{เรื่องสั้น} E I L V (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {เรื่องสั้น} E I L V (จบ)  (อ่าน 6905 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
{เรื่องสั้น} E I L V (จบ)
« เมื่อ20-01-2019 17:55:31 »

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนYออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

★*... ...*★ ★*... ...*★ ★*... ...*★

★*... ...*★ ★*... ...*★ ★*... ...*★

เราทุกคนต่าง ‘ซ่อน’ ใครบางคนเอาไว้ทั้งนั้น
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 23:56:41 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - I: VEIL [20.1.19]
«ตอบ #1 เมื่อ20-01-2019 17:57:24 »

E I L V

 
I: VEIL

   เขาเกลียดกรูเม่ต์พารากอน

   ไม่ใช่เพราะนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินขวักไขว่

   ไม่ใช่เพราะสินค้าราคาโปรโมชั่นที่เล็งเอาไว้วันก่อนหมดไปแล้ว

   ไม่ใช่เพราะนิสิตในชุดนักศึกษาที่เพิ่งเดินชนเพราะเอาแต่ก้มหน้ามองสมาร์ตโฟน

   แต่เพราะชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนเลือกซื้อผลไม้อยู่ตรงนั้นต่างหาก

   ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอีกสักพักใหญ่โดยไม่เบนสายตาไปทางอื่น ตำแหน่งที่ยืนอยู่ตอนนี้เป็นจุดที่ไม่ถึงกับอับแต่หากมองจากมุมนั้นแล้วคงเห็นแค่ศีรษะ กระทั่งจุดโฟกัสทั้งสองหายเข้าไปในล็อกชั้นวางของหนึ่งถึงเม้มริมฝีปากให้พอมั่นใจได้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่

   ความตื้อข้างในหัวมีมากเสียจนต้องก้าวเท้ายาวกลับไปทางลานจอดรถในชั้นเดียวกัน เดินย้อนตามทางที่เพิ่งผ่านมาเมื่อสักชั่วโมงที่แล้วจนเจอกับรถยนต์สี่ประตูที่ตนเองเป็นเจ้าของ นั่งลงตรงตำแหน่งคนขับโดยไม่ลืมล็อกอะไรให้เรียบร้อย สูดหายใจเข้าไปลึกด้วยความหวังว่ามันจะช่วยดึงสติได้ หากพอหายใจออกก็กลับไปฟุ้งซ่านเช่นเดิม

   เขาไม่ตั้งคำถามว่าเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่

   เพราะมันเกิดขึ้นไปแล้ว

   ต่อจากนี้ควรเป็นอย่างไรต่างหาก

   เริ่มรู้สึกว่ารถมันร้อนก็เลยเหยียบคันเบรกเตรียมสตาร์ตเครื่อง ตัดสินใจเอาว่ากลับห้องก่อนแล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันใหม่ อย่างน้อยการขับรถมันอาจจะทำให้เขามุ่งความสนใจกับการจราจรแสนน่าหงุดหงิดกลางเมืองมากกว่าล่ะมั้ง

   หากยังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่าง เสียงเคาะกระจกข้างก็เล่นเอาสะดุ้งโหยง สิ่งที่นิรชาเห็นด้านนอกกระจกเคลือบฟิล์มดำคือผู้ชายคนหนึ่งยืนตัวตรง ไม่ได้ดูคุกคามแต่ก็ยังคงน่าสงสัยว่าทำอะไร

   ได้ยินข่าวเรื่องมิจฉาชีพมาเยอะแยะจนว้าวุ่นไปก่อน พอยังไม่ได้จุดเครื่องก็เลยไม่สามารถพุ่งรถออกไปได้ อะดรีนารีนที่สูบฉีดเข้าไปพร้อมกับความสับสนล้านแปดทำให้หัวใจเต้นเร็วรัวเสียจนน่ากลัว นี่ชีวิตเขาต้องมาเจอกับอะไรที่น่าระทึกใจติดต่อกันอย่างนี้เลยเหรอ

   พอมีเสียงเคาะประตูอีกครั้งก็คิดว่าไม่น่าจะปลอดภัยแล้ว เปลี่ยนใจเตรียมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครสักคนที่เป็นสายโทรออกล่าสุด

   “...”

   คนด้านนอกขยับปากเอ่ยอะไรบางอย่างที่ฟังไม่เข้าใจ หากเมื่อมือข้างหนึ่งยกถุงผ้าลายคุ้นขึ้นมาเหนือมุมอับจึงพ่นลมหายใจโล่งอกออกมาได้

   ต่อให้จุดประสงค์สำหรับการเคาะกระจกจะมาดีมากกว่าร้ายก็ไม่ได้หมายความว่าจะเชื่อใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นิรชาเพียงลดกระจกลงเล็กน้อย พอให้สามารถมีบทสนทนาที่ตอบโต้กันได้ในเบื้องต้น

   “คุณลืมของครับ”

   “อ่า...ขอบคุณครับ”

   คงไม่มีอะไรน่ากังวลแล้วก็เลยลดกระจกลงจนเกือบสุด รับถุงผ้าสีครามที่ใส่พวกของใช้ส่วนตัวจากการจับจ่ายเมื่อชั่วโมงที่แล้วมาวางเอาไว้ตรงเบาะด้านข้างตัวเอง ตั้งใจว่าจะกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งแล้วก็จบกันไปเสียที

   “...”

   หากมือขวาของพลเมืองดีแปลกหน้าที่วางเท้าอยู่กับขอบกระจกกลับทำให้แผนที่วางไว้ล่มไม่เป็นท่า

   “...ครับ?”

   หรือว่าอยากจะได้เงินตอบแทน ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็พร้อมจะให้นะ เพราะว่าตอนนี้อยากกลับบ้านเต็มทน

   คนฝั่งนอกของรถยนต์โน้มตัวเข้ามาใกล้ แสงจากหลอดไฟด้านบนขับให้สีดำของนัยน์ตาคู่นั้นชัดเจนเหลือเกิน นิรชาหลุบตาลงมาเพื่อให้ดึงสติให้กับตัวเอง แต่มันเหมือนจะแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาพบรอยยิ้มมุมปากแสนอบอุ่นจนลมหายใจขาดช่วง

   “ต้องการคนรับฟังหรือเปล่าครับ?”
 


   “สรุปแล้วก็คือคุณเจอแฟนของคุณเดินอยู่กับผู้หญิงคนอื่น”

   “น่าจะเป็นอย่างนั้น”

   “อ้าว”

   “อยู่ดีๆ ผมก็คิดว่าคนนั้นอาจเป็นแฟนแล้วผมเป็นคนอื่นก็ได้น่ะ”

   นิรชาตอบตามที่คิด เปิดสัญญาณเลี้ยวซ้ายเตรียมพร้อมสำหรับการตบรถออกจากถนนเส้นหลักไปตามทางลัดที่ใช้ประจำ จะว่าไปแล้วนี่เขาทำบ้าอะไรอยู่เนี่ยถึงยอมให้คนแปลกหน้าขึ้นมานั่งในรถแถมปลายทางตอนนี้ยังเป็นคอนโดที่พักของตัวเองอีก

   “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

   “อะไรก็เกิดขึ้นได้นี่”

   ‘คนรับฟัง’ ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีจนเขาอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่ตอนที่ผงกหัวตกลงแล้วอีกคนก็เดินอ้อมขึ้นมานั่งในตำแหน่งข้างคนขับ เราเริ่มการสนทนาโดยไม่มีการแนะนำตัวใด พลเมืองดีที่ยังไม่รู้จักชื่อเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าตอนนั้นเห็นเขารีบเดินจนลืมหยิบถุงผ้าข้างตัว ตามด้วยการไถ่ถามว่าเพราะอะไรถึงรีบร้อนออกไปขนาดนั้น

   ด้วยนิสัยส่วนตัวแล้วความจริงนิรชาชอบเก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัวเป็นส่วนใหญ่ สงสัยเหมือนกันว่ามันเครียดจนไม่อยากจะเก็บเอาไว้หรือเพราะอะไรเขาถึงกล้าเล่ามันออกไปจนครบทุกช็อตที่เห็นกับตา

   มันเริ่มจากการที่เขาตรวจไซต์งานเสร็จเร็วกว่าที่คาดเอาไว้มากพอสมควร ก็เลยตัดสินใจเข้าเมืองมาซื้อของที่จำได้ว่ามีคนแชร์เกี่ยวกับโปรโมชั่นลดราคาเอาไว้ น่าสงสารที่นอกจากตัวเองจะไม่ได้ของแล้วยังต้องมาเห็นอะไรที่ไม่ควรเข้าอีก

   ภาพที่เห็นจากมุมของคนภายนอกมองยังไงชายหญิงสองคนนั้นก็ไม่พ้นคู่รักที่ออกมาจับจ่ายซื้อของกันตามประสา ท่าหยอกล้อที่แสดงออกมาคงทำให้คนอื่นมีความสุขตามได้ไม่ยาก คงมีแต่เขาเท่านั้นแหละที่เห็นภาพนั้นแล้วชาไปทั้งร่างกาย

   “อันนี้ไม่เถียง”

   “ตลกดีเนอะ”

   “ถ้าไม่ขำก็อย่าฝืนเลยคุณ”

   เก็บความประทับใจในเรื่องเล็กน้อยเอาไว้ใต้รอยยิ้มจาง “แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาเสียใจเหมือนกัน”

   “ทำไมล่ะ”

   “เสียดายเวลามั้ง”

   อาจเป็นคนที่มีมุมมองประหลาดไปเสียหน่อย นิรชาน่ะเป็นพวกชอบมองอนาคตข้างหน้ามากกว่าหนึ่งสเต็ปเสมอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาคิดตอนนี้คือถ้าเอาแต่ฟูมฟายเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วนอกจากจะไม่ทำให้มีอะไรดีขึ้นมาแล้วมันน่าจะแย่ลงกว่าเดิม

   “อะไรจะบริหารเวลาให้คุ้มค่าขนาดนั้น”

   “หรือคุณคิดว่าผมควรคร่ำครวญกับมันงั้นสิ?”

   กดแตรไล่ให้รถคันหน้าขยับไปอยู่เลนกลางถ้าจะขับช้าขนาดนี้ มันเป็นข้อควรรู้พื้นฐานว่าเลนขวาสุดน่ะเอาไว้สำหรับทำความเร็ว พอทางข้างหน้าโล่งขาขวาจึงเหยียบคันเร่งให้มิดกว่าเดิม

   “ไม่ได้บอกอย่างนั้น” เหลือบมองคนที่ไม่เปลี่ยนอาการกับการเร่งความเร็วขึ้นกะทันหัน ทั้งน้ำเสียงและหน้าตายังคงเดิมเอาไว้ไม่มีเปลี่ยน “แต่คนเราควรเสียใจเป็นนะ”

   “ผมก็เสียใจอยู่”

   “หมายถึงแสดงออกมา”

   “...”

   หนึ่งสิ่งที่สะกิดใจคือผู้ชายคนนี้อ่านใจคนอื่นออกหรืออย่างไร ตอนตามเอาของที่ลืมไว้มาให้รอบหนึ่งแล้ว นิรชาเผลอเม้มปากเล็กน้อยระหว่างวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งหมด ความคิดด้านลบหายไปเกือบทั้งหมดหลงเหลือเพียงความลังเลใจว่ามันควรดำเนินไปทางไหนต่อ

   “โอ๊ะ ลืมไปว่าผมเสนอตัวมาเป็นคนรับฟัง”

   “ไม่เป็นไร” รีบออกตัวก่อนกันเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ตอนนี้เขาเลี้ยวเข้ามาในส่วนพื้นที่ส่วนบุคคลของคอนโดเรียบร้อยแล้ว ที่จอดประจำยังคงเว้นว่างเอาไว้เพราะต้องขับเข้ามาค่อนข้างลึก และคนในตึกนี้มีนิสัยชอบจอดในตำแหน่งเดิมซ้ำๆ เหมือนกันหมด “นอกจากฟังแล้วมาช่วยคุยก็ดีเหมือนกัน”

   “ดีใจที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นครับ”

   มองภาพจากจออีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าจอดเข้าซองได้สวยงามไม่เบียดกินที่คนอื่น หันมาเอียงคอให้คนทางซ้ายเป็นเชิงถาม “คุณเคยคิดว่าตัวเองแปลกไหม?”

   เขายกไหล่ขึ้นเล็กน้อย “ไม่นะ”

   “แล้วการที่คนแปลกหน้ามานั่งคุยกันในรถตลอดทางอย่างนี้ล่ะ”

   “ก็ไม่เท่าไหร่นะ”

   อืม ก็เป็นคำตอบที่ดูแล้วเข้ากับสถานการณ์ของเราดี

   เดินลงมาจากรถโดยที่คนรับฟังอาสาเป็นคนถือถุงผ้าเจ้าปัญหาเอาไว้ให้ ล็อกรถอะไรให้เรียบร้อยแล้วเดินนำไปยังทางขึ้นตึก ระบบรักษาความปลอดภัยทำให้ต้องใช้บัตรตั้งแต่ทางเข้าหลัก และนั่นหมายความว่าเราได้เวลาบอกลากันแล้ว

   “ผมมีคำถาม...ที่น่าจะแปลกนิดหน่อย”

   หันมาประชันหน้าโดยเว้นระยะห่างเอาไว้พอดี ความสูงที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปคุย เขาไม่ได้สนใจพอที่จะเก็บรายละเอียดบนใบหน้าคนแปลกหน้าที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อทั้งหมด เอาเท่าที่บอกได้คือตาสวยแล้วบุคลิกดูอบอุ่นดี

   “ว่า”

   “มันรู้สึกแบบไหนเหรอ เวลาที่เรา ‘ซ่อน’ ใครบางคนเอาไว้น่ะ”

   ยิ้มเล็กตรงมุมปากนั้นแปลได้หลายอย่างเหลือเกิน

   “ถ้าอยากรู้ก็ลองทดสอบกันไหมล่ะ?”
 


   โดยทั่วไปแล้วชีวิตในวันเสาร์ช่วงบ่ายของนิรชามักหมดไปกับการจัดเก็บห้องให้เรียบร้อย เขาก็เลยไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าตอนนี้ทำไมตัวเองถึงต้องมานั่งเฝ้าคนตรวจข้อสอบมิดเทอมอย่างนี้ด้วย

   อาจารย์ฐิติ ภาควิชาสถิติ

   นามสกุลจำไม่ได้เพราะไม่มีเวลาอ่านป้ายตรงหน้าห้องนานขนาดนั้น คือตอนแรกที่ชวนออกมาคลายเครียดก็เข้าใจว่าคงเป็นการดูหนังฟังเพลงเที่ยวเล่นตามประสาคนเมือง ไหงพอมาถึงตามที่นัดหมายแล้วมันกลับกลายเป็นส่วนตึกของคณะวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปได้ก็ไม่รู้

   จะว่าผิดที่เขาเองก็ส่วนหนึ่ง ตอนที่ได้โลเคชันมาแล้วก็เอาแต่เช็กว่ามันเดินทางจากบ้านไปสะดวกไหม ต้องผ่านถนนที่ควรเลี่ยงไหม พอคำนวณเส้นทางแล้วก็ตอบตกลงไปง่ายๆ และเพิ่งมาคิ้วขมวดเอาเมื่อเช้าตอนที่เตรียมออกรถแล้วนั่นแหละ

   นัดเจอกันตรงด้านหน้าสวนเพื่อพบกับผู้นัดหมายในชุดที่ดูไม่ได้เป็นทางการเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังคงความสไตล์ส่วนตัวเองไว้ได้อย่างเช่นรองเท้าหนังลำลองหุ้มส้น ส่วนเสื้อนั้นเป็นแบบโปโลกับกางเกงขาสามส่วนที่ใช้โทนสีคล้ายคลึงกัน

   เราไถ่ถามเกี่ยวกับสารทุกข์สุกดิบเล็กน้อยระหว่างการเดินเข้ามาข้างใน วันหยุดทำให้ตึกใหญ่ดูเงียบเหงากว่าที่ควรจะเป็น และนิรชาก็เริ่มตงิดใจตอนที่อีกฝ่ายกดลิฟต์เตรียมขึ้นไปบนอาคาร

   จากนั้นการทักทายแม่บ้านตรงโต๊ะต้อนรับก็ทำเอาทุกอย่างกระจ่างแบบที่ไม่ต้องสืบหาอะไรกันอีก คนแต่งตัวตามสบายอย่างเขาอดเกร็งไม่ได้เมื่อได้ข้อสรุปให้กับตัวเอง ยิ่งตอนเดินไปตามทางแล้วได้ยินแค่เสียงรองเท้าของตัวเองกระทบกับพื้นก็ยิ่งแล้วใหญ่

   เข้ามาในห้องแล้วก็อธิบายสั้นๆ แค่ว่าเดี๋ยวขอเวลาตรวจข้อสอบเด็กก่อน หลังจากนั้นค่อยออกไปหาอะไรทานกัน เสียงกดปลายปากกาลูกลื่นไปกับส่วนต่างๆ ของกระดาษดังไม่ต่อเนื่องกันเป็นจังหวะชัดเจน บางทีก็ลากยาวหรือบางครั้งก็แค่เป็นการติ๊กถูกสั้น เขามอง ‘อาจารย์' ทำหน้าเคร่งกับกระดาษแล้วก็เปลี่ยนไปหมุนเก้าอี้เพื่อสำรวจรอบห้องแทน

   ใครจะไปกล้าชวนคุยกัน

   รูปแบบการดำเนินแตกต่างไปจากแพทเทิร์นที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรกทำให้นิรชาเลิกคิดว่ามันแปลกหรือไม่แปลกไปแล้ว เอาเป็นว่าเครื่องปรับอากาศในห้องนี้ก็เย็นดีแล้วหนังสือน่าอ่านก็เต็มชั้นวางไปหมดก็แล้วกัน

   แอบสงสัยเหมือนกันว่าทำไมห้องของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต้องตกแต่งด้วยชั้นวางที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือขนาดนี้ อย่างภาพแรกที่เห็นตั้งแต่เข้ามาก็คือห้องสี่เหลี่ยมที่มีพื้นที่พอสมควรไม่ได้ดูอึดอัดจนเกินไป มีกองกระดาษที่ไม่ได้รับการจัดเรียงให้เรียบร้อยอยู่นิดหน่อยบนโต๊ะ ส่วนที่เหลือเรียกได้ว่าสะอาดเชียวล่ะ

   ได้รับอนุญาตตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าอยากอ่านเล่มไหนก็หยิบได้เลย คนที่วันๆ เอาแต่คำนวณเกี่ยวกับเส้นการเดินทางของไฟฟ้าก็เลยขยับตัวช้าไม่ให้รบกวนเจ้าของห้องไปทางตู้ริมสุดติดประตู ไล่ดูจากชั้นวางตรงระยะสายตาแล้วจึงเลื่อนไปยังชั้นวางถัดไปเพื่อพบว่ามันคือหนังสือภาษาต่างประเทศเล่มหนาที่ดูวิชาการสุดขอบโลก

   ผ่านมาถึงชั้นวางที่สามจึงได้เห็นหมวดหมู่ที่ดูเป็นมิตรกับตนเองมากกว่า หนังสือแนวรวบรวมประวัติศาสตร์รอบโลกและรวมบทความวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองของนักวิชาการและอาจารย์คือสองสิ่งที่เขากำลังชั่งใจอยู่ในเวลานี้ นี่ถ้าหลังจากนี้ใครบอกว่าเราสามารถรู้จักตัวตนจากหนังสือที่อ่านเขาจะลองยกตัวอย่างผู้ชายคนนี้ซะ
   
   แล้วจะรอดูว่าใครจะ ‘อ่าน’ อาจารย์ฐิติได้

   ไม่ใช่สายอินเนอร์รักชาติจนหัวดื้อ ที่เลือกเอาเล่มวิจารณ์บทบาทและหน้าที่ของรัฐบาลมาอ่านก็เพราะอยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในเป็นอย่างไร สารภาพเลยก็ได้ว่าไม่เคยมีความคิดที่จะหยิบอะไรทำนองนี้ขึ้นมาอ่านปกหลังเสียด้วยซ้ำ

   “โอ๊ะ?”

   “ครับ?” เอียงคอถามยามเดินกลับมานั่งประจำตำแหน่งพร้อมกับของเล่นใหม่ “เล่มนี้ห้ามหยิบเหรอ”

   “เปล่า แค่แปลกใจ”

   “ดีใจที่เป็นฝ่ายทำให้คุณแปลกใจบ้าง”

   เสียงหัวเราะเพียงเล็กน้อยเป็นตัวแปรที่ทำให้บรรยากาศในห้องดูสดใสขึ้นทันตา “นึกว่าจะหยิบพวกนิยายสืบสวนตรงนั้นมา”

   ไม่ได้ต่อบทสนทนาด้วยเสียง นิรชาก้มลงมาชื่นชมการออกแบบหน้าปกของหนังสือบนตัก ไล้ปลายนิ้วไปตามตัวอักษรปั๊มฟอยล์สีเงินตัดกับพื้นหลังสีกรมท่า ส่วนรูปภาพที่ใส่มาด้วยนั้นเป็นการตัดแปะเหตุการณ์ทางเมืองจากหน้าหนังสือพิมพ์ให้กลายเป็นละครเรื่องใหม่ ตัวเลขบอกปีที่พิมพ์บนนั้นคือเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว ถึงว่าทำไมดูไม่โบราณในความรู้สึก

   “ผมยังต้องตรวจอีกเยอะเลย ถ้าอยากกินพวกกาแฟออกไปชงเองได้เลยนะที่ห้องกลาง วันนี้ไม่มีใครมาทำงานหรอก”

   ยังคงพินิจว่ามันประกอบด้วยเรื่องราวจากช่วงเวลาใดบ้าง ถึงจะบอกว่าไม่ใช่สายอินการเมืองแต่มันก็ต้องเคยผ่านตามาบ้างล่ะ อาจจะเป็นจากหนังสือเรียนหรือไม่ก็บนโลกออนไลน์ที่เพื่อนแชร์กันมา

   “ไม่เป็นไร แค่น้ำเปล่าก็พอ” ในห้องพักมีขวดน้ำตรามหาวิทยาลัยวางเรียงอยู่สามสี่ขวดบนโต๊ะทำงาน นิรชากระตุกยิ้มร้ายขึ้นมายามนึกบางอย่างได้ “กันเอาไว้ดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นจะรู้ว่าอาจารย์ฐิติ ‘ซ่อน’ ใครเอาไว้ในห้อง”

   คราวนี้เสียงหัวเราะแบบเดียวกันกลับทำให้อุณหภูมิในห้องดูเย็นเยียบลงไปหลายเท่าตัว เก็บความเสียดายเอาไว้ข้างในเพราะดันหวังไปว่าจะได้เห็นอะไรแปลกๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา อาจารย์ในภาควิชาสถิติยังคงแย้มยิ้มละไมแถมยังยอกย้อนหน้าตาเฉย

   “ใครซ่อนใครกันแน่?”

   “...”

   กลายเป็นว่ามันจี้จุดบางอย่างข้างในให้ดิ่งลึก นิรชาแสร้งเปลี่ยนจุดสนใจไปยังเนื้อหาด้านในของหนังสือตรงตัก เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยยามพบว่าหน้ารองปกนั้นมีข้อความและลายเซ็นต์กินที่เกือบครึ่งหน้าเขียนด้วยปากกาหมึกซึมสีดำสนิท

   “ให้ฐิติ ...อ่านแล้วส่งคำวิจารณ์กลับมา ...ขอโทษที”

   พอนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตรวจข้อสอบอยู่ก็เลยต้องรีบกล่าวคำขอโทษ เจ้าของหนังสือดูจะรับมือกับสถานการณ์ได้ไม่ดีเท่าไหร่ถึงทำหน้าสงสัยแบบที่มือก็ยังค้างเอาไว้ในท่าตรวจข้อสอบเช่นเดิม

   “ขอโทษทำไมครับ?”

   “ผมลืมไปว่าคุณทำงานอยู่”

   “อ้อ ไม่เป็นไรๆ”

   “จะอ่านเงียบๆ ล่ะ สัญญา”

   “ไม่ต้องถึงขั้นยกสามนิ้วก็ได้” ก็มันเผลอทำตามความเคยชินน่ะสิ เป็นการแสดงออกเสริมว่าเขาตั้งใจจะไม่ทำอีกแล้วจริง “อย่าไปชูแถวม็อบนะครับ เดี๋ยวโดนรวบไม่รู้ตัว”

   “ปกติแล้วทุกคนเรียกคุณว่าฐิติเหรอ”

   เพื่อไม่ให้เรื่องราวมันออกนอกทะเลจนเกินไปก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยหน่อย อันนี้เขาสงสัยเพราะว่าขนาดในหนังสือก็ยังเขียนด้วยชื่อจริงเลย

   “เกือบหมดนะ ยกเว้นพวกเพื่อนที่ต่างประเทศเรียกธีโอ”

   ผงกหัวรับทราบ พวกอาจารย์ก็น่าจะเคยไปเรียนต่อต่างประเทศกันทั้งนั้นแหละ “งั้นเรียกฐิตินะ ส่วนผมเรียกว่านินก็ได้”

   น่าจะเป็นความประหลาดอย่างที่ล้านตรงที่เราเพิ่งจะมาแนะนำชื่อกันจริงจังก็ตอนนี้ เวลาคุยในไลน์มันเป็นชื่อจริงแบบภาษาอังกฤษก็เลยไม่กล้าอ่านออกเสียงเอาเอง คราวนี้ล่ะจะได้เรียกชื่อได้อย่างสบายใจแล้ว

   “ครับผม”

   ได้เวลาพอสมควรก็ต้องส่งคนมีหน้าที่กลับไปทำงาน ตัวนิรชาเองก็ก้มลงมาอ่านข้อความจากผู้เขียนที่ส่งตรงถึงเจ้าของต่อจนจบ ดูทรงจากวิธีการเขียนที่ไม่เป็นทางการแถมยังมีการกระแหนะกระแหนพอขำขันสามารถให้ข้อสรุปได้ว่าน่าจะรู้จักกันดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ

   แน่นอนว่าไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องไปตามเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าสนิทกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน พลิกต่อไปจนเจอกับสารบัญบอกเลขหน้าที่ดูละลานตาไปด้วยคำศัพท์ประดิษฐ์ที่ต้องมาแปลไทยเป็นไทยอีกที สุ่มเลือกเป็นช่วงกลางของเล่มเพราะว่าดูชื่อหัวข้อแล้วน่าสนุกที่สุดจากการไล่อ่านหนึ่งรอบ

   สะดุดไม่น้อยเชียวล่ะพอเปิดออกมาแล้วเจอปากกาไฮไลต์ขีดเป็นช่วงทั่วหน้ากระดาษ มีลายมือลากลูกศรเขียนกำกับเอาไว้ปนกันทั้งไทยและอังกฤษ จากที่คิดว่าจะอ่านเนื้อหาก็เลยกลายเป็นสนุกกับการไล่ดูวิธีการตั้งคำถามในแต่ละจุด บางคำถามก็เข้าใจได้ส่วนที่เหลือบอกเลยว่าออกนอกจักรวาลไปแล้ว

   คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับสถิติจะมีมุมมองด้านสังคมที่ซับซ้อนได้เท่านี้ คือบางประโยคที่ถ้าเป็นเขาเองคงอ่านเพียงผ่านก็ยังมีการแยกออกมาเป็นหัวข้อย่อย นี่คือเพื่อนให้วิจารณ์ก็จัดเต็มไม่มีกั๊กเลยแฮะ

   เพราะมันควรแอบซ่อนเอาไว้?

   “...”

   ทั้งหน้ากระดาษไม่มีการขีดเขียนไฮไลต์เช่นเดียวกับแผ่นอื่น แถมยังมีการวงกลมซ้ำๆ ตรงข้อความช่วงหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับการเก็บรักษาข้อมูลของทางรัฐบาลทั้งที่บางอย่างมันควรจะเผยแพร่ต่อสาธารณะชน เท่าที่ลองกรีดเล่มผ่านตายังไม่เคยมีจุดไหนที่ใช้รูปแบบเดียวกันในการขีดใจความสำคัญและตั้งคำถาม

   เก็บความสงสัยเอาไว้คนเดียวพลางปลอบว่ามันอย่าไปยุ่มย่ามอะไรในเรื่องที่เป็นส่วนตัวมากนัก เปิดดูต่อไปจนเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆ

   “เพื่อนคุณคงด่าเปิง” โชว์หน้าที่กำลังอ่านอยู่ขึ้นสูงระดับสายตาอีกฝ่าย อันนี้ถือว่าเด็ดอยู่เพราะมีทั้งการเน้นข้อความ ขีดฆ่า แล้วก็เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ “ผมไม่อยากคิดเวลาคุณเป็นกรรมการธีสิสเลย”

   “ก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะ ...มั้ง”

   “แสดงว่าใจร้ายจริง”

   ส่งสายตารู้ทันไปให้ ปิดหนังสือลงเตรียมเก็บมันไว้กับชั้นวางตามเดิม นาฬิกาแบบแขวนกำแพงบอกว่าตอนนี้เกือบห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว นี่เขาหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกของแท้

   “ไม่แก้ต่างดีกว่า ให้คุณรอพิสูจน์เอง”

   “ก็ว่าไปนั่น แล้วเพื่อนคุณว่ายังไงบ้างเจอเข้าไปขนาดนี้”

   “ยังไม่ได้ให้เลยครับ”

   “อ้าว?”

   “พอกลับมาทวนเองแล้วผมคิดว่าบางข้อความมันไม่น่าให้เขาได้อ่านน่ะ”

   “อืม...” ตามจริงแล้วมันมีอะไรบางอย่างผุดขึ้นมา แต่เขารู้ตัวดีว่าไม่ควรพูดมันออกไป “นี่ผมก็มีข้อความที่รู้สึกว่าไม่ควรให้คนอื่นได้อ่านเหมือนกันแหละ”

   “หมายถึง?”

   เรายังคงคุยกันไม่ขาดช่วงในเวลาที่ฐิติสาละวนกับการเก็บของทุกอย่างให้เข้าที่ กระดาษคำตอบทั้งหมดถูกนำใส่ซองวางเอาไว้ในจุดที่สังเกตง่ายเตรียมเอาไว้สำหรับส่งให้ฝ่ายทะเบียนกรอกคะแนนลงไปในเช้าวันจันทร์

   “แฟนผมเขาส่งมาถามว่าทำอะไรอยู่ แล้วผมก็อยากจะส่งกลับไปถามว่าคุณต่างหากที่ทำอะไรอยู่”

   “ไม่ควรให้คนอื่นอ่านจริงด้วย”

   “แต่คิดอยู่ว่าส่งรูปนี้ไปดีไหม”

   หยิบโทรศัพท์ออกมาโชว์รูปที่ว่า เป็นภาพช่วงหน้าตักของเขาที่มีหนังสือเล่มหนาเปิดค้างเอาไว้ตรงหน้าที่ไม่มีรอยขีดเขียนใด จัดองค์ประกอบโดยรวมให้ดูไม่ออกว่ากำลังอยู่ที่ไหน...หรือว่าอยู่กับใคร

   “ก็ส่งไปสิ ไม่เห็นมีอะไรเลย”

   “อยู่ดีๆ ก็ไม่กล้าน่ะ” น่าจะเป็นประเภทที่มองว่ามนุษย์นั้นควรจะดำรงเอาไว้ซึ่งความดี และสิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันเป็นเรื่องผิด “กลัวอะไรก็ไม่รู้”

   “ลองทำอย่างนี้ไหมล่ะ หลับตาแล้วกดส่งไปเลย”

   นอกจากจะไม่มีการห้ามปรามแล้วยังแนะนำวิธีการที่ไม่ค่อยดีอีกต่างหาก จากที่นั่งกันอยู่คนละฝั่งของโต๊ะตัวใหญ่ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นขยับมานั่งตรงมุมขอบโต๊ะที่ติดกับเก้าอี้นวมของเขา สาธิตการปิดตาแล้วทำมือเหมือนกดส่งบางอย่างกลางอากาศ

   กลั้นขำเอาไว้ก่อน รู้สึกอารมณ์ดีจนความกังวลแรกเริ่มหายไปแทบทั้งหมด นิรชาปล่อยความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดไว้ข้างหลัง จัดแจงเข้าไปตามคำสั่งส่งภาพจัดถึงขั้นตอนสุดท้าย เล็งเอาไว้ให้เรียบร้อยว่าไม่มีทางผิดตำแหน่งจึงปิดตาลงแล้วจัดการกดลงไปทันที

   ...

   คงเป็นเพราะหลับตาอยู่ สัมผัสหยุ่นบางเบาตรงริมฝีปากที่ได้รับจึงชัดเจนกว่าที่ควรจะเป็น

   “เห็นไหม ไม่มีอะไรสักหน่อย”


***
   เป็นอะไรที่แต่งยากเหมือนเดิมเลยค่ะ (หัวเราะ) สวัสดีสำหรับเรื่องสั้นประจำปี 2019 นะคะ
   #อีไอแอลวี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2019 23:24:09 โดย 23August »

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - I: VEIL [20.1.19]
«ตอบ #2 เมื่อ20-01-2019 19:26:09 »

งื้อ..ขอต่ออีกนิดนึงนะค้าชอบจังขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - I: VEIL [20.1.19]
«ตอบ #3 เมื่อ20-01-2019 21:21:48 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - I: VEIL [20.1.19]
«ตอบ #4 เมื่อ20-01-2019 23:53:52 »

น่าติดตามค่ะ อาจารย์กับคุณวิศวกร(รึเปล่า) สนุกดีค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - II: LIVE [24.1.19]
«ตอบ #5 เมื่อ24-01-2019 20:40:29 »

II: LIVE


   คุณรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองกำลังตื่นอยู่

   แล้วรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่

   “อาจเป็นตอนที่เรา ‘รู้สึก’ ถึงบางอย่างได้มั้ง”

   “เช่น”

   “รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกดีใจ หรือไม่ก็รู้สึกเสียใจ”

   “คนเราต้องตั้งคำถามให้กับชีวิตขนาดนี้เลยเหรอ”

   “เราเกิดมาเพื่อตามหาความหมายให้กับมันไง”

   “สำหรับผมเราเกิดมาเพื่อตาย”

   นิรชาตอบกลับหน้านิ่ง สายตายังคงไล่ตามอ่านคำอธิบายของผลงานศิลปะด้านหน้าในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษอีกครั้งเพื่อการเปรียบเทียบเนื้อความที่ตั้งใจจะสื่อออกมา ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็บอกได้เลยว่าไม่มีความเข้าใจใดๆ เพิ่มขึ้นมาเลย

   “จะเป็นคนที่มองการณ์ไกลเกินไปแล้วมั้ง”

   “ผมคิดว่าเราควรจะหัดมองภาพอนาคตที่ไกลมากกว่าหนึ่งสเต็ปให้ชินอะ พวกโลจิกพื้นฐานอะไรอย่างนี้”

   ติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่สมัยมัธยมลากยาวจนทำงานทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม อาจจะหย่อนความเคร่งลงมาหน่อยตอนที่พบว่าคนที่ใช้ชีวิตร่วมในสังคมเดียวกันไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เขาคิดว่ามันควรจะเป็นได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นคนที่เคยตรงต่อเวลามักจะเสียนิสัยนั้นไปเมื่อต้องอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่รักษาเวลานั่นแหละ

   “ก็ใช่อยู่แหละ ...คุณชอบงานศิลปะเหรอ?”

   คนข้างกายในวันนี้มาในลุคของอาจารย์เต็มตัวไม่มีการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใด ก็ไม่น่าแปลกหรอกเพราะเขาเพิ่งส่งข้อความไปชวนเมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว
   
   ทั้งที่ทำตัวเป็นคนเอาแต่ใจใช่ย่อย ก็ไม่ยักกะเห็นว่าจะออกอาการไม่พอใจอะไรสักอย่าง

   “อือ แต่ว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้มาเดิน”

   ทั้งตัวงานที่บางครั้งก็ไม่สามารถจัดการให้เสร็จภายในเวลาเลิกงานตามสัญญาได้ ไม่ชอบมาวันหยุดเพราะว่าคนจะเยอะแยะเต็มไปหมด แล้วก็ยังมีเงื่อนไขบางอย่างที่ย้อนแย้งในตัวอีก

   “ทำไมล่ะ? ที่นี่ก็ไม่ได้ไกลจากคอนโดคุณเท่าไหร่นะ”

   “ชอบเดินดูคนเดียวแต่ต้องมีคนมาด้วย”

   ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฐิติฟัง ต่อให้มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่เล่าออกไปแล้วดูงี่เง่าไร้สาเหตุก็ตาม

   “เข้าใจได้”

   “จะว่าไปบ้านของคุณอยู่ที่ไหนเหรอ หลังจากที่แยกวันนั้นคุณกลับยังไง”
   
   “อยู่แถวนี้แหละ” ชื่อที่เขาบอกหลังจากนั้นคือคอนโดกลางเมืองที่ราคาสูงระยับ “นั่งบีทีเอสแป๊บเดียวเอง”

   หยุดการเดินชมงานไว้ชั่วคราว หันทั้งตัวไปทางซ้ายพร้อมเครื่องหมายคำถามเต็มหัว

   “คุณนั่งไปกับผมทั้งที่บ้านอยู่ใกล้แบบเดินกลับยังได้เนี่ยนะ?”

   ยิ้มเอ็นดูมาพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ “ใช่ครับ”

   “...”

   “ทำไมล่ะ ผมไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย”

   “ไม่ใช่เรื่องนั้น” เกือบจะทึ้งหัวตัวเองอยู่แล้ว ใครจะมองโลกในแง่ดีได้เท่านี้กัน หรือสอนหนังสือเด็กมากไปนะ “แล้วถ้าสมมติว่าบ้านของผมอยู่สายสองอะไรอย่างนี้ คุณจะกลับยังไง”

   “แกรบ”

   “...”

   “ทำไมทำหน้าเครียดอย่างนั้น สนใจงานก่อนสิ”

   โดนดันหลังให้ออกเดินต่อแบบไม่เต็มใจมากนัก งานที่จัดแสดงอยู่ในเวลานี้ใช้พื้นที่ต่อชิ้นค่อนข้างมาก เน้นไปทางโชว์ขั้นตอนการทำผ่านวีดีโอที่บันทึกเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว อย่างตอนนี้เราก็เข้ามาดูภาพเคลื่อนไหวที่ฉายอยู่ในห้องมืดด้านในสุดของงาน ทรุดตัวบนม้านั่งไม้มีพนักพิงงานหยาบที่น่าจะสื่อความถึงบางอย่างเกี่ยวกับความบิดเบี้ยวในหัวใจมนุษย์

   จะบอกว่าเข้าใจก็ไม่เชิง คือถ้าคิดง่ายๆ มันก็สามารถรับรู้สิ่งที่ศิลปินต้องการจะสื่อได้แหละ แต่พออีกฝ่ายยกเอารายละเอียดหนึ่งขึ้นมาจุดประเด็นมันก็พลิกกลายเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจไปเสียได้

   “ผมเริ่มคิดแล้วนะว่าเดินคนเดียวน่าจะดีกว่า” กล้าทำปากเบะเพราะอยู่ในห้องมืด “พอมากับคุณแล้วปวดหัวคูณสองไปเลย”

   “เสียใจนะเนี่ย”

   “ทีหลังอย่าหลุดขำนะ เกือบเชื่อแล้ว”

   “รู้ได้ไง”

   “ก็ขำไหล่สั่นขนาดนี้ แล้วเราก็อยู่ไกลกันมากสิ”

   สายตายังคงจ้องมองการเคลื่อนไหวของตัวละครบนกำแพง หากสัมผัสแนบชิดที่โอบตรงไหล่และข้างตัวบอกได้ถึงระยะห่างระหว่างคนสองคน เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นการล้ำขอบเขตหรือว่ารุกความเป็นส่วนตัว เอาแค่ว่าอย่าทำให้อึดอัดเกินพอดีก็โอเค

   ความมืดรอบกายบ่งบอกว่ารอบฉายได้จบลงแล้ว นิรชากระทุ้งศอกเป็นสัญญาณว่าควรจะลุกออกจากตรงนี้เพื่อให้คนอื่นได้เข้ามาชมงานบ้าง เวลาเกือบสองทุ่มในวันธรรมดาทำให้รอบข้างดูร้างผู้คนจนคล้ายงานไพรเวท กวาดตาไปรอบก็มีเพียงเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนยืนจ้องภาพถ่ายอยู่คนเดียว

   ยังคงเถียงกันตามประสาเมื่อจมดิ่งกับผลงานในระดับหนึ่ง พอรู้สึกอิ่มตัวแล้วก็ขยับต่อไปจนกระทั่งครบหมดทุกชิ้น

   ด้วยช่วงเวลาที่มีจำกัดแล้วเราตัดสินใจจบการเดินเพียงเท่านี้ ตั้งใจว่าจะหาอะไรง่ายๆ แถวนั้นทานเป็นมื้อเย็นจากนั้นก็คงได้เวลาแยกย้ายไปเจอความวุ่นวายในเช้าวันถัดไป คำอธิบายระหว่างการเดินทางเกี่ยวกับเหตุผลที่เลือกร้านนี้เป็นอะไรที่เข้าท่า เพราะมันอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถของนิรชาเท่าไหร่ รวมถึงเป็นทางผ่านในการเดินกลับคอนโดของฐิติด้วย

   ร้านโจ๊กที่เปิดเฉพาะช่วงกลางคืนไม่เข้ากับบรรยากาศเท่าไหร่ จำนวนโต๊ะว่างที่มีแค่สองสามตำแหน่งจากทั้งหมดบอกได้ว่ามันเป็นร้านที่ได้รับความนิยมพอสมควร เราเลือกที่นั่งตรงกลางแบบสองคนนั่งที่เหลืออยู่โต๊ะเดียว สั่งตามแบบที่ตัวเองชอบแล้วก็รอเวลา

   “กินบ่อย?”

   “แล้วแต่อารมณ์ มันไม่อยู่ท้องน่ะ”

   พยักหน้าเห็นด้วย ก้มหน้าดูดน้ำชาเจือจางในแก้วอลูมิเนียมของตน “แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็นอนแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหา”

   ไม่สนใจสภาพของร้านหรือความสะอาด ฆ่าเวลาระหว่างรออาหารด้วยการย้อนกลับไปคุยเกี่ยวกับงานศิลปะที่ยังไม่ตกตะกอนในความคิด และติดลมบนจนถึงหมดไปครึ่งชามแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะหาทางจบได้

   “คุณไม่กลัวนักศึกษาเห็นตอนอยู่กับผมบ้างเหรอ”

   ก็คิดตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเป็นอาจารย์แล้วล่ะ ยอมรับเลยก็ได้ว่าตอนที่ชวนก็คิดว่าอาจจะถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องความเป็นบุคคลสาธารณะในระดับหนึ่ง ไหงกลายเป็นว่าเราเดินเตร็ดเตร่ได้อย่างสะดวกใจเฉย

   “ไม่นะ”

   “ทำไมล่ะ”

   “กลัวทำไม ผมไม่ได้ซ่อนอะไรเอาไว้นี่นา”

   ทำได้แต่มองแรงกลับไป เดี๋ยวนี้ได้ทีล่ะเอาใหญ่ พอรู้ว่าเขามีคีย์เวิร์ดจี้ใจดำก็ชอบงัดขึ้นมาแกล้งจนชินไปแล้ว

   “แน่ใจนะครับอาจารย์ฐิติ?”

   แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่กล้าทำสงครามประสาทกลับไป

   “ครับ”

   ถ้าเป็นการแสดงก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นมืออาชีพ ใบหน้าที่มักเต็มไปด้วยความอบอุ่นยังคงอยู่เช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากจะปั่นหัวให้พังกันไปข้างเลยยกไหล่เป็นฝ่ายยอมในครั้งนี้

   “แต่ไม่เจอก็ดีเหมือนกัน ผมคงทำตัวไม่ถูกถ้าอยู่ดีๆ มีนักศึกษาเดินมาไหว้คุณ”

   “ไม่ค่อยเจอหรอก ภาคนี้ไม่ค่อยมีคนเรียน”

   “แต่บ้านอยู่กลางเมืองอย่างนี้เลยนะ โอกาสสูงจะตาย”

   “ความจริงเราควรสนใจประโยคก่อนหน้ามากกว่านะ ที่บอกว่าคุณจะทำตัวไม่ถูก”

   หูก็ฟังส่วนมือก็หยิบกระเป๋าเงินออกมานับแบงก์ให้เท่ากับราคาอาหารบวกเครื่องดื่ม นิรชาวางมันเอาไว้ตรงกลางของโต๊ะรอรวบรวมสำหรับการจ่ายทีเดียว

   “ทำไมล่ะ?”

   “นั่นแสดงว่าเราจะยังได้เจอกันอีกสินะครับ”

   “ก็ผมยังไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นเลยนี่นา” จากวันแรกที่พบจนตอนนี้ก็ผ่านมาได้สักพักใหญ่แล้ว หากคำถามที่เคยตั้งเอาไว้กลับไม่มีคำตอบที่ดีพอสักที เอาเข้าจริงสิ่งที่ทำอยู่จะเรียกว่าการซ่อนก็พูดได้ไม่เต็มปาก มันโจ่งแจ้งไม่มีการคลุมเก็บอะไรทั้งนั้น “เอาลูกอมไหม”

   เพิ่งเคยเจอก็วันนี้แหละร้านโจ๊กที่ให้ลูกอมผลไม้หลังจ่ายเงิน เดาว่าเป็นของจีนเพราะมีตัวอักษรยุบยับเป็นเอกลักษณ์เต็มไปหมด เจ้าถิ่นบอกว่าจากตรงนี้ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีดีก็ถึงที่พัก เพื่อเป็นการป้องกันโรคอ้วนรวมถึงเจ๊าจากที่ไปส่งถึงคอนโดในครั้งแรกก็เลยเดินไปเป็นเพื่อนดีกว่า

   “หวานจังแฮะ”

   สัมผัสแรกรับคือความหวานของน้ำตาล ตามมาด้วยการปรุงแต่งของสารเคมีที่ทำให้มันคล้ายกับรสชาติของส้ม

   “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิ”

   “อืม...” ปล่อยให้ร่างกายได้ทำงานตามระบบกลไลการรับรส ใช้ลิ้นดุนดันไปยังฝั่งหนึ่งของแก้ม “เหมือนจะหวานกว่าที่ควรจะเป็น”

   “งานนี้ผมช่วยไม่ได้นะ”

   “ไม่เป็นไร ...ที่นี่ใช่ไหม”
   
   แค่ป้ายข้างหน้ายังหรูหราบ่งบอกราคาที่แลกไป แหงนหน้าจนคอเกือบเคล็ดก็ยังไม่เห็นชั้นสูงสุดของตึกเลยด้วยซ้ำ

   “ครับ แต่ตึกหลังนะ”

   “โอเค”

   ตั้งใจเอาไว้แล้วไว้แล้วว่าจะต้องส่งตรงหน้าจุดแตะคีย์การ์ดเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำ ก็เลยกลายเป็นการเดินตามหลังผ่านสวนขนาดเล็กตรงกลางที่ทำเป็นทางเชื่อมเอาไว้ ความสว่างระหว่างทางน้อยเสียจนสงสัยว่าตอนออกแบบไม่ได้คิดถึงการใช้งานในช่วงเวลากลางคืนหรือยังไง

   “สนใจขึ้นไปทัวร์ห้องไหมครับ”

   “ตลกล่ะ ดึกแล้วไหม” กลอกตามองบท ทำปากเบ้ใส่ด้วยเลย

   “ว้า นึกว่าจะหลอกให้ขึ้นไปช่วยเก็บห้องสักหน่อย”

   “เสียใจด้วยนะ คุณทำมันไม่สำเร็จ ...แป๊บนะ”

   ยังมีอีกหลายคำที่ตั้งใจจะใช้ในการต่อบทสนทนา มันถูกรบกวนด้วยจังหวะสั่นตรงกางเกงยีนส์ที่แจ้งเตือนว่ามีการโทรเข้า นิรชากดรับสายด้วยความเฉยชายามเห็นว่าคนที่โทรมาเป็นใคร

   “ครับ” จงใจเชิดองศาของคางเพื่อจ้องเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีดำของคนตรงหน้าไม่ลดละ “มาหอศิลป์ครับ ...กำลังจะกลับแล้ว ...ก็ดี”

   การโต้ตอบระหว่างเขาและคนในสายเป็นการไถ่ถามทั่วไปไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ ตอบกลับไม่ยาวไม่สั้นตามการท่องบอกว่าห้ามเอาภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำมาใช้เป็นอารมณ์ เขาจะต้องไม่หลุดพิรุธใดที่จะเป็นการทำร้ายตัวเอง

   “อ้อ มีลูกอมในปากเลยตอบไม่ชัดมั้ง ...สักครู่นะครับ”

   นิรชาเหยียดยิ้มเล็กน้อยให้กับวิธีการแก้ปัญหาที่เพิ่งคิดได้ เขาเผยอปากเล็กน้อยพอเผยให้เห็นก้อนน้ำตาลขนาดเล็กข้างใน ดวงตาสองคู่ประสานกันแทนการสื่อสารโดยไม่ต้องออกท่าทางใดประกอบ

   เป็นที่เข้าใจกันได้ว่าความหมายที่สื่อออกไปตรงกันเมื่อมือของหนึ่งในเจ้าของห้องพักเคลื่อนมาประคองหลังคอของเขาไว้ช้าๆ ความอุ่นของผิวเนื้อมนุษย์ดูประหลาดจนเกือบจะถอยหลังตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด

   ทุกความสับสนในห้วงความคิดหายไปสิ้นยามริมฝีปากเราสองคนสัมผัสกัน ปลายลิ้นเฉอะแฉะทักทายแทนการเคาะประตูรอคอยให้เขาเปิดมันออกกว้าง เราไม่ได้จูบกันจนเกิดเสียงดังให้มีจุดผิดสังเกต ก็แค่เอาสิ่งที่อยู่ในปากเขาย้ายไปอยู่กับอีกคนแทนเท่านั้นเอง

   เสียงจากอีกฟากของสัญญาณยังคงดังเป็นระยะ มันมีอย่างอื่นที่ต้องสนใจเสียจนไม่มีเวลาดื่มด่ำรสสัมผัสที่ได้รับทั้งหมด นิสัยของคนใจร้ายคือจงใจแกล้งไม่ยอมนำมันออกไปเสียทีจนเขาเกือบหลุดร้องฮือ

   ขยับปากคาดโทษแบบไม่มีเสียงเอาไว้ก่อน เหมือนว่าจะยังต้องคุยกันอีกพักใหญ่เลยโบกมือลาตรงนั้น นิรชาหมุนตัวกลับเพื่อย้อนไปยังเส้นทางเดียวกับที่เดินมา ก้าวไปได้ไม่เกินสิบจังหวะก็เอี้ยวตัวกลับมาเพื่อพบกับคุณฐิติที่ยังยืนเอามือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบายๆ อยู่ที่เดิม

   ทำมือไล่ให้กลับเข้าตึกไปได้แล้ว พึงพอใจไม่น้อยเมื่อเขาผงกหัวรับทราบเหมือนกับจะยอมทำตาม แต่ก็เพราะว่าไม่ไว้วางใจนั่นแหละพอขยับไปอีกสองก้าวก็หมุนตัวกลับมาเช็กอีกครั้ง ถอนหายใจออกมายามพบภาพเดิมอย่างที่คิดเอาไว้ ท่าแลบลิ้นอย่างนั้นก็น่าหมั่นไส้เสียเต็มประดา

   ต้องทำตาดุพร้อมยกมือขึ้นชี้หน้าถึงจะยอมทำตามสักที ยกยิ้มพึงพอใจก่อนที่จะขอตัววางสายจากคนที่กำลังคุยอยู่โดยไม่สนว่าหัวข้อที่กำลังสนทนานั้นเกี่ยวข้องกับอะไร พูดตามตรงเลยก็คือจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอบอะไรไปบ้าง

   อากาศในเวลากลางคืนถึงจะไม่หนาวแต่ก็ยังเดินทอดน่องได้โดยไม่ทรมาน เลียริมฝีปากเก็บรสสัมผัสที่ตกค้างอยู่เล็กน้อยเอาไว้ ความหวานที่หายไปไม่ทันตั้งตัวสร้างความโหยหาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนต้องหยิบอีกเม็ดเข้าปาก

   บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกอย่างนี้ก็ได้
   
   ต่อให้รู้ว่าหวานจนเป็นอันตราย

   ...ก็ไม่สามารถหยุดลิ้มรสสักที
 


   ตอนแรกก็คิดว่าเขาพูดเล่นเรื่องที่บอกว่าอยากให้ช่วยเก็บห้องหน่อย มายอมรับได้ว่าเป็นเรื่องจริงก็ตอนที่เราสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้องที่ไม่ค่อยอยากจะเรียกว่าเป็นที่สำหรับพักอาศัยเท่าไหร่

   “ผมสงสัยจริงนะว่าคุณหลับลงได้ยังไง”

   “ก็ทำได้ปกตินะ”

   เป็นอีกหนึ่งเสาร์ที่นิรชาไม่ได้ดูแลทำความสะอาดบ้านตามกิจวัตรเดิม แถมยังต้องมาแปลงร่างเป็นแม่บ้านให้อีกคนด้วย

   กวาดมองจนทั่วห้องแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ กองเอกสารจำนวนมากที่วางเอาไว้เกะกะนั้นยังไม่น่ากลุ้มใจเท่ากล่องกระดาษหลายชิ้นที่มีร่องรอยการรื้อค้นเอาไว้เป็นหย่อมบ่งบอกว่าเมื่อเจ้าของห้องหาสิ่งที่ต้องการเจอแล้วก็ปล่อยทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้นไม่ได้ใส่ใจจะเก็บให้เป็นที่ทาง

   “ย้ายมานานเท่าไหร่แล้ว”

   “อืม...ครึ่งปีได้?”

   แค่เวลาที่ย้ายเข้ามายังบอกได้ไม่ชัดเจนก็ไม่น่าหวังกับอย่างอื่นแล้วล่ะ

   “พูดตามตรงเลยคือผมไม่คิดว่าเราจะเก็บมันได้ในหนึ่งวัน”

   “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้วันอาทิตย์”

   ในหัวมีแต่คำสบถปนไปกับคำก่นด่าที่ไม่น่าหลงมีน้ำใจมาช่วย ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกแล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย สิ่งแรกที่ทำคือเดินไปเปิดหน้าต่างทุกบานในห้องเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทระหว่างการขนย้าย ส่วนในหัวก็คิดไปพลางว่าควรจะเริ่มจัดตรงไหนดี

   “มีตรงไหนที่เป็นเอกสารสำคัญไหม จะได้แยกเอาไว้ก่อน”

   ด้วยตัวอาชีพแล้วมันคงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมากเลยล่ะ ก็ขืนนึกว่าเป็นแค่กองกระดาษไม่ใช้แล้วเผลอทิ้งไปนี่เป็นเรื่องใหญ่แน่

   ไม่สามารถเสกคืนมาได้นะบอกเลย

   “ไม่มีครับ ส่วนมากเป็นอะไรที่ผมอ่านเป็นงานอ้างอิง”

   “โอเค งั้นผมเริ่มจากเก็บพวกกระ...”

   กลับหลังหันเตรียมไล่ให้ฟังว่าแผนที่วางเอาไว้เป็นอย่างไรบ้าง ที่ไม่สามารถไล่ให้จบประโยคได้ก็เพราะหน้ากากอนามัยที่ตรงเข้ามาปกปิดช่วงปากเอาไว้ไม่ทันได้ตั้งตัว นิรชายืนนิ่งปล่อยให้หน้าที่บริการเป็นของอีกคน ข้อนิ้วเกี่ยวเอาสายสายไปรัดกับข้างหูเชื่องช้าไม่เร่งรีบ

   สังเกตและแอบเก็บรายละเอียดของความใส่ใจเงียบๆ ปลายนิ้วที่เฉียดและสัมผัสกับผิวใบหูบางส่วนพานพาให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้พอประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดของร่างกายมนุษย์เหมือนกัน

   ฐิติเป็นคนช่างสังเกตอย่างแน่นอน เขามั่นใจในข้อนี้ ที่เพิ่มขึ้นมาก็คงเป็นเรื่องความมีน้ำใจแล้วก็การวางตัวให้ถูกกาลเทศะไม่ว่าจะเป็นต่อหน้าสาธารณชนหรือว่าในพื้นที่ส่วนตัว มีบางทีแกล้งหยอกเย้าตามประสา ไม่เคยมีครั้งไหนที่เกินเลยจนเขาแย่หรือไม่พอใจ

   ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับลักษณะของเนื้องานด้วยหรือเปล่า จำพวกลูกล่อลูกชนเพื่อให้การสอนดูมีความน่าสนใจทำนองนั้น คือตัวนิรชาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักตัวเองว่ามีนิสัยประมาณไหน ที่ยังคงสถานะพิลึกที่เกิดจากความคิดชั่ววูบได้ก็คงเป็นเพราะตัวบุคคลล้วนๆ

   “น่าจะอึดอัดหน่อย แต่ใส่ไว้ดีกว่า”

   “นี่คือจะบอกว่าห้องฝุ่นเยอะมากเลยสินะ”

   “ผมมีห้องเอาไว้ให้มีที่นอนเท่านั้นแหละ”

   “ถ้ามีไว้แค่นั้นไม่ต้องซื้อห้องราคาเท่านั้นก็ได้มั้ง”

   ยังไม่ได้เช็กราคาเองหรอกแต่อย่างต่ำก็เจ็ดถึงแปดหลักแหง ทั้งทำเลแล้วก็ชั้นที่พักด้วย

   “พอดีมีเพื่อนเสนอขายในราคาเกือบเท่าทุน คิดแล้วว่าถ้าขายต่อยังไงก็คุ้มก็เลยซื้อ”

   มือจัดการแยกของที่คิดว่าไม่ใช้แล้วให้เป็นหมวดหมู่ หูก็ฟังเรื่องที่เขาเล่าเกี่ยวกับห้องและเพื่อนบ้านที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ด้วยมุมมองเรื่องที่พักในเมืองหลวงที่คล้ายคลึงกันจึงสามารถต่อยอดหัวข้อในการพูดคุยได้ไม่ยาก อย่างเขาถึงไม่เจอเรื่องเพื่อนบ้านแต่นิติกรที่พักก็สัปปะรังเคเต็มทน

   ประเมินสถานการณ์เอาไว้แล้วว่าวันนี้อย่างน้อยก็น่าจะเสร็จได้ครึ่งหนึ่งเป็นอย่างต่ำ ส่วนที่เหลือจะยกยอดไปวันพรุ่งนี้หรือเปล่าขอดูสภาพสังขารอีกที

   “ผมสงสัยมากเลยนะว่าทำไมสภาพห้องที่บ้านกับมหา’ ลัยของคุณถึงต่างกันได้ขนาดนี้”

   “เพราะที่ห้องพักอาจารย์มีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดให้น่ะครับ”

   “อ่าฮะ” จะบอกว่ากวนประสาทก็พูดได้ไม่เต็มปาก เอาเป็นว่ามันชอบมีจังหวะที่ดูแล้วไปต่อไม่ถูกอย่างนี้เกิดขึ้นแทรกระหว่างการพูดคุยของพวกเราเสมอ “อันไหนไม่เอาแล้วก็โยนๆ ไปทางนั้นนะ จะได้เก็บทีเดียว”

   ถึงจะบอกว่ามันรกแต่ก็ไม่ถึงกับสกปรกอะไร ไม่ต่างจากที่บอกว่ามันมีไว้สำหรับหลับนอนก็เลยปล่อยให้ฝุ่นเกาะอยู่ทุกซอกทุกมุมของห้อง พอแยกส่วนที่เป็นขยะออกได้เกือบทั้งหมดแล้วก็เป็นช่วงเวลาของการเคลียร์ของจากกล่องออกมาวางไว้บนชั้น

   ฐิติไม่ใช่คนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แต่ว่าเข้ามาเรียนในเมืองตั้งแต่ชั้นมัธยมลากยาวมาจนถึงทำงาน ก่อนหน้านี้ก็อยู่หอพักแถวหน้ามหาวิทยาลัยแต่ว่าสิ่งแวดล้อมโดยรวมไม่เหมาะสมประจวบเหมาะกับจังหวะเพื่อนประกาศขายก็เลยเปลี่ยนมาอยู่ที่นี่แทน

   ในกล่องกระดาษลังใบใหญ่บรรจุของเอาไว้ไม่เป็นประเภท เหมือนกันว่าถ้าชิ้นไหนมันลงล็อกกับชิ้นไหนก็เอามายัดใส่รวมกันเอาไว้เพื่อเป็นการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่ามากที่สุด บางกล่องมีร่องรอยการเปิดก่อนแล้วส่วนบางชิ้นก็ยังปิดเทปไว้ไม่มีใครเคยรบกวน

   วางแผนเอาไว้ว่าจะรื้อของทั้งหมดออกมากองรวมกันเอาไว้จากนั้นค่อยแยกหมวดหมู่การใช้อีกที จะได้พับกล่องลังลูกฟูกเก็บเป็นที่ไม่เกะกะในขั้นตอนถัดไป 

   สูดลมหายใจเข้าลึกเรียกกำลังใจตัวเองเมื่อผ่านไปได้สองกล่องกับของสารพัดนึก ยังวนเวียนอยู่กับคำถามว่าเพราะอะไรถึงต้องมานั่งหลังแข็งทำอะไรอย่างนี้ด้วย อากาศในช่วงสายเริ่มพาความร้อนน่ารำคาญมาให้จนอดไม่ได้ที่จะคว้าเอาแก้วเก็บความเย็นบรรจุน้ำอัดลมมาดื่มสักอึก ก็เจ้าบ้านที่ดีเป็นคนเดินลงไปซื้อจากร้านขายของด้านล่างเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้วอีกนั่นแหละ

   ตอนนี้น่ะมีแค่เขาคนเดียวทำหน้าที่จัดการเก็บกวาดห้อง ฐิติมีสายเข้าจากอาจารย์คนอื่นในภาควิชาเดียวกันเกี่ยวกับการจัดงานเลี้ยงอะไรสักอย่างของคณะ ถ้าฟังไม่ผิดก็เกี่ยวกับความไม่ลงตัวเกี่ยวกับสถานที่จัดงานล่ะมั้ง เป็นโลกที่เขาเข้าไม่ถึงเหมือนกัน

   ยังฮึดสู้อยู่เมื่อถึงกล่องใบสุดท้าย มันถูกปิดปากกล่องเอาไว้ด้วยเทปสีน้ำตาลจนสนิท หยิบเอาคัตเตอร์ที่กลายเป็นเพื่อนรู้ใจคนใหม่ขึ้นมากรีดส่วนที่เป็นช่องว่างออก ด้านในเต็มไปด้วยหนังสือภาษาต่างประเทศไม่สามารถระบุประเภทได้เต็มไปหมด

   ถึงว่าทำไมหนักได้ขนาดนี้ ที่เห็นในห้องทำงานว่าเยอะแล้วยังมีเก็บไว้ที่อื่นอีกด้วย คนที่จะแตะหนังสือต่อเมื่อจำเป็นต่อการเรียนหรือว่าทำงานอย่างเขาได้แต่คว่ำปากหดคอให้กับมัน หยิบออกมาเรียงด้านนอกให้มีความสูงในระดับที่เหมาะกับการเคลื่อนย้ายในหนึ่งครั้ง

   หืม

   จนพบบางอย่างที่ดูแล้วไม่เข้ากับสิ่งของชิ้นอื่นด้านบน หนังสือวิชาการรูปแบบเดียวกับที่เคยอ่านมาก่อนถูกห่อเอาไว้ในถุงพลาสติกซิบล็อกอย่างดี มันจัดเรียงเอาไว้ตามขนาดและความหนาของเล่ม ด้านหน้าสุดมีรูปถ่ายหนึ่งใบวางแนบไว้ ภาพของผู้ชายสองคนยืนข้างกันในชุดครุยสำหรับอาจารย์ในวันรับปริญญา

   เหลือบตามองว่าหนึ่งชายในภาพอยู่ในรัศมีการมองเห็นหรือไม่ แสร้งทำเป็นจัดประเภทสิ่งของต่อไปโดยค่อยๆ เปิดตัวล็อกออกเบามือ

   “...”

   ไม่ทันได้หยิบออกมาทั้งแผ่นก็เก็บมันเข้าไปตามเดิม ในเมื่อชื่อของคนเขียนตรงหน้าปกหนังสือมันช่วยให้ความกระจ่างในทันที

   แย่จังแฮะ

   การที่เขารู้สึกหน่วงในอกอย่างนี้

   มันหมายความว่ายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมนะ


***
   ชอบบรรยากาศของเรื่องนี้จังค่ะ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน (หัวเราะ)
   #อีไอแอลวี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2019 00:09:05 โดย 23August »

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - II: LIVE [24.1.19]
«ตอบ #6 เมื่อ24-01-2019 21:15:44 »

เหมือนถูกลูกตุ้มถ่วงค่ะหน่วงๆหนักๆอธิบายไม่ถูกฮืออออ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - II: LIVE [24.1.19]
«ตอบ #7 เมื่อ24-01-2019 22:26:58 »

หมายความว่ายังไงอ่า  :ling1:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - II: LIVE [24.1.19]
«ตอบ #8 เมื่อ24-01-2019 22:28:37 »

ขออนุญาตเดาว่าจะต้องมี ..Evil เป็นชื่อตอนต่อไป    :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - II: LIVE [24.1.19]
«ตอบ #9 เมื่อ25-01-2019 11:02:56 »

 :a5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: {เรื่องสั้น} E I L V - II: LIVE [24.1.19]
« ตอบ #9 เมื่อ: 25-01-2019 11:02:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - III: VILE [28.1.19]
«ตอบ #10 เมื่อ28-01-2019 19:20:15 »

III: VILE


   “ชั้นวางเอกสาร”

   “โต๊ะทำงาน”

   “เครื่องเพิ่มความชื้น”

   “ห้องนอน”

   “กล่องใส่อะไรสักอย่าง”

   “วางไว้เหนือตู้หนังสือก็ได้ครับ”

   ยัดของทั้งหมดข้างต้นใส่ไว้ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่จะได้ไม่ลุกเสียเที่ยว เริ่มต้นจากการวางกล่องกระดาษงานรีไซเคิลที่มีพวกของชิ้นเล็กจุกจิกยัดเอาไว้บนชั้นวางงานบิลท์อิน จากนั้นก็ตรงไปยังโต๊ะทำงานขนาดกำลังดีติดกับกระจกใส มุมสูงจากตึกใจกลางเมืองให้ทิวทัศน์ที่สวยงามและน่าเศร้าในคราวเดียวกัน

   ไม่มีเวลาสำหรับการชื่นชม กล่องกระดาษใส่เครื่องเพิ่มความชื้นแบบพกพาในมือยังรอให้เขาจัดการอยู่ แล้วการเดินเข้าห้องนอนคนอื่นนี่มันเป็นเรื่องที่ควรทำหรือเปล่านะ...

   “ผมวางเอาไว้หน้าห้องนะ คุณจัดการเองแล้วกัน”

   “ขอบคุณครับ คิดถูกจังที่หลอกให้มาช่วย”

   “ไม่ต้องมีประโยคหลังน่าจะดีกว่า”

   “เขาเรียกจริงใจไง” เสียงหัวเราะสดใสเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนเขานึกอิจฉา “แต่คุณก็ดูเป็นพวกจอมวางแผนเหมือนกันนะ ระเบียบจัดด้วย”

   ขยับคอไล่ความเมื่อยล้าตรงช่วงคอ ไม่แสดงออกว่าตนเองคิดเห็นอย่างไรกับข้อวิเคราะห์นั้น “ก็วางแผนรองรับให้รัดกุมมันรับประกันความเสี่ยงได้เยอะกว่า”

   ห้องพักแบบหนึ่งห้องนอนมีพื้นที่มากพอสำหรับการแบ่งสัดส่วนให้แยกออกจากกันชัดเจน นั่นยิ่งน่าสงสัยว่าราคาที่บอกว่าเพื่อนขายให้เท่าทุนคือเท่าไหร่ เงินเดือนของอาจารย์นี่มันมากพอจ่ายหรือยังไงกัน

   ไม่เคยสังเกตเรื่องข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวมาก่อน ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสไตล์คนเมืองทั่วไปที่มีทั้งของแบรนด์และไม่แบรนด์ปะปนกัน อย่างเช่นถุงผ้าลายมัดย้อมสีครามตรงตัวแขวนข้างตู้เย็นนั่นไง

   “...เห็นถุงผ้าอันนั้นแล้วคิดถึงของผมเลย”

   ถุงผ้าสีครามที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในมือของฐิติ สิ่งที่เหมือนกับว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในความสัมพันธ์ของเรา

   “อ้อ...จะว่าไปแล้วยังไม่เคยเล่านี่นา”

   “หืม?”

   “ผมเจอคุณครั้งแรกเพราะถุงผ้านี่แหละ”

   เจ้าของห้องเดินมานั่งแหมะฝั่งตรงข้ามเพื่อช่วยแยกกองหนังสือที่ซื้อมาตั้งแต่สมัยไปเรียนต่อ บอกว่าที่เห็นนี่น้อยแล้วเมื่อเทียบกับอาจารย์บางคนที่ต้องขนส่งกลับทางเรือเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง คือต่อให้เอาหนังสือที่นิรชาเคยอ่านทั้งชีวิตมาเทียบกับแค่ที่มีในห้องนี้ก็น่าจะแพ้หลุดลุ่ยแล้ว

   “เอาแบบมีดีเทลด้วยสิ”

   “ผมติดนิสัยชอบเอากระเป๋าผ้าไปใส่ของที่ซื้อเองตั้งแต่กลับมาน่ะ” คิดภาพตามก็แอบขำในใจ โดยเฉพาะตอนที่บอกพนักงานว่าไม่รับถุง “แต่ไม่ค่อยเห็นใครทำ ตอนที่เห็นคุณใช้ก็เลยสนใจหน่อยๆ”

   “ทำไมคำว่าสนใจหน่อยๆ นี่ดูน่ากลัวจัง”

   ก็ว่าไม่ได้พูดอะไรที่ดูน่าขำ ทำไมถึงหัวเราะออกมาเต็มเสียงขนาดนั้นก็ไม่รู้สิ

   “ฮื่อ นี่พูดในแง่บวกนะ” รับเอาหนังสือเล่มหนาที่เขียนว่าเป็นอินโทรสู่วิชาสถิติมาแบบไม่เต็มใจรับเท่าไหร่นัก อยากรู้ว่าถ้านี่เป็นแค่เบื้องต้นแล้วถ้าเรียนจริงจังจะต้องเจอมากกว่านี้กี่เท่า “แต่คุณชอบมาเดินเวลาเดิมตลอดเลย ผมเจอคุณทีไรก็เวลาประมาณนั้นทุกที”

   “โอเค คุณน่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ”

   บอกตามอย่างที่คิด จากที่เข้าใจทีแรกว่าเป็นพลเมืองดีตอนนี้มันเปลี่ยนสถานะจนเกือบกลายเป็นพวกแอบมองไปแล้ว

   ตัวเนื้องานที่จะบอกว่าซ้ำเดิมก็ไม่ใช่ มันแค่มีตารางงานที่ใกล้เคียงกันในแต่ละสัปดาห์จนเกือบเป็นเวลาถาวรไป อย่างถ้าไปซื้อของก็ต้องเป็นเย็นวันพฤหัสที่ไม่ต้องออกไซต์งาน แล้วตัวห้างสรรพสินค้าที่สะดวกที่สุดในการเดินทางก็เป็นที่พารากอนไง

   “ทำไมล่ะ”

   คนเรานี่ถามหน้าตายอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ “ยังจะถามอีก”

   “ไม่ถามก็ได้”

   หนังสือที่อยู่รอบตัวถูกแบ่งออกเป็นประเภทตามความต้องการเรียบร้อย เคลียร์พื้นที่พอให้เหยียดขาออกพักได้ตามสบายหลังจากที่ต้องลุกนั่งก้มเงยมาเกือบทั้งวัน สภาพโดยรวมของห้องไม่ได้เรียบร้อยมากกว่าเดินเท่าไหร่เพราะถึงจะเก็บขึ้นชั้นไปส่วนหนึ่งมันก็ยังมีของจากในกล่องวางไว้แทนที่

   ดีไม่ดีพรุ่งนี้ก็ไม่ถึงไหน

   ระหว่างพักก็มองคุณฐิติโหมดขยันขันแข็งทำงานต่อไป คิดถึงเรื่องที่เขาเพิ่งเล่าแล้วก็มีหนึ่งคำถามเกิดขึ้น

   “คุณคิดว่าสิ่งที่ผมกำลังทำมันไร้ค่าหรือเปล่า?”

   มันมีจังหวะที่สนุกและตื่นเต้น หากห้วงเวลาที่ได้หลงระเริงอยู่ในความบิดเบี้ยวจบลงมันก็คงเหลือเพียงความเป็นจริงที่แสนโหดร้าย

   ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับคำตอบ จ้องเข้าไปข้างในนัยน์ตาที่กำลังสบกับอยู่ตอนนี้ไม่เสมองไปทางอื่น เราโตกันมากพอที่จะเปิดใจคุยกันโดยไม่อมพะนำเก็บเอาไว้ ถ้าไม่พอใจก็ค่อยหยุดมันก็ไม่สาย

   ความเงียบเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจเป็นว่าเขากำลังดึงเวลาเพื่อแกล้งปั่นประสาทหรือไม่ก็กำลังตัดสินใจเลือกเก็บอะไรบางอย่างเอาไว้ไม่แพ่งพรายออกมา ซึ่งตอนนี้ใจของนิรชาโอนเอียงไปทางอย่างหลัง

   “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

   เห็นไหมล่ะ ต่างจากที่เดาเสียที่ไหน “จนป่านนี้เขาก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าผมกำลังทำอะไรอยู่”

   “เขาอาจจะรู้แต่ไม่พูดก็ได้นะ”

   “เหอะ เชื่อผมเถอะว่ายังไม่รู้จริง”

   นิรชารู้จักผู้ชายคนนั้นดีพอสมควร ถ้าระแคะระคายหน่อยก็ต้องมีสัญญาณบอกแล้ว ไม่มีทางเงียบสงบอย่างนี้ได้หรอก ซึ่งถ้าจะมองโลกในแง่ร้ายหน่อยก็คือไม่มีค่าพอให้ใส่ใจอีกต่อไป

   ชันขาขึ้นมาไว้ กอดเอาไว้หลวมๆ พอให้พิงแก้มกับหัวเข่าได้ หน้ากากอนามัยที่ใช้ป้องกันฝุ่นถูกดึงออกแล้วห้อยเอาไว้ตรงข้อมือแทนเป็นการชั่วคราว

   “สรุปแล้วมันไร้ค่าไหม”

   “อืม...ยากจังแฮะ”

   "เหมือนคุณมีอะไรที่อยากพูดแต่พูดไม่ได้เลยล่ะ”

   “...”

   “ผมน่ะจับความรู้สึกเก่งนะคุณฐิติ” ยักคิ้วรู้ทันให้ประกอบคำสุดท้าย “พูดถึงเรื่องนี้ คุณเชื่อไหมว่าตั้งแต่วันนั้นมาผมยังไม่เคยกลับไปเดินพารากอนคนเดียวเลย”

   “จริงจัง?”

   “จริง พอจะไปแล้วก็กลับไปคิดเรื่องนั้นตลอด”

   มันชัดเจนเสียจนสงสัยว่าทำไมระบบความทรงจำถึงยังทำงานได้ดีไม่มีเสื่อมคุณภาพ ท่าทางและรอยยิ้มที่พวกเขามีให้กันมันสวยงามจนไม่ควรมีสิ่งใดเข้าไปแทรกกลาง

   จะบอกว่าเตรียมใจมาแล้วก็ไม่ใช่ เรื่องของหัวใจน่ะมันไม่มีใครสามารถครอบครองเอาไว้ได้เองตลอดกาลหรอก ก็อย่างที่เคยบอกแหละว่าาจะให้ร้องไห้ฟูมฟายจมอยู่กับความเศร้ามันก็ไม่ช่วย รวมถึงไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเพราะตัวเองก็ไม่ได้มีสังคมมากมาย ขืนมันถูกกระจายออกไปแบบผิดใจความล่ะยุ่งอีก ก็เลยเอาเป็นว่าอยู่อย่างนี้ต่อไปแล้วกัน

   ใช้ชีวิตแบบที่ต่างคนต่างซ่อนบางอย่างเอาไว้

   จู่ๆ ฐิติก็ลุกขึ้นยืนไม่มีจังหวะให้เตรียมตัว เสียงดีดนิ้วเป๊าะคล้ายสัญญาณการเริ่มต้นบางอย่าง “ป่ะ งั้นไปกรูเมต์กันดีกว่า”
 


   นอกจากจะรักษ์โลกด้วยการลดปริมาณขยะที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งแล้วยังไม่ยอมเผาผลาญพลังงานจากรถยนต์อีกต่างหาก ช่วงเวลาบ่ายสี่เกือบห้าโมงไม่ได้ร่มรื่นอย่างที่เคยอยู่ในความทรงจำสมัยเด็ก มันแผดเผาจนต้องเลี่ยงตัวมาเดินอยู่ด้านในส่วนที่มีร่มไม้คอยปกคลุมเอาไว้

   “งั้นเราควรจะทำให้เขารู้ได้แล้วไหมล่ะ?”

   “...”

   “หมายถึงจุดประสงค์ของคุณคือทำให้เขารู้ เราก็ควรทำให้มันเป็นอย่างนั้นสิ”

   จังหวะการเดินทอดน่องผ่อนระดับลงโดยไม่รู้ตัว เพราะเวลาที่ผ่านไปคงทำให้ข้อสรุปบางอย่างตกผลึกในห้วงความคิดเป็นที่เรียบร้อย แม้มันจะไม่ได้เกิดเป็นก้อนตะกอนที่สวยงามแต่ก็ชัดใสพอที่จะบอกเขาได้หลายอย่าง

   “เอาจริงๆ ผมก็ยังกลัวแหละ”

   “ถึงขั้นนี้แล้วเพิ่งจะมากลัว” มันหยอกเย้าและเต็มไปด้วยรอยเอ็นดู “ไม่ทันแล้วนิน”

   “แล้วมันก็ทำให้ผมสงสัยเหมือนกันนะ ว่าเขาไม่กลัวบ้างเหรอที่ทำอย่างนี้”

   “อาจเพราะหักลบแล้วมันได้บางอย่างที่คุ้มค่ากับความกลัวที่เสียไปไง”

   “เราน่าจะเปลี่ยนไปเดินหอศิลป์อีกสักรอบกันนะ”

   ไม่ใช่คำชวนแต่เป็นการประชด สิ่งที่เขาพูดออกมาแต่ละคำไม่ต่างกับตอนที่คุยโต้เถียงเรื่องงานศิลปะที่เข้าถึงยากเลย ชักอยากจะรู้ว่าตอนสอนหนังสือแล้วเด็กที่เรียนเคยมีความคิดแบบเดียวกับเขาบ้างไหม

   ถึงบอกว่าจะมาจับจ่ายใช้สอยก็เถอะ คนที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจนมาตั้งแต่แรกก็ทำได้แค่เดินวนไปมารอบกรูเม่ต์เพื่อสำรวจว่ามีสิ่งของใดน่าสนใจบ้าง ฐิติได้แชมพูกับครีมนวดผมที่จัดโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งไปก่อนแล้ว ส่วนเขายังไม่มีอะไรที่อยู่ในลิสต์

   เดินวนจนครบทุกช่องแล้วก็ได้ผลสรุปว่าซื้อแค่ของใช้พอไม่ต้องคิดถึงขั้นทำอาหารทานเองหรอก ไปนั่งกินที่ร้านน่าจะปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่า

   ระหว่างรอจ่ายเงินก็เลี่ยงตัวออกมาอยู่ด้านนอกของเคาท์เตอร์ไม่ให้เกะกะคนด้านหลัง มองผู้ชายตัวสูงที่จัดวางสินค้าทีละชิ้นใส่ลงไปในถุงผ้าลายคราม มันก็ยังเป็นเรื่องแปลกตาของสังคมที่เน้นเอาความสะดวกของตัวเองเป็นที่ตั้งอยู่ดีล่ะนะ

   “ครั้งนั้นผมเจอเขาตรงนี้แหละ” เอาความกล้ามาจากไหนก็ไม่รู้มากมาย เล่าเรื่องที่เป็นปมลึกด้วยน้ำเสียงร่าเริงคล้ายว่ามันเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วนานแสนนาน “ยืนเลือกผลไม้กันอยู่…แล้วหลังจากนั้นก็ไม่รู้แล้วเพราะหนีออกมาก่อน”

   “ถ้ายังไม่พร้อมไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ”

   “ไม่ได้ไม่พร้อม” โบกมือไม้ให้รู้ว่าหมายความเช่นนั้นจริง ยังคิดว่าจะเล่าให้ฟังต่อเลยว่าหลังจากนั้นก็ลืมของที่วางเอาไว้ข้างตัวสนิทจนลำบากต้องหยิบไปให้นี่แหละ

   “ฐิติ”

   ระหว่างบทสนทนาที่ยังไม่มีจุดจบเสียงเรียกชื่อที่ดังมาจากด้านซ้ายพาให้เราทั้งสองคนสะบัดหน้าไปทางต้นเสียง

   จากการเรียกชื่อบอกไว้ว่างานนี้เขาคงไม่มีส่วนร่วมอะไร นิรชาถอยหลังไปหนึ่งก้าวเป็นการส่งบทให้ตัวเอก แปลงร่างกลายเป็นมนุษย์ล่องหนได้ทันที

   “ไง มาซื้อของเหรอ”

   “เปล่าๆ พอดีแวะมาเช็กอะไรนิดหน่อยแถวนี้ก็เลยเดินที่นี่ต่อน่ะ”

   “อ้อ... ใกล้งานแล้วนี่”

   ติดใจอะไรอยู่หน่อยจนเสียมารยาทลอบตรวจสอบทั้งตัว คลับคล้ายว่าเคยเห็นคนหน้าตาอย่างนี้มาก่อนแล้ว ข้อสันนิษฐานแรกว่าเคยเป็นลูกค้าถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนข้อสันนิษฐานอย่างต่อมาคือเราเคยเจอกันในฐานะเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่คุ้นอยู่ดี

   “ใช่ ใกล้ทั้งงานแต่งงานวิจัย คณะก็เริ่มเร่งมาล่ะ”

   ถึงบางอ้อด้วยคีย์เวิร์ดถัดมา เก็บซ่อนความรู้สึกที่ปะปนกันให้อยู่ใต้ความนิ่งเฉยจนคิดว่ามิดชิด

   ผู้ชายในรูปถ่ายใบนั้น...

   “บอกคณะไปเลยสิว่าหน้าที่ของผมคือสอน ไม่ใช่ทำวิจัย”

   “โอ้โห ผมไม่ได้น่ากลัวเหมือนอาจารย์ฐิตินะครับ”

   แต่เดี๋ยวนะ

   ...งานแต่ง?

   เผลอเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามไปทางคนข้างตัว คนที่ยังอยู่ในห้วงความเป็นส่วนตัวคงไม่ทันได้สังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติถึงโต้ตอบกันในเรื่องที่เป็นความลับเฉพาะกลุ่มต่อไปอีกหลายประโยค

   “โอ๊ะ โดนตามล่ะ ไปก่อนนะ”

   จนกระทั่งมีสายเข้ามาเป็นระฆังแจ้งหมดเวลา มันจึงถึงจังหวะที่เขาต้องยิ้มและโบกมือลาโดยไม่เอ่ยคำใดออกมา ซึ่งก็น่าประทับใจเหมือนกันนะที่ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเขาเลย

   เสียงถอนหายใจเหนื่อยอ่อนไม่ใช่สิ่งแรกที่นิรชาคิดว่าจะได้ยินจากคนข้างกาย

   “อืม...ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่คุณคนเดียวแล้วล่ะที่เกลียดกรูเม่ต์พารากอน”
 


   ปากบอกว่าอยากจะจัดห้องให้เสร็จเรียบร้อยเลยจะค้างที่นี่ ส่วนที่อยู่ในใจคือไม่อยากปล่อยให้ฐิติต้องอยู่คนเดียวหลังจากผ่านสถานการณ์อย่างนั้นมาต่างหาก

   มื้อเย็นของเราเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ไม่ไกลจากกรูเม่ต์นัก จัดการทานทุกอย่างภายในเวลาไม่นานแล้วก็โดนล่อลวงด้วยคำว่าหนึ่งแถมหนึ่งจากร้านไอสกรีมตรงทางออกห้างจนได้แบบควอทกลับมาด้วย

   ห้องนอนคือส่วนเดียวที่เขาเล่าว่าใช้งานบ่อยที่สุด มันก็เลยเป็นระเบียบเรียบร้อยพอที่จะอยู่อาศัยหลับนอนได้ในคืนนี้ ไม่ต้องไปหวังเรื่องนอนโซฟาข้างนอกเพราะกว่าจะเช้าคงสำลักฝุ่นตาย

   แล้วก็คงเป็นตามสไตล์หนุ่มโสดที่ของจำเป็นมักจะรวมกันอยู่ในห้องเดียว อย่างโทรทัศน์จอแบนติดผนังก็ติดตั้งเอาไว้ตรงข้ามกับเตียงตำแหน่งเดียวไม่มีวางเอาไว้ในห้องนั่งเล่น เขาผู้ซึ่งไม่มีอะไรทำระหว่างรออีกคนอาบน้ำก็เลยนอนพิงหัวเตียงเปิดดูสารคดีเกี่ยวกับสัตว์โลกไปพร้อมกับตักของหวานเข้าปากไม่มีขาด

   ถ้าแม่รู้ว่าเขาเอาของกินขึ้นเตียงอย่างนี้ต้องโดนตีขาลายแน่

   ก็เจ้าของห้องไม่ว่าเขาก็ไม่ต้องเกรงใจไปก่อน แล้วนี่ต่างคนต่างเลือกรสที่ตัวเองชอบก็ต้องรับผิดชอบกันเอง ถ้าเหลือเยอะยังคิดไม่ออกเลยว่าจะแบกกลับบ้านยังไงให้ไม่ละลายกลายเป็นน้ำไปก่อน

   ของหวานในถ้วยกระดาษใบใหญ่พร่องไปพอสมควรแล้ว ด้วยคำเตือนที่เหล่าเพื่อนฝูงพร่ำบอกเกี่ยวกับระบบการทำงานของร่างกายที่จะด้อยประสิทธิภาพตามอายุก็เลยต้องยอมหยุดการเพิ่มของหวานเข้าไปเพียงเท่านั้น ขยับลงจากเตียงออกไปทางห้องครัวเพื่อเก็บเข้าตู้เย็นสำหรับรักษาคุณภาพ

   “...”

   ทั้งยังคิดไม่ตกแล้วก็อยากจะสร้างความมั่นใจอีกหน่อย จุดหมายหลังจากนั้นจึงไม่ใช่การเดินกลับเข้าไปดูสารคดีต่อแต่เป็นการเดินข้ามสิ่งของกีดขวางสารพัดไปยังกองหนังสือที่วางสุมกันเอาไว้ตรงมุมหนึ่ง หยิบจับโยกย้ายเบามือจนเจอกับซองพลาสติกเนื้อหนาใบเดิมอยู่ตรงช่วงกลาง

   ใบหน้าอ่อนกว่าวัยแต่ยังมีเค้าโครงเดิม คงเพราะเก็บไม่ดีตั้งแต่คราวที่แล้วทั้งชื่อและนามสกุลของผู้เขียนถึงเด่นหราอยู่ในการมองเห็น นิรชาไล้ปลายนิ้วไปตามช่วงหน้าของคนที่อยู่ด้วยกันมาทั้งวัน คำพูดสุดท้ายหลังจากแยกย้ายยังเล่นซ้ำจนเขาชักรำคาญ

   เดินกลับเข้ามาอีกครั้งก็เจออีกหนึ่งชีวิตออกจากห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อย ชุดนอนแบบผ้าแพรดูแก่แต่ก็ไม่ขัดตาเท่าไหร่นัก ส่วนของเขาก็เป็นการหยิบเอาเสื้อยืดสำรองในรถมาใส่กับกางเกงขาสั้นที่รื้อเจอจากมุมในสุดของตู้เสื้อผ้า

   “คุณช่วยอ่านนัดหมายข้างในให้หน่อยได้สิ ผมจะได้ฟิกซ์วันเอาไว้เลย”

   เอาความไว้ใจมาจากไหนมากมายก็ไม่รู้ คนมาอาศัยหลับนอนชั่วคราวในค่ำคืนนี้เอื้อมมือไปหยิบซองสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่วางเอาไว้เด่นอยู่ด้านบนสุดของกองหนังสือข้างเตียง กระดาษเนื้อแข็งสีเขียวอ่อนเขียนจ่าหน้าซองถึงฐิติด้วยลายมือเป็นระเบียบสวยงาม ไม่มีข้อความอื่นเพิ่มเติมที่ช่วยบ่งบอกถึงระดับความสนิทสนมได้

   กึ่งนั่งกึ่งนอนตามสบายอยู่บนเตียงไม่มีความเกรงใจ ส่วนเจ้าของห้องยังนั่งอยู่บนเก้าอี้พักผ่อนแบบผ้าที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เดาเอาเองว่าคงไม่รู้จะเอาไว้ส่วนไหนของห้องก็เลยวางในห้องนอนก่อน

   ไล่สายตาไปทีละบรรทัดไม่เร่งรีบ อ่านให้ฟังทุกตัวอักษรไม่มีตกหล่นสาระสำคัญ จนครบถ้วนทุกกระบวนความแล้วถึงลอบแอบมองว่ามันมีปฏิกิริยาน่ากังวลใดหรือไม่ ฐิติกับแว่นสายตาทรงคนแก่ยังจ้องอยู่แต่หน้าจอสมาร์ตโฟนเช่นเดิม เขาเลยปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใช้เวลากับตัวเองเต็มที่ไม่เข้าไปวุ่นวายอะไรอีก

   ...

   พลิกไปอีกด้านของกระดาษแข็งเพื่อพบกับรูปถ่ายในโลเคชันกลางแจ้งของบ่าวสาว รอยยิ้มสุดแสนธรรมชาติที่ประดับอยู่บนใบหน้าของทั้งสองควรส่งความสุขจนเขาอมยิ้มตามไม่ได้ หากบางสิ่งที่ยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำที่แสนเจ็บปวดกลับทำให้ต้องเม้มปากเอาไว้แน่นก่อนหลุดอะไรออกไป

   ชั่งใจเรื่องข้อดีและข้อเสียให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สูดลมหายใจเข้าลึกเรียกความมั่นใจก่อนเคลื่อนตัวลงจากเตียง รับรู้ได้ถึงความลังเลข้างในใจจากทุกจังหวะการก้าวที่ช้ากว่าปกติเล็กน้อย

   หยุดและยืนประจันหน้ากับผู้ชายอีกคนในห้อง นัยน์ตาสีดำคู่เดิมช้อนขึ้นมามองครู่เดียวเพื่อให้สื่อสารกันผ่านสายตาสำเร็จ ยิ้มเหยียดมุมปากกับจังหวะการตบตักสองสามครั้งแทนตำแหน่งการนั่งของนิรชา

   เก้าอี้พักผ่อนถูกออกแบบให้มีพื้นที่กว้างกว่ารุ่นปกติ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้มากพอสำหรับการเบียดกันสองคนอยู่ดี ที่เท้าแขนบุนวมเลยเป็นตำแหน่งที่เขาทิ้งตัวลงไปแทน

   “เป็นอะไรครับ ยังคิดเรื่องไร้ค่าไม่ไร้ค่าอยู่เหรอ” มือขวาถูกแทรกซึมเชื่องช้าด้วยความอบอุ่น ฐิติกอบกุมเอามันไว้หลวมๆ พอเป็นสัญลักษณ์ของความห่วงใย “ก็บอกแล้วว่ามันไม่ได้แย่อย่างนั้นหรอก”

   “ไม่ใช่เรื่องนั้น”

   “แล้ว..?” จับจ้องทุกการกระทำไม่มีละสายตาไปที่อื่น จุมพิตจากริมฝีปากนุ่มกับด้านหลังมือเย็นจนน่าสงสัยว่าเครื่องปรับอากาศมันตั้งเอาไว้ที่กี่องศา “หรือว่ายังไม่อยากไปเดินกรูเม่ต์คนเดียวอีก?”

   “ก็ไม่ใช่อีกล่ะ”

   ปล่อยให้มือของตัวเองกลางเป็นหุ่นมือไม้จำลองพร้อมให้อีกฝ่ายยกขยับปรับการเคลื่อนไหวของฝ่ามือตามใจชอบ

   “คนรับฟังพร้อมแล้วครับ ว่ามาได้เลย”

   “นี่ คุณฐิติ”

   ร่างกายของเราไม่ถึงกับเบียดชิด และไม่ได้ไกลห่างเช่นกัน

   ระยะที่ไม่ต่างจากความสัมพันธ์อันแสนบิดเบี้ยวที่ไม่มีใครเข้าใจ

   “ครับ?”

   “คุณซ่อนเขาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”

   เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่หนำซ้ำยังอาจจะสร้างความความกังขาระคนไปกับความกังวลยู่คนเดียวจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตอีก

   แต่ฐิติก็ยังเป็นฐิติ คนที่เก็บตัวตนเอาไว้ใต้บทบาทของผู้ชายใจดีมีน้ำใจอย่างแนบเนียน สังเกตได้จากใบหน้าไม่เปลี่ยนความรู้สึก มือที่ยังประสานกันเอาไว้อยู่ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม ทุกอย่างดูปกติเสียจนเขาไม่มั่นใจว่าเมื่อสักครู่ตนเองได้เอ่ยปากถามออกไปแล้วจริงหรือไม่

   “ก็นานแล้วนะ บอกเวลาชัดเจนไม่ได้แฮะ”

   “ขนาดนั้นเลย?”

   “เหมือนตอนแรกยังไม่รู้ มารู้ช่วงที่ไปเรียนต่อนั่นแหละ”

   ต่อให้พอรู้สึกนิสัยใจคอในระดับหนึ่งก็อดประหลาดใจกับปฎิกิริยาตอบรับไม่ได้ ก็ที่เมื่อกี้ชั่งใจอยู่คือกลัวว่าถ้าถามมันออกไปแล้วอีกคนเศร้าซึมไปนี่เขาเป็นฝ่ายผิดเต็มประตูเลยที่ถามอะไรจี้ใจดำออกไป ดีไม่ดีได้เป็นพวกจอมยุ่งที่สนใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่นจนออกนอกหน้าอีก

   กลายเป็นว่านอกจากจะปกติสุขแล้ว ยังเล่าออกมาไม่มีสะดุดอีกต่างหาก

   “แล้วทำไมถึงไม่ทำอะไรเลยล่ะ”

   “แล้วจะให้ทำอะไรล่ะครับ?” คำย้อนเกือบเป็นการทวนถามทั้งหมด และมันก็เป็นคำตอบที่ดีในตัว “ตอนนี้เขาก็กำลังจะแต่งงานแล้วด้วย”

   มือข้างที่ย้ายมาโอบเอวเอาไว้ออกแรงดึงเบาๆ ยอมเป็นเด็กดียอมขยับตัวลงมานั่งบนตัก เอนหลังพิงแผ่นอกทิ้งน้ำหนักลงไม่มีการเกร็งตัวใดๆ 

   “ก็นะ...”

   “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถาม”

   “ผมนึกว่าคุณจะถามว่ารู้ได้ยังไงมากกว่า” นิรชายังติดใจตรงนี้อยู่ดี

   “คุณไม่ใช่คนโง่ แล้วผมก็ไม่ได้ปิดมันไว้ ไม่ช้าก็เร็วคุณก็ต้องรู้”

   ผงกหัวเป็นเชิงเข้าใจได้ คางคนด้านหลังยื่นมาเกยตรงไหล่จนต้องเป็นฝ่ายขยับให้มันลงล็อกกัน

   “รู้สึกแย่หรือเปล่านิน?”

   “อะไรที่ทำให้คุณคิดอย่างนั้น”

   “ไม่รู้สิ ...เหมือนผมหลอกใช้คุณล่ะมั้ง”

   หลุดหัวเราะสั้นออกมาได้นิดหน่อย เอียงศีรษะไปซบกับข้างแก้มอีกคนเอาไว้ “ผมต่างหากที่หลอกใช้คุณอยู่”

   “งั้นเราก็เสมอกัน”

   ความชิดใกล้พาให้กลิ่นสบู่เหลวยี่ห้อดังของต่างประเทศละอวลอายรอบตัว แรงกอดรัดบริเวณช่วงเอวกระชับทั้งตัวให้แนบชิดกันมากขึ้น อาการเสียสูญกะทันหันน่ารักเสียจนเขาอดยกมือขึ้นมาลูบเรือนผมแทนการปลอบโยนไม่ได้

   “ใช่...เสมอกัน”

   “ไม่ดีเลยเนอะ”

   “อือ”

   เฉไฉไปคุยเรื่องอื่นโดยไม่ย้อนกลับมาพูดเรื่องของชายหญิงคู่นั้นอีก

   ใครจะกล้าบอกล่ะ

   ว่านอกจากว่าที่เจ้าบ่าวแล้ว เขาก็เคยเจอว่าที่เจ้าสาวในกรูเม่ต์พารากอนเหมือนกัน


***
   เพราะว่าปกติเรื่องสั้นของเจ้าจะไม่เกินสามตอนจบค่ะ พอเรื่องนี้ต้องเพิ่มอีกตอนเพื่อให้ตรงกับความตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วก็คำนวณไทม์ไลน์ของเรื่องลำบากเหมือนกันนะคะ (หัวเราะ)
   ช่วงนี้ไข้หวัดระบาด เจ้าก็ไม่รอดนอนซมมาสองวันแล้ว ทุกคนดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ (ยิ้ม)
   #อีไอแอลวี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2019 08:15:09 โดย 23August »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - III: VILE [28.1.19]
«ตอบ #11 เมื่อ28-01-2019 20:26:20 »

ความลับเปิดเผย... :sad4:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - III: VILE [28.1.19]
«ตอบ #12 เมื่อ28-01-2019 20:49:57 »

รู้ความจริงแล้ว

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - III: VILE [28.1.19]
«ตอบ #13 เมื่อ28-01-2019 21:42:57 »

มาเริ่มต้นใหม่เถอะนะทั้งสอง  :pig4:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - III: VILE [28.1.19]
«ตอบ #14 เมื่อ31-01-2019 23:53:50 »

อยากให้ทั้ง2คนเริ่มต้นใหม่จัง  :o12:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - IV: EVIL [END] [2.2.19]
«ตอบ #15 เมื่อ02-02-2019 16:24:48 »

IV: EVIL [END]


   นิรชาไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกนี้อย่างไร

   กลืนไม่เข้าคายไม่ออกล่ะมั้ง

   ภาพบนหน้าจอที่เขาเพิ่งจัดเก็บลงเครื่องไปคืออีกฟากของโต๊ะทำงานที่ถ่ายจากมุมของเจ้าของห้องพักอาจารย์อย่างฐิติ เก้าอี้ตัวที่เขาเคยนั่งว่างเปล่าไม่มีใครมาแทนที่ ไม่มีข้อความใดส่งมาอธิบายเหมือนอีกฝ่ายจงใจให้เขาตีความเอาเอง

   ครั้งแรกที่เราได้อยู่ด้วยกัน

   หรือไม่ก็

   ช่วงเวลาที่คุณจับผมได้

   อะไรทำนองนั้น

   วางเครื่องมือสื่อสารลงกับโต๊ะ ยืดเหยียดร่างกายตามท่าการบริหารสำหรับป้องกันโรคออฟฟิสซินโดรมสักชุดตามความเคยชิน อะไรที่กันเอาไว้ได้ก่อนก็ไม่ควรละเลย พี่ที่ทำงานหลายคนต้องไปพบแพทย์เป็นประจำเพราะปล่อยให้มันเรื้อรังจนยากจะรักษา

   ความอึดอัดข้างในพาให้ถอนหายใจออกมาเหนื่อยอ่อน เขาไม่กล้าปริปากเผยเรื่องนี้ออกไปให้ใครรับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นเจ้าของรูปถ่ายเมื่อสักครู่

   จะให้บอกว่า ‘เฮ้ ผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานกับเพื่อนคุณกำลังคบซ้อนกับแฟนผมอยู่’ อย่างนี้ก็ไม่ใช่

   เสียงสั่นครืดท่ามกลางความเงียบดึงให้เขากลับออกมาจากโลกของคนรักสุขภาพ ชื่อที่บันทึกเอาไว้เรียบง่ายด้วยอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกอย่างตัวทีกำลังแจ้งว่าอีกฝั่งของเส้นสัญญาณคือใคร คิดถึงก็โทรมาเลย

   (อะไรคือการอ่านไม่ตอบครับ)

   “คิดไม่ออกว่าจะพิมพ์อะไรดี”

   (อย่างนี้ก็ได้เหรอ)

   ถ้าหัวเราะร่วนได้ก็คงอารมณ์ดีอยู่ ไปกดคะแนนเด็กมาหรือยังไงกันนะ “ได้สิ”

   (ตามใจครับ แล้วนี่ทำอะไรอยู่)

   “ยังอยู่ออฟฟิส” มองไปยังโต๊ะว่างเปล่ารอบตัวแล้วเงยหน้าไปทางนาฬิกาดิจิทัลตรงกลางของชั้นทำงาน เวลาเกือบสองทุ่มในช่วงที่ไม่มีงานใหญ่ก็อย่างนี้ “สักพักจะกลับล่ะ”

   (ดี ดึกแล้ว)

   “คนที่ถ่ายรูปห้องทำงานมาให้ไม่ควรพูดอย่างนี้นะ”

   จะบอกว่าอายุเยอะแล้วก็ไม่ใช่ ทั้งตัวเขาและฐิติไม่ค่อยอยู่ในโลกออนไลน์มากเท่าไหร่ อย่างพวกเฟซบุ๊กก็มีไว้เป็นขั้นพื้นฐานไม่ได้อัปเดตอะไรจริงจัง ที่ต้องใช้บ่อยที่สุดก็คงเป็นไลน์อย่างเดียว

   เพราะอย่างนั้นนอกจากการเจอหน้ากันแบบตัวต่อตัวแล้ววิธีการติดต่อสื่อสารของเราเลยเป็นทางแอปแชตสีเขียวนี้เกือบทั้งหมด เป็นข้อความสั้นทั่วไปไม่ใช่ความรักวัยใสที่จะมารายงานทุกอย่าง รูปที่ส่งนี่สามารถนับนิ้วได้เลยล่ะ

   ไม่มีอะไรที่ยังค้างเอาไว้อยู่แล้วเลยเก็บอุปกรณ์การทำงานบนโต๊ะให้เข้าที่ หยิบกระเป๋าใบประจำขึ้นสะพายพลางเดินออกไปทางลานจอดรถ บรรยากาศเงียบสงบของสถานที่ทำงานในเวลากลางคืนส่งผลให้เสียงที่ดังจากลำโพงชัดแม้จะไม่ได้เร่งระดับ

   (ผมอยู่เวลานี้บ่อยจะตาย)

   “ไม่เถียง”

   ตั้งแต่รู้จักกันจะโผล่มาอยู่สองเวลาหลักคือตอนพักกลางวันกับหลังสามทุ่มไปแล้ว ที่เหลือน่ะเรียกได้ว่าหายตัวไร้ร่องรอย จะโทรก็ไม่ค่อยอยากทำเพราะถ้าสอนอยู่ล่ะยุ่งกันหมด

   “มีอะไรหรือเปล่า จะขับรถแล้ว”

   (จะถามว่าวันศุกร์เย็นว่างไหม)

   ดึงสายรัดเซฟตี้ให้เข้าที่ กดคำสั่งลำโพงบนหน้าจอแล้วโยนโทรศัพท์เครื่องเหลี่ยมไว้บนเบาะข้างตัว คิดว่าไม่น่าจะคุยกันนานจึงเลือกถอยรถออกจากตึกเลยดีกว่า

   “ว่าง ทำไมเหรอ”

   (ผมมาชวนไปรับชุดของเพื่อนเจ้าบ่าวน่ะ)

   “...”
 


   ด้วยตัวงานและนิสัยส่วนบุคคลที่ไม่ชอบพบปะสุงสิงกับใครอื่นส่งผลให้เขาเป็นคนที่มีความรู้รอบตัวน้อยถึงขั้นติดลบ อะไรที่ไม่ได้อยู่ในบทเรียนพื้นฐานสมัยเรียนก็บอกได้เลยว่าไม่เคยรับรู้อะไรกับใครเขาทั้งนั้น นี่ก็เลยเพิ่งรู้เหมือนกันว่าสูทสีกรมท่ามันเป็นสีสากล

   “คุณว่ามันโอเคหรือยัง?”

   “ก็...ดูได้”

   นั่งเท้าค้างกับโต๊ะอยู่ตรงส่วนรับรองมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว ทั้งไม่ชอบเล่นโทรศัพท์แล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำฆ่าเวลา จะให้ไปเดินดูชุดที่ร้านจัดบริการเอาไว้มันก็ไม่ใช่เรื่อง ก็เลยเปิดคอร์สนั่งสมาธิไปหนึ่งคลาสเรียบร้อย

   มุมปากข้างหนึ่งของฐิติขยับขึ้นนิดหน่อย “แสดงว่าดีแล้ว”

   “คุณก็รู้หุ่นตัวเองไหมล่ะ”

   ไม่เข้าใจเลยว่าคนที่ต้องใส่เสื้อเชิ้ตรวมถึงสูทในการสอนทุกวันยังจะมาถามทำนองนี้เพื่อจุดประสงค์อะไร คือถ้าเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์อย่างเขาก็ว่าไปอย่าง

   “ก็อยากได้ยินจากปากคุณไง”

   โอเค

   ได้คำตอบเป็นที่เรียบร้อย

   จำไม่ได้ว่าตอนอ่านบัตรเชิญได้เห็นส่วนที่เขียนเกี่ยวกับธีมสีของชุดหรือเปล่า แต่เอาเท่าที่ได้สัมผัสมาเองแล้วเขาถูกจริตกับรสนิยมคนจัดงานพอควร อย่างการเลือกสีกรมท่าสำหรับสูทของเพื่อนเจ้าบ่าวเป็นต้น

   ว่างพอที่จะลอบสังเกตร่างกายคนมาลองชุดได้ทีละส่วน ไหล่กว้างกับช่วงเอวคอดลงไปพอดีตัวไม่ดูเป็นพวกเข้ายิมเป็นบ้าเป็นหลัง ส่วนช่วงขาก็เพรียวลมคล่องแคล่วทุกอิริยาบท ถ้าเป็นอาจารย์ก็ควรจะนั่งสอนทั้งวันจนลงพุงมากกว่านี้สิ นี่ดูยังไงก็รู้ว่ารักษาสุขภาพ

   ท่าการจัดเสื้อหน้ากระจกดูดีเสียจนน่าหมั่นไส้ จะบอกว่าคัทติ้งของเสื้อสวยอย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะต้องยอมรับว่าไม้แขวนเองก็ส่งเสริมกันได้อย่างดี

   ระยะห่างระหว่างเราสองคนนับได้เป็นจำนวนน้อยกว่าสิบก้าว มันใกล้พอที่จะเห็นว่ายามเขาเอี้ยวตัวกลับมาขยิบตาให้เขามันทะเล้นแค่ไหน

   การตอบรับคือเบะปากแล้วสะบัดมือไล่ให้กลับไปสนใจธุระก่อน กว่าจะได้ออกจากร้านจริงก็เกือบสิบห้านาทีต่อมา ยืนฟังกฎจุกจิกเกี่ยวกับการรักษาแล้วก็ค่าปรับจนนึกว่าใส่ไปลุยป่ามากกว่างานแต่งแค่ไม่กี่ชั่วโมง

   “แล้วที่คุณบอกว่าจะให้ไปกับคุณต่อนี่ยังทันไหม ตอนนี้ก็เกือบทุ่มไปแล้วนะ”

   ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว จะแยกย้ายกันเลยก็กระไรอยู่ นิรชาก็เลยวางแผนให้ช่วงเย็นในวันศุกร์แบบนี้คุ้มค่ามากที่สุด

   “ทัน ผมนัดเอาไว้ตอนทุ่มครึ่ง” หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ เมื่อเห็นว่ามีการอัปเดตข้อความที่ต้องการแล้วจึงเก็บมันลงไปตามเดิม “จากนี่ไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”

   “นี่เราจะไปไหนกัน”

   ฐิติน่ะแค่ถามว่าไปอีกสถานที่หนึ่งต่อด้วยกันได้หรือเปล่าก็ตกลงแล้ว ไม่มีการถามรายละเอียดอะไรทั้งนั้น “สตาร์บัคตรงอารีย์”

   “หืม?”

   “นัดเขาไว้ จะได้บอกเลิกสักที”

   “จริงจัง?”

   “อือ”

   ให้คำตอบกลับไปสั้น จัดการเช็กตำแหน่งการวางเสื้อสูทตรงเบาะหลังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดประตูลง

   โดนดักเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะใช้รถของนิรชาก็ได้แต่คนขับจะต้องเป็นอีกคนเท่านั้น ตำแหน่งเบาะหน้าทางซ้ายเลยตกเป็นของเขาอย่างเสียไม่ได้ จะว่าไปก็สบายดีเหมือนกันที่ไม่ต้องเหยียบเบรกกับคันเร่งจนปวดเท้า

   ที่เลือกตรงนี้เพราะว่ามันใกล้กับที่ทำงานของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเขาเอง จะเจอกันครั้งสุดท้ายก็ไม่อยากลำบากให้ต้องเดินทางไกล เดี๋ยวจัดการไปหาเองเสร็จสรรพแล้วก็จะได้แยกย้ายโดยไม่ต้องมีอะไรค้างคาอีกแล้วตลอดกาล

   “ไม่กลัวแล้วเหรอครับ” มันกลั้วเสียงหัวเราะมากกว่าเคร่งเครียด เรื่องที่คุยหลังจากนั้นก็ดูเป็นการปลอบระคนไปกับการให้กำลังใจ “เก่งจังเลยนะ”

   “ทิ้งเอาไว้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา”

   ในท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ทำมันไม่ได้ให้ผลลัพท์อย่างที่หวังเอาไว้ตั้งแต่แรก

   “แล้วจะอยู่นานหรือเปล่า ให้ผมเข้าไปด้วยไหม”

   “คิดว่าไม่นานหรอก”

   จงใจเมินคำถามที่สอง ไม่อยากจะเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการก็เลยปล่อยให้มันเป็นการตัดสินใจของเจ้าตัวไปเสีย

   ผิดแผนนิดหน่อยตรงอุบัติเหตุบนถนนเส้นใหญ่จนล่วงเลยเวลานัดหมาย เขาได้แต่อธิบายระบบการจอดบนตึกคร่าวๆ ให้กับคนขับฟัง กำชับว่าอย่าลืมหยิบกุญแจรถออกมาด้วย จากนั้นจึงรีบสาวเท้ายาวเข้าไปข้างในร้านกาแฟแฟรนไซน์ใหญ่อันเป็นสถานที่นัดหมาย

   ขำอะไรก็ไม่รู้ตอนที่เห็นชายคนนั้นนั่งอยู่ก่อนแล้วตรงโต๊ะตัวติดหน้าต่าง เขาปั้นหน้ายิ้มคล้ายหุ่นยนต์พลางขอโทษที่มาสายกว่าเวลานัดหมายเล็กน้อย

   “ไม่เป็นไรนี่ รถชนให้ทำไงได้”

   “กลัวพี่เสียเวลาน่ะครับ”

   “เสียเวลาอะไร เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะช่วงหลัง แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”

   ยกมือขึ้นปฏิเสธบัตรสมาชิกระดับโกลด์ที่ถูกส่งมาให้ตามความเคยชิน “แวะมาแป๊บเดียวครับ ไม่อยากกินกาแฟเวลานี้ด้วย”

   นิรชาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนเราสามารถไม่ใส่ใจให้กับคนที่เคยเป็นความรักได้เช่นนี้ ถึงความสัมพันธ์ของเราจะเป็นเวอร์ชั่นเรียบง่ายที่ไม่เคยมีอะไรหวือหวาให้ตื่นตาตื่นใจมาตั้งแต่แรก มันก็ยังคงน่ากลัวไม่น้อยเมื่อวันหนึ่งสิ่งนั้นมันสลายไปกับกาลเวลา

   แล้วหลงเหลือเพียงความเกลียดชังที่ซ่อนเอาไว้ใต้ความเฉยชา

   “เรื่องใหญ่ใช่ไหมเนี่ย”

   “สำหรับผมแล้วก็ไม่ขนาดนั้นครับ”

   “มา พี่พร้อมล่ะ”

   นัยน์ตาสองคู่สบกันเสี้ยววินาที ยิ้มละไมเป็นสิ่งแรกที่นิรชาเผยก่อนเริ่มเข้าส่วนสำคัญของเรื่อง

   “ผมรู้มานานแล้วว่าพี่มีคนอื่น”
   
   หากไม่คาดหวัง ก็จะไม่ผิดหวัง ในครั้งนี้นิรชาเลือกถูกที่ไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าละอายใจจากคนตรงหน้า เพราะสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงนั้นมันมีเพียงการหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับผงกหัวขึ้นลง

   “นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เราเงียบๆ ไปสินะ”

   “ก็เป็นส่วนหนึ่งครับ” ปัดใบหน้าของบุคคลที่สามให้ออกไปจากจุดนี้ก่อน “เก็บไว้ก็เหนื่อย มาบอกให้จบๆ กันไปสักที”

   “ขอโทษที่ทำให้เหนื่อยนะ”

   ชักคล้อยตามอย่างที่ฐิติเคยเล่าว่านักคิดหลายคนมีความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ว่าไม่ใช่คนดีและเห็นแก่ตัว มันไม่มีประโยคใดที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิดบาปในสิ่งที่กระทำลงไป เป็นการยอมรับตามทุกข้อกล่าวหาไร้คำแก้ต่าง

   “ก็ถือว่าเราเคลียร์กันเรียบร้อย”

   “ครับ”

   ผงกหัวหนึ่งครั้งเป็นการจบบทสนทนา ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมออกไปจากสถานที่นี้และไม่มีความคิดจะกลับมาเหยียบอีกหากไม่จำเป็น คนที่เพิ่งกลายเป็นอดีตแฟนของเขายังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวพอที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กอะไรบางอย่างได้หน้าตาเฉย

   ปากเอ่ยออกไปไวกว่าความคิด “คนหนึ่งมีแฟนอยู่แล้ว ส่วนอีกคนก็กำลังจะแต่งงาน”

   “...”

   “เหมาะสมกันชะมัดเลยครับ”
 


   ไอสกรีมชาเขียวที่ไม่มีใครจัดการเป็นข้ออ้างที่ฐิติยกขึ้นมาสำหรับการค้างคืน

   ใช้พลังงานทั้งวันจนไม่อยากจะเถียงอะไรอีกแล้วเลยปล่อยให้มันเลยตามเลย อีกใจก็ยอมรับว่าการไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวในช่วงเวลาเช่นนี้มันก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน

   ฉากที่กำลังเล่นอยู่เหมือนเดจาวูย้อนกลับ นิรชานั่งพิงหัวเตียงเหยียดขาดูสารคดีเกี่ยวกับสัตว์น้ำที่ใกล้สูญพันธุ์ มือก็ตักเอาของหวานเข้าปากไม่มีหยุด ถ้าไปตรวจสุขภาพในช่วงต่อจากนี้แล้วระดับค่าน้ำตาลในเลือดสูงนี่ไม่ต้องไปตามล่าหาต้นเหตุกันเลย

   ความหน่วงไม่มีที่มายังคงติดค้างอยู่ในความคิด รสชาติที่ควรจะหวานจัดเข้าสู่ส่วนการรับรสเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาถอนหายใจออกยาวเหยียดยามปลงตกได้ว่ามันคงไม่มีอะไรที่ดีขึ้น ลุกขึ้นไปเก็บใส่ช่องแช่แข็งเช่นเดิมรอให้เจ้าของห้องออกจากห้องน้ำมาซักฟอกตามระเบียบ

   ต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่ตอนกลับเข้ามาในห้องแล้วมันก็ยังว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม เข้าใจว่าคงต้องการเวลาให้กับตัวเองอยู่แหละ

   ก็ใครใช้ให้มานั่งโต๊ะตัวต่อกันเลยอย่างนั้น ตอนที่คุยกับพี่เขาก็คงได้ยินหมดแล้ว

   เราทั้งคู่ต่างเงียบตลอดเส้นทางกลับ ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมั่นใจว่าเรื่องที่กำลังคิดอยู่นั้นไม่หนีกันเท่าไหร่ คำแก้ตัวที่ดีคือกิริยาตอบรับมันน่าโมโหจนเผลอพลั้งปากออกไป และส่วนสิ่งที่ยอมรับโดยดุษฎีคือเขาไม่อยากจะเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวเหมือนกัน

   บอกระยะเวลาที่แน่นอนไม่ได้ เอาเป็นว่าดูสารคดีได้เกือบจบเรื่องถึงเห็นหน้าเจ้าของห้องอีกครั้ง ฐิติกับชุดนอนแบบเดิมดูไม่เหมือนเดิมสักนิดเมื่อรวมเข้ากับความราบเรียบในน้ำเสียง ครั้งนี้เก้าอี้นวมแบบผ้าถูกปล่อยให้ว่างเปล่าไม่มีใครจับจอง ผู้ชายสองคนยึดพื้นที่คนละฝั่งของเตียงเป็นฐานที่ตั้ง

   ปิดโทรทัศน์ให้เรียบร้อย วางมือประสานเอาไว้ตรงหน้าตักบอกชัดผ่านการกระทำว่าจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มต้นอย่างแน่นอน

   “คราวนี้ตาผมตั้งคำถามบ้างใช่ไหม”

   “ผมไม่เริ่มเล่าเองอยู่แล้ว”

   “คุณเก็บมันเอาไว้ทำไม”

   ขนาดเตรียมคำตอบไว้เอาไว้สำหรับสารพัดคำถามที่เป็นไปได้ ของจริงก็ยังอยู่นอกเหนือจากการคาดคะเนอยู่ดี

   “ไม่รู้สิ” เอ่ยเรียบง่าย ไม่หวั่นเกรงที่จะสบสายตาคู่นั้น “บางทีก็รู้สึกว่าคุณไม่สมควรจะรู้มัน”

   จะเป็นเรื่องของโลกที่แสนจะพิศวง ความจงใจหรืออะไรก็ตามที ผู้ชายคนนี้ไม่มีส่วนผิดในสิ่งที่คนเหล่านั้นได้กระทำลงไป มันก็เลยต้องชั่งใจหลายต่อหลายครั้งว่าคนที่จมอยู่ในวังวนแห่งความทรมานนี้ควรมีแค่เขาหรือเปล่า

   “แสดงว่าตั้งใจจะไม่บอก?”

   “เปล่า จะบอกถ้าถึงเวลาที่ควร”

   “เมื่อไหร่?”

   “หลังงานแต่งมั้ง”

   พอบอกไปตามตรงก็ได้ยินเสียงจิ๊ปากไม่สบอารมณ์คืนมา คิดว่าเรื่องอย่างนี้มันตัดสินใจง่ายหรือยังไงกันนะ มันไม่ใช่ว่าบอกออกไปแล้วจบกันสักหน่อย เรื่องนี้มันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนหลายคนจนเขาไม่อยากให้ความคิดชั่ววูบทำลายทุกอย่างที่วางเอาไว้แล้ว

   “อย่างนั้นมันไม่โหดร้ายกับเพื่อนผมเกินไปหน่อยเหรอ?”

   “...ถูกลดความสำคัญอย่างที่คิดเลยแฮะ”

   “...”

   มนุษย์โลภเสมอ

   เราต่างไขว่คว้า

   ปรารถนาการได้ครอบครอง

   นิรชาตระหนักอยู่ทุกช่วงเวลาว่าต่อให้เป็นเหยื่อของเรื่องนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีคนอยู่เคียงข้างที่คอยปลอบโยนจนกว่าจะฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ชายคนที่กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายในเวลานี้

   “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น ผมเข้าใจคุณ” คิดไม่ออกแล้วว่าจะพูดอะไรดีเลยเปลี่ยนจากจุดบาลานซ์ของพื้นที่สี่เหลี่ยมไปนั่งเคียงข้าง ไม่กล้าแตะต้องเนื้อตัวอีกคนแม้แต่น้อย “แต่ก็หวังว่าคุณจะเข้าใจผมเหมือนกัน”

   “ขอโทษนะนิน”

   “ขอโทษทำไม เรื่องนี้ผมผิดกว่าเยอะ”

   ปลายนิ้วที่เกลี่ยตรงหลังมือของเขาเย็นกว่าทุกครั้ง ก้มหน้ามองการไล้วนไม่มีทิศทางแน่นอนแทนการเงยขึ้นไปมอง กลัวว่าถ้าได้เห็นใบหน้าของคนช่างเอาใจใส่แล้วอาจจะพานพาให้เก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัวไม่ได้อีก

   เปลี่ยนไปประสานทั้งมือเอาไว้ด้วยกัน กระชับมันแน่นเป็นจังหวะสองสามครั้งเพื่อความสบายใจส่วนตัว

   “คุณว่าผมควรทำยังไงต่อ”

   “มันอยู่ที่คุณ”

   “แล้วถ้าผมเลือกที่จะบอก?”

   “นั่นก็อยู่ที่การตัดสินใจของคุณ”

   ในสภาวะตึงเครียดเช่นนี้ก็ยังขำออกมาได้อีก นิรชาเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยขึ้นมามอง ใจชื้นอยู่หน่อยตอนที่เห็นว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่กลัวไว้

   “ให้ตาย...ผมกลัวคุณขึ้นมาเฉยเลยนิน”

   “กลัวทำไม”

   “คุณกลายเป็นปีศาจใจร้ายไปแล้ว”

   นิรชาแย้มยิ้มจางสวยงาม

   “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ” โน้มตัวไปจุมพิตตรงริมฝีปากปิดทุกคำต่อจากนั้น “ผมยังใจร้ายได้มากกว่าที่คุณคิดอีก”
 


   การจราจรในเมืองหลวงก็ยังน่าหงุดหงิดใจเหมือนทุกวัน

   โดยเฉพาะในวันที่โดนรถแท็กซี่จี้เบียดเข้ามาในเลนสองครั้งในเวลาไม่ถึงห้านาทีจนเขาต้องเบรกหน้าทิ่ม ต้องรู้อยู่แล้วไหมว่าเวลาหลังเลิกงานรถบนท้องถนนมันต้องเยอะอยู่แล้ว จะรีบไปทำไมไม่เข้าใจ

   หยุดชะงักอยู่ที่เดิมยามผลักประตูออกกว้าง ห้องพักที่ควรจะปิดไฟเอาไว้เรียบร้อยกลับสว่างไปทั่ว รองเท้าคู่คุ้นตรงมุมสุดของพื้นต่างระดับทางซ้ายแทนการแจ้งให้ทราบว่าวันนี้เขามีแขกมาเยี่ยมโดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า

   ได้เวลาแล้วสินะ

   นิรชาปิดประตูลงเงียบเชียบ ทุกย่างก้าวเชื่องช้าเพื่อไม่ให้มีเสียงรบกวนใด น่าแปลกที่ทุกความคุ้นตารอบกายดูผิดแผกไปจากเดิม เขาไม่จำเป็นต้องเรียกหรือตามหาผู้มาเยือนว่าอยู่ส่วนใดของห้องนี้ มันมีเพียสถานที่เดียวเท่านั้นที่เป็นจุดตัดสินของเรื่องทั้งหมด

   ไม่ต่างจากที่คาดเดาเอาไว้สักนิด ผู้ชายตัวสูงในชุดแบบเดิมที่เห็นจนเริ่มชินตายืนตัวตรงมองไปยังบางสิ่งบนกำแพงห้องที่ตรงกับระดับสายตา

   ไร้การต้อนรับหรือทักทาย มีเพียงช่วงตาที่เหล่มองคนมาใหม่อย่างเขา

   นัยน์ตาคู่เดิมไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่เลย

   “...”

   ร่างกายชาวาบไร้สาเหตุ การสูบฉีดเลือดเข้าไปแลกเปลี่ยนในหัวใจไต่ระดับจนสัมผัสได้ ความหวาดกลัวบางอย่างแล่นเข้ามาในระยะสั้นๆ แล้วหายไป

   นิรชาได้คำตอบแล้วว่าการ ‘ซ่อน’ มันให้รู้สึกแบบไหน

   ทำตัวใจดีสู้เสือ ตัดสินใจเดินไปยืนข้างกายไม่ยี่หระกับอนาคตที่ยังบอกไม่ได้ว่าจะดีหรือร้าย ก็มาถึงขั้นนี้มันก็ไม่มีอะไรให้เสียแล้วนี่

   “ทีหลังอย่าส่งคีย์การ์ดไปทางไปรษณีย์อย่างนั้นนะ มันอันตราย”

   “ก็ไม่น่าจะมีคราวหน้าแล้ว”

   ต่อให้ถึงขั้นนี้แล้วก็ยังคงเป็นฐิติคนเดิม ห่วงใยและใส่ใจเสมอ

   “เขายกเลิกงานแต่งแล้วนะ”

   “รู้แล้ว”

   มันไม่ได้เป็นข่าวใหญ่โตที่ลือไปทั่ว เป็นแค่การส่งต่อของข้อมูลตามประสาของเพื่อนในวงสังคมเดียวกัน

   “ทำไมถึงเลือกบอกผม?”

   แค่นหัวเราะให้กับคนที่ยังมองหาคำตอบทั้งที่มันกระจ่างชัดอยู่แล้ว ยกมือขึ้นมาสร้างกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วเล็งไปยังภาพตรงหน้า

   “ก็เหมือนอย่างที่คุณเคยพูดไว้...”

   จุดมองเห็นข้างในกรอบสายตาคือกระดานไม้ก๊อกขนาดใหญ่เต็มไปด้วยรูปถ่ายหลายอิริยาบทของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอดีตแฟนและหญิงสาวคนนั้น กระดาษหลากสีพร้อมข้อความระบุช่วงเวลารวมถึงสถานที่ที่มีการบันทึกภาพเอาไว้ และเส้นด้ายโยงระยางไปหาตัวละครอื่นจนน่าเวียนหัว

   “คนหนึ่งไม่โง่”

   เบนจากความยุ่งเหยิงตรงช่วงกลางของกระดานไปทางด้านบนขวา ส่วนที่มีการวาดลูกศรในกระดาษโพสต์อิทชี้ไปทางอดีตว่าที่เจ้าบ่าวผู้น่าสงสาร ขยับไปอีกนิดจะเจอด้ายเส้นใหญ่พันเอาไว้ระหว่างหมุดสองตัวจนหนากว่าบริเวณอื่น จุดที่มีรูปเดี่ยวกลางเวทีในงานแถลงผลงานวิชาการของคนข้างตัว

   “แล้วอีกคนก็ไม่ได้ปิดเอาไว้”

   ปากกาเมจิกสีแดงหัวใหญ่ถูกวงกลมล้อมรอบหลายสิบครั้ง ชื่อจริงสองพยางค์เขียนเอาไว้ด้านบนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ตามมารายละเอียดส่วนตัวหลายข้อถูกขีดเขียนเป็นลำดับ

   “ตอนนี้เราเสมอกันจริงๆ แล้วนะ”


***
   เจ้าว่าการเขียนเรื่องสั้นนี่มันยากจริงๆ นะคะ เรื่องนี้เริ่มต้นด้วยจากประโยคเดียวตอนแรกว่าเราต่างซ่อนใครบางคนเอาไว้ทั้งนั้นค่ะ รู้สึกชอบก็เลยอยากจะเอามาใช้ ไม่มีสตอรี่มากกว่านี้ค่ะ (หัวเราะ)
   แล้วเอาจริงก็แอบกดดันค่ะ เหมือนหมดมุกจะเล่นแล้วยังไงชอบกล (ฮา) ยังมีเวลาอีกเยอะสำหรับเรื่องสั้นปีหน้า ค่อยเป็นค่อยไปเนอะคะ
   ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
   23August
   
   #อีไอแอลวี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2019 08:51:42 โดย 23August »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - IV: EVIL [END] [2.2.19]
«ตอบ #16 เมื่อ02-02-2019 17:26:42 »

เรางงว่าคนที่จะแต่งงานกันนี่คือเพื่อน(?)ของฐิติกับใครอะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - IV: EVIL [END] [2.2.19]
«ตอบ #17 เมื่อ02-02-2019 19:50:17 »

สรุปแล้ว บังเอิญหรือตั้งใจ  :really2:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - IV: EVIL [END] [2.2.19]
«ตอบ #18 เมื่อ02-02-2019 22:21:44 »

แฟนเก่านิรชาเกี่ยวอะไรกับงานแต่งแล้วแฟนของฐิติคือเจ้าสาวที่ยกเลิกงานแต่งเจ้าบ่าวคือแฟนเก่านิรชาเจ้าสาวคือแฟนฐิติเราเข้าใจถูกหรือผิดคะฮือออคุณเจ้า

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: {เรื่องสั้น} E I L V - IV: EVIL [END] [2.2.19]
«ตอบ #19 เมื่อ11-02-2019 12:07:06 »

ก็จะงงๆตอนจบ ต้องมาอ่านละเอียดๆใหม่อีกทีแล้วล่ะ  :mew5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: {เรื่องสั้น} E I L V - IV: EVIL [END] [2.2.19]
« ตอบ #19 เมื่อ: 11-02-2019 12:07:06 »





ออฟไลน์ omgrung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: {เรื่องสั้น} E I L V (จบ)
«ตอบ #20 เมื่อ12-02-2019 01:56:30 »

งงตอนจบ

Sent from my MI MAX 2 using Tapatalk


ออฟไลน์ badsimaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: {เรื่องสั้น} E I L V (จบ)
«ตอบ #21 เมื่อ14-02-2019 00:58:16 »

ชอบภาษามากเลยค่ะ  o13

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
Re: {เรื่องสั้น} E I L V (จบ)
«ตอบ #22 เมื่อ18-10-2020 01:27:57 »

สนุกในความอึมครึมของความสัมพันธ์สองคนนี้และอีกสองคนแทรก อ๊ายยอยากให้มีต่อท้ายที่สุดแล้วจะเติมใจให้กันได้ไหม ภาษาแต่งดี  :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด