค์ที่เอาพระพักตร์แนบครรภ์โตของเมียรีบผละออก

“อย่าถีบแม่เจ้าแรงนักสิลูก” คนเป็นพ่อตรัสสุรเสียงอ่อน พลางลูบครรภ์ใหญ่ไปมาปลอบเจ้าตัวน้อย

“ดิ้นเก่งเยี่ยงนี้คงจักซนน่าดูเลยหนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัส แลแย้มสรวลอย่างยินดีที่ลูกในครรภ์มีพลานามัยแข็งแรง

“เสด็จแม่ท่านว่าท้องใหญ่เช่นนี้คงมิพ้นแฝดเป็นแน่” องค์ภุชงค์ตรัสอย่างยินดี คราแรกที่ลูกดิ้น

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกก็ยินดีเช่นพระภัสดา หากลูกน้อยจักมาทีเดียวถึงสองคน

“เจ้ารพิ เจ้ารวิ อย่าดิ้นแรงนักหนาลูก แม่เจ้าจักเจ็บเอาได้” องค์ภุชงค์ตรัส แลพรมจูบทั่วครรภ์ใหญ่

“ลูกดิ้นแรง นั่นก็แปลว่าลูกแข็งแรง หากเป็นเช่นนั้นก็มิเป็นกระไรดอกพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันยินดี” เจ้าแสงแรกตรัส

“พี่มิชอบใจที่เห็นเจ้าเจ็บปวด...ถึงจักเป็นลูกก็เถิด พี่มิยอมให้มาทำเมียพี่เจ็บดอกหนา” องค์ภุชงค์ตรัส

“...พระโอษฐ์หวานเหลือเกินหนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงเอียงอาย ปรางนวลแดงระเรื่อ ยามถูกพระภัสดาเกี้ยวด้วยถ้อยคำหวาน

“ชิมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยังมิรู้อีกหรือว่าหวานหรือไม่หวาน” องค์ภุชงค์ตรัสถาม ก่อนจักบรรจงจูบลงบนกลีบปากนุ่มย้ำจนเจ้าแสงสรวลร่า

“ฮื้อ ฝ่าบาท พอแล้วพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงตรัส แลดันพระพักตร์งามของพระภัสดาออกห่าง

 

ก๊อก ๆ ๆ

 

“ทูลฝ่าบาท พระชายาชมนาดให้มาตามองค์รัชทายาท แลพระชายาแสงแรกให้ไปรับสำรับที่ตำหนักหลวงเพคะ”

“อืม ประเดี๋ยวข้าจักตามไป” องค์ภุชงค์ตรัสบอกข้าหลวงสาวที่กราบทูลอีกฝากของบานพระทวาร

“เพคะ”

“ประเดี๋ยวพี่ตามยี่สุ่น ชงโคมาแต่งกายให้หนาน้อง”

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงพยักพักตร์ แลขยับกายเล็กน้อยให้คลายเมื่อยขบ หัตถ์บางลูบครรภ์กลมโตของตนไปมาด้วยความเคยชิน ส่วนดวงเนตรงามมองตามพระขนองกว้างของผัว องค์ภุชงค์ท่านดำเนินไปเปิดบานพระทวารเรียกหาคนสนิทของเมีย

“เจ้ารัก เจ้ายม” เจ้าแสงแรกขนงกระตุก เมื่อได้ยินพระภัสดาท่านเรียกขานคนสนิททั้งสอง

“พระเจ้าค่าาาา”

“พระเจ้าค่าาาา” ยี่สุ่น แลชงโคขานรับคนเป็นนายเสียงยานคาง จนเจ้าแสงแรกที่ได้ยินหลุดสรวลออกมา

“ไปแต่งองค์ให้เจ้าแสงที ข้าจักพาเมียไปรับสำรับที่ตำหนักหลวง”

“พระเจ้าค่าาาา”

“พระเจ้าค่าาาา”

“นุ่งผ้าแถบสีกระไรดีพระเจ้าค่ะ” ยี่สุ่นถามคนเป็นนาย

“ไปเขาเฝ้าเจ้าหลวง แลพระชายาท่านเอาสีที่มิฉูดฉาดก็แล้วกัน” เจ้าแสงแรกตรัส

“เช่นนั้นนุ่งผ้าแถบสีกลีบบัว แลผ้าโจงสีมอครามดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ” ชงโคว่าพลางรื้อผ้าในหีบออกมาให้คนเป็นนายเลือก

“อืม เอาผ้าแถบสีกลีบบัว แลผ้าโจงสีเม็ดมะปรางดีกว่าเจ้า” เจ้าแสงตรัส

“พระเจ้าค่ะ”

 

ยี่สุ่น แลชงโคช่วยกันนุ่งผ้าโจงให้คนเป็นนาย เนื่องจากครรภ์ที่มีขนาดใหญ่โตของเจ้าแสงแรก ทำให้ต้องนุ่งผ้าโจงไว้เหนือครรภ์ สองหัตถ์ช้อนประคองครรภ์ตนอย่างทนุถนอม

“ประเดี๋ยวชงโคไปเอาผ้าคลุมพระอังสะมาให้หนาพระเจ้าค่ะ”

“จ้ะ” เมื่อคนเป็นนายพยักพักตร์ให้ ชงโคก็คลานไปเปิดหีบผ้าหยิบผ้าคลุมระอังสะเนื้อนิ่มสีเดียวกับผ้าแถบที่เจ้าแสงแรกนุ่งออกมา

“มา พี่คลุมให้หนาเจ้า” องค์ภุชงค์ที่ประทับรอเมียแต่งองค์ ดำเนินมารับผ้าคลุมจากมือของชงโค ก่อนจักคลี่ห่มลงบนไล่ของเมีย

“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”

“หากแล้วแล้ว ก็ไปกันเถิดเจ้า ประเดี๋ยวเสด็จพ่อ แลเสด็จแม่ท่านจักรอนาน”

“พระเจ้าค่ะ”

 

.

.

.

 

สองผัวเมียประคับประคองกันเข้ามาในท้องพระโรง เจ้าแสงแรกทำได้เพียงพนมหัตถ์ไหว้บิดา แลมารดาของสามี มิสามารถหมอบกราบได้เพราะติดครรภ์

“เป็นเยี่ยงไรบ้างลูก” พระชายาชมนาดตรัสถามสุณิสาของพระองค์ ดูจากครรภ์ที่ใหญ่เกินหน้าเกินตาคนท้องแรกเช่นนี้ มิแคล้วคงจักได้หลานแฝดเป็นแน่

“หม่อมฉันสบายดีพระเจ้าค่ะเสด็จแม่ เจ้าตัวน้อยในครรภ์นอกเสียจากดิ้นเก่งกันแล้ว ก็มิได้งอแงอันใดเลยพระเจ้าค่ะ”

“หึหึหึ ดีแล้วเจ้า ดิ้นเก่ง แสดงว่าแข็งแรง” องค์ภุมรินตรัส แลสรวลอย่างยินดี อีกมินานก็จักได้อุ้มหลานแล้ว แลมาก็มาที่เดียวถึงสองคน

“พระเจ้าค่ะ”

“เอาล่ะ รับสำรับกันก่อนเถิด ประเดี๋ยวเจ้าตัวน้อยจักหิวเอา” เมื่อเจ้าชมนาดตรัสเช่นนั้น ข้าหลวงจึงได้ยกสำรับขึ้นถวายเจ้านายทั้งสี่พระองค์

“เสวยได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ ฝาบาท” เจ้าแสงแรกเอียงพักตร์กระซิบถามพระภัสดา

“ได้เจ้า ลูกเลิกรังแกพี่แล้ว เพลานี้พี่กินได้ทุกอย่างแล” เมื่อเข้าสู่เดือนที่ห้า ที่หกอาการแพ้ท้องแทนเมียขององค์ภุชงค์ก็หายไป

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกแย้มสรวลบางๆ ให้พระภัสดา แลลงมือเสวยสำรับของตนเอง

 

.

.

.

 

วันรุ่งขึ้นเจ้าแสงแรกประทับอยู่ในตำหนักมิได้ออกไปไหน จึงชวนบ่าวคนสนิททั้งสองแกะสลักผักเคียง แลผลหมากรากไม้ถวายพ่อ แลแม่ของพระภัสดา

“เหตุใดป่านนี้แล้ว องค์ภุชงค์ท่านยังมิกลับตำหนักอีกหนา วันนี้มีฎีกามากหรืออย่างไร” เจ้าแสงแรกตรัสขึ้นบ่าวทั้งสองจึงได้วางมีดแกะสลักลง

“ทูลพระชายา หม่อมฉันได้ยินว่าเจ้าหลวง แลองค์รัชทายาทท่านทรงว่าราชการแล้วตั้งนานแล้วหนาเพคะ” ข้าหลวงสาวที่คอยรับใช้เจ้าแสงกราบทูลขึ้น

“จริงหรือ”

“เพคะ เมื่อครู่ที่หม่อมฉันไปเอาผลหมากที่ห้องเครื่อง เห็นข้าหลวงตำหนักหลวงกำลังเตรียมพระกายาหารว่าง แสดงว่าฝ่าบาทท่านกลับตำหนักหลวงแล้วเพคะ”

“แลเพลานี้องค์รัชทายาทท่านอยู่ที่ใด...เจ้าทอง” เจ้าแสงแรกตรัสด้วยความสงสัย ก่อนจักตรัสเรียกข้าหลวงที่พระชายาชมนาดท่านประทานให้เป็น ‘ม้าเร็ว’ ของเจ้าแสงแรก

“พระเจ้าค่ะ”

“ไปดูทีเถิดว่าเพลานี้องค์รัชทายาทท่านอยู่ทีใด ไยจึงยังมิกลับตำหนัก” เจ้าแสงแรกรับสั่ง แลวางมีดแกะสลักลง หมดอารมณ์จักทำต่อเสียแล้ว

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าทองรีบออกจากตำหนักไปทำตามรับสั่งที่มันได้รับ ตำแหน่งม้าเร็วนั้น มีหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้แก่คนเป็นนาย หากคนเป็นนายใคร่รู้กระไรมันก็ต้องไปสืบเสาะหามาทูลนายให้จงได้

 

เจ้าแสงแรกรอม้าเร็วของพระองค์อยู่ที่ตำหนักมินานนัก เจ้าทองก็รีบกลับเข้ามากราบทูลความแก่คนเป็นนาย

“ทูลพระชายา องค์รัชทายาทท่านว่าราชการแล้วแล้วพระเจ้าค่ะ หากแต่เพลานี้มีบุตรีของรองเจ้ากรมนา๑ สหายเก่าขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ”

“แลเพลานี้ ฝ่าบาทท่านอยู่ที่ใด”

“เพลานี้องค์รัชทายาท แลคุณหนูกิ่งอยู่ที่ลานหน้าตำหนักทรงงานพระเจ้าค่ะ”

“ขอบน้ำใจเจ้ามากหนาเจ้าทอง”

“มิได้พระเจ้าค่ะ”

“ยี่สุ่น ชงโค”

“พระเจ้าค่ะ”

“พระเจ้าค่ะ”

“เตรียมตัว...ข้าจักพาลูกในท้องออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” เจ้าแสงแรกตรัส แลลุกขึ้นจากตั่ง

“พระเจ้าค่ะ”

“พระเจ้าค่ะ”

 

.

.

.

 

ณ ศาลาหน้าตำหนักทรงงาน

บุตรีของรองเจ้ากรมนาขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทเยี่ยงนี้ หากให้เข้าเฝ้าในตำหนักมิดชิด เกรงว่าจักมีข่าวลือเพี้ยนออกไปให้ได้ปวดเศียร องค์รัชทายาทจึงมีรับสั่งให้แม่กิ่งเข้าเฝ้าที่ศาลาหน้าตำหนักทรงงาน ในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ คงมีหูมีตามากมายเห็นว่าองค์รัชทายาท แลบุตรีเฃรองเจ้ากรมนานั้นมีระยะห่างกันมากเพียงใด แม้ใจของแม่กิ่งจักใคร่อยากเข้าเฝ้าพระองค์ใกล้ๆ ก็ตาม

“ฝ่าบาททรงเกษมสำราญดีใช่หรือไม่เพคะ” แม่กิ่งบุตรีรองเจ้ากรมนา ทูลถามองค์รัชทายาท เดิมทีนางอยู่ที่เมืองหลวงภุมริกา เป็นสหายร่วมเล่นกับเจ้าน้อยบัวงาม หากแต่ก็พยายามเข้าหาองค์รัชทายาท จนได้เป็นสหายกลายๆ ขององค์ภุชงค์ท่าน

“ดี ดีมาก”

“หม่อมฉันย้ายไปอยู่ชานเมืองเสียเป็นปีกว่าเกือบสองปี ครานี้ได้กลับมาเยี่ยมเยือนเมืองหลวงจึงรีบท่านพ่อเข้าวังมาเข้าเฝ้าพระองค์เพคะ เสียดายนักที่เจ้าน้อยบัวงามท่านอภิเษกเป็นชายาของเจ้าหลวงศศิมณฑลไปเสียแล้ว” แม่กิ่งว่าน้ำเสียงเจือความเศร้าเสียดาย หากเจ้าบัวงามมาได้ยินเข้าคงจักเบะโอษฐ์ แลกรอกดวงเนตรจนตากลับไปหลังท้ายทอยเสียกระมัง

 

แม้จักกล่าวว่าแม่กิ่งเป็นสหายของเจ้าน้อยบัวงาม หากแต่เมื่อไปถามเอาความกับเจ้าบัว เจ้าตัวคงได้แหวกลับมาเป็นแน่ว่า

“ข้าหนาหรือ เป็นสหายสนิทของนาง มิรู้ตัวมาก่อนเลยหนานี่”

ในแวดวงสหายร่วมเล่นของเจ้าน้อยบัวงาม คงมิใครมิรู้ว่าแม่กิ่งนั้นใช้เจ้าน้อยท่านเป็นสะพานทอดให้ตนข้ามไปหาองค์รัชทายาทต่างหาก ด้วยเหตุนี้เจ้าบัวงามจึงมิใคร่จักชอบบุตรีของรองเจ้ากรมนาผู้นี้นัก แลเมื่อเจ้าบัวงามทำกิริยาชังใส่แม่กิ่ง เจ้าตัวก็มักจักก้มหน้าน้ำตาคลอ ทำตัวน่ารักสงสารราวเจ้าบัวงามเป็นเด็กผีเกเรรังแกนาง ออดอ้อนให้องค์ภุชงค์ท่านปลอบใจอยู่เรื่อย

“หึหึหึ เจ้าบัวงามเพลานี้มีลูกให้เสด็จพ่อ แลเสด็จแม่ท่านอุ้มแล้วล่ะ หลานข้าน่าเอ็นดูนัก” องค์ภุชงค์ตรัส แลแย้มสรวลเมื่อนึกถึงเจ้าตัวน้อยหลานรัก

“คิกๆ เจ้าน้อยบัวงามท่านมีทายาทให้เจ้าหลวง แลพระชายาท่านแล้ว แลพระองค์เล่าเพคะเมื่อใดจักมีบ้าง” แม่กิ่งเอ่ยเย้า แลก้มหน้าเอียงอาย ซ่อนแก้มแดงระเรื่อของตน

มีแล้วเจ้า อีกมินานก็คลอดแล้ว เป็นแฝดเสียด้วยหนา หึหึหึ” องค์ภุชงค์ตรัสอย่างโอ้อวด

“พ เพคะ” แม่กิ่งหน้าซีด หากแต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ อาจจะได้ยินผิดเพี้ยนก็เป็นได้

“ข้าบอกว่าข้ามีลูกแล้ว ลูกแฝด อีกมินานเจ้าแสงแรกก็จักคลอดแล้ว”

“จ เจ้าแสงแรก ใครหรือ พ เพคะ” แม่กิ่งทูลถาม มือบางสั่นระริกขยุ้มผ้าซิ่นผืนงามของตนแน่น

“เจ้าแสงแรก เป็นชายาของข้า”

“ช ชายา พ พระองค์...”

“เจ้ามิได้อยู่เมืองหลวงเสียเป็นปี สองปีคงจักมิได้ยินข่าวคราว”

 

แม้จักย้ายไปอยู่ชานเมือง หากแต่ข่าวคราวเรื่องเจ้าน้อย แลองค์รัชทายาทท่านก็เข้าหูมาบ้าง หากแต่ตอนนั้นนางมิได้คิดจักสนใจ คิดเพียงว่าคงเป็นข่าวเก่าตอนเจ้าน้อยบัวงามอภิเษกกระมัง ข่าวจากเมืองหลวงส่งกันปากต่อปากกว่าจักถึงชานเมืองเนื้อความก็เหลืออยู่น้อยนิด มีแต่น้ำนางจึงมิคิดใส่ใจ

“...”

“แลนี่จักย้ายกลับมาอยู่เมืองหลวงเลย หรือ เพียงกลับมาเยี่ยมเยียนบิดาเจ้ากันเล่า”

“หม่อมฉันกลับมาเยี่ยมเยียนท่านพ่อเพคะ หากแต่จักกลับมาอยู่เมืองหลวงถาวรหรือไม่คงจักต้องรอก่อน” ...รอข้าจับท่านได้ก่อน เพลานั้นข้าจักย้ายกลับมาอยู่ที่วังหลวงแห่งนี้ถาวรเสียเลย

“อืมๆ”

“ทูลฝ่าบาท พระชายาแสงแรกกำลังเสด็จมาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์คนสนิทขององค์รัชทายาทเข้ามากราบทูลคนเป็นนาย รอมินานขบวนเสด็จของพระชายาแสงแรกก็มาหยุดที่ศาลาหน้าตำหนักทรงงาน

“เจ้าแสงแรก กำลังท้องกำลังไส้ไยจึงเดินมาไกลถึงเพียงนี้” องค์ภุชงค์ลุกจากตั่งเข้าประคองร่างอวบของเมีย

“หม่อมฉันพาลูกเดินเล่นเพลินไปหน่อยพระเจ้าค่ะ รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่ตำหนักหลวงแห่งนี้แล้ว” เจ้าแสงกราบทูลพระภัสดา เดินมาเพลินหรือ มิมีทาง เมื่อได้รับสาน์สจากเจ้าทอง เจ้าแสงแรกก็จ้ำมาที่ตำหนักทรงงานด้วยความเร็ว เท่าที่ครรภ์โตๆ นี่จักเอื้ออำนวย

“ค่อยๆ นั่งหนาเจ้า” องค์ภุชงค์ประคองเมียรักให้นั่งลงบนตั่ง

“พระเจ้าค่ะ ตายจริง ฝ่าบาทกำลังมีแขกหรือพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันเสียมารยาทนัก” เจ้าแสงแรกแสร้งทำราวกับว่าเพิ่งจักเห็นแม่กิ่ง

“ว่ากระไรเยี่ยงนั้น นี่ แม่กิ่งสหายเก่าของเจ้าบัวงามเพิ่งจักกลับมาจากชานเมืองจึงมาเยี่ยมเยียน”

“...” เจ้าแสงแรกจ้องตาแม่กิ่งนิ่ง ก่อนจักค่อยๆ แย้มโอษฐ์ให้อ่อนหวาน

“ถวายพระพรเพคะ พระชายา” แม่กิ่งก้มกราบเจ้าแสงแรกพอเป็นพิธี

“จ้ะ” เห็นทีกระไรๆ ที่เสด็จแม่ชมนาดท่านสอนสั่งมา คงจักได้ขุดออกมาใช้เร็วๆ นี้แน่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Cappello

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
มีแต่คนมาเสนอตัวให้น้า องค์ภุชงค์
ร้ายนัก เจ้าแสงอย่าไปยอมลู๊กก
 o13 o13

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
องค์ภุชงค์เสน่ห์แรงนะเนี่ย แต่เจ้าแสงแรกเอาอยู่แน่นอน ท่านแม่ชมนาดฝึกมากับมือ
แยากอ่านคู่องค์พาฬกับเจ้าน้อยสลิลมากก ว่าแล้วว่าต้องซึนนน

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ thanza1970

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สงสัยเจ้าแสงต้องได้ใช้แน่ๆ


 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ในเมื่อมีคนอยากได้สามีเรา เจ้าแสงแรกก็จัดให้ซะหน่อยให้หายอยากไปเลย :laugh:

ออฟไลน์ Thichadad3938

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1

 
ภุชงค์เล่นแสง ๑๙

 

เจ้าแสงแรกเมื่อทรงครรภ์แก่ใกล้มีประสูติกาลก็มิค่อยจักออกจากตำหนักไปไหน โดยทุกวันพระภัสดาท่านจักออกไปทรงงาน แลรีบกลับมาอยู่กับเมีย พระสัสสุ แลระสัสสุระก็เสด็จมาเยี่ยมเยียนสุณิสาบ่อย ๆ

"ทรงงานแล้วแล้วหรือพระเจ้าค่ะ" เจ้าแสงแรกตรัสขึ้นเมื่อพระภัสดาท่านกลับเข้าตำหนักมา

"แล้วแล้วเจ้า เป็นอย่างไรบ้างเจ้ารพิ แลเจ้ารวิดื้อหรือไม่" องค์ภุชงค์ดำเนินเข้าไปโอบร่างอวบของเมีย แลตรัสถามอย่างห่วงใย

"ลูกมิดื้อเลยพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงตรัส พลางย้มสรวล

“ดีแล้ว อีกมินานก็จักได้เจอกันแล้วหนาลูก” คนเป็นพ่อโน้มพักตร์ลงไปตรัสกับครรภ์กลมโตของเมีย

 

สองผัวเมียพูดคุยหยอกเย้าลูกน้อยในครรภ์ได้มิเท่าไหร่ ข้าหลวงหน้าบานพระทวารก็คลานเข่าเข้ามากราบทูลความแก่องค์รัชทายาท แลพระชายาแสงแรก

“ทูลองค์รัชทายาท แม่นางกิ่งขอเข้าเฝ้าเพคะ” สิ้นเสียงนางข้าหลวงสาว เจ้าแสงแรกก็หุบยิ้มลงฉับ ดวงเนตรงามจ้องพระพักตร์ของพระภัสดานิ่งจนองค์ภุชงค์พระเสโทตก

“พระสหายของพระองค์นางนี้ ขยันมาเข้าเฝ้าเสียจริงหนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัสสุรเสียงเย็น

“...”

“จักให้นางเข้าเฝ้าหรือไม่พระเจ้าค่ะ” คนเป็นเมียตรัสถาม แลละสายพระเนตรออกจากพระพักตร์ของพระภัสดา หัตถ์บางหยิบผ้าผืนนุ่มมาเย็บตุ๊กตาให้ลูกในครรภ์ต่อ

“หากเจ้ามิใคร่จักชอบใจ เยี่ยงนั้นพี่จักให้ข้าหลวงไปแจ้งแก่นางว่าพี่มิสะดวกจักให้นางเข้าเฝ้าดีหรือไม่” องค์ภุชงค์ตรัสเอาใจเมีย

“แล้วแต่พระองค์เถิดพระเจ้าค่ะ”

“...ไปแจ้งแก่แม่กิ่งว่าข้ามิว่าง” องค์ภุชงค์ตรัสรับสั่งกับข้าหลวง

“เพคะ” ข้าหลวงสาวรับพระบัญชา แลคลานออกห้องบรรทมไปแจ้งแก่บุตรีของรองเจ้ากรมนา

“ไหน เย็บกระไรให้ลูกอยู่หรือ” เมื่อข้าหลวงสาวออกจากห้องบรรทมไปแล้ว องค์ภุชงค์ก็ขยับเข้าโอบกอดร่างนุ่มนิ่มอวบอิ่มของเมีย พระเนตรจดจ้องผ้าเนื้อนิ่มในหัตถ์ของเมีย

“หม่อมฉันกำลังปักผ้าพระเจ้าค่ะ จักเอามายัดนุ่นทำตุ๊กตาผ้าให้ลูก”

“เช่นนั้นก็ต้องทำสองตัวหนาสิ”

“พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันจักทำให้ลูกคนละตัว”

“ทูลองค์รัชทายาท แม่นางกิ่งฝากสาส์นมาทูลพระองค์ว่าวันหน้าจักมาเข้าเฝ้าใหม่เพคะ แลยังฝากแกงรัญจวนมาถวายด้วยเพคะ”

“...” เจ้าแสงแรกที่ได้ฟังก็พระพักตร์นิ่ง

“เจ้าแสง” องค์ภุชงค์ครางเรียกเมียสุรเสียงอ่อน

“มิมีกระไรพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงส่ายพักตรต์ปฏิเสธ แลปักผ้าในหัตถ์ต่อ คนเป็นแม่บรรจงปักลายดอกไม้เล็ก ๆ ลงบนผ้าเนื้อนิ่ม เมื่อปักแล้วแล้วค่อยเอานุ่นยัด

“...” องค์ภุชงค์มิกล้าตรัสกระไรกลัวเมียจักเคืองใจเอาได้ จึงทำได้เพียงประทับคลอเคลียอยู่ข้าง ๆ มิห่าง พระนาสิกแตะดอมดมที่ลาดอังสะขาว

“...พวกเจ้าออกไปกันก่อนเถิด” เจ้าแสงแรกตรัสกับข้าหลวงรับใช้ เมื่อพระภัสดาท่านเริ่มจักรุ่มร่ามเข้าไปทุกทีแล้ว

“พระเจ้าค่ะ”

“เพคะ”

 

ข้าหลวงรับใช้ทยอยกันออกจากห้องบรรทมของคนเป็นนาย เจ้าแสงแรกวางเข็ม แลผ้าลงบนพาน ก่อนจักหันมาดันพระพักตร์ของพระภัสดาออก

“...กังวลกระไรหรือเจ้า” องค์ภุชงค์ทอดพระเนตรเมียด้วยความฉงน ก่อนจักประคองหัตถ์บางขึ้นจูบแผ่วเบา

“...”

“กังวลเรื่องแม่กิ่งหรือ”

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกพยักพักตร์ยอมรับง่ายดาย

“โธ่ เจ้าแสงแรก จักกังวลไปไยเจ้า”

“เป็นเมีย มีแม่หญิงไปมาหาสู่ผัวจักมิให้กังวลเลยหรือพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันเชื่อพระทัยพระองค์ หากแต่แม่กิ่งเล่า ที่นางเทียวไปเทียวมาเข้าเฝ้าพระองค์อยู่ทุกวันนี้ มิใช่นางหวังกระไรดอกหรือพระเจ้าค่ะ” เมื่อได้พูดเจ้าแสงแรกก็ระบายความในพระทัยออกมาจนสิ้น อารมณ์คนท้องร้อนขึ้นจนพระภัสดาท่านต้องรั้งร่างอวบอิ่มเข้ามากอดปลอบ

“ใจเย็น ๆ ก่อนหนาคนดี” องค์ภุชงค์ตรัสปลอบ แลลูบเกศานุ่มลื่นแผ่วเบา

“ฮึก” เพียงแค่ปล่อยสุรเสียงสะอื้น อ้อมกอดของพระภัสดาก็กระชับโอบร่างเมียแน่น

“ชู่ว มิไห้หนาเจ้าแสง”

“หม่อมฉันเป็นลูกสนม รู้ซึ้งเห็นชาติดีว่ามันเจ็บปวดเพียงใด มิใช่เพียงเมีย หากแต่คนเป็นลูกก็ย่อมเจ็บปวดเช่นกัน ฮึก”

“...”

“หม่อมฉันมิอยากเจ็บปวด แลมิอยากให้ลูกเจ็บปวด”

“จักมิมีใครต้องเจ็บปวดทั้งนั้น ทั้งเจ้า แลลูก”

“...ฮึก”

“เจ้าแสง พี่รักเจ้า จักมีเจ้าเป็นเมียคนเดียวเท่านั้น หากพี่ผิดคำสาบานขอให้...”

“อย่าหนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงรีบผละออกจากอ้อมอุระของพระภัสดา แลยกหัตถ์ขึ้นปืดพระโอษฐ์ท่านไว้มิให้ตรัสออกมา

“...”

“อย่าสาบานเลย...หม่อมฉันเชื่อแล้วพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงตรัส

“อย่ากังวลไปลยหนาเจ้า พี่รักเจ้ามากขนาดนี้จักไปมีใจให้ผู้อื่นได้อย่างไรกัน”

 

.

.

.

 

เป็นเพลาหลายวันแล้วที่องค์รัชทายาทท่านมิให้แม่นางกิ่งเข้าเฝ้า บุตรีท่านรองเจ้ากรมนาร้อนใจเป็นยิ่งนัก มือบางกำแน่นจนเล็บคมจิกลงไปบนเนื้อนุ่ม เมื่อนึกได้ว่าจักต้องเป็นพระชายาแสงแรกเป็นแน่ที่มิให้นางเข้าเฝ้าองค์ภุชงค์ท่าน

“มิได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล มิได้ด้วยกลก็ต้องเอาด้วยมนต์ดำนี่แหละวะ” นางเชิดหน้าขึ้น แลยิ้มเหี้ยม

 

ตกกลางดึกเงียบสงัด บิดา มารดา แลบรรดาเมียของบิดาต่างเข้าหอนอนกันหมดแล้ว ภายในเรือนใหญ่มืดสลัวมีเพียงแสงจากคบเพลิงเท่านั้น แม่กิ่ง แลบ่าวคนสนิทลอบลงจากเรือน หญิงสาวยกผ้าคลุมไหล่ขึ้นปิดศีรษะ แลพันหน้าพันตามิให้ใครจำได้ สองนายบ่าวเดินลัดไปทางท่าน้ำท้ายเรือน บ่าวคนสนิทของแม่กิ่งก้าวเท้าลงเรือที่เตรียมไว้ มันส่งมือให้คนเป็นนายจับ เมื่อแม่กิ่งก้าวขึ้นบนเรือ แลนั่งลงเรียบร้อยแล้วมันจึงได้แกะเชือกที่ผูกเรือไว้กับเสาท่าน้ำออก สองนายบ่าวพายเรือไปยังฝั่งตรงข้ามท่ามกลางความมืดมิดของคุ้งน้ำ มินานเท่าใดนักเรือพายของสองนายบ่าวก็มาหยุดอยู่ที่ท่าน้ำร้างผู้คน

“ที่นี่แน่รึวะ อีแดง” แม่กิ่งเอ่ยถามบ่าวคนสนิท ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจ

“แน่เจ้าค่ะ” บ่าวคนสนิทยืนยันขันแข็ง

“...” ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็อย่าได้กลัวไป ปลอบใจตนแล้วจึงก้าวเท้าลงจากเรือ โดยมีบ่าวคอยประคอง อีแดงลงจากเรือตามคนเป็นนาย ผูกเชือกมัดเรือไว้กับเสาท่าน้ำแล้วพาคนเป็นนายไปยังกระท่อมที่ซ่อนอยู่ในป่าข้างหน้า

“ถึงแล้วเจ้าค่ะ” อีแดงบอกคนเป็นนาย

 

แม่กิ่งกวาดสายตามองเรือนเล็ก ๆ หลังคามุงใบจากตรงหน้า แลขนหัวลุกขึ้นมา รอบ ๆ ตัวเรือนมืดมิด มีเพียงแสงสลัวจากเทียนในกระท่อมเล็ดลอดออกมาเท่านั้น

“นี่หนาหรือ เรือนพ่อหมอคุณไสยอันเลื่องชือ”

“เจ้าค่ะ เป็นที่นี่แน่ บ่าวถามคนรู้จักมาจนแม่นยำแล้ว” พ่อหมอคุณไสยที่ว่าเก่งกาจเลื่องชือนัก ในหมู่บ่าวไพร่ลือกันจนหนาหูว่าพ่อหมอนั้นเก่งกาจเรื่องเสน่ห์ยาแฝดที่สุดในละแวกนี้แล้ว อีแดงมันฟังคนรู้จักสาธยายความเก่งกาจของพ่อหมอมาว่า

 

‘อีน้อยบ่าวในเรือนเดียวกับข้ามันหมายตาคุณหลวงเจ้าของเรือนไว้ เพียงมาหาพ่อหมอให้ช่วยทำเสน่ห์ยาแผดให้ รุ่งขึ้นมันก็ตกเป็นเมียคุณหลวงท่าน อีกทั้งคุณหลวงยังลุ่มหลงมันจนลืมลูกลืมเมียในเรือนใหญ่ไปเสียสิ้น หากแต่ก็ต้องจ่ายค่าครูกันหนักเสียหน่อยหนา”

 

“เยี่ยงนั้นก็เข้าไปกันเถิด ข้าเสียเวลามามากพอแล้ว” เมื่อนึกถึงพระพักตร์ของพระชายาแสงแรกยามร่ำไห้ที่องค์ภุชงค์ลุ่มหลงตน แม่กิ่งก็มิกลัวกระไรอีก เท้าขาวก้าวฉับ ๆ ไปยังเรือนตรงหน้าจนอีแดงต้องรีบสาวเท้าตาม

“ผู้ใดมา” เสียงแหบแห้งของชายแก่ดังขึ้น ทำเอาสองนายบ่าวขยับเข้าหากันด้วยความกลัว

“...พ่อหมอคงใช่หรือไม่” แม่กิ่งตะโกนถามเสียงสั่น

“เอ็งเป็นใคร มีเรื่องอันใดกับข้า”

“ข้าจักมาขอความช่วยเหลือจากพ่อหมอสักหน่อย”

“หึหึหึ...จักให้ข้าทำเสน่ห์ยาแฝดให้เอ็งหรือ”

“พ่อหมอรู้ได้อย่างไร”

“กลิ่นราคะจากตัวเอ็งมันคลุ้งเสียจนคาวไปหมดแล้ว ฮะ ๆ ๆ ๆ” เสียงหัวเราะแหบแห้งยิ่งทำให้แม่กิ่งหนาวสั่นด้วยความกลัว

“ล แลจักทำให้ข้าหรือไม่ หากมิทำข้าจักได้ไปหาพ่อหมอคนอื่น” ทำเป็นปากเก่ง อย่างไรเสียนางก็อยากให้พ่อหมอผู้เก่งกาจเลื่องชือผู้นี้เป็นคนทำเสน่ห์ให้นาง มิใช่คนอื่น

“หึ เข้ามา” สิ้นเสียงพ่อหมอสองนายบ่าวก็หันมองหน้ากันก่อนแม่กิ่งจักพยักเพยิดหน้าให้คนเป็นบ่าวนำไป

“เข้ามาคนเดียว อีบ่าวของเอ็งมิต้องให้มันเข้ามา”

“เหตุใดบ่าวของข้าจึงเข้าไปด้วยมิได้”

“พิธีนี้มันต้องทำตามลำพัง หากเอ็งเรื่องมากนักก็กลับไปเสีย ข้าชักจักรำคาญแล้ว” เสียงของพ่อหมอเริ่มจักมิพอใจเสียแล้ว แมม่กิ่งจึงได้จำยอมให้อีแดงรออยู่ด้านนอก แลเข้าไปในก่อท่อมคนเดียว เมื่อก้าวเข้ามาในกระท่อมอันมืดสลัวแล้ว แม่กิ่งก็ยกมือลูบแขนเรียวของตนไปมา กลิ่นอับชื่นทำเอาบุตรีของท่านรองเจ้ากรมนาคลื่นเหียน จู่ ๆ ก็มีลมปริศนาพัดบานประตูจนปิดสนิทแน่นหนา แม่กิ่งตกใจจนตาเหลือกหากแต่เสียงของพ่อหมอที่เรียกให้ไปนั่งตรงหน้าก็ทำให้แม่กิ่งทำใจให้สงบ แลก้าวเข้าไปนั่งลงตรงหน้าพ่อหมอช้า ๆ อีแดงที่อยู่นอกกระท่อมรีบหมอบคุดคู้ด้วยความกลัว ด้านนอกกระท่อมมืดมิดมิมีแม้แต่แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา มันทั้งหนาว ทั้งกลัว

 

.

.

.

 

“เอ็งจักให้ข้าทำเสน่ห์ใส่ผู้ใด” พ่อหมอเอ่ยถามพลางเคี้ยวหมากหยับ ๆ

“...เป็นชายผู้หนึ่ง” แม่กิ่งเอ่ย ก้มหน้ามิยอมสบตาพ่อหมอ

“หึหึหึ ถุย” พ่อหมอบ้วนน้ำหมากลงกระโถนใบเก่า

“ข้ามีเพลาเกิดของเขามาด้วย” แม่กิ่งว่า แลหยิบเศษใบลานแผ่นเล็กที่เหน็บไว้ตรงชายพกยื่นให้พ่อหมอ เพลาประสูติขององค์ภุชงค์นั้นนางจ้างวานใหนางข้าหลวงในวังไปสืบเสาะมาให้

“...” พ่อหมอรับมาดูก่อนจักเบิกตาโพล่ง มือเหี่ยวสั่นระริก ฤกษ์ยามเพลาเกิดของชายที่อีนังคุณหนูให้มามีอำนาจ บารมี ดวงใหญ่ จนพ่อหมอผู้เก่งกาจเลื่องชือมิกล้าแตะต้อง หากทำมนต์ดำคุณไสยใส่เจ้าของฤกษ์เกิดผู้นี้ ของคงจักย้อนกลับมาเข้าตัวพ่อหมอเองเป็นแน่

“ข้าคงทำให้มิได้” พ่อหมอบอกปัด ต่อให้นังคุณหนูนี่ไปหาหมอคุณไสยทั่วทั้งแคว้นก็มิมีใครทำให้ดอก

“เหตุใดจึงมิทำให้ข้า หากพ่อหมอทำให้ข้าจักให้ทุกอย่างที่พ่อหมอต้องการ เงินทองเท่าใดข้ามิเกี่ยง” แม่กิ่งว่าอย่างร้อนใจ

“...” พ่อหมอลอบมองนักคุณหนูตรงหน้าตน ร่างอวบอิ่มขาวนวลของสาววัยแรกแย้มมันน่าลิ้มลองเนื้อหวาน ๆ ให้กระชุ่มกระชวยเสียจริง ไหนจักเงินทองมากมายที่จักได้จากนังคุณหนูโง่นี่อีก

“ว่าอย่างไร ข้ายอมทุกอย่าง”

“...ก็ได้”

“จริงหรือ” แม่กิ่งดีใจจนมิรู้จักพูดอย่างไร วาดภาพฝันว่าองค์ภุชงค์จักลุ่มหลงตนแล้ว ก็มิกลัวกระไรทั้งนั้น ว่าจักต้องเสียกระไรไปบ้าง

“จริง...ถอดผ้าคลุมไหล่ของเอ็งออก” พ่อหมอสั่ง แลคายหมากทิ้งลงในกระโถนคว้าจอกเหล้าขึ้นกระดกล้างปาก

“ไยข้าจึงต้องถอดผ้าออก” แม่กิ่งกำผ้าคลุมไหล่ของตนแน่น

“หากมิทำตามที่ข้าสั่ง ข้าก็มิทำให้เอ็ง” พ่อหมอขู่เสียงแข็ง แม่กิ่งจึงต้องจำยอมปลดผ้าคลุมไหล่ของตนออก พ่อหมอเฒ่าจดจ้องร่างอวบอิ่มตรงหน้าตาเป็นมัน เต้าอวบแทบจักล้นออกจากผ้าแถบ เนื้อนวล ขาวเนียน น่าจับต้อง

“...” แม่กิ่งเบือนหน้าหนีพ่อหมอเฒ่าอย่างรังเกียจ

 

พ่อหมอไสยหยิบท่อนไม้รูปลึงค์ขึ้นมาถือ ปากเหี่ยวดำคล้ำพึมพำท่องมนต์ดำ พลางชโลมน้ำมันว่านดอกทองกลิ่นหอมอวนลงบนลึงค์ไม้ ก่อนจักนำท่อนไม้เคลือบน้ำมันว่านดอกทองถูวนไปตามร่างกายท่อนบนของแม่กิ่ง มือเหี่ยวกระตุกชายผ้าแถบของหญิงสาวออก

“อ๊ะ” แม่กิ่งสะดุ้งตะครุบผ้าแถบของตน นี่มันพิธีกระไรกันไยบุตรีรองเจ้ากรมอย่างนางจักต้องมาเปลืองเนื้อเปลืองตัวเช่นนี้ หากแต่ยังมิทันจักได้ขัดขืน สายลมวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่างอวบอิ่มของแม่กิ่ง ดวงตาคู่งามเลื่อนลอยราวกับวิญญาณมิอยู่กับร่าง อากาศเย็นบาดผิวกายในยามค่ำคืน แปรเปลี่ยนเป็นร้อนวูบวาบ

“ทีนี้ถอดผ้าซิ่นของเอ็งออก” พ่อหมอไสยออกคำสั่ง แลแสยะยิ้มเมื่อหญิงสาวลุกขึ้นแกะผ้าซิ่นของตนออก ผ้าผืนงามร่วงหล่นลงมากองที่ข้อเท้าขาวเปิดเผยร่างขาวนวล อวบอิ่มให้พ่อหมอไสยเชยชม พ่อหมอไสยใช้ลึงค์ไม้ชุ่มน้ำมันถูไปทั่วตัวของแม่กิ่ง พ่อหมอไสยวางลึงค์ไม้ลงบนพาน ก่อนจักใช้ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้ นวดเฟ้นร่างอวบอิ่มของแม่กิ่ง

“อ๊ะ” หญิงสาวร้องคราวเครือ ดวงตาเลื่อนลอยราวกับมิมีวิญญาณ ความร้อนรุ่มจากฝ่ามือของพ่อหมอไสยทำเอาร่างอวบแทบหมดเรี่ยวแรง

“...” พ่อหมอไสยพึมพำบทสวดมิเป็นภาษาก่อนจักเป่าลมแรง ๆ ไล่เนินสาวของแม่กิ่ง

“เฮือก...องค์...ภุ...ชงค์” แม่กิ่งสะดุ้งสุดตัว น้ำเสียงเลื่อนลอยพึมพำพระนามของชายที่หมายปอง

“หึหึหึ” พ่อหมอไสยหัวเราะอย่างพึงพอใจ มนต์ดำบังตาที่ตนร่ายใส่แม่กิ่งนั้น ส่งผลให้แม่กิ่งมองเห็นพ่อหมอไสยเป็นองค์ภุชงค์

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทเพคะ” แม่กิ่งกระโจนขึ้นคร่อมพ่อหมอไสย นางใคร่อยากตกเป็นขององค์ภุชงค์ใจจักขาดแล้ว ร่างสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตะกรุมตะกราม พ่อหมอไสยเหวี่ยงร่างอวบอิ่มลงนอนบนพื้นไม้เย็นเฉียบ แลขึ้นคร่อมจับเรียวขาขาวอ้าออก

“มึงมันใฝ่สูง มิเจียมตน กูก็ช่วยมึงได้เท่านี้แล” พ่อหมอว่าก่อนจักลงมือพรากความบริสุทธิ์ไปจากบุตรีท่านรองเจ้ากรมนา

“อ๊า ฝ่าบาท”

 

.

.

.

 

เพลาเช้ามืดใกล้รุ่งสาง อีแดงสะดุ้งตื่น เมื่อบานประตุกระท่อมพ่อหมอไสยผู้เลื่องชื่อเปิดออก นายของมันเดินเลื่อนลอยออกมา หากแต่ริมฝีปากกลับแต่งแต้มรอยยิ้ม

“คุณกิ่งเจ้าขา เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” อีแดงมันรีบลุกขึ้นคลานเข่าไปถามไถ่คนเป็นนาย

“คิก ๆ ๆ อีแดง กูมีความสุขเหลือเกิน องค์ภุชงค์ท่านเป็นของกูแล้ว คิก ๆ ๆ เมื่อคืนท่านรัก ท่านหลงกูเสียยิ่งกว่ากระไร อีพระชายาแพศยานั่น มินานมันจักต้องถูกเฉดหัวออกจากวังหลวงพร้อมไอ้มารหัวขนในท้องมันนั่นแล คิก ๆ ๆ” แม่กิ่งว่า

“เมื่อคืนหรือเจ้าคะ?” เมื่อคืนอีแดงเผลอหลับไปเมื่อใดก็มิรู้ มารู้ตัวตื่นก็เมื่อครู่นี้เอง แลเมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดกระไรขึ้นบ้างหนา

“ใช่ เมื่อคืน คิก ๆ ๆ” แม่กิ่งหัวเราะราวกับคนสติมิดี

“เอ่อ บ่าวว่าเรากลับเรือนกันก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ประเดี๋ยวฟ้าสว่างแล้วจักมีคนเห็นเอา” อีแดงพูดกับนายมันที่ยืนยิ้มเลื่อนลอย พลางหัวเราะคิกคัก

“คิก ๆ ๆ ฝ่าบาท” อีแดงมิรู้จักทำอย่างไรได้แต่ประคองคนเป็นนายให้ออกเดิน มันจักต้องรีบพาคุณกิ่งเธอกลับเรือนก่อนที่ฟ้าจักสาง

 

.

.

.

 


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Thichadad3938

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1

(ต่อ)

.

.

.





ณ ตำหนักใน ที่ประทับขององค์รัชทายาท แลพระชายาแสงแรก
 

อรุณนี้พระชายาแสงแรกท่านเจ็บท้อง องค์รัชทายาทจึงมีรับสั่งให้หมอหลวงเข้าเฝ้าตรวจดูพระอาการของพระชายาท่าน

“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ ไยเจ้าแสงแรกจึงได้เจ็บท้องขึ้นมาเยี่ยงนี้” องค์ภุชงค์ตรัสถามหมอหลวงอย่างเป็นกังวล

“ทูลองค์รัชทายาท ที่พระชายาท่านเจ็บพระครรภ์ เป็นการเจ็บเตือนพ่ะย่ะค่ะ”

“หมายความว่า...”

“อีกมินานพระชายาท่านจักมีประสูติกาลแล้วพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจักเตรียมตำหนักประสูติกาลให้พร้อมพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงท่านกราบทูล

“ดี ขอบน้ำใจท่านหมอมากหนา”

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงท่านหมอบกราบก่อนจักออกจากห้องบรรทมไป

“ใคร่อยากออกมาเจอหน้ากันแล้วหรือเจ้ารพิ เจ้ารวิ” องค์ภุชงค์ก้มพักตร์ตรัสกับครรภ์ใหญ่โตของเจ้าแสง พระหัตถ์อุ่นลูบปลอบลูกน้อยที่ดิ้นขลุกขลักจนผิวเนื้อบนครรภ์ของเจ้าแสงแรกขึ้นเป็นรูปเท้าน้อย ๆ

“อ โอย” เจ้าแสงแรกกัดกลีบโอษฐ์ตนเมื่อเจ้าตัวน้อยในครรภ์ดิ้นถีบครรภ์มารดาจนรู้สึกจุก

“ชู่ววว เบาหน่อยเถิดเจ้าตัวดี แม่เจ้าเจ็บหมดแล้วหนา” เอ็ดลูก พลางเคาะพระดรรชนีลงบนครรภ์กลมเบา ๆ

“ทูลองค์รัชทายาท แลพระชายาแสงแรก เจ้าหลวง แลพระชายาชมนาดเสด็จพระเจ้าค่ะ” ยี่สุ่นคลานเข่าเข้ามากราบทูลนายทั้งสอง

“ให้ทั้งสองพระองค์ท่านข้ามาเถิด” เจ้าแสงแรกตรัส

“พระเจ้าค่ะ”

“กราบเสด็จพ่อ แลเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัส พลางพนมหัตถ์ไหว้พระสัสสุระ แลพระสัสสุ

“ไหว้พระเถิดลูก เป็นอย่างไรบ้างเจ้าแสง เจ็บท้องหรือลูก” เจ้าชมนาดตรัสถามสุณิสาสุรเสียงอ่อน หัตถ์บางลูบเกศานุ่มปลอบ

“หมอหลวงท่านว่าเจ็บเตือนพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกกราบทูล

“เห็นทีเจ้าตัวน้อยคงจักอยากออกมาแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ภุชงค์ตรัสพลางสรวลเต็มดวงพักตร์

“หึหึหึ อีกมิกี่วันก็จักได้เป็นพ่อ แม่คนแล้วหนา” องค์ภุมรินตรัส มิใช่เพียงองค์ภุชงค์ แลเจ้าแสงแรกดอกที่จักได้เป็นพ่อ แลแม่คน พระองค์ แลเจ้าชมนาดก็จักได้เป็นปู่ แลย่าเช่นกัน

“ทูลองค์รัชทายาท แม่กิ่งบุตรีรองเจ้ากรมนาขอเข้าเฝ้าเพคะ” ข้าหลวงสาวกราบทูลอยู่หน้าบานพระทวาร

“...” เจ้าแสงแรกเหลือบมองพระพักตร์ของพระภัสดา ก่อนจักหันไปตีสีพักตร์น่าสงสารใส่พระสัสสุ

“แม่กิ่งบุตรีท่านรองเจ้ากรมนา ไยจึงต้องมาขอเข้าเฝ้าเจ้าภุชงค์” เจ้าชมนาดตรัสถามโอรสของพระองค์ทันทีที่เห็นสีพักตร์สลดของสุณิสาคนโปรดของพระองค์ คนเป็นแม่ผัวโอบร่างอวบอิ่มเข้ามาตระกองกอด พระหัตถ์บางลูบเกศานุ่มปลอบ

“เสด็จแม่ ลูกมิได้คิดกระไรกับนางหนาพ่ะย่ะค่ะ” องค์ภุชงค์ตรัส เห็นนัยน์ตากวางลุกวาวของมารดาก็ทราบแล้วว่าทรงดำริกระไรอยู่

“เจ้ามิคิด แลนางเล่าคิดหรือไม่”

“...”

“หึ บุตรีขุนนางพวกนี้นี่ก็ช่างกระไร ออกกฎใหม่มิให้บุตรีขุนนางเข้าวังเสียก็ดีกระมัง”

“ใจเย็น ๆ ก่อนหนาเจ้าชมนาด”

“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ พระทัยเย็นก่อนเถิด นี่ลูกก็ปฏิเสธมิให้นางเข้าเฝ้าไปก็หลายคราแล้ว...ไปแจ้งแก่แม่กิ่งทีว่าข้ามิสะดวกจักให้เข้าเฝ้า” องค์ภุชงค์ตรัสแก้ต่างกับมารดา แลผินพักตร์ไปตรัสรับสั่งกับข้าหลวงสาว

“เพคะ”

 

.

.

.

 

“แม่กิ่ง” ข้าหลวงสาวนำความจากองค์รัชทายาทท่านไปแจ้งแก่บุตรีขุนนางที่ยืนหันหลังให้

“ว่าอย่างไร องค์ภุชงค์เล่า” แม่กิ่งรีบผินกายกลับมาทันที ดวงตางามกวาดหาองค์รัชทายาท แต่พรองค์ท่านหาได้เสด็จมาไม่

“องค์ภุชงค์ท่านมีรับสั่งว่ามิสะดวกจักให้เจ้าเข้าเฝ้า เพลานี้พระชายาแสงแรกท่านมีครรภ์แก่จวนจักมีประสูติกาลแล้ว องค์รัชทายาทท่านจึงมิใคร่ห่างจากพระชายาท่าน” ข้าหลวงสาวแจ้ง

“...” แม่กิ่งกำมือแน่น ไยจึงปฏิเสธมิมาพบนางทั้ง ๆ ที่ คืนที่ผ่นมาพระองค์ยังตระกองกอดมอบความรักให้นางอยู่เลย แม่กิ่งผินกายก้าวเท้าออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว จักต้องเป็นเพราะพระชายาแพศยาเป็นแน่ที่มิยอมให้องค์ภุชงค์ท่านมาหานาง

 

บุตรีรองเจ้ากรมนา เดินฟึดฟัดออกจากวังหลวง ไปที่ท่าน้ำ หมายจักนั่งเรือกลับเรือน หากแต่เมื่อก้าวเท้าพ้นบานพระทวารวังหลวงที่มีทหารเฝ้าแน่นหนา ก็มีข้าหลวงสาวตามมาเรียกนาง

“ประเดี๋ยวก่อนแม่”

“มีกระไร” แม่กิ่งเอ่ยถามเสียงห้วน

“องค์รัชทายาทท่านให้แม่ไปพบที่ตำหนัก” เพียงได้สดับสิ่งที่ข้าหลวงสาวกล่าว แม่กิ่งก็เผยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า

“เช่นนั้นเจ้าก็นำไป” แม่กิ่งเดินตามข้าหลวงสาว ทั้ง ๆ ที่ทางที่ไปนั้นหาใช่วังหลวงไม่ แม่กิ่งเดินเท้าอย่างมิรู้จักเหน็ดจักเหนื่อยมาจนถึงกระท่อมของพ่อหมอไสย

“เอ็งไปได้แล้วนังโหงพราย” พ่อหมอเอ่ยกับข้าหลวงสาวที่ล่อหลอกแม่กิ่งมา ข้าหลวงสาว หรือแท้จริงแล้วก็คือผีโหงพรายที่พ่อหมอเลี้ยงไว้

“ฝ่าบาท ถวายพระพรเพคะ” แม่กิ่งหมอบกราบพ่อหมอไสย ดวงตางามเลื่อนลอยโดนมนต์ดำของพ่อหมอไสยเข้าให้อีกแล้ว

“ห่างเอ็งเพียงค่อนวัน ข้าก็คิดถึงเอ็งเสียแล้ว หึหึหึ” พ่อหมอไสยว่าพลางรั้งร่างอวบอิ่มขึ้นมากอด

“หม่อมฉันก็คิดถึงพระองค์เพคะ” แม่กิ่งว่าอย่างเขินอาย

“หึหึหึ” พ่อหมอประคองบุตรีรองเจ้ากรมนาเข้ากระท่อม ระเริงรักกันจนตะวันลับขอบฟ้า

 

แม่กิ่งออกจากกระท่อมพ่อหมอพร้อมรอยยิ้มเลื่อนลอย สองเท้าเดินจากกระท่อมกลางป่าช้ากลับเรือนตนตามที่โดนยาสั่งของหมอไสย

“แม่กิ่งนั่นเจ้าไปที่ใดมา ไยจึงกลับเรือนมามืดค่ำเอาป่านนี้” มารดาเอ่ยถามบุตรี เป็นสาวเป็นนางกลับเรือนค่ำ ๆ มืด ๆ ประเดี๋ยวก็ได้เป็นขี้ปากชาวบ้านชาวช่องกันพอดี

“ลูกไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทท่านที่วังหลวงมาเจ้าค่ะ”

“ไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทที่วังหลวง แลไยจึงกลับมาค่ำมืดเช่นนี้”

“คิก ๆ ๆ” แม่กิ่งมิตอบ หากแต่ส่งเสียงหัวร่อเขินอายออกมา

“...” คนเป็นแม่กวาดสายตามองบุตรีด้วยความเคลือบแคลงใจ แม่กิ่งที่อยู่ตรงหน้านางนั้นราวกับมิใช่บุตรีคนเดิมของนาง

“คิก ๆ ๆ”

“แลเจ้ากลับมาอย่างไร อีแดงมันมิได้ไปด้วยนี่”

“องค์รัชทายาทท่านให้เรือหลวงมาส่งลูกที่ท่าน้ำข้างเรือนเจ้าค่ะ”

“เรือหลวงมาส่งที่ท่าน้ำข้างเรือน?” อีจวงพึมพำอย่างงุนงง เรือหลวงจักมาส่งคุณกิ่งเธอที่ท่าน้ำข้างเรือนได้อย่างไร ในเมื่ออีจวงมันเห็นคุณกิ่งเธอเดินมาจากทางป่าหลังเรือน

“ลูกขอตัวไปพักก่อนหนาเจ้าคะ” แม่กิ่งว่าพลางเดินเข้าหอนอนของตน ทิ้งให้มารดามองตามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

 

.

.

.

 
สามวันถัดมา ณ ตำหนักประสูติกาล

 

พระชายาแสงแรกที่เจ็บครรภ์เตือนอยู่หลายวัน ก็ถึงฤกษ์ให้ประสูติกาลเสียที ช่วงยามสี่พระชายาแสงแรกท่านก็เจ็บท้อง น้ำคร่ำไหลนองจนต้องเปิดตำหนักประสูติกาล ดีที่ตำหนักประสูติกาลถูกตระเตรียมไว้จนพร้อม

“ฮึก โอ๊ย” เจ้าแสงแรกนอนครวญครางสุรเสียงแผ่ว ครรภ์ใหญ่แข็งเสียจนกดแทบมิลง

“พระทัยเย็นหนาเพคะพระชายา สูดพระปัสสาสะลึก ๆ เพคะ” หมอตำแยเฒ่ากราบทูล

“ฮึก ฟู่” เจ้าแสงแรกทำตามที่หมอตำแยบอก

“อดทนไว้หนาเจ้าแสง ประเดี๋ยวก็จักได้เห็นหน้าลูกแล้ว” องค์ภุชงค์ตรัสปลอบเมีย พระวรกายกำยำประทับเป็นหลักให้เมียได้พิง พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือซับพระพักตร์ คอยซับหยาดเหงื่อตามกรอบพักตร์งาม

“ฝ่าบาท อึก ม หม่อฉัน จ เจ็บพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัสสุรเสียงกระท่อนกระแท่น

“ทนหน่อยหนาคนดี” องค์ภุชงค์ตรัสปลอบเมีย พลางพรมจูบที่ขมับชื้นเสโท

“เอาล่ะ หากหม่อมฉันทูลว่าให้เบ่ง พระองค์ก็เบ่งเลยหนาเพคะ” หมอตำแยเฒ่ากราบทูล

“ฮึก...จ้ะ” เจ้าแสงแรกพยักพักตร์

“เอ้า เบ่งเพคะ”

“อื้อ” เจ้าแสงแรกออกแรงเบ่ง หัตถ์บางดึงผ้าที่ห้อยลงจากขื่อ

“อีกเพคะ”

“ฮึก แฮ่ก ๆ อื้อออ” เจ้าแสงแรกทิ้งตัวพิงพระภัสดาก่อนจักสูดพระปัสสาสะ แลออกแรงเบ่งอีกครา

“อีกครั้งเพคะพระชายา”

“ฮึก ฮือ แฮ่กๆๆ อื้อออ”

“คนดีทนหน่อยหนา อีกครั้งหนาคนเก่ง”

“อ อึก อื้อ อ๊า อื้อ” เจ้าแสงแรกเบ่งสุดแรงจนพักตร์งามแดงก่ำ

 

.

.

.

 

“ฮึก อื้อออ”

“เจ้าแสง” องค์ภุชงค์ตรัสเรียกอย่างเป็นกังวลเมื่อคนเป็นเมียเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว เพลานี้ฟ้าเริ่มสางแล้ว หากแต่เจ้าแสงแรกก็ยังมิได้ให้ประสูติกาลแต่อย่างใด

“ฮึก แฮ่ก ๆ ๆ”

“เบ่งเพคะ”

“ฮื้ออออ อื้ออออออ”

“ออกแล้ว หม่อมฉันเห็นพระเศียรองค์รัชทายาทแล้วเพคะ เบ่งสุดแรงอีกครั้งเพคะ”

“อึก อื้อ อ๊า อึก อื้อ” เจ้าแสงแรกสูดพระปัสสาสะ แลเบ่งสุดแรง เจ้าตัวน้อยตัวเล็กราวกับลูกวิฬาร นิ่งเงียบไร้เสียงร้องไห้จ้าจนพ่อ แลแม่พระทัยเสีย หมอตำแยเฒ่ารีบตัดสายพระนาภี แลใช้ผ้าเช็ดตามเนื้อตัวแดงก่ำ หากแต่พระโอรสน้อยก็ไร้ซึ่งการตอบสนอง

 

เพี๊ยะ

 

เพี๊ยะ

 

หมอตำแยเฒ่าหน้าเสีย มือเหี่ยวข้างหนึ่งประคองอุระเล็กของโอรสน้อยให้คว่ำ ส่วนอีกข้างออกแรงฟาดลงบนก้นเหี่ยว ๆ ของโอรสน้อย

 

เพี๊ยะ

 

เพี๊ยะ

 

โอรสน้อยยังคงนิ่งมิไหวติง จนเจ้าแสงแรกปล่อยโฮออกมาทั้ง ๆ ที่ยังเจ็บครรภ์อยู่มิหาย หมอตำแยเฒ่าน้ำตาคลอ วางร่างโอรสน้อยลงบนห่อผ้า แลส่งให้มารดา เจ้าแสงแรกยื่นกรสั่นเทาไปรับลูกมากอดแนบอุระ โดยมีพระภัสดาท่านช่วยประคับประคอง สองผัวเมียอัสสุชลไหลอาบปราง ดวงเนตรทอดมองพักตร์ซีดเซียวของโอรสตนด้วยความโศกเศร้า

 

แหมะ

 

แหมะ

 

“ฮึก อ อุแว้ อุแว้” หยาดอัสสุชลของพ่อ แลแม่ไหลรวมกันจนยากจักแยกว่าของใครเป็นของใครหยดลงบนปรางเหี่ยวของโอรสน้อย ทันใดนั้นราวกับมีปาฏิหาริย์ เจ้าตัวน้อยสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่จนสำลัก หวีดร้องออกมา เสียงแรกของชีวิตใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับแสงตะวันของวันใหม่ คนเป็นพ่อ แลแม่ชะงักก่อนจักปล่อยโฮสะอึกสะอื้นออกมาด้วยความยินดี

“ฮึก แม่ใจหายหมดเลยลูก ฮึก โอ๊ย” เจ้าแสงแรกตรัสเคล้าเสียงสะอื้น ความเจ็บที่ครรภ์เริ่มรุนแรงขึ้นจนหมอตำแยต้องรีบรับโอรสน้อยในห่อผ้าส่งต่อให้ข้าหลวงสาวดูแลต่อ มือเหี่ยวคลำครรภ์ใหญ่ของพระชายา แลร้องบอกอย่างตื่นตระหนก

“ย ยังมีทารกในครรภ์พระชายาเพคะ”

“ฮึก โอย”

“เบ่งเพคะ”

“อื้ออออ แฮ่ก ๆ ฮึก อื้อออออ”

 

.

.

.

 

“ฮึก แฮ่ก ๆ อื้อออ”

“อีกครั้งเพคะพระชายา”

“ฮึก ฮือ แฮ่กๆๆ อื้อออ”

“ทนหน่อยหนาเจ้าแสง”

“อ อึก อื้อ อ๊า อื้อ”

 

ครานี้มิได้ยากลำบากเช่นเจ้าตัวน้อยคนแรก เจ้าตัวน้อยคนที่สองออกมาตัวใหญ่ แลอุดมสมบูรณ์กว่าเจ้าคนน้องที่ออกมาก่อนอยู่ประมาณหนึ่ง อีกทั้งยังแข็งแรง หวีดร้องสุรเสียงดังลั่นตำหนักประสูติกาลให้คนเป็นพ่อ แลแม่พระทัยชื้น หมอตำแยเฒ่าตัดสายพระนาภี จัดการล้างพระวรกายให้พระโอรสน้อย จับวางในห่อผ้า แลส่งให้ข้าหลวงสาวที่รอรับ

“อุแว้ อุแว้” เจ้าตัวน้อยคนพี่ถูกโอบอุ้มไปนอนข้างเจ้าตัวน้อยคนน้องที่สะลึมสะลือ มีข้าหลวงคอยดูมิให้คลาดสายตา

“ฮึก อึก โอย ย ไย ข้ายังเจ็บท้องอยู่เล่าแม่หมอ” เจ้าแสงแรกตรัสถามสุรเสียงกระท่อนกระแท่น

“ทูลพระชายายังมีทารกในพระครรภ์เพคะ” หมอตำแยทูลอย่างตื่นแต้น แฝดสามเชียวหรือ

“ก กระไรหนา” องค์ภุชงค์ตรัสอย่างมิใคร่อยากักเชื่อ

“เอาล่ะ หากหม่อมฉันทูลให้เบ่งก็เบ่งเลยหนาเพคะ”

“ฮึก อือ”

“เอ้า เบ่งเพคะ”

“อ อื้ออออ”

“อีกครั้งเพคะ หม่อมฉันเห็นพระเศียรของโอรสน้อยแล้ว”

“อึก อื้อออออออออ”

“อีกเพคะ”

“อื้อออออออออ”

“อ ออกแล้วเพคะ”

“อื้ออออออออ”

“อุแว้ อุแว้ อุแว้” เจ้าคนที่สองว่าตัวใหญ่แล้ว เจ้าพี่คนโตที่ออกมาลืมตาดูโลกคนสุดท้ายนั้นใหญ่ยิ่งกว่า เสียงเล็กร้องลั่น

“พระโอรสแฝดสามเพคะ” หมอตำแยทูล มือเหี่ยวปาดเหงื่อบนหน้าผากตนเอง

“ไปทูลแก่เจ้าหลวง แลพระชายาชมนาดว่าท่านได้นัดดาแฝดสาม” องค์ภุชงค์ตรัสรับสั่งกับข้าหลวงสาวพร้อมรอยสรวล พระกรแกร่งโอบประคองร่างอ่อนแรงของเมียไว้ในอ้อมอุระ

“เพคะ” ข้าหลวงสาวหมอบกราบรับพระบัญชาก่อนจักคลานเข่าออกไปทูลความแก่เจ้าหลวง แลพระชายาชมนาดที่รออยู่ที่ตำหนักหลวง

“เจ้าแสง” องค์ภุชงค์กระซิบเรียกเมีย เมื่อเจ้าแสงแรกหลับเนตรลง

“หม่อมฉันมิไหวแล้วพระเจ้าค่ะ”

“เจ้าแสง ๆ” องค์ภุชงค์เขย่าร่างเมียเบา ๆ เมื่อเจ้าแสงแรกหมดสติทิ้งตัวลงซบพระภัสดา

 

 

 

 




ออฟไลน์ Cappello

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
เจ้าแสงงงงงง
แฝดสามเลยหรอลู๊กกกกกกก
โอ๊ยย อกอิแม่จะแตกนึกว่าเจ้าคนแรกไม่รอดซะแล้วลูกเอ๊ย
ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกน้าา
 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5


ป๊าดดด....คลอดทีเดียวคุ้มเลย

 :mew1:

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
แฝดสามเลยยยยยยยยย องค์ภุงชงค์ไม่เบานะเพคะะะ
ปลอดภัยทั้งสามคนเลยย
ตัวร้ายจะใส่ความองค์ภุชงค์ว่าได้เสียกันแล้วมั้ยเนี่ย กลัวใจจจ
อยากเห็นตอนเลี้ยงลูกก จะเลี้ยงทันมั้ยเพคะ อิอิ

ออฟไลน์ somberness

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
โอรสน้อยมาแล้วว แฝดสามกันเลยทีเดียวว :mc4: :mc4:
แม่กิ่งทำตัวเองแท้ๆ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
เหนื่อยแทนเจ้าแสงแรกเลย  แฝดสามเลยนะ  มาคราวนี้ได้หลานเพิ่มอีกสามคน  ฉลองตรุษจีนเลย  เตรียมซองแดงแจกหลานหลาน  :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
สนุกกันล่ะทีนี้ แฝดสาม  :katai2-1:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
แฝดสามทำได้ไงเนี่ยองค์ภุชงค์ o13 o13 o13

ออฟไลน์ Thichadad3938

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1

 
 

ภุชงค์เล่นแสง ๒๐

 

เจ้าแสงแรกรู้สึกตัวอีกคราก็กลับมาอยู่ที่ตำหนักในขององค์รัชทายาทแล้ว ฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว คบเพลิงถูกจุดให้ความสว่างแทนที่แสงอาทิตย์ เนตรงามปรือปรอย พระวรกายอ่อนล้า หากแต่เมื่อนึกถึงลูกน้อยทั้งสาม คนเป็นแม่ก็รีบลุกขึ้น

“อ๊ะ” เจ้าแสงแรกเจ็บแผลจนต้องนิ่วพักตร์

“ค่อย ๆ ลุกเถิดเจ้าแสงแรก” องค์ภุชงค์ตรัส แลเข้าประคองเมีย

“ฝ่าบาท ลูกเล่าพระเจ้าค่ะ” ภาพเจ้าตัวน้อยที่มิยอมหายใจติดตาเสียจนเจ้าแสงแรกหหวาดกลัวว่าระหว่างที่ตนมิได้สติ เจ้าตัวน้อยจักเป็นกระไรไปอีก

“ใจเย็น ๆ ก่อนหนาน้อง” องค์ภุชงค์ตรัสปลอบเมีย ก่อนจักมีรับสั่งให้ยี่สุ่น แลชงโคไปนำโอรสน้อยทั้งสามมาเข้าเฝ้ามารดา

“ลูกมิได้เป็นกระไรใช่หรือไม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัสอย่างเป็นกังวล

“ลูกมิได้ป็นกระไรเจ้า เจ้าตัวน้อยของเราปลอดภัยดีแล้ว”

 

องค์รัชทายาท แลพระชายารอมินานบ่าวคนสนิททั้งสองของเจ้าแสงแรก แลข้าหลวงนางหนึ่งก็โอบประคองโอรสน้อยในองค์ภุชงค์ แลพระชายาแสงแรกมาที่ห้องบรรทม

“ลูกแม่” เจ้าแสงแรกรับเจ้าตัวเล็กจ้อยเข้ามาในอ้อมพระกร ใช่ว่ามิรักลูกอีกสองคน หากแต่เจ้าตัวเล็กนี่น่ากังวลกว่าพี่ทั้งสองนัก ดวงพักตร์แดงในห่อผ้าเนื้อนิ่มดูมีสีเลือดมากกว่าตอนที่เกิดมาก ทำให้คนเป็นแม่พระทัยชื้นขึ้น

“เจ้าคนพี่สองคนชื่อ ‘เจ้ารพิ’ แล ‘เจ้ารวิ’ ตามที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรก เหลือเพียงเจ้าตัวน้อยนี่แลที่พี่รอเจ้าตื่นมาตั้งชื่อลูกด้วยกัน” องค์ภุชงค์ตรัส พลางลูบปรางนิ่มของลูกอีกสองคนที่นอนอยู่บนพระยี่ภู่อย่างเอ็นดู

“รพิ รวิ เยี่ยงนั้นให้เจ้าคนน้องชื่อ ‘เจ้ารวี’ ดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัสถามพระภัสดา

“ดี เยี่ยงนั้นเจ้าตัวน้อยจักมีนามว่ารวี เจ้าน้อยรวี”

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกสรวลตอบ

 

คนเป็นพ่อ แลแม่พากันชื่นชมลูกน้อยทั้งสามได้มินานปู่ แลย่าก็ตามมาสมทบ องค์ภุมรินโอบประคองเจ้ารพินัดดาองค์โตอย่างรักใคร่ ส่วนเจ้าชมนาดเมื่อได้ฟังว่าเกือบจักเสียเจ้ารวีตัวน้อยไป นัยน์ตากวางก็คลอไปด้วยอัสสุชล คนเป็นย่าโอบประคองร่างเล็กจ้อยด้วยความทนุถนอม ส่วนเจ้ารวิก็นอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมอุระมารดา

 

พระชายาแสงแรกได้ให้ประสูติกาลพระโอรสในองค์รัชทายาทภุชงค์ทั้งสิ้นสามพระองค์ โดยมีฐานันดรที่พระอัยกาประทานให้ คือ ‘องค์รัชทายาทลำดับที่สองของภุมริกา องค์รพิ’ ‘เจ้าน้อยรวิ’ แล’ ‘เจ้าน้อยรวี’ ซึ่งทางภุมริกานั้นได้ส่งสาส์นด่วนไปยังการเวก ศศิมณฑล แลแคว้นอื่น ๆ เรื่องพระชายาแสงแรกมีประสูติกาลแล้ว โดยจักมีพิธีรับขวัญพระนัดดาทั้งสามขององค์ภุมรินขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า

“เจ้ารวิ มาให้ปู่อุ้มหน่อยหนาลูก” องค์ภุมรินส่งเจ้ารพิคืนคนเป็นพ่อ แลรับร่างเล็กของเจ้ารวิมาโอบประคองแนบพระอุระ เจ้าตัวน้อยทั้งสามมีหน้าตาคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน หากแต่เจ้ารพิจักดูคมคายกว่าน้องอีกสองคนอยู่มาก ในขณะที่เจ้ารวิ แลเจ้ารวีนั้นมีหน้าตาคล้ายคลึงกันราวกับแกะ หากแต่ก็แยกได้มิยาก เนื่องจากเจ้ารวีนั้นมีขนาดตัวเล็กกว่าคนพี่ มิทราบเช่นกันว่าในอนาคตจักโตทันพี่ ๆ หรือไม่

 

คราแรกองค์ภุชงค์ท่านมิกล้าอุ้มลูก เนื่องจากกลัวจักทำลูกตกหล่น จึงได้พระมารดาชมนาดท่านช่วยสอนว่าจักต้องโอบอุ้มประคองลูกอย่างไร

“มีลูกตั้งสามคนก็หัดอุ้มลูกไว้เสียให้คล่อง จักได้ช่วยเมียเลี้ยงลูก” พระมารดาท่านตรัส

 

ปู่ แลย่าอยู่เอ็นดูหลานได้พักใหญ่ ๆ เจ้ารพิน้อยก็ร้องหิวนม องค์ภุมริน แลพระชายาชมนาดจึงเสด้จกลับตำหนักหลวงมาก่อน ให้สุณิสา แลนัดดาน้อยได้พักผ่อน

“มีน้ำนมหรือไม่เจ้าแสง” องค์ภุชงค์ตรัสถามเจ้าแสงแรกที่อุ้มโอรสองค์โตเข้าเต้า

“ยังมิมีน้ำนมไหลออกมาเลยพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกพักตร์เสีย ไยจึงมิมีน้ำนมออกมาให้ลูกกินหนา แลมีเจ้าตัวน้อยตั้งสามคนชียว

“แอะ อุแว้ อุแว้” เจ้ารพิตัวน้อยหวีดร้องทันทีที่พยายามดูดดึงยอดถันมารดาแล้ว แต่กลับมิมีน้ำนมไหลออกมาให้ดื่มกิน

“ชู่ว ๆ เจ้ารพิ...จักทำอย่างไรดีพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท” เจ้าแสงแรกเขย่าร่างเล็กในอ้อมพระกรเบา ๆ ปลอบ ก่อนจักผินพักตร์ไปตรัสถามพระภัสดาท่าน

“ให้พี่ตามแม่นมดีหรือไม่เจ้า”

“หากแต่หม่อมฉันก็เจ็บคัดที่ยอดถัน แต่ไยน้ำนมมิไหลออกมาให้ลูกกิน”

“เช่นนั้นให้พี่ช่วยหนาเจ้า” องค์ภุชงค์รับเจ้ารพิที่สะอื้นไห้กับอุระมารดามาวางบนพระยี่ภู่ด้านข้าง ก่อนจักโน้มพักตร์ลงกวาดพระชิวหารอบยอดถันแดงของเมีย

“อ๊ะ ฝ่าบาท” เจ้าแสงแรกสะดุ้งตกพระทัย สองหัตถ์จิกพระอังสะกว้างแน่น

“...” องค์ภุชงค์กวาดพระชิวหาไล้เลียยอดถันช้ำ ก่อนจักออกแรงดูดดึงเบา ๆ ท่ามกลางเสียงไห้ของเจ้ารพิ แลเจ้ารวิที่เบ้โอษฐ์จักร้องตามพระเชษฐา

“ฮึก ฝ ฝ่าบาท อื้อ”

“...น้ำนมออกแล้วเจ้า” องค์ภุชงค์ตั้งหน้าตั้งตาดูดดึงยอดถันเมียจนกรทั่ง พระชิวหารับรู้ถึงรสชาติหวานมัน แลกลิ่นคาวที่ขึ้นพระนาสิก องค์ภุชงค์ผละออกมาตรัสกับเมียที่ปรางแดงก่ำ

“อุแว้ อุแว้”

“เจ้ารพิ” เสียงไห้ของลูกเรียกสติของเจ้าแสงให้กลับมา องค์ภุชงค์ใช้ผ้าชุบน้ำต้มเช็ดยอดถันช้ำ แลช้อนร่างเล็กของเจ้ารพิส่งให้เมีย ก่อนที่พระองค์จักช้อนเจ้ารวิขึ้นปลอบ ส่วนเจ้ารวีนั้นนอนหลับอุตุมิสนพระเชษฐาทั้งสองที่แข่งกันไห้

“ชู่ว กินนมหนาลูก มิไห้หนาคนดี” เจ้าแสงแรกประคอลลูกเข้าเต้าอีกครา โอษฐ์เล็กอ้าออกราวนกกระจอกที่รออาหารจากมารดา เมื่อยอดถันของมารดาเข้ามาอยู่ในปากก็ออกแรงดูดดึง ครานี้มีน้ำนมไหลออกมาให้ดื่มกิน จึงได้เงียบเสียงไห้ลง

“เจ้ารวิคนดี ไห้ตามพี่เจ้าหรือลูก หึหึหึ” องค์ภุชงค์สรวลน้อย ๆ อย่างเอ็นดูลูก พระนาสิกแตะที่ปรางแดงของลูกแผ่วเบา สายพระเนตรเหลือบมองเจ้ารวีเป็นระยะ เจ้าตัวน้อยน้องเล็กหลับอุตุมิสนใคร

 

เจ้าแสงแรกให้นมเจ้ารพิแล้วแล้ว ก็ประคองเจ้ารวิเข้าเต้าต่อ โดยพระภัสดาท่านรับเจ้ารพิไปกล่อมนอน มินานเจ้าแสงแรกก็ให้นมโอรสคนที่สองแล้วแล้ว ก็ถึงตาโอรสน้อยองค์เล็ก เจ้ารวีน้อยมิยอมกินนมโดยง่ายเช่นพระเชษฐาทั้งสอง แม้เจ้าแสงแรกจักป้อนยอดถันให้ เจ้าตัวน้อยก็มิยอมดูด

“กินนมหนาลูก” มารดาตรัส แลใช้พระดรรชนีเขี่ยโอษฐ์เล็กไปมา คล้ายว่าจักรำคาญเจ้ารวีจึงได้ยอมดูดดึงยอดถันมารดากลืนกินน้ำนมเข้าท้อง หากแต่กินไปได้มิเท่าใด เจ้ารวีก็หยุดดูดเสียแล้ว

“ไยจึงกินน้อยเยี่ยงนี้เล่าลูก เช่นนี้จักโตทันพี่ ๆ เขาได้อย่างไร” องค์ภุชงค์ตรัสอย่างเป็นกังวล

“กินอีกสักหน่อยให้แม่ชื่นใจเถิดหนาลูก” เจ้าแสงแรกตรัสกับเจ้าตัวน้อย สุรเสียงเป็นกังวล คล้ายจักฟังรู้เรื่องเจ้ารวีจึงดูดดึงยอดถันมารดาต่อ หากแต่ก็กินนมไปอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจึงได้หลับตาพริ้มเข้าสู่ห้วงนิทรา

 

.

.

.

 

สามวันถัดมาหลังจากให้นมลูกแล้ว เจ้าแสงแรกก็จักต้องเข้ากระโจมอยู่ไฟตามที่พระสัสสุท่านตระเตรียมไว้ให้ ส่วนลูกน้อยทั้งสามจักอยู่ในการดูแลของบ่าวคนสนิททั้งสองของพระชายาแสงแรก แลข้าหลวงในตำหนัก อีกทั้งคนเป็นพ่อที่เมื่อทรงงานแล้วแล้วก็จักรีบกลับตำหนักมาหาลูกหาเมีย

“ถวายพระพรพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท” ยี่สุ่น แลชงโคหมอบกราบพระภัสดาของคนเป็นนาย

“มิต้องมาพิธีเจ้ารัก เจ้ายม ลูกข้าหลับหรือ” องค์ภุชงค์ตรัสถามหาโอรสน้อยทั้งสามของพระองค์ เจ้ารัก เจ้ายมทั้งสองชินเสียแล้วที่ถูกเรียกเช่นนี้

“พระโอรสน้อยทั้งสามบรรทมอยู่ในเปลพระเจ้าค่ะ” ยี่สุ่นกราบทูล คนเป็นพ่อสาวพระบาทไปหยุดอยู่ข้างเปลนอนทั้งสาม เจ้าลูกหนูตัวแดงทั้งสามนอนหลับอุตุน่าเอ็นดูจนพระทัยองค์ภุชงค์เต้นแรง ยิ่งเจ้ารวีนอนดิ้นยกกำปั้นขึ้นถูตาตนเอง แลหลับต่อคนเป็นพ่อยิ่งแย้มพระโอษฐ์สรวลกว้าง

 

องค์ภุชงค์ล้างหัตถ์องค์เองกับน้ำลอยดอกมัลลิกา แลเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ก่อนจักแตะปลายพระดรรชนีลงบนปลายนาสิกเล็กของเจ้ารพิ เจ้ารวิ แลเจ้ารวี

“หึหึหึ” สรวลด้วยความเอ็นดู ประคองกำปั้นเล็กของลูกขึ้นหอมเรียงคน หากแต่คงจักหอมแรงเกินไปกระมังเจ้ารวิจึงได้ปรือเนตร เบะโอษฐ์ ส่งเสียงสะอื้นไห้ เมื่อถูกปลุกจากนิทรา

“แอะ แงงงง”

“ชู่ว ๆ โอ๋ เจ้ารวิลูกพ่อ” องค์ภุชงค์ลนลาน ช้อนประคองเจ้าตัวเล็กจ้อยในห่อผ้าขึ้นแนบพระอุระ พระหัตถ์ประคองคอลูกไว้ คอยระวังมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยองค์ภุมริน

“แงงงงง แงงงงง” เจ้ารวิอ้าโอษฐ์ส่งเสียงร้องจนเห็นเหงือกสีแดงสด

“ชู่ว ๆ คนดีของพ่อ” องค์ภุชงค์แตะพระนาสิกกับนลาฏเล็ก โยกพระวรกายเบา ๆ ปลอบเจ้าตัวน้อย เจ้ารวิน้ำตาคลอสะอื้นอยู่กับพระอุระอุ่น

“อึก ฮึก”

“โอ๋ ๆ เจ้าลูกกระต่ายน้อย” องค์ภุชงค์ก้มลงทอดพระเนตรลูกน้อย เจ้ารวิคนงามดูดปากตนเองเบา ๆ คล้ายจักหิวนม

“จุบ จุบ”

“ทนก่อนหนาลูก ประเดี๋ยวแม่เจ้าก็กลับมาจากอยู่ไฟแล้ว” องค์ภุชงค์ตรัสปลอบลูก พระพักตร์งามฉายแววกังวลด้วยกลัวว่าลูกจักไห้ขึ้นมาอีก มิใคร่ชอบพระทัยเสียเลยเวลาลูกไห้

“ทูลฝ่าบาท เจ้าน้อยรวีตื่นบรรทมแล้วพระเจ้าค่ะ” ยี่สุ่นที่ชะโงกหน้าไปมองพระโอรสน้อยในเปลกราบทูลคนเป็นพ่อ เมื่อเห็นว่าเจ้าน้อยรวีน้องเล็กนั้นลืมเนตรตื่นแล้ว หากแต่ก็มิได้ส่งเสียงร้องงอแงแต่อย่างใด

“เจ้ารวี ตื่นแล้วหรือลูก” องค์ภุชงค์เรียกให้ชงโคมาเฝ้าเจ้ารวิที่นอนอยู่บนพระแท่นบรรทม แลดำเนินไปชะโงกพักตร์ดูเจ้ารวีในเปล

“ฮึก แงงงง” ตื่นมามิร้อง หากแต่เมื่อบิดาสัมผัสที่ปรางนิ่ม เจ้าตัวน้อยก็สะดุ้ง เบะโอษฐ์จนพักตร์เล็กยับย่น แลหวีดเสียงร้องไห้ออกมา ปลุกเจ้ารพิให้ตื่นขึ้นมาตามน้อง

“แงงงงง” ครานี้สองพี่น้องแข่งกันไห้จ้า องค์ภุชงค์ช้อนเจ้ารวีขึ้นปลอบ ส่วนเจ้ารพินั้นได้ยี่สุ่นอุ้มปลอบแทน เจ้ารวิเมื่อได้ยินเสียงพรเชษฐา แลพระอนุชาหวีดไห้ก็กระสับกระส่าย โอษฐ์จิ้มลิ้มเบะออกจนชงโคต้องช้อนพระวรกายเล็กแนบอกเขย่าโยกแผ่วเบาปลอบ

 

มิทันที่เจ้าตัวน้อยทั้งสามจักได้โยเยไปมากกว่านี้ คนเป็นแม่ก็กลับมาจากอยู่ไฟ เจ้าแสงแรกมาพร้อมกับพระสัสสุ พระวรกายอวบอิ่มชุ่มไปด้วยพระเสโท แลคลุ้งกลิ่นสมุนไพร

“ไยเจ้าตัวน้อยจึงไห้พร้มกันเช่นนี้เล่าพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัสถามพระภัสดาที่อุ้มเจ้ารวีปลอบให้ลูกหยุดไห้

“ลูกคงจักตกใจกระมังที่พี่ไปจับแก้มเข้าให้ พอเจ้าคนน้องไห้ เจ้าคนพี่ทั้งสองก็ไห้ตาม”

“โถ” เจ้าแสงแรกลูบหลังลูกเบา ๆ นัยน์ตาหวานกวาดมองลูกน้อยทั้งสามอย่างสำรวจ

“เจ้ารวิก็ดูท่าจักหิวนมแล้วกระมัง ดูดปากตนเองจุบจับเชียว” องค์ภุชงค์ตรัสกับเมียอย่างเอ็นดู

“เช่นนั้น หม่อมฉันไปอาบน้ำผลัดผ้าก่อนหนาพระเจ้าค่ะ จักได้มาให้นมลูก ฝ่าบาทดูลูกก่อนหนาพระเจ้าค่ะ”

“จ้ะ” องค์ภุชงค์พยักพักตร์ คงมิมีกระไรต้องกังวล พระชายาชมนาดท่านก็มาช่วยดูหลานให้อีกแรงแล้ว

 

พระชายาชมนาดรับเจ้ารพิมาจากยี่สุ่น อุ้มนัดดาแนบอุระบาง โยกพรวรกายเบา ๆ ปลอบ พระดรรชนีเรียวปาดคราบน้ำตาบนปรางนิ่มแผ่วเบา

“อึก แอะ”

“โอ๋ หลานย่า ตกใจหรือลูก” เจ้าชมนาดตรัสกับนัดดาตัวน้อย เจ้าชงโคอุ้มเจ้าน้อยรวิไปหาพระชายาชมนาดท่านพลางประคองพระวรกายเล็กให้คนเป็นย่าหยอกล้อกับนัดดาคนรอง

“แอะ แอะ”

“หิวนมหรือเจ้ารวิ” เจ้าชมนาดโยกเจ้ารพิคนพี่ในอ้อมพระกรเบา ๆ แลหยอกเย้าเจ้ารวิคนน้องไปพร้อมกัน

“อ๊ะ” ก่อนจักผินพระพักตร์ไปทอดพระเนตรโอรสตน เมื่อองค์ภุชงค์ท่านสะดุ้งส่งพระสุรเสียงร้องออกมา เพราะสัมผัสร้อนชื้นที่ซึมอยู่บริเวณพระอุทรแกร่ง

“กระไร เจ้าภุชงค์”

“เจ้ารวีฉี่รดลูกเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่” องค์ภุชงค์ตรัสบอกมารดา พระโอษฐ์เผยรอยยิ้มกว้าง หาได้โกรธเคืองลูกน้อยไม่ พระนาสิกแตะลงบนปรางนุ่มนิ่ม แลเรียกยี่สุ่นให้มาอุ้มเจ้ารวีต่อ

“เจ้ายมมาอุ้มลูกข้าที...ประเดี๋ยวพ่อไปเปลี่ยนเสื้อก่อนหนาคนดี” ตรัสบอกเจ้ายี่สุ่น แลกระซิบสุรเสียงอ่อนโยนที่รืมกรรณเล็กของเจ้าตัวน้อย

 “เจ้ายมมาอุ้มลูกข้าที...ประเดี๋ยวพ่อไปเปลี่ยนเสื้อก่อนหนาคนดี” ตรัสบอกเจ้ายี่สุ่น แลกระซิบสุรเสียงอ่อนโยนที่ริมกรรณเล็กของเจ้าตัวน้อย

“พระเจ้าค่ะ” ยี่สุ่นคลานเข่ามารับเจ้าน้อยรวีต่อจากพระบิดา บ่าวคนสนิทของเจ้าแสงแรกวางร่างเล็กลงบนผ้าเนื้อนิ่มที่ปูซ้อนอยู่บนพระแท่นบรรทม ก่อนจักจัดการแก้ผ้าอ้อมเปียกชื้น แลใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดคราบสกปรกบนฉวีนิ่ม ซับให้แห้ง มิให้เจ้าน้อยท่านระคายเคืองพระฉวี จึงได้ผ้าอ้อมผืนใหม่ให้

“แล้วแล้วพระเจ้าค่ะ เจ้าน้อยรวีของยี่สุ่น” ยี่สุ่นว่าหยอกเย้าเจ้านายตัวน้อย มือเล็กประคองพระบาทเท่าฝาหอยขึ้นหอมอย่างรักใคร่ ยี่สุ่น แลชงโครักพระชายาแสงแรกมากเท่าใด บ่าวทั้งสองคนก็รักเจ้านายน้อย ๆ ทั้งสามมากเท่านั้น

“แอะ แอะ” เจ้ารวีน้อยส่งเสียงอ้อแอ้แผ่วเบา



มินานเจ้าแสงแรกก็สรงน้ำ ผลัดอาภรณ์ใหม่แล้ว พร้อมที่จักให้นมลูก พระชายาแสงแรกประทับอยู่บนพระแท่นบรรทม พิงพระเขนยไว้ก่อนจักรับเจ้ารวิมาจากชงโค

“ไหน ใครร้องไห้หิวนมกันหนา” พระสุรเสียงหวานตรัสหยอกเย้าเจ้าตัวน้อย พระหัตถ์บางประคองลูกเข้าเต้า เจ้ารวิเมื่อได้ยอดถันมารดามาอยู่ในปากแล้วก็ออกแรงดูดรีดน้ำนมทันที ปรางนิ่มเหี่ยวเริ่มเต่งตึงมีน้ำมีนวลขึ้นทุกวัน ๆ

“ค่อย ๆ กินก็ได้เจ้ารวิ ประเดี๋ยวก็สำลักกันพอดี” เจ้าชมนาดตรัสด้วยความเอ็นดู

“หึหึหึ” เจ้าแสงแรงแย้มสรวลเบา ๆ เอ็นดูลูกจนใคร่อยากจักฟัดให้ช้ำ

“เจ้ารวิได้กินนมแล้วนี่เอง มิน่าเงียบเชียว” องค์ภุชงค์ที่ผลัดฉลองพระองค์แล้ว ตรัสเย้าโอรสคนรองที่นอนกินนมอยู่ในอ้อมพระกรมารดา เจ้าแสงแรกเงยพักตร์ขึ้นแย้มโอษฐ์ให้พระภัสดาที่ดำเนินมาประทับข้าง ๆ



เจ้ารวิตัวน้อยกินนมไปได้มินานก็อิ่ม เจ้าแสงแรกจึงได้ส่งลูกให้พระภัสดา องค์ภุชงค์รับลูกมาอุ้มพาดพระอังสะด้วยความทุลักทุเล พระหัตถ์ใหญ่ลูบแผ่นหลังเล็กเบา ๆ ให้ลูกเรอ

“อึก” เจ้ารวิส่งเสียงเรอออกมาเบา ๆ หากแต่มิได้มาเพียงเสียง สัมผัสร้อนชื้นบริเวณพระอังสะกว้าง ทำเอาองค์ภุชงค์เหลือบพระเนตรมองเจ้าตัวน้อยที่เอาปรางพาดพระอังสะของพระองค์ โอษฐ์จิ้มลิ้มยกน้อย ๆ คล้ายกับกำลังยิ้มให้บิดา

“เจ้ารวิพ่อเพิ่งจักเปลี่ยนเสื้อมาหนาลูก” องค์ภุชงค์ตรัสโอดครวญ



.

.

.



วันถัดมา เจ้าบัวงาม แลลูกผัวก็มาถึงที่ภุมริกา ครานี้พ่อเหม แลสายหยุดคนงามก็พาบุตรคนเดียวอย่างยาเยียมาด้วย พระชายาชมนาดท่านดูท่าว่าจักเอ็นดูยาเยียคนงามมิแพ้นัดดาของพระองค์เลย

“ยาเยีย ดูสิ ตัวแค่นี้ยิ้มหวานเสียจนน่าเอ็นดู โตขึ้นจักต้องงามมิแพ้มารดาเป็นแน่” พระชายาชมนาดตรัสกับทารกน้อยในอ้อมพระกรของพระองค์ คนเป็นอย่างสายหยุดได้แต่ยิ้มรับความเมตตาของพระชายาท่านที่ประทานให้

“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ” สายหยุดหมอบกราบพระชายาท่านที่เอ็นดูเจ้าหนูยาเยีย

“น่าเกลียดน่าชังเสียจริง” เจ้าบัวพึมพำขณะทอดพระเนตรโอรสทั้งสามของพระเชษฐาที่นอนเรียงกัน คราแรกที่องค์จันทร์ท่านแจ้งว่าได้รับสาส์นจากภุมริกาว่าเจ้าแสงแรกให้ประสูติกาลโอรสของภุชงค์ท่านเป็นแฝดสาม เจ้าบัวงามก็ดีพระทัย แลใคร่อยากมาเห็นหลานแทบจักทันที หากแต่ก็ต้องรอตระเตรียมขบวนให้พร้อม เนื่องจากมีเจ้านตัวน้อยอย่างเจ้าพเยีย แลเจ้ายาเยียร่วมเดินทางด้วย

“...อะ” เจ้ารวีขยับกายเล็กน้อย ก่อนเปลือกตาสีมุกจักเปิดขึ้น องค์ภุชงค์รีบสาวพระบาทเข้ามาหาลูก แต่กลับถูกคนเป็นน้องกางแขนขวางไว้

“บัวขออุ้มหลานพระเจ้าค่ะ” เจ้าบัวงามรีบตรัส ก่อนจักค่อย ๆ ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอุระ

“...”

“เจ้าคนนี้หนาหรือที่ซนจนทำเอาตกอกตกใจกันไปทั้งภุมริกา” เจ้าบัวงามตรัส แลแตะพระนาสิกลงบนนลาฏขาวอย่างรักใคร่ ตั้งแต่มาถึงภุมริกาเจ้าบัวงามยังมิได้ยินเสียงหลานร้องให้ได้ยินสักแอะ

“หึหึหึ รวีตื่นแล้วหรือลูก” องค์ภุชงค์ตรัสถามลูกน้อยในอ้อมกอดของเจ้าบัวงาม พระสุรเสียงอ่อนโยน เหลือบพระนตรมองลูกน้อยอีกสองคนก็เห็นว่าเจ้ารพิ แลเจ้ารวิยังมิตื่นจากห้วงนิทรา

“...” เจ้าตัวน้อยอ้าปากหาววอดน่าเอ็นดู

“เจ้าพเยียมาดูน้องเร็วลูก” เจ้าบัวงามตรัสเรียกโอรสของตนเอง องค์จันทร์ผู้เป็นพ่อจึงได้อุ้มลูกไปหาเมีย เจ้าพเยียทอดพระเนตรมองน้องในอ้อมกอดมารดา ก่อนจักเบะโอษฐ์ไห้จ้าออกมาด้วยความหวงแม่ ทำเอาคนเป็นแม่ต้องส่งหลานตัวน้อยให้พระเชษฐาก่อนจักอุ้มลูกตนขึ้นมาโอ๋

“แงงงง” เจ้าพเยียกอดศอมารดาแน่น เจ้าน้อยคนงามสะอื้นฮั่ก ๆ

“โอ๋ ชู่ว ๆ มิไห้หนาลูก” เอาบัวงามกอดลูกแนบอุระแน่น โยกพระวรกายเบา ๆ ปลอบ

“ฮึก อึก” เจ้าพเยียไห้สะอึกสะอื้นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจักเคลิ้มหลับคาอุระมารดา

“งอแงเช่นนี้คงจักง่วงนอนเป็นแน่” เจ้าบัวงามตรัสสุรเสียงแผ่ว พระนาสิกแตะที่ขมับขาวของลูก พระหัตถ์บางลูบแผ่นหลังเล็กของลูกกล่อม เมื่อเจ้าตัวน้อยหลับสนิทแล้ว เจ้าบัวงามจึได้วางลูกลงบนพระยี่ภู่ แลใช้ผ้าอ้อมผืนบางห่มให้ลูก

“ฟี้ ๆ” เจ้าพเยียหลับสนิทส่งเสียงกรนเล็ก ๆ ให้ผู้ใหญ่เอ็นดู

“องค์จันทร์ดูลูกหนาพระเจ้าค่ะ บัวขอไปดูหลานก่อน” เจ้าบัวงามตรัส แลทิ้งลูกให้พระภัสดาท่านดู ก่อนที่ตัวเองจักดำเนินออกจากห้องบรรทม ไปหาเจ้าตัวน้อยทั้งสามที่ห้องบรรทมของพระเชษฐา

“จ้ะ” องค์จันทร์พยักพระพักตร์ ทอดพระเนตรตามหลังเมียไป ก่อนจักหันกลับมาทอดพระเนตรเจ้าตัวน้อยที่นอนหลับอุตุอยู่บนพระยี่ภู่



เจ้าบัวงามดำเนินมาที่ห้องบรรทมของพระเชษฐา ที่เพลานี้กลายเป็นห้องเลี้ยงเจ้าตัวน้อยทั้งสามไปเสียแล้ว เมื่อก้าวพระบาทเข้าไปก็พบคนเป็นมารดาอย่างเจ้าแสงกำลังอุ้มลูกเข้าเต้าให้นมเจ้าตัวน้อย

“ตื่นกันหมดแล้วหรือพระเจ้าค่ะ” เจ้าบัวงามตรัสถามพระเชษฐา

“หึหึหึ ตื่นกันหมดแล้ว” องค์ภุชงค์ตรัสตอบอนุชา

“แลเจ้าคนที่กินนมแม่อยู่นี่คนไหนกันพระเจ้าค่ะ” เจ้าบัวงามแยกหลานมิค่อยจักออก ที่พอจักแยกได้ก็เจ้ารพิที่หน้าตาได้บิดามา ส่วนเจ้าตัวน้อยที่พระเชษฐากำลังลูบขนองปลอบไปมา กับเจ้าคนที่กำลังกินนมแม่นั้น คนใดเจ้ารวิ คนใดเจ้ารวีกัน

“เจ้าคนที่กินนมแม่อยู่ นั่นเจ้ารวี ส่วนเจ้าคนนี้เจ้ารวิ” พระเชษฐาตรัส

“เช่นนั้นน้องขออุ้มหลานหน่อยพระเจ้าค่ะ” เจ้าบัวงามตรัส แลอุ้มเจ้ารวิขึ้นแนบอุระ เมื่อครู่ยังอุ้มหลานได้มิทันไร ลูกก็งอแงเข้าเสียก่อน

“แอะ แอะ” เจ้ารวิส่งเสียงอ้อทักทายพระอนุชาของบิดา

“ว่าอย่างไรหลานอา น่าเกลียดน่าชังนัก”



.

.

.



วันงานพิธีองค์ภุชงค์ แลเจ้าแสงแรกต้องตื่นบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง มาตระเตรียมพระองค์ เจ้าแสงแรกที่ต้องตื่นกลางดึกมาให้นมลูก เมื่อต้องตื่นเช้าแบบนี้ก็ลืมเนตรแทบมิขึ้น ยิ่งมีลูกตั้งสามคนยิ่งวุ่นวายนัก พระชายาขององค์รัชทายาทอุ้มลูกเข้าเต้าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องพระสุคนธ์ให้บ่าวคนสนิทสางพระเกศา แลลงเครื่องพระสุคนธ์ให้ เปลือกเนตรสีอ่อนหลับพริ้ม ขณะที่พระหัตถ์ก็ตบก้นเล็กของลูกเบา ๆ ขับกล่อม

“เจ้ารพิหลับแล้ว เจ้าอุ้มลูกข้าไปนอนที่เปลที” เจ้าแสงแรกรับสั่งกับข้าหลวงรับใช้ ก่อนจักส่งลูกน้อยให้ข้าหลวงสาวอุ้มไปนอนที่เปล เมื่อให้นมลูกแล้วแล้ว เจ้าแสงแรกก็ต้องรีบแต่งองค์ให้แล้วก่อนจักถึงพิธีรับขวัญลูกน้อยทั้งสาม



เมื่อฟ้าสางใกล้ถึงฤกษ์พิธีรับขวัญโอรสขององค์รัชทายาทแห่งภุมริกา พระชายาชมนาดจึงได้เสด็จไปตามโอรส แลสุณิสาถึงห้องบรรทม

"แล้วกันหรือยังลูกใกล้จักถึงเพลาแล้วหนาเจ้า"

"แล้วแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่" องค์ภุชงค์ตรัสตอบมารดา

"เยี่ยงนั้นก็ไปกันเถิด" พระชายาชมนาดท่านท่าน แลอุ้มนัดดาคนโตอย่างเจ้ารพิออกไป โดยมีองค์ภุชงค์อุ้มเจ้ารวี แลเจ้าแสงแรกอุ้มเจ้ารวิตามออกไปที่ท้องพระโรง









 

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2020 18:00:45 โดย Thichadad3938 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
 :pig2: มารับขวัญหลานแฝด  :กอด1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เลี้ยงกันสนุกเลยทีเดียววว องค์ภุงชงค์สามีแห่งชาติ ลูกฉี่ใส่ก็ชอบใจ อิอิ อบอุ่นๆ

ออฟไลน์ Thichadad3938

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
ภุชงค์เล่นแสง ๒๑



เมื่อพระชายาชมนาด พร้อมโอรส แลสุณิสามาถึงท้องพระโรง องค์ภุมรินก็รีบยื่นพระกรขอเจ้ารวีจากอ้อมอุระบิดามาอุ้มทันที

“รวีหลานปู่” ประคองร่างนุ่มนิ่มให้ซบพระอังสะ โดยคอยระวังมิให้เจ้าตัวน้อยยกคอขึ้น พระนาสิกกดที่ปรางนิ่มสูดกลิ่นหอม

“แอะ” โอษฐ์จิ้มลิ้มเบะ จนคนเป็นปู่รีบโยกตัวหลานเบา ๆ

“โอ๋ รวีคนดี” เจ้ารวีเบะโอษฐ์ ปรางกลมวางบนพระอังสะของพระอัยกา

“เจ้าแสง”

“เสด็จพ่อ” เจ้าแสงแรกส่งเจ้ารวิให้พระภัสดาท่านอุ้มลูกต่อ แลดำเนินเข้าไปหมอบกราบบิดาทันที

“ไหว้พระเถิดเจ้า” องค์สิงห์ตรัส แลดึงลูกเข้ามากอดด้วยความคิดถึง

“เสด็จพ่อเป็นเยี่ยงไรพระเจ้าค่ะ”

“พ่อสบายดี แลเจ้าเล่า”

“ลูกสบายดีพระเจ้าค่ะ”

“ดีแล้วเจ้า ดีแล้ว...ไหน ให้พอดูหลานหน่อยเถิด” กอดลูกจนหายคิดถึงแล้วก็ถามหาเจ้านัดดาตัวน้อยทั้งสาม

“พระเจ้าค่ะ”

“ใคร่อยากอุ้มหลานหรือไม่พระเจ้าค่ะ” เจ้าชมนาดตรัสถามองค์สิงห์

“พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าคนนี้เป็นพี่คนโตพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ มีนามว่าเจ้ารพิ ส่วนเจ้าคนที่องค์ภุชงค์ท่านอุ้มอยู่เป็นคนรอง มีนามว่าเจ้ารวิ แลเจ้าคนที่องค์ภุมรินท่านอุ้มอยู่นั้น เป็นน้องเล็กสุด มีนามว่าเจ้ารวีพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัส

“รพิ รวิ รวี เจ้าดวงอาทิตย์น้อยของตา” องค์สิงห์อัสสุชลคลอพระเนตร มิคิดว่าชาตินี้จักได้ทันเห็นลูกของเจ้าแสงแรก พระหัตถ์ของคนเป็นตาประคองเท้าเล็กของนัดดาองค์โตขึ้นลูบไล้ด้วยความทะนุถนอม



คนเป็นตาเมื่อได้รับสาส์นว่าได้หลานถึงสามคน ก็ได้ตระเตรียมกำไลข้อเท้าทองคำแท้มาให้หลานคนละคู่ แลแก้วแหวนเงินทองอีกหีบใหญ่มารับขวัญหลาน เจ้าหลวงการเวกรับร่างเล็กจ้อยจากพระชายาชมนาด

“แอะ แอะ” เจ้ารพิ เมื่อถูกเปลี่ยนมือก็ส่งเสียงอ้อแอ้ โอษฐ์เล็กเบะออก หากแต่อ้อมพระกรอุ่นจากพระอัยกาที่ขยับโยกปลอบประโลม ก็ทำให้เจ้าตัวน้อยนิ่ง

“เจ้ารพิหลานตา” พระนาสิกกดลงบนนลาฎเล็ก องค์สิงห์ชื่นชมเจ้าตัวน้อยทั้งสามได้มิเท่าใด ก็ถึงเพลาฤกษ์พิธี



ผู้ทำพิธีให้ครานี้เป็นศิษย์เอกของแม่เฒ่า พิธีรับขวัญทารกทั้งสามถูกปฏิบัติเฉกเช่นพิธีรับขวัญองค์รัชทายาทภุชงค์ แลเจ้าน้อยบัวงามมิมีผิดเพี้ยน เมื่อพิธีรับขวัญโอรสขององค์รัชทายาทภุชงค์แล้วสิ้น ก็ถึงเพลาที่เหล่าอาคันตุกะจากหลากหลายแคว้น แลเหล่าขุนนางจักได้ยลโฉมเจ้านายน้อยทั้งสาม

“นัดดาองค์โตของข้ามีนามว่า รพิ ดำรงยศเป็นองค์รัชทายาทลำดับที่สองแห่งภุมริกา นัดดาองค์รองมีนามว่า รวิ แลนัดดาองค์เล็กมีนามว่า รวี ดำรงยศเป็นเจ้าน้อยแห่งภุมริกา” องค์ภุมรินตรัสพร้อมรอยสรวล

“หน้าตาน่าเอ็นดูนักพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าหลวงแคว้นหนึ่งตรัสขึ้น

“หึหึหึ” องค์สิงห์สรวลพลางโยกเจ้ารพิในอ้อมพระกรไปมา

“องค์ภุมริน แลองค์สิงห์คงจักหลงหลานน่าดูเลยหนาพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าหลวงพระองค์เดิมตรัสเย้า

“น่าเกลียดน่าชังเช่นนี้จักมิหลงได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” องค์สิงห์ตรัส

“อย่าว่าแต่ปู่ แต่ตาเลย คนเป็นพ่อเช่นเจ้าภุชงค์นั่นก็หลงลูกมิแพ้กันเลยเชียว” องค์ภุมรินตรัส ก่อนจักก้มพักตร์ลงหอมนลาฎขาวของเจ้ารวี

“ฮะฮ่า ๆ ๆ” เสียงสรวลดังก้องท้องพระโรง เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ก็ร่วมผสมโรงหัวร่อกับประโยคหยอกเย้าของเหล่าเจ้านายไปด้วย คงจักมีก็เพียงบุตรีของรองเจ้ากรมนาที่ขบเคี้ยวฟันตนเองด้วยความเคียดแค้น มือบางจิกกำผ้าซิ่นผืนงามของตนเองจนแทบจักขาดคามือ ดวงตาแข็งจดจ้องที่ทารกน้อยทั้งสาม

“แอะ แอะ แงงง” เจ้ารวีกระสับกระส่ายอยู่ในอ้อมพระกรของพระอัยกาโอษฐ์จิ้มลิ้มเบะออกจนน่าสงสาร เจ้าคนพี่ทั้งสอง เมื่อได้ยินเสียงน้องร้องก็กระสับกระส่ายเบะโอษฐ์จักไห้ตามน้อง

“โอ๋ เจ้ารวีของปู่” องค์ภุมรินโยกหลานเบา ๆ ปลอบประโลมให้เจ้าตัวน้อยนิ่ง

“คงจักหิวนมแล้วกระมังพระเจ้าค่ะ” พระชายาชมนาดตรัส

“โอ๋ ๆ เช่นนั้นกลับตำหนักไปกินนมนอนก่อนก็แล้วกันหนาลูก” องค์ภุมรินตรัส ก่อนจักส่งร่างเล็กจ้อยของนัดดาตัวน้อยให้บ่าวยี่สุ่น

“เช่นนั้นหม่อมฉันขอราชานุญาตลูกทั้งสามกลับตำหนักก่อนหนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัส ก่อนจักหมอบกราบบิดา พระสัสสุ แลพระสัสสุระ

“พาลูกกลับไปพักก่อนเถิดเจ้า ประเดี๋ยวแม่แล้วจากตรงนี้แล้ว แม่จักแวะไปหาที่ตำหนัก” เจ้าชมนาดตรัส

“พระเจ้าค่ะ เสด็จแม่ชมนาด”



เจ้าแสงแรกดำเนินนำขบวนข้าหลวงที่อุ้มเจ้าตัวน้อยทั้งสามกลับตำหนักออกจากท้องพระโรง ส่วนพระภัสดาอย่างองค์ภุชงค์นั่นอยู่สนทนากับเหล่าอาคันตุกะเชื้อพระวงศ์ที่ให้เกียรติมาร่วมพิธีรับขวัญของโอรสองค์เองอีกครู่ใหญ่ จึงได้ขอตัวกลับตำหนักไปดูลูก แลเมีย แม่กิ่งสบโอกาสจึงได้รีบกล่าวกับบิดา

“เจ้าคุณพ่อ ลูกขอตัวประเดี๋ยวนะเจ้าคะ” มิรอให้บิดาตอบกระไรกลับมาก็รีบลุกออกจากท้องพระโรงทันที



บุตรีของรองเจ้ากรมนารีบสาวเท้าตามองค์รัชทายาทออกจากท้องพระโรงด้วยความร้อนใจ มนต์ดำของหมอไสยทำเอาความงดงามแรกแย้มของหญิงสาวเหือดหาย เหลือเพียงร่องรอยหมองคล้ำมิมีชีวิตชีวา ร่างกายที่เคยสะอาดสะอ้าน เพลานี้กลับทรุดโทรมมีกลิ่นมิน่าพิศวาส

“ฝ ฝ่าบาท ฝ่าบาทเพคะ”

“แม่กิ่ง มาด้วยหรือ”

“เพคะ” แม่กิ่งน้ำตาคลอด้วยความน้อยเนื้อต่ำ ภาพที่พระองค์หยอกเย้าไอ้มารหัวขนทั้งสามทำเอาแม่กิ่งเจ็บปวดใจมิน้อยเลย ไหนจักอีพระชายาหน้าด้านที่มันล่อหลอกให้พระองค์หลงมัน

“แลมีกระไรหรือ”

“ฮึก ไยจึงตรัสเยี่ยงนี้เล่าเพคะ”

“...”

“ไยจึงตรัสวาจาห่างเหินกับหม่อมฉันเยี่ยงนี้”

“เจ้าพูดกระไรแม่กิ่ง” องค์ภุชงค์ขมวดขนงเป็นปม แม่คนนี้กล่าวกระไรเลอะเลือนนัก

“ฮึก พระองค์ตรัสราวกับมิเคยอิงแอบแนบชิดกับหม่อมฉันมาก่อน ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนพระองค์เพิ่งจักกกกอดมอบความรักเร่าร้อนให้หม่อมฉันทั้งคืน!” แม่กิ่งกล่าวด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว

“บังอาจ!!” องค์ภุชงค์ตวาดพระสุรเสียงดังลั่น

“ฮึก ฮือ” แม่กิ่งสะอึกสะอื้นจนตัวโยน

“กล่าววาจาเลอะเลือนเช่นนี้ ใคร่อยากต้องอาญาใช่หรือไม่” องค์ภุชงค์กริ้วจนพระหัตถ์สั่น พระองค์เห็นว่าแม่กิ่งเคยเป็นสหายร่วมเล่นกับอนุชาอย่างเจ้าบัวงาม จึงมีเมตตาดีด้วย แต่หากแม่กิ่งพูดจาเลอะเลือนมิเกรงกลัวอาญาเช่นนี้ เห็นทีคงมิต้องไว้หน้ากันแล้วกระมัง

“ภุชงค์”

“เจ้าบัวงาม” องค์ภุชงค์ผินพักตร์ไปหาอนุชาที่เพิ่งจักดำเนินเข้ามา ก่อนจักอ้าพระกรรับน้องน้อยเข้ามายืนเคียงข้าง

“มีกระไรหรือพระเจ้าค่ะ” เจ้าบัวงามที่กำลังพาลูกกลับตำหนัก บังเอิญมาได้ยินเข้าพอดี จึงได้ให้ข้าหลวงสาวอุ้มเจ้าพเยียกลับไปก่อน แลดำเนินเข้ามาหาพระเชษฐา

“ก็แม่นางกิ่งหนาสิ กล่าววาจาเลอะเลือนอันใดก็มิรู้” องค์ภุชงค์ตรัสอย่างมีน้ำโห หากมีผู้ใดได้ยิน แลเอาไปพูดต่อจนเข้าหูเจ้าแสงแรกขึ้นมา พระองค์จักมิเก็บนังคนนี้ไว้เป็นเสี้ยนหนามเป็นแน่

“ฮึก เจ้าน้อยบัวงามช่วยหม่อมฉันด้วยหนาเพคะ” แม่กิ่งร่ำไห้ คลานเข้าไปเกาะพระบาทขาวของพระชายาศศิมณฑล

“จักให้ข้าช่วยอันใด”

“ฮึก องค์ภุชงค์พระทัยร้ายกับหม่อมฉันนัก องค์ภุชงค์กกกอดอิงแอบแนบชิดหม่อมฉันแล้ว หากแต่กลับทำเหมือนมิเคยได้ใกล้ชิดกันมาก่อน”

“ข้ามิเคยอิงแอบแนบชิดเจ้า หากกล่าววาจาพล่อย ๆ เช่นนี้อีก ข้าจักสั่งให้ทหารตบปากเจ้าร้อยที!” องค์ภุชงค์ตรัสพระสุรเสียงลอดไรพระทนต์ เมื่อแม่กิ่งยังมิหยุดพ่นวาจาพล่อย ๆ

“ฮือ”

“ปากพล่อยเช่นนี้ลงหวายสัก ๒๐ ทีให้เข็ดหลาบก่อนเสียดีกระมังพระเจ้าค่ะ” เจ้าบัวงามตรัสพระสุรเสียงเย็น

“ฮึก ไยจึงตรัสเช่นนี้เล่าเพคะเจ้าน้อย ฮึก หม่อมฉันเป็นสหายสนิทของพระองค์หนาเพคะ”

“เจ้าหนาหรือสหายสนิทของข้า วิปลาสไปแล้วกระมังจึงได้กล้าแอบอ้างเช่นนี้” เจ้าบัวงามเลิกพระขนง

“ฮึก”

“กลับตำหนักไปดูลูก ดูเมียเถิดพระเจ้าค่ะ”

“จ้ะ”

“ส่วนเจ้า ภุชงค์ท่านเมตตาเจ้าแล้ว อย่าได้ทำตัววิปลาส แลมาเสนอให้พวกข้าเห็นอีก” เจ้าบัวงามตรัส แลดึงพระบาทออกจากการเกาะกุมของแม่กิ่ง ก่อนจักดำเนินตามพระเชษฐาไป

“อึก ฮึก ฮือ” แม่กิ่งดวงตาแข็งค้าง จดจ้องพระขนองของสองพี่น้องด้วยความเคียดแค้น



.

.

.



เมื่อกลับมาถึงตำหนักที่ประทับ องค์ภุชงค์ก็รีบตรงดิ่งไปหาเมีย แลลูกในห้องบรรทมทันที หวังไว้ว่าหน้าลูก แลเมียจักทำให้อารมณ์ขุ่นหมองหายไป

“ฝ่าบาท” เจ้าแสงแรกตรัสเรียกพระภัสดาทันทีที่ พระองค์ท่านก้าวเข้ามาในห้องบรรทม

“...” องค์ภุชงค์มิตรัสกระไร หากแต่ดำเนินไปประทับเคียงร่างบาง

“เป็นกระไรไปพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกสังเกตุได้ถึงความขุ่นหมอง แลพระพักตร์ที่เรียบตึงผิดปกติของพระภัสดา หัตถ์ข้างหนึ่งโอบประคองลูกน้อยเข้าเต้า ส่วนอีกข้างลูบพระปรางขาวแผ่วเบา

“มิมีกระไรเจ้า มิต้องคิดมากหนา ก็แค่เรื่องมิเป็นเรื่อง ช่างมันเถิด” องค์ภุชงค์ตรัส พลางเอียงปรางแนบกับหัตถ์เมีย พระหัตถ์อุ่นกุมกอบกุมหัตถ์น้องน้อยแน่น ก่อนจักยกมากดจูบหนักแน่น

“...” เจ้าแสงแรกมิใคร่อยากจักเชื่อ สีพระพักตร์ฉายแววกังวล จนพระภัสดาท่านแย้มสรวลออกมาน้อย ๆ องค์ภุชงค์เอียงพักตร์กดพระนาสิกกับปรางนุ่มของเมีย สูดกลิ่นแก้วหอมกรุ่นที่คุ้นเคยจนชื่นพระทัย

“ลูกหลับแล้วเอาลงนอนในเปลเถิดเจ้า” ตรัสกระซิบข้างกรรณขาว

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกพยักพักตร์ ก่อนจักกระชับร่างน้อยโยกกล่อมไปมาให้ลูกหลับสนิทดีจึงได้วางลงในเปล ไกวอีกประเดี๋ยวจึงได้ผินพักตร์ไปรับสั่งกับข้าหลวงรับใช้ใกล้ชิด

“พวกเจ้าออกไปก่อน หากมีกระไรข้าจักเรียกใช้เอง” เจ้าแสงแรกตรัส

“พระเจ้าค่ะ”

“เพคะ”



เมื่อข้าหลวงรับใช้ออกไปกันหมดแล้ว เจ้าแสงแรกจึงได้ดำเนินมาหาพระภัสดาท่านที่พระแท่นบรรทม องค์ภุชงค์ดึงร่างอวบอิ่มของเมียให้นั่งลงบนพระเพลา เจ้าแสงแรกยกกรโอบรอบพระศอแกร่ง

“มีกระไร บอกหม่อมฉันมิได้หรือพระเจ้าค่ะ”

“...เมื่อครู่พี่ออกจากท้องพระโรงจักกลับมาหาเจ้า แลลูก บังเอิญพบกับแม่กิ่งเข้า...” องค์ภุชงค์ท่านเล่าให้เมียฟังทุกคำมิมีตกหล่น พระกรแกร่งโอบกอดรอบกฤษฎีของเจ้าแสง แลลูบไล้แผ่วเบาปลอบประโลมเมีย

“...”

“พี่สาบานว่าพี่มิได้ทำเฉกเช่นที่นางกล่าว” จับหัตถ์เมียขึ้นจูบหอม

“หม่อมฉันเชื่อพระองค์พระเจ้าค่ะ อยู่กับหม่อมฉัน แลลูกแทบจักตลอดเพลาจักมีเพลาที่ไหนไปอิงแอบแนบชิดนาง”

“เจ้าแสงคนดี” ซบพระพักตร์กับอุระแบนของเมียอย่างโล่งพระทัย ในขณะที่เจ้าแสงแรกลูบหลังพระศอของพระภัสดาไปมา พลางครุ่นคิดถึงวิธีกำจัดเสี้ยนหนามมิให้มันยื่นมาตำมือตำเท้าตน แลลูกได้ หรือจักต้องปรึกษาเสด็จแม่ชมนาดกันนะ



.

.

.



หากแต่เจ้าแสงแรกยังมิทันได้เข้าเฝ้าพระสัสสุ เรื่องที่แม่กิ่งปากพล่อยพูดจามิรู้ความ ป้ายสีองค์รัชทายาทก็ถึงพระเนตร พระกรรณพระมารดาชมนาด

“เหิมเกริมนัก...แลเรื่องนี้ถึงหูเจ้าแสงแรกแล้วหรือยัง” พระสุรเสียงหวานตรัสรอดไรพระทนต์

“ทูลพระชายาชมนาด เพลานี้พระชายาแสงแรกท่านทราบเรื่องแล้วเพคะ องค์รัชทายาทท่านเป็นคนตรัสด้วยพระองค์เองเพคะ” ข้าหลวงที่เจ้าชมนาดส่งไปให้เป็นหูเป็นตาให้ กราบทูล

“หึหึหึ กลัวเมียใช่เล่นหนาเจ้าภุชงค์” อดมิได้ที่จักตรัสเย้าคนเป็นลูก

“...”

“ฝ่าบาท แลองค์รัชทายาทยังทรงงานอยู่ที่ตำหนักทรงงานใช่หรือไม่”

“เพคะ”

“เช่นนั้น ข้าไปหาลูกสะใภ้ แลหลานเสียหน่อยดีกว่า”



พระชายาชมนาดเสด็จไปที่ตำหนักที่ประทับของโอรสองค์โต พร้อมข้าหลวงคนสนิท เมื่อมาถึงตำหนักของแม่ลูกอ่อน ก็เจอกับเจ้าบัวงามที่พาลูกมาขลุกอยู่กับพี่สะใภ้

“เสด็จแม่” เจ้าบัวงามปล่อยเจ้าพเยียให้นั่งเล่นกับสายหยุด แลยาเยียคนงาม แลดำเนินเข้ามาประคองมารดา

“มาอยู่นี่นี่เอง แลภัสดาเจ้าเล่า”

“องค์จันทร์เสด็จไปหารือกับเสด็จพ่อ แลเสด็จพี่ภุชงค์พระเจ้าค่ะ”

“อืม ๆ”

“ถวายพระพรพระเจ้าค่ะ เสด็จแม่ชมนาด” เจ้าแสงแรกตรัส หากแต่ยังลุกหมอบกราบพระสัสสุมิได้ เนื่องจากกำลังให้นมเจ้าตัวน้อยอยู่

“มิต้องมากพิธีดอกเจ้าแสง เป็นอย่างไรบ้างลูก”

“เริ่มจักชินกับการมีเจ้าตัวน้อยทั้งสามแล้วพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัส แลแย้มสรวลให้พระสัสสุ

“วันนี้แม่มิได้มาเยี่ยมเจ้า แลลูกเพียงอย่างเดียว หากแต่จักมาพูดคุยเรื่องบุตรีรองเจ้ากรมนานางนั้นด้วย”

“...” เจ้าแสงแรกค่อย ๆ หุบยิ้มลง เมื่อพระสัสสุตรัสถึงหญิงไร้ยางอายนางนั้น



เมื่อเจ้าแสงแรกให้นมลูกแล้วแล้วก็ปล่อยให้ยี่สุ่น แลชงโคเป็นผู้ดูแลเจ้าตัวน้อยทั้งสาม ส่วนเจ้าบัวงามก็ฝากลูกไว้กับสายหยุด แลร่วมพูดคุยกับมารดา แลพี่สะใภ้ หากแต่ยังมิทันจักได้อ้าโอษฐ์สนทนากัน ข้าหลวงสาวก็คลานเข่าเข้ามากราบทูลความเสียก่อน

“ทูลพระชายาชมนาด แม่เฒ่าท่านขอเข้าเฝ้าเพคะ”

“เพลานี้แม่เฒ่าท่านอยู่ที่ใด”

“เพลานี้แม่เฒ่าท่านรออยู่ที่ท้องพระโรงตำหนักองค์รัชทายาทเพคะ”

“เช่นนั้นให้แม่เฒ่าท่านรอประเดี๋ยว ข้า แลลูก ๆ จักตามไป”

“เพคะ” ข้าหลวงสาวคลานเข่าออกไป

“ยี่สุ่น ชงโค” เจ้าแสงแรกตรัสเรียกคนสนิททั้งสองสุรเสียงแผ่ว เพราะกลัวลูกจักสะดุ้งตื่น

“พระเจ้าค่ะ”

“พระเจ้าค่ะ” คนสนิททั้งสองหมอบกราบรอรับพระบัญชาจากคนเป็นนาย

“ข้าฝากองค์รัชทายาท แลเจ้าน้อยทั้งสองสักประเดี๋ยวหนา” เจ้าแสงแรกตรัส

“พระเจ้าค่ะ”



บ่าวคนสนิททั้งสอง แลข้าหลวงรับใช้ใกล้ชิดต่างรู้ดีว่าพระชายาแสงแรกนั้นหวงลูกน้อยทั้งสามเพียงใด นอกจากเจ้านายท่านแล้ว ก็มีเพียงบ่าวคนสนิทอย่างยี่สุ่น ชงโค แลข้าหลวงรับใช้ใกล้ชิดมิกี่คนเท่านั้น ที่พระองค์จักยอมให้เข้าใกล้ลูก ๆ

“ประเดี๋ยวแม่มาหนาลูก” เจ้าแสงแรกขยับผ้าอ้อมให้ลูกทั้งสามก่อนจักตามพระสัสสุออกไป



.

.

.



“ถวายพระพรเพคะ พระชายาชมนาด พระชายาบัวงาม แลพระชาแสงแรก” แม่เฒ่ายกมือเหี่ยวสั่น ๆ ขึ้นไหว้พระชายาทั้งสาม

“มิต้องมากพิธีดอกจ้ะ แลแม่เฒ่ามีกระไรหรือจ๊ะ จึงได้ขอเข้าเฝ้าข้า” เจ้าชมนาดดำเนินเข้าไปประคองหญิงชราให้นั่งลงบนตั่งไม้ตัวเล็ก ก่อนจักดำเนินไปประทับบนตั่งทองตัวใหญ่ ส่วนเจ้าบัวงาม แลเจ้าแสงแรกก็ประทับตั่งตัวเดียวกัน ที่อยู่เยี้อง ๆ ต่ำกว่าตั่งที่เจ้าชมนาดประทับ

“กลัวแม่เฒ่าหรือเจ้าแสง มิต้องกลัวไปดอก วันนี้แม่เฒ่าท่านคงจักมาเตือนกระไรเป็นแน่” เจ้าบัวงามตรัสกระซิบกับพระเชษฐภคินี

“...พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกที่เกาะพระกรอนุชาของพระภัสดาแน่น ตรัสตอบสุรเสียงแผ่ว หากแต่ก็ยังเบียดกายเข้าหาเจ้าบัวงาม

“...หม่อมฉันมาเข้าเฝ้า...กราบทูลพระชายาเพคะ”

“เรื่องกระไรหรือแม่เฒ่า”

“...สัตว์นรกเล่นสกปรก หวังใช้คุณไสยมนต์ดำให้องค์รัชทายาทลุ่มหลง”



เจ้าชมนาดเมื่อได้รับฟังที่แม่เฒ่าท่านทูลก็ขบกรามแน่น พระพักตร์งามเรียบตึง พระหัตถ์กำแน่นทันทีที่รู้ว่ามีผู้คิดร้ายกับโอรสของพระองค์ มิต่างกับเจ้าแสงแรก จากที่เบียดกายเข้าหาเจ้าบัวงามด้วยความหวาดกลัว หากแต่เมื่อได้ฟังที่แม่เฒ่าท่านทูล เจ้าแสงแรกก็ผละจากพระกรของเจ้าบัวงาม

“อีกิ่งใช่หรือไม่เจ้าคะ แม่เฒ่า” สุรเสียงเย็นเฉียบตรัสขึ้น พระชายาชมนาด แลเจ้าบัวงามหันพระพักตร์ขวับไปมองเจ้าแสงแรกทันที

“เพคะ...บุตรีรองเจ้ากรมนาคิดชั่วเล่นสกปรกทำคุณไสยมนต์ดำ หวังให้องค์ภุชงค์ลุ่มหลง...”

“...”

“...”

“...”

“หากแต่อย่าได้กังวลไปเพคะ ดวงชะตาขององค์ภุชงค์มากบุญ มากบารมี มิทางที่ผู้ใดจักทำของต่ำใส่ได้”

“ถึงกระนั้นก็เถิด ข้าก็มิคิดเว้นอาญานังคนคิดชั่วดอกหนา” เจ้าชมนาดตรัส

“หนามยอก ก็ต้องเอาหนามบ่ง...” เจ้าแสงแรกตรัสขึ้น

“หึหึหึ ถูกต้องเพคะ หนามยอก ก็ต้องเอาหนามบ่ง” แม่เฒ่าหวีดเสียงหัวร่อออกมาชอบอกชอบใจ

“ท่านจัดการนางได้หรือไม่เจ้าคะ” เจ้าแสงแรกตรัสถามแม่เฒ่า

“แน่นอนเพคะ ในแผ่นดินนี้ จักมีผู้ใดเก่งกาจไสยเวทย์เท่าหม่อมฉัน หึหึหึ”

“ใคร่อยากทำของมนต์ดำใส่ผัวข้า เช่นนั้นก็ทำของมนต์ดำใส่นางดีหรือไม่เจ้าคะ” เจ้าแสงแรกตรัสถามแม่เฒ่า

“ฮิ ๆ ๆ ๆ พระชายาแสงแรกประสงค์ให้นางถึงตายหรือไม่เพคะ” แม่เฒ่าหัวร่อเสียงเล็กแหลมเสียดแทงแก้วหู

“ข้ามิประสงค์ให้นางถึงตาย หากแต่ข้าต้องการให้นางวิปลาส”

“ง่ายดายนัก เพลานี้นางก็ใกล้จักวิปลาส เพราะมนต์ดำที่ไอ้หมอไสยมันหลอกทำให้นางแล้วเพคะ”

“ข้าต้องการให้นางวิปลาส จนจำมิได้แม้กระทั่งว่าตนเองเป็นใคร”

“ฮิ ๆ ๆ สุณิสาของพระองค์มิได้อ่อนแอ เคี้ยวง่ายเลยหนาเพคะ” แม่เฒ่ากราบทูลพระชายาชมนาด

“หึหึหึ แน่นอน แม่เฒ่า ข้าสอนมากับมือ” เจ้าชมนาดตรัสพร้อมสรวลมุมพระโอษฐ์ ทอดพระเนตรสุณิสาด้วยความภาคภูมิพระทัย



.

.

.



พระชายาชมนาด แลพระชายาบัวงามเสด็จกลับมาที่ห้องบรรทมพร้อมเจ้าแสงแรก เจ้ารพิก็ตื่นขึ้นพอดี แต่ก็มิได้ร้องโยเยแต่อย่างใด ส่วนเจ้ารวิกับเจ้ารวีนั้นยังนอนอุตุอยู่ในห้วงนิทรา

“เจ้ารพิของย่า มาให้ย่าอุ้มหนาเจ้า” เจ้าชมนาดดำเนินไปตรัสกับนัดดาองค์โตที่ข้างเปล ก่อนจักหันไปล้างพระหัตถ์กับอ่างน้ำที่ข้าหลวงสาวถือมารอไว้ แลเช็ดหัตถ์กับผ้าสะอาด หากแต่เมื่อผินพระวรกายกลับมาหานัดดาตัวน้อยที่นอนอยู่ในเปลกลับไปเจอ

“โอ๋ เจ้ารพิ ไยจึงจ้ำม้ำเช่นนี้ หืม” เจ้าบัวงามที่ชิงล้างหัตถ์ก่อนมารดา คว้าตัวหลานไปอุ้มก่อนตรัสเย้าเจ้าตัวน้อย

“เจ้าบัวงาม” เจ้าชมนาดตรัสเรียกโอรสองค์เล็กของตนที่แย่งหลานไปอุ้ม

“แอะ แอะ” เจ้ารพิแลบลิ้นเล่นน้ำลายจนเปรอะปรางกลมขาว โอษฐ์เล็กแย้มยิ้มจนเห็นเหงือกสีแดงสด

“ฮื่อ ไยจึงน่าชังเช่นนี้หนา” เจ้าบัวงามหาได้สนใจมารดาไม่ หยอกเย้าหลานต่อ

“แอะ เอิ้ก ๆ” เจ้ารพิหัวรอเอิ้กอ้าก

“อ๊ะ เจ้ารวิตื่นแล้ว” เจ้าชมนาดเหลือบไปทอดพระเนตรเห็นนัดดาองค์รองจึงได้ปรี่เข้าไปเกาะขอบเปล เปลือกตาสีอ่อนค่อย ๆ เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงแก้วสีนิลที่ทอดแบบมาจากองค์ภุชงค์ปรือปรอยงัวเงีย

“...”

“ตื่นแล้วหรือเจ้าให้ย่าอุ้มหนาคนดี” เจ้าชมนาดสอดพระหัตถ์ช้อนแผ่นหลังเล็กของหลานขึ้นแนบอุระ เจ้ารวิตัวอ่อนซบอังสะของพระอัยยิกาจนพระทัยคนเป็นย่าอ่อนระทวย



เจ้าแสงแรกแย้มสรวลบาง ๆ เห็นแม่ผัว แลน้องผัวเอ็นดูลูกก็ชื่นพระทัย พระบาทบางก้าวไปหยุดอยู่ที่ข้างเปลของเจ้ารวี ข้าหลวงสาวที่ไกวเปลให้เจ้าน้อยอยู่จึงได้ละมือ แลคลานถอยออกมา พระชายาแสงแรกประคองเท้าเล็กของลูกขึ้นกุมแผ่วเบา ลูบไล้ซึมซับผิวนุ่มนิ่มก่อนจักขยับผ้าอ้อมผืนบางให้คลุมตัวลูก

“แอะ แอะ” เสียงร้องอ้อแอ้ของเจ้ารพิดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนเป็นแม่ให้ผินพักตร์กลับไปมอง

“เจ้ารพิคงจักหิวนมอีกแล้วกระมังเจ้าแสง” เจ้าบัวงามตรัส แลแตะพระดรรชนีที่มุมโอษฐ์จิ้มลิ้มถี่ ๆ อย่างหยอกล้อ

“แอะ แอ้” เจ้ารพิอ้าโอษฐ์จนเขฬะไหลซึมเปรอะปรางกลม

“น่าเอ็นดูนัก” คนเป็นอาตรัสพลางใช้ปลายพระนาสิกเกลี่ยผิวนุ่มไปมา

“เอาหลานกินนมก่อนเถิดเจ้าบัวงาม”

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าบัวงามยอมส่งเจ้าตัวน้อยให้ยี่สุ่น เจ้าแสงแรกดำเนินนำบ่าวคนสนิทไปที่พระแท่นบรรทม ชงโคลากฉากโปรงแสงฉลุลายงดงามมากั้น

“ผ้าชุบน้ำต้มพระเจ้าค่ะ” ชงโคยกพานใส่ผ้าถวายคนเป็นนาย

“ขอบใจหนา” เจ้าแสงแรกปลดผ้าแถบของตนออก ใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดรอบเม็ดบัวสีช้ำ แลทั่วเต้ากระเปาะ

“แอะ แอะ” เจ้ารพิส่งเสียงอ้อแอ้

“แม่รู้แล้วเจ้า มิต้องประท้วง” เจ้าแสงแรกตรัส ก่อนจักรับเจ้าตัวน้อยจากยี่สุ่นมาเข้าเต้า โอษฐ์เล็กงับยอดถันของมารดา แลดูดดึงรีดน้ำนม

“ค่อย ๆ กิน” เจ้าแสงแรกตรัส พลางลูบแผ่นหลังเล็กปลอบ



กรุ๊งกริ๊ง ๆ



เจ้ารพิขยับแข้งขยับขาจนกระพรวนข้อพระบาทส่งเสียงกังวาน เรียกความสนใจจากเจ้าพเยียได้เป็นอย่างดี เจ้าน้อยแคว้นศศิมณฑลผละจากยาเยียคนงาม แลคลานตุบตับตามหาที่มาของเสียงกระพรวน

“พเยียจักไปไหนลูก แม่อยู่นี่” เจ้าบัวงามตรัสถามเจ้าตัวน้อยของตนเองที่คลานผ่านหน้าไป

“แอะ แอ้” เจ้าพเยียหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงมารดา ส่งสุรเสียงอ้อแอ้ตอบมารดา ดรรชนีเล็กป้อมชี้ไปทั่ว

“มาหาแม่มาลูกมา” เจ้าบัวงามยื่นพระกรไปหาลูก

“อื้อ” เจ้าตัวน้อยนั่งทับขาตัวเองพลางชี้ดรรชนีป้อม ๆ ไปทางเสียงกระพรวนของเจ้ารพิ

“...” เจ้าบัวงามดำเนินไปอุ้มเจ้าตัวน้อย

“อื้อ” เจ้าพเยียดิ้นไปมา

“เจ้าพเยียมาเล่นกับน้องกับยายมาลูกมา” เจ้าชมนาดตรัสพลางประทับลงบนตั่ง ขยับพระกรเล็กน้อยให้เจ้าพเยียให้ทอดพระเนตรเห็นน้องน้อยในห่อผ้าสีหวาน

“น้องน่ารักน่าชังหรือไม่เจ้า” เจ้าบัวงามจับลูกนั่งลงบนพระเพลา ก่อนจักประคองหัตถ์เล็กของเจ้าพเยียวางลงบนเท้าเล็กของเจ้ารวิ

“...” เจ้าพเยียจับ ๆ กำ ๆ เท้าเล็กของน้องไปมา

“จับเบา ๆ หนาลูกประเดี๋ยวน้องจักเจ็บ”

“คิก ๆ”



เจ้าพเยียอยู่เล่นกับเจ้ารวิได้ครู่หนึ่งน้องก้ต้องไปเข้าเต้ากินนม คนเป็นพี่จึงได้เล่นกับเจ้ารพิแทน เล่นไปเล่นมาตาก็ปรือลง ๆ แทบจักปิด หากแต่คนเป็นพี่ก็ยังห่วงเล่นกับน้องจึงพยายามฝืนไว้ แต่ก็มิอาจจักฝืนไหว จึงได้ทิ้งตัวลงในอ้อมพระอุระของมารดาเข้าสู่ห้วงนิทราทั้ง ๆ ที่หัตถ์ยังคงจับเท้าเล็กของเจ้ารพิไว้

“ทูลพระชายาชมนาด แลพระชายาบัวงามองค์ภุมริน องค์จันทร์ แลองค์ภุชงค์ทรงงานแล้วแล้ว กำลังเสด็จกลับตำหนักเพคะ”

“เยี่ยงนั้นลูกพาเจ้าพเยียกลับตำหนักก่อนดีกว่าพระเจ้าค่ะเสด็จแม่” เจ้าบัวงามตรัส

“พาลูกกลับไปนอนเถิดเจ้า ประเดี๋ยวถึงเวลาสำรับเย็นแล้ว แม่จักให้ข้าหลวงไปตาม”

“พระเจ้าค่ะ” รับคำมารดาแล้ว เจ้าบัวงาม แลสายหยุดก็หอบลูกหอบเต้ากลับตำหนักไปรอรับพระภัสดา



เจ้าชมนาดอยู่เล่นกับหลานอีกครู่ใหญ่จึงได้ส่งเจ้ารพิให้ข้าหลวงรับใช้ดูแลต่อ ส่วนพระองค์ก็ดำเนินไปหาสุณิสาที่กำลังให้นมเจ้ารวีน้องเล็กที่เพิ่งจักตื่น

“แม่กลับตำหนักก่อนหนาเจ้าแสง ประเดี๋ยวค่ำนี้แม่จักแวะมาหาใหม่”

“พระเจ้าค่ะ เสด็จแม่”



เจ้าชมนาดเสด็จกลับตำหนักหลวงพร้อมบ่าวคนสนิท แลขบวนข้าหลวงรับใช้ ระหว่างทางก็สวนกับโอรสองค์โตอย่างองค์รัชทายาทภุชงค์

“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”

“ไหว้พระเถิดเจ้า”

“เสด็จแม่ จักกลับตำหนักหลวงแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“จ้ะ”

“ให้ลูกไปส่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“มิต้องดอก ไปช่วยเมียเลี้ยงลูกเถิด ตื่นพร้อมกันสามคนเยี่ยงนี้ เจ้าแสงแรกคงจักหัวหมุนน่าดู” เจ้าชมนาดตรัสเย้า

“หึหึหึ พ่ะย่ะค่ะ”










ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
นังกิ่งเตรียมตัวตาย!

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไม่ธรรมดาจริงๆ สะใภ้บ้านนี้

ออฟไลน์ mypink801

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เจ้าแสงไม่ยอมคน เก่งมาก!
เด็กๆน่ารักมากกกก ลูกๆเต็มไปหมดเลยย

ออฟไลน์ Thichadad3938

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
คำเตือน : เนื้อหาบางส่วนในตอนนี้มีความรุนแรง มีพฤติกรรมที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ

ไม่เหมาะสำหรับนักอ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำ
[/b]





ภุชงค์เล่นแสง ๒๒



แรม ๑๕ ค่ำ คืนเดือนมืด ไร้แสงจันทร์สาดส่องในยามค่ำคืน มารดาของแม่กิ่งลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อถ่ายเบา เห็นแสงเทียนลอดออกจากห้องของบุตรีจึงได้สาวเท้าเข้าไปหวังจักเอ็ดให้สักที ดึกดื่นค่อนคืนเยี่ยงนี้เหตุใดจึงยังมิหลับมินอน หากแต่เมื่อคุณหญิงท่านผลักบานประตูจนแง้มออก เสียงสวดพึมพำด้วยภาษาแปลกประหลาดก็ดังลอดออกมา ทำเอาผู้เป็นแม่ขนหัวลุกตั้ง แลยิ่งมีเสียงลมหวีดหวิวคล้ายเสียงร้องครวญครางหวีดแหลมท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ คุณหญิงก็เกิดอาการหวาดกลัวจนตัวสั่น ลนลานรีบวิ่งกลับเข้าหอนอนของตนเอง ปิดประตูลงกลอน ลั่นดานจนแน่นหนา ก่อนจักกระโจนขึ้นคลุมโปงจนผู้เป็นสามีสะดุ้งตื่น

“กระไรกันคุณหญิง” ท่านรองเจ้ากรมนาเอ็ดภรรยาด้วยความหงุดหงิดที่ถูกปลุกกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้

“ค คุณพี่เจ้าคะ” คุณหญิงเบียดกายเข้าหาสามี

“เป็นกระไร เกิดกระไรขึ้น” ท่านรองเจ้ากรมนาจับไหล่ภรรยาให้ลุกขึ้นมาพูดจากันให้รู้ความ

“ฮึก ม เมื่อครู่น้องลุกไปเวจเห็นแสงเทียนลอดออกมาจากหอนอนของแม่กิ่ง จึงจักเข้าไปไถ่ถามว่าเหตุใดจึงยังมินอน ต แต่ก็ได้ยินเสียง ม แม่กิ่งเจ้าค่ะ ม แม่กิ่งสวดกระไรก็มิรู้เจ้าค่ะ น่ากลัวนัก น น้องกลัวเจ้าค่ะคุณพี่” คุณหญิงเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“สวดหรือ แม่กิ่งสวดกระไร” แม้ช่วงนี้บุตรีของตนจักมีท่าทีแปลกประหลาดผิดหูผิดตา หากแต่คนเป็นพ่อก็มิอยากจักหาเรื่องจับผิดจึงได้ปล่อยผ่าน

“จ เจ้าค่ะ เฮือก ค คุณพี่ จักไปไหนเจ้าคะ” คุณหญิงรีบคว้าแขนของสามีไว้แน่น

“ก็จักไปดูแม่กิ่งหนาสิ”

“ฮึก คุณพี่อิฉันไปด้วยเจ้าค่ะ” คุณหญิงแม้จักกลัวจนขนหัวลุก แต่ก็ยอมตามผู้เป็นสามีไป ดีกว่าอยู่คนเดียว



ท่านรองเจ้ากรมนาเดินถือตะเกียงตรงไปที่หอนอนของบุตรี โดยมีภรรยาเกาะแขนมิห่าง ประตูหอนอนของแม่กิ่งที่แง้มไว้ถูกผลักเข้าไปเต็มแรง พลันกลิ่นเหม็นเน่าเคล้ากลิ่นอับก็ตีเข้าหน้าของท่านรองเจ้ากรมนา แลคุณหญิงจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก เหม็นจนแทบจักสำรอกออกมา

“แม่กิ่ง นี่เจ้าทำกระไร” ท่านรองเจ้ากรมนาตวาดเสียงดัง ในขณะที่คุณหญิงน้ำตาไหลพรากด้วยความหวาดกลัว แม่กิ่งที่เห็นตรงหน้าราวกับมิใช่บุตรีคนเดิมของนาง ผมเผ้าที่เคยเรียงตัวสยายเต็มแผ่นหลัง บัดนี้พันกันยุ่งเหยิง แลขาดแหว่งเป็นกระจุก ดวงหน้างดงามที่ได้มาจากมารดาก็ซีดโทรม ดวงตาลึกโบ๋ราวกับผีตายซาก เนื้อตัวที่เคยสะอาดสะอ้านก็มีกลิ่นเหม็นราวซากศพ เบื้องหน้าหญิงสาวมีตุ๊กตาดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปคนสองตัวถูกพันด้วยผ้าสีตุ่นเขรอะไปด้วยคราบสกปรกสีน้ำตาลส่งกลิ่นเหม็น ข้างกันนั้นมีถ้วยดินเผาใส่เศษผมเป็นกระจุก ๆ แลเศษเล็บดูน่ากลัว

“เจ้าคุณพ่อ” แม่กิ่งเอ่ยเรียกผู้เป็นพ่อ ก่อนจักยกยิ้มกว้าง

“น นี่ เจ้ากำลังทำกระไร” ท่านรองเจ้ากรมนาเอ่ยถามเสียงสั่น ภาพบุตรีที่เห็นตรงหน้าช่างน่าขนหัวลุกยิ่งนัก

“...ลูกก็กำลังทำให้องค์ภุชงค์ท่านรัก ท่านหลงลูกอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ คิก ๆ ๆ” แม่กิ่งว่าพลางหวีดเสียงหัวร่อแหลมบาดแก้วหู หญิงสาวเลิกสนใจบิดา มารดาที่ยืนเบิกตากว้างคาบานประตูหอนอน แลยกมือข้างหนึ่งขึ้นกัดเล็บตนเอง ฟันคมกัดลึกจนเข้าเนื้อ เลือดสีแดงไหลซึมออกมา แต่แม่กิ่งหาได้มีท่าทีเจ็บปวดไม่ มืออีกข้างก็ยกขึ้นทึ้งเส้นผมของตนเองจนหลุดออกมาเป็นกระจุก ปากที่เปรอะเปื้อนคราบเลือดของตนเองก็พึมพำภาษาประหลาด

“ก กรี๊ด” ผู้เป็นมารดาทนเห็นสภาพของบุตรีมิไหว หวีดร้องออกมา แลเป็นลมล้มพับไป

“คุณหญิง ๆ ๆ” ท่านรองเจ้ากรมนาประคองร่างผู้เป็นเมียไว้ พลางตบแก้มเบา ๆ เรียกสติ

“ฮิ ๆ ๆ ๆ” แม่กิ่งหัวร่อเสียงแหลมยามเอามือเปื้อนเลือดปาดป้ายไปที่ตุ๊กตาดินเหนียวสองตัวที่ประกบกันด้วยผ้าสกปรก



.

.

.



จ๋อม



“แอะ แอ๊ะ”

“ฝ่าบาท ระวังน้ำเข้าตาลูกหนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกที่อุ้มเจ้ารวีอยู่ตรัสกับพระภัสดาด้วยความกังวล

“จ้ะ ๆ พี่จักระวัง” ภุชงค์ตรัสพลางวักน้ำรดลงบนกลุ่มผมน้อย ๆ ของเจ้ารพิ

“อิ๊ แอะ แอ้”

“ภุชงค์ทำดี ๆ หนาลูก” เจ้าชมนาดที่อุ้มเจ้ารวิอยู่ตรัสสำทับอีกครา เมื่อทอดพระเนตรท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของโอรส

“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”



วันนี้องค์ภุมริน แลองค์ภุชงค์มิได้ว่าราชการ คนเป็นพ่อจึงนึกคึกขอเมียเป็นผู้อาบน้ำให้ลูก ๆ ด้วยพระองค์เอง โดยมีเจ้าหลวงภุมริน แลพระชายาชมนาดมาคอยให้กำลังใจชิดติดขอบอ่าง

“แอะ แอ๊ะ ฮึก” เจ้ารพิร้องอ้อแอ้ กำปั้นเล็กปัดป่ายไปมา

“ไหวหรือไม่เจ้าภุชงค์”

“ไหวพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” กว่าจักอาบน้ำให้ลูกครบสามคน องค์ภุชงค์ก็เปียกโชกราวกับเป็นคนอาบเสียเอง

“ฝ่าบาท พระองค์ไปผลัดผ้าก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจักประชวรเอาได้” เจ้าแสงแรกตรัสพลางรับเจ้ารวีที่ห่อด้วยผ้าผืนนุ่มมาโอบอุ้ม

“จ้ะ”

“เยี่ยงนั้น หม่อมฉันพาลูกไปเช็ดตัวก่อนหนาพระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวลูกจักมิสบายเอา”

“จ้ะ ประเดี๋ยวพี่มาหนา”

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกแย้มสรวลให้พระภัสดา ก่อนจักอุ้มเจ้าตัวน้อยคนน้องไปรวมกับเจ้าตัวตัวน้อยคนพี่ทั้งสองคน

“แล้วแล้วหรือเจ้ารวี มายาทาสมุนไพรให้หนา” เจ้าชมนาดที่ผูกปมผ้าอ้อมให้เจ้ารวิแล้วแล้วตรัส ช้อนเจ้าตัวน้อยตัวหอมฉุยส่งให้คนเป็นปู่ แลผินพระวรกายมารับเจ้าคนน้องจากสุณิสา



พระชายาชมนาดค่อย ๆ วางหลานลงบนผ้าขาวที่ปูอยู่บนพระยี่ภู่ มือเล็กคลี่ผ้าออกเผย เจ้ารวีดีดแข้งดีดขาไปมา เจ้าชมนาดใช้ลูกประคบลูกเล็กจิ้มสมุนไพรในถ้วย แลบรรจงทารอบสะดือเล็กของหลานอย่างเบามือ



ฟอด



“ชื่นใจจริงเชียวหลานย่า” กดพระนาสิกบนปรางนุ่ม ก่อนจักรับผ้าอ้อมมาจากสุณิสา คนเป็นย่าใส่ผ้าอ้อมให้หลานด้วยความคล่องแคล่ว

“ขอบพระทัยเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ”

“มิเป็นกระไรดอก แม่ใคร่อยากทำให้หลาน” เจ้าชมนาดตรัส แลลูบเกศาของเจ้าแสงเบา ๆ

“...” เจ้าแสงแรกแย้มสรวลให้พระสัสสุ แลเอียงพักตร์ซบพระอังสะเล็กอย่างออดอ้อน เพราะมารดาจากไปตั้งแต่ยังเล็กจึงมิมีโอกาสได้ออดอ้อนมารดาเหมือนคนอื่นเขา เมื่อพระสัสสุท่านรัก แลเอ็นดูขนาดนี้เจ้าแสงแรกจึงใคร่อยากออดอ้อนพระองค์ท่านให้สมกับที่โหยหาความอบอุ่นจากมารดา

“หึหึหึ ข้าว่าเจ้าบัวงามช่างออดช่างอ้อนแล้วหนา แต่เจ้ากลับยิ่งกว่า” เจ้าชมนาดตรัสอย่างเอ็นดู

“เป็นเพราะเสด็จแม่ชมนาดเมตตาหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงใคร่อยากออดอ้อนพระองค์พระเจ้าค่ะ”

“อ้อนกระไรกันอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ ขอหม่อมฉันอ้อนด้วยคนหนา” องค์ภุชงค์ที่ผลัดผ้าเรียบร้อยแล้ว ดำเนินเข้ามารวบทั้งมารดา แลเมียเข้าไปกอด

“อื้อ เจ้าภุชงค์เล่นกระไรเป็นเด็กไปได้ลูก” เจ้าชมนาดเอ็ดลูก หากแต่พระโอษฐ์กลับแย้มสรวลกว้าง

“แอะ แอะ” เจ้ารวีที่ถูกลืมส่งเสียงอ้อแอ้ประท้วงออกมา

“โอ๋ คนดีของย่า มา ย่าอุ้มหนาลูก”

“ไปกันได้แล้วกระมัง ประเดี๋ยวแดดจักแรงเสียก่อน” องค์ภุมรินตรัส

“พระเจ้าค่ะ” เจ้าชมนาดพยักพักตร์ แลคว้าผ้าอ้อมมาคลุมหัวหลาน



ที่วันนี้เจ้าตัวน้อยเจ้าแสงแรก แลองค์ภุชงค์จับลูกน้อยทั้งสามอาบน้ำเสียจนตัวหอมฉุย ก็เพราะวันนี้ทั้งคู่จักพาลูกน้อยทั้งสามออกนอกตำหนักเป็นครั้งแรก โดยคนเป็นพ่อ แลแม่จักพาลูกไปเดินเล่นที่สวนพฤกษารับแดดอ่อน ๆ ยามเช้า เมื่อองค์ภุมริน และเจ้าชมนาดทราบเข้าก็ขอตามมาด้วย กลายเป็นว่าอรุณนี้ครอบครัวภุมริกาพากันเสด็จสวนพฤกษาทั้งครอบครัว



องค์ภุมรินอุ้มเจ้าน้อยรวิแนบพระอุระ ปรางกลมของทารกน้อยพาดอยู่บนพระอังสะกว้างของผู้เป็นปู่ เช่นเดียวกับเจ้ารวีที่เจ้าชมนาดอุ้มอยู่

“เจ้ารพิ ขี้เซาจริงลูก” องค์ภุชงค์ตรัส เมื่อเจ้าน้องเล็กอ้าปากหาววอดออกมา ดวงเนตรกลมปรือปรอย ปรางกลมแนบเบียดกับอังสะของมารดา

“หึหึหึ” เจ้าแสงแรกสรวลด้วยความเอ็นดูลูกน้อย

“หึหึหึ” องค์ภุชงค์สรวลน้อย ๆ ก่อนจักกดพระนาสิกเบา ๆ ที่นลาฎของเจ้ารพิ



เมื่อมาถึงศาลาริมสระหลวงก็พบองค์สิงห์ท่านประทับยืนรอท่าอยู่แล้ว เจ้าแสงแรกดำเนินเข้าหาบิดาตนเองพร้อมรอยสรวล องค์สิงห์ยกหัตถ์ลูบเกศาคนเป็นลูกก่อนจักขออุ้มหลานบ้าง เจ้าแสงแรกจึงส่งเจ้ารพิให้ผู้เป็นพ่อได้เชยชมหลาน

“รพิน้อยของตา” องค์สิงห์ประคองหลานลงนอนในอ้อมพระกร พระเนตรเป็นประกาย พระทัยขององค์สิงห์พองโตเต้นระรัวยามที่เจ้าตัวน้อย ยกโอษฐ์แย้มสรวลให้

“เสด็จพ่อ เจ้ารพิยิ้มให้พระองค์ด้วยพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัส

“หึหึหึ ชอบให้ตาอุ้มหรือเจ้า” องค์สิงห์ตรัสเย้า พระหัตถ์ประคองมือน้อย ๆ ของหลานขึ้นจูบกลางฝ่ามือเล็ก



ทั้งแปดพระองค์ประทับอยู่ศาลาริมสระหลวงได้มินาน องค์จันทร์ แลเจ้าบัวงามก็หอบลูกมาสมทบด้วย เจ้าบัวงามหมอบกราบบิดา มารดา แลเจ้าหลวงการเวกพร้อมบ่นกระปอดกระแปดว่ามิยอมบอกตนว่าจักพาหลาน ๆ ออกมาที่ศาลาริมสระหลวง

“หากหม่อมฉันมิไปที่ตำหนักของภุชงค์ก็คงมิรู้ว่าพาหลานออกจากตำหนักเป็นคราแรก”

“โธ่ พี่ขอโทษหนาเจ้าบัวงาม พี่เองก็ตื่นเต้นจนลืมไปเสียสนิท มิโกรธพี่หนาคนดี” องค์ภุชงค์ตรัสง้ออนุชา

“พระเจ้าค่ะ ๆ บัวมิเคืองดอก”

“น่ารักน่าชังนักน้องพี่” ตรัสกับอนุชา

“พเยียยังมิตื่นดีอีกหรือลูก ไปเล่นกับน้องหรือไม่” เจ้าบัวงามตรัสถามเจ้าตัวน้อยที่ซบพระอุระของบิดานิ่ง กรเล็กป้อมกอดเจ้าตัวยัดนุ่นแน่นอย่างหวงแหน

“...ใคร่อยากไปเล่นกับน้องหรือไม่ลูก” องค์จันทร์กระซิบถามลูกน้อยในอ้อมพระอุระ พระนาสิกกดลงบนกระหม่อมเล็กอย่างรักใคร่

“อื้อ” เจ้าตัวน้อยขยับไถตัวลงจากพระเพลาของบิดา ฝากเจ้าก้อนนุ่นไว้กับบิดา แลคลานตุบตับไปหาพระอัยยิกา เจ้าภุชงค์รีบคว้าตัวหลานขึ้นอุ้มทันทีด้วยความมันเขี้ยว

“พเยีย ขอลุงอุ้มหน่อยเจ้า”

“อื้อ” เจ้าพเยียดิ้นปัดแข้ง ปัดขาไปมา สุดท้ายก็ถูกพระปิตุลารวบเข้าไปในอ้อมพระอุระอยู่ดี

“เล่นกับลุงก่อน ค่อยไปเล่นกับน้องดีหรือไม่” องค์ภุชงค์ตรัสถามหลานรัก หากแต่หน้าตาของเจ้าพเยียนั้นกลับบอกพระองค์ว่า มิดี!

“...หงึ”

“ฮะฮ่า ๆ ๆ ฟอด” องค์ภุชงค์สรวลด้วยความเอ้นดูเจ้าตัวกลม กดพระนาสิกกับปรางนิ่มฟอดใหญ่ ก่อนจักอุ้มหลานไปคุกพระชานุตรงหน้าเจ้าชมนาด

“เจ้าพเยียใคร่อยากเล่นกับน้องหรือลูก หืม” เจ้าชมนาดตรัส แลโน้มพักตร์ลงมากดพระนาสิกกับนลาฎของหลาน

“ยะ ยะ” เจ้าพเยียตรัสอ้อแอ้จนคนเป็นยายหลงแล้ว หลงอีก

“มาให้ยายกอดทีหนา” เจ้าชมนาดส่งเจ้ารวีคืนคนเป็นพ่อ แลรับเอาเจ้าพเยียมากอด



องค์ภุชงค์ประคองลูกลงนอนในอ้อมพระกร แลเบี่ยงพระวรกายให้เจ้าพเยียได้เห็นน้องชัด ๆ เจ้าพเยียจ้องน้องตามิกะพริบ หัตถ์เล็กยื่นไปแตะตัวนิ่ม ๆ ของเจ้ารวีแล้วก็สรวลออกมาอย่างชอบพระทัย เรียกรอยสรวลจากผู้หลัก ผู้ใหญ่ แลรอยยิ้มเอ็นดูจากเหล่าข้าหลวงรับใช้ได้มากโข วังหลวงที่มีแต่เจ้านายน้อย ๆ มันมีชีวิตชีวาเช่นนี้เอง



พอสายหน่อยแดดเริ่มออก ก็ต้องพาเด็ก ๆ กลับเข้าตำหนัก เจ้าแสงแรกให้นมลูกทั้งสามจนแล้วแล้ว ก็ต้องปลีกตัวไปเข้ากระโจมอยู่ไฟ

“ฝ่าบาท ประเดี๋ยวหม่อมฉันมา ฝากลูกด้วยหนาพระเจ้าค่ะ”

“จ้ะ” องค์ภุชงค์ตรัส พระองค์เอาลูกนอนด้วยกันบนพระยี่ภู่ มิยอมเอาลูกลงเปล เจ้าแสงแรกทอดพระเนตรพระภัสดา แลกังวลพระทัยน้อย ๆ

“ให้ยี่สุ่น แลชงโคอยู่รับใช้พระองค์ที่นี่ดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ เผื่อลูกตื่นมาโยเยพร้อมกันจักได้มีคนช่วยพระองค์”

“มิเป็นกระไร ลูกพึ่งจักนอนคงยังมิตื่นเร็ว ๆ นี้ดอก เจ้าไปเถิด เอายี่สุ่น แลชงโคไปดูแลเจ้าด้วย มิต้องห่วงหนา พี่จักดูแลลูกอย่างดี” องค์ภุชงค์ตรัส แลรวบตัวเมียเข้ามากอด พลางหอมนลาฎขาวฟอดใหญ่

“...พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกยอมตัดพระทัย รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน



เมื่อเมียออกจากห้องบรรทมไปแล้ว องค์ภุชงค์ก็พาพระองค์เองไปทอดพระวรกายลงนอนข้างเจ้าตัวน้อยทั้งสาม พระดรรชนีเรียวแตะลงบนปลายนาสิกของเจ้ารพิเบา ๆ แลแย้มสรวลองค์เดียว ลูกข้าช่างน่าชังนัก! กวนโอรสองค์โตแล้ว ก็ขยับไปกวนเจ้ารวีน้อยที่นอนอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ทั้งสอง พระหัตถ์คนเป็นพ่อช้อนเท้าเล็กนุ่มนิ่มขึ้นจูบหอม ดำริไปถึงตอนเจ้าตัวเล็กนี่เกิดแลพระทัยหาย องค์ภุชงค์สัญญากับองค์เองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจักมิยอมให้ลูกเป็นกระไรไปเป็นอันขาดมิว่าจักเป็นเจ้าคนใดก็ตาม

“งึ งือ” เจ้ารวีครางเล็กน้อย แลหลับต่อ องค์ภุชงค์จึงค่อย ๆ วางเท้าเล็กลง ก่อนจักเบนเป้าหมายไปหาเจ้ารวิ เจ้าตัวน้อยคนกลางนอนหงายกางแข้งกางขา

“ไยจึงนอนกางแข้งกางขาเช่นนี้เล่าลูก” องค์ภุชงค์ขมวดพระขนง แลจับขาเล็กให้หุบ หากแต่เมื่อปล่อยพระหัตถ์ออกเจ้ารวิก็กางขาเช่นเดิม คนเป็นพ่อก็จับขาลูกหุบอีก คนลูกก็กางขาออกอีก องค์ภุชงค์พยายามจับขาของเจ้ารวิให้หุบ จนกระทั่งเจ้าตัวน้อยรำคาญหวีดเสียงร้องจนคนเป็นพ่อสะดุ้งร้อนรนคว้าเจ้าตัวน้อยแนบพระอุระปลอบ

“แงงงง”

“ชู่ว ๆ พ่อขอโทษเจ้า” องค์ภุชงค์โยกกายปลอบเจ้ารวิ พระเนตรก็คอยเหลือบมองเจ้ารพิ แลเจ้ารวีที่นอนอยู่บนพระแท่นบรรทม ภาวนาให้ลูกน้อยอีกสองคนมิตื่นขึ้นมา

“ฮึก อึก” เจ้ารวิสะอื้นเสียงแผ่ว แลเคลิ้มหลับไปอีกครา

“...” องค์ภุชงค์ลอบถอนพระทัย เมื่อเจ้ารวิหลับลงอีกครา แลเจ้ารพิ แลเจ้ารวีก็ยังมิตื่นขึ้นมา



คนเป็นพ่อเอนพระวรกายลงนอนข้างลูกน้อยอีกสองคนโดยมีเจ้ารวินอนซบอยู่บนพระอุระกว้าง ครานี้องค์ภุชงค์มิกล้ากวนลูกอีกแล้ว พระหัตถ์ข้างหนึ่งกอดเจ้ารวิไว้มิให้ตกจากอุระ ส่วนอีกข้างก็คว้าผ้าอ้อมมาปัดรอบ ๆ ตัวลูกทั้งสามรอเมียกลับมา



.

.

.



หลังจากราตรีที่ท่านรองเจ้ากรมนา แลคุณหญิงไปพบบุตรีทำพิธีประหลาดในหอนอนของตนเอง แม่กิ่งก็ถูกกักบริเวณมิให้ออกไปไหน มาไหน ซ้ำยังต้องมีบ่าวคอยเฝ้าตลอดเพลามิให้หญิงสาวลุกขึ้นมาทำกระไรประหลาด ๆ ได้อีก หากแต่แม่กิ่งก็ยังคงพึมพำบทสวดแปลกประหลาดตลอดเพลาจนบ่าวในเรือนเกี่ยงกันมาเฝ้าคุณหนูของบ้าน

“...” อีแดงลอบมองนายมัน แลค่อย ๆ แกะผ้าที่พันนิ้วมือของแม่กิ่งไว้ มันทาสมุนไพรลงบนแผลของนาย ก่อนจักพันผ้าให้ใหม่ หากแต่จู่ ๆ นายของมันก็หวีดเสียงหัวร่อออกมาจนมันตกใจตาค้าง หัวใจหล่นไปอยู่ใต้ถุน อีเพื่อนบ่าวที่มาเฝ้าคุณกิ่งเธอเป็นเพื่อนมันก็วิ่งหนีแตกกระเจิงออกไป ทิ้งมันให้เผชิญกับความวิปลาสของนายมันคนเดียว

“...” แม่กิ่งนอนพึมพำบทสวดประหลาดมิสนใจกระไรทั้งนั้น ดวงตาแข็งค้างจดจ้องเพดานมิกะพริบ

“...” อีแดงลอบมองนายมัน แลค่อย ๆ แกะผ้าที่พันนิ้วมือของแม่กิ่งไว้ มันทาสมุนไพรลงบนแผลของนาย ก่อนจักพันผ้าให้ใหม่ หากแต่จู่ ๆ นายของมันก็หวีดเสียงหัวร่อออกมาจนมันตกใจตาค้าง หัวใจหล่นไปอยู่ใต้ถุน อีเพื่อนบ่าวที่มาเฝ้าคุณกิ่งเธอเป็นเพื่อนมันก็วิ่งหนีแตกกระเจิงออกไป ทิ้งมันให้เผชิญกับความวิปลาสของนายมันคนเดียว

“กรี๊ด ฮะฮ่า ๆ ๆ องค์ภุชงค์เพคะ องค์ภุชงค์ ฮะฮ่า ๆ ๆ”

“...ฮึก ค คุณกิ่ง” อีแดงสะอื้นไห้ด้วยความหวาดกลัว

“มึง!! มึงจักมาแย่งองค์ภุชงค์ท่านไปจากกูใช่หรือไม่!! ถุย” แม่กิ่งหันขวับมาถลึงตาใส่บ่าวคนสนิท แลตวาดใส่ ดวงตาของหญิงสาวแข็งค้าง แดงก่ำจนเหมือนผีห่าเข้าสิง แม่กิ่งถุยน้ำลายใส่หน้าของอีแดง แลลุกขึ้นถีบบ่าวของตนจนกระเด็นติดกำแพง ก่อนจักวิ่งเตลิดออกมาจากหอนอน

“ค ใครก็ได้ ช ช่วยกูจับคุณกิ่ง ท ที คุณกิ่งเธอหนีไปแล้ว” อีแดงตะโกนกระท่อนกระแท่นให้คนช่วย มือมันกุมท้องตัวเองด้วยความเจ็บจุก กว่ามันจักลุกขึ้นตะโกนให้คนช่วยได้ คุณกิ่งเธอก็วิ่งลงจากเรือนไปแล้ว



หญิงสาววิ่งลงจากเรือนไปที่ป่าท้ายเรือนหวังจักไปยังวังหลวง หรือก็คือเรือนของหมอผีเฒ่า ผ้าผ่อนที่นุ่งมาหลุดลุ่ยกลางทางจนบัดนี้ บุตรีของท่านรองเจ้ากรมนาเนื้อตัวล่อนจ้อน บ่าวชายที่วิ่งตามต่างมิกล้าเข้าไปจับคุณหนูของเรือนด้วยเกรงโทษจากท่านเจ้าเรือน พวกมันทำได้เพียงวิ่งต้อนคุณกิ่งเธอเข้ามาในวงล้อมของบ่าว แลพากันล้อมมิให้คนเป็นนายเตลิดไปไหนได้ ส่วนอีแดงมันรีบให้คนไปตามท่านรองเจ้ากรมนาท่านโดยด่วน

“พวกมึง!!! กล้าดียังไงมาขวางกู!!! หลีกบัดเดี๋ยวนี้”

“...” พวกบ่าวมองหน้ากันไปมา หากแต่ก็มิกล้าเปิดวงล้อมให้คุณกิ่งเธอ รอท่านรองเจ้ากรมนาท่านมาจัดการบุตรีของตัวเองเถิด

“หลีกไป!!! กูจักไปหาองค์ภุชงค์ผัวกู!!!”

“ม แม่กิ่ง ฮือ แม่กิ่งลูกแม่” คุณหญิงท่านวิ่งตามมาหน้าตาตื่น หลังจากที่บ่าวมันไปปลุก คุณหญิงเพียงแค่เผลองีบไปเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น คาดมิถึงว่าจักเกิดเรื่องได้

“ปล่อยกู!!!”

“อีแดง มึงรีบเอาผ้าไปคลุมลูกกู” คุณหญิงแทบเป็นลมเมื่อเห็นบุตรีเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ในวงล้อมของบ่าวผู้ชาย

“จ เจ้าค่ะ” อีแดงมุดเข้าไปในวงล้อม แลเอาผ้าคลุมร่างนายของมัน หากแต่แม่กิ่งกลับยกขาถีบอีแดงเสียกระเด็น ซ้ำยังกระชากผ้าที่มันเอาคลุมให้ออก

“แม่กิ่ง ไยจึงทำเช่นนี้เล่าลูก” คุณหญิงโอนเอนไปมาให้บ่าวมันได้ประคอง

“ปล่อยกู กูจักไปหาองค์ภุชงค์ผัวกู”

“แม่กิ่งอย่าพูดเช่นนั้นลูก” คุณหญิงกล่าวเคล้าสะอื้น หากมีคนนอกมาได้ยินเข้า มิได้คอขาดกันทั้งเรือนหรือที่แอบอ้างองค์รัชทายาทท่านเยี่ยงนี้

“ท่านเป็นผัวกู ไยกูจักพูดมิได้!!!” สติวิปลาสลืมเลือนแม้กระทั่งมารดา

“แม่กิ่ง ไยพูดกับแม่เช่นนี้”

“ปล่อยกู กูจักไปหาผัวกู องค์ภุชงค์เพคะ รอเมียก่อนหนา เมียจักรีบไปหา ฮิ ๆ ๆ ๆ”



กว่าจักจับแม่กิ่งกลับเข้าเรือนได้ก็ต้องรอท่านรองเจ้ากรมนาท่านมา คนเป็นพอกลั้นใจยอมให้บ่าวชายมันแตะต้องตัวบุตรี พวกบ่าวเอาผ้าคลุมร่างเปลือยเปล่าของคุณหนู แลช่วยกันอุ้มขึ้นเรือน ครานี้ท่านรองเจ้ากรมนาสั่งให้อีแดงมัดแม่กิ่งกับเตียงนอน มิให้หนีได้อีก

“คุณพี่เจ้าคะ ไยจึงต้องมัดลูกเป็นหมูเป็นหมาเยี่ยงนี้” คุณหญิงร้อนใจนักที่เห็นสามีมัดลูกเยี่ยงนี้

“แลจักให้มันแก้ผ้าแก้ผ่อนลงไปให้พวกบ่าวมันไล่จับอีกหรือ แค่นี้ข้าก็มิรู้จักเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว” ท่านรองเจ้ากรมนาตวาดภรรยาเสียงดัง

“ฮึก”

“ข้ามิน่าให้มันกลับมาเลย ให้มันไปอยู่ชานเมืองกับแม่หล่อนก็ดีอยู่แล้ว” ท่านรองเจ้ากรมนาตวาด แลเดินหนีคุณหญิงท่านไป

“ฮึก ฮือ”



อีแดงกล้า ๆ กลัว ๆ มิใคร่อยากจักเข้าใกล้คนเป็นนาย หากแต่มันที่เป็นบ่าวคนสนิทจำเป็นต้องทำ อิแดงประคองสำรับเข้าไปให้คุณกิ่งเธอ

“อีผินมึงไปช่วยกูป้อนข้าวคุณกิ่งเธอที” อีแดงสั่งอีผิน

“ต แต่”

“ทำไม มึงรังเกียจคุณกิ่งเธอหรือ มึงจักไปดี ๆ หรือจักต้องให้กูเรียนคุณหญิงท่านก่อน”

“...จ้ะ พี่แดง” อีผินน้ำตาคลอ หากแต่ก็ต้องกล้ำกลืนทำตามที่อีแดงสั่ง



เมื่อครั้งคุณกิ่งเธอยังเล็ก อีแดงมันพยายามเอาอกเอาใจคุณกิ่งเธอจน คุณหนูของบ้านเลือกให้มันเป็นบ่าวคนสนิท อีแดงดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้รับใช้คุณหนู มิต้องไปเป็นบ่าวก้นครัว ทำงานงก ๆ สบายกว่าเป็นไหน ๆ หากแต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ วันหนึ่งคุณหนูของมันก็เกิดวิปลาสขึ้นมา แล้วกรรมจักไปตกที่ใครหากมิใช่อีแดงบ่าวคนสนิท!

“คุณกิ่งเจ้าขา อีแดงเอาสำรับมาให้เจ้าค่ะ ทานข้าวหนาเจ้าคะ” อีแดงมันว่า พลางพยักหน้าให้อีผินช่วยกันประคองคนเป็นนายขึ้น

“...” คุณกิ่งเธอเหม่อลอย ดวงตาลึกโหล ดวงหน้างามซูบโทรม ปากก็พึมพำกระไรมิได้ศัพท์

“ทานข้าวหนาเจ้าคะ” อีแดงว่าพลางเอาข้าวจ่อที่ปากคนเป็นนาย

“อึก” หากแต่เมื่อแม่กิ่งได้กลิ่นกับข้าวที่อีแดงยกมาให้ก็มีอาการพะอืดพะอม

“ค คุณกิ่งเป็นกระไรไปเจ้าคะ” อีแดงตัวสั่นด้วยความกลัว มิรู้ว่าวันนี้นายมันจะวิปลาสกระไรขึ้นมาอีก

“อึก อ่อก” แม่กิ่งสำรอกใส่บ่าวคนสนิท

“ว้าย” อีแดงผละออกมามิทันโดนสำรอกของนายมันรดเข้าเต็ม ๆ ตัว

“พ พี่แดง ประเดี๋ยวข้าไปเรียนคุณหญิงท่านก่อนหนาจ้ะ ว่าคุณกิ่งเธอมิสบาย” อีผินว่า แลวิ่งออกจากหอนอนคุณกิ่งเธอไป ทิ้งอีแดงไว้

“อ อีผิน อีผิน” อีแดงตะโกนไล่ตามอีผิน แต่อีผินก็หาได้หยุดไม่ อีแดงฟึดฟัดด้วยความหงุดหงิด



คุณหญิงท่านให้คนไปตามท่านรองเจ้ากรมนา แลหมอมาตรวจดูอาการของบุตรีด้วยความกังวล สองสามีภรรยารอหมอท่านด้วยใจจดใจจ่อ แค่บุตรีวิปลาสก็ทุกข์ใจมากพอแล้ว อย่าให้แม่กิ่งเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นกระไรไปอีกเลย

“ท่านหมอ ๆ บุตรีของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ” คุณหญิงรีบลุกจากตั่งไปหาท่านหมอทันทีที่ก้าวขาออกจากหอนอนแม่กิ่ง

“ท่านรองเจ้ากรมนา คุณหญิง...”

“ว่าอย่างไร แม่กิ่งเป็นอย่างไรบ้าง”

“แม่กิ่งเธอ...”

“กระไร ลูกข้าเป็นกระไรก็พูดมาสิ” คุณหญิงทนมิไหวตวาดเข้าให้

“แม่กิ่งเธอท้อง”

“...”

“...” สองสามีภรรยาเบิกตากว้างนิ่งงันมิขยับ

“ข้าตรวจดีแล้ว แลข้ามั่นใจว่าตรวจมิผิดแน่ แม่กิ่งนางท้อง”

“ม มิจริง ฮึก อึก” คุณหญิงเป็นลมหงายหลังตึงให้บ่าวมันวิ่งมาพัดมาวี



หลังจากที่คุณหญิงท่านฟื้นแล้ว กรรมจักไปตกที่ใครถ้ามิใช่อีแดงบ่าวคนสนิท อีแดงถูกลากมากองอยู่แทบเท้าท่านรองเจ้ากรมนา

“มึงบอกกูมาอีแดง ว่าอีลูกทรพีของกูมันท้องกับผู้ใด!”

“ฮึก บ บ่าวมิทราบเจ้าค่ะ”

“มึงจักมิรู้ได้อย่างไร มึงเป็นบ่าวคนสนิทของมัน อยู่กับมันตลอดเพลา”

“ฮึก ๆ ช ช่วงหลังมานี่ บ บ่าวมิได้อยู่กับคุณกิ่งเธอตลอดเพลาเช่นเมื่อก่อนเจ้าค่ะ”

“...”

“ต แต่ บ บ่าวได้ยินคุณกิ่งเธอว่าเธอมีสัมพันธ์กับ อ องค์ภุชงค์เพคะ”

“หุบปากมึงประเดี๋ยวนี้” ท่านรองเจ้ากรมนาตวาดอีบ่าวชั้นต่ำเสียงดัง กล้าพูดออกมาได้อย่างไร หากมีใครมาได้ยินเข้ามิคอขาดกันทั้งเรือนหรือ

“ฮ ฮึก”

“มึงรู้กระไร มึงคายออกมาให้หมดบัดเดี๋ยวนี้”

“...ฮึก อึก”

“มึงจักพูดดี ๆ หรือ มึงจักให้กูทรมานมึงก่อนหาอีแดง”

“ฮึก บ บ่าว...”



เพี๊ย



อีแดงกลอกตาล่อกแล่ก มันจักพูดออกไปดีหรือไม่ หากพูดออกไปแล้ว มิใช่เพียงคุณกิ่งที่จักแย่ มันก็จะตายเอาที่ยุแยงคนเป็นนายให้ไปหาไอ้หมอผีเฒ่านั่น หากแต่ยังมิทันได้คิดกระไรไปมากกว่านี้ มันก็ถูกฝ่ามือของท่านรองเจ้ากรมนาตบเข้าที่หน้าจนเลือดกบปาก

“อีเวร มึงจักพูดหรือไม่”

“ฮึก บ บ่าวพูดแล้วเจ้าค่ะ ฮือ” อีแดงกุมปากตัวเองสะอื้นไห้ตัวสั่นด้วยความกลัว

“...”

“ค คุณกิ่งเธอให้บ่าวไป ห หาพ่อหมอไสยที่เก่งกาจมีวิชามาให้ บ บ่าวจึงไปหามาให้เธอตามคำสั่ง”

“...”

“คุณกิ่งเธอให้บ่าวพาไปหาหมอไสยที่กระท่อมท้ายป่าช้าที่คุ้งน้ำฝั่งโน้น เธอไปให้พ่อหมอทำเสน่ห์ยาแฝดใส่ อ องค์ภุชงค์ท่าน ฮึก ฮือ ค คุณกิ่งเธอให้บ่าวรออยู่นอกเรือน บ บ่าวมิทราบว่าพ่อหมอทำพิธีกระไรให้คุณกิ่งเธอ”

“...”

“หลังจากนั้น บ บ่าวก็มิทราบแล้วเจ้าค่ะ บ บ่าวติดตามคุณกิ่งเธอไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ฮือ”

“...”

“หลังจากนั้นคุณกิ่ง ธ เธอก็มิให้บ่าวตามเธอไปอีก เธอมักจักออกไปข้างนอกคนเดียว เมื่อบ่าวถาม คุณกิ่งเธอก็บอกแต่เพียงว่าเธอไปเข้าเฝ้าองค์ภุชงค์เจ้าค่ะ ฮือ บ บ่าวทราบแค่นี้เจ้าค่ะ บ่าวทราบแค่นี้จริง ๆ เจ้าค่ะ”

“...”

“ส่วนเรื่องเด็กในท้องของคุณกิ่ง ฮึก ฮือ บ่าวมิทราบจริง ๆ เจ้าค่ะ ว่าใครเป็นพ่อ ฮือ”



เมื่อได้ฟังคุณหญิงท่านก็ปล่อยโฮ แลเป็นลมล้มตึงไปอีกรอบ ส่วนท่านรองเจ้ากรมนาเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดจากปากอีแดงก็โกรธจนตัวสั่น แลลงไม้ลงมือกับอีแดงจนสะบักสะบอมดูมิได้

“อั่ก ฮือ คุณท่านเจ้าขา เมตตาบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” อีแดงนอนขดรับเท้าจากนายใหญ่ของเรือน

“ฮึก ฮือ มิจริง ฮือ แม่กิ่งลูกแม่ ไยจึงทำเช่นนี้ ฮือ” คุณหญิงท่านร่ำไห้ขาดสติโดยมีบ่าวคนสนิทคอยบีบนวดให้



.

.

.




















 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด