การเดินปูพรมเพื่อค้นหาคนที่หายไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนกำลังดำเนินไปอย่างรีบเร่ง หลายฝ่ายประสานงานกันทำงานเป็นทีมรวมทั้งชาวบ้านและผู้มีจิตใจช่วยเหลือ วางแผนแนวทางค้นหา ถ้าไม่พบศพก็ถือว่ามีชีวิตอยู่
“วันนี้ เราจะขยายวงกว้างค้นหาขึ้นอีกหลายพื้นท้นที่ ต้องทำกันอย่างรัดกุม” สมศักดิ์กล่าวกับลูกน้อง
“ดีนะครับ วันนี้มีคนมาเยอะ” ต๊อดเอ่ย มองดูรอบๆ อำเภอ
“แปลกนะนาย ทำไมนายอำเภอไม่ค่อยจะพอใจนัก” โม่งเอ่ย
“แต่ก็ยังส่งคนมาช่วยนั้นไง” สมศักดิ์ หันไปทางลูกน้องของนายอำเภอ ซึ่งทั้งต๊อดและโม่งหันไปมอง
“ตั้งทีมคนหา เซอะคงได้เห็นหรอก ปานนี้มันเป็นอาหารปูปลาหมดแล้ว” ชายร่างใหญ่หนาเทอะเอ่ยกับคนที่เดินมาด้วย
“ยังไงช่วงนี้พวกมึง เงียบๆไว้ก่อนนะ นายใหญ่สั่งมา พวกนั้นกำลังเพ่งเล็ง คนหายไปทั้งคน” ชายร่างใหญ่หนา รีบสั่งลูกน้อง
“ครับพี่ยักษ์” ลูกน้องร่างผอม น้อมรับคำ
“โดยเฉพาะมึงไอ้สน นายสำราญกำชับหนักหนา อย่าปากโป้งไปเชียวมึง” ยักษ์หันไปกำชับทางลูกน้องที่ชื่อว่าสน
“ไม่ต้องห่วงพี่ยักษ์ ฉันจะรูดซิบปากเชียว” สนกล่าวให้คำมั่น ทั้งสามเดินมาสมทบกับสมศักดิ์
“นายสำราญให้มาช่วย” ยักษ์กล่าวกับสมศักดิ์ ซึ่งสมศักดิ์กดโทรศัพท์รายงานความคืบหน้า
“ท่านครับ พบโทรศัพท์ปลัดสาโรชตรงทางลงสะพานครับ แบตหมดครับ นอกนั้นยังไม่มีเบาะแสเลยครับ” สมศักดิ์รายงาน สำราญ
“ให้ลูกน้องไปช่วยอีกแรง พวกเขาไปถึงหรือยัง” สำราญกล่าว สมศักดิ์สบตากับยักษ์
“ครับท่าน มาถึงแล้วครับ” สมศักดิ์รับคำ
“ตามเบาะแสให้ได้นะปลัด ผมเชื่อมือคุณ” สำราญกำชับ สมศักดิ์ปรับสีหน้าเข้ม แล้วกดวางสาย
“วันนี้ ตามแผนเราจะเข้าโรงเรียน” สมศักดิ์เอ่ยกับทุกคน
“ไกลไหมครับท่านปลัด” เจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ ๆ ถามขึ้น
“ถ้าเราออกตอนนี้ คงถึงบ่าย ๆ ครับ อย่างไรเราก็ต้องรีบ” สมศักดิ์ตอบ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงรีบจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการเดินทาง
“เราใช้เส้นทางตรงนี้ไปถึงโรยงเรียนกี่กิโล” สมศักดิ์ถาม เมื่อกางแผนที่ออกมาดู
“ประมาณ 50 กิโลเมตรครับท่านปลัด” เจ้าหน้าที่อีกคนเอ่ย
“อย่างไรก็อย่าทำให้ แตกตื่นกันละ” สมศักดิ์กำชับลูกน้อง
ตอนนี้โรงเรียนปิดหยุดยาว ก็จะมีแค่พวกครูครับที่ยังทำงานอยู่” เจ้าหน้าที่คนเดิมรายงาน
“ขอความอนุเคราะห์ทางพื้นหรือยัง” สมศักดิ์หันไปหาลูกน้องตัวเอง
“เรียบร้อยครับนาย” โม่งเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นเราเดินทางกัน อย่างไรต้องทำให้กระจ่างโดยเร็วทางผู้ใหญ่สนใจอยู่” สมศักดิ์กล่าว กระชับอีกครั้งจากนั้นทุกคนพร้อมเดินทาง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อากาศยามเช้าเย็นสบาย แว่วเสียงประกาศในหมู่บ้านดังแว่วมา แม้จะอยู่ในช่วงฤดูพระพิรุณ พระพายยังหอบเอาความชื่นมาให้ หน่อเนื้อสองหนุ่มต่างให้ไออุ่น ซึ่งกันและกัน ชายหนุ่มร่างสันทัดกว่าซุกตัวตรงอกหนา นกกระจิบร้องริมหน้าต่าง ปลุกให้ชายอัฐณพรู้สึกตัว พอจะขยับกายก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วสรรพกาย ลืมตามองหน้าอก ความรู้สึกมื้อคืนกลับมาในห้วงความคิด
“ไอ้ดาร์ว ไอ้เลว” อัฐณพผลักให้หนายหนุ่มอีกคนออกจากร่าง ซึ่งไร้แรงตอบโต้เช่นกัน
“ตื่นขึ้นมานะ แกไอ้ ๆ.....” อัฐณพคิดหาคำสบถ แต่ก็ไร้วี่แววของอีกคน อัฐณพชักไม่แน่ใจ เลยเข้าไปขยับร่าง
“อุ้ย ตัวร้อนเลยหรือเนี้ย” อัฐณพพูดกับตัวเอง
“ไอ้ดาร์ว ๆ” อัฐณพปลุก ใช้ฝ่ามือตบที่แก้มเบา ๆ ซึ่งอีกฝ่ายยังเงียบอยู่
“เฮ้ย อย่างมาตายในนี้นะเว้ย” อัฐณพร้องขึ้น ใช้สมองครุ่นคิด แล้วรีบลงไปชั้นล่าง ในสภาพเปลือยเปล่า หาผ้าเช็ดตัว ขึ้นมาพร้อมกับกะละมังใบเล็กและน้ำธรรมดา จากนั้นจึงทำการเช็ดตัวให้อีกฝ่าย พร้อมกับสำรวจร่างกายของคนที่หยังหลับแบบพิจารณา
“พ่อเทพบุตร ทำไมต้องเป็นคนชั่ว คนเลวได้ หน้าตาก็ดี ทำผิดซ้ำไปซ้ำมา สงสารก็แต่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง” ปากบ่นไป ก็เช็ดตัวไป จนมาถึงจุดยุทธศาสตร์ จากหนอนชาเขียวเริ่มกลายเป็นปลาชะโดตัวใหญ่ อัฐณพหน้าแดง
“อย่ามาหาเรื่อง ตายตอนนี้นะเว้ย” อัฐณพขู่ ปลาชะโดเลยต้องกลับมาเป็นหนอนชาเขียว ยอมรับกับตัวเอง รสชาติแปลกๆ ที่ได้รับ มันทำให้รู้สึกสับสนอย่างไรชอบกล หันไปมองนาฬิกาปลุกข้างหัวนอนบอกเวลาเก้าโมงเช้า พอจะลุกขึ้นอีกครั้งก็รู้สึกระบบไปทั้งตัว โดยเฉพาะช่วงล่าง ความรู้โล่ง ๆ พอได้สติก็ตัดใจลุกขึ้น ไปหาผาเช็ดตัวมาพันรอบกายมองไปดูอีกคนที่นอนอยู่ไม่ห่มผ้าปล่อยกายเปลือยเปล่า ก็รู้สึกโกรธอย่างแรง ชาตินี้อย่าได้เผาผีกันเลย ไปตายไหนก็ไปซะ อัฐณพ ค่อย ๆ เดินผ่านร่างที่นอนนิ่ง ก็ได้ยินเสียงครางเบา ๆ
“หิวน้ำ” สาโรชออกแสนจะยากเย็น
“เซ็ง ต้องให้ดูแลกันอีกแล้ว หายคราวนี้ไล่ออกจากบ้านไปเลย” อัฐณพพูดด้วยความโมโห
“น้ำ.......หนาวๆ” สาโรชเอ่ยซ้ำๆกันไป
“แน่ละซิ นอนแก้ผ้าตากลมอย่างนี้ ไม่ปอดบวมให้รู้ไป” อัฐณพจึงจำใจคลี่ผ้าห่ม ห่มให้แล้วรีบลงไปชั้นล่างถือขวดน้ำดื่มขึ้นมา
“น้ำได้แล้วนะไอ้ดาร์ว ลุกขึ้นมากิน” อัฐณพพูดเสียงห้วน ๆ ด้วยอารมณ์โกรธยังไม่จางหาย สาโรชปรือตาขึ้น หนังตาหนักเสียเหลือเกิน อัฐณฑจ่อขวดน้ำที่ปาก สาโรชรีบดื่มจนสำลัก
“จะตายเพราะสำลักน้ำนี้ละไม่ได้ตายเพราะไข้ ไหนเอาแผลมาดูซิ” อัฐณพกล่าวพลักให้สาโรชลงนอนอีกครั้งจากนั้น จึงร่นผ้าห่มออก ดูตรงแผลที่ตัวเองกัดมื้อคืนเริ่มบวม นี้คือสาเหตุ
“ต้องกินยาแก้อักเสบ” อัฐณพกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง หันไปคว้าซองยาที่เหลืออยู่ออกมาแกะแล้วป้อนให้ตามด้วยน้ำ คนถูกป้อนคว้ากอดคนป้อนยาเอาลงไปนอนอีกครั้ง แรงกอดเริ่มแน่นเข้า
“ไอ้ดาร์ว ปล่อยหายใจไม่ออก” อัฐณพประท้วง ไร้การตอบรับ
“หนาว ขอกอดคลายหนาว” สาโรชเอย พลางแกะและดึงผ้าเช็ดตัวพันกายของอัฐณพออก อัฐณพตกใจไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะทำอะไร สาโรชรวบตัวแล้วกอดไว้อีกครั้ง อัฐณพหน้าแดงจนร้อน เมื่อร่างกายต่างสัมผัสกัน ความรู้สึกเริ่มมาอีกแล้ว จากหนอนชาเขียวปลายเป็นปลาชะโด
“ไม่เอา ตอนนี้เจ็บอยู่เลย” อัฐณพพูดอ่อนหวานทำให้อีกคนรู้ดีมากจึ่งรัดอ้อมกอดเข้าอีก
“พักรักษาตัวก่อน” อัฐณพเอ่ยเบา ๆ สาโชเริ่มสงบลง
“ตอนนี้พี่บอกอะไรไม่ได้ เมื่อถึงเวลาพี่จะบอกเอง เชื่อพี่นะ” สาโรชเอ่ย แววตามุ่งมั่นมองมา อัฐณพหลบสายตา พยายามดิ้นแต่อีกฝ่ายก็คงกอดไว้เหมือเดิม
“จะต้องบอกอะไร ไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งนั้น” อัฐณพเอ่ยออกมา ความรู้กำลังคัดค้านกันเอง
“พวกค้ายา ขนยาเสพติด ชั่วทุกคน” อัฐณพเอ่ยต่อ
“พี่ไม่ชั่วก็แล้วกัน”สาโรชกล่าว แล้วคลายอ้อมกอดออก ปล่อยให้อีกคนเป็นอีสระ จึงไปนอนที่นอนตัวเอง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่แล่นเข้าสู่สถานีขนส่ง ชัชวาลลงจากรถ อัฐณพที่นั่งด้านหลังรีบเปิดประตูออกมา แล้วรีบมาเปิดประตูรถด้านหน้า
“ไหวไหมน้องนพ” ชัชวาลถามด้วยความห่วงใย
“ไหวครับพี่ชัช ขอบคุณมากนะครับที่มาส่งพวกเรา” อัฐณพเอ่ย พลางพยุงร่างของชายหนุ่ม
“ขอบคุณมากนะครับพี่” สาโรชพยายามเอ่ย
“อือ ไม่เป็นไร รีบไปหาหมอเถอะ” ชัชวาลตอบพร้อมตบที่ต้นแขนชายหนุ่มเบา ๆ
“ลืมไป ยังไม่ได้เอากระเป๋าออกมาเลย” ซัชวาลกล่าวพร้อมไปเปิดประตูรถอีกด้านแล้วยกกระเป๋ามาให้
“ขอบคุณครับ” อัฐณพกล่าวขอบคุณ
“แล้วกลับมาเที่ยวบ้างนะ หนุ่ม”ชัชวาลกล่าวซึ่งหมายถึง สาโรชนั้นเอง อัฐณพทำหน้าสงสัยและรู้สึกอย่างไรไม่รู้
“คงไม่มาแล้วละพี่ชัช” อัฐณพเองเป็นคนตัดสินในพูดออกไป สาโรชจึงแอบชำเลืองมอง เขาคงไม่ต้องการเราแล้วละมั่งแบบนี้ อัฐณพพยุงสาโรชไปนั่งที่ชานศาลารอรถ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่ดีขึ้น อัฐณพจึงพาไปที่คลินิกใกล้ ๆ กัน
“วัดดวงเอาละกัน” อัฐณพเอย แล้วพยุงเข้าไปภายใน
“คนไข้ชื่ออะไรค่ะ” พนักงานคลินิกเอยถาม
“เอ่อคือ...” อัฐณพติดอ่าง
“อัฐณพครับ” คนข้าง ๆ ตอบแทน พนักงานคลินิก รีบจดรายชื่อ
“นั่งรอสักครู่นะคะ คุณหมอจะเข้ามาอีกชั่วโมงคะ” พนักงานคลินิกกล่าว
“ทำไมไม่แจ้งชื่อนาย” อัฐณพกระซิบ กับคนเจ็บที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“จะให้พี่โดนจับหรือไง” สาโรชกล่าว อัฐณพถอนหายใจ
“ฉัน ไม่มีพี่อย่างนาย” อัฐณพเริ่มฉุน ได้ยินคำนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่ก่อนเรียกแต่นาย ๆ พอมามีเรื่องเกิดขึ้น กลับกลายได้พี่ได้น้องเพิ่มชะงั้น อัฐณพหันไปมองด้านนอกแทน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นอันว่า การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้ มีบุคคลติดสอยห้อยตาม โดยมีชายหนุ่มร่างใหญ่ นั่งพิงไหล่ไปตลอดทาง รถเคลื่อนออกมาเรื่อย ๆ ผ่านหมู่บ้าน ผ่านตำบล
“หมอฉีดยาแก้อักเสบให้แล้ว และทานยาตามนี้นะคะ” หมอสาวกล่าว อัฐณพหยิบซองยาขึ้นมาดู
“ระวังหน่อยนะคะ เล่นกันก็ระวังด้วย ริมฝีปากคนเราอาจจะมีเชื้ออยู่ ต้องระมัดระวัง” หมอสาวกล่าวต่อ อัฐณพทำหน้าตกใจ ทำไหมหมอถึงรู้ว่าโดนกัด หันไปดูอีกคนที่นั่งทำตาปรือ จะหลับให้ได้
“หมอดูจากบาดแผล คนเราคงก้มลงกัดตัวเองไม่ได้แน่นอน” หมอสาวกล่าวต่อ อัฐณพยิ้มเขิน ๆ
“แล้วทำไม เขาเป็นแบบนั้น” อัฐณพถาม หมอยิ้มให้
“พอดีหมอให้ยานอนหลับไปด้วย จะได้พักผ่อนยาว ๆ” หมอสาวอธิบาย
“ชวยเลยที่นี้” อัฐณพพูดออกมา จึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ ชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งหน้าใสแต่บึ่ง อีกคนหน้าครึ้มไปด้วยเคราเข้ม นอนพิงไหล่ ตลอดทาง ‘ไม่ต้องรักเท่าฟ้า แต่ของให้นักเท่าเดิม .......’ ริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้น อัฐณพรีบล้วงเข้าไปใน
กระเป๋าเสื้อ เอาออกมาดู หมายเลขที่ปรากฎบนหน้าจอเป็นหมายเลขแปลกๆ
“สวัสดีครับ นพพูดสายครับ” อัฐณพรีบกดรับ เพราะเสียงเริ่มรบกวนคนอื่น ๆ แล้ว
“สวัสดีครับ พี่กรเองครับ” ปลายสายตอบมาก่อน อัฐณพสะดุ้ง ได้หมายเลขโทรศัพท์ไปได้อย่างไรเนี้ย
“ครับพี่กร ว่าไงครับ ตอนนี้นพกำลังเดินทางกลับบ้านครับ” อัฐณพกล่าวกลับไป คนข้างๆ เริ่มยุบหยิบ แถมกระแอมใส่
“พี่กรมาหาน้องนพ ตามใจเรียกร้องครับ แต่ไม่พบ” นิติกรหยอดคำหวาน เสียงปลายสายดังทำให้คนที่นอนอยู่ได้ยิน ลืมตาขึ้นมอง แล้วลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“ออครับ ....เดียว” อัฐณพยังพูดไม่ทันได้จบ มือใหญ่ก็คว้าหมับที่โทรศัพท์ ก่อนจะทิ้งลงพื้น ใช้เท้าขยี้ให้แตกละเอียด สายตาคนข้าง ๆ หันมาดูเหตุการณ์
“ไอ้ดาร์ว” อัฐณพลุกพรวดขึ้นทำท่าจะกินเลือดกินเนื้อ สายตาหลายคู่หันมามอง เกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“รบกวน คนจะหลับ” สาโรชเอ่ย เสียงเข้ม อัฐณพรู้สึกเจ็บแปลบ อารมณ์โกรธพุ่งปรี๊ด น้ำตาความอ่อนแอความพ่ายแฟ้ไหลออกมา จนต้องนั่งลงนิ่งๆ หน้าเชิดขึ้นหันไปมองหน้าต่าง ปล่อยความเงียบให้ครอบงำอีกครั้ง สาโรชจึงพิงไหล่ตามเดิน อัฐณพขยับจนคนนอนหลุดไหล่ลง รถโดยสารประจำทางเดินทางมานานแล้ว อัฐณพยังคงนั่งเชิดหน้าอยู่ริมหน้าต่าง สาโรชเห็นดังนั้น จึงเอื้อมมือรั้งให้อัฐณพหักบ้าง อัฐณพขัดขืนเล็กน้อย เวลานี้ทุกคนในรถกำลังหลับ เลยไม่อยากทำให้เกิดความรำคาญ จำต้องยอมผ่อนตาม อารมณ์โมโหยิ่งเพิ่มทวี ทำให้น้ำตาไหลออกมาอีก
“จุ อย่าทำเป็นเด็ก” สาโรชทำเสียงปราม กระซิบเบา ๆ
“ถึงบ้านเมื่อไร ตายแน่ไอ้ดาร์วซินโดม ไม่ปล่อยไว้เป็ฯเสี้ยนหนามสังคมหรอก” อัฐณพพูดเบา ๆ กับตัวเอง แต่ก็ยอมนอนพิงอกกว้างของชายหนุ่ม สาโรชได้ทีจึงโอบกอดกระชับให้อัฐณพอยู่ในวงแขนให้เกิดความอบอุ่น อัฐณพรู้สึกอึดอัดจึงศอกถองเข้าสีข้างตรงแผล
“อุ๊ป” สาโรชอุทาน พยายามกลืนก้อนจุกให้ลงท้อง แล้วจึงเงียบเสียง รถโดยสารประจำทางมุ่งหน้าต่อผ่านไปหลายชั่วโมง จากที่ขัดขืนความอ่อนแอของร่างกายต้องพ่ายแพ้ จึงซุกหน้าเข้าอกกว้าง อัฐณพหลับอย่างสบาย แสงไฟจากเสาไฟข้างทางทำให้เห็นใบหน้าเรียวยาวรับจมูกโด่ง ๆ บ่งบอกนิสัย ดื้อ รั้น ริมฝีปากแดงจิ้มลิ้ม คิ้วหนาดำรับกับใบหน้าที่ขาวนวล คงนอนฝันดีแน่น อยากเก็บห้วงเวลานี้ไว้นาน ๆ สาโรชยิ้มกับตัวเอง ร่างที่หลับกอดตอบคงเพราะหนาวจากเครื่องปรับอากาศ สาโรชจึงขโมยหอมตรงไรผม ถามใจตัวเองว่า แปลกหรือ ที่รู้สึกผูกพันกับคนที่กอดเขาอยู่ตรงนี้ ผู้หญิงหลายคนเคยทอดสะพาน ก็ไม่เคยวอกแวก หรือจะไม่ชอบ แต่ก็เคยผ่านผู้หญิงหลายคนมาเหมือนกัน ไม่ใช่ผู้ชายบริสุทธิ์อะไร แต่ผู้หญิงเหล่านั้นก็สร้างความลำบากใจ จนไม่ต้องการมีชีวิตคู่ กลับคนนี้ ที่ยังจำได้ วินาทีที่พยายามช่วยชีวิตคนที่กำลังจะตาย ด้วยความมุ่งมั่น ไม่เคยรังเกียจว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้า อาจจะระแวงอยู่บ้างว่าเป็นพวกขายยา อืม แต่ก็ยอมมาดูแลอย่างดี ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา รู้สึกว่าห่วงตลอดเวลา กลัวจะไม่รอด เอ้หรือคิดว่า เป็นสัตว์ทดลองวะ ก้มมองดูอีกครั้ง ทำไงได้ เกินเลยมาขนาดนี้แล้ว จะลองสักตั้งวะ
“ผู้ชายคนนี้ขอดูแลครูนพจนแก่จนเฒ่า พี่โรชให้คำมั่นสัญญานะ” สาโรชเอ่ยเบา ๆ พรางจูบเบา ๆ ที่กลางกระหม่อม
“อะไร เจ็บแผลหรอ ระวังนะไอ้ทำลายชาติ” เสียงพูดเบาๆ ทำเอาสาโรชสะดุ้งเล็กน้อย ก้มดูใบหน้าอีกครั้ง ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นนอกเสียงจากริมฝีปากน้อย ๆ นั้น ขมุบขมิบ สาโรชอดขำ หลับ เออ ละเมอ ขนาดนี้ยังห่วงอีก คิดว่านิสัยดีแน่ ๆ เรื่องอื่น ๆ ค่อย ๆ แก้กันไป พลางกระชับกอด
“ว่าไงครับคุณนายของพี่” สาโรชเอยเบาๆ คลี่ผ้าห่มมาคลุมร่างทั้งสองคนอีกครั้ง
รถโดยสารประจำทางเข้าจอดเทียบท่า ผู้โดยสารหลายคนกำลังเก็บสัมภาระต่าง ๆ แล้วทยอยลงจากรถ
“คุณครับ รถหมดระยะแล้วครับ” พนักงานขับขึ้นมาสำรวจความเรียบร้อยเอ่ย สองหนุ่มสะดุ้งสะลืมสะลือขึ้นมา อัฐณพกำลังงงว่านอนหนุนอกอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่
“ดาร์ว ๆ ถึงแล้ว” อัฐณพเขย่าเล็กน้อย
“อือ รู้แล้ว” สาโรชเอ่ยพลางบิดขี้เกียจ อาการเจ็บหายแล้ว แต่ก็เอามือลงลูบตรงบาดแผล หันมองคนข้าง ๆ ทำหน้าบึ้ง เหมือนโกรธมาเป็นชาติ
“จะลุกไหม” อัฐณพเอ่ยน้ำเสียงเข้ม สาโรชมองดู มองดูนาฬิกาตรงพนังหน้ารถ เวลาเก้านาฬิกากว่า
“ถึงแล้วหรือคุณนาย” สาโรชพูดกึ่งหยอก แต่อัฐณพไม่ได้ยินเก็บสัมภาระลงมาจากช่องเก็บของ สาโรชจึงต้องลุกแล้วถอย อัฐณพลุกเดินลงจากรถด้านหน้า สาโรชรีบตามลงจากรถด้วย
“รอพี่ด้วย คุณ ...นาย” สาโรชเอ่ยเบาๆ อัฐณพหันซ้ายทีขวาที วันก่อนนัดกับนิมิตไว้ ว่าจะมารอรับที่สถานี สงสัยไม่มาแน่ๆ เนื่องจากผิดเวลานั้นเอง
“รอคนไม่สบายด้วยซิ” สาโรชประท้วง
“นายไม่มีที่จะไปแล้วหรือ นายดาร์ว” อัฐณพหันมาเอ่ย กับชายหนุ่มที่เดินตามมา จนเกือบชน
“จะช่วยก็ขอให้ไปตลอดรอดฝั่งได้ไหม” สาโรชเอ่ย ด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ขอความเห็นใจ
“นายจะตามไปบ้าน ฉันไม่ได้” อัฐณพพูดเสียงเข้ม สาโรชเมมริมฝีปากเป็นเส้นตรง
“ถ้าอย่างนั้น ขอให้แผลนี้หาย จะไปตามทาง” สาโรชเอ่ย อัฐณพรู้สึกใจหายอย่างไรชอบกล ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“รอตรงนี้ จะไปซื้อยาให้อีก” อัฐณพเอ่ย
“คงอยากให้ไปเร็ว ๆ มั่งแบบนี้” สาโรชเอ่ย ในใจยังรู้สึกขอบคุณ อือก็ยังเป็นห่วงอยู่ แล้วยิ้มให้คนที่กำลังเดินไปร้านยา ท่าเดินแปลกๆ ปกติจะเดินก้าวซับๆ และเร็ว คราวนี้ทำไมเดินช้า หรือว่าคงยังเจ็บอยู่ บ่อย ๆ เดี๋ยวก็หาย อดขำไม่ได้ ชายหนุ่มร่างสันทัด ผมรองทรงสูง เสื้อเข้ารูปกางเกงยีน แต่เดินคล้ายขาไม่เท่ากัน ที่ว่าซื้อยาให้นี้ อย่าซื้อให้ตัวเองด้วยนะคุณนาย อดขำจนตัวงอไม่ได้ สาโรชมองโดยรอบ เป็นเมืองที่น่าอยู่เหมือนกันนะ ลองพิจารณาคนที่เดินจับจ่ายของ คงเป็นคนที่มีจิตใจดี เหมือนกันชายหนุ่มคนนั้นที่ไปหาซื้อยามาให้นั้นเอง มองดูอะไรอย่างเพลิดเพลิน
“ยาลดไข้ครับ” อัฐนพเอ่ย เมื่อเข้าไปในร้านขายยา
“ไม่สบายเป็นอะไรครับ”เภสัชกรสอบถาม
“เป็นไข้ครับ” อัฐณพตอบ ประตูร้านขายยาถูกผลัดเข้ามา ชายหนุ่มผู้มาใหม่เข้ามาพิจารณา
“นพหรือเปล่า?” เสียงทักดังขึ้น อัฐณพหันไปตามเสียง กำลังทบกวนว่าบุคคลตรงหน้าที่นี้คือใคร ชายหนุ่มตรงหน้า ร่างสูง อวบนิดหนึ่ง ไม่ถึงกับอ้วน เริ่มมีเนื้อมีหนัง
“เรามิตไง” ชายหนุ่มแนะนำตัว อัฐณพยิ้มออกโผเข้ากอด ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกันได้รับการปกป้อง
“นิมิต นายจริง ๆ ด้วย นายไม่เคยทิ้งเรา” อัฐณพกระโดดกอดคอ
“โอยๆ หนักเว้ย จะทิ้งก็ตอนนี้ละ” นิมิตกล่าวพร้อมรั้นให้คนตัวเล็กกว่า ยืนให้มั่น
“อย่าพูดแบบนี้นะ เพื่อนกันแล้วไม่ทิ้งกันนะเว้ย” อัฐณพกล่าว ค้อนให้เพื่อนวงใหญ่
“ทำไม ไปทำอะไรมา ถึงกับมีเนื้อมีหนังขนาดนี้ แต่ก่อนผมกว่าเราอีก” อัฐณพกล่าว นิมิตกางแขนแล้วหมุนตัวให้ดู
“ถ้ารักกันจริงอย่าทักท้วงเรื่องนี้ เป็นเหมือนปมด้อย เลยนะเนี้ย เอาเป็นว่าพ่อแม่เลี้ยงดี” นิมิตกล่าว พลางทำท่าให้ไปดูเจ้าของร้านยา
“ออ ลืม สักครู่นะ” อัฐณพหันไปจ่ายเงินกับเจ้าของร้านขายยา
“เป็นอะไรจึงต้องมาซื้อยา” นิมิตถามขึ้น อัฐณพชะงัก
“ไม่มีอะไรหรอก เราไปกันเถอะ” อัฐณพชวน นิมิตจึงออกจากร้านตามมา
“รอตั้งแต่บ่าย ทำไมเพิ่งถึง โทรไปก็ปิดเครื่อง” นิมิตกล่าวตามหลัง
“มีปัญหานิดหน่อย” อัฐฯพตอบยิ้ม
“ปัญหาอะไร ให้เพื่อนคนนี้ช่วยได้ไหม” นิมิตเอ่ย พยายามข่มใจตัวเอง ตอนที่เห็นอัฐณพลงมาจากรถเขาก็รู้สึกหัวใจเต้นตุ้ม ๆต่อมๆ แล้ว ดูว่าอัฐณพนั้นไม่ค่อยจะเปลี่ยนไปจากเดิมเลย เขาจำได้ดี สมัยเด็ก เคยเล่นกันยังไง อัฐณพก็ยังเป็นอย่างนั้น แม้ว่าชายหนุ่มนั้นจะรู้สึกดี รู้สึกเกินคำว่าเพื่อน แต่อัฐณพก็ยังคงเส้นคงวา
“นพยังเหมือนเดิม” นิมิตเอ่ยต่อ ขณะที่เดินตามหลังมา อัฐณพจึงหันมามองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง
“เราเหมือนเดิม” อัฐณพกล่าว โผเข้ากอดชายหนุ่มตรงหน้า ท่ามกลางสายตาหลาย ๆ คู่ที่มองมา แต่ไม่เท่ากับสายตาของชายหนุ่มอีกคน สันกรามขึ้นนูนอย่างเห็นได้ชัด พายุอารมณ์เริ่มก่อตัว แต่แสดงออกทางสายตาและสีหน้า ตัดสินใจเดินข้ามฝากถนนมาหาคนทั้งคู่