ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll  (อ่าน 8286 ครั้ง)

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ได้อ่านนิยายแนวนี้สนุกมากค่ะ เขียนได้ดี o13

ชอบค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ :L2:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
14



   ฉินหรุยกวงที่นั่งรอข่าวจากตำรวจอยู่ที่บ้านของตัวเอง ได้รับรู้ว่าห้องทำงานของเขา และภายในศูนย์ซ่อมบำรุงได้รับความเสียหายจากการระเบิด เขาไม่เคยรู้เลยว่าเลขา สาวมากความสามารถที่จ้างมาทำงานนั้นจะเป็นลูกสาวของสองสามีภรรยาแซ่โยว่ และที่น่าตกใจคือ เธอระแคะระคายเรื่องระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน

   เขานึกสงสัยว่า นอกจากเกาเจินกุยแล้ว ยังมีใครอีกที่เห็นเขาคุยกับหมอนั่นอีก แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญเท่าเรื่องระเบิดที่เกิดขึ้นในห้องทำงานของเขา เพราะยังไงโยว่ซินหรูก็ไม่มีพยาน หรือแม้กระทั่งหลักฐานที่จะเอาผิดเขาได้ สิ่งสำคัญในตอนนี้ คือการลอบเข้าไปในที่เกิดเหตุเพื่อนำสิ่งนั้นออกมา

   “นายเห็นข่าวแล้วใช่ไหม?” ฉินหรุยกวงโทรไปหาคนที่พอจะช่วยเขาได้ในเวลานี้

   ‘เห็นแล้ว แต่ตำรวจก็จับคนร้ายได้แล้วนี่’

   “ใช่ แต่ฉันยังมีเรื่องที่ต้องการให้นายช่วย”

   ‘เรื่องอะไร จะให้ฆ่าปิดปากสองคนนั้นรึไง’

   “ไม่ต้อง ยังไงพวกมันก็ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นพวกมันคงไม่คิดวางระเบิดบริษัทฯ ของฉันหรอก”

   ‘แล้วนายต้องการให้ฉันช่วยอะไร’

   “บัญชีของไหว่ยี่ อยู่ในห้องทำงานฉัน”

   ‘บัญชีนั่น ไปอยู่ในห้องทำงานของนายได้ยังไง นายควรจะเก็บมันไว้ที่บ้านไม่ใช่เหรอ? ’

   “บ้านฉันถูกขโมยขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันเลยไม่ไว้ใจ ย้ายมันไปเก็บไว้ที่ทำงาน”

   ‘แล้วนี่ถ้าตำรวจเจอมันเข้าจะทำยังไง’

   “ฉันถึงให้นายช่วยยังไงละ ตอนนี้ตำรวจเฝ้าที่เกิดเหตุอยู่ ฉันจะเข้าไปยังทำไม่ได้เลย”

   ‘จะให้ฉันส่งคนลอบเข้าไปเนี่ยนะ ทำไมฉันจะต้องเสี่ยงด้วย’

   “ก็นายมีส่วนในคดีเมื่อ 5 ปีก่อน”

   ‘นายเป็นคนบอกเองว่าพวกมันไม่มีทั้งพยาน และหลักฐาน แล้วทำไมฉันจะต้องกลัว เรื่องของนาย นายก็จัดการเอาเอง ฉันให้เวลานายแค่วันเดียว ก่อนที่ฉันจะรายงานเจ้านาย’

   “แล้วถ้าเป็นซือหวูละ”

   ‘ฉันจะแนะนำอะไรนายอย่างหนึ่งนะ ถ้านายยังอยากจะมีลมหายใจอยู่ นายก็ไม่ควรจะไปยุ่งกับซือหวู จำไว้’

   คนที่เขาคิดว่าจะช่วยได้กลับไม่สนใจไยดีวางสายใส่เขา ทำให้ตอนนี้เขาคงต้องหาทางลอบเข้าไปในที่เกิดเหตุเอาเอง ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้านายรู้ เขาคงไม่ตายดีแน่

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างคิดว่าคนอย่างหนานเฟ่ยซานไม่น่าจะเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าเข้าใจดีว่าเลือดของตนเองนั้นมีความสำคัญขนาดไหน แต่ดูจากท่าทางที่รีบรี่เข้ามายังสถานีทันทีที่รู้ว่าคนร้ายในคดีวางระเบิดรถบัสถูกจับกุมตัวแล้ว

   เขาตามหนานเฟ่ยซานมายังสถานี เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึงกลับไปรอที่รถ เขาต้องการเฝ้าดูว่าหนานเฟ่ยซานจะออกไปในที่อันตรายอีกไหม ในระหว่างที่เขาเฝ้ารอ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

   “ครับเตี๋ย”

   ‘มีอะไรถึงได้รีบร้อนออกไป ทั้งนายแล้วก็หนานเฟ่ยซาน’

   “หนานเฟ่ยซานรีบกลับมาทำข่าวคดีรถบัสระเบิด”

   ‘นายก็เลยตามเขาไป ปล่อยให้โฮ่วจีเจียนอยู่ที่นี่’

   “ผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโฮ่วจีเจียน ถ้าเตี๋ยจะตำหนิ ก็ต้องไปตำหนิหนานเฟ่ยซาน”

   ‘นายก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับหนานเฟ่ยซาน แล้วนายตามเขาไปทำไม’

   “ผมแค่อยากให้แน่ใจว่า เขาจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง”

   ‘แต่นายไม่จำเป็นต้องตามติดเขาขนาดนั้นก็ได้ ในเมื่อคนของเตี๋ยตามเขาอยู่แล้ว’

   “หนานเฟ่ยซานพอจะรู้ตัวแล้วว่าเราให้คนตามเขา”

   ‘นายคงไปหลุดอะไรให้เฟ่ยซานรู้ตัวละสิ เตี๋ยรู้นิสัยคนของเตี๋ยดี ว่าไม่มีทางพลาด’

   “ก็นิดหน่อย”

   ‘นายก็เลยจะตามเองไปเลยสินะ’

   “ตั้งใจว่าจะดูแค่ช่วงนี้ พอพิพิธภัณฑ์เปิดตัวกล่องสำริดให้เข้าชมเมื่อไร ผมก็กลับเกาลูน”

   ‘หยวนฮ่าง เมื่อก่อนนายอาจจะยึดติดกับการค้นหาน้ำตากิเลน แต่ในตอนนี้สิ่งนั้นมันก็อยู่ที่แล็บของนาย ส่วนเรื่องของหนานเฟ่ยซาน นายก็ควรปล่อยวางได้แล้ว’

   “เอาเป็นว่า หลังจากนี้ ถ้าหนานเฟ่ยซานไม่ได้ไปทำข่าวคดีอะไรที่เสี่ยงอันตราย ผมก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”

   ‘ถ้าอย่างนั้น นายก็ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว เฝ้าอยู่หน้าสถานีก็ไม่ได้เรื่องอะไรขึ้นมา’

   “คนของเตี๋ยคงรายงานไปละสิ เตี๋ยถึงได้โทรมาได้”

   ‘ถ้านายอยากรู้เรื่องของหนานเฟ่ยซาน เตี๋ยจะให้คนรายงานกับนายโดยตรงก็แล้วกัน’

   “ครับ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างวางสายจากฝู่เถิง แล้วมองไปรอบ ๆ ลานจอดรถหน้าสถานี ถึงเขาจะมีศักดิ์เป็นหลาน แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ว่าใครคือคนของเตี๋ย ใครกันที่รายงานเตี๋ออฟฟิศว่าเขาเฝ้าหนานเฟ่ยซานอยู่ที่หน้าสถานีนี้

.........................................................................

   ผานกู่และเหยินหยางผิงเข้ามาตรวจสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง หลังจากตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้ามาเครียพื้นที่เรียบร้อย ภายในศูนย์ซ่อมบำรุง ได้รับความเสียหายไม่มากนัก เนื่องจากเจ้าหน้าที่กันบริเวณรอบรถบัสที่พบวัตถุระเบิดเอาไว้แล้ว แต่ในออฟฟิศส่วนของห้องทำงาน จนมาถึงหน้าลิฟต์ เสียหายอย่างหนัก

   ยังถือว่าชิวกัมหงโชคดีที่ขว้างกระเป๋าของโยว่ซินหรูออกไปนอกหน้าต่าง หากช้ากว่านั้น ทั้งตำรวจและผู้ต้องหาคงได้กลายเป็นศพกันไปแล้ว

   “พี่กู่ ให้ผมมาช่วยหาอะไร”

   “ไม่รู้สิ นายก็ดูๆ แล้วกันว่าอะไรที่น่าสงสัย”

   “พวกของน่าสงสัย ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานคงเก็บไปวิเคราะห์หมดแล้ว พี่จะให้ผมหาอะไรอีกละ”

   “ฉันยังสงสัยฉินหรุยกวง”

   “เรื่องที่เกาเจินกุยเห็นเขาคุยกับใครอย่างนั้นเหรอ?”

   “นายไม่สงสัยหรือไง ทำไมฉินหรุยกวงถึงได้เพิ่มยามรักษาความปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่บ้านก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไรมากมาย”

   “พี่คิดว่าเขาซ่อนอะไรเอาไว้อย่างนั้นเหรอ”

   “ฉันก็ไม่รู้ แต่นายก็เห็นตัวเลขรายได้ตอนที่ฉินหรุยกวงกำลังจะปิดอู่แท็กซี่ ถ้าอู่ขาดทุนจริง ๆ ตัวเลยมันควรจะติดลบไม่ใช่เหรอ”

   “มันก็ถูกของพี่ ไหน ๆ มาแล้ว ก็ลองหา ๆ ดูหน่อยก็แล้วกัน”

   ผานกู่และเหยินหยางผิงช่วยกันตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะภายในห้องของฉินหรุยกวง ซึ่งห้องทำงานของเขาก็เหมือนห้องทำงานทั่ว ๆ ไป มีตู้เก็บเอกสารเล็กน้อย ชั้นโชว์ถ้วยรางวัลต่าง ๆ โต๊ะทำงาน โซฟาพักคอย แต่จากสภาพตอนนี้ พวกเขาคิดว่า ฉินหรุยกวงคงต้องซ่อมแซมใหม่ทั้งหมด

   เวลาผ่านไปราวชั่วโมง พวกเขาทั้งสองก็ตรวจสอบภายในห้องเสร็จเรียบร้อย ก็ไม่พบอะไรน่าสงสัย เหยินหยางผิงที่ยังคงรื้อค้นซากโต๊ะทำงาน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เสียหายมากที่สุด กำลังวางมือจากงานตรงหน้า

   “ผมไม่เจออะไรเลย แล้วพี่ละ”

   “ไม่เจอเหมือนกัน” ผานกูตอบพร้อมกับเดินเข้าไปสมทบกับเหยินหยางผิง

   “งั้นพวกเรากลับสถานีกันเถอะ ยังมีคดีอื่นให้ต้องไปทำอีก” หยางผิงวางมือแล้วก้าวข้ามซากโต๊ะออกมา “เฮ้ย!! ”

   “ระวัง ๆ หน่อยสิหยางผิง” ผานกู่ที่กำลังหันหลังจะเดินออกจากห้อง ต้องหันมาเมื่อได้ยินเสียงร้องของหยางผิงที่สะดุดกับอะไรเข้า

   “พี่กู่ มาดูนี่สิ”

   “มีอะไร?” ผานกู่เดินเข้าไปยังจุดที่เหยินหยางผิงสะดุดเมื่อครู่

   เป็นเพราะเหยินหยางผิงสะดุดเข้ากับเศษไม้ของโต๊ะทำงาน ทำให้เศษไม้ชิ้นนั้นทิ่มลงไปบนพรม เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ใต้นั้น

   “ทำไมฉินหรุยกวงต้องทำช่องลับไว้ใต้โต๊ะทำงานตัวเอง?”

   ผานกูจัดการงัดเศษไม้ที่ขวางทางออก ก่อนรื้อพรมที่เป็นรอยไหม้จากการระเบิดออก พบบานประตูเหล็กเล็ก ๆ ขนาดเท่าเบาะรองนั่ง และด้วยแรงระเบิดทำให้บานประตูบิดเบี้ยว กลอนจึงคลายออกแต่ก็ยังไม่สามารถเปิดดูภายในได้อยู่ดี

   “เปิดไม่ออก” ผานกู่พูดหลังจากออกแรงงัดอยู่นาน

   “เดี๋ยวผมไปหาอะไรมางัดก่อน พี่รอแป๊บหนึ่ง” เหยินหยางผิงวิ่งออกจากห้องไป

   ดูจากตำแหน่งของบานประตูลับนี้แล้ว มันน่าจะอยู่ที่ใต้ที่พักเท้าของฉินหรุยกวงพอดี และยังมีพรมปิดอีกชั้นหนึ่ง ถึงมีคนเหยียบโดนก็คงไม่ได้ยินเสียงอะไร เขามองหาสิ่งของในห้องที่พอจะงัดบานประตูเหล็กนั้นขึ้นมาได้

   “มาแล้วพี่กู่” ในมือของเหยินหยางผิงมีชะแลงติดมาด้วย

   พวกเขาสองคนช่วยกันออกแรงงัด และเนื่องจากติดเศษซากของโต๊ะทำงาน ทำให้พื้นที่ให้การออกแรงมีจำกัด แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน บานประตูก็ถูกเปิดออก สิ่งแรกที่เห็นคือผ้าผืนหนา ที่วางคลุมสิ่งของด้านในไว้

   ผานกู่สวมถุงมือก่อนหยิบผ้าผืนนั้นออกมา ด้านในเป็นหลุมลึกสี่เหลี่ยม พบสมุดบันทึกจำนวนมาก ด้านหน้าสมุดเขียนระบุตัวเลขไว้ เป็นปีคริสต์ศักราช จำนวน 7-8 เล่ม เท่ากับย้อนไปราว 7-8 ปี หลังจากยกสมุดขึ้นมาแล้ว ด้านในพบกล่องบรรจุลูกกระสุนจำนวน 3-4 กล่อง และลำกล้องปืนไม่ทราบรุ่นอยู่อันหนึ่ง

   “นี่มันอะไรกัน” เหยินหยางผิงถามเขาเมื่อเห็นสิ่งของที่ซ่อนอยู่ด้านใน

   “นี่เหมือนจะเป็นบัญชีอะไรสักอย่าง มันเกี่ยวข้องกับคนที่ชื่อไหว่ยี่ ทั้งหมดถูกเขียนเป็นรหัส”

   “เหมือนพวกค้ายา”

   “ดูจากของที่อยู่ในนี้แล้ว ฉันว่าน่าจะเป็นอาวุธมากกว่า”

   “พี่กู่ หรือว่าที่เกาอี้เล่ามาจะเป็นความจริง เกาเจินกุยอาจจะไปพบเห็นอะไรเข้า ฉินหรุยกวงถึงต้องฆ่าปิดปาก”

   “เอาของพวกนี้กลับไปที่สถานีก่อน อย่างน้อยเราต้องรู้ให้ได้ว่าไหว่ยี่คือใคร”

.........................................................................

   ผมเขียนข่าวคดีรถบัสระเบิดตามรายละเอียดที่ผานกู่อนุญาตให้ลงในสื่อเรียบร้อย ก็ส่งงานไปให้ บ.ก. ตรวจสอบอีกครั้งก่อนทำการเผยแพร่ทั้งช่องทางออนไลน์ และตีพิมพ์ จากนั้นก็เก็บรายละเอียดทั้งหมดใส่แฟ้ม ก่อนนำไปรวบรวมไว้ยังคลังข้อมูลที่ชั้นใต้ดิน

   “เฟ่ยซาน เมื่อวานทำไมหนีกลับก่อน นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้เอารถไป” โฮวจีเจียนเดินเข้ามาหาเขา

   “พี่กู่โทรมาบอกเรื่องคดี ฉันเลยรีบไป” ผมวางมือจากการเก็บเอกสาร แล้วเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบแฟลชไดซ์ “เอานี่ รูปภายในออฟฟิศและแถว ๆ โกดังของเยี่ยนหวอ” ผมยื่นมันให้กับจีเจียน

   “ขอบใจ แล้วที่นายออกไปกับ ดร.เหมิ๋น นายได้ขอสัมภาษณ์เขาให้กับฉันรึเปล่า”

   “เปล่านี่ นายก็รู้ว่าดอกเตอร์พูดน้อยแค่ไหน ฉันขี้เกียจชวนคุย”

   “น้องหนานน้องรัก นายออกไปกับ ดร. เหมิ๋นเกือบครึ่งชั่วโมง นายไม่คิดจะชวนเขาคุยเลยรึยังไง ก่อนลงจากรถก็เห็นถามเรื่องน้ำตากิเลน แทนที่จะเอาไปเป็นข้อมูลคุยกับดอกเตอร์”

   “พอ ๆ หยุดบ่นได้แล้ว นายไปทำงานของนายเถอะ ถ้าคราวนี้นายเขียนข่าวฝู่เถิงออกมาดี บ.ก.อาจจะเห็นใจ เลิกแช่แข็งนายก็เป็นได้”

   “เออๆ รู้แล้ว” ผมกำลังจะเก็บข้อมูลที่เหลือใส่แฟ้มต่อ จีเจียนก็สะกิดผมอีก “นายใช้ของกุ๊กกิ๊กแบบนี้ด้วยเหรอ”

   “มันไม่ใช่ของฉัน ฉันเก็บได้แถว ๆ โกดังเมื่อวาน”

   “เดี๋ยวนี้ใครเขาใช้สมุดทำมือแบบนี้กันอยู่อีก”

   “อันที่จริงก็มีนะ คราวก่อนมีลุงคนหนึ่งพกสมุดแบบนี้ นายเอาคืนมา” ผมคว้าสมุดในมือของจีเจียนกลับมาเปิดอ่านดู

   ภายในสมุดได้จดรายละเอียดเกี่ยวกับยาหลายอย่าง ตารางนัดรับยาที่โรงพยาบาล ตารางตรวจคนไข้ วิธีการปฏิบัติและช่วยฟื้นฟูคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ข้อมูลข้างในมันทำให้ผมนึกถึงลุงเว่ย สมุดนี่ก็มีรูปแบบคล้าย ๆ กับสมุดที่ลุงเว่ยพกติดตัว ถึงผมจำลายมือที่เขียนในสมุดของลุงเว่ยไม่ได้ แต่มันก็มีส่วนคล้ายกันอยู่

   ผมวางงานที่ต้องเก็บเอาไว้บนโต๊ะทั้งอย่างนั้น ก่อนคว้ากระเป๋า แล้วตรงไปยังสถานี ถ้าผมสันนิษฐานไม่ผิด สมุดเล่มนี้อาจจะเป็นของเว่ยฟ่าน หลานสาวที่หายตัวไปของลุงเว่ย แต่ที่ผมยังไม่เข้าใจก็คือ เว่ยซานไปทำอะไรที่โกดังในเขตท่าเรือที่ 5

   “นายจะไปไหน” จีเจียนเดินตามมาถามถึงหน้าลิฟต์

   “ไปหาพี่กู่ เดี๋ยวฉันโทรบอก บ.ก. เอง นายไปทำงานของนายเถอะ” ผมพูดจบก็กดปิดลิฟต์

   ผมใช้เวลาเดินทางไปยังสถานีตำรวจไม่นาน เมื่อไปถึงพี่กู่และพี่หยางผิงไม่อยู่ ส่วนจื่ออู่ไปเยี่ยมกัมหงที่โรงพยาบาล

   “เฟ่ยซาน นายมาหาผานกู่เหรอ”

   “พี่ชุน ผมจะมาถามเรื่องคดี”

   “คดีไหนอีกละทีนี้”

   “คดีคนหาย”

   “นี่นายสนใจคดีแบบนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ”

   “ก็นิดหน่อยนะพี่ ใครรับผิดชอบคดีนี้เหรอ”

   “ทีมสืบสวนที่ 2 อาเห่าเป็นคนดูแลอยู่ นายก็ลองไปถามเขาดูสิ”

   “ขอบคุณมากพี่ชุน”

   “อ่อ เฟ่ยซาน นายจะไปไหนมาไหนก็ระวังตัวเอาไว้หน่อย ทางเรายังไม่มีเบาะแสของหวงกังโห”

   “ผมจะระวังตัว” ผมรับปากพี่จู้ชุนก่อนเดินไปยังโต๊ะของพี่ตู้เห่า “พี่เห่า”

   “อ่าว เฟ่ยซาน มาหาอากู่เหรอ?”

   “ผมมาหาพี่”

   “มาหาฉัน นายมีเรื่องอะไร”

   “พี่ชุนบอกว่าพี่ดูแลคดีคนหาย”

   “ใช่ ทำไม หรือนายมีเบาะแสของใครอย่างนั้นเหรอ”

   “ครับพี่ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ลุงเว่ยเขาพักอยู่ที่ไหน หลังจากที่มาแจ้งความเรื่องหลานสาว”

   “ฉันขอชื่อหน่อยสิ”

   “หลานสาวที่หายไปชื่อ เว่ยฟ่าน ส่วนคนที่แจ้งความคือเว่ยหยงหมิง”

   “ฉันค้นก่อนนะ” ผมรอสักพักพี่เห่าก็เอาข้อมูลให้ผมดู “ตอนนี้เว่ยหยงหมิงอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์คนชรา”

   “แล้วพี่ได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับเว่ยฟ่านไหม?”

   “วันที่เว่ยซานหายตัวไป เพื่อนบ้านเห็นเธอแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะเดินไปยังป้ายรถบัส จากที่ตรวจดูกล้องวงจรปิดทั้งในร้าน และทางเดินไปยังป้ายรถบัสก็เห็นเธอปกติดี หลังจากนั้นก็ไม่พบอะไรอีก”

   “พี่พอจะรู้ไหมว่ารถบัสที่เธอนั่ง มันไปไหนบ้าง”

   “ฉันตรวจสอบดูแล้ว รถบัสสายที่เธอนั่งจะผ่านโรงพยาบาลเกียงวู”

   “แสดงว่าเธอหายไประหว่างที่จะไปรับยาให้กับลุงเว่ยสินะ”

   “ใช่แล้ว”

   “ผมเจอสมุดนี่ มันเหมือนกับที่ลุงเว่ยพกติดตัว แต่ผมไม่แน่ใจว่าใช่ของเว่ยฟ่านรึเปล่า เพราะผมจำลายมือเธอไม่ได้”

   “ฉันก็ไม่เคยเห็นสมุดเล่มนั้น คนที่เห็นก็มีแต่นายกับกัมหง”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมจะเอาไปเทียบกับสมุดที่ลุงเว่ยพกติดตัวอยู่”

   “อะไรทำให้นายคิดว่าสมุดเล่มนี้เป็นของเว่ยฟ่าน เพราะเป็นสมุดทำมือเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ?”

   “เพราะข้อความข้างในต่างหาก พี่ลองเปิดดูสิ” ผมรอพี่ตู้เห่าอ่านข้อความที่จดด้านในสักพักหนึ่ง

   “ฉันจะไปกับนายด้วย ดูๆ แล้วฉันว่าสมุดเล่มนี้น่าจะเป็นของเว่ยฟ่านจริง ๆ นายไปเจอสมุดเล่มนี้ที่ไหน”

   “โกดังแถวท่าเรือที่ 5”

   “นั่นมันคนละทางกับโรงพยาบาลเลยนะ”

   “นี่อาจจะไม่ใช่คดีคนหายธรรมดา ๆ ก็ได้นะพี่เห่า”

   “นายกำลังคิดว่า เว่ยฟ่านอาจจะเป็นเหยื่อในคดีฆ่ารัดคออย่างนั้นเหรอ?”

   “ผมก็ยังไม่รู้ และจนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าสมุดเล่มนี้เป็นของเว่ยฟ่าน ผมถึงจะสืบต่อได้”

   “นายนี่ไม่น่าเป็นนักข่าวเลยนะ เป็นนักสืบหรือตำรวจน่าจะรุ่งกว่า”

   “ผมถือว่าพี่ชมผมก็แล้วกัน”

   “ไปกันเถอะ เดี๋ยวนายไปรถฉันก็แล้วกัน”

   ผมพยักหน้ารับก่อนเดินตามพี่ตู้เห่าออกจากสถานีไป ระหว่างที่เดินไปยังลานจอดรถ เจอพี่จู้ชุน เขาเลยตามพวกเราไปด้วย

To Be Continue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2019 21:21:10 โดย Amo »

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
15



     ภายใน​ซากห้องทำงาน เงาร่างหนึ่งกำลังรื้อค้นหาสิ่งของใต้ซากโต๊ะทำงาน จนพบตำแหน่งของที่เก็บของลับ ดูจากภายนอก คาดว่าน่าจะมีคนมาเปิดดูภายในแล้ว ทำให้เจ้าของร่างยิ่งเหงื่อซึมเข้าไปใหญ่ ทั้งที่อากาศภายในห้องนี้ไม่ได้ร้อนอบอ้าวแม้แต่น้อย

     “นั่นใคร!! ” เสียงที่ได้ยินมาจากประตูเข้าห้องทำให้เขาต้องรีบหาที่หลบ แต่ก็ไม่พ้นแสงไฟฉายที่สาดเข้ามายังใบหน้าของเขา จนต้องเอามือป้องแสงเอาไว้ “ไหนว่านายจะไม่ยุ่งเรื่องนี้”

     “นายมาเอาของในช่องลับนี้ไปแล้วใช่ไหม?” เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือเจ้าของห้องนี้ เขาก็เบาใจไปได้หน่อยหนึ่ง

     “ฉันมาไม่ทันพวกตำรวจ แต่นายสบายใจได้ บัญชีลับยังอยู่นี่” ฉินหรุยกวงพูดพร้อมทั้งชูแฟลชไดซ์ในมือให้เขาดู “พวกมันได้ไปเฉพาะบันทึกรุ่นของสินค้าที่นายใหญ่เอาเข้ามา”

     “เรื่องคดีเมื่อสามปีก่อน นายแน่ใจใช่ไหมว่าไม่มีใครเห็นเราสองคนอีก นอกจากคนขับแท็กซี่นั่น”

     “บอกตามตรง ว่าฉันก็ชักจะไม่แน่ใจ ว่าตอนนั้นเกาเจินกุยอยู่ในรถคนเดียวรึเปล่า แต่เท่าที่ฉันถาม มันก็ขอโทษฉันที่แอบไปจอดรถนอนพัก” ฉินหรุยกวงปิดไฟฉายเพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอกเห็น ทำให้ภายในห้องกลับมามืดดังเดิม

     “ฉันว่า นอกจากมัน ต้องมีคนรู้เรื่องที่เราสองคนเจอกันครั้งนั้นแน่ ไม่อย่างนั้นน้องชายมันจะมาแก้แค้นนายได้ยังไง”

     “หรือเราจะจัดการเกาอี้ เหมือนที่เราจัดการเกาเจินกุย”

     “นายจะใช้วิธีไหน ในเมื่อเกาอี้อยู่ในความคุ้มครองของตำรวจ”

     “แล้วเราควรทำยังไงดี”

     “ในเมื่อมันไม่มีหลักฐาน เราก็เฉยไว้ก่อน อีกเรื่องนายไม่รู้ใช่ไหม ว่าใต้สมุดบันทึกพวกนั้นมีลำกล้องปืน CZ 452 American กับกระสุนปืนอีกกล่องหนึ่งซุกเอาไว้”

     “นายว่ายังไงนะ ลำกล้องตัวนั้นมันมาอยู่ในช่องลับนี่ได้ยังไง” ฉินหรุยกวงตกใจเมื่อได้ยินว่ามีอะไรอยู่ในนั้นอีก

     “ฉันเป็นคนเอามาใส่ไว้เอง”

     “แล้วนายทำไมไม่บอกฉัน นี่ถ้าหากเกิดตำรวจมาถาม ฉันจะไปตอบพวกนั้นว่ายังไง”

     “เราต้องหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ ก่อนเรื่องจะถึงหูนาย”

     “นายหมายความว่ายังไง”

     “ลำกล้องตัวนั้น มันมาจากปืนของนายใหญ่ ก่อนที่นายจะเปลี่ยนไปใช้ลำกล้อง CZ 455”

     “ถ้าตำรวจเช็กเลขบนลำกล้องขึ้นมา นายคงไม่เอาเราทั้งคู่ไว้แน่”

     “ฉันรู้ ฉันว่าเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า ฉันไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าฉันอยู่ที่นี่ แล้วก็... บัญชีลับนั่น เอามาให้ฉันถ้านายยังไม่รู้จะเก็บมันไว้ที่ไหน ฉันก็จะเก็บมันเอาไว้ให้เอง”

     “ได้ ถ้าอย่างนั้น อีก 30 นาที เจอกันที่นัมวาน”
ฉินหรุยกวงเดินนำออกไปก่อน โดยมีเขาเดินตามออกไป พวกเขาเดินเลี่ยงไปกันคนละทาง และแยกย้ายกันไปยังจุดนัดพบ
 
.........................................................................


     ผานกู่นำหลักฐานที่ได้จากห้องทำงานของฉินหรุยกวงไปปรึกษากับหัวหน้า เนื่องจากข้อมูลในสมุดบันทึกนั่นเป็นรหัสเฉพาะ ซึ่งเขาพยายามจะหาความเกี่ยวโยงกับลำกล้องและกล่องกระสุนที่ได้มาพร้อมกัน แต่ก็ไม่สามารถถอดความรหัสนั่นได้เลย

      ทางด้านเหยินหยางผิงนำตัวเลขที่กำกับลำกล้องไปตรวจสอบ ปรากฏว่า มันเป็นลำกล้องของปืน CZ 452 American ซึ่งเป็นปืนที่ใช่ล่าสัตว์ เจ้าของปืนกระบอกนี้คือ เหยียนหลินฟง ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว ดังนั้นเรื่องลำกล้องนี้ก็หาความเชื่อมโยงกับฉินหรุยกวงไม่ได้อยู่ดี
 
     “เป็นยังไงบ้างพี่ หัวหน้าว่ายังไงบ้าง” เหยินหยางผิงถามทันทีที่เขาออกมาจากห้องของหัวหน้า
 
     “หัวหน้าบอกว่า ถึงมันจะน่าสงสัย แต่ก็หาความเชื่อมโยงกับฉินหรุยกวงไม่ได้ หากคดีนี้สิ้นสุด ให้ส่งของคืน”

     “เฮ้ย ได้ยังไงพี่ เห็นอยู่ว่ามันน่าสงสัย”

     “พวกเราไม่รู้แน่ชัด จะเอาอะไรไปตั้งข้อหากันละ คงต้องทำตามที่หัวหน้าบอก ระหว่างที่ยังไม่ส่งของคืนให้ฉันกับนายก็ยังมีเวลาสืบเรื่องนี้ได้อยู่”

     “จะเอาเวลาไหนมาสืบกันละพี่ คดีฆ่ารัดคอก็ยังไม่จบ ไหนจะคดีหวงกังโหอีก”

     “เอาน่า จะปล่อยไว้เฉย ๆ แบบนี้ก็ไม่ได้นี่ มันคาใจฉันยังไงชอบกล”

     “พี่กู่ พี่ว่าฉินหรุยกวงจะส่งคนมาปิดปากเกาอี้ไหม?”

     “ฉันว่าฉินหรุยกวงมันคงไม่โง่ขนาดนั้น ตอนนี้เราไม่มีหลักฐานเอาผิดมัน มีแต่ข้อกล่าวหาของเกาอี้ หากเขาทำแบบนั้น มันก็เท่ากับเขาร้อนตัวนะสิ”

     “จริงของพี่”

     “คุยอะไรกันอยู่ หน้าเครียดกันจัง หรือว่าพบศพเหยื่ออีกแล้ว” หนานเฟ่ยซานเข้ามาทักทายพวกเขา ขณะที่กำลังคุยเรื่องฉินหรุยกวงกันอยู่

     “ไม่ใช่อย่างนั้น นายก็อย่าเพิ่งพูดอะไรที่เป็นลางสิ นี่ก็เจอไปสี่ศพแล้ว พอแค่นี้เถอะ” เหยินหยางผิงถึงกับโอดครวญถึงคดีที่ยังค้างอยู่

     “ว่าแต่เราเถอะเฟ่ยซาน วันนี้มาเรื่องคดีอะไรอีกละ ถ้าคดีฆ่ารัดคอ พี่ยังมืดแปดด้าน” เขารีบบอกกับหนานเฟ่ยซาน ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ถามอะไร

     “ไม่ใช่หรอกพี่กู่ ผมมาหาพี่เห่า”

     “มาหาอาเห่า เรื่องคดี?”

     “อืม เรื่องคดีคนหาย อ่อแล้วผมว่าจะมาทวงข้อมูลเรื่องเยี่ยนหวอที่พี่รับปากจะเอาให้ผมด้วย”

     “พี่ลืมไปสนิทเลย เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน พี่กับหยางผิงมีเรื่องที่ต้องตรวจสอบ วันนี้คงไม่ว่าง”

     “ถ้าอย่างนั้นเอาไว้คราวหน้าก็ได้ ผมไปหาพี่เห่าก่อนนะ” หนานเฟ่ยซานเดินไปยังโต๊ะของตู้เห่า และจู้ชุน ก่อนที่ทั้งสามจะเข้าไปในห้องประชุม

     “สงสัยน้องหนานของพี่จะไปเจออะไรเข้าอีกแล้ว” เหยินหยางผิงพูดพร้อมเอามือพาดไหล่ของเขาไว้

     “น้อยๆ หน่อยหยางผิง” เขาว่าพร้อมปัดมือของเหยินหยางผิงออก “คดีคนหายไม่น่าจะมีอันตรายอะไร คงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกมั้ง”

     “อาชุนอยู่ด้วยคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกพี่ ยังไงอาชุนก็ให้คนคอยดูแลเฟ่ยซานอยู่แล้วนี่ จนกว่าเราจะจับตัวหวงกัมหงได้”

     “ไอ้หมอนั่นก็ไม่รู้ไปกบดานที่ไหน มันคงไม่ได้หนีออกนอกประเทศไปแล้วนะ”

     “เป็นไปไม่ได้หรอกพี่ ถ้ามันจะหนีออกนอกประเทศ เราก็ต้องได้รับรายงานเข้ามาบ้างสิ”

     “ไป ไปทำงานได้แล้ว กัมหงยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะฉะนั้น นายไปคุยกับเพื่อนผู้ตายกับฉันแทนกัมหง”

     ผานกู่และเหยินหยางผิงพากันออกจากสถานีเพื่อตรงไปยังบริษัทฯ ที่ผู้ตายเคยทำงาน นอกจากนั้นพวกเขายังต้องไปตรวจสอบสถานที่สุดท้ายที่ผู้ตายไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ เพื่อหาเบาะแสและความเชื่อมโยงของศพทั้ง 4

.........................................................................

     เหมิ๋นหยวนฮ่างได้รับรายงานจากจู้ชุน ว่าหนานเฟ่ยซานกำลังสืบคดีคนหายคดีหนึ่งอยู่ และที่หนานเฟ่ยซานสนใจคดีนี้เพราะดันไปเจอสมุดทำมือของคนที่หายตัวไปแถว ๆ โกดังของเยี่ยนหวอในวันนั้น

     “หนานเฟ่ยซานจะไปสืบเรื่องของเว่ยฟ่านที่ไหน”

     ‘เห็นเขาว่าจะไปแถว ๆ โกดังที่เจอสมุดทำมือเล่มนั้น’

     “คุณให้ใครตามเขาไปรึเปล่า?”

     ‘มีเจ้าหน้าที่ 2 นายคอยตามอยู่ ยังไงเขาก็ยังเป็นพยานในคดีค้ายาและอาวุธ’

     “ยังหาหวงกังโหไม่เจอสินะ”

     ‘ใช่ครับ ผมคิดว่า มันอาจจะถูกฆ่าตัดตอนไปแล้ว’

     “ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมยังส่งตำรวจคอยตามอยู่ละ”

     ‘ทางเรายังขาดหลักฐาน และนั่นมันก็แค่ความคิดส่วนตัวของผม’

     “ถ้าทางตำรวจเลิกตามหนานเฟ่ยซานแล้วก็บอกผมด้วย”

     ‘คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ถึงตำรวจจะเลิก แต่คนของผมก็ยังคอยตามเขาอยู่ตามคำสั่งเดิม’

     “ถ้ามีอะไรนอกเหนือจากนี้ก็รายงานผมด้วยแล้วกัน”

     ‘ได้ครับ’

     สายถูกตัดไปแทบจะทันที ที่จู้ชุนรายงานจบ เขาไม่คิดเลยว่าคนในสถานีตำรวจยังเป็นคนของเตี๋ยเขาได้ ครั้งที่แล้วที่เขาตามหนานเฟ่ยซานไปที่สถานี จู้ชุนคงเห็นเขาจึงรายงานไปยังเตี๋ยแน่ ๆ

     เหมิ๋นหยวนฮ่างตัดสินใจออกจากห้องพักไปยังโกดัง เขาจำได้ว่าที่ที่หนานเฟ่ยซานพบสมุดเล่มนั้นน่าจะเป็นแถวๆ โซน F และถ้าเขาจำไม่ผิด ต้วนเจียจงได้เช่าโกดัง F13-F14 ไว้เพื่อเก็บของเล่นที่นำเข้ามา นั่นทำให้เขาพอจะมีข้ออ้างที่จะไปเดินเล่นแถว ๆ นั้น

     เมื่อไปถึงที่หน้าโกดัง ต้วนเจียจงก็เดินออกมาต้อนรับเขาที่ด้านหน้าทางเข้าด้วยหน้าตายิ้มแย้มเชิงหยอกล้อ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะรู้จักนิสัยกันเป็นอย่างดี

     “ตอนที่นายโทรมาบอกว่าจะเข้ามาเยี่ยม ฉันนึกว่าตัวเองหูฝาดไป” ต้วนเจียจงที่เห็นว่าเขาเมินรอยยิ้มหยอกเย้านั่น เลยเปลี่ยนมาใช้วิธีพูดเหน็บแนบ

     “นายก็รู้ว่าพูดแบบนั้น มันไม่มีผลกับฉัน”

     “เย็นชาจังนะ แต่ฉันก็ดีใจที่นายคิดถึงฉัน” ต้วนเจียจงเดินนำเขาเข้าไปสู่ตัวโกดัง

    “นายเอาสินค้าเข้าเรียบร้อยดีไหม?” เขามองไปรอบ ๆ ที่ส่วนด้านหน้ากันโซนให้เป็นออฟฟิศชั่วคราว

     “เรียบร้อยดี นี่ก็ปล่อยขายออกไปหลายส่วนแล้ว ต้องขอบใจนายจริง ๆ นะหยวนฮ่าง ที่ช่วยเรื่องโกดังนี่”

     “อืม นี่ฉันก็ไม่คิด ว่านายจะใช้พื้นที่เยอะขนาดนี้” โกดังทั้งสองมีประตูเชื่อมถึงกันเป็นช่วง ๆ ขนาดพอให้รถบรรทุกวิ่งผ่านไปมาได้

     “ก็อย่างที่ฉันเคยเล่าไง ของเล่นลิขสิทธิ์จากอเมริกา มันไม่ค่อยมีใครเอาเข้ามา ฉันที่จะเปิดตลาดทางนี้ก็ต้องกักตุนไว้หน่อย จะได้ขายได้คล่อง ๆ” ต้วนเจียจงเปิดประตูและเชิญให้เขาเข้ามานั่งในออฟฟิศชั่วคราว

     “นายนี่ยังกล้าได้กล้าเสียไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

     “คนทำธุรกิจ มันก็ต้องมีวิธีตัดสินใจที่เฉียบขาด ไม่เหมือนนักโบราณคดีอย่างนาย พอไม่มีงานที่ไหน ก็เที่ยวเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูงไปเรื่อย”

     “ดูเหมือนว่าออฟฟิศนายจะยังไม่เสร็จดี” เขามองส่วนออฟฟิศที่จัดวางโต๊ะเก้าอี้ลวก ๆ พอให้ทำงานได้ แม้กระทั่งโต๊ะทำงานของต้วนเจียจง ยังตั้งรวมกับพนักงานทั่วไป

     “เอาของเข้ามาได้ ตรวจสอบเสร็จก็ส่งขาย มันเลยยังไม่เข้าที่เข้าทาง”

     “พูดแบบนี้แสดงว่ายังตรวจสอบไม่หมดละสิ”

     “แรงงานของฉันมันมีไม่พอ เลยต้องตรวจไปขายไป”

     “เสี่ยงนะ ถ้าของไม่ครบหรือศูนย์หาย”

     “เรื่องนั้นฉันป้องกันไว้แล้ว แบ่งโซนไว้อย่างดี”

     “นี่ดีแล้วใช่ไหม?”

    “นายก็ยกเว้นที่ออฟฟิศนี่ไว้หน่อยสิ หยวนฮ่าง นายเริ่มพูดประชดประชันเป็นกับเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน”

    “ฉันพูดประชดนายเมื่อไร?”

     “นายนี่มัน!! ”

     “แล้วกองนั่นมันคืออะไร”

     “อ่อ นายคงไม่รู้ ว่านอกจากฉันจะขายส่งไปตามดีลเลอร์ต่าง ๆ ฉันยังขายให้ผู้ซื้อโดยตรงผ่านเวปไซด์ด้วยนะ นี่ก็ค่อนข้างได้ผลตอบรับที่ดี”

     “นั่นสำหรับส่งให้ลูกค้าสินะ”

     “ใช่ นี่ก็รอให้เจเจเอ็กเพรสมารับของไปส่งให้ลูกค้า นายสนใจจะทัวร์ในโกดังของฉันไหม แต่ฉันออกตัวไว้ก่อนเลยนะ ว่าบางส่วนยังกั้นไว้ เพราะยังทำไม่เสร็จ”

     “ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆ ก็มาแล้ว” เหมิ๋นหยวนฮ่างคิดว่าใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกสักพักค่อยออกไปตามหาหนานเฟ่ยซานก็คงไม่เป็นไร

     “งั้นเดี๋ยวฉันพาไป”

     ทั้งสองเดินออกจากออฟฟิศ ต้วนเจียจงนำเขาไปยังรถกอล์ฟคันหนี่ง เขาก้าวไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ ก่อนรถจะออกตัววนไปยังโกดังด้านใน

     ส่วนแรกเป็นส่วนของสินค้าที่คัดแยกออกมาเพื่อเตรียมบรรจุใส่กล่องขนาดใหญ่ ต้วนเจียจงก็เป็นไกด์ได้ดี อธิบายให้เขาฟังว่า กล่องเหล่านั้นจะถูกส่งไปให้ดีลเลอร์ต่าง ๆ โซนถัดมา เป็นโหลดดิ้ง สำหรับขนสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ เมื่อวนในโกดังแรกจนครบ ต้วนเจียจงก็พาเขาไปยังโกดังถัดมา

     โกดังนี้ เป็นส่วนของแรงงานคน ของเล่นทั้งหมดจะถูกคัดแยกตามอายุ จากนั้นก็ติดสติกเกอร์คำแนะนำลงบนกล่องอีกครั้งซึ่งเฉพาะโซนนี้ก็กินพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งของโกดัง ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างปรับปรุง ซึ่งต้วนเจียจงบอกว่า ส่วนนั้นตั้งใจจะทำเป็นชั้นเก็บของ และยังมีห้องพักให้สำหรับพนักงานที่ด้านบน อีกด้วย

     “นายก็มีคนเยอะอยู่แล้วนี่ ยังไม่พออีกเหรอ?”

     “ถ้าพอ งานฉันก็ต้องทันสิ นี่ขนาดทำกัน 24 ชั่วโมง นายก็เห็น ว่าของเล่นยังกองกันอยู่ตรงโหลดดิ้งอีกตั้งเท่าไร”

     “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกฉันแล้วกัน”

     “พูดแบบนี้แสดงว่า ครั้งนี้อยู่ที่มาเก๊านานหน่อยสินะ”

     “ก็ราว ๆ เดือนหนึ่งได้”

     “ดี ถ้ามีโอกาส ฉันจะให้นายเลี้ยงข้าวฉันคืนจากครั้งที่แล้วบ้าง” รถของพวกเขามาจอดเทียบที่หน้าออฟฟิศพอดี

     “ได้สิ นี่ฉันก็กวนเวลางานของนายมานานแล้ว ฉันกลับเลยแล้วกัน”

     “ไว้ฉันโทรหา ไม่ไปส่งนะ”

     เหมิ๋นหยวนฮ่างพยักหน้ารับ ก่อนก้าวลงจากรถ และเดินตรงไปยังทางออกของโกดัง ซึ่งก็สวนกับรถขนส่งของเจเจเอ็กเพรสที่ขับเข้ามาภายในเพื่อรับสินค้าพอดี

.........................................................................

     ผมขับรถเข้ามาทางท่าเรือที่ 5 เพื่อที่จะตรงเข้าไปยังโกดังที่เจอสมุดบันทึกของเว่ยฟ่าน ผมจำไม่ได้ว่าวันนั้น ดร.โพล่าไอซ์พาผมไปตรงโซนไหนบ้าง ผมที่เอาแต่ถ่ายรูปไปเรื่อยเลยไม่ทันได้จำทาง ตอนนี้จึงได้แต่ขับรถวนอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขับรถตามผมมา

     “ไม่ทราบว่าคุณมาบริษัทไหนครับ” เจ้าหน้าที่ถามหลังจากผมลดกระจกลง

     “ผมมาหาเพื่อนครับ แต่ไม่ได้จดชื่อบริษัทฯ มา นี่ผมโทรไปเขาก็ไม่รับสาย”

     “ผมว่าคุณควรจะโทรถามเพื่อนให้ชัดเจนก่อนค่อยไปต่อดีกว่าครับ จะได้ไม่เสียเวลา”

     “ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นผมเข้าทางท่าเรือ 5A วันนี้เข้ามาอีกทางเลยหลงน่ะครับ”

     “อ่อ ถ้าอย่างนั้น แผนที่นี้น่าจะช่วยคุณได้” เจ้าหน้าที่หยิบแผนที่ออกมากาง ให้ผมดู

     “ครั้งที่แล้วผมมาทางนี้” ผมชี้ไล่ไปในแผนที่เท่าที่ผมจะนึกออก “แล้วโกดังเพื่อนผมน่าจะอยู่ประมาณตรงนี้ครับ”

     “อ่อ นั้นเป็นโซน F ครับ ตอนนี้คุณอยู่โซน Q” เจ้าหน้าที่ชี้ตรงตำแหน่งที่เราอยู่กันตอนนี้ในแผนที่

     “นี่ผมคงเลยมาไกลมาก”

     “โกดังมันก็เหมือน ๆ กันหมดถ้าดูจากด้านนอก”

     “ขอบคุณมากนะครับ”

     “ถ้าคุณวิ่งย้อนกลับไป โกดังโซน F ทางเข้าจากด้านนี้จะเริ่มที่ F25 นะครับ”

     ผมพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณอีกครั้งก่อนกลับรถเพื่อย้อนไปทางเดิม เมื่อเลี้ยวเข้าไปในโซน F ผมจึงชะลอความเร็ว สายตาคอยสอดส่องสองข้างทาง ที่เป็นโกดังหน้าตาเหมือนกันหมดอย่างที่เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกไม่มีผิด ผมจึงอาศัยมองเข้าไปในช่องประตูที่เปิดทิ้งไว้ บางโกดังก็สว่างจนเห็นด้านใน บางโกดังก็มืดสนิท

     ผมพยายามมองหาบริเวณที่คุ้นตา จนเกือบมาถึงปลายทางแล้วผมก็ยังไม่พบสิ่งที่ดูคุ้นตาเลย จนกระทั่งผมเห็นรถคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าโกดังตรงหน้า ไม่ไกลจากผมมานัก เขากลับรถและขับย้อนมาทางผม ระหว่างที่เราขับสวนกันนั้น ผมเผลอไปมองหน้าเจ้าของรถคันนั้นที่แล่นผ่านมา ผมเห็นเขาเต็มสองตา แต่ผมไม่รู้ว่าเขาเห็นผมด้วยรึเปล่า เพราะแสงสะท้อนจากแว่นกรอบทองนั่นทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นแววตาหลังกรอบแว่นนั่นได้ ดร.โพล่าไอซ์

To Be Continue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2019 21:21:43 โดย Amo »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
แท๊งกิ้วนักเขียนไว้ก่อน เด่วมาอ่านคร่าา
 :3123:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
16




       ผานกู่ เหยินหยางผิง และเหมี่ยนจื่ออู่เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ หลังได้รับแจ้งว่าพบเหยื่อรายที่ 5 ของคดีฆ่ารัดคอ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยรอบ ส่วนเขาทั้งสามก็สอบถามชาวบ้านละแวกนี้

       ครั้งนี้ถือว่าฆาตกรเปลี่ยนวิธีเลือกเหยื่อ เนื่องจากทั้ง 4 ศพที่ผ่าน เหยื่อมักเป็นหญิงสาว แต่ครั้งนี้เหยื่อกลับเป็นชายแก่ และจุดที่ทิ้งศพในครั้งนี้ก็ห่างจากสถานีไปเพียงไม่กี่บล็อกเท่านั้น

       “พี่กู่ แม่บ้านคนหนึ่งจำชายแก่คนนี้ได้ เขาเป็นคนเร่ร่อนที่มักจะมานอนอยู่ในอุโมงค์ของทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน” เหมี่ยนจื่ออู่เดินมาหาเขาหลังจากสอบถามชาวบ้านเสร็จ

       “ดูจากการแต่งตัวแล้วก็พอจะเดาได้ แต่ที่แปลก นายดูนี่สิ” เขาหยิบถุงใส่หลักฐานที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานเก็บมารวมใส่กล่องให้เหมี่ยนจื่ออู่ดู

       “เขาคงเก็บได้ หรืออาจจะไม่ขโมยใครมาก็ได้นะ”

       “น่าจะเก็บได้มากกว่า เพราะมันมีอยู่ข้างเดียว”

       “ทำไมครั้งนี้ถึงเป็นผู้ชาย?”

       “นั่นนะสิ แต่ถ้าชายคนนี้อยู่ละแวกนี้ เป็นไปได้อาจจะมีคนพบเห็นขณะที่เขาหายตัวไป”

       “คงไม่มีคนสังเกตหรอกถ้าเขาจะหายตัวไป ใครกันที่จะให้สนใจชายเร่ร่อน?”

       “เราเริ่มต้นกันที่อุโมงค์ทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินก็แล้วกัน อย่างน้อยคนเร่ร่อนด้วยกันคงจะจำกันได้”

       “เฮ้ย หยางผิง พวกเราจะไปกันแล้วนะ นายเสร็จรึยัง”

       เหมี่ยนจื่ออู่ตะโกนเรียกเหยินหยางผิงที่กำลังเดินสำรวจรอบ ๆ ที่เกิดเหตุ พวกเขาเดินตรงไปที่รถ โดยมีเหยินหยางผิงวิ่งตามมา เหมี่ยนจื่ออู่ทำหน้าที่ขับรถจอดรอจนกระทั่งเหยินหยางผิงขึ้นรถเรียบร้อย

       “ได้เบาะแสอะไรเหรอพี่กู่”

       “อุโมงค์ทางเข้าสถานีรถไฟ”

       “มีคนเคยเห็นเหยื่อแถว ๆ สวนสาธารณะ เลียบอ่างเก็บน้ำ”

       “แสดงว่า เหยื่อน่าจะอาศัยอยู่ละแวกนี้ ถ้าอย่างนั้น นายกับจื่ออู่ไปสืบหาเบาะแสที่ทางเข้าสถานีรถไฟ ส่วนฉันจะไปที่สวนสาธารณะ เลียบอ่างเก็บน้ำ”

       “ทำไมผมต้องไปกับหยางผิง พี่ไปกับหยางผิงไม่ดีกว่าเหรอ ผมไปส่งพี่ก่อนที่ทางเข้าสถานีรถไฟ แล้วผมค่อยไปจอดรถที่สวนสาธารณะ แบบนี้น่าจะสะดวกกว่า”

       “ไปกับฉันแล้วมันยังไง?”

       “พอๆ เอาตามที่จื่ออู่ว่าแล้วกัน นายไปส่งฉันกับหยางผิงก่อน”

       เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมเหมี่ยนจื่ออู่ถึงไม่ค่อยอยากไปไหนมาไหนกับเหยินหยางผิงสองต่อสอง อยู่ด้วยกันทีไรต้องทะเลาะกันทุกที เหยินหยางผิงเองก็เหมือนกัน ปากชอบหาเรื่องคนตัวเล็กกว่าอยู่เรื่อย

       ผานกู่และเหยินยางผิงลงรถตรงทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน ทางด้านประตูที่ 3 – 4 อุโมงค์ที่เหยื่ออาศัยหลับนอนตอนกลางคืนคือทางเชื่อมประตูที่ 1-2 ที่อยู่อีกฟากถนน

       “ตรงอุโมงค์นี่ไม่มีกล้องวงจรปิด”

       “ถ้ามี คนเร่ร่อนคงไม่มานอนกันหรอก”

       “เอายังไงดีพี่ เวลานี้ก็ไม่เห็นมีใครที่น่าจะนอนแถว ๆ นี้สักคน มีแต่คนใช้รถไฟใต้ดินทั้งนั้น”

       “เดินดูรอบ ๆ นี้ก่อน ถ้าพวกเขานอนกันอยู่แถว ๆ นี้ ก็น่าจะหากินกันแถวนี้ด้วย”

       “ถ้าอย่างนั้นผมไปดูตรงทางออกที่ 1-2”

       “อืม” เขายังไม่ทันได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ หนานเฟ่ยซานก็โทรเข้ามา ไวสมกับเป็นนักข่าวจริง ๆ เขาได้แต่ส่ายหน้าระอา เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามคนปลายสายยังไงดี เรื่องคดีนี้

.........................................................................

       เหมิ๋นหยวนฮ่างกลับมาอยู่บ้านพักที่ชุง ฮอม กอก โดยมีแม่บ้านจากบ้านฝู่เข้ามาทำความสะอาดและเติมของสดเข้าตู้เย็นให้สัปดาห์ละครั้ง เขานั่งเฝ้าอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊คเพื่อรอให้อีกฝ่ายออนไลน์ ในระหว่างที่รอ เขาก็ค้นหาข้อมูลแหล่งขุดค้นที่น่าสนใจ เพื่อเตรียมเดินทางในครั้งต่อไป

       สัญญาณเตือนที่มุมจอว่าคนที่เขารออยู่ได้ออนไลน์แล้ว เข้าจึงเปิดหน้าต่างเข้าสู่ระบบ Face Time หน้าจอปรากฏให้เห็นบุคคลทางปลายทาง

       “สวัสดีครับลุงคี สบายดีไหมครับ”

       “สบายดีครับ แล้วดอกเตอร์ละครับ ได้ข่าวว่าครั้งนี้ได้อยู่มาเก๊าเป็นเดือนเลยเหรอครับ”

       “มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อยนะครับ”

       “เรื่องคนที่กินน้ำตากิเลนไปใช่ไหมครับ”

       “ก็ทำนองนั้น”

       “ระหว่างนี้คุณก็หาสะใภ้ให้คุณลตาเธอด้วยสิครับ จะได้ไม่เสียเวลา ดารา เซเลบ ที่อยู่มาเก๊าก็มีตั้งมากมาย”

       “ลุงคีพูดอย่างกับไม่รู้จักนิสัยของผม”

       “คุณอายุก็มากแล้ว คุณลตาเธอก็เป็นห่วง”

       “เอาไว้ถึงเวลา มันก็มีเองแหละครับ ว่าแต่ลุงคีอยู่ที่ไทย ได้ข่าวเจมส์ไหมครับ”

       “ยังไม่ได้ข่าวเลยครับ คุณหงส์ กับคุณหยกก็เป็นห่วงเอามากทีเดียวครับ มีคนเห็นคนที่หน้าเหมือนคุณเจมส์เดินทางขึ้นเหนือ คุณเสือเลยให้ต้นกล้าไปตามหาดู”

       “คงไม่ใช่การลักพาตัวนะครับ”

       “คุณเสือยังไม่ได้ตัดประเด็นนี้ออกไป คงต้องใจเย็น ๆ รอดูผลต่อไป”

       “ถ้าอย่างนั้นผมจะเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ จะได้ไม่เสียเวลาลุงคี ผมอยากให้ลุงคีช่วยเชื่อมต่อกล้องวงจรปิดในโกดังที่จู่ไห่ เฉพาะโซน F เข้าโน้ตบุ๊คและโทรศัพท์ของผมหน่อย”

       “ทำไมคุณไม่ไปขอดูที่ออฟฟิศคุณเถิงละครับ”

       “ผมไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ”

       “ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ หรือไม่อยากให้คุณเถิงรู้ครับ”

       “เอาเป็นว่า ก็ทั้งสองอย่างก็แล้วกันครับ”

       “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้ทันที ใช้เวลาไม่นาน”

       “ขอบคุณครับลุงคี ถ้าผมเสร็จเรื่องทางนี้ ผมอาจจะไปช่วยอี้ตามหาเจมส์อีกแรง”

       “อย่าเพิ่งเลยครับ ตอนนี้คุณโบตั๋นปิดข่าวการหายตัวไปของคุณเจมส์อยู่ ถ้าคุณมาที่นี่อีกคน คงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ ขนาดแค่คุณหงส์มา สื่อยังประโคมข่าวการมาเยี่ยมน้องๆ ซะใหญ่โต”

       “เข้าใจแล้วครับ ถ้าได้เรื่องอะไรแล้ว ช่วยแจ้งผมด้วยนะครับ เจมส์ไม่น่าจะเล่นซนขนาดหายไปเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์แบบนี้”

       “ได้ครับ ดอกเตอร์ลองเข้าระบบกล้องวงจรปิดในโน้ตบุ๊คดูนะครับ ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนโทรศัพท์มือถือ เช็กข้อความได้เลยครับ ผมส่งแอปพลิเคชันไปให้เรียบร้อยแล้ว”

       “ขอบคุณครับลุงคี เท่านี้ก่อนนะครับ”

       เขาตัดสัญญาณภาพ แล้วเข้าสู่ระบบกล้องวงจรปิด ที่เขาต้องให้ลุงคีแฮ็กระบบให้เพราะเมื่อวานนี้ตอนออกจากโกดังของต้วนเจียจง เขาบังเอิญสวนกันกับหนานเฟ่ยซาน ทั้งที่ออกจากสถานีตำรวจมาก่อนเขาตั้งหลายชั่วโมง แต่กลับมาถึงโซน F หลังเขาหลายนาที ไม่รู้มัวแต่ไปสำรวจที่ไหนอยู่

       หนานเฟ่ยซานคงเห็นเขาแน่ๆ สังเกตได้จากอาการตกใจที่ขับรถสวนกัน เขาไม่อยากให้หนานเฟ่ยซานระแวง จึงทำเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วอาศัยจับตามองเอาทางกล้องวงจรปิดน่าจะดีกว่า เพราะอย่างไร ระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณโกดังก็ปลอดภัยเพียงพอ ยกเว้นเสียแต่ว่าหนานเฟ่ยซานจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่อะไรให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บอีก

.........................................................................

       ในกลางดึก ห้องห้องหนึ่งกลับสว่างด้วยแสงไฟจำนวนมาก เสียงสิ่งของกระทบกันก๊อกแก๊กมากมาย บางครั้งก็ฟังราวกับเป็นจังหวะอะไรสักอย่าง บางครั้งก็ไม่น่าฟังจนระคายหู เสียงเหล่านั้นยังคงได้ยินกันอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหวูดสัญญาณดังขึ้น เสียงก๊อกแก๊กนั่นก็พลันเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจของหลาย ๆ คนที่ดังขึ้น

       “เอาละ วางมือแล้วรีบ ๆ ไปกินข้าว พวกแกมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงนั้นนะ จะทำอะไรก็ให้มันรีบ ๆ ถ้างานไม่เสร็จคืนนี้อย่าหวังว่าจะได้นอน” ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งพูดใส่โทรโข่ง

       หญิงสาวและเด็กชายหญิงจำนวนเกือบ 40 ชีวิตพากันเดินออกจากที่นั่งของตัวเอง แยกย้ายกันเดินไปตามมุมห้อง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโต๊ะอาหาร ซึ่งมันควรจะเป็นอาหารเย็นมากกว่าอาหารมื้อดึกอย่างนี้

       “ฉินฉิน” ชายร่างใหญ่เรียกเธอเสียงดัง เด็กหญิงทำเป็นไม่ได้ยินเสียง

       “ฉินฉิน เดินมาหลบหลังน้านี่” หญิงสาวคนหนึ่งกระซิบและรั้งข้อมือให้เด็กหญิงเข้ามาหลบอยู่ในกลุ่มหญิงสาว

       “น้าฟ่าน...” เด็กสาวเรียกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว พร้อมกับก้มหลบหลังหญิงสาวหลาย ๆ คนที่พากันเห็นใจ พร้อมเอาร่างตัวเองบังเธอไว้

       “ฉินฉิน!! ” ครั้งนี้ชายคนนั้นเรียกเธอผ่านทางโทรโข่ง ทำให้ได้ยินกันทั่วห้อง อีกมุมหนึ่งของห้อง เด็กคนหนึ่งยืนขึ้นเพื่อแสดงตัว แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก “อาฟง ถึงนายจะเป็นแฝดของฉินฉิน ฉันก็แยกระหว่างแกกับพี่สาวออก ไม่ต้องทำมาสะเออะ” เพื่อนที่นั่งกินข้าวอยู่ข้าง ๆ อาฟง พยายามฉุดข้อมือให้อาฟงนั่งลงดังเดิม

       “อาฟง อย่าทำให้มันโมโห ไม่อย่างนั้นนอกจากเราจะไม่ได้นอนกันแล้ว อาจจะต้องพากันอดข้าวเย็น” เด็กชายคนนั้นกระซิบบอก ทำให้อาฟงต้องนั่งลงอย่างจำใจ

       “นายจะให้พี่สาวฉันเสียสละเพื่อพวกเราอย่างนั้นใช่ไหม?”

       “แค่วันนี้ พวกเราคุยกันแล้วนะ ขอแค่รอ...แค่วันนี้วันเดียว” อาฟงได้แต่พยักหน้ารับ สายตาก็จ้องชายที่ถือโทรโข่งกำลังฉุดให้ฉินฉินลุกขึ้นจากกลุ่มหญิงสาว

       “ฉันอุตส่าห์ใจดีกับเธอนะฉินฉิน เธอจะได้พักก่อนใคร ๆ ในห้องนี้ยังไงละ” ชายคนนั้นพูดพร้อมทั้งดึงร่างพี่สาวของเขาออกจากห้องไป

       เฝิงฟงได้แต่มองตามพี่สาวไปจนลับตา ความอยากอาหารหายไปเป็นปลิดทิ้ง เขาสงสารเธอที่ต้องมาโดนไอ้พวกคนชั่วลวนลาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฝิงฉินฉินถูกพาตัวออกไป และทุกครั้งที่เธอกลับมายังห้องนอนรวม สภาพของเธอจะมีทั้งรอยช้ำจากการถูกทำร้าย รอยกัด เจ็บปวดจนถึงขึ้นลุกมาทำงานไม่ไหว ซึ่งไอ้เลวเหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจเลย ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร บังคับให้เธอลุกขึ้นมาทำงานเมื่อถึงเวลา

.........................................................................

       ผมมาหาพี่หยางผิงที่สถานีแต่เช้า เนื่องจากเหยื่อรายล่าสุดในคดีฆ่ารัดคอ บังเอิญเป็นชายที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อของ 1 ใน 3 ของผู้ต้องหาที่รุมทำร้ายผมในคดีของหวงกังโห เมื่อวานผมรู้เรื่องของเหยื่อรายที่ 5 ที่เป็นชายแก่เร่ร่อนจากพี่กู่แล้ว ก็ยังสงสัยอยู่ว่าเพราะอะไร ฆาตกรถึงเปลี่ยนวิธีการเลือกเหยื่อ

       “พี่หยางผิง”

       “นายมาแต่เช้าเลยนะวันนี้ อาเห่ายังไม่มาเลย”

       “ผมไม่ได้มาหาพี่เห่า แต่มาเรื่องคดีฆ่ารัดคอ”

       “ก็อย่างที่รู้ ๆ ว่าเหยื่อครั้งนี้เป็นชายเร่ร่อน”

       “ผู้ชายคนนี้อ้างว่าเป็นพ่อของคนที่ซ้อมผม”

       “นายไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน ฉันเพิ่งรู้เมื่อตอนที่เข้ามาที่สถานีนี้เองนะ”

       “เมื่อวานผมได้ยินเจ้าหน้าที่ที่คอยตามผม เขาจำชายคนนั้นได้”

       “นายนี่หูตาไวจริง ๆ นะ แล้วนายจะมาถามเรื่องอะไร ในเมื่อนายก็รู้เรื่องหมดแล้ว”

       “ผลชันสูตร”

       “ก็เหมือนเดิม ถูกปล่อยให้อดอาหาร ก่อนฆ่ารัดคอ อาหารมื้อสุดท้ายก่อนตายเป็นโจ๊กปู”

       “ทำไมเขาถึงเปลี่ยนเหยื่อ ทั้งที่ทุกครั้งเหยื่อมักจะเป็นผู้หญิง”

       “เรื่องนี้พวกพี่กำลังหาเบาะแสอยู่”

       “แล้วมีคนเร่ร่อนคนอื่นหายตัวไปไหม”

       “เท่าที่ตรวจสอบดูเมื่อวาน ก็ไม่มีใครหายไปอีกนะ แล้วก็เราพอรู้แล้วว่าชายคนนั้นหายตัวไปตอนไหน?”

       “เมื่อไรพี่?”

       “หลังจากผู้ต้องหาโดนวางยา 2-3 วัน ไม่เกินนี้”

       “นั่นแสดงว่าเขาหายตัวไปจนถึงเมื่อวานที่พบศพ ก็ประมาณ... 10 วัน”

       “ใช่ พี่อนุมานว่า ฆาตกรมันมักจะทิ้งศพใกล้สถานที่ที่มันจับตัวเหยื่อไป”

       “ถ้าอย่างนั้น เราพบศพเหยื่อรายอื่น ๆ ที่ไหน เราก็จะรู้ว่าเหยื่อถูกจับไปบริเวณไหน?” ผมถามอย่างตื่นเต้น เพราะเริ่มมีแนวทางสืบต่อ หลังจากที่พบแต่เหยื่อ การสืบสวนกลับไม่คืบหน้าเลย

       “พี่รอสรุปรูปคดีกับทีมอยู่ ยังไม่ได้คุยกับใคร เพราะฉะนั้นนายก็อย่าเพิ่งไปสืบเอาเองละ”

       “ผมไม่ก้าวก่ายงานของพี่หรอก”

       “ไม่ก้าวก่าย แค่ต่างคนต่างทำงานใช่ไหม?”

       “เอาน่าพี่ ถือว่าช่วย ๆ กัน”

       “นายนี่น้า...ชอบทำให้พี่กู่เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ทางที่ดีนายไปช่วยลุงเว่ยตามหาหลานสาวให้เจอก่อนเถอะ”

       “รู้แล้วน่า เรื่องเว่ยฟ่านผมก็กำลังตามหาอยู่ ถ้าเมื่อวานไม่โดน ดร.โพล่าไอซ์เข้ามาขัดจังหวะซะก่อนนะ”

       “ใครกัน ดร. โพล่าไอซ์?”

       “เอาน่า พี่ไม่ต้องรู้หรอก”

       “นายหัดฟังที่ฉันเตือนบ้าง เรื่องคดีฆ่ารัดคอนะ รอพวกเราทำงานเถอะ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาไม่นาน ไม่เข็ดรึยังไง ถามจริง ๆ ”

       “เริ่มขี้บ่นเหมือนพี่กู่ตั้งแต่เมื่อไรกัน ผมไปรอพี่เห่าดีกว่า”

       “ไม่ต้องไปรอเลย นายกลับไปทำงานของนายเลย เช้านี้เขามีสรุปคดีกัน อาเห่าไม่ว่างคุยกับนายหรอก”

       ผมโดนพี่หยางผิงไล่ออกมาจากสถานี ทำให้ผมไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปตรวจดูจุดที่ชายคนนั้นถูกทิ้งศพสักหน่อย แล้วช่วงค่ำ ๆ ค่อยไปที่โกดังโซน F ขืนไปตอนกลางวัน คงได้โดน ดร.โพลาไอซ์ก่อกวนอีกเป็นแน่

       ผมมีข้อมูลเกี่ยวกับจุดทิ้งศพของทั้ง 5 คดีอยู่แล้ว เมื่อประเมินจากเวลา เขาจึงเลือกไปยังจุดที่พบศพแม่บ้านลูกสอง ซึ่งเป็นเหยื่อรายที่ 3 ของคดีนี้ ศพถูกพบอยู่ในจุดทิ้งขยะของแฟลตที่เธอพักอาศัยอยู่

       “เฟ่ยซาน จะไปไหนล่ะ?”

       “อ่าวพี่ชุน ไม่เข้าประชุมกับหัวหน้าเหรอ”

       “กำลังจะไป แล้วนายละ โดนหยางผิงไล่ให้กลับไปทำงานของตัวเองละสิ”

       “พี่ก็พูดอย่างกับตาเห็น”

       “ไม่ได้เห็นหรอก แต่ได้ยินที่พวกนายคุยกัน”

       “ผมว่าจะไปตรวจสอบจุดที่ทิ้งศพนะพี่”

       “วันนี้จะวิ่งตรวจสอบให้หมด 5 รายเลยหรือไง ไม่ไหวมั้ง... นายตัวคนเดียว”

       “ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ชุน รายเดียวก็พอแล้ว”

       “นายจะไปที่ไหนละ ถ้าหัวหน้าสั่งงาน ฉันจะได้อู้โดยไปขอข้อมูลจากนายแทน”

       “พี่ชุนล้อผมเล่นแล้ว ผมไม่ก้าวก่ายงานของตำรวจหรอกน่า”

       “ตามใจ ยังไงก็ระวังตัวหน่อย คนของฉันยังคอยตามนายอยู่”

       “ขอบคุณครับพี่ชุน แต่บอกให้คนของพี่ตามห่าง ๆ ก็ได้”

       “ทำไม อึดอัดเหรอ”

       “ก็ถ้านอกเครื่องแบบก็ไม่เป็นไร บางครั้งมาเต็มยศ ผมก็แย่ ทำงานลำบาก”

       “ได้ ฉันจะกำชับคนของฉันก็แล้วกัน”

       “ถ้าได้อย่างนั้นจะดีมาก ผมไปละพี่ แล้วเรื่องที่ผมจะไปทำอะไรเนี่ย อย่าให้พี่กู่รู้นะพี่”

       “ถึงฉันไม่บอก เขาก็เดาได้ นิสัยนายเขารู้กันทั้งสถานี”

To Be Continue

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 o13
สนุกๆ รออ่านต่อคร่าาา
 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
17





   เหมิ๋นหยวนฮ่างได้รับรายงานจากจู้ชุนว่า หนานเฟ่ยซานจะไปหาเบาะแสในคดีฆ่ารัดคอ ซึ่งเป็นคดีที่สื่อสำนักต่าง ๆ พากันจับตามองอยู่ในขณะนี้ เขาไม่คิดว่าหนานเฟ่ยซานจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่อันตราย แต่ดูจากครั้งแรกที่พบกัน เขาก็พอเข้าใจ ว่าถ้าไม่อันตรายก็คงไม่ใช่หนานเฟ่ยซาน

   ยังดีที่การไปหาเบาะแสครั้งนี้ หนานเฟ่ยซานไปสำรวจแถวแฟลตย่านชานเมือง แต่เมื่อพิจารณาจากพิกัดแล้ว เป็นไปได้มากว่า หลังจากได้ข้อมูลจากแฟลตเพียงพอ หนานเฟ่ยซานคงตรงไปยังโกดังโซน F แน่ ๆ เขาจึงเลือกที่จะมาดักรอที่สวนสาธารณะระหว่างทางไปโกดัง

   “ผมได้รับข้อความจากคุณ” เหมิ๋นหยวนฮ่างจอดรถแล้วจึงกดโทรศัพท์ไปหาเจ้าของข้อความที่ส่งมา

   ‘กระต่ายตัวนั้นมีอาการแปลก ๆ ค่ะ’

   “แปลกยังไง ผลข้างเคียงมาจากน้ำตากิเลนรึเปล่า?”

   ‘ยังไม่ทราบค่ะดอกเตอร์ แต่ 2-3 วันมานี้ กระต่ายตัวนั้นดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ พอน้ำในขวดหมด ก็จะตะกุยกรงหนักมาก’

   “แล้วอัตราการกินอาหารละ”

   ‘ปกติดีคะ ว่าแต่คนคนนั้นเป็นยังไงบ้างคะ’

   “ไม่รู้สิ ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเขาขนาดนั้น”

   ‘ขอโทษค่ะ สงสัยฉันจะถามผิดคำถาม’

   “แล้วผลตรวจอื่น ๆ ละ?” เหมิ๋นหยวนฮ่างไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดประชดประชันของซือเมิ่งอิ๋ง

   ‘อัตราการเต้นของหัวใจ อยู่ที่ 150-160 ครั้งต่อนาที มากกว่าเกณฑ์ปกติมานิดหน่อย’

   “ลองตรวจเลือดดูอีกที ผมสันนิษฐานว่า น้ำตากิเลนที่กระต่ายตัวนั้นกินเข้าไป คงเข้ากับเลือดไม่ได้ เหมือนพวกโลหะหนักที่ปนเปื้อนในกระแสเลือด”

   “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เสี่ยงที่กระต่ายตัวนี้จะหัวใจวาย”

   “อืม ลองตรวจสอบดู แล้วแจ้งกลับผมด่วนที่สุด อ่อ!! คุณส่งข้อมูลเกี่ยวกับโรคหัวใจ อาการหัวใจเต้นเร็ว แล้วก็ภาวะขาดน้ำให้ผมหน่อย”

   “ได้คะดอกเตอร์”

   ซือเมิ่งอิ๋งวางสายไปในที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ส่งข้อมูลที่เขาต้องการกลับมาให้มากมาย เขาไล่เปิดอ่านข้อมูลไปเรื่อย ๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งกังวล ไม่รู้ว่าหนานเฟ่ยซานจะมีอาการแทรกซ้อนอย่างไรบ้าง จนกระทั่งคนที่เขานึกถึงอยู่ขับรถเข้ามาจอดอยู่ไม่ไกลจากรถของเขามากนัก

.........................................................................

   ภายในซาวน่าของฟิตเนสที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง กลับมีเพียงแขกเข้ามาใช้บริการเพียงคนเดียว ชายคนนั้นมีเพียงผ้าขนหนูพักรอบเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ เขานั่งเอนพิงผนังไม้แอสเพนสีสว่างอย่างสบายใจ จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะการผ่อนคลายของเขา

   ลูกค้าอีกคนหนึ่งเข้ามาร่วมใช้ห้องซาวน่าร่วมกับเขา หลังจากที่บอร์ดี้การ์ดที่เฝ้าหน้าห้อง เปิดประตูให้ลูกค้าคนนี้เข้ามา คนมาใหม่มีผ้าขนหนูผืนเล็กอีกผืนคลุมศีรษะเพื่อซ่อนใบหน้าเอาไว้

   “บัญชีลับและรายการสั่งของถูกตำรวจเอาไปแล้ว” ชายคนนั้นพูดหลังจากนั่งลงที่มุมหนึ่งของห้อง”

   “นายนัดมันมาที่โกดัง ฉันจะไปจัดการมันด้วยตัวเอง”

   “14 หรือ 23”

   “23 แล้วจัดคนให้พร้อม ขนของทุกอย่างออกจากที่นั่น อย่าทิ้งร่องรอยให้ตำรวจตามกลิ่นมาได้” เขาพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังประตูห้อง ระหว่างรอให้คนของเขาเปิดประตู เขาหันไปมองคนที่เอาผ้าคลุมศีรษะไว้ “แล้วเรื่องที่คนของนายทำอะไรไว้ อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ รีบจัดการมันก่อนจะเกิดเรื่อง” เมื่อจบประโยคประตูห้องซาวน่าก็เปิดออกพอดี เขาจึงก้าวออกไป โดยไม่สนใจว่าคนที่เหลือจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

.........................................................................

   “ต้องอัดเสียงด้วยเหรอ?”

   “นิดหนึ่งน่าลุง เผื่อผมลืม”

   “แล้วลุงเล่าได้รึยังละ”

   “ได้แล้วลุง ที่ลุงบอกว่าเจอคุณนายเจานี่ เจอที่นี่เหรอ?”

   “ใช่ วันนั้นคนที่บ้านหลังใหญ่ ๆ ตรงนั้นน่ะ เขาเอาของมาทิ้งที่นี่เยอะแยะเลยละ ฉันว่ายัยแก่เจาคงเห็นตั้งแต่บนบ้านแล้ว”

   “คุณนายเจาเลยมาคุ้ยกองของที่เขามาทิ้งสินะ”

   “ใช่ ปกติยัยแก่เจาจะมาตอนบ่าย ๆ พอถึงเวลาเย็นต้องไปเตรียมอาหารให้ลูกให้ผัวก็จะกลับไป สงสัยวันนั้นยัยนั่นคงเสียดาย เลยมาอีกทีหลังลูกผัวหลับกันแล้ว”

   “ทำไมต้องรีบขนาดนั้น มาตอนเช้าก็ยังทันนี่ลุง”

   “จะไปทันได้ยังไง ตอนตี 4 ตี 5 รถขยะก็มาขนไปหมดแล้ว เวลานั้นยัยแก่นั่นคงจะออกจากบ้านไม่ได้”

   “ลุงรู้ไหมว่า ทำไมคุณนายเจาถึงได้แอบสามีกับลูกมาคุ้ยขยะที่นี่”

   “ก็เงินเดือนของผัวยัยนั่นไม่พอให้ซื้อกับข้าว หรือซื้อของให้ลูก ๆ นะสิ จะว่าไปยัยนั่นก็น่าสงสาร ถึงได้ต้องมาคุ้ยของแล้วเอาไปจ้างเขาซ่อม ทำความสะอาดก่อนจะเอาไปขาย บ้างก็ขายได้ราคา บ้างก็ขายมาค่าซ่อมยังไม่ได้เลยคุณ”

   “หลังจากวันนั้น ลุงก็ไม่เห็นคุณนายเจาอีกเลยเหรอ”

   “ไม่เห็นเลย ลุงยังนึกสงสัยอยู่ว่ายัยนั่นหายไปไหน ทั้งที่วันนั้น ยัยแก่นั่นแย่งกล่องดนตรีใบนั้นกับลุงจะเป็นจะตาย ปากก็บอกว่าลูกคนเล็กต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษแล้ว จำเป็นต้องใช้เงินเพราะเงินที่สามีให้ไว้ ยัยนั่นดันเอาไปซื้ออย่างอื่นเสียก่อน”

   “ลุงเลยยกกล่องดนตรีให้เธอไป”

   “ใครว่า ลุงแย่งกับยัยนั่นเป็นนานสองนาน ถ้าฝนไม่ตกลงมาก่อน ลุงไม่ปล่อยให้ยัยแก่นั่นได้ไปหรอก”

   “คืนนั้นฝนตกเหรอครับ”

   “ก็ใช่นะสิ อยู่ ๆ ก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บ้านลุงนะ พื้นมันต่ำกว่าถนนที่เรายืนอยู่อีก เลยต้องรีบกลับบ้าน ก่อนน้ำจะท่วม”

   “แสดงว่าฝนตกหนักมาก”

   “ใช่ ลุงรีบวิ่งกลับบ้าน เลยไม่ได้สนใจกล่องดนตรีนั่นอีก ห่วงบ้าน”

   “กล่องดนตรีนั่นหน้าตาเป็นยังไงเหรอครับ มันดูมีราคาถึงขนาดต้องแย่งกันเลยเหรอลุง”

   “กล่องนั่นมันไม่เสียหายอะไรเลย คนมีตังค์เขาเบื่อ ไม่ใช้แล้วก็ทิ้ง ยัยนั่นยังไปเจอกล่องเครื่องประดับ ข้างในมีของสวย ๆ ตั้งหลายชิ้น ถ้าเอาไปขายก็น่าจะได้เงินไม่น้อย ยังงกจะเอากล่องดนตรีอีก”

   “ตอนนั้นนอกจากลุงกับคุณนายเจาแล้ว ลุงยังเห็นใครแถว ๆ นี้อีกไหม?”

   “เอ้...ลุงนึกก่อนนะ...ตอนที่มาถึงลุงจำได้ว่ามีคนมาลื้อขยะอยู่ 2 คน เห็นว่ามาหาของสำคัญที่เผลอทิ้งไป อยู่แฟลตนี้แหละ จากนั้นก็คนที่ชอบเก็บขวดพลาสติกขาย เขาพักอยู่ตรอกเดียวกับลุงนี่แหละ”

   “พอฝนตก พวกเขาหาของกันอยู่ไหมลุง”

   “ไม่ ๆ จำได้ว่าตอนที่ลุงทะเลาะกับยัยแก่เจา 2 คนที่มาจากแฟลตไม่อยู่แล้ว ส่วนคนเก็บขวดหายไปตั้งแต่ตอนไหนลุงก็ไม่ทันเห็น”

   “อ่อ ขอบคุณมากนะลุง นี่ถือเป็นค่าเสียเวลานะ”


   ผมนั่งถอดเทปเสร็จฟ้าก็มืดพอดี เมื่อดูจากเวลาตอนนี้น่าจะเหมาะกับการไปสำรวจที่โกดัง ป่านนี้ ดร.โพล่าไอซ์คงกลับบ้านกลับช่องไปแล้ว แต่ก่อนจะไป ผมแวะลงไปซื้อน้ำดื่มมาทิ้งไว้ในรถสักหน่อย หลัง ๆ มานี่ผมรู้สึกว่าร่างกายต้องการน้ำมากเป็นพิเศษ ดื่มน้ำมากขึ้น อาบน้ำนานกว่าเดิม บางครั้งรู้สึกว่าอยากจะแช่น้ำนานเลยเสียด้วยซ้ำ เสียดายที่ห้องของผมไม่มีอ่างอาบน้ำ

   นับเป็นโชคดีของผม ที่ใช้เวลาหาเบาะแสเกี่ยวกับเหยื่อรายที่ 3 ไม่นานนัก เนื่องจากจุดที่พบศพกับที่พักอาศัยของเหยื่ออยู่บริเวณเดียวกัน ศพของเธอถูกพบบริเวณที่ทิ้งขยะของแฟลต 33 ซึ่งห่างจากห้องของเธอพอสมควร เธอพักอยู่ที่แฟลต 12 ผมถึงได้มีเวลามาแวะจอดรถที่สวนสาธารณะระหว่างทางไปโกดังเพื่อถอดเทปการบันทึกเสียงระหว่างที่คุยกับลุงคนนั้น

   เมื่อพิจารณาดูแล้วจุดทิ้งขยะที่แฟลต 33 นี่เป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับแฟลตอื่น ๆ เนื่องจากด้านหลังแฟลตติดกับตรอกเล็ก ๆ ทำให้มีคนละแวกใกล้เคียงแอบมาทิ้งขยะบ่อย ๆ รวมไปถึงพวกที่เก็บขยะขาย

   ผมได้สอบถามคนในตรอกเพิ่มอีก จึงพบว่าตัวเหยื่อเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มาคุ้ยขยะ ชายคนหนึ่งที่พักอยู่ในตรอกนี้ น่าจะเป็นคนที่เก็บขวดขายตามที่ลุงคนนั้นพูดถึง เห็นเธอครั้งสุดท้าย ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นวันที่เธอหายตัวไป แต่เขาไม่ทันเห็นตอนที่คุณนายเจาทะเลาะแย่งของกับลุงเก็บขยะ

   หลังจากที่ผมได้ในสิ่งที่ต้องการ แถมด้วยไอศกรีมเย็นฉ่ำในมืออีกแท่งหนึ่ง ผมก็กลับขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป โกดังเยี่ยนหวอ โซน F

.........................................................................

   เผิงฟงกับเด็กรุ่นเดียวกันอีก 4 คนถูกต้อนให้ขึ้นรถบรรทุกที่ปิดสนิท แม้กระทั่งหายใจก็ยังยาก พวกเขาถูกเกณฑ์ให้มาขนย้ายข้าวของมากมายภายในโกดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาคาดเดาว่าน่าจะเป็นโกดังละแวกเดียวกันกับที่พวกเขาถูกจับมาขังไว้เพราะใช้เวลาเดินทางไม่นาน ส่วนพวกผู้หญิงก็ยังคงทำหน้าที่ตามเดิม นั่นก็คือการประกอบอาวุธปืน

   เมื่อลงจากรถ ก็พบคนงานชายมากมาย บางคนสวมชุดหมีที่ดูเหมือนพนักงานรับจ้างขนย้ายของ บางคนก็สวมแค่เสื้อกล้ามที่ไม่ได้แสดงสังกัดใด

   “อาเฉียว นายว่าคนพวกนั้น เป็นพวกเดียวกันกับที่จับพวกเรามาไหม?” เขากระซิบถามเพื่อนที่ยืนกันอยู่ใกล้ๆ

   “ต้องดูไปก่อน นายอย่าเพิ่งใจร้อน พวกนั้นอาจจะเป็นพวกเดียวกันก็ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะกล้าให้พวกเรามาทำงานที่นี่ มาเจอกับคนนอกอย่างนั้นเหรอ?”

   “ตรงนั้นยืนคุยอะไรกัน รีบเดินมานี่เลย!! ”

   ชายที่ขับรถพาพวกเขามา ยืนเรียกพวกเขาอยู่ไม่ไกล บริเวณนั้นเป็นกลุ่มของเด็กผู้ชายที่ถูกจับตัวมาเหมือนกับเขา บางคนเขาก็เคยเห็นหน้า บางคนก็ไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ เมื่อชายคนนั้นเรียก กลุ่มเขาก็เดินตามไปสมทบ

   เนื่องจากพวกเขายังเด็ก ไม่สามารถยกของอะไรที่หนัก ๆ ได้อย่างผู้ใหญ่ พวกเขาจึงถูกแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้เข้าไปเก็บของพวกหนังสือ กระดาษ เอกสารต่าง ๆ ลงลังกระดาษที่เตรียมเอาไว้ อีกกลุ่มรวมทั้งเผิงฟงถูกสั่งให้ทำความสะอาดบริเวณโดยรอบพื้นที่ ที่ขนของออกไปหมดแล้ว

   “ทำไมต้องทำความสะอาดกันขนาดนี้” อาเฉียวตั้งข้อสังเกต เมื่อเห็นผู้ชายอีกกลุ่มที่เข้ามาพร้อมกับน้ำยาเคมีกลิ่นฉุน สำหรับทำความสะอาด

   “ฉันว่าที่นี่ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ๆ อาจจะเคยขังใครไว้ แล้วมีคนตายที่นี่” เขาพูดโดยไม่ได้เงยหน้ามองคนพวกนั้น ก้มหน้าก้มตาเก็บเศษขยะลงถุงดำต่อไป

   “อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น”

   “ฉันดูหนังมาเยอะ พวกที่เก็บกวาดขนาดนี้ มันไม่ได้ทำอะไรดีๆ หรอก”

   “หรือว่าพวกมันจะทดลองอาวุธชีวภาพ” อาเฉียวพูดขึ้นมาอย่างตกใจ

   “นายจะบ้าเหรอ ใครจะไปทำอะไรแบบนั้น ในที่แบบนี้ พวกอาวุธชีวภาพเขาก็ต้องทดลองกันในแล็บใต้ดินสิ หรือต้องเป็นห้องลับที่เขาถึงยาก ๆ ไม่ใช่โกดังสินค้าแบบนี้”

   “นายรู้ได้ไง มันอาจจะเป็นอย่างที่ฉันว่าก็ได้”

   “ก็บอกแล้วว่าฉันดูหนังมาเยอะ”

   “แล้วในหนังเขาบอกไหม ว่านายจะช่วยพี่สาวของนายยังไง”

   “ในหนังไม่ได้บอก แต่ฉันว่าฉันพอจะมีวิธีอยู่บ้าง แต่นายต้องช่วยฉัน”

   “จะให้ช่วยยังไง บอกมาเลย”

   “นายไปกระจายบอกพวกเรานะ ให้สังเกตรถที่เข้าออกจากที่นี่ ว่าคันไหนที่ไม่ได้ไปโกดังที่พวกเราอยู่ แต่ออกไปที่อื่น”

   “ฉันเข้าใจความคิดนาย แต่นายจะรู้ได้ยังไง ว่าไปที่อื่นนี่มันเป็นที่ที่ปลอดภัยกว่าที่นี่”

   “ก็ไม่รู้หรอก พวกนายต้องหาให้ได้ภายในคืนนี้ เพราะฉันจะแอบขึ้นรถคันนั้นไปเอง”

   “ถ้านายถูกจับได้ อย่าว่าแต่ช่วยฉินฉินเลย ชีวิตนายเองก็จะเอาไม่รอด”

   “ก็ตอนนี้ฉันคิดได้แค่นี้นี่ หรือนายมีวิธีที่ดีกว่านี้”

   “ฉันเห็นด้วยกับนาย ที่จะให้ฉินฉินแอบหนีไปพร้อมกับคนงานพวกนี้ แต่เรื่องวิธี มันต้องคิดให้รอบคอบก่อน ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับส่งฉินฉินไปตาย”

   “หรือว่า เราจะให้พวกพนักงานทำความสะอาดพวกนั้นช่วย”

   “ก็บอกว่าต้องดูไปก่อนยังไงเล่า ว่าพวกนั้นเป็นพวกเดียวกันกับไอ้พวกที่จับเรามาไหม?”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องคอยดูคนพวกนี้ไว้สินะ”

   “เฮ้ย!! นายสองคนอย่าอู้ คุยกันอยู่ได้ อาเฉียว นายแยกไปทำงานทางโน่นเลย แล้วไม่ต้องไปชวนใครคุยอีกนะ” ชายคนหนึ่งตะโกนข้ามห้องมาสั่งอาเฉียว

   ทำให้เขาทั้งสองต้องแยกกันทำงาน ทั้งๆ ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำยังไงกันดี เขาที่เก็บเศษขยะแถวๆ นี้คนเดียว ได้แต่แอบมองพวกคนทำความสะอาดฉีดอะไรบางอย่างไปที่ผนัง ก่อนที่อีกคนที่เดินตามจะฉีดน้ำอีกรอบ ส่วนน้ำที่นองพื้นก็มีพนักงานอีกคนใช้ไม้ถูพื้นรีดน้ำออกไปด้านนอก

   เมื่อเขาเก็บเศษขยะในห้องนี้เสร็จแล้ว พวกมันก็ให้เขาไปยังส่วนของโกดังเก็บของ ที่ตอนนี้ลังไม้ต่าง ๆ ถูกขนย้ายขึ้นรถบรรทุกเกือบหมดแล้ว ชั้นเหล็กที่เคยเป็นที่เก็บลังไม้ มีชายใส่เสื้อกล้ามหลายคนกำลังตัดเหล็กพวกนั้นออกเป็นชิ้น ๆ แล้วมาวางกองรวมกันด้านหนึ่ง

   หน้าที่ใหม่ของเผิงฟงคือการโกยเศษเหล็กเหล่านั้นขึ้นรถเข็น จากนั้นก็จะมีผู้ใหญ่ตัวโต ๆ เข็นไปขึ้นรถบรรทุกอีกที ระหว่างที่เขาใช้มือหยิบจับเศษเหล็ก มีบ้างที่โดนเหล็กบาด ได้เลือดมาไม่ใช่น้อย แต่คนคุมก็ดูไม่ได้ใส่ใจในอาการบาดเจ็บของเขาเลย

   อาเฉียวที่ทำความสะอาดเสร็จแล้ว เดินมาช่วยงานเขาพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกหลายคน ซึ่งอาเฉียวก็ทำได้ดีตามที่รับปากเขาไว้ ทำให้เขาได้ข้อมูลเพิ่มเข้ามา

   “คนงานที่ตัดเหล็กอยู่นั่นนะ ไม่ใช่คนจีน เขาฟังที่ฉันพูดไม่ออก ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาพูดภาษาอะไร” เด็กคนหนึ่งเอาเศษผ้ามาช่วยพันมือที่มีแต่แผลของเขา พร้อมทั้งกระซิบบอก

   “มีพนักงานขนของคนหนึ่งถามฉันว่าทำไมเด็กอย่าพวกฉันถึงมาช่วยงานที่นี่ดึกๆ ดื่นๆ ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไร เขาก็ถูกคนพวกนั้นลากตัวออกไป แล้วพวกคนที่ใส่ชุดหมีก็ถูกไล่กลับไปจนหมด” เด็กอีกคนหนึ่งเล่าบ้าง

   “แต่ฉันยังเห็นพวกเขาทำงานกันอยู่เลยนะ” เด็กชายที่ทำแผลให้เขาพูดขึ้น

   “นั่นเป็นคนกลุ่มใหม่ที่มา หลังจากคนกลุ่มแรกถูกไล่ออกไป”

   “แล้วยังไงต่อ” อาเฉียวดูจะใจร้อนกว่าเขาถามขึ้น

   “พอฉันชวนใครคุย ก็ไม่มีใครตอบอะไรฉันเลย ได้แต่เดินหนี”

   “แบบนี้ คนพวกนั้นก็ไม่ใช่พวกเดียวกับพวกมันนะสิ”

   “ฉันก็ว่าอย่างนั้น ฉันพยายามจะดูว่าคนพวกนั้นขนของไปไหน แต่ก็ถูกสั่งให้มาขนเหล็กกับพวกนายเสียก่อน”

   “ยังมีเวลา เดี๋ยวตอนพัก พวกนายค่อยแยกย้ายกันไปดูรอบ ๆ หามุมนั่งกินข้าว หามุมนอนหลับ หรือจะไปปลดทุกข์อะไรก็แล้วแต่พวกนายจะอ้าง”

   “อืม” เด็กหนุ่มหลายคนที่ได้ยินเขาพูดต่างพากันรับปาก ก่อนที่อาเฉียวจะบอกให้พวกนั้นกระจายข่าวบอกกันในกลุ่ม เพื่อที่จะได้เป็นหูเป็นตา เพราะคืนนี้เขาต้องหาทางหนีให้กับฉินฉินให้ได้ เพราะโอกาสของเธอเหลือเพียงพรุ่งนี้เท่านั้น

To Be Continue

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
18








   เช้านี้ผมตื่นสายกว่าทุกวัน คงเป็นเพราะร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี เมื่อวานแค่ไปหาเบาะแสที่แฟลต ต่อจากนั้นก็ไปเฝ้าดูโกดังโซน F เท่านั้น ตอนขากลับเกือบจะขับรถกลับไม่ถึงคอนโดซะแล้ว ทั้งง่วงทั้งเพลีย ผมยังไม่ลุกจากเตียง ยังอยากจะนอนต่อ แต่เพราะเสียงกริ่งประตูทำให้ผมต้องลุกขึ้นไปเปิดอย่างเสียไม่ได้

   “ยังไม่ตื่นอื่นเหรอเฟ่ยซาน”

   พี่ผานกู่เดินเข้ามาในห้อง ตรงไปยังโต๊ะทานอาหาร ผมเปิดประตูแล้วเดินตามไปโดยไม่พูดอะไร ถึงโต๊ะผมก็หยิบถุงที่พี่ผานกู่ถือมา ดูว่ามีอะไรกินบ้าง

   “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเลย แล้วค่อยมากินโจ๊ก พี่มีปาท่องโก๋เจ้าที่เราชอบมาฝากด้วยนะ” ผมวางมือจากถุงแล้วเข้าไปล้างหน้าล้างตาอย่างที่พี่กู่สั่ง

   พอผมเข้าห้องน้ำเท่านั้นแหละ ที่ว่าหิว ๆ ในตอนแรกกลับลืมไปเสียหมด ผมไม่รู้ว่าผมยืนใต้ฝักบัวนานเท่าไร ออกมาจากห้องอีกทีก็ไม่เห็นพี่ผานกู่แล้ว ผมกำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่มก็เห็นข้อความของพี่กู่

   
‘พี่ไปทำงานแล้วนะ โจ๊กอยู่ในไมโครเวฟ อุ่นเอาเอง

   แล้วเรื่องคดีฆ่ารัดคอ พี่จะส่งข่าวให้ อย่าไปตามสืบเองคนเดียว

   ผานกู่’

   ผมวางกระดาษโน้ตที่พี่กู่ติดไว้บนตู้เย็นลงบนโต๊ะอาหาร แล้วเดินตรงไปยังไมโครเวฟเพื่ออุ่นโจ๊ก พอได้อาบน้ำผมก็รู้สึกสดชื่นกว่าเมื่อตอนตื่น ยิ่งได้ดื่มน้ำเย็น ๆ แล้วด้วย รู้สึกตัวเบาสบาย และเป็นอีกครั้งของวันที่เสียงกริ่งหน้าประตูห้องทำลายความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผม

   “พี่กู่ ลืมของเหรอ” ผมไม่ทันได้มองช่องตาแมว เพราะคิดว่าคนที่ยืนอยู่หลังบานประตูน่าจะเป็นพี่ผานกู่ แต่ไม่ใช่ “...ดอกเตอร์...”

   “นักสืบผานพักที่นี่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?”

   “คุณมาหาผมมีธุระอะไร ไม่สิ คุณรู้จักที่อยู่ผมได้ยังไง”

   “นายรับแขกแบบนี้เหรอ?”

   “ปกติผมเป็นคนมีมารยาท แต่...” ติ๊ง ติ๊ง ... ผมพูดไม่ทันจบ เสียงไมโครเวฟก็ร้องเตือน

   “ตื่นก็สาย กินอาหารเช้าเอาป่านนี้ มารยาทในการรับแขกก็ไม่มี”

   “คุณ!! ” สายตาหลังกรอบแว่นเชย ๆ สีทองนั่น มองผมอย่างประเมินไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ใครกันแน่ที่ไม่มีมารยาท

เราเล่นเกมจ้องตากันอยู่สักพัก ก็มีกรรมการห้ามศึก นั่นก็คือเสียงกระเพาะของผมที่ดันส่งสัญญาณพักรบออกมาให้ผมได้อาย

   “ขะ...เข้ามาสิ” ผมหลบให้เขาได้เข้ามาข้างในห้อง

   “นายไปกินข้าวก่อนเถอะ ฉันรอได้” ถึงดอกเตอร์โพลาไอซ์ไม่บอก ผมก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว จึงเดินมาหยิบถ้วยโจ๊กในไมโครเวฟ

   “คุณมีธุระอะไร?” ผมพูดทั้ง ๆ ที่กินโจ๊กอยู่ ไม่ลืมที่จะเอาปาท่องโก๋เจ้าอร่อยมากินร่วมด้วย

   “ดูนายก็สบายดีนี่ ช่วงนี้คงจะดื่มน้ำเยอะเป็นพิเศษละสิ” ผมเห็นเขามองขวดน้ำที่วางระเกะระกะเกลื่อนอยู่บนโต๊ะกลางหน้าทีวี

   “ดื่มน้ำเยอะ ๆ ไม่ดีตรงไหน?”

   “มันเป็นผลข้างเคียงจากน้ำตากิเลน”

   “ถึงจะเป็นผลข้างเคียงจากน้ำตากิเลน แต่ก็ใช่ว่าจะอันตรายอะไรนี่”

   “เมื่อคืนนายเกือบจะวูบ ตอนแอบเข้าไปที่โกดัง”

   “เฮ้ย!! คุณรู้ได้ยังไง”

   “ฉันศึกษาเรื่องน้ำตากิเลนมาเยอะ ฉันว่าฉันเคยบอกนายแล้วนะ”

   “ไม่ใช่ ผมหมายถึงเรื่อง...โกดัง” ปลายประโยคผมรู้สึกได้ถึงเสียงของตัวเองที่แผ่วลงไป

   “ก็แล้วแต่นายจะคิด”

   “สรุปแล้ว ดอกเตอร์มาเพราะเรื่องน้ำตากิเลน”

   “ใช่”

   “มาดูว่าผมดื่มน้ำเยอะไหมนะเหรอ”

   “เมื่อวานนายเกือบจะวูบตอนขับรถกลับ”

   “คุณตามผม?”

   “...”

   “ผมแค่เหนื่อยเกินไปก็เท่านั้น”

   “มีอาการอย่างอื่นอีกไหม?”

   “ก็ไม่นี่ ถ้าผมไม่สบายผมก็ไปหาหมอ ไม่เห็นต้องบอกคุณเลยนี่”

   “...” ดอกเตอร์โพลาไอซ์ไม่พูดอะไรอีกสักคำ เดินออกจากห้องของผมไปหน้าตาเฉย ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างต้องตามผมอยู่เป็นแน่ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้เรื่องผมแอบเข้าไปที่โกดังได้ยังไง แล้วไหนจะเรื่องวูบตอนขับรถกลับอีก นี่ถึงขั้นขึ้นมาเคาะห้องของผมที่คอนโดแบบนี้ ผมเริ่มชักจะกลัวคนคนนี้แล้วสิ

.........................................................................

   หวงกังโหฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เขาภาวนาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง ก่อนที่จะหมดสติไป หากหมดสติไปแล้วเขาก็ไม่อยากฟื้นขึ้นมาอีกเลย การได้สติขึ้นมาในครั้งหลัง ๆ เขาไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาเพื่อสำรวจสิ่งรอบข้าง เพราะยังไงก็มองอะไรไม่เห็น แม้กระทั่งฝ่ามือของตัวเอง

   เขาถูกจับมาขังไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีแม้กระทั่งแสงสว่างเล็ดลอดเขามา อากาศก็มีแต่กลิ่นอับ เหม็นกลิ่นสนิทชวนให้คลื่นไส้ เขาเป็นอิสระภายในพื้นที่แคบ ๆ สามารถเดินเหินไปส่วนไหนก็ได้ ครั้งแรกเขาพยายามหาทางหนี แต่เพราะความมืดทำให้เขาเดินชนกำแพงหลายต่อหลายครั้ง

   ในนี้ไม่มีทั้งน้ำ ทั้งอาหาร จนเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาไม่สามารถคาดเดาได้ ความหิว ความเหนื่อยล้า ความสิ้นหวังเข้ากัดกิน จนถึงตอนนี้ เขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

   เขานึกเสียใจที่วันนั้น นักฆ่าของไหว่ยี่ไม่ลงมือฆ่าเขาเสีย แต่กลับจับเขามาขังไว้ที่นี่ เท่าที่รู้มาไหว่ยี่ไม่เคยจับใครมาทรมาน แล้วคนที่จับเขามาเป็นใครกันแน่

   “หวงกังโหสินะ”

   เขาได้ยินเสียงก้องอยู่ในห้อง ซึ่งน่าจะมาจากลำโพงที่แอบติดไว้ในนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเสียงอะไรมาก่อน แต่ถึงตอนนี้ จะเป็นเสียงอะไรเขาก็ไม่สนใจ ว่ามันจะเป็นใคร หรือจะทรมานอะไรเขาอีกก็ตาม

   “แกเป็นพวกโลภมาก ขายยา ฆ่าคน ค้ามนุษย์ แล้วเป็นยังไง เงินที่ได้มา ช่วยให้แกรอดจากเงื้อมมือฉันไปได้รึเปล่าละ”

   เจ้าของเสียงนั่น รู้เกี่ยวกับธุรกิจของเข้าทั้งหมดได้ยังไงกัน พวกไหว่ยี่รู้แค่ว่า เขาขายยา กับเปิดผับเท่านั้น มันเป็นใครกัน

   “ทำไมไม่ตอบ อ่อ...ลืมไป แกคงจะไม่มีแรงสินะ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน นายอยากกินอะไร บอกฉันมา เดี๋ยวฉันหามาให้”

   “น้าม...”

   “อะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน”

   หวงกังโหรู้สึกถึงฝ่ามือภายใต้ถุงมือหนังที่กำลังบีบกรามของเขาอยู่
   
   ใคร!!...
   
   แล้วมาอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ เขาลืมตาขึ้นมา แต่ก็มองอะไรตรงหน้าไม่เห็นเลยแม้แต่ฝ่ามือที่บีบกรามเขาอยู่ เขาเอื้อมมือไปข้างหน้า หวังจะคว้าตัวคนที่จับเขา แต่มันกลับว่างเปล่า

   “ฉันให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย อยากกินอะไร” เสียงที่เคยก้องอยู่ในห้อง ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นกระซิบที่ข้างหูของเขา พร้อมลมหายใจอุ่น ๆ ที่น่าขยะแขยง ก่อนสติเขาจะดับวูบไปอีกครั้ง

.........................................................................

   หลังจากที่ผานกู่ออกจากห้องของหนานเฟ่ยซาน เขาก็ตรงไปยังโรงพยาบาลเกียงวูเพื่อเยี่ยมชิวกัมหง เนื่องจากตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น เขายังไม่เคยไปเยี่ยมคนเจ็บเลยแม้สักครั้งเดียว ถึงแม้ตอนนี้ชิวกัมหงจะฟื้นแล้ว แต่บาดแผลยังคงน่าเป็นห่วง และต้องระวังไม่ให้บาดแผลเกิดการติดเชื้อ

   เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าห้องพักของเพื่อนร่วมงาน ด้านในกลับมีเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครง ซึ่งหัวข้อสนทนานั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

   “ฮ่าๆ ๆ พี่กู่ทำแบบนั้นต่อหน้าเหมิ๋นหวนฮ่างจริง ๆ นะเหรอ” เสียงหัวเราะของคนนอนเจ็บ ซึ่งหัวเราได้อย่างไม่กลัวว่าจะกระเทือนบาดแผลของตัวเองเลย

   “ใช่สิ นายน่าจะได้เห็นหน้าของพี่กู่ตอนนั้นนะ หวงเฟ่ยซานอย่างกับอะไรดี ถึงจะไม่ได้พูดจา ออกปากไล่ดอกเตอร์ตรง ๆ แต่การกระทำมันก็ฟ้องชัด”

   “แล้วเฟ่ยซานละ”

   “เหมือนเดิม ไม่รู้เรื่อง รู้ราวอะไร”

   เขาที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกสักพัก จึงเปิดประตูเข้าไป หวังให้คนในห้องเปลี่ยนเรื่องสนทนาให้มันไกลตัวของเขาหน่อย

   “อ่าว พี่กู่ ไหนว่าจะไปหาเฟ่ยซานไงละ” เหยินหยางผิงหันมาทักทาย หลังจากที่เขาเข้าห้องมาแล้ว

   “ไปมาแล้ว นายเป็นไงบ้างละ” ประโยคหลังเขาหันไปถามคนที่นอนอยู่บนเตียง

   “เบื่อจะแย่อยู่แล้วพี่กู่”

   “ทน ๆ เอาหน่อยแล้วกัน แผลยังไม่หายดี”

   “ว่าแต่พี่เถอะ ตามดูแลน้องหนานมาตั้งนาน เช้าถึง เย็นถึงขนาดนี้ เมื่อไรจะบอกความในใจกับเฟ่ยซานสักที” เขาหันไปมองหน้าเหยินหยางผิงอย่างไม่พอใจก่อนจะตอบชิวกัมหง

   “ยังไม่ถึงเวลา”

   “พี่กู่ ระวังจะเอาเถอะ เดี๋ยวจะถูกเหมิ๋นหยวนฮ่างงาบไป”

   “ดอกเตอร์เหมิ๋นเขาไม่คิดอะไรกับเฟ่ยซานหรอกน่า”

   “พี่กู่ นี่พี่พูดปลอบใจตัวเองรึเปล่า” หยางผิงพูดทั้ง ๆ ที่เอามือตบไหล่เขาเบาอย่างหยอกล้อ จนเขาต้องปัดออก

   “นั่นสิ ถ้าเหมิ๋นหยวนฮ่างไม่คิดอะไรกับเฟ่ยซาน เขาจะตามมาที่สถานีทำไม?” คนบนเตียงก็เห็นด้วยกับหยางผิง

   “คงเพราะคดีของโยว่ซินหรู”

   “คนไม่สนใจโลกอย่างดอกเตอร์อะนะ วันๆ ขุดแต่ดิน หาแต่ของโบราณ จะมาสนใจข่าวแบบนั้น”

   “...” ทำไมบรรยากาศในห้องพักของโรงพยาบาลมันเหมือนกับห้องสอบสวน โดยผู้ต้องหาคือเขา ส่วนชิวกัมหง และเหยินหยางผิงคือคนที่สอบปากคำ

   “ถ้าจำไม่ผิด ก่อนที่ผมจะเข้ามานอนเล่นที่นี่ เฟ่ยซานสนใจคดีคนหายอยู่นะ พี่ก็ใช้โอกาสนี้ใกล้ชิดกับเฟ่ยซานให้มากขึ้นสิ มีโอกาสก็รีบ ๆ บอกไปเลย” ชิวกัมหงให้คำแนะนำ ด้วยสายตาเป็นประกาย อย่างนึกสนุกซึ่งดูไม่เข้ากันกับหุ่นหมี ๆ อย่างนั้นเลย

   “ไม่ใช่แล้วละกัมหง ตอนนี้หยางผิงน่าจะตามสืบเรื่องคดีฆ่ารัดคออยู่นะ เพราะเราได้เบาะแสใหม่จากศพรายล่าสุด” หยางผิงตอบคนที่นอนอยู่บนเตียง

   “ใช่ ดูเหมือนเมื่อวานเฟ่ยซานจะไปหาเบาะแสของคุณนายเจาที่แฟลต เมื่อเช้าตอนฉันเข้าไป เห็นสมุดจดรายละเอียดของเขาอยู่”

   “คดีนั้นอันตรายเกินไป คนร้ายก็ดูเป็นพวกโรคจิต” ชิวกัมหงมีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อพวกเขาเปลี่ยนประเด็นมาพูดถึงคดีนี้

   “อืม ฉันเตือนเฟ่ยซานไปหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่ฟัง”

   “ก็เหมือนกับที่ผมเคยบอกให้เฟ่ยซานเลิกคบโฮวจีเจียนนั่นแหละ เคยเชื่อผมซะที่ไหน”

   “พูดทีเล่นทีจริงอย่างนาย น้องหนานคงจะเชื่อหรอกนะ พี่กู่ ผมว่าพี่ต้องหาวิธีกันเฟ่ยซานออกจากคดีนี้แล้วละ”

   “ยังดีที่จู้ชุนยังให้คนคอยตามอยู่ คงจะพอเป็นหูเป็นตาให้ได้” หยางผิงพูดเหมือนจะปลอบใจเขา

   “ก็จนกว่าเราจะจับตัวหวงกังโหได้นั่นแหละ”

   “ระหว่างนี้พี่ก็รีบคิดเรื่องที่จะกันเฟ่ยซานออกจากคดีไปเสีย หรือถ้ายากนักก็รวบหัวรวบหางไปเลย โอ้ย!! ” ชิมกัมหงเอื้อมมาตบหัวของเหยินหยางผิงไม่เบานัก

   “นายนี่ก็พูดเป็นเล่นได้ทุกเรื่อง เพราะเป็นแบบนี้ไง ถึงได้คุยกับจื่ออู่ดีๆ ไม่ได้สักที”

   “หมากระเป๋านั่นมาเกี่ยวอะไรด้วย”

   “นายอย่าคิดว่าฉันดูไม่ออกนะ ว่านายคิดยังไงกับจื่ออู่ พี่กู่ก็เปิดโอกาสให้หยางผิงมันบ้างสิ”

   “ให้หมาข้างถนนกับหมากระเป๋ากัดกันนะเหรอ?”

   “กัดไปกัดมาเดี๋ยวมันก็ได้กันเองแหละพี่”

   “เฮ้ย คุยเรื่องพี่กู่ เรื่องคดีอยู่ดี ๆ ทำไมวกมาลงที่เรื่องของฉันได้ละ” เหยินหยางผิงโอดครวญ แต่ท่าทางทีเล่นทีจริงอย่างนั้น ทำให้พวกเขาไม่คิดจะสงสารคนตรงหน้าแม้แต่น้อย

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเฝ้าที่ที่คอนโดนของหนานเฟ่ยซานมาตั้งแต่เช้า คนของจู้ชุนคงอยู่แถว ๆ นี้ ทำให้ระหว่างวันที่เขาไม่ได้ไปไหน กลับได้รับการดูแล ส่งน้ำส่งอาหารให้อย่างดี จนกระทั่งตกดึก เขาที่เตรียมจะกลับไปพักผ่อน เพราะคิดว่าคนที่เขาเฝ้าอยู่คงจะไม่ออกไปไหนแล้วในวันนี้ แต่เขากลับคิดผิด

   เงาร่างคุ้นตาเดินออกมาจากลิฟต์ของลานจอดรถ แล้วเดินตรงไปที่รถของตัวเอง จากนั้นไม่นาน เจ้าของรถก็ขับมันออกไป เขาที่สตาร์ทรออยู่ก่อนแล้ว จึงเคลื่อนรถออกไปอย่างช้า ๆ เพื่อตามไปดูว่าวันนี้หนานเฟ่ยซานจะไปสืบหาเบาะแสอะไร ที่ไหนอีก

   จากที่เขาสังเกตหนานเฟ่ยซาน ขณะเดินมาขึ้นรถ แม้จะมองจากระยะไกลก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเฟ่ยซานดูดีกว่าที่เจอเมื่อช่วงเช้าที่ดูซีดเซียว และยังคงอ่อนเพลียอยู่ คงเป็นเพราะได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

   เขาขับรถตามหนานเฟ่ยซานมาจนถึงทางเข้าโกดังโซน F เขาจึงเลือกที่จะจอดรถเอาไว้หน้าทางเข้า จากนั้นก็เดินไปยังป้อมยามจุดที่ใกล้ที่สุดเพื่อยืมจักรยานของ รปภ.

   “ดอกเตอร์จะติดวิทยุสื่อสารไปด้วยไหมครับ เผื่อตอนกลับจะได้เรียกผมให้เอารถกอล์ฟไปรับ”

   “ไม่เป็นไร”

   เขาปฏิเสธความเอื้ออาทรของเจ้าหน้าที่ ที่ประจำอยู่ที่ป้อม ก่อนจะค่อย ๆ ปั่นจักรยานลัดเลาะไปเรื่อย ๆ ตามทางที่เขาคุ้นชิน ซึ่งเขามาเที่ยวเล่นกับเจมส์ที่นี่บ่อย ๆ เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก จนมาถึงโกดัง F 11 ซึ่งก็ใกล้กันกับโกดังที่ต้วนเจียจงเช่ากับเยี่ยนหวอเอาไว้

   เขาดักรออยู่สักพักก็ไม่เห็นหนานเฟ่ยซานขับรถมาทางเขา ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก็สำรวจจนมาถึงโกดัง F 16 แล้ว ด้วยความร้อนใจ ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น เขาจึงขี่จักรยานย้อนขึ้นไป ไม่นานเขาก็เห็นรถของเฟ่ยซานจอดหลบอยู่ที่โกดัง F 20 แต่กลับไม่เห็นตัวเจ้าของ

.........................................................................

   ฉินหรุยกวงขับรถเข้ามาจอดภายในโกดังด้วยความแปลกใจ เพียงไม่กี่วันที่เขาต้องไปจัดการเรื่องคดีระเบิดภายในบริษัทฯ และศูนย์ซ่อมบำรุงกับทางตำรวจ กลับทำให้ที่โกดังที่เคยใช้เป็นที่เก็บอะไหล่แท็กซี่ว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งเศษพลาสติกห่อสินค้าสักชิ้นเดียว

   เขาลงจากรถมาด้วยอาการหวาดวิตก ตรงหน้าเขา เจ้านายยืนรออยู่ก่อนแล้ว ข้าง ๆ กันนั้น ซือหวูยืนจ้องมาทางเขาด้วยสายตาเย็นชา ต่างจากทุกครั้งที่เจอ เขาก้าวเดินยังไม่ถึงตัวนาย รถอีกคันก็เข้ามาจอดเทียบข้าง ๆ รถของเขา

   “นายมาเร็วกว่าที่ฉันคิด” เจ้าของรถคันนั้นทักทายหลังจากก้าวลงมาแล้ว

   “ซือหวูมาทำอะไรที่นี่”

   “มาจัดการคนของฉันนะสิ มันไม่รักดี ดันเอาเด็กผู้หญิงที่ฉันพามาทำงานไปนอนกก นายไม่อยากให้เกิดเรื่อง”

   เขาพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ไว้ใจอยู่ดี จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินไปสมทบกับนายที่ยืนรอพวกเขาอยู่อย่างใจเย็น

   “คุณเยียน/นาย” เขาทักทายนายออกมาพร้อม ๆ กัน

   “หรุยกวง นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ที่ฉันให้เจียจงขนของทั้งหมดไปไว้ที่โกดังใหม่?”

   “แล้วแต่คุณเยียนจะจัดการเลยครับ”

   “ดี แล้วรู้ไหม ว่าทำไมเรื่องแค่นี้ฉันถึงต้องมาบอกนายด้วยตัวเอง”

   “มะ ไม่ทราบครับ”

   “เรื่องที่บริษัทฯ ของนาย จัดการกับทางตำรวจเรียบร้อยไหม?”

   “เรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณคุณเยียนที่เป็นห่วง”

   “คุณต้วน!! ” ระหว่างที่พวกเขาคุยกันอยู่ ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา

   “เสียมารยาท ไม่เห็นรึยังไงว่าฉันมีแขกอยู่”

   “ขอโทษครับ คือผมมีเรื่องด่วน” คุณเยียนพยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต

   “ว่ามา”

   “เผิงฉินฉินแอบหนีไปกับรถพนักงานขนของ”

   “ว่ายังไงนะ!! ” เขาเห็นต้วนเจียจงตกใจไม่น้อย ก่อนที่จะเหลือบตามามองที่คุณเยียน

   “ซือหวู ไปช่วยเจียจงหน่อยไป”

   “ครับนาย” จากนั้นทั้งสองคนก็พากันตามชายคนนั้นออกไปจากโกดัง ทำให้เขาต้องเผชิญหน้าอยู่กับ เยียนจูเฟิงตามลำพัง

To Be Continue

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
รออ่านต่อค่ะ :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
19








   วันนี้ทั้งวันผมเอาแต่นอน ไม่ได้ทำงานทำการอะไรเลย ทั้งที่เมื่อถึงวันหยุด ผมมักจะตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะ จากนั้นค่อยมาเรียบเรียงงานที่จะต้องเขียนข่าว แต่วันนี้ผมกลับตื่นสาย ไหนยังจะเรื่องที่ ดร. โพลาไอซ์บุกเข้ามาถึงคอนโดของผมอีก มันทำให้อาหารเช้าของผมไม่อร่อยเท่าที่ควร อารมณ์ก็ไม่ค่อยดี ไม่มีสมาธิทำงาน

   ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นมากแล้ว ผมจึงรีบจัดการโหลดภาพถ่ายโกดังที่ผมไปสำรวจมาเมื่อคืนนี้ จากเมมโมรี่ของกล้องลงคอมพิวเตอร์ไว้ก่อน จากนั้นก็นั่งไล่ดูรูปทั้งหมดที่ถ่ายมา ดูอยู่ 2-3 รอบ ผมก็ยังจำไม่ได้ ว่าเก็บสมุดทำมือของเว่ยฟานได้จากที่ไหน

   จนกระทั่งผมมาผิดสังเกตกับรถบรรทุกจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนจะขับวนเวียนอยู่ที่โกดัง F14 กับ F23 ในตอนแรกผมเข้าใจว่า รถบรรทุกพวกนั้นคงมารับส่งของรอบดึก แต่ดูให้ดีๆ จากภาพที่เห็น เหมือนรถพวกนั้นกำลังขนย้ายอะไรสักอย่าง ระหว่าง 2 โกดังมากกว่า ด้วยความสงสัยผมจึงไล่ดูรายชื่อผู้เช่าโกดังที่ได้มาจากโฮวจีเจียน ตั้งแต่วันที่ไปสัมภาษณ์คุณฝู่

   โกดัง F13 – F14 เป็นของบริษัทเมจิกทอยส์

   โกดัง F23 เป็นของบริษัทวิงเฮงยิม

   จากประเภทธุรกิจของทั้งสองบริษัทฯ ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน ผมจึงลองค้นข้อมูล เพื่อหาเจ้าของบริษัทฯ ทำให้ได้รู้ว่า เมจิกทอยส์เป็นบริษัทฯ ของต้วนเจียจง หนุ่มไฮโซผู้คลั่งไคล้ของเล่นเป็นชีวิตจิตใจ ถึงขั้นเคยจัดนิทรรศการโชว์ของเล่นโบราณที่ตนเองสะสมไว้ให้คนทั่วไปได้ชมฟรีๆ ส่วนบริษัทวิงเฮงยิมเป็นบริษัทฯ อะไหล่รถแท็กซี่ ซึ่งไม่สามารถหาชื่อเจ้าของบริษัทฯ ได้ เนื่องจากถูกเปลี่ยนเจ้าของมานับรวมๆ ก็ 8 ครั้งภายใน 2 ปี แต่ผมกลับสะดุดกับชื่อของผู้นำเข้าอะไหล่ให้กับบริษัทฯ นี้มากกว่า คนคนนี้อีกแล้ว ฉินหรุยกวง

   เพียงแค่นั้น ก็สามารถจะเป็นสาเหตุให้ผมมาอยู่ที่โกดัง F23 แห่งนี้ได้แล้ว ตอนที่มาถึงผมเห็นรถบรรทุกยังคงขนของกันอยู่ ผมจึงแวะซุ่มดูที่โกดัง F14 สักพัก ด้านในน่าจะมีคนทำงานกัน เพราะแสงไฟที่ลอดออกมาจากภายใน ผมจึงเลือกที่จะขับรถไปจอดแอบไว้ที่โกดัง F20 ก่อนเดินมาที่นี่

   ผมเดินสำรวจภายนอกอย่างระมัดระวัง โดยเริ่มจากด้านข้าง เพราะด้านหน้ายังคงมีรถบรรทุกทยอยกันออกมา เมื่อเดินลึกเข้ามา แสงไฟจากถนนเส้นหลักก็เข้ามาไม่ถึง ผมจึงอาศัยไฟจากหน้าจอโทรศัพท์แทน ที่ผมไม่เลือกใช้ฟังก์ชันไฟฉาย เพราะเกรงว่าแสงไฟจะเป็นจุดสังเกต ให้คนที่อยู่ภายในเห็นผม

   ก่อนที่ผมจะเดินถึงประตูกลางของตัวโกดัง ผมเห็นรถขับไล่กันเข้าไป 2 คัน ซึ่งจากจุดที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ เป็นมุมมืดคนในรถคงไม่ทันเห็นผม แต่ผมก็ไม่สามารถมองเห็นภายในได้เหมือนกัน ทำให้ผมรีบเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า แล้วมองหาช่องแสงหรือช่องหน้าต่าง อะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมสามารถมองเห็นด้านใน หรือถ้าไม่มีจริงๆ ผมคงต้องเสี่ยงไปซุ่มดูตรงประตูที่รถเพิ่งขับผ่านเข้าไป

   ยิ่งตื่นเต้น ใจผมก็ยิ่งเต้นเร็วจนรู้สึกได้ว่ามันผิดปกติ เหมือนคนที่ดื่มกาแฟมากเกินไปแล้วใจสั่น ซึ่งผมไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน แต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจเพราะสถานการณ์ตรงหน้ามันน่าสนใจกว่า จนกระทั่งผมมาเจอพัดลมระบายอากาศขนาดใหญ่ แต่ก็อยู่สูงเกินกว่าที่ผมจะเขย่งเท้าถึง ผมจึงอาศัยลังเปล่าที่วางทิ้งไว้แถว ๆ นั้นยกมาเรียงให้ได้ความสูงพอที่จะปีนขึ้นไปได้ กว่าจะเรียบร้อยดั่งใจ ผมก็ทั้งเหนื่อย ทั้งล้าเต็มที

   ผมมองเหตุการณ์ข้างในผ่านเลนส์กล้อง ผมเห็นฉินหรุยกวงยืนตัวเกร็งอยู่ข้างใครอีกคน ทั้งสองเหมือนจะตกลงอะไรกันได้แล้วถึงได้ยืนรออยู่เฉย ๆ อย่างนั้น ผมที่เฝ้ามองอยู่ราวชั่วโมงเห็นจะได้ เมื่อไม่เห็นมีใครเข้ามาเพิ่มอีก และไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ผมจึงปีนลังลงมาเพื่อกลับไปที่รถ เพราะตอนนี้ผมเริ่มไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว

.........................................................................

   ต้วนเจียจงและจางซือหวูขับรถไปดักขบวนรถบรรทุกที่เสร็จงานจากโกดัง F23 ได้ทันบริเวณโกดังโซน K โดยมีจางหวูซือออกหน้าในการขอตรวจค้นรถ จนกระทั่งเจอเผิงฉินฉินแอบอยู่บนรถคันหนึ่ง

   “เอายังไงกับเด็กคนนี้ดี” ซือหวูถามเขาหน้านิ่ง

   “ปล่อยหนูไปเถอะนะคะ หนูรับรองว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร” ฉินฉินคุกเข่าลงอ้อนวอนให้พวกเขาปล่อยเธอไป

   “แล้วแต่นาย ฉันยกให้”

   ต้วนเจียจงมองตามจางซือหวูที่ลากเด็กหญิงไปยัดไว้ที่ท้ายรถ ก่อนใช้แค้มป์รัดสายไฟมัดมือมัดเท้า แล้วดึงเทปมาปิดปากเด็กไว้ เขาเห็นรอยข่วนหลายรอยที่เกิดจากเด็กคนนั้น แต่ซือหวูก็ยังคงหน้านิ่ง ไร้ความรู้สึกดังเดิม

   “หึ!! รีบไปกันเถอะ คืนนี้ท่าทางนายคงมีอีกหลายงานที่ต้องทำ”

   จางซือหวูไม่พูดอะไร เดินตรงไปขึ้นรถยังด้านคนขับ เพื่อรอให้เขาตามขึ้นไป เมื่อซือหวูขับรถเข้ามาทางด้านข้างของโกดัง สายตามก็พลันเห็นใครคนหนึ่งเข้า

   “นั่นใช่คนของนายไหม?” เขามองตามสายตาของจางซือหวู

   “ไม่ใช่ เดี๋ยวก่อนนายขับผ่านเลย แล้วรีบตามคนคนนี้ไป ถ้าจำไม่ผิด มันเป็นนักข่าว”

   เขาจำชายคนที่รีบปีนลงมาจากลัง และพยายามหลบไปข้าง ๆ ลังนั้นได้ มันเป็นคนเดียวกับที่เขาเห็นหวงกังโหซ้อมและจับยัดยาที่โรงแรมเมื่อครั้งก่อน เขาไม่คิดว่ามันจะตามสืบมาจนถึงที่โกดังนี้

   “นาย เจียจงให้ผมไปตามจับหนู” ซือหวูรายงานทันทีที่ก้าวลงจากรถ

   “มันเป็นใคร”

   “มันเป็นนักข่าวที่หวงกังโหซ้อมเมื่อคราวนั้น” เขาตอบผู้เป็นนาย

   “มันเห็นอะไรบ้าง?” ฉินหรุยกวงรีบถามอย่างระแวง

   “ซือหวู นายยังไม่ต้องไปจับหนูตัวนั้น วันนี้งานนายเยอะแล้ว ส่วนหนูตัวนั้น เจียจง นายไปสืบมาว่ามันได้อะไรไปบ้าง”

   “ครับนาย”

   “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะเจียจง เรื่องที่เหลือทางนี้ให้ซือหวูจัดการ ฉันไปก่อนนะหรุยกวง”

   เขาเดินตามเยียนจูเฟิงไปยังที่รถ ก่อนทำหน้าที่เปิดประตูให้ผู้เป็นนาย จากนั้นตนเองก็ก้าวไปนั่งในตำแหน่งคนขับแทนจางซือหวู ระหว่างขับรถออกไปทางด้านหน้าโกดัง เพียงแค่เสี้ยวนาทีที่เขามองยังกระจกมองหลัง ฉินหรุยกวงที่กำลังก้าวขึ้นรถของตนเองกลับต้องล้มฟุบไปด้วยฝีมือของจางซือหวู

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเลือกที่จะทิ้งจักรยานไว้ข้าง ๆ รถของหนานเฟ่ยซาน เขาเดาว่าเจ้าของรถน่าจะป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ นี้ เมื่อมองจากถนนหลักเขาเห็นว่าบริเวณโกดังที่ F8 F14 F26 มีรถเข้าออกแสดงว่าน่าจะมีคนทำงานอยู่ หนานเฟ่ยซานจอดรถระหว่าง โกดัง F14 และ F26 ซึ่งเป็นตรงกลางพอดี เขาจึงเดาไม่ถูกว่าเจ้าของรถเดินไปทางไหน

   ระหว่างที่เขากำลังจะตัดสินใจอยู่นั้น สายตาเขามองไปเห็นรถคันหนึ่งวิ่งออกมาจากโกดัง F23 ซึ่งเป็นโกดังที่ไม่น่าจะมีใครมาทำงานในเวลานี้ ที่น่าสงสัยก็คือรถที่ขับออกมา เป็นรถ ROLLS ROYCE WRAITH สีดำทำให้เขาเลือกที่จะไปยังโกดังนั้นด้วยสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง

   ระหว่างที่เดินไป เขาเห็นรถอีกคันขับตามออกมาแต่วิ่งตรงมาทางเขา ด้วยสัญชาตญาณเขาจึงหลบและหาที่กำบัง ซึ่งโชคดีที่ตรงนี้มีแพลตฟอร์มเหล็กตั้งกองกันอยู่หน้าโกดัง F22 และคงจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่อาศัยแพลตฟอร์มเหล็กเป็นที่ซ่อนตัว

   “หนานเฟ่ยซาน” คนที่ยืนหลบอยู่ก่อนหันมองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียว

   “ดอกเตอร์” เจ้าของชื่อขานรับเสียงแผ่ว ก่อนที่จะทิ้งร่างรูดไปกับแพลตฟอร์ม

   เขารีบเข้าไปดูและจับชีพจรของคนที่ตอนนี้หมดสติไปแล้ว ปรากฏว่าชีพจรของเฟ่ยซานเต้นเร็วมาก เขามองลอดช่องระหว่างแพลตฟอร์มออกไป เห็นว่ารถอีกคันขับเลยพวกเขาไปไกลแล้ว จึงแบกร่างที่หมดสติของหนานเฟ่ยซานขึ้นมา ทำให้กล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือของหนานเฟ่ยซานหล่นลงพื้น เลนส์หลุดออกมา ซึ่งเขาไม่ทันได้เห็นตั้งแต่แรก

   เขาได้แต่ส่ายหน้าเบื่อหน่าย นอกจากจะต้องมาช่วยคนที่ชอบรนหาที่แล้ว นี่เขาคงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับเจ้าของกล้องด้วยกระมัง

   เหมิ๋นหยวนฮ่างแบกร่างของหนานเฟ่ยซานมายังรถของเจ้าตัว คลำหากุญแจรถสักพักก็เจอ จึงเปิดรถและพาร่างไร้สติยัดไว้เบาะด้านหลัง ก่อนจะก้าวไปประจำที่นั่งคนขับ แล้วขับออกไป โดยไม่ลืมแวะที่ป้อมยามเพื่อบอกเรื่องจักรยานที่เขาทิ้งมันไว้ข้างโกดัง F20

.........................................................................

   ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ ผมจึงลุกจากเตียงที่นุ่ม และดูเหมือนจะอุ่นสบายกว่าทุกวันทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น ผมก็ควานเปะปะเพื่อหาโทรศัพท์....

   ..

   .

   หัวเตียงที่เคยเป็นไม้ มีที่สำหรับวางของกลายเป็น...

   ..

   .

   ผมลืมตาและเงยหน้าขึ้นมองทันที หัวเตียงบุผ้ากำมะหยี่สีเทาเงินที่ทั้งนุ่มและลื่นปรากฏอยู่ในสายตา

   สติผมเริ่มจะกลับมาเข้าที่เข้าทางดังเดิม ทำให้ผมจำได้แล้วว่า ก่อนจะวูบหมดสติไปผมเจอเข้ากับดอกเตอร์โพลาไอซ์ ผมมองไปรอบ ๆ ตัวทันที นี่ไม่ใช่ห้องนอนของผม ไม่ใช่เตียงของผม เสียงโทรศัพท์ที่ร้องอยู่นี่ก็ไม่ใช่ของผม โทรศัพท์ของผมถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียง พร้อมด้วยกุญแจรถ และกระเป๋าเงินอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง จนเสียงประตูห้องน้ำ เรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง

   ชายรูปร่างคุ้นตาเดินออกมา สายตาของผมสะดุดกับกล้ามหน้าท้องรูปวีเชฟที่มุดหายลงไปใต้ผ้าขนหนูที่พันรอบเอวสอบไว้อย่างเหมิ่นเหม่ หยดน้ำที่เกาะตามร่างตรงหน้าต้องกับแสงไฟในห้องเป็นประกายระยิบระยับจนผมตาพร่า จนต้องเงยหน้าเปลี่ยนไปมองใบหน้าที่ไร้กรอบแว่นเชย ๆ สีทองที่มักจะเห็นอยู่บ่อยครั้ง ทรงผมที่มักจะจัดทรงแข็งโป๊กราวกับก้อนหินเปียกน้ำลู่ลงไปกับศีรษะทุยดูไม่เป็นทรง

   “ดอกเตอร์” เสียงผมหายไปในลำคอ คนที่เดินออกมาจากห้องน้ำไม่สนใจจะหันมองมาทางผมเลย กลับเดินอ้อมไปยังโต๊ะหัวเตียงอีกด้าน เพื่อรับโทรศัพท์ที่ตั้งเสียงสายเข้า เสียงเดียวกับโทรศัพท์ของผม

   “อืม ฉันเอง... น่าจะมีอาการวูบร่วมด้วย... ยังไม่ได้ถาม...” ดอกเตอร์โพล่าไอซ์ที่ยืนหันหลังอวดกล้ามหลังให้ผมได้กลืนน้ำลายด้วยความอิจฉา เขาหันมามองทำให้ผมต้องหลบสายตาที่เผลอจ้องกล้ามสวยๆ นั่นนานไปหน่อย เมื่อมองที่มือของตัวเอง ที่ตอนนี้มันจิกอยู่บนผ้าห่ม? จนผมต้องรีบคลายมือออก “เพิ่งฟื้น... อืม ถ้ากระต่ายตัวนั้นมีอะไรผิดปกติ รีบโทรบอกผม”

   ภายในห้องเงียบลง ผมเข้าใจว่าดอกเตอร์คงวางสายไปแล้ว จากบทสนทนา ผมเดาว่าเรื่องที่คุยต้องมีผมไปเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน และก็ไม่พ้น เรื่องของน้ำตากิเลนอะไรนั่นอีกแน่ ผมที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ก็มีวัตถุหนึ่งวางลงตรงหน้าผม กล้องถ่ายรูปที่เลนส์ซูมหลุดออกมา ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่วางมัน

   “นายจะนั่งอยู่แบบนั้นอีกนานไหม” ดอกเตอร์ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง เพราะเพิ่งผ่านการเช็ดมาแบบไปปรานีหนังศีรษะ สวมแว่นกรอบทองดังเดิม เขาสวมเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวอวดหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม กับกางเกงลำลองสีฟ้าสบายตา “หนานเฟ่ยซาน” ดอกเตอร์เรียกสติผมอีกครั้ง ทำไมครั้งนี้การเรียกชื่อของผม มันถึงทำให้ใจกระตุกได้ขนาดนี้

   “เออ...”

   “เฮอ...นายจำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม?” ผมพยักหน้ารับ “ก่อนนายหมดสติ นายมีอาการยังไงอีก”

   “ไม่มีแรง หน้ามืด” ผมตอบคำถามของอีกฝ่าย ทั้งที่ผมนึกว่า เขาจะถามว่าผมไปทำอะไรที่นั่นซะอีก

   “แล้วก่อนหน้านั้นละ”

   “ผมคงจะเหนื่อยเพราะแบกลังหลาย ๆ ใบ เลยทำให้หายใจไม่ทัน รู้สึกว่าใจเต้นเร็ว” ดอกเตอร์ยื่นแก้วน้ำให้กับผม ซึ่งผมก็รับไว้อย่างไม่อิดออด

   “นายต้องดื่มน้ำมาก ๆ ถ้าเป็นน้ำอุ่นได้ยิ่งดี”

   “คุณรู้ว่าผมเป็นอะไร?” ผมถามหลังจากดื่มน้ำไปอึกใหญ่

   “น้ำตากิเลนที่อยู่ในตัวนาย ทำให้เลือดของนายข้นกว่าคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป”

   “แล้ว?”

   “ภาวะเลือดข้น จะทำให้ร่างกายหมุนเวียนเลือดได้ไม่ดี ไม่แปลกที่นายจะหน้ามืด อ่อนเพลียง่าย แล้วก็หมดสติ”

   “ถ้าผมไปหาหมอ มันจะหายไหม?”

   “น้ำตากิเลนที่อยู่ในตัวนาย คงไม่มีทางหายไปง่าย ๆ ยาที่หมอให้มาก็แค่บรรเทาอาการ”

   “...” อยู่ ๆ ผมก็เป็นโรคเนี่ยนะ ที่สำคัญ รักษาไม่หายอีกต่างหาก

   “หากหัวใจนายเต้นเร็วผิดปกติ นายก็ควรระวังอาการที่จะตามมา บางครั้งนายอาจจะมีอาการเวียนหัว ตาพร่าร่วมด้วย” ตอนที่ผมเห็นดอกเตอร์ออกมาจากห้องน้ำแล้วใจเต้นแรง ตาพร่า นี่คงเพราะอาการกำเริบสินะ

   “ที่คุณตามผมไปที่โกดัง เพราะน้ำตากิเลนในตัวผมอย่างนั้นเหรอ?”

   “เลือดของนายมันมีค่ามาก นายไม่รู้ตัวรึไง” ไม่รู้ว่าผมคาดหวังกับคำตอบแบบไหน แต่คำตอบนี้มันทำให้ผมหงุดหงิดชอบกล

   “ผมไม่ได้ไปเสี่ยงอันตรายสักหน่อย”

   “นายอาจจะไปเจออย่างคราวที่โรงแรมนั่นอีกก็ได้”

   “นั่นมันบังเอิญต่างหาก ผมคงไม่ซวยไปเจออะไรแบบนั้นอีกหรอกน่า”

   “แล้วคราวนี้ละ”

   “ครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรนี่ ผมก็ปลอดภัยกลับมา”

   “ถ้าฉันไม่ช่วย”

   “เออ ขอบคุณ” ทำไมยิ่งเถียง ผมก็ยิ่งเหมือนกับเป็นฝ่ายผิด

   “ตอนนี้นายควรจะระวังตัวให้มากกว่าเดิม เพราะนายไม่ปกติ”

   “ที่ผมผิดปกตินั่นเพราะคุณต่างหาก” ผมเริ่มทนไม่ไหว ถึงได้พาล อันที่จริงมันก็เป็นความผิดของคนตรงหน้านี่แหละ ถ้าไม่พกไอ้น้ำตากิเลนนั่นติดตัวในวันนั้น ถ้าเขาไม่ชนกับผม ผมก็คงไม่ต้องกินมันเข้าไป และผมก็คงจะไม่ต้องเป็นตัวประหลาดแบบนี้

   ดอกเตอร์ไม่ได้พูดอะไรออกมาผมจึงลุกขึ้นจากเตียง หวังจะไปให้พ้น ๆ หน้าดอกเตอร์โพล่าไอซ์นี่ แต่แค่ผมก้าวขาลงจากเตียง ขาผมก็ไร้เรี่ยวแรง ทรุดลงไปกองกับพื้น พอพยุงตัวเองจะลุกขึ้น กลับหน้ามืดเข้าไปอีก

   “นายยังอ่อนเพลียอยู่ คราวหน้าอย่ารีบลุกแบบนี้ ไม่อย่างนั้นจะหน้ามืดเอาได้” เออ...ไม่ต้องบอกก็รู้ไหม แล้วมันจะยังมีคราวหน้าอีกเหรอ

   ผมพยายามจะตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันสำเร็จร่างกายผมก็ลอยหวือขึ้นมา จนทำให้จากอาการหน้ามืดแปรเปลี่ยนเป็นเวียนหัวแทน ดอกเตอร์มันจะฆ่าผมหรือยังไง เล่นอุ้มขึ้นมาเร็ว ๆ แบบนี้ ตอนนี้ผมได้แต่คอพับคออ่อน หลับตาซบลงบนซอกคอของคนที่อุ้มผมอยู่ ก่อนถูกวางลงบนเตียงดูดวิญญาณอีกครั้ง ที่ต้องเรียกมันแบบนี้เพราะวิญญาณของผมก็ถูกมันดูดออกจากร่างไปพร้อม ๆ กับสติที่ค่อย ๆ เลือนหายไป...

.........................................................................

   ผานกู่ค่อนข้างแปลกใจที่หนานเฟ่ยซานหายไปไม่ติดต่อเขาเป็นวัน ๆ อย่างนี้ เมื่อวานหลังจากที่เขาเอาโจ๊กไปให้ที่คอนโด เฟ่ยซานก็ไม่ได้ติดต่อเข้ามาอีกเลย เช้านี้โทรเข้าไปก็ไม่มีคนรับ เขาจึงเดาว่าเจ้าตัวอาจจะลืมทิ้งไว้ที่ห้อง จึงโทรเข้าไปที่สำนักพิมพ์ แต่ปรากฏว่า เฟ่ยซานก็ยังไม่ได้เข้าไปทำงาน

   เขาเดินตรงเข้ามาหาจู้ชุนที่โต๊ะ หลังจากประชุมกับหัวหน้าเรื่องคดีฆ่ารัดคอ เมื่อมาถึงก็เห็นตู้เห่ายืนคุยอยู่กับจู้ชุน

   “นั่นไง มาโน่นแล้ว” ตู้เห่ามองมาทางเขา

   “อาชุน คนของนายรายงานมารึยัง ว่าเฟ่ยซานอยู่ที่ไหน”

   “จะมีใครมาถามอีกไหม ฉันจะได้ตอบครั้งเดียว” จู้ชุนบ่นไม่จริงจังนัก

   “หมายความว่าไง?”

   “ไม่มีอะไรหรอกพี่กู่ ผมก็มาถามหาเฟ่ยซานเหมือนกัน”

   “ทำไม?”

   “พี่ไม่ต้องกังวลไป พอดีวันนี้ผมนัดกับเฟ่ยซานเอาไว้ ว่าจะไปหาเบาะแสในคดีคนหาย แต่จนป่านนี้เฟ่ยซานก็ยังไม่มา โทรไปก็ไม่มีคนรับสาย”

   “ปกติเฟ่ยซานไม่ใช่คนที่จะผิดเวลา ยิ่งเป็นเรื่องคดีด้วยแล้ว นักข่าวอย่างเฟ่ยซานไม่มีทางพลาดเด็ดขาด”

   “ผมรู้ ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเฟ่ยซานเลยมาถามอาชุนนี่แหละ”

   “ว่าไงอาชุน ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฟ่ยซานรึเปล่า”

   “เมื่อคืนนี้คนของผมรายงานมาว่า เฟ่ยซานไปซุ่มดูโกดังแถวท่าเรือที่ 5 ส่วนเช้านี้ยังไม่มีรายงานอะไรเข้ามา”

   “ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเฟ่ยซานปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้” ตู้เห่าออกความเห็น

   “โกดังนั่นเกี่ยวกับคดีไหน” เขาถามออกมาอย่างสงสัย เพราะตอนนี้เฟ่ยซานตามแต่คดีฆ่ารัดคอ แล้วอีกคดีที่เขาเพิ่งรู้ก็คือคดีคนหาย

   “น่าจะเป็นคดีคนหาย เฟ่ยซานไปเจอสมุดทำมือแบบเดียวกันกับของลุงเว่ย”

   “แค่คดีคนหาย ไม่น่าจะต้องไปซุ่มดูตอนดึก”

   “หรือว่าเฟ่ยซานไปเจออะไรเข้า”

   “แบบนี้คงจะไม่ใช่คดีคนหายธรรมดาซะแล้ว” จู้ชุนที่ฟังเขาและตู้เห่าคุยกันออกความเห็น

   “ถ้าคนของนายรายงานอะไรเพิ่มเติมเข้ามา บอกฉันด้วย”

   “ครับพี่กู่”

   “ถ้าจะให้ดี ฝากคนของนายบอกเฟ่ยซานด้วย ว่าฉันรออยู่” ตู้เห่าพูดก่อนเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง

   “แล้วพี่กู่ละ จะให้คนของผมบอกอะไรเฟ่ยซานไหม”

   “ไม่ต้อง”

   “อย่างเช่น พี่เป็นห่วง อะไรทำนองนี้”

   “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง” เขาพูดย้ำจริงจัง ก่อนเดินกลับไปนั่งโต๊ะทำงานของตนเอง

To Be Continue

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
20







   ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ พยายามควานมือเปะปะเหนือศีรษะเพื่อหาโทรศัพท์.... แต่ปลายนิ้วที่สัมผัส หัวเตียงบุผ้ากำมะหยี่ทำให้ผมลืมตาขึ้นมา ผมไม่ได้ฝัน ผมอยู่ในบ้านของดอกเตอร์โพล่าไอซ์จริง ๆ สิ่งแรกที่ผมหันมองคือประตูห้องน้ำ

   “ตื่นแล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์” เสียงของคนที่ผมคิดว่าจะเดินออกมาจากห้องน้ำกลับมาอยู่อีกด้านซึ่งเป็นประตูทางเข้าห้อง ดอกเตอร์ยังอยู่ในชุดเดิมยืนพิงกรอบประตูอยู่

   “เออ...” ผมที่เพิ่งตั้งสติได้ ยังไม่ทันได้เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ เสียงเรียกเข้าก็เงียบลงซะก่อน

   “น้ำก็อยู่ข้าง ๆ ของของนาย ดื่มแล้วจะได้มีเสียง” ดอกเตอร์พูดพร้อมกับหันหลัง จะเดินออกจากห้องไป “แล้วนั่งแบบนั้นสักพัก ให้ร่างกายได้ปรับตัวก่อน ไม่อย่างนั้นจะวูบเหมือนเมื่อเช้าอีก”

   ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังที่เดินออกจากห้องไป มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นกุมหน้าอกตัวเอง ที่ตอนนี้รู้สึกว่าหัวใจมันเต้นถี่ไม่ต่างจากเมื่อเช้า จนอาการสงบลงจึงได้เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ที่หน้าจอปรากฏมิสคอลหลายสาย วันนี้ผมนัดพี่เห่าไว้ แต่ดูจากเวลาแล้ว คงไม่ได้ไปตามนัดซะแล้ว

   “ยังลุกไม่ไหวอีกเหรอ?” ผมสะดุ้งเพราะเสียงของดอกเตอร์ที่ดังขึ้นมาทำลายความเงียบภายในห้อง

   “ปะ...เปล่า”

   “ไม่ไหวก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะยกโจ๊กมาให้” ดอกเตอร์พูดเสร็จ ไม่รอให้ผมได้ตอบ ก็เดินออกจากห้องไป และไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมถาดในมือ

   “ผมออกไปทานข้างนอกก็ได้” ดอกเตอร์ไม่ตอบแต่กลับหันไปมองขวดน้ำที่วางอยู่ข้าง ๆ ข้าวของของผม หลังจากวางถาดที่มีถ้วยโจ๊กและน้ำส้มอีกแก้วไว้ข้าง ๆ ผม

   “นายควรจะดื่มน้ำเยอะ ๆ”

   “ผมไม่หิว” ไม่ทันขาดคำ เสียงกระเพาะในท้องของผมก็ร้องประท้วงขึ้นมา “ผมหมายถึงผมไม่ได้กระหายน้ำ”

   “ตอนนี้นายก็ทานโจ๊กนี่ไปก่อน ไม่พอก็เติมได้ ในครัวยังมีอีก ฉันทำไว้เยอะ”

   “ดอกเตอร์ทำเอง?” ผมมองโจ๊กหน้าตาหน้าทานตรงหน้า จนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นฝีมือดอกเตอร์โพลาไอซ์

   “รีบๆ กินไปเถอะ จะได้มีแรง เดี๋ยวฉันไปส่ง”

   “ที่นี่... โรงแรมฝู่?” ผมหันไปมองวิวรอบ ๆ ตัว แต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่

   “บ้านลุงของฉันเอง”

   “ลุง? คุณฝู่”

   “แล้วนายจะตกใจทำไม ลุงของฉันเขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกน่า”

   นั่นสิ ผมจะตกใจทำไมกัน ผมเลิกคิดเลิกใส่ใจแล้วก็กินโจ๊กตรงหน้า ซึ่งมันหมดในเวลาอันรวดเร็วจนผมแอบเสียดายนิด ๆ ที่มันหมดไวเกินไป

   “จะเอาเพิ่มไหม” ผมพยักหน้า ดอกเตอร์จึงยกถ้วยโจ๊กไปตักเพิ่มให้ ผมที่ดื่มน้ำส้มจนหมดจึงลุกขึ้น ถือถาดเดินตามดอกเตอร์ออกไป

   “ขอบคุณ” ผมพูดหลังจากวางถาดลงบนโต๊ะอาหาร

   “นั่งก่อนสิ เดี๋ยวฉันยกไปให้”

   “ผมนึกว่าดอกเตอร์พักอยู่ที่โรงแรมซะอีก”

   “ที่นั่นมันวุ่นวาย ฉันไม่ชอบ”

   “แสดงว่า ที่เขาลือกันว่าชั้นบนสุดเป็นเพนเฮ้าส์นั่นก็เรื่องจริงนะสิ”

   “นายจะถามเพื่อไปเขียนข่าวหรือยังไง”

   “ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมก็แค่ได้ยินเขาลือต่อๆ กันมาเท่านั้น”

   “เรื่องนี้ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรนี่”

   “คุณเป็นคนยังไงกันแน่ ดอกเตอร์” ไม่รู้อะไรทำให้ผมหลุดปากถามออกไปแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะผมสับสนกับท่าทีที่เหมือนจะอ่อนโยน แต่คำพูดกลับเย็นชา ภายใต้ใบหน้านิ่ง ๆ

   ดอกเตอร์เอาถ้วยโจ๊กมาวางตรงหน้า เขาจ้องหน้าผม ผมมองเข้าไปในดวงตาภายใต้กรอบแว่นเชย ๆ นั่น ต่างคนต่างเงียบ นานเท่าไรไม่รู้จนผมเห็นดอกเตอร์ขมวดคิ้ว

   “นายเป็นอะไร อาการกำเริบหรือไง?” ดอกเตอร์ถามผมพร้อมกับเดินไปที่เครื่องกดน้ำ จากนั้นก็ยื่นแก้วน้ำอุ่นให้ผม “เฟ่ยซาน”

   ผมสะดุ้งกับเสียงของดอกเตอร์ที่เรียกชื่อของผม มารู้ตัวอีกที มือทั้งสองข้างของผมมันดันวางอยู่บนอกของผมเอง หัวใจของผมเต้นแรงตั้งแต่เมื่อไร นี่สินะ สาเหตุที่ดอกเตอร์ถึงเดินไปกดน้ำให้ผม ผมคงจะอาการกำเริบแบบไม่รู้ตัว

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างขับรถของหนานเฟ่ยซานมาส่งเจ้าตัวถึงคอนโด ตั้งแต่ที่คนข้างๆ อาการกำเริบครั้งล่าสุด เจ้าตัวก็ได้แต่นั่งเงียบมาตลอดเวลา จนกระทั่งถึงคอนโด สายตาที่บางทีก็ดูเลื่อนลอย บางครั้งก็เหมือนมีเรื่องให้คิด ซึ่งเขาคาดว่าเฟ่ยซานคงกังวลกับผมข้างเคียงที่มาจากน้ำตากิเลน

   “เรื่องเลนส์กล้องที่แตก นายก็คิดค่าเสียหายมาก็แล้วกัน ฉันจะชดใช้ให้”

   “หา!! อะไรนะ”

   “ฉันพูดถึงเรื่องเลนส์กล้อง” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานหน้าแดงขึ้นมา คงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ถึงได้โกรธหน้าดำหน้าแดงแบบนี้

   “อ่อ เออ ไม่เป็นไร...ถือซะว่าหายกันกับที่คุณช่วยผมเอาไว้”

   “ข่าวที่ได้คงจะมีค่าพอกับเลนส์กล้องเลยซินะ”

   “เออ...ก็ยังไม่รู้หรอก”

   “นายหาข่าวเกี่ยวกับอะไรกันแน่ ถึงได้ไปที่โกดังนั่นทุกคืน รู้ไหมว่ามันไปก่อกวนลูกค้าของฉัน”

   “เออ...ผมก็แค่หาคน”

   “หาคน เลยไปหาที่โกดังนั่นอะนะ”

   “แล้วไปเจอเรื่องน่าสงสัยเข้า”

   “น่าสงสัยยังไง”

   “ยังไม่รู้ ผมยังตอบคุณไม่ได้ คุยอย่าเพิ่งซักอะไรผมตอนนี้ไปไหม?”

   “แสดงว่านายจะไปที่โกดังนั่นอีกสินะ”

   “ก็...ใช่”

   “เฮ้อ...เอาเป็นว่า ถ้าจะไปนายก็โทรบอกฉันหน่อยแล้วกัน”

   “โทรทำไม”

   “ก็ฉันจะไปด้วยไง”

   “ไปทำไม มีคุณตามไปด้วย ผมไม่ยิ่งทำงานลำบากเหรอ?” หนานเฟ่ยซานหันขวับมาทางเขา

   “ฉันช่วยนายมา 2 ครั้งแล้ว”

   “นั่นมัน...” คนข้าง ๆ ไม่พูดต่อ ได้แต่เบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง จนเขาขับมาถึงคอนโดที่หนานเฟ่ยซานพักอยู่

   “แล้วคุณจะกลับยังไง”

   “เรียกรถกลับ”

   “ขอบคุณ” หนานเฟ่ยซานลงจากรถ เขาเองก็ลงตามก่อนส่งกุญแจรถคืนเจ้าของ

   “เฟ่ยซาน” เสียงเรียกชื่อของหนานเฟ่ยซาน ทำให้เขาหันไปมอง

   “พี่กู่” เจ้าของเสียงรีบเดินออกมาจากหน้าตึก เพื่อตรงมาหาหนานเฟ่ยซาน

   “ไปไหนมา ทำไมไม่รับสาย แล้วนี่มาด้วยกันกับดอกเตอร์ได้ยังไง”

   “ผมไปที่โกดังมา ดอกเตอร์ไปกับผมด้วย”

   “ไปสืบคดีคนหายอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมต้องไปกวนดอกเตอร์” น้ำเสียงของผานกู่ติดจะไม่พอใจนิด ๆ

   “ยังไงที่นั่นก็เป็นกิจการในเครือเยี่ยนหวอ การที่ผมให้ความร่วมมือกับนักข่าวก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร” เขาตอบกลาง ๆ เพราะดูเหมือนเฟ่ยซานคงไม่อยากพูดถึงอาการของตัวเอง

   “เออ ขอบคุณดอกเตอร์ที่ให้ความร่วมมือ และขอบคุณที่มาส่ง ผมกับพี่กู่ขอตัวไปปรึกษากันเรื่องคดีก่อนนะครับ” หนานเฟ่ยซานพูดจบก็ดึงผานกู่ตรงไปยังทางเข้าคอนโด เขาเห็นว่าหนานเฟ่ยซานน่าจะไม่เป็นอะไรมาแล้วจึงโทรเรียกรถของโรงแรมมารับ

.........................................................................

   ผานกู่ติดต่อหนานเฟ่ยซานไม่ได้ทั้งวัน โทรไปก็ไม่รับสาย และดูทีท่าว่าจะไม่โทรกลับอีกต่างหาก พอเขาไปตามจู้ชุนก็ไม่ได้ความอะไร รู้เพียงแค่เฟ่ยซานไปโกดังของเยี่ยหวอแถว ๆ ท่าเรือ เมื่อเสร็จงาน เขาจึงมาหาหนานเฟ่ยซานที่คอนโด แต่เจ้าของห้องก็ยังไม่กลับมาสักที กำลังจะไปตามที่โกดัง ก็เห็นรถของเฟยซานเข้ามาจอดในลานจอดด้านหน้าซะก่อน

   เขาเห็นเฟ่ยซานลงมาจากรถที่เหมิ๋นหยวนฮ่างเป็นคนขับรถให้ มาส่งถึงที่คอนโด คนที่มีชื่อเสียงระดับดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างยอมลดตัวมาขับ Suzuki Alto เพื่อมาส่งนักข่าวธรรมดา ๆ อย่างหนานเฟ่ยซาน มันเริ่มทำให้เขาระแวง ไหนจะคำพูดของเหยินหยางผิงกับชิวกัมหงที่โรงพยาบาลนั่นอีก

   “ดูเราก็ไม่ค่อยจะสนิทกับเหมิ๋นหยวนฮ่างเท่าไรนี่ แล้วทำไมถึงไปขอความช่วยเหลือเขาได้” ผานกู่ถามหนานเฟ่ยซานทันทีที่ปิดประตูห้องลง

   “มันบังเอิญนะ เขาอยู่แถว ๆ นั้นพอดี”

   “แล้วได้เรื่องอะไรไหมล่ะ”

   “เรื่องคนหายไม่ได้เรื่องอะไร แต่ผมเจอฉินหรุยกวงเมื่อคืน อยู่กับใครก็ไม่รู้”

   “ฉินหรุยกวง?”

   “ใช่ เดี๋ยวผมโหลดรูปลงคอมก่อน” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานเดินไปดื่มน้ำอึกใหญ่ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงาน

   “เราคงจะเหนื่อยแล้ว พักผ่อนเถอะ พี่แค่เป็นห่วง เอาไว้พรุ่งนี้นายเสร็จงาน คอยไปที่สถานีก็ได้”

   “พี่จะกลับแล้วเหรอ”

   “อืม เห็นเราไม่เป็นอะไร ก็หายห่วงแล้ว เล่นไม่รับสาย ไม่โทรกลับ พี่ร้อนใจจนต้องตามมาหาที่คอนโด”

   “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง พอดีมันมีเรื่อง เลยไม่สะดวกรับ แล้วก็ลืมโทรกลับด้วย”

   “คงได้เรื่องมาเยอะเลยสิ ถึงได้ลืมพี่”

   “ใช่ โกดังที่ผมไปเจอ เป็นของบริษัท วิงเฮงยิม 2 ปีนี้เปลี่ยนเจ้าของมา 7-8 คนแล้ว แต่ถึงจะเปลี่ยนเจ้าของนะ คนที่นำเข้าอะไหล่แท็กซี่ให้ก็ยังเป็นฉินหรุยกวง”

   “อืม... น่าสงสัยจริง ๆ”

   “คืนก่อน โกดังนี้มีการขนของออกไปไว้อีกโกดังหนึ่ง เป็นของต้วนเจียจง ไฮโซบ้าของเล่น”

   “นายไปตอนกลางคืน แล้วก็ไปมาหลายครั้งแล้ว?”

   “ก็...เอาน่าพี่กู่ เรื่องที่ผมได้มามันไม่น่าสงสัยรึยังไงล่ะ?”

   “อืม น่าสงสัยจริง ๆ นั่นแหละ แล้วเขาขนอะไรกันบ้าง เราเห็นรึเปล่า?”

   “ผมไม่ได้เข้าด้านใน มีแต่รูปถ่ายด้านนอก และเห็นคนเข้าออกเยอะมาก พอเมื่อคืนโกดังนั่นกลับโล่ง ไม่เหลืออะไรเลย”

   “เหมือนฉินหรุยกวงต้องการทำลายหลักฐาน นายก็เลยไปขอความช่วยเหลือกับเหมิ๋นหยวนฮ่างอย่างนั้นสิ แล้วได้เรื่องอะไรไหมล่ะ?”

   “ก็อย่างที่บอก ว่าคนที่ผมเห็น ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร”

   “อืม นายพักผ่อนเถอะ พี่จะกลับไปที่สถานีแล้ว”

   “ผมขอโทษอีกทีนะพี่กู่ แล้วก็พี่เห่าด้วยอีกคน”

   “ไม่เป็นไร ครั้งหน้าอย่างน้อยส่งข้อความบอกกันหน่อยก็ยังดี”

   “ครับ”

   เขาที่กำลังจะก้าวออกจากห้องของหนานเฟ่ยซาน โทรศัพท์ก็ดังขึ้น “ว่าไงหยางผิง...เจอแล้วเพิ่งกลับมาจากโกดัง...ว่าไงนะ...เมื่อไร...ได้ เดี๋ยวฉันจะไปเดียวนี้”

   “พี่กู่ มีคดีเหรอ”

   “อืม”

   “คดีไหน คดีฆ่ารัดคอรึเปล่า”

   “ไม่ใช่หรอก คดีใหม่นะ เดี๋ยวพี่รีบไปที่เกิดเหตุก่อน นายเองก็รีบโหลดรูปที่โกดังออกมาละ แล้วพรุ่งนี้ก็เข้าไปที่สถานีด้วย จะได้ช่วยกันดู”

   “ครับ”

   เขาเลี่ยงที่จะบอกความจริงกับหนานเฟ่ยซาน เพราะถ้าหากเฟ่ยซานรู้ว่าศพที่เจออยู่ที่ทะเลสาบนัมกวงเป็นศพของฉินหรุยกวง ด้วยนิสัยแล้วคงต้องตื๊อจะตามเขาไปให้ได้แน่ ๆ

.........................................................................

   เหยินหยางผิงมาที่สวนนัมกวงกับเหมี่ยนจื่ออู่ เนื่องจากได้รับรายงานว่าพบศพชายสองคนถูกทิ้งไว้ใกล้ ๆ กัน ศพหนึ่งอยู่ในทะเลสาบ ส่วนอีกศพถูกพบอยู่ในสวนริมทะเลสาบ

   ศพชายคนแรกที่ถูกพบโดยหญิงคนหนึ่งที่มาออกกำลังกายที่สวนนัมกวงเป็นประจำ และจุดที่เธอพบศพเป็นจุดที่เธอมักจะมานั่งรับลมเพื่อพักเหนื่อย เธอจึงโทรแจ้งตำรวจ และเมื่อทางตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบร่องรอยเลือดหยดเป็นทางมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ ซึ่งก็นำไปเจอศพของฉินหรุยกวง

   “ฉันตรวจสอบแล้วนะ ศพแรก นายจื่อหรง ทำงานไม่เป็นหลักแหล่ง เคยมีคดีชิงทรัพย์ 2-3 คดี เคยติดคุกมาแล้วหลายครั้ง ครั้งล่าสุดเพิ่งถูกปล่อยตัวมาเมื่อ 2 ปีก่อน” จื่ออู่สรุปข้อมูลที่ได้จากศพแรก

   “นายว่าฉินหรุยกวงมาทำอะไรที่นี่?”

   “คนอย่างฉินหรุยกวงไม่น่าจะมาเดินแถวนี้ น่าจะนับพบใครมากกว่า”

   “ฉันว่ามันบังเอิญเกินไป ที่ฉินหรุยกวงจะมาที่นี่ พอดีกับที่จื่อหรงมาปล้น”

   “ดูจากศพทั้งสอง ก็เป็นไปได้ว่าคงจะมีเรื่องกันรุนแรง”

   “ถ้าฉันกับพี่กู่ไม่ไปเจอช่องเก็บของลับนั่น ฉันคงคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่นี่ฉันมีลางสังหรณ์ว่ามันเป็นการจัดฉาก เพื่อฆ่าปิดปากฉินหรุยกวงมากกว่า”

   “แล้วศพของจื่อหรงละ นายจะว่ายังไง”

   “ฉันก็ยังคิดไม่ออก ว่าจื่อหรงมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”

   “ปมทุกอย่างชี้มาที่ฉินหรุยกวงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคดีเมื่อ 5 ปีก่อน คดีรถบัสระเบิด แล้วไหนจะบัญชีไหว่ยี่อีก เหมือนกับคนที่ชื่อไหว่ยี่ต้องการจะฆ่าตัดตอน เพื่อไม่ให้เราสืบต่อได้”

   “ไอ้ไหว่ยี่นี่มันเป็นใครกันแน่”

   “อาชุนกำลังสืบอยู่นี่ หวังว่าอีกไม่นานจะได้เรื่องอะไรบ้าง”

   “นายนี่พูดดี ๆ ก็เป็นนี่”

   “แล้วฉันพูดไม่ดีตรงไหน มีแต่นายแหละที่คอยจะหาเรื่องฉัน”

   “ฉันเนี่ยนะ ฉันพูดไม่ดีตรงไหน มีแต่นายแหละตั้งท่ารังเกียจ เหมือนไม่อยากทำงานร่วมกับฉัน”

   “ก็นายมันกวนประสาท พูดเป็นเล่นไปเรื่อย”

   “แล้วเมื่อกี้นี้ฉันพูดเป็นเล่นหรือไง?”

   “ก็เปล่า”

   “ฉันไหม เป็นนายนั่นแหละจื่ออู่ ที่จ้องจับผิดฉัน หรือว่านายสนใจฉัน”

   “เพ้อเจ้อ” เหมี่ยนจื่ออู่พูดจบก็เดินหนีเขาไป ทางอื่น เขามองตามเห็นคนตัวเล็กเดินไปสำรวจรอบ ๆ เพื่อหาเบาะแสหรือหลักฐานเพิ่มเติม

To Be Continue

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
21







   ตู้เห่าได้ยินจากเหยินหยางผิง ว่าหนานเฟ่ยเหลอหลาไปเห็นฉินหรุยกวงอยู่กับใครบางคนที่โกดังแถวท่าเรือ ก่อนที่ชายคนนั้นจะถูกพบเป็นศพลอยในทะเลสาบนัมกวงในวันถัดมา เขาเลยได้แต่ทอดถอนหายใจ เพราะคาดหวังว่าคดีคนหายที่เฟ่ยซานช่วยหาเบาะแสอยู่ในขณะนี้จะสามารถคลี่คลายได้เร็วขึ้น พอได้ยินแบบนี้ ข่าวฉินหรุยกวงน่าจะดึงความสนใจจากนักข่าวหนุ่มไปหมดเป็นแน่

   “พี่เห่า เป็นอะไร หน้าเครียดแต่เช้าเลย”

   “ก็คดีคนหายนะสิ ไม่คืบหน้าเอาซะเลย” เขาตอบจู้ชุนที่เดินมานั่งโต๊ะข้าง ๆ “แล้วนายละ เจอไหม คนที่ชื่อไหว่ยี่”

   “ไม่มีคนชื่อแซ่นี้ในฐานข้อมูลประชากรเลย น่าจะเป็นนามแฝงหรือฉายาอะไรแบบนั้นมากกว่า”

   “อืม...”

   “นายก็ลองเช็กไปทางสายของนายดูสิ เผื่อจะเจอ”

   “ผมให้คนพวกนั้นเช็กอยู่ แต่ยังไม่ได้ความคืบหน้าอะไร แล้วพี่ละ มีคนหายอีกละสิ”

   “ใช่ คราวนี้เป็นเด็กอีกแล้ว พ่อแม่เพิ่งจะมาแจ้งความเอาป่านนี้ เห็นบอกว่าลูกชายไปเข้าค่าย ตามกำหนดต้องกลับบ้านเมื่อวานเย็น พอไม่กลับมาเลยสอบถามไปทางโรงเรียน ถึงได้รู้ว่าหายตัวไปตั้งแต่วันที่จะไปเข้าค่าย ทางโรงเรียนเองก็เข้าใจว่าพ่อแม่ยกเลิก ไม่ให้ไปค่าย”

   “ช่วงนี้เด็กหายเยอะนะพี่”

   “นั่นนะสิ ฉันเริ่มคิดแล้วว่าเป็นพวกค้ามนุษย์รึเปล่า หายไปแต่เด็กกับผู้หญิง”

   “พี่เห่า พี่ชุน”

   “อ่าว เฟ่ยซาน มาเรื่องคดีอะไรละวันนี้” จู้ชุนทักคนที่เดินมาหาพวกเขาที่โต๊ะ

   “ผมแวะมาหาพี่เห่าก่อนนะ เออ...พี่เห่า เมื่อวานผมขอโทษนะ ที่ผิดนัดกับพี่”

   “ไม่เป็นไร ฉันไม่แปลกใจหรอก ถ้านายจะไปเจอคดีที่น่าสนใจกว่า”

   “พี่รู้เรื่องที่ผมไปเจออะไรมาแล้วอย่างนั้นเหรอ?”

   “ก็ไม่มากหรอก ได้ยินหยางผิงพูด ๆ อยู่นะ”

   “ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะไปตามหาเบาะแสของเว่ยฟาน แต่ดันไปเจอโกดังที่น่าสงสัยเข้า”

   “แล้วโกดังนั่นมันเกี่ยวกับคนหายไหมล่ะ?” จู้ชุนถามขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

   “ไม่แน่ใจ แต่ผมว่าอาจจะเป็นไปได้นะ เพราะโกดังนั่น อยู่ ๆ ก็เกณฑ์คนมาขนของออกทั้งวันทั้งคืน จนเหลือแต่โกดังเปล่า ๆ แถมคนที่รับผิดชอบนำเข้าสินค้าให้กับโกดังนี้ก็เป็นฉินหรุยกวงอีกต่างหาก”

   “นายเลยบังเอิญไปเจอฉินหรุยกวงเข้าสินะ”

   “ใช่ ผมเห็นรถตามเข้าไปอีก 2 คันนะ แต่ไม่เห็นคนข้างใน ยังเสียดายอยู่เลยที่ถ่ายรูปไม่ทัน”

   “อืม งั้นนายก็ไปทำงานของนายเถอะ เรื่องคดีคนหายพักไว้ก่อนก็ได้”

   “นั่น เด็กหายอีกแล้วเหรอพี่” เฟ่ยซานที่ลุกขึ้น เหมือนจะออกไปทำงานของตน กลับชะงักเมื่อเห็นรูปเด็กในมือของเขา

   “อืม พ่อแม่เพิ่งมาแจ้งความเมื่อวาน ลูกหายไปเป็นอาทิตย์ เพิ่งจะรู้ตัว”

   “ผมขอดูรูปเด็กคนนั้นหน่อยได้ไหมพี่” ถึงเขาจะแปลกใจแต่ก็ส่งรูปให้ตามคำขอ หนานเฟ่ยซานจ้องรูปนั้นจนคิ้วขมวดเป็นปม

   “เฟ่ยซาน นายเป็นอะไรรึเปล่า” จู้ชุนลุกจากโต๊ะ เดินไปกดน้ำที่เครื่อง แล้วส่งให้เฟ่ยซาน

   “อะ ขอบคุณพี่ชุน” เฟ่ยซานรับน้ำไปดื่ม ก่อนจะส่งรูปใบนั้นคืน “เด็กคนนี้หน้าตาคุ้นมาก เหมือนผมเพิ่งเจอที่โกดังคืนวันก่อน”

   “แถว ๆ ที่นายเจอสมุดเว่ยฟานอย่างนั้นเหรอ”

   “ใช่พี่ อาจจะเจอเมื่อคืนก่อน เพราะโกดังที่ผมสงสัย มีรถเข้า ๆ ออก ๆ แล้วก็มีทั้งคนขนของ คนงานทำความสะอาด แล้วก็แรงงานอื่น ๆ อีกหลายชุด”

   “นายคุ้นหน้าใครอีกไหม?” เขาถามพร้อมกับส่งรูปเด็กที่หายให้เฟ่ยซานดู

   “ที่นั่นมีแต่คนงานผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย” เฟ่ยซานเปิดดูรูปไปเรื่อย ๆ

   “ถ้าฉันจะขอรูปที่นายถ่ายไว้ละ”

   “พี่ก็มาดูพร้อมกันสิ นี่ผมโหลดรูปมาแล้วนะ ว่าจะไปดูกับจื่ออู่ที่ห้องประชุม”

   “อืม งั้นเดี๋ยวฉันตามไป ขอรวบรูปแฟ้มคดีก่อน มีแต่ผู้ชายสินะ”

   “อืม”

   “ให้ผมไปช่วยไหมพี่เห่า” จู้ชุนอาสาช่วยอีกแรง “ยังไงก็ต้องรอข้อมูลเกี่ยวกับไหว่ยี่อยู่แล้ว”

   “เอาสิ ช่วยกันดูหลาย ๆ คน”

   “ถ้าอย่างนั้นเราก็ดูรูปของคืนวานก่อนก็แล้วกัน เรื่องฉินหรุยกวงค่อยสืบต่อหลังจากนี้”

   “ขอบใจนายมานะเฟ่ยซาน”

   “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวเจอกันที่ห้องประชุมนะ” เฟ่ยซานเดินไปยังห้องประชุมเล็กทีเหมี่ยนจืออู่เตรียมไว้ เขากับจู้ชุนรวบรวมแฟ้มคดีคนหาย โดยคัดมาเฉพาะเด็กผู้ชาย แล้วตามเข้าห้องประชุมไป

.........................................................................

   ผานกู่กับเหมี่ยนจืออู่นั่งอ่านรายงานชันสูตรพลิกศพของฉินหรุยกวงอยู่ในห้อง รอให้หนานเฟ่ยซานแวะไปหาตู้เห่าเพื่อขอโทษเรื่องเมื่อวานนี้

   “จากรายงานนี้ ดูเหมือนว่า ทั้งฉินหรุยกวงและจื่อหรงดูเหมือนมีการต่อสู้กันพอสมควร”

   “อืม สงสัยจื่อหรงคงจะตั้งใจปล้นจี้ฉินหรุยกวงจริง ๆ”

   “เสียดาย ที่เราไม่รู้ว่าฉินหรุยกวงไปพบใครที่สวนนัมกวง”

   “ถ้าได้ดูรูปของเฟ่ยซานอาจจะรู้ก็ได้” พูดยังไม่ทันขาดคำ คนที่พูดถึงก็เปิดประตูเข้ามา

   “พี่กู่!! ผมก็ว่าอยู่ ว่าพี่หายไปไหน ที่แท้มานั่งรอกับจื่ออู่อยู่ที่นี่เอง”

   “ก็ว่าจะมาช่วยดูรูปนั่นแหละ เราละ มีอะไรรึเปล่า”

   “พอดีผมเห็นเด็กที่หายไป หน้าตาคล้าย ๆ กับคนที่ผมเจอที่โกดังเมื่อคืนก่อน พี่เห่าเลยจะเข้ามาขอดูรูปด้วย เพราะยังไงแถว ๆ นั้นก็เป็นที่ที่ผมเจอสมุดทำมือของเว่ยฟาน”

   “นายจะบอกว่า คดีของฉินหรุยกวงกับคดีคนหาย อาจจะเกี่ยวข้องกัน” จืออู่ถามขณะเดินไปรับแฟลชไดซ์จากเฟ่ยซาน

   “ก็แค่สงสัยนะ เลยว่าจะดูรูปการขนย้ายของจากโกดังก่อน พี่กู่จะว่ายังไง”

   “ไม่มีปัญหา เพราะยังไง ไม่ว่าจะเจออะไรที่โกดังนั้น เราก็คาดการณ์ได้ ว่าเรื่องนี้ฉินหรุยกวงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน”

   “เริ่มจากไฟล์ไหนก่อนละเฟ่ยซาน” จื่ออู่ที่นั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊คถามขึ้น

   “ไฟล์แรกเลย นั่นแหละ” เฟ่ยซานบอกพร้อมทั้งจิ้มไปยังผนัง ที่มีภาพจากโปรเจคเตอร์ฉายอยู่

   “เรียบร้อย ถ้าอย่างนั้นเราก็รอพี่เห่าก่อนแล้วกัน”

   “อืม ว่าแต่คดีที่พี่กู่เพิ่งไปที่เกิดเหตุเมื่อวานนี้ มีอะไรจะให้ข่าวผมได้บ้าง”

   “นี่นายยังไม่รู้เหรอ” จื่ออู่ทำหน้าเหลอหลา

   “ฉันยังไม่ได้บอกเฟ่ยซาน”

   “อ่อ เอาเป็นว่า เรื่องคดีเมื่อวานนายคงยังเอาไปเขียนข่าวไม่ได้หรอกนะ ต้องรอสรุปรูปคดีอีกหลายวันเลย นี่ก็มีเบาะแสใหม่มาอีกแล้ว” เหมี่ยนจื่ออู่ตอบเฟ่ยซานได้ดี เขาเองก็รีบเก็บแฟ้มชันสูตรแล้วเอาเอกสารอย่างอื่นขึ้นมาทับไว้

   “อือ ถ้างั้นก็เอางานนี้ให้จบก่อนก็แล้วกันนะ”

   พวกเขารออยู่ไม่นาน ตู้เห่าก็เดินเข้ามากับจู้ชุน ทั้งสองแจกจ่ายแฟ้มคดีคนหายให้กับพวกเราช่วยกันดู และนำรูปเด็กชายขึ้นไปติดไว้ที่บอร์ดกระจกข้าง ๆ กับผนังที่ฉายโปรเจคเตอร์

   “โห...พี่เห่า เด็กหายเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” เฟ่ยซานอุทานออกมาหลังจากตู้เห่าเดินมานั่งข้าง ๆ ส่วนจู้ชุนเดินออกจากห้องไป

   “นี่แค่ส่วนหนึ่งนะ ไม่รวมเด็กหญิง กับผู้หญิงที่หายตัวไปช่วงนี้” ตู้เห่าตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหนักใจ เนื่องจากคดีไม่มีความคืบหน้าเอาซะเลย

   “ใจเย็น ๆ อาเห่า อย่างน้อยก็มีเบาะแสที่น่าจะเป็นไปได้อยู่ ถ้าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับโกดังที่ฉินหรุยกวงมีเอี่ยวด้วย เราก็จะมีแนวทางในการสืบสวนมากขึ้น”

   “ทุกอย่างดูเหมือนจะโยงมาที่ฉินหรุยกวงนะ” เฟ่ยซานเปรยออกมา ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างไปจากความคิดของคนในห้องนี้เลย

   จู้ชุนที่เดินกลับเข้ามาพร้อมกับเหยือกน้ำและแก้วอีกหลายใบ เขาวางมันไว้บนโต๊ะตัวที่ว่างอยู่ ข้าง ๆ เฟ่ยซาน ก่อนเดินไปปิดไฟดวงที่อยู่ด้านหน้าผนัง แล้วค่อยเดินไปนั่งลงข้างตู้เห่า เขาเห็นเฟ่ยซานสบตากับจู้ชุนแวบหนึ่ง ก่อนที่จื่ออู่จะเริ่มเปิดรูปที่หนานเฟ่ยซานแอบถ่ายเอาไว้

   พวกเขาดูรูปกันร่วม 30 นาทีก็ยังไม่มีอะไรน่าสงสัย สีหน้าตู้เห่าก็ดูจะผิดหวัง ที่คดีในความรับผิดชอบไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งจื่ออู่ย้อนรูปกลับไป 2 รูป

   “จื่ออู่ นายเลื่อนรูปเร็วไปแล้ว” จู้ชุนพูดขึ้น

   “ผมแค่รู้สึกคุ้น ๆ รูปก่อนหน้า เลยย้อนกลับแค่นั้นเอง พี่ก็ใจเย็นหน่อยสิ”

   รูปที่จื่ออู่หยุดดู เป็นรูปที่มีชายร่างใหญ่คนหนึ่ง เหมือนกำลังทะเลาะกับทีมทำความสะอาดที่ใส่ชุดหมี ในรูปชายคนนั้นผลัก ชายร่างเล็กกว่าล้มลงไปกองกับพื้น

   “รูปนี้มันก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจะคนงานทะเลาะวิวาทกัน” ตู้เห่าพูดออกมาอย่างเซ็ง ๆ

   “คนที่ผลักนั่น... ใช่จื่อหรงไหมพี่กู่” เหมี่ยนจื่ออู่หันมาหาเขา ทำให้เขาเพ่งมองอีกครั้ง

   “ขยายภาพหน่อยสิ”

   “นั่น จื่อหรงจริง ๆ” จื่ออู่พูดขึ้นหลังขยายภาพให้ชัดขึ้น ต้องขอบคุณเฟ่ยซานถ่ายภาพออกมาได้ชัดขนาดนี้ ถึงขยายออกมาแล้วภาพยังคงคมชัดไม่แตกจนดูภาพไม่ออก

   “คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วละ”

   “เรื่องอะไรกันพี่กู่ จืออู่?” เฟ่ยซานหันไปถามจืออู่ที ถามเขาที

   “เดี๋ยวพี่ค่อยสรุปให้ฟัง ตอนนี้ต้องช่วยกันดูภาพที่เราถ่ายมาก่อน โกดังนี่ท่าทางจะมีเรื่องอะไรซ่อนไว้แน่ๆ” เฟ่ยซานไม่ถามอะไรเขาต่อ ได้แต่นั่งเงียบดูภาพไปอย่างตั้งใจ

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างรู้ว่าหนานเฟ่ยซานไปขลุกตัวอยู่ที่สถานีตั้งแต่บ่าย เพื่อนำเรื่องที่ตัวเองได้เบาะแสไปให้ผานกู่ ซึ่งดูท่าทางคนอย่างหนานเฟ่ยซานคงเมื่อเข้าไปผัวพันกับเรื่องไหน ก็มักจะสืบได้เรื่องกลับมาทุกครั้งไป นี่อาจจะเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง นอกเหนือจากเรื่องเลือดวิเศษ และจากคำบอกเล่าของจู้ชุนที่ดูจะชื่นชมความสามารถของหนานเฟ่ยซานในเรื่องการสืบคดีอยู่ไม่น้อย

   เขาได้แต่บอกให้จู้ชุนช่วยดูอาการของหนานเฟ่ยซานอยู่ห่าง ๆ และค่อยหาน้ำให้ดื่มบ่อย ๆ เขารู้ว่าจู้ชุนสงสัยแต่ก็ไม่ถามต่อ คงเป็นเพราะจู้ชุนทำงานกับเตี๊ยของเขามานานก็เป็นได้

   “ดอกเตอร์ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันกลับที่พักก่อนนะคะ” ซือเมิงอิ๋งเดินเข้ามาบอกเขาในห้องทำงาน

   “อืม ขอบใจมากที่อุตส่าห์เอาเอกสารมาให้ถึงที่นี่”

   “เสียดายนะคะ ที่วันนี้ไม่ได้เจอคุณหนาน”

   “จะอยากเจอไปทำไม”

   “ก็แค่อยากรู้ว่าคนอย่างคุณหนานมีอะไรดี ถึงทำให้คนอย่างดอกเตอร์สนใจได้”

   “เธอก็รู้คำตอบดีนี่ ว่าเพราะน้ำตากิเลนในตัวของเขา”

   “เมื่อก่อนฉันก็คิดแบบนั้นค่ะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันไม่ใช่”

   “ไม่ใช่?...ยังไง”

   “ฉันถามจริง ๆ นะคะ ดอกเตอร์รู้สึกยังไงตอนที่รู้ว่ากระต่ายตัวนั้นช็อคตายไปเมื่อคืนนี้”

   “ก็แค่เสียดาย”

   “ใช่ค่ะ คิดเหมือนฉันเลย คนที่ต้องทำการทดลองกับสัตว์อย่างเรา ๆ ก็แค่เสียดาย”

   “อืม”

   “แล้วถ้าคุณหนานเกิดเป็นเหมือนกระต่ายตัวนั้นละคะ?”

   “มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะผมกำชับจู้ชุนไว้แล้ว”

   “ทำไมดอกเตอร์ต้องทำขนาดนั้น ในเมื่อคุณหนานก็แค่เป็นคนที่บังเอิญกินน้ำตากิเลนเข้าไป”

   “นั่นเป็นเพราะผมทำมันหล่นไว้ แล้วคนพวกนั้นก็เข้าใจผิด”

   “ถึงฉันจะร่วมงานกับคุณไม่นาน แต่ฉันว่านี่ไม่ใช่เหตุผลจริง ๆ ของดอกเตอร์ อีกอย่างน้ำตากิเลนที่แล็บก็ยังมีให้เราได้ศึกษามัน ซึ่งมันก็เพียงพอแล้ว ตัวอย่างเลือดของคุณหนานก็มีแล้ว”

   “...” เขามีทุกอย่างที่ต้องการแล้วจริง ๆ

   “ฉันได้ข่าวมาว่าทางมหาวิทยาลัยปักกิ่งเชิญดอกเตอร์ไปร่วมสำรวจงานขุดค้นกับเขาด้วยไม่ใช่เหรอคะ ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮางที่ฉันรู้จัก มักจะตอบตกลงไปแล้วถ้าเจองานที่น่าสนใจขนาดนี้”

   “ไหนว่ากำลังจะกลับ”

   “เฮ้อ...ดอกเตอร์ไม่ต้องเลี่ยงที่จะตอบคำถามฉันเลยค่ะ”

   “ผมก็แค่รอให้งานเปิดตัวกล่องสำริดจบลงก่อน”

   “ไม่ใช่เพราะดอกเตอร์แคร์คุณหนานหรอกหรือคะ?”

   “แคร์?”

   “ใช่ค่ะ ดอกเตอร์แคร์คุณหนาน ไม่รู้ตัวเองหรือยอมรับไม่ได้กับความรู้สึกของตัวเอง ดอกเตอร์เปลี่ยนไปตั้งแต่เจอกับคุณหนาน”

   “...” เขาเลือกที่จะไม่ตอบซือเมิ่งอิ๋ง แต่คิดทบทวนตามคำพูดของคนตรงหน้า

   “ดอกเตอร์เปลี่ยนไปไม่ใช่ดอกเตอร์คนเดิมที่ฉันรู้จัก แต่ฉันยินดีนะคะ อย่างน้อยดอกเตอร์ก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนแต่ก่อน เสียอย่างเดียว ปากแข็งเหมือนเดิม”

   “อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น ผมก็ยังเป็นผมคนเดิม”

   “ก็ที่ดอกเตอร์ให้ฉันส่งข้อมูลโรคที่อาจจะใกล้เคียงกับอาการของคุณหนานให้ยังไงคะ คุณดูเป็นห่วงเขามาก ถึงขั้นให้คุณจู้ช่วยดูแลแทน แล้วไหนจะวันที่คุณพาเขากลับมาที่นี่อีก ทั้งที่จริงคุณควรพาเขาไปที่โรงพยาบาลมากกว่า”

   “อืม”

   “หือ? ยอมรับแล้วเหรอคะว่ามีใจให้กับคุณหนาน”

   “ผมแค่เห็นด้วยว่าผมเปลี่ยนไปบ้าง ไม่ใช่ผมมีใจให้เขา”

   “เอาเถอะค่ะๆ แล้วฉันจะรอดู ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

   พูดจบซื่อเมิ่งอิ๋งก็เดินจากไป ปล่อยให้เขาคิดหาเหตุผลว่าทำไมเขาต้องคอยตามหนานเฟ่ยซาน สั่งให้จู้ชุนทำงานเกิดหน้าที่ด้วยการดูแลแทนเขาอีก จนไปถึง...คืนนั้น คืนที่เขาพาหนานเฟ่ยซานกลับมาที่บ้าน แทนที่จะไปส่งที่คอนโด

   ร่างเล็กที่นอนเหงื่อท่วมตัวทั้งที่อยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบราวกับคนเป็นไข้ แต่อุณหภูมิร่างกายกลับเย็นลงจนน่าสงสัยว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ ภาวะขาดน้ำของหนานเฟ่ยซานดูน่ากังวล จนเขาไม่รู้จะเรียกคนที่นอนกระวนกระวายไม่ได้สติให้ลุกขึ้นมาดื่มน้ำยังไง

   เขาได้แต่เอาผ้าชุบน้ำมาคอยเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมา ไม่รู้เลยว่าคนไม่ได้สติจะร้อนหรือหนาวอย่างไร รู้เพียงแต่ว่า หากหนานเฟยซานยังคงเหงื่อออกมากขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าอาจจะขาดน้ำถึงขั้นช็อก

   วิธีเดียวที่เขานึกขึ้นมาได้ตอนนี้...

   ...

   ..

   .

   ถึงจะลังเล แต่การช่วยคนก็สำคัญ... เขานิ่งคิดอยู่อีกครู่หนึ่ง

   ...

   ..

   .

   มือหนาคว้าแก้วน้ำขึ้นมาหมายจะดื่ม มืออีกข้างก็ประคองศีรษะที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อให้ยกขึ้น ก่อนจะก้มลงไปประกบริมฝีปากของคนที่ไม่ได้สติ แล้วส่งผ่านน้ำอุ่นๆ เขาสู่ปากของอีกคน

   ...

   ..

   .

   เขาเงยหน้าขึ้นมา น้ำที่ควรจะลงคอคนตรงหน้า กลับไหลออกมาจากมุมปากเล็ก

   ...

   ..

   .

   ไม่ได้ผล...ความลังเลที่มีอยู่เกือบจะทำให้เขาถอดใจ แต่เมื่อนึกถึงชีวิตของคนตรงหน้า...ลองอีกครั้ง...

   ครั้งนี้เมื่อปากประกบลงไป ไม่ลืมที่จะใช้มืออีกข้างบีบจมูกเล็กเบาๆ

   ...

   ..

   .

   ได้ผล...หนานเฟ่ยซานกลืนน้ำเข้าไปได้บ้าง

   เขาทำซ้ำอีกครั้ง และครั้งนี้ จนหนานเฟ่ยซานทำให้เขาตกใจจนตัวแข็ง...

   น้ำที่ไหลผ่านเข้าไปในลำคอคงจะไม่เพียงพอ...

   คนไม่ได้สติถึงได้ดูดดึงริมฝีปากของเขาด้วยริมฝีปากเล็ก ในขณะที่เขากำลังจะถอนริมฝีปากออกมา

   ...

   ..

   .

   จะทำอย่างไรละคราวนี้?




To Be Continue

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
22





   อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกไม่อยากอาหารเอาซะเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ในห้องประชุมหิวแทบตาย แต่นี่กลับได้เขี่ยอาหารในจานไปมา คิดไม่ตกสักทีว่าจะติดต่อดอกเตอร์โพล่าไอซ์ได้อย่างไร ในเมื่อทุกครั้งที่เจอกันล้วนบังเอิญ หรือไม่ดอกเตอร์นั่นก็เป็นคนมาหาเขาเอง พอจะต้องไปขอความร่วมมือ เขากลับไม่รู้ว่าจะติดต่อไปอย่างไร

   บ้านที่ชุง ฮอม กอกที่เคยไป ก็เห็นว่าเป็นบ้านของคุณฝู่ ถ้าไปดักรอที่นั่น ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบหรือเปล่า ให้ไปที่โรงแรมฝู่ก็คงไม่ต่างกัน

   “เป็นอะไรไป เขี่ยอยู่นั่นแหละ หรืออาหารไม่ถูกปาก” พี่กู่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม คอยคีบนั่นนี่บนเตาย่างมาให้ผม
   
   “พอ ๆ แล้วพี่ ผมเริ่มอิ่มแล้ว”

   “วันนี้กินน้อยนะ เป็นอะไร คิดถึงเรื่องคดีอยู่หรือไง”

   “ก็นิดหน่อยครับ”

   “ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว นอกเวลาแบบนี้ปล่อยวางซะบ้าง เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

   “พี่ว่า เด็กพวกนั้นจะถูกส่งไปที่ไหน ในเมื่อพวกนั้นเครียโกดังออกไปแล้ว”

   “ถ้าพวกมันย้ายของไปไว้ที่โกดัง F14 เป็นไปได้ว่าคุณต้วนอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”

   “คนที่อยู่กับฉินหรุยกวง ก็ไม่ใช่คุณต้วน”

   “เลิกคิดเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ นายทำดีที่สุดแล้ว รีบๆ กินเข้า จะได้กลับไปพัก”

   ผมไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตากินเนื้อที่พี่กู่คีบให้ พร้อมกับคิดหาวิธีติดต่อกับดอกเตอร์โพล่าไอซ์ ครั้งที่แล้วเป็นเพราะพี่ผานกู่เข้ามาขัดจังหวะซะก่อน เลยไม่ได้ทันได้แลกเบอร์กับดอกเตอร์

   หลังจากที่แยกกับพี่กู่ที่ร้านอาหารแล้ว ผมก็ขับรถกลับไปยังคอนโด พอมาถึงสี่แยกผมกลับตัดสินใจเลี้ยวรถไปทางสวนนัมกวงแทน เพราะยังติดใจสาเหตุการตายของฉินหรุยกวงและจื่อหรง

   หลังจากที่เห็นจื่อหรงในภาพทะเลาะกับคนทำความสะอาด พวกเขาก็ดูรูปไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจอเด็กชาย 4-5 คน และมี 2 คนถูกแจ้งความว่าหายตัวไป

   คนแรกก็คือมู่เฉิน คนที่ผมบังเอิญไปพบว่าพ่อแม่มาแจ้งความว่าหายตัวไป ตอนไปขอโทษตู่เห่า

   ส่วนอีกคนเฝิงฟง เด็กคนนี้หายไปพร้อมกับพี่สาวฝาแฝด ซึ่งหายตัวไปในเวลาไล่เลี่ยกันกับเว่ยฟ่าน

   การที่พบเด็กหายถึงสองคนและยังพบสมุดทำมือของเว่ยฟ่านแถว ๆ นั้น เป็นไปได้ว่า โกดัง F23 อาจจะเคยเป็นที่คุมขังของคนที่ถูกจับมา มันทำให้ผมอยากแอบเข้าไปในโกดังของต้วนเจียจง แต่ก็คงจะยากหน่อย เพราะเท่าที่ไปมา 2-3 ครั้ง โกดังแห่งนี้ดูเหมือนจะทำงานกัน 24 ชั่วโมง

   ผมยังนึกหาวิธีเข้าไปในโกดังนั้นไม่ได้ เลยเปลี่ยนเป้าหมายกะทันหัน เมื่อนึกได้ว่าฉินหรุยกวงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย จึงจะไปตรวจสอบที่พบศพจื่อหรง และฉินละแวกรุยกวง ในเมื่อทั้งสองคนเคยอยู่ในบริเวณเดียวกัน เป็นไปได้มากว่าทั้งสองอาจจะรู้จักกันมาก่อน แต่การที่ทะเลาะกันรุนแรงจนกระทั่งต่างฝ่ายต่างจบชีวิตลง ผมว่ามันออกจะแปลกๆ ไปซะหน่อย หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าคนใดคนหนึ่งลวงอีกคนมาเพื่อฆ่าปิดปาก แต่ยังไงละ

   จากรายงานชันสูตรของฉินหรุยกวง บาดแผลตามร่างกายไม่สามารถทำให้ถึงตายได้ แต่เพราะพลัดตกน้ำ และอาจจะเป็นเพราะอ่อนแรงจากการชกต่อยทำให้จมน้ำตายในที่สุด ส่วนจื่อหรงมีบาดแผลใหญ่ที่ศีรษะ เกิดจากการตีด้วยหิน ซึ่งก็พบหินก้อนดังกล่าวอยู่แถว ๆ ริมน้ำ บริเวณที่ฉินหรุยกวงตกลงไป แสดงว่าจุดนั้นเป็นจุดที่ทั้งสองทะเลาะวิวาทกัน

   รอยเลือดที่หยดเป็นทางมาจนกระทั่งพบศพของจื่อหรง ก็เป็นเลือดของเจ้าตัวซึ่งทางตำรวจคาดว่า หลังจากที่จื่อหรงทำร้ายฉินหรุยกวงจนตกน้ำ ตัวเองคงพยายามเดินกลับไปที่รถ แต่เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว เลยเสียชีวิต

   ระหว่างทางผมแวะจอดรถเพื่อซื้อน้ำในร้านสะดวกซื้อแถว ๆ นั้น ...เฮ้ย...หิวน้ำอีกแล้ว...

   ขณะผมกำลังผลักประตูจะออกจากร้าน หลังจากได้น้ำดื่มเย็น ๆ มาขวดใหญ่ในถุงมา 2-3 ขวด เพื่อกลับไปที่รถ ก็บังเอิญไปชนกับชายร่างสูงที่เพิ่งเดินสวนเข้ามา

   “ขอโทษครับ” ทั้งๆ ที่ผมเป็นเอ่ยออกไปแท้ๆ แต่คนถูกชนกลับเป็นคนที่คว้าแขนประคองร่างผมไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น เพราะแรงถ่วงของน้ำในถุง

   “ไม่เป็นไรครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่า ดูหน้าซีด ๆ”

   “อ่อ ไม่เป็นไรครับ” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าอัตโนมัติ ก็แค่รู้สึกหิวน้ำ แบบนี้คงเป็นเพราะอาการกำเริบแน่ ๆ ยังดีที่ไม่ถึงขั้นตาพร่า ใจสั่น

   “ให้ผมไปส่งไหม คุณพักแถวนี้รึเปล่า” คนตรงหน้ายังคงใจดี ถามไถ่ผม จนอดเกรงใจไม่ได้

   “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ผ่านมาทางนี้เลยแวะซื้อของนิดหน่อย รถผมจอดอยู่หน้าร้านแค่นี้เอง”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ชายคนนั้นเดินเข้าไปด้านในร้าน ส่วนผมก็เดินกลับไปที่รถ เพื่อมุ่งหน้าไปยังสวนนัมกวง

   ยังไม่ทันได้เคลื่อนรถไปไหน อาจจะเป็นเพราะผมดื่มน้ำนานไปหน่อย เลยได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากตึกที่ปล่อยทิ้งร้าง เยื้อง ๆ กันกับที่ผมจอดรถอยู่ ผมรีบลงจากรถ คว้ากล้อง และวิ่งไปยังจุดที่ได้ยินเสียงทันที

.........................................................................

   ผานกู่เพิ่งจะแยกจากหนานเฟ่ยซานได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ทางนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ ตอนแรกที่ได้ยินเจ้าตัวโทรมาแจ้งว่าพบศพของหวงกังโห เขายังไม่ตกใจเท่ากับที่คนปลายสายบอกต่ออีกว่า เหยื่อรายที่ 6 ในคดีฆ่ารัดคอ

   เมื่อเขารู้สถานที่ทิ้งศพแล้ว เขาจึงประสานงานหน่วยพิสูจน์หลักฐานให้ไปยังที่เกิดเหตุทันที ซึ่งก็รวดเร็วทันใจ เขาไม่อยากให้เฟ่ยซานอยู่ในที่เกิดเหตุคนเดียว เพราะไม่รู้ว่าฆาตกรจะยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นไหม

   ผานกู่ขับรถมาก็เห็นตำรวจจราจรกันพื้นที่ส่วนหนึ่งที่หน้าตึกร้างให้กับทีมพิสูจน์หลักฐาน เขาจึงเข้าไปจอดรถต่อท้ายรถตำรวจคันหนึ่ง รอบพื้นที่มีเทปพลาสติกกั้นไว้ คนละแวกนี้ที่อยากรู้อยากเห็นเริ่มมามุงดูกันมากขึ้น เขาชูป้ายตำรวจขึ้นก่อนมุดเทปเข้าไป

   “พี่กู่”

   “อ่าว อาชุน นายมาได้ยังไง”

   “บังเอิญผมอยู่แถว ๆ นี้พอดีกันกับที่ได้รับแจ้ง เลยแวะมานะพี่”

   “เฟ่ยซานละ”

   “เดินดูอยู่รอบ ๆ อ่อ พี่มีอะไรจะถามคนที่พบศพคนแรกไหม?”

   “ไม่ใช่เฟ่ยซานเหรอ?”

   “ไม่ใช่พี่ แต่เป็นเด็ก 2 คนนั้น” จู้ชุนชี้ไปที่เด็กชาย 2 คนที่ยืนรอผู้ปกครองมารับกลับ

   “ได้ความว่ายังไงบ้างละ”

   “เด็กสองคนนี้มักจะมาแอบใช้ที่นี่เล่นสเกตบอร์ด วันนี้ก็เหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มมาน่าจะเป็นศพ”

   “แล้วเฟ่ยซานมาอยู่นี่ได้ยังไง”

   “ผมยังไม่ได้คุยเลย พี่ก็ลองไปคุยกับเฟ่ยซานแล้วกัน ถ้าพี่ไม่มีอะไรกับเด็ก 2 คนนี้แล้ว”

   “ไม่มี นายจัดการได้เลย ฉันไปเดินหาเฟ่ยซานก่อน”

   “อ่าว พี่ไม่ไปดูหวงกังโหก่อนเหรอ?”

   “ฉันไม่อยากไปเกะกะงานของคนอื่น” เขารู้ว่าจู้ชุนตั้งใจแซวเขา แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้น เขาก็เป็นห่วงเฟ่ยซานมากกว่า

   “งานของคนอื่นที่ไหน ก็งานของพวกเราทั้งนั้นแหละพี่”

   “เออๆ” เขาตอบรับแบบขอไปที ก่อนเดินไปยังจุดพบศพ และไม่วายได้ยินเสียงจู้ชุนหัวเราะไล่หลังมา

   เขาเดินเข้าไปด้านในตึก ที่ตอนนี้มีการติดตั้งสปอร์ตไลน์เพื่อให้ความสว่างโดยรอบ หน่วยพิสูจน์หลักฐานกระจายตัวกันสำรวจและเก็บหลักฐานเพื่อกลับไปตรวจสอบ

   ศพของหวงกังโหมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพร้อมกับถ่ายรูปอยู่คนหนึ่ง เขาจึงเดินเข้าไปหาซึ่งเจ้าหน้าที่รายนั้นก็ไม่ได้สนใจการมาของเขา ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

   หวงกังโหดูจะซูบผอมลงไปมากหลังจากที่พบกันครั้งสุดท้าย มีบาดแผลบริเวณลำคอซึ่งเกิดจากการรัดด้วยลวดหนาม แต่ที่พื้นกลับไม่มีเลือดสักหยด ที่นี่จึงไม่ใช่ที่เกิดเหตุ และเสื้อผ้าที่สวมใส่ดูเหมือนว่าจะเป็นชุดเดียวกันกับที่เจอเขาครั้งสุดท้าย อาจจะมีความเป็นไปได้มาก ว่าหวงกังโหอาจจะถูกคนร้ายจับไปหลังจากที่ถูกปล่อยตัวไปคราวนั้น

   จากการคาดการณ์ของเหยินหยางผิงที่ว่า คนร้ายอาจจะมาทิ้งศพเหยื่อในที่ที่ถูกจับตัวไป ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้อาจจะเป็นไปได้ เพราะดูสภาพโดยรอบแล้ว สถานที่นี้อาจจะเป็นที่กบดานของหวงกังโหจริง ๆ

   ตึกร้างนี้ ถึงจะเป็นตึกร้างที่ไม่มีคนใช้งาน แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากชุมชนนัก เดินไปไม่ไกลก็มีร้านสะดวกซื้อ เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 เขาใช้ไฟฉายส่องไปทั่วบริเวณ ซึ่งชั้นนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ ห้องต่าง ๆ ถูกเก็บของที่ไม่ได้ใช้แล้ว สภาพดูก็รู้ว่าไม่ได้รับการดูแล เพราะมีทั้งฝุ่นและหยากไย่เต็มไปหมด

   ผานกู่สังเกตเห็นรอยเท้าจากฝุ่นที่พื้น มันมีรอยเด่นชัดอยู่สายหนึ่ง ซึ่งน่าจะมีคนเดินเข้ามาไม่นาน ส่วนรอยเท้าอีก 2-3 สาย น่าจะเป็นรอยที่เกิดขึ้นนานแล้ว เพราะถูกฝุ่นทับถมจนรอยเท้าเริ่มจาง เขาจึงเดินตามรอยเท้านั่นที่มุ่งหน้าขึ้นชั้น 3 ไปอย่างระมัดระวัง โดยพยายามไม่ย่ำทับรอยที่ปรากฏอยู่

   เขาเดินตามรอยเท้าไปจนกระทั่งถึงห้องห้องหนึ่งที่อยู่ด้านในสุด ประตูห้องถูกเปิดค้างแง้มเอาไว้ เขาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งเห็นเงาใครบางคนกำลังก้มๆ เงย ๆ อยู่ด้านหลังกองเก้าอี้ด้านใน เมื่อมองชัด ๆ เขาก็รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

   “เฟ่ยซาน” คนที่อยู่ด้านหลังกองเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นมามองเขา พร้อมเอามือป้องแสงที่ฉายไปยังใบหน้า

   “พี่กู่ มาส่องไฟให้ผมที”

   “ทำไมนายไม่รอเจ้าหน้าที่ ขึ้นมาได้ยังไงคนเดียว”

   “ผมบอกพี่ชุนแล้วนี่”

   “ทำไมนายไม่รีบกลับบ้านไปพัก”

   “พี่กู่ มาส่องไปตรงนี้ให้ผมเถอะน่า อย่าบ่นมากเป็นคนแก่สิ”

   เขายอมเดินไปส่องไฟให้เฟ่ยซาน นับวันคนตรงหน้ายิ่งทำให้เขาเป็นห่วงมากขึ้น อันที่จริงก็ตั้งแต่ที่ถูกจับยัดยาไปเมื่อคราวก่อน เขาได้แต่ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

   เมื่อเขาเดินอ้อมไปยังกองเก้าอี้จึงได้เห็นว่า ตรงกลางของกลุ่มเก้าอี้นั้น ถูกเครียให้เป็นพื้นที่ว่าง ๆ และมีเบาะรองนอนเก่า ๆ ปูไว้ รอบๆ มีเศษซากถุงพลาสติก และเศษอาหารทิ้งไว้ เฟ่ยซานไล่ถ่ายภาพตามแสงไฟที่เขาฉายไปรอบๆ

   “ที่นี่น่าจะเป็นที่กบดานของหวงกังโหจริง ๆ”

   “ผมก็คิดแบบนั้น แต่แปลกตรงรอยเท้า มันมีมากกว่าของหวงกังโห”

   “น่าจะเป็นพวกลูกน้องของมัน พอมันหายไป พวกลูกน้องก็พากันหนีไปหมด”

   “มันมีอยู่รอยหนึ่งที่ค่อนข้างแปลก พี่มาส่องไฟให้ผมทางนี้ที” เขาเดินตามเฟ่ยซานออกมาจากกองเก้าอี้ ไปยังมุมห้องอีกทางหนึ่ง “พี่ดูรอยนี้สิ”

   ถึงจะไม่ชัดเจน แต่รอยเท้านี้ก็ดูแปลกอย่างที่เฟ่ยซานว่าจริง ๆ เขาจึงส่องไฟไปยังพื้นรอบ ๆ บริเวณ ไล่ตั้งแต่หน้าประตู

   “ใช่ รอยอื่น ๆ เดินจากประตูแล้วอ้อมไปยังกองเก้าอี้นั่นทั้งหมด มีรอยนี้รอยเดียวที่เดินวนรอบ ๆ” รอยนั่นเดินวนเป็นวงกลมโดยไม่เฉียดไปยังด้านหลังกองเก้าอี้แม้แต่น้อย พิจารณาดูแล้ว เจ้าของรอยเท้าน่าจะเดินวนมากกว่า 2 รอบ

   “นั่นแหละที่ผมว่าแปลก ถ้าหวงกงโหจะมาหลบซ่อนที่นี่ ถึงเขาจะเบื่อยังไง เขาคงจะไม่เลือกเดินวนอยู่ในห้องหรอก อีกอย่าง มุมนี้ก็ใช่ว่าจะมีหน้าต่างหรือช่องให้มองลอดออกไปได้สักหน่อย”

   “อืม เสียดายที่รอยมันเกิดขึ้นนานแล้ว เลยไม่สามารถแยกแยะออกว่ารอยเท้านี้เป็นของใคร”

   “ผมว่า อาจจะเป็นของฆาตกร”

   “ก็มีความเป็นไปได้ เพียงแต่...พี่สงสัยว่า ทำไมมันถึงเลือกหวงกังโห”

   “ครั้งที่แล้วก็เป็นชายเร่ร่อน ครั้งนี้ก็เป็นคนร้ายหนีคดี มันเกี่ยวข้องกันไหม แล้วถ้าเกี่ยว มันจะเกี่ยวกันยังไง”

   “นายนี่ ช่างสงสัยจริง ๆ นะ”

   “อ่าว จะไม่ให้ผมสงสัยได้ยังไง คนหนึ่งก็เป็นคนวางยาลูกน้องของหวงกังโหซะตายคาห้องขัง คราวนี้ก็เป็นหวงกังโหซะเอง”

   เรื่องทั้งหมดอาจจะมีจุดเริ่มต้นจากที่หนานเฟ่ยซานไปเจอพ่อค้ายาและอาวุธแลกของกันที่ลานจอดรถของโรงแรมก็เป็นได้ เมื่อขบคิดมาถึงตรงนี้ มันทำให้เขาตกใจ หากถ้าคนร้ายในคดีฆ่ารัดคอเกี่ยวข้องกับคดีค้ายาและอาวุธจริง นั่นอาจจะเป็นไปได้ว่าเหยื่อในคดีที่ผ่านมา อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่งถึงได้ถูกฆ่าปิดปากอย่าง 2 รายล่าสุด แล้วคนตรงหน้าเขาจะปลอดภัยไหม?

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างตามหนานเฟ่ยซานมายังจุดที่พบเหยื่อรายล่าสุดในคดีฆ่ารัดคอ เขาจอดรถอยู่ไม่ไกลจากที่ตำรวจกันพื้นที่ไว้ ตอนนี้มีกลุ่มคนมุงอยู่รอบ ๆ บริเวณเป็นจำนวนมาก เขาจึงเลือกนั่งรออยู่บนรถ รอไม่นานนักหนานเฟ่ยซานก็เดินออกมาจากฝูงชนพร้อม ๆ กับผานกู่

   ผานกู่คงเดินออกมาส่งหนานเฟ่ยซานที่รถ แต่ไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นคุยอะไรกัน เพราะหนานเฟ่ยซานยังไม่ออกรถส่วนพานกู่ก็ดูลังเลว่าจะยืนอยู่ต่อ หรือว่าจะเดินกลับเข้าไปในตึกร้าง แต่สุดท้ายนักสืบหนุ่มก็เดินกลับเข้าไปทำงานของตัวเอง เขาเห็นหนานเฟ่ยซานรออยู่สักระยะ จึงขับรถออกไป แต่กลับไม่ได้มุ่งหน้ากลับที่พักของตนเอง

   รนหาที่จริง ๆ อยู่ ๆ คำคำนี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขา พร้อมกับส่ายหน้าระอา

   จู้ชุนรายงานกับเขาแล้วว่าหลังจากที่หนานเฟ่ยซานออกไปทานข้าวเย็นกับพานกู่ แทนที่จะกลับไปพักผ่อน คนที่รนหาที่กลับออกนอกเส้นทาง ซึ่งจู้ชุนเองก็เดาไม่ได้ว่าคนที่เขาตามอยู่จะไปที่ไหน จนหนานเฟ่ยซานมาเจอศพเหยื่อในคดีนี้ จู้ชุนจึงทำทีว่าอยู่ใกล้แล้วรีบเข้าไปประกบทันที เพราะไม่ไว้ใจว่าจะเกิดอันตรายกับหนานเฟ่ยซานหรือไม่

   เขาขับรถตามหนานเฟ่ยซานมาจนถึงสวนสาธารณะนัมกวง เขาจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม เขาเลือกที่จะเข้าไปจอดรถข้าง ๆ และเปิดประตูรถลงไปพร้อม ๆ กันทันที

   “ดอกเตอร์!! ”

   “นายมาทำอะไรที่นี่ดึกๆ ดื่น ๆ”

   “เออ...” คนตรงหน้าเหมือนสับสน ไม่รู้จะตอบเขายังไง

   “หนานเฟ่ยซาน”

   “ผมขอเบอร์ติดต่อดอกเตอร์หน่อยได้ไหม?” จบคำถาม ใบหน้าของเฟ่ยซานก็ดูจะแดงขึ้นมา

   “เอาโทรศัพท์ของนายมาสิ” เขารับโทรศัพท์จากคนตรงหน้า “นายควรจะดื่มน้ำให้มันมาก ๆ หน่อยนะ” ขณะเขากำลังกดหมายเลขโทรศัพท์ตัวเองลงไปในเครื่องอีกคน สายตาก็เหลือบไปเห็นคนตรงหน้าทำตามเขาอย่างว่าง่าย โดยการเข้าไปหยิบขวดน้ำในรถออกมาดื่ม เมื่อเห็นคนตรงหน้าดื่มเสร็จเขาจึงยื่นโทรศัพท์คืนให้

   “ดอกเตอร์มาที่นี่ได้ยังไง?” เหมือนเจ้าของเครื่องยังไม่รู้ตัว ว่าเขาตามมาตั้งแต่ที่ตึกร้าง

   “ก็ขับรถมาเรื่อย ๆ”

   “อ่อ ว่าแต่ดอกเตอร์มาทำอะไรที่นี่ค่ำๆ มืดๆ แบบนี้”

   “คำถามนี้ ฉันถามนายก่อนนะ”

   “หา...?”

   “ใช่ ฉันถามนายไปแล้ว”

   “เออ...ผมมาดูอะไรนิดหน่อย”

   “ทำไมไม่มากลางวัน วันนี้นายน่าจะกลับไปพักได้แล้วนะ”

   “ไหน ๆ ก็ขับรถมาถึงนี่แล้ว จะให้ผมกลับเลยก็เสียเที่ยวสิ”

   “หึ!! มาสวนนัมกวงค่ำๆ แบบนี้ เกิดนายหมดสติไปเพราะอาการกำเริบ ใครจะช่วยนายได้”

   “ผมไม่เป็นอะไร”

   “แล้วไอ้อาการเมื่อกี้นี้ละ อย่าบอกนะว่านายไม่ตาพร่า ใจสั่น”

   “ดอกเตอร์รู้ได้ยังไง”

   “ดื่มน้ำเข้าไปเลย แล้วถ้าจะเข้าไปในสวนนั่นก็ถือขวดน้ำเผื่อไปด้วย”

   “ดอกเตอร์ไม่ห้ามผมแล้วเหรอ?”

   “ฉันห้ามได้?” คนตรงหน้าส่ายหน้า “เดี๋ยวฉันจะเข้าไปด้วย” คนตรงหน้าทำตาโตใส่ ใบหน้ากลับมาแดงอีกครั้งจนต้องยกน้ำขึ้นมาดื่มอีกที “ค่อย ๆ จิบสิ นายไม่ควรดื่มน้ำแบบนั้น เดี๋ยวได้จุกกันพอดี”

   เขาได้แต่เหนื่อยหน่าย คนตรงหน้า ที่รนหาที่ไม่พอ ยังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตอีก แล้วแบบนี้มันควรจะปล่อยให้คาดสายตาได้หรือไง เจ็บตัวขึ้นมาได้เข้าไปอยู่โรงพยาบาลเป็นอาทิตย์แน่ ๆ

   หนานเฟ่ยซานไม่พูดอะไร ก้มตัวเข้าไปหยิบกล้องถ่ายรูป พร้อมกับขวดน้ำดื่มขวดใหม่จากเบาะด้านหลัง เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็หันมามองทางเขาก่อนจะเดินนำเข้าไปในสวน

   สวนสาธารณะเวลานี้ไร้ผู้คนแล้ว ตามทางเดินยังมีไฟส่องสว่างทำให้บรรยากาศในสวนไม่น่ากลัวจนเกินไป รอบข้างไม่มีเสียงอะไร นอกจากเสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกัน และเสียงฝีเท้าของคนสองคน

   “นายยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่านายมาที่นี่ทำไม” เขาถามใหม่อีกครั้ง

   “มาเดินดูอะไรนิดหน่อย” ซึ่งก็เป็นคำตอบเดิม ท่าทางคนที่เดินนำหน้าคงจะไม่ยอมบอกความจริงกับเขาเป็นแน่

   “นายมาตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ คนก็ตายไปแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ” คนที่เดินนำหน้า อยู่ๆ ก็หยุดเดิน

   “ดอกเตอร์รู้อะไรมาใช่ไหม?”

   “ก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก”

   “ดอกเตอร์พูดเหมือนดอกเตอร์รู้”

   “รู้อะไร?”

   “รู้ว่าผมมาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ยังถามผม”

   “ก็ฉันว่ามันเสียเวลาเปล่า ถ้านายจะมาดูที่เกิดเหตุ”

   “ผมแค่อยากมาดูให้แน่ใจนี่”

   “เรื่อง?”

   “ก้อนหิน”

   “ก้อนหิน?”

   “ก้อนหินที่เป็นอาวุธทำร้ายจื่อหรง”

   “ทำไม?”

   “ก็สวนนี่ ผมเคยมาหลายครั้ง ผมไม่เคยเห็นจะมีก้อนหินแบบนั้นที่นี่เลย มันเหมือน...”

   “นายจะบอกว่าหินนั่นมันมาจากที่อื่นอย่างนั้นเหรอ?”

   “ผมไม่แน่ใจ เลยอยากมาดูให้เห็นกับตา”

   “สวนนี้ มีแลนด์มาร์คตรงกลาง ส่วนนั้นก็มีหินประดับอยู่”

   “มันไม่เหมือนกัน”

   “ยังไง?”

   “หินตกแต่งตรงมันเป็นหินแม่น้ำ แต่หินที่เป็นอาวุธมันเป็นหินภูเขา มันเหมือนกับ...”

   “แล้วคนร้ายจะพกหินนั่นมาทิ้งที่นี่ได้ยังไง”

   “ได้สิ ถ้าที่นี่ไม่ใช่ที่เกิดเหตุ แต่เป็นที่ทิ้งศพ”

   “นายจะบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่เกิดเหตุ”

   “ก็บอกว่ายังไม่แน่ใจยังไงเล่า ถ้าดอกเตอร์จะกวนผมก็ไม่ต้องตามมา ผมจะรีบเดินไปดูจะได้รีบกลับไปพัก” ว่าแล้วหนานเฟ่ยซานก็เดินต่อไปตามทางที่มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ

   เขาได้แต่ส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่าหนานเฟ่ยซานจะโมโหอะไรเขา ได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้เจ้าตัวทำอะไรตามใจโดยไม่ลืมที่จะระวังด้านหลัง เขารู้สึกว่ามีคนกำลังตามเขา ไม่สิน่าจะตามหนานเฟ่ยซานมากกว่า เพราะคนของเขาหรือของเตี๋ยคงไม่ทำให้เขาจับได้ง่ายดายอย่างเช่นครั้งนี้แน่นอน

To Be Continue

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
23




   ผมไม่มีสมาธิเลย เพราะรู้สึกเหมือนภูเขาน้ำแข็งเคลื่อนที่ตามหลังมาแบบนี้ มันทำให้เสียวสันหลังพิกล และไอ้อาการใจสั่นนี่อีก มันทำให้ผมเดินไปพลาง ยกน้ำขึ้นจิบไปพลาง หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการใจสั่นได้

   ผมเริ่มเข้าใจถึงสภาพอาการของผมบ้างแล้ว เวลาผมตื่นเต้นหรือมีเรื่องให้คิดมาก ๆ จะรู้สึกกระหายน้ำเป็นพิเศษ จนบางครั้งถึงกับหน้าซีด แต่ถ้าเริ่มใจสั่น ตาพร่า หน้าผมจะเริ่มแดง นั่นคงทำให้ดอกเตอร์จับสังเกตอาการของผมได้

   แต่...วันนี้ที่สถานี พี่ชุนก็คอยเอาน้ำมาให้ผม หรือว่าแค่บังเอิญ ครั้งแรกตอนอยู่ที่โต๊ะพี่เห่า อีกครั้งตอนในห้องประชุม...นั่นมันคงจะบังเอิญล่ะมั้งที่โต๊ะข้าง ๆ ผมว่าง พี่เขาเลยเอาเหยือกน้ำมาวางไว้ใกล้มือผม

   “หนานเฟ่ยซาน” ผมกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ดอกเตอร์โพล่าไอซ์ก็เข้ามาจังหวะความคิดของผม

   “ถ้าดอกเตอร์เมื่อยก็หาที่นั่งรอผมแถว ๆ นี้ก็ได้”

   “ฉันจะบอกนายว่า น้ำในมือนายหมดแล้ว” ผมก้มลงมองขวดน้ำในมือ มันเป็นอย่างที่ดอกเตอร์ว่าจริง ๆ นี่ผมจิบขวดเปล่า ๆ อยู่เหรอ อยากจะมุดดินหนีจริงๆ

   “เออ...”

   “เอาเถอะ นายจะไปตรงไหน เดี๋ยวฉันกลับไปที่รถเอาน้ำมาเพิ่มให้ก็แล้วกัน”

   “ผม...ขอบคุณครับ”

   “อืม จะไปตรงไหนละ?”

   “ผมว่าจะไปตรงริมทะเลสาบ จุดที่เป็นท่าน้ำ”

   “ดึกมากแล้ว ระวังตัวด้วย เดี๋ยวฉันรีบตามไป”

   ผมพยักหน้ารับ คนตรงหน้าก็หันหลังเดินกลับไปทางเดิมทันที เพิ่งรู้ว่าดอกเตอร์เดินเร็วมาก อาจจะเป็นเพราะขายาว ๆ นั่นก็เป็นได้ และไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าว่าภูเขาน้ำแข็งเริ่มละลายแล้ว

   ผมสะบัดความคิดบ้า ๆ นั้นทิ้งไป ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างยังไงก็เป็นดอกเตอร์โพลาไอซ์อยู่วันยังค่ำ ที่เขามาสนใจคอยตามผมเป็นเพราะน้ำตากิเลนที่อยู่ในตัวของผมต่างหาก มันคงจะวิเศษมากถึงขั้นทำให้ดอกเตอร์นักโบราณคดีชื่อดังยอมลดตัวลงมาติดตามผม

   อยู่ๆ ผมรู้สึกจุกในอก เหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง ใบหน้ามันร้อน ๆ ยิ่งบริเวณจมูก รามขึ้นไปยังหัวคิ้ว แล้วไหนจะดวงตาอีก ผมได้แต่พยายามกะพริบตาถี่ๆ หวังว่าจะช่วยบรรเทาอาการนี้ได้ ยังโชคดีที่ผมเดินมาถึงห้องน้ำสาธารณะพอดี จึงเข้าไปล้างหน้าล้างตา เรียกความสดชื่นให้กลับคืนมา

   เมื่อผมเดินกลับออกมา ผมเห็นดอกเตอร์ก้าวยาว ๆ มุ่งหน้าไปยังริมทะเลสาบ ตอนแรกผมตั้งใจจะเรียก แต่เมื่อคิดไปอีกที ค่อย ๆ เดินตามไปดีกว่าการมีภูเขาน้ำแข็งลูกโตเดินมาหลังมาอย่างก่อนหน้านี้

.........................................................................

   ด้านหลังต้นไม้ใหญ่มีเงาร่างหนึ่งยืนแอบมองชายสองคนที่เดินตามกันไปยังริมทะเลสาบ ชายคนหนึ่งเขาเคยเห็นหน้าตามาแล้ว ส่วนอีกคนไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับว่า ชายทั้งสองคนนั้นกำลังจะไปยังจุดที่เขาทิ้งศพเมื่อวันก่อน

   เขาออกจากที่ซ่อนค่อย เดินตามชายสองคนข้างหน้าไปห่าง ๆ และลอบสังเกตเห็นชายคนหนึ่งเดินสำรวจจุดที่เขาฆ่าจื่อหรง พร้อมกับถ่ายรูปไปด้วย เขาจึงเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อจะได้อ้อมไปด้านหลังเพิงเก็บของให้ได้ระยะใกล้กว่านี้ จนได้ยินทั้งสองคุยกัน

   “ดอกเตอร์เป็นนักโบราณคดียังไง ถึงได้แยกแยะหินแม่น้ำกับหินภูเขาไม่ออก”

   “ที่นายถืออยู่มันคือหินเชิร์ต เกิดจากการตกผลึกใหม่ เนื่องจากน้ำพาสารละลายซิลิกาเข้าไปแล้วระเหยออก ทำให้เกิดผลึกซิลิกาแทนที่เนื้อหินเดิม หินเชิร์ตมักเกิดขึ้นใต้ท้องทะเล”

   “ไม่เห็นต้องพูดจาให้เข้าใจยาก ๆ เลย”

   “เอาเป็นว่า มันก็คือหินแม่น้ำตามที่นายเข้าใจนั่นแหละ เพียงแต่รูปร่างมันไม่ได้มนกลม ไม่แปลกที่นายจะเข้าใจว่ามันคือหินภูเขา”

   “ทำไมผมไม่เคยเห็นหินแบบนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่ผมก็มาที่นี่ออกจะบ่อย”

   “เขาอาจจะเพิ่งเอามาประดับตกแต่งก็ได้”

   “ผมนึกว่าหินนี้มาจากแถว ๆ โกดัง”

   “นายติดใจอะไรกับโกดังตรงนั้นนักหนา”

   “พูดไปดอกเตอร์ก็ไม่สนใจหรอก”

   “นั่นมันโกดังของเยี่ยนหวอ”

   “จริงสิ ผมมีเรื่องจะให้ดอกเตอร์ช่วย...” เขาเห็นชายอีกคนนิ่งเงียบ จากมุมที่เขายืนอยู่นั้น ไม่สามารถเห็นใบหน้าของคนที่ถูกขอความช่วยเหลือได้ “ดอกเตอร์..”

   “ว่ามา ถ้าฉันช่วยได้ก็จะช่วย”

   “ผมอยากเข้าไปที่โกดัง F14”

   “นายจะเข้าไปที่นั่นทำไม”

   “ผมมีเรื่องสงสัยนิดหน่อย ดอกเตอร์ช่วยผมได้ไหม?”

   “อะไรที่นายสงสัย”

   “ผมบอกดอกเตอร์ไม่ได้”

   “ฉันก็คงจะช่วยนายไปได้”

   “ดอกเตอร์...”

   “นายตรวจสอบที่นี่เสร็จรึยัง?”

   “ยัง”

   “ถ้าอย่างนั้นก็เดินดูให้เสร็จ ๆ จะได้กลับไปพักผ่อน”

   ชายคนนั้นส่งขวดน้ำในมือให้อีกคน ก่อนจะเดินตรงมาทางเขา ซึ่งด้านนี้จะมีบันไดทางลงไปยังท่าน้ำ ชายอีกคนก็กำลังเดินตามมา ทำให้เขาต้องรีบหลบไปอีกด้านหนึ่งของเพิงเก็บของนี้

.........................................................................

   ต้วนเจียจงใช้เส้นสายในการสืบหานักข่าวคนนั้นได้สำเร็จ ทำให้รู้ว่านักข่าวคนนั้นเป็นคนเขียนคอลัมน์ข่าวรถบัสระเบิดซึ่งเกี่ยวข้องกับฉินหรุยกวง นักข่าวคนนี้อยู่สายงานข่าวทั่วไป หนักไปทางด้านข่าวอาชญากรรม ดังนั้นการที่นักข่าวคนนั้นไปอยู่ที่นั่น อาจจะเป็นเพราะเขาตามสืบข่าวของฉินหรุยกวงอยู่

   เขากำลังนั่งดื่มไวน์พร้อมอ่านคอลัมน์ข่าวที่เขียนโดยหนานเฟ่ยซาน ในคืนนั้น เขาเห็นนักข่าวคนนั้นกำลังปีนลงมาจากลังที่ตั้งกองทิ้งไว้ เป็นไปได้มากกว่า มันถ่ายรูปคนในโกดังไปแล้ว

   “เจ้านาย” เขากดโทรศัพท์เพื่อโทรไปรายงานในสิ่งที่เขาได้มา

   ‘ได้ความว่ายังไง’

   “นักข่าวคนนั้น ชื่อหนานเฟ่ยซาน อยู่ฝ่ายข่าวอาชญากรรม เขาน่าจะตามหรุยกวงไปที่โกดัง”

   ‘แล้วมันได้อะไรไปบ้าง’

   “มันน่าจะถ่ายรูปหรุยกวงกับนายในตอนนั้นได้”

   ‘เดี๋ยวฉันให้ซือหวูจัดการ’

   “ครับ” ทางปลายสายแทบจะตัดสัญญาณทันทีที่เขาตอบรับ

   ถึงจะได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังไม่วางใจ เพราะฉินหรุยกวงดันมาตายไปตอนนี้ เท่ากับว่า นักข่าวคนนั้นต้องสงสัยนายของเขาเป็นแน่ และอาจจะมาที่โกดังอีกก็เป็นได้

   “นี่ฉันเอง”

   ‘อือ’

   “หนูตัวนั้นอาจจะสร้างปัญหา”

   ‘นายว่ายังไง’

   “เห็นว่าจะให้จัดการ”

   ‘ได้ ฉันจะรอคำสั่งอีกที’

   “แต่... ฉันอยากให้สืบก่อนว่า หนูตัวนั้นนอกจากถ่ายรูปของนายกับหรุยกวงได้แล้ว มันยังได้อะไรไปอีกบ้าง”

   ‘เข้าใจแล้ว ฉันจะสืบให้’

   “ขอบใจ” ทางปลายสายวางหูไปแทบจะทันที เสียงพูดที่ฟังก็รู้ว่าน่าจะซุ่มดูใครบางคนอยู่ แต่ก็มีแก่ใจรับสายจากเขา

   “พี่เจียจง ฉันติดต่อคุณเยียนไม่ได้อีกแล้ว” เสียงร้องเรียกมาพร้อม ๆ กับเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้น ตามด้วยร่างระหงของหญิงสาว

   “หึ ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะอาเยว่ คุณเยียนอาจจะอยู่กับคุณนายเยียนก็ได้” เขาวางแก้วไวน์ลง ก่อนรั้งให้หญิงสาวลงมานั่งข้าง ๆ

   “ไม่จริงหรอก คุณเยียนนะ เขาเบื่อยัยคุณนายนั่นจะตาย ครั้งก่อนคุณเยียนยังบ่นอยู่เลย ว่าคุณนายหนีไปปฏิบัติธรรมที่วัดต้าเจวี๋ยอีกแล้ว”

   “เธอรู้อะไรมาก็อย่าพูดมาก แล้วสำนึกไว้ว่าเธอก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งของคุณเยียนเขา จะเอาแต่ใจยังไงก็ให้มันอยู่ในขอบเขต”

   “ชิ พี่ก็พูดแบบนี้ทุกที เป็นเพราะพี่นั่นแหละที่ทำให้ฉันเคยตัว” หญิงสาวทำหน้ากระเง้ากระงอดราวกับไม่พอใจคำเตือนของเขา แต่ก็ยังซุกตัวเข้ามาในอ้อมแขนของเขาราวกับจะออดอ้อน

   “ฉันเตือนเพราะฉันหวังดี แล้วเรื่องคุณโฮวนั่นอีก ฉันรู้นะ ว่าเธอแค่หลอกเขาไปวันๆ แต่ถ้ารู้ถึงหูคุณเยียนเมื่อไร ทั้งเธอทั้งคุณโฮวอะไรนั่น อย่าหวังว่าจะรอดไปได้”

   “ไม่ต้องมาขู่ฉันเลย หมอนั่นก็แค่เพื่อนแก้เหงาพี่ก็รู้”

   “เธอก็เป็นซะแบบนี้ ป๊าถึงได้ไม่ยอมรับเธอไง”

   “ช่างผู้ชายคนนั้นปะไร ฉันมีพี่คนเป็นครอบครัวคนเดียวก็พอแล้ว อีกอย่างฉันคงไม่เหมาะจะไปปั้นหน้าตาชูคออยู่ในสังคม ทำตัวเป็นไฮโซเซเลปอย่างพี่ได้หรอกนะ มันไม่ใช่ฉัน” เธอยันตัวออกจากเขาและพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

   “อาเยว่ ฉันไม่อยากให้เธอคิดแบบนี้ ยังไงเธอก็เป็นลูกของป๊าคนหนึ่ง เป็นน้องสาวฉัน”

   “แต่พี่ก็รู้ว่าฉันเป็นลูกที่เขาไม่ยอมรับ ฉันมีแค่พี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว พี่ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ทำงานของพี่ไปเถอะ ฉันไม่กวนพี่แล้ว” หญิงลุกขึ้น จัดชุดกระโปรงให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินออกไป

   “นั่นเธอจะไปไหน ไม่ค้างที่นี่เหรอ?”

   “ไม่ละ ว่าจะออกไปเที่ยวสักหน่อย” เธอยิ้มให้

   “ไปกับใคร?”

   “พี่ก็รู้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องถามเลย” หญิงสาวหยุดเพื่อตอบเขาที่หน้าประตู ก่อนเดินออกจากห้องไป

   มันเหมือนกับสวรรค์เล่นตลก ที่ให้เขาไปพบและรักน้องสาวคนนี้ ทั้งๆ ที่เธอเป็นเพียงลูกของหญิงบริการคนหนึ่งเท่านั้น กว่าจะตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์กันเรียบร้อย น้องสาวคนนี้ก็อายุ 14 ปีเข้าไปแล้ว แต่เมื่อความจริงปรากฏต่อหน้า ป๊าของเขาก็ยังไม่เหลียวแลเธอ จนเป็นเขาที่เลี้ยงน้องสาวคนนี้มา

   เขาอยากจะชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปให้กับฉี่เยว่ ตั้งใจจะหายสามีที่ดีให้กับเธอ จึงนัดเธอไปทานข้าวกับเขาพร้อมเหมิ๋นหยวนฮางที่โรงแรมฝู่ แต่ดอกเตอร์หนุ่มกลับติดพายุทะเลทรายกลับมาที่มาเก๊าไม่ได้ และในวันนั้นก็เป็นวันที่ฉี่เยว่ได้เจอกับเยียนจูเฟิง

   ในเมื่อนายพึงพอใจในตัวเธอ และเธอก็ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจที่ได้ปรนนิบัติคนอย่างนาย เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ หวังเพียงว่าจะฉี่เยว่จะไม่เอาแต่ใจจนเกินไป จนสร้างความไม่พอใจให้กับนายของเขา

.........................................................................

   ผานกู่มองบอร์ดภายในห้องประชุม ที่ติดรายละเอียดและเบาะแสการสืบคดี ซึ่งตอนนี้ดูจะยุ่งเหยิง ซับซ้อนไปหมด เริ่มจากฉินหรุยกวงที่เหมือนจะเป็นเหยื่อของคดีรถบัสระเบิดแต่ก็กลับเป็นผู้ต้องสงสัยในหลาย ๆ คดี ซึ่งตอนนี้ก็ตายไปเพราะทะเลาะกับจื่อหรง ซึ่งทั้งสองคนเหมือนจะไปพัวพันกับคดีคนหายอีก

   หวงกังโห พ่อค้ายาเสพติด เจ้าของผับชื่อดังหลายแห่ง ผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายหนานเฟ่ยซานกลับกลายเป็นเหยื่อในคดีฆ่ารัดคอ และอีกคนก่อนหน้าอาจจะเป็นคนของหวงกังโหส่งมาฆ่าปิดปากลูกน้องของตัวเองถึงในห้องขัง ดูเหมือนทั้งสองคดีนี้จะมาถึงทางตัน ไม่รู้จะสืบต่อไปในทิศทางไหน

   “พี่กู่อยู่นี่เอง”

   “ได้ผลชันสูตรของหวงกังโหรึยัง”

   “ผมก็กำลังจะเข้ามาบอกพี่นี่แหละ”

   “ว่ามา”

   “สาเหตุการตายครั้งนี้ไม่ใช่เพราะถูกรัดคอ แต่เพราะถูกให้อดอาหารจนตาย จากนั้นฆาตกรค่อยรัดคอศพแล้วเอามาทิ้งที่ตึกร้าง”

   “เหยื่อรายอื่น ๆ มักจะได้กินอาหารมื้อสุดท้ายก่อนตาย แต่ทำไมหวงกังโหถึงไม่ได้...”

   “จื่ออู่” เหยินหยางผิงเดินพรวดพราดเข้ามาขัดจังหวะการพูดคุยของเขา “พี่กู่” ก่อนจะลดเสียงลงเมื่อเห็นเขา

   “จะเสียงดังทำไม อยู่กันแค่นี้” เขาเหมือนจะเห็นความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของสองคนนี้

   “ก็ฉันหานายไม่เจอ นี่ผลวิเคราะห์” เหยินหยางผิงส่งเอกสารให้กับจื่ออู่เพิ่มอีก 2-3 แผ่น คนตัวเล็กกว่าอ่านรายงานอย่างรวดเร็ว

   “ผมว่า ผมได้คำตอบให้พี่แล้วละพี่กู่ จากผลวิเคราะห์ที่หยางผิงเอามาให้ บอกว่า บาดแผลบริเวณลำคอ ต่างจากเหยื่อรายอื่น ๆ ฆาตกรดูเหมือนจะโกรธแค้นหวงกังโหมาก จึงลงมือกับศพรุนแรง แผลที่ได้จึงแหวะหวะกว่าศพรายอื่น ๆ”

   “ผมลองเอาผลนี้ไปให้ฝ่ายวิเคราะห์พฤติกรรมตรวจสอบดู ในรายงานที่ได้มาก็ระบุว่า ฆาตกรรายนี้สนุกกับการได้ทรมานเหยื่อ เขาจะเล่นบทเป็นพระเจ้าคอยกุมชีวิต ให้ความหวัง ก่อนที่จะฆ่าให้ตายอย่างทรมาน ฆาตกรมักจะทิ้งสิ่งของไว้กับศพ ทางฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ตายหวงแหน” หยางผิงช่วยเสริม

   “ดูโรคจิตไม่เบา คงจะคืนให้กับผู้ตายเหมือนการไถ่บาปสินะ”

   “ผมว่าไม่ใช่การไถ่บาปหรอก น่าจะมีจุดประสงค์อื่นมากกว่า” จื่ออู่ออกความเห็น

   “อะไรทำให้นายคิดอย่างนั้น” หยางผิงขมวดคิ้วถาม

   “ก็ดูอย่างศพรายสุดท้าย หวงกังโห ข้างศพเป็นพวงกุญแจเดซี่ดั๊ก มันดูไม่เข้ากับหมอนั่นเลย พี่ไม่คิดว่าแปลกเหรอ”

   สิ่งที่เหมี่ยนจื่ออู่พูดมามีเหตุผลไม่น้อย จากที่สืบประวัติหวงกังโหมา หวงกังโหไม่มีลูกหรือภรรยา แล้วเขาจะพกพวงกุญแจเดซี่ดั๊กนั่นติดตัวทำไม

   “เอาอย่างนี้ บอร์ดตรงนั้นว่างอยู่ พวกนายสองคนช่วยกันรวบรวมข้อมูลของเหยื่อ สถานที่พบศพ แล้วก็สิ่งที่ฆาตกรวางทิ้งไว้ข้างศพ อ่อ รวมถึงอาหารมื้อสุดท้ายที่เหยื่อได้กินด้วย มาลองไล่กันใหม่อีกสักครั้ง”

   “ครับ/ครับ”

   ทั้งสองคนเดินจากห้องไปเพื่อเตรียมข้อมูลของเหยื่อทั้งหมด ในเวลาไม่ถึงสองเดือนฆาตกรรายนี้ฆ่าไปแล้ว 6 ศพ ถึงจะรู้ว่าสถานที่ที่เหยื่อหายไป แต่ก็ยังสืบไม่ได้เบาะแสอะไรอยู่ดี และตั้งแต่เขาทำคดีมานี่คงจะถือได้ว่า เป็นคดีที่มีเหยื่อมากที่สุดแล้วกระมัง

To Be Continue


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
24





   ผมตื่นแต่เช้า จึงออกมาวิ่งที่สวนสาธารณะ หรืออันที่จริง เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยจะหลับมากกว่า หลับตาก็เห็นแต่ใบหน้านิ่ง ๆ ภายใต้กรอบแว่นสีทองนั่น ไม่ค่อยอยากจะยอมรับสักเท่าไรว่าผมคิดมากเรื่องของเขา มัน...ไม่เข้าใจ...สงสัย...นี่ขนาดผมวิ่งอยู่แบบนี้ ในหัวของผมยังสลัดเรื่องของดอกเตอร์โพลาไอซ์ไปได้จริง ๆ

   “โถ่เว้ย...” ผมได้แต่ยืนหอบ มือข้างหนึ่งก็ท้าวกับต้นไม้ไว้ นี่ผมวิ่งมานานเท่าไรแล้วเนี่ย พอหยุดวิ่งกะทันหันแบบนี้ ร่างกายผมของผมเหมือนจะร้อนขึ้น ไอร้อนที่แผ่ออกมามันทำให้ผมรับรู้ได้

   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ผมหันไปมองตามเสียง เห็นชายร่างสูงคนหนึ่ง หน้าตาคุ้น ๆ เหมือนเคยเจอที่ไหน หยุดปั่นจักรยานเพื่อถามผม

   “ไม่เป็นไรครับ”

   “อย่าหักโหมสิครับ ถึงเวลามันจะกระชั้นชิดมาแล้ว แต่ซ้อมหนักแบบนี้ เกิดบาดเจ็บขึ้นมา มันจะไม่คุ้มกับที่เสียเวลาซ้อมไปนะครับ”

   “ซ้อม?”

   “ใช่ครับ ซ้อมวิ่ง คุณไม่ใช่นักวิ่งเหรอ?”

   “หา?”

   “อ่าว ผมคงเข้าใจผิด” ชายร่างสูงที่ค่อมจักรยานอยู่ เกาแก้มแก้เก้อ ๆ

   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่อย่างวิ่งเรียกเหงื่อ สมองจะได้ปลอดโปร่งน่ะครับ”

   “อืม แต่คุณดูหน้าซีด ๆ นะครับ จะเป็นลมรึเปล่า” ชายคนนั้นลงจากจักรยานแล้วจูงเข้ามาใกล้จุดที่ผมยืนอยู่

   “คงเสียเหงื่อมากไปหน่อย เลยกระหายน้ำน่ะครับ”

   “เอาของผมไปก่อนสิครับ” ชายคนนั้นส่งขวดที่ที่ติดอยู่กับโครงจักรยานยื่นมาให้ผม “ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ น้ำดื่มสะอาด ไม่มีสารเจือปน ปลอดภัยครับ”

   “เออ ขอบคุณครับ” ผมยื่นมือออกไปรับน้ำมาดื่ม มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก

   “ผมว่าผมคุ้นหน้าคุณนะ คุณใช่คนที่ร้านสะดวกซื้อนั่นรึเปล่า?”

   “ร้านสะดวกซื้อ?”

   “ก็ร้านที่ใกล้ ๆ กับตึกที่เจอศพคนตายเมื่อคืนนี้ยังไงละครับ”

   “อ่อ เป็นคุณนั่นเอง”

   “คุณมาวิ่งไกลนะครับ หรือเป็นเพราะข่าวที่ตำรวจเจอศพที่สวนนัมกวง”

   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมไม่ได้อยู่แถวนั้น ผมพักอยู่ใกล้ ๆ สวนนี้นั่นแหละครับ”

   “อ่าว ผมเข้าใจผิดอีกแล้วเหรอครับเนี่ย แย่จริง”

   “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ ผมมาวิ่งที่นี่บ่อยๆ ไม่เคยเห็นคุณเลย”

   “ผมเหวยเต๋อ เรียกอาเต๋อก็ได้ครับ”

   “อ่อ ผมหนานเฟ่ยซานครับ เฟ่ยซาน”

   “ที่คุณไม่เคยเห็นผมก็ไม่แปลกเหรอครับ ก็ผมเพิ่งซื้อจักรยานมาใหม่ ผมเป็นคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไรน่ะครับ เอาไว้ขี่อวดสาวมากกว่า”

   “อย่างนั้นเองเหรอครับ คุณมาขี่จักรยานที่นี่ แสดงว่าพักแถว ๆ นี้ด้วยสินะครับ”

   “ใช่แล้วครับ คอนโดผมอยู่นั่น ทั้งที่จากห้องของผมก็มองลงมาเห็นสวนนี่ แต่ก็ไม่เคยคิดจะลงมาวิ่งสักที ขี้เกียจน่ะครับ”

   “ดูจากรูปร่างแล้ว คุณก็ดูไม่น่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลยนะครับ” ใช่แล้วคนตรงหน้าผมรูปร่างนี่ น้อง ๆ ดอกเตอร์... ผมนึกถึงเขาอีกแล้ว

   “คุณเป็นอะไรรึเปล่า เวียนหัว หน้ามืดรึเปล่า”

   “อ่อ... ไม่เป็นไรครับ”

   “คุณนี่ตลกดีนะครับ หน้าเปลี่ยนสีได้ตลอดเลย”

   “ตลก?”

   “ขอโทษครับ ถ้าผมพูดตรงเกินไป อาจจะเสียมารยาทไปบ้าง”

   “ช่างมันเถอะครับ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับน้ำดื่มนะครับ เดี๋ยวที่หน้าสวนมีร้านขายน้ำ ผมจะซื้อคืนให้นะครับ”

   “ไม่ต้องหรอกครับ อีกอย่าง ผมคงไม่ได้ลงมาปั่นจักรยานแล้วละครับ”

   “อ่าว ทำไมละครับ”

   “ก็ดูเอาสิครับ” ผมมองรอบ ๆ สวนตายเหวยเต๋อ ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก “ไม่เห็นจะมีสาว ๆ มาวิ่งสักคน ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะไปขี่อวดสาวที่ไหน”

   “หา?”

   “อันที่จริง ผมน่าจะลองไปว่ายน้ำที่สระของคอนโดนะ อืม...ท่าจะดีกว่า”

   ผมมองสำรวจเหวยเต๋อ โดยรวมแล้วเขาก็...แต่งตัวมาซะเต็มยศ เหมือนมาอวดสาวจริงๆ ท่าทางสำอาง ที่สำคัญ ไม่มีเหงื่อสักหยด

   “อ่ะ ผมคนจะพูดมากเกินไป คุณรำคาญผมรึเปล่า เราเพิ่งจะเจอกันแท้ ๆ”

   “ก็...”

   “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมเลี้ยงกาแฟ เพื่อเป็นการขอโทษก็แล้วกัน แถว ๆ สวนมีร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่ง”

   “เฮ้ย!! ”

   “จริงสิ เดี๋ยวผมเดินไปเป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน จักรยานผม คุณก็ซ้อนไม่ได้นี่นะ ซื้อมาก็แพง ดันนั่งได้คนเดียว ดูจะไม่ค่อยคุ้มซะแล้วสิ” เหวยเต๋อเดินไปพูดไปอยู่คนเดียว ผมยังไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย “เฟยซาน มาเร็วสิ”

   “อ่อ อืม” มาถึงขนาดนี้แล้ว ไปกับหมอนั่นหน่อยก็แล้วกัน

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮางได้รับรายงานจากจู้ชุนว่า ทางตำรวจยกเลิกคนคอยคุมกันหนานเฟยซานแล้ว เนื่องจากพบศพหวงกังโห ผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกาย

   “ดอกเตอร์จะให้ผมจัดคนเพื่อตามเฟ่ยซานต่อไหมครับ”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวใช้คนของเหมิ๋นดีกว่า”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมคงจำเป็นต้องถอยจากเรื่องนี้แล้ว ดอกเตอร์คงจะไม่ว่าอะไรนะครับ”

   “อืม”

   “รวมถึงเรื่องในสถานี”

   “เรื่องคดีที่พวกนายทำกันอยู่ ฉันจะไม่เข้าไปก้าวก่าย ฉันสนใจแต่หนานเฟ่ยซาน”

   “รายนั้นน่ะตัวดีเลย เอาตัวไปพัวพันกับทุกคดี”

   “หมอนั่นจะสืบอะไรก็สืบไป ฉันก็แค่ให้คนตามดูเท่านั้น”

   “ครับ ผมก็ไม่อยากให้คุณเข้ามาพัวพันกับคดี เดี๋ยวคุณฝู่จะมาตำหนิผมเอาได้”

   “ฉันเข้าใจดี”

   “หมดธุระแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

   “เชิญ”

   จู้ชุนเดินออกจากห้องทำงานของเขาไปแล้ว เหมิ๋นหยวนฮ่างจึงเปิดคอมเพื่อดูบันทึกกล้องวงจรปิดที่ลุงคีพ่วงให้กับเขา ดูย้อนไปในวันที่เฟ่ยซานเป็นลม ซึ่งเมื่อดู ๆ ไปเขาก็ไม่เข้าใจว่าหนานเฟ่ยซานสงสัยอะไรเกี่ยวกับโกดังโซน F จนเมื่อย้อนกลับไปดูอีกวันหนึ่ง

   “โกดังของ...เจียจง?”

   ภาพที่เห็นคือรถบรรทุกจำนวนหลายคัน วิ่งวนจากโกดังที่เข้าพบหนานเฟ่ยซานไปยังโกดังของต้วนเจียจง และนี่คงเป็นสาเหตุที่หนานเฟ่ยซานขอให้เขาพาเข้าไปที่โกดัง F14

   เขาและต้วนเจียจงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ทำให้รู้นิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี เพื่อนของเขาคนนี้ มีเรื่องที่ให้ความสำคัญอยู่ไม่กี่เรื่อง ถ้าไม่ใช่เรื่องของเล่น ก็เรื่องน้องสาวต่างมารดา

   จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจียจงทำตัวเป็นพ่อสื่อ ต้องการให้เขาพบน้องสาว คอยพูดแต่เรื่องน้องว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ น่าสงสารอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงขั้นหลอกเขาเพื่อจะนัดดูตัวก็เคยมาแล้ว ยังดีที่เขาติดพายุ ทำให้ไม่สามารถไปตามนัดได้ และหลังจากนั้นเขาก็พูดเรื่องนี้กับต้วนเจียจงตรง ๆ ว่าเขาไม่พร้อมจะดูแลใคร

   “นายคงไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีใช่ไหม เจียจง”

.........................................................................

   ตู้เห่ามารอจู้ชุนอยู่แถวโกดัง F14 เขาขับรถวนมา 1-2 รอบเพื่อจดจำโกดังที่ต้องสงสัย จากภาพถ่ายที่ได้จากหนานเฟ่ยซาน เด็กชายที่หายไปน่าจะอยู่ที่โกดังไหนสักแห่งที่นี่

   “นายอยู่ไหนแล้ว”

   ‘อืม...แถว ๆ โกดัง F44 แล้วนายละ’

   “F23”

   “นายจอดรถรอฉันก่อน อีก 10 นาที น่าจะเจอกัน”

   ‘นายรายชื่อมาไหม? ’

   “ได้มาแล้ว”

   เขานั่งรอจู้ชุนไม่นาน จู้ชุนก็มาจอดรถต่อท้ายเขา ก่อนจะย้ายมานั่งข้าง ๆ

   “ดูรายชื่อแล้วมีโกดังไหนน่าสงสัยไหม?”

   “ไม่มีเลย แล้วก็โกดัง F13-14 ของต้วนเจียจง ทางนั้นก็แจ้งขออนุญาตที่ออฟฟิศไปแล้ว ว่าบริษัทฯ ของปรับปรุงโกดัง ดังนั้นรถบรรทุกคนงานเข้าออกเลยไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วยังเรื่องที่โกดัง F23 ขนของไปโกดัง F14 นั่นอีก เจ้าของโกดังประกาศขายเครื่องใช้สำนักงานบางส่วนผ่านทางออฟฟิศ มีหลายโกดังที่นี่ซื้อของต่อจากโกดังนี้ รวมทั้งโกดังของต้วนเจียจงด้วย”

   “เขาขายอะไรออกไปบ้าง?”

   “เท่าที่รู้ ทางออฟฟิศเยี่ยนหวอเอง ซื้อรถโฟลคลิฟต์จากที่นี่ไป 4 คัน ส่วนของที่อื่นนั้นมันเป็นการตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ทางออฟฟิศไม่รู้ว่าใครซื้ออะไรไปบ้าง”

   “นายได้รายชื่อโกดังอื่น ๆ ที่รับซื้อของจากโกดัง F23 ไหม?”

   “ไม่มีเลย อย่างที่บอก ว่ามันเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ทางออฟฟิศไม่มีข้อมูล”

   “นี่เราต้องไล่ถามไปตามทีละโกดังเลยหรือไง”

   “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าดูจากรายชื่อที่ได้มา นายดูนี่” จู้ชุนเปิดเอกสารให้เขาดู “นี่ไง อย่างที่นี่เป็นแค่คลังเก็บสินค้า เราก็ไม่ต้องไปตรวจสอบ” จากนั้นจู้ชุนเปิดไล่มาหน้าถัดไป “แต่ที่นี่เป็นทั้งศูนย์กระจายสินค้า และสถานที่ผลิต เราก็ต้องไปที่ตรวจสอบ”

   “แล้วเราต้องไปตรวจสอบกันกี่ที่ล่ะ ท่าทางแค่ฉันกับนายสองคน คงไม่ทันแน่ๆ”

   “ก็ต้องกลับไปที่สถานี ตรวจสอบรายชื่อบริษัทฯ ต่างๆ ที่มาเช่าโกดังก่อน ถึงจะตอบได้ ฉันไม่ได้รู้จักไปทุกบริษัทฯ หรอกนะ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้าย แล้วไปเจอกันที่สถานี”

   “นายกลับไปก่อนแล้วกัน ฉันว่าจะแวะไปเยี่ยมกัมหงสักหน่อย เห็นว่าอาทิตย์หน้าไอ้หมีนั่นจะกลับไปพักที่บ้านแล้ว”

   “กัมหงคงจะยอมอยู่บ้านเฉย ๆ หรอก”

   “เอาไว้เดี๋ยวฉันหาที่นอนให้ไอ้หมีนั่นสักห้องในสถานีก็แล้วกัน” จู้ชุนพูดติดตลกก่อนลงจากรถเขาไป

   ตู้เห่าได้แต่คิดว่า จากคดีที่เดิมคิดว่าเป็นคดีคนหายธรรมดา ๆ ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ซะแล้ว ในเมื่อทั้งเผิงฟง และมู่เฉินเคยมาที่โกดัง F23 แห่งนี้ ฉินหรุยกวงก็อยู่ที่นี่ก่อนเสียชีวิต ตู้เห่ามองเข้าไปในโกดัง F23

   “ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?”

.........................................................................

   โฮวจีเจียนเดินเข้ามาที่แผนกของหนานเฟ่ยซานอย่างอารมณ์ดี เพราะช่วงนี้เขาทำอะไรก็ถูกใจน้องฉี่เยว่ไปหมด ถึงเขาจะตามจีบและคบหาใจกันมาไม่ถึง 3 เดือน แต่ทั้งเขาและเธอก็เข้ากันได้ดี

   “น้องหนาน ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปเลยนะ” เขาเข้าไปทักทายหนานเฟ่ยซานอย่างอารมณ์

   “ฉันไปทำงาน ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ว่าแต่นาย อารมณ์ดีแบบนี้ บก. เลิกแช่แข็งนายแล้วเหรอไง?”

   “นั่นไม่ทำให้ฉันดีใจเท่าเรื่องน้องฉี่เยว่หรอกนะ”

   “ถ้าจะไม่ผิด นายเพิ่งจีบเขาไม่กี่เดือน”

   “คบกันแล้วด้วย”

   “ก็แค่คบกัน”

   “นี่น้องหนาน น้องรัก นายควรจะร่วมดีใจกับพี่โฮ่วคนนี้ถึงจะถูก ไม่ใช่มาพูดตัดกำลังใจกันแบบนี้”

   “เอาละ ๆ นายมาหาฉันถึงที่แผนก คงไม่ได้แวะมาคุยเรื่องน้องฉี่เยว่อย่างเดียวใช่ไหม?”

   “นายนี่ รู้ใจฉันไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

   “ตกลงนายมาเรื่องอะไร”

   “คืนพรุ่งนี้มีงานเปิดตัวเรือเฟอรี่ลำใหม่ของไลออนเฟอร์รี่ นายไปขึ้นเรือแทนฉันหน่อยสิ”

   “งานแบบนี้ ทำไมนายไม่ชวนน้องฉี่เยว่ไปเดทละ”

   “ตอนแรกก็ชวนนะ เรือหรูหราขนาดนั้น แต่ฉี่เยว่เขาไม่ค่อยสบาย กลัวเมาเรือแล้วจะไม่สนุก”

   “อืม เดี๋ยวฉันไปแทนให้”

   “นายอย่าไปบอกตาแก่หยุนละ”

   “ฉันเคยบอก บก. ที่ไหน มีแต่นายแหละ หลุดปากเองทุกที”

   “นายก็อย่าไปเหยียบหางใครเหมือนคราวที่แล้วละ ยิ่งคนนี้นายอย่าไปทำให้เขาไม่พอใจก็แล้วกัน” เขาชี้ไปที่หนเาจอคอมพิวเตอร์ที่หนานเฟ่ยซานเปิดข้างอยู่ ในรูปมีชายสองคนยืนอยู่ข้างกัน คนหนึ่งเขาแค่คุ้นหน้า แต่ไม่ได้สนใจ กลับชี้ไปที่อีกคน

   “นายรู้จักคนคนนี้ด้วยเหรอ”

   “นายเพิ่งจะมาตื่นเต้น? จะไปขึ้นเรือของเขาอยู่พรุ่งนี้แล้ว แต่ก็ดี นายจะได้หาข้อมูลของเขาไว้ก่อนเผื่อฟลุ๊กเขาให้นายสัมภาษณ์ขึ้น ฉันไปละ”

   โฮ่วจีเจียนเดินออกมาจากแผนกอย่างอารมณ์ดี และไม่คิดว่าหนานเฟ่ยซานจะดูตื่นเต้นกับการทำงานแทนเขา สงสัยจะชอบบรรยากาศบนเรือเฟอร์รี่

To Be Continue


ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
25


   หลังจากรู้ว่าคนในรูปอีกคนเป็นใคร ผมก็ค้นบทความเก่า ๆ ที่โฮ่วจีเจียนเป็นคนเขียนในฐานข้อมูลออกมา ผมเลือกอ่านเฉพาะบทความเกี่ยวกับ บริษัท ไลน์ออนเฟอรี่ เท่านั้น ถึงจะคัดเลือกมาแล้ว แต่บทความที่โฮ่วจีเจียนเขียนเกี่ยวกับบริษัทฯ นี้ก็มีไม่ใช่น้อย

   จากข้อมูลที่อ่านพบ บริษัท ไลน์ออนเฟอรี่ เป็นของ เยี่ยนจูเฟิง เขาเป็นนักธุรกกิจหนุ่มใหญ่ไฟแรง รับช่วงที่ต่อกิจการจากพ่อ และต่อยอดธุรกิจจากแค่เรือข้ามฟาก มาเป็นธุรกิจอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ภายในเวลาเพียง 4-5 ปี หลังจากเข้ามาดูแลกิจการแทน

   ข่าวที่โฮ่วจีเจียนเขียน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจ ตั้งแต่เรือข้ามฟาก เรือยอชต์ เรือเฟอรี่ รวมไปถึงเรือสำราญ แม้กระทั่งเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ บางส่วนก็ยังเป็นของเยี่ยนจูเฟิง

   “ฉินหรุยกวง... เยียนจูเฟิง... เรือขนส่งสินค้า...โกดัง...ท่าเรือที่ 5...”

   ผมพยายามเขียนสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา สัญชาตญาณความเป็นนักข่าวของผมมันบอกว่า สองคนนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่ผมยังปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้

   “ต้วนเจียจง...ของเล่นนำเข้า...ก็ต้องใช้เรือขนส่งสินค้า...โกดัง...ท่าเรือที่ 5...” ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ คนนำเข้าสินค้ายังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกับเยียนจูเฟิงทั้งนั้น มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ “โกดัง...ท่าเรือ...คนหาย...ค้ามนุษย์!! ”

   ถ้าเป็นอย่างที่ผมคาดเดาจริง ถ้าอย่างนั้นก็รอช้าไม่ได้ หากเป็นการค้ามนุษย์ ค้าทาสจริง ๆ พวกเด็กๆ และผู้หญิงที่หายตัวไป ป่านนี้ไม่ถูกส่งตัวออกนอกประเทศไปแล้วเหรอ? ผมรีบเก็บของแล้วคว้ากระเป๋าเพื่อไปหาพี่กู่ที่สถานีทันที

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินเข้ามาภายในโรงแรม ทางพนักงานก็รีบเดินมาหาเขา เพื่อพาไปยังห้องรับรองห้องหนึ่ง เมื่อเข้าไปเขาก็พบแต่พนักงานของโรงแรมที่คอยให้บริการอยู่

   “ม๊าละ?”

   “คุณลิลลี่ออกไปส่งแขกค่ะ เดี๋ยวคงกลับเข้ามา” เขามองไปรอบ ๆ พนักงานกำลังเก็บแก้วเครื่องดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะออกไป ก่อนจะเตรียมชุดใหม่ให้กับเขา

   “แล้วเตี๋ยละ วันนี้เขามาไหม?”

   “ท่านรองไปประเทศไทยค่ะ”

   “ประเทศไทย? ... ไปทำไม?” หรือจะไปเรื่องของเจมส์

   “ท่านไม่ได้แจ้งไว้ค่ะ แล้วก็ไม่ให้ทางเราพูดออกไป ถ้าไม่ใช่คุณลิลลี่หรือดอกเตอร์”

   “เข้าใจแล้ว เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ”

   “ดิฉันขอตัว”

   เขานั่งเอนลงตรงโซฟายาว จากนั้นพนักงานก็รินไวน์มาตั้งไว้ให้เขา ก่อนจะไปยืนรอให้บริการอยู่ด้านข้าง ไม่นานแม่ของเขาก็เดินเข้าห้องมา เขาจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง

   “ม๊า”

   “ม๊าคงคุยได้แป๊บเดียวแล้วละ มีทัวร์กลุ่มใหญ่มาลงที่กาสิโน อีกไม่กี่นาทีก็จะมากันแล้ว ม๊าคงต้องออกไปต้อนรับ”

   “ช่วงนี้ม๊าดูแลที่นี่คนเดียว จะให้ผมมาช่วยรึเปล่า”

   “ไม่ต้อง ม๊าแค่ต้องการให้ลูกไปเป็นเพื่อนแม่ คืนพรุ่งนี้จะมีงานเปิดตัวเรือลำใหม่ของคุณเยียน เดิมทีคุณเยียนเขาเชิญหงส์กับอาเถิงไปร่วมงาน”

   “ผมเข้าใจแล้ว แสดงว่าเรือลำนี้ มีกาสิโนของเราอยู่ด้วย ม๊ากับผมจึงต้องไปแทน”

   “ใช่ เรือจะออกไปวนอยู่ที่อ่าววิกเตอร์เรีย แล้วก็จะแล่นเข้าฝั่งราว ๆ เที่ยงคืน”

   “ได้ครับ แล้วให้คนของเหมิ๋นขึ้นไปด้วยไหม?”

   “คงไม่ได้ คนที่จะขึ้นได้ต้องมีบัตรเชิญเท่านั้น ทางนั้นให้เรามีผู้ติดตามไปได้แค่ 6 คน ม๊าจัดคนของฝู่ไว้แล้ว”

   “น้อยไป”

   “ม๊ารู้ แต่ดีแล้วที่หงส์กับอาเถิงไม่ได้ไป”

   “แล้วใครจะดูแลที่นี่ระหว่างที่ม๊ากับผมอยู่บนเรือละ”

   “ไม่ต้องห่วง แม่บอกอาไฉ๋ไว้แล้ว”

   “ครับ”

   “ม๊าไปเตรียมต้อนรับลูกค้าก่อนนะ”

   “ม๊าพักผ่อนบ้างนะ ผมเป็นห่วง”

   “ถ้าห่วงก็หาสะใภ้ให้ม๊าสักคนสิ จะได้มาช่วยดูแลม๊ายังไงละ”

   ม๊าของเขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไป เขายกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ ก่อนจะนึกถึงใครบางคนขึ้นมา พนักงานจะเติมไวน์ให้เขา แต่เขาปฏิเสธ ก่อนที่จะลุก แล้วเดินออกจากห้องรับรองไป

.........................................................................

   หลังจากที่จู้ชุนได้รายชื่อบริษัทฯ ทั้งหมดที่เช่าโกดังของเยี่ยนหวอมาแล้ว เหยินหยางผิง และ เหมี่ยนจื่ออู่ก็เข้ามาช่วยตรวจสอบ จนกระทั่งได้รายชื่อบริษัทฯ ที่น่าจะซื้อสิ่งของต่อจากบริษัท วิงเฮงยิมที่เช่าโกดัง F23

   “เหลืออยู่แค่ 15 บริษัทฯ ที่ต้องตรวจสอบ” จู้ชุนสรุป

   “ถ้าอย่างนั้นแบ่งกันไปเป็นสองกลุ่ม ฉันกับตู้เห่า หยางผิงไปกับจื่ออู่”

   “ได้ ตกลงตามนี้”

   “เดี๋ยวก่อนหยางผิง นายอย่าเพิ่งใจร้อน ตอนไปตรวจสอบเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ทางนั้นไหวตัวทัน นายกับจื่ออู่ต้องพูดทำนองว่ามาตามหาบริษัทฯ ที่รับซื้อของโจร ห้ามเอ่ยถึงบริษัทฯ วิงเฮงยิมเด็ดขาด”

   “ทำไมละ พี่เห่า”

   “นายก็ได้ยิน ที่เฟ่ยซานอนุมานแล้ว หากมันเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์จริง ก็เป็นไปได้ว่าพวกมันไม่ได้ซ่อนคนไว้ที่โกดัง หากมันไหวตัวทัน ฉันเกรงว่าเด็ก ๆ พวกนั้นจะไม่ปลอดภัย”

   “จริงของพี่”

   “ถ้าอย่างนั้นเราก็แยกย้ายไปตรวจสอบได้ นายสองคนไปตรวจดูตามโกดังของบริษัทฯ พวกนี้” จู้ชุนสรุปอีกครั้งก่อนจะส่งเอกสารให้เหยินหยางผิงรับไป

   “เอา นายเอาไปอ่านดู เดี๋ยวฉันขับรถให้ บอกทางด้วยแล้วกัน” เหยินหยางผิงส่งต่อเอกสารให้เหมี่ยนจื่ออู่ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุมเป็นคนแรก ตามด้วยเหมี่ยนจื่ออู่

   “ดีนะที่สองคนนี้ไม่ทะเลาะกันเหมือนแต่ก่อน ดูจะเป็นคู่หูที่เข้ากันได้” ตู้เห่าเปรยขึ้นมา

   “เดี๋ยวพี่เห่าไปรอที่รถก่อน ผมขอโทรหาใครบางคนแป๊บหนึ่งแล้วจะตามไป”

   “แค่ไปตรวจสอบที่โกดัง ไม่ต้องให้สายแฝงตัวเข้าไปหรอก”

   “ไม่ใช่เรื่องโกดังหรอกพี่ เรื่องที่พี่กู่กับเฟ่ยซานจะขึ้นเรือคืนนี้ต่างหาก ผมสังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้ กลัวว่าเฟ่ยซานจะไปก่อเรื่อง”

   “อืม งั้นนายไปจัดการเรื่องของนายเถอะ เดี๋ยวฉันไปรอที่รถ”

   ตู้เห่าเดินออกไปแล้ว เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครมาได้ยินสิ่งที่เขาจะคุยกับทางปลายสาย เขาจึงโทรหาเหมิ๋นหยวนฮ่าง

   “ดอกเตอร์ ผมเอง”

   ‘จู้ชุน? ’

   “คุณนายเหมิ๋นได้รับเชิญให้ขึ้นเรือด้วยใช่ไหมครับ”

   ‘ใช่ แต่ทางนั้นให้คนติดตามได้แค่ 6 ฉันจะไปกับม๊าด้วย รวมเป็น 8’

   “เฟ่ยซานมีบัตรเชิญ ไปทำงานแทนโฮ่วจีเจียน พี่กู่จึงตามไปด้วย”

   ‘นายพอจะส่งคนแฝงตัวขึ้นไปบนเรือได้ไหม? ’

   “มันค่อนข้างกะทันหัน ผมน่าจะเตรียมการไม่ทัน แต่จะพยายามให้ดีที่สุด”

   ‘ม๊าไม่ไว้ใจ เยียนจูเฟิง’

   “ครั้งก่อนเฟ่ยซานถ่ายรูปเยียนจูเฟิงกับฉินหรุยกวงได้ที่โกดังของคุณ”

   ‘นายกำลังจะบอกว่า เยียนจูเฟิงอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีอะไรสักคดี? ’

   “คดีคนหาย แต่อาจจะไม่ใช่หายไปธรรมดา”

   ‘เข้าใจแล้ว พวกฉันจะระวังตัว’

   “ครับ เท่านี้ก่อนนะครับ ผมต้องไปแล้ว” เมื่อวางสายแล้ว จู้ชุนก็เดินออกไปสมทบกับตู้เห่าที่รถ ก่อนจะไปตรวจสอบบริษัทฯ ที่เช่าโกดังของเยี่ยนหวอ

.........................................................................

   พื้นที่ชั้นสองที่ต่อเติมขึ้นมาภายในโกดัง มีฟูกปูเรียงรายกันจนแน่น มีเพียงทางเดินแคบ ๆ ให้เดินผ่านเพื่อไปยังฟูกนอนของตัวเองเท่านั้น หลายคนที่หัวถึงที่นอนก็หลับไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่หลับ บางส่วนเป็นฟูกว่าง เนื่องจากเจ้าของฟูกไปทำธุระส่วนตัว

   ประตูห้องเปิดออกมาทำให้แสดงสว่างจากภายนอกส่องผ่านเข้ามาในห้องได้มากกว่าปกติ เจ้าของฟูกบางส่วนเดินเข้ามาพร้อมกับอุปกรณ์อาบน้ำในมือ

   “กลุ่มต่อไป ลุกขึ้นมาได้แล้ว” ชายคนที่เปิดประตูตะโกนบอก ทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งลุกเดินออกไป จากนั้นประตูก็ปิดลงดังเดิม พร้อมทั้งเสียงล็อกของแม่กุญแจจากภายนอก

   “อาฟง นายหลับแล้วเหรอ?” มู่ฉินที่เพิ่งจะกลับจากการไปอาบน้ำ สะกิดถามคนที่นอนอยู่ฟูกข้าง ๆ

   “ยัง ฉันนอนไม่หลับ”

   “คิดถึงฉินฉินอยู่ละสิ”

   “อืม ไม่รู้ว่าจะหนีรอดไปได้ไหม แล้วจะบอกให้ตำรวจมาช่วยเราออกไปได้รึเปล่า”

   “นี่ก็หลายวันแล้วนะ เออ!!  จริงสิ นอกจากฉินฉินแล้ว นายสังเกตไหมว่ามีอีกคนที่ไม่อยู่เหมือนกัน”

   “ใคร!! ” เผิงฟงถามออกมาอย่างแปลกใจ ก่อนค่อยลดเสียงตัวเองลง “มีใครหนีออกไปได้อีกอย่างนั้นเหรอ”

   “ไม่ใช่หนีไปหรอก แต่ฉันเหมือนจะจำได้ว่าเขาหายไปวันเดียวกัน วันที่เราช่วยฉินฉินหนีอ่ะ”

   “นายหมายถึงใคร?”

   “ก็ไอ้ควายยักษ์จื่อหรงไงละ ถ้ามันอยู่ ป่านนี้มันคงคอยแต่จะมาหาเรื่องนายแล้ว”

   “จริงสิ ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็ไม่เห็นมันเลย”

   “ใช่ไหมล่ะ แล้วนายดูคนมาใหม่ดิ ถึงจะไม่ทำอะไรพวกเรารุนแรงเท่าไอ้ควายยักษ์นั่น แต่ก็ค่อยจับตาดูพวกเราตลอดเลย”

   “พอฉินฉินหนีไป มันคงกลัวว่าคนอื่นจะหนีไปอีกละสิ”

   “หวังว่าฉินฉินจะตามคนมาช่วยพวกเราได้นะ”

   “ฉันหวังให้ฉินฉินกลับไปเจอแม่ได้ก็พอ”

   “นี่อาฟง นายได้ยินเรื่องจับหนูไหม?”

   “อืม ฉันพอได้ยินอยู่ แต่ที่นี่มันไม่เห็นจะมีหนูสักตัว”

   “ฉันก็ว่าอย่างนั้น เราก็อยู่ที่นี่มาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว ไม่เคยเห็นจะมีหนูสักตัว แต่ที่ฉันสงสัย มีพวกนั้นบางคน คนที่สูง ๆ น่ากลัว ๆ น่ะ เขาว่า เขาจะขอเล่นกับหนูตัวนี้สักหน่อย ฉันได้ยินแล้วก็ขนลุกเลย รู้สึกสงสารหนูตัวนั้นยังไงก็ไม่รู้”

   “ทำไม กลัว?”

   “ใช่นะสิ คนอะไรก็ไม่รู้ โคตรจะน่ากลัวเลย”

   “หรือว่า...”

   “อะไร?”

   “หนูที่ผู้ชายคนนั้นว่า...อาจจะไม่ใช่หนูจริงๆ” เขาลดเสียงลดไปอีก จนเกือบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ “มันอาจจะหมายถึงคน หรือพวกเรา” สิ้นเสียงพูด ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง ทำให้เด็กทั้งสองพากันสะดุ้ง และรีบหลับตานอนอย่างไม่ได้นัดหมาย

.........................................................................

   ภายในห้องประชุมของสถานี มีเงาชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามา เขามองเดินดูไปรอบ ๆ ห้อง ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและภาพถ่ายของคดีต่าง ๆ ที่ทีมสืบสวนที่ 1 และ 2 ร่วมสืบกันอยู่ตอนนี้ เขาอ่านข้อมูลที่ติดอยู่บนกระดานต่าง ๆ อย่างสนใจ

   คดีคนหาย มีภาพเด็กชายนับสิบติดอยู่บนกระดาน มีเด็กสองคนที่คาดว่าจะเคยเจอแล้ว แต่ตอนนี้กลับหายไปอีกอย่างไร้ร่องรอย

   คดีฆ่ารัดคอ กระดานถูกขยายเพิ่มจากเดิม โดยมีข้อมูลใหม่ และเรียบเรียงการอนุมาน เขาแค่นอนอยู่โรงพยาบาลไม่กี่วัน กลับมีเหยื่อในคดีเพิ่มขึ้นอีกจนน่าตกใจ แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า นั่นก็คือของที่พบบนศพผู้ตาย

   ชายเร่ร่อน เหยื่อรายที่ 5 มีกระดุมติดแขนเสื้อเหมือนที่เขาเคยเห็นมันเป็นของหวงกังโห ที่เป็นเหยื่อรายที่ 6 เขารีบเดินออกจากห้องประชุมมายังโต๊ะของทีมสืบสวน แต่กลับไม่มีใครอยู่สักคน

   “อ่าว พี่ชิว พี่ไม่ได้กลับไปพักที่บ้านหรอกเหรอ? หัวหน้ายังไม่ให้มาทำงานนี่ แล้วนี่มาทำอะไรละ” ตำรวจคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามาพอดี

   “เจ้าพวกนี้มันหายไปไหนหมด” เขากวาดมือชี้ไปที่โต๊ะเพื่อนร่วมงาน

   “ไปสืบคดีข้างนอกกันนะ”

   “ออ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

   “พี่ชิว ผมว่าพี่กลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนเถอะ จำได้ว่าพี่ชุนบอกว่าพี่จะออกจากโรงพยาบาลอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอ เรื่องงานไว้พี่ค่อยบอกพี่กู่หรือพี่เห่าที่หลังก็ได้”

   “ไม่เป็นไร นายมีอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันแค่จะหาเอกสารอะไรนิดหน่อย เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

   “พี่จะเอาอะไรละ เดี๋ยวผมช่วยหา ผมเห็นพี่เดินยังไม่ค่อยถนัด ให้ก้ม ๆ เงย ๆ หาเอกสาร เดี๋ยวก็ได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบกันพอดี”

   “ก็ดี นายช่วยฉันหารายงานชันสูตรของหวงกังโห แล้วก็รายการของที่ติดตัวผู้ตาย”

   “ได้พี่ พี่ไปนั่งพักก่อนเถอะ เดี๋ยวผมหาให้”

   เขารอไม่นาน ก็ได้เอกสารในมือ ภาพถ่ายศพในที่เกิดเหตุ หวงกังโหยังคงใช่ชุดเดิมที่เข้ามาให้ปากคำกับผานกู่ จากเวลาตายเป็นไปได้ว่า หวงกังโหถูกคนร้ายในคดีฆ่ารัดคอจับไปตั้งแต่วันนั้น สิ่งของที่อยู่กับศพ กระดุมติดแขนเสื้อ เหลืออยู่ข้างเดียว!!

.........................................................................

   บรรยากาศบริเวณท่าเรือ คึกคักไปด้วยผู้มากมายคนที่ได้รับเชิญมาขึ้นเรือลำใหม่ของไลน์ออนเฟอรี่ ไม่ว่าจะเป็นดารา เซเลป สื่อมวลชน และนักธุรกิจมากมายต่างทยอยกันมาร่วมงาน

   รถ Rolls Royce Phantom Limo สีขาวคันใหญ่เข้ามาจอดที่ท่าเรือ เรียกความสนใจจากคนที่เตรียมจะขึ้นเรือได้ไม่ยาก นักข่าวหลายคนต่างกดชัตเตอร์รั่ว ๆ ไปยังคนที่จะก้าวลงจากรถ ไม่เว้นแม้กระทั่งหนานเฟ่ยซาน

To Be Continue

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
26





   ผานกู่คอยดูหนานเฟ่ยซานทำงานอยู่ห่าง ๆ เพราะต้องมาทำงานแทนโฮวจีเจียน ยังไงก็ต้องมีภาพและข่าวกลับไปให้หมอนั่นเขียนข่าวได้ ส่วนเรื่องการสืบคดีนั้น ถือเป็นผลพลอยได้ของงานในวันนี้

   เขาลอบสังเกตคนโดยรอบที่ท่าเรือ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันในวงสังคม หรือไม่ก็วงการบันเทิง ซึ่งแจ่งตัวกันมาเต็มยศ บ้างขึ้นไปเดินชมบนเรือ บ้างยืนรอรับเยียนจูเฟิง

   “พี่กู่”

   “อ่าว นึกว่าจะอยู่นานกว่านี้”

   “คุณเยี่ยนเขาไม่ให้สัมภาษณ์ เลยได้แต่ถ่ายรูปกัน”

   เขามองตามหนานเฟ่ยซานไปยังเยียนจูเฟิง ที่มีบอดี้การ์ดคอยเดินประกบหน้าหลัง ตามด้วยทัพนักข่าวที่ค่อย ๆ ทยอยขึ้นเรือไป

   “เราก็ขึ้นไปบ้างเถอะ”

   “อ่ะ นี่บัตรของพี่ นักข่าวต้องห้อยคอไว้” หนานเฟ่ยซานส่งบัตรที่ห้อยติดสายคล้องคอให้กับเขา ซึ่งเขาก็รับมา

   “ถ้าพี่ไม่ห้อยไอ้นี่ แล้วพวกนั้นจะแยกพี่กับแขกที่มาได้ยังไง” เขามองไปยังเหล่าบอดี้การ์ดที่ยืนคุมอยู่ที่ทางขึ้นเรือ

   “นั่นไง เขามีแบ่งสีด้วยนะ ว่าใครเป็นใคร”

   หนานเฟ่ยซานชี้ไปที่ข้อมือของชายที่ใส่สูททันสมัยคนหนึ่ง ปรากฏว่าเขาสวมริสแบนด์สีดำอยู่

   “อืม เข้าใจแล้ว แบ่งสีแบบนี้แสดงว่ามีการแบ่งด้วยสินะว่าโซนไหน ใครเข้าได้ หรือไม่ได้บ้าง”

   “ใช่ พวกเรานักข่าวจะไม่มีริสแบนด์แบบแขกพวกนั้น แต่ก็เข้าได้ทุกส่วนที่เขาเปิดให้ชม เพื่อเป็นการทำข่าวโปรโมทเรือลำนี้ ส่วนแขกถ้าวีไอพีสุดๆ ก็สามารถเข้าห้องทำงาน และห้องส่วนตัวของเยี่ยนจูเฟิงได้ ที่สำคัญ ผมได้ยินมาว่า วันนี้เยี่ยนจูเฟิงมีนัดพิเศษ แต่กับใครนั้น ยังไม่รู้แน่ชัด”

   “แสดงว่าคนคนนี้ต้องเป็นแขกวีไอพีมากเลยสินะ”

   “ใช่ แต่ผมว่าพี่ไม่ต้องไปสนใจหรอก มันไม่น่าจะเกี่ยวกับคดี เพราะมันดูโจ่งแจ้งเกินไป ถ้าจะนัดคุยเรื่องลับๆ กันต่อหน้าหูตาของนักข่าวแบบนี้”

   “มันก็จริงอย่างที่นายว่า แต่ถึงยังไงเราก็จับตามองไว้หน่อย”

   “ยังไงผมก็ต้องจับตาดูอยู่แล้ว ความเคลื่อนไหวของคนคนนี้เป็นข่าวได้แทบจะทุกเรื่อง ไปกันเถอะพี่”

   “เฟ่ยซาน”

   “หือ?”

   “ระวังตัวด้วย”

   “อืม พี่ไม่ต้องห่วงหรอก”

   เขาเดินตามหนานเฟ่ยซานขึ้นเรือไป กลุ่มของเยี่ยนจูเฟิง เดินตามหญิงสาวคนหนึ่งไป ส่วนทัพนักข่าวถูกกันไม่ให้ตามเข้าไป จึงได้แต่เดินแยกกันไปถ่ายรูปตามส่วนต่าง ๆ ของเรือ

   “นายจะไปตรงไหนก่อนละ?”

   “จากที่ได้ข้อมูลของเรือลำนี้มา เมื่อตอนไปแลกบัตร” หนานเฟ่ยซานหยิบแผ่นพับออกมากางดู “ชั้นล่างเป็นเลานจ์กับกาสิโน ชั้นนี้ เป็นห้องอาหาร ส่วนสันทนาการ ชั้นสอง...มีแต่ห้องพัก เขาเปิดให้ดูตัวอย่างแค่ 3 ห้อง ขั้นสี่เป็นห้องบอลรูม สุดท้ายดาดฟ้า”

   “แล้วตอนนี้เยียนจูเฟิงไปไหนซะละ”

   “ตามกำหนดการณ์น่าจะเตรียมเปิดตัวที่ห้องบอลรูม”

   “งั้นเราก็ไปที่นั่นกันเถอะ แขกส่วนใหญ่คงจะอยู่กันที่นั่นด้วยสินะ”

   “ไม่หรอกพี่ ได้ขึ้นเรือมาฟรีไม่กี่ชั่วโมง ผมว่าแขกส่วนใหญ่น่าจะอยู่ที่ส่วนสันทนาการมากกว่า”

   “อ่อ”

   “ตอนนี้เราไปส่วนห้องพักน่าจะดี ส่วนนี้แขกจะไม่ค่อยสนใจ อีกอย่างผมว่านะ ถ้าหากพวกเขาจะแอบนัดคุยเรื่องอะไรกัน ห้องพักพวกนี้เหมาะที่สุด”

   “นี่เราคงจะคิดคำนวณไว้หมดแล้วสินะ ได้!! เราไปส่วนห้องพักกัน เผื่อมีโอกาสจะได้แอบไปดูห้องอื่น ๆ ก่อนงานเริ่มด้วย”

   “ผมก็คิดแบบนั้น ไปกันเถอะพี่”

   เขาพยักหน้าให้หนานเฟ่ยซานก่อนจะเดินตามไป โดยไม่ลืมที่จะสังเกตโดยอย่างระวังตัว

.........................................................................

   ความเคลื่อนไหวของหนานเฟ่ยซานและผานกู่อยู่ในสายตาของเหมิ๋นหยวนฮ่างโดยตลอด ตั้งแต่ที่สองคนนั้นเข้ามาที่ท่าเรือ ตลอดจนขึ้นเรือมาแล้ว

   “นั่นคงเป็นหนานเฟ่ยซานสินะ”

   “ครับม๊า”

   “ตัวจริงน่ารักกว่าที่เห็นในรูปซะอีก”

   “น่ารัก?”

   “อืม หรือลูกไม่เห็นด้วย?”

   “แล้วทำไมผมต้องเห็นด้วย”

   “ถึงม๊าจะอยู่แต่ในโรงแรม แต่ม๊าก็หูตาเยอะนะ”

   “ม๊าก็อย่าไปฟังพวกนั้นเยอะ มันไม่มีอะไรสักหน่อย”

   “คุณลตา ดอกเตอร์” เขายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ผู้ช่วยคนสำคัญก็เดินเข้ามา

   “เป็นยังไงบ้างคะ?”

   “เรียบร้อยครับ พวกคุณสามารถดูภาพจากกล้องผ่านทางมือถือได้เลย”

   “ขอบคุณค่ะ”

   “ให้ลุงคีมาด้วยแบบนี้จะดีเหรอครับ”

   “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ครับ นานๆ ให้ผมมาเที่ยวล่องเรือแบบนี้บ้างก็ดี”

   “ลูกไม่ต้องห่วงหรอก คุณคีเขามีความสามารถมากกว่าที่ลูกเห็นอีกเยอะ” เขาเห็นม๊าและลุงคียิ้มออกมา แต่สำหรับม๊าของเขา ดูจะเจ้าเล่ห์กว่าลุงคีเยอะ

   “มีมุมหนึ่งที่ด้านท้ายเรือ มีกล้องติดอยู่มากเป็นพิเศษ” ลุงคีบอกถึงสิ่งที่สังเกตเห็น แล้วชี้ไปที่จุดบนแผ่นพับ

   “ตรงนั้นเป็นที่สำหรับขึ้นเรือโดยเรือเล็ก คงไม่น่าสงสัยหากจะติดตั้งกล้องเยอะขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเยี่ยนจูเฟิงก็ไม่แน่ค่ะ”

   “ม๊ารู้อะไรมา เกี่ยวกับคนคนนี้”

   “ตระกูลเยี่ยนเคยทำธุรกิจร่วมกับตระกูลจุ้ย ถึงแม้ว่าตระกูลจุ้ยจะไม่เหลือใครมาสานต่อธุรกิจผิดกฎหมายนั้นแล้ว แต่ม๊าก็เคยได้ยินมาว่า ยังมีกลุ่มคนที่โลภ อยากได้เงินทองจากธุรกิจนี้รวมตัวกันและเรียกตัวเองว่า ไหว่ยี่ ซึ่งยังคงค้าขายของผิดกฎหมายอยู่ และดูเหมือนเยียนจูเฟิงจะเป็นสมาชิกในกลุ่มนั้นด้วย”

   “จุ้ยทำให้ฝู่ตกอยู่ในแวดวงธุรกิจดำมืดอยู่หลายปี กว่าเตี๋ยกับอี้จะกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมม๊าถึงไม่ไว้ใจเยียนจูเฟิง”

   “ถึงตอนนี้ หลาย ๆ คนก็ยังคงเข้าใจผิด ว่าเยี่ยนหวอยังคงทำธุรกิจผิดกฎหมายอยู่” ลุงคีเสริม

   “เราก็เปิดกาสิโนถูกกฎหมาย ทำไมคนถึงยังคิดแบบนั้นอยู่”

   “คงเพราะอาเถิง”

   “เตี๋ยอ่ะนะ เตี๋ยก็แค่เส้นสายเยอะ ไม่ต่างจากลุงคี แต่ทำไม...”

   “ก่อนที่อาเถิงจะแต่งงานกับหงส์ อาเถิงใช้แซ่จุ้ย” เขาไม่เคยรู้เลย ว่าแซ่เดิมของเตี๋ยคือแซ่อะไร รู้แค่ว่าเตี๋ยยินดีที่จะแต่งเข้าสกุลฝู่เหมือนป๊าของเขาที่ยินดีแต่งเข้าสกุลเหมิ๋น

   “ดอกเตอร์ไม่รู้ก็ไม่แปลก เพราะส่วนใหญ่พวกเราจะเลี่ยงพูดกันถึงเรื่องนี้” เขาเข้าใจที่ลุงคีพูด หากคนนอกมารู้ว่าเตี๋ยเคยเป็นคนตระกูลจุ้ย จุ้ยไม่ถูกกับฝู่ และฝู่เองที่เป็นคนล้มธุรกิจของจุ้ย คนที่ไม่รู้เรื่องราวในอดีตอาจจะมองเตี๋ยของเขาไปในทางที่ไม่ดี

   “การเปิดตัวของเรือลำนี้ จะมีอะไรแอบแฝงไหมครับ”

   “ลุงกับคุณลตายังไม่รู้หรอก แต่ก็ต้องระวังตัวเอาไว้”

   “จู้ชุนให้คนแฝงขึ้นเรือมาได้ 2 คน คนหนึ่งเป็นบอร์ดี้การ์ด คอยดูแลความเรียบร้อยของงาน ส่วนอีกคนเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่เลานจ์” เขาบอกข้อมูลที่รับรู้มา

   “ขึ้นเรือมากะทันหันแบบนี้ คงจะยังไม่รู้ทางหนีทีไล่ ยังไงลูกก็ให้พวกเขาคอยดูว่ามีอะไรผิดสังเกตไหม แล้วรายงานมาก็พอ ส่วนทางเรา คนแค่นี้ก็น่าจะพอ”

   “ครับม๊า”

   พวกเขาตกลงกันเรียบร้อย ก็พากันขึ้นไปบนห้องบอลรูมที่จัดงาน ส่วนเขาก็คอยมองภาพในมือถือ ซึ่งเห็นหนานเฟ่ยซานกับผานกู่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในส่วนของห้องพัก เขาได้แต่บ่นอยู่ในใจ รนหาที่อีกแล้วสินะ หนานเฟ่ยซาน

.........................................................................

   ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเกียงวู เหยินหยางผิงเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลโดยมีเหมี่ยนจื่ออู่วิ่งตามมาติด ๆ ทั้งสองคนช่วยกันมองหาชายร่างหมีที่ฝืนคำสั่งหมอ ออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อวานนี้

   “นั่น” เหมี่ยนจื่ออู่ชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง ที่นั่งหันหลังให้พวกเขา ทั้งสองจึงเดินตรงเข้าไปหา พยาบาลที่กำลังทำแผลให้คนไข้ร่างหมีเสร็จงานตรงหน้าพอดี

   “เดี๋ยวคนไข้ไปรอรับยาด้านนอกนะคะ” พยาบาลพูดกับคนไข้อย่างใจดี

   “ผมว่าแอดมิทไปเลยดีกว่า แผลแตกซะขนาดนี้” เหยินหยางผิงดูจากปริมาณสำลีเปื้อนคราบเลือดในถาด

   “ฉันไม่เป็นไรสักหน่อย แผลปรินิด ๆ หน่อย” ชายร่างใหญ่พูดไปพลางสวมเสื้อไปพลางอย่างทะลักทุเล

   “นายควรจะรักษาตัวให้หายก่อน งานไม่หนีนายไปไหนหรอก”

   “หยางผิง ใจเย็นๆ พี่กัมหงก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันก็ได้”

   “นายควรหัดพูดจากดี ๆ เหมือนจื่ออู่เขาบ้างนะหยางผิง แล้วนี่...มาด้วยกันได้ยังไง” เหมี่ยนจื่ออู่เห็นท่าทางของเหยินหยางผิงยังคงหงุดหงิด จึงเป็นฝ่ายอธิบายแทน

   “พวกเราไปสืบคดีที่โกดังกันมา พอกลับเข้าสถานีก็มีคนบอกว่าพี่ไปแผลแตก เลือดอาบอยู่ในสถานี”

   “ไอ้พวกนั้นมันก็ตื่นตูมกันไปเอง ก็แค่นอนทับแผลตัวเองนิดหน่อย ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ทำอย่างกับว่าตัวเองไม่ใช่ตำรวจ” ชิวกัมหงพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ หลังจากจัดเสื้อให้เข้าที่

   “ก็ถ้านายไม่เอาเก้าอี้ไปเรียงกันแล้วนอนในที่แคบ ๆ แบบนี้ แผลมันคงไม่แต่หรอก” เหยินหยางผิงอดที่จะบ่นไม่ได้

   “หยางผิง...” เหมี่ยจื่ออู่ปราบก่อนหันไปคุยกับคนเจ็บต่อ “ผมเข้าใจว่าพี่ไม่อยากกลับไปนอนเฉย ๆ ที่บ้าน นี่อาชุนเขาก็จะจัดห้องให้พี่ได้พักที่สถานี แต่มันยังไม่เรียบร้อย พี่ก็รอหน่อยก็แล้วกัน ทีนี้พี่อยากจะกินนอนที่สถานี พวกผมก็จะไม่ห้าม เอาเป็นว่าวันนี้ผมกับหยางผิงจะไปส่งพี่ที่บ้านเอง”

   “ฉันกลับเองได้ ที่ฉันรอพวกนายเมื่อคืนนี้ เพราะต้องการจะคุยเรื่องคดี”

   “คดีอะไรที่สำคัญขนาดนายต้องนอนรอ?” เหยินหยางผิงอย่างประชดประชัน

   “คดีฆ่ารัดคอ”

   “เฮ้ย นายอยู่โรงพยาบาลตั้งนาน ไปได้เบาะแสมาจากไหน? คงจะไม่บอกหรอกนะ ว่านายสงสัยหมอในโรงพยาบาล”

   “หยางผิง...”

   “เมื่อวานฉันเขาไปที่ห้องประชุม ได้เห็นข้อมูลที่พวกนายจัดไว้ แล้วบังเอิญฉันเห็นของอย่างหนึ่ง ที่มันอยู่ผิดที่ผิดทาง” ชิวกัมหงตอบอย่างไม่ใส่ใจเหยินหยางผิง

   “อะไร?”

   “กระดุมแขนเสื้อ”

   “อ่อ อันนั้น ก็ไม่เห็นจะแปลก ชายจรจัดคนนั้นอาจจะเก็บกระดุมนั่นมาจากที่ไหนก็ได้” เหมี่ยนจื่ออู่บอกข้อสันนิษฐานที่พวกเขาได้มาแต่แรก

   “หรืออาจจะเก็บมาจากที่ถูกขังก็ได้”

   “ทำไมนายถึงคิดว่าเป็นกระดุมของฆาตกร” เหยินหยางผิงเริ่มสนใจการอนุมานของชิวกัมหง

   “ฉันไม่ได้บอกว่าเป็นของฆาตกร แต่เป็นของเหยื่อรายอื่น”

   “เหยื่อรายอื่น?”

   “ฉันตรวจสอบรูปและรายการสิ่งของ ของหวงกังโหแล้ว กระดุมที่อยู่กับชายจรจัดเป็นแบบเดียวกันกับของที่หวงกังโหกลัดอยู่ ที่สำคัญรูปศพในที่เกิดเหตุและรายการสิ่งของตรงกัน หวงกังโหมีกระดุมติดแขนเสื้อเพียงเม็ดเดียว”

   “นายจะบอกว่า ตอนที่เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ เหยื่ออาจจะถูกขังอยู่ที่เดียวกัน”

   “เคยมากกว่า เหยื่อน่าจะถูกขังอยู่ที่เดียวกัน แต่ไม่ได้อยู่ร่วมกัน”

   “แต่ชายจรจัด เป็นเหยื่อรายที่ 5 จะไปเก็บกระดุมแขนเสื้อจากเหยื่อรายที่ 6 ได้ยังไง ผมงงไปหมดแล้ว” เหมี่ยนจื่ออู่ที่เอาแต่ฟังคนทั้งสองคุยกันเริ่มไม่เข้าใจ

   “แล้วถ้าของที่อยู่กับศพรายที่ 5 ถูกวางโดยฆาตกร เพื่อท้าทายตำรวจละ ว่ารายที่ 6 คือเจ้าของกระดุมเม็ดนี้”

   “ถ้าอย่างนั้น เฮ้ย!! ” เหมี่ยนจื่ออู่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เหยินหยางผิงก็วิ่งออกจากห้องฉุกเฉินไป โดยมีเขาวิ่งตามไปติด ๆ ศพที่ 6 กับของชิ้นที่ 6 พวงกุญแจเดซี่ดั๊ก นั่นหมายความว่าตอนนี้มีเหยื่อรายที่ 7 ถูกขังอยู่ที่ไหนสักแห่ง

.........................................................................

   ผมกับพี่กู่แอบเดินสำรวจตามห้องพักต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย ห้องพักส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่างการตกแต่ง ซึ่งยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ผมกับพี่กู่จึงเดินไปยังส่วนสันทนาการเพื่อถ่ายรูปเก็บข้อมูลไปให้จีเจียนเขียนข่าว ส่วนพี่กู่ก็ลอบสำรวจไปโดยรอบ

   แขกมักจะอยู่กันในส่วนนี้ กับเลานจ์เพราะส่วนของกาสิโนยังไม่เปิดให้บริการ ผมมองไปรอบ ๆ นักข่าวคนอื่น ๆ คงจะขึ้นไปที่ห้องบอลรูมกันหมดแล้ว พี่กู่แยกไปสำรวจที่เลานจ์และกาสิโน เผื่อจะได้อะไรบ้าง

   “เฟ่ยซานนี่ เฟ่ยซานจริง ๆ ด้วย” ผมหันไปตามเสียงเรียก “นายมาได้ยังไงเนี่ย อ่าว นายเป็นนักข่าวหรอกเหรอ?” เหวยเต๋อหยิบบัตรห้อยคอของผมขึ้นมาดู

   “อาเต๋อ นาย...” ผมพยายามมองหาริสแบนด์ที่ข้อมือทั้งสองข้าง

   “นายมองหาอะไร” เหวยเต๋อก้มมองดูตัวเอง

   “ริสแบนด์”

   “อ่อ ฉันไม่มีวาสนาจะเป็นแขกของคุณเยี่ยนหรอก ฉันเป็นบอร์ดี้การ์ดคอยคุมส่วนนี้น่ะ”

   “อ่อ” ผมมองรูปร่างเขา สูงใหญ่แบบนี้ ก็เหมาะกับอาชีพนี้จริง ๆ

   “นี่เฟ่ยซาน ทำไมนายถ่ายรูปช้านักล่ะ นักข่าวคนอื่น ๆ ป่านนี้ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ตอนเห็นนายวิ่งอยู่ที่สวนสาธารณะ นายก็วิ่งเร็วนี่ ทำไมถึงตามคนอื่นเขาไม่ทัน หรือมีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม”

   “อาเต๋อๆ ช้า ๆ”

   “นายสิช้า”

   “เฮ้อ...มีใครบอกไหม ว่านายพูดมาก”

   “ก็มีบ้างนะ สาวๆ มักจะบอกว่า ฉันเป็นคนคุยสนุก คุยได้ทุกเรื่อง อยู่ด้วยแล้วไม่เหงา แต่ฉันก็ไม่เข้าใจนะ สาว ๆ ชมฉันแบบนี้แต่ก็หักอกฉันทุกที”

   “อืม ฉันเข้าใจนายนะ”

   “จริงเหรอเฟ่ยซาน นายนี่เป็นคนดีจริง ๆ เป็นการตอบแทนคนดีอย่างนาย ฉันจะเป็นไกด์ให้นายในส่วนนี้ดีไหม?”

   “ไม่ต้องหรอก นายไปทำงานของนายเถอะ ฉันมีแผ่นพับแล้ว”

   “มีแผ่นพับหรือจะสู้มีฉัน” ผมไม่เข้าใจว่าเหวยเต๋อเอาความมั่นใจมาจากไหน

   “ถ้าอย่างนั้นนายมีข่าวของคุณเยี่ยนให้ฉันไหมล่ะ ฉันจะได้เอาไปเขียนข่าว”

   “ตั้งแต่ฉันทำงานมา ฉันยังไม่เคยได้พูดคุยกับคุณเยี่ยนสักคำ เคยเห็นแต่ไกลๆ แต่...ฉันแนะนำได้นะ คุณเยี่ยนมีคนสนิทอยู่คนหนึ่ง เขาก็สนิทกับฉันด้วย”

   “เขาคือใครละ อยู่แถวนี้รึเปล่า”

   “วันนี้เขาไม่ได้ขึ้นเรือมาด้วย เห็นว่าไปทำงานให้คุณเยี่ยนที่เรือสำราญ อันที่จริงต้องกลับมาให้ทันขึ้นเรือลำนี้ แต่เรื่องลำนั้นมีปัญหาอะไรสักอย่าง เลยกลับมาเทียบท่าไม่ทันตามกำหนด แต่คุณเยียนก็ใจดีนะ ไม่ว่าสักคำ เป็นเจ้านายที่มีเหตุผลมาก”

   “อาเต๋อ ฉันคงต้องไปที่ห้องบอลรูมแล้ว เกือบจะได้เวลาที่คุณเยี่ยนจะกล่าวเปิดงานแล้วมั้ง”

   “จริงสิ เดี๋ยวนายจะพลาดเวลาสำคัญ อีกเรื่องที่ฉันจะบอกนายแค่คนเดียวเท่านั้นนะ เสร็จจากห้องนั้นแล้วไปที่ดาดฟ้าสิ”

   “ทำไม ที่นั่นมีอะไร?”

   “เห็นไหม ในแผ่นพับไม่ได้บอกละสิ ว่าที่นั่นนะ จะเห็นพลุที่คุณเยี่ยนจ้างให้คนจุดบนฝั่ง รับรองว่านายจะได้ภาพที่สวยกว่าสำนักข่าวไหนเลยแหละ”

   “อืม ขอบใจนะ ฉันไปละ”

   หนานเฟ่ยซานรีบเลี่ยงออกมาจากเหวยเต๋อ เพราะถ้าให้เขาคุยกับหมอนี่ต่อไป คงไม่ได้ทำงาน แล้วไหนยังจะสืบเรื่องของเยี่ยนจูเฟิงอีก คุยกับเหวยเต๋อตั้งนาน กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลย

To Be Continue

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
27


   เหมิ๋นหยวนฮ่างลอบมองหนานเฟ่ยซานเป็นระยะผ่านกล้องวงจรปิด จนกระทั่งหนานเฟ่ยซานเดินเข้ามาในห้องบอลรูมพร้อมๆ กับผานกู่

   ภายในห้องตอนนี้หรี่ไฟลงเพื่อฉายวีทีอาร์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของไลอ้อนเฟอร์รี่ ซึ่งคงใกล้จะจบแล้ว เพราะเขาสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่ด้านข้างเวที อีกทั้งหญิงสาวที่ก่อนหน้านี้ นำทางให้เยี่ยนจูเฟิงตามเธอไปในส่วนเตรียมตัว ได้เดินตรงมายังกลุ่มของเขา

   “คุณนายเหมิ๋น คุณเยี่ยนให้ดิฉันเชิญคุณและผู้ติดตามไปห้องด้านหลังเวทีค่ะ”

   “ฝากบอกคุณเยี่ยนด้วยนะคะว่าดิฉัน เป็นเพียงตัวแทนของท่านประธานมาแสดงความยินดีเท่านั้น ไม่สะดวกที่จะคุยอะไรนอกเหนือจากนี้ด้วย ในส่วนของกาสิโน คนของดิฉันได้ไปตรวจสอบความเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างดีเยี่ยม เป็นไปตามสเปคที่ทางเราแจ้งไว้ ดังนั้นคุณเยี่ยนไม่ต้องเป็นกังวล”

   “ได้ค่ะ ดิฉันจะเรียนท่านตามที่คุณนายเหมิ๋นแจ้ง” เธอคนนั้นค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินออกไป

   “เยี่ยนจูเฟิงต้องการอะไรกันแน่ ถึงอยากให้พวกเราไปหลังเวที”

   “เรือลำนี้ เป็นลำแรกของไลอ้อนเฟอร์รี่ ที่เยี่ยนหวอเขามาเปิดกาสิโน ไม่แปลกที่เยี่ยนจูเฟิงจะพยายามสร้างกระแส ว่าเขาร่วมมือกับเรา”

   “แล้วทำไมอี๊ถึงตกลงทำกาสิโนบนเรือของเยี่ยนจูเฟิง”

   “หงส์น่าจะระแคะระคายอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมส่งคุณคีมากับม๊าง่ายๆ ใช่ไมค่ะคุณคี”

   “ผมแค่มาเที่ยว ภารกิจของผมก็จัดการให้คุณลตาเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรแอบแฝงแล้วละครับ”

   “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ว่าคุณคีคงไม่บอกฉัน ถ้าหงส์ยังไม่อยากให้ฉันรู้เรื่อง”

   ม๊าของเขากับลุงคีคุยกันมาถึงตรงนี้ วีทีอาร์ที่แสดงอยู่บานหน้าจอแอลซีดีขนาดยักษ์ก็จบลง พร้อมการปรากฏตัวของเจ้าของเรือ นักข่าวหลายสำนักรอเวลานี้มานานไม่เว้นแม้กระทั่งหนานเฟ่ยซาน

   เขาเห็นหนานเฟ่ยซานแทรกตัวเข้าไปในวงของนักข่าวคนอื่น ๆ ได้อย่างว่องไว ส่วนผานกู่ที่เขาคาดว่าน่าจะประกบติดอยู่กับหนานเฟ่ยซานกลับไม่อยู่ตรงนั้น เขาจึงมองไปรอบ ๆ ห้องบอลรูมอีกครั้ง

   “ดอกเตอร์มองหาใครครับ หนานเฟ่ยซานเข้าไปถึงหน้าเวทีแล้วมั้ง”

   “ไม่ใช่ครับลุงคี เฟ่ยซานมากับนักสืบผาน ตอนที่เดินเข้ามาในห้องนี้ผมเห็นเขามาด้วยกัน แต่ตอนนี้หายไปแล้ว”

   “คนที่ตามมาด้วยเป็นตำรวจอย่างนั้นเหรอ หนานเฟ่ยซานคนนี้ก็ไม่ใช่เล่นนะ เส้นสายใช้ได้ทีเดียว”

   “ลุงคีอย่าพูดเล่นเลยครับ ผมฝากม๊าด้วย ผมขอไปดูเฟ่ยซานหน่อย แล้วก็นักสืบ....” ลุงคีพยักหน้าเล็กน้อย เขาจึงเดินออกจากกลุ่ม แต่มีคนจะเดินตามมา เขาจึงยกมือห้ามไว้ ทำให้ได้ยินสิ่งที่ม๊าของเขาพูดขึ้นมา

   “เฟ่ยซาน ๆ หยวนฮ่างเรียกกันอย่างสนิทสนมเลยนะ” เขาทำเป็นไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น และเดินตรงไปยังหนานเฟ่ยซานทันที

   ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินเข้าไปในกลุ่มคน ด้วยความสูงของเขา ทำให้มองเห็นเป้าหมายได้ไม่ยาก เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจของนักข่าวไปอีกคน จึงได้แต่ยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก ยิ่งเมื่อคิด ๆ ดูแล้ว ตั้งแต่หนานเฟ่ยซานก้าวเข้าขึ้นมาบนเรือลำนี้ ก็แทบไม่สังเกตเห็นเขาเลย เหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา มีแต่เขาเพียงคนเดียวกระมังที่เป็นฝ่ายลอบจับตามอง มันเริ่มทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

   ระหว่างที่คนบนเวทีก็พูดๆ ไป นักข่าวแต่ละสำนักก็ทำข่าวไป เขาก็มองไปรอบห้อง แต่ก็ยังไม่พบผานกู่ ไม่รู้ว่าไปแอบสืบอะไร

   “นิสัยรนหาที่นี่คงไม่ได้ติดมาจากนักสืบผานหรอกนะ”

   เขามองไปเรื่อย ก่อนกลับมามองหนานเฟ่ยซานอีกครั้ง ทำวนอยู่อย่างนี้จนกระทั่งเขาผิดสังเกตชายคนหนึ่ง จำได้ว่าเป็นคนรู้จักของหนานเฟ่ยซาน เพราะเห็นพวกเขาคุยกันอยู่นานบริเวณส่วนสันทนาการ แต่ตอนนี้กลับเดินเข้าไปด้านหลังเวที

   ที่ด้านบนเวที เยี่ยนจูเฟิงพูดจบก็เดินไปด้านข้าง แทนที่จะเข้าไปด้านหลังเวที กลับเดินตรงไปยังม๊าของเขา ทำให้นักข่าวต่างให้ความสนใจ กรูกันเข้าไปล้อมคนเหล่านั้น และดูเหมือนว่าหนานเฟ่ยซานจะเห็นเขาสักที

.........................................................................
   ผมแยกมาทำงานของผมตั้งแต่เข้าห้องบอลรูม ส่วนพี่กู่ก็ออกไปสืบหาเบาะแสอะไรสักอย่างโดยรอบ ๆ เรือ ผมอยากตามพี่กู่ไปแต่ก็ทำไม่ได้ จึงรีบทำงานของตัวเองให้เสร็จๆ จะได้ตามไปสมทบ แต่เมื่อคุณเยียนกล่าวเปิดงานใกล้จะจบ คุณเยียนกลับแนะนำให้พวกเรารู้ว่า กาสิโนบนเรือลำนี้ได้รับความร่วมมือจากเยี่ยนหวอ และที่สำคัญ เจ้าแม่แห่งวงการกาสิโนก็มาเป็นแขกพิเศษในงานนี้อีกด้วย

   ผมเร่งเดินตามขบวนนักข่าวตรงไปยังจุดที่คุณเยียนจะไป แต่ก็ดันไปเจอกับภูเขาน้ำแข็งลูกโตขวางทางอยู่ และดูเหมือนว่าภูเขาลูกนั้นมันกำลังจะระเบิดอย่างไรอย่างนั้น ใจผมสั่นจนควบคุมไม่อยู่ ได้แต่กระชับกล้องในมือแน่น หวังให้อาการที่กำเริบขึ้นทุเลาลง

   “ดอกเตอร์...มางานนี้ด้วยเหรอ” ผมถามไปอย่างไม่รู้จะทักทายอะไร ดอกเตอร์เองก็ไม่คิดจะสนใจอะไรผม หันหลังเดินตรงไปยังคุณเยียนและคุณนายเหมิ๋น ผมลืมไปได้ยังไงว่าเขาเป็นแม่ลูกกัน แม่มา ลูกก็ต้องมาสิ แล้วผมก็ดันไปถามคำถามแบบนั้น...

   ระหว่างที่ผมยังคิดวนเวียนกับเรื่องคนคนนั้นอยู่ มือข้างหนึ่งที่คอยประคองกล้องถ่ายรูปก็ถูกฉวยไป ผมได้แต่เดินตามแรงลากของดอกเตอร์...จะเรียกอะไรละ ตอนนี้ดูเขาอารมณ์ไม่ดี ขี้หงุดหงิด ผิดจากภูเขาน้ำแข็งที่เย็นชาที่ผมเคยพบเห็นเป็นประจำ

   “นายเก็บบัตรนักข่าวลงไปซะ”

   “แต่...”

   “ไม่ต้องแต่ เรื่องหลังจากนี้ นายจะได้คุยเป็นการส่วนตัวกับม๊าของฉัน แล้วนายจะต้องเป็นคนเขียนข่าวเอง”

   “เดี๋ยว ๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

   “ถ้าอยากรู้ก็ทำตามที่ฉันบอก เก็บบัตรนักข่าวซะ”

   ผมทำตามที่ดอกเตอร์บอก ปลดบัตรนักข่าวออกจากคอ ผมว่าผมเริ่มหายใจไม่ค่อยสะดวกแล้ว มือไม้มันสั่นไปหมด ผมได้แต่ค่อยๆ เก็บบัตรใส่ลงในกระเป๋าเสื้อสูทอย่างระวังเพื่อไม่ให้ดอกเตอร์ผิดสังเกต ดอกเตอร์เองก็ยืนรอผมเงียบ ๆ อย่างใจเย็นกว่าเมื่อครู่ สายตามก็ยังคงมองไปยังแม่ของเขา จนผมเก็บเสร็จ ดอกเตอร์ก็จูงมือผมผ่าวงล้อมนักข่าวเข้าไป หรืออันที่จริงแล้ว คนของคุณนายเหมิ๋นมากกว่าที่แหวกทางให้พวกเราได้เข้าไปได้โดยง่าย

   ผมที่เป็นนักข่าว ได้แต่ถ่ายรูปคนอื่น พอต้องมาอยู่กลางดงแสงแฟลชแบบนี้ทำให้เวียนหัว ตาลายไม่น้อย ดอกเตอร์ยังดึงผมเข้าไปใกล้ ๆ อีก

   “คุณหนาน มายืนมุมนี้ดีกว่าครับ” ชายที่ดูมีอายุที่สุดในกลุ่มบอดี้การ์ดของคุณนายเหมิ๋นขยับให้ผมไปยืนอยู่ในจุดที่เขาเคยยืน พอผมขยับไป ผมถึงได้รู้ว่า ตรงจุดนี้ ดอกเตอร์และชายคนนั้นยืนบังผมจากแสงแฟลชได้อย่างพอดี ผมพยายามบังคับลมหายใจเข้าออกลึกๆ หวังจะลดอาการใจสั่นที่เป็นอยู่ตอนนี้ กลัวจริง ๆ ว่าจะวูบไปต่อหน้านักข่าวด้วยกัน

   “แหม๋...คุณเยียนลดตัวลงมาเชิญดิฉันด้วยตัวเองแบบนี้ หลี่ต๋าจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงละคะ”

   “คุณนายเหมิ๋นพูดเกินไป แต่ผมไม่เล่นเองหรอกนะครับ เราจะให้แขกที่มาร่วมเล่นกับคุณแล้วรางวัลก็ไม่ใช่เงิน คุณนายคงไม่ว่าอะไร”

   ผมที่ตามมาทีหลังไม่รู้ว่าเขาสองคนคุยอะไรไปก่อนบ้างแล้ว จึงพยายามจะจับใจความให้ได้ ถึงแม้ว่าดอกเตอร์รับปากว่าคุณนายเหมิ๋นจะให้ข่าวกับผมด้วยตัวเองก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากรู้อยู่ดี ว่าเขาคุยอะไรกัน

   เสียงแฟลตที่ดังรัวราวกับปืนกลว่าเป็นอุปสรรคแล้ว ชายคนที่ขยับให้ผมยืน ยังยื่นหน้ามาคุยกับดอกเตอร์อีก ทำให้ผมยิ่งจับใจความไม่ได้เข้าอีก

   “*$#%& () (_#@$##! %%^*J*) +*&$@@”

   “อืม &$&*&) 34rT&@๑๓! $46^&* (%#) ^@”

   “@$#^T”

   ชายคนนั้นพูดภาษาอื่นกับดอกเตอร์ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นภาษาอะไร อาจจะเวียดนาม หรือมาเลฯ ผมฟังพวกเขาไม่ออก

   “คุณหนานไม่ต้องกังวลไปครับ ไว้ถ้าสะดวกกว่านี้ ดอกเตอร์จะเล่าทุกอย่างให้คุณรับรู้เอง” ชายคนนั้นยังมีแก่ใจหันมากระซิบบอกผม ผมได้แต่พยักหน้ารับ

   คุณเยียนเรียกตัวเลขจากริสแบนด์สีต่าง ๆ จนได้คนที่มาร่วมงาน 3 คน ทั้ง 3 จะได้ร่วมเล่นโป๊กเกอร์กับคุณนายเหมิ๋นที่กาสิโนบนเรือ โดยที่คุณเยียนไม่ใช้เงินเล่น เพราะรางวัลคือบัตรล่องเรือลำนี้ฟรีตลอดการเดินทาง ไล่ตั้งแต่แพ็กเกจสูงสุดลงมา แถมผู้ที่ได้รางวัลยังสามารถมีผู้ติดตามได้อีก 3 คน

   รางวัลที่ได้รับเรียกเสียงฮือฮาจากแขกและนักข่าวคนอื่น ๆ ได้อย่างดี จากนั้นคุณเยียนก็เชิญพวกเราไปยังห้องกาสิโน ผมที่กำลังจะเดินตามไปถูกมือของดอกเตอร์รั้งเอาไว้ หรือว่าเขายังไม่ปล่อยมือผมตั้งแต่ลากผมมา?

   “นายไม่สงสัยหรือยังไง ที่อยู่ๆ เยียนจูเฟิงถึงเดินมาหาม๊าของฉัน”

   “เขาก็บอกอยู่ว่ากาสิโนที่นี่เป็นของเยี่ยนหวอ”

   “หึ”

   “ถ้าดอกเตอร์ไม่ไปที่กาสิโน ก็ปล่อยมือผม ผมจะไปเก็บภาพทำข่าว”

   “ภาพที่กาสิโน ถ้านายอยากได้ เดี๋ยวค่อยให้คนของฉันส่งมาให้”

   “ถ้าไม่ให้ผมไปทำข่าว ดอกเตอร์จะให้ผมไปทำอะไร”

   “นายไปตามหานักสืบผาน แล้วอยู่กับเขาจนกระทั่งลงเรือ ห้ามเอาตัวเองไปเสี่ยงกับเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนนี้ ถ้านายทำตามที่ฉันบอกได้ พรุ่งนี้นายจะได้สัมภาษณ์เหมิ๋นหลี่ต๋าเป็นการส่วนตัวที่โรงแรมแกรนด์ฝู่โฮเต็ล”

   “เดี๋ยวนะ ดอกเตอร์รู้ได้ยังไงว่าผมมากับพี่กู่ แล้วที่นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

   “นายอยากรู้?”

   “อืม”

   “ก็ทำตามที่ฉันบอกสิ”

   “แล้วดอกเตอร์จะไปไหน”

   “ตามเยียนจูเฟิง”

   “ผมไปด้วย”

   “ไม่ได้”

   “ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไปหาข่าวตามวิธีของผมเอง ไม่ต้องพึ่งทางลัดของดอกเตอร์”

   “หนานเฟ่ยซาน”

   “ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง”

   “...”

   “ไม่ต้องมาเงียบ ผมไม่ยอมแพ้ดอกเตอร์หรอกนะ” ผมพยายามใจดีสู้เสือ ทั้งๆ ที่ผมรู้สึกว่าผมสามารถล้มพับลงไปได้ตลอดเวลา

   “นายนี่มันรนหาที่จริง ๆ นะ”

   “ผมเปล่าสักหน่อย หรือดอกเตอร์จะไปทำอะไรที่มันอันตราย”

   “นายเป็นห่วง?”

   “เฮ้ย!!  ไม่ใช่อย่างนั้น เออ...” จะให้ผมบอกได้ยังไงว่า ผมสงสัยเรื่องธุรกิจผิดกฎหมายของเยี่ยนหวอ

   “จะมาก็ตามมา แล้วถ้าเกิดกล้องตัวนี้บังเอิญพังขึ้นมาอีกอีก ฉันไม่รับผิดชอบนะ”

   ผมเดินตามดอกเตอร์ไป ใจก็เต้นแรงมาตั้งแต่ตอนที่อยู่กลางดงแสงแฟลชนั่นจนตอนนี้ มันยังไม่ดีขึ้นเลย แต่ถ้าจะให้แวะไปหาน้ำดื่มตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ได้แต่เก็บอาการไม่ให้ดอกเตอร์จับได้เท่านั้น

.........................................................................

   ผานกู่เดินกลับมายังห้องบอลรูม ก็เห็นฝูงชนกรูกันออกมาทางประตูหน้าและหลัง ต่างเดินตรงไปยังบันได เขาซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพื่อเห็นคนที่ห้อยบัตรนักข่าวต่างเดินไปในทิศทางเดียวกัน เขาจึงเดินตามไป กระทั่งเดินมาถึงกาสิโน เขาเห็นคนมุงดูอยู่ที่โต๊ะโป๊กเกอร์ ซึ่งมีจอถ่ายทอดภาพการเล่นในมุมบน

   คนให้ความสนใจเกมบนโต๊ะมากไม่เว้นแม้แต่พวกบรรดานักข่าว ทั้งที่บนโต๊ะไม่มีเยี่ยนจูเฟิงอยู่ในนั้น ทำให้เขานึกได้ว่า นี่คงเป็นแผนหลอกล่อนักข่าว ดึงความสนใจออกจากตัวเองแน่นอน แผนแค่นี้หนานเฟ่ยซานคงรู้ ไม่หลงกลเยียนจูเฟิงง่าย ๆ

   ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิด หนานเฟ่ยซานน่าจะต้องไปส่วนห้องพักแน่นอน เพราะที่นั่นเป็นส่วนที่เหมาะสมที่สุด หากจะนัดพบใคร

.........................................................................

   เยียนจูเฟิงเดินกลับเข้ามาในห้องด้านหลังเวที ก็พบจางซือหวูรออยู่กับแขกพิเศษของเขาแล้ว เขาจึงรีบเดินไปจับมือทักทาย ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งลงคุยธุรกิจกัน

   “การเดินทางเป็นยังไงบ้างครับ สะดวกสบายดีไหม?”

   “คนของคุณดูแลผมดีมาก ต้องขอบคุณ คุณต้วนอีกครั้ง ผมพอใจสินค้าล็อตนี้มาก”

   “เห็นสินค้าแล้วสินะ น้องชายคนนี้ของผมเขาเป็นคนใส่ใจลูกค้า แล้วนี่เขาไม่ขึ้นเรือมาพร้อมกับคุณจอชัวหรือยังไง”

   “มาครับ คุณต้วนเดินมาส่งผมถึงห้องนี้ เพิ่งสวนกับคุณเยียนไปเมื่อครู่”

   “อ่อ กลับไปแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นเรามาตกลงเรื่องราคาสินค้ากันเถอะ”

   “ราคาที่คุณเยียนเสนอให้มันค่อนข้างแพงเอาการอยู่นะ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่คุณลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้ว ผมเองก็เกรงใจ ว่ากันตามตรงเลยนะคุณเยียน ผมขอคุณเยียนแค่ 5% คงจะไม่มากไป”

   “ได้ ในเมื่อคุณจอชัวเข้าใจคนทำมาค้าขาย ขายของต้องมีกำไร ผมยอมลดให้คุณจอชัว 5% แต่ผมขอเงินสด และทันทีที่ผมได้เงิน ต้วนเจียจงจะขับเรือลำนั้นไปทิ้งไว้ให้คุณที่ท่าเรือส่วนตัวทันที”

   “ได้เรือมาเป็นของแถมมาอีกลำ แล้วยังได้ส่วนลด 5% ผมก็ถือว่าคุ้มค่า” คนของจอชัวส่งกระเป๋าให้กับจางซือหวู จากนั้นซือหวูก็วางกระเป๋าลงตรงหน้าของเขา พร้อมกับเปิดมัน “ในนั้นเป็นเงินจำนวนเต็ม เอาเป็นว่า 5% ที่คุณเยียนลดให้ผม เป็นเงินมัดจำสินค้าล็อตถัดไปก็แล้วกัน”

   “คุณจอชัวต้องการอีกเท่าไร แล้วเมื่อไร”

   “สองเท่าของล็อตนี้ และถ้ายิ่งได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี”

   “คุณต้องการเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ จำนวนไม่ใช่น้อยๆ คงจะเร็วทันใจอย่างที่คุณต้องการไม่ได้หรอกนะ และเงินมัดจำก็ดูเหมือนจะน้อยเกินไป”

   “ผมเข้าใจ เอาเป็นว่าเร็วที่สุดที่คุณจะเตรียมให้ผมได้ก็แล้วกัน เรื่องเงินไม่มีปัญหา คุณแจ้งมา ผมจะให้คนจัดการให้ทันที”

   “ครบครับนาย” จางซือหวูวางเงินมัดสุดท้ายลง พร้อมปิดกระเป๋าแล้วกลับไปยืนรอที่เดิม

   “ถ้าผมรวบรวมของได้เมื่อไร จะให้คนติดต่อกลับไป”

   “ได้ ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อน ว่าจะไปดูละครฉากที่คุณจัดให้คนอื่น ๆ ได้ดูบ้าง”

   “หึ โชคคงเข้าข้างผม ที่วันนี้คนที่มาตามคำเชิญกลับเป็นเหมิ๋นหลี่ต๋า”

   “อันที่จริงผมอยากเจอฝู่เถิงมากกว่า ดูสิว่าคนอย่างมันจะจำเพื่อนเก่าอย่างผมได้ไหม?”

   “อย่าวู่วามไป คุณก็รู้ว่าฝู่เถิงเจอคุณอยู่ที่นี่กับผม เขาจับได้แน่ว่าผมทำมาค้าขายกับคุณอยู่ ถ้าอยากทำลายชื่อเสียงของมันคุณต้องใจเย็น ๆ”

   “เหมิ๋นหลีต๋า นังนี่ก็ร้ายไม่ใช่เล่น ขอไปดูหน้ามันสักหน่อย”

   “ตามสบาย ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้า” ทั้งสองลุกจากเก้าอี้ จับมือกันอีกครั้งก่อนที่จอชัวจะเดินออกจากห้องไปพร้อมบอดี้การ์ด

   “ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?” เขาหันไปถามจางซือหวู

   “งานทุกอย่างเรียบร้อยดีครับนาย เรื่องส่งของเดี๋ยวผมจะโทรไปแจ้งคุณต้วน แล้วก็...”

   “ไหนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไง”

   “หนูตัวนั้น มันขึ้นมาวิ่งเล่นบนเรือ”

   “ก็ไม่แปลกในเมื่อมันเป็นนักข่าว”

   “คุณต้วนเคยบอกว่านักข่าวคนนั้นอยู่สายงานข่าวอาชญากรรม”

   “อืม...แล้วมันมาทำอะไร?”

   “ให้ผมไปสืบดูไหมครับ”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวจะเสียงานใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยไป ให้คนของเราจับตาดูมันไว้จนกระทั่งลงเรือก็พอ”

   “ครับนาย”

   “แล้วก็อย่ามัวแต่เล่นให้มันมาก หาโอกาสจัดการหนูตัวนั้นซะ ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องหนูตัวนั้นอีกเป็นครั้งที่ 3”

   “เข้าใจแล้วครับนาย”

To Be Continue

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
28






   เหยินหยางผิงกับเมี่ยนจื่ออู่ยื่นไล่เรียงสิ่งของที่อยู่กับตัวศพของผู้ตายใหม่ตั้งแต่แรก ตามข้อสันนิษฐานที่ได้มา เขาไม่สามารถติดต่อเพื่อนร่วมทีมคนอื่นได้นอกจากตู้เห่า เพราะทั้งผานกู่และจู้ชุนก็ติดภารกิจทั้งคู่

   “ฉันได้ตรวจสอบกับญาติของเหยื่อแล้วนะ จะมีแค่สามีของคุณนายเจาเท่านั้นที่ไม่แน่ใจว่าคุณนายเจามีกล่องใส่เข็มกลัดเนกไทรึเปล่า นอกจากนั้น ตรงกันหมดว่าของที่เราแจ้งไป เป็นของของเหยื่อจริง ๆ” ตู้เห่าบอกทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง

   “จำที่เฟ่ยซานบอกได้ไหม ที่เขาไปคุยกับคนเก็บขยะขายน่ะ” อยู่ๆ เหมี่ยนจื่ออู่ก็พูดขึ้นมา

   “เรื่องที่คุณนายเจาไปเก็บขยะมาขายใช่ไหม หรือว่ากล่องใส่เข็มกลัดเนกไทนั่นจะเก็บมาจากกองขยะ” ตู้เห่าถาม

   “ฉันว่าไม่ใช่ ถ้าจำไม่ผิด คนเก็บขยะบอกว่าคุณนายเจาเอาเงินไปซื้อของอย่างหนึ่งแล้ว เลยต้องลงมาเก็บขยะเพื่อหาค่าเรียนพิเศษให้ลูก”

   “ของขวัญ!!  กล่องใส่เข็มกลัดเนกไทนั่น อาจจะเป็นของที่คุณนายเจาเอาเงินไปซื้อ” เขาพอเดาได้ คุณนายเจาอาจจะเอาเงินไปซื้อของขวัญให้ใครสักคน ถึงต้องออกมาหารายได้เพิ่มกลางดึกอย่างการเก็บขยะ

   “เดี๋ยวฉันไปตรวจสอบกับสามีคุณนายเจาก่อน เขาอาจจะรู้ก็ได้ว่าของขวัญนั้นสำหรับใคร” ตู้เห่ารีบเดินออกจากห้องไปทันที

   “ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งของเหล่านี้ก็อยู่ผิดที่ผิดทางตลอด” เหยินหยางเผิงพูดพร้อมกับย้ายตำแหน่งของภาพสิ่งของที่ถูกพบบนตัวเหยื่อแต่ละราย

   “เหยื่อรายแรก นักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ควรจะมีสิ่งของอะไร หรือไม่ฆาตกรอาจจะยังเก็บของสิ่งนั้นไว้กับตัว...

   เหยื่อรายที่ 2 พนักงานออฟฟิศสาว คงจะเป็นสร้อยคอเส้นนี้สินะ

   เหยื่อรายที่ 3 คุณนายเจา กล่องใส่เข็มกลัดเนกไท

   เหยื่อรายที่ 4 พนักงานออฟฟิศที่เพิ่งจะแต่งงาน แหวนทองคำขาว อาจจะเป็นแหวนแต่งงานของเธอ

   เหยื่อรายที่ 5 ชายเร่ร่อน หมวกไหมพรมเก่าๆ

   เหยื่อรายที่ 6 หวงกังโห กระดุมติดแขนเสื้อ

   แล้วพวงกุญแจเดซี่ดั๊กนี่ละ?”

   “คนที่จะพกพวกกุญแจนี่ น่าจะเป็นผู้หญิง ฉันลองเทียบกับผู้หญิงที่หายไปช่วงนี้แล้วลองถามญาติ ๆ ดูว่าคนที่หายไปมีของแบบนี้ติดตัวไหม?” เหมี่ยนจื่ออู่ออกความเห็น

   “อืม อย่างน้อยก็ยังมีเบาะแสให้สืบต่อ”

   “มาแล้ว ๆ เป็นจริงอย่างที่หยางผิงว่า กล่องนั่นเป็นของขวัญจริง ๆ หลังคุณนายเจาหายตัวไป 3-4 วัน จะตรงกับวันครบรอบแต่งงานของคุณนายเจาและสามี”

   “ถ้าอย่างนั้นข้อสันนิษฐานของกัมหงก็ถูกต้อง ที่น่าเป็นห่วงก็แต่ เหยื่อรายที่ 7 เจ้าของพวงกุญแจอันนี้ถูกขังอยู่ที่ไหน”

   เหยินหยางผิงชี้ไปที่รูปถ่ายพวงกุญแจเดซี่ดั๊กที่ถูกย้ายออกมาจากแถวของภาพเหยื่อรายที่ 6 อย่างหวงกังโห ทุกคนในห้องต่างพากันเงียบ ภาวนาให้หญิงเคราะห์ร้ายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่

   
.........................................................................

   ผมไม่เข้าใจดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างจริง ๆ บอกว่าจะคอยไปจับตาดูคุณเยียน แต่กลับไม่ไปไหน เดินออกมานั่งรับลมอยู่ที่ดาดฟ้าด้านท้ายเรือที่ไร้ซึ่งผู้คนอยู่อย่างนี้ ผมลุก นั่ง เดินวนไปมาหลายรอบ ดอกเตอร์ก็ไม่มีท่าทีว่าจะลุกไปไหน นั่งเอนหลังสบายใจอยู่ที่เก้าอี้อาบแดด มีบ้างที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จนใกล้เวลาที่เรือจะกลับเข้าฝั่ง

   “ดอกเตอร์ นี่ก็ใกล้เวลาที่เรือจะกลับเข้าฝั่งแล้วนะ ถ้าคุณเยียนเขาจะไปทำอะไรต่อมิอะไร ป่านนี้เขาคงทำเสร็จไปนานแล้ว”

   “อืม”

   “อ่าว แล้วไหนดอกเตอร์บอกว่าจะไปตามคุณเยียนยังไงละ”

   “เยียนจูเฟิงหลังจากที่พาม๊าไปเล่นที่กาสิโน มันก็แอบเดินกลับเข้ามาในห้องบอลรูม”

   “ดอกเตอร์รู้ได้ยังไง”

   “ฉันรู้ก็แล้วกัน”

   “ดอกเตอร์คงไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเยียนจูเฟิงหรอกนะ”

   “นายนอกจากจะรนหาที่แล้ว ปากก็ยังจะหาเรื่องใส่ตัวอีกนะ” ดอกเตอร์ที่ตอนแรกลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้เหมือนจะโกรธในคำพูดของผม อยู่ ๆ ก็เบือนหน้าหนี เหมือนไม่อยากจะมองหน้าผมอย่างนั้นแหละ มันยิ่งรู้สึกว่า...เขาปิดบังอะไรผมอยู่ มีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด

   “ดอกเตอร์มีเรื่องปิดบังผมใช่ไหม ที่จริงแล้วดอกเตอร์เพียงแค่ต้องการลากผมออกมาให้ห่างจากเรื่องของเยี่ยนจูเฟิงใช่ไหม เยียนจูเฟิงกับเยี่ยนหวอ นอกจากเรื่องกาสิโนแล้วยังมีเรื่องอื่นที่ร่วมมือกันอีกใช่ไหม?” ผมพูดไปพร้อมกับก้าวเข้าไปประจันหน้าดอกเตอร์

   “หนานเฟ่ยซาน” เขาหันกลับมามองผมอีกครั้ง

   “ดอกเตอร์ไม่ต้องมาขึ้นเสียงใส่ผม อุ๊บ...” อยู่ๆ ดอกเตอร์ก็เอามือปิดปากผม

   “หลบ แล้วก็เงียบเอาไว้”

   ดอกเตอร์กระซิบบอกผม แล้วลากผมมาหลบอยู่ริมราวกันตกของเรือ ซึ่งด้านล่างเป็นส่วนทึบ ผมไม่เห็นจะได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงคลื่น แต่พอฟังให้ดี ๆ เหมือนผมจะได้ยินเสียงเรือเล็กแล่นเข้ามาที่ด้านท้ายเรือ ผมจึงนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตื่นเต้น อาการที่ทุเลาลงแล้ว เหมือนจะกำเริบขึ้นมาอีก

   ผมไม่รู้ว่าดอกเตอร์ปล่อยให้ผมเป็นอิสระตั้งแต่ตอนไหน แทนที่ดอกเตอร์จะแอบมองเขากลับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ถ้าจะแอบถ่ายละก็ กล้องของผมมีประสิทธิภาพดีกว่ากล้องบนมือถือเป็นไหน ๆ ไวเท่าความคิด ผมจึงยกกล้องขึ้นพาดเลนส์กับขอบราวกันตก แล้วมองภาพผ่านเลนส์กล้อง

   ผมเห็นเงาใครบางคนเดินจากเรือเล็กขึ้นมาบนเรือลำนี้ เสียดายที่ผมไม่ทันเห็นหน้า เมื่อยังเห็นเรือเล็กยังคงจอดเทียบอยู่ที่ท้ายเรือ แสดงว่าเดี๋ยวคนคนนั้นก็ต้องกลับมา ผมจึงรออย่างใจจดใจจ่อ

   “หนานเฟยซาน นายทำอะไร” ดอกเตอร์หันมากระซิบให้ ผมไม่สนใจ จดจ่ออยู่กับภาพในเลนส์กล้องต่อไป

   “ก็ทำอย่างเดียวกับดอกเตอร์ไง”

   “ฉันไม่ได้ทำอย่างที่นายทำ ลดกล้องลงมาเดียวนี้” ดอกเตอร์กระซิบออกมาอย่างหงุดหงิด “ไปได้แล้ว”

   “ไปไหน ผมยังไม่ได้รูปคนที่แอบขึ้นเรือเลย”

   ดอกเตอร์คว้ากล้องออกจากมือของผม นี่ถ้าเลนส์อันนี้พังขึ้นมาอีกนอกจากดอกเตอร์จะไม่ชดใช้แล้ว ผมยังขาดเครื่องมือทำงาน คิดขึ้นมาแล้วพาลให้โมโห กำลังจะแย่งกล้องคืนมา พุที่คุณเยียนจัดไว้ก็เริ่มจุดขึ้น ทำให้ท้องฟ้าที่ด้านหลังสว่างไสว

   “นั่นใครน่ะ!!”

   เสียงคนข้างล่างตะโกนขึ้นมาแข่งกับเสียงพุ ผมที่ลุกขึ้นมายื้อแย่งกล้องถ่ายรูปกับดอกเตอร์กำลังจะหันไปมองตามเสียงเรียก ด้วยอยากรู้ว่าใครที่แอบขึ้นเรือมา

   ยังไม่ทันได้หันไปร่างผมก็ลอยหวือไปปะทะกับร่างของดอกเตอร์ ยังดีที่เอามือทั้งสองข้างยันได้ทัน ก่อนที่ผมจะได้โวยวายอะไร ก็รู้สึกถึงมือหนากระชับรั้งอยู่ที่ท้ายทอยของผม มันเกิดอะไรขึ้น...ทำไมหน้าของดอกเตอร์...แว่นกรอบทองนั่นมันเบียดอยู่บนใบหน้าของผม ไหนจะสัมผัสชื้นๆ ที่ริมฝีปาก... ในโพรงปาก...ผม...เริ่มหายใจ...ไม่ออก...

   ภาพสุดท้ายที่ผมเห็น...ด้านหน้าของผมนอกจากใบหน้าของดอกเตอร์ที่ดูเลือนราง แต่กลับมีภาพที่เด่นชัดอีกภาพ...พุที่ถูกจุดขึ้นบนฝั่ง มันสวยงาม น่าประทับใจจนผมรู้สึกราวกับว่า พุนั่นมันระเบิดอยู่ในหัวของผม...

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างอุ้มร่างของคนที่หมดสติไปวางไว้บนเก้าอี้อาบแดดที่ตั้งไว้บนดาดฟ้า เขาค่อย ๆ คลายหูกระต่ายของคนตรงหน้าออก ช่วยปลดกระดุมเพื่อคลายความอึดให้คนที่หมดสติ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ถัดไป

   หวังว่าคนข้างล่างนั่น จะคิดว่าคู่รักแอบขึ้นมาพลอดรักกันบนดาดฟ้าเรือ เพราะโชคดีที่หนานเฟ่ยซานรูปร่างเล็กกว่าเขามาก ทำให้เงาของเขาสามารถบังเฟ่ยซานได้ทั้งตัว แสงสว่างจากพุที่ถูกจุดอยู่ด้านหลัง คงทำให้คนข้างล่างไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาในระยะไกลได้ แต่เขากลับจำทั้งต้วนเจียจง และเพื่อนอีกคนของหนานเฟ่ยซานได้อย่างดี

   หนานเฟ่ยซานถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมไม่ได้จริง ๆ ปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้เลย ถ้าเมื่อครู่เขาไม่ทำแบบนั้น ป่านนี้คงโดนต้วนเจียจงจับได้แล้วว่ามีคนแอบถ่ายรูปพวกเขาอยู่ หนานเฟ่ยซานไม่รู้ว่าเขาสามารถเห็นคนเหล่านั้นผ่านโทรศัพท์มือถือที่ลุงคีช่วยแฮ็กระบบกล้องบนเรือให้ตั้งแต่มาถึง

   ต้วนเจียจงขึ้นเรือมาเพื่อทักทายชาวอาหรับคนหนึ่งที่เป็นแขกบนเรือ ข้าง ๆ กันยังมีเพื่อนของหนานเฟ่ยซานที่เป็นบอร์ดี้การ์ดอีกคน เขาแคปเจอร์ภาพเหล่านั้นไว้เพื่อจะตามสืบภายหลัง คลาดสายตาจากหนานเฟ่ยซานเพียงนิดเดียวก็เกือบจะเป็นเรื่องซะแล้ว

   ต้วนเจียจงมาทำอะไรบนเรือลำนี้กันแน่ และเพื่อนของหนานเฟ่ยซานคนนั้นดูเหมือนจะเป็นบอร์ดี้การ์ดบนเรือลำนี้ ซึ่งไม่ร็ว่าไปรู้จักหรือสนิทสนมกันแค่ไหน การที่แอบขึ้นมาแล้วมีคนบนเรือรู้เห็นนั้นเป็นเรื่องที่มีการเตรียมการไว้ก่อนแน่นอน แต่เรื่องอะไร เขาก็ไม่อาจคาดเดาในทางที่ไม่ดี ยิ่งกับต้วนเจียจงแล้วด้วย

   “น้ำ” หนานเฟ่ยซานที่เหมือนจะได้สติขึ้นมา

   “นายคงต้องลงไปดื่มข้างล่างแล้วละ ที่นี่ไม่มีน้ำให้นายหรอกนะ”

   “อ่า...นี่ผมอาการกำเริบอีกแล้วเหรอ”

   “...”

   หนานเฟ่ยซานขยับลุกขึ้นมานั่ง เอามือข้างหนึ่งกุมศีรษะเอาไว้ “กล้อง”

   “กล้องของนายอยู่นี่ มันปลอดภัยดี” เขาชี้ไปที่เก้าอี้ตัวถัดจากหนานเฟ่ยซานนั่งอยู่

   “ดะ ดะ ดอกเตอร์”

   “นายลุกไหวไหม?” เขาขยับหวังจะเข้าไปช่วยพยุงคนตรงหน้าให้ลุกขึ้น

   “มะ ไม่ต้อง ดอกเตอร์ไม่ต้องเข้ามา ไม่ต้องเข้าใกล้ผมนะ”

   “หึ นายจะกลัวอะไร ทีตอนจะแอบถ่ายรูป หรือทำอะไรเสี่ยง ๆ ไม่เห็นจะกลัว”

   “มันไม่เหมือนกัน ก็ๆ ๆ”

   “จะบอกว่านายกลัวฉัน”

   “อืม” เขาเองเป็นฝ่ายที่ต้องตกใจเมื่อหนานเฟ่ยซานยอมรับง่าย ๆ ออกมาแบบนี้

   “กลัวฉันจะจูบอีกอย่างนั้นเหรอ”

   “เฮ้ย แล้วจะพูดออกมาทำไม ไอ้ๆ ไอ้ดอกเตอร์โพลาไอซ์ ไอ้ภูเขาน้ำแข็งเคลื่อนที่ ไอ้ๆ”

   “นี่คือคำที่นายเรียกฉันลับหลังสินะ”

   “เออ ใครใช้ให้ดอกเตอร์ทำแบบนั้นกับผม ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย”

   “ใครจะไปรู้ว่านายคิดอะไรกับฉัน แล้วถ้านายไม่จูบฉันก่อน ฉันจะไปกล้าจูบนายคืนแบบนี้เหรอ?”

   “หา?”

   “ถือว่าฉันเอาคืนก็แล้วกัน หายกัน”

   “เฮ้ย ไอ้ดอกเตอร์บ้า ผมไปทำแบบนั้นกับดอกเตอร์ตอนไหนไม่ทราบ อย่ามาโมเมสิวะ”

   “ก็ในห้องนอนฉัน ที่บ้านฉัน คืนที่นายไปค้างกับฉันไงละ”

   “...” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานทำหน้ายู่ ทำท่าครุ่นคิด

   “ถ้านายอาการดีขึ้นแล้ว ก็ลงไปข้างล่างได้แล้ว จะได้ไปหาน้ำดื่ม”

   “...” คนที่นั่งอยู่ไม่มีท่าทีจะขยับสักนิด เขาจึงเอื้อมมือไปคว้ากล้องของคนตรงหน้าขึ้นมาถือ

   “หนายเฟ่ยซาน หรือจะให้ฉันอุ้ม”

   “หา? เฮ้ย!!  มะ มะ ไม่ต้อง ผมเดินเองได้” แล้วเสียงก็แผ่วลงแต่คนที่สัญชาตญาณดีอย่างเขากลับได้ยินมันชัดเจน  “เราไปจูบเขาตอนไหนวะ ไม่เห็นจะจำได้เลย”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจ เพราะถึงอย่างไรเจ้าตัวก็จำไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เจ้าตัวทำไปเพราะหมดสติ ต่างจากเขาที่มีสติตลอดเวลา แต่กลับอดไม่ได้ที่จะไปจับจ้องปากเล็กๆ ช่างเจรจาของคนที่เดินนำหน้าหนีห่างออกไปนี่จริง ๆ และครั้งนี้เขาก็พอใจกับรสสัมผัสนี้มากด้วย

.........................................................................

   ผานกู่เดินสำรวจในส่วนของห้องพักทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา จึงคิดจะเดินกลับไปยังส่วนของห้องสันทนาการ ซึ่งเป็นส่วนที่แขกอยู่กันมากที่สุดในขณะนี้ ตอนนี้ก็จบการล่องเรือแล้ว ดูได้จากพุที่ถูกจัดขึ้นตามกำหนดการณ์ปิดงานบนเรือ

   ระหว่างที่เขาจะเดินไปส่วนของห้องสันทนาการ เขาได้ยินชาวต่างชาติพูดภาษาจีนสำเนียงแปร่งหูคุยกับใครบางคนอยู่ สัญชาตญาณบอกให้เขาแอบเพื่อฟังว่าคนทั้งสองคุยกันเรื่องอะไร เขาจึงหลบเขาไปในห้องที่กำลังปรับปรุงห้องหนึ่ง แอบฟังอยู่ด้านหลังประตูห้องนั้น

   “ก็แค่คู่รักที่แอบขึ้นไปพลอดรักกันบนดาดฟ้า โรแมนติกน่าดูเลยนะ พลอดรักไปชมพุสวย ๆ ไป”

   “ถึงคุณจอชัวจะพูดแบบนั้น แต่ทางเราก็ไม่นิ่งนอนใจ จะรีบสืบให้รู้จนได้ว่าทั้งสองคนนั้นเห็นอะไรรึเปล่า”

   “อืม เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน คุณก็ไปรายงานคุณเยียนเถอะ ว่าฉันพอใจมากทั้งคุณ ทั้งของ จากตรงนี้ เดี๋ยวฉันจะไปพักนั่งเล่นรอเรือเข้าฝั่งกับแขกคนอื่น ๆ ที่เลานจ์ พอลงจากเรือนี่ฉันจะได้ไปชื่นชมสินค้าของฉันสักที”

   “ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอส่งคุณแค่นี้ ผมยังมีงานต้องทำอีกมากในคืนนี้”

   “ฮ่าฮ่า คุณเยียนคงใช้งานนายเยอะเลยสินะ เอ้า ตามสบายเลย”

   หลังจากการสนทนาจบลงผานกู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งค่อย ๆ เดินห่างออกไป เขารอฟังจนกระทั่งเสียงทุกอย่างเงียบลงจึงค่อย ๆ เปิดประตูห้อง ในหัวก็คิดถึงบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่ คนพวกนั้นต้องลักลอบทำอะไรสักอย่างเป็นแน่ เยียนจูเฟิงน่าสงสัยจริง ๆ

   คิดไม่ผิดที่ตามหนานเฟ่ยซานขึ้นมาบนเรือ ก่อนที่ฉินหรุยกวงจะตาย ได้คุยอะไรกับเยียนจูเฟิงในโกดังนั่นกันแน่ ทั้งสองน่าจะต้องขัดผลประโยชน์อะไรบางอย่าง น่าเสียดายที่เขาไม่เห็นหน้าชาวต่างชาติคนนั้น

   ทั้งที่คิดว่าปลอดคนแล้วแท้ ๆ เขากลับพลาด เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาก้าวพ้นประตูห้องออกมาที่ระเบียงทางเดิน เขารู้สึกชาวาบที่สีข้าง ก่อนจะตามมาด้วยความเย็นเฉียบของวัตถุบางอย่างที่ฝังเข้ามายังร่างกายของเขา ยังไม่ทันได้หันไปมองคนที่ลอบทำร้าย มีดเล่มนั้นก็ถูกกระชากออกไปอย่างแรง

   ความเจ็บปวดวิ่งปราดเข้าใส่เขาทันทีที่มีดเล่มนั้นถูกกระชากออกไป ของเหลวอุ่นข้นไหลลงมาจนเขาต้องเอามือกดเอาไว้หวังจะบรรเทาความเจ็บปวดและห้ามเลือด ร่างกายเซไปยังราวกันตก เขารีบคว้ามันไว้เพื่อพยุงร่างกายเตรียมตั้งรับคนที่จะเข้ามาทำร้ายเข้าอีกครั้ง

   ยังไม่ทันยืนตั้งหลักได้เต็มที่ สองเท้าเขาก็ถูกยกลอยหวือข้ามราวระเบียงมา ดีที่เขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดราวระเบียงไว้ ใครกันที่มีความสามารถขนาดนี้ รู้ว่าเขาแอบอยู่หลังประตู ทั้งที่เขาทิ้งช่วงเป็นเวลานาน อีกทั้งยังโจมตีเขาได้อย่างรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ติด ราวกับเสือที่จ้องรอเหยื่อออกจากที่ซ่อน

   “นักข่าวอีกแล้วเหรอ” เขาได้ยินเสียงคนบนทางเดินพูด ถึงได้รู้ว่าบัตรห้อยคอที่หนานเฟ่ยซานให้เขาไว้ถูกกระชากออกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ชายคนนั้นเหวี่ยงป้ายห้อยคอนั่นทิ้งลงในทะเลเบื้องล่าง

   คนคนนั้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะค่อย ๆ งัดนิ้วมือของเขา ที่จับราวระเบียงไว้แน่น ให้หลุดออกอย่างใจเย็น แสงไฟจากระเบียงทำให้เขาไม่สามารถเห็นใบหน้าของคนทำร้ายเข้าได้ แต่ดูจากลักษณะการแต่งตัวแล้ว น่าจะเป็นบอร์ดี้การ์ดที่ดูแลอยู่บนเรือลำนี้

   “ฉันจะส่งนายไปหาข่าวในก้นอ่าววิเตอเรียก็แล้วกัน”

   ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถรั้งราวกันตกได้อีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำอันเย็นเฉียบ เขาพยายามจะตะเกียกตะกายว่ายน้ำต่อ แต่ด้วยบาดแผลที่สีข้างที่เลือดออกมาไม่ขาดสายนั้นค่อย ๆ พรากสติสัมปชัญญะของเขาให้เลือนหายไป

.........................................................................

   เหมิ๋นหลี่ต๋าเดินออกมาจากกาสิโน เพื่อตรงไปยังส่วนของเลานจ์ซึ่งเป็นจุดนัดพบของเธอและลูกชาย โดยมีคนของเธอเดินตามมา มีนักข่าวจากหลายสำนักพยายามจะเข้ามาขอสัมภาษณ์เธอ เกี่ยวกับเรื่องการร่วมมือกันของเยี่ยนหวอกับไลน์ออนเฟอรี่ แต่คนของเธอรู้งานดี กันนักข่าวเหล่านั้นออกไปได้หมด

   กระทั่งเธอเห็นเหมิ๋นหยวนฮ่างเดินตามหนานเฟ่ยซานเข้ามาในเลานจ์ เมื่อคนที่ตัวเล็กกว่าเดินเลี่ยงไปอีกทาง กลับเป็นลูกชายของเธอที่ยื้อและดึงให้หนานเฟ่ยซานเดินตามเขามา ทั้งสองตรงเข้ามาที่กลุ่มของเธอ

   “สีหน้าไม่ค่อยดีนะคุณหนาน หยวนฮ่างทำอะไรให้คุณไม่พอใจรึเปล่า”

   “เออ... ไม่มีอะไรครับ คือผมกำลังจะไปตามหาเพื่อนที่มาด้วยกัน แต่ดอกเตอร์กลับลากผมมาที่นี่”

   “เพื่อนของคุณ คนที่ขึ้นเรือขึ้นมาด้วยกันอย่างนั้นสินะ”

   “คุณนายเหมิ๋นทราบ”

   “ไม่มีอะไรที่เล็ดลอดสายตาคนของฉันไปได้หรอกนะ ถ้าพวกเราสนใจ จริงไหม หยวนฮ่าง...”

   “ผมให้เฟ่ยซานสัมภาษณ์ม๊าที่โรงแรมพรุ่งนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ ม๊าคงไม่ขัดข้อง”

   “ลูกคงวางแผนไว้แล้วสินะ เอาสิ พรุ่งนี้คุณหนานสะดวกกี่โมงละ ฉันจะได้ให้เลขาจัดเวลาไว้ให้คุณ”

   “คุณนายเหมิ๋นเกรงใจเกินไปแล้ว ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอเวลาคุณ”

   “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอเช็กเวลากับทางเลขาก่อนก็แล้วกัน แล้วจะให้หยวนฮ่างติดต่อคุณกลับไป ส่วนหยวนฮ่าง คุณหนานเขาจะไปตามหาเพื่อน ลูกก็ไม่ควรรั้งเขาเอาไว้”

   “คุณลตา” คุณคีเข้ามาแต่ข้อศอกเธอเบา ๆ ก่อนจะกระซิบบางอย่าง

   “คนของฉันเจอเพื่อนของคุณแล้ว เดี๋ยวตอนลงเรือคงจะได้เจอกัน ยังไงคุณหนานก็อยู่คุยกับหยวนฮ่างไปพลางๆ ก่อน”

   “เอ่อ...คุณนายเหมิ๋นครับ พี่กู่เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ”

   “คุณไม่ต้องเป็นห่วง เขาก็ทำงานของเขา เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาและตัวคุณเอง ก็จงเชื่อคำแนะนำของฉัน”

   “ครับ”

   “ม๊า?”

   “ดูแลคุณหนานดี ๆ ละ แล้วเรื่องที่รังแกคุณหนาน อย่าคิดนะว่าไม่มีคนเห็น”

   “เรื่องอะไรครับ” คนที่ดูตกใจกลับไม่ใช่ลูกชายของเธอ แต่เป็นคนที่โดนรังแกมากกว่า

   “นายไปหาน้ำดื่มดีกว่า ก่อนที่จะวูบไปอีก” เหมิ๋นหยวนฮ่างพูดกับหนานเฟ่ยซานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สมกับเป็นลูกชายของเธอจริง ๆ เหมิ๋นหลี่ต๋ามองจนกระทั่งทั้งสองเดินห่างออกไป

   “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

   “ผมบอกจู้ชุนแล้ว หวังว่าเขาจะไปได้ทันเวลา”

   “คุณได้บันทึกภาพช่วงนั้นไว้ไหม”

   “ครับคุณลตา แต่มันเร็วมาก ผมว่าคงจะใช้เป็นหลักฐานอะไรไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นหน้าคนร้าย”

   “แจ้งฝู่ไฉ๋ แคนเซิลงานพรุ่งนี้ทั้งหมด ฉันไม่รับแขก” เธอหันไปสั่งบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่ง

   “นี่คุณลตาถึงกลับแคนเซิลงานทั้งหมด เพื่อให้ว่าที่ลูกสะใภ้ได้ทำความรู้จักแม่สามีเลยเหรอครับ”

   “คุณก็รู้ว่าตาคิดอะไรอยู่ แต่เวลาที่เหลือเอาไว้คุณกับเฟ่ยซานก็ดีนะ”

   “เฟ่ยซาน ๆ ได้พูดกันไม่กี่ประโยค เรียกว่าที่ลูกสะใภ้ซะสนิทสนมเชียว”

   “หรือคุณไม่ชอบ”

   “ไม่มีใครทำให้ผมประทับใจได้เท่าคุณหยกหรอกนะครับ”

   “เล่นเอาเฟ่ยซานไปเทียบกับนางฟ้าของเยี่ยนหวอแบบนั้น เฟยซานของฉันจะเอาอะไรไปสู้”

   “นั่น กลายเป็นเฟ่ยซานของคุณไปซะแล้ว”

   เหมิ๋นหลี่ต๋าไม่อยากจะต่อความยาวไปกับคุณคี เมื่อก่อนเห็นนิ่ง ๆ แต่เหตุใดยิ่งอายุมากขึ้น กลับยิ่งขี้เล่น

   
To Be Continue


ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
29





   ตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงที่เรือแล่นเข้าฝั่ง ดอกเตอร์เกาะติดผมอย่างกับเงาตามตัว จนกระทั่งเรือเทียบท่าแล้ว พี่กู่ก็ยังไม่มา ผมพยายามโทรหาแต่กลับไม่มีสัญญาณ จนผมถูกดอกเตอร์และคนของคุณนายเหมิ๋นต้อนลงเรือ

   ผมยังคงมองหาพี่กู่ และเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีแล้ว ผมรอจนแขกที่มากลับไปหมด เหลือแต่พวกพนักงานที่อยู่บนเรือ ซึ่งน่าจะเก็บกวาด ทำความสะอาด ผมพยายามหาทางแอบขึ้นไปบนเรืออีกครั้งเพื่อตามหาพี่กู่

   “นายจะไปไหน?”

   “ดอกเตอร์ พี่กู่เขา...”

   “นายตามฉันมานี่” ดอกเตอร์ลากผมไปยังรถที่จอดรออยู่”

   “ผมยังไม่กลับ ผมยังไม่เจอพี่กู่เลย”

   “ถ้านายอยากเจอนักสืบผาน นายก็ตามฉันมา”

   “ดอกเตอร์เห็นพี่กู่ลงมาจากเรือตั้งแต่เมื่อไร”

   “ฉันไม่ได้เห็น แต่คนของฉันเห็น”

   “ตอนไหน ทำไมคุณไม่บอกผม”

   “นานแล้ว และฉันก็บอกนายอยู่นี่ยังไง”

   ผมกำลังจะว่าดอกเตอร์แต่ก็ต้องเงียบลง เพราะบนรถที่ผมเพิ่งถูกจับยัดเข้ามานั้นไม่ได้มีแค่ผมกับเขาสองคน ยังมีเหมิ๋นหลี่ต๋านั่งอยู่ด้วย หลังจากนั้นดอกเตอร์ก็ย้ายไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ

   “คุณหนานไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบายเถอะค่ะ”

   “ครับ”

   ระหว่างอยู่บนรถ ไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย ถึงผมจะอยากรู้เรื่องของพี่กู่แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ ไม่กล้าถามอะไรมาก เมื่อเวลาผ่านไป ผมเริ่มชินกับความเงียบ ทำให้ผมมองไปรอบ ๆ ซึ่งเห็นว่ารถกำลังขับไปที่ไหน

   “ที่นี่...”

   “เรากำลังจะเข้าไปที่ท่าเรือ ข้างโกดังของเยี่ยนหวอ”

   “แล้ว...พี่กู่”

   “นายดูเหมือนจะเป็นห่วงนักสืบผานมากเลยนะ”

   “หยวนฮ่าง” คุณนายเหมิ๋นเรียกดอกเตอร์ก่อนหันมาพูดกับผม “ตอนนี้ไม่มีใครนอกจากพวกเราและที่นี่ก็ปลอดภัยพอสมควร ดังนั้นเรื่องที่คุณหนานอยากรู้ ฉันก็จะเป็นคนบอกเอง”

   “ครับ?”

   “นักสืบผานโดนทำร้ายตอนอยู่บนเรือ”

   “หา!!  แล้วพี่กู่...เออ...ขอบคุณคุณนายเหมิ๋นที่ช่วยพี่กู่ไว้ ตอนนี้พี่กู่...”

   “ตอนนี้นักสืบผานอยู่ในความดูแลของคนของฉัน แต่อาการบาดเจ็บนั้นก็ถือว่าหนักเอาการ”

   “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยัง แล้วตอนไหนกันครับ”

   “นักสืบผานน่าจะถูกแทง แล้วผลักตกเรือ”

   “ตกเรือ!! ”

   “ไม่ต้องห่วง คนของเยี่ยนหวอไม่ประมาทอยู่แล้ว ถึงเราจะถูกจำกัดให้พาคนติดตามไปได้ไม่กี่คน แต่ท่านประธานก็ไม่ไว้ใจ ให้เรือของเราตามอยู่ห่าง ๆ”

   “เฮ้อ...โล่งอก คุณฝู่นี่รอบคอบจังเลยนะครับ”

   “ไม่ใช่อาเถิงหรอก แต่เป็นหงส์ต่างหาก”

   “คุณนายฝู่?”

   “เรื่องต่าง ๆ ภายในครอบครัวของพวกเรา นอกเหนือจากนี้ อีกไม่นานคุณคงจะได้รับรู้”

   “ผมมีเรื่องสงสัย”

   “เรื่องอะไรถ้าฉันตอบได้ ฉันก็จะตอบ”

   “ตอนที่คุณคุยอยู่กลับเยียนจูเฟิง ต่อหน้านักข่าว คนของคุณคุยอะไรกับดอกเตอร์?”

   “หยวนฮ่าง?”

   “ตอนนั้นลุงคีบอกกับผมว่า มีชาวอาหรับคนหนึ่งที่เป็นแขกบนเรือ เดินเข้าไปที่ห้องด้านหลังเวที”

   “แล้วคุณพูดภาษาอะไร แล้วทำไมต้องพูดภาษาอื่น”

   “ต่อหน้านักข่าว ลุงคีไม่อยากให้ใครรู้ว่าพวกเราสนใจเรื่องอะไรกันอยู่จึงเลือกที่จะพูดภาษาไทย”

   “ภาษาไทย?”

   ผมรู้สึกคุ้น ๆ เรื่องนี้อยู่ ถ้าจำไม่ผิดคุณนายฝู่เคยใช้สัญชาติไทยอยู่ช่วงหนึ่ง ผมยังไม่ทันได้ยืนยัน รถก็มาจอดที่ท่าเรือขนส่งสินค้า ภายในโซนโกดังของเยี่ยนหวอ ดอกเตอร์ลงจากรถและอ้อมไปเปิดประตูให้กับคุณนายเหมิ๋น ผมจึงก้าวตามลงไป

   พวกเรายืนรอกันอยู่ที่ท่าเรือ ไม่นานก็มีรอลำไม่ใหญ่มากแล่นเข้ามาเทียบท่า ดู ๆ แล้วเรือลำนี้น่าจะบรรทุกได้ประมาณ 20-25 คน คนที่ลงเรือและวิ่งเข้ามาหาพวกเรา เมื่อมองใกล้ๆ

   “พี่ชุน?”

.........................................................................

   เหยินหยางผิงเข้ามาที่สำนักงานแต่เช้า หวังจะได้พบกับผานกู่ แต่กลับไม่เจอ หลังจากที่เขา เหมี่ยนจื่ออู่และตู้เห่า ช่วยกันคัดดูคดีคนหายที่เป็นหญิงสาวก็พบว่ามีอยู่ 34 ราย คงใช้เวลาไม่นานในการโทรสอบถามญาติของผู้สูญหาย ว่าพวงกุญแจเดซี่ดั๊กนั้นเป็นของใคร

   ตู้เห่าเดินเข้ามาที่แผนกพร้อมกับจุ้ชุน ทั้งสองเดินไปก็คุยกันเรื่องคดีคนหายไปพลาง จนกระทั่งเห็นเขาเข้า

   “หยางผิง จื่ออู่ละ มารึยัง”

   “ยังไม่เห็นนะ แล้วพี่กู่ละ”

   “พี่กู่มีปัญหาเมื่อคืน คงไม่ได้เข้าสถานีอีกหลายวัน”

   “ไอ้ที่ว่ามีปัญหาเนี่ยคงไม่ได้หมายถึง”

   “บังเอิญว่าใช่”

   “หนักไหม?”

   “ปลอดภัยดี พักอีกวันสองวันก็มาทำงานได้แล้ว”

   “แล้วเฟ่ยซานละ เป็นอะไรรึเปล่า”

   “ปลอดภัยดี”

   “นายรู้ข้อมูลในคดีฆ่ารัดคอรึยัง”

   “อืม อาเห่าบอกฉันแล้ว และฉันคิดว่า พวกเราคงต้องแยกกันตรวจสอบแล้วละ”

   “แยกกันตรวจสอบ”

   “ใช่ อาชุนบังเอิญได้ข้อมูลเกี่ยวกับคนที่หายไป เมื่อวานนี้ตอนที่ไปสืบคดีพร้อมพี่กู่ ฉันว่าจะไปโกดังต้องสงสัย” ตู้เห่าเป็นคนอธิบายสถานการณ์

   “ถ้าอย่างนั้น เรื่องตรวจสอบคดีฆ่ารัดคอ ฉันกับจื่ออู่จะจัดการเอง”

   “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?” ชิวกัมหงที่เดินตามเข้าสถานีมาอาสาช่วยเหลือ

   “กัมหง นายไปช่วยหยางผิงก็แล้วกัน ฉันกับอาชุนต้องไปที่โกดัง” ตู้เห่าสั่งการ

   “ไปกันสองคนอย่างนั้นเหรอ?” เขาหันไปถามตู่เห่า

   “ไม่หรอก จะเอาเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นโกดังนิดหน่อย”

   “เอ้ย ไหนพี่กู่เคยบอกว่า ไม่ให้กระโตกกระตากไปยังไงละ?” เขาตกใจที่ตู้เห่าตัดสินใจแบบนี้ ตอนนี้หัวหน้าทีมของเขาก็นอนเจ็บอยู่ คนตักสินใจและสั่งการจึงเป็นตู้เห่าไปโดยปริยาย

   “ครั้งที่แล้วน่ะใช่ แต่ครั้งนี้มีความเป็นไปได้มากว่าโกดังต้องสงสัย น่าจะซุกซ่อนอะไรสักอย่างไว้ แล้วยังได้รับอนุญาตจากเยี่ยนหวอให้ตรวจโกดังได้”

   “นายจะไปตอนไหน” ชิวกัมหงถาม

   “รายงานพร้อมขอกำลังคนหัวหน้าเสร็จเมื่อไร ก็ไปทันที”

   “ฉันไปด้วย ส่วนกัมหง นายอยู่นี่รอจื่ออู่ งานที่นายกับจื่ออู่ต้องทำยังมี เอานี่อ่านซะ” เขาส่งเอกสารให้ชิวกัมหง “ทำงานนั่งโต๊ะไปก่อน รอให้ร่างกายของนายหายดีเมื่อไร พวกเราจะไม่ห้ามถ้านายจะออกภาคสนาม”

   เขาพูดจบก็เดินนำตู้เห่าและจู้ชุนไปยังห้องของหัวหน้า และให้จู้ชุนเล่ารายละเอียดเบาะแสที่ได้มาให้เขาฟังคร่าว ๆ อีกครั้ง

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างมารอจู้ชุนอยู่ที่หน้าโกดัง F13-F14 ของต้วนเจียจง เมื่อเช้าเขาได้โทรหาเพื่อนของเขาคนนี้แล้ว แต่ทางนั้นกลับอยู่ที่ฮ่องกง อ้างว่าเดินทางไปเจรจาธุรกิจกับลูกค้า แต่ภาพที่ได้นั้นเห็นชัด ๆ ว่าเมื่อคืนต้วนเจียจงอยู่บนเรือของไลน์อ้อนเฟอรี่

   ขบวนรถจากสถานีวิ่งตรงเข้ามาหาเขาหลายคัน คันแรกที่มาถึง จู้ชุนเดินเข้ามาพร้อมกับนักสืบอีก 2 คน ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ได้แต่ยืนเพื่อรอคำสั่ง

   “สวัสดีครับ ดอกเตอร์เหมิ๋น ขอบคุณมากที่คุณยอมให้ความร่วมมือ” จู้ชุนเป็นผู้เอ่ยกับเขาอย่างเป็นทางการ

   “ที่ผมมาเพราะโกดังนี้ถูกเช่าด้วยเพื่อนของผม เดิมทีผมจะคุยกับเขาเพื่อให้คุณเข้าตรวจค้น แต่บังเอิญเขาไปติดต่อธุรกิจอยู่ที่ฮ่องกงหลายวันแล้ว คาดว่าจะกลับถึงมาค่ำนี้”

   “อย่างนั้นเหรอครับ” จู้ชุนพูดออกมาด้วยความแปลกใจ ซึ่งเขารู้ว่าจู้ชุนเข้าใจความหมายของเขา

   “ถ้าอย่างนั้น ที่เราพาคนเข้ามาวันนี้ คงไม่ใช่ว่าจะคว้าน้ำเหลวหรอกนะครับ?” นักสืบอีกคนถามเขาขึ้นมาอย่างใจร้อน

   “หยางผิง เสียมารยาท ต้องขอโทษด้วยนะครับดอกเตอร์ หวังว่าดอกเตอร์จะไม่ถือสา” ส่วนอีกคนที่มาด้วยกลับห้ามปราม

   “พวกคุณสามคนจะตามผมเข้าไปก็ได้ คนที่นี่พอจะจำผมได้ ส่วนคนของคุณ...” เขามองไปทางเจ้าหน้าที่ร่วม 10 นายที่ยืนรอคำสั่งอยู่

   “ผมจะให้เขารออยู่ที่นี่ จนกว่าจะได้รับคำสั่ง” นักสืบคนนี้ ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าทีมในภารกิจบอกกับเขา ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับก่อนเดินนำพาคนทั้งสามเข้าไปในโกดัง

   “พวกคุณควรจะเก็บตราของพวกคุณไปก่อนนะ”

   เมื่อเข้าไปถึง คนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ช่วยของต้วนเจียจงเดินเข้ามาต้อนรับเขา และมองไปยังทั้งสามคนที่เดินตามหลังเขามา

   “คุณเหมิ๋น เจ้านายบอกว่าคุณจะพาลูกค้ามาดูโกดังของเรา”

   “อืม เมื่อเช้าฉันคุยกับเจียจงแล้ว คงขอดูแค่ส่วนของโกดัง F14 เท่านั้น ไม่นานก็จะไป”

   “แต่ตรงนั้นยังปรับปรุงไม่เสร็จ ผมเกรงว่า...”

   “นั่นแหละสิ่งที่ฉันอยากให้พวกเขาดู ว่าเขาสามารถปรับปรุงโกดังได้มากแค่ไหน เพื่อไม่ให้เป็นการผิดสัญญา หากจะเช่าโกดังของเยี่ยนหวอ”

   “ถึงจะไปตรงนั้น แต่พวกเขาก็เข้าไปในโซนก่อสร้างไม่ได้อยู่ดี มันอันตราย”

   “ไม่เป็นไร ฉันให้เขาดูอยู่ข้างนอกก็ได้” เขาเห็นผู้ช่วยของต้วนเจียจงมีท่าทางอึดอัด “จะให้ฉันโทรหาเจียจงอีกครั้งก็ได้นะ”

   “ไม่เป็นไรครับ เชิญคุณเหมิ๋นทางนี้”

   “ไม่ต้อง นายมีอะไรทำก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันขับรถพาแขกของฉันไปเองได้” เขาพูดพร้อมทั้งแบมือของกุญแจรถกอล์ฟ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังทีท่าทางอึดอัด แต่สุดท้ายก็วางกุญแจรถบนมือของเขา

   เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามาในโกดัง F14 ได้ไม่นาน และดูแล้วก็ไม่มีคนตาม เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ตอบคำถามที่คิดว่า เหล่านักสืบน่าจะสงสัย

   “พวกคุณคงสงสัยว่าทำไมผมถึงเจาะจงพาไปดูที่โกดัง F14”

   “ใช่ คุณรู้ข้อมูลพวกนี้ได้ยังไง”

   “หนานเฟ่ยซานเคยขอให้ฉันพาเขาเข้ามาที่นี่ แต่ตอนนั้นฉันปฏิเสธ”

   “แล้วทำไมครั้งนี้คุณถึงยอมช่วยทางเรา”

   “ผมรู้จักต้วนเจียจงมานาน เราเป็นเพื่อนกัน ผมอยากจะยืนยันความบริสุทธิ์ของเขาให้เห็นกับตาตัวเอง”

   “แล้วคุณคิดว่าคุณต้วน ทำอะไรอยู่”

   “ผมไม่รู้ แล้วพวกคุณละ?”

   “พวกเราคิดว่า”

   “หยางผิง” คนที่เป็นหัวหน้าทีมขัดขึ้น “เราไม่มีหลักฐานอะไรที่จะกล่าวหาคุณต้วนลอย ๆ เราแค่อยากจะตรวจสอบโกดังที่รับซื้อสิ่งของจากโกดัง F23 เท่านั้น”

   “โดยการพาเจ้าหน้าที่มามากมายขนาดนี้”

   “โกดังของคุณกว้างมาก และโกดังที่รับซื้อของจากโกดัง F23 ก็มีไม่ใช่น้อย การที่ผมพาคนมาเท่านี้ ยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ”

   “ถึงแล้ว”

   “ทำไมคุณถึงพาพวกเรามาที่นี่?”

   “พวกคุณก็เห็นว่าโซนด้านหน้าเป็นส่วนของแรงงานคน ผมไม่คิดว่าเจียจงจะซ่อนอะไรไว้ที่นั่น แต่ที่นี่”

   “เมื่อครู่ คนที่โกดังโน้นบอกว่าที่นี่เป็นส่วนปรับปรุง”

   “พื้นที่ทุกตารางเมตรมีค่า ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาเช่าโกดังของเรามักจะใช้พื้นที่ให้คุ้มกับเงินที่เสียไป และการที่จะก่อสร้างแค่ชั้นวางของกับที่พักคนงาน พวกคุณคิดว่ามันน่าจะใช้เวลาเท่าไรถึงจะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป”

   “คุณหมายความว่า”

   “ตั้งแต่ผมเข้ามาที่นี่กับเจียจง จนกระทั่งตอนนี้ สภาพมันยังคงเดิม”

   “คุณกำลังจะบอกว่า เพื่อนของคุณอาจจะซ่อนอะไรเอาไว้”

   “ผมกำลังจะบอกคุณว่า ที่นี่น่าสงสัยที่สุด”

   “พอๆ หยางผิง ทำไมวันนี้นายถึงได้อารมณ์ร้อนอย่างนี้”

   “ดอกเตอร์” จู้ชุนเดินเข้ามาใกล้ ก่อนกระซิบว่า “เฟ่ยซานไม่มีอะไรน่าห่วง ดอกเตอร์เองก็ใจเย็น ๆ เถอะครับ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างได้ฟังก็เอาแต่เงียบ และปล่อยให้นักสืบทั้งสาม สำรวจรอบ ๆ สถานที่ก่อสร้างอย่างใจเย็น ทั้งที่ตอนนี้ ใจเขานั้นคิดถึงแต่คนที่ยังนอนไม่ได้สติตั้งแต่เมื่อคืน

.........................................................................

   ภายในห้องที่ปิดสนิททุกด้าน กลับสว่างไสวไปด้วยไฟนีออนหลายสิบดวง เสียงดังที่เกินจากการทำงานดังก้องอยู่ภายในห้อง จนแยกไม่ออกว่าเสียงนั้นต้นเสียงมาจากภายใน หรือภายนอกกันแน่

   คนงานต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป ถึงแม้จะเหนื่อย และง่วงสักเพียงไหน แต่พวกเขาก็ต้องเร่งงานตามคำสั่ง ทั้งที่เมื่อคืนนี้ พวกเขายังไม่ได้นอนกันเลย

   “น้าฟาน ๆ เป็นอะไรไหม?” มู่เฉินที่นั่งทำงานอยู่ข้างๆ กันเห็นร่างโงนเงนของเว่ยซานจึงรีบลุกขึ้นไปประคอง

   “น้าหน้ามืดนิดหน่อย”

   “ไอ้พวกนี้ก็ใจร้าย ไม่รู้จะเร่งอะไรหนักหนาไม่ให้เราได้หลับได้นอน” มู่เฉินพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด

   “คงเป็นเพราะช่วงนี้พวกมันหาคนมาเพิ่มไม่ได้นะสิ” เฝิงฟงที่นั่งอยู่ถัดไปบ่นออกมา

   “นี่ ตรงนั้นน่ะ คุยอะไรกัน คิดจะอู้งานกันอย่างนั้นเหรอ?” คนที่ยืนคุมอยู่หน้าประตูห้องตะโกนออกมา

   “ตรงนี้มีคนป่วย” มู่เฉินทำใจกล้าพูดขึ้นมา ทำให้ทุกคนต่างพากันมองไปที่มู่เฉินและเว่ยฟาน งานในมือก็หยุดลง จนเสียงภายในห้องเงียบลง มีเพียงแต่เสียงการทำงานที่ด้านนอกเท่านั้น

   หนึ่งในคนคุมจึงเดินฝ่าวงของคนงานเข้ามาหาเว่ยฟานที่หน้าซีดอยู่ เขาจับคางของเว่ยฟานเอาไว้แน่น ก่อนหันซ้ายที ขวาที จากนั้นก็สะบัดมืออย่างแรง จนเว่ยฟานเสียการทรงตัว ดีที่มีมู่เฉินประคองเอาไว้

   “พี่ นังนี่ท่าทางจะไม่ไหวจริง ๆ เอาไงดีพี่”

   “ให้มันขึ้นไปพัก ส่วนแกอาเฉิน สาระแนดีนัก เพราะงั้นงานของนังนี่แกต้องรับผิดชอบแทนมัน”

   มู่เฉินไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาได้แต่มองตามชายที่หิ้วปีกของเว่ยฟานไปอย่างโกรธแค้น เขาเห็นชายคนนั้นพาเว่ยฟานไปยังส่วนของห้องพัก

   “อาเฉิน นายแบ่งงานของน้าฟานมา ฉันช่วยนายเอง”

   “ของนายมันก็หนักอยู่แล้ว ตั้งแต่ฉินฉินหนีไปได้ งานในส่วนของฉินฉิน นายก็ต้องเป็นคนทำ แค่นี้ฉันทำเองได้”

   เมื่อทุกอย่างกับเข้าสู่สภาวะปกติ เสียงของการทำงานในห้องก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่เพียงไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนกะของคนคุม ทำให้คนที่เฝ้าอยู่หน้าห้องระวังตัวมาก ก่อนจะแง้มประตูเล็กน้อย พอเป็นช่องให้มองเห็นหน้าคนภายนอก

   “อ่าว นายนี่เอง มาทำอะไร หรือคุณต้วนต้องการอะไร?”

   “ไม่ใช่ เพื่อนคุณต้วนมาที่นี่ พวกนายก็อย่าส่งเสียงดังให้มากนัก ไว้ถ้าเขาไปกันแล้ว ฉันจะมาบอก”

   “แต่คุณต้วนเร่งงานไม่ใช่เหรอ?”

   “แค่ 15-20 นาทีคงจะไม่เป็นไร พวกนายอยู่กันเงียบ ๆ สักพัก” ชายคนที่อยู่หน้าประตูเดินออกไปแล้วคนพวกนั้นก็ให้เขาพักได้

   “ฉันให้พวกนายพัก 20 นาที จะทำอะไรก็ได้ แต่ห้ามส่งเสียง”

   “ก๊อกๆ ๆ”

   “อะไรอีก?” ชายคนนั้นหันไปเปิดประตู “อุก”

   มู่เฉินเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี จึงรีบหยิบส่วนประกอบของปืนที่เป็นเหมือนท่อยาวไว้ในมือ อาศัยช่วงชุลมุนที่คนคุมตกใจ วิ่งเข้าไปฟาดคนที่ใกล้ตัวที่สุด เฝิงฟงเองก็วิ่งเข้าไปหาอีกคนตั้งแต่เห็นมู่เฉินคว้าท่อนเหล็กนั้นแล้ว

   คนที่บุกเข้ามาเป็นชายร่างสูง 4 คน พวกเขาเป็นเพียงเด็กแต่ก็มีอีกหลายคนที่เข้ามาช่วย จนกระทั่งความวุ่นวายนั้นจบลง มีเด็กได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โชคดีที่พวกนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ปืนในมือไร้ความหมาย

   “พวกเธอเป็นใครกัน” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาถามกลุ่มของพวกเขาที่ยืนบังพวกน้า ๆ ที่ด้านหลัง ในมือก็กระชับท่อเหล็กไว้แน่น

   “มู่เฉิน นายคือมู่เฉินใช่ไหม?” ชายอีกคนหนึ่งในกลุ่มที่เข้ามาใหม่ถามเขา

   “คุณรู้จักผมได้ยังไง?” มู่เฉินถามอย่างหวาดระแวง

   “คุณเป็นใคร” เฝิงฟงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก้าวออกมาราวกับจะปกป้องเพื่อนของเขา

   “เฝิงฟง?”

   “คุณรู้จักพวกเรา?” เฝิงฟงมองหน้ามู่เฉิน สรหน้าเริ่มมีความหวัง

   “พ่อแม่นายแจ้งความว่าพวกนายหายตัวไป”

   “พวกคุณเป็นตำรวจอย่างนั้นเหรอ ฉินฉินบอกให้คุณมาช่วยพวกเราใช่ไหม?” เฝิงฟงเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่

   “เฝิงฉินฉิน?”

   “ใช่ ตอนนี้ฉินฉินปลอดภัยดีแล้วใช่ไหม?”

   “อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลย ให้เราพาพวกนายออกไปจากที่นี่ก่อน”

   “เดี๋ยว ห้องข้าง ๆ ยังมีพวกมันอีกคน มันพาน้าฟานไปพักกับคนอื่น ๆ ยังไม่กลับมาเลย”

   “ป่านนี้มันคงไหวตัวทัน มันมีอาวุธไหม?” เด็กน้อยสองคนพยักหน้า “อาชุน นายกับดอกเตอร์ช่วยพาคนที่นี่หลบออกไปก่อน แล้วแจ้งคนของเราให้เข้ามาเสริม ส่วนหยางผิง นายมากับฉัน”

   มู่เฉินและเฝิงฟงเดินตามตำรวจสองคนออกไปจากห้อง เหมือนคนอื่น ๆ แต่เมื่อเดินออกมาได้ไม่เท่าไร เขาก็เห็นคนที่เข้ามาเคาะประตูคนแรกนอนสลบอยู่กับพื้น

   “อาชุน นายพาเด็กกับผู้หญิงออกไป ฉันจะไปช่วยตัวประกัน”

   “ดอกเตอร์ ไม่ได้นะครับ ถ้าคุณฝู่รู้เข้า”

   “ไม่เป็นไร นายทำงานของนายไป”

   “ดอกเตอร์ ถือว่าผมขอร้อง ในนั้นมีอาเห่ากับหยางผิงรับมืออยู่ กำลังเสริมก็กำลังจะมา ได้โปรดอย่าเอาตัวไปเสี่ยงเลยครับ”

   “ฉันอยากจบงานนี้เร็ว ๆ”

   “ผมว่า คุณไปกลับไปดูเฟ่ยซานดีกว่า”

   พวกเขาทั้งหมดเดินออกมาจนถึงด้านข้างโกดัง คนทั้งสองก็หยุดคุยกันอยู่นาน สุดท้ายแล้วผู้ชายที่ใส่แว่นกรอบสีทองก็ยอม และพาพวกเขาไปที่รถตำรวจที่จอดอยู่ข้างหน้ากันหลายคัน

   “ฉันว่าฉินฉิน คงจะแจ้งให้ตำรวจพวกนี้มาช่วยเราแหละ ไม่อย่างนั้นเขาจะหาเราเจอได้ยังไง”

   “ค่อยยังชั่วหน่อย เป็นห่วงฉินฉินมาหลายวัน เฮ้อ...ฉันไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่มากขนาดนี้มาก่อนเลย”

   “ฉันก็เหมือนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า”

   เด็กทั้งสองต่างหัวเราะกันอย่างเป็นสุขที่จะได้ออกจากสถานที่แห่งนี้สักที เขามองดูตำรวจอีกหลายนายวิ่งเข้าไปในโกดัง นั่งอยู่ในรถไม่นาน คนที่ป่วยและไม่สบายต่างก็ได้รับความช่วยเหลือจนครบ รวมถึงเว่ยฟาน

To Be Continue


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Amo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-1
30





   ตู้เห่าแบ่งเจ้าหน้าที่เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งพาคนที่ยังแข็งแรงไปสอบปากคำที่โรงพัก ส่วนที่เจ็บป่วยและมีอาการอ่อนเพลียก็ให้เจ้าหน้าที่อีกส่วนพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล

   เหยินหยางผิงพาผู้ต้องหาที่ควบคุมและกักขังเด็กกับผู้หญิงเหล่านี้ไปสถานีตำรวจ ส่วนจู้ชุนดูแลควบคุมให้เจ้าหน้าที่ปิดล้อมโกดังแห่งนี้ ส่วนเขาก็ตามเจ้าหน้าที่กลับเข้าสถานี

   เมื่อไปถึงสถานี ชิวกัมหงและเหมี่ยนจื่ออู่ก็ออกมาช่วยพวกเขาสอบปากคำ ซึ่งคนที่เขาพาตัวออกมาล้วนเป็นผู้ที่ถูกแจ้งความว่าหายตัวไปทั้งสิ้น หลังจากสอบปากคำเรียบร้อยแล้ว เขาก็แจ้งไปยังครอบครัวของคนเหล่านั้น เพื่อให้มารับตัวกลับบ้าน

   “พ่อ แม่” เฝิงฟงวิ่งเข้าไปกอดพ่อกับแม่ ซึ่งไม่ต่างกับมู่เฉินที่มีพ่อแม่มารับตัวกลับบ้านไปแล้ว

   “เป็นยังไงบ้างลูก ลำบากมากไหม ดูลูกผอมไปนะ”

   “ไม่เป็นไร ผมแข็งแรงดี แล้วฉินฉินละแม่” เฝิงฟงมองหาฉินฉินที่คิดว่าจะมารับเขากลับบ้านด้วย

   “พี่สาวไม่ได้อยู่กับลูกเหรอ?”

   “อยู่ แต่ฉินฉินหนีออกมาได้ พี่หนีออกไปเมื่ออาทิตย์ก่อนเห็นจะได้”

   “แม่ยังไม่เจอฉินฉินเลย” เฝิงอีอีลุกขึ้น และเดินเข้าไปยังโต๊ะของเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง “คุณตำรวจค่ะ ลูกชายของฉันบอกว่า พี่สาวแกหนีออกจากที่นั่นมาเมื่อราวอาทิตย์ก่อน คุณตำรวจช่วยตามหาลูกสาวของฉันด้วยนะคะ”

   “ลูกสาว จริงสินะ คุณแจ้งว่าลูกของคุณเป็นฝาแฝด”

   “ใช่ค่ะ”

   “ได้ครับ ทางเราจะรีบตามหาให้ อาฟง นายจะช่วยเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังเพิ่มได้ไหม เกี่ยวกับพี่สาวของเธอ”

   สิ่งที่เฝิงฟงเล่านั้นทำให้คนเป็นพ่อแม่ใจแทบสลายกับการกระทำของพวกมัน เฝิงฟงเล่าว่าช่วยให้ฉินฉินหนีออกมายังไง ดังนั้นตู้เห่าจึงถามถึงลักษณะรถ และบริษัทฯ ที่เข้าไปย้ายของในวันนั้นโดยเอารูปที่หนานเฟ่ยซานเป็นคนถ่ายไว้ให้เฝิงฟงดู

   “นี่ครับ ฉินฉินแอบอยู่บนรถคันนี้ แล้วก็ไอ้คนนี้ คุณตำรวจต้องจับมันมาให้ได้นะ มันนั่นแหละเป็นคนทำร้ายฉินฉิน แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่ามันไปอยู่ไหนแล้ว มันหายตัวไปตั้งแต่วันที่ขนย้ายของเหมือนกัน”

   ตู่เห่ามองนิ้วเล็ก ๆ ที่จิ้มลงไปบนรูปของชายคนหนึ่ง จื่อหรงเป็นหนึ่งในคนที่เคยคุมแรงงานเหล่านี้ คดีนี้มันช่างซับซ้อนกว่าที่เขาจะนึกออก

   “ฉันจะช่วยตามหาฉินฉินให้”

   “พี่เห่า อ่าว...อาฟง ยังไม่กลับไปพักกันอีกเหรอ?” เหมี่ยนจื่ออู่เดินเข้ามาหาเขา

   “นายสอบปากคำหมดแล้วอย่างนั้นเหรอ?”

   “เหลือคนที่พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะพี่”

   “พวกคุณก็กลับไปพักผ่อนเถอะ มีความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับฉินฉิน แล้วผมจะติดต่อกลับไป”

   ครอบครัวเฝิงต่างลุกออกไปจากโต๊ะ เหมี่ยนจื่ออู่ก็เปิดแฟ้มที่มีภาพขึ้นมา

   “ถามกับญาติคนที่หายไปแล้วนะ ไม่มีใครที่มีพวงกุญแจเดซี่ดั๊กเลย นี่ผมถามคนที่ได้สอบปากคำทุกคนแล้วด้วย” อยู่ๆ เฝิงฟงก็พุ่งตัวเข้ามาแล้วคว้ารูปนั้นไปดู

   “ผมขอดูพวงกุญแจหน่อยได้ไหม ที่ไม่ใช่รูป”

   “อาฟง นายเคยเห็นพวงกุญแจอันนี้อย่างนั้นเหรอ?”

   “ผมกับฉินฉิน ซื้อมันด้วยกันของผมเป็นโดนัลดั๊ก ของฉินฉินเป็นเดซี่ดั๊ก รองเท้าของเดซี่จะถอดออกมาได้ ฉินฉินเลยทำสัญลักษณ์เอาไว้ข้างใน”

   “จื่ออู่”

   “ได้ เดี๋ยวฉันไปเอาที่ห้องเก็บหลักฐานให้”

   และแล้วพวกเขาก็ได้เหยื่อรายที่ 7 ในคดีฆ่ารัดคอ ซึ่งก็คือเฝิงฉินฉินนั่นเอง จากการอนุมานสถานที่ทิ้งศพของฆาตกรจะเป็นที่มันเจอเหยื่อ ซึ่งตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าไอ้ฆาตกรรายนี้ไปเจอเฝิงฉินฉินที่ไหน

.........................................................................

   ผานกู่ฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองน่าจะอยู่ในโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง เมื่อได้สติเขาก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่สีข้าง จึงพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุด แล้วเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

   เขาจำได้ว่าเขาตกลงไปในทะเล ถึงแม้จะพยายามว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดแค่ไหน แต่ด้วยความมืดมิดรอบตัว กับอาการบาดเจ็บ เขาคิดว่าเขาคงไม่มีทางรอด เขาคงโชคดีได้ชาวประมงช่วยชีวิตเอาไว้

   ผานกู่มองไปยังเหนือหัวเห็นปุ่มกดเรียกพยาบาล เขาพยายามเอื้อมมือไปกดปุ่มนั้น เขาต้องการติดต่อคนที่สถานี และที่สำคัญ หนานเฟ่ยซานจะเป็นอย่างไรบ้าง

   “นักสืบผาน คุณฟื้นแล้ว” ชายคนที่เดินเข้ามาในห้องรีบเดินมายังข้างเตียงของเขา “ไปตามหมอมา” จากนั้นก็หันไปสั่งคนข้าง ๆ

   “คุณ? ผมเคยเห็นคุณบนเรือ”

   “ใช่ ผมเป็นผู้ติดตามคุณลตา”

   “ลตา?”

   “อ่อ ผมหมายถึง คุณเหมิ๋นหลี๋ต๋า”

   “เหมิ๋น แม่ของดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง เจ้าแม่แห่งวงการกาสิโนคนนั้น”

   “ก็แล้วแต่คุณจะเรียก”

   “พวกคุณเป็นคนช่วยผม”

   “บังเอิญมากกว่า ทางเราไม่ไว้ใจเยียนจูเฟิง เลยให้เรือคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ และก็ไปเจอคุณลอยคออยู่กลางทะเล”

   “อ่อ เป็นอย่างนั้นเอง”

   “ว่าแต่คุณไปเจออะไรมา ผมจำได้ว่าคุณควรจะอยู่กับคุณหนาน”

   “แล้วเฟ่ยซานละ ปลอดภัยดีไหม?”

   “คุณหนานปลอดภัยดี ลงเรือมาพร้อมกับดอกเตอร์”

   “ค่อยยังชั่วหน่อย”

   เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง โดยมีทั้งหมอและพยาบาลเดินกันเข้ามาเพื่อจะตรวจร่างกายคนที่เพิ่งฟื้น

   “คุณพักผ่อนเถอะ คนที่สถานีรู้เรื่องคุณแล้ว ถ้าพวกเขาว่างพวกเขาจะมาเยี่ยมคุณเอง” ชายคนนั้นพูดก่อนเดินออกจากห้องไป โดยที่เขายังไม่ถามชื่อเลย เขาเป็นใครกัน ดูแล้วน่าจะมีอิทธิพลในเยี่ยนหวอไม่น้อย

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกลับเข้ามายังโรงแรม หลังจากแยกย้ายกับจู้ชุนที่โกดัง ตอนแรกนักสืบตู้จะให้เขาเข้าไปให้ปากคำที่สถานีเพิ่มเติม แต่เขาปฏิเสธที่จะเข้าไปในวันนี้ คนของโรงแรมฝู่รีบเดินมาหาเขาทันทีที่เขาก้าวเข้ามา

   “ดอกเตอร์ค่ะ คุณคีรายงานมาว่า นักสืบผานฟื้นแล้ว”

   “ก็สมควรจะฟื้นได้แล้วละ” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจพร้อมทั้งเดินตรงไปยังลิฟต์ส่วนตัว “แล้วม๊าละ?”

   “อยู่ที่ห้องของคุณค่ะ”

   “ม๊าทานอะไรรึยัง”

   “คุณลิลลี่เพิ่งสั่งอาหารขึ้นไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ไม่ทราบว่าดอกเตอร์จะรับอะไรไหมคะ ดิฉันจะได้ให้คนจัดขึ้นไปให้”

   “ไม่ต้อง ขอบใจมาก” เขาว่าก่อนก้าวเข้าลิฟต์ไป เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกมายังห้องเพนเฮ้าส์ของเขา เขาก็เดินตรงไปยังห้องนอนทันที

   เมื่อประตูเปิดออก ม๊าของเขาก็ละมือจากการซับเหงื่อให้กับหนานเฟ่ยซาน เธอลุกจากเตียงเดินตรงมาที่เขา

   “คุณหนานได้รับพรให้สามารถช่วยเหลือชีวิตคนอื่นได้ แต่อาจจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดหรือแม้กระทั่งอายุขัยของตัวเอง”

   “ผมเคยเตือนเขาแล้วว่าเลือดของเขานั้นมีค่ามาก” ทั้งสองต่างมองไปยังคนที่หลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง

   “คุณหนานเป็นคนจิตใจดี เขาเสียเลือดครั้งนี้เพื่อช่วยชีวิตคนอื่น”

   “แต่ก็ไม่ควรจะใช้มันมากขนาดนั้น”

   “ไม่มีใครรู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วต้องใช้เลือดปริมาณเท่าไร ในการช่วยชีวิตคนในแต่ละครั้ง”

   “ผานกู่ฟื้นแล้ว”

   “คุณคีโทรมาบอกม๊าแล้ว ตอนนี้หมอที่รักษานักสืบผาน ค่อนข้างสงสัย เรื่องการฟื้นตัวของเขา”

   “แล้วลุงคี”

   “ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้คุณคีเขาจัดการได้ ลูกไปดูแลคุณหนานเถอะ ม๊าจะลงไปทำงานแล้ว”

   “ม๊าควรพักผ่อนบ้าง ม๊าเองก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืน”

   “ม๊าลงไปไม่นาน เดี๋ยวก็กลับขึ้นมาพัก ลูกไม่ต้องห่วงหรอก”

   “ครับมา ดูแลสุขภาพด้วย”

   ม๊าของเขาพยักหน้าก่อนเดินจากห้องนอน เขาเดินตรงไปที่เตียง หนานเฟ่ยซานยังคงไม่ได้สติ ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ เหงื่อผุดออกมาไม่ขาดสาย แต่ร่างกายกลับเย็นจัด เขาหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อให้คนบนเตียง ก่อนจะยกแขนข้างที่มีผ้าพันแผลซุกกลับเข้าไปใต้ผ้าห่ม

   เหมิ๋นหยวนฮ่างมองไปที่โต๊ะหัวเตียง มีถาดที่ใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลอยู่ ม๊าของเขาคงเพิ่งจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้หนานเฟ่ยซานใหม่อีกครั้ง และยังดีที่ตอนนี้เลือดจากปากแผลหยุดไหลแล้ว

   “เฟ่ยซาน นายห่วงเขามากกว่าชีวิตตัวเองอย่างนั้นเหรอ?”

   เขามองไปยังใบหน้าของคนที่นอนหลับไม่ได้สติ แผงขนตายาวที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ จมูกโด่งเป็นสัน แก้มเนียนแต่ไร้เลือดฝาด ริมฝีปากที่มักจะพูดให้ระคายหูดูซีดเซียว เห็นแบบนี้แล้วภายในใจของเขาก็ผุดความรู้สึกวูบโหวงอย่างประหลาด

   “เฟ่ยซานไม่มีอะไรน่าห่วง ดอกเตอร์เองก็ใจเย็น ๆ เถอะครับ”  ประโยคที่จู้ชุนพูดกับเขาเมื่อเช้าผุดขึ้นมา จนเขาอดยอมรับไม่ได้ว่า เขาเป็นห่วงหนานเฟ่ยซานมากจริง ๆ แต่ความรู้สึกผิดหวังที่เกิดขึ้นในใจนี่มันคืออะไร

   เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ดึงสติของเขาออกจากห้วงความคิด เขาจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

   “ได้ความว่ายังไงบ้าง”

   “ตอนนี้ร่างกายคุณหนานนอกจากขาดน้ำแล้ว เลือดยังจางอีกด้วย คงต้องให้เลือดเพิ่ม”

   “ฉันไม่ต้องการให้เขาไปโรงพยาบาล คุณจัดคนมาดูแลเขาที่นี่”

   “ได้คะดอกเตอร์ ฉันจะให้คนไปทันที”

   “ไม่ๆ เอาอย่างนี้คุณมาคนเดียว ส่วนทีมแพทย์ ผมว่าผมพอจะขอความช่วยเหลือได้”

   “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะรีบเดินทางไปทันที”

   “ระหว่างนี้ ผมต้องทำอย่างไรบ้าง”

   “ระวังอย่าให้คุณหนานช็อกเพราะขาดน้ำ คุณอาจจะต้องผสมน้ำหวานลงไป เพราะมันจะช่วยเรื่องการขาดน้ำตาลในเลือดค่ะ?”

   “เข้าใจแล้ว ขอบใจมากนะเมิ่งอิ๋ง”

   “ดอกเตอร์ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณหนานไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คนดีๆ อย่างเขาก็แค่ฟื้นตัวช้าเท่านั้น”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างวางสายจากซือเมิ่งอิ๋ง ก่อนมองไปยังหนานเฟ่ยซานอีกครั้ง เวลาไม่ถึงเดือนที่เขาเฝ้ามองคนตรงหน้า ความรู้สึกของเขามันกลับเปลี่ยนไปมากเสียจนเขาเองต้องแปลกใจ ครั้งแรกที่เจอ หนานเฟ่ยซานก็เกือบตายมาแล้ว ถึงในตอนนั้นไม่ตาย แต่เป็นเขาเองที่โกรธจนอยากจะฆ่าคนที่ทำให้เขาต้องสูญเสียน้ำตากิเลนไปซะเอง

   แต่ครั้งนี้ความรู้สึกของเขากลับเปลี่ยนไป เขาดีใจที่น้ำตากิเลน ช่วยให้หนานเฟ่ยซานยังมีชีวิตอยู่ แม้จะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขายอมรับได้ยาก จนอยากจะเป็นคนที่นอนทรมานอยู่ตรงนี้แทน เขาต้องทำอะไรสัก...เพื่อให้หนานเฟ่ยซานไม่ต้องเสียเลือดอย่างเหตุการณ์ครั้งนี้

........................................................................

   ต้วนเจียจงตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าคนที่พาตำรวจบุกเข้าไปค้นโกดังของเขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเหมิ๋นหยวนฮ่าง ยังดีที่จางซือหวูให้คนคอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ เขาจึงไหวตัวทัน

   “มาแล้วเหรอเจียจง เป็นยังไงบ้างละ”

   “ครับนาย ผมอยู่จนคุณจอชัวเข้ามาตรวจสอบของในเรืออีกครั้ง จึงได้กลับมา”

   “ฉันไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น ฉันถามถึงเพื่อนรักแซ่เหมิ๋นของนาย”

   “ผมยอมรับว่าผมไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าหยวนฮ่างจะเป็นคนพาตำรวจพวกนั้นเข้าไปค้นโกดัง”

   “เพื่อนของนายรู้ได้ยังไง ว่าตรงนั้นเป็นที่ที่เราให้คนประกอบของ”

   “ผมก็ไม่รู้ ครั้งแรกที่หยวนฮ่างมาที่โกดัง เรายังไม่ได้ย้ายคนจากเรือไปทำงานที่นั่นเลย”

   “หรืออาจจะเป็นเพราะหนูตัวนั้น”

   “หมายความว่ายังไง ซือหวู?” เยียนจูเฟิงหันไปถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา

   “ผมเคยเห็นหนูตัวนั้นอยู่กับเหมิ๋นหยวนฮ่างที่สวนสาธารณะ และยังตอนที่ลงจากเรือ มันกลับไปพร้อมเหมิ๋นหลี่ต๋า”

   “ฉันบอกนายแล้วใช่ไหม ว่าฉันไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีก” เยี่ยนจูเฟิงลุกขึ้นมาพร้อมทั้งคว้าของใกล้มือปาใส่ศีรษะของจางซือหวูอย่างแรง เลือดสีแดงไหลลงมาตามไรผม

   “หนู? ไอ้คนที่แอบถ่ายรูปนายกับฉินหรุยกวงอย่างนั้นเหรอ?”

   “อืม” จางซือหวูพยักหน้าเล็กน้อย ไม่แม้กระทั่งจะเช็ดคราบที่ไหลลงมา

   “รีบไปจัดการมันซะ อย่าให้ฉันได้ยินเรื่องของมันอีก” เยียนจูเฟิงพยายามสงบสติอารมณ์ และนั่งลงตามเดิม

   “นักข่าวคนนั้นเคยแอบถ่ายรูประหว่างที่ผมกับหวงกังโหกำลังซื้อขายกันอยู่ ยังดีที่รูปในมือถือของมันไม่ได้ถ่ายติดอะไรไว้มากนัก”

   “นายหาที่หลบซ่อนตัวสักพัก อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอะไร ตำรวจมีทั้งพยานและของกลาง ถึงตอนนี้คนของนายจะยังไม่ได้ซัดทอดอะไร นายก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ดี”

   “ครับนาย”

   “ซือหวู พรุ่งนี้ฉันต้องเห็นข่าวการตายของนักข่าวคนนั้น”

   “ตั้งแต่มันลงเรือมา มันก็ไม่ได้กลับไปพักที่บ้าน ที่ทำงานก็ไม่ได้ไป อยู่ๆ มันก็...”

   “นายจะบอกว่าหาตัวมันไม่เจออย่างนั้นเหรอ”

   “ครับ” ซือหวูก้มหน้าอย่างยอมรับผิด

   “เดี๋ยวก่อน ผมอาจจะช่วยซือหวูได้”

   “ยังไง” เยียนจูเฟิงหันมาถามเขาด้วยสีหน้าน่ากลัว

   “มันมีเพื่อนนักข่าวที่สนิทอยู่คนหนึ่ง ผมว่าเราน่าจะคาดคั้นเอากับคนคนนี้ได้”

   “คงไม่ได้แล้วละ เมื่อคืนมันบังเอิญได้ยินฉันกับคุณจอชัวคุยกัน ฉันเลยจัดการมันไปแล้ว”

   “เป็นไปไม่ได้ คนขี้ขลาดอย่างนั้นอะนะ จะไปแอบฟังนาย”

   “เขาอาจจะบังเอิญอยู่ผิดที่ผิดเวลา แต่เพื่อความไม่ประมาท ฉันเลยจัดการมันซะ”

   “เอาละๆ ยังไงก็แล้วแต่ ซือหวู นายไปจัดการนักข่าวคนนั้นให้ได้ เจียจงคืนนี้นายไปขึ้นเรือ ฉันจะส่งนายไปเกาลูนสักพัก รอให้เรื่องซาหรือฉันจัดการเรื่องพวกนี้ได้ก่อน นายค่อยกลับมา”

   “ครับนาย/ครับ” ทั้งเขาและจางซือหวูต่างรับคำสั่งจากเยียนจูงเฟิง

   “นายครับ เรื่องฉี่เยว่”

   “ฉันจะดูแลเธอให้ ไม่ต้องห่วง”

   “ขอบคุณครับ”

   เยียนจูเฟิงพูดจบก็เดินออกจากห้องไปโดยมีจางซือหวูเดินตามหลังไป เขานั่งลงบนโซฟาแทนที่เยียนจูเฟิง นึกถึงโทรศัพท์ที่เหมิ๋นหยวนฮ่างโทรมาหาเขาแต่เช้า

   “นายรู้เรื่องนี้มากแค่ไหนกันนะ หยวนฮ่าง”

To Be Continue

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด