(The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p  (อ่าน 58383 ครั้ง)

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Protector 6


   หลังจากทราบว่าเลือดของอลันมีพลังชีวิตอย่างที่คาด แน่นอนว่าจิวซือคิดจะใช้มันให้เกิดประโยชน์กับภารกิจครั้งนี้ ปัญหาคือทำอย่างไรไม่ให้เกิดอันตรายและเป็นความลับ หากเรื่องที่เลือดของเขามีพลังเช่นนี้ถูกเปิดเผยออกไป ย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวาย
   สองสามวันนี้หน้าที่การควบคุมการก่อสร้างถูกมอบหมายให้กับเซฟเป็นการชั่วคราว เนื่องจากอี้เทียนยืนกรานให้เขามาช่วยเป็นครูฝึกให้กับมิวเทนท์ที่มีพลังธาตุดินและน้ำ จิวซือสอนการควบคุมพลังให้กับคนที่พลังพิเศษตื่นแล้ว และใช้พลังของตัวเองชักนำพลังที่หลับใหลให้กับคนอื่นๆ กรณีหลังนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อาจเป็นเพราะเขาสามารถรับรู้ถึงกระแสพลังเล็กๆ ในร่างกายของคนพวกนั้น ทำให้อัตราความสำเร็จของเขาค่อนข้างสูง
   อี้เทียนอ้างว่าการสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งสำคัญกว่างานก่อสร้าง ดังนั้นจึงดึงตัวเขาไว้ที่นี่ เขามีหรือไม่จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจจับตาดูเขา ไม่ให้ใช้ร่างกายนี้เปลืองจนเกินไป อย่างไรก็ตามในเมื่อเลือดของอลันมีประโยชน์ขนาดนี้ แถมร่างกายยังสร้างขึ้นทดแทนได้เรื่อยๆ จะปล่อยให้สูญเปล่าก็น่าเสียดาย



   หลังจากที่บอกลาซีโน่ เสี่ยวฝู และเสี่ยวเฮยเรียบร้อยแล้ว จิวซือก็เดินกลับมายังห้องนอนของตัวเอง หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือห้องนอนของพวกเขาสามคน เดิมทีคิดว่าหลังจากขยายนครแห่งชีวิต เทพทั้งสองจะย้ายออกไป แต่เปล่าเลย พวกเขาสามคนยังอยู่ด้วยกันเช่นเดิม ดังนั้นจิวซือจึงเพียงแค่ขยายโถงนี้ รวมถึงเตียงนอนให้กว้างขึ้น เพื่อให้ไม่อึดอัดเกินไป
   อี้เทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ขณะที่อวิ๋นหนานนั่งในท่าเดียวกันบนหินก้อนใหญ่ริมผนังที่เจาะเป็นหน้าต่าง โดยปกติแล้วเจ้าวังตะวันออก เจ้านายของเขามักออกไปข้างนอกตลอดทั้งวัน และกว่าจะกลับมาก็ครึ่งคืนแล้ว จิวซือเดาว่าเขาคงมีภารกิจอื่นๆ ที่ต้องกระทำในภพนี้ ไม่เช่นนั้น เจ้าวังตะวันออกอย่างเขาจะลงมาโลกมนุษ์บ่อยๆ เพื่ออะไร

   “เลือดของอลัน...”
   ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจิวซือ เปลือกที่ปิดสนิทของอี้เทียนก็เปิดออกเผยให้ม่านตาสองสีสาดประกายคมกล้า ราวกับกำลังส่งคำเตือนผ่านสายตาคู่นั้น
   แทนที่จะเกรงกลัว จิวซือผ่อนลมหายใจและยิ้มออกมาเล็กน้อย แน่นอนเขาเข้าใจความหมายของอี้เทียน กระทั่งความอบอุ่นสายหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวใจก็รู้สึกได้ ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับความหวังดีของอีกฝ่าย แต่เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว เขาย่อมไม่เปลี่ยนความตั้งใจโดยง่าย อย่างน้อยจนกว่าจะค้นพบบางอย่างที่ดีกว่าเลือดของอลัน
   อี้เทียนขมวดคิ้ว เมื่อเห็นความดื้อรั้นของจิวซือ กล่าวย้ำว่า “ไม่จำเป็นต้องใช้เลือดของเจ้า”
   “เลือดเล็กน้อย สร้างใหม่ได้”
   ก่อนที่อี้เทียนจะลุกขึ้นมาจัดการกับคนที่ไม่เชื่อฟังเขา ก็ได้ยินเสียงราบเรียบของอวิ๋นหนานขัดขึ้นมาเสียก่อน
   “ทำเป็นยา”
   สายตาคมของเจ้ายมโลกเปลี่ยนทิศทาง ดวงตาสองสีประสานกับดวงตาสีทองที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่ได้เห็น ‘เกะกะขวางทาง’ เรียกว่าเช่นนี้ก็คงได้ แต่กลับจำกัดอีกฝ่ายไปไม่ได้
   “ไม่”
   “ข้าไม่ทำร้ายเขา” น้ำเสียงของเจ้าวังตะวันออกนิ่งเรียบแต่เปี่ยมด้วยมั่นคงหนักแน่น ครั้นเห็นเทพยามายังคงแสดงท่าทางปฏิเสธชัดเจน ก็อธิบายเพิ่มอย่างที่น้อยครั้งจะทำ “ดีกว่าปล่อยให้ดื้อรั้นเกินขอบเขต”   
   อวิ๋นหนานเข้าใจ มีหรืออี้เทียนจะไม่เข้าใจ
   ต่อให้พวกเขาไม่ยินยอมช่วยเหลือ หรือแม้แต่ขัดขวาง เจ้าตัวก็ต้องหาวิธีการอื่นๆ จนได้ ดังนั้นให้ทำอยู่ในสายตาของพวกเขาย่อมปลอดภัยกว่า
   จิวซือชะงักไปเล็กน้อยกับประโยคที่เจือความอ่อนใจและเข้าใจของอวิ๋นหนาน จากนั้นใบหน้านวลก็เผยรอยยิ้มกว้าง ดวงตาโค้งลงเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว แสดงถึงความยินดีอย่างไม่ปิดบัง
   “ลองดูกันเถอะครับ”




   5 ปีต่อมา
   นครแห่งชีวิต หรือที่บางคนเรียกว่ามหานครใต้ดิน เวลา 5 ปี นับว่าไม่สั้นไม่ยาว แต่เพียงพอให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายกับสถานที่แห่งนี้ นครแห่งชีวิตกลายเป็นมหานครใต้ดินขนาดใหญ่ ครอบคลุมเทือกเขาสามลูก ไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆ ในถ้ำที่คนไม่รู้จักอีกต่อไป เช่นเดียวกับมิวเทนท์ที่ไม่ใช่ผู้ถูกละทิ้ง แต่เป็นขุมกำลังใหญ่ที่น่าจับตามอง
   อาณาเขตของนครแห่งชีวิตขยายตัวอย่างเงียบเชียบขณะที่มนุษย์และซอมบี้ต่อสู้กัน ราวกับฟ้าประทานโอกาสอันดี กำลังทั้งสองฝ่ายยิ่งใหญ่ทัดเทียมกันไหนเลยจะเห็นมิวเทนท์แค่ไม่กี่สิบคนเป็นภัยคุกคาม หารู้ไม่ว่าประชากรของมิวเทนท์ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางคนถูกนำมาทิ้งไว้เช่นเดียวกับซีโน่ หลายคนหลบหนีมาร่วมด้วยตนเองเพื่อหวังมีชีวิตรอด ความจริงแล้วประชากรมิวเทนท์นั้นมีมากกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ เรื่องที่มิวเทนท์มีพลังพิเศษถูกเปิดเผยต่อคนทั่วไปเมื่อสองปีก่อน กลายเป็นหัวข้อใหญ่ แต่แทนที่รัฐบาลจะพยายามดึงพวกเขาเข้าเป็นพวก กลับยิ่งตามล่า มองพวกเขาเป็นภัยคุกคามไม่ต่างจากซอมบี้ ศูนย์วิจัยประกาศมอบรางวัลนำจับจำนวนมหาศาล เจ้าหน้าที่หรือแม้คนทั่วไปพกมีดตั้งใจสร้างบาดแผลให้กับคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นมิวเทนท์ เพื่อดูสีเลือดของพวกเขา ทำให้มิวเทนท์หนีมาลงหลักปักฐานที่นครแห่งชีวิตเป็นจำนวนมาก และต่อเนื่อง สุดท้ายนครแห่งชีวิตนี้จึงกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ
   ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเมื่อมิวเทนท์ทั่วไปได้รับการฝึกฝนและยาเม็ดกลมเล็กสีแดง ที่เรียกกันว่า Life-Med การปลุกพลังและควบคุมพลังพิเศษของพวกเขาง่ายดายขึ้นมาก อาการเจ็บปวดที่นำไปสู่การเสียสติและการคลั่งก็หายไปด้วยเช่นกัน Life-Med เป็นผลงานวิจัยและผลิตโดยอลัน ผู้ปกครองนครแห่งชีวิต ดังนั้นสำหรับเหล่าผู้ใช้พลังแล้ว อลันคือพระเจ้าที่ปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมาน กระทั่งหลายคนจึงเรียกเขาว่า ‘ก็อดอลัน’
   


   โดยปกติแล้ว เวลานี้ของทุกเดือนจะเป็นเวลาที่จิวซือต้องปรุงยา Life-Med ที่เรียกชื่อนี้ก็เพราะมันมีสรรพคุณในการกระตุ้นให้ร่างกายให้ต่อสู้กับเชื้อโรคและอาการบาดเจ็บต่างๆ ตลอดจนมีส่วนช่วยดึงพลังพิเศษที่ซ่อนเร้นออกมา อีกประการก็เพราะยาตัวนี้มีเลือดที่มีพลังชีวิตของเขาเป็นส่วนประกอบสำคัญ แม้จะเจือจางลงมากเพื่อให้เพียงพอกับจำนวนมิวเทนท์ที่เพิ่มขึ้นก็ตาม
   วันนี้เป็นวันครบรอบ 5 ปีของการก่อตั้งนครแห่งชีวิต ดังนั้นอลันที่เป็นเจ้าผู้ครองนครจึงมิอาจไม่เข้าร่วม งานเลี้ยงฉลองนี้ไม่มีสิ่งใดพิเศษ เพียงแต่เป็นการทานมื้ออาหารค่ำที่หรูหรากว่าปกติเล็กน้อย ส่วนสถานที่จัดงานก็เป็นโถงใหญ่ของถ้ำแห่งแรกที่พวกเขาบุกเบิกขึ้นมา ประชากรมิวเทนท์เพิ่มขึ้นจากสี่สิบคนเป็นเกือบพันคน แม้เล็กน้อยหากเทียบกับจำนวนของมนุษย์ทั่วไป แต่แทบทุกคนล้วนเป็นผู้ใช้พลัง ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาหรือแม้แต่กองกำลังติดอาวุธก็ไม่อาจเทียบได้ ลองจินตนากรว่ามีซุปเปอร์ฮีโร่หนึ่งพันคนรวมตัวกันเป็นองค์กรแห่งหนึ่ง พลังของพวกเขาย่อมไม่อาจดูแคลนได้เลย
   รู้สึกถึงวงแขนที่ตวัดโอบรอบเอวของตนเอง จิวซือมองใบหน้าคมคายของคานส์เกยอยู่บนไหล่ของเขา ความใกล้ชิดสนิทสนมบางครั้งเหมือนจะทลายกำแพงสูงที่เขาก่อขึ้นไว้ได้ไม่ยาก แต่เพราะตนเองไม่คิดป้องกัน หรือหลีกหนีอีก ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ ถึงอย่างนั้นตนเองก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าก้าวหน้าไปข้างหน้าสักก้าว ไม่เชื่อใจอีกฝ่ายหรือไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ล้วนเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากพิจารณาทั้งนั้น เกรงว่าหากได้คำตอบแล้ว บางทีอาจสูญเสียเป้าหมายในการเป็นเทพไป

   “ซีโน่ล่ะ”
   อารมณ์ดีของอี้เทียนแทบถูกทำลายด้วยคำถามนี้ ชายหนุ่มแค่นเสียงในลำคอ “ถามทำไม”
   “สนิทกันนี่” จิวซือกล่าวกลั้วหัวเราะ อี้เทียนปากบอกว่าไม่ชอบ สุดท้ายก็เป็นคนสอนซีโน่ด้วยตัวเอง พรสวรรค์ของซีโน่ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่แปลกที่อี้เทียนจะเอ็นดูเขา เพียงแต่ไม่รู้ทำไมชอบแสดงออกในทางตรงข้ามนัก
    “กล้าล้อข้า” เขาว่า พร้อมทั้งขบฟันกับไหล่บางเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว
   

   เสียงฝีเท้าที่คุ้ยเคย ตามมาด้วยเสียงประตูเปิด ทำให้จิวซือผละจากอ้อมแขนของอี้เทียน ยิ้มทักผู้มาใหม่โดยปราศจากความเก้อเขิน “กลับมาแล้วหรือครับ”
   อวิ๋นหนานพยักหน้า ไม่ใส่ใจท่าทางไม่สบอารมณ์ของนายแห่งยมโลกเมื่อเขาเข้ามาขัดจังหวะ เทพหนุ่มเอี้ยวตัวไปดึงแขนของซีโน่ที่หลบอยู่ข้างประตู ให้เด็กหนุ่มก้าวมาข้างหน้า
   ซีโน่ในวัย 10 ปี มีรูปร่างสูงโปร่งกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ใบหน้ารูปไข่เริ่มมีเค้าโครงชัดเจน ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมา ทำให้เด็กชายดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย กระนั้นใบหน้าที่เคยดูน่ามองบัดนี้กลับมีรอยเลือดและรอยไหม้ที่มุมปากและปลายคิ้ว
   จิวซือตรงเข้าไปหาซีโน่ เด็กชายสูงประมาณคอของเขา ดังนั้นแค่ก้มหน้าลง ใบหน้าของซีโน่ก็อยู่ในครรลองสายตา
   “เกิดอะไรขึ้น”
   ซีโน่เม้มปาก ช้อนตามองอลัน สีหน้าของเขาแฝงความดื้อรั้น และอัดอั้นตันใจ
   “ทะเลาะกับคนอื่น” และเป็นอวิ๋นหนานที่อธิบาย เมื่อเขากลับจากลาดตระเวนก็เห็นซีโน่กำลังต่อสู้กับผู้ชายตัวสูงใหญ่กว่าตนเอง ถ้าจำไม่ได้มิวเทนท์ตนนั้นชื่อเกียส เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในนครแห่งชีวิตเมื่อไม่นานมานี้
   “มันว่าอลัน” แววตาของซีโน่ฉายความกรุ่นโกรธ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ความร้อนแล่นมารวมกันที่ใบหน้า โกรธ เขาโกรธมาก คนพวกนั้นกล้าดียังไงมาว่าอลันของเขา “เรื่องยา” บอกว่าอลันใจแคบ จงใจปกปิดสูตรยา Life-Med ไม่ให้คนอื่นรู้ ตัวเองจะได้มีอำนาจควบคุมทุกคน บอกว่าอลันเห็นแก่ตัว เห็นแก่อำนาจ ไม่ใช่คนดีอย่างที่ทุกคนเข้าใจ พวกนั้นกล้าพูดออกมาได้ยังไง! ถ้าไม่มีอลัน พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตสบายอย่างทุกวันนี้เหรอ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร ที่อยู่ หรือแม้แต่ชีวิต ถ้าไม่มีอลันก็อาจไม่มีนครแห่งชีวิตด้วยซ้ำไป
   ทุกครั้งที่อลันออกมาจากห้องปรุงยา ใบหน้าของเขาขาวซีดอ่อนแรง ยิ่งคนในนครแห่งชีวิตเพิ่มขึ้น อลันยิ่งต้องสร้างยาพวกนั้นเพิ่มขึ้นทุกเดือน บางครั้งต้องอาศัยคานส์อุ้มออกมานอนพักด้วยซ้ำ ซีโน่ไม่รู้หรอกว่าอลัน คานส์และฮิลสร้างยามหัศจรรย์อย่าง Life-Med ขึ้นมาได้ยังไง แต่แน่ใจว่าอลันต้องเสียสละบางอย่างไป
   สำหรับเขา อลันคือพระเจ้า คือผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้ เขาทนไม่ได้ที่เห็นใครว่าร้ายพระเจ้าของเขา

   เห็นใบหน้าโกรธขึ้ง และดวงตาแดงกล่ำเหมือนใกล้ร้องไห้เต็มทีของซีโน่ ใบหน้าของจิวซือก็พลันอ่อนโยนลง ชายหนุ่มดึงตัวซีโน่มากอดเต็มอ้อมแขน  ตบไหล่เขาเบาๆ
   แค่ได้ยินว่าเป็นเรื่องยา เขาก็พอจะคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้ เมื่ออาณาเขตขยายตัวขึ้น มีผู้คนมากขึ้น อำนาจและพลังแข็งแกร่งขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะมีข้อกังขาหรือแม้แต่หนอนบ่อนไส้ที่ต้องการสร้างความแตกแยกจากภายใน ข่าวลือพวกนั้นใช่ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เพราะเห็นว่ายังเป็นแค่เรื่องน่ารำคาญ ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ ดังนั้นจึงปล่อยไป ไม่คิดว่าจะเป็นสาเหตุให้ซีโน่ไปทะเลาะกับคนอื่น
   “ซีโน่ปกป้องฉันเหรอ ขอบใจนะ”
   ความโกรธขึ้งของเด็กชายแทบสลายไปกับประโยคนี้ เขาซุกหน้ากับอกของอลัน ซ่อนรอยยิ้มยินดีที่ได้รับคำขอบคุณเอาไว
   “ทำเก่งไม่เข้าเรื่อง” ซีโน่เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของคานส์ เขาประสานสายตากับอีกคนอย่างปราศจากความเกรงกลัว ดวงตาสองสีของคนที่สอนเขาใช้ไฟฉายแววตำหนิ
   “ใคร”
   “เกียส” ซีโน่ตอบ มั่นใจว่าคานส์จะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไว้ เหตุผลย่อมไม่ใช่การทำให้เขาบาดเจ็บ เพราะถ้าเป็นเรื่องนี้ คานส์คงสอนเทคนิคให้เขาเอาชนะเกียสด้วยตัวเองจึงจะสะใจกว่า แต่น่าจะเป็นเพราะเกียสว่าร้ายอลันมากกว่า
   สมควรแล้ว พวกนั้นสมควรได้ลิ้มลองไฟที่ร้อนที่สุดของนครแห่งชีวิตแล้ว




   #วิถีเซียน3p


………………

TBC.

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ rainichxx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เลือกไม่ได้จริง ๆ ท่านเจ้าวังคือยังไม่รู้ใจตัวเองแต่ปลอมลงมาช่วยหลายต่อหลานครั้ง
ส่วนอี้เทียนนี่เหมือนรักแรก เหมือนบ่วง เป็นอะไรที่ทำใจปล่อยไม่ได้จริง ๆ
ดีนะที่เป็น 3p ไม่งั้นจิตใจคนอ่านไม่อยู่สุขแน่นอน ฮือออ

เอ็นดูซีโน่มาก ๆ เป็นเด็กดีจริง ๆ เลยย  :mew1:

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


The Protector (7)
 





                ไฟที่ร้อนที่สุดของนครแห่งชีวิตไม่เคยเหลือร่องรอยใดๆ ไว้ ภายในเวลาไม่กี่วัน หนูหลายตัวถูกกำจัด แน่นอนว่ารวมถึงเกียสกับพวกด้วย ไม่ทราบมีพวกที่หลงเชื่อรัฐบาลและแฝงตัวเข้ามาเท่าไร แต่พวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องเกรงกลัว ในทางตรงข้ามเมื่อรัฐบาลทราบถึงความแข็งแกร่งของนครแห่งชีวิต พวกเขาก็เป็นฝ่ายก้าวถอยหลัง และส่งคนมาขอเจรจาด้วย เวลานั้นคานส์ถึงกับยิ้มเย็น เยาะเย้ยว่าในที่สุดพวกเขาก็เริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว
                หน้าผาหินที่ยื่นออกมาจากภูเขา ไม่ได้เป็นจุดที่สูงที่สุดของนครแห่งชีวิต แต่เป็นที่ที่สามารถเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน และเป็นที่ประจำที่จิวซือมักจะขึ้นมายืนรับลม เวลานี้ก็เช่นกัน เขายืนหลังตรง ทอดสายตามองไกลออกไป สายตาของมิวเทนท์ดีกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่า ดังนั้นจึงเห็นมิวเทนท์หลายคนๆ ที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ด้านล่างได้ไม่ยาก รวมถึงหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนอย่างฮิลด้วย
                ผมสีทองยาวถูกมัดรวบอย่างเรียบร้อย ร่างสูงอยู่ในชุดสีดำทั้งตัว สง่างาม ปราดเปรียว ราวกับเสือดำโลดแล่นอยู่กลางป่า ช่างแตกต่างจากรูปลักษณ์ยามปกติของเจ้าวังตะวันออกนัก แวบหนึ่งจิวซือรู้สึกได้ว่าอวิ๋นหนานรับรู้ถึงสายตาของเขา จังหวะฝีเท้าชะงักไปเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หันกลับมา
                ไม่ทราบเพราะอะไร จู่ๆ ก็คล้ายกับว่าอีกฝ่ายสร้างกำแพงสูงใหญ่ขึ้นมา ทำให้เขาได้แต่แหงนหน้ามองขึ้นไป ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ความคิดได้เลยแม้แต่น้อย อวิ๋นหนานเหมือนกลับคืนสู่สถานะของเทพผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เจ้าวังตะวันออกที่คอยสอนวิชาให้เขา ไม่ใช่ดีแลนด์สหายของเขา ไม่ใช่ตงหวางที่ประทานพรให้เขา

                จากสหายกลายเป็นคนแปลกหน้าในชั่วข้ามคืน
               
 


                ราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ จิวซือจะไปพบผู้นำของฝั่งรัฐบาลที่ต้องการเจรจาเป็นพันธมิตรกับนครแห่งชีวิต และตั้งใจจะพาซีโน่ไปหาพ่อกับแม่ของเขาด้วย ดังนั้นเขาคิดว่าจะผลิต Life-Med ตุนไว้ก่อน จริงๆ การทำยาตัวนี้ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร แค่ใช้เลือดของเขาผสมกับสมุนไพรทั่วไปอีกห้าอย่าง จากนั้นก็หลอมเป็นยาลูกกลอนด้วยไฟของอี้เทียน ส่วนตงหวางนั้นเดิมทีเขาคอยช่วยถ่ายทอดพลังให้เวลาที่เสียเลือดมาก เนื่องจากเลือดของอลันมีพลังชีวิต ดังนั้นการเสียเลือดสำหรับจิวซือจึงหมายถึงเสียพลังชีวิตไปด้วย แน่นอนว่าร่างกายของเขาจะค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเอง
                ห้องที่ใช้ผลิตยา Life-Med เป็นห้องที่สร้างขึ้นใหม่ อยู่ลึกเข้าไปในเขาลูกที่สอง ซึ่งจิวซือได้สร้างเตาหลอมยาขนาดใหญ่ไว้ที่นั่น ขณะที่สมุนไพรต่างๆ ถูกจัดเก็บไว้บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ ตามปกติห้องผลิตยานี้ไม่ใช่สถานที่หวงห้ามอะไร ยกเว้นเมื่อถึงคราวที่จิวซือจะผลิต Life-Med ทุกคนจะถูกกันออกไปนอกบริเวณ โดยมีเซฟ เสี่ยวฝูและเสี่ยวเฮยทำหน้าที่เป็นนายทวาร ปกป้องไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา
                “จะทำยา?”
                “อืม ลงจากเขาคราวนี้ คงใช้เวลาหลายวัน”
                อี้เทียนพยักหน้าเข้าใจ แต่เมื่อไม่เห็นอีกคนหนึ่งที่สมควรอยู่ในเวลานี้ สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นตั้งคำถาม จิวซือเดินไปเตรียมสมุนไพร กล่าวโดยไม่มองหน้าอีกคน “...แค่ร้อยเม็ด ไม่จำเป็นต้องรบกวนตงหวาง”
                ตามปกติแล้ว เขาจะผลิต Life-Med เดือนละครั้ง ครั้งละประมาณสองถึงสามร้อยเม็ด เพราะนอกจากทุกสามเดือนจะต้องแจกจ่ายให้มิวเทนท์ทุกคนแล้ว ยังใช้เป็นรางวัลหรือของตอบแทนให้กับมิวเมนท์ที่ปฏิบัติภารกิจต่างๆ ด้วย จิวซือเคยคิดจะผลิตครั้งละมากๆ ในคราวเดียว แต่อวิ๋นหนานแย้งว่าหากเขาเสียพลังชีวิตมากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนได้ ทำให้เกิดผลกระทบถาวร ดังนั้นตลอดเวลาจึงคอยควบคุมการเสียเลือดและพลังของเขา
                จะว่าไปแล้วเรื่องที่พวกเกียสพูดก็ไม่ผิดนัก พวกเขาตั้งใจใช้ Life-Med ในการควบคุมนครแห่งชีวิตจริงๆ มหานครใต้ดินแห่งนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน การควบคุมอย่างรัดกุมเป็นไปได้ยาก ดังนั้น Life-Med จึงเปรียบเหมือนการควบคุมแบบหลวมๆ ให้ทุกคนไม่ละเลยหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น
                ชามแก้วใสใบใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะไม้ เล็บบริเวณนิ้วชี้ของจิวซืองอกยาวขึ้น ปลายเล็บแหลมคมไม่ต่างจากมีด เขา จรดปลายเล็บลงบนข้อมือซ้ายโดยไม่ลังเล โลหิตสีคล้ำไหลจากรอยกรีดข้อมือลงในชามแก้วช้าๆ หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีละอองแสงสีเขียวเคลือบอยู่ในเลือดทุกหยด
                กระทั่งชามแก้วถูกเต็มไปกว่าครึ่ง มือของอี้เทียนก็ขยับเข้ามาจับต้นแขนของจิวซือ เป็นเชิงให้เขาหยุด
                “พอแล้ว”
                จิวซือยอมนั่งลงกดปิดปากแผลแต่โดยดี อี้เทียนพิจารณาสีหน้าของอีกฝ่าย เมื่อพบว่าไม่ได้ขาวซีดเกินไปนักก็วางใจ ชั่วขณะหนึ่งดวงตาสองสีของเขาฉายแววซับซ้อน พลังของเทพยามาประกอบด้วยพลังสองขั้วที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก ดังนั้นไม่อาจถ่ายทอดให้เซียนอย่างจิวซือได้ จึงได้แต่ปล่อยให้เขาค่อยๆ ฟื้นตัวเอง
                ไม่ต้องรบกวนตงหวาง
                แม้แต่คำเรียกขานก็เปลี่ยนไป ไม่ทราบเจ้าตัวรู้หรือไม่
 
 

                ไกลออกไปเกือบสุดอาณาเขตของนครแห่งชีวิต กาดำบินร่อนลงสู่ไหล่ของร่างสูงในชุดดำทั้งตัว เจ้ากาน้อยเสี่ยวเฮยร้องก้าก้าด้วยท่าทางคล้ายประท้วง และโกรธเจ้าของไหล่กว้างอยู่ไม่น้อย นิ้วเรียวของอวิ๋นหนานเคาะจะงอยปากของเสี่ยวเฮยเบาๆ เร่งให้มันเล่าเรื่องที่เห็นให้เขาฟัง
                เมื่อได้ยินว่าจิวซือผลิตยาเองโดยไม่รอ อวิ๋นหนานก็อดมองไปทางหน้าผาสูงไม่ได้ แน่นอนว่าบริเวณนั้นว่างเปล่า เสี่ยวเฮยเอียงคอมองเจ้านายของมันอย่างไม่เข้าใจ
                “หมดสติหรือเปล่า”
                ก้า ก้า
                “ดีแล้ว”
                เซียนน้อยตนหนึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับเขามากนัก เพียงมีชะตาได้พบกันครั้งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัว และภายหลังพบว่าเด็กคนนั้นมีความตั้งใจดีควรส่งเสริม ไม่ทราบเมื่อไรที่ตนเองสนใจอีกฝ่ายมากไป แค่ผู้ช่วยคนเดียว เพียงเอ่ยปากย่อมมีผู้จัดหามาให้ ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงกับเจ้าผู้ครองยมโลกให้เกิดการบาดหมาง เหตุผลบอกเขาเช่นนี้ จิตเซียนของจิวซือแข็งแกร่งพอแล้ว บ่วงในอดีตคงไม่ขวางทางการบรรลุเป็นเทพของเขา ไม่มีเรื่องใดน่าเป็นห่วง
                สิ้นสุดภพนี้ จะกลับมาวังตะวันออกหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่
 



            เมืองสตาร์ดัส เป็นเมืองรอยต่อระหว่างป่าแห่งความตายและอาณาเขตของมนุษย์ทั่วไป เดิมทีพื้นที่บริเวณนี้เป็นเมืองร้างที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงไม่นานหลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจดึงมิวเทนท์เข้าเป็นพวก เพื่อสร้างอาณาเขตที่เป็นมิตรกับทั้งสองฝ่าย ด้วยเวลาจำกัด เมืองสตาร์ดัสจึงไม่ต่างจากหมู่บ้านในชนบทมากนัก เว้นแต่มีทหารติดอาวุธลาดตระเวนอยู่ทั่วทุกมุม
                จิวซือเดินจับมือซีโน่ โดยมีเสี่ยวเฮยขดตัวอยู่บนไหล่ ส่วนเสี่ยวฝูบินวนอยู่ด้านบนในลักษณะระวังภัย ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าคืออี้เทียนและแวล ผู้ใช้พลังควบคุมดินเช่นเดียวกับจิวซือ ส่วนด้านหลังคืออวิ๋นหนาน และโจเซฟ รองหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน เขาเป็นผู้ใช้ลม
                เมื่อเห็นอวิ๋นหนานตามมาด้วย จิวซือก็เพียงทักทายเขาตามปกติ อีกฝ่ายไม่กลับมาที่โถงของพวกเขาอีกเลยนับตั้งแต่จิวซือเห็นเขาออกไปลาดตระเวนครั้งสุดท้าย หลายครั้งเขาอยากถามว่าภารกิจอะไรที่ทำให้ตงหวางอย่างท่านวุ่นวายขนาดนี้ และมีอะไรที่เขาพอจะช่วยได้ไหม แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ตระหนักว่าเดิมทีเจ้าวังทะเลตะวันออกก็เป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ที่เขาไม่สามารถใกล้ชิดได้อยู่แล้ว เช่นนั้นมิสู้ทำในสิ่งที่เคยรับปากไว้ให้สำเร็จเถอะ
               
 
                ตัวแทนในการเจรจาของฝ่ายรัฐบาลคือนายพลอีวาน เขาดูไม่อายุไม่ถึงสี่สิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ามิคล้ายผู้กุมอำนาจในกองทัพ ตรงข้ามเขาดูใจดีเข้าถึงง่าย แต่บุรุษที่ได้เป็นถึงนายพลขณะที่อายุยังน้อยย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ในฐานะผู้ครองนครแห่งชีวิต เขามิอาจปล่อยให้ตนเองเสียเปรียบตั้งแต่แรก ดังนั้นท่าทางที่จิวซือทักทายนายพลอีวานจึงเรียกได้ว่าเป็นมิตรแต่ไม่ลดตัว ต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันผ่านรอยยิ้ม กระทั่งอีวานพาพวกเขาไปยังที่พัก
                ขณะที่พูดคุยกับอีวาน จิวซือได้ถามถึงสิ่งที่เขาขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ได้ยินอีวานยืนยันว่าเขาเตรียมการเรียบร้อยแล้ว จิวซือก็กล่าวขอบคุณอย่างวางใจ จิวซือขอให้รัฐบาลช่วยหาพ่อแม่ของซีโน่ และสอบถามว่าพวกเขาต้องการเจอซีโน่หรือไม่ ให้คนของอีวานพิสูจน์จนมั่นใจว่าพวกเขารักซีโน่ และเสียใจกับการกระทำของตัวเองจริงๆ

                หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง จิวซือก็บอกซีโน่ว่าจะพาเขาไปเดินเล่น เด็กชายดีใจมาก ท่าทางที่มักจะทำเป็นผู้ใหญ่เกินตัวเมื่ออยู่ในนครแห่งชีวิตกลับสู่ความมีชีวิตชีวา อี้เทียนรู้เรื่องที่จิวซือจะพาซีโน่ไปพบพ่อกับแม่ ดังนั้นเขาจึงไม่ตามมา แต่ให้เสี่ยวฝูและเสี่ยวเฮยคอยระวังภัยห่างๆ
                จิวซือจูงมือซีโน่เดินไปรอบๆ อากาศในเมืองเมืองสตาร์ดัสดีกว่าบนเขามาก รอบๆ เมืองแม้จะรกร้างแต่ก็มีสิ่งของที่น่าสนใจอยู่บ้าง พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านไม้หลังเล็กหลังหนึ่ง จิวซือหยุดฝีเท้าลงทำให้ซีโน่เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
                “คิดถึงพ่อแม่มั้ย”
                คำถามที่ปราศจากที่มาที่ไปของอลันทำให้ดวงตาของซีโน่ขยายกว้างขึ้นก่อนจะหลุบลง ภาพวัยเด็กของเขาแวบผ่านเข้ามาในความคิดภาพแล้วภาพเล่า ซีโน่หายใจเข้าลึกก่อนจะสั่นหัว
                ไม่คิดถึง
                ไม่มีวันคิดถึง
                “พวกเขารออยู่”
                ซีโน่ยังคงก้มหน้าไม่กล้ามองอลัน ความหมายที่อลันต้องการสื่อเขาเข้าใจ บ้านหลังนี้... พ่อกับแม่ของเขารออยู่ในบ้านหลังนี้ แต่รอเขาจริงหรือ ถ้ารอ ทำไมวันนั้นถึงทิ้งเขาไว้ ตั้งใจให้เขาตายอยู่กลางป่า หากไม่มีอลัน เขาคงตายไปแล้วจริงๆ วันที่พ่อปล่อยเขาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาข้อร้องอ้อนวอนยังไงก็ไม่เหลียวมามอง พ่อไม่ได้ต้องการเขาแล้ว
                ซีโน่เงยหน้าสบตาอลัน ดวงตาของเขาแดงกล้ำแต่ไม่ยอมให้น้ำตาไหล เขาบีบมือของอลันแน่น อยากให้รู้ว่าเขาไม่ต้องการพ่อแม่ ตอนนี้ชีวิตของเขามีแค่อลันก็พอ ซีโน่เห็นอลันยิ้มอ่อนโยนให้เขา เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับตอนที่เห็นเขาใช้ไฟได้ครั้งแรก อลันยื่นมือมาลูบหัวของเขาเบาๆ เสียงพูดแผ่วเบาไม่ต่างจากตอนที่ปลอบให้เขาสงบลงจากอาการคลั่ง
                “ต่อให้พวกเขาทำผิด ซีโน่ก็รักใช่มั้ย”
                ซีโน่เม้มปาก ดวงตาของเขาร้อนผ่าว เขาไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากให้อลันรู้ว่าทุกวันนี้เขายังคิดถึงพ่อกับแม่อยู่ ยังคิดถึงเวลาที่พ่อยกเขาขึ้นบนบ่าบอกว่าเขาตัวหนักขึ้นอีกแล้ว คิดถึงแม่ที่คอยเป่าข้าวให้เย็นก่อนจะป้อนเขา คิดถึงเวลาที่ถูกชมว่าเป็นเด็กดี ทำไมถึงทิ้งเขาล่ะ เขาไม่ใช่เด็กดีของพ่อกับแม่แล้วหรือ
                “ซีโน่คือผู้ใช้พลัง ไม่อยากบอกให้พวกเขารู้หรือ”
                ซีโน่โถมเข้ากอดอลัน ซุกหน้ากับไหล่ของเขา ไม่อาจกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้น ราวกับจะปลดปล่อยความเสียใจที่เก็บกักไว้ตลอด 5 ปีออกมา
                อยากสิ อยากให้รู้
                เขาเอาชนะไวรัสได้ เขาใช้พลังไฟได้
                พ่อกับแม่ว่าเสียใจมั้ยที่ทิ้งเขาไปวันนั้น
                เคย...คิดถึงเขาบ้างมั้ย

                “อลัน ฮึก...อลัน มังกรไฟ ผมจะสร้างให้ได้”
                “อืม ฉันจะรอ”
 


 
#วิถีเซียน3p
 

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
แสดงว่าซีโน่จะกลับมาอยู่กับพ่อและแม่ใช่มั้ย หวังว่าพวกเขาจะไม่ทำร้ายซีโน่เหมือนครั้งเก่านะ

เราว่าอวิ๋นหนานควรจะมาพูดคุยกับจิวซือนะ หากจะทำแบบนี้ อย่างน้อยก็จะได้เข้าใจกัน

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0



The Protector (8)



   หลังจากทำข้อตกลงกับฝ่ายรัฐบาล นครแห่งชีวิตก็กลายเป็นที่กล่าวขาน ยกย่องจากคนทั่วไป ผู้คนหลีกเลี่ยงคำว่ามิวเทนท์ และเลือกใช้คำว่าผู้ใช้พลังเพื่อแสดงถึงความเคารพยกย่อง สถานะของพวกมิวเทนท์ได้รับการเชิดชูอยู่เหนือผู้คน เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองของนครแห่งชีวิตก็ว่าได้
   น่าเสียดายที่ยุคทองของพวกเขาคงอยู่ได้เพียงไม่นาน
   เป็นไปได้ว่าราชาซอมบี้ทราบเรื่องความร่วมมือระหว่างมนุษย์และมิวเทนท์ ดังนั้นหลังจากที่จิวซือกลับไปยังนครแห่งชีวิตเพียงสามเดือน การโจมตีของเหล่าซอมบี้ก็เริ่มรุนแรงขึ้น ซอมบี้ระดับนายพลและทหารระดับสูงถูกส่งออกมาจากด้านหลังป่าแห่งความตายอย่างต่อเนื่อง น่าแปลกที่พวกมันหลีกเลี่ยงนครแห่งชีวิต จนจิวซือเกิดความสงสัยว่าบางทีเทือกเขาแห่งนี้คงมีความพิเศษบางอย่างที่เขาไม่รู้
   ในช่วงแรกนครแห่งชีวิตเพียงส่งผู้ใช้พลังระดับทั่วไปไปช่วยต้านกองกำลังของพวกซอมบี้ ต่อมาพบว่ามีซอมบี้ระดับสูงจำนวนมากปะปนอยู่ ราวกับว่าพวกมันกำลังเตรียมการสำหรับการโจมตีครั้งใหญ่ จิวซือทราบข่าวนี้ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ที่การปะทะระหว่างซอมบี้กับกองกำลังติดอาวุธลงเอยที่การเสมออาจเป็นความตั้งใจของราชาซอมบี้ บางทีเขาแค่นึกสนุก และต้องการรักษาความสมดุลนี้ไว้ บางทีการตัดสินใจเข้าข้างมนุษย์ของพวกมิวเมนท์เป็นชนวนสำคัญ
   จากนครแห่งชีวิตไปถึงชายแดนเมืองสตาร์ตัสใช้เวลาเดินเท้าประมาณครึ่งวัน จิวซือ คานส์ ฮิล ซีโน่และบรรดามิวเทนท์ระดับสูงกว่าห้าร้อยคนเดินทางมายังเมืองสตาร์ดัส ส่วนที่เหลือเฝ้ารักษานครแห่งชีวิต เมืองสตาร์ดัสบัดนี้เต็มไปด้วยกองกำลังติดอาวุธ ประชาชนที่เพิ่งอพยพกลับมาก็ถูกพาตัวออกไปยังสถานที่ปลอดภัยอีกครั้ง รวมถึงพ่อแม่ของซีโน่ด้วย
   


   “พวกมันจงใจตีเมืองสตาร์ดัส” นายพลอีวานกล่าวด้วยสีหน้าฉายความกังวล ด้านซ้ายมือของเขาคือนายทหารระดับสูงอีกสามคน ซึ่งมีท่าทางเคร่งเครียดไม่ต่างกัน การถอนกำลังของพวกซอมบี้จากเขตแดนอื่นๆ แล้วมุ่งเป้าตีเมืองสตาร์ดัสที่อยู่ใกล้นครแห่งชีวิต และสมควรจะเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุด ทำให้เกิดคำถามมากมาย และแม้ฝ่ายรัฐบาลจะโยกกำลังพลมายังเมืองชายแดนแห่งนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่า ก็ยังไม่กล้าละทิ้งบริเวณอื่นๆ
   “แปลก” นายทหารระดับสูงคนหนึ่งกล่าว
   “เกรงว่าจะเป็นกับดัก”
   จิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อกังวลของนายพลอีวาน ราชาซอมบี้เป็นปริศนาอีกประการหนึ่งที่เขายังไม่กระจ่าง ความคิดของฝ่ายนั้นที่มีต่อมิวเทนท์ยากจะคาดเดา จิวซือหันไปหาอี้เทียนที่นั่งอยู่ด้านข้างเพื่อขอความเห็น
   “คานส์?”
   “ไม่มีทางเลือก มันบุกทางไหนก็ยันทางนั้น”
   จิวซือมองข้ามไหล่อี้เทียน เห็นใบหน้าคมคายของอวิ๋นหนานหันมาราวกับรับรู้ถึงสายตาของเขา ดวงตาสีทองราบเรียบยามกล่าว “ไม่มีทางอื่น” หมายความว่าเขาเห็นด้วยที่จะตั้งรบที่นี่ ก่อนจะเสริมว่า “ส่งหน่วยลาดตระเวนสืบข่าว”
   “ทางเราจะร่วมด้วย”




   การปะทะของสองกองกำลังดำเนินอยู่ราวหนึ่งเดือน หน่วยลาดตระเวนของนครแห่งชีวิตและฝ่ายรัฐบาลไม่พบความผิดปกติของเมืองอื่นๆ เป็นความจริงว่าฝ่ายตรงข้ามโจมตีแต่เมืองสตาร์ดัส ทั้งยังเป็นการโจมตีอย่างค่อยเป็นค่อยไปราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง กระทั่งกลางดึกของคืนที่เงียบสงัด ลมพัดแรงจนเกิดเสียงหวีดหวิว บรรยากาศขมุกขมัวเข้าปลุกคลุมทั่วเมืองสตาร์ดัส
   ในที่สุดก็มาแล้ว


   ในฐานะครูฝึก อี้เทียนรู้จักพลัง จุดแข็งจุดด้อยของทุกคนเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงอยู่บัญชาการที่แนวหน้า จิวซือที่อยู่ในกระโจมค่ายชั่วคราวผุดลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ ซีโน่รู้สึกตัวตื่นเพราะความเคลื่อนไหวของคนข้างๆ เขาเห็นอลันรีบร้อนลุกจากที่นอน ก็ทราบว่าสถานการณ์ไม่ดี เด็กชายรีบลุกขึ้นตาม แต่ถูกอลันห้ามไว้
   “ห้ามออกไป”
   “ผมไปด้วย”
   “นี่คือคำสั่ง”
   ซีโน่เม้มปาก เขาเคยเห็นอลันออกคำสั่งกับคนอื่นๆ เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเขา เด็กชายเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่ายามที่อลันแสดงตนในฐานะเจ้านครแห่งชีวิต แรงกดดันที่แผ่จากตัวเองมากมายเพียงใด




   จิวซือสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อเห็นกองทัพดำทะมึนของพวกซอมบี้ ท่ามกลางพวกมันมีหลายร้อยตนที่ดูแล้วน่าจะเป็นพวกที่มีระดับชั้นสูง เรียกได้ว่าแม้ปราศจากพลังพิเศษเช่นเดียวกับมิวเทนท์ แต่แค่ความรวดเร็วและแข็งแกร่งของร่างกาย ก็สร้างความลำบากให้กับเหล่าผู้ใช้พลังได้แล้ว

   จิวซือกระโจนเข้าไปเบื้องหน้ามิวเมนท์ตนหนึ่งที่ถูกล้อม กำแพงดินกระแทกซอมบี้หลายตัวกระเด็น หินแหลมคมราวห่ากระสุนกระแทกร่างของเหล่าซอมบี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของพวกมันชะงักลง เปิดทางให้ผู้ใช้พลังคนอื่นๆ โจมตี

   “เจ้าเมือง”
   “ท่านอลัน”
   “บอสอลัน”
   ใบหน้าของเหล่าผู้ใช้พลังฉายแววความตื่นเต้นและยินดีที่อลันปรากฏตัวขึ้น ทุกคนต่างทราบดีว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่ครูฝึกคานส์ แต่เป็นอลัน เจ้าผู้ครองนครแห่งชีวิตผู้นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากออกจากนครแห่งชีวิต พลังพิเศษของพวกมิวเทนท์คล้ายกับถูกลดระดับลงกึ่งหนึ่ง แม้แต่คานส์และฮิลก็ไม่มีข้อยกเว้น มีเพียงอลันเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไร ทำให้สถานะของเขายิ่งสูงขึ้นไปอีก แน่นอนว่ามีบางคนเกิดความสงสัยว่าอลันมีความลับ หรือสิ่งของวิเศษอะไรที่ไม่บอกพวกเขา หลอกลวงว่าตนเองแข็งแกร่ง ทั้งที่อาศัยของวิเศษ นับตั้งแต่ได้ฝังความเคลือบแคลงเรื่อง Life-med ไว้ในใจ ความรู้สึกของบางคนที่มีต่ออลันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้จะไม่มีใครกล้าพูดออกมาเพราะเกรงกลัวคานส์ก็ตามที
   ความสามารถของจิวซือเรียกได้ว่าเป็นไพ่ตายหรืออาวุธลับ เพื่อรอดูเชิงของฝ่ายตรงข้าม นับตั้งแต่มิวเทนท์เข้าร่วมกับรัฐบาล จิวซือก็ไม่เคยแสดงตัวต่อสู้ด้วยตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาร่วมวงกับแนวทาง เมื่อเห็นพลังที่แข็งแกร่งของเขา ขวัญและกำลังใจของฝ่ายนครแห่งชีวิตก็เพิ่มสูงขึ้นทันที เสียงเรียกชื่ออลันแทบกลายเป็นเพลงปลุกใจ ครู่เดียวฝ่ายผู้ใช้พลังก็ผลักดันฝูงซอมบี้ถอยร่นไปหลายกิโลเมตร

   ขณะที่ดูเหมือนฝ่ายผู้ใช้พลังจะเริ่มได้เปรียบ ฝูงซอมบี้ก็หยุดชะงักก่อนจะแหวกแถวออกเป็นสองฝั่ง ทำให้เกิดทางเดินโล่งตรงกลาง การทำให้ซอมบี้ที่ปราศจากความนึกถึงเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเป็นระเบียบเช่นนี้ มีแต่ราชาซอมบี้เท่านั้นที่ทำได้ และแน่นอนว่าเขาผู้นั้นมาแล้ว

   บุรุษร่างสูงใหญ่ดูไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ยกเว้นเพียงแต่ผิวขาวซีดเหมือนกระดาษ ดวงตาแดงก่ำ และเล็บยาวแหลมคม แต่ไอดำทะมึนที่ล้อมรอบตัวเขาดังพายุหมุน และเหล่าซอมบี้ที่ค้อมตัวลงทำความเคารพ ทำให้คาดเดาถึงสถานะราชาของเขาได้ไม่ยาก

   บุรุษผู้นั้นเผยรอยยิ้มที่มิคล้ายยิ้ม กล่าวเสียงเย็นว่า “มิวเทนท์ ข้าละเลยพวกเจ้ามานานเกินไป”

   ประหนึ่งเลือดในกายของมิวเทนท์ทุกตนตอบสนองต่อคำพูดของเขา ต่างรู้สึกว่าร่างกายร้อนขึ้นทั้งที่อุณหภูมิร่างกายของมิวเทนท์มักต่ำกว่าคนทั่วไป บางคนตัวสั่นทรุดลงกับพื้น หอบหายใจร้องครางเบาๆ อี้เทียนกระโดดมายืนข้างจิวซือเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดี ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีเหงื่อผุดพรายคล้ายพยายามข่มกลั้นความไม่สบายกาย แม้แต่มิวเทนท์ระดับสูงอย่างอี้เทียนยังได้รับผลกระทบ ทำให้จิวซือเริ่มตระหนกขึ้นมา

   “เกิดอะไรขึ้น” จิวซือไม่รู้สึกอะไร แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ จะไม่เป็นเช่นนั้น

   “ต่อต้านข้าหรือ” ราชาซอมบี้หัวเราะเสียงต่ำ ไอดำรอบตัวเขาโคจรเร็วขึ้นจนเกิดเสียงหวีดหวิวในอากาศ ไม่ว่าสายตาของพาดผ่านมิวเทนท์ตนไหน ผู้นั้นพลันรู้สึกเหมือนเลือดในกายเดือดพล่าน เจ็บปวดทุรนทุราย ไม่ต่างจากยามที่พวกเขากำลังจะคลั่งเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้

   “อ๊ากกก”

   “มิวเทนท์ ลูกนอกสายเลือดของข้า กลับกล้าแข็งข้อกับข้า” ราชาซอมบี้หัวเราะเสียงเย็น ดวงตาแดงหรี่มองบรรดามิวเทนท์ที่กำลังทุรนทุรายอย่างดูแคลน

   “มันกระตุ้นไวรัส” จิวซือขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงลอดไรฟันของอี้เทียน ใบหน้าของอีกฝ่ายบิดเบี้ยวแม้ร่างกายจะเหยียดตรง ต่อต้านความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที จิวซือบีบไหล่อี้เทียน สายตาเป็นกังวล แม้อี้เทียนจะมีดวงจิตแข็งกล้าอย่างไร แต่ร่างกายของคานส์ไม่อาจทนทานต่ออิทธิพลที่เข้ามากระตุ้นได้ ยิ่งร่างนี้มีพลังแข็งกล้าเพียงใด ไวรัสยิ่งมีจำนวนมากและแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการที่ชายหนุ่มยังอดทนไม่คลั่งไปเสียก่อนก็ต้องอาศัยดวงจิตที่แข็งแกร่งของเขา

   จิวซือมอบไปรอบๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกเดือดดาลจนตัวสั่น แผ่นดินรอบตัวสั่นสะเทือนตามแรงอารมณ์ของเขา ก้อนหินเศษดินพุ่งขึ้นมาในอากาศ หมุนวนอย่างรวดเร็วประหนึ่งถูกพายุหมุนพัดลอยขึ้นไป ก่อนจะพุ่งไปกระแทกบรรดาซอมบี้ที่อยู่รอบๆ จนพวกมันกระเด็นล้มระเนระนาด
   การกระทำของเขาย่อมเป็นสิ่งที่ท้าทายราชาซอมบี้จนฝ่ายนั้นหยุดชะงัก เบนสายตามาจับจ้องจิวซือด้วยความประหลาดใจ
   “อลัน” เสียงเรียกแหบต่ำ ริมฝีปากซีดเซียวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมุมปาก ตรงข้ามกับประกายกร้าวในดวงตา “ลูกชายคนโปรด ที่ข้าหวังให้สืบทอด”
   “น่าผิดหวัง”
   สิ้นคำ พายุดำที่โคจรอยู่รอบตัวของเขาก็เพิ่มกำลังแรง เส้นรอบวงขยายออกไปโดยรอบ จิวซือสบตากับอี้เทียน ต่างเห็นตรงกันว่าไม่อาจปล่อยให้พายุดำใหญ่โตขึ้นกว่านี้ มังกรไฟลำตัวยาวกว่าสิบเมตรทะยานออกจากกลางฝ่ามือของอี้เทียน เร่งเร้าให้ไวรัสในร่างกายยิ่งมีปฏิกริยา มังกรไฟพุ่งชนพายุดำ ทำให้เกิดรอยแยก ก่อนจะทะยานเข้าหาราชาซอมบี้ ฝ่ายนั้นไม่คาดคิดว่าจะมีมิวเทนท์ที่แข็งแกร่งพอจะต่อต้านพลังของเขา สมาธิถูกแบ่งแยกมารับมือกำลังมังกรไฟ ทำให้พายุดำอ่อนกำลังลง ขณะเดียวกันเจ้าของมังกรไฟก็ทรุดลงกับพื้น มือกุมลำคอก่อนจะกระอักเลือดสีคล้ำออกมา
   จิวซือลนลานเข้าไปหาเขา เห็นสีหน้าของอี้เทียนย่ำแย่อย่างที่คงไม่มีทางเกิดขึ้นกับเทพยามา พวกเขาเป็นเทพแต่เข้ามาในภพที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดก็ลำบากแล้ว ยังต้องอยู่ในร่างที่ต่อต้านพลังเทพ และเป็นทาสของเชื้อไวรัสอีก แม้แต่เทพยามายังไม่อาจประคองตนได้ นับประสาอะไรกับมิวเทนท์ตนอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่ตาแดงก่ำ กรีดร้องโหยหวนอย่างทรมาน
   จิวซือรู้เพียงว่ามีแต่ตนเองที่ไม่ถูกผลกระทบ ที่ไม่ถูกควบคุม ร่างกายของอลันยังปกติดีทุกอย่าง ในเมื่ออลันไม่เป็นอะไร ดังนั้นเลือดของเขาก็น่าจะสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ จิวซือกรีดข้อมือตัวเองแล้วยื่นไปให้อี้เทียนด้วยความรีบร้อน ลืมไปว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องต้องห้ามและล้ำเส้นของอีกคนขนาดไหน
   “คานส์ ดื่ม” อี้เทียนมองจิวซืออย่างไม่อยากเชื่อ เขากัดฟันกรอด ตวัดสายตามองอีกคนด้วยความโกรธ โกรธจนแทบจะถูกไวรัสในร่างกายครอบงำ
   ถึงกลับเสนอเลือดตัวเองให้เขา!
   ชายหนุ่มผลักมือเปื้อนเลือดออกไป ก่อนจะทะยานเข้าหาราชาซอมบี้ที่ยังอยู่ใจกลางพายุดำ ตั้งใจจะปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวทุกอย่างกับตัวการ เงาดำอีกสายหนึ่งทะยานตามไปติดๆ เป็นอวิ๋นหนานที่หลังจากพยายามช่วยเหลือมิวเทนท์หลายต่อหลายคนให้รอดจากอาการคลั่งด้วยพลังของเขา แต่มิวเทนท์มีจำนวนน้อยหลายร้อยคน สิ้นเปลืองพลังและเวลาเป็นอย่างมาก จึงเปลี่ยนใจสังหารราชาซอมบี้แทน

   จิวซือเม้มปาก เหตุการณ์คราวนี้ถือว่าเกินกว่าที่พวกเขาคาดเดาไว้หลายขุม เขาสร้างกำแพงดินล้อมรอบบริเวณแนวหน้านี้ไว้ ปกป้องมนุษย์ที่อ่อนแอไม่ให้ได้รับอันตราย กองกำลังของนายพลอีวานถอยร่นไปไกลแล้ว มีแต่พวกเขาเหล่าผู้ใช้พลังเท่านั้นที่ยันการบุกรุกของซอมบี้ แต่เพราะมิวเทนท์ทุกคนต่างได้รับผลกระทบ ทำได้เพียงต่อสู้กับร่างกายตัวเอง ไม่ให้เสียการควบคุมจนคลั่งและกลายเป็นซอมบี้ไป จึงไม่มีผู้ใดต้านทานฝูงซอมบี้ได้อีก ยกเว้นกำแพงดินของจิวซือ ขณะที่เขาสร้างกำแพงดินชั้นแล้วชั้นเล่า สายตาก็ยังเฝ้ามองการต่อสู้ของเทพทั้งสอง ภาวนาให้พวกเขาสังหารราชาฝ่ายนั้นให้สำเร็จ


   “ก้า ก้า”
   จิวซือหันตามเสียงร้องที่คุ้นเคยของเสี่ยวเฮย ก็เห็นซีโน่กำลังถูกมิวเมนท์อีกสามตนทำร้าย มิวเทนท์ทั้งสามตนนั้นตาแดงก่ำ น้ำลายไหลยืด เขี้ยวและเล็บแหลมคม คาดว่าคงพ่ายแพ้ต่อเชื้อไวรัสในร่างแล้ว ซีโน่ปล่อยลูกไฟปะทะกับพวกนั้น แต่เด็กสิบขวบเพียงคนเดียว ต่อให้อัจฉริยะเพียงใดก็สู้ไม่ไหว เขานึกเสียใจที่ไม่ยอมเชื่อฟังฮิล เดิมทีหลังจากที่ฮิลช่วยถ่ายทอดพลังให้ ก็บอกให้เสี่ยวเฮยและเสี่ยวฝูพาเขาหนี แต่เพราะเขาอยากช่วยอลัน อยากเห็นกับตาว่าอลันปลอดภัยดี จึงดึงดันปีนกำแพงดินเข้ามา ไม่คาดคิดว่าจะสถานการณ์จะเลวร้ายถึงเพียงนี้
   “ซีโน่!”
   จิวซือเข้ามาช่วยเด็กชายได้ทันอย่างฉิวเฉียด กรงเล็บกรีดผ่านไหลของเขาจนเลือดทะลัก แต่ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว มือหนึ่งดึงซีโน่เข้าหาตัวอีก อีกมือซัดมิวเทนท์ทั้งสามตัวกระเด็น ทั้งยังตอกตรึงมือสองข้างของมิวเทนท์ทั้งสามไว้กับพื้นด้วยแท่งหินปลายแหลม
   หนึ่งในนั้นคือลีน่าที่เขาเคยช่วยไว้ ลีน่าสังกัดหน่วยก่อสร้าง เรียกได้ว่าเป็นลูกน้องสายตรงของจิวซือ หลังจากที่รอดจากอาการคลั่งคราวก่อน เธอก็คอยดูแลจิวซืออย่างดี และมักเรียกเขาว่าบอสอลันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน เวลานี้กลับถูกเขาตรึงไว้กับพื้น กรีดร้องและพยายามจะดิ้นให้หลุด ไม่สนว่าบาดแผลที่มือจะฉีกขาดขนาดไหน
   จิวซือมองภาพนั้นด้วยใจปวดหนึบ อีกด้านเห็นอี้เทียนถูกมวนไอดำกระแทกจนลอยละลิ่วไปปะทะกับกับกำแพงดิน ขณะที่อวิ๋นหนานเข้าประชิดตัวราชาซอมบี้ ต่อสู้พัวพันโดยไม่มีท่าทีว่าจะได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย
   จิวซือกัดริมฝีปาก ซีโน่ยังตัวสั่นในอ้อมแขนของเขา รอบกายเต็มไปด้วยเสียครวญครางและเจ็บปวดของบรรดาพี่น้องของนครแห่งชีวิต
   ดวงตาสีทองเบือนมาสบคล้ายไม่ตั้งใจ แต่จิวซือถึงกับไม่อาจละสายตาจากคนที่อยู่ห่างไกลออกไป ตงหวางมักเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นเสมอ ไม่ว่าเมื่อไร สมควรแล้วที่เป็นผู้ปกครองวังทะเลตะวันออก เจ้านายของเขา ความคิดที่ทำให้รอยยิ้มช่วยไม่ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจิวซือ ก่อนที่ดวงตาอ่อนแสงจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในวินาทีที่เขาตัดสินใจ


   รักและต้องการปกป้องก็ใช่
   แต่ที่เหนือกว่านั้นคือคำสัญญาที่เคยลั่นวาจาไว้




#วิถีเซียน3p

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กรี้ดดดดดดดดดดดดด สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
โอ๊ยยยย ลุ้นๆๆๆๆๆ จะเป็นอย่างไรต่อไปเนี่ย

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


The Protector (9)
 
 


                ซีโน่เหม่อมองอลันที่ก้มหน้าลงมาหาเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาที่ปกติมักสุขุมรอบคอบแสดงถึงความเป็นเจ้าผู้ครองนครแห่งชีวิตบัดนี้เปล่งประกายเจิดจ้า สวยงามยิ่งกว่าพระอาทิตย์ยามเช้าที่เขาเคยเห็น สวยงามกว่าดวงดาวดวงไหนๆ ฝ่ามือเย็นสัมผัสศีรษะของเขาแล้วลูบเบาๆ ก่อนที่อลันจะหันหลังก้าวจากไป สายตาของซีโน่ตรึงอยู่กับแผ่นหลังที่ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นทุกเวลา
                แม้ดูเหมือนเขาจะเดินด้วยความเร็วปกติ ไม่ช้าไม่เร็ว แต่เพียงพริบตาเดียวร่างของจิวซือก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าราชาซอมบี้ ห่างไปไม่กี่เมตรเท่านั้น ตลอดทางเต็มไปด้วยร่างที่สั่นสะท้าน ร้องครวญครางของเหล่าผู้ใช้พลัง และซอมบี้ที่พยายามจะเข้าโจมตี แต่ถูกกำแพงดินรอบตัวจิวซือกันไว้ เวลานี้เขาเหมือนพระเจ้าผู้ควบคุมทุกชีวิตไว้ในมือ แต่จิวซือรู้ว่าความจริง ร่างกายเขามาถึงขีดสุดแล้ว
                แม้ว่าพลังของเขาจะไม่ถูกกดไว้เหมือนคนอื่น ทั้งพลังธรรมชาติยังที่ยังหลงเหลืออยู่ในอาณาบริเวณนี้ถูกเขาดูดกลืน เปลี่ยนเป็นพลังของตนอย่างง่ายดาย แต่ร่างกายของอลันอย่างไรเสียก็เป็นแค่มนุษย์กลายพันธุ์คนหนึ่ง ต่อให้เลือดของเขาพิเศษกว่าคนอื่น ต่อให้เขาสามารถใช้พลังได้ดีกว่าทุกคน ร่างกายของเขาก็เริ่มรับไม่ไหว
                เส้นเลือดฝอยที่รองรับพลังจากภายนอกโป่งพองเหมือนใกล้จะระเบิด ขณะที่เขารับพลังมาแล้วปล่อยออกไป กำแพงดิน กระสุดหิน หอกหินแหลมคม ล้วนแต่สร้างภาระให้กับร่างกายนี้ทีละน้อย ทุกครั้งเจ็บปวดจนแทบก้าวขาไม่ออก แต่เวลานี้จิตใจเขาปลอดโปร่งยิ่ง เพิ่งเข้าใจว่าความตายมีหลายแบบ แต่ละแบบทำให้รู้สึกแตกต่างกัน
                ตายเพื่อคนอื่น หรือตายเพื่อตนเอง

                เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ตอนที่รับกระปี่แทนฮ่องเต้ เขาไม่ได้ตายเพื่อปกป้องอีกฝ่าย แต่เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความทุกข์ ดังนั้นในใจมีเพียงความว่างเปล่า ปราศจากความปลอดโปร่งยินดีอย่างครานี้ ราวกับว่าจิตเซียนของเขาได้รับการชำระล้างอีกครั้ง
                “อลัน” เสียงของราชาซอมบี้แทบเป็นเสียงคำราม ไม่เคยคาดคิดว่ามนุษย์คนหนึ่งจะกลายเป็นตัวสำคัญที่แปรปั่นป่วนแผนการของเขา ยิ่งไม่อยากเชื่อว่าฝ่ายนั้นมีพลังเทียบเท่าเขา เขาคือราชา เขาคือผู้ที่ถูกกำหนดให้ยืนอยู่เหนือผู้อื่น ไหนเลยจะปล่อยให้ใครหน้าไหนเป็นภัยคุกคามได้
                สมควรกำจัดเสียตั้งแต่แรก
                พายุดำม้วนตัวเป็นมังกรดำขนาดใหญ่ พุ่งเข้าชนอวิ๋นหนานเต็มแรงจนเขาถอยร่นไปหลายร้อยเมตร แม้เกราะพลังที่สร้างขึ้นจะช่วยผ่อนแรงกระแทกไปกว่าครึ่งก็ตาม ขณะที่อี้เทียนผลักกองหินที่ร่วงลงมาทับร่างของเขาออก แล้วยันกายลุกขึ้น จิวซือพ่นลมหายใจที่ฟังดูคล้ายเสียงหัวเราะ นับว่าอีกฝ่ายลงมือได้ถูกเวลา ช่วยกันตงหวางออกไปโดยที่เขาไม่ต้องลงมือเอง จิวซือมองอี้เทียนเพียงแวบเดียวก็เดาได้ว่าชายหนุ่มต้องการให้พวกเขาสามคนลงมือพร้อมกัน สามต่อหนึ่ง โอกาสชนะย่อมมีมากกว่า เสียดายที่พลังทั้งหลายถูกเงื่อนไขบางอย่างของภพนี้จำกัดไว้แทบทั้งหมด ขณะที่คนที่มีอิสระใช้พลังได้อย่างเต็มที่อย่างเขาก็ทราบดีว่า...สายไปแล้ว
                ข้าไปก่อน ไม่ทราบอี้เทียนเข้าใจความหมายที่เขาสื่อสารผ่านทางสายตาหรือไม่ จากหอคุณธรรมไปยมโลก ไกลพอดูทีเดียว หากรู้ก่อน สมควรขอป้ายผ่านทางไว้
                จิวซือเบือนสายตาไปอีกด้านหนึ่ง ดวงตากลมสุกสกาวประสานกับดวงตาสีทอง ใบหน้าคมคามของตงหวางราบเรียบ ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่นเล็กๆ ให้เห็น
                 วังตะวันออก ยังคงไม่กลับไปจะดีกว่า
               

                ชั่วขณะที่ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นมองมา อวิ๋นหนานรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกวูบโหวงในอก แต่ก่อนที่จะทราบว่าเพราะเหตุใด ร่างสูงโปร่งของจิวซือก็พุ่งเข้าไปประชิดราชาซอมบี้ มือทั้งสองข้างกางออก น้ำเสียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ แต่ส่งผ่านมามายังประสาทรับรู้ของเขาอย่างชัดเจน
                “Rise…City of life”
                ‘ลุกขึ้น นครแห่งชีวิต’ ความหมายที่ให้ใจหาย อวิ๋นหนานเบิกตามองอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อร่างที่เพิ่งสบตาระเบิดต่อหน้าต่อหน้าเขา!
                อวิ๋นหนานตะลึงลานอยู่กับที่ ราวกับว่าโลกหยุดหมุน แม้แต่อากาศก็หยุดเคลื่อนไหว กระทั่งหยดเลือดหยดหนึ่งกระทบข้างแก้ม และหลังมือของเขา ก่อนจะซึมหายไปในผิวหนัง พริบตาเดียวนั้นไวรัสในร่างกายก็สงบลง แม้แต่พลังที่เคยถูกกดไว้ก็เริ่มตอบสนอง
                กระนั้น อวิ๋นหนานก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ก้มมองหลังมือที่หยดเลือดสีแดงเข้มซึมหายไป ภายในหยดเลือดหยดเล็กๆ เขารับรู้ได้ถึงความปรารถนาของเจ้าของ ปรารถนาให้ปลอดภัย

 
                ไม่!
                อี้เทียนกระโจนเข้าไปหาร่างที่ระเบิดเป็นจุณ คว้าได้เพียงอากาศ ไม่มีจิวซือ ไม่มีราชาซอมบี้ แม้แต่เศษซากเสื้อผ้าชิ้นเล็กๆ สักชิ้นก็ไม่มีเหลือ ฝนเลือดกระจายทั่วบริเวณ เลือดราวกับมีความนึกคิดของตัวเอง มันลอยเข้าหามิวเทนท์ทุกตน ซึมหายไปในร่างกายของพวกเขา ท่ามกลางสติที่เริ่มกลับคืนมา ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ค่อยทุเลาลง พวกเขาได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างเจ็บปวดและโกรธแค้นยิ่งกว่าของคนผู้หนึ่ง ตามมาด้วยเสียงคำรามของมังกรไฟ
               



                สิบปีก่อน กองทัพซอมบี้บุกโจมตีเมืองสตาร์ดัส นับเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุด ขณะที่มนุษย์พ่ายแพ้ สิ้นหวัง หวาดกลัว กลับได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าผู้ใช้พลังของนครแห่งชีวิต นำโดยอลัน เจ้าผู้ครองนคร เขาเสียสละชีวิตตนเองเพื่อสังหารราชาซอมบี้ ปลดปล่อยโลกมนุษย์จากความมืดมิด ชำระล้างภัยคุกคามทั้งหลายในคราวเดียว นับตั้งแต่นับเป็นต้นมา ไม่ได้ข่าวว่ามีผู้ใดติดเชื้อไวรัสอีก ไม่มีใครกลายเป็นสัตว์ประหลาดกระหายเลือด เช่นเดียวกัน ไม่มีมิวเทน์ตนใหม่เกิดขึ้น
   อย่างไรก็ตาม มิวเทนท์ที่รอดชีวิตหลายร้อยคนยังคงอาศัยอยู่ในนครแห่งชีวิต ทายาทของพวกเขาได้รับยีนส์ที่พิเศษกว่าคนทั่วไป กว่าครึ่งสามารถปลุกพลังพิเศษในร่างกาย ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มคนที่มีพลังอย่างที่มนุษย์ทั่วไปแทบไม่ได้ และเป็นภัยคุกคามในเวลาเดียวกัน
   เป็นธรรมดาเหลือเกินที่มนุษย์จะหวั่นเกรงคนหรือสิ่งที่มีพลังหรือแปลกแยกจากพวกของตน แต่ผ่านไปหลายต่อหลายปี นครแห่งชีวิตก็ยังเป็นมหานครใต้ดินที่ไม่คุกคามผู้ใด ยังคงใช้ชีวิตในเทือกเขาและป่าแห่งความตายอย่างสงบสุข มนุษย์ทั่วไปน้อยคนนักจะทราบว่าเพราะเหตุใด กลุ่มบุคคลที่แข็งแกร่งและย่ิงใหญ่จึงยินดีที่จะใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่มิวเทนท์ทุกคนทราบดีแก่ใจ รับรู้ได้ด้วยจิตวิญญาณว่าในร่างกายของตนมีเลือดของผู้ปกป้องไหลเวียนอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิญาณว่าจะเป็นผู้ปกป้อง ไม่ใช่ผู้ทำลาย
   นครแห่งชีวิตไม่มีศาสนา แต่มีลัทธิที่ถูกตั้งขึ้นโดยเจ้าผู้ครองนครคนปัจจุน ซีโน่ และนับถืออย่างกว้างขวาง คือลัทธิอลานิส (Alanis) มีอลัน ผู้ก่อตั้งนครแห่งชีวิตเป็นศาสดา ปลูกฝังเรื่องความรัก เสียสละ และให้อภัย โดยมิวเทนท์ที่เคยสงสัยในความจริงใจของอลัน ทั้งเรื่องยาและเรื่องพลัง บัดนี้เปลี่ยนเป็นสาวกที่อุทิศตนที่สุด พวกเขาเดินทางเผยแพร่ความเชื่อและความดีของอลันไปทั่วทุกหนแห่ง จนคนทั่วไปเรียกลัทธินี้ว่าลัทธิของผู้ปกป้อง

 
               บริเวณหน้าผ้าหินที่อลันชอบมายืนชมทิวทัศน์เมื่อครั้นที่เขายังมีชีวิตอยู่ เวลานี้มีป้ายหินแกะสลักขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยดอกไม้หลากสีหลายพันธุ์ ข้อความบนป้ายหินแกะสลักด้วยอักษรที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว

              Alan
            The Protector
 
               เบื้องหน้าป้ายหิน เห็นร่างสูงใหญ่ของซีโน่ในวัย 20 ปี ใบหน้าคมคายของเขายังมีเค้าโครงของความเป็นเด็กหนุ่ม ทว่าบรรยากาศรอบตัวที่แผ่ออกมาทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย ซีโน่ถูกยกให้เป็นเจ้าผู้ครองนครแห่งชีวิตต่อจากเซฟ เมื่อเขามีอายุได้เพียง 15 ปี ด้วยความสามารถและทัศนคติของเขา ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา นครแห่งชีวิตเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการสร้างพันธมิตร ไม่สร้างศัตรู แม้เป็นอาณาจักรที่รักสงบ แต่มีกำลังเพียงพอที่จะปกป้องตนเองและผู้อื่น เด็กชายวัย 15 ปีทุ่มเทชีวิตจิตใจของเขาให้กับนครแห่งชีวิตก็เพื่อคนผู้หนึ่ง ผู้เป็นดังพระเจ้าของเขา

               “อลัน คุณสบายดีไหม”
               ซีโน่มองป้ายหินที่สลักชื่ออลัน สายตาหม่นเศร้าและแฝงความโดดเดี่ยวอย่างที่ชาวนครแห่งชีวิตไม่มีทางได้เห็น
               “ฮิลกับคานส์ตามไปปกป้องคุณหรือเปล่า”
               มือเรียวลูบไล้ทีละตัวอักษร กระทั่งถึงตัวสุดท้ายก็ค้างไว้อย่างนั้น ราวกับว่าจะได้สัมผัสคนที่อยู่ในห้วงคำนึง ราวกับว่าจะส่งผ่านความรู้สึกทางปลายนิ้วสั่นสะท้าน ไม่ต่างจากน้ำเสียงสั่นเครือยามเอ่ยว่า
               “อลัน ผมคิดถึงคุณ”

               ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ของยามเช้า ชาวนครแห่งชีวิตมองเห็นมังกรไฟขนาดราวห้าเมตรวนเวียนอยู่เหนือหน้าผาหิน ต่างทราบว่าเจ้าผู้ครองนครกำลังแสดงความเคารพต่อท่านอลัน

 

 (End of the ARC)

#วิถีเซียน3p

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลุ้นจนหยดสุดท้ายเลย

ออฟไลน์ mholic

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ว้าวววว  อย่างกับหนัง

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
สงสารซีโน่จัง
เสียดายที่จิวซือไม่ทันได้เห็นมังกรไฟของซีโน่

ออฟไลน์ ursleepingxd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้องซีโน่ตายไปก็ไปตามหาพี่เขาที่ภพเซียนนะลูก ฮื้อออ ทำไมน้องเป็นคนดีอย่างงี้ น้องจิวซือออออออ

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
The Great General (1)



   ราวกับว่าเฝ้ารอรับเขาอยู่แล้ว ทันทีที่ดวงจิตของจิวซือหลุดจากร่างก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นคว้าไว้ จากนั้นแสงสีขาวก็ค่อยๆ จางหายไป ก่อนจะปรากฏขึ้นในหอคุณธรรม เปียวขุยหลุบตามองจิตเซียนที่ลอยอยู่เบื้องหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา ไม่ทราบเซียนน้อยตนนี้มีความสัมพันธ์ใดกับตงหวางและเทพยามา ไม่ทราบว่าหลังจากเรื่องที่เขากระทำนี้เปิดเผยออกไป จะถูกตัดสินโทษอย่างไร กระนั้นเมื่อเป็นคำสั่งของพระแม่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากส่งดวงจิตดวงนี้ไปยังอดีตชาติ การส่งดวงจิตกลับไปยังอดีตของตัวเองโดยพลการนั้นถือเป็นการฝ่าฝืนกฎ และอันตรายต่อดวงจิตนั้นอย่างยิ่ง อาจถึงขึ้นแตกสลายไปก็เป็นได้
   “เซียนน้อย ได้แต่หวังว่าเจ้าจะเข้มแข็งพอ”

   
...........................



   “เม่ยเม่ย ท่านแม่ไม่ให้เล่นกับเขานะ”
   เด็กหญิงวัยสี่ขวบทำแก้มป่องเมื่อพี่สาวเอ่ยปราม ก่อนจะยอมเดินตามพี่สาวไป โดยไม่ลืมหันมามองเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่หลายครั้ง
   ซื่อเสวี่ยนก้มหน้าลง มือเล็กที่จับพู่กันสั่นเล็กน้อย ดวงตากลมโตสีดำสนิทเคลือบไว้ด้วยม่านน้ำ ก่อนที่เขาจะกระพริบตากระทั่งภาพเบื้องหน้ากลับมากระจ่างชัด
   ตั้งแต่จำความได้ ก็ทราบว่าตนเองไม่ใช่คุณชายน้อยสกุลเฉิน แต่เป็นลูกของสหายที่ท่านพ่อรับมาเลี้ยง เขาเกิดในตระกูลขุนนางระดับกลาง หลังจากที่ลืมตาดูโลกได้เพียงวันเดียว บิดาก็ถูกกล่าวหาว่าลักลอบค้าเกลือ ถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งครอบครัว ยึดทรัพย์เป็นของหลวง มารดาแอบมอบเขากับเฉินตง เจ้าบ้านสกุลเฉิน ผู้เป็นสหาย เขาจึงกลายเป็นคุณชายน้อยสกุลเฉินในชั่วข้ามคืน ประกอบกับเวลานั้นอนุลี่เพิ่งเสียลูกไป จึงรับเขาเป็นบุตร และดูแลเหมือนบตรชายแท้ๆ ขณะที่เจินฮูหยิน ภรรยาตามกฎหมายของเฉินตง นายหญิงสกุลเฉิน ไม่ใคร่ชอบเขานัก ภายหลังค่อยทราบว่าเป็นเพราะเฉินตงรักแม่แท้ๆ ของเขา
   เมื่อนึกถึงเฉินตง ความอบอุ่นสายหนึ่งก็แล่นเข้ามาในใจ แววตาเด็กชายมุ่งมั่นยามที่บรรจงคัดอักษร หวังว่าเมื่อบิดากลับมา จะได้เห็น
   ซื่อเสวี่ยนไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่แท้ๆ และไม่เข้าใจว่าครอบครัวของผู้อื่นเป็นอย่างไร แต่เขาไม่รู้สึกว่าตนเองโชคร้าย หรือขาดในเรื่องใด เพราะเฉินตงรักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกแท้ๆ อะไรที่พี่น้องคนอื่นได้ เขาก็ไม่เคยขาด ทุกๆ วันมักจะแวะมาหาเขาเสมอ เฉินตงสอนเขาเขียนหนังสือด้วยตัวเอง เหนียงบอกว่านอกจากพี่ใหญ่แล้ว ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่บิดาสั่งสอนด้วยตัวเอง เขาทั้งขอบคุณและดีใจ จึงพยายามเต็มที่ ไม่อยากให้บิดาผิดหวัง
   เพราะเป็นลูกนอกสายเลือดที่บิดาให้ความสำคัญ จึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่น แต่ห้ามแสดงความโดดเด่นของตนต่อหน้าพี่น้อง และคนนอก นี่คือสิ่งที่เหนียงคอยย้ำเตือนอยู่เสมอ

   
   “ท่านพ่อ”
   “ซื่อซื่อ”
   ซื่อเสวี่ยนยิ้มกว้างเมื่อเห็นเฉินตง เฉินตงปีนี้อายุสามสิบเจ็ดปี ใบหน้าแม้ไม่ถึงขั้นหล่อเหลา ก็เรียกได้ว่าน่ามอง ประกอบกับท่าทางสุขุมรอบคอบ ยิ่งส่งเสริมสง่าราศรีของเจ้าตัว เจ้าบ้านตระกูลเฉินผู้นี้แยกครอบครัวมาตั้งรกรากในเมืองหลวงเมื่อได้ตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ดในกรมคลัง
   เฉินตงตรวจดูบทกลอนที่ซื่อเสวี่ยนคัดลอก เห็นลายเส้นมีความมั่นคง และเป็นระเบียบ ทั้งที่มือเล็กของเด็กชายวัยห้าขวบยังไม่สามารถจับพู่กันได้ถนัดนัก ก็พยักหน้าและกล่าวชม
   “ทำได้ดีมาก” ใบหน้าของเฉินตงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตายามมองดูบุตรชายเปี่ยมด้วยความรักและเอ็นดู “วันนี้บิดาจะกินข้าวกับเจ้า”
   เด็กน้อยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย แม้พยายามจะเก็บอาการอย่างไร ผู้เป็นบิดาก็ยังมองออก จึงอดยื่นมือมาลูบศรีษะเล็กไม่ได้
   “ข้าจะไปบอกท่านแม่”
   เฉินตงมองตามหลังบุตรชาย สายตาอ่อนโยนลง ซื่อเสวี่ยนเป็นสิ่งเดียวที่ซื่อเยี่ยนเหลือไว้บนโลกใบนี้ ยามที่เรียกชื่อเล่นซื่อซื่อ หลายครั้งก็อดนึกถึงหญิงสาวผู้เป็นดังแสงสว่างของเขาไม่ได้ เขาตั้งใจจะรักและดูแลไม่ต่างจากบุตรแท้ๆ คราวที่ฮูหยินบอกเรื่องชาติกำเนิดให้ซื่อเสวี่ยนรู้โดยพลการ เขาทั้งโกรธและนึกหวาดกลัว เกรงว่าซื่อเสวี่ยนจะไม่เข้าใจ แต่เปล่าเลย เด็กน้อยยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี ไม่บ่น ไม่ตัดพ้อ ไม่ตีตัวออกจากห่างเขา ทำให้เขาทั้งรักทั้งสงสาร แม้ซื่อเสวี่ยนจะเป็นเพียงลูกอนุ เขาก็หวังสนับสนุนให้บุตรชายผู้นี้เจริญก้าวหน้าไม่แพ้บุตรของภรรยาหลวง


   ซื่อเสวี่ยนเดินมาพร้อมอนุลี่ ก็พบว่านอกจากบิดาแล้วยังมีเฉินซาน คุณชายใหญ่แห่งสกุลตงอยู่ด้วย เฉินซานอายุสิบเจ็ดปี เป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ท่าทางสุขุมไม่แพ้เฉินตงผู้เป็นบิดา เขาสอบได้ที่ห้าในการสอบเข้ารับราชการเมื่อต้นปี ดังนั้นจึงเป็นความหวังและความภาคภูมิใจของตระกูล นอกจากบิดาและลี่เหนียงแล้ว ก็มีแต่เฉินซานที่ไม่รังเกียงคนนอกสายเลือดของเขา
   “พี่ใหญ่”
   “เจ้าตัวเล็ก ไม่ต้องรับพี่ใหญ่หรือ”
   “ต้อนรับสิ” ไม่พูดเปล่า ซื่อเสวี่ยนพาร่างเล็กๆ ของตนวิ่งหายไปเข้าในเรือน ก่อนจะกลับมาพร้อมกับจานและตะเกียบอีกคู่โดยไม่รอคนรับใช้ เขาเขย่งขาวางจานและตะเกียบลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเฉินซาน กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ เชิญ”
   เฉินซานหัวเราะชอบใจ เอื้อมมือมาหยิกแก้มนุ่มของน้องชายที่อายุห่างกันเป็นสิบปีอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็หยิบของเล่นที่ทำจากไม้จากอกเสื้อยื่นให้ซื่อเสวี่ยน “แลกกับข้าวเย็น”
   ซื่อเสวี่ยนมองไม้หอมที่แกะเป็นรูปม้าได้อย่างเหมือนจริง ลองลูบดูก็พบว่าผิวเรียบลื่นและให้ความรู้สึกเย็นสบาย “ขอบคุณพี่ใหญ่”
   เขามีความสุขมาก ไม่เคยรู้สึกน้อยใจที่เป็นลูกอนุในสกุลเฉิน หวังแต่ว่าจะตั้งใจศึกษาหาความรู้เพื่อช่วยเหลือบิดาและพี่ใหญ่ในอนาคต กระทั่ง...เฉินซานจากไป



   เพราะอีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดปีที่หกของซื่อเสวี่ยน เฉินซานจึงพาเขาไปเที่ยวน้ำตก ระหว่างทางขากลับ พวกเขาถูกลอบทำร้าย พี่ใหญ่มีวรยุทธ์ไม่เลว หากไม่มีเขาเป็นตัวถ่วง ย่อมหลบหนีไปไหน เพราะคอบปกป้องเขา เฉินซานถึงถูกกระบี่แทงหน้าท้อง ตอนที่ทหารมาช่วยเหลือ เฉินซานก็เหลือลมหายใจรวยรินเต็มที
   เขาร้องไห้ เรียกพี่ใหญ่ๆ เพราะไม่มีเรื่องอื่นที่สามารถทำได้ พี่ใหญ่ยกมืกลูบหัวเขาอย่างยากลำบาก บอกว่าอย่าร้อง พี่ใหญ่ไม่เป็นไร แต่แล้วกลับกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ปิดตาลง ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาอีก
   

   ทุกคนเสียใจอย่างมากกับการจากไปของพี่ใหญ่ เขาเป็นความหวัง เป็นความภาคภูมิใจ และเสาหลักต้นต่อไปของสกุลตง แต่กลับต้องมาจากไปทั้งที่อายุยังน้อย ท่านพ่อตาแดงกล่ำตอนที่ฝังศพพี่ใหญ่ ฮูหยินร้องไห้แทบขาดใจ นางมองเขาด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชัง เพราะพี่ใหญ่พาเขาไปเที่ยว ถึงได้ประสบเรื่องร้าย เขาเป็นต้นเหตุ
   “ตัวซวย ทำไมเป็นแกที่รอดมาได้ ทำไม ซานเอ้อร์ถึงต้องตาย ฮือ ซานเอ้อร์”
   ซื่อเสวี่ยนก้มหน้าลง มือกำแน่น ไม่เอ่ยเถียงสักครึ่งคำ ความปวดร้าวที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ คงเทียบไม่ได้กับฮูหยินและท่านพ่อที่เสียพี่ใหญ่ไป
   นั่นสิ ทำไมไม่ใช่เขาที่ตาย ทำไมเป็นพี่ใหญ่
   เพราะเขาอยากไปดูน้ำตก เพราะเขาอ่อนแอ เป็นตัวถ่วง พี่ใหญ่ถึงต้องตาย
   เขาเป็นตัวซวยอย่างที่ว่าจริงๆ

   
   ซื่อเสวี่ยนนอนไม่หลับ น้ำตาที่กลั้นไว้ตลอดทั้งวันไหลเป็นทาง เด็กชายนั่งกอดเขา ซุกหน้ากับลงแขนให้แขนเสื้อซับน้ำตา พี่ใหญ่ที่ทั้งเก่งกาจและใจดีของเขาไม่อยู่แล้ว สิ้นใจไปต่อหน้าเขา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเรียกพี่ใหญ่ซ้ำ พี่ใหญ่เคยบอกว่าอยากเป็นเจียงจวิน ออกรบ ปกป้องแผ่นดินเกิดและนำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล เวลานั้นเขาจึงบอกไปว่าเขาจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน โตขึ้นจะได้เป็นกุนซือ ช่วยพี่ใหญ่ พี่ใหญ่หัวเราะเสียงดัง ชมว่าเขาเป็นเด็กดี บอกว่า ‘พี่ใหญ่จะรอซือซือช่วยคิดกลศึกให้’

   เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างเล็กๆ เหมือนถูกความโศกเศร้าห้อมล้อมไว้ทั้งตัว ไม่สังเกตเห็นเฉินตงที่เดินเข้ามาใกล้ กระทั่งอ้อมแขนที่แข็งแรงคว้าตัวเขาไปกอดไว้ ซื่อเสวี่ยนค่อยพบว่าเป็นเฉินตง
   ฝ่ามือที่ลูบศรีษะและหลังของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ราวกับจะพัดพาความทุกข์ใจ ทำให้คำพูดที่เฝ้าเพียรถามในใจอยู่หลายวันพาลหลุดออกมา
   “แลกกัน ให้ข้าไปแทนพี่ใหญ่ ได้หรือไม่ ฮึก แลกกัน”
   เฉินตงกอดบุตรชายแน่น ในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างกัน เฉินซานจากไปแล้ว เขาไม่อาจเสียซื่อเสวี่ยนไปได้อีก
   “ซื่อซื่อ บิดารักเจ้า”
   ร่างเล็กในอ้อมกอดชะงักไป ก่อนที่เสียงร้องไห้โฮจะกังวานขึ้นแทนที่ ซื่อเสวี่ยนซุกหน้ากับอกของเฉินตง สองแขนกอดบิดาแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะจากไปอีกคน
   
   ไม่เอาแล้ว ได้โปรดอย่าพรากคนที่เขารักไปอีกเลย



#วิถีเซียน3p



…..
เม่ยเม่ย = น้องสาว
เหนียง  = แม่ (ลี่เหนียง = พูดถึงอนุลี่ที่เป็นแม่)
เจียงจวิน = แม่ทัพ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2019 13:13:23 โดย Whitedemon21 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yunjae_yusoo_mi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พระแม่นี่อะไรกับจิวซือจัง
ถ้าพระแม่ต้องไปเจอแบบที่จิวซือเจอ อยากรู้จริงๆ ว่าจะรอดม่ะ

อิน!!!


ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ทำไมจิวซือ ถูกเพ่งเล็งจากพระแม่แบบนี้ล่ะ

อยากรู้มากๆๆๆๆๆๆ มาต่อไวๆนะไร

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
พระแม่เนี่ยเป็นใครกัน ทำไมถึงได้ทำแบบนี้กับจิวซือ
มันน่าตบให้หลุดจากตำแหน่งเสียจริง

จิวซือต้องผ่านภพนี้ไปให้ได้นะ

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
พระแม่ในที่นี้ คือเจ้าแม่หนี่วาห์รึเปล่าครับ(?) ถ้าใช่นี่ถือว่าเรื่องสะเทือนภพสวรรค์เลยนะครับ เจ้าแม่หนี่วาห์นี่เป็นคนซ่อมฟ้าเปิดสวรรค์ ถือเป็นอัตลักษณ์คอสมิคบีอิ้งระดับสูงสุดๆ ถ้าพระแม่ลงมาสอดส่องเรื่องของซื่อเสวียนเองล่ะก็ ผมว่าระดับตงหวางเองยังต้องรับคำสั่ง

ผมคิดว่าตงหวางกับจิวซือ ให้ความรู้สึกแบบเดียวกับ เฉินซานกับซื่อเสวียน มาก ทั้งสุขุมรอบคอบและใจเย็น ถ้าสังเกตเราจะเห็นว่าน้องน่ารักสุดๆในอดีตชาติ ผมว่าตรงนี้แหละคือประเด็นสำคัญ การที่จิวซือจะหลุดไปสู่ภพเซียนและกลายเป็นเทพได้ ถ้าจำได้ ตงหวางบอกว่าต้องตัดความรู้สึกทิ้งออกไปให้หมด คำถามคือ ถ้าจิวซือจะหลุดจากความรู้สึกและบาดแผลทางจิตใจในอดีตชาติ เพื่อให้ได้บำเพ็ญชาติสุดท้ายผ่านด่านคุณธรรมแล้วได้กลายเป็นเทพ การแลกตรงนั้น มันคุ้มกันรึเปล่า? นี่เป็นคำถามสำคัญ

ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการที่เราต้องแลกความรู้สึกและตัดทุกอย่างเพื่อให้ได้ไปเป็นเทพนั้น ผมคิดว่าไม่สำคัญ จิวซือตอนนี้เปลี่ยนทั้งชื่อตัวเอง ตั้งใจพยายามจะกลายเป็นเทพให้ได้ ทั้งหมดเอาจริงๆก็เพื่อที่จะตัดความรู้สึกของอดีตชาติที่ยังรั้งอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ มันไม่ใช่เพื่อการบำเพ็ญเพียรละกิเลส แต่เพราะว่าคุณยังไม่เข้าใจกิเลสนั้นและไม่สามารถปลงได้ คุณจึงไม่สามารถผ่านด่านคุณธรรม คุณต้องการที่จะผ่านด่าน เพราะคุณต้องการจะ ‘ตัด’ ความรู้สึกนี้ออกไป ถ้าเปรียบเหมือนธรรมชาติ ก็คือการที่คุณเห็นขยะแต่คุณไม่รู้จะกำจัดมันยังไง เลยจึงจะฝังกลบมันซะให้หายไป แต่ไม่ใช่การเรียนรู้ว่ามันมีอะไรบ้าง แล้วกำจัดออกไปตามกระบวนการทีละส่วน นี่เป็นหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่เข้าใจยาก แต่ถ้าเข้าใจ จะรู้ได้ว่า เมื่อคุณเข้าใจทุกข์อย่างกระจ่างแท้ คุณจึงจะเรียนรู้นิพพานและการดับทุกข์นั้น

ในเคสของซือเสวียน ผมคิดว่าปัญหาของซือเสวียนคือความรัก จิวซือเป็นแค่อัตลักษณ์ที่ซือเสวียนพยายามสร้างขึ้นมาเพราะว่าไม่อยากจะเผชิญเกี่ยวกับความรักอีกแล้ว อยากจะชินชาและมองให้มันเป็นเรื่องปกติ ความจริงแล้วนั่นเพราะซือเสวียนเรียนรู้ความรักด้วยมุมมองเดียวคือความเจ็บปวด มันยังมีอีกหลายมุม เช่น ความอบอุ่น ความห่วงใย ความวาบหวามและความอ่อนโยนในการร่วมรักและร่วมชีวิตด้วยกัน ซึ่งจริงๆแล้วซือเสวียนจะเรียนรู้ความรักนี้ได้ แต่ปัญหาคืออี้เทียนดันมาตายก่อนจะได้ครองรักกัน ความรัก(ด้ายแดง) ของสองคนนี้ผมว่ามันรุนแรง อี้เทียนยังยอมเป็นเทพยามาเพื่อจะได้กลับมาอยู่กับซื่อเสวียนอีกครั้ง ความทุ่มเทนี้ระดับคอสมิคบีอิ้งระดับสูงนี่ต้องมองเห็น

ดังนั้นจึงกลับมาที่เรื่องว่าซือเสวียนจะเผชิญกับดราม่าความรู้สึกหนักๆหลายอย่างในอดีตชาติ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมมาจากความรัก ในครั้งนี้ ผมว่าอี้เทียนต้องแทรกแซง เช่นเดียวกับอวิ๋นหนาน ส่วนตัวผมคิดว่าอี้เทียนต้องหาทางกลับและแก้ไขอดีตชาติ แต่การแก้ไขอดีตเป็นไปได้ยากมากเพราะผิดกฏสวรรค์ สิ่งที่ทำได้คือทำให้ซือเสวียนได้ประสบกับความรักและเห็นได้ว่าความรักนั้นสามารถสร้างเป็นพลังอันสร้างสรรค์ มุมมองของความรักแบบหนุ่มสาว ผมเชียร์อี้เทียน แต่มุมมองของความรักแบบครอบครัวที่อ่อนโยนและหวังดี ผมคิดว่าอวิ๋นหนานจะเติมเต็มตรงนี้ได้ เพราะเราเห็นแล้วว่าซือเสวียนมีปมที่พี่ชายตาย และอย่างที่บอกไปว่ามุมมองของผมที่มีต่ออวิ๋นหนาน เหมือนจะคล้ายกับเฉินซานซะมากกว่า แต่เนื่องจากเฉินซานตายแล้ว ผมเดาว่าคนที่อวิ๋นหนานจะแทรกแซงและมอบความรักแบบนี้ต่อได้ให้คล้ายกับเฉินซาน คือฮ่องเต้ เพราะซือเสวียนรับกระบี่มือสังหารแทนฮ่องเต้ มันไปพ้องกับการที่เฉินซานโดนกระบี่แทนน้องตัวเองพอดี นอกจากนี้ ในมุมของเทพสวรรค์ อี้เทียนจะฝ่าฝืนกฏแล้วไปครองคู่กับซือเสวียนที่ลดขั้นไปด้วย ผมว่าไม่แปลก เพราะสองคนนี้เหมือนคล้องกันด้วยด้ายแดง ผูกพรหมลิขิตกันมาแต่อดีตชาติ แต่อวิ๋นหนานคือตงหวาง เป็นเทพที่เป็นเจ้าวังตะวันออก อวิ๋นหนานเป็นเทพมาช้านาน เรียนรู้สรรพสิ่งและเชี่ยวชาญหลักธรรม การจะไปลงล็อกของรักหนุ่มสาวผมว่ามันผิดการบำเพ็ญเพียรที่ควรจะตัดได้มาตั้งนานแล้ว แต่มุมมองของการสั่งสอนหลักธรรม คุณธรรม มอบความรักความอ่อนโยนของครอบครัวให้กับซือเสวียน ตรงนี้เป็นมุมมองที่ผมว่ามันเหมาะกับตำแหน่งความรับผิดชอบเอื้ออารีในฐานะตงหวางมากกว่า

ผมชอบอดีตชาติมากเลยอะ ซือเสวียนโคตรน่ารัก! ไม่แปลกใจเลยทำไมอี้เทียนหลงรัก และรู้ด้วยว่าอีกฝั่งก็ชอบตอบ เลยเป็นแรงผลักดันให้ยอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้มาครองคู่กัน นิสัยน้องน่าฟัดสุดๆ ชอบมากเลยครับ เขียนดีมากเลย อย่างนี้ถ้าผมเป็นพี่ชายก็หวงตาย (หัวเราะ)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลุ้นทุกตอนค่ะ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Great General (2)




   ซื่อเสวี่ยนไม่ชอบวันเกิดของตัวเอง ทุกครั้งที่ถึงวันเกิดก็จะนึกว่าเขาเกิดมาทำไม วันเกิดอายุครบหกขวบของเขาเพิ่งผ่านไป ผู้ที่อยู่ร่วมฉลองวันเกิดของเขามีเพียงเฉินตงและลี่เหนียง พวกเขาทานอาหารเย็นด้วยกันภายใต้ความเงียบ เพราะเมื่อสองวันก่อนเป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่เฉินซานจากไป ใบหน้าของบิดาตอนที่ได้ยินเขาบอกว่าไม่ต้องฉลองวันเกิดให้ดูย่ำแย่กว่าเดิม ดังนั้นซื่อเสวี่ยนจึงเสนอให้ทานอาหารเย็นด้วยกัน บิดาค่อยถอนหายใจแล้วลูบหัวเขาเบาๆ
   เฉินตงไม่อยากให้เขาทุกข์ใจและโทษตัวเอง ซื่อเสวี่ยนเข้าใจ ดังนั้นเขาจึงไม่แสดงความทุกข์ใจให้บิดาเห็น  เขายังคงไม่เข้าใจว่าตัวเองเกิดมาทำไม และยังคงเกลียดวันเกิดของตัวเอง แต่จะพยายามทำให้ส่วนของเฉินซาน พี่ใหญ่อยากเป็นเจียงจวิน* เขาก็จะเป็นเจียงจวิน ดังนั้นของขวัญที่ซื่อเสวี่ยนขอต่อเฉินตงจึงเป็นการฝึกยุทธ์


   “ซื่อซื่อ อาจารย์บอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์”
   ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าจากตำรา ยิ้มให้กับเฉินตงเล็กน้อย “อาจารย์ชมเกินไป” ท่าทางเป็นผู้ใหญ่เกินวัยและเก็บอารมณ์ทำให้เฉินตงถอนหายใจ เขาดึงพู่กันออกจากมือเล็กแล้วอุ้มบุตรชายวัยหกขวบขึ้นนั่งบนตัก เห็นใบหน้าเล็กของซื่อเสวี่ยนฉายแววตกใจก่อนจะเก็บอาการดีใจ ไม่แสดงออกมาเกินไป ทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อคล้ายถูกความรักความเอ็นดูหลอมละลาย
   เฉินตงลูบผมสีดำนิ่มสลวยของเด็กน้อย กล่าวว่า “พรุ่งนี้ไปงานเลี้ยงบ้านสกุลหลินกับบิดา”
   ตามปกติแล้วบุตรชายที่เฉินตงพาไปงานสังสรรค์ระหว่างตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงย่อมเป็นบุตรชายคนโตเฉินซาน ถัดจากเฉินซานยังมีบุตรชายที่อายุมากว่าซื่อเสวี่ยนอีกสองคน ดังนั้นการที่เขาตัดสินใจพาซื่อเสวี่ยน ซึ่งเป็นเพียงบุตรอนุและมีอายุแค่หกปีไปงานวันเกิดของราชอารักษ์หลิน ทำให้เกิดคลื่นลมในสกุลเฉินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อมาเมื่อเฉินตงหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอนซื่อเสวี่ยน ทั้งยังพาเขาไปงานอื่นๆ อย่างออกหน้าออกตา หลายคนจึงสงสัยว่าเขามีเจตนาจะยกซื่อเสวี่ยนขึ้นเป็นทายาทสืบสกุลหรือไม่
   แต่ซื่อเสวี่ยนเป็นลูกอนุจะเป็นอุ้มชูเป็นทายาทสืบสกุลได้อย่างไร



   บ้านสกุลหลิน
   เฉินตงถูกสหายพาไปสนทนาด้านใน จึงฝากฝังซื่อเสวี่ยนไปกับซ่งฉีบุตรชายของสหาย ซ่งฉีอายุมากกว่าซื่อเสวี่ยนห้าปี ใบหน้าและกริยานุ่มนวลสมกับที่เกิดในตระกูลบัณฑิต เขาแนะนำให้ซื่อเสวี่ยนรู้จักกับคุณชายน้อยตระกูลต่างๆ หลายคน ก่อนที่จะปลีกตัวไปรับรองแขกจากตระกูลใหญ่ ซื่อเสวี่ยนจึงหามุมสงบนั่งรอเฉินตง
   เจตนาของบิดาที่อยากให้เขาคลุกคลีกับบรรดาทายาทตระกูลขุนนางนั้น เขาทราบดี แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอคนแปลกหน้าจำนวนมาก จึงอดรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยไม่ได้ หลายครั้งเขานึกถึงเฉินซาน หากมีพี่ใหญ่อยู่ด้วย จะดีเพียงใด


   “นี่”
   ซื่อเสวี่ยนหันหน้าตามเสียงเรียก ก็เห็นเด็กผู้ชายตัวสูงกว่าเขาราวครึ่งศีรษะ สวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มเนื้อละเอียด ประดับดิ้นทอง แสดงถึงสถานะของวงศ์ตระกูล ฝ่ายนั้นทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ถามเขาว่า
   “ทำไมอยู่คนเดียว”
   ซื่อเสวี่ยนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “รอบิดา”
   “ไม่มีสหาย?”
   “อืม ไม่มี”
   ฝ่ายนั้นมีสีหน้าตกใจคงเพราะไม่คิดว่าเขาจะยอมรับตามตรง ไม่โกรธ ไม่อับอายกับคำตอบของตัวเอง อันที่จริงซื่อเสวี่ยนก็รู้สึกว่าคนแปลกหน้าผู้นี้ไร้มารยาทยิ่ง ประพฤติตนแตกต่างจากที่อาจารย์เขาสั่งสอน แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่ทำให้เขาอึดอัดเหมือนบรรดาคุณชายตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ที่มักใช้สายตาแสดงถึงความแตกต่างทางฐานะและชนชั้น
   “ชื่ออะไร”
   “เฉินซื่อเสวี่ยน” ซื่อเสวี่ยนถามกลับ “เจ้าล่ะ”
   ฝ่ายนั้นมองเขาอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าจะปรากฏรอยยิ้ม แล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแผ่นหลังเหยียดตรงกว่าเดิม พยายามให้ร่างกายดูสูงใหญ่ขึ้นอีก “เรียกข้าว่าพี่อี้”


   คืนนั้นซื่อเสวี่ยนยอมเรียกอีกฝ่ายว่าพี่อี้ ไม่คาดว่าวันรุ่งขึ้น จะมีเทียบเชิญจากสกุลอี้มาถึงเขา สกุลอี้เป็นตระกูลแม่ทัพมาหลายชั่วอายุคน เจ้าบ้านสกุลอี้เป็นต้าเจียงจวิน* ถือเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทหารที่แท้จริงในมือ ประกอบกับฮูหยินเฒ่า มารดาของเจ้าบ้านสกุลอี้เป็นพระญาติของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีฐานะยิ่งใหญ่ดังอาทิตย์เที่ยงวัน เทียบเชิญของซื่อเสวี่ยนจึงเป็นครั้งแรกที่สกุลเฉินได้รับเทียบเชิญส่วนตัวจากตระกูลแม่ทัพใหญ่

   ซื่อเสวี่ยนเล่าเรื่องที่เขาพบกับ ‘พี่อี้’ ที่งานเลี้ยงบ้านสกุลหลินให้เฉินตงฟัง เฉินตงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ผูกมิตรกับคุณชายน้อยสกุลอี้แต่ก็ยังไม่วางใจ จึงไปส่งเขาที่จวนสกุลอี้ด้วยตัวเอง
   ‘พี่อี้’ มีชื่อเต็มคำเดียวว่า ‘เทียน’ บิดากล่าวว่าแค่ชื่อที่ต้าเจียงจวินมอบให้ก็พอจะเดาความสำคัญของอี้เทียนได้แล้ว เทียนแปลว่าฟ้า ต้าเจียงจวินคาดหวังให้เขาเป็นฟ้าของสกุลอี้
   เดิมที ซื่อเสวี่ยนคิดว่าอีกฝ่ายสนใจให้เขาเป็นลูกน้อง เหมือนอย่างที่คุณชายตระกูลใหญ่หลายคนมีผู้ติดตามเป็นลูกหลานของขุนนางตระกูลเล็กๆ ไม่คิดว่าอี้เทียนจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนสหายเหมือนน้องชายคนหนึ่ง ทั้งพาเขาไปเที่ยวเล่น ให้ลองกินอาหารดีๆ แบ่งของเล่นแปลกใหม่กับเขา ทุกสามสี่วันจะมาหาเขาที่บ้านสกุลเฉินหรือไม่ก็ให้คนมารับเขาไปจวนสกุลอี้ อี้เทียนไม่เคยไว้หน้าคุณชายตระกูลอื่น แต่กลับใจเย็นกับซื่อเสวี่ยนมาก ขอเพียงเขายอมเรียกว่าพี่อี้ ไม่ว่าเขาอยากได้อะไรก็ยอมยกให้ หรือหากโกรธอยู่ก็จะให้อภัยง่ายๆ
   อี้เทียนเหมือนดวงอาทิตย์ สว่างและอบอุ่น พลอยทำให้ชีวิตในแต่ละวันของซื่อเสวี่ยนค่อยๆ สดใสขึ้นไปด้วย




   ตั้งแต่เฉินซานจากไป เจินฮูหยินก็ล้มป่วย หลังจากนั้นก็อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บางครั้งเศร้าซึม บางครั้งก็อารมณ์ร้าย ทำลายข้าวของ เมื่อเห็นว่านางไม่มีทีท่าจะดีขึ้นในเร็ววัน เฉินตงจึงมอบหมายการจัดการดูแลเรื่องภายในบ้าน และร้านของสกุลเฉินให้อนุสี่ดูแลชั่วคราว อนุลี่มิใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด ครอบครัวของนางเป็นครอบครัวนักกวี ไม่มีความรู้ด้านการค้าขาย หน้าที่นี้จึงสมควรเป็นของอนุเหยาที่เชี่ยวชาญด้านนี้และเคยเป็นผู้ชายของเจินฮูหยินมาก่อน ดังนั้นแทบทุกคนคาดเดาว่าเฉินตงต้องการสนับสนุนซื่อเสวี่ยน จึงได้มอบอำนาจในการตัดสินใจเรื่องภายในบ้านให้กับอนุลี่ นอกจากนั้นแทบทุกวัน เฉินตงมักจะอยู่ทานอาหารเย็น หรือไม่ก็พักแรมที่เรือนของอนุลี่ จนเกิดเป็นข่าวลือว่าเขาต้องการยกฐานะอนุลี่ขึ้นเป็นภรรยารอง

   แน่นอนว่าเจินฮูหยินย่อมรู้สึกคับแค้นใจ นางเกลียดชังซื่อเสวี่ยนยิ่งกว่าผู้ใดในโลก จะยอมให้สองแม่ลูกมีความสุขได้อย่างไร ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งที่นางจงใจสร้างความลำบากให้ทั้งคู่ บุตรธิดาของเฉินตงคนอื่นๆ ล้วนทราบเรื่องที่เขาเป็นคนนอกสายเลือดแต่กลับได้รับความรักจากบิดา พากันเกลียดชัง ว่าร้าย บางครั้งถึงขั้นลงมือไม้ลงมือกับเขา ยังดีที่พวกเขาเกรงกลัวเฉินตง จึงไม่เคยกระทำเกินเลยจนซื่อเสวี่ยนบาดเจ็บหนัก
   ซื่อเสวี่ยนไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเฉินตง เขาคิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลเสมอ การที่เจินฮูหยินเกลียดชังเขาก็เพราะเขาทำให้พี่ใหญ่ตาย ส่วนการที่บรรดาพี่น้องไม่ชอบเขา ก็เพราะเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเฉินตง แต่ได้เรียนหนังสือ ได้รับความรักความเอ็นดูจากบิดามากกว่าพี่น้องคนอื่น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล เขาได้บางอย่างที่ไม่สมควรเป็นตัวเองมา ก็ต้องเสียบางอย่างไป   
   การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ เขาเข้าใจดี
   

   
#วิถีเซียน3p


   ………………..
เจียงจวิน = แม่ทัพ
ต้าเจียงจวิน* = แม่ทัพใหญ่ = เจ้าบ้านสกุลอี้ พ่อของอี้เทียน



ปล. คุณ Grey Twilight วิเคราะห์ได้สุดยอดเลยค่ะ เอาจริงๆ ลึกซึ้งว่าที่เราคิดไว้อีก ฮ่าๆ ขอบคุณมากค่ะ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ FiZZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
สนุกมากกกก น้องน่ารักเกินนน

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ตอนนี้เราอยากรู้เหตุผลที่เจ้าแม่เข้ามาแทรกแซงเรื่องของจิวซือจัง เพราะอะไรนางถึงทำแบบนี้

ปล.ชอบการวิเคราะห์ของคุณ Grey Twilight มากค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด