✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22  (อ่าน 15880 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
โล่งอกคนอ่าน เจ้าชายน้ำชายน้ำแข็งยอมรับไออุ่นจากหนึ่งซะที

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page

ก่อนไปอ่านพี่เสาร์ตอนนี้ ขออนุญาตใช้พื้นที่โปรโมทน้องศุกร์หน่อยค่ะ 555

'วันศุกร์สีฟ้า' กำลังจะวางจำหน่ายแล้วนะคะ ครั้งแรกที่งานหนังสือนี้ ไปสอยกันได้ที่บูธเฮอร์มิท N46 Zone C1 และถ้าใครสะดวกก็ไปเจอแอร์ได้ช่วงบ่ายวันที่ 30 มีนานะคะ แอร์จะไปสิงที่บูธ พร้อมกับเอาสติกเกอร์เล็กๆ น้อยๆ ไปแจกคนที่ซื้อนิยาย (หรือแค่เคยอ่านก็ได้) ด้วยค่ะ แวะไปเป็นหน้าม้าให้กันหน่อยนะ กลัวนิยายขายไม่ออกมาก แง 5555555





ใครใจดีแวะไปกดไลค์ กดแชร์ หรือรีทวิตโพสน้องศุกร์ให้หน่อยน้า ขายของหนักมากแร้วว 55

https://www.facebook.com/HermitBooks/photos/a.359474807434062/2042457539135772/?type=3&theater
https://twitter.com/hermitbooks/status/1106528881173880839


.

.

.

-----------------------------------------------



นับหนึ่ง ถึง สิบเก้า


 

คนตัวเล็กสูดน้ำมูก ดันตัวเองออกห่างเพื่อจะมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัด แต่ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นเลือนลางเมื่อถูกบดบังด้วยม่านน้ำตาที่เขาควบคุมไม่ได้ เด็กน้อยปล่อยโฮลูกใหญ่ทำเอาวันเสาร์เลิ่กลั่ก พยายามจะยื่นมือเข้าแตะใบหน้าหวานบิดเบี้ยว แต่ก็ถูกมือเล็กๆ นั้นปัดป้องผลักไสอยู่เรื่อย

“เป็นอะไร”

แขนของเขาถูกสะบัดออกอีกครั้ง น้ำเสียงอู้อี้ตะคอกใส่อย่างเก็บกด “พี่เสาร์เล่นอะไรอยู่! คิดจะไล่ผมก็ไล่ แล้วคิดจะให้กลับไปตอนไหนก็ได้เหรอ”

แก้มตอบจากอาการป่วยชาวาบ รู้สึกว่าตัวเองสมควรโดนตบหน้ามากกว่าจะมานั่งมองคนตรงนี้ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เขารวบรวมกำลังทั้งหมดคว้าเอาร่างสั่นเทิ้มเข้ามาไว้ในอ้อมกอดได้สำเร็จ นับหนึ่งซบแก้มลงกับบ่ากว้างพลางส่งเสียงต่อว่าด่าทอไม่หยุดหย่อน และเขาก็ไม่นึกโกรธเลยสักคำ

ฝ่ามือร้อนด้วยพิษไข้เอื้อมลูบกลุ่มผมนุ่มป้อยๆ ได้แต่พูดคำเดิมซ้ำไปมาราวกับเครื่องหยอดเหรียญ

“ขอโทษ”

“ฮ..ฮึก”

“ขอโทษ…”

เรียวแขนเล็กยอมกอดตอบเขา ร่างกายของเราแนบชิดจนได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นถี่จากความเจ็บช้ำรวมทั้งความสุขในเวลาเดียวกัน

เจ้าของห้องฝังปลายจมูกเข้ากับขมับสวย ค่อยๆ ปลอบจนเด็กในวงแขนเริ่มสงบและยอมกลับมานั่งสบตากับเขาดังเดิม “นายจะกลับมาอยู่กับฉันใช่ไหม” เขาถามย้ำแต่กลับได้คำตอบเป็นการส่ายหัว เล่นเอาใบหน้าเรียวซีดเผือด

“ทำไมล่ะ ยังโกรธอยู่เหรอ”

นับหนึ่งส่ายหน้าอีกครั้ง “ผมขอถามอะไรพี่เสาร์อย่างนึงก่อน”

“หืม?”

คนตัวเล็กเม้มปาก ลอบเกาเล็บตัวเองด้วยหวั่นใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากกลับ แต่เขาแค่อยากรู้ว่าตัวเองจะกลับไปอยู่ในจุดไหนก็เท่านั้น คำถามที่ว่าทำไมวันเสาร์ถึงทำเหมือนเป็นห่วง หวง และหึง เขา มันยังคงวนเวียนชวนให้คิดเข้าข้างตัวเองไม่หาย แม้ว่าจะถูกตัดเยื่อใยทำลายความหวังริบหรี่มาไม่รู้กี่ครั้ง แต่เขาก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบชัดๆ สักที

ครั้งนี้ก็เช่นกัน วันเสาร์จะจูบเขาทำไม…จะขอให้เขากลับไปอยู่ข้างๆ ทำไม ถ้าหากว่าเห็นเขามีค่าแค่เงินหนึ่งล้านที่คนคนนี้สามารถขว้างทิ้งได้โดยไม่ยี่หระ

“พี่เสาร์…” เขาเผลอกำหมัด ขณะทำเป็นเก่งจ้องสบดวงตาคมเข้ม สาบานว่าคราวนี้จะเป็นการทดลองเสี่ยงครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินหน้าหรือไม่ก็แค่ตัดใจตลาดกาล…

“คิดยังไงกับผมครับ?”

ฝ่ายถูกถามนิ่งชะงักกลายเป็นหิน เวลาในห้องราวกับถูกหยุดลงกะทันหัน สีสันของเครื่องใช้ซีดจางหลงเหลือไว้เพียงร่างของผู้ตั้งคำถามที่เด่นชัดในสายตา เสียงอวัยวะในอก รวมทั้งลมหายใจดังลอดผ่านความเงียบสงัด เลือดในกายสูบฉีดรัวเร็วจนเขารู้สึกเหมือนสมองกำลังถูกปั่น ค่อยๆ กลืนก้อนน้ำลายเหนียวข้นลงคออย่างยากลำบาก

นับว่าเป็นคำถามตรงไปตรงมาที่ฟังดูง่าย ทว่าตอบยากมากที่สุด ความจริงเขาแอบคิดอยู่นานแล้วว่าเด็กตรงหน้ายังจะมัวสงสัยอะไร ในเมื่อเขาเองไม่เคยจะปิดซ่อนความรู้สึกต่ออีกฝ่ายได้เลย ใช่ว่าเขาจะโง่ขนาดไม่รู้ว่าเผลอออกอาการชัดเจนมากแค่ไหน แล้วก็รู้ด้วยว่าน้องชายของเขา แม่บ้าน คนรถ แม้กระทั่งเพื่อนตัวดีทั้งหลาย ต่างจับได้กันหมดว่าเขาคิดยังไง

คล้ายว่าจะมีแค่ตัวเขาเองเท่านั้นที่ไม่เคยนึกยอมรับมันสักที และอีกหนึ่งก็คือคนตรงหน้าตอนนี้ ที่คงไม่กล้ามั่นใจเลยสักครั้งเช่นกัน…

ความกลัวระคนผิดหวังเคลื่อนตัวไหวๆ อยู่ภายในแววตาสีน้ำตาล นับหนึ่งเบะปาก เตรียมตั้งท่าจะลุกออกจากเตียง ทำให้เขาต้องรีบคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ เรามองสบกันทั้งที่อีกฝ่ายมีน้ำตาเอ่อคลอ และเขาก็ภาวนาให้มันมาจากความดีใจ มากกว่าจะเป็นอย่างอื่น

ถ้าพูดตอนนี้ ก็จะไม่เสียนายไปอีกแล้วหรือเปล่า…

.

.

“รัก...”

คำสั้นๆ เปล่งออกไปเบายิ่งกว่ากระซิบ

“ครับ?”

เขาเผลอหลุบตาหนีแวบหนึ่งยามเอ่ยคำต้องห้ามชวนเลี่ยน สาบานได้ว่าตลอด 23 ปี นอกจากคนในครอบครัว ก็ไม่เคยหลุดคำนี้ออกไปให้ใครได้ยินอีก ความจริง…เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้คำว่ารักกับใครคนอื่น จนกระทั่งวันนี้…วันที่รู้ตัวว่าอยากให้คนตรงหน้ากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

“รักนาย”

เสียงทุ้มแหบพร่าย้ำอีกครั้ง ใบหน้าแดงเรื่อจากอาการไข้ยิ่งขึ้นสีชัด เรียวตาคมค่อยๆ เหลือบกลับขึ้นมองพวงแก้มเห่อแดงไม่แพ้กัน ฝ่ามืออุ่นเลื่อนกระชับกอบกุมมือนิ่มของอีกฝ่ายเอาไว้แนบแน่น เจ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อยของเขาดูตื่นตกใจ ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาร่วงผล็อย มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นขยี้ตาตัวเองแรงๆ จนเขาต้องรีบตรงเข้าห้าม

“ร้องไห้ทำไม เสียใจเหรอ” นิ้วโป้งทั้งสองปาดเอาหยดน้ำออกจากโครงหน้าหวาน นับหนึ่งส่ายศีรษะ ปากเบะเผยอเอ่ยเสียงสะอื้น

“ดีใจ..ต่างหาก ครับ”

ร่างสูงคลี่ยิ้ม ดึงคนขี้แยเข้ามาไว้แนบอก ริมฝีปากร้อนกดจูบไปตามหน้าผากจนถึงขมับหวังช่วยปลอบประโลม

“พี่เสาร์ อย่าไล่ผมอีกนะ”

“ไม่ไล่แล้ว” เขาตอบ

ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาจากนอกห้อง ซึ่งเดาได้เลยว่าคงเป็นน้องชายกับเพื่อนสนิทของเขาที่น่าจะวางแผนให้ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้แต่แรก

สองชีวิตที่แอบฟังอยู่ต่างถอนใจอย่างโล่งอก พากันเดินยิ้มเล็กยิ้มน้อยกลับลงมาชั้นล่าง พวกเขารู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายวันเสาร์ก็ต้องยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อให้นับหนึ่งกลับมา

“งั้นพี่จะไปเก็บข้าวของของหนึ่งกลับมาให้นะ” นาวาเอ่ยหลังบ่นเพื่อนตัวเองให้คนเป็นน้องฟังจบไปชุดใหญ่

“ขอบคุณมากนะครับพี่วา แล้วก็ขอโทษแทนพี่เสาร์ด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ดีใจนะที่มันคิดได้”

“ครับ ศุกร์ก็ดีใจ”

คุณชายคนเล็กของบ้านฉีกยิ้มอีกครั้ง เหลือบมองกลับไปยังขั้นบันได วันนี้คงเป็นอีกวันที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต วันที่รู้ว่าพี่คนเดียวของเขาจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์จริงๆ สักที เหตุการณ์เมื่อครู่ควรถูกจารึก เพราะมันเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่าผู้ชายชื่อวันเสาร์ยังมีหัวใจ ไม่ใช่เพื่อเขา และไม่ใช่เพื่อคนอื่น

แต่ว่าเพื่อนับหนึ่งคนนี้…



-----------------------------------------------

 

ไอร้อนพ่นออกจากปากเป็นจังหวะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นห่วงว่านับหนึ่งอาจติดไข้มากเท่าไร ก็ยังอยากให้อยู่ใกล้ๆ มากยิ่งกว่า เราจับมือสอดประสาน ขณะที่คนตัวเล็กกำลังนอนเล่าไปเรื่อยว่าคุณแม่ของนาวาใจดีกับตัวเองยังไงบ้าง เขาเพียงแค่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้ารับและขานตอบเป็นบางที พิษไข้ที่คอยจะทรมานร่างกายมาตั้งแต่เมื่อคืนดูเหมือนจะพ่ายแพ้ให้กับความสุขเอ่อล้น แค่ได้เห็นหน้านับหนึ่งอีกครั้งในรอบหลายวัน

หัวใจเหี่ยวเฉากลับมาพองโต และเขาไม่มั่นใจว่าเคยรู้สึกแบบนี้ครั้งล่าสุดเมื่อไร แต่มันคงนานมากมาแล้ว…นานมาก จนจำไม่ได้

เกือบลืมไปแล้วว่าความสุขของการได้รักมันเป็นยังไง

เขากระชับสัมผัสบนฝ่ามือ รอยยิ้มบางเผยให้เห็น ยามหันมองเสี้ยวหน้าหวานต้องกระทบแสงจันทร์อ่อนๆ ลอดผ่านหน้าต่าง ตลอดสองอาทิตย์หรือนานกว่านั้นที่เขาพยายามแบกภูเขาลูกใหญ่ที่ชื่อว่าอดีต การยึดติด และปฏิเสธตัวเอง มันคือช่วงเวลาที่อึดอัดยิ่งกว่าขาดอากาศหายใจ และเขารู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งสู่ความตายอยู่ทุกชั่วขณะ

วินาทีนี้…ภูเขาเหล่านั้นถูกยกออกไปแล้ว เขาเป็นอิสระจากความทรงจำ ค่อยๆ ร้อยปมเชือกเส้นใหม่เกี่ยวพันไว้กับปัจจุบันตรงหน้า

“รู้ไหมว่าผมคิดถึงพี่เสาร์มากขนาดไหน” คนตัวเล็กพลิกตะแคง จ้องสบเข้ามาในแววตาสีดำสนิท ไม่อยากบอกเลยว่าเขาเองก็คิดถึงมากไม่แพ้กัน

“ขอโทษ”

เขาเลือกที่จะย้ำคำนี้ซ้ำๆ แต่นับหนึ่งกลับส่ายหน้าราวกับจะบอกให้เขาเลิกพูดคำเดิมๆ เหมือนพวกจับจด หรือไม่ก็คาดหวังว่าจะได้ยินคำอื่น ซึ่งมันก็มีบางคำซ่อนตัวอยู่ในใจเขา เพียงแค่ไม่ชิน...

นอกจากวันศุกร์ เขาไม่เคยชินกับการพูดจาหวานๆ ใส่ใครคนอื่น แต่ก็น่ากลัวว่าถ้าไม่ยอมพูดออกไปเลย สักวันมันคงอัดแน่นจนล้นทะลัก และถ้าพูดช้าไปแค่วินาทีเดียว มันก็อาจจะเสี่ยงสูญเสียคนตรงหน้าไปอีกก็ได้

ริมฝีปากแห้งผากเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนจะยอมเผยอออก เอื้อนเอ่ยแทรกความมืดออกมาเพียงเบาๆ “ฉันก็คิดถึงนาย”

รอยยิ้มที่เขาปรารถนาจะได้เห็นระบายอยู่บนใบหน้าขึ้นสี นับหนึ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ ไม่กลัวสักนิดว่าจะติดไข้จากคนป่วย แต่ก็นะ…คนที่กล้าดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบอย่างเขา คงไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องนี้อยู่แล้ว

ศีรษะทุยซบซุกเข้ากับแผงอกเขาดั่งเช่นเคย กลิ่นหอมจากแชมพูไม่คุ้นจมูกโชยอ่อน เรียวแขนของสองเราต่างวาดโอบกันไว้แนบแน่นแทบกลายเป็นเนื้อเดียว ความเหงาจางหายไปพร้อมกับความหนาวเย็นของค่ำคืน…

โลกนี้บางทีก็ตลก และบางคราวก็แสนใจร้าย คนที่นับว่าเกือบจะเพียบพร้อมอย่างวันเสาร์ยังต้องใช้เวลาถึง 23 ปี กว่าจะค้นพบเศษชิ้นส่วนหัวใจที่แหว่งหาย และก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า คำว่ารักที่เปล่งออกไป มันเพิ่งจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นของทุกอย่างเท่านั้น



---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------

 

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
---------- ต่อ ----------



อดีตเด็กในเล้าเจ๊หมวย ปัจจุบันได้กลายมาเป็นสมาชิกบ้านวุฒิเวคินทร์แทบจะเต็มตัว เจ้าของร่างเล็กยืดขาออกไปจนสุดบนโซฟากำมะหยี่ตัวยาว ข้างๆ กันมีเจ้าของบ้านตัวจริงเสียงจริงนั่งจิบกาแฟฝีมือเขาเอง

“หวาน”

“เพราะว่าหวานมันถึงได้อร่อยไงครับ”

วันเสาร์เลิกคิ้ว จำไม่เห็นได้ว่าเคยพูดว่าอร่อยตอนไหน ความจริงมันไม่ได้แย่หรอก เว้นแต่ไม่ใช่รสชาติที่เขาชอบ จะมีก็แค่คนชงนั่นแหละที่เขาชอบ ก็เลยยังต้องดื่มต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

โชคดีที่หลังจากคืนที่นับหนึ่งกลับมา ก็ถูกพี่ละเมียดจับยัดยาใส่ปากป้องกันไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น และเขาเองก็เริ่มกลับไปกินข้าวทานยาตามเวลาจนอาการไข้หายเป็นปลิดทิ้งในเวลาไม่นาน ตอนนี้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างกับว่าเรื่องราวบ้าๆ ทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น ออกจะดีเกินปกติเสียด้วยซ้ำ เมื่อต่างฝ่ายต่างตัดสินใจที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเองนำหน้า

เราเลือกที่จะพูดคุยกันตรงๆ แม้แต่คำหวานชวนอ้วกที่เขาเคยกระดากเกินจะเอ่ย ก็ยังพูดมันออกมาได้ง่ายดายเหมือนคำทักทายเท่านั้น

“เออ” เขาวางแก้วกาแฟลง เพิ่งนึกเรื่องสำคัญบางอย่างออกเมื่อครู่นี้เอง “ที่กันติกรณ์เคยบอกว่านายหอมแก้มไอ้วาน่ะ มันยังไง”

“เอ่อ…” ใบหน้าหวานถอดสี มือไม้เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข “ค..คือว่า…”

“คือว่าอะไร”

เผลอถดตัวหนี เมื่อวันเสาร์เขยิบใกล้พลางยื่นหน้าเข้าหาอย่างจับผิด เขาอึกอัก พยายามอธิบาย “ก็…ตอนนั้นผมจะซื้อนาฬิกาให้พี่ แต่เงินมันขาด พี่วาเลยจะช่วยออกให้…แลกกับหอมแก้มทีนึง” สุ้มเสียงท้ายประโยคนั้นเบาหวิว แต่ก็ยังดังชัดพอจะทำให้คนแถวนี้หงุดหงิด

“ถ้าเจอไอ้วาคราวหน้า จะต่อยแม่งสักที”

“อย่านะครับพี่เสาร์”

เรียวตาสีนิลจับจ้องฝ่ายเด็กกว่ากำลังย่นคิ้ว ช้อนตามองเขาอย่างขอความเห็นใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพตรงหน้ามันทำให้อวัยวะในอกซ้ายกระตุก แต่เขาก็เลือกเปลี่ยนเรื่องแทนการรับปากว่าจะไม่ไปต่อยหน้าเพื่อนตัวเอง

“หอมแก้มฉัน”

“ห้ะ”

ย้ำอีกครั้งเสียงเย็น “นายก็รู้ว่านี่ไม่ใช่คำขอ มันคือคำสั่ง”

นับหนึ่งบุ้ยหน้า ลังเลอยู่ได้เพียงครู่เดียวก็ยอมทาบประทับปากนิ่มเข้ากับโครงแก้มคมเข้มไวๆ ไปที เขารีบเด้งตัวออกห่าง แต่กลับถูกมือหนาคว้าแขนไว้ได้ก่อน ปลายจมูกโด่งเป็นสันฝังตัวลงกับพวงแก้มใสสีแดงระเรื่อ วันเสาร์ตามมาสูดดมกลิ่นหอมจากร่างกายเรียวบางภายในวงแขนแข็งแกร่ง จมูกแหลมเขี่ยเบาๆ เข้ากับปลายคางมน ก่อนจะค่อยๆ ไล่ระดับลงไปซุกไซ้อยู่กับซอกคอระหง

คนตัวสูงกดจูบไปตามแนวชีพจร แล้วจึงกลับขึ้นไปแนบสัมผัสนุ่มหยุ่นลงบนมุมปากปิดสนิท ลิ้นชื้นแลบเลียไปตามแนวริมฝีปากเป็นเส้นตรง วนเวียนอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะยอมเผยอออกอย่างเผลอไผล ต้อนรับเรียวลิ้นร้อนที่พร้อมจะเข้าไปทักทาย

เราแลกน้ำหวานให้แก่กัน ขบเม้มและฉกชิมไม่เผื่อเวลาให้ได้หายใจ มือเล็กๆ เลื่อนขึ้นเกาะไหล่กว้างเพื่อทรงตัว เล็บทั้งสิบจิกขย้ำเสื้อเชิ้ตบนตัวอีกฝ่ายจนยับยู่ แรงอารมณ์บางอย่างกำลังเต้นตุบตับอยู่ภายในกาย เตรียมปะทุอยู่ทุกชั่วขณะ

ไม่มีใครเคยเตือนเลย ว่าจูบของวันเสาร์มันจะแผดเผามากมายขนาดนี้…

“อ…อื้ออ” เขาออกแรงทุบประท้วงเมื่อเริ่มหายใจไม่ทัน

“ฮ้า…”

หยาดน้ำลายเหนียวยืดเป็นสายยามที่ลิ้นของเราค่อยๆ ผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง แก้มเนียนกลายเป็นสีแดงชัด เสียงหอบหายใจดังแทรกความเงียบภายในห้องนั่งเล่นกว้างขว้าง

ฝ่ามือใหญ่สอดผ่านชายเสื้อ ตรงเข้าหยอกล้อกับเม็ดทับทิมตั้งชัน ขณะที่ยังประทับจูบไปตามลำคอเรียว นิ้วซุกซนเอื้อมไปด้านหลัง ผลุบหายเข้าไปในกางเกงลำลองก่อนจะทันให้เขาได้ตั้งตัว

“พ..พี่เสาร์ อย่าครับ”

“ทำไม” คำถามเสียงราบเรียบ ลมหายใจหนักหน่วงเป่ารดอยู่กับกระดูกไหปลาร้า

“นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะครับ”

หัวคิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน ใบหน้าขรึมเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

“แล้วไง” นั่นคือคำตอบที่เขานึกไว้แล้วเชียว

วันเสาร์เพิกเฉยคำทักท้วง จงใจบีบขยี้ยอดอกเขาแรงๆ จนแทบจะกลั้นเสียงร้องไว้ไม่ไหว แม้ว่าจะมีเสื้อผ้าบังปิด แต่ก็พอเดาได้เลยว่าป่านนี้มันคงแดงก่ำล่อตาขนาดไหน

“อะ…อ๊ะ!”

เขารีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง วินาทีที่ปลายนิ้วเย็นแตะเข้ากับช่องทางเบื้องหลัง ขนอ่อนในกายลุกฮือ หยดน้ำใสปริ่มหางตาด้วยความทรมานจากการพยายามสะกดกลั้นทุกอารมณ์พลุ่งพล่าน

น้ำเสียงสั่นเครือเปล่งออกไปอย่างยากลำบาก เมื่อวันเสาร์เอาแต่แกล้งเขาด้วยการลูบสะกิดไปตามร่องจีบที่กำลังขมิบตอบรับสัมผัสแปลกปลอมอย่างน่าไม่อาย

“ง…งั้นก็ ขึ้นไปบนห้อง..ไม่ได้เหรอครับ”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นตรงมุมปากของผู้เหนือกว่า

“หว..เหวอ!?”

แววตาคมส่องประกาย ก่อนจะพรวดพราดลุกออกจากโซฟาโดยอุ้มตัวเขาขึ้นไปพร้อมกัน เรียวขาขาวรีบหนีบกระชับเข้ากับสะโพกอีกฝ่าย แขนทั้งสองข้างรวบรัดรอบลำคอแกร่ง ร่างทั้งร่างเคลื่อนขึ้นลงไปตามจังหวะการก้าวขาของคนตัวสูง เขาทำได้แค่ซบหน้าลงกับบ่า ปิดซ่อนความอายเอาไว้ ไม่กล้าแม้แต่หรี่ตามองว่าอาจจะมีคนอื่นในบ้านเห็นเราตอนนี้

ประตูห้องถูกเปิดออก ท่าทางทุลักทุเล วันเสาร์ใช้เท้าเตะปิดประตูไม้ ไม่ทันได้ล็อคกลอน ค่อยๆ วางเขาลงบนเตียงนุ่ม ก่อนจะตามขึ้นมาคร่อมทับไว้อย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหยุ่นฝากจูบลงบนปากอิ่มอีกหลายครั้ง แทบนับไม่ถ้วน ขณะที่มือทั้งสองก็ดูจะขยันขันแข็งกับการปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัวเขาซะเหลือเกิน

ไม่ทันไร เราทั้งคู่ต่างก็เปลือยเปล่า ลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศพัดกระทบผิวขาว ทำเอาขนลุกชัน หากไม่กี่วินาทีต่อมา ความหนาวก็แปรเปลี่ยนเป็นเป็นความเร่าร้อนเมื่อวันเสาร์ไล้จูบต่ำลง ทิ้งร่องรอยทั้งขบเม้ม ดูดและกัดไปแทบทุกส่วนที่ริมฝีปากร้อนลากผ่าน ฝ่ามืออุ่นตรงเข้ากอบกุมแก่นกายพอดีตัวที่กำลังผงกสู้ พร้อมหยาดน้ำเหนียวข้นปริ่มปลายหัว

 วันเสาร์ออกแรงรูดรั้งส่วนนั้นของเขา ค่อยๆ เพิ่มระดับจากช้าไปเร็ว เสียงครางสูงต่ำดังลอดออกจากปากบวมแดง ยากเกินจะต้านทาน หัวสมองของเขาถูกน้ำหมึกสีขาวหยดแต้มจนไม่รับรู้สิ่งใดอื่นอีก

“อ๊ะ...”

คนด้านบนผละออกจากแผ่นอกบาง หลังจากโลมเลียมันจนหนำใจ ก้มลงจูบหน้าท้องแบนราบไปเพียงสองสามครั้ง ก่อนจะทำบางอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิด

“พ..พี่เสาร์! อื๊อ!” ดวงตากลมเบิกกว้างทันทีที่ปากหยักครอบลงกับจุดแข็งขืน พอดีกับที่หัวใจดวงน้อยเต้นตุบรุนแรงราวกับจะกระแทกออกมาจากอก ไม่เคยคาดหวังว่าคนอย่างวันเสาร์จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้เขาเลยด้วยซ้ำ

“พี่เสาร์..อย่าครับ มัน..สกปรก”

เขาพูดไม่เป็นภาษา ร่างกายบิดเร่าด้วยความซ่านเสียวอย่างหาที่สุดไม่ได้ โพรงปากอุ่นร้อนกำลังกลืนกินตัวเขาอย่างกับคนอดยาก เทคนิคมากมายถูกงัดออกมาใช้ แทบจะทำให้เขาละลายกลายเป็นของเหลวซึมบนที่นอนกว้างๆ มือเล็กที่เคยจิกทึ้งผ้าปูสีเข้ม เลื่อนลงขยุ้มกลุ่มเส้นผมสีดำสนิทเพื่อระบายอารมณ์สุขสมในกาย จนกระทั่งมวลมหาความรู้สึกนับร้อยพันพากันแล่นพล่านมาจ่ออยู่แค่ปากทาง เขามองเห็นปลายขอบฟ้ารำไร...หากว่าทุกอย่างกลับหยุดชะงัก เมื่อวันเสาร์จงใจถอนปากออกกะทันหัน ทั้งๆ ที่เขาจวนเจียนจะถึงฝั่งฝันอยู่รอมร่อ

“พะ..พี่ เสาร์ ทำไม..”

“ฉันไม่ให้นายเสร็จง่ายๆ หรอก”

“อื้ออ”

ใจร้าย! ในขณะที่เขานึกโมโห วันเสาร์กลับยกยิ้มพอใจ แล้วส่งนิ้วเรียวยาวเข้ามาทักทายช่องทางปิดสนิทด้านหลัง

สะโพกมนเผลอแอ่นรับสัมผัสวาบหวามไม่รู้ตัว โครงหน้าเรียวคมก้มหายเข้าไปหลังต้นขาเนียนละเอียด ปลายลิ้นชื้นแตะสัมผัสรอยจีบสีชมพูสดเล่นเอาเด็กที่เอาแต่นอนหอบสะดุ้งเฮือก นับหนึ่งพยายามถดตัวหนี ขณะที่คนโตกว่ากำลังชำแรกนิ้วที่สองและสามตามเข้าไปเพื่อเบิกขยายโดนัทอันจิ๋วนั้นให้พร้อมรับความคับแน่นใหญ่โตที่กำลังเต้นตุบ จวนเจียนรอไม่ไหวเต็มที

เขาใช้นิ้วช่วยแหวกร่องรักตรงหน้า ก่อนจะก้มฉกเอาน้ำหวานด้านในลงคออย่างไม่นึกรังเกียจ รู้ได้เลยว่าการกระทำทั้งหมดมันคงทำให้นับหนึ่งแทบคลั่ง ถึงได้บีบรัดเรียวลิ้นของเขาซะแน่น

แน่นอนว่ามันก็ทำให้เขาคลั่งเช่นกัน…

“ฮ…ฮื่ออ”

เขาเลิกหยอก แล้วชักนิ้วทั้งหมดออกในคราวเดียว ใบหน้าร้อนผ่าวถึงกกหูของเขา คงเทียบไม่ได้กับร่างด้านใต้ที่กลายเป็นผลตำลึงไปเสียทุกจุด ผลตำลึงที่เขาชอบชิม…วันนี้ตั้งใจจะละเลียดกินให้หมด แม้แต่เมล็ดก็จะไม่ให้เหลือเลยเชียว

แก่นกายแข็งตั้งชันถูกดันเข้าไปภายในร่างกายเล็กๆ วันเสาร์ส่งเสียงครางต่ำหลังจากกดตัวตนของตัวเองเข้าไปจนมิด เขาสูดหายใจเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ โถมตัวกลับเข้ากอดเจ้าของกายสั่นเทิ้ม พลางพรมจูบไปทั่วใบหน้าระเรื่อหวังช่วยปลอบ

“เจ็บเหรอ” เขาถาม เมื่อสังเกตว่านับหนึ่งเอาแต่กัดปากไม่ยอมปล่อย หากก็ยังส่ายหน้าแทนคำตอบทั้งที่หัวคิ้วแทบจะขมวดเป็นโบ จนเขาต้องคลึงนิ้วลงกลางหน้าผากเพื่อคลายมันออก

วงแขนบางโอบรอบลำคอเขาไว้แทนที่พึ่งพิง ไม่รอช้า เขาโน้มหน้าลงมอบจูบลึกซึ้งให้กับเด็กน้อยที่ยังคงหายใจไม่เป็นจังหวะ นับหนึ่งเก้กังกับการพยายามตอบรับสัมผัสดุดันจากเขา แต่มันก็ช่างน่ารักจนทำให้เขายิ่งอยากแกล้งให้หนักกว่าเดิม จงใจดูดดึงริมฝีปากอิ่มแรงๆ ขณะที่อวัยวะส่วนล่างก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน

ร่างกายของเรากลายเป็นลาวาไม่ก็ลูกไฟ ค่อยๆ หลอมรวมสอดผสานกลายเป็นหนึ่ง ทุกการเคลื่อนไหวและแรงขยับ แม้จะดูหยาบโลนน่าอาย แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกรักใคร่ที่วันนี้ไม่มีใครปิดบังได้มิดอีกต่อไปแล้ว

เรากอด เราจูบ เราฝากสัมผัสให้แก่กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เคยพอ ใบหน้าหวานเห่อแดง หยาดน้ำปริ่มหางตาสีน้ำตาลเข้ม กับคราบน้ำลายจากการส่งเสียงครางไม่หยุด ทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นคนตรงหน้า คือสิ่งสวยงามอันแสนวิเศษสำหรับเขา

คุ้มค่ากับการรอคอยและทนทรมานจากบาดแผลฝังลึกในจิตใจมายาวนานมากกว่ายี่สิบปี การได้พบนับหนึ่งวันนี้ เขาว่ามันเกินคุ้ม…

ร่างบางเรียกชื่อเขาย้ำๆ ขณะที่ช่องทางคับแน่นเอาแต่ตอดรัดรับทุกการกระแทกทั้นได้เป็นอย่างดี “พ..พี่เสาร์…พี่เสาร์ ผมจะไม่ไหว แล้ว..”

“อืม…”

“อ๊ะ อ๊าา!”

แรงอารมณ์พลุ่งพล่านขับเคลื่อนเราทั้งคู่ไปสู่จุดหมายในเวลาไล่เลี่ยกัน เขากดจูบลงบนขมับชื้นเหงื่อ ก่อนจะทิ้งตัวลงกกกอดอีกฝ่ายไว้แนบชิด ฝังจมูกคลอเกลี่ยไปตามโครงหน้าเรียวเล็กซึ่งยังคงแดงซ่านน่าเอ็นดูเป็นที่สุด

แผ่นอกราบกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจหนักหน่วง เสียงหอบดังขึ้นกลบเสียงเต้นของหัวใจแทบจะมิด ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้ยินมันชัด ทั้งหัวใจของหนึ่ง และหัวใจของเขาเอง

“ฉันรักนาย” เขากระซิบมันออกมาอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าคนในอ้อมกอดชิงเข้าสู่นิทราจากความเหนื่อยอ่อนไปก่อนแล้ว

ริมฝีปากหยักทาบทับลงบนกลุ่มผมนุ่ม ก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ

ในฝันกลางวัน…เขาได้ครองคู่อยู่กับนับหนึ่งจนแก่เฒ่า หวังเหลือเกินว่าถ้าตื่นขึ้นมา ก็อยากจะให้ความจริงได้เป็นแบบนั้นเช่นกัน…



-----------------------------------------------

 

เสียงเคาะประตูจากพี่ละไมในช่วงเย็น ปลุกให้สองร่างบนเตียงรู้สึกตัว วันเสาร์อุ้มคนเด็กกว่าที่ยังสะลืมสะลือไปอาบน้ำชำระล้างกาย พร้อมจับแต่งตัวให้เสร็จสรรพ ก่อนจะลงมาประจำตำแหน่งบนโต๊ะอาหารตัวเดิม

วันนี้มีกรรเชียงปู…

พี่ละเมียดส่งสายตาหยอกล้อให้กับคุณชายคนใหม่ของบ้านอย่างรู้ทัน “คุณเสาร์เป็นคนสั่งให้พี่ไปซื้อมาเองค่ะ คุณหนึ่งต้องทานเยอะๆ เลยนะคะ”

นับหนึ่งอมยิ้ม ก่อนจะเหลือบตามองคนตรงข้ามที่เอาแต่เก๊กหน้าตายแล้วทำเป็นสนใจถ้วยแกงส้มชะอมกุ้งบนโต๊ะ นั่นยิ่งทำให้เขาเผลอยิ้มกว้างกว่าเดิม นึกอยากจะขำ แต่กลับส่งเสียงไม่ออกเมื่อจู่ๆ วันเสาร์ก็เงยหน้าขึ้นสบตากันแน่นิ่ง แววตาสีนิลทรงเสน่ห์แฝงความรู้สึกมากมายที่มีต่อเขาเอาไว้ จ้องลึกเข้ามาราวกับจะกลืนกินเสียให้ได้ กลายเป็นเขาเองที่ต้องเบือนหน้าหลบพร้อมไอร้อนที่แล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มใส

ในสมองพาลคิดย้อนไปถึงเรื่องบนเตียงเมื่อบ่าย…วันเสาร์ร้อนแรงเหมือนไฟ แต่ก็เป็นเปลวไฟที่อบอุ่นดั่งผืนผ้านวมในฤดูหนาว การกระทำทุกท่วงท่าช่างเต็มไปด้วยแรงปรารถนาอันนุ่มนวล ที่เคยบอกว่า ‘เมื่อไรก็ตามที่เขาคิดว่าวันเสาร์ใจร้าย มันก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ยังใจร้ายได้มากกว่านั้น’ คงต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ว่าเมื่อไรก็ตามที่คิดว่าวันเสาร์อ่อนโยน มันก็มีวันที่ผู้ชายคนนี้ยังอ่อนโยนได้มากกว่านั้นยิ่งขึ้นไปอีก…

ย้อนเวลากลับไปสักเดือนกว่า ตอนนั้นเขาเป็นเด็กกำพร้าในบ้านโทรมๆ หลังเก่าคร่ำครึ ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง กระทั่งวันที่ฟ้าบันดาลให้มาพบเจอคนตรงหน้าก็ยังแทบเดาไม่ออกเลยว่าจะมีความสุขได้อย่างไร แต่ใครจะเชื่อว่าขณะนี้ ทุกอย่างกลับพลิกผันไปหมด

ผู้ชายชื่อวันเสาร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยเชื่อว่าไร้หัวใจ วันนี้พิสูจน์ได้แล้วว่ามันไม่จริง…วันเสาร์ที่เขาสมควรจะเกลียด กลับถลำลึกเลยคำว่ารักไปมากมายหลายขุม กลายมาเป็นความสุขที่ช่วยเติมชีวิตขาดๆ หายๆ ของเขาจนเต็ม

หากว่าวันนั้นไม่ได้พบกัน…เขาคงเสียใจที่สุด

ฝ่ามือหนาเลื่อนแตะหลังมือของเขาเป็นเชิงสะกิดให้หลุดออกจากห้วงความคิดในหัว ริมฝีปากบางที่มักปิดคว่ำลงอยู่เรื่อย ค่อยๆ คลี่ยิ้มออก กรรเชียงปูชิ้นใหญ่สุดในจานถูกยื่นมาให้

“กินสิ หรือต้องให้ฉันป้อน”

เขาหลุดหัวเราะ แกล้งพยักพเยิดหน้าใส่ “แล้วป้อนได้ไหมอะครับ” นั่นทำให้อีกฝ่ายส่ายศีรษะทั้งที่อมยิ้มมุมปาก วันเสาร์แตะเนื้อปูขาวแน่นลงกับถ้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดเพียงเล็กน้อย ส่งมันเข้าปากเขาซึ่งอ้ารออยู่ก่อนแล้ว

ดวงตากลมส่องประกาย ฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบกรรเชียงปูอีกชิ้นป้อนกลับคืนให้ เราผลัดกันตักกับข้าวแต่ละอย่างใส่จานอีกฝั่งจนพูน

ตั้งแต่รู้จักคนชื่อวันเสาร์ หรือตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างเข้ามาในบ้านวุฒิเวคินทร์ นับจนถึงปัจจุบัน เขาคิดว่าช่วงสองสามวันหลังจากหายไข้มานี้…วันเสาร์ใจดีที่สุด แล้วก็ยิ้มเยอะที่สุดด้วย มันเป็นยิ้มที่แสนละมุน แตกต่างจากสีหน้าแววตาเย็นชาตลอดมาลิบลับ รอยยิ้ม…ที่เขาไม่เคยจินตนาการออกเลย หากเมื่อได้เห็นมันครั้งหนึ่งแล้ว ก็นึกอยากครอบครองไว้เป็นของตัวเองเพียงคนเดียวตลอดไป

ปี๊น

เสียงแตรรถยนต์ดังเรียกความสนใจจากทุกชีวิตในบ้าน แสงไฟสีส้มส่องสว่างผ่านรั้วอัลลอยด์ เพิ่งทำเขาสังเกตว่าลุงชัยกับรถตู้คันเก่งหายไปจากลานจอดรถตั้งแต่เมื่อไร ถึงได้ขับกลับมาเอาเดี๋ยวนี้

วันเสาร์เลิกคิ้ว หันมองแม่บ้านทั้งสองที่เพิ่งพากันสาวเท้าออกมาจากครัวหน้าตาตื่น พี่ละเมียดยิ้มแหยก่อนจะสารภาพ

“พอดีพวกพี่ถูกสั่งห้ามไม่ให้บอกคุณเสาร์น่ะค่ะ”

“เรื่องอะไรครับ?”

“ก็…”

ไม่ทันได้พูดจบ เฉลยของคำถามก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทันทีที่ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก พร้อมน้ำเสียงสดใสคุ้นหูยิ่งกว่าใคร ชายหญิงวัยกลางคนหน้าตาละม้ายคุณชายคนโตของบ้าน พ่วงด้วยเด็กผู้ชายท่าทางเย่อหยิ่ง อีกราย พากันพรวดพราดเข้ามากลางโต๊ะอาหาร

ในขณะที่นับหนึ่งยังคงงุนงง วันเสาร์กลับเบิกตากว้าง เกือบจะตกจากเก้าอี้

“พ่อ แม่!”

 

----------------------------------------------------------------------------------------------

กะคือน้องต้องยอมอิพี่แน่อยู่แร้ว เพราะน้องขี้ใจอ่อนมาก รักเขามาก แต่ทีมเงาแค้นไม่ต้องห่วงนะคะ คูมแมะได้เตรียมแผนให้พี่เสาร์เจ็บไว้แล้ว รอติดตามกันต่อไป (แต่ไม่เยอะมาก นี่ไม่ใช่นิยายดราม่า 5555) จริงๆ เราควรดีใจที่เขาได้รักกันสักที ลุ้นเหนื่อย อิพี่หายโง่แล้ว ต้องปิดซอยเลี้ยงฉลองรึปะ ถถถถถ

เสาร์หน้าเรางดน้า บริษัทมีจัดงานค่า ยุ่งม้าดดดดดด คือจริงๆ จะสารภาพว่าเราอยากอัพทุกเสาร์มาก เพราะถ้ายังอัพทุกเสาร์ต่อไปได้เรื่อยๆ ตามแพลน ตอนสุดท้ายจะได้ลงวันเสาร์ที่หนึ่ง (มิถุนา) พอดี T___T แต่เราว่าเราคงทำไม่ได้แล้ว มันกดดันตัวเองเกินไป เราแต่งไม่ทัน ฮือออ เสียใจแต่ทำไรไม่ได้ ยังไงก็ขอกำลังใจจากทุกๆ คนด้วยนะคะ เลิฟฟฟฟ ❤


 

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
เด็กชายคนนั้นคือใคร รอติดตาม :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ piiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-2
อุแงงงง มาตอนไหนก็รอได้ค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
จะเกิดอะไรขึ้นอีกก

รอเสมอนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :)

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง ยี่สิบ

 

“พ่อ แม่ จะกลับมาทำไมไม่บอกล่ะครับ” คนตัวสูงลุกขึ้นตรงเข้าหาผู้ใหญ่ทั้งสอง

“ก็แม่อยากมาเซอร์ไพรส์ลูก”

“นี่ใครครับ” สายตาประหลาดใจเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย ขณะหันมองเด็กผู้ชายที่ติดสอยห้อยตามผู้ปกครองของเขามาด้วย เจ้าของใบหน้าสดใสหุบยิ้มลงแทบจะทันที

“นี่ตะวันไงเสาร์ จำไม่ได้เหรอ ลูกน้าเพ็ญ เพื่อนแม่กับพ่อ”

“จำไม่ได้ครับ” วันเสาร์ตอบกลับโดยไม่ต้องคิดเล่นเอาคนเป็นแม่หน้าถอดสี ก่อนจะหันไปดึงตะวันเข้ามายืนใกล้ๆ พอดีกับที่เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีเด็กแปลกหน้าอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน

“แล้วนี่ใครล่ะเนี่ย”

“เอ่อ” นับหนึ่งรีบลุกออกจากเก้าอี้ พาตัวเองไปยืนหลบมุมอยู่หลังแม่บ้านเก่าแก่ทั้งสองซึ่งเอาแต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าคุณชายของพวกเธอจะตอบว่ายังไง

คนตัวสูงเป็นฝ่ายเคลื่อนตัวเข้ามาดึงแขนเรียวเล็กออกจากมุมมืด เพื่อให้เห็นหน้าพ่อกับแม่ของเขาชัดๆ ทั้งสองฝั่งต่างสบตากันโดยไม่มีใครเริ่มพูดอะไร จนกระทั่งวันเสาร์ต้องเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน

“นี่นับหนึ่งครับ” สมองกำลังประมวลผลอย่างถี่ถ้วนว่าควรจะเริ่มต้นแนะนำด้วยคำไหนดี แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาควรบอกไว้ก่อนว่าตอนนี้นับหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะไหน ซึ่งท่านทั้งสองคงต้องประหลาดใจแน่ “เป็นคนรั..”

“เป็นเด็กที่พี่เสาร์รับมาเลี้ยงครับ”

ห้ะ?

คำว่า ‘ห้ะ’ ตัวใหญ่เบ้อเริ่มผุดขึ้นกลางหน้าผากของเขา ของพี่ละเมียด พี่ละไม รวมทั้งของพ่อกับแม่ หรือแม้แต่ตะวันนั่นด้วย สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังคนที่เพิ่งหลุดปากพูดอะไรไม่รู้เรื่อง

“หมายความว่ายังไง” พ่อถามขึ้นท่ามกลางความงุนงงของทุกฝ่าย และนั่นก็เป็นคำเดียวกับที่เขาอยากเขย่าตัวถามเด็กข้างกายด้วยเช่นกัน

นับหนึ่งกลอกตาลอกแลก มือไม้อยู่ไม่สุขขณะพยายามคิดหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ น้ำเสียงกระอึกกระอักที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักกะผีกเดียวยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด

“คือว่า…ผมเป็นเด็กกำพร้าครับ หลังจากป้าผมเสีย พี่แถวบ้านก็พาผมไปรู้จักกับพี่เจ ผมเลยบังเอิญได้มาเจอพี่เสาร์ แล้วพี่เสาร์ก็รับผมมาอุปถัมภ์อะครับ”

แอบเห็นว่าทั้งแม่และพ่อต่างยกนิ้วขึ้นมานับ ในใจคงกำลังไล่เรียงลำดับประโยคยาวเหยียดเมื่อครู่ไปมา ก่อนที่แม่จะทวนคำถามซ้ำอีกครั้ง

“สรุปว่าตาเจเป็นคนพาหนูมาเจอเสาร์ แล้วเสาร์ก็เลยรับหนูมาเลี้ยงยังงั้นเหรอ”

นับหนึ่งผงกศีรษะลง ในขณะที่เขาส่ายหน้าอย่างหมดความอดทน ตรงเข้าบีบต้นแขนอีกฝ่ายไว้พลางส่งคำถามผ่านทางสายตาดุดัน นับหนึ่งกัดริมฝีปากแล้วช้อนตามองเขาเหมือนต้องการจะร้องขอให้ช่วยตามน้ำ ซึ่งเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม

มือบางเลื่อนขึ้นแตะหลังมือเขา ค่อยๆ แกะตัวเองออกจากการเกาะกุม ใบหน้าอึดอัดใจดูคล้ายกับว่าจะระเบิดน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ ทำเอาเขาไม่กล้าแม้แต่จะเถียง ถึงจะรู้ดีว่าคำโป้ปดพวกนั้นมันฟังไม่ขึ้น และแน่นอนว่าพ่อกับแม่ของเขาไม่มีทางเชื่อ

เด็กนี่คิดว่าเขาเป็นใคร นาวาเหรอ หรือว่าพระพุทธเจ้า ถึงจะได้เอะอะไปรับเด็กกำพร้าน่าสงสารมาชุบเลี้ยงอย่างกับมูลนิธิไม่ก็สถานสงเคราะห์

“เอ่อ แม่ไม่รู้เลยว่าเสาร์จะใจบุญขนาดนี้”

เขาเลือกที่จะเงียบ และทุกคนก็คงสังเกตได้ว่าบรรยากาศมันชักจะย่ำแย่ลงทุกที พี่ละไมถึงได้กล้าโพล่งออกมากลางปล้อง ซึ่งก็นับว่าขอบคุณมาก

“ละ แล้ว..คุณพจน์กับคุณนายทานอะไรมาหรือยังคะ”

“เรียบร้อยแล้วจ้ะ” อดีตนางนพมาศประจำจังหวัดอย่าง วรวรรณ ในวัยสี่สิบกว่า เหลือบตามองอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะรีบดันหลังทุกคนให้นั่งล้อมวงกันบนนั้น “เสาร์กับนับหนึ่งทานข้าวต่อเถอะ ตามสบายนะ”

วันเสาร์และนับหนึ่งกลับเข้าประจำที่ คนเป็นแม่ทิ้งตัวลงข้างสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ฝ่ายพ่อจับจองเก้าอี้หัวโต๊ะ ปล่อยให้ตะวันนั่งอยู่ข้างกับลูกชายคนโต หัวหน้าครอบครัวผายมือไปทางวัยรุ่นเจ้าของผมสีน้ำตาลอมส้มตามประสาเด็กนอกซนๆ ที่จากบ้านเกิดไปตั้งแต่เด็ก

“ช่วงที่พ่อกับแม่อยู่นี่ ตะวันจะมาพักที่บ้านเรานะเสาร์ ฝากลูกดูแลน้องด้วยล่ะ”

กรรเชียงปูอีกหลายชิ้นถูกวางใส่จานของนับหนึ่งด้วยฝีมือคนตรงข้าม วันเสาร์แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ จนคนเป็นพ่อต้องกระแอมไอหนักๆ ก่อนจะหันไปเอาความจากแม่บ้าน

“ตะวันจะนอนที่ไหนดี ห้องรับรองว่างไหม”

“เอ่อ ตอนนี้คุณหนึ่งพักที่ห้องรับรองอยู่ค่ะ”

“อ่าวเหรอ”

“เอ่อ ผมลงมานอนที่ห้องนั่งเล่นก็ได้นะครับ” นับหนึ่งแทรกขึ้น ตามด้วยน้ำเสียงร่าเริงของคนที่อยู่ในประเด็น “ไม่เป็นไรครับ ผมนอนกับพี่เสาร์ก็ได้”

ทุกคนหันมองกันไปมาเหมือนกำลังใช้ความคิด สุดท้ายก็จบลงด้วยคำพูดไร้เยื่อใยจากเจ้าของนัยน์ตาสีนิลแฝงอารมณ์หงุดหงิดปนรำคาญ “ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบนอนกับคนแปลกหน้า"

หญิงวัยกลางคนยิ้มเจื่อน เป็นอีกครั้งที่เจ้าลูกชายจอมเย็นชาเล่นหักหน้าเธอแบบไม่สนใจจะแคร์โลก สายตาเป็นกังวลเหลือบมองตะวันที่เริ่มแสดงท่าทีขุ่นเคืองระคนผิดหวัง

“ผมย้ายมานอนห้องนั่งเล่นดีกว่าครับ คุณตะวันใช้ห้องรับรองได้เลย” นับหนึ่งยกมือขึ้นกลางอากาศ พยายามสรุปทางออกที่น่าจะเหมาะสมที่สุด

 “แต่..”

ตะวันทำท่าจะขัดอีก หากก็ยังช้ากว่าพี่ละเมียดที่รีบแทรกขึ้นก่อน ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ลงมาโปรด

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปจัดหมอนกับผ้าห่มให้คุณหนึ่งนะคะ” เธอก้มหัว หันไปพยักเพยิดหน้าให้กับคู่หูที่เข้าขากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย “ละไมยกกระเป๋าคุณตะวันขึ้นไปบนห้องรับร้องให้ทีนะ”

คนตัวเล็กนึกอยากจะไหว้พี่ทั้งสองเดี๋ยวนั้น แอบเห็นวันเสาร์ยกยิ้มนิดๆ ก่อนจะกลับมาปั้นหน้าขรึมตามเดิม เมื่อไม่มีใครดันทุรังอะไรต่อ ผู้หญิงหนึ่งเดียวในนี้จึงเริ่มหยิบยกประเด็นอื่นเข้ามาในวงสนทนาหวังช่วยคลายบรรยากาศอึดอัดแปลกๆ

ต้องยอมรับว่าวรวรรณกับพจน์เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่พยายามจะชวนทั้งเขาและตะวันคุยเรื่องต่างๆ เขาถูกซักประวัติพอประมาณ ตามด้วยสายตาสงสารที่มีให้

“โชคดีที่เสาร์รับหนูมาอยู่ด้วย” ฝ่ามือหยาบจากการทำงานเอื้อมลูบแขนเขาอย่างนึกเอ็นดู เขาแย้มยิ้มเป็นการตอบกลับ จะว่าเขินก็ใช่ แต่จะว่าแสลงหูก็ด้วย เวลาได้ยินคุณนายของบ้านเรียกเขาว่า ‘หนู’ เหมือนกับเด็กๆ

เธอหยุดจ้องมองเขาแน่นิ่งอยู่หลายวินาที ก่อนจะหันไปสบตากับคนเป็นสามี แล้วเริ่มพูดต่อ “จะว่าไปก็ไม่แปลกนะที่เสาร์จะรับหนึ่งมาเลี้ยง”

“นั่นสิ” พจน์เสริม

“หนูรู้ไหม เมื่อก่อนวันเสาร์ก็เคยพาเด็กกำพร้าคนนึงกลับบ้านเหมือนกัน”

เขาพยักหน้าลง รู้ได้ทันทีว่ากำลังหมายถึงใคร “พี่ศุกร์ใช่ไหมครับ”

“ใช่ หนูเคยเจอศุกร์หรือยัง”

“เคยแล้วครับ พี่ศุกร์ใจดีมากเลย ใจดีเหมือนคุณนายเลยครับ”

“ตายแล้วเด็กคนนี้” วรวรรณยิ้มขำพลางทาบมือลงกับอก เธอหันมองพจน์ที่กำลังยิ้มกว้างไม่แพ้กัน ไล่สายตาไปทางวันเสาร์ซึ่งเอาแต่สังเกตการณ์อยู่ตลอด ก่อนจะกลับมาจบที่ใบหน้าอ่อนหวานที่เธอนึกถูกชะตานัก “พูดจาน่ารักจริงๆ แต่ว่านะ ไม่ต้องเรียกคุณนายหรอกจ้ะ”

“เอ่อ งั้น…คุณป้า เหรอครับ?”

เธอส่ายหน้า “หนูเรียกแม่เลยก็ได้นะ ถ้าเข้ามาอยู่บ้านนี้แล้วก็เหมือนแม่มีลูกชายอีกคนนั่นแหละ”

“อะ..เอ่อ…”

วันเสาร์หลุดยิ้มให้กับท่าทางอึกอักของคนตรงข้าม ใจจริงเขาอยากรีบเสริมว่า ไม่ใช่ลูกชายสักหน่อย แต่ว่าเป็นลูกสะใภ้ต่างหาก แต่ก็ต้องเงียบไว้ในเมื่อดูเหมือนว่านับหนึ่งจะยังไม่อยากให้เขาเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้สักเท่าไร

“แต่พูดก็พูดเถอะ นับหนึ่งมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนแล้ว ทำไมไม่เคยมีใครบอกแม่กับพ่อเลย”

คนเป็นลูกชะงักไปนิดกับคำถาม ถูกสายตาคาดคั้นจากผู้ใหญ่ทั้งสองจ้องมองไม่กะพริบ ความจริงเขาไม่เคยคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างเขากับนับหนึ่งจะดำเนินมาถึงจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะตกหลุมรักเสียลึกขนาดนี้ ถึงได้สั่งคนใช้ทุกคน รวมถึงศุกร์ นาวา และเจนภพ ไม่ให้บอกเรื่องที่เขาพาหนึ่งเข้าบ้านกับพ่อแม่ เพราะถ้าเขาเกิดเบื่อจะเล่นสนุกแก้เซ็งแล้วทิ้งนับหนึ่งกับเงินล้านไป มันก็คงกลายเป็นแค่เรื่องไม่สำคัญที่พ่อกับแม่ไม่จำเป็นต้องรู้

แต่ทุกอย่างมันกลับตาลปัตร…นอกจากไม่คิดจะเบื่อแล้ว เขาก็ไม่คิดจะทิ้งเด็กคนนี้ไปไหนด้วย

“ผมก็ตั้งใจจะบอกอยู่ แต่ยังไม่มีโอกาส” วันเสาร์ไม่วายสวนกลับ “ทีพ่อกับแม่จะกลับบ้านยังไม่บอกผมเลย”

วรวรรณหรี่ตามองลูกชายตัวเองอย่างจับผิด ก่อนจะหันไปชวนเด็กหน้าละอ่อนทั้งสองคนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อ จวบจนท้องฟ้าด้านนอกกลายเป็นมืดสนิทถึงได้ฤกษ์แยกย้ายไปยังห้องนอนของใครของมัน

ละเมียดจัดการขนข้าวของจำเป็น รวมทั้งเสื้อผ้าของนับหนึ่งไปไว้ในห้องของวันเสาร์อย่างรู้งาน หมอนหนึ่งใบกับผ้าห่มอีกผืนถูกตระเตรียมไว้บนโซฟาตัวยาวเรียบร้อยแล้ว พร้อมแก้วบรรจุดอกปีบนับสิบก้านในนั้น ก็จรลีลงมาอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยในห้องนั่งเล่นเช่นกัน

“ขอบคุณมากนะครับพี่ละเมียด” คนตัวเล็กก้มหัวลงหลายที ก่อนจะรับเอาแก้วโกโก้ร้อนมาไว้ในมือ

“คุณหนึ่งทนนอนโซฟาหน่อยนะคะ พี่ว่าคุณตะวันน่าจะอยู่ไทยแค่อาทิตย์เดียว เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ นอนตรงนี้ก็สบายดี”

หญิงร่างท้วมยิ้มรับให้กับคำตอบแสนนอบน้อมอย่างเคย เธอกำลังจะหันหลังกลับแต่ก็ถูกเสียงเล็กๆ รั้งไว้ก่อน

“เอ่อ พี่ละเมียด”

“คะ?”

“คุณตะวันเขา…ชอบพี่เสาร์เหรอครับ”

เธอหลุดหัวเราะในที “ก็เหมือนจะใช่นะคะ แต่คุณหนึ่งอย่ากังวลไปเลยค่ะ คุณเสาร์รักคุณหนึ่งจะแย่”

“ระ..รักอะไรกันครับ”

“แหม อย่าคิดว่าพวกพี่ไม่รู้นะคะ” นับหนึ่งเม้มปาก หลุบตาหลบท่าทางหยอกล้อจากอีกฝ่าย ใบหน้าขึ้นสีหม่นลงเมื่อได้ยินคำถามถัดมา “จริงสิ แล้วทำไมเมื่อกี้คุณหนึ่งไปบอกคุณนายแบบนั้นล่ะคะ”

“บอกแบบไหนครับ”

“ก็ที่บอกว่าเป็นเด็กที่คุณเสาร์อุปถัมภ์ไงคะ”

“ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นี่ครับ ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย”

“แต่ว่าตอนนี้คุณหนึ่งเป็นมากกว่านั้นไม่ใช่เหรอคะ คุณเสาร์เองก็น่าจะอยากบอกคุณนายเรื่องคุณหนึ่งด้วย ท่าทางแกโกรธอยู่นะคะที่ได้ยินคุณหนึ่งตอบแบบนั้นน่ะ”

เด็กน้อยเบะปากทันทีที่ได้ยินว่าวันเสาร์อาจจะโกรธ ซึ่งเขาเองก็เดาไว้แล้วว่าคงเป็นงั้น แต่จะให้ทำยังไงได้ เขายังไม่พร้อมบอกพ่อกับแม่ของวันเสาร์ว่าตัวเองเป็นอะไรที่สำคัญมากกว่านั้นนี่น่า ทุกอย่างมันกะทันหันเกินไป อีกทั้งกลัว ทั้งกังวล ตีรวนกันในสมองจนปวดหัวไปหมด แค่ วันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ รับเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาอยู่ในบ้าน นั่นก็น่าครหามากพอแล้ว ครั้นจะให้เขาไปป่าวประกาศว่าตัวเองคือคนที่วันเสาร์บอกว่ารัก ทั้งที่เป็นแค่อดีตเด็กขายปอนๆ ไม่มีอะไรคู่ควรสักอย่าง เอาจริง…เขาไม่กล้าพูดหรอก

“ไม่รู้นะคะว่าคุณหนึ่งกังวลอะไรอยู่ แต่พี่ว่าอย่าคิดมากดีกว่า คุณพจน์กับคุณนายใจดีแล้วก็ใจกว้างมากๆ เลยนะคะ” พี่ละเมียดเข้ามาตบบ่าเขาสองสามที พูดจาเสมือนอ่านความคิดเขาออกทุกอย่าง

รอยยิ้มบางเบาเผยออก ก่อนจะก้มหัวราตรีสวัสดิ์ ประตูบานขุ่นเลื่อนปิดลง หลงเหลือไว้เพียงความเงียบยามค่ำคืน เขาลอบถอนหายใจยาวเหยียด พาตัวเองขึ้นไปนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟากำมะหยี่ตัวประจำ พยายามทบทวนว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมันถูกหรือผิดกันแน่

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณพจน์กับคุณวรวรรณรังเกียจเด็กอย่างเขา จะถูกไล่ออกไปจากที่นี่ไหม จะต้องพรากจากวันเสาร์หรือเปล่า หรือว่ามีอะไรแย่กว่านั้น

เขาไม่พร้อมเผชิญหน้ามัน…

ก๊อกๆ

ใครบางคนเลื่อนประตูไร้กลอนออก ทำให้เขาต้องรีบเอี้ยวตัวกลับไปมอง ไม่ใช่พี่ละเมียด…แต่เป็นคุณชายที่ควรจะนอนอยู่บนห้องชั้นสอง

ผู้ชายในความคิดสาวเท้าตรงเข้ามา สีหน้าถมึงทึงบ่งบอกว่ากำลังอารมณ์เสียมากแค่ไหน

“พี่เสาร์ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“มี” เจ้าของร่างโปร่งทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาบนโซฟาตัวเดียวกัน และทั้งๆ ที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย สิ่งแรกที่ทำกลับเป็นการขโมยจูบเขาอย่างหน้าตาเฉย

“ฮื่อ..”

ปากหยักบดขยี้เข้าหาจนเขาต้องใช้มือข้างหนึ่งยันตัวเองไว้กับเบาะนุ่ม อีกข้างแตะลงบนไหล่กว้างที่ทำท่าจะโถมทับลงมาเสียให้ได้ ไอร้อนแล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มขาวใสจนกลายเป็นแดงระเรื่อ ลมหายใจอุ่นๆ รดรินเพียงใกล้พาลให้ความคิดฟุ้งซ่านเมื่อครู่ถูกดูดกลืนหายไปหมด

“พี่เสาร์ พอก่อนครับ” เขารีบเบรกเมื่อมีจังหวะผละออกจากกัน ไม่อย่างนั้นคงได้เลยเถิดจนไม่ต้องนอนกันแล้วแน่ๆ

เรียวตาคมเข้มเต็มไปด้วยคำถาม ราวกับเดจาวู “ทำไมถึงตอบพ่อกับแม่ฉันแบบนั้น”

“ผมก็แค่พูดไปตามจริง มีตรงไหนไม่จริงบ้างอะครับ”

“พูดจริง แต่พูดไม่หมด”

เขายู่ปากเหมือนเด็กๆ เวลาโดนผู้ปกครองเรียกไปอบรม “ก็ผมกลัวนี่น่า”

“กลัวอะไร”

“ก็…กลัวพ่อแม่พี่เสาร์ไม่ยอมรับเรื่องของเรา”

หัวคิ้วหนาขมวดยุ่ง ก่อนจะดีดหน้าผากเขาไปทีไม่แรงนัก “ไร้สาระ”

“ไม่ไร้สาระนะครับ พี่เสาร์ไม่คิดบ้างเหรอว่าพ่อกับแม่พี่จะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าผมเป็น…”

เออ เป็นอะไรอะ

“เป็น…” เขาเริ่มส่งเสียงกระอึกกระอัก “เอ่อ เป็นอะไรอะครับ”

เสียงจิ๊ดังลอดจากลำคอหนา ปลายนิ้วชี้เรียวยาวแตะเชยคางเข้าขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายอยู่บนโครงหน้าหล่อเหลาชวนละลาย “เป็นอะไร…ต้องให้ทบทวนอีกรอบไหม”

“อึ่ก”

มือข้างเดียวกันนั้นเปลี่ยนไปจับมือเขาไว้ ก่อนจะนำมันแนบเข้ากับหน้าอกซ้ายของตัวเอง สัมผัสได้ถึงแรงสูบฉีดของอวัยวะด้านในที่เริ่มเต้นเป็นจังหวะเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“เป็นสมบัติ…” เขาสตันท์เมื่อได้ยิน แต่ก็ยังเลือกหุบปากแล้วฟังต่อ “เป็นเมีย”

ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ใบหูทั้งสองข้างร้อนผ่าว

“เป็นคนพิเศษ เป็นคนสำคัญ…แล้วก็ เป็นของฉันด้วย” จบคำพูดนั้น สัมผัสนุ่มหยุ่นก็ทาบทับลงมาอีกระลอก พร้อมกับที่เขายินยอมตอบรับคำเชื้อเชิญแสนหวานชวนให้หัวใจเต้นระส่ำ

วันเสาร์ ในตอนที่จริงใจขนาดนี้ ดูเหมือนจะทำอันตรายเขาได้มากกว่าตอนเย็นชาเสียอีก…

เราผละออกจากกันอ้อยอิ่ง วงแขนแกร่งโอบรั้งเอวบางเข้าหา น้ำเสียงอ่อนลงพยายามอธิบายให้เด็กในอ้อมกอดวางใจ “ไม่เห็นต้องกลัวเลย ถ้าพ่อกับแม่รู้ว่าฉันมีคนรัก ท่านน่าจะดีใจด้วยซ้ำ”

“แต่ผมเป็นแค่เด็กกำพร้า ไม่มีอะไรคู่ควรกับพี่เสาร์เลย ท่านจะยอมรับได้ยังไงกันครับ”

“อย่..”

“แล้วถ้าเกิดท่านไล่ผมออกจากบ้านล่ะ”

“นี่…”

“หรือท่านจะจับพี่เสาร์คลุมถุงชน ถ้าพี่ต้องไปแต่งงานกับคนอื่นผมจะทำยังไงอะ”

“นับหนึ่…”

“แถมผมยังเคยเป็นเด็กขายมาก่อนอีก ถ้าพ่อกับแม่พี่รู้เรื่องนี้คงหัวใจวายแน่ๆ…”

“นับหนึ่ง!” คนโตกว่าหลุดตะคอกจนอีกฝ่ายชะงัก วันเสาร์ส่ายหน้าระอาแล้วจงใจกดเสียงขู่ “ถ้ายังไม่หยุดพูดเรื่องนี้ ฉันจะตีนาย”

เสียงน้ำลายก้อนใหญ่ถูกกลืนลงคอดังอึก เด็กน้อยเม้มปากแน่นแทบจะทันที ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกันอีกจนกว่าจะใจเย็นลง

นับหนึ่งที่กลับมามีสติครบถ้วนค่อยๆ เงยหน้าสบดวงตาเรียวแฝงความห่วงใยอยู่เต็มเปี่ยม ปากอิ่มเผยอออก เอื้อนเอ่ยเสียงแผ่วอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ก็ผมกลัวว่าจะไม่ได้อยู่กับพี่…” เด็กน้อยสูดหายใจ แล้วพาตัวเองซบลงแนบชิดลาดไหล่กว้าง ไม่รู้ว่าเพราะกำลังกังวล หรืออยากจะอ้อนกันแน่

เจ้าของไหล่หนาพ่นลมออกจากปาก กระชับวงแขน พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะทุยเพื่อปลอบขวัญ “ไม่ต้องคิดมาก แล้วก็ไม่ต้องคิดไปเองด้วย”

เขาย้ำชัด ก่อนจะยื่นคำขาด

“งั้นฉันจะให้เวลานายเตรียมใจสัก 3 วัน หลังจากนั้นฉันจะไปบอกพ่อกับแม่เรื่องความสัมพันธ์ของเรา”

แววตาสีน้ำตาลเข้มวูบไหว หัวคิ้วย่นเข้าหากันอย่างไม่มั่นใจนัก หากก็ไม่กล้าเถียง เขาเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง หลุดปากถามอะไรที่ฟังดูงี่เง่าอีกจนได้ “แล้วถ้าพวกท่านไม่ยอมรับผมล่ะครับ”

“มันจะไม่เกิดขึ้นแน่” วันเสาร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่สิ่งที่ทำให้เขาคลายความกังวลลงบ้างกลับเป็นประโยคหยอกเล่นถัดมา “แต่ถ้าพ่อกับแม่ไม่ยอมรับ…ฉันก็จะพานายหนีไปเลย ดีไหม”

ในที่สุดเขาก็ยิ้มออก คนตรงหน้าเองก็ด้วย เราสบตาอย่างรู้ทัน ยื่นปากแตะกันผะแผ่ว ทว่าย้ำๆ อยู่หลายครั้ง เขาชอบเวลาวันเสาร์จูบเขาไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม เร่าร้อน อบอุ่น ดุดัน หรือว่านุ่มนวล เขาตกหลุมรักและหวงแหนทุกจูบจากผู้ชายคนนี้

“อื้อ” รีบถดตัวหลบ เมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วเรียวที่กำลังไล่ปลดกระดุมเสื้อนอนอย่างชำนิชำนาญ “พี่เสาร์จะทำอะไรครับ ไม่เอานะ”

“แค่นิดเดียว”

มือข้างเดียวกันผลักเขาแค่เบาๆ ก็ล้มลงนอนราบกับโซฟาตัวนุ่ม และถึงจะอยากขัดขืนเท่าไร ยังไงก็แพ้เรี่ยวแรงของร่างหนาด้านบนอยู่ดี ริมฝีปากบางลากวนอยู่กับแผ่นอกขาว กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจถี่รัวขึ้นทุกขณะ วันเสาร์ดูดเม้มฝากรอยรักหนักๆ ไว้กับอกซ้ายของเขาจนมันกลายเป็นจุดช้ำสีแดงกล่ำ ก่อนจะผละตัวออก ปลดกระดุมชุดนอนตัวเอง เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดแต่พอดี เขาถูกดึงแขนกลับขึ้นนั่งตีหน้าฉงนอยู่ได้ไม่ทันไร พวงแก้มเนียนก็เห่อแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกง่อม

คนตัวสูงแตะรอยบนอกเขา ก่อนจะดึงมือกลับไปแตะอกตัวเอง โน้มหน้าเข้ามากระซิบข้างหูเสียงกระเส่า “ทำให้ฉันบ้าง”

ความร้อนแล่นริ้วไปแทบทุกอณูของร่างกาย เดาได้เลยว่าตอนนี้ใบหน้าเขาคงแดงมากถึงมากที่สุด เป็นอีกครั้งที่ต้องใช้ความพยายามในการกลืนก้อนบางอย่างลงคออย่างยากลำบาก เขานั่งตัวแข็งทื่อ ลังเลอยู่นานโดยที่อีกฝ่ายก็เพียงแค่อยู่เฉยๆ เหมือนกำลังรอ

ในที่สุดเขาก็ยอมเอื้อมมือเข้าเกาะกุมต้นแขนทั้งสองข้างไว้แน่น รู้สึกว่าหัวสมองมันขาวโพลน พอๆ กับที่ดวงตาทั้งคู่พร่ามัว ปลายนิ้วไหวเกลี่ยไปตามร่องกล้ามเห็นชัด เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ผ่านลำคอแห้งผากอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ทาบริมฝีปากสั่นระริกลงกับแนวสันกราม ไล้ลงมาถึงลูกกระเดือก ไหปลาร้า และหยุดลงตรงต้นกำเนิดเสียงดัง ตึก ตัก น่าประหลาดใจ

มันยิ่งทำให้เขาประหม่า อุณภูมิในตัวสูงขึ้นจนแม้แต่ปลายนิ้วก็ยังกลายเป็นอุ่นร้อน เขาออกแรงดันร่างหนักอึ้งลงหนุนกองผ้าห่มตรงนั้น ก่อนจะตามไปขบเม้มผิวกายของอีกฝ่ายแรงๆ จนมันเริ่มเกิดเป็นรอยคล้ายกับที่วันเสาร์เอาแต่ฝากฝังไว้บนร่างของเขาแทบจะทุกส่วน เขาดูดสลับกับกดจูบไปยังจุดเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าที่มันจะกลายเป็นสีแดงฉายชัดอยู่บนแผงอกแกร่ง

วันเสาร์ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจในผลงานจากเด็กไม่ประสีประสา แต่ก็นับว่ามีความพยายามในระดับที่ควรค่าแก่การให้รางวัล เจ้าของร่างสูงโปร่งยันตัวเองขึ้นขัดสมาธิตามเดิม เอื้อมมือเกลี่ยผมหน้าม้าตัดตรงให้พ้นจากใบหน้าหวานใสที่ขณะนี้กลับแดงปลั่งน่าเอ็นดู เขาสอดนิ้วผ่านกลุ่มผมหยักศกอ่อนๆ ฝากจูบสุดท้ายไว้กับหน้าผากมน สองสายตาของเราต่างสบประสานอย่างมีความหมาย ก่อนที่จะโผเข้าสู่อ้อมกอดของกันและกันราวกับไม่ต้องการให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้น

“ฉันนอนที่นี่เลยได้ไหม”

นับหนึ่งยู่ปาก “ผมก็อยากนอนกับพี่ แต่ว่าคงไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวใครจะมาเห็นเข้า”

“ก็ให้เขาเห็นเลยสิ”

“ไหนว่าจะให้เวลาผมเตรียมใจ 3 วันไง” เสียงจิ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์ดังตามมาติดๆ

เรานอนกอดกันอีกสักพักใหญ่ กว่าคุณชายจะยอมลากลับขึ้นห้องตัวเองทั้งที่ใจจริงแล้วไม่มีใครอยาก ผ้าห่มผืนหนาไม่ใช่ตัวช่วยสร้างความอบอุ่นให้เขาในค่ำคืนนี้ หากแต่เป็นสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่และริมฝีปากนุ่มหยุ่นคุ้นเคยที่ฝากเอาไว้ เขาวางมือทาบลงบนอกซ้ายตัวเอง ร่องรอยแดงชัดเป็นหลักฐานตีตราว่าหัวใจดวงน้อยเป็นของใคร

แอบคลี่ยิ้มเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เพราะว่านั่นหมายความว่า หัวใจของผู้ชายชื่อวันเสาร์ ก็ถูกสลักไว้ให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน

ร่างบางกระชับผ้าห่ม ปล่อยตัวเองจมลงสู่ฝันดี

รัตติกาลยังคงดำเนินหมุนต่อ เงาตะคุ่มของใครบางคนเผยตัวออกจากเสาต้นใหญ่ ดวงตาเรียวเล็กบรรจุหยาดน้ำคลอหน่วย สองมือกำหมัดแน่น จับจ้องไปยังประตูบานเลื่อนสีด้าน ภาพบาดตาบาดใจของคนที่เขาแอบหลงปลื้มตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนกับเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่มาแอบพลอดรักกันอยู่ในห้องนั่งเล่น และคิดตื้นๆ ว่าคงไม่มีใครเห็น เป็นดั่งเชื้อเพลิงจุดชนวนความโกรธระคนน้อยใจ นำพาเอาความชิงชังทั้งหลายเข้ากัดกินตัวเองทีละนิด

สิบปีที่แล้ว เขาสำเนียกได้ว่าไม่มีทางเอาชนะน้องชายสุดที่รักของวันเสาร์ได้เลย สิบปีถัดมา เขามีหวังอีกครั้งหลังจากทราบข่าวเรื่องวันศุกร์กำลังคบผู้ชายคนอื่น หากว่าทุกอย่างกลับผิดแผนเมื่อวันเสาร์ที่สมควรจะตายด้านกลายเป็นหิน กลับเก็บซ่อนใครบางคนเอาไว้ข้างกายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจคาดเดาได้

ทั้งที่เขาตั้งใจเดินทางมาเพื่อหวังจะได้เป็นคนที่ละลายภูเขาน้ำแข็ง แต่กลับพบว่ามีใครคนอื่นทำสำเร็จตัดหน้าไปก่อนแล้ว

มันน่าผิดหวัง เสียใจ แล้วก็น่าโมโหด้วย...

เด็กกำพร้าไม่มีที่ไปอย่างนับหนึ่งคนนั้นมีดีแค่ไหนกัน ถึงได้มีสิทธิ์กอบกุมหัวใจวันเสาร์เสียอยู่หมัด หัวใจที่ไม่เคยมีใครได้ไป และคิดไม่ออกว่าใครจะได้ไป แล้วทำไม...กลับเป็นนาย

ไม่ยุติธรรมเลย

 


---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------



ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
---------- ต่อ ----------



ภายในห้องนอนขนาดกว้างขว้าง เตียงไม้หลังใหญ่ยวบลงตามแรงเคลื่อนตัว วรวรรณในชุดนอนผ้าซาตินพลิกกายเข้าหาคนเป็นสามีซึ่งดูท่าว่าจะยังไม่หลับเช่นเดียวกัน

เธอชวนคุยขึ้นท่ามกลางความเงียบ “คุณพจน์”

“ฮึ”

“คุณว่าตะวันคิดยังไงกับเสาร์”

พจน์ลืมตา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาลองครุ่นคิดปฏิกิริยา อาการต่างๆ ของลูกเพื่อนเก่า ไม่ทันไรก็ได้ข้อสมมติฐาน “น่าจะชอบเสาร์”

“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่ขอมาพักที่บ้านเรา แถมยังเอาแต่ถามเรื่องเสาร์มาตลอดทางเลยด้วย”

“แล้วคุณคิดยังไงล่ะ”

“ฉันว่าตะวันก็น่ารักดีนะคะ แต่เสาร์ดูไม่สนใจสักเท่าไรเลย”

ชายวัยกลางคนหัวเราะ “คุณก็รู้ว่าลูกเราเป็นคนยังไง จะให้ยิ้มแย้มต้อนรับคนอื่นเหรอ อย่าหวัง”

“ก็จริงค่ะ” เธอเว้นช่วง อะไรบางอย่างผุดขึ้นมาในใจ “แต่ฉันว่าเสาร์ดูเปลี่ยนไปนะ”

“อืม ผมก็รู้สึก สีหน้าแววตาเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นเยอะ”

คนตรงหน้าผงกหัวอยู่หลายที ไม่รู้เพราะว่าเธอกับสามีไม่ได้เจอหน้าลูกชายตลอด พอกลับมาเลยเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดหรือเปล่า แต่วันเสาร์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจนสัมผัสได้ชัดเจน โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญในบ้านกันติกรณ์เมื่อหลายเดือนก่อน วันเสาร์ก็แทบจะกลายเป็นแค่ร่างไร้วิญญาณ แต่ว่าคนเมื่อครู่ที่เธอเจอ คือวันเสาร์ในแบบฉบับที่แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังแทบไม่เคยเห็น

ลูกชายของเธอไม่ได้เย็นชากับทุกคนยกเว้นวันศุกร์อีกต่อไปแล้ว...

“คุณคิดเหมือนฉันไหม”

ทั้งสองคนต่างสบตากันเหมือนรู้ทัน ก่อนที่พจน์จะพยักหน้าลง “หมายถึงเรื่องนับหนึ่งรึเปล่า”

“ใช่ค่ะ” สายตาที่วันเสาร์มองนับหนึ่งมันดูใจดี และมันดูอ่อนโยนจนเธอเกือบขนลุกทีเดียว “ฉันว่ามันแปลกๆ เอาจริงก็ยังไม่เชื่อนะว่าเสาร์จะรับหนึ่งมาอุปการะแค่เพราะว่าเป็นเด็กกำพร้าที่ตาเจพามารู้จักน่ะ”

“เชื่อเลยว่าไม่ใช่แค่นั้นแน่ อย่างกับว่าเราไม่รู้จักเจนภพ ให้พูดตรงๆ ผมคิดว่าเจคงพาหนึ่งมานอนกับเสาร์ซะมากกว่า” วรวรรณพ่นลมหายใจออกจากปาก แม้ว่าเธอจะไม่ได้ชอบใจกับการที่วันเสาร์พาใครที่ไหนมานอนด้วย แต่อีกใจก็คงต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ห้ามได้ยาก โดยเฉพาะผู้ชายวัยยี่สิบต้นๆ และอย่างน้อยมันอาจจะดีกว่าปล่อยให้ความเหงากัดกร่อนจิตใจจนอาจทำให้พลั้งทำอะไรบ้าๆ อีกก็ได้ “และถ้าผมเดาไม่ผิด การที่นับหนึ่งยังคงอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว ก็อาจจะแปลได้ว่า…”

ทั้งห้องเงียบสนิทราวกับว่าทุกสรรพสิ่งกำลังลุ้นฟังอย่างตั้งใจไปพร้อมๆ กับฝ่ายภรรยาที่ดูจะตื่นเต้นกับข้อสันนิฐานน่าเหลือเชื่อเป็นที่สุด

พจน์สูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งในความคิด ซึ่งไม่รู้เลยสักนิดว่านั่นมันคือความจริง

“ลูกของเราตกหลุมรักเด็กคนนี้”

 

-----------------------------------------------

 

ประตูห้องนอนตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเข้มเข้าชุดกันทั้งหมดเปิดออก ต้อนรับเด็กน้อยที่เจ้าของห้องเฝ้าคิดถึงตลอดทั้งคืน วันเสาร์คลี่ยิ้ม ดึงแขนเรียวที่กำลังประคองถาดอาหารเช้าเข้ามาด้านใน แล้วรีบปิดประตู กดล็อคกลอนแน่นหนา

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่เสาร์”

“อืม” เขารับถาดอาหารวางไว้บนเตียง สังเกตเห็นว่าใบหน้าหวานใสขึ้นสีระเรื่อ แถมยังเอาแต่แสร้งหลบตา “เป็นอะไรหน้าแดงๆ”

“กะ..ก็ พี่เสาร์ไม่ได้ใส่เสื้อผ้านี่น่า”

คนตัวเล็กยังคงเอาแต่เบือนมองไปทางอื่น ทำให้เขาต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเอง ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปาก แค่โพกผ้าเช็ดตัวผืนเดียวหลังจากอาบน้ำเสร็จ ใช่ว่าโป๊เปลือยเสียเมื่อไร

“เขินทำไม มากกว่านี้ก็เห็นมาแล้ว”

“พี่เสาร์!” เสียงแหลมสูงทำเขาหลุดขำ แกล้งทำเป็นจะปลดปมผ้าตรงเอวออก จนเด็กน้อยรีบหันหลังขวับ กระทั่งนับหนึ่งทำท่าเหมือนจะหนีออกไปจากห้องนั่นแหละเขาถึงได้เลิกเล่นแล้วเริ่มต้นแต่งตัวดีๆ

วันนี้เขามีนัดคุยงานกับเจนภพในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ถึงแม้จะอยากอุ้มนับหนึ่งไปด้วยกัน แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธ ให้เหตุผลชวนหงุดหงิดว่ามันจะทำให้ใครบางคนสงสัย และยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของเรา

น่าเบื่อชะมัด เขาเดาได้เลยว่าป่านนี้พ่อกับแม่คงดูออกหมดแล้ว เพียงแค่ยังไม่พูด

“เมื่อคืนนอนหลับไหม” เขาเปลี่ยนเรื่อง ขณะหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นสวมถัดจากกางเกงยีนส์สีน้ำเงินซีด

“ก็หลับสนิทดีครับ”

“เหรอ แต่ฉันนอนไม่หลับเลย”

กระดุมเม็ดสุดท้ายกลัดเข้า เอื้อมดึงข้อมือบางเข้าหา พลางหมุนร่างอีกฝ่ายให้แผ่นหลังบางแนบลงกับอกเขาพอดี ปลายคางมนเชยลงบนบ่าลาด จมูกโด่งรั้นสูดเอากลิ่นกายหอมเข้าเต็มปอด ริมฝีปากหยุ่นกดแนบเข้ากับซอกคอขาว เขาพาคนในอ้อมกอดก้าวขาไปทางโต๊ะทำงานพร้อมๆ กัน ฝ่ามือใหญ่เลื่อนเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบเอากล่องนาฬิกาคุ้นตาขึ้นมาเปิดออก

นาฬิการาคาถูกถ้าเทียบกับสถานะทางครอบครัวของเขา หากว่าอัดแน่นไปด้วยความหมายแสนลึกซึ้งที่ใครอื่นไม่มีทางเข้าใจ หน้าปัดสีดำวาวกำลังสะท้อนแสงแดดยามเช้าที่ส่องลอดมาจากทางหน้าต่าง เขาตัดสินใจสวมมันไว้รอบข้อมือข้างซ้าย ทดแทนเรือนประจำที่เคยใช้อยู่นานนับปี

“พี่เสาร์...นาฬิกา” เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก แววตาคำถามเงยขึ้นสบกับเขา

“ทำไม”

“ไหนว่าคงไม่ได้ใส่ไงครับ เพราะพี่มีเรือนอื่นอยู่แล้ว”

“ก็ไม่ใส่แล้ว จะใส่เรือนนี้ มีปัญหาเหรอ”

นับหนึ่งรีบส่ายหน้า “ไม่ครับ ผม…ผมดีใจ ถ้าพี่เสาร์จะใส่”

ทั้งสองคนต่างเผยยิ้มละมุน วันเสาร์กระชับอ้อมกอดราวกับว่าเด็กในวงแขนเป็นตุ๊กตาหมีตัวโปรด ก่อนจะพากันย้ายตัวเองไปนั่งจ้องหน้ากันบนปลายเตียง ขนมปังปิ้งบนจานถูกยกขึ้นกัดไปคำ ตามด้วยกาแฟหวานๆ อย่างเคย

“แล้วพ่อกับแม่ออกไปแล้วเหรอ เมื่อเช้าฉันได้ยินเสียงรถ”

“ครับ คุณลุงคุณป้าบอกว่าจะไปทำธุระ แล้วก็จะแวะหาพี่ศุกร์ที่บ้านพี่กันต์ครับ”

หัวคิ้วหนาขมวดมุ่น “ไหน พูดใหม่ซิ”

“เอ่อ...คุณลุงคุ..”

“พูดใหม่” เขาเริ่มกดเสียงต่ำลงจนอีกฝ่ายได้แต่ปั้นหน้าฉงน นับหนึ่งเอียงคอมองเขาด้วยความงุนงง “คุณลุ...”

“พูดใหม่”

คนตัวเล็กย่นคิ้ว ก่อนจะค่อยๆ คลายออกเมื่อนึกได้ว่ามันหมายถึงอะไร โครงหน้าใสเจือสีเลือดฝาด ริมฝีปากอิ่มเม้มสนิทจนแทบเป็นเส้นตรง ก่อนจะยอมเอ่ยปากเสียงอุบอิบ ไม่ยอมสบตา

“คุณ..พ พ่อ คุณแม่...”

“ดีมาก” วันเสาร์เชยคางเรียวขึ้น ก่อนจะฝังจมูกจมแก้มนิ่มแทนรางวัล

เขาโดนกำปั้นเล็กๆ ทุบเข้ากับต้นแขนไม่แรงนัก ก่อนที่เราจะผลัดกันป้อนขนมปังแผ่นใส่ปากกันและกันจนอิ่ม ความจริงเขาก็ยังอยากกินอะไรต่ออีกสักหน่อย อย่างเช่น เด็กที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่บนเตียงโดยไม่คิดจะระวัง แต่ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดันส่งข้อความมาตามได้ถูกจังหวะ แถมยังรัวสติกเกอร์ปัญญาอ่อนใส่รัวๆ จนมือถือเขาเกือบค้างอยู่หลายรอบ

“ฉันต้องไปแล้ว”

นับหนึ่งพยักหน้า ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนใหม่เอี่ยม ก่อนจะโน้มตัวลงมอบสัมผัสแผ่วเบาเข้ากับริมฝีปากสีสด เขาแตะมันแช่ค้างไว้อย่างนั้นอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมผละตัวออกอย่างอ้อยอิ่ง

น่ากลัวว่าช่วงนี้เขาจะเผลอยิ้มบ่อยมากเกินไปแล้วหรือเปล่า

“เหมือนสามีภรรยาเลยว่าไหม” เขาแกล้งหยอก เพียงเพื่อจะได้เห็นพวงแก้มจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูกลายเป็นผลตำลึงสุกง่อมพร้อมทาน

เราจับมือกันเดินลงบันไดบ้าน ก่อนที่นับหนึ่งจะปล่อยมือเขาออกทันทีที่เห็นว่าแขกอีกคนกำลังเดินยิ้มร่าเข้ามาทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่เสาร์” ตะวันถือวิสาสะควงแขนคนเป็นพี่เอาไว้โดยไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่ “ทำไมไม่ลงมากินข้าวข้างล่างด้วยกันล่ะครับ”

เขาเลือกที่จะไม่ตอบ จนคนถามเริ่มหน้าเสีย แล้วจึงตั้งคำถามใหม่อีกครั้ง

“แล้วนี่จะออกไปไหนเหรอครับ”

“ทำงาน”

“ทำงานที่ไหนครับ ให้ผมไปด้วยได้หรือเปล่า”

“ไม่ได้”

“แต่ว่…”

“ฉันจะไปแล้ว” คนตัวสูงตัดบท กระตุกแขนตัวเองหวังให้อีกฝ่ายปล่อยมือ แต่สิ่งที่ตะวันทำกลับเป็นการเขย่งเท้าสุดปลายขา ฝังจมูกเข้ากับแก้มเรียวแบบไม่รอให้ใครได้ตั้งตัว

วันเสาร์เบิกตากว้างพร้อมตั้งท่าจะง้างหมัดอยู่แล้วหากไม่ใช่ว่าเด็กหัวนอกรีบกระโดดหลบไปซะก่อน นับหนึ่งพุ่งตัวเข้ามารั้งแขนเขาไว้เหมือนต้องการจะเตือนให้ใจเย็น แม้ว่าตัวเองก็ตกใจไม่น้อย ในขณะที่ตะวันยังคงหัวเราะคิกคักไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด

เขาพ่นลมหายใจหนักๆ ออกจากปาก ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวการพลางกดเสียงเข้ม “อย่าทำแบบเมื่อกี้อีก ไม่งั้นครั้งหน้าฉันจะต่อยนายจริงๆ”

เจ้าของใบหน้าคร่ำเครียดคว้าข้อมือเด็กในอาณัติตรงไปยังประตูบ้านโดยไม่ต้องรอถามความยินยอม

ร่างบางกัดปากตัวเอง ก่อนจะเอี้ยวหลังมองตะวันแวบหนึ่ง และเป็นวูบเดียวกับที่เขาเห็นความชิงชังฉายแววอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น เรียวขาเล็กก้าวตามคนเบื้องหน้าอย่างทุลักทุเล กระทั่งเราเข้ามานั่งประจำตำแหน่งบนรถ บรรยากาศชวนอึดอัดโปรยตัวเข้าปกคลุมพื้นที่แคบๆ

วันเสาร์ดูโกรธ และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็นึกโมโหอยู่เหมือนกัน

นับหนึ่งเอาแต่ก้มมองตักตัวเองอยู่สักพัก จนฝ่ามือหนาเลื่อนเข้ามากอบกุมมือเขาเอาไว้ วันเสาร์ดึงมันขึ้นไปกดจูบเบาๆ “อย่าคิดมากล่ะ เด็กนั่นก็แค่…”

“หอมแก้ม” เขาต่อท้ายประโยค เงยสบตาอีกฝ่ายแน่นิ่ง ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยเสียงเบาหวิว แม้รู้ว่ามันฟังดูงี่เง่าสิ้นดี “วันนี้เขาหอมแก้มพี่ แล้ววันหน้าเขาไม่จูบพี่เลยเหรอครับ”

รถทั้งคันเงียบลง วันเสาร์จ้องเขากลับด้วยสีหน้าประหลาดใจหน่อยๆ

แววตากลมสั่นไหว เมื่อคิดได้ว่ากำลังหึงหวงไม่เข้าเรื่อง เขาเผลอเบะปากเป็นเด็ก และหวังว่าจะไม่ถูกตำหนิที่ดันแสดงออกอย่างกับผู้หญิง ซึ่งคนตรงหน้าคงไม่ชอบแน่

แต่แล้ววันเสาร์กลับอมยิ้มมุมปาก พลางขยับเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ท่ามกลางความฉงน และก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว ปากหยักก็จรดลงแนบริมฝีปากของเขาเสียก่อน สัมผัสนุ่มละมุนทาบทับปิดสนิท ดูดกลืนทุกสุ้มเสียงรวมทั้งอากาศหายใจ

เขาค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง พร้อมกับที่อวัยวะในอกกลายร่างเป็นกลองหนังตีรวน เราต่างละเลียดมอบจูบแสนลึกซึ้งให้แก่กัน จนเมื่อต่างฝ่ายต่างผละออก คนเป็นพี่แย้มยิ้มบางชวนลุ่มหลง ฝ่ามืออุ่นยกประคองโครงหน้าร้อนผ่าว ขึ้นสีระเรื่อราวกับมะเขือเทศสุกปลั่ง

เสียงกระซิบดังแทรกความเงียบพาลให้สมองของเขาปั่นปวน หัวใจดวงน้อยแทบจะหลอมละลายกลายเป็นน้ำเสียให้ได้

“คนอื่นจะมาจูบฉันได้ยังไง…ในเมื่อมันเป็นของนาย”

 

----------------------------------------------------------------------------------------------
 
ไม่ชินพี่เสาร์เวอร์ชั่นนี้ค่ะ 55555555 แต่คือพี่เสาร์นังจะอบอุ่นอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ ชดเชยความใจร้ายที่ผ่านมาทั้งหมด เรื่องราวหลังจากนี้ก็คือบทพิสูจน์ความรักของทั้งคู่ว่าจะผ่านมันไปได้ไหม แล้วก็จะเริ่มมีตัวละครเก่าๆ จากเรื่องน้องศุกร์โผล่ออกมาด้วยค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อ่อนโยนเกินไป ไม่ใช่พี่เสาร์เลย

ออฟไลน์ piiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-2
หนอยนังตะวัน แรดยิ่งกว่าชะนีอีก นับหนึ่งต้องสู้เขานะลูก  :angry2:

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง ยี่สิบเอ็ด

 

“พี่เสาร์ กลับมาแล้วเหรอครับ” เสียงเจื้อยแจ้วดังไกลมาก่อนตัว ตะวันกระโดดเข้าไปเกาะแขนแกร่งเช่นเดิมอย่างที่ไม่คิดจะเข็ด แน่นอนว่าถูกคนตัวสูงสะบัดหลุดในวินาทีต่อมา

วันเสาร์เมินคำถามของแขกพ่อกับแม่ คว้าข้อมือบางของเด็กที่เอาแต่หลบหลังให้ตรงไปยังห้องครัว ซึ่งมีแม่บ้านทั้งสองกำลังง่วนกับการจัดโต๊ะอาหารเย็นอยู่พอดี พี่ละเมียด พี่ละไม กล่าวทักทายพวกเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เป็นไงบ้างคะ” ละไมละอีกประโยคไว้ในใจ เธอไม่อยากบอกว่าวันนี้ทั้งวัน ทั้งเธอและละเมียด ถูกตะวันจิกหัวใช้ซะยิ่งกว่าที่เคยทำงานให้วุฒิเวคินทร์มาตลอดหลายปีเสียอีก

นับหนึ่งยิ้มกว้างขณะที่วันเสาร์ดูไม่พอใจสักเท่าไรนัก

“ก็ดีครับ พี่เจชวนคุยเยอะมากเลย”

คนตัวสูงจับจองเก้าอี้ตัวประจำ “คุยไร้สาระ”

“ไม่ไร้สาระสักหน่อย พี่เขาคุยสนุกดีออกครับ”

“ไปนั่งคุยกับมันทั้งวันเลยไหมล่ะ”

“ได้เหรอครับ ไปจริงนะ” คิ้วเข้ารูปเลิกขึ้นเล็กน้อย เจ้าของคำพูดท้าทายแสร้งตีหน้าเป็น ก่อนจะสังเกตเห็นเส้นเลือดผุดขึ้นบนขมับของคนตรงหน้า น้ำเสียงราบเรียบบอกให้รู้ว่าไม่ควรเล่นกับก้อนน้ำแข็งที่พร้อมติดไฟ

“นับหนึ่ง”

เขาบุ้ยปาก “ผมแค่ล้อเล่นเอง”

“นั่งได้แล้ว”

วันเสาร์ชี้นิ้วลง แต่ทันทีที่เขาเอื้อมมือจับพนักเก้าอี้ กลับมีมือของใครอีกคนดึงมันไปได้ก่อน ตะวันที่เพิ่งรุดเข้ามารีบหย่อนก้นลงบนที่นั่งตรงข้ามวันเสาร์อย่างเสียมารยาท ขณะที่คนเด็กกว่ายังมัวยืนอึ้ง พี่ละเมียดซึ่งกำลังยกแก้วน้ำออกมาเสิร์ฟก็ดูจะงุนงงไม่แพ้กัน

“ขอนั่งตรงนี้นะ ผมจะได้มองหน้าพี่เสาร์” ตะวันไม่มีท่าทียี่หระ เกือบจะปัดมือไล่นับหนึ่งด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่ว่าถูกสายตาน่ากลัวจากพี่ชายสมัยเด็กจับจ้องอยู่

“หนึ่ง มานั่งนี่” วันเสาร์ตบเก้าอี้ข้างกายปุๆ

เขายกนิ้วเกาหัว เดินอ้อมไปอีกฟากโต๊ะตามสัญญาณเรียก บรรยากาศแปลกประหลาดแทบจะทำให้เราเลิกอยากอาหาร ทั้งที่หน้าตาน่าทานมากทีเดียว จานพาสต้าซอสครีมไข่กุ้ง วางคู่กับซุปผักโขม ทำเอาหวนคิดถึงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ตัวเองได้ทำงานอยู่ในร้านนาโปลี

“คิดถึงพี่วาเลยครับ”

“อะไร” วันเสาร์สวนทันควัน

“ก็เห็นสปาเกตตี้แล้วนึกถึงพี่วา เขาทำให้ผมกินตั้งหลายมื้อ”

“สปาเกตตี้ ฉันก็ทำได้”

“จริงอะ”

คนตัวเล็กหันขวับ ท่าทางไม่เชื่อหูทำให้วันเสาร์ต้องดีดหน้าผากมนไปทีไม่แรงนัก ดวงตากลมโตเป็นประกายขณะยกมือขึ้นลูบหัวป้อย และก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กตรงหน้าเขาตอนนี้ช่างน่ารัก ถ้าเป็นลูกหมา ก็คงกำลังกระดิกหางไม่หยุดแล้วแน่ๆ

“อืม”

“งั้น…”

“ไว้จะทำให้กิน” เขาชิงพูดขึ้นก่อนโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากขอ

ตามมาติดๆ กับเสียงกระแอมไอที่จงใจขัดขึ้นให้พวกเขารู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันลำพัง ตะวันคว่ำปาก ใบหน้าบึ้งตึงตลอดการรับประทานอาหาร

วันนี้พ่อกับแม่ก็ยังตะลอนทัวร์เยี่ยมเยือนคนสนิททั้งหลายไม่ได้หยุดหย่อน อาจเพราะว่านานๆ ทีจะกลับไทย ก็เลยมีคิวนัดแน่นเอียด กลายเป็นว่าคนเป็นลูกเหลือเวลาอยู่กับท่านได้ไม่เต็มวันด้วยซ้ำ วันศุกร์ก็เพิ่งจะโทรมาคุยกับเขาไปเมื่อเย็นนี้เอง

‘พ่อกับแม่ไปหาศุกร์เหรอ’

‘ครับ แต่มาแป๊บเดียวก็ไปหาคนอื่นต่อแล้ว’

‘เอาน่า ชีวิตอยู่กับสังคมก็งี้แหละ’

‘แต่แม่บอกว่าก่อนกลับจะหาเวลามาอยู่กับพวกเราให้ได้นะครับ’

ดูเหมือนว่าเราสองพี่น้อง ต่างพยายามส่งคำปลอบโยนให้แก่กัน คงเพราะเป็นห่วงว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งน้อยใจเรื่องพ่อกับแม่ แต่ในความเป็นจริง ทั้งเขาและศุกร์ก็เดินทางผ่านเรื่องราวมากมาย จนพูดได้ว่าเติบโตพอที่จะเข้าใจทุกอย่างได้แล้ว

‘ดีเหมือนกัน ศุกร์จะได้กลับบ้านด้วย ตั้งแต่พี่หายป่วยก็ยังไม่เจอศุกร์เลยนะ’

‘แหม ไม่เจอศุกร์ แต่พี่เสาร์ก็มีหนึ่งอยู่ด้วยแล้วนี่’

‘ไม่เหมือนกันสักหน่อย’

‘ไม่เหมือนยังไงครับ’

‘ก็พี่อยากเจอน้องชาย’

‘อ๋อ แต่หนึ่งไม่ใช่น้องสินะครับ’

เขาเผลอยกยิ้มเมื่อได้ยินน้ำเสียงหยอกล้อจากปลายสาย หางตาเรียวเหลือบมองเจ้าของใบหน้าหวานปนดื้อรั้นที่กำลังนั่งปรบมือชอบใจให้กับมุกตลกโปกฮาของเจนภพ หลังจากที่พวกเราคุยงานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

‘อือ’

วันศุกร์หัวเราะคิกคัก ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญออก ‘แล้วพี่เสาร์ยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เรื่องหนึ่งอีกเหรอครับ วันนี้ท่านก็มาถามศุกร์ แต่ศุกร์ยังไม่ได้เล่า’

‘ความจริงพี่จะบอกแล้ว แต่หนึ่งยังไม่พร้อม เลยให้เวลาเตรียมใจไปก่อน’

‘แล้วจะบอกเมื่อไรอะครับ’

‘เร็วๆ นี้แหละ ศุกร์ไม่ต้องบอกอะไรนะ พี่อยากบอกด้วยตัวเอง’

‘โอเคครับ ศุกร์ว่าพ่อกับแม่ต้องดีใจมากแน่ๆ เลย ที่พี่เสาร์มีคนรักสักที’

เป็นอีกครั้งที่เขาหลุดยิ้มกว้างกว่าเดิม ไม่ใช่แค่พ่อกับแม่หรอกที่จะดีใจ เขาเองก็ด้วย ดีใจที่ในชีวิต ได้มาเจอ…

เด็กคนนี้



-----------------------------------------------

 

“จุ๊บ”

สัมผัสอบอุ่นจรดลงบนขมับสวย เสียงจุมพิตดังแทรกผ่านความเงียบยามค่ำคืนทำเอาเด็กน้อยในวงแขนแกร่งขวยเขิน ถึงกับต้องฝังหน้าลงจมอกเจ้าของจูบแสนหวานเมื่อครู่

วันเสาร์บีบแก้มแดงๆ อย่างนึกมันเขี้ยว “ไม่อยากขึ้นห้องเลย”

“เดี๋ยวตอนเช้าก็เจอกันแล้วครับ”

คนตัวสูงจำใจพยักหน้า “พรุ่งนี้บ่ายฉันไม่อยู่นะ ไปทำธุระกับไอ้เจ พ่อกับแม่ก็น่าจะออกไปข้างนอกเหมือนกัน นายอยู่ได้ไหม” เขากำลังพูดถึงการต้องอยู่กับเด็กประหลาดอย่างตะวันนั่น และดูท่าทางแม่บ้านทั้งสองก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไร

“ได้สิครับ ไม่ต้องห่วง”

“ถ้าเกิดอะไรขึ้น ต้องรีบโทรมาบอกฉัน เข้าใจไหม”

“พี่เสาร์ นั่นลูกของเพื่อนแม่พี่นะครับ”

“ก็ฉันไม่ไว้ใจ เด็กนั่นท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตร” นับหนึ่งหลุดขำแทบจะทันที มนุษย์อัธยาศัยติดลบแบบวันเสาร์กล้ามาวิจารณ์คนอื่นว่าไม่เป็นมิตรได้ด้วยเหรอ

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ พี่เสาร์ขึ้นนอนเถอะ”

“อืม”

“ฝันดีนะครับ” เขาโบกมือหยอย อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้า ก้าวขาเชื่องช้าเหลือเกินกว่าจะลับสายตาไปจนเขาวางใจที่จะเลื่อนประตูปิด

หากว่าไม่นานนัก ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกพร้อมเงาของใครบางคนเบื้องหลัง คนตัวเล็กลังเล แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับ บานเลื่อนสีขุ่นก็เปิดออกก่อนโดยพลการ เด็กผู้ชายหน้าใหม่ปรากฎตัวขึ้นพร้อมแสงสว่างจากด้านนอก

ตะวันจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทว่าในแววตาแข็งกร้าว นอกจากความชิงชังแล้ว เขายังมองเห็นความน้อยเนื้อต่ำใจ อีกทั้งความเหงาที่ราวกับว่าเคยสัมผัสถึงมันมาก่อนจากใครอีกคนที่เขาคุ้นเคยดี

มันดูน่าสงสาร มากกว่าจะน่ากลัว…

“คุณตะวัน มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“นายกับพี่เสาร์ มีความสัมพันธ์กันยังไง” คำถามตรงไปตรงมาเริ่มต้นขึ้น ไม่ทันให้ตั้งตัว “ไม่ใช่แค่เด็กที่พี่เสาร์เก็บมาเลี้ยงแน่ๆ”

“เอ่อ…”

“เป็นคู่นอนพี่เสาร์เหรอ”

เขาเลือกที่จะเงียบ เพราะจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียว นัยน์ตาดุดันยิ่งดูหงุดหงิดเมื่อเขาไม่ยอมตอบ

“ฉันเห็นพี่เสาร์มาตั้งแต่เด็ก แล้วก็คอยติดตามความเป็นไปของพี่เสาร์มาตลอด ฉันเลยรู้ดีว่าพี่เสาร์เป็นยังไง”

ตะวันสาวเท้าเข้ามาใกล้ น้ำเสียงคมกริบปกปิดความอ่อนไหวข้างในใจลึกสุดลึก “พี่เสาร์น่ะ ก็แค่คนเหงาที่เลือกนอนกับเด็กน่ารักๆ ที่คล้ายกับน้องชายตัวเองเท่านั้นนั่นแหละ”

นับหนึ่งเผลอชักสีหน้าเมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ แต่ก็ยังคงปล่อยให้อีกฝ่ายพล่ามต่อ

“เพราะว่าพี่เสาร์รักศุกร์ ถึงได้เก็บนายไว้ ไม่รู้หรอกว่านายกำลังเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า แต่ฉันมองออกทันทีเลยว่า พี่เสาร์ก็แค่ต้องการให้นายมาเป็นตัวแทนวันศุกร์”

“ไม่...”

“ที่ฉันพูดก็เพราะว่าสงสารหรอกนะ ไม่รู้ว่าพี่เสาร์จะเบื่อวันศุกร์ตัวปลอมอย่างนายเมื่อไร ยังไงก็เตรียมใจไว้บ้างละกัน”

เจ้าของคำพูดที่ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าสงสารอย่างปากว่าเลย กระตุกยิ้มราวกับจะหยามเหยียด ก่อนจะสะบัดตัวกลับออกจากห้องไปโดยไม่รอฟังสิ่งที่เขากำลังจะเถียง

แต่แล้วสุดท้าย ก็เป็นเขาเองที่ส่งเสียงอะไรไม่ออก...

เพราะไม่รู้เหมือนกัน เหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังคำว่ารักจากปากวันเสาร์

 

-----------------------------------------------

 

“หนึ่ง”

เสียงทุ้มเรียกขึ้นภายในห้องนอนกว้างขวาง วันเสาร์ให้เขายกอาหารขึ้นมาเสิร์ฟถึงเตียงอีกครั้ง

“ครับ?”

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ เห็นหาวตั้งหลายรอบแล้ว”

อ่า...ใช่สิ เขาแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่คิดถึงคำพูดของตะวันวนไปเวียนมา ทั้งที่มันก็แค่คำพูดไร้มูล แต่เขาก็ห้ามตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไม่ได้ สุดท้ายก็จบลงด้วยการนอยด์อยู่คนเดียว และแน่นอนว่าเขาไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับวันเสาร์ตรงๆ

“เอ่อ พอดีผมฝันร้ายอะครับ” เขาหลบตาขณะเอ่ยคำโป้ปด

วันเสาร์มุ่นหัวคิ้ว ก้าวมาหยุดอยู่ต่อหน้าเด็กน้อยที่เช้านี้ดูไม่สดใสเหมือนเคย แววตากลมโตเงยสบกัน ขณะที่ฝ่ามือหนาสอดเข้าลูบกลุ่มผมนุ่ม นิ้วเรียวปัดหน้าม้าเกือบจะปรกตาออก ก่อนจรดจูบนุ่มนวลลงบนหน้าผากมน เรียกรอยยิ้มกลับคืนสู่โครงหน้าหวาน

“ฝันว่าอะไร”

กลีบปากอิ่มยื่นออกเล็กน้อยคล้ายว่าจะอ้อนให้เอาใจ คนตัวเล็กแสร้งทำเป็นหยอกกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างที่ยังคงติดอยู่ในสมอง “ฝันว่าพี่เสาร์ไล่ผมอีกแล้วน่ะสิครับ”

“ก็บอกว่าไม่ไล่แล้วไง”

เขาคลี่ยิ้มอีกครั้ง พลางโผเข้ากอดเอวอีกฝ่ายไว้แน่นดั่งลูกลิง วันเสาร์ยีผมเขาซ้ำสองสามทีจึงดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จมูกโด่งรั้นฝังจมพวงแก้มใส สูดเอากลิ่นหอมเข้าเต็มปอด

 ร่างสูงเดินไปหยิบนาฬิกาเรือนประจำเรือนใหม่ขึ้นสวม คว้าเอาโทรศัพท์เครื่องบางกับกุญแจรถ มืออีกข้างเอื้อมกุมมือเล็กที่ยื่นออกมาอย่างรู้ใจ เราเดินจับมือกันลงมาถึงปลายบันไดบ้าน เหตุการณ์ทุกอย่างแทบจะเหมือนเดิมกับเมื่อวานราวกับเดจาวูไม่ผิดเพี้ยน

ตะวันยืนส่งยิ้มรอ ทำเป็นว่าไม่สังเกตเห็นมือที่กอบกุมกันโต้งๆ อยู่นั่น “พี่เสาร์จะไปข้างนอกอีกแล้วเหรอครับ”

ฝ่ายถูกถามเพียงแค่พยักหน้าแล้วหันกลับมาสนใจเจ้าลูกเจี๊ยบที่ดูจะอยากปล่อยมือนัก หากว่าเขาไม่ยอม

“ไปแล้วนะ”

“โชคดีนะครับ”

นิ้วโป้งลูบเกลี่ยไปตามแนวชีพจรบนหลังมือนิ่ม ก่อนจะค่อยๆ ผละออกอย่างอ้อยอิ่ง วันเสาร์ยังคงหันกลับมามองเขาหลายครั้งกว่าจะก้าวออกไปพ้นประตูบ้าน

บรรยากาศชวนอึดอัดโปรยตัวลง พร้อมกับคำทักทายที่ฟังดูไม่รื้นหูเอาเสียเลย “แค่พี่เสาร์อ่อนโยนด้วยนิดๆ หน่อยๆ อย่าทำเป็นได้ใจล่ะ”

นับหนึ่งลอบถอนหายใจ เบื่อจะฟังตะวันเหน็บแนมเต็มที เขาเลี่ยงไม่คุยโต้ตอบแล้วพาตัวเองไปขลุกอยู่ในครัวร่วมกับแม่บ้านทั้งสอง

“ผมช่วยไหมครับ” รีบออกตัว หลังจากเห็นพี่ละเมียดยกถาดอาหารเช้าของเขากับวันเสาร์ลงมาจากห้อง

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหนึ่งไปนั่งเล่นเถอะ”

“แต่ผมอยากอยู่ตรงนี้มากกว่า”

เราทั้งสามหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างรู้ดีว่ามันแปลว่าอะไร “คุณหนึ่งอึดอัดเวลาอยู่กับคุณตะวันเหรอคะ”

“ก็…นิดหน่อยครับ”

“ความจริงพวกพี่เองก็เหมือนกันค่ะ”

“นี่เดี๋ยวพี่ก็ต้องเอาผ้าปูที่นอนไปซักให้คุณตะวัน”

คนเด็กกว่าเอียงคอ แกล้งถามติดตลก “ทำไมครับ เขาฉี่รดที่นอนเหรอ”

“ตายจริง คุณหนึ่ง” พี่ละไมหัวเราะร่วน โบกมือไล่อากาศไปมาอย่างชอบใจทีเดียว “พอดีคุณเขาหาว่ามันสกปรกน่ะค่ะ”

เหอะ รู้เลยว่าฝ่ายนั้นคงคิดว่าห้องรับรองที่เคยเป็นห้องนอนของเขามาก่อนโสโครกน่าดู เพราะตะวันแสดงออกชัดเจนว่าเกลียดขี้หน้าเขา แถมยังจงใจมาหาเรื่องถึงที่อีกต่างหาก แต่ก็คงต้องชมอยู่เหมือนกัน เพราะคำพูดพล่อยๆ เมื่อคืน ยังทำให้เขาเอาเก็บมาคิดมากจนถึงขณะนี้ แม้ว่าไม่ควรไปคิดถึงมันก็ตาม

“นับหนึ่ง!”

นั่น ตายยากชะมัด พูดถึงปุ๊บก็ส่งเสียงมาปั๊บเลยเชียว

ตะวันโผล่หน้าเข้ามา ทำเป็นย่นจมูกใส่พื้นที่คับแคบหลังบ้านอย่างกับว่าเหม็นอะไรนัก ทั้งที่มันออกจะหอมกลิ่นครัวซองต์ทาเนยจากเมื่อเช้า

“ครับ คุณตะวัน”

“ชงกาแฟมาให้ฉันหน่อย”

“อ่า ได้ค...”

“เดี๋ยวพี่ชงให้ก็ได้ค่ะ” พี่ละไมยกมืออาสา แต่ก็ถูกขัดทันควัน “ไม่ต้องครับ ผมจะให้นับหนึ่งชง”

“ไม่เป็นไรครับ” เขาหันไปพยักหน้าให้หญิงร่างท้วม ก่อนจะชะงักกับประโยคถัดมา

“เอาขึ้นไปเสิร์ฟที่ห้องพี่เสาร์นะ”

ตะวันทิ้งท้ายแล้วจรลีหายไปก่อนที่ใครจะทันได้พูดต่อ คนอื่นๆ คงอยากรีบถามว่าตะวันมีสิทธิ์อะไรถึงได้ถือวิสาสะเข้าไปในห้องของวันเสาร์ก่อนได้รับอนุญาต สุดท้ายก็จบลงด้วยการที่เราทั้งสามต่างถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน

เขาจัดการชงกาแฟตามสูตรเดิมที่ทำอยู่ทุกวัน เดาเอาเองว่ารสชาติไม่แย่เท่าไร ไม่งั้นวันเสาร์คงไม่ทนดื่มมาได้เป็นเดือนขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เผื่อใจไว้แล้วว่าแม้จะทำดีให้ตายแค่ไหน ก็อาจจะถูกตะวันกลั่นแกล้งได้อยู่ดี

ขาเรียวเล็กก้าวไปตามขั้นบันได สองมือประคองแก้วเซรามิกร้อนๆ ตรงไปยังห้องนอนที่เชื่อเลยว่าเขาน่าจะคุ้นชินกับมัน มากกว่าคนที่กำลังนั่งทอดน่องอยู่บนเตียงหลังใหญ่แน่นอน

“กาแฟครับ” ตะวันสอดนิ้วเกี่ยวหูแก้ว เริ่มจากสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ผ่านไอสีจางที่โชยขึ้นเตะจมูก แต่แล้วคิ้วเข้ารูปกลับมุ่นแสดงอาการไม่สบอารมณ์ทันทีที่ปลายลิ้นแตะจิบของเหลวด้านในเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น

“หวาน!” คนเป็นแขกแผดเสียง “หวานขนาดนี้ใครจะไปดื่มลง”

“เอ่อ หวานขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ก็เออน่ะสิ”

“แต่ผมก็ชงเหมือนที่ชงให้พี่เสาร์ทุกวัน”

“ไม่จริง นายตั้งใจจะแกล้งฉันใช่ไหม!?” ตะวันทำท่าจะลุก จนเขาต้องรีบก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ มือทั้งสองข้างยกขึ้นโบกไปมา แต่ก็ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจฟัง

“เปล่านะครั…โอ๊ย!!”

กาแฟนมกำลังกรุ่นได้ที่ถูกสาดเข้าใส่ช่วงล่างของเขาราวกับฉากในละครหลังข่าวไม่ผิดเพี้ยน ความอุ่นถึงร้อนซึมผ่านเนื้อยีนส์กระทบต้นขาด้านในทำเอาหลุดร้องจ๊าก ทั้งร้อน ทั้งตกใจ โชคดีแค่ไหนที่กางเกงตัวนี้หนามากพอจะไม่ทำให้ผิวเขาลวก

เขารีบดึงกระดาษซับเอารอยเลอะออกจากเสื้อผ้า ก่อนจะตวัดสายตาดุดันไปทางตะวันที่ไม่แม้แต่สำนึกผิด จะเป็นลูกเพื่อนแม่พี่เสาร์ หรือว่าจะแค่อายุมากกว่าเขายังไงก็ไม่รู้แหละ ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว ที่ผ่านมาเขาก็ยอมอ่อนให้ตลอด

แต่บอกเลยว่าตอนนี้เขาจะไม่ทน!

“เป็นอะไร ทำไมถึงชอบหาเรื่องผมนักครับ” คนตัวเล็กก้าวเข้าไปประชิด น้ำเสียงมีน้ำโหไม่ปิดบัง

“ก็ฉันไม่ชอบขี้หน้านาย”

คำพูดตรงไปตรงมาไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจเท่าไร ตะวันกัดปากเหมือนเด็กกำลังโกรธ ฝ่ามือทั้งสองผลักอกเขาออกห่างจนเกือบจะล้ม

“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เสาร์ถึงเลือกนายมาอยู่ด้วย ทั้งที่เป็นแค่เด็กกำพร้าปอนๆ ไม่มีอะไรคู่ควรกับพี่เสาร์เลยสักนิด อีกอย่าง…แค่ตัวแทนวันศุกร์ ไม่ว่าเด็กที่ไหนก็เป็นได้ทั้งนั้น แล้วทำไม…ทำไมถึงเป็นนาย!” ตะวันตรงเข้ามาผลักเขาซ้ำรอบสอง แววตาแข็งกร้าวมีอารมณ์น้อยใจเคลื่อนตัวอยู่ไหวๆ เล่นเอาเขาไปไม่เป็น แต่ละประโยคที่เอ่ยออกมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

เพราะว่ามันจริง…

เขามันก็แค่เด็กที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับวันเสาร์เลย แถมยังไม่มีหลักประกันอะไรสักอย่างที่จะบอกว่า วันเสาร์พูดว่ารักเขาที่เป็นเขา ไม่ใช่เขาที่คล้ายกับน้องชายตัวเองอย่างที่ใครต่อใครชอบทักนักหนา

และในขณะที่สมองเริ่มคิดฟุ้งซ่าน คำพูดถัดมาของตะวันก็แทบจะตบหน้าเขาเสียเลย “มันก็แค่เรื่องบังเอิญที่นายได้มาอยู่ใกล้ชิดพี่เสาร์ ถ้าหากเป็นฉันที่อยู่ตรงนี้ พี่เสาร์ก็คงเลือกฉันได้เหมือนกัน”

หรือว่าสถานะของเขาตอนนี้ อาจเป็น ‘ใครก็ได้’ จริงๆ กันนะ…




---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------


ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
---------- ต่อ ----------




แกร๊ก

เสียงบางอย่างดังแทรกความคิด ดึงความสนใจจากทั้งสองสายตาให้หันไปมอง ประตูไม้เปิดออกพร้อมร่างสูงใหญ่ของเจ้าของห้องที่ควรจะขับรถออกไปทำงานตั้งนานแล้ว วันเสาร์สะดุ้งไปนิดเมื่อเห็นว่ามีใครคนอื่นมายืนจังก้าอยู่ในพื้นที่ตัวเอง ก่อนที่สายตาเรียวจะเหลือบสังเกตแก้วกาแฟว่างเปล่า วางคว่ำหน้าอยู่บนฟูกนอนจนมันเลอะเทอะ

“เกิดอะไรขึ้น” เพียงไม่กี่ก้าวขา เขาก็หยุดลงตรงหน้าเด็กทั้งสอง

“ผมกำลังสั่งสอนเด็กของพี่เสาร์”

“สั่งสอน?” เขาเลิกคิ้ว สลับมองหน้าคนรักที่เอาแต่หลุบตาต่ำ สองมือประสานไว้ด้านหน้า อย่างกับพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง แต่ไม่ต้องรอถาม ตะวันก็เปิดปากเฉลยขึ้นก่อน

“นับหนึ่งแกล้งชงกาแฟแย่ๆ มาให้ผมดื่ม แถมยังเถียงคำไม่ตกฟาก”

“แล้ว?”

“เอ่อ...” คนถูกจี้ถามเริ่มออกแววล่อกแล่ก เมื่อนึกได้ว่าถ้าวันเสาร์รู้เรื่องที่เขาทำไว้ อาจไม่จบแค่คำว่าขอโทษ

“แล้วยังไง นายแกล้งอะไรนับหนึ่ง”

เจ้าของร่างสูงขยับเข้าใกล้ มือหนาบีบต้นแขนเรียวไว้แน่นจนใบหน้าตื่นๆ เหยเก ตะวันพยายามแกะตัวเองออกจากการเกาะกุม หากก็ไร้ผล น้ำเสียงกดต่ำฟังดูน่ากลัวจนแม้แต่นับหนึ่งเองยังอดขนลุกไปด้วยไม่ได้

“ฉันถามว่านายทำอะไร”

“ผม...”

“พี่เสาร์ ไม่มีอะไรหรอกครับ ปล่อยคุณตะวันเถอะ” มือเล็กที่เอาแต่กุมกันอยู่เมื่อครู่ เอื้อมมารั้งแขนเขาไว้ แต่แทนที่มันจะทำให้เขาสงบลง กลับปลุกไฟโกรธในตัวให้ลุกโชนยามเหลือบเห็นรอยจางๆ บริเวณเป้ากางเกงยีนส์สามส่วนที่คนห้ามกำลังสวมอยู่

เรียวตาคมตวัดไปทางตะวัน ก่อนจะหันกลับมาเอาเรื่องเด็กอีกคนแทน “เกิดอะไรขึ้น หนึ่ง ตะวันทำอะไรนาย”

“ผมบอกว่าไม่มี...”

“จะไม่มีอะไรได้ยังไง แล้วรอยกาแฟที่กางเกงนี่ล่ะ” วันเสาร์เผลอตะคอก มือข้างเดิมยังคงรัดต้นแขนตะวันไว้จนแอบกลัวว่ามันจะห้อเลือดเสียก่อน “บอกมาว่าตะวันทำอะไรนาย”

ซุ่มเสียงดุดันเป็นดั่งประกาศิต ทำเอาเขารีบกลืนคำโต้เถียงลงคอ สุดท้ายก็ต้องยอมเอ่ยตอบเสียงเบาหวิว

“เอ่อ คุณตะวัน…สาดกาแฟใส่ผมครับ..”

“ว่าไงนะ!”

วันเสาร์ตวาดลั่น เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่เคยมั่นหน้านักหนา บัดนี้กลับซูบซีดยิ่งกว่าไก่ต้ม ตะวันย่อเข่าลงขณะส่งสายตาอ้อนวอนให้อีกฝ่ายปล่อยมือออก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ถ้าแม้แต่คำพูดของนับหนึ่งยังไม่เป็นผล ชะตาของเขาก็คงจวนเจียนขาดเต็มที

“พี่เสาร์ปล่อยเถอะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

“หลบไป”

มือหนาย้ายมากระชากคอเสื้อ ลำแขนอีกข้างกั้นไม่ให้นับหนึ่งเข้ามาแทรก ก่อนจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นกำปั้นหลุนๆ ง้างขึ้นสูง แขกของแม่หลับตาปี๋พลางเบือนหน้าหลบจนคอแทบหมุน

เร็วกว่าความคิด คนตัวเล็กรีบพุ่งเข้าไปกอดตะวันไว้อย่างกับว่าบ้าไปแล้ว เขาเผลอกัดริมฝีปาก พร้อมกับก้อนเลือดที่เต้นโครมด้วยความตื่นกลัว เปลือกตาปิดลงในเสี้ยววินาทีที่หมัดจากวันเสาร์กำลังพุ่งตรงเข้ามา

ใกล้เสียจนแทบลืมหายใจ

วินาทีถัดมา มันควรจะเจ็บจนแปลบไปถึงโหนกแก้ม หรือไม่ก็สั่นสะเทือนไปทั้งศีรษะ ทว่า…กลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย นอกจากเสียงร้องตกใจจากคนในอ้อมแขน ตามด้วยเสียงหอบหายใจหนักหน่วงที่เขาคุ้นหูดี

น้ำลายก้อนใหญ่ถูกกลืนลงคอ เสี่ยงลืมตาขึ้นช้าๆ เพื่อพบว่ากำปั้นแน่นจนเส้นเลือดปูดชัด กำลังค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ เขาช้อนตามองเจ้าของโครงหน้าเรียว มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบริเวณขมับ วันเสาร์สูดหายใจลึกสุดปอดอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดมือตัวเองกลับ แล้วรีบเข้ามาดึงเขาออกห่างจากเด็กที่กลัวจนตัวหดตัวงอเป็นกุ้งถูกลวก ทรุดลงไปกองแนบพื้นเป็นอันเรียบร้อย

“ทำบ้าอะไร” วันเสาร์คำราม “อยากโดนต่อยเหรอ”

“ก..ก็ผมบอกว่าไม่เป็นอะไรไง ทำไมพี่เสาร์ถึงจะต่อยคุณตะวันอีกล่ะครับ”

“เป็นหรือไม่เป็น เรื่องนั้นฉันตัดสินใจเอง”

“พี่เสาร์อย่าใจร้อนสิ”

นับหนึ่งยื่นปากใส่ ก่อนจะหันกลับไปสนใจคนบนพรมเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นแว่วๆ ตะวันพยายามดันตัวเองขึ้นยืนทั้งที่ใบหน้าเปรอะคราบน้ำตา

“ทำไม…พี่เสาร์ต้องปกป้องนับหนึ่งมากขนาดนี้ด้วย เด็กนี่เป็นใครกันแน่”

คนในคำถามเหลือบมองฝ่ายถูกถามแน่นิ่ง ไม่ได้คาดหวังถึงคำตอบจากปากอีกฝ่าย แต่คนคนนี้ก็มักทำให้เขาประหลาดใจได้อยู่เรื่อย…

“นับหนึ่งเป็นคนรักของฉัน”

“คนรัก?” ตะวันทวนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่คิดว่าจะพูดออกมาเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ “แล้วศุกร์ล่ะครับ?”

“ศุกร์ก็เป็นน้องชายที่ฉันรัก”

วันเสาร์ไม่หยุดคิดเลยด้วยซ้ำ และนั่นคงเป็นคำตอบของทุกๆ อย่าง

ภาพของวันเสาร์ที่ย่องเข้าไปในห้องนั่งเล่นยามดึก นับหนึ่งที่ยกถาดอาหารเช้าเข้าไปในห้องนอนของคุณชายคนโตได้อย่างอิสระ ความจริงเขาเองก็รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง หากอีกครึ่งของใจก็ยังหวังว่าตัวเองอาจเข้าใจผิด

แต่มาถึงจุดนี้ แม้จะไม่อยาก เขาก็คงต้องยอมรับสักที...

นับหนึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนของวันศุกร์อย่างที่เขาปรารถนาให้เป็นแค่นั้น และวันเสาร์เองก็ไม่ได้แค่เพียงลุ่มหลงชั่วครั้งคราวอย่างที่เขาภาวนาเช่นกัน

เด็กคนนี้ทำลายกำแพงนับร้อยพันชั้น และได้เป็นเจ้าของดวงใจผู้ชายชื่อวันเสาร์แล้วจริงๆ ส่วนเหตุผลที่เขาเฝ้าถามว่าทำไมถึงต้องเป็นนับหนึ่ง ก็เหมือนจะได้รับคำตอบบ้างแล้ว

“ผมนึกว่านอกจากวันศุกร์ พี่เสาร์จะรักใครไม่เป็นอีก”

“ฉันก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

เขาพยักหน้าหลายครั้งอย่างจำนน พลางสูดน้ำมูกเสียงดังหลังจากปาดน้ำตาออกไปจนหมดสิ้น เม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วค่อยๆ คลายออก ก้าวเท้าเข้าไปใกล้สองคนตรงหน้า มือบางเอื้อมคว้ามือของคนเด็กกว่ามาจับไว้หลวมๆ โดยมีสายตาขึงขังจ้องกดดันไม่ห่าง

“หนึ่ง…ขอโทษนะ” เขาเอ่ยออกไปอย่างจริงใจ สายตาทอดพิจารณาโครงหน้าหวานซื่อๆ เหมือนอยากจะสื่อให้รู้ว่า ไม่เป็นไร “แล้วก็ขอบคุณด้วยที่มาขวางไม่ให้พี่เสาร์ต่อยฉัน ทั้งที่ฉันแกล้งนาย แต่ก็ยังมาช่วยอีก”

ยอมรับว่าเมื่อครู่เขากลัวมาก วันเสาร์น่ากลัวมาก...และไม่คิดเลยว่าคนที่เขาตั้งแง่ใส่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน จะกลับกลายมาเป็นผู้ยื่นมือเข้ามาช่วย วินาทีนั้นเองที่เขาสำนึกได้ว่า ไม่สามารถเกลียดคนที่กำลังกอดเขาไว้อย่างไม่กลัวเจ็บได้อีก...

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ต้องขอโทษที่ทำตัวเสียมารยาท”

ตะวันส่ายหน้า สูดลมหายใจลึกเข้าปอด ก่อนจะพ่นมันออกมาทางปากยาวเหยียด เขาได้รับรู้ถึงคำว่าพ่ายแพ้อย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งได้เข้าใจถึงเหตุผลที่ตัวเองต้องแพ้ด้วย เพราะว่านับหนึ่งดี แม้กระทั่งกับคนที่ร้าย นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้กำแพงสูงชันที่วันเสาร์สร้างไว้พังทลายลง

เวลาแค่สองสามวันที่เขาตั้งมั่นว่าจะลองเดิมพันเอาชนะใจวันเสาร์ให้ได้ มันเหนื่อย...และมันไร้ประโยชน์ที่จะพยายามไขว่คว้าหาความรักที่เขาไม่มีวันได้รับ

สำหรับวันเสาร์ คนที่เขาเคยแอบปลื้ม...พอแค่นี้ดีกว่า...

 

-----------------------------------------------



“ว่าแต่ พี่เสาร์กลับมาทำไมครับ” นับหนึ่งถาม หลังจากที่ปลอบตะวันจนสงบ และตกลงกันว่าตั้งแต่คืนนี้ ตะวันจะย้ายกลับไปนอนที่บ้านตัวเอง โดยมีพี่ละเมียดคอยช่วยเก็บข้าวของอยู่ในห้องรับรอง

“ฉันลืมกระเป๋าตังค์ แถมไอ้เจโทรมาขอเลื่อนนัดด้วย”

“อ่า” คนตัวเล็กพยักหน้า ขณะถอดกางเกงยีนส์ชื้นๆ จากกาแฟแก้วเมื่อครู่ออกไปโยนทิ้งไว้ในตะกร้า พี่ละไมเพิ่งจะหยิบชั้นในกับกางเกงมาให้เขาเปลี่ยน ก่อนจะรับอาสาโทรไปรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้พจน์กับวรวรรณฟัง แน่นอนว่าวันเสาร์ไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แค่คำว่า ขอโทษ คำเดียว สงสัยมีหวังตะวันคงได้ฟังครอบครัวตัวเองเทศน์อีกยาวแน่

แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดตะวัน...ออกจะสงสารด้วยซ้ำ เขาคิดว่าตะวันแค่เหงาและโหยหาความรักเหมือนกับใครบางคนแถวนี้ เลยพลาดพลั้งทำตัวแย่ๆ ออกไปก็แค่นั้น

ใครบางคนที่ว่าเดินเข้ามาซ้อนหลังเขาโดยไม่พูดไม่จา มือหนาเอื้อมสอดมาด้านหน้า ช่วยกลัดกระดุมกางเกงสามส่วนตัวใหม่ ก่อนจะเกี่ยวรัดเอวบางเข้าหาจนร่างทั้งร่างแทบจมฝังเข้าไปแนบอก ไออุ่นจากลมหายใจอีกฝ่ายเป่ารดอยู่ระคอต้นทำเอาเขาหลุดยิ้มด้วยจั๊กจี้

เอ่ยถามบางอย่างในใจ “เมื่อกี้ ทำไมพี่เสาร์ถึงตอบคุณตะวันแบบนั้นล่ะครับ”

“แบบไหน?”

“ก็…ที่บอกว่าผมเป็น…เอ่อ คนรัก”

“แล้วถ้าไม่ให้ตอบอย่างนั้น จะให้ตอบยังไง บอกว่านายเป็นหมาของฉันเหรอ”

“พี่เสาร์อะ” เขาส่งเสียงงอแงอยู่ในลำคอ สังเกตเห็นรอยยิ้มปนขำระบายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา

“ก็เป็นคนรัก เดี๋ยวนายก็ต้องตอบแบบนี้กับพ่อแม่ฉัน”

พวงแก้มใสเห่อร้อนขึ้นหน่อยยามคิดได้ว่าเขายังติดค้างเรื่องที่ต้องไปสารภาพกับผู้ใหญ่ทั้งสอง แต่ก่อนหน้านั้น ยังไงก็คงต้องทำให้ทุกอย่างชัดเจนเสียก่อน…

“ผมเป็นคนรักของพี่จริงๆ ใช่ไหมครับ”

“ทำไม” คนตัวใหญ่หันตัวเขากลับไปเผชิญหน้ากัน

“แบบว่า…ไม่ได้เป็นแค่ที่รองรับอารมณ์ของพี่ใช่ไหม”

วันเสาร์ย่นคิ้ว “ฉันจะไม่มีวันบอกว่ารักนาย ถ้านายเป็นแค่นั้น”

“แล้วก็ไม่ใช่ตัวแทนของใครด้วยใช่ไหมครับ”

ทั้งห้องเงียบกริบ และความเงียบนี้เองที่ค่อยๆ กลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่ในนัยน์ตากลมคู่สวย ฝ่ามือหนาเลื่อนกอบกุมสองมือสั่นระริกของเขาไว้ เสียงนุ่มทุ้มฟังดูจริงจังเป็นเครื่องตอกย้ำให้เชื่อได้ว่านี่คือความจริง

“ไม่ใช่” เขารู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งใบหยุดหมุน มีเพียงคำพูดจากปากของชายตรงหน้าที่ดังอยู่ในโสตประสาท “ฉันรักนายที่เป็นนาย ไม่ได้คิดว่าเป็นตัวแทนของใครทั้งนั้น”

สิ่งต่างๆ พรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว “ฉันยอมรับว่าเคยสับสน แต่สุดท้ายก็รู้ว่าคนที่ฉันรัก ก็คือเด็กที่ชื่อนับหนึ่งคนนี้ ที่ยืนอยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้… เพราะงั้นก็เลิกคิดมากได้แล้ว เข้าใจไหม”

ริมฝีปากแดงสดเบะออก ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาที่ฝืนกักไว้ร่วงผล็อยด้วยความตื้นตันใจ เขาพยักหน้าลง แต่ก็ยังไม่วายส่งอีกคำถามตามไปติดๆ

“แล้วทำไมถึงรักผม…”

“ไม่รู้”

คำตอบในฉับพลัน ทำเอาเขาชะงัก “ไม่รู้ได้ไง”

วันเสาร์เผยยิ้มจางๆ ยกนิ้วขึ้นเกลี่ยคราบน้ำตาออกให้ ก่อนจะก้มลงฝากรอยจูบไว้กับหลังมือขาว ดวงตาเรียวเหลือบสบกันอย่างแสนลึกซึ้ง คำอธิบายหนึ่งเดียวแทรกผ่านความเงียบในห้อง ปัดเป่าแทบทุกความกังวลให้มลายหายไปจากใจเขา

“เพราะว่าไม่มีเหตุผล มันถึงได้เรียกว่าความรักไม่ใช่เหรอ”

 
----------------------------------------------------------------------------------------------

ใครไปฟ้องพี่บ.ก.ว่านักเขียนจะเลิกแต่งพี่เสาร์แล้วคะ เลยต้องมาอัพเลย 55555 ล้อเล่น (แต่มีคนฟ้องจริง 55) ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่เป็นการย้ำความรู้สึกของพี่เสาร์ที่มีต่อหนึ่งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีตะวันโผล่มาเป็นตัวประกอบช่วยสุมไฟ(รัก)ของทั้งคู่ ส่วนตอนถัดไปเตรียมเป็นเบาหวานค่ะ 55555

หมายเหตุ: ช่วงนี้เรากลับไปเป็นนิยายรายเดือนเหมือนเดิมก่อนนะคะ อัพเดือนละครั้ง แต่จบแน่นอน อย่าเพิ่งทิ้งพี่เสาร์กะน้องหนึ่งน้าา

Twitter ติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ มาร่วมหวีดกันได้นะต้ะ ไม่มีอะไรจะด่าพี่เสาร์แล้ว ก็ชมนางบ้างกะได้ 555

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ piiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-2
นับหนึ่งทำไมหนูนางเอกแบบนี้ลูก หนูต้องหัดเป็นคนร้ายๆ แบบนางร้ายในละครหลังข่าว!

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง ยี่สิบสอง



“วันนี้จะตอบพ่อกับแม่ฉันว่ายังไง” วันเสาร์เอ่ยถาม สายตาคมจับจ้องไปยังพวงแก้มแดงก่ำของเด็กที่กำลังนั่งทับร่างกายเปลือยเปล่าของเขาอยู่ในเช้าวันนี้

ฝ่ามืออุ่นลูบคลึงไปตามสะโพกมนสวย ฟอนเฟ้นมายังต้นขาเนียนละเอียด ก่อนจะเอื้อมขย้ำก้อนเนื้อกลมกลึงทั้งสองข้างอย่างสนุกมือ ขณะที่คนถูกถามยังคงเอาแต่กัดปากตัวเองจนเขากลัวว่ามันจะห้อเลือด แม้ว่าจะพยายามสะกดกลั้นสุ้มเสียงตัวเองไว้ยังไง ก็ยังปิดซ่อนมันไม่มิดอยู่ดี

“อ…อื๊ออ..”

“ตอบสิ” ลำตัวหนาแกล้งกระแทกกายสวนขึ้น จนร่างเล็กสะเทือน รีบใช้แขนยันหน้าท้องเป็นลอนเอาไว้มั่น

“ตะ…ตอบ อื้อ..อะไร ครับ”

“ก็ถ้าท่านถามว่านายเป็นอะไรกับฉัน จะตอบว่ายังไง”

“ก…ก็…”

ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก หยาดน้ำตาเอ่อล้นจนดวงตากลมโตหยดเยิ้มมองสบลงมา ผิวขาวใสไปเสียทุกส่วน จนแทบสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่ลอดผ่านกระจกหน้าต่าง จุกทับทิมสีหวานบวมเต่งเพราะเพิ่งจะถูกเขาดูดดุนอยู่เป็นเวลานานสองนาน และตอนนี้มันก็ล่อตาล่อใจ ชวนเชิญให้เขานึกกระหายมันอีกครั้ง

“ว่าไง?” เขาเซ้าซี้ ก่อนจะอัดแก่นกายขนาดมหึมาอันน่าภูมิใจของตัวเองเข้าเติมเต็มช่องทางอุ่นร้อน แม้แต่อากาศสักอณูเดียวก็ไม่ยอมให้แทรกผ่านเข้าไป

ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเชิดมองเพดาน อวัยวะด้านล่างเอาแต่ตอดรัดส่วนแข็งขืนถี่รัวจนเขาต้องเผลอซูดปาก นับหนึ่งจิกเท้า พยายามเอ่ยตอบเสียงกระเส่า “เป็น…ผมเป็น..ฮื่อ ค..คนรัก ของพี่สะ..อ๊ะ เสาร์”

“ดีมาก”

รอยยิ้มพึงใจปรากฎขึ้นบนโครงหน้าหล่อเหลา วันเสาร์รั้งลำคอระหงลงมารับจูบร้อนแรงแทนรางวัลสำหรับเด็กดี ริมฝีปากทั้งสองบดเบียดเข้าหากันตามแรงอารมณ์พลุ่งพล่าน เรียวลิ้นชื้นเกี่ยวกระเซ้า เย้าแหย่อยู่ภายในโพรงปากหวาน คนโตกว่าลูบไล้ไปตามแนวแผ่นหลังเว้าโค้ง ย้อนกลับมาหยอกล้อกับอกแบนราบที่กำลังส่งเสียงตึกตักดังออกมา

“ฮ..ฮ้า” เราผละออกจากกันเมื่อเด็กด้านบนเริ่มไอโคลกเพราะหายใจไม่ทัน มันเป็นโอกาสเหมาะให้เขาตรงเข้าช่วงชิงติ่งไตสีสดราวกับทารกอยากน้ำนมไม่มีผิด แต่สาบานเถอะว่าสิ่งนี้ เอร็ดอร่อยยิ่งกว่านมจากเต้าไหนทั้งนั้น

ลิ้นพลิ้วฉกชิมเจ้าจุกตั้งชันน่าเอ็นดู สลับข้างไปมา มือหยาบก็คอยประคองบั้นท้ายให้ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ เรียวแขนบางรวบอยู่รอบศรีษะเขา ขยุ้มกลุ่มผมสั้นสีดำสนิทเพื่อช่วยระบายความรู้สึกสุขสมในกาย

“อ๊ะ” เขาตวัดลิ้นแรงๆ ทิ้งท้าย ก่อนจะขยับท่าทาง เปลี่ยนให้เจ้าของพวงแก้มแดงปลั่งนอนราบลงกับพื้นเตียง เป็นฝ่ายคร่อมทับอยู่ด้านบนแทนที่

ขาเนียนพาดอยู่กับบ่าแกร่ง เตรียมพร้อมสำหรับรับแรงกระทั้นหนักหน่วง เขาหยัดกายเข้าหาอีกฝ่ายถี่รัว เร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจวนเจียนใกล้ถึงฝั่งฝัน

นับหนึ่งเลิกฝืน ปล่อยให้ตัวเองส่งเสียงหวีดร้อง ดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง “อ..อ๊า..พี่เสาร์ ช้า…ช้าหน่อยครับ”

อย่างกับว่าพูดแบบนั้นแล้วเขาจะฟัง…ไม่อยู่แล้ว และเขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเองก็ชอบที่เขาทำมันแบบนี้ ยิ่งเขาเคลื่อนตัวเร็วเท่าไร สะโพกสวยก็ยิ่งขยับตอบรับดีเท่านั้น และยิ่งเขาเข้าไปลึกมากเท่าไร เสียงหวานๆ ก็ยิ่งครวญครางดังขึ้นเท่านั้นเช่นกัน

เขาโน้มตัวลงฝากจูบไว้กับขมับเปื้อนเหงื่อ มือหนาสอดประสานเข้ากับฝ่ามือนุ่ม กอบกุมเอาไว้แนบแน่น พลางกดกาย สอดแทรกตัวตนเข้าไปยังร่องรักแฉะฉ่ำ เสียงเนื้อกระทบเนื้อน่าอายดังถี่ๆ ก้องกังวาลอยู่ในโสตประสาท เล่นเอาลำตัวขาวสะอาดด้านใต้แทบจะกลายเป็นชมพูไปเสียทุกส่วน

“อื๊ออ…อื้อๆ ๆ” เจ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อยของเขาบิดเร่า ปากเจ่อเผยอออกราวกับจะเชิญชวน

เราแลกน้ำลายหนืดให้แก่กันอีกหลายครั้ง ก่อนที่เขาจะเริ่มเร่งจังหวะ จนทั้งสองร่าง แม้แต่เตียงหลังใหญ่ยังไหวคลอน

“พี่เสาร์…อ๊ะ ไม่..ไม่ไหวแล้..”

วันเสาร์สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด แกล้งผ่อนแรงลงกะทันหันในขณะที่ทั้งเขาและนับหนึ่งกำลังจะแตะขอบสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เจ้าของร่างเล็กถีบเท้าประท้วง ก่อนที่ใบหน้ามุ่ยๆ นั้นจะสะบัดไปมา พลางหวีดร้องสุดเสียงในชั่ววินาทีที่เขากระแทกความใหญ่โตเข้าใส่เป็นครั้งสุดท้าย

“อะ..อ..อ๊าา!!”

หน้าท้องแบนหดเกร็งยามของเหลวขุ่นข้นพวยพุ่งผ่านช่องทางคับแน่น ปะทะกับส่วนที่ลึกที่สุดในร่างกายร้อนผ่าว นับหนึ่งกระตุกสองสามทีก่อนจะปลดปล่อยทุกหยาดหยดของอารมณ์ออกมาแทบจะพร้อมกัน เรียวตาสีน้ำตาลเข้มปรือมองเขาอย่างเหนื่อยอ่อน หากก็เปี่ยมไปด้วยความสุขท่วมท้น

เขาก้มลงจูบซับน้ำตาให้กับอีกฝ่าย ค่อยๆ ไล่พรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้าแดงซ่านเป็นการปลอบ เสียงหัวใจสองดวงของเราดังชัดขึ้น สลับกับเสียงหอบหนักๆ ที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไร เขาก็รู้สึกว่ามันช่างเย้ายวนชวนฟังเสียจริง

“อีกรอบได้ไหม?” กระซิบถามข้างใบหู ก่อนจะหันไปขบเม้มกลีบปากนิ่มสั่นระริกอยู่หลายที

คนเด็กกว่าส่งเสียงงอแงออกมาจากลำคอ ปล่อยมือออกจากเขาแล้วพยายามดันแผงอกหนาออกห่าง พร้อมส่ายหน้าระรัว “ไม่เอาแล้วครับ”

“แต่ว่านายชอบ..”

นับหนึ่งย่นจมูก ใบหูทั้งสองข้างร้อนฉ่าขึ้นมาอีกระลอก เพียงแค่ได้ยินคำพูดน่าอับอายจากปากของผู้ชายที่ดูเหมือนจะรู้จักเขาดีซะเหลือเกิน

“แต่ว่าผมเหนื่อย”

“งั้นให้พัก 5 นาที”

“ไม่เอาา...” คนตัวเล็กลากเสียงยานคาง ดันตัวเองลุกขึ้น ทำให้แก่นกายอุ่นๆ หลุดออกจากส่วนเชื่อมต่อระหว่างเรา

วันเสาร์พ่นลมหายใจออกจากปาก แล้วถึงได้ยอมจำนน หากก็ไม่วายขโมยจูบเขาไปอีกรอบ มันเป็นจูบที่เผ็ดร้อน ทว่าลึกซึ้ง และกินเวลาเนิ่นนานราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันแสนดี

เราผละตัวออกจากกัน ก่อนที่เขาจะโผเข้ากอดคนเป็นพี่ด้วยความรักใคร่ วันเสาร์ยกยิ้มพลางลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน เราขลุกตัวอยู่บนเตียงต่ออีกสักพักกว่าที่จะย้ายเข้าไปชำระล้างร่างกายในห้องน้ำ และบทรักที่เพิ่งจบไป เกือบจะปะทุขึ้นอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่ว่าเขายับยั้งห้ามใจตัวเองได้ทันซะก่อน ถึงแม้ว่ามันจะทำให้วันเสาร์ดูหงุดหงิดมากก็ตาม

ก๊อกๆ

ใครบางคนเคาะประตู ตามมาด้วยเสียงของพี่ละไม ดังลอดเข้ามาถึงในห้องอาบน้ำ “คุณพจน์กับคุณนายรออยู่ที่ห้องรับแขกนะคะคุณเสาร์”

นับหนึ่งกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นใกล้เริ่มขึ้นแล้ว ใช่...วันนี้คือวันที่เขาจะต้องสารภาพความจริงทั้งหมดกับพ่อแม่ของวันเสาร์ เรื่องที่เรามีความสัมพันธ์เกินกว่าแค่ผู้ใหญ่ใจดีกับเด็กที่รับมาเลี้ยง เรื่องที่เขาเคยเป็นสินค้าในคอลเลกชั่นเจ๊หมวย ซัพพลายเออร์เจ้าใหญ่ของเจนภพ รวมทั้งเรื่องที่เด็กปอนๆ ไม่มีอะไรคู่ควรเลยคนนี้ จะมาขอให้ได้ครองรักกับลูกชายอันเพียบพร้อมทุกประการของพวกท่านด้วย

“พี่เสาร์ ผมกลัว” เขาเบะปาก ขณะพากันก้าวขาออกจากอ่าง

เจ้าของร่างโปร่งดึงผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ออกจากราว นำมันคลุมกายเล็กที่กำลังยืนสั่นงันงก เมื่ออากาศด้านนอกแทรกผ่านเข้ามากระทบกับหยดน้ำเกาะตามผิวลื่นมือ

“บอกว่าไม่ต้องกลัวไง พ่อกับแม่ใจดีกว่าฉันตั้งเยอะ” วันเสาร์จัดแจงกระชับผ้าเช็ดตัวให้แน่ใจว่าเด็กน้อยของเขาจะไม่ป่วย

“แต่ว่า...ทุกคนก็ใจดีกว่าพี่เสาร์อยู่แล้วนี่ครับ”

“นับหนึ่ง”

“โอเคครับ ผมไม่บ่นแล้วก็ได้...หวังว่าท่านจะยอมรับเรานะ”

“ยอมอยู่แล้ว” เขายกมือขึ้นบีบจมูกรั้นจนมันแดงเรื่อ “คิดมาก”

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่นับหนึ่งก็ยังคงดูกังวลไม่หาย กว่าจะแต่งตัวเสร็จก็ปล่อยให้ผู้ใหญ่รออยู่หลายนาทีแล้ว ในที่สุด เราก็มาถึงหน้าประตูบานเลื่อนของห้องนั่งเล่น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องนอนชั่วคราวของเขาเอง

“อรุณสวัสดิ์ครับ” คนตัวเล็กรีบทักทายตามมารยาท ขณะที่คนบนโซฟาทั้งสองเอาแต่อมยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ

ทั้งเขาและวันเสาร์ต่างคุกเข่าลง และก่อนที่จะเกิดจังหวะเดดแอร์ วรวรรณก็เป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยขึ้นก่อน

“แม่กับพ่อรู้เรื่องตะวันแล้วนะ ตะวันเองก็โทรมาขอโทษแล้วด้วย”

“ครับ”

“เสาร์กับหนึ่งก็อย่าถือโทษอะไรตะวันเลยนะ”

นับหนึ่งรีบส่ายหน้า “ผมไม่โกรธอะไรคุณตะวันหรอกครับ”

“แต่ผมโกรธ” เสียงทุ้มดังแทรก ทำเอาเขาหันขวับ “อะไรกันครับพี่เสาร์”

“ก็เด็กนั่นแกล้งนายแรงจะตาย ไม่รู้สึกบ้างเหรอ”

“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ช่างมันสิครับ คุณตะวันก็ขอโทษผมแล้วด้วย”

“นายใจอ่อนเกินไป”

“พี่เสาร์นั่นแหละใจแข็งเกินไป”

“อะแฮ่ม” พจน์จงใจกระแอมไอเรียกความสนใจของเด็กๆ ทั้งสองตรงหน้ากลับมา วรวรรณอมยิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะพยายามปั้นน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“จบเรื่องตะวันเถอะ มาคุยเรื่องเราสองคนดีกว่า” เธอเว้นช่วงให้สมาชิกใหม่ได้หายใจหายคอ เมื่อสังเกตเห็นว่าโครงหน้าหวานส่อแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากว่าคำถามถัดไปของเธอ ก็นำพามวลความเงียบมหาศาลโปรยตัวลงปกคลุมไปแทบทั้งห้อง

“นับหนึ่ง...ไม่ได้เป็นแค่เด็กในอุปถัมภ์ของเสาร์ใช่ไหม ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ ไหนบอกแม่ซิ”

คนเป็นลูกเกือบจะเผลอหลุดยิ้มให้กับประโยคซักไซ้เมื่อครู่ เขากะแล้วว่าแม่จะต้องถามตรงๆ เพราะทนไม่ไหว แต่ก็ไม่คิดว่าจะตรงขนาดนี้เลยแฮะ

“เอ่อ…” เด็กข้างกายเขาอ้ำอึ้ง พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือ แต่เขาก็แกล้งทำเป็นพยักเพยิดหน้าให้อีกฝ่ายเป็นคนตอบ

“ว่ายังไง หนึ่งเป็นอะไรกับเสาร์?”

“คือ…ผม…เอ่อ….”

วรวรรณจ้องพวงแก้มระเรื่อด้วยใจลุ้น…ลุ้น….แล้วก็ ลุ้น… แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่านับหนึ่งจะยอมปริปากเอ่ยคำที่อยู่ในความคิดเธอออกมาง่ายๆ

สามีของเธอก็คงจะอดรนทนไม่ไหวเหมือนกัน ถึงได้ยิงคำถามใหม่ออกไปกลางปล้อง คาดว่ามันคงช่วยให้ตอบง่ายกว่าเดิม

“เป็นแฟนเสาร์เหรอ?”

นับหนึ่งเบิกตากว้าง เกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง “ค..คือ ผมมะ…มัน..แบบ…” โครงหน้าหวานยิ่งกลายเป็นสีแดงชัด เรียวลิ้นบางแทบจะพันเป็นปมหากว่าเป็นไปได้ คำพูดมากมายตีรวนอยู่ในสมองจนเริ่มทำตัวไม่ถูก เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนขมับทั้งที่อากาศในห้องก็ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าร้อนเลยสักนิด

ท้ายที่สุด ปลายนิ้วสั่นระริกก็กลับมาสงบลงได้ในวินาทีที่วันเสาร์เอื้อมมือเข้ามากอบกุมมันไว้นิ่งๆ เราเหลือบสบตากับแวบหนึ่ง ก่อนที่ร่างเล็กจะตัดสินใจสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมเอื้อนเอ่ยคำตอบที่ใครต่อใครต่างเดาออกอยู่แล้ว

“ก็…ช..ใช่ครับ”

“ผมกับหนึ่ง เรารักกันครับ” วันเสาร์ช่วยเสริม เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยของเขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้น คล้ายว่าจะปล่อยโฮเต็มที

“พ่อกับแม่ก็คิดอยู่แล้วเชียว”

“เล่ามาให้หมดเลยนะ ว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง”

คนเป็นลูกกระชับฝ่ามือ เพื่อมอบพลัง แล้วก็รับพลัง… เริ่มต้นเล่าเรื่องทุกอย่าง ตั้งแต่คืนที่นับหนึ่งแอบโดดเข้ามาซ่อนตัวบนรถของเขา จนกระทั่งวันที่เจนภพซื้อนับหนึ่งมาให้ แน่นอนว่าเขาต้องหยุดตรงนี้ แล้วนั่งฟังแม่บ่นยกใหญ่กว่าจะยอมให้พูดต่อไปได้ แต่อย่างน้อยท่านก็ไม่ได้ติงเรื่องที่นับหนึ่งเคยทำงานกับเจ๊หมวยเลย มีแต่จะยิ่งสงสารเมื่อรู้ว่าหลังจากสูญเสียญาติคนสุดท้าย สูญเสียสิ่งที่เรียกว่าบ้าน แล้วยังต้องถูกบังคับให้มาทำเรื่องแบบนั้นอีก

เขาวางใจที่จะเล่าทุกๆ สิ่งในใจออกไปจนหมดเปลือก ทั้งที่ตลอดมา แทบไม่เคยได้พูดคุยกับพ่อแม่ตรงๆ แบบนี้เลย เขาสารภาพถึงความรู้สึก…หรือเรียกให้ถูกคือความเข้าใจผิด ที่เคยมีต่อน้องชายตัวเอง เขาบอกพ่อกับแม่ว่าเขาทนทรมานกับความอ้างว้างมาตลอดกี่ปี เขาบอกว่าการปรากฎตัวของนับหนึ่งเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง และขณะนี้เขามีความสุขยังไง

รวมถึงคำขอโทษ ที่แม้จะเอ่ยซ้ำเท่าไรก็ยังฟังดูไม่พอ

“ผมขอโทษนะครับที่เติบโตมาเป็นคนแบบนี้”

“แบบไหน?” พจน์สวน

“ก็คนที่ทำผิด…คนที่เอาแต่ทำให้พ่อกับแม่เป็นกังวล คนที่เคยทำร้ายศุกร์ด้วย”

“พอๆ” คนเป็นพ่อโบกมือ แล้วส่งสัญญาณให้วันเสาร์หยุด ขณะที่วรวรรณกำลังลอบเช็ดน้ำตาคลอเบ้า “เสาร์ไม่ต้องขอโทษอะไรทั้งนั้น เรื่องศุกร์ก็จบไปนานแล้ว แถมตอนนี้เสาร์ก็รู้ใจตัวเองแล้วนี่”

“ใช่ แม่กับพ่อต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะเราปล่อยปละละเลย ไม่ได้มีเวลาให้เสาร์เท่าที่ลูกควรจะได้รับ มันถึงทำให้เสาร์ต้องเจ็บปวด…” เธอหยุด เมื่อรู้สึกว่ากำลังควบคุมอารมณ์ไม่ไหว

แม้ว่ามันจะน่าเศร้าที่เธอไม่สามารถมอบความรักอย่างเต็มเปี่ยมให้กับลูกชายแท้ๆ คนเดียวได้ จนทำให้เรื่องราวที่ผ่านมาบิดเบี้ยว แต่เธอกลับตื้นตันใจที่ในวันนี้ เราสามารถปลดล็อกความรู้สึก และเปิดอกคุยกันได้เสียที หลังจากที่วันเสาร์เอาแต่เก็บกดทุกอย่างเอาไว้นานนับสิบปี

เราต่างพรั่งพรูความในใจออกมาราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว อาบชะโลมเอาเศษหินดินทรายที่เคยยอกทำร้ายให้พัดพาหายไป ค่อยๆ ปล่อยให้บาดแผลของการเติบโตได้รักษาตัวเอง ทีละเล็ก ทีละน้อย

“อีกอย่าง…” พจน์จ้องเข้าไปในเรียวตาของลูกชายอย่างสื่อความหมาย “เสาร์ไม่เคยทำให้พ่อกับแม่เสียใจเลย เสาร์เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน และดูแลน้องดีมากมาตลอด ถ้าจะห่วงก็คงมีแค่เรื่องเดียว คืออยากให้เสาร์มีความสุข ได้พบรักแท้เหมือนกับศุกร์ หรือคนอื่นบ้าง”

เขาเว้นช่วง ก่อนจะคลี่ยิ้ม เหลือบมองไปทางเด็กอีกคนที่ยังมีสีหน้าประหม่าไม่หาย “แต่ตอนนี้คงหมดห่วงได้แล้ว จริงไหม”

“ครับ” วันเสาร์ระบายยิ้มแบบเดียวกัน

“แม่กับพ่อดีใจนะที่รู้ว่าเสาร์มีคนรัก แล้วก็ยิ่งดีใจที่รู้ว่าเป็นหนึ่งด้วย บอกตรงๆ แม่รู้สึกถูกชะตากับหนึ่งตั้งแต่แรกเห็นแล้วแหละ”

วรวรรณหัวเราะคิกคักชอบใจ หากก็ต้องชะงัก เมื่อเด็กในบทสนทนาของเธอส่งเสียงขัดขึ้นแผ่วๆ

“แต่ว่า...ผมเป็นแค่เด็กกำพร้าจนๆ ไม่มีอะไรคู่ควรกับพี่เสาร์เลยนะครับ”

วันเสาร์ลอบจิ๊ปาก คิดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่เขาก็ย้ำไปตั้งไม่รู้กี่หนแล้วว่าสิ่งที่กำลังกังวลน่ะมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย

“พวกเรายอมรับทุกคนที่เสาร์รักนั่นแหละ อย่าห่วงเลย” พจน์กล่าว

“จริงจ้ะ หนึ่งไม่ต้องคิดมากนะ แม่ไม่ได้สนใจหรอกว่าต้องเป็นใคร อะไร ยังไง ขอแค่เป็นคนที่เสาร์รักก็พอ อีกอย่าง หนึ่งดูเป็นเด็กดี แค่นี้แม่ก็ปลื้มจะแย่แล้ว”

“แต่…”

“หนึ่ง” วันเสาร์กดเสียงต่ำ ขณะบีบมือเขาหนักๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าถ้ายังไม่หยุดพูดคำว่า แต่ เขาคงได้ถูกจับโยนลงเขียง สับเป็นชิ้นแน่แล้ว

“เอ่อ…ขอบคุณมากนะครับ”

“งั้นเดี๋ยวเราออกไปทานข้าวที่สวนกันดีไหม วันนี้อากาศดีด้วย”

คนเป็นแม่พยายามเบี่ยงประเด็น ก่อนจะตะโกนเรียกละเมียดกับละไมที่ยืนแอบฟังอยู่หน้าประตูให้เข้ามาจัดการเก็บถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ และเตรียมอาหารกลางวันสำหรับเที่ยงนี้ เธอปัดมือไล่ให้ลูกชาย พร้อมลูก…สะใภ้ ไปรอที่สวน แล้วรีบคว้าโทรศัพท์มากดหาลูกชายคนเล็กทันที

อีกไม่นาน เธอกับพจน์ก็ต้องออกเดินทางอีกครั้ง เวลาที่เหลือไม่เท่าไร หลังจากแวะเวียนเยี่ยมเพื่อนสนิทมิตรสหายจนครบ เธอตั้งใจจะใช้มันกับครอบครัวทั้งหมด



---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
---------- ต่อ ----------



เจ้าของดวงตาสีนิลกระตุกแขนให้เด็กข้างกายลุกขึ้น เดินตามเขาไปยังส่วนของสนามหญ้าสีเขียวชอุ่ม วันนี้อากาศดีตามที่วรวรรณบอก ท้องฟ้าด้านบนเป็นสีฟ้าสดใส แต่งแต้มด้วยกลุ่มก้อนเมฆสีขาวสะอาด เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า บดบังแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้แรงแดดหลงเหลือเพียงแค่ไออุ่น กลิ่นหอมอ่อนๆ จากบรรดาพืชพันธุ์ไม้นาๆ ชนิตต่างลอยโชยอยู่ในอากาศ โดยเฉพาะต้นปีบสูงใหญ่เหนือหัวที่กำลังผลัดดอก ร่วงโรยลงเกลื่อนเต็มพื้นสวน

เรียวตาคมเข้มเหลือบมองเสี้ยวหน้าหวานที่เอาแต่เงยจ้องดอกปีบหมุนวนออกจากกิ่ง ตกลงสู่เบื้องล่างตามกระแสลม ค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปซ้อนหลัง ดึงรั้งร่างบางนั้นเข้ามาแนบไว้ในอ้อมอก เสียงกระซิบดังขึ้นข้างใบหูแดงเรื่อ

“หอมจัง”

“ดอกปีบเหรอครับ”

เขาส่ายหน้า ปลายจมูกโด่งคลอเคลียเข้ากับพวงแก้มใส “นาย”

คนถูกจู่โจมตัวแข็งทื่อ อุณภูมิความร้อนแล่นริ้วตั้งแต่ปลายนิ้วจรดลำคอขาว ชักไม่แน่ใจแล้วว่า วันเสาร์ตอนเป็นเจ้าชายเย็นชา กับวันเสาร์ที่จริงใจอย่างในตอนนี้ แบบไหนมันชวนขนลุกมากกว่ากัน

น่ากลัวแฮะ...

“พูดอะไรครับเนี่ย” เขาพยายามกลั้นยิ้ม

“ทำไม เขินเหรอ”

“กะ...ก็ แต่ก่อน พี่เสาร์ไม่พูดอะไรแบบนี้นี่น่า” เดี๋ยวนี้ชักจะพูดมากเกินไปแล้วนะ บางทีก็เตรียมใจไม่ค่อยจะทันเอาซะเลย ถึงแม้ว่าเขาจะชอบก็เถอะ

“แล้วอยากให้พูดไหม หรืออยากให้ด่าแทน ก็ได้นะ”

ฝ่ายเด็กกว่ายู่ปาก แกล้งทิ้งน้ำหนักตัวไปด้านหลังจนเราทั้งคู่เซไปนิด “แค่ไม่พูดว่าเกลียดผม หรือว่าไล่ผม แค่นั้นก็พอแล้วครับ”

ร่างสูงโปร่งกระชับวงแขน เหลือบตามองเด็กน้อยที่เพิ่งหลับตาพริ้มไปเมื่อสักครู่ เสียงใบไม้ปลิดปลิวดังชัดที่สุดในโสตประสาท ช่างเป็นช่วงเวลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความสุข ซึ่งเขาไม่เคยได้สัมผัสมานานหลายปี

และเพื่อรักษาความสุขนี้ให้คงไว้ตลอดไป เขาถึงได้ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง เขาไม่อยากถูกมองว่าไร้หัวใจ ไม่อยากทำร้ายหรือทำให้นับหนึ่งต้องเจ็บปวดอีก น้ำตาแค่หยดเดียวของเด็กคนนี้ หากไม่ใช่ตอนที่เรากำลังพลอดรักกันแล้ว เขาก็ไม่นึกปรารถนาที่จะได้เห็น คำพูดแสนเย็นชา และกริยาอันโหดร้าย ทั้งหมดนั่นเขาเลิกแล้ว

เขาแค่อยากเป็นคนที่ดีขึ้น เพื่อคนคนเดียว...

“ไม่ไล่แล้วไง แล้วก็จะไม่มีวันพูดว่าเกลียดด้วย”

นับหนึ่งเผยยิ้มทั้งที่ยังคงดื่มด่ำกับเสียงลมพลิ้วไหว เราต่างปล่อยให้หัวใจได้พักผ่อน ภายใต้ฟ้าใสสีครามสวย ความอบอุ่นอ่อนละมุนกำลังกระจายตัวฟุ้งไปแทบทุกหนแห่ง

ไม่นานหลังจากนั้น แม่บ้านทั้งสอง รวมทั้งลุงชัย ก็พากันมาช่วยจัดแจงโต๊ะอาหาร ตามมาด้วยพ่อกับแม่ และแน่นอนว่า น้องชายคนเดียวของเขาก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน

พร้อมด้วยผู้ชายที่เขาเคยนึกเกลียดชังมากเป็นอันดับต้นๆ

“พ่อแม่ สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ้ะกันต์”

“สวัสดีครับพี่เสาร์” กันติกรณ์เดินมายกมือไหว้ โดยมีวันศุกร์แอบหลบหลังไม่ห่าง บรรยากาศอึดอัดทุกครั้งที่เราเข้าหน้ากันมันเริ่มลดลงตั้งแต่ที่เขายอมผงกหัวตอบรับคำทักทายนั้นเป็นครั้งแรก

“อืม”

กันต์หันไประบายยิ้มให้กับคนรัก แล้วถึงหันกลับมาโบกมือให้เด็กอีกคนตรงนั้น “ไงหนึ่ง สบายดีไหม”

“สบายดีครับ”

“ดูสดใสขึ้นนะเรา”

ร่างเล็กยิ้มรับ ก่อนจะถูกวันเสาร์ดึงแขนเข้าไปใกล้ สายตาเย็นเยียบจับจ้องไปยังใบหน้าเหลอหลาของกันติกรณ์ที่ยังไม่ทันรู้ตัวว่าทำอะไรผิดให้พี่เขยคนนี้หงุดหงิดใจอีกแล้ว

“เด็กๆ มาทานข้าวได้แล้ว” วรวรรณกวักมือเรียก

แขกคนล่าสุดยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแกรกๆ หลังจากที่วันเสาร์เดินผ่านเขาไป

“ศุกร์ พี่ทำไรผิด”

“พี่เสาร์แค่หวงนับหนึ่งน่ะ” วันศุกร์ตอบทั้งอมยิ้ม ก่อนจะจูงมือรุ่นพี่ตัวเองไปทางโต๊ะกลมตัวใหญ่

พวกเราต่างจับจองเก้าอี้นั่ง บนโต๊ะหวายอัดแน่นไปด้วยอาหารกลางวันหน้าตาน่าทานเสียทุกเมนู ละเมียดเดินรินน้ำหวานสีแดงสดใส่แก้วให้สมาชิกแต่ละคน และวันเสาร์รู้ได้ทันทีเลยว่าลูกเจี๊ยบตัวน้อยของเขาคงจะชอบใจมากเป็นพิเศษถึงได้ทำตาเป็นประกายอยู่นั่น

“ดีจัง วันนี้ทุกคนมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา” หญิงวัยกลางคนประสานมือเข้าไว้ด้วยกัน ขณะไล่สายตามองเด็กๆ ทั้งสี่ตรงหน้า

“สรุปว่าแม่กับพ่อรู้เรื่องพี่เสาร์กับหนึ่งแล้วใช่ไหมครับ”

วรวรรณกับพจน์พยักหน้าลงแทบจะพร้อมกัน “ความจริงพวกเราก็พอเดาออกแต่แรกแล้วล่ะ” เพราะลูกชายคนนี้ของเธอคงไม่เก็บเด็กที่ไหนไว้ข้างกายนานขนาดนั้น หากว่าไม่คิดอะไรสักนิดเลย

“แล้วเป็นไงครับ ถูกใจลูกสะใภ้ไหม”

ลูกสะใภ้ที่ว่านั่งตัวเกร็ง ส่วนร่างสูงโปร่งด้านข้างก็เพียงส่ายหน้าให้กับน้องชายตัวดีที่เดี๋ยวนี้ชักจะขี้แกล้งขี้แซวมากไปหน่อยแล้ว สงสัยว่าจะเสียนิสัยเพราะนายกันติกรณ์นั่นแหละ

“ถูกใจซี่” วรวรรณยิ้มหน้าชื่น “หนึ่งน่ารักขนาดนี้”

“ความจริงถ้าเสาร์เลือกแล้ว พ่อก็วางใจได้เลยว่าต้องเป็นเด็กดีแน่ เพราะคนอย่างเสาร์คงไม่ไปรักใครสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกนะ” พจน์เสริม เล่นเอาคนตัวเล็กหน้าแดง

ทั้งหกชีวิตเริ่มต้นรับประทานอาหารกลางวัน พลางพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ บรรยากาศอันแสนอบอุ่นแผ่ซ่านรายล้อมไปทั่วทั้งวงสนทนา ภาพของพจน์ที่ลุกขึ้นตักกุ้งราดซอสมะขามใส่ไว้ในจานของภรรยา ตามด้วยกันติกรณ์ที่รีบเลียนแบบไม่ให้น้อยหน้า เรียกรอยยิ้มเล็กๆ จากทุกคนบนโต๊ะ

วันเสาร์ชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมตักกุ้งอีกตัว….ลงบนจานตัวเอง ไม่เผื่อเวลาให้ใครบางคนตั้งความหวังซะด้วยซ้ำ

เขาตั้งหน้าตั้งตาแกะส่วนหัวกับหางออก เพราะรู้ดีว่ามีคนแถวนี้ไม่ชอบกิน ก่อนจะย้ายเนื้อกุ้งเน้นๆ ไปวางไว้ในจานของเด็กที่เอาแต่เคี้ยวข้าวสวยหงุบหงับ แถมยังเลอะติดมุมปากไม่น่าดู

“จะเก็บไว้กินตอนเย็นหรือไง” เขาว่า แล้วหยิบเอาเมล็ดข้าวบนหน้าออกให้

วันศุกร์คอยเหลือบมองทั้งคู่ รู้สึกตื้นตันจนแทบจุกอก นึกไม่ออกเลยว่าเหล่าผู้คนที่เคยตราหน้าว่าพี่ชายของเขาไม่มีหัวใจและด้านชา หากว่ามาเห็นภาพนี้แล้วจะเป็นยังไง แต่ก็นะ…ใช่ว่าวันเสาร์จะแสดงด้านนี้ออกไปให้ใครต่อใครเห็นได้ง่ายๆ ซะเมื่อไร

แววตาเปี่ยมด้วยความเอ็นดูทอดสังเกตเด็กน้อยที่คอยหลบตา ใบหูนั้นขึ้นสีเรื่ออย่างน่ามันเขี้ยว ด้านที่แสนอบอุ่นของผู้ชายชื่อวันเสาร์ ที่ไม่เคยมีใครคนอื่นนอกเหนือจากเขาได้เห็น วันนี้นับหนึ่งก็ได้เห็นมันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีมุมอื่นๆ ที่แม้แต่เขาก็ไม่เคยเห็น ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็น และคงไม่มีวันได้เห็น เพราะว่ามีไว้ให้นับหนึ่งได้สัมผัสถึงมันเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น... กำแพงหนึ่งพันชั้นของวันเสาร์ เด็กผู้ชายเพียงคนเดียวที่ไม่เคยคิดว่ามีอยู่จริง วันนี้...ได้เดินเข้ามาทลายมันแล้ว

จะบอกว่าที่วันเสาร์เป็นอยู่คือโหมดหลงเมีย ก็เห็นว่าจะไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะวันเสาร์ไม่ใช่เจนภพที่เปลี่ยนคนรักไม่ซ้ำเดือน หมดโปรแล้วหมดโปรอีกซ้ำซาก เขาคิดว่าคนที่จะทำให้วันเสาร์หลงได้มากขนาดนี้ บนโลกใบนี้ คงมีแค่คนเดียว

และคนนั้นคือนาย…นับหนึ่ง

“แล้วพ่อกับแม่เป็นไงบ้างกันต์ วันนั้นที่ไปหาก็ไม่เจอ” พจน์เงยหน้าขึ้นถาม

“สบายดีครับ พอดีวันนั้นท่านมีนัดกับคุณอา”

“จริงสิ แล้วคุณอรรณพเป็นยังไง งานที่คณะไปได้ดีหรือเปล่า”

“ก็ปกตินะครับ แต่ดูเหมือนว่าปีนี้มีเด็กสอบเข้าน้อยกว่าปีก่อนๆ”

วันศุกร์พยักหน้า ช่วยเสริม “ศุกร์ว่าข้อสอบปีนี้น่าจะยากขึ้นด้วย เห็นว่ามีคนไม่ผ่านหลายคนเลย จนนี่จะเปิดสมัครรอบสามแล้ว”

“แต่ถ้าระบบคัดเลือกเข้มงวดขึ้น ก็แปลว่าจะได้เด็กที่มีคุณภาพขึ้นด้วยน่ะสิ ดีออก”

“ก็คงดีมั้งครับ”

“ศุกร์ตื่นเต้น อยากเห็นหน้ารุ่นน้องไวๆ แล้วเนี่ย”

“แต่พี่เครียดมากเลยรู้เปล่า” กันติกรณ์เลื่อนมือเข้ากอบกุมคนรักเอาไว้ ไม่ได้เกรงอกเกรงใจบุพการีที่นั่งหัวโด่อยู่เลยแม้แต่น้อย “กลัวพวกรุ่นน้องมาจีบศุกร์”

“โอ้ย ให้มันน้อยๆ หน่อยพี่กันต์”

หลานชายคณบดีงอแงใส่พ่อยายแม่ยาย หลังจากโดนวันศุกร์ฟาดเข้ากับไหล่ วงสนทนาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะปะปนไปด้วยรอยยิ้มและความชื่นใจ พวกเขาพูดคุยกันต่ออีกสักพักใหญ่กว่าที่พจน์ วรวรรณ์ กันต์ และ วันศุกร์จะขอตัวกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมเปิดภาพยนตร์เรื่องโปรดดูด้วยกัน

เหลือแค่เพียงสองชีวิตที่ยังคงไม่ยอมไปไหน นับหนึ่งก้มๆ เงยๆ เก็บเอาดอกปีบที่ร่วงออกจากต้นมาไว้ในกำมือ ขณะที่วันเสาร์กำลังนั่งทอดสายตามองคนรัก แต่ในหัวกลับคิดถึงน้องเขยที่เขาไม่อาจยอมรับมาก่อน มันมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจเขาทุกครั้งที่ได้ยินกันติกรณ์พูดจากับวันศุกร์

พี่อย่างนู้น พี่อย่างนี้

ฟังแล้วน่ารำคาญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นยิ่งดูสนิทชิดเชื้อเมื่อเทียบกับเวลาที่คุยโต้ตอบคนอื่น สัมผัสได้เลยว่า…พิเศษกว่า

เพิ่งจะเมื่อกี้นี้เองที่เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าตลอดมาตัวเองคุยกับนับหนึ่งยังไง และมันฟังดูเย็นชาแค่ไหน

“หนึ่ง มานี่” เขาสะบัดหัวไล่ความคิด แล้วกระดิกนิ้วเรียกเด็กที่เริ่มเล่นซนด้วยการโปรยกลีบใบไม้แห้งบนพื้นขึ้นฟ้าอย่างกับลูกหมาตัวน้อยๆ

เจ้าของพวงแก้มใสวิ่งกลับมา ก่อนจะปีนคร่อมลงบนตักทันทีที่เขารั้งเอวบางเข้าหาอย่างรู้งาน รีบยกช่อดอกไม้ในมือขึ้นอวดยกใหญ่

“ดอกปีบสวยๆ เต็มเลยครับ พี่เสาร์ดูสิ”

“อืม เห็นแล้ว” มือหนาลูบศีรษะทุยอย่างนึกเอ็นดู

คนโตกว่าจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลสวย โครงหน้าหวานส่งกลิ่นหอมไม่แพ้ดอกไม้ในมือ นับหนึ่งเป็นเด็กตัวเล็ก แลดูบอบบาง น่าปกป้อง น่าทะนุถนอม หากว่าแท้จริงกลับเข้มแข็ง แถมยังใจกล้าบ้าบิ่นในบางที

ผิวเนียนละเอียด ขาวสว่าง ยามต้องแสงก็แทบจะทำเอาแสบตาทีเดียว และเพราะว่าขาว แค่เขาสัมผัสถูกนิดๆ หน่อยๆ มันก็กลายเป็นสีชมพูเอาง่ายๆ แต่นั่นก็ยังไม่โดดเด่นเท่ากับริมฝีปากบวมอิ่มสีแดงสดแทบตลอดเวลา ชุ่มฉ่ำและแวววาวราวกับจะเชิญชวนให้ใครก็ตามที่เผลอมองต้องอยากเข้าไปลิ้มชิมรสมัน ยิ่งกว่านั้น ก็ยังนุ่มนิ่ม…ไม่ว่าจะบีบจับตรงไหน ก็เพลินมือไปซะหมด แม้แต่เส้นผมหยักศกอ่อนๆ นั่นก็ยังนุ่มลื่น น่าสัมผัส

น่ารัก…

เหมือนตุ๊กตา…เป็นตุ๊กตาตัวน้อยของเขา

“หนึ่ง” กลีบปากบางเผยอออก สุ้มเสียงหนักแน่นขาดห้วง ความร้อนในกายแล่นริ้วจากลำคอสู่ใบหน้าเรียวที่พยายามทำเป็นเคร่งขรึมกลบความเขินอาย “คือ ฉั…พ..”

“หือ?”

“พะ…”

“ครับ?” คนในอ้อมกอดเอียงคอ วันเสาร์มีท่าทีแปลกๆ หน้าแดง…แล้วยังเหงื่อออก ทั้งที่อากาศวันนี้ไม่ได้ร้อนเท่าไร

มืออุ่นคอยประคองบั้นท้ายเขาไว้ไม่ให้ตกจากตัก แววตาคมวูบไหวเสมองไปทางอื่นขณะเอื้อนเอ่ยคำบางคำออกมาผะแผ่ว

“พี่…”

ดวงตากลมกะพริบถี่สองสามที ก่อนจะเบิกกว้าง พี่…? วันเสาร์แทนตัวเองว่า พี่ กับเขาเหรอ

ปากซีดพยายามเรียบเรียงประโยค แม้ว่าสิ่งที่เปล่งออกมาจะใกล้เคียงเพียงเสียงกระซิบ “พี่….ให้แทนตัวเองว่าพี่ดีไหม..”

เขารีบขยี้ตา ตามด้วยการหยิกแขนแรงๆ แต่มันก็เจ็บ ไม่อยากจะเชื่อว่าวันเสาร์คนที่เคยเย็นชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็ง กลับดูเลิ่กลั่ก และพูดได้เต็มปากเลยว่า…น่ารัก! วันเสาร์ตอนนี้น่ารักจนเขาหุบยิ้มไม่ลง ใบหน้าคมขึ้นสีระเรื่อไม่ใช่ภาพที่ใครจะได้เห็นบ่อยนัก หรืออาจไม่เคยมีใครได้เห็นเลยด้วยซ้ำ

“ดีครับ” เขาตอบรับพลางฉีกยิ้มกว้าง วางกลุ่มดอกไม้ที่เก็บมาไว้กับโต๊ะหวาย ก่อนจะแนบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้ากับแก้มร้อนของคนตรงหน้า

โน้มลงฝากจุมพิตบางเบาไว้กับปลายจมูกโด่งเป็นสัน วันเสาร์แย้มยิ้ม ยอมหันกลับมาสบตาเขาตรงๆ เหมือนเดิม

“ความจริงผมก็อยากให้พี่เสาร์แทนตัวเองแบบนี้ตั้งนานแล้ว”

“อือ…เพิ่งรู้สึกว่าเรียกฉันแล้วมันฟังดูห่างเหินยังไงไม่รู้” อีกอย่าง…เขาก็ไม่อยากแทนว่า ฉัน กับแฟนตัวเองหรอก เพราะมันไม่อ่อนโยนกับลูกเจี๊ยบตัวนี้ของเขาเท่าไรเลย

ขอบคุณพระเจ้าที่การโยนอีโก้ต่างๆ ทิ้งลงเหวของเขา สามารถช่วยให้เด็กในวงแขนร่าเริงได้มากกว่าเก่า แถมมันยังส่งผลดีกับเขาเองด้วย ในเมื่อรอยยิ้มของนับหนึ่ง ก็เท่ากับความสุขของเขาเช่นกัน

“หนึ่ง” เขาเรียก พลางเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายทัดไว้กับใบหูเล็กๆ

“ครับ”

“เราทำคะแนนวิชาภาษาอังกฤษได้ดีตลอดเลย ถูกไหม?”

“หือ” คนตัวเล็กเลิกคิ้ว ไม่คาดคิดว่าจะถูกตั้งคำถามอะไรแบบนี้ใส่ จู่ๆ ก็นึกจะชวนคุยเรื่องการเรียนเหรอ ไปไงมาไงเนี่ย แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาทำคะแนนวิชานี้ได้ดี “ก็พอได้ครับ ผมชอบวิชานี้”

เป็นโชคดีของเขาเองที่อาจารย์วิชาภาษาอังกฤษของโรงเรียน เป็นคนใจดีและสอนเก่งจนทำให้อะไรๆ ก็ดูสนุกไปหมด บางคนอาจจะเกลียดวิชานี้ แต่เขาไม่ใช่เลย เขาชอบมัน และก็หวังว่ามันจะช่วยให้เขาถีบตัวเองขึ้นไปได้สูงกว่าเดิมด้วย แต่ก็นะ…เขาไม่รู้แล้วว่าจะมีโอกาสได้ใช้ความรู้ในหัวอีกไหม

“อย่างที่ได้ยิน คณะที่ศุกร์กับกันต์เรียน กำลังจะเปิดสมัครรอบสาม…”

อวัยวะในอกเต้นรัว ความหวังบางอย่างถูกจุดติด เขาแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ทันทีที่วันเสาร์พูดจบประโยค “เราอยากลองไปสมัครดูไหม?”

หยาดน้ำเคลื่อนตัวอยู่ภายในดวงตากลมเป็นประกาย “ย..อยากครับ! ผมอยากเรียนที่เดียวกับพี่ศุกร์”

วันเสาร์ยกยิ้มเอ็นดู ปลายนิ้วยาวสอดลูบกลุ่มผมนิ่ม

“งั้นก็ดี”

“แต่ว่า…พวกเอกสาร มันน่าจะโดนเผาไปหมดแล้ว” ใบหน้าหวานซึมลง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าใบเกรดเอย ใบจบมัธยมเอย หรือแม้แต่เอกสารราชการต่างๆ ทั้งหมดมันมอดเป็นฝุ่นไปตั้งแต่วันที่เจ๊หมวยบุกเข้ามาเผาบ้านเขาแล้ว

“ไม่ต้องห่วง พี่ไปขอทรานสคริปต์กับทางโรงเรียนมาให้แล้ว”

“ห้ะ ตั้งแต่เมื่…”

“ขาดก็แค่บัตรประชาชน ต้องไปทำใหม่”

“พี่เสาร์..”

อีกฝ่ายดูจะไม่ได้สนใจคำพูดเขาเลย และยังเอาแต่แทรกกลางปล้องอยู่เรื่อย “แล้วก็คะแนนภาษาอังกฤษ เราต้องไปสอบก่อนถึงจะยื่นสมัครได้”

“เดี๋ยวก่อนพี่เสาร์ นี่มันอะไรกันครับ พี่ไปขอใบเกรดผมมาตั้งแต่เมื่อไร แล้วขอมาได้ยังไง” เขารีบรัวคำถามใส่ไม่ให้ใครขัดขึ้นมาได้อีก

คนตัวสูงจ้องเด็กตรงหน้าแน่นิ่ง หากไม่มีคำอธิบายออกจากปาก...จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่าเขาแอบส่งคนไปสืบเรื่องผลการเรียนของนับหนึ่ง ตั้งแต่ตอนที่ยอมให้เด็กนี่ไปทำงานอยู่ Napoli นั่นมันก่อนเขาจะรู้ใจตัวเองสักพักเชียวนะ

เพราะคำพูดของนาวาที่ย้ำว่าหนึ่งไม่ใช่ทาส รวมทั้งความดื้อรั้นของนับหนึ่งเอง มันก็ทำให้เขาสำนึกได้ว่าตัวเองคงไม่สามารถกักขังเด็กคนนี้ไว้แต่ในบ้านได้ตลอดไป สุดท้ายแล้วนับหนึ่งก็ต้องออกไปเผชิญโลกข้างนอกอย่างที่เป็นมาตลอด ต้องได้ใช้ชีวิต ต้องมีสังคม และที่สำคัญคือ...ต้องมีอนาคต

อนาคตที่เคยถูกฉีกกระชากและลบออกจากหน้ากระดาษด้วยน้ำมือของเจ๊หมวย และบางที อาจจะด้วยน้ำมือของเขาด้วย...ถ้านับหนึ่งไม่ถูกจับตัวมา ชีวิตเล็กๆ นี้ก็คงยังดำเนินต่อไป หลังจากจบมัธยม ก็ต้องเข้ามหาลัย มันควรได้เป็นแบบนั้น ไม่ใช่จมปลักอยู่ในรั้วบ้านเขาจนเฉาตาย

เขาถึงอยากคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้ ให้มากกว่าที่นับหนึ่งเคยมีด้วยซ้ำ อยากให้มีชีวิตที่ดี อยากให้ได้กินของอร่อยๆ อยากให้ได้ออกไปเที่ยวในที่ต่างๆ อยากให้ยิ้ม อยากให้หัวเราะ อยากให้มีความสุข

ถ้าวันที่ถูกเจ๊หมวยเผาบ้านและลากมาเป็นเด็กเล้าคือวันที่โลกของหนึ่งพังทลาย เขาก็อยากเป็นฝ่ายที่ช่วยซ่อมแซมมัน เขาจะสร้างโลกใบใหม่ให้ ประคับประคอง ปกป้องมันเอาไว้

ให้กลายเป็นโลกที่จะไม่มีวันพังทลาย...

“ว่าไงครับพี่เสาร์”

“จะขอมาตอนไหน หรือขอมาได้ยังไงก็ช่างเถอะน่า เอาเป็นว่าเราไปเตรียมตัวเพื่อการสอบเข้าดีกว่า” เขายีหัวคนบนตักไปสองสามรอบ นับหนึ่งหยีตาพลางส่งเสียงงุ้งงิ้งในลำคอ แต่ก็ยอมจบการเถียงแต่โดยดี “เดี๋ยวพี่จะให้ศุกร์กับกันต์ช่วยเช็คตารางสอบให้”

เจ้าตัวเล็กพยักหน้า ยิ้มกว้างไม่หุบ “ขอบคุณมากๆ เลยนะครับพี่เสาร์”

“เปลี่ยนจากขอบคุณเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม”

ฝ่ายถูกถามชะงักไปนิด โครงหน้าใสขึ้นสีเลือดฝาดยามคิดเลยเถิดไปถึงอะไรบ้าๆ แทนคำว่าขอบคุณเมื่อครู่ หอมแก้มเหรอ หรือจูบ...

ระ..หรือว่า...

“บอกรักพี่หน่อย” วันเสาร์เฉลย แล้วกระชับอ้อมกอด

ความร้อนแล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มทั้งสองด้านยิ่งกว่าเก่า เขาได้แต่กัดปากกลั้นยิ้ม แทนตัวเองว่า พี่ ก็มีผลต่อใจมากแล้ว ยังจะมาปั้นหน้าอ้อนๆ ขอให้พูดว่ารักเนี่ย ฆ่าเขาเลยดีไหมวันเสาร์ เขินจะตายอยู่แล้ว!

เจ้าของเรียวตาคมย้ำ “พี่ยังไม่เคยได้ยินเราพูดว่ารักพี่เลยนะ”

“อ่า...”

“เร็ว” น้ำเสียงนุ่มนวลแข็งขึ้นเล็กน้อย มือซุกซนเริ่มลูบไล้สีข้างเขาไปมาราวกับต้องการเร่ง

นับหนึ่งขยับปากมุบมิบ แสร้งเป็นเสมองไปทางพุ่มไม้ละแวกใกล้เคียง หวังว่าจะช่วยปกปิดความเขินอายได้บ้างไม่มากก็น้อย ริมฝีปากอิ่มเผยอออก เอื้อนเอ่ยคำนั้นเบาหวิวเสียยิ่งกว่าสายลม หากก็ดังชัดในโสตประสาท เล่นเอาคนอยากฟังถึงกับหน้าแดงตามๆ กัน

“ผม...รักพี่เสาร์นะครับ..”

วันเสาร์อมยิ้ม ก่อนจะเชยคางมนของคนที่เอาแต่หลบตา ให้หันกลับมารับจูบแสนลึกซึ้ง เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึก รัก เฉกเช่นเดียวกับคำพูดเมื่อครู่

เสียงใบไม้พัดไหว พร้อมกับเสียงหัวใจเต้นแรงถึงสองดวง ความหวานละมุนยังคงเคลือบไว้ในโพรงปาก ก่อนที่คำรักจะดังก้องอยู่ข้างใบหูอีกครั้ง

“พี่รักหนึ่ง พี่รักหนึ่งมากที่สุด”

ฆ่าเขาเลยละกัน...



----------------------------------------------------------------------------------------------

พี่เสาร์รักน้องหนึ่งมากแค่ไหนถามใจดูนะคะ และจริงๆ ก็รักมานานแล้วด้วย แค่โง่...เอ๊ย ปากแข็งใจแข็งไปหน่อยเอง 555 หลังจากนี้น้องหนึ่งก็จะได้เข้ามหาลัย จะได้เจอทั้งตัวละครเก่าจากเรื่องน้องศุกร์ และตัวละครใหม่โผล่มาอีก หนทางพิสูจน์ความรักของทั้งคู่ยังไม่จบง่ายๆ แน่นอนค่ะ ยังไงก็ฝากเป็นกำลังใจและติดตามกันต่อไปด้วยน้าา

ใครคิดถึงพี่เสาร์น้องหนึ่ง อย่าลืมคอมเม้น หรือติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ ในทวิตเตอร์ให้ด้วยนะคะ มาหลอกล่อคนอื่นๆ เข้ามาอ่านกันอีกเต๊อะ 55555 แล้วพบกันใหม่เดือนหน้าเลยนะต้ะ ❤❤

★ ใครเคยอ่านเรื่องน้องศุกร์ ตอนนี้เรามีกิจกรรมในเพจให้เล่น (ไม่ต้องมีหนังสือก็ได้) แจกของพรีเมี่ยมเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ ลองไปเล่นกันได้น้าา ตามลิงก์นี้เลย >> https://www.facebook.com/aonair13/posts/2152080171578283

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4:อยากให้ตะวันคู่นาวา หลังจบเรื่องนี้ค่ะ  ให้นาวาคนใจเย็นใจดีมาปราบตะวันเด็กเอาแต่ใจ




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด