(The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p  (อ่าน 58388 ครั้ง)

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สงสารนางเนอะ ฉันว่าพระแม่ ต้องเป็นนางคนนั้นแน่ๆ !!  หล่อนมันเสนอหน้าเข้ามาในชีวิตเขาเองจ้ะ ไปไกลๆไป๊ !!  :m31:

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Great General (14)





   สงครามกับแคว้นตงหย่าดำเนินมายาวนานกว่าครึ่งปี ทัพต้าเสินกำชัยทั้งศึกเล็กและศึกใหญ่ ขับไล่ทหารตงหย่าถอยร่น และรุกคืบกินดินแดนของมณฑลซีเจาและหยางโยวที่ต้าเสินเคยยกให้กับเจ้าครองแคว้นตงหย่าเมื่อร้อยปีก่อน ชาวตงหย่าอาจลืมไปแล้ว แต่ต้าเสินไม่เคยลืม
   พื้นที่ที่ยกให้กับตงหย่านั้นเป็นที่ราบระหว่างภูเขา มีความอุดมสมบูรณ์ ปลูกพืชพันธุ์ได้อย่างชนิด ฮ่องตงในรัชกาลนั้นเห็นกษัตริย์ตงหย่าเป็นน้อง ยินดีรับดินแดนแห้งแล้งกันดารนั้นในปกครอง ทั้งส่งคนมาช่วยเรื่องดินเรื่องน้ำ ตลอดจนการค้า ทำให้ตงหย่าเปลี่ยนสภาพจากยากจนข้นแค้นเป็นอยู่ดีกินดี มีอิสระเสรี ไม่มีแคว้นข้างเคียงใดกล้ารุกราน ก็ด้วยบารมีต้าเสินทั้งสิ้น ดังนั้นการที่กองทัพนำโดยเฉินซื่อเสวี่ยนบุกยึดอาณาเขตกว่าสองมณฑลคืนก็เพื่อตอกย้ำถึงความไม่รู้จักบุญคุณของตงหย่า และสร้างความชอบธรรมให้กับต้าเสิน พวกเขาเพียงทวงคืนแผ่นดินต้าเสิน ให้ไปเท่าใดก็ยึดคืนมาเท่านั้น ไม่ขาดไม่เกิน
   แต่ซีเจาและหยางโยวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจของแคว้นตงหย่า ทั้งข้าว พืชผัก การค้าที่ชาวตงหย่าลงทุนมาหลายสิบปีล้วนถูกต้าเสินยึดไปสิ้น จินตนาการได้ว่าความสูญเสียของตงหย่านั้นมากกว่าเลือดเนื้อและเขตแดน ยุคข้าวยากหมากแพงคงมิพ้นติดตามมา หนานจงฮ่องเต้ไม่ประสงค์ได้ตงหย่าเป็นเมืองขึ้น ก็เท่ากับทรงตัดไมตรี ไม่อยากสิ้นเปลืองทรัพยากรกับแคว้นนั้นอีก และทรงอยากทอดพระเนตรว่าหากไม่มีต้าเสินคอยค้ำจุนแล้ว แคว้นตงหย่าจะอยู่รอดอย่างไร หากเป็นศัตรูกับต้าเสินแล้ว พวกเขายังสามารถหันไปพึ่งพาผู้ใดหรือจะถูกแคว้นข้างเคียงเฉือนดินแดนไปสิ้น

   ทัพต้าเสินค้างแรมที่หยางโยวหนึ่งคืน พรุ่งนี้จึงจับเดินทัพกลับเมืองหลวง ใบหน้าทหารทั้งหลายแม้อิดโรย แต่ดวงตาสดใส มีรอยยิ้มประดับใบหน้า บรรยากาศในค่ายทหารรื่นเริงผ่อนคลายด้วยสงครามจบลงแล้ว
   ซื่อเสวี่ยนมองภาพโดยรอบด้วยความโล่งใจ เขาเห็นอี้เทียนกำลังสนทนากับทหารกลุ่มหนึ่งอย่างเป็นกันเอง พวกเขาหัวเราะเสียงดัง แม้ดื่มเพียงน้ำเปล่าก็ยังคล้ายร่ำสุรา คนผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้ มักถูกห้อมล้อมด้วยผู้คน เป็นที่รัก ที่นับถือ เป็นผู้นำ ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็โดดเด่นเสมอ แต่เมื่ออี้เทียนหันมาเห็นเขา ดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา จากนั้นก็โบกมือลาทหารกลุ่มนั้น เดินตรงมาหาเขา
   “ต้าเจียงจวิน” น้ำเสียงเจือแววหยอกล้อ สายตาอ่อนแสงเมื่อเห็นซื่อเสวี่ยนกลอกตาใส่เขา กริยาที่น้อยครั้งจะได้เห็นทำให้อี้เทียนอารมณ์ดีจนหัวเราะออกมา เขาเห็นเส้นผมสีหมึกของซื่อเสวี่ยนถูกลมพัดจนยุ่ง ก็ยกมือขึ้นหมายจะจัดให้ แต่นึกได้ว่าพวกเขาอยู่กลางค่ายทหาร ไม่ทราบมีสายตากี่คู่ลอบมองอยู่ จึงได้แต่ถอนหายใจ โอดครวญว่า “อยากลูบหัวเจ้า”
   เห็นซื่อเสวี่ยนมีสีหน้าไม่เข้าใจ อี้เทียนก็ยักไหล่ สารภาพตามตรง “กลัววินัยทหาร”
   ซื่อเสวี่ยนเห็นสีหน้าอีกฝ่ายคล้ายจนใจก็หลุดยิ้ม เป็นรอยยิ้มเปิดเผยที่ทำให้คนมองสายตาพร่าพราย แม้แต่คนรอบข้างที่แอบสังเกตุการณ์อยู่ก็ถูกรอยยิ้มหายากนี้ทำให้ตะลึงไปชั่วครู่ ที่แท้แม่ทัพเฉินผู้นั้นมีรอยยิ้มที่งดงามเพียงนี้
   
   


   วันรุ่งนี้ ขณะที่ทัพต้าเสินออกเดินทางมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงได้ไม่ถึงหนึ่งสองชั่วยาม จู่ๆ ท้องฟ้าเวลาเที่ยงวันก็ปรากฏหมู่เมฆดำขนาดใหญ่เคลื่อนที่มาเหนือหัวของพวกเขาอย่างรวดเร็วราวกับมีมือที่มองไม่เห็นชักนำพวกมันมารวมกัน เมฆดำเข้าปกคลุมน่านฟ้าและขยายออกไปจนบดบังแสงอาทิตย์แทบทั้งหมด จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง ฝนกระหน่ำ ลมกรรโชกแรงประหนึ่งฟ้าพิโรธ
   เวลานั้นทหารต้าเสินตามองหน้ากัน โอดครวญในใจว่าฟ้าฝนช่างไม่เป็นใจ พวกเขาพ้นเขตเมืองมาแล้ว กลางป่าเขาเช่นนี้ไม่มีที่ให้หลบฝน ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดปกติว่าร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพอี้สะท้านไปชั่วขณะ และดวงตาที่เคยเป็นสีดำสนิทของเขา เวลานี้ข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีทอง เขาเงยหน้ามองฟ้า เหยียดยิ้มท้าทาย ก่อนที่จะจับจ้องแผ่นหลังของซื่อเสวี่ยนที่ห่างเพียงเอื้อมมือ
   เมื่อคราวที่เขายังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ชื่อว่าอี้เทียนนั้น บันทึกระบุวันตายของเขาคือวันนี้ สาเหตุคือถูกธนูยิงทั่วร่าง เจตนาเพื่อปกป้องคนผู้หนึ่ง ดังนั้นขอเพียงไม่ขัดกับเหตุการณ์เหล่านี้ บิดเบือนบางอย่างใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ดวงตาสองสีของอี้เทียนเหลือบมองซุนอวี้อย่างมีความหมาย
      
   ในอดีตชาตินั้น อี้เทียนและซุนเจียวเจี๋ยยังนับว่ารักษามารยาทต่อกัน ซุนเจียวเจี๋ยแม้เกลียดชังเฉินซื่อเสวี่ยน แต่ไม่ถึงขั้นลงมือทำร้าย ดังนั้นจึงเป็นนางที่ตามอี้เทียนมาชายแดน และเป็นนางที่ยั่วยุจนซื่อเสวี่ยนขี่ม้าไปพบมือสังหารที่ดักซุ่มอยู่ กล่าวว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ หรือกล่าวว่าสวรรค์เล่นตลกกับชีวิตมนุษย์ก็ได้ สุดท้ายอี้เทียนตายเพราะปกป้องซื่อเสวี่ยน กลายเป็นบาดแผลที่ยึดติดกระทั่งจิตเซียนของซื่อเสวี่ยน
   อี้เทียนทราบทุกเรื่องผ่านกระจกส่องภพจึงรู้ว่าแม้ชาตินี้ซุนเจียวเจี๋ยไม่ได้ออกจากเมืองหลวง แต่นางขอให้ซุนอวี้ผู้เป็นน้องชายกำจัดซื่อเสวี่ยน อย่าให้เขาได้มีชีวิตรอดกลับไปอีก ซุนอวี้ที่เป็นเครื่องมือของพี่สาวจึงตกเป็นหมากในกระดานของเขาด้วย


   เปรี๊ยง!
   ฟ้าผ่าทำให้เกิดแสงสว่างวาบ เวลานั้นม้าที่ซื่อเสวี่ยนขี่อยู่ก็ร้องอย่างตระหนกก่อนจะห้อตะบึงไปข้างหน้า แทบกระชากเขาตกลงมา ชายหนุ่มประคองสติได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายลู่ลงไปกอดลำคอม้า สองข้าเกี่ยวลำตัวมันไว้แน่น เฝ้ารอจังหวะที่ม้าผ่อนฝีเท้าเพื่อถีบตัวออกมา
   “ซื่อเสวี่ยน!”
   ท่ามกลางพายุฝนและเสียงฟ้าเลื่อนลั่น เขาได้ยินเสียงอี้เทียนตะโกนไล่หลัง คาดว่าอีกฝ่ายคงควบม้าตามมา ซื่อเสวี่ยนพยายามทำให้ม้าสงบลงแต่ไม่เป็นผล ราวกับว่ามันถูกกระตุ้น เขาเหลือบมองรอบข้างก่อนจะตัดสินใจสละม้า ซื่อเสวี่ยนสูดลมหายใจ ฟาดฝ่ามือกับหลังม้าอย่างแรงและดีดตัวเองออกมา ร่างของเขาลอยขึ้นฟ้าม้วนตัวกลางอากาศเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานก่อนจะร่วงลงกับพื้น
   ขณะเดียวกันกับที่ร่างกระแทกพื้น หูก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศพุ่งมาทางตนเอง ไม่ต้องหันไปมองก็ซื่อเสวี่ยนก็ทราบว่าเป็นลูกธนู เขาฝืนความจุกและเจ็บร้าวบังคับร่างให้กลิ้งหลบ ทำให้ธนูปักลงกับพื้นเฉียดศีรษะไปเพียงเล็กน้อย
   ดวงตาของซื่อเสวี่ยนหรี่ลง เขากลิ้งหลบลูกธนูอีกกลุ่มหนึ่งก่อนจะทะยานร่างขึ้นในเวลาเดียวกับที่อี้เทียนกระโจนเข้ามาเบื้องหน้า ยกดาบปะทะมือสังหารชุดดำ พริบตาเดียวพวกเขาทั้งสองคนก็ถูกคนชุดดำกว่าสิบคนรุมล้อม มือสังหารเหล่านี้ล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา ทั้งยังคุ้นเคยกัน เมื่อคนหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ อีกคนก็เข้ามาแทนที ไม่ต่างจากค่ายกล บังคับให้สองคนที่อยู่ในวงกลมได้แต่ต่อสู้โดยไม่อาจฝ่าออกไป
   เหตุการณ์คับขัน ซื่อเสวี่ยนไม่ทันเห็นสีตาที่เปลี่ยนไปของอี้เทียน ไม่เห็นว่าดวงตาของเขาทอแสงวาบ ริมฝีปากซีดเปลี่ยนเป็นสีแดงสด จู่ๆ ท้องฟ้าก็ถูกย้อมด้วยสีแดงอมม่วง อากาศแปรปรวน เสียงฟ้าร้องเลื่อนลั่น อัสนีบาตฟาดผืนดินที่ห่างออกไปม่ไกล
   อี้เทียนทราบว่าเขาไม่มีเวลาแล้ว ชายหนุ่มฟาดมือใส่หน้าอกชายชุดดำคนหนึ่ง จากนั้นก็ร่ายเพลงดาบใส่มือสังหารอีกคน จากพลังฝีมือที่เคยใกล้เคียงกันบัดนี้กลายเป็นเหล่ามือสังหารเหมือนเด็กน้อยที่ถูกกำราบ พริบตาเดียวลมหายใจก็ปลิดปลิวไปจากร่าง
   ซื่อเสวี่ยนมองชายชุดดำล้มลงทีละคนอย่างแทบไม่เชื่อสายตา วรยุทธ์ของอี้เทียนรุดหน้าไปเพียงนี้เชียวหรือ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถาม ร่างกายก็ถูกวงแขนแข็งแกร่งรวบไปกอดแล้วพลิกไปอีกด้าน ซื่อเสวี่ยนเบิกตากว้างเมื่อเห็นลูกธนูปักที่หลังของคนที่กอดเขาไว้ เกราะอ่อนถูกพลังยุทธ์ที่แฝงมากับลูกธนูทำให้แตกเป็นชิ้นๆ

   ฉึก ฉึก ฉึก
   เสียงเนื้อถูกธนูชำแรกดังขึ้นติดๆ กันหลายครั้ง รวดเร็วรุนแรง บ่งบอกความเป็นยอดฝีมือของคนยิง ลูกธนูถูกปล่อยออกมาเพียงสองครั้ง แต่ละครั้งประกอบด้วยลูกธนูสามดอก วิถีธนูพิสดารแต่ทุกดอกล้วนปักลงบนแผ่นหลังของอี้เทียน ซื่อเสวี่ยนพยายามจะผลักเขาออกไป แต่ไม่เป็นผล อ้อมแขนนั้นกักขังเขาไว้ กระทั่งมือธนูทะยานร่างหลบหนีไปค่อยคลายออก ซื่อเสวี่ยนคว้าร่างที่ทรุดลงไว้ ความหวาดกลัวแทรกซึมขั้วหัวใจจนร่างกายเขาเยียบเย็น



   เมื่อหลินซ่งฉี และนายกองอีกหลายคนมาถึงจึงทันเห็นร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพอี้เอนซบไหล่ของแม่ทัพเฉิน แผ่นหลังเต็มไปด้วยลูกธนู โลหิตแดงฉานอาบร่าง พวกเขาตะลึงงัน แต่เมื่อจะก้าวเข้าไปหาคนทั้งคู่ ก็เห็นสายตารองแม่ทัพอี้ ส่งสัญญาณให้พวกเขาล่าถอยออกไป หลินซ่งฉีเข้าใจความต้องการของอี้เทียน เขาเม้มปากแล้วพยักหน้า พาคนที่เหลือถอยออกไปและคอยระวังภัย


   
   ซื่อเสวี่ยนมองร่างโชกเลือดที่เอนซบไหล่เขาด้วยสมองว่างเปล่า ราวกับทุกอย่างมืดลงเหลือเพียงโลหิตแดงฉาน
   “เทียน...อี้เทียน”
   คนที่เขาเรียกหาส่งยิ้มให้ ใบหน้าคมคายนอกจากซีดขาวเพราะเสียเลือดแล้วไม่ได้แสดงความเจ็บปวดใดๆ ออกมา เหมือนบนแผ่นหลังของเขาปราศจากธนูสักดอก ซื่อเสวี่ยนมือสั่น เขาคลำหายาในเสื้อโดยพยายามเคลื่อนไหวน้อยที่สุด ด้วยเกรงว่าจะกระเทือนถึงอีกคน ยาเม็ดหนึ่งถูกส่งเข้าปากอี้เทียนซึ่งยอมกลืนลงไปโดยดี ส่วนลูกธนูที่แผ่นหลังนั้นจมลึกจนซื่อเสวี่ยนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี   
   “ข้า.. ตามหมอ หมอ”
   “อาเสวี่ยน ไม่ต้อง”
   ต้องสิ ต้องตามหมอ ซื่อเสวี่ยนหายใจแรง พยายามสะกดเสียงสะอื้นไว้ กลัวจะสะเทือนถึงบาดแผลของอี้เทียน
   “นี่เป็นชะตาของข้า”
   ซื่อเสวี่ยนมือสั่น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายกำลังบอกกล่าว แต่ปฏิเสธไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมเชื่อ ไม่ ไม่ได้
   “ได้ปกป้องเจ้า ข้า...มีความสุขมาก” เสียงพูดนั้นเบาแต่หนักแน่น ดวงตาของเขาอ่อนแสง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เหมือนไม่เจ็บเลย เหมือนกำลังมีความสุขมากอย่างที่เขาบอกจริงๆ
   “ไม่...ไม่”
   “อย่าร้อง” มือของอี้เทียนพยายามยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ แต่เมื่อยกขึ้นมาได้เล็กน้อยก็ตกลง
   “ไม่ ไม่ได้ เจ้า...” ซื่อเสวี่ยนไม่กล้าเอ่ยคำว่าตาย เขากลัว กลัวมากจริงๆ ไม่กล้าคิดแม้แต่น้อย ได้โปรด
ได้โปรดอย่าพรากเขาไป อย่าพรากคนที่เขารักไปอีกเลย

   “ซือซือ เรียกพี่อี้”

   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกเหมือนหัวใจแทบแตกสลาย เขาไม่กล้าหายใจ ไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าละสายตาไปจากใบหน้าเปื้อนยิ้มของอี้เทียน น้ำตาทำให้ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน เขารีบกระพริบตาแล้วเบิกตากว้าง กลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไป แต่ยิ่งกระพริบตาน้ำตายิ่งไหลออกมา หยุดร้อง หยุดร้อง จะมองไม่เห็นแล้ว อี้เทียน อี้เทียน

   “ซื่อเสวี่ยน เรียกสิ” อี้เทียนกระอักเลือดออกมา แต่เขายังยิ้มอ่อนโยน ดวงตาคาดหวังรอคอย

   “พี่อี้” ซื่อเสวี่ยนกล่าวเสียงสั่น ราวกับว่าได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีเปล่งคำๆ นี้ออกไป เจ็บปวดในอกจนแทบไม่อยากหายใจ การเรียกใครสักคนเจ็บปวดขนาดนี้เลยหรือ

   อี้เทียนยิ้มกว้างขึ้นอีก “ชาตินี้ ข้า...เป็นพี่อี้ของเจ้า” ดวงตาเขาสะท้อนภาพของซื่อเสวี่ยน ดังจะจารึกไว้ในจิตวิญญาณ จดจำไปตลอด ดวงตาสีดำปรากฏแสงสีทองพาดผ่าน สะท้อนความต้องการครอบครองบ้าคลั่ง แตกต่างจากใบหน้าอ่อนโยนของเขา น้ำเสียงที่เปล่งออกมามั่งคงหนักแน่นเฉกเช่นคำประกาศิต “ชาติหน้า เจ้าเป็นภรรยาของข้า อี้เทียน”



   ดวงจิตเทพของอี้เทียนหลุดลอยจากร่างมนุษย์ ดวงตาจับจ้องใบหน้าอาบน้ำตาและเหม่อลอยของซื่อเสวี่ยน ความรู้สึกผิดที่จองจำซื่อเสวี่ยนไว้ เขาจะคลายออกให้ แต่บ่วงรัก...เขาไม่มีวันคลาย







   หลิวซ่งฉีได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของเฉินซื่อเสวี่ยน และได้ยินประโยคสุดท้ายของอี้เทียน หลิวซ่งฉีรู้หลับตาลง เข้าใจแล้วว่าอี้เทียนรักซื่อเสวี่ยน รักมากเหลือเกิน แม้ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยบอกรักอีกฝ่าย แต่ความรักของเขากระจ่างชัด โอบล้อมรอบตัวซื่อเสวี่ยนไว้











#วิถีเซียน3p





……………………..

บายๆ พี่อี้ ไปดีนะ เอ๊ย ไปรอดีๆ นะ อี้เทียนได้ปล็ดล็อคความรู้สึกผิดที่จองจำจิวซือไว้ แต่ไม่ยอมคลายบ่วงรัก พี่อี้ไม่ใช่คนดี พี่อี้จะเอา แฮร่

อวิ๋นหนาน: ถึงเวลาของข้าเสียที

อี้เทียน: ข้าประกาศจองตัวเขาแล้ว

เสี่ยวฝู: ไหนบอกว่าจะพาท่านแม่ไงล่ะ โกหก

เสี่ยวเฮย: (ทำหน้าผิดหวัง แต่ไม่กล้าบ่น)


ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
สงสารซื่อเสวี่ยน  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


แง เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ดีมากกกกกกกกกก
เป็นกำลังใจให้นะคะ เราจะคอยอยู่เชียร์คุณคนเขียนพร้อมส่งซือซือให้ถึงมือสองเทพให้ได้เลย!!  :L2: :pig4:



ออฟไลน์ arisa_sa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
ดีงามมากค่ะ ชอบที่สุดเลย  :L1: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
รีบๆกลับมากันได้แล้ว ลูกๆรออยู่

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อ่านรวดเดียวเลย

ดีงามมากกกกกกกกก บรรยายได้ดี ได้อรรถรส ทุก Arc จบแบบสมบูรณ์ในตัวเอง
ยอดเยี่ยมมากค่ะ


ขอบคุณ Malimaru ที่แนะนำให้อ่านค่ะ

ออฟไลน์ 14th-friedegg

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
รอเปย์ครเขียนนะคะ
อยากเก็บรูปเล่มมากๆ
เนื้อเรื่องดีมากๆคะ
จะขาดใจตามน้องง
ฮือพี่อี้!! ไปรอดีๆนะอย่าเกรี้ยวกราดดด

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0




The Great General (15)



   การตายของอี้เทียน ผู้เป็นรองแม่ทัพอนาคตไกล และว่าที่ผู้นำสกุลอี้ รวมทั้งการลอบสังหารที่เกิดขึ้นย่อมเป็นเรื่องใหญ่หลวง มือสังหารเหล่านั้นได้รับการพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าเป็นยอดฝีมือตงหย่า ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับซุนอวี้
   ถูกแล้ว ซุนอวี้ถูกจับพร้อมของกลาง ทันทีที่เขาซัดอาวุธลับใส่สะโพกม้าของเฉินซื่อเสวี่ยน ก็ถูกนายทหารที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งจับตัวได้ เมื่อนายทหารผู้นั้นกล่าวว่าซุนอวี้เป็นผู้ลงมือ จึงก่อให้เกิดความคลางแคลงใจกระทั่งเขาแสดงตราสัญลักษณ์ของหนานจงฮ่องเต้ออกมา ที่แท้เป็นโอรสสวรรค์บัญชาให้เขาแฝงตัวมากับกองทัพ มิมีผู้ใดกล้าคาดเดาพระทัยเจ้าชีวิต แต่ในใจอดนึกถึงแม่ทัพเฉินผู้เป็นที่โปรดปรานมิได้ นอกจากนายทหารผู้นี้แล้ว ยังมีนายกองหวง ผู้เป็นมือขวาของรองอี้เทียน ให้การว่ารองแม่ทัพอี้สงสัยว่าซุนอวี้อาจมีปัญหา สั่งให้เขาคอยจับตาดูไว้ ดังนั้นซุนอวี้ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกจับแล้ว
   เพราะรองแม่ทัพคนหนึ่งถูกสังหาร คนหนึ่งถูกจับกุม ส่วนแม่ทัพใหญ่ก็มิอาจบัญชาการได้ชั่วคราว ดังนั้นหลินซ่งฉีผู้เป็นกุนซือ จึงได้รายงานเหตุการณ์ทั้งหมดโดยละเอียด และให้ม้าเร็วนำสาส์นส่งไปเมืองหลวงก่อน เพื่อให้คนสกุลอี้มีเวลาเตรียมใจ

   “เจียงจวิน...”
   หลินซ่งฉีส่ายหน้าพลางถอนหายใจเมื่อเห็นนัยน์ตาไร้ประกายของเฉินซื่อเสวี่ยน เขาเหมือนร่างปราศจากวิญญาณ เป็นแค่ร่างกายกลวงๆ ไม่รับรู้สิ่งใด ไม่หิว ไม่ร้อนหนาว ไม่เจ็บ ประหนึ่งปิดกั้นทุกสิ่งไว้ด้านนอก ฝังตัวเองเอาไว้ในหลุมลึกที่มืดสนิทและหนาวเย็น





   เมืองหลวง
   ชัยชนะและการยึดคืนดินแดนของต้าเสินจากตงหย่าย่อมเป็นเหตุการณ์อันน่าเฉลิมฉลอง ดังนั้นตลอดทางที่ทัพต้าเสินผ่าน ก็มีชาวบ้านตั้งแถวต้อนรับอย่างเอิกเกริก กระนั้นแม่ทัพหนุ่มผู้ขี่อาชาตัวใหญ่อยู่หน้าสุดของขบวนกลับมีสีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง พลอยทำให้เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีค่อยเบาลงไปด้วย
   กองทัพต้าเสินตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบรอคำสั่งอยู่นอกประตูเมือง เหลือเพียงเฉินซื่อเสวี่ยน หลินซ่งฉี นายกองหวง และทหารอีกสองนายซึ่งควบคุมตัวซุนอวี้ไว้ เดินผ่านประตูเมืองเข้ามา และด้วยหนานจงฮ่องเต้ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ศพของอี้เทียนจึงมีคนของตระกูลอี้และกรมยุติธรรมมารับไปแล้ว
   

   ฝ่าบาทเสร็จมาต้อนรับกองทัพด้วยพระองค์เองถือเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ บรรดาขุนนางทั้งหลายย่อมต้องแสดงสีหน้าปรีดาและปลาบปลื้มกับเหล่าคนหนุ่มที่ทวงคืนแผ่นดินและประกาศศักดาของต้าเสิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาขุนนางผู้เฒ่าที่บุตรหลานได้ร่วมศึกครานี้ ซื่อเสวี่ยนชะงักเมื่อเห็นบิดาของอี้เทียน แม่ทัพใหญ่อี้คุน มองเขาด้วยสายตาเช่นเดิม เฉกเช่นผู้ใหญ่มองดูบุตรหลานที่เอ็นดูไม่เปลี่ยนแปลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกสะกดคลื่นอารมณ์ที่แทบทะลักทลายออกมา แล้วคุกเข่าทำความเคารพหนานจงฮ่องเต้
   “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี”
   “ลุกขึ้น”
   หนานจงฮ่องเต้ทรงตรัสชมเหล่าทหารต้าเสิน และให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับตามธรรมเนียม จากนั้นก็ทรงทอดพระเนตรมองซุนอวี้ที่ถูกล่ามตรวน พระเนตรเย็นชารับสั่งให้ทหารจับเขาเข้าคุกหลวงรอลงอาญา

   ทันใดนั้น สตรีนางหนึ่งก็แหวกฝูงชนเข้ามา ใบหน้างามซีดขาว เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตา เป็นซุนเจียวเจี๋ยวนั่นเอง นางโผเข้าหาซุนอวี้ สองมือกุมมือที่ถูกล่ามโซ่ของเขาไว้ เห็นสภาพซุนอวี้สะบักสะบอมไม่ต่างจากนักโทษ นางก็ร่ำไห้เสียงดัง
   “อาอวี้ อาอวี้”
   “เจี่ย” ซุนอวี้กล่าวคำว่าพี่สาวอย่างยากลำบาก ทราบว่าอนาคตตนเองหมดสิ้นแล้ว แม้แต่ชีวิตก็คงรักษาไว้ไม่ได้ แต่ประโยคต่อมาของซุนเจียวเจี๋ยทำให้เขาแทบล้มทั้งยืน
   “ตระกูลซุน ไม่มีแล้ว ไม่...มี”
   หนานจงฮ่องเต้กริ้วหนักเมื่อทราบเรื่อง เดิมทีผู้ต้องโทษอาจมีแต่ซุนอวี้ผู้ลงมือ แต่เวลานั้นมีขุนนางผู้หนึ่งกล่าวหาว่าตระกูลซุนสมคบคิดกับตงหย่า และแม้ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ด้วยความประจวบเหมาะของการลอบสังหาร จึงมิใช่ไม่มีมูลเสียทีเดียว หนานจงฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาเนรเทศตระกูลซุนทั้งหมดไปชายแดน ไม่ให้รับราชการอีก 5 รุ่น ส่วนซุนอวี้ให้ประหารในอีกเจ็ดวัน ชะตากรรมของตระกูลซุน ตระกูลขุนนางใหญ่หลายร้อยปีเรียกว่าจบสิ้นแล้ว
   น้องชายต้องโทษประหาร บิดามารดาถูกเนรเทศ สามีตายอนาถ ขณะที่ศัตรูของนางยังปลอดภัยไร้เรื่องราว อีกทั้งยังได้รับการยกย่องสรรเสริญ นางจะทนได้อย่างไร ทนได้อย่างไร
   ดวงตาของซุนเจียวเจี๋ยแดงกล่ำ จ้องมองซื่อเสวี่ยนอย่างอาฆาต นำ้เสียงแหลมสูงสาปแช่งเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
   “เฉินซื่อเสวี่ยน ไอ้คนชั่ว คนเนรคุณ เขาตายเพราะเจ้า สามีข้าตายเพราะเจ้า ตระกูลข้าฉิบหายก็เพราะเจ้า ไอ้ตัวกาลกิณี ผิดเพศ ชั่วช้าสามานย์ ปีศาจร้าย ทำไมเจ้าไม่ตายๆ ไปซะ ขอให้เจ้าตายอย่าง...อือ” ซุนเจียวเจี๋ยไม่ทันสาปแช่งเขาจบประโยคก็ถูกทหารปิดปากแล้วลากตัวออกไป
   อี้คุนมองลูกสะใภ้ที่เขาเลือกให้ลูกชายด้วยสายตาเย็นชา แม่ทัพใหญ่ขอขมาหนานจงฮ่องเต้ จากนั้นก็สืบเท้ามาหยุดตรงหน้าซื่อเสวี่ยน มือใหญ่วางลงบนบ่าของเขาแล้วบีบเบาๆ
   “ท่านลุงอี้” ซื่อเสวี่ยนรู้สึกกระบอกตาร้อนผ่าว ชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้นแล้วโขกศีรษะให้อี้คุนโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ไม่สนใจสายตาผู้ใด เป็นเขาติดค้างอี้เทียน ติดค้างอี้คุน เป็นเขาติดค้างสกุลอี้ เมื่อศีรษะกระแทกกับพื้นแรงๆ ความทุกข์ความเจ็บปวดในใจก็คล้ายจะเบาลงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงโขกแรงขึ้นอีก เมื่อครบสามครั้งหน้าผากก็ปริแตกจนโลหิตไหลซึมแล้ว
   อี้คุนไม่ห้ามเขา รอจนซื่อเสวี่ยนเงยหน้า ค่อยพยุงเขาขึ้นมา มือทั้งสองข้างของอี้คุนวางบนไหล่ของซื่อเสวี่ยน ใบหน้าที่แก่ชราลงหลายปีเพราะการจากไปของอี้เทียนปรากฏรอยยิ้มบางเบา เขาเห็นเด็กทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน บุตรชายคิดอย่างไรมีหรือผู้เป็นบิดาไม่ทราบ แต่เพราะต้องการให้อี้เทียนเป็นผู้นำตระกูลต่อจากเขา จึงให้เกี่ยวดองกับสกุลซุน นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเป็นการทำร้ายอี้เทียนทางอ้อม
   อี้คุนบีบไหล่ซื่อเสวี่ยน กล่าวว่า “อาเทียนได้ทำอย่างที่เขาอยากทำแล้ว ไม่มีห่วงอีก”
   





   สามวันต่อมา หนานจงฮ่องเต้ให้เฉินซื่อเสวี่ยนและหลินซ่งฉีเข้าเฝ้า ทรงพระราชทานรางวัลและตรัสชมเชย ตลอดจนเลื่อนขั้นให้กับแม่ทัพนายกองที่มีความดีความชอบตามรายงานการศึกที่หลินซ่งฉีถวาย นอกจากนั้นยังทรงมีพระกรุณาเลื่อนขั้นอี้เทียนเป็นเจียงจวินเช่นเดียวกับซื่อเสวี่ยน และให้น้องชายของอี้เทียนขึ้นเป็นรองแม่ทัพแทนเขาเพื่อชดเชยให้สกุลอี้   







   ห้องเก็บป้ายวิญญาณสกุลเฉินอาจเป็นที่เดียวที่ทำให้ซื่อเสวี่ยนรู้สึกปลอดภัยพอจะปลดเกราะกำบังทุกอย่างออก เขานั่งกอดเข่าอยู่ในมุมหนึ่ง ดวงตาว่างเปล่ามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย คำพูดมากมายที่ยากจะกล่าวให้ผู้ใดฟัง บัดนี้สามารถบอกเล่ากับเฉินซานได้ ต่อหน้าเฉินซานเขาสามารถเป็นแค่ซื่อเสวี่ยน ไม่ใช่เฉินซื่อเสวี่ยน
   “พี่ใหญ่ ฝ่าบาทแต่งตั้งให้ข้าเป็นเจียงจวินแล้ว”
   “ตระกูลเรามีแม่ทัพแล้วนะ”
   “ท่านพ่อสบายดี ไม่นานคงปลดเกษียณแล้วมาอยู่หนิงเอ๋อร์”
   “หนิงเอ๋อร์ก็โตขึ้นมาก น่ารักกว่าเด็กสาวบ้านไหน ข้าไม่อยากยกนางให้ใครเลย”
   “พี่ใหญ่”
   “ข้า...เหนื่อยแล้ว”
   สิ้นคำ น้ำตาที่กลั้นไหวก็ไหลริน หยดแล้วหยดเล่า แทบจมตัวตนเล็กๆ ที่ซื่อเสวี่ยนฝังลึกไว้ ทำให้เขาหายใจไม่ออก ทำให้ในอกอึดอัดปวดร้าวเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถ้าตอนนั้นเขาไม่โลภอยากนำทัพ ถ้าตอนนั้นลาออกไปให้ไกลจากเมืองหลวงเสีย
   ‘จบศึกคราวนี้ พวกเราไปท่องเที่ยวกัน’
   ‘ท่องยุทธภพเหมือนในหนังสือที่เจ้าชอบอ่าน’

   เจียงจวิน ข้าไม่อยากเป็นแล้ว พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากเป็นแล้ว






   สกุลเฉินมีเฉินตงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง มีเฉินซื่อเสวี่ยนเป็นรองเสนบดีกรมกลาโหม และยังรั้งตำแหน่งทางการทหาร ถือเป็นขุนนางหนุ่มที่มีอนาคตไกลกว่าผู้ใดในต้าเสิน หลายตระกูลคิดหาหนทางเกี่ยวดอง ผูกไมตรี ไม่มีผู้ใดกล้าไม่ไหวหน้าคนของสกุลเฉิน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเฉินซื่อเสวี่ยนจะยื่นหนังสือลาออกจากราชการ





#วิถีเซียน3p




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
เห็นสองเมนท์บนแล้วรู้สึกเหมือนอุปาทานหมู่ เผลอทำตามโดยไม่รู้ตัว 555
ฮ่องเต้เพคะ ช่วยน้องด้วย (รีบๆ ทำคะแนนเถอะเพคะ ไหนๆ แม่ทัพอี้ก็ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอแล้ว จับน้องให้อยู่หมัดบัดเดี๋ยวนี้เลยเถิด / ถวายลังโคม ตึ่งโป๊ะ!!)
เป็นกำลังใจให้ จะรอตอนต่อไปนะคะ  :กอด1:





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ 14th-friedegg

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
 :hao5: :hao5:
ฮองเต้ เยียวยาน้องที!!!!!

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ผมชอบบทนี้ครับ มีการบรรยายที่ทรงพลังมากที่สุดที่จับต้องอารมณ์ของคนอ่านโดยส่งผ่านซื่อเสวี่ยนมา

   ห้องเก็บป้ายวิญญาณสกุลเฉินอาจเป็นที่เดียวที่ทำให้ซื่อเสวี่ยนรู้สึกปลอดภัยพอจะปลดเกราะกำบังทุกอย่างออก เขานั่งกอดเข่าอยู่ในมุมหนึ่ง ดวงตาว่างเปล่ามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย คำพูดมากมายที่ยากจะกล่าวให้ผู้ใดฟัง บัดนี้สามารถบอกเล่ากับเฉินซานได้ ต่อหน้าเฉินซานเขาสามารถเป็นแค่ซื่อเสวี่ยน ไม่ใช่เฉินซื่อเสวี่ยน
   “พี่ใหญ่ ฝ่าบาทแต่งตั้งให้ข้าเป็นเจียงจวินแล้ว”
   “ตระกูลเรามีแม่ทัพแล้วนะ”
   “ท่านพ่อสบายดี ไม่นานคงปลดเกษียณแล้วมาอยู่หนิงเอ๋อร์”
   “หนิงเอ๋อร์ก็โตขึ้นมาก น่ารักกว่าเด็กสาวบ้านไหน ข้าไม่อยากยกนางให้ใครเลย”
   “พี่ใหญ่”
   “ข้า...เหนื่อยแล้ว”
   สิ้นคำ น้ำตาที่กลั้นไหวก็ไหลริน หยดแล้วหยดเล่า แทบจมตัวตนเล็กๆ ที่ซื่อเสวี่ยนฝังลึกไว้ ทำให้เขาหายใจไม่ออก ทำให้ในอกอึดอัดปวดร้าวเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถ้าตอนนั้นเขาไม่โลภอยากนำทัพ ถ้าตอนนั้นลาออกไปให้ไกลจากเมืองหลวงเสีย
   ‘จบศึกคราวนี้ พวกเราไปท่องเที่ยวกัน’
   ‘ท่องยุทธภพเหมือนในหนังสือที่เจ้าชอบอ่าน’

   เจียงจวิน ข้าไม่อยากเป็นแล้ว พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากเป็นแล้ว

ที่เดียวที่ซื่อเสวี่ยนจะเป็นตัวของเขาเองได้ คือหน้าหลุมศพของพี่ชายคนที่รักและดูแลเขา คอยเอามือลูบหัวเขา คอยอุ้มเขาแล้วปกป้องเขาจนตัวตาย ซื่อเสวี่ยนแบกรับภาระของความคาดหวังเอาไว้ตอนที่เฉินตงปกป้องเขาจนตาย ซื่อเสวี่ยนคิดไปเองว่าหากเขาสามารถเติมเต็มสิ่งที่เฉินซานอยากทำไว้ได้ อย่างน้อยเขาจะรู้สึกผิดน้อยลง อย่างน้อยตัวตนของเขาก็ควรจะมีค่า

แต่พอซื่อเสวี่ยนเห็นว่ายังมีคนที่มองเห็นคุณค่าของเขามากกว่าใคร ไม่ว่าคนอื่นจะมองเขาว่ายังไง คนอื่นจะเห็นเขาเป็นยังไง อี้เทียนก็ยังคงเห็นคุณค่าของเขา ทะนุถนอมเขา หยอกล้อเขาและรักเขามากกว่าใคร อี้เทียนเป็นคนที่รักซื่อเสวี่ยนมากพอๆกับเฉินตง แล้วยังรักโดยเสน่หา ทะนุถนอมและไม่มีวันมองใครนอกจากซื่อเสวี่ยน ผมว่าอีกประโยคนึงที่เด็ดมากของอี้เทียนคือประโยคลาตายของเขา “ชาตินี้ ข้าเป็นพี่อี้ของเจ้า ชาติหน้า เจ้าเป็นภรรยาของข้า อี้เทียน”

ผมอ่านแล้วขนลุกนะครับ เหมือนเคยเห็นเดจาวูแบบนี้ในหนังจีนเรื่องนึงที่พระเอกนางเอกตายจากกันแล้วปฏิญาณรักทำนองนี้แหละ ประทับใจมากครับตอนนั้น

ดังนั้น พออี้เทียนตายโดยปกป้องซื่อเสวี่ยนอีก มันเลยทำให้น้องพังที่สุด ผมชอบประโยคบีบคั้นจิตใจที่ซื่อเสวี่ยนพูด ถ้าการเป็นเจียงจวิน การเติมเต็มความฝันของพี่ชาย ต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนที่รักซื่อเสวี่ยน และซื่อเสวี่ยนเองก็รักเขาอยู่ในใจมาตลอด ถ้ามันต้องเป็นการแลกแบบนี้ เขาไม่แลกแล้วได้ไหม เขาเหนื่อยแล้วกับการที่จะต้องเติมเต็มสิ่งที่พี่ชายคาดหวังไว้ ปมของจิตใจซื่อเสวี่ยนทำให้เขาร้องไห้หน้าหลุมศพของเฉินซาน ถ้าต้องแลกอี้เทียนกับตำแหน่ง เขาเหนื่อยแล้ว เขาไม่อยากแลกแล้ว เขาขออยู่กับอี้เทียนได้ไหม ยิ่งความทรงจำของเขากับอี้เทียนทะลักออกมา มันยิ่งทำให้ซื่อเสวี่ยนเจ็บปวดมากขึ้น หวนไห้กับพี่อี้ของเขามากขึ้น ทุกความดีและทุกความอ่อนโยนที่อี้เทียนทำให้ซื่อเสวี่ยน ทุกความฝันที่ได้คุยกัน แล้วการตายของเขายิ่งตอกย้ำสิ่งที่ซื่อเสวี่ยนต้องการว่าเป็นแค่ตำแหน่ง ทำให้ตัวตนของซื่อเสวี่ยนอยากจะเหวี่ยงตำแหน่งตัวนี้ทิ้งออกไป ผมชอบความปวดร้าวนี้นะครับ มันเจ็บและเรียลมาก คนอ่านสัมผัสได้

การบรรยายตรงนี้ทำให้เรารู้เลยว่าซื่อเสวี่ยนรักอี้เทียนมาก แล้วอี้เทียนก็รักน้องมาก มันทำให้เป็นโศกนาฏกรรมที่คนอ่านสัมผัสแล้วโศกเศร้า ทำให้คนอ่านอินได้ดีมากครับ นี่เป็นสาเหตุที่ผมเชียร์อี้เทียนมาตั้งแต่ต้น คู่นี้น่าสนใจมากๆ ถ้าสองคนกลับมาได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง มันจะมีความสุขขนาดไหน

ขอทิ้งท้ายด้วยเพลงที่ผมคิดว่าเข้ากับสองคนนี้มาก คือเพลง Heart of Palm ของ Della Ding ครับ เพลงนี้ผมว่าเหมาะกับสองคนนี้มาก ฮืออ /ยกป้ายไฟ

https://www.youtube.com/watch?v=6VUuEQwvMlQ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2019 17:20:10 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
The Great General (16)

   

   อวิ๋นหนานมองคนที่คุกเข่าอยู่หน้าบังลังก์มังกร ใบหน้าขาวซีดปราศจากอารมณ์ ดวงตาไร้ประกาย แตกต่างจากเซียนน้อยที่เขาพบริมแม่น้ำเจียงหัวนัก เด็กคนนั้นตีหน้าเศร้า บรรยายความทุกข์ยากของด่านคุณธรรมจนเขายอมให้พรโชคดีสามชาติ ที่แท้แล้วเป็นคนดื้อรั้นและรักมั่น
   ดวงจิตที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่มีทางแตกสลายอย่างที่กังวล
   ‘สมควรปล่อยไปได้แล้ว’ ความคิดที่ทำให้หัวใจบีบรัด ต่อต้าน ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นแล้วยามที่เขาใช้เหตุผลตัดสินใจรักษาระยะห่างกับอลัน แล้วเวลานี้เล่า...ยังสมควรใช้เหตุและผลเหมือนเช่นทุกครั้งหรือไม่
   

   บรรยากาศในท้องพระโรงหนาวเย็นและกดดันยิ่ง บรรดาขุนนางไม่ว่าจะยศศักดิ์น้อยใหญ่ล้วนปิดปากเงียบ ไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง เพียงแต่ข้ามองท่าน ท่านมองข้า ไม่ทราบสมควรช่วยรองเสนาบดีเฉินขอร้องฝ่าบาท หรือควรออกหน้าทัดทานขุนนางหนุ่มอนาคตไกลผู้นี้ดี
   กระนั้นซื่อเสวี่ยนที่สมควรแบกรับแรงกดดันจากสายพระเนตรที่สุดกลับยังนิ่งเฉย ไม่ยินดียินร้าย ราวกับว่าแม้ถูกทหารลากไปตัดหัวตอนนี้ สีหน้าก็คงไม่เปลี่ยน

   “ซือจง ต้องการไปจากเราหรือ”
   สุรเสียงเนิบนาบแต่ทำให้หลายคนตัวสั่นด้วยรับรู้ถึงโทสะของเจ้าชีวิต แม้รับสั่งของหนานจงฮ่องเต้จะฟังดูพิกล คล้ายแฝงความหมายบางประการ แต่บรรยากาศที่แผ่ออกจากพระวรกายกลับทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดเป็นอื่น นอกเสียจาก ‘ทรงกริ้วแล้ว’
   ซื่อเสวี่ยนค้อมตัวลง หน้าผากจรดพื้น แสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ไม่เกรงกลัวของเขา เฉินตงมองบุตรชายด้วยสายตากังวล เรื่องที่ซื่อเสวี่ยนอยากออกจากราชการนั้นเขาไม่ทราบมาก่อน ดังนั้นคราแรกที่ได้ยินก็อดรู้สึกไม่เห็นด้วย และผิดหวังเสียใจไม่ได้ แต่ความผิดหวังของเขาเมื่อเทียบกับความสุขของซื่อเสวี่ยนนั้นถือว่าเล็กน้อย ตระกูลเฉินเวลานี้ยังมีเขาแบกไว้ เฉินตงก้าวออกมาคุกเข้าอยู่ข้างซื่อเสวี่ยน ขอร้องแทนบุตรชาย
   “ฝ่าบาททรงเมตตา”


   เมตตา เมตตาให้เขาจากไปน่ะหรือ
   ดวงตาของอวิ๋นหนานเปลี่ยนเป็นสีทองเข้ม เดิมทีเขาไม่เคยมีสิ่งที่ต้องการ แม้แต่ตำแหน่งตงหวางก็ไม่ ทั้งหมดล้วนถูกกำหนดไว้ให้เป็นของเขา เขาต่างจากเทพตนอื่นด้วยเมื่อเกิดมาก็ทราบเจตจำนงค์ของสวรรค์แล้วว่าตนเองต้องทำสิ่งใด และต้องครอบครองอะไร ทราบกระทั่งว่าคู่ครองของเขาเป็นเทพชั้นสูงที่ยังไม่ถือกำเนิด เป็นผู้ครอบครองสมบัติล้ำค่าหนึ่งเดียวของสวรรค์ ไม่ใช่เซียนน้อยที่ยังไม่บรรลุเป็นเทพตนนี้
   อวิ๋นหนานเคาะนิ้วกับบัลลังก์ ใบหน้ารูปสลักปรากฏรอยยิ้มบางเบา ขณะที่ดวงตาเป็นประกายกร้าว มิคล้ายตัวเขาในเวลาปกติ
   ไม่ใช่ลิขิตฟ้าแล้วอย่างไร เขาต้องการคนผู้นี้!
   ไม่ยินยอมตัดความสัมพันธ์ ไม่ยินยอมให้ด้ายแดงที่ปลายนิ้วขาดลง

   “ให้เจ้าพักร้อนเท่าที่ต้องการ ถึงเวลาต้องกลับมาอยู่ข้างกายเรา”
   หนานจงฮ่องเต้รับสั่งด้วยเสียงเนินนาบแต่ทรงพลัง จากนั้นก็ทรงลุกขึ้นจากบังลังก์มังกร สะบัดชายเสื้อจากไป ปล่อยให้ขุนนางทั้งหลายมองหน้ากันไปมา


   เรื่องที่เฉินซื่อเสวี่ยนขอลาออกจากราชการแต่ฝ่าบาททรงไม่อนุญาติ และให้เขาพักร้อนไม่มีกำหนดแทน แม้แต่ตำแหน่งขุนนางและการทหารยังคงรักษาไว้ให้ เป็นที่เล่าลือไปทั้งเมืองหลวง ตำแหน่งรองเสนาบดีที่ว่างเว้นก็โปรดให้ผู้ช่วยของเขารักษาการแทน เห็นได้ชัดว่าทรงให้ความสำคัญกับเขาเพียงใด ตระกูลเฉินใช้สองมือประคองคืนอำนาจให้ ฝ่าบาทกลับทรงไม่รับ ทั้งยังรักษาไว้รอเขากลับมา สถานะของตระกูลเฉินในพระทัยหนักแน่นยากสั่นคลอนแน่แล้ว



   หนึ่งปีต่อมา มณฑลซีเจาที่ยึดคืนมาจากตงหย่าดูคึกครื้นกว่าเดิม ชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้ายังดำรงชีวิตเหมือนที่ผ่านมาแม้เจ้าเมืองจะเปลี่ยนเป็นขุนนางต้าเสิน คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เนื่องจากต้าเสินเก็บภาษีน้อยกว่าตงหย่า และยังช่วยจัดหาทหารคุ้มกันตามแนวพื้นที่เสี่ยงให้ด้วย ผู้คนจึงมั่นใจลงทุนทำการค้า ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น
   ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของตลาดในอำเภอชายแดนของซีเจา เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งมีหมวกสานปิดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เขาสวมชุดสีดำทำจากผ้าเนื้อหยาบ สะพายดาบยาวเล่มหนึ่ง จากท่วงท่าลึกลับและการแต่งกายเดาว่าเขาคงเป็นชาวยุทธ์
   ชายหนุ่มผู้นั้นหยุดดูแผงขายของแผงหนึ่ง เขาหยิบมีดพับขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาพิจารณา แต่เพราะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา จึงไม่อาจบอกได้ว่าเขาสนใจหรือไม่ กระนั้นพ่อค้าก็ยังยิ้มแย้มอวดสินค้าของตนเองอย่างคล่องแคล่ว
   “ผู้กล้าตาแหลมยิ่ง มีดพับเล่มนี้ข้าได้มาจากเมืองหลวง เป็นช่างฝีมือดีหลอมเอง รับรองว่าทนทานคุ้มราคาแน่นอน”
   ชายหนุ่มเล่นมีดพับกับปลายนิ้วเรียวด้วยท่าทางชำนาญ จากนั้นก็วางลง แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดจา ทำให้คนขายบ่นกระปอดกระแปดว่าไม่มีเงินแล้วยังทำเป็นเลือกซื้อของตั้งนานสองนาน เสียเวลาค้าขายของเขา
   


   
   เมืองออกจากตัวเมืองแล้ว ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกหนึ่ง วิชาตัวเบาของเขาถือว่าไม่เลว ดังนั้นใช้เวลาไม่นานก็มาเกือบถึงยอดเขาแล้ว หน้าหนาวท้องฟ้ามืดเร็ว ประกอบกับอากาศที่เย็นลง ทำให้ตลอดทางไม่เห็นผู้อื่น เบื้องหน้าห่างออกไปเล็กน้อยเป็นอารามเก่าหลังเล็กที่ทรุดโทรมตามกาลเวลา ภายในมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ประทานพร ชาวบ้านที่มาเก็บของป่า นานๆ ครั้งก็จะนำผลไม้มาถวาย หรือไม่ก็ช่วยทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นภายในอารามจึงพออาศัยหลบลมหนาวได้
   ชายหนุ่มถอดหมวกสาน วางดาบและห่อผ้าลง เผยใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ดูคล้ำขึ้นเล็กน้อยของซื่อเสวี่ยน ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาออกเดินทางจากเมืองหลวง ท่องเที่ยวไปทั่วกระทั่งมาถึงซีเจา หัวใจที่รุ่นร้อนเจ็บปวดเวลานี้สงบลงมากแล้ว แม้ทุกๆ วันยังนึกถึงและเฝ้ารอเวลา หากบอกว่ารอเวลาตายก็ฟังดูเกินจริงไป เพียงแต่หัวใจรู้สึกวางเปล่า ไม่มีจุดหมายในชีวิต ดังนั้นแต่ละวันหมดไปกับการรอเวลา
   ซื่อเสวี่ยนจุดไฟด้านหน้าอาราม มือล้วงผลไม้ออกจากห่อผ้าแล้วกัดกินช้าๆ เมื่อไม่มีจุดหมาย ชีวิตก็ไม่ต้องรีบเร่ง เขามองกองไฟที่วูบไหวตามลม ไม่ทราบคิดสิ่งใด

      
   จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดินเข้ามาทางนี้ ซื่อเสวี่ยนขมวดคิ้ว มือคว้าดาบไว้ด้วยเกรงว่าผู้มาจะไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาอย่างเปิดเผย คาดว่าคงไม่มีเจตนาร้าย อาจมาอาศัยค้างแรมที่อารามเท่านั้น หัวคิ้วจึงคลายออกเล็กน้อย
   
   “นี่คือการพักร้อนของเจ้าหรือ”
   น้ำเสียงคุ้นเคยที่ทำให้ซื่อเสวี่ยนตัวแข็ง ใบหน้าที่โผล่มาจากเงามืดประดับรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม แม้ร่างสูงสง่าฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ยังไม่อาจปิดบังรัศมีสูงศักดิ์ของเขาได้
   “ฝ่า...บาท”
   “หึ” หนานจงฮ่องเต้ส่งเสียงในลำคอซึ่งอาจตีความหมายได้ว่า ‘ยังจำเราได้หรอกหรือ’
   “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
   ซื่อเสวี่ยนทำความเคารพหนานจงฮ่องเต้ด้วยความลนลานอยู่บ้าง สีหน้าไม่อาจปิดบังความตกใจ และความสงสัย ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร ทำไมมาถึงซีเจา องค์รักษ์ส่วนพระองค์อยู่ที่ไหน สุดท้ายคือทรงปรากฎตัวเบื้องหน้าเขาเพราะเหตุใด หนานจงฮ่องเต้เหมือนทราบความคิดของเขา จึงตรัสด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า
   “ข้ามารับ”
   ซื่อเสวี่ยนตกใจจนเผลอเงยหน้าสบตากับพระเนตรลึกล้ำที่สะท้อนแสงจากกองไฟ ก่อนจะรีบก้มศีรษะลง
   “ซือจง กลับไปกับเรา” สรรพนามที่ใช้เปลี่ยนไป บ่งบอกนี่คือคำสั่งที่ไม่ยินยอมให้ปฏิเสธ
   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ราวกับว่าถูกพระมหากรุณาทำให้สมองพร่าเลือน เดิมทีเคยคิดเล่นๆ ว่าหากวันหนึ่งทางการส่งทหารมาเรียกให้เขากลับเมืองหลวง ตนเองจะตอบรับหรือปฏิเสธ จะยินยอมหรือหนีไปสุดหล้า แต่ไม่เคยคิดว่าพระองค์จะเสด็จมาด้วยตนเอง มารับคนอย่างเขาน่ะหรือ มีค่าให้ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เชียวหรือ เวลานี้เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าตนเองเข้าใจเจ้าชีวิตเบื้องหน้าดีแค่ไหน ไม่แน่ใจว่าเขาและตระกูลเฉินยังเป็นเพียงโล่และดาบของพระองค์หรือไม่

   หนานจงฮ่องเต้สืบเท้าเข้ามาใกล้ และโน้มพระวรกายสูงส่งลง ก่อนจะวางพระหัตถ์บนศีรษะของซื่อเสวี่ยนแผ่วเบา เพียงแค่แตะเส้นผมเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำเท่านั้น สุรเสียงทุ้มตรัสว่า
   “เจ้าให้อภัยคนอื่นได้ เหตุใดจึงไม่ยอมให้อภัยตนเอง”
   ซื่อเสวี่ยนเบิกตากว้าง รู้สึกราวกับว่าประโยคนี้ไม่ได้กล่าวกับเขาโดยตรง แต่กำลังบอกกับตัวเขาอีกคนหนึ่ง คนที่อยู่ลึกลงไปในจิตใต้สำนึก ถ้อยคำเหมือนแสงสว่างจ้าทะลุผ่านกรงขังที่อยู่ลึกและมืดมิด ทำให้ดวงจิตภายในนั้นสั่นสะท้าน บิดเบี้ยว ขัดขืน ดิ้นรน ก่อนจะค่อยๆ สงบลงและนิ่งไปในที่สุด
   ให้อภัยตนเอง
   ให้อภัยตนเอง
   


   #วิถีเซียน3p

……………………………………..

เปิดพรีต้นปีหน้านะคะ :)

@คุณ Grey Twilight วิเคราะห์ละเอียดเหมือนเดิมเลย ฟังเพลงแล้ว ขอบคุณมากค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2019 21:03:03 โดย Whitedemon21 »

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ต้องเดินหน้าต่อไปนะ ซื่อเสวี่ยน อดีตเราจดจำได้แตือย่าให้มันฉุดรั้งเราอยู่กับที่นะ

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
บีบหัวใจ ถ้าเล่นให้เศร้ากว่านี้อีก ดิฉันจะร้องไห้ เหมียนหมาแล้วนะคะ  :hao5: :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
The Great General


(17)





   หลังจากหนานจงฮ่องเต้เสด็จมารับขุนนางคนสนิทก็มิได้เสด็จกลับวังหลวงในทันที ราชบัลลังก์เวลานี้มั่นคงยิ่ง ไม่มีสิ่งใดให้กริ่งเกรงเฉกเช่นยามที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ ดังนั้นจึงถือโอกาสนี้เสด็จประพาสดูความเป็นไปได้ของราษฎร ด้วยเป็นความลับจึงมีผู้ติดตามไม่มาก นอกจากซื่อเสวี่ยนแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น

   ซื่อเสวี่ยนมองเจ้าชีวิตผู้ทรงค้อมพระวรกายสูงส่งลงสนทนากับเด็กน้อยหน้าตามอมแมมผู้หนึ่งแล้วอดคิดในใจไม่ได้ว่าทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดี แม้แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ แต่ทรงเห็นแก่ประชาชนเป็นที่ตั้ง มิได้ใฝ่สงคราม แต่อาศัยการค้าและวิทยาการขยายอิทธิพลของต้าเสินออกไปจนแคว้นต่างๆ มาขอพึ่งบารมี ยอมเป็นแคว้นในปกครองบ้าง หรือเป็นพันธมิตรทางการค้าบ้าง ซึ่งล้วนมิเคยเกิดขึ้นในอดีต
   ทันใดนั้นหนานจงฮ่องเต้ก็หันพระวรกายกลับมา แล้วกวักมือเรียกเขา ซื่อเสวี่ยนเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ยังมิทันได้กล่าวอันใด กระต่ายตัวเล็กที่ทำจากไม้ก็ถูกยื่นมาให้
   “ให้เจ้า”
   ซื่อเสวี่ยนชะงักไป แต่เมื่อเห็นหนานจงฮ่องเต้ทรงรออยู่จึงยื่นมาไปรับ และทันได้เห็นมุมปากของคนตรงหน้ายกขึ้นเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี ทั่วทั้งร่างแผ่ความอบอุ่นอ่อนโยนออกมาคล้ายกับ... คล้ายกับ... ชื่อหนึ่งติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่กลับนึกไม่ออก ทราบแต่ว่าคนผู้นั้นสูงส่งและใจดีต่อเขาเช่นนี้ ซื่อเสวี่ยนตำหนิตนเองในใจ หนานจงฮ่องเต้จะทรงคล้ายผู้ใดได้ ใต้หล้านี้เห็นทีคงไม่มีแล้ว


   แสงจันทร์จากภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดท้ิงไว้ขณะที่เจ้าของห้องกำลังชำระล้างร่างกายอยู่ด้านหลังฉากกั้น บนเตียงนอนนอกจากหมอนและผ้าห่มแล้ว ยังมีมีดพับด้ามหนึ่งวางอยู่คู่กับกระต่ายไม้ตัวเล็ก ทั้งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ดำรงอยู่ร่วมกันเช่นนั้น



   เรื่องที่หนานจงฮ่องเต้เสด็จประพาสเป็นการส่วนพระองค์นั้นเหล่าขุนนางล้วนทราบ เพียงแต่มิทราบว่าทรงเสด็จไปที่ใด จึงได้แต่ส่งม้าเร็วไปแจ้งเหล่าคนสนิทให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบเท่านั้น ราวสามเดือนต่อมาวังหลวงจึงได้รับจดหมายว่าพระองค์กำลังจะเสด็จกลับวัง เหล่าข้าราชบริพารเร่งเตรียมการต้อบรับ ฝ่ายขุนนางก็จัดแจงฎีกาที่จะถวาย วันเวลาที่เคยว่างสบายจึงหมดไปด้วยประการนี้
   เมื่อทราบว่าฮ่องเต้เสด็จใกล้ถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ต่างก็พากันออกไปต้อนรับไกลร้อยลี้ เกือบทั้งหมดพาบุตรชายหลายชายของตนไปร่วมขบวนต้อนรับ ด้วยหวังว่าจะมีวาสนาต้องสายพระเนตรและได้รับการผลักดันจากฝ่าบาทบ้าง กรมพิธีการเริ่มเตรียมงานตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน ทั้งยังประกาศให้ประชาชนทราบว่าหนานจงฮ่องเต้ทรงเสด็จกลับจากการเยี่ยนเยียนราษฎร ชาวบ้านที่รักและเคารพพระองค์ดังเทพเจ้าจึงพากันแขวนโคมแดงผ้าแดง ทำให้ทั่วทั้งต้าเสินมีบรรยากาศครึกครื้นเสมือนงานขึ้นปีใหม่
   เมื่อได้ยินเสียงกลอง เหล่าขุนนางก็จัดเสื้อผ้า ยืนหลังตรงชะเง้อคอมองไปข้างหน้า รออยู่ครู่หนึ่งค่อยเห็นขบวนเสด็จอันประกอบด้วยรถม้าขนาดใหญ่กว่ารถม้าทั่วไปเพียงหนึ่งคัน และทหารองครักษ์ราวยี่สิบนายขี่อาชาล้อมรอบรถม้าคันนั้นเป็นการคุ้มกัน นับว่าเป็นขบวนเสด็จที่เล็กที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นมา กระนั้นบรรยากาศโดยรอบก็ยังเปี่ยมด้วยอำนาจบารมีไม่เปลี่ยนแปลง
   ขบวนเสด็จหยุดลงหน้าพลับพลา คาดว่าจะทรงลงจากรถม้ามาทักทายเหล่าขุนนางและราษฎรก่อนเสด็จกลับวัง ทหารองครักษ์ประจำพระองค์กระโดดลงจากม้า ค้อมกายทำความเคารพก่อนจะเปิดประตูรถม้าออก เมื่อเห็นชายผ้าคลุมสีเหลือง เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
   “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
   รออยู่ราวชั่วอึดใจก็ได้ยินสุรเสียงที่คุ้นเคยบอกให้ลุกขึ้น ตามธรรมเนียมของต้าเสินตั้งแต่โบราณมาห้ามผู้ใดสบตาฮ่องเต้ และแม้กฎเกณฑ์เหล่านั้นจะถูกผ่อนปรนแล้วในรัชสมัยนี้ แทบทุกคนก็ยังคงรักษาระดับสายตาของตนเองมิให้สูงเกินกว่าปลายคางของเจ้าเหนือหัว ท่ามกลางความเงียบสงบก็ได้ยินพระองค์ตรัสว่า
   “ซือจง”
   ซือจง? ซือจงมิใช่...มิใช่ชื่อรองที่ทรงประทานกับให้รองเสนาบดีเฉินหรอกหรือ ความคิดที่นำไปสู่การคาดการณ์บางอย่าง เฉินตงถึงกับลืมตัวเงยหน้ามองพระพักตร์ สีหน้าแฝงไว้ด้วยความคาดหวังปะปนกับความสะกดกลั้นด้วยกลัวจะผิดหวัง

   เมื่อซื่อเสวี่ยนได้ยินหนานจงฮ่องเต้เอ่ยชื่อตนเองก็ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะลงจากรถม้าก่อนเพื่อไปรอรับพระองค์ แต่ทรงยกมือห้ามไว้ เขาจึงเข้าใจว่าทรงไม่อยากให้เขาออกไป ซึ่งก็สมควรแล้ว จู่ๆ คนที่หายหน้าไปปีกว่ามาปรากฏตัวพร้อมฝ่าบาท เกรงว่าจะสร้างความวุ่นวายโดยใช่เหตุ ให้เขากลับจวนสกุลเฉินแล้วค่อยขอเข้าเฝ้าจึงจะเหมาะสมกว่า ไม่คิดว่าจะทรงเรียกหาเขาในเวลานี้ เจตนาของพระองค์ชัดเจนยิ่ง
   แทนที่จะเป็นกังวล ซื่อเสวี่ยนกลับรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา พระทัยเจ้าชีวิตผู้นี้ เขายังคงไม่คาดเดาจะดีกว่า หากเทียบกันแล้ว การที่พระองค์เสด็จไปถึงวัดร้างที่เขาอาศัยพักแรมยังน่าตกใจมากกว่า หากฝ่าบาททรงปรารถนาอุ้มชูเขาเช่นนั้นก็ทำตามพระประสงค์เถิด มิใช่ว่าทรงทำเช่นนี้มาตั้งแต่เขาอายุ 13 โดยที่เขาเอาแต่หวาดระแวงเกรงว่าสกุลเฉินจะเป็นภัยหรอกหรือ

   ซื่อเสวี่ยนลุกขึ้นจากเบาะรอง จัดเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ก่อนจะค้อมตัวลงจากรถม้าด้วยท่วงทาสง่างาม เขาหยุดอยู่ด้านหลังหนานจงฮ่องเต้ที่ทรงผิดพระพักตร์มามอง ก่อนจะคุกเข่าลงทำความเคารพ
   “ถวายบังคับฝ่าบาท"
   “ลุกขึ้น”
   “ขอบพระทัย”
   เมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษชุดขาวชัดๆ บรรดาขุนนางและผู้ที่อยู่โดยรอบแทบไม่อาจรักษากิริยา เฉินซื่อเสวี่ยน!!! หากมิใช่เขาแล้วยังเป็นผู้ใดได้อีก ซือจงที่หายไปจากเมืองหลวงปีกว่าแต่ยังรักษาตำแหน่งหน้าที่การงานไว้ได้ เวลานี้ยืนอยู่ด้านหลังหนานจงฮ่องเต้อย่างสง่าผ่าเผย ดูจากท่าทีของฝ่าบาทแล้ว เห็นได้ชัดว่ายังคงให้ความสำคัญกับเขาเช่นเดิม ไม่สิ มากกว่าเดิมเสียอีก ที่ทรงเสด็จประพาสคราวนี้คงไม่ใช่เพื่อไปพาเฉินเซื่อเสวี่ยนกลับมาหรอกนะ ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ พวกเขาคิดมากไปเอง ฝ่าบาทเป็นผู้ใด ไหนเลยจะลดตัวไปตามคนผู้หนึ่ง
   แม้หลายคนปฏิเสธความคิดนี้ แต่ในใจอดทบทวนความเป็นไปได้หลายครั้งหลายคราวไม่ได้ และแม้ว่าในใจบอกว่าใช่ สมองก็ยังคงยืนยันไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น คงมีเพียงเสนาบดีกรมพิธีการผู้เป็นสหายของเฉินตงเท่านั้นแหละที่ความสงสัยแล่นเลยเถิดไปถึงเรื่องอื่น เช่นว่าที่ทรงยินยอมให้กรมพิธีการจัดการต้อนรับใหญ่โต คงมิใช่เพื่อต้อนรับใต้เท้าเฉินหรอกนะ





   จวนสกุลเฉิน

   “ท่านพ่อ” ซื่อเสวี่ยนคุกเข่าลงเบื้องหน้าเฉินตง เห็นดวงตาของบิดาแดงกล่ำ ในใจเขารู้สึกผิดอย่างยิ่ง “ลูกอกตัญญู ทำให้พวกท่านเป็นห่วง”
   เฉินตงประคองซื่อเสวี่ยนให้ลุกขึ้น เขาไม่ดุด่าว่ากล่าวเพียงถามว่า “กลับมาก็ดีแล้ว สนุกหรือไม่”
   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกว่ากระบอกตาร้อนผ่าว เวลานั้นจวนสกุลเฉินสำหรับเหมือนเขาวงกฎที่เดินเท่าไรก็หาทางออกไม่เจอ กระทั่งหมดแรงกายแรงใจจะก้าวต่อแม้เพียงครึ่งก้าว ดังนั้นเมื่อได้ออกเดินทางไปที่อื่นค่อยรู้สึกว่าได้รับอิสระกลับคืนมาทีละน้อย ทว่าเวลานี้กรงขังในใจถูกคนผู้หนึ่งช่วยเปิดออกให้แล้ว และแม้ว่าตัวเขายังทำได้แค่นั่งมองประตูทางออกอยู่ในมุมหนึ่ง ยังมิกล้าก้าวเดินออกไป แต่ในใจมีแสงสว่างส่องเข้ามา ไม่มืดมนเช่นเดิมอีก
   เขาวงกฎย่อมมิใช่ของจริง ที่กักขังตนเองไว้คือความยึดติดของตนเอง
   “ขอรับ” ซื่อเสวี่ยนตอบพร้อมรอยยิ้ม ยื่นแขนออกไปสวมกอดบิดาอย่างที่ไม่ได้ทำมานานแล้ว “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้ว”
   เฉินตงกอดตอบบุตรชาย ช่องว่างที่เกิดขึ้นค่อยๆ แคบลง มือข้างหนึ่งตบบ่าซื่อเสวี่ยนเบาๆ สะกดกลั้นน้ำตาแห่งความยินดีไว้ กลับมาก็ดีแล้ว
   

   ข่าวที่เฉินซื่อเสวี่ยนกลับมาแล้วนั้นคนทั้งจวนย่อมรับรู้ คนสกุลเฉินทั้งสายหลักสายรองต่างต้องการมาทักทายและมอบของขวัญต้อนรับเขา เฉินซื่อเสวี่ยนเวลานี้มิใช่ซื่อเสวี่ยนที่เพิ่งถูกพาตัวมาสกุลเฉิน เขาเป็นว่าที่ผู้นำสกุลคนต่อไป เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ อนาคตกว้างไกลไร้สิ้นสุด ต่อให้ในใจริษยา ฉากหน้ายังต้องเกรงใจ เพื่อให้บุตรหลานได้อาศัยเขาไต่เต้าขึ้นไป
   พ่อบ้านถูกรบเร้าครึ่งค่อนวันจึงถามเฉินตงว่าต้องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายหรือไม่ แน่นอนว่าซื่อเสวี่ยนปฏิเสธ เย็นวันนั้นผู้ที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารจึงมีเพียงเฉินตง ลี่เหนียง และหนิงเอ๋อร์ บทสนทนาเต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัว
   “พี่ใหญ่ๆ เราไปเยี่ยมโม่เอ๋อร์กันเถอะ” เฉินหนิงเอ๋อร์ที่บัดนี้ตัวสูงเท่ากว่าเอวของซื่อเสวี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าเล็กๆ แย้มรอยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายดูน่ารักยิ่ง
   “โม่เอ๋อร์?”
   เห็นใบหน้าของบุตรชายฉายแววงุนงง เฉินตงก็หัวเราะหึๆ กล่าวว่า “ท่านแม่ของเจ้ามีน้องชายให้เจ้าอีกคนแล้ว”
   ซื่อเสวี่ยนตาโต เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างลืมตัว ไม่เหลือมาดขุนนางใหญ่จนลี่เหนียงหัวเราะเสียงใส เฉินตงส่ายหน้าพลางโบกมือให้สองพี่น้องไปเยี่ยมน้องชายคนใหม่ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

   เฉินหยานโม่ เด็กทารกวัยสองเดือนตัวขาวกำลังหลับสนิท แก้มของเขาดูนุ่มนิ่มเหมือนซาลาเปา มือสองข้างกำหมัดหลวมๆ ซื่อเสวี่ยนยื่นนิ้วไปแตะมือเล็กเบาๆ
   “โม่เอ๋อร์ ข้าคือพี่ใหญ่ของเจ้า” ซื่อเสวี่ยนกระซิบ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา



#วิถีเซียน3p


ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ละมุนเหลือเกิน ไปรับเขาด้วยตัวเอง ดีต่อจัยยยยย



ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
แม้จะยังไม่ออกจากกรงขังในจิตใจตนเองแต่ก็มีแสงส่องนำทางเข้ามาเพื่อให้แสงสว่างแล้วนะ ซื่อเสวี่ยน
หวังว่าอีกไม่นานจะก้าวออกมาจากกรงขังนั้นได้อย่างเข้มแข็งนะ  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มองไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้ม

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Great General (18)



   ต้าเสินในรัชสมัยหนานจงฮ่องเต้ถือเป็นยุคทองที่ประชาชนอยู่ดีกินดี ประเทศชาติมั่งคั่งที่แท้จริง นับตั้งแต่สงครามกบฏตงหย่าเมื่อห้าปีก่อน ก็ไม่มีสงครามเกิดขึ้นอีก ทว่าอิทธิพลของต้าเสินแผ่ขยายออกไปทุกๆ ปี ด้วยการทูต การค้า ภาษาและวัฒนธรรม ฮ่องเต้ถูกกล่าวขานว่าเป็นโอรสสวรรค์ผู้ปราดเปรื่อง ทรงใช้งานผู้คนตามความรู้ความสามารถ ไม่เกี่ยงชาติกำเนิด
   องค์ชายใหญ่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทเมื่อปีก่อน และเริ่มเข้าร่วมประชุมเช้า ทรงขยันหมั่นเพียรและไม่หยิ่งทระนงในสายเลือดหรือบรรดาศักดิ์ บรรดาองค์ชายองค์อื่นก็มิได้มีทีท่าปฏิปักษ์ ตรงข้ามยังสนับสนุนพี่ชายของพวกเขาอย่างเปิดเผย ดังนั้นเหล่าขุนนางไม่ต้องเลือกข้าง ไม่ต้องเสียกำลังขัดแข้งขัดขา สามารถช่วยกันพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่ เกรงว่าต้าเสินมีแต่จะรุดหน้าไม่ถอยหลัง


   จวนสกุลเฉิน
   วันนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องเข้าวัง ซื่อเสวี่ยนจึงมีเวลาฝึกกระบี่ตอนเช้า หลังจากนั้นก็ไปรับประทานอาหารเช้าร่วมกับบิดา หารือเรื่องราชการราวครึ่งชั่วยาม เมื่อได้ยินข้ารับใช้บอกว่าโมเอ๋อร์ตื่นแล้วก็รีบขอปลีกตัวจากบิดาไปหาน้องชายคนเล็กของบ้านทันที
   เฉินตงเคยล้อเขาว่าเขารักและตามใจเฉินหยานโม่ประหนึ่งเป็นบุตรชายของตัวเอง เขาก็ได้แต่หัวเราะและไม่ปฏิเสธ เวลานี้จึงเข้าใจว่าเหตุใดคนอายุมากมักชอบเด็กเล็กๆ นั่นเพราะว่าจิตใจของเด็กเรียบง่าย ต้องการสิ่งใดก็จะเอื้อมมือไปคว้าสิ่งนั้น เวลามีความสุขก็จะหัวเราะจนเห็นเหงือกสีชมพู ดวงตากลมเป็นประกาย หากไม่พอใจหรือไม่สบายกายก็จะร้องบอกให้คนอื่นทราบ นอกจากนั้นเฉินหยานโม่ยังเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ไม่งอแง กินเก่ง หัวเราะ เหมือนพี่สาวของเขาเฉินหนิงอันนั่นแหละ
   สำหรับซื่อเสวี่ยนที่ไม่มีสิ่งใดให้คาดหวัง ไม่มีเรื่องที่อยากได้อยากกระทำแล้ว การได้เลี้ยงดู ได้เฝ้ามองโม่เอ๋อร์เติบโตขึ้นทุกวันคือความสุขอย่างหนึ่ง
   “โม่เอ๋อร์”
   “พี่ใหญ่” เด็กชายตัวขาววัยสองขวบกว่าพูดเก่งขึ้นมาก เขาสามารถกล่าวคำว่าพี่ใหญ่ได้ชัดเจน ขาป้อมๆ วิ่งเขามาหาซื่อเสวี่ยนแล้วกอดขาของเขาไว้ ก่อนจะเงยหน้ายิ้มหวานให้
   ซื่อเสวี่ยนก้มลงไปอุ้มหยานโม่ขึ้นมา แล้วกดริมฝีปากเข้ากับแก้มกลมๆ ของน้องฟอดใหญ่ ทำให้เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคัก และพลอยทำให้ซื่อเสวี่ยนยิ้มตามไปด้วย
   “ท่านแม่”
   ลี่ฮูหยินยิ้ม สั่งให้ข้ารับใช้ไปหยิบเสื้อคลุมมาให้หยานโม่ ก่อนจะโบกมือไล่บุตรชายทั้งสองคน “จะพาเจ้าซาลาเปานึ่งไปเล่นก็ไปเถอะ”
   “ขอรับ”
   ซาลาเปานึ่งย่อมเป็นชื่อเล่นของเฉินหยานโม่ที่ซื่อเสวี่ยนเป็นคนตั้งใจ เพราะเห็นแก้มกลมของเด็กน้อยทีไร ก็อดนึกถึงซาลาเปาลูกขาวๆ มิได้
   เฉินหยานโม่ชื่นชอบกระบี่และอาวุธต่างๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้น ‘พาไปเล่น’ ที่ลี่ฮูหยินพูดถึงนั้นส่วนใหญ่ก็จะหมายถึงการที่ซื่อเสวี่ยนจับมือสั้นๆ และขาป้อมๆ ของเด็กน้อยแสดงท่าหมัดมวยอยู่ในสวน ขณะที่มือแขนเล็กถูกพี่ไปจับให้ต่อยไปข้างหน้า ปากของหยานโม่ก็จะส่งเสียงย่าห์ ย่าห์ ไม่หยุด เมื่อประกอบกับน้ำเสียงใสแจ๋วของเขา ยิ่งทำให้ดูขบขันและน่าเอ็นดู
   นี่เป็นภาพที่หนานจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นยามที่พระองค์เสด็จมาจวนสกุลเฉินเป็นการส่วนพระองค์  คราวนี้ก็เช่นกัน เฉินตงที่ยืนอยู่หลังพระวรกายสูงศักดิ์ถูกสั่งห้ามมิให้รบกวนสองพี่น้อง ขณะที่ซื่อเสวี่ยนซึ่งมีวรยุทธ์มิอ่อนด้อย คาดว่าคงมัวแต่สนใจเจ้าตัวเล็กจึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ

   นี่มิใช่ครั้งแรกที่ฮ่องเต้เสด็จมาถึงจวนสกุลเฉิน พ่อบ้านจดบันทึกการเสด็จมาเยี่ยมของพระองค์ได้แล้วห้าครั้ง จำได้ว่าครั้งแรกนั้นคนในจวนแทบปัสสาวะรดกางเกง แข้งขาอ่อนจนหมอบกราบอยู่กับพื้น แม้ว่าฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบันจะทรงใกล้ชิดกับขุนนางและประชาชนกว่าเดิม ถึงขั้นยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติโบราณหลายประการ แต่ก็ยังไม่เคยมีฮ่องเต้พระองค์ไหนเสด็จเยือนมาจวนขุนนาง ที่มิใช่ครอบครัวของฮองเฮามาก่อน โดยปกติหากทรงมีพระประสงค์สิ่งใด ก็เรียกตัวขุนนางผู้นั้นเข้าวัง
   แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาอีกหลายครั้ง คนในจวนก็เริ่มปรับตัวได้ ถนนสายหลักจากวังหลวงมาถึงจวนสกุลเฉินมีทหารองครักษ์ควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัด ทำให้คนในสกุลเฉินพอวางใจได้บ้าง การเสด็จมาแต่ละครั้งล้วนเป็นความลับ คนในจวนถูกสั่งให้ปิดปากรักษาชีวิต แต่ว่าโลกนี้มีความลับจริงหรือ

   กว่าซื่อเสวี่ยนจะรู้สึกว่ารอบข้างเงียบกว่าปกติ หนานจงฮ่องเต้ก็ประทับรออยู่ครู่หนึ่งแล้ว ทันทีที่เห็นโอรสสวรรค์ยืนเอามือไพล่หลังมองเขากับหยานโม่ด้วยรอยยิ้มบางเบา ดวงตาของซื่อเสวี่ยนก็เบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบพาหยานโม่เข้าไปคุกเข่าทำความเคารพ
   “ถวายบังคมฝ่าบาท”
   “ลุกขึ้น”
   “กระบวนท่าของโม่เอ๋อร์วันนี้ไม่เลว”
   ได้ยินฮ่องเต้ตรัสชม เด็กน้อยก็ยิ้มกว้าง เฉินหยานโม่ยังเล็กนัก ไม่เข้าใจว่าคำชมของพี่ชายหน้าตาหล่อเหลาท่าทางสง่างามเกินของคนผู้นี้มีค่าเพียงใด เขาแค่รู้สึกภูมิใจและดีใจมากๆ จนอดหันไปใบหน้าไปหาพี่ใหญ่อย่างโอ้อวดน้อยๆ ไม่ได้
   “ขอบพระทัยที่ทรงตรัสชมพ่ะย่ะค่ะ” ซื่อเสวี่ยนกล่าวขอบคุณแทนน้อง ก่อนจะส่งสัญญาณให้พ่อบ้านพาหยานโม่ไปหาลี่ฮูหยิน จากนั้นจึงถามแขกผู้สูงศักดิ์ว่า “ฝ่าบาทที่สิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”   
   หนานจงฮ่องเต้ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ตรัสด้วยน้ำเสียงแฝงความยั่วล้ออย่างที่ยากจะได้ยิน “อ้อ เสนาบดีเฉินไม่ต้องรับเราหรือ”
   เสนาบดีเฉินที่ว่ามิใช่เฉินตง แต่หมายถึงเฉินซื่อเสวี่ยน
   หลังจากที่ซื่อเสวี่ยนกลับมารับราชการในตำแหน่งเดิมคือรองเสนาบดีกรมกลาโหม ขุนนางชั้นสาม หนานจงฮ่องเต้ก็แต่งตั้งให้เขาเป็นพระอาจารย์ขององค์ชายใหญ่หนานจงเส้าหยิง ซึ่งตอนนั้นทรงมีพระชันษา 8 ปี อีกตำแหน่งหนึ่ง พระองค์ตรัสว่านี่คือบทลงโทษที่เขาหนีงานไปปีกว่า ตำแหน่งพระอาจารย์นั้นได้ใกล้ชิดกับราชวงศ์มากกว่าเดิม นอกจากหลายคนเริ่มคาดเดาว่าหนานจงฮ่องเต้ทรงวางตัวให้องค์ชายใหญ่ขึ้นเป็นรัชทายาทแล้ว ตระกูลเฉินเองก็ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลขุนนางอื่นทั้งหมด แม้แต่สกุลอี้ก็เทียบไม่ได้ ดังนั้นปีต่อมาเฉินตงจึงลาออกจากราชการ นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะโยกเสนาบดีกรมกลาโหมไปเป็นเสนาบดีกรมพระคลังแทนเฉินตง และทรงเลื่อนขั้นให้เฉินซื่อเสวี่ยน ให้เขาเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมด้วยวัยเพียง 30 ปี
   สำหรับเรื่องที่หนานจงฮ่องเต้สนับสนุนศิษย์รักผู้นี้นั้นไม่มีผู้ใดแปลกใจ หรือโง่เขลาพอจะออกมาคัดค้านอีกแล้ว

   “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
   “เฉินตงไปเถิด เราจะเดินหมากกับซือจงสักตา”
   “ผู้น้อยทูลลา”


   อวิ๋นหนานมองคนที่หัวคิ้วแทบจะชนกันยามคิดว่าจะวางหมากตรงไหน แล้วอดยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยมิได้ แม้มิใช่เด็กหนุ่มใบหน้าใสซื่อเช่นเดียวกับร่างเซียน ทั้งยังเติบโตเป็นขุนนางคู่ใจที่สามารถถือกระบี่ขับไล่ศัตรู เวลาที่ตั้งใจกระทำสิ่งใดก็ยังคงใส่ใจและพยายามกว่าผู้ใด และออกจะดันทุรังกว่าผู้อื่นเสียด้วย ไม่เปลี่ยนสักนิด ไม่ว่าเป็นจิวซือ หลิวเจียเย่ แอสเชอร์ หรืออลัน
   “ดี” อวิ๋นหนานกล่าวเมื่อเห็นซื่อเสวี่ยนวางหมากลงในจุดที่คิดไม่ถึง แต่สามารถพลิกชะตาหมากดำบนกระดานได้ ดวงตาสีดำสนิทของคนตรงหน้าเปล่งประกาย ไม่ยอมละสายตาจากกระดานหมาก คาดว่าคงกำลังครุ่นคิดว่าจะโจมตีใส่เขาอย่างไรดี เฉินซื่อเสวี่ยนที่สุขุมรอบคอบอยู่เสมอผู้นั้น เวลาเดินหมากกับเขา มักจะเป็นฝ่ายบุกอย่างคิดไม่ถึง
   หากว่าได้เซียนน้อยเป็นคนสนิทไว้อย่างที่ตั้งใจไว้ในคราวแรก ความสัมพันธ์ก็คงไม่ต่างจากเวลานี้ ดียิ่ง...แต่คล้ายจะยังไม่พอ คนรู้ใจ เมื่อได้พบแล้วมักเกิดความรู้สึกเสียดายที่พบช้าเกินไป



   ซื่อเสวี่ยนมองดูเกี้ยวหน้าตาธรรมดาสามัญแต่รองรับวรกายสูงศักดิ์ของเจ้าแผ่นดินลับหายไปจากหัวมุมถนน สหายในตอนนี้ของเขาดูเหมือนว่าจะมีแค่ฝ่าบาทพระองค์เดียว คิดแล้วก็ตกใจยิ่ง แต่ว่าเป็นเช่นนั้นจริง คนอื่นล้วนแต่งงานมีบุตรธิดา หลายคนยังวุ่นวายอยู่กับความก้าวหน้าของตำแหน่งการงาน ส่วนตัวเขาเวลานี้ไม่มีสิ่งใดให้ไขว่คว้า ประกอบกับเขาไม่ชอบสังสรรค์ ดังนั้นแม้แต่สหายอย่างพวกจางเหว่ย โม่โฉว และลู่เสียน ก็ได้พบกันปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างมีชีวิตและหนทางของตนเอง ส่วนอี้เทียนก็...จากไปเสียแล้ว ไม่รู้เวลานี้จะไปเกี้ยวนางฟ้านางสวรรค์อยู่ที่ใด หรือยังคงรอเขาอยู่ในยมโลก
   ซื่อเสวี่ยนเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ปรากฏเพียงเสี้ยวเดียวบนฟ้า กล้าบอกว่าชาติหน้าให้เขาเป็นภรรยา ชาติหน้า...เขาจะตามหาอีกฝ่ายเพื่อทวงสัญญาได้หรือเปล่า
   


   เฉินตงไม่บังคับให้ซื่อเสวี่ยนแต่งงาน แม้แต่ลี่ฮูหยินก็ไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก อาจเพราะกลัวซื่อเสวี่ยนหายไปท่องยุทธภพอีกก็เป็นได้ เฉินหนิงอันในวัย 14 ได้หมั้นหมายกับอี้เว่ย น้องชายของอี้เทียน ซึ่งบัดนี้มีตำแหน่งเป็นตูตูแล้ว สองตระกูลจึงได้เกี่ยวดองกันในที่สุด ขณะที่เฉินหยานโม่ไม่ทราบว่าเป็นที่ถูกพระทัยของหนานจงฮ่องเต้ตั้งแต่เมื่อใด จึงทรงรับเขาเป็นพระราชนัดดา นับว่าในเวลานี้เฉินหยานโม่มีฐานะสูงที่สุดในสกุลเฉิน และทำให้สกุลเฉินกลายเป็นพระญาติกับราชวงศ์โดยมิได้ตั้งใจ


   ต้าเสินสงบสุข แต่หลายที่ร้อนเป็นไฟ

   ตำหนักสีขาวหลังเล็กลอยอยู่กลางอากาศ ประหนึ่งวิมานลอยฟ้าอันเงียบสงบ สตรีวัยกลางคนในชุดสีขาวล้วนทั้งตัวกำลังนับประคำด้วยมือข้างเดียว จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีอ่อนจนแทบจะเป็นสีขาวทอประกายสีทองเรืองๆ แม้ใบหน้างดงามของนางจะมิได้แสดงความรู้สึกใดออกมา แต่เด็กสาวที่รอรับใช้อยู่ไม่ห่างก็ยังรับรู้ถึงอารมณ์ไม่คงที่ของนาง จึงได้แต่ก้มหน้าระมัดระวังกิริยา


   วังตะวันออก
   คงเหวินกำลังยุ่งจนหัวหมุน ด้วยเหตุที่อดีตเจ้าวังตะวันออกและพระชายา หรือก็คือบิดาและมารดาของอวิ๋นหนาน กลับมาเยี่ยมบุตรชายหลังจากที่ไปท่องเที่ยวกันสองคนเสียหลายปี กระนั้นเมื่อมาถึงกลับพบว่าบุตรชายของพวกเขาหนีงานลงไปยังภพมนุษย์ คงเหวินหนักใจยิ่งนักว่าควรจะตอบคำถามของนายท่านอย่างไรดี


   ยมโลก    
   เด็กชายสองคนมองกระจกส่องภพด้วยใบหน้าโกรธเคือง โดยเฉพาะเสี่ยวฝูที่ไม่ทราบว่าหนานจงฮ่องเต้คือเทพอวิ๋นหนาน ผู้ที่เขาเรียกหาว่าเป็นบิดา โกรธจนหน้าแดง
   “เจ้ามนุษย์ตัวเหม็น กล้าดียังไงมาหยอกล้อท่านแม่ข้า” ปากเล็กด่าทอหนานจงฮ่องเต้โดยไม่เกรงกลัว ก่อนจะหันมามองค้อนอี้เทียน น้ำเสียงทั้งโมโหทั้งดูแคลน “ท่านมิใช่บอกว่าจะพาท่านแม่กลับมาหรอกหรือ”
   เสี่ยวเฮยมีสีหน้าร้อนใจ เขาจับมือเสี่ยวฝูไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอี้เทียนด้วยความเห็นใจ ท่านพ่อพ่ายแพ้กลับมาเช่นนี้ ช่างน่าสงสารนัก แต่ว่าเขาก็อยากพบท่านแม่เร็วๆ นี่นา เสี่ยวเฮยคิดแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านกลับไปโลกมนุษย์อีกก็ได้นะ พวกเราดูแลที่นี่ให้เอง”
   อี้เทียนหัวคิ้วกระตุก ก่อนจะส่งเสียงหึในลำคอ แล้วสะบัดหน้าจากไป


เปิด Pre-order แล้วนะคะ รายละเอียดใน Facebook Page: Whitedemon21 ค่ะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
สงบสุขมาก ดูเป็นความสงบก่อนพายุ หวั่นใจมาก

ท่านอวิ๋นหนานจะไม่ยอมปล่อยมือแน่นอน อี้เทียนยิ่งไม่มีวัน หูยยยยย ท่าทางสนุกละทีนี้

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะมีเหตุอันใดเกิดขึ้นอีกหนอ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
The Great General (19)



   เสนาบดีเฉิน นามว่าเฉินซื่อเสวี่ยนนั้น ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่เคยได้ยิน นอกจากเขาจะเป็นเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดแล้ว ยังเป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาท และเป็นขุนนางคู่พระทัยของหนานจงฮ่องเต้ ที่สำคัญเขาได้ชื่อว่าเป็นขุนนางสุจริต และยังชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ดูอย่างตอนที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ซานตง เสนาบดีเฉินก็อาสาไปช่วย ทั้งยังบริจาคเงินตั้งมากมาย เรียกได้ว่าเป็นขุนนางที่ดีเสียจนหากมีผู้ใดกล้านินทาเขาแม้เพียงครึ่งคำ ก็มีผู้พร้อมออกโรงปกป้องตลอดเวลา
   แต่ใช่ว่าชีวิตราชการจะราบรื่นเช่นนี้ไปตลอด เมื่อซื่อเสวี่ยนอายุได้ 33 ปี ตำแหน่งอัครเสนบาดี ขุนนางขั้นหนึ่ง ก็ว่างลง ดังนั้นการต่อสู้แย่งชิง ตัดแข้งตัดขาผู้อื่นจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันหนึ่งในช่วงว่าราชการเช้า มีขุนนางขั้น 5 ถวายฎีการ้องเรียนให้ตรวจสอบทรัพย์สินของตระกูลเฉิน กล่าวว่าเฉินซื่อเสวี่ยนรับสินบนจากผู้ว่าการทณฑลซีเจา และซานตง เงินที่บอกว่าบริจาคช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัย ที่แท้แล้วเป็นเงินที่ยักยอกจากงบประมาณด้านเสบียงของกรมกลาโหม
   เวลานั้นผู้ที่อยู่บนบัลลังก์มังกรเพียงเผยรอยยิ้มเย็นชาจนหลายคนที่แอบสังเกตพระพักตร์ใจหาย ได้แต่ไว้อาลัยให้กับขุนนางผู้นั้น ที่ไม่ทราบรับผลประโยชน์อะไรจากตระกูลเติ้ง จึงได้อาจหาญใช้วิธีการเช่นนี้ต่อเสนาบดีเฉิน
   “อ้ายเฉิน (ขุนนางที่รัก) แน่ใจในสิ่งที่กล่าวหรือ”
   เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวก็ทราบเจตนาของเจ้าชีวิตได้กระจ่าง ตระกูลเติ้งหากไม่หาเรื่องใส่ความใต้เท้าเฉิน อาจพอมีโอกาสแย่งชิงตำแหน่งอัครเสนาบดี ทว่าเวลานี้ เกรงว่าคงไม่มีวาสนาแล้ว
   หนานจงฮ่องเต้มีบัญชาให้กรมขุนนางและกรมยุติธรรมตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียด ไม่เฉพาะสกุลเฉินเท่านั้น แต่ลามไปถึงสกุลเติ้ง และตระกูลขุนนางใหญ่อื่นๆ เรียกว่าเป็นการเก็บกวาดเนื้อร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้
   สามเดือนต่อมา เฉินซื่อเสวี่ยนได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครเสนบาดี ขุนนางขั้น 1 หัวหน้าของขุนนางทั้งปวง
   นับตั้งแต่ที่หนานจงฮ่องเต้ทรงแสดงออกชัดเจนว่าเชื่อใจเขานั้น ซื่อเสวี่ยนบอกตัวเองว่าชีวิตนี้ได้อุทิศเพื่อพระองค์และต้าเสินหมดสิ้น เสมือนค้นพบเป้าหมายใหม่ในชีวิต ทุกๆ วันแม้ทำงานอย่างหนัก ใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม เขาปรารถนาให้ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ มิใช่จารึกชื่อของเขา แต่จารึกว่าหนานจงฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาสามารถ เมตตากรุณา ปราดเปรื่อง และยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน
   นี่จึงเป็นปณิธานของเขา


   ตลอดเวลา 10 ปี หนานจงฮ่องเต้ทรงงานโดยมิหยุดพัก ข้างกายมักเห็นอัครเสนาบดีเฉินอยู่ด้วย ทั้งสองสนิทสนมยิ่งกว่าเจ้าชีวิตและขุนนาง องค์รัชทายาทเองก็แสดงออกถึงพระอัจฉริยภาพตั้งแต่เล็ก สามารถช่วยแบ่งเบาภาระบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ต้าเสินนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรือง ถือเป็นยุคทองอย่างแท้จริง แทบทุกปีมีแคว้นน้อยใหญ่มาขอพึ่งบารมี ขณะที่แคว้นตงหย่าตกต่ำถึงขีดสุด อาณาเขตถูกแคว้นใหญ่ข้างเคียงตัดเฉือนแบ่งกัน ประชาชนต้องลี้ภัยไปเมืองอื่น สิ้นชื่อ สิ้นชาติ



   จวนสกุลเฉิน
   เป็นอีกครั้งที่หนานจงฮ่องเต้เสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ พระพักตร์หล่อเหลาเริ่มมีริ้วรอยของกาลเวลา แต่บรรยากาศรอบตัวนุ่มนวลขึ้นกว่าคราที่ทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ มากทีเดียว
   ห้องหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของจวน ถูกปรับปรุง ขยับขยายและตกแต่งอย่างประณีต เพื่อใช้เป็นห้องรับรองยามที่เจ้าชีวิตเสด็จมา จากหลายเดือนครั้งเป็นเดือนละหลายครั้ง ความลับย่อมมิใช่ความลับอีกต่อไป แต่เพราะทั้งอัครเสนาบดีเฉิน และเฉินหยานโม่ พระราชนัดดาคนโปรด ล้วนเป็นคนสกุลเฉิน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดปากสว่างมากความ เพียงรักษาความปลอดภัยให้เจ้าชีวิตก็พอ ถนนทุกสายโดยรอบจวนสกุลเฉินถูกคุมเข้ม แต่ไม่ว่าอย่างไรหากมีผู้ประสงค์ร้ายแล้ว ข้อผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้
   มือสังหารเดนตายจากแคว้นตงหย่าลับลอบเข้ามาถึงจวนสกุลเฉิน ภายหลังสืบทราบว่าพวกเขาวางแผนกันหลายปี แฝงตัวเข้ามาเป็นพ่อค้า นักเดินทาง นักเล่านิทาน นางคณิกา จนตั้งรกรากเป็นคนต้าเสิน ทั้งหมดเพื่อสังหารหนานจงฮ่องเต้ที่ทำลายตงหย่าจนสิ้นชาติ มือสังหารเหล่านี้ต่อสู้ไม่เสียดายชีวิต ทั้งยังมีมือธนูที่เป็นยอดฝีมือหาตัวจับยากคอยช่วย เบี่ยงเบนความสนใจและขัดขวางเหล่าองครักษ์ กว่ากำลังเสริมจะมาถึง มือกระบี่ก็สามารถเข้าประชิดตัวหนานจงฮ่องเต้แล้ว ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น ข้างพระวรกายมีเพียงเสนาบดีเฉินเพียงคนเดียว
   เห็นกำลังเสริมของวังหลวงบุกมาถึง มือสังหารยิ่งจู่โจมรุนแรง ทุ่มเทพลังฝีมือทั้งหมดเพื่อสังหารหนานจงฮ่องเต้ กระบี่ในพระหัตถ์ถูกกระแทกจนเบี่ยงออก เผยช่องโหว่บริเวณหน้าอก ปลายกระบี่แหลมคมโถมเข้าหาพระองค์ด้วยความรวดเร็ว
   ฉึก
   กระบี่ปักเข้าไปในเนื้อเหนือหัวใจของร่างที่พุ่งเข้ามาป้องกันพระวรกายสูงศักดิ์ไว้ได้ทัน ขณะเดียวกันกระบี่ในมือของคนผู้นั้นก็ตวัดตัดศีรษะของมือสังหารกระเด็นจากร่าง จนโลหิตแดงฉานพุ่งกระชูดจากลำคอ เจิงนองทั่วพื้น
   ซื่อเสวี่ยนก้มมองกระบี่ที่ปักลึกเข้ามาในหน้าอกเขาจนเกือบทะลุ ก่อนจะเหลือบมองรอบด้านเห็นทหารองครักษ์เริ่มควบคุมสถานการณ์ได้ก็วางใจ ร่างทั้งร่างชาหนึบ สิ้นเรี่ยวแรง
   “ซื่อเสวี่ยน ซื่อเสวี่ยน” ได้ยินสุรเสียงรับสั่งอย่างร้อนรนอยู่ข้างหู ก็อ้าปากหมายจะตอบรับ ทว่ากลับกระอักเลือดออกมาแทน ดวงตาเริ่มมองไม่เห็น ทำให้ใบหน้าของผู้เป็นทั้งเจ้านายและสหายปรากฏอย่างรางเลือน

   ในใจเขาเวลานี้ปราศจากความเสียใจ เพราะได้ทำตามปณิธานที่ตั้งไว้แล้ว
   ชีวิตถวายฝ่าบาท สมองและกำลังมอบให้กับต้าเสิน
   คุ้มแล้ว
   ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มลำอา
   เวลานี้ค่อยกล้าเอ่ยพระนามเดิมของคนตรงหน้าออกมา
   “หนานจงหลี่เจี๋ย ท่านเป็น...ฮ่องเต้ที่ดี”
   


   จิตเซียนของจิวซือหลุดออกจากร่างทันทีที่เฉินซื่อเสวี่ยนหยุดหายใจ ข้างกายเขาปรากฏผู้คุมสอบคนหนึ่งมารอรับจิตเซียน เพื่อพากลับไปยังหอคุณธรรม ผู้คุมสอบยื่นมือข้างหนึ่งมาทาบบริเวณหน้าผากของร่างเซียน เมื่อเห็นร่างเซียนของเขามีรอยยิ้มประดับริมฝีปากทั้งที่ดวงตาหลับพริ้ม ก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้าลงด้วยความชื่นชม ทันใดนั้นเขาก็ต้องผงะไปเมื่อหนานจงฮ่องเต้หมดสติล้มลงกับพื้น ก่อนที่ร่างเทพทอแสงสีทองจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากร่างมนุษย์นั้น ดวงตาสีทองสว่างของเจ้าวังตะวันออกจับจ้องร่างเซียนที่อยู่ในความควบคุมของเขาไม่วางตา แล้วจึงพยักหน้าให้เขาและนอนลงกลับเข้าร่างเดิม ผู้คุมสอบรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง พลอยทำให้มือที่แตะหน้าผากของเซียนน้อยเพิ่มความระมัดระวังขึ้น
   




   ประวัติศาสตร์ต้าเสินบันทึกไว้
   รัชสมัยหนานจงฮ่องเต้เป็นยุคทองของต้าเสิน ฮ่องเต้ปรีชา ขุนนางตงฉิน วิทยาการเจริญก้าวหน้า อิทธิพลแผ่ไพศาล ประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข
   อัครเสนาบดีเฉิน นามเฉินซื่อเสวี่ยน เป็นขุนนางคู่พระทัย เป็นทั้งผู้ทรงความรู้และแม่ทัพมากฝีมือ เป็นที่รักของเจ้าชีวิตและประชาชน อัจฉริยะมักอายุสั้น เสนาบดีเฉินจากไปด้วยวัย 43 ปี จากการปกป้องเจ้าชีวิตจนตัวตาย หนานจงฮ่องเต้เสียพระทัยอย่างยิ่ง ประกาศให้ทั่วแผ่นดินไว้อาลัยหนึ่งเดือน ทั้งยังรับสั่งให้ฝังร่างของเสนาบดีเฉินในสุสานหลวง และแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง บรรดาศักดิ์ตกทอดสู่ลูกหลานสกุลเฉิน ซึ่งภายหลังได้ตกเป็นของเฉินหยานโม่ ส่วนสมญานาม ‘ปราการแผ่นดิน’ นั้น ให้มีไว้สำหรับเฉินซื่อเสวี่ยนเพียงผู้เดียว
   หนานจงฮ่องเต้ทรงรับสั่งเมื่อยามฝั่งศพของอัครเสนาบดีเฉินว่า ‘ต้าเสินเรามั่นคงได้เพราะปราการแผ่นดินผู้นี้’




               (End of the ARC)
            

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด