--------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๒๘/ธ.ค/๖๓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๒๘/ธ.ค/๖๓  (อ่าน 5103 ครั้ง)

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์

รจนา ทัดจันทร์



    “เย็น จะพากลับ” มยุยื่นคำขาด ภารดาประทับยังหัวเรือ เมิลแลอวลไอหมอกขาวคลุมคุ้งน้ำ ไม่แม้แต่จะผินหน้าสบมองกนิษฐ์น้อยวิลาวัลย์ จอมขวัญตา ที่ในกาลนี้คงกลายเป็นจอมซนไปเสียแล้ว


    “โถ่ยุ ไหน ๆ เราก็อุตส่าห์หนีออกมาได้แล้ว อยู่ต่อสักวันสองวันไม่ได้เหรอ”


   “เรา? น้องต่างหากที่หนีมา”


   “นั่นแหละ เหมือนกัน”


   “ไม่เหมือน”


   “โถ่ยุ...”


   คนที่เคยเป็นลูกคนเดียวมาตลอดถึงกับไปไม่เป็นเมื่อสมเด็จพระเชษฐาวัยสิบเจ็ดชันษาทำนิ่งใส่ ดาริกาได้แต่ถอนปราณปัสสาสะ ทำใจ ท้ายที่สุดแผนการหลบหนีก็พังไม่เป็นท่า กลายมาเป็นการทัศนะศึกษาชลมารคลุ่มน้ำตักโกลาเสียอย่างนั้น เจ้าหญิงน้อยในคราบเด็กชายชาวป่าปลดปลง หัตถ์ข้างหนึ่งเรี่ยไปบนผิวน้ำเย็นใส หากในดวงหฤทัยกลับหนักอึ้งไปด้วยคำถามที่ไร้คำตอบ เราจะทำอย่างไรหากต้องแต่งงาน


   ใครจะคิด สายน้ำภายใต้ม่านหมอกโรยละอองในโลกแห่งวานวัน ใสยิ่ง เย็นยิ่ง จะสามารถช่วยบรรเทาความวิตกกังวลลงได้ แม้นมิห่างหายไปหมด แต่ได้เจือจางลงไปครามครันครั้นได้รับผัสสะอันฉ่ำเย็นของสายธาร หะแรก ดาริกายังไม่เคยยลชลธีและวิถีดำรงชีพิตแห่งผู้คนสองฝั่งแม่น้ำหลวง บัดนี้ได้ประจักษ์ทัศนา เรือหาปลา เรือพาย เด็กน้อยเล่นน้ำริมท่าส่งเสียงพิเราะห์กำสรวล ชีวิตยามเช้าอันสุขสงบ ค่อยปรากฏแก่คลองสายตา ทุกหนระแหงที่องค์รักษ์นอกเครื่องแบบของมยุจะพายผ่าน


   ความสงบ ศานติ ฉ่ำเย็นเช่นไออณูหมอกฟุ้ง


   อนุภาคกลมเล็กแห่งไอธุมา พราวพร่างงดงาม ด้วยฉาบพยับทองของพระสุริยาทิตย์รับอรุณฉาย สุขสงบ


   ทว่า...


   “เปลี่ยนใจแล้ว กลับเถอะ” มยุกอดอุระ เพียงมีถ้อยรับสั่งพาจนา เรือหลังคาโค้งที่พายเรื่อยมาพลันชะลอความเร็ว ราชองค์รักษ์หนุ่มเตรียมคัดท้าย พายย้อนคืนวิถี ดั่งคำพระกระแส


   “โถ่...ยุ ไหนว่าเย็นถึงจะกลับ”


   “ดาริ น้อง ‘โถ่’ เป็นหนที่สิบเห็นจะได้”


   “โถ่... แล้วจะให้พูดอย่างไร เก๊าะน้องยังไม่อยากกลับ”


   “เรือจวนจะพายเลยเขตนาครแล้ว เห็นพอแล้วกระมัง วิถีผู้คน บ้านเรือน”


   “ไปต่ออีกหน่อยน่า...” ดาริกาจับพาหาพระเชษฐาพระองค์รองเขย่า “...นะ นะพี่”


   เพียงวาจนา ‘พี่’ คำเดียว ยานนาวาแห่งสองยุวขัตติยากลับแล่นฉิวไปบนระลอกคงคาสีทองอาบประกายแดดเช้า ดาริกาวักน้ำเล่นเย็นใจ ขณะพี่ชายตัวดีพยายามแสร้งทำหน้านิ่ง เพื่อสยบความแดงเรื่อของพวงแก้มลออใส ก่อนตะวันจะชักราชรถลับผืนพสุธา อย่างน้อย... ก็ยังพอมีเวลาให้คิดต่ออีกสักนิด ทางออกของการเสกสมรสที่ไม่พึงประสงค์จะแรมเร้นอยู่หนใด


   “น้ำที่นี่ใสดีนะยุ”


    “อือ” ยามปกติมยุคงสงกาแล้วถามกลับ แล้วน้ำที่ไหนเล่า ที่น้องว่าขุ่น หากขณะนี้ผู้ภารดาเพียงแอบส่ายเศียรให้กนิษฐา ดูเอาเถอะ ใบหน้ายิ้มบาน ถ้อยสำเนียงแช่มชื่นยามนาวาลอยล่องออกสู่ชานน้ำนอกเขตพระนคร ต่างจากเมื่อครู่เป็นลิบลับ ดาริกาคนที่ทำหน้าประหนึ่งโลกจักทลายหายไปไหน


    สายธาร แมกไม้ สายลม แสดงวิถีแห่งผู้คนริมฝั่งน้ำ พวกเขาอยู่กับธรรมชาติ รู้จักสังเกตดินฟ้าลมฝน จึงสามารถอาศัยคลื่นลมออกเรือหาปลา กระทั่งเปิดเมืองท่า ค้าขาย ทั้งหมดล้วนเกิดแต่ความเข้าใจและเรียนรู้ธรรมชาติ หากคนในยุคที่ดาริกาจากมา จะรู้จักสังเกตธรรมชาติรอบตัวอย่างคนในยุคของมยุ จะสามารถพยากรณ์ได้ เมื่อคืนผืนฟ้าสกาว ยามเช้าเมฆขาวบดบัง ม่านหมอกย่อมปรากฏ สยายคลี่คลุม
    

หาก... เจ้าชายมยุทรงมุ่นขนงครั้นทอดพระเนตรเห็นธุมมะขาวโพลนลอยอวลอยู่เบื้องหน้า หมอกฤๅ ยาไฉนลงจัดปานนั้น


   “อ้าว ชมว่าใสอยู่แท้ๆ ทำไมขุ่น ไม่สิ... ยุ... นี่มันเลือดนิ”


   เจ้าชายผู้ทัดแววหางมยุราก้มทัศนาอุทกธารายามยินดาริกาพากย์พร้องอุทานพจี สายน้ำเปื้อนเลือด! กระแสชลาสินธุ์อันเคยสะอาดใส ถูกย้อมจนชาดฉานไปด้วยหยาดเลือดข้นคลั่ก ยิ่งเรือพายกรายใกล้ไอขาวโพลนเบื้องหน้า สลิลธารยิ่งทวีสีสัน นทีไหลแดงก่ำมิต่างสายโลหิตหลากล้น


   ... บัดนี้ เลือดนองอาบผืนน้ำ


   ธุมมะที่เห็น แท้จริงคือควันแห่งไฟสํคฺราม


   ศานติ สุข ทุกข์ เปลี่ยนแปรเป็นอนิจจัง สิ่งใดเล่าจะยั้งอยู่ยืน


   กองเรือที่เคยชูธงผงาดฟ้า ยังสลายมลายล่ม...


   ความอภิรมย์สราญรับทิวาวันใหม่ปลาสนาการไปสิ้น ไม่เที่ยง เป็นมายา... มายาอันมิได้หมายถึงความลวงหลอก เล่ห์หลง คำ ‘มายา’ ในทางเทวศาสตร์หมายถึง การผันแปร หมุนไป ไม่จีรัง ดังความสุขสงบแห่งยามเช้าที่จืดจางจากไปสิ้น ราวไม่เคยปรากฏกายมาก่อน อะนั้น


   กษณะนั้น ธงพระลัญจกรเคียวจันทร์หงายพื้นม่วงไหม้ไฟผืนหนึ่ง ลอยล่องตามกระแสคงคาซับสีโลหิต ผ่านพระพักตร์ยุวราชตักโกลาทั้งสองพระองค์ มยุยิ่งขมวดย่นขนง กระชับดาบในมือแน่น


   “เกิดเรื่องใหญ่กับคู่หมั้นของน้องแล้วล่ะดาริ”


   “คู่หมั้น?”


   “ใช่ เห็นฤๅไม่ ธงม่วงนั่น ตราพระลัญจกรยุพราชธรรมราชา”


   เจ้าชายผู้ทรงเลี้ยงปักษาพญาอินทรีย์ ผิวปากหวีดยาว เป็นสัญญาณเรียกเจ้าขุนทองให้บินมากรายใกล้ นกนักล่าเจ้าเวหาที่มิเคยบินจรจากผู้เป็นนาย ขานรับ ส่งสุรเสียงแหลมก้องสะท้านฟ้า ผงาดอหังการ์ ขุนทองกระพือปีกฉวัดเฉวียน โฉบลงอย่างงามสง่าเหนือพาหาทรงเครื่องหนัง


   มยุเตรียมแจ้งโยบล ส่งข่าวแก่ขุนต้นศึก องค์แม่ทัพตักโกลา


ยุพราช   หริสสา   ทิวากร


“เฮ้ย!” ดาริกาอุทานตกใจ


จู่ ๆ มือข้างหนึ่งโผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ เกี่ยวเกาะขอบเรือ แล้วเจ้าของเรือนผมดำจึงผุดพรวดเหนือผืนชลชลาฉาน เลือดยังคงรินไหลจากบาดแผลบนศีรษะ เสียงแห้งนั้นพร่ำพูดพลางสูดหายใจเนื่องจากขาดอากาศมาเป็นเวลานาน 


“ชะ ช่วยด้วย”


***************************

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด