The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 31/8/18 Chapter 13 UPDATED
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 31/8/18 Chapter 13 UPDATED  (อ่าน 8579 ครั้ง)

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 



------------------------------------------------------------------




The M Case by Chester Lavins


action | suspence | omegaverse
by kinookokei




การตายของผู้หญิงคนหนึ่งคือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด


การพบกันโดยบังเอิญในเช้าวันหนึ่ง ทำให้เอ็มมานั่งอยู่ในห้องสอบปากคำในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีก่อการร้าย
โดยมีเชสเตอร์ เลวินส์ เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับมานั่งอยู่ตรงหน้า
พร้อมกับปล่อย ‘กลิ่นดึงดูด’ ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต

สิ่งที่นักสืบหนุ่มต้องการคือรู้ตัวฆาตกรในคดีของ ทีนา เฮซสัน
ส่วนเชสเตอร์ คือการจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายโอเมกา ‘ซินส์’

เพราะรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างไม่มีทางเลือก ข้อแลกเปลี่ยนของทั้งคู่จึงเป็นการพึ่งพาอาศัยกันเพื่อการบรรลุเป้าหมายของตัวเอง
ทว่ายิ่งเหตุการณ์ดำเนินไป สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นทั้งความจริง และปริศนาที่เกินกว่าจะเป็น

‘เรื่องบังเอิญ’



สามารถพูดคุยได้ที่ twitter @kinookokei

และติดแฮชแท็ก #TheMCase เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นได้ค่ะ



------------------------------------------------------------------





Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2018 21:03:47 โดย kinookokei »

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 1
«ตอบ #1 เมื่อ16-07-2018 20:04:53 »

CHAPTER 1 – Ominous



เอ็มเดินไปทั่วห้องซึ่งถูกปูด้วยพรมสีเลือดหมูประดับลวดลายสีอ่อนกว่า ในกระแสความคิดบอกชัดเจนว่าห้องเช่าเนื้อที่ไม่กี่ตารางฟุตที่ตนกำลังสำรวจตามจุดต่างๆ ณ ตอนนี้ เคยเป็นที่อยู่อาศัยของหญิงสาววัยยี่สิบห้าปีคนหนึ่ง



ฟันคมขบลงไปบนริมฝีปากล่างจนขึ้นสีชมพูเข้มอย่างทุกครั้งเวลาเผลอ ชายหนุ่มส่วนสูงหกฟุตพอดีซุกมือขาวเกือบซีดกับกระเป๋าโค้ตสีดำ ความรู้สึกไม่ดีและอาการปวดศีรษะทำให้เอ็มกลืนน้ำลายลงคอ ดวงตาสีฟ้าอมเทาหลับลงชั่วขณะ ก่อนจะลืมขึ้น และหลับลงไปอีกครั้ง



นอกจากหญิงเจ้าของห้องเช่าบนชั้นสามในแฟลตเลขที่ 114 นี้ ที่นี่ก็ไม่มีใครอาศัยอยู่อีก ไม่มีผู้เช่ารายอื่น แม้แต่ผู้ให้เช่า ซึ่งคนในละแวกนี้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ตั้งแต่เธอแต่งกับสามีอ่อนกว่าเกือบสามสิบปีไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็แทบจะไม่มาเหยียบลอนดอนอีกเลย ดังนั้นวาระสุดท้ายของทีนา เฮซสัน จึงเกือบจะไม่มีใครได้รับรู้ หากไม่ใช่ว่าเธอเลือกจบชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดลงมาจากห้องชั้นสามของตนในตอนบ่ายแก่ๆ ให้ผู้คนที่สัญจรบนถนนขณะนั้นได้เป็นพยานกันพร้อมหน้าว่า หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าคนนั้นสิ้นชีวิตทันทีเมื่อร่างของเธอปะทะกับพื้น พร้อมด้วยเลือดที่เจิ่งนองอยู่หน้าประตูแฟลตของเธอเอง เวลาต่อมาไม่นานหลังร่างไร้วิญญาณถูกส่งไปชันสูตร ตำรวจประจำพื้นที่ได้เข้าไปตรวจค้นในห้องทีนา ก่อนจะสรุปว่ามันคือการฆ่าตัวตาย โดยอาจมีสาเหตุมาจากโรคซึมเศร้า และมีประวัติการรักษาที่พบในห้องนี้เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ



เรียวนิ้วนวดสันจมูกโด่ง ขณะที่ริมฝีปากบางเผยอน้อยๆ ระหว่างใช้ความคิด เอ็มหยุดอยู่บริเวณหน้าหน้าต่าง ปลายรองเท้าบูตสีน้ำตาลอ่อนเว้นระยะห่างจากจุดที่หญิงเจ้าของห้องเคยยืนเป็นที่สุดท้ายก่อนจะกระโดดลงไปด้านล่างจนเสียชีวิต กองเลือดปริมาณมากปรากฏขึ้นบนพื้นตรงนั้น ผ้าม่านสีทึมพลิ้วไหวสะท้อนบนผิวหน้าของของเหลวแดงฉาน ก่อนกองเลือดนั้นจะหายไปในเวลาไม่กี่วินาที ร่างสูงย่อตัวลง มือข้างหนึ่งสัมผัสกับพื้นที่เหลือเพียงพรมเรียบๆ ซึ่งปูเหมือนกันทั้งห้อง ลูบความไม่เสมอกันของความหนาของพรม แล้วพบว่าบนนั้นมีคราบโคลนแข็งๆ เกาะอยู่ เอ็มลุกขึ้นยืนอย่างเดิม เสยผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ตกลงมาปรกใบหน้าไว้ข้างขมับ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเขามั่นใจแล้วว่า ผู้หญิงที่ชื่อทีนา เฮซสัน ไม่มีวันฆ่าตัวตายอย่างเด็ดขาด



สิ่งที่เห็นตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในห้องนี้คือสภาพของห้องที่ไม่ได้บ่งบอกว่าเจ้าของห้องที่อาศัยอยู่ทุกวันเป็นคนช่างเอาใจใส่เลยแม้แต่น้อย ชัดเจนจากรอยฝุ่นตามจุดต่างๆ การวางของระเกะระกะ และกระจกในห้องน้ำที่แทบจะไม่สะท้อนภาพคนส่อง คล้ายห้องเช่าแห่งนี้ไม่ได้มีผู้อาศัยอยู่จริง แต่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เพียงตู้ลิ้นชักในห้องนอนเท่านั้นที่ถูกจัดระเบียบอย่างดีและล็อกกุญแจเอาไว้ กุญแจไม่ใช่ปัญหา หลังจากเปิดลิ้นชักได้ เขาก็พบรูปถ่ายหนึ่งใบในนั้น



มันคือรูปถ่ายครอบครัวสภาพเก่า อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าสิบปี มีพ่อ แม่ เด็กหญิง และเด็กชายยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์ แน่นอนว่าเด็กผู้หญิงในรูปนั้นคือทีนา เอ็มคิดอย่างนั้นหลังเทียบใบหน้าเด็กในรูปกับใบหน้าของทีนาก่อนตาย รวมทั้งเธอยังมีส่วนคล้ายคลึงกับคนที่เขาคิดว่าเป็นพ่อแม่ในรูป ทั้งสี่คนดูเป็นครอบครัวที่มีความสุข ทว่าเอ็มกลับไม่คิดเช่นนั้น เหตุผลคือนอกจากรูปถ่ายเก่าๆ ใบนี้แล้ว ก็ไม่มีรูปใบอื่น หรือของรำลึกอื่นใดอีก



ครอบครัวเฮซสันไม่ได้เสียชีวิต มิเช่นนั้นเธอคงไม่มีความจำเป็นต้องมาเช่าห้องแคบๆ ในแฟลตเพื่ออาศัยอยู่ เพราะบ้านใหญ่โตในรูปจะตกเป็นของเธออย่างไม่ต้องสงสัย จากสภาพความเป็นอยู่ในห้องห้องนี้ เอ็มจำกัดเหตุผลที่ทีนาไม่อาจกลับไปที่บ้านตัวเองได้สองข้อคือ หนึ่ง...เธอมีปัญหาบางอย่างกับครอบครัว หรือสอง...ครอบครัวมีปัญหาบางอย่างกับเธอ เขาลงความเห็นให้เป็นข้อหลัง เนื่องจากเขาไม่พบจดหมายสักฉบับในห้องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น โทรศัพท์มือถือที่ยังอยู่บนโต๊ะอาหารยังบอกอีกว่า นอกจากทางครอบครัวจะไม่ติดต่อกับเธอแล้ว เธอยังไม่ได้มีความพยายามที่จะติดต่อกับครอบครัวของตัวเองเลยอีกด้วย



ปัญหาอะไรก็ตามที่ครอบครัวเฮซสันประสบนั้นดำเนินมาอย่างยาวนานจนทำให้พวกเขาไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปใบใหม่เลย แม้กระทั่งวันที่เธอย้ายออกมาอยู่ห้องเช่าในบ้านเลขที่ 114 แห่งนี้



ถึงอย่างนั้นทั้งหมดก็ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เธอฆ่าตัวตาย หรือจะเป็นเรื่องชู้สาวล่ะ? เป็นไปไม่ได้ เขาขี้เกียจจะขยายความถึงเหตุผลของข้อสันนิษฐานโง่เง่านั่นด้วยซ้ำ



เอ็มสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่น นี่ล่ะหลักฐานชั้นดีที่ว่าเมื่อครู่เขาเกือบจะตกลงไปในห้วงความคิดของตัวเองแล้ว



มันเป็นข้อความจากเพื่อนร่วมห้องของเขา นิโคล เจนเซน

 

‘ออกไปไหนทำไมไม่บอก’

 

น้ำเสียงของนิโคลตอนพูดประโยคนั้นดังขึ้นในหัวของเอ็ม ปลายนิ้วกดส่งข้อความสั้นๆ กลับไปว่า

 

‘ทำงาน’

 

ก่อนประโยคที่ยาวกว่าจะตอบกลับมาว่า

 

‘คดีเงินแสนหรือคดีลูกชายมิสเตอร์ฮาร์ดีล่ะ’

 

‘ไม่ทั้งคู่’

 

ชายหนุ่มเผลอขยับปากตามข้อความที่พิมพ์ เรียบร้อยแล้วจึงปิดเครื่องโทรศัพท์เสีย สิ่งที่เจ้าตัวเกลียดอย่างหนึ่งคือการถูกรบกวนสมาธิ เอ็มคิดจะปะติดปะต่อข้อสันนิษฐานเมื่อครู่อีกครั้ง ยังมีอีกประการที่เขามั่นใจว่าเป็นเบาะแสชิ้นสำคัญถึงตัวคนร้ายในคดีนี้ มันเป็นงานของเขาที่ต้องให้พวกตำรวจไร้ความสามารถทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า ทีนา เฮซสันไม่ได้คิดสั้นอย่างที่เข้าใจ เอ็มกดขมับซ้ายตัวเองเพราะอาการปวดหัวขั้นรุนแรง ก่อนจะเลียริมฝีปากที่แห้งแตกด้วยอากาศเย็นเยียบ แม้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เป็นอีกครั้งที่เขาเห็นภาพกองเลือดหน้าบ้านเลขที่ 114 มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ...แล้วมันก็หายไป เหลือแค่พื้นพรมสีเข้มเสมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น



โดยปกติเอ็มไม่มีนิสัยชอบเข้าไปแส่คดีของคนอื่น ทั้งยังเป็นคดีที่เกือบจะปิดไปแล้ว แต่เขากลับกำลังทำมันอยู่ ‘นักสืบ’ คือคำจำกัดความง่ายๆ สำหรับงานของหนุ่มผมสีเข้ม เป็นคำเดียวกับที่เขาใช้เรียกตัวเองและที่คนรอบข้างเช่นลูกค้าหรือเพื่อนร่วมห้องอย่างนิโคลเรียก ยกเว้นสำหรับตำรวจบางคนอาจเรียกว่า ‘ตัวน่ารำคาญ’ ในบางครั้งที่งานของเขาล้ำเข้าไปในส่วนของตำรวจมากเกินไป และอาจถูกเรียกว่า ‘คนนั้น’ บ้าง ในกรณีที่ลูกค้าของเขาได้รับคำแนะนำมาจากคนอื่น เอ็มไม่ชอบเผยตัวต่อสาธารณะมากเกินไป ไม่ใช่ฮีโร่หรือผู้ผดุงความยุติธรรม เป็นแค่คนที่คนเฉพาะกลุ่มรู้จักดีว่าสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ นานาของพวกเขาได้ ซึ่งแน่นอนว่าทุกการแก้ปัญหาต้องแลกมาด้วยการจ่ายอย่างที่เขาไม่คิดจะอ้อมค้อม งานของเอ็มเริ่มจากการไขคดีฆาตกรรมที่มีจุดขัดแย้งเล็กๆ จากคำไหว้วานของเพื่อนเก่าที่เป็นตำรวจ คงเดาไม่ยากว่าหลังจากนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายเข้าหาลูกค้าก่อนอีก แต่ถึงอย่างนั้น นักสืบหนุ่มก็เป็นคนเลือกงานอยู่ดี



มือเรียวอย่างคนไม่ได้ทำงานหนักที่กำลังปัดผมสีเข้มไปข้างขมับชะงัก ก่อนเอ็มจะรู้ตัวว่ามันกำลังสั่น ไม่ใช่เพราะความหนาวที่เหมือนจะแผ่เข้าไปถึงขั้วหัวใจอย่างที่มักรู้สึกในพักนี้ เม็ดเหงื่อกลับมาชื้นบนแนวไรผม รวมทั้งแผ่นหลังใต้เสื้อผ้าหลายชั้น ถึงเขาจะตาลายจนเห็นตัวเองมีขาที่สาม สี่ และห้าเพิ่มขึ้นมา แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองได้ยินเสียงที่ประตูไม่ผิดแน่ ดวงตาสีฟ้าอมเทาเลื่อนไปจ้องลูกบิดประตูสีทองที่อยู่ห่างจากตัวเองเพียงสามฟุต...มันหมุนอย่างเชื่องช้า แต่ก่อนจะได้มีใครเปิดเข้ามา เสียงบางอย่างกลับลั่นขึ้นเสียก่อน

 

ปัง!

 

กระสุนปืนทะลุบานประตูไม้เป็นรูโบ๋ ก่อนจะเฉียดใบหน้าเอ็มไปฝังที่ผนังใกล้หน้าต่าง ม่านตาสีดำขยายกว้างขณะที่ชายหนุ่มเห็นเงาดำเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วใต้ประตู เขาถอยร่นจนไปชนเข้ากับโซฟาตรงกลางห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด เอ็มเข้าไปหลบด้านข้างของโซฟา ถึงไม่คิดว่ามันจะช่วยบังอะไรได้ เตรียมตั้งรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อไป แม้ในอกจะสั่นระรัว ประตูโดนผลักเข้ามากระแทกกับผนังเสียงดังสนั่นจนนักสืบหนุ่มสะดุ้งยิ่งกว่าเสียงปืนที่ไม่ยอมรามือ ไม่ทันได้สอดส่องออกไปด้านนอกให้รู้ว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น หรือเห็นอะไรนอกจากชายเสื้อสีน้ำตาลอ่อนของใครสักคนที่วับๆ แวมๆ อยู่ตรงชานพักบันได ร่างใหญ่ของชายคนหนึ่งก็บดบังภาพตรงหน้าเสียหมด



เอ็มบีบที่วางแขนของโซฟาแน่น เขาไม่เห็นใบหน้าของชายปริศนาคนนั้นกระทั่งอีกฝ่ายปรี่ไปหลบอยู่หลังผนังฝั่งซ้ายของประตู ก่อนกระสุนอีกนัดจะพุ่งมาจากนอกประตูอีกครั้ง มันจึงส่งผลเพียงทำให้แจกันดอกไม้แห้งๆ บนโต๊ะแตกกระจายเท่านั้น เอ็มขนลุกเกรียว ผู้ชายที่เข้ามาหลบในห้องยกปืนสั้นในมือขวายิงโต้ตอบกับเจ้าของกระสุนเมื่อกี้ด้วยท่าทางเหมือนผ่านสมรภูมิมาแล้วนับไม่ถ้วน



ชายคนนั้นอยู่ในชุดสูทสีดำพอดีตัว เหนือใบหน้าคมคายเหมือน...หมาป่ามีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกเซตเปิดหน้าผาก ที่หูมีสายวิทยุสื่อสารเสียบอยู่ นัยน์ตาดุสีเขียวประสานเข้ากับเอ็มตอนที่เสียงปืนเงียบลง ดวงตาคู่นั้นมองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออกมากกว่าจะเรียกว่าสบตากัน ท้ายที่สุดถึงค่อยกระชับปืนในมือแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว



“เวรเอ๊ย...”



นักสืบร่างโปร่งเกาะโซฟาแน่นขณะพยายามหายใจเข้าออกช้าๆ แต่ก็ไม่อาจบังคับบางสิ่งบางอย่างที่เต้นระรัวอยู่ในอกได้ แน่นอนว่ากว่าเขาจะรู้สึกถึงสิ่งที่ยากจะบอกว่าคืออะไร ก็เป็นตอนที่ชายชุดสูทคนนั้นได้หายไปจากสายตาพร้อมกับเสียงปืนหลายนัดต่อมา แต่ก็เป็นจากข้างนอกแฟลตแทนแล้ว

 

“คอลลินส์บอกให้นายอย่าใช้ปืนถ้าไม่จำเป็น”



เชสเตอร์ เลวินส์เลือกกระโดดลงบันไดห้าขั้นสุดท้าย เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นดังไม่เท่าเสียงกระแทกประตูบ้านเลขที่ 114 ปิด กล้ามเนื้อขาที่ได้มาจากการฝึกฝนอย่างหนักดูจะมีประโยชน์ที่สุดในเวลานี้ ชายในแจ็กเกตสีน้ำตาลอ่อนอันเป็นเป้าหมายวิ่งนำไปถึงเกือบครึ่งช่วงตึกเมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวพ้นจากตัวแฟลต



“งั้นฝากบอกเขาด้วยว่ากระสุนนัดแรกเกือบทะลุสมองฉันไปแล้ว” เจ้าหน้าที่ภาคสนามผู้อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจว่า เขาได้ยินเสียงถอนหายใจจากอีกฟากของวิทยุสื่อสาร เดาออกเลยว่าประโยคถัดไปคงต้องเป็น ‘นั่นทำให้พลเรือนแตกตื่น’ หรือไม่ก็ ‘นายควรจะรู้สถานะตัวเองซะบ้าง’



มุมปากเผลอยกยิ้มเมื่อคิดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้ใครสักคนขุ่นใจได้ แต่พอเรื่องไม่เป็นเรื่องพานให้นึกไปถึง ‘เหตุการณ์เหนือความคาดหมาย’ เมื่อครู่ เขาก็หุบยิ้มตัวเอง

ไม่เพียงแต่การที่เจ้าของโค้ดเนมนั้นมาโผล่อยู่ในบ้านเลขที่ 114 อีกอย่างที่เหนือความคาดหมายของเขาคือตัวตนของผู้ชายที่อยู่ในห้องของทีนา เฮซสัน



“เอสโอไฟฟ์ คนเดียวกับที่เคยก่อเหตุ” สก๊อต คู่หูเขาบอก



“จำได้อยู่”



เชสเตอร์เก็บปืนไว้ข้างเอ็ว เขาวิ่งตามเอสโอไฟฟ์อย่างเร็วเท่าที่ขาสองข้างและสภาพแวดล้อมจะอำนวย ในถนนสายเล็กๆ นี้คนเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด แต่เมื่อกระสุนหนึ่งนัดยิงมาตกที่พื้นตรงหน้าเขา ผู้คนที่เดินอยู่บนฟุตปาทก็ร้องลั่นแล้ววิ่งแตกตื่นไปคนละทาง เจ้าหน้าที่หนุ่มวิ่งแหวกฝูงชน กระสุนนัดที่สอง นัดที่สามตามมาติดๆ กระทั่งเขาเริ่มมองเห็นตัวการ เอสโอไฟฟ์วิ่งเข้าไปในตรอกห่างจากตัวเขาราวสามสิบฟุต



“พรรคพวก?”



“ยังไม่เห็น” เสียงวิทยุสื่อสารตอบกลับมา “ทางนี้กำลังส่งฮ. ไป ถ่วงเวลามันไว้ก่อน”



เจ้าหน้าที่หนุ่มเดาะลิ้นเมื่อพอตนวิ่งไปถึงหน้าตรอกนั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว แม้กระทั่งท้ายตรอกซื่งเชื่อมกับถนนอีกสายก็ไม่มีใคร เขาหยุดอยู่ตรงนั้นราวสองวินาที ทันทีที่คิดได้ ร่างใหญ่ก็วิ่งกลับมาหน้าตรอกอย่างรวดเร็ว



ดวงตาสีเขียวปราดไปที่ตึกด้านขวาซึ่งด้านหน้าบอกไว้ว้าเป็นโรงเรียนสอนภาษา เชสเตอร์วิ่งเข้าไปด้านในนั้น พนักงานประชาสัมพันธ์ที่นั่งประจำโต๊ะอยู่เริ่มโวยวายตอนที่ร่างของคนแปลกหน้าท่าทางน่าสงสัยวิ่งเข้ามาคล้ายเป็นผู้บุกรุก แต่พอเห็นปืนข้างเอวเขาก็ยืนแน่นิ่ง เชสเตอร์วิ่งขึ้นบันไดจนไปถึงชั้นบนสุด ประตูขึ้นดาดฟ้าถูกล็อกเอาไว้แน่นหนา บรรดานักเรียนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจในตอนที่ชายผู้บุกรุกหยิบปืนขึ้นมายิ่งแม่กุญแจนั่นจนกระทั่งเปิดได้ เสเตอร์ก็วิ่งขึ้นไปโดนเร็ว



ตาสองข้างต้องหรี่หรีแสงอาทิตย์สว่างจ้า เมื่อเจ้าหน้าที่เหยียบขึ้นไปบนดาดฟ้าได้ ไม่จำเป็นต้องมองหาแต่อย่างใด เป้าหมายที่คลาดสายตาไปชั่วครู่อยู่ไกลจากเขาเพียงระยะห่างของตึกเดียว พอถูกเห็น อีกฝ่ายก็ไม่รีรอที่จะหันปากกระบอกปืนมา ร่างสูงหลบด้านหลังกำแพงเตี้ยๆ ก่อนจะยิงตอบโต้ อาศัยจังหวะที่เป้าหมายหาที่กำบัง กระโดดข้ามช่องว่างขนาดสองคนยืนและม้วนตัวตอนลงไปถึงตึกเตี้ยกว่า ในขณะเดียวกันเอสโอไฟฟ์ก็วิ่งขึ้นไปที่บันไดลิงของตึกด้านข้าง เชสเตอร์เลี่ยงจะไม่ยิงในคราวแรก แต่เพราะกระสุนที่เฉียดหัวเขาทุกสองวินาทีทำให้ปืนทั้งสองยิงโต้กันไม่หยุด กระทั่งเป็นฝ่ายตรงข้ามที่กระสุนหมดก่อน เขาเร่งควานในกระเป๋าติดตัวเล็กๆ เปลี่ยนซองกระสุนปืนประจำกายระหว่างวิ่งไปด้วย ในที่สุดเอสโอไฟฟ์ก็ปล่อยมือข้างหนึ่ง เมื่อเชสเตอร์ยิงเข้าที่ขั้นบันไดที่มือหมอนั่นกำลังจะจับเพื่อปีนขึ้นไป



“ฮ. ใกล้พร้อมแล้ว เร่งมือหน่อย”



ต่อให้ไม่บอกเขาก็ได้ยินเสียงใบพัดดังหึ่งๆ จากด้านบนตึกสูงพร้อมเฮลิคอปเตอร์สีดำมันปลาบลอยอยู่บนฟ้า ที่เดียวกับที่เอสโอไฟฟ์กำลังปีนขึ้นไป มือเป้าหมายยังห้อยอยู่ที่บันไดลิงขั้นเดิม เจ้าของร่างสูงใหญ่กระชับปืนไว้ไม่ลดระดับและค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้



“ทางที่ดีฉันว่าเราไปนั่งคุยกันสบายๆ บนนั้นดีกว่า” เสียงทุ้มตะโกนจนแหบพร่า “เช่นเรื่องเกี่ยวกับซินส์...”



สีหน้าของคนเป็นเป้าหมายเปลี่ยนไป เชสเตอร์เห็นมัน ริมฝีปากภายใต้หนวดเครายิ้มเยาะกับคำพูดของเขา



“ฮ. พร้อมแล้ว คอลลินส์ขอให้นายส่งตัวเอสโอไฟฟ์ขึ้นไปด่วน เชสเตอร์?”



ดวงตาสีเขียวจับจ้องที่ร่างซึ่งคาอยู่บนความสูงของตึก แจ็กเกตสีน้ำตาลอ่อนปลิวตามแรงลมบนดาดฟ้า ชายที่ถูกเรียกแทนชื่อจริงว่าเอสโอไฟฟ์ปล่อยมือจากขั้นบันไดก่อนชูมันขึ้นเหนือศีรษะทั้งสองข้าง หมอนั่นยิ้มให้เขา เจ้าหน้าที่ที่มากับเฮลิคอปเตอร์ดูจะเห็นสถานการณ์แล้วเช่นกัน เสียงโหวกเหวกถึงได้ดังอื้ออึงชั่วระยะหนึ่งกับการกระทำนั้น



สองมือชูขึ้นฟ้า สัญลักษณ์ของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เรียกตัวเองว่า ‘ซินส์’



ไม่มีอาวุธ ไม่มีการประทุษร้ายใดๆ อีก เสียงทั้งหมดเงียบลงพร้อมกันเมื่อชายคนนั้นทิ้งตัวลงกับผืนอากาศ เชสเตอร์ชะงักขา ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ขอบตึกเมื่อตั้งสติได้ ร่างของเอสโอไฟฟ์ร่วงสู่พื้นด้านล่างอย่างรวดเร็วตามแรงโน้มถ่วง เขาสบถยามเห็นชายคนนั้นตกลงบนแอร์แบ็กหลังรถกระบะสีขาว และรถคนนั้นก็มุ่งหน้าไปยังแยกข้างหน้าด้วยความเร็วสูง



“เอสโอไฟฟ์หลุดไปได้ ทุกนายประจำตำแหน่ง รีบตามไปเร็ว!” เจ้าหน้าที่บนตึกตะโกนสั่งแล้วเปลี่ยนมาพูดกับวิทยุสื่อสาร เฮลิคอปเตอร์เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง เชสเตอร์สบถออกมาด้วยความหัวเสีย ขณะที่บนถนนข้างล่างนั้นไม่เหลือร่องรอยของใครให้ไล่ตามอีกต่อไป







เอ็มล้มตัวลงบนโซฟาสีเข้มทันทีเมื่อมาถึงห้องเช่าในแฟลตเลขที่ 79 ณ ถนนเล็กๆ ย่านค่อนข้างเจริญของลอนดอนในตอนค่ำ ชายหนุ่มซุกตัวลงกับโค้ตสีดำที่ยังคาอยู่ท่อนบน แต่ก่อนจะได้หลีกหนีอากาศเย็น ท้องกลับร้องขึ้นมาเสียก่อน เขานึกขึ้นได้ว่าในตู้เย็นไม่มีอะไรให้พอกินได้สักอย่างเดียว ตรงข้ามแฟลตนี้มีร้านอาหารเม็กซิกัน ถึงจะเข้าบ่อยแล้ว แต่บางทีเขาน่าจะชวนนิโคลไปด้วยกันอีกสักครั้ง พอสรุปได้ดังนั้น เอ็มจึงค่อยลุกจากโซฟา



อาการเวียนหัวชัดเจนขึ้นเมื่อเท้าแตะถึงพื้น เจ้าของร่างสูงโปร่งได้แต่ยืนพิงโซฟาตัวเดิมพลางขยี้กลุ่มผมหยักศก ภาพเหตุการณ์บ้าๆ ที่ตัวเองได้ประสบเมื่อหลายชั่วโมงก่อนไหลกลับเข้ามาในหัว หัวใจเอ็มเต้นแรง เขาสลัดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปในชั่ววินาที ก่อนสายตาจะมองลอดเส้นผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าไปยังเก้าอี้บุนวมตรงหน้าห้องซึ่งไว้ใช้สำหรับรับลูกค้า



เขาเคยบอกนิโคลไว้ว่าห้ามรับคดีสุ่มสี่สุ่มห้าตั้งแต่แรกๆ ที่มาอาศัยร่วมกัน วางใจได้ว่านิโคลไม่ได้ทำผิดจากที่เขาเคยบอกแม้แต่คำเดียว เก้าอี้ตัวนั้นยังตั้งพิงกำแพงข้างหน้าต่างเหมือนทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้รับแขก เอ็มเลื่อนสายตาไปยังห้องครัวไร้ประตูกั้นทางด้านหลัง โต๊ะกินข้าวที่กลายเป็นโต๊ะวางของถาวรเลื่อนผิดตำแหน่งเดิมนิดหน่อย กองหนังสือที่เคยสุมรวมกันก็ถูกเลื่อนลงไปให้พอเหลือที่วางบริเวณหัวโต๊ะ เพื่อนร่วมห้องเขาคงไม่ได้เกิดอยากใช้มันเป็นโต๊ะอาหารขึ้นมา ในเมื่อในห้องนั้นไม่มีเก้าอี้แม้แต่ตัวเดียว



ที่ต้องคิดอย่างนั้นก็เพราะต่อให้ชายหนุ่มจะแชร์ทุกอย่างร่วมกับหญิงอีกคนยกเว้นห้องนอน พวกเขาก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ที่นั่งประจำ’ อยู่ และเห็นได้ชัดว่าโซฟาตัวประจำของเขามันเคลื่อนผิดตำแหน่งไปนิดหน่อย



เอ็มถอดโค้ตแขวนไว้กับเสาสำหรับแขวนโค้ต มันเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ถูกใช้อย่างถูกวิธี ท่อนบนจึงเหลือแค่สเวตเตอร์สีเทา แล้วค่อยเดินไปที่หน้าห้องนอนตัวเอง มือขวาแตะลูกบิดประตูในทีแรก แต่เอ็มก็ตัดสินใจเคาะประตูสามครั้ง แทนการเปิดประตูเข้าไปทันทีในตอนท้าย

 





“มีลูกค้ามาตอนนายไม่อยู่สี่คน ฉันให้เขาทิ้งรายละเอียดกับเบอร์เอาไว้ เผื่อนายจะสนใจ”



“ห้ามเข้าไปในห้องนอนฉันอีก”



“ขอโทษน่า”



นิโคล เจนเซนขอโทษขอโพยแทบจะตลอดเวลาหลังส่งแฟนสาวของเธอออกไปจากบ้านเลขที่ 79 แล้ว เอ็มเมินตอนที่มิสซิสมอร์ริส เจ้าของแฟลต ถามว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นเพื่อนใหม่ของเขาหรือ



“แล้ว...ที่นายไปวันนี้เป็นไงบ้าง คดีอะไร ไม่เห็นนายเคยบอกฉันเลย” หญิงสาวนั่งลงบนโซฟาอีกตัวเยื้องกับเอ็ม นิโคลม้วนผมบลอนด์ยาวของตัวเองด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ดวงตาสีโอเชียนบลูที่คนทั้งโลกหลงรักหมองไปเมื่อเอ็มพาดขากับที่วางแขน และหันศีรษะเข้าหาพนักพิง มันจึงเป็นการยากที่เธอจะเห็นใบหน้าของชายคนที่ยอมร่วมแชร์ห้องเช่าหลังตนย้ายจากบ้านเกิดที่แคลิฟอร์เนียมาอยู่ลอนดอนด้วยปัญหานิดหน่อย



“ยังดูได้ไม่ทั่วหรอก” เอ็มยอมตอบ แม้จะขัดกับท่าทีที่แสดงออก เท่าที่จำได้จากระยะเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกัน นิโคลไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับงานของเขาเสียหน่อย



“เหรอ” นิโคลพยักหน้าเล็กน้อยพลางคิดหาประโยคต่อไปมาพูดกับคนตรงหน้า “ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็...”



เธอพูดประโยคนั้นไม่จบเพราะนึกขึ้นได้ก่อนว่าอีกฝ่ายไม่เคยตอบอย่างอื่นนอกจากปฏิเสธกับข้อเสนอนั้น ขณะที่เอ็มค่อยๆ หลับตาลง



เขาค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว นอกจากเพื่อนที่ได้จากการร่วมงานกันแล้วก็ไม่มีใครที่ไหนอีก สาเหตุที่คนอย่างเอ็มยอมอาศัยร่วมกับคนอื่น บอกตามตรงว่าเป็นเพราะเขาเคยปลื้มเธอ นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้หนุ่มอังกฤษยอมแชร์ห้องเช่าราคาแพงหูฉี่กับผู้หญิงที่ชื่อนิโคล เจนเซนตั้งแต่พบหน้า ในคราวที่ทั้งคู่บังเอิญเข้าไปคุยเรื่องห้องว่างกับเจ้าของแฟลตในวันเดียวกัน นิโคลเป็นผู้หญิงสวยและยังมีความมั่นใจแบบสาวอเมริกัน แต่น่าเสียดายที่วันรุ่งขึ้น พอตื่นขึ้นมา เขาก็ลืมความรู้สึกชั่ววูบนั่นไปเสียแล้ว



เอ็มเหลือบมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนชั้น เป็นเวลาห้าปีแล้วที่เขาจากครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่นี่ แต่รูปนั้นกลับเก่าเสียจนเขามองหน้าชายหญิง รวมทั้งเด็กสองคนในรูปไม่ชัด



“นายคงเหนื่อย งั้นฉันกลับห้องแล้วกันนะ” นิโคลยิ้มแหย เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมห้องดูจะต้องการความเป็นความส่วนตัวในเวลานี้



“นิค” เอ็มเรียกก่อนที่หญิงสาวจะลุกจากโซฟา เธอขานรับในลำคอ และมองร่างของผู้พูดซึ่งยังคงนอนกกตัวเองอยู่บนโซฟาตัวโปรดที่เธอถือวิสาสะใช้งานมันนิดหน่อยก่อนหน้านี้ “ฉันฝากติดต่อคนที่มาวันนี้ด้วยว่าฉันไม่รับทั้งหมด”



ปากบอกว่าอีกคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร แต่ก็ให้เป็นธุระให้ตลอด หนุ่มผมน้ำตาลเข้มตำหนิตัวเองในใจ แต่เขาไม่มีแผนจะลุกออกจากโซฟาอีกแล้วในคืนนี้



“อืม ได้สิ” นิโคล เจนเซนตอบโดยไม่พูดหรือถามอะไรอีก



เอ็มได้ยินเสียงกระแทกประตูสองสามทีด้านหลังตัวเอง ก่อนจะนึกได้ว่าน่าจะบอกให้นิโคลเปลี่ยนลูกบิดประตูห้องนอนตัวเองสักที จะได้ไม่ต้องมาใช้บริการห้องนอนเขาอีก ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ พลิกตัวกลับมาข้างนอกโซฟา แล้วมองเก้าอี้บุนวมตัวเดิม พลางคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวัน ทั้งที่มันไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องกันเลย



ลมอ่อนๆ หอบเอาไอเย็นของฤดูหนาวจากนอกหน้าต่างมาปะทะกับร่างของนักสืบหนุ่ม ภาพชายในชุดสูทปรากฏในหัวของเอ็ม กระทั่งตอนหลับตาลงก็ยังมองเห็นดวงตาคมคู่นั้น มันจ้องเขานิ่งจนนึกว่าจะมีไฟสีเขียวลุกโชนออกมา เป็นไฟเย็นๆ ที่ค่อยๆ คืบคลานและโอบล้อมเขาไว้ด้วยบรรยากาศน่าขนลุก ก่อนจะกระโจนเข้าหาพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นเจ้าของ



“ฉิบ...”



เอ็มเดาะลิ้น ดวงตาสีอ่อนลืมขึ้นปะทะกับไฟในห้อง ฝ่ามือชื้นๆ เช็ดกางเกงแล้วค่อยลูบใบหน้าแดงเห่อของตัวเองระหว่างลุกจากเบาะ เขาพ่นลมหายใจร้อนๆ ให้หลอมรวมกับอากาศเย็นยะเยือก นึกเกลียดความปั่นป่วนที่ทำให้ตัวเองไม่อาจนอนเฉยๆ ได้อีกต่อไป...พอๆ กับลางร้ายที่กำลังก่อตัวขึ้นมา

 





ในเวลาเดียวกัน ลมหนาวกำลังพัดจากนอกหน้าต่างผ่านผ้าม่านสีทึบของห้องเช่าห้องหนึ่งในบ้านเลขที่ 114 มาปะทะกับใบหน้าของชายหนุ่มในชุดสูทสีดำพอดีร่างกำยำและส่วนสูงหกฟุตกว่า ดวงตาเรียวมองเศษกระเบื้องที่กระจายเกลื่อนบนพื้นท่ามกลางความมืดซึ่งมีเพียงแสงจันทร์เลือนรางให้ความสว่าง แล้วเลื่อนไปยังโซฟาหนังตรงกลางห้องซึ่งใครบางคนใช้เป็นที่กำบังกระสุนเมื่อกลางวันพลางลูบแนวเคราบางๆ บนสันกรามด้วยความเผลอไผล



ผู้ชายคนนั้นมีใบหน้าอ่อนวัยและหล่อเหลาเอาการ ดูจากรูปร่างสูงโปร่ง อีกฝ่ายน่าจะมีส่วนสูงน้อยกว่าเขาแค่ไม่กี่นิ้ว แต่ก็แค่สูง ร่างกายภายใต้เสื้อผ้าหลายชั้นซึ่งปิดทับด้วยโค้ตสีดำสนิทนั้นคงจะผอมบางน่าดู



เสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อพบว่ามันคือข้อมูลของชายคนเดียวกับที่กำลังนึกถึงอยู่ ริมฝีปากก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่แล้วเขากลับต้องขบฟันตัวเอง



ดวงตาสีฟ้าอมเทาไม่ได้ด้านชาเหมือนในรูปภาพ...แววตาหลากอารมณ์นั้นจ้องมองมาที่เขาไม่กะพริบ เชสเตอร์ เลวินส์ซุกมือในกระเป๋ากางเกงตัวเอง ชายหนุ่มหลับตาลง ปล่อยให้ไอเย็นกลางฤดูหนาวคืบเข้าปกคลุมร่างกาย รวมทั้งกลิ่นอายประหลาดที่เรียกความสนใจจากตนเองได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ แม้สถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยเลยก็ตาม



ในเมื่อจัดการกับเอสโอไฟฟ์เรียบร้อยแล้ว คนต่อไปก็คือนาย ‘เอ็ม’



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2018 20:34:19 โดย kinookokei »

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: Chapter 1 UPDATED
«ตอบ #2 เมื่อ17-07-2018 17:00:51 »

โอ้ ท่าทางจะบู๊แหลก ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 2
«ตอบ #3 เมื่อ19-07-2018 14:28:30 »

CHAPTER 2 – A Weird Morning



น่าแปลกที่ถนนสายนี้ไม่ได้คึกคักเหมือนปกติ อย่างน้อยก็ไม่มีใครเดินผ่านไปมาตลอดเวลาเหมือนเมื่อสองวันก่อน น่าตกใจเสียอีกที่เหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดไปได้แค่สองวัน ในเมื่อนี่ไม่ใช่เพียงครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่เขายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของประตูสีดำ แสงอาทิตย์ยามกลางวันสะท้อนบนตัวเลข 114 สีทองบนบานประตูไม้ อากาศไม่ได้ร้อนหรือหนาว ไม่มีรถสักคันแล่นผ่าน เอ็มจึงเดินข้ามถนนไปได้สบาย แต่ร่างสูงก็ต้องหยุดกึก เมื่อของเหลวสีแดงข้นไหลมาถึงรองเท้าบูตสีน้ำตาลอ่อนของตน ชายหนุ่มเลื่อนสายตาขึ้นมองสิ่งที่อยู่ระหว่างตัวเองและประตูตรงหน้า มันคือร่างไม่ไหวติงของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีผิวขาวซีดน่ากลัว และอยู่ในท่าเดียวกับในภาพถ่ายของตำรวจที่สุดท้ายก็ถูกลงความเห็นว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เลือดกองใหญ่กับบาดแผลฉกรรจ์อันเป็นเหตุของความตายไม่ได้ทำให้เอ็มเกิดปฏิกิริยาใดๆ เช่นเดียวกับลมเย็นเยือกที่จู่ๆ ก็พัดผ่านร่าง มันไม่ได้ทำให้เขาขนลุกมากไปกว่าเสียงแหบพร่าของใครบางคนที่ดังอยู่ข้างหู แทรกลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ทำให้เขาสั่นด้วยความหวาดผวา



“เด็กดี...”



เอ็มสะดุ้งตื่น



ดวงตาสีอ่อนลืมโพลงในห้องเดิม ริมฝีปากบางสั่นระริกจนต้องขบเอาไว้แม้จะทำให้เจ็บ เขาลุกขึ้นนั่งบนโซฟา แต่ใบหน้าซีดเผือดก้มแทบติดกับหน้าขา เอ็มกอดตัวเองด้วยอาการสั่นเทา พยายามสกัดกลั้นก้อนอารมณ์เอาไว้ หากสุดท้ายเสียงสะอื้นก็ดังลอดออกมาจากลำคอ มือสองข้างยกขึ้นปิดใบหน้า จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังๆ ดึงให้เขากลับออกมาจากภวังค์หลังความฝันของตัวเอง

 





นักสืบหนุ่มนั่งไขว่ห้างตรงข้ามกับชายร่างท้วมอายุราวสี่สิบตอนปลาย แขกคนแรกของวันอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่รัดแน่นจนกระดุมแทบปริกับกางเกงตัวโคร่งเกินเบอร์ที่ทำให้เห็นรองเท้าหนังสีน้ำตาลได้แค่ครึ่งเดียว และรอบปากยังมีหนวดขึ้นประปรายเหมือนไม่ได้โกนมาระยะหนึ่ง



“คุณฟังอยู่หรือเปล่าครับ” มิสเตอร์จอห์นสันถามเสียงออกกระด้าง เหตุคงเป็นเพราะคนที่เจ้าตัวตั้งใจมาปรึกษาในครั้งนี้ดูจะสนใจอยู่กับทัศนียภาพนอกบานหน้าต่างมาตั้งแต่เริ่ม



“กรุณาพูดต่อเถอะครับ” เอ็มตอบเสียงเรียบ เขาหันกลับมายังชายบนเก้าอี้บุนวมซึ่งถูกเอามาตั้งไว้ตรงข้ามกับโซฟาที่นั่งอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนจะมองไปยังบริเวณอื่นรอบห้องโดยไม่ได้สนใจท่าทีแขกของตัวเองอยู่ดี ทว่าเมื่อฝ่ายตรงข้ามได้ยินเช่นนั้นดวงตารีเล็กก็กลับมาเปล่งประกายอีกครั้งหนึ่ง สายเอี๊ยมสีกรมท่ารั้งตึงเมื่อชายร่างท้วมยืดตัวตรงและทำท่าทีผ่าเผย มิสเตอร์จอห์นสันพูดด้วยน้ำเสียงราวกับสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อเป็นเรื่องน่าพิศวงนัก



“อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ว่าผมทำอาชีพยามรักษาความปลอดภัยอยู่ที่ตึกเปิดใหม่ที่หัวมุมถนนนี่ คุณอาจรู้จัก ทุกวันหลังผลัดกะผมจะกลับถึงบ้านประมาณตีสอง ผมอาศัยอยู่กับภรรยาเพียงสองคน เราไม่มีลูก แต่ผมนึกประหลาดใจอย่างหนึ่งว่า พักหลังมานี้ผมมักได้ยินเสียงแปลกๆ ทุกครั้งที่กลับถึงบ้าน ภรรยาผม...โซเฟีย เธอเป็นผู้หญิงที่ดีมาก เธอยอมอดหลับอดนอนเพื่อรอเปิดประตูต้อนรับผมทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างที่ผมได้ยินเลย ผมกลัวว่าถ้าซักไซ้มากๆ เข้า เธอจะเบื่อหรือไล่ผมให้ไปหาหมอเพราะหาว่าผมแก่จนหูแว่วไปเองเสียก่อน ผม...”



“คุณเริ่มทำงานนี้ตั้งแต่เมื่อไร” แววตามิสเตอร์จอห์นสันยังวาวโรจน์แม้เอ็มจะพูดขัดขึ้นมา



“สองเดือนก่อนครับ”



“พอจะบอกได้ไหมครับว่าเสียงที่คุณได้ยินเป็นเสียงยังไง”



อีกฝ่ายทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะบอกตามตรง “เสียงเหมือนคนขึ้นลงบันได บางทีก็เป็นเสียงปิดประตูบ้าน ผมไม่เห็นกับตาตัวเอง แต่ผมมั่นใจว่ามันจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ”



“คุณได้คุยเรื่องนี้กับตำรวจหรือยัง”



“ยังเลยครับ” แขกของเขาพูดเสียงเบาลง



เอ็มมองออกไปนอกหน้าต่างพลางพูดกับลูกค้ารายแรกของวันว่า “บังเอิญว่าผมมีธุระหลังจากนี้ ถ้าไม่ว่าอะไร ผมแนะนำให้คุณลองกลับบ้านเร็วกว่าปกติสักหนึ่งชั่วโมงโดยไม่ต้องบอกให้ใครรู้ โดยเฉพาะภรรยาของคุณ ผมว่าคำตอบมันไม่ได้อยู่ไกลนักหรอก”



“นี่คุณจะบอกว่าภรรยาผม...?” คราวนี้โดยไม่ต้องขัด มิสเตอร์จอห์นสันก็หยุดคำพูดของตัวเอง



“อาจเป็นหัวขโมยก็ได้ จริงไหมครับ” เอ็มหันกลับมายิ้มให้ แขกของเขานิ่งงันไปชั่วขณะกับท่าทีเป็นมิตรที่สุดของนักสืบหนุ่มตั้งแต่เข้ามาในห้อง สีหน้ามิสเตอร์จอห์นสันบ่งบอกว่ากำลังใช้ความคิด ถึงจะดูไม่ชอบใจเท่าไรนัก แต่สุดท้ายก็ยอมตกปากรับคำโดยดี



เอ็มไม่ได้ไปส่งแขกที่จับมือเขาเขย่าอยู่สองสามทีพร้อมกำชับว่าจะมาที่นี่อีกหากข้อแนะนำที่ว่าไม่ได้ผล เอ็มสำรวจร่างกายอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย เห็นได้ชัดว่าเนกไทบนคอสั้นๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้เข้ากับเสื้อผ้าตัวอื่นเอาเสียเลย ซ้ำขากางเกงแต่ละข้างยังมีกลีบนับสิบ เขาเอ่ยลามิสเตอร์จอห์นสัน ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างให้แน่ใจว่าชายร่างท้วมได้ออกไปพ้นเขตแฟลตแล้ว



นักสืบหนุ่มสอดส่องออกไปมากกว่านั้น คงเหมือนคนบ้าหากเขาบอกว่าตัวเองเห็นร่างของใครอีกคนนอกหน้าต่างนั่นตั้งแต่วินาทีแรกที่บังเอิญมองลงไป จนเมื่อครู่ที่ลุกไปปิดประตู ร่างปริศนาเพิ่งหายไปเดี๋ยวนี้เอง



อย่างไรเสียเขาก็มีเรื่องต้องทำในเช้าวันนี้ เอ็มจัดการตัวเองจากเสื้อผ้าที่ใส่มาตั้งแต่เมื่อวาน เขาไม่เห็นนิโคล นั่นเพราะเธอมีงานประจำที่ร้านหนังสือในตอนกลางวัน พอทุกอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ตั้งท่าจะอออกจากห้อง แต่ก่อนหน้านั้น ลางสังหรณ์ประหลาดก็ผุดขึ้นมาในหัว ภาพบางอย่างเหมือนจะชัดขึ้น แต่ก็จางลงไป เอ็มเลียริมฝีปากล่าง ตัดสินใจเดินกลับไปหยิบซองหนังจากตู้ในห้องนอน สวมเสื้อโค้ตสีเดียวกับเส้นผม แล้วเปิดประตูห้องออกไปในที่สุด



ร่างสูงโปร่งของนักสืบหนุ่มเดินตามถนนสายเล็กๆ อันคุ้นเคยอย่างคนรู้ทาง อากาศหนาวไม่ได้ทำให้ท้องฟ้าไร้ซึ่งความแจ่มใสและเมฆขาวเสียทีเดียว รองเท้าบูตสีน้ำตาลอ่อนย่ำไปตามพื้นฟุตปาท ผ่านภัตตาคารอาหารต่างชาติหลายแห่ง ร้านหนังสือ และซูเปอร์มาร์เกตขนาดใหญ่ ความจริงเขาสามารถนั่งรถบัสเพื่อให้ถึงที่หมายเร็วขึ้นได้ แต่ยังมีเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลานัด และที่เกิดเหตุก็ไม่ได้อยู่ไกลขนาดต้องรีบเร่ง



การเดินช้าๆ ทำให้เอ็มมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายได้ชัดเจน มันทำให้เขาสังเกตว่าถนนสายนี้ไม่ได้คึกคักเหมือนปกติ บรรยากาศซึมเซาชวนให้รู้สึกว่าหากช่วงเวลานี้เป็นเวลากลางคืน ก็คงจะเป็นกลางคืนที่เงียบเหงาและวังเวงที่สุด มือสองข้างกระชับเสื้อโค้ตเพื่อป้องกันอากาศเย็น ชายหนุ่มพยายามไม่ใส่ใจดินฟ้าอากาศหรือความเป็นไปของผู้คนอีก แต่พยายามพุ่งความคิดไปที่คดีซึ่งตัวเองได้รับการว่าจ้างแทน



ทว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ใส่ใจสภาพแวดล้อมรอบด้าน ในเมื่อเอ็มค่อนข้างมั่นใจว่ากำลังถูกตาม มั่นใจมากกว่าความคิดที่ว่าคนตามไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากคนที่เขาเห็นจากหน้าต่างในตอนนั้นเสียอีก



ราวกับเพียงเท่านั้นประสาทสัมผัสก็เฉียบคมขึ้น หรือบางทีอาจเป็นแค่อุปาทานของเขาก็ได้ เอ็มก้าวขาเชื่องช้าดังเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นหลังทำเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา การอาศัยอยู่ในย่านนี้มาห้าปีเต็มทำให้เอ็มจดจำถนนหนทางได้แม่นยำเสมือนเป็นคนวาดผังเมืองขึ้นเอง รองเท้าบูตหันเลี้ยวเข้าไปในตรอกข้างหน้า จากเดิมที่เป็นบริเวณอับสายตาอยู่แล้ว การที่ไม่มีผู้คนเดินไปเดินมาเหมือนทุกวัน ยิ่งทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีใครมาแทรกบทสนทนาของต่อจากนี้



“ไม่ทราบว่าต้องการอะไร”



นั่นเป็นคำถามที่มีให้กับชายฉกรรจ์แปลกหน้าที่เดินตามเข้ามา



“จะเป็นการดีถ้าคุณขึ้นรถไปกับเรา มิสเตอร์เอ็ม”



นักสืบหนุ่มเห็นรถยนต์สีดำเงาวับที่ค่อยๆ ลดความเร็วและจอดนิ่งอยู่หน้าตรอกที่ตนกำลังยืนอยู่กับชายตรงหน้า เขามองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาแทน



“ผมรับประกันว่ามันจะไม่เป็นปัญหากับมิสซิสคาร์เทอร์ ลูกค้าของคุณอย่างแน่นอน” ชายแปลกหน้าบอก



ไม่ว่าจะเป็นผมที่จัดทรงเรียบร้อย สูทสีกรมท่าที่ดูตัดเย็บเข้าทรงดีทุกกระเบียดนิ้ว บุคลิกท่าทาง น้ำเสียงกดต่ำเนิบนาบ รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้าของฝ่ายตรงข้าม ทุกอย่างเป็นไปราวถูกวางแบบแผนเอาไว้ นั่นทำให้เขานึกหงุดหงิดใจที่ไม่อาจบอกอะไรได้มากไปกว่าชายคนนี้จะต้องเป็นคนทำงานใต้บังคับบัญชาของผู้มีอิทธิพลสักคน



แต่การพูดเป็นเชิงเหนือกว่าที่รู้ชื่อลูกค้าของเขา มันกลับทำให้เอ็มรู้ความจริงข้อหนึ่งว่า อย่างน้อย ชายตรงหน้าก็มีสักเรื่องที่ไม่รู้เกี่ยวกับตัวเขา



“มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องไปกับคุณ” เอ็มว่า สายตาจากคนสูงกว่าจ้องมาที่นักสืบหนุ่ม ก่อนจะตอบด้วยโทนเสียงเดิม



“การตอบคำถามคุณไม่ใช่หน้าที่ของผม”



“งั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องทำตามคำพูดของคุณ” เอ็มหัวเราะเฮอะ ถึงจะไม่คิดว่าใครก็ตามที่ส่งผู้ชายคนนี้มาจะปล่อยให้เขาหลุดจากสถานการณ์นี้ไปง่ายๆ แต่สุดท้ายเอ็มก็ตัดสินใจหันหลังกลับ ตรอกนี้ทะลุไปยังถนนอีกสายได้ หมายความว่ามันยังมีทางเชื่อมให้ใครเดินผ่านมาได้อีก เอ็มตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองก็เมื่อประจันหน้ากับชายอีกคนในเครื่องแบบเดียวกัน ในตอนที่หันหลังหมายจะเลี่ยงจากชายคนแรก



“คุณ...”



“อย่าขัดขืนให้เสียเวลาเปล่าเลย” ชายอีกคนที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไรกล่าวเสียงเรียบ มือใหญ่กร้านเหมือนเคยจับอาวุธทุกประเภทในโลกนี้มาแล้วเอื้อมมาจับข้อมือของนักสืบหนุ่ม คล้ายกับว่าวินาทีนั้นมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่างทำให้ขนลุกเกรียว เอ็มสะบัดข้อมือออกทันที



“อย่ามาแตะต้องตัวผม”



เอ็มแตะซองหนังซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอว เพียงการกระทำนั้นชายคนที่ยืนขวางหน้าก็ตะปบเข้าที่แขน และก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร อาการปวดแปลบก็เต้นตุบอยู่ข้างในแขนอีกข้าง อาการชาไล่จากแขนขา แล้วลุกลามไปทั้งสรรพางค์กายในเวลาไม่กี่วินาที ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้าง แต่ก็เปลี่ยนเป็นหรี่ปรือโดยที่ก้อนเนื้อในอกยังเต้นแรงถี่ กระบอกปืนพกร่วงจากซองหนังสู่พื้นในตรอก มันถูกเก็บเอาไว้โดยชายชุดสูททั้งสองในภายหลัง รวมถึงร่างของชายหนุ่มในโค้ตสีน้ำตาลเข้มด้วย เอ็มถูกอุ้มขึ้นรถสีดำคันนั้นไปในที่สุด





TBC


------------------------------------


ไม่แน่ใจว่าจัดหน้าอ่านง่ายไหม ถ้าไม่โอเคตรงไหนรบกวนบอกกันหน่อยนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2018 20:35:02 โดย kinookokei »

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 3
«ตอบ #4 เมื่อ23-07-2018 20:27:35 »

CHAPTER 3 – Interrogation



หลังรู้สึกตัวและได้สติคืนมาประมาณหนึ่ง เอ็มก็พบว่าหัวตัวเองมีอาการหน่วงอย่างรุนแรง



เปลือกตาหนักอึ้งเมื่อดวงสีฟ้าอมเทาพยายามจะเรียกทัศนวิสัยตัวเองกลับมา เอ็มนั่งอยู่บนเก้าอี้สีดำ แขนทั้งสองข้างถูกไพล่เอาไว้ด้านหลัง ดวงหน้าเงยขึ้นสบแสงสีขาวซึ่งสว่างโร่อยู่กลางศีรษะก่อนจะเบือนหนีแสงไฟ เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงตกลงมาปรกใบหน้าของชายหนุ่ม เบื้องหน้าคือโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีเก้าอี้อีกตัวตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม เพียงแต่ว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้นอกจากเขา



เอ็มหันมองรอบข้างในทันทีที่ดวงตาปรับเข้ากับแสงได้ และพยายามจะไม่เกิดความรู้สึกใดเมื่อสถานที่ที่ตนเองกำลังอยู่คือห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กซึ่งล้อมด้วยผนังสีหม่นโล่งๆ ยกเว้นด้านขวาที่มีกระจกสะท้อนภาพภายในห้องนี้เป็นแนวยาว กับประตูธรรมดาๆ ตั้งอยู่ข้างกัน นักสืบหนุ่มจ้องสลับไปมาระหว่างกล้องวงจรปิดสองตัวเหนือศีรษะ ขณะพยายามสูดลมหายใจลึกเพื่อให้แน่ใจว่ายังมีสติดีอยู่ มือทั้งสองข้างกำและคลายออกช้าๆ เอ็มไม่พยายามขืนกุญแจมือที่ใช้ล็อกทั้งมือและเท้าของตัวเองอยู่ เพราะขนาดอยู่เฉยๆ ตัวเขาก็สั่นด้วยไร้เรี่ยวแรงอย่างน่าสมเพชแล้ว



เอ็มผ่อนลมหายใจแล้วจ้องไปที่กล้องวงจรปิดตัวหนึ่งตาไม่กะพริบ ผลของมันส่งมาถึงในไม่กี่นาที เมื่อประตูเพียงบานเดียวในห้องถูกเปิดออกจากด้านนอก ใบหน้าซึ่งถูกปรกด้วยกลุ่มผมหยักศกไปแล้วครึ่งหนึ่งไม่ได้หันมองเจ้าของฝีเท้าหนักๆ หลายคู่ที่กรูเข้ามาในห้องพร้อมกับอีกหนึ่งที่ไม่ได้ดูรีบร้อนเหมือนคนอื่น เสียงกริ๊กดังขึ้นจังหวะเดียวกับที่กุญแจมือโลหะถูกเอาออกไปจากแขนและขาของนักสืบหนุ่ม ชายร่างใหญ่สองคนในเครื่องแบบสีเข้มประหลาดๆ เหมือนหน่วยรบอะไรสักอย่างยืนประกบตัวเขาพร้อมกับจ่อปืนมาที่ศีรษะ แต่ทันทีที่ชายอีกคนเดินเข้ามาด้วยท่าทางสงบนิ่ง และปัดมือหนึ่งครั้ง ชายทั้งหมดนั้นก็ยอมออกไปจากห้อง ทิ้งให้คนบนเก้าอี้อยู่กับชายผู้เป็นคนออกคำสั่งตามลำพัง



“ค่อนข้างจะป่าเถื่อนไปหน่อยนะ” เอ็มไหวไหล่หนึ่งครั้ง พลางจ้องบุคคลในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อมือข้อเท้าที่เคยถูกพันธนาการเอาไว้นั้นแสบๆ คันๆ จนอดขยับตัวนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้



“ผมอยากให้คุณตอบคำถามสักสองสามข้อ” ชายคนเดิมกล่าวหลังนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม



มองจากรูปลักษณ์ภายนอก ชายคนนี้มีอายุไม่น่าต่ำกว่าห้าสิบ เรือนผมที่มีสีเทาแซมเป็นส่วนใหญ่และร่องรอยตามวัยบนผิวหน้าทำให้เอ็มคิดอย่างนั้น ประกอบกับการแต่งตัว ท่าทาง และบุคลิกตลอดระยะเวลาที่เดินเข้ามาในห้อง ถ้าเขาเคยคิดว่าผู้ชายใส่สูทสองคนที่เจอในตรอกก่อนหน้านี้เป็นคนทำงานใต้บังคับบัญชาของผู้มีอิทธิพล ก็ชายคนนี้นี่แหละ ผู้มีอิทธิพลคนที่ว่า



“คุณคือเอ็ม นักสืบเอกชน มีสำนักงานอยู่ที่ห้องเช่าในบ้านเลขที่ 79 นอกจากนั้นยังเป็นที่พำนักร่วมกันกับหญิงสาวชาวอเมริกันที่ชื่อว่านิโคล เจนเซน” มิสเตอร์ผู้บังคับบัญชาว่า ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามแค่นหัวเราะในใจเมื่อได้ยินประวัติส่วนตัวฉบับรวบรัดของตัวเอง



“ผมเกรงว่านั่นจะไม่ใช่คำถาม” เอ็มพูด



ดวงตาคมเหมือนเหยี่ยวมองเขาโดยไม่เอ่ยคำพูดใด หลังความเงียบเพียงชั่ววินาที อีกฝ่ายก็กล่าวต่อเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เมื่อวานคุณได้เห็นเจ้าหน้าที่ของเราเสียมารยาทกระทำการอุกอาจ คนฉลาดอย่างคุณคงรู้ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย”



บรรยากาศกดดันที่จู่ๆ ก็ก่อตัวขึ้นรอบกายของชายวัยกลางคนทำให้เอ็มขบริมฝีปากสีชมพูเข้มอย่างนึกไม่ชอบใจ นักสืบหนุ่มจ้องหน้าของคนในสูทน้ำเงินเข้มนั่นให้รู้ไว้ว่าตัวเองไม่ได้เกรงกลัวรัศมีของบางสิ่งบางอย่างที่ดูยิ่งใหญ่ ซึ่งเพิ่งแง้มให้เขาได้สัมผัสเพียงนิดนั่นเลย กลับกัน มันทำให้เอ็มหงุดหงิดที่ฝ่ายตรงข้ามใช้สายตาเหมือนพญาอินทรีกำลังมองหนูตัวเล็กจ้องมองเขา



“คุณมีความเกี่ยวข้องยังไงกับทีนา เฮซสัน” น้ำเสียงนุ่มลึกเอ่ยต่อโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด คล้ายอยากบอกว่าตนไม่ได้สะทกสะท้านกับสิ่งไหนทั้งปวง “เธอคือตัวปัญหาของเรา แน่นอนว่าการตายของเธอสร้างปัญหาให้เราอย่างใหญ่หลวง”



“...”



“ใครคือผู้ว่าจ้างของคุณ”



ทีนา เฮซสัน เอ็มลูบข้อมือที่ยังทิ้งรอยของแข็งเอาไว้



จะว่าอารัมภบทยืดยาดก็ใช่ จะว่าเข้าประเด็นฉับไวก็ไม่ผิด ชายคนนี้พูดให้เขาไร้ข้อโต้แย้ง ไม่มีช่องว่างนอกจากจะตอบคำถามที่ต้องการเสีย



“ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก รวมทั้งครอบครัว คนประเภทไหนถึงจ้างคุณให้สืบเรื่องเธอ”



“ในเมื่อคุณรู้จักมิสซิสคาร์เทอร์ จะยากอะไรกับการสืบหาชื่อลูกค้าของผมอีกสักคน” เอ็มตอบในที่สุด เขาไม่แสดงสีหน้าอะไรไปมากกว่าเรียบเฉย ดวงตาสีฟ้าอมเทาซ่อนความอิดโรยจากฤทธิ์ยาสลบ และฉายออกไปเพียงวี่แววบางอย่างที่เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ...



“มิสเตอร์เอ็ม”



...ว่าเขากำลังต่อรอง



“เรื่องทั้งหมดนี้ย่อมเป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง ผมขอถามอีกครั้งว่า ใครคือผู้ว่าจ้างของคุณ”



“ผมไม่เห็นว่าคำถามของคุณจะมีอะไรที่ผมจำเป็นต้องตอบ” เอ็มสรุป “มันตอบอยู่ในคำพูดทั้งหมดของคุณอยู่แล้ว ว่าคุณรู้ดียิ่งกว่าใคร”



ชายคนนั้นเงียบไป นักสืบหนุ่มขยับมือที่วางอยู่บนเข่าตัวเอง



“อย่ายัดเยียดคำตอบของคุณให้ผม” เอ็มพูดขณะยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้แม้ร่างกายจะเป็นอิสระแล้ว เมื่อมองดูที่ประตูก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ถึงจะไร้พันธนาการใด และอีกฝ่ายก็รู้ข้อนี้ดี



“คุณอาจยังเรียบเรียงความคิดได้ไม่สมบูรณ์ดี...” ชายในชุดสูทพูดด้วยน้ำเสียงโทนเดิม แม้จังหวะการเว้นวรรคจะเหมือนกำลังบอกว่า ‘แปลก’ ที่คนอย่างเอ็มเลือกพูดอย่างนั้นออกไป “ยังมีเวลาให้คุณได้คิดอีกมาก ยังไงก็ตาม...ผมรอคำตอบของคุณอยู่เสมอ มิสเตอร์เอ็ม”



เสียงเย็นเยียบทำให้เขาส่งสายตาเย็นชาไม่ต่างกันกลับไป ชายวัยกลางคนผู้แสนทรงภูมิคนนั้นลุกออกจากที่และติดกระดุมสูทน้ำเงินเข้มกลับอย่างไม่รีบเร่ง เอ็มทอดสายตามองโต๊ะสี่เหลี่ยม ปล่อยให้เส้นผมตกลงมาปรกหน้าตัวเองอีกครั้งโดยไม่สนใจว่าใครจะยังมีตัวตนอยู่ตรงนี้หรือไม่ กระทั่งได้ยินเสียงปิดประตู จึงหันไปมองภาพสะท้อนของตัวเองกับโต๊ะและเก้าอี้ที่ว่างเปล่าในกระจก ทว่าเขามั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องกำลังมองตัวเองอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของกระจกบานนี้เป็นแน่



ดวงตาสีอ่อนลืมแค่ครึ่งเดียวตั้งแต่เริ่มจับเวลา ผ่านไปห้าชั่วโมงแล้วหลังชายหน้านิ่งคนนั้นออกไป เอ็มยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมไม่ขยับเขยื้อน สายตาทอดมองโต๊ะซึ่งสะท้อนแสงจ้าของไฟสีขาวบนเพดาน แม้มันจะทำให้ตาพร่าลาย เขาแยกไม่ออกระหว่างอาการสั่นจากการไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวาน กับฤทธิ์ยาที่ยังหลงเหลืออยู่ มือทั้งสองข้างก็ยังวางอยู่บนหน้าขา เขาบอกตัวเองให้รักษาความเงียบสงบไว้ดังเดิม และนับเวลาทุกวินาทีต่อไป เพราะมันเป็นเพียงวิธีเดียวที่ทำให้เขายังอยู่กับปัจจุบัน



เอ็มลอบมองกระจกด้านเดียวนั่นหลายต่อหลายครั้ง ถึงมันจะไม่สะท้อนอย่างอื่นนอกจากภาพภายในห้องนี้ ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า พอเวลาผ่านไปอีก มันก็สอนให้เขากลับมาสงบนิ่ง อาการสั่นหายไปกลายเป็นความรู้สึกบีบคั้นในอกกับศีรษะที่หนักอึ้ง ความเชื่อมั่นของนักสืบหนุ่มสูญเสียไปเมื่อย่างเข้าชั่วโมงที่สิบ เขามองกล้องวงจรปิดสลับกับกระจกบานเดิม ความกลัวเกิดขึ้นพร้อมกับความคิดที่ว่า หากทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดล่ะ? ความไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้มาอยู่ในสถานการณ์นี้ที่พยายามฝังมันไว้ก็กลับมาอีกครั้ง เอ็มหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ราวกับว่าเขาหอบเอาอากาศเข้าไปได้แค่กลางทางแล้วก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมา ดังนั้นนักสืบหนุ่มจึงตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมกับสติที่เลือนรางเต็มที ไม่รู้ว่าช่วงที่สลบตัวเองหลับไปนานเท่าไร ถ้าไม่รวมกับช่วงเวลาที่นับได้ ตอนนี้ก็คงใกล้จะหัวค่ำ



เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ที่เอ็มลุกขึ้นยืน ขาสองข้างเริ่มสั่นอย่างน่ากลัวขณะพยายามก้าวเดิน มือเรียวพยายามจับพนักเก้าอี้ยันเพื่อยันตัว ทว่าร่างสูงเสียหลักเมื่อก้าวได้เพียงครึ่งก้าว เก้าอี้ที่เคยนั่งจึงพลอยฟาดลงมาเสียงดัง เอ็มล้มลงไปกับพื้น ริมฝีปากซีดเผยอน้อยๆ ทั้งสั่นระริก ภาพสุดท้ายที่เห็นคือพื้นสีหม่นที่ล้มนอนลง แต่ก่อนหน้านั้น ดวงตาปรือๆ ของเขายังเห็นเท้าเปล่าของใครบางคนในระดับสายตา ทั้งที่ไม่เคยมีใครยืนอยู่ตรงนั้น ไฟจ้าๆ บนเพดานเองก็ไม่ได้สร้างเงาให้กับเจ้าของเท้านั่น หากก่อนจะได้เลื่อนสายตาไปมองด้านบน เปลือกตาสีอ่อนก็ปิดลง

 





“คุณจะเอายังไงต่อ คอลลินส์”



“ทางเอสโอไฟฟ์เป็นยังไงบ้าง” ชายผู้ถูกเรียกว่าคอลลินส์เอ่ย ทำให้ฝ่ายที่ถูกถามกลับชะงักเล็กน้อยเพราะรู้สึกขัดใจ แต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า



“ไม่ยอมพูดอะไรเหมือนเดิม ตอนนี้เอ็ดกำลังจัดการอยู่” เขาตอบโดยพาดพิงชื่อเจ้าหน้าที่อีกคน “แล้วหมอนั่น...?”



“ผู้ชายคนนี้มีแผน” ชายเจ้าของชุดสูทสีน้ำเงินเข้มพูด ตรงหน้าของทั้งคู่คือมอนิเตอร์มากมายที่แสดงภาพในห้องสอบปากคำพิเศษภายในหน่วยปฏิบัติการ ‘วัลฮัลลา’ สังกัดหน่วยสืบราชการลับ CSSL (Central Secret Service Division of London; CSSL) พวกเขายืนอยู่ในห้องควบคุมขนาดเล็กซึ่งควรจะมีเจ้าหน้าที่อย่างน้อยหนึ่งคนนั่งประจำตำแหน่ง แต่กลับไม่มีในขณะนี้



“แผน?” เชสเตอร์ เลวินส์เงียบเสียงลง ก่อนจะเดาะลิ้น “ผลการสอบปากคำสี่คนนั้น”



เขาส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้คอลลินส์



“เราจะระบุได้ชัดเจนขึ้นถ้าได้ข้อมูลจากเอสโอไฟฟ์ รวมถึงเอ็ม ยังเหลือเวลาในจดหมายนั่นอีกสี่สิบแปดชั่วโมง” ชายในชุดสูทสีดำแบบเดียวกับวันที่ยืนอยู่ในห้องชั้นสามของบ้านเลขที่ 114 พูด มือข้างที่ไม่ได้ล้วงกระเป๋ากางเกงยกขึ้นนวดสันจมูกระหว่างดวงตาสีเขียวทั้งสองข้างของตัวเอง ขณะมองไปยัง ‘หัวหน้า’ ของหน่วยตน แล้วกล่าวสำทับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แต่ถ้าไม่... ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าจะบุกเอง”



“ฉันเชื่อว่านายยังเป็นมือหนึ่งของหน่วยเราอยู่ เชสเตอร์” อีกฝ่ายเอ่ยโดยสายตายังจับจ้องอยู่ที่จอมอนิเตอร์ ซึ่งแสดงภาพคนในห้องสอบปากคำนั้นล้มลงกับพื้นหลังนิ่งมากว่าสิบเอ็ดชั่วโมง เชสเตอร์มองแผ่นหลังของชายวัยกลางคน ประโยคของคอลลินส์ทำให้เขาอยากแค่นหัวเราะ แต่ก็ทำเพียงมองมอนิเตอร์เดียวกัน เพราะอีกสิ่งที่อยู่ระหว่างตนเองและคอลลินส์



“รักษาความเชื่อของคุณไว้ให้ดีเถอะ คอลลินส์”



กลิ่นจางๆ นั้นติดตัวคอลลินส์ออกมา







TBC




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2018 20:35:38 โดย kinookokei »

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 4
«ตอบ #5 เมื่อ23-07-2018 20:29:58 »

CHAPTER 4 – The Wicked Bargain



ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มยืนอยู่กลางทุ่งโล่งอ้างว้างที่ไหนสักแห่ง ท้องฟ้าสีครามไม่มีแสงแดด ไม่มีก้อนเมฆ เขามองไม่เห็นแม้แต่ดวงอาทิตย์หรือว่าดวงจันทร์ เท้าเปลือยเปล่าของเอ็มสัมผัสกับหญ้าแห้งๆ เท้าคู่นี้เล็กเกินกว่าจะเป็นเท้าของผู้ชายอายุเกินยี่สิบ จริงอย่างที่คิด เอ็มพบว่าร่างกายตัวเองกลับไปเป็นเด็ก อีกทั้งยังอยู่ในชุดเอี๊ยมกับเสื้อยืดสีส้มสดใส



เสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง แม้จะเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูแต่เอ็มก็รู้ว่านั่นคือชื่อของตัวเอง หากเสียงที่สะท้อนก้องทำให้เขาไม่รู้ว่ามันมาจากที่ไหน จึงได้แต่วิ่งวนไปรอบๆ และเดินขึ้นไปบนเนินเขาเมื่อเสียงนั้นยังดังไม่หยุด ภาพบ้านหลังใหญ่เหมือนคฤหาสน์ตั้งโดดเดี่ยวในทุ่งร้างฉายในดวงตาบริสุทธิ์ เอ็มวิ่งลงไปอยู่หน้าบ้านหลังนั้น เสียงเรียกชื่อดังอีกครั้ง คราวนี้มาจากด้านหลัง ทันทีที่เด็กชายหันไปเพื่อมองร่างเจ้าของเสียง เงาขนาดมหึมากลับปรากฏอยู่ตรงหน้า ที่ด้านหลังของเอ็ม ไฟกำลังลุกท่วมคฤหาสน์หลังนั้น



เหงื่อท่วมตัวตอนที่นักสืบหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ มือเรียวทั้งสองข้างลูบหน้าตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าอมเทาจะกะพริบถี่เพื่อปรับสายตา เขาเลียริมฝีปากแห้งแตกของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะภาพตรงหน้า



“คุณโอเคหรือเปล่า” เสียงแหบต่ำดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ



เอ็มนิ่งไปชั่วขณะ สิ่งแรกที่เขาเห็นคือดวงตาคมสีเขียวของฝ่ายตรงข้าม ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ชายร่างสูงใหญ่มานั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ตรงเก้าอี้ที่เคยมีชายในสูทน้ำเงินเข้มนั่งอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง เขาจำสูทสีดำกับเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่เซตเปิดหน้าผากนี้ได้—ใบหน้าคมคายของฝ่ายตรงข้าม



ริมฝีปากสีชมพูเข้มเผยอขณะหอบลมหายใจเข้าปอด เอ็มไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า ‘คุณโอเคหรือเปล่า’ แต่เลือกถามกลับไปว่า “เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร”



“สักพัก” ผู้ชายคนนั้นตอบ



สักพัก เขาจำได้ว่าตัวเองล้มลงไป แต่สภาพในตอนที่ตื่นขึ้นคือตัวเองกำลังฟุบอยู่กับโต๊ะสี่เหลี่ยมข้างหน้า แถมยังกลับมานั่งบนเก้าอี้ได้เอง



“แล้ว...ตกลงคุณโอเคหรือยัง”



“คุณต้องการอะไร” เอ็มขัดคำถามเดิม



“เชสเตอร์”



เอ็มเงียบ เขาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่ชายคนนี้กลับยื่นมือขวามาตรงหน้าเขา ส่วนมือข้างที่วางไว้บนโต๊ะ เขาเห็นว่ามีรอยสักลายอะไรสักอย่างอยู่บนนั้น มันโผล่พ้นจากแขนเสื้อสูทมาประดับอยู่บนหลังมือซ้าย ชายที่เรียกตัวเองว่า ‘เชสเตอร์’ เลิกคิ้วขณะยื่นมือรอ เอ็มไม่ชอบสายตานี้จึงยอมจับมือให้จบๆ ไป “เอ็ม”



“เอ็ม? ตัวเอ็ม?”



กลิ่น



สัมผัส



ปฏิกิริยา



“ย่อมาจากอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มต่ำเรียกให้เอ็มกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ดวงตาทั้งคู่สบกันชั่ววินาทีเดียว ก่อนที่เอ็มจะรีบดึงมือเย็นเฉียบของตัวเองออกจากมือสีแทนนั้น แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามือของเชสเตอร์ไม่ได้หยาบกระด้างเหมือนกับคนที่ตรอกนั่น จะมีก็แต่ตัวเขาเองที่ตอบคำถามก่อนหน้าด้วยเสียงแข็งกร้าวเกินไป



“แค่เอ็ม”



มือซ้ายเอ็มลูบลำคอที่ชื้นไปด้วยเหงื่อก่อนจะเสยกลุ่มผมหยักศก อุณหภูมิร้อนๆ หนาวๆ ในร่างกายทำให้เขาอยู่ไม่สุข อีกทั้งอาการเวียนหัว อาการสั่น อย่างที่เป็นมาตั้งแต่แรกยังทำให้เอ็มสับสนว่าตกลงเขาเป็นอะไร มันผสมปนเปจนเริ่มปั่นป่วนในช่องท้อง มือขวาชายหนุ่มแบอยู่บนตักค้างไว้อย่างนั้น แล้วน่าขายหน้าสิ้นดีที่เขาจบความกระอักกระอ่วนนี้ด้วยการส่งเสียงท้องร้องออกมาหนึ่งที



“เดี๋ยวมา”



จู่ๆ ชายตรงหน้าก็ลุกพรวดพราดขึ้น เพราะอย่างนั้นเอ็มจึงได้เห็นส่วนสูงราวหกฟุตห้าของอีกฝ่ายใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้ไว้หนวดเคราบางๆ ถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุที่แสดงบนใบหน้า แต่ถึงอย่างไร รูปร่างสูงใหญ่กับใบหน้านั่นก็บ่งบอกชัดเจนว่านายเชสเตอร์คนนี้จะต้องอายุมากกว่าเขาไม่ต่ำกว่าสาม...หรือไม่ก็ห้าปี



เอ็มเลียริมฝีปากล่าง เขารู้สึกเหมือนเกรย์วูล์ฟขนน้ำตาลตัวใหญ่เพิ่งเดินผ่านหน้าตัวเองไป ช่องทางเข้าออกเดียวในห้องถูกปิดด้วยฝีมือเจ้าหน้าที่คนนั้น เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เอ็มหายใจได้คล่องปอด แต่เชสเตอร์ก็กลับมาในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังมาพร้อมกับจานเซรามิกสองใบ หนึ่งใบวางตรงหน้าเขา อีกใบวางตรงหน้าตัวเอง



“คิดจะติดสินบนผมด้วยอาหารเหรอ” นักสืบหนุ่มมองสปาเกตตีซอสเนื้อในจานสีขาว แล้วค่อยเลื่อนสายตาไปยังเกรย์วูล์ฟผิวแทน



“แค่ให้คุณสบายตัวขึ้น เราจะได้คุยกันรู้เรื่อง”



เอ็มเลิกคิ้วให้กับคำตอบนั้น ในขณะที่เจ้าของคำตอบไหวไหล่หนึ่งครั้ง ก่อนจะเริ่มจัดการกับอาหารส่วนของตัวเอง เขายิ่งอยากขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่ผู้ชายตรงหน้าก็มัดมือชกให้เขาหยิบส้อมขึ้นมาแล้ว ส้อมโลหะในมือเอ็มกระทบกับจานเซรามิกเป็นเสียงดังน่ารำคาญ เขาเดาะลิ้นหลังรับรู้ว่ามือตัวเองสั่นกว่าที่คิด ดวงตาสีอ่อนลอบมองเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เชสเตอร์กำลังกินสปาเกตตีนั่นเหมือนนี่เป็นเพียงมื้ออาหารธรรมดาๆ เขาจึงผ่อนลมหายใจแล้วพยายามอีกครั้ง



เมื่อจัดการกับอาหารมื้อจำเป็นเสร็จ เชสเตอร์ก็เป็นคนยกจานออกไป ก่อนแทนที่ด้วยแก้วน้ำสองแก้ว และยังเป็นฝ่ายดื่มก่อนเหมือนเดิม คล้ายบอกเป็นนัยว่าในน้ำไม่ได้มีอะไรผสมอยู่ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นตัวเองก็คงไม่รอดไปด้วย แต่ถึงอย่างไรเอ็มก็ยกแก้วขึ้นโดยไม่ได้ใส่ใจถึงข้อนั้น ด้วยมองไม่เห็นเหตุผลที่ชายคนนี้จะต้องเล่นงานตัวเอง



“คุณเป็นโอเมกาใช่ไหม”



มันคือคำพูดแรกหลังทุกอย่างกลับมาสู่สภาพปกติ



นักสืบหนุ่มที่กำๆ แบๆ มือขวาอยู่ใต้โต๊ะสบตากับคนพูด เชสเตอร์ไม่ได้ทำสีหน้าผิดแปลกไปนอกจากจะรอคำตอบ ผิดกับเอ็มที่ไม่ปิดบังท่าทางครุ่นคิด



“ทำไมถึงถาม” เอ็มถามกลับด้วยเสียงต่ำยิ่งกว่าครั้งไหน



“เพราะผมกำลังจะถามคุณว่าคุณเคยได้ยินเรื่องของซินส์ไหม”



เอ็มไม่ได้สนใจคำถามต่อมามากนัก เคำว่าโอเมกาเวิร์สกำลังรบกวนจิตใจเขา



“ซินส์คือกลุ่มปฏิวัติที่ก่อตั้งโดยแกนนำกลุ่มโอเมกาในยุคที่ความเหลื่อมล้ำระหว่าง ‘เพศรอง’ รุนแรงถึงขีดสุด พวกเขาก่อจลาจลเพื่อเรียกร้องสิทธิที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งพึงได้ แต่กลับถูกจำกัดด้วยความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ การเผา ทำลาย ข่มขู่ ความรุนแรงทุกประเภทถูกสื่อออกมาโดยกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าอ่อนแอและไร้ฐานะทางสังคมมากที่สุด ถ้าคุณเคยเห็นหน้าประวัติศาสตร์ผ่านตามาบ้าง พวกเขาคือชนวนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ของอังกฤษ”



“เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์หรือนี่” เอ็มพูดอย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาสีอ่อนทอดมองบนโต๊ะ



เป็นเรื่องจริงที่คำว่าโอเมกาเวิร์ส ‘เคย’ เป็นเสมือนเส้นคู่ขนานกับคำว่าสังคมมนุษย์ คนเราไม่ได้เกิดมาพร้อมเพศสภาพเดียวอย่างชายและหญิง แต่กลับมีสิ่งที่เรียกว่าเพศรองมาเป็นตัวกำหนดชะตาของแต่ละคน ทั้งชายและหญิงอาจมีเพศรองเป็นอัลฟาผู้มีร่างกายที่แข็งแรง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความเป็นจ่าฝูง ซึ่งทั้งหมดล้วนนำมาซึ่งฐานะทางสังคมที่เยี่ยมยอด พวกเขาอาจเกิดมาเป็นเบตา ที่มีฐานันดรด้อยลงมานิดหน่อย มีความแข็งแรงทางร่างกายที่ไม่ได้โดดเด่นมาก มีสติปัญญาที่ถ้าได้รับการศึกษาหน่อยก็คงขุนขึ้นมาได้ ซึ่งโชคดีของเบตาคือพวกเขาเหล่านั้นมีความเป็น 'คน' มากที่สุด และยังเป็นคนกลุ่มใหญ่ของสังคม ในเมื่อสัดส่วนของเบตามีถึงเจ็ดในสิบของประชากรทั้งหมด



หรืออาจจะเป็นโอเมกา ซึ่งเอ็มดูแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างจากเพศไหนๆ



เพราะสันดานของมนุษย์ต่างหาก...ที่เป็นปัญหา



คงเพราะตำนานแห่งโอเมกาเวิร์สนั้นกล่าวเอาไว้ว่า หากเปรียบอัลฟา เบตา โอเมกาเป็นห่วงโซ่อาหาร อัลฟาคือจุดสูงสุดของห่วงโซ่ เพราะลักษณะความเป็นผู้นำ ซึ่งมาจากการที่ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างก็มีความสามารถในการสืบเผ่าพันธุ์ของตน ต่อมาคือเบตาที่อยู่ตรงกลาง เนื่องจากทั้งสองเพศยังทำหน้าที่ตามปกติของตนเอง และจุดล่างสุดคือโอเมกา ที่ไม่ว่าเพศไหนก็มีความสามารถในการตั้งครรภ์ ทำหน้าที่รองรับบุตรจากทั้งอัลฟาชายหญิง และเบตาชายได้อย่างน่าประทับใจ



แต่เพราะตำนานก็คือตำนาน เรื่องเหล่านี้เก่าแก่ยิ่งกว่าเรื่องของกลุ่มซินส์ และอันที่จริง กลุ่มปฏิวัติที่เชสเตอร์ว่า ในความคิดของเขา มันก็เป็นเพียงผลกระทบของเศษเสี้ยวความเชื่อแบบผิดๆ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องโอเมกาเวิร์สนั่น แต่โชคดีที่เขาเกิดในยุคที่วิทยาศาสตร์การแพทย์จัดอยู่ในขั้นไร้ขีดจำกัด ลักษณะความเป็นอัลฟา เบตา หรือโอเมกาจึงปรากฏแค่เพียงในผลเลือดเท่านั้น รวมทั้งการให้ความสำคัญกับเพศรองเองก็ลดหลั่นลงตามลักษณะจำเพาะที่หายไป



“เรากำลังประสบปัญหากับกลุ่มก่อการร้ายหนึ่งที่ใช้ชื่ออ้างตัวว่าซินส์”



เอ็มเอนตัวกับพนักเก้าอี้ “สมัยนี้ไม่มีคำว่าอัลฟา เบตา หรือโอเมกาด้วยซ้ำ”



เกรย์วูล์ฟหนุ่มประสานมือกันบนโต๊ะขณะมองใบหน้าสีชมพูเรื่อของเอ็ม เขาไม่ได้หวังปฏิกิริยาที่ดีจากอีกฝ่าย เพราะงานของเขาเป็นเรื่องต่อจากนี้



“ถึงวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าจนทำให้ร่างกายของเราเหมือนกันได้” เชสเตอร์เอ่ยด้วยเสียงต่ำ “แต่ไม่ได้หมายความว่าความแตกต่างพวกนั้นจะหายไป ผมเดาว่าคุณคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป จึงไม่ได้สังเกตถึงเรื่องพวกนี้”



“คุณกำลังพูดถึงความแตกต่างด้านไหน ร่างกายงั้นเหรอ สติปัญญา? ถ้าเป็นแค่เรื่องที่หมอจะบอกตอนที่คุณไปตรวจสุขภาพละก็ ผมคิดว่าความแตกต่างทางความคิดและทัศนคติต่างหากที่เป็นปัญหา” เอ็มพูดออกมา ยอมรับว่าตอนแรกตัวเองค่อนข้างรู้สึกปั่นป่วนในสถานการณ์นี้ แต่ตอนนี้มันแทบสลายไปสิ้น เพราะความหงุดหงิดแปลกๆ ที่เข้ามาแทนที่ “ผมไม่สนเรื่องในอดีต แต่ถึงเป็นเรื่องในปัจจุบัน ต่อให้คุณเอานักมานุษยวิทยามาล้อมวงคุยกันทั้งสัปดาห์คุณก็ไม่ได้ข้อสรุปเรื่องพวกนี้หรอก”



อัลฟาคิดว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้ เบตาคิดว่าตัวเองไม่มีใครสนใจ ส่วนโอเมกาก็คิดว่าตัวเองถูกสังคมรังแกนักหนา เรื่องพวกนี้มันน่าเบื่อเกินจะเก็บมาคิดหาจุดลงตัว



“งั้นคงผิดที่ผมบอกว่าคุณไม่ได้สังเกต” เชสเตอร์ยิ้มบางๆ เอ็มเห็นเขี้ยวสองข้างในแนวฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบนั้น มันทำให้เขาได้ยินช่วงแรกของประโยคต่อมาไม่ถนัดนัก “ผมเข้าใจว่าตราบใดที่มนุษย์ยังอยู่กันเป็นสังคม เราย่อมมีความแตกต่างที่คำสามคำไม่อาจตัดสินได้ แต่ในกรณีของซินส์ ผมกำลังพยายามหาเหตุผลรองรับการกระทำของคนพวกนั้นอยู่ หรือพูดง่ายๆ คือแรงจูงใจของพวกเขา”



“เพราะใช้ชื่อซินส์ คุณเลยคิดว่าเขาเป็นพวกโอเมกามาทวงผลประโยชน์งั้นเหรอ” เอ็มถาม เขาตำหนิตัวเองที่พูดจาเหมือนจะสนใจในเรื่องที่อีกฝ่ายพูดเสียเหลือเกิน



“ไม่มีเหตุผลอื่นที่ต้องเอาชื่อนี้มาอ้าง ผมเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมัน” เชสเตอร์ตอบ



“เหมือนคุณกำลังแก้ตัวให้คนพวกนั้น”



เอ็มหัวเราะในใจให้กับความคิดของชายในสูทดำคนนี้ จะว่าเขาขวางโลกก็ได้ แต่เอ็มเชื่อว่าเรื่องที่เชสเตอร์พยายามสื่อนั้นเป็นเรื่องที่น่ารำคาญที่สุด น่ารำคาญที่มันไม่เคยจบสิ้น ทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องที่ใครก็ทำความเข้าใจได้ แต่ก็ยังเสียน้ำลายมาพูดประโยคเดิมๆ แล้วก็ยังน่ารำคาญตัวเขาเองที่ได้ยินทีไรก็เหมือนโดนกระตุกต่อมคันขึ้นมาทุกที



ความคิดที่ว่าโอเมกาควรได้รับการเยียวยากว่าคนกลุ่มอื่น หากยอมรับก็เหมือนยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ ในเมื่อละแวกบ้านเขาก็ยังสงบสุขดี



ดวงตาสีเขียวฉายแววเปลี่ยนไปนิดหน่อยขณะที่เอ็มมองหน้าเชสเตอร์คล้ายพร้อมมีปัญหากับทุกคำพูดที่อีกฝ่ายจะเอ่ยออกมา ฝ่ายเจ้าหน้าที่ภาคสนามประจำหน่วยวัลฮัลลายกยิ้มเล็กน้อย เขาผิดเองที่คิดว่าปฏิกิริยาของเอ็มจะไม่น่าสนใจ



“เคยมีงานวิจัยว่าการที่โอเมกาเพศชายไม่อาจตั้งท้องได้อย่างเก่า ทำให้โอเมกาเพศชายรู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองถูกลดทอน แทนที่จะใช้ชีวิตในสังคมได้ปกติสุขอย่างคนทั่วไป”



นักสืบโอเมกาผุดคำผรุสวาทขึ้นในหัว “แล้วคุณก็คืออัลฟาผู้สูงส่งนั่นเอง”



“ผมกำลังจะบอกว่าเพราะช่องว่างที่ยังเหลืออยู่พวกนั้นทำให้ซินส์มีตัวตนอยู่จริง” เกรย์วูล์ฟหนุ่มพูดต่อทันที



“อะไรทำให้คุณมั่นใจขนาดนั้น” เอ็มพยายามเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ทำไมคุณต้องพูดเรื่องพวกนี้ให้ผมฟัง”



“คุณดูกระตือรือร้นดีนะ” เชสเตอร์ยกยิ้มปลอมๆ อีกครั้ง เอ็มเก็บแสงไฟวูบวาบที่เหมือนจะปรากฏขึ้นตรงหน้าไว้ในใจก่อน เขาตระหนักถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้ด้วยคำพูดนั้น ก่อนจะส่งยิ้มกลับ



“เกรงว่าจะเป็นทางคุณมากกว่า” นักสืบหนุ่มสวนอย่างรวดเร็ว “สร้างมื้ออาหารร่วมกัน พาเข้าบทสนทนา แล้วจงใจยั่วให้ผมพ่นความเห็นของตัวเองออกมาหมดอย่างนี้ ได้เวลาพูดสิ่งที่ต้องการจริงๆ หรือยังครับ”



“หรือว่าคุณกำลังสงสัยว่าผมเป็นพวกเดียวกับคนพวกนั้น จริงสิ ผู้ชายคนที่คุณไล่ยิงเมื่อวาน คุณก็คงจับมาเค้นข้อมูลแบบนี้ด้วยสินะ”



มากไปแล้ว มากไปแล้ว



หากผู้ชายตรงหน้าเป็นเกรย์วูล์ฟขนน้ำตาล เขาในตอนนี้ก็คงจะเป็นแค่ชิวาว่าที่รู้ตัวว่าโดนหยอกแต่ก็ยังเห่าไม่หยุด เอ็มตำหนิตัวเองอย่างนั้น



“ขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณ” อีกฝ่ายยังพูดหน้าระรื่นได้เหมือนเดิม เหมือนกับทุกเรื่องที่พูดออกมาเป็นเรื่องกลางๆ ทั่วไปและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันกับตัวเอง ตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาเพิ่งตำหนิตัวเองไปไม่ได้ผิดเลยจริงๆ



“ผมมีของอยากให้คุณดู” ในที่สุดเชสเตอร์ก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อสูท และส่งมันให้เอ็มซึ่งอยู่ห่างแค่เอื้อมมือ ฝ่ายตรงข้ามมองมันด้วยสายตาเจือความสงสัย แต่ก็ยอมหยิบไปในเวลาไม่นาน เขาจับจ้องใบหน้าอีกฝ่ายขณะคลี่กระดาษที่ค่อนข้างยับนั้น ไม่ได้ละสายตาจนกระทั่งเจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเทาพึมพำขึ้นมาว่า



“จดหมายขู่?”



เอ็มไม่ได้สนใจคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน เขาพลิกกระดาษดูทั้งสองด้าน กระดาษแผ่นนั้นไม่ได้มีอะไรนอกจากสัญลักษณ์โอเมกาขนาดใหญ่ และด้านล่างสัญลักษณ์นั้นเป็นลายมือเขียนด้วยหมึกว่า



‘ซินส์ 200 ชั่วโมงก่อนการประณามบาป’



จากสภาพกระดาษคงโดนเอาไปผ่านการทดลองมาแล้วทุกรูปแบบ แต่ก็ไม่พบอะไรซ่อนอยู่ ดวงตาสีอ่อนเลื่อนผ่านสัญลักษณ์โอเมกาตรงกลางกระดาษมายังประโยคด้านล่างอย่างรวดเร็ว น่าสังเกตว่าทำไมผู้ที่ทำจดหมายนี้ขึ้นถึงไม่ใช้วิธีพิมพ์เหมือนกันทั้งจดหมาย แต่กลับเขียนด้วยลายมือเฉพาะส่วนที่เป็นตัวอักษร ซึ่งดูแล้วน่าขัดใจ ทั้งประโยคนั้นถูกเขียนด้วยลายมือขยุกขยิก ตัวแรกใหญ่ ก่อนจะเล็กลงเรื่อยๆ เอ็มไม่แปลกใจที่มันจะเป็นเช่นนี้ เพราะเป็นเขาคงเขียนตัวอักษรให้ใหญ่ขนาดนั้นไม่ถนัดมือเหมือนกัน แต่หากให้พูดถึงเจตนาที่ต้องทำ เจ้าของจดหมายนี่คงอยากประกาศตัวตนของตัวเองน่าดู



“นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันส่งจดหมายขู่มา ถ้าประเมินความเสียหายจากการก่อเหตุการณ์ครั้งก่อนๆ แล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม”



“จดหมายนี่ใครก็ทำได้” นักสืบหนุ่มถือกระดาษแผ่นนั้นในมือ “อะไรคือข้อพิสูจน์ว่าเป็นพวกเดียวกันจริงๆ ที่ส่งมา ไม่ใช่ว่าใครกำลังสวมรอยอยู่”



เขาไม่ได้ถามเพื่อหวังต้อนเชสเตอร์ เอ็มเพียงเผลอตัวถามด้วยความเคยชินในกระบวนการสืบสวน ริมฝีปากสีชมพูเข้มตัดกับผิวขาวเกือบซีดเผยอขึ้นน้อยๆ ระหว่างใช้ความคิด



“ถ้าคิดถึงกลุ่มที่ไม่เคยเผยชื่อนอกจากจะหลุดออกมาแค่ครั้งเดียว มีความเป็นไปได้น้อยที่จะเป็นอย่างนั้น” เชสเตอร์ตอบ ดวงตาสีเขียวสุกใสมองปลายจมูกโด่งรั้นที่เกือบจะเป็นสีชมพูเข้มเท่าริมฝีปากที่เจ้าตัวขบเม้มขณะประมวลผลอะไรสักอย่างในสมอง นักสืบคนนี้หน้าตาดีไม่ใช่เล่น ขนตางอนยาวสั่นระริกตอนที่ตาสีฟ้าอมเทานั้นกะพริบ นิ้วชี้เรียวลูบไรหนวดอ่อนๆ เหนือริมฝีปากตัวเองโดยไม่ละสายตาจากแผ่นกระดาษไปไหน ไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังถูกมองมาไม่ต่ำกว่าสองนาทีแล้ว มันทำให้เกรย์วูล์ฟหนุ่มเผลอเอามือมาไว้ที่คางบ้าง พลางใช้ลิ้นดุนเขี้ยวตัวเองเล่น กระทั่งเอ็มเงยหน้าขึ้นจากกระดาษ โอเมกาหนุ่มก็เลิกคิ้วคล้ายสงสัย



“เปล่า” เชสเตอร์ตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะได้เอ่ยปากถาม เอ็มยิ่งขมวดคิ้วหนักกับท่าทางประหลาดนี้ “ผมอยากให้คุณไปกับผม” เชสเตอร์ว่า



เอ็มหรี่ตา เขาพับกระดาษแผ่นนั้นไว้ในสภาพเดิมแล้วเลื่อนมันคืนให้ฝ่ายตรงข้าม



“ถ้าผมตอบว่าไม่ล่ะ”







TBC




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2018 20:36:28 โดย kinookokei »

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 5
«ตอบ #6 เมื่อ23-07-2018 20:31:14 »

CHAPTER 5 – Suspects and Scent



“อย่างที่คุณพูด เขามีแผน”



เจ้าที่ภาคสนามกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ เชสเตอร์ เลวินส์คือแขกเพียงคนเดียวภายในห้องทำงานประจำตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาของหน่วยวัลฮัลลา บุคคลผู้นั่งอยู่หลังป้ายซึ่งตัวอักษรสีทองบอกชื่อ A Collins ไม่ได้สีหน้าหรือท่าทียินดียินร้ายใดกับ ‘คำรายงาน’ นั้น



นอกกระจกบานใหญ่ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งหน้าต่างและกำแพงในห้องขนาดใหญ่คือทิวทัศน์ยามค่ำคืนของลอนดอน ห้องชั้นบนสุดนี้เป็นหนึ่งในห้องที่ยังเปิดไฟสว่างของตึกสำนักงาน CSSL สูงตระหง่าน



ไม่มีข้อเรียกร้อง ไม่ยอมตอบคำถาม ทั้งยังไม่ยอมจำนน ดูผิวเผินนักสืบนั่นอาจไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ ถึงอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีเบื่อหน่ายกับเรื่องของซินส์มากแค่ไหน แต่ก็แสดงความสนใจออกมาไม่น้อยไปกว่ากัน เอ็มมีปฏิกิริยากับชื่อของทีนา เฮซสันอย่างเห็นได้ชัด



คำว่า ‘ผู้ว่าจ้าง’ นั่น ดูยังไงก็บลั๊ฟกันเห็นๆ เชสเตอร์ปรายสายตาไปยังหัวหน้าตัวเอง



สิ่งที่เอ็มต้องการแน่นอนคือการสืบเรื่องของทีนา ต่อให้จะถูกทำให้เหมือนอยู่ใต้อาณัติ แต่ก็ยังพลิกกับมาเป็นฝ่ายคุมเกมได้ ถ้า ‘นักสืบคนนั้น’ จะคิดว่าตัวเองมีอิทธิพลมากขนาดนั้นล่ะก็...



“นายตั้งใจจะทำอะไร” ชายวัยกลางคนถอดแว่นที่ใช้เวลาดูงานเอกสารวางไว้บนโต๊ะก่อนเอ่ยถาม เจ้าหน้าที่หนุ่มไหวไหล่



“เปล่านี่ครับ”



“นักสืบคนนั้น”



แผนของเขาไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะนักสืบคนนั้นปฏิเสธข้อเสนอ แต่เป็นเพราะเอ็มรู้ทันแผนของเขาแล้วยังจงใจ ‘เล่นตามน้ำ’ ไปอีก



“ที่บ้านเลขที่ 114 ยังไม่มีอะไรผิดปกติ ถ้าเอ็มเป็นพวกเดียวกับเอสโอไฟฟ์จริง เขาน่าจะทำอะไรได้พอสมควรในช่วงที่เอสโอไฟฟ์ถ่วงเวลาให้” เชสเตอร์นึกถึงดวงตาสีฟ้าอมเทาภายใต้ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มกับมือที่ใช้เสยกลุ่มผมนั้นไปด้านหลัง “หรือถ้าบอกว่าเขาจงใจโดนจับเพื่อมาถึงถิ่นเราก็คงเป็นไปได้ยาก ในเมื่อการมาที่นี่ไม่ใช่ความต้องการของเขา”



“แต่ถ้าเขาสามารถคิดทำอะไรก็ตามที่ตั้งใจทำในเวลารวดเร็วขนาดนั้น เขาก็คงมีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ทางไหนสักทาง”



‘ผู้ชายคนนี้มีแผน’ เชสเตอร์นึกถึงประโยคนั้นเบือนหน้าไปยังบานกระจกขนาดใหญ่



“เรื่องเมื่อวานนี้อาจทำให้ซินส์เคลื่อนไหวอีกครั้ง ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมขอใช้วิธีของตัวเอง” เจ้าหน้าที่หนุ่มกลับมาสบตากับหัวหน้าซึ่งนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะประจำตำแหน่ง “และเรื่องของเอ็ม ผมอยากจัดการกับเขาด้วยตัวเอง”



คอลลินส์เงียบไปชั่วขณะ เชสเตอร์ไม่พยายามจับสีหน้าหรือคาดเดาท่าทีของอีกฝ่ายเพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ กระทั่งชายผู้เป็นหัวหน้าทำลายความเงียบลงเอง



“จับตาดูนักสืบคนนั้นให้ดี อย่าเปิดช่องว่างให้เขาได้ติดต่อกับใคร ยังไงซะเขาก็เป็นผู้ต้องสงสัยของเรา”



“ผมทราบดี”



ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า เขารู้ความหมายของการกระทำนั้น—พอแล้วสำหรับการรายงาน คอลลินส์ปิดเอกสารบนโต๊ะและเลื่อนมันกลับให้กับเจ้าหน้าที่ภาคสนามซึ่งลุกจากเก้าอี้แล้วติดกระดุมสูทสีดำกลับเข้าที่ ก่อนจะหยิบเอกสารนั้นมาไว้กับตัว



“งั้นผมขอตัว” เชสเตอร์หันหลังกลับโดยไม่ได้มองคนด้านหลังอีก พอเปิดประตูออกมาจากห้องก็พบกับเลขาฯ หญิงใบหน้าคุ้นตา ความสงสัยเกิดขึ้นนิดหน่อยว่าทำไมเวลาป่านนี้เธอยังอยู่ที่นี่อยู่อีก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หลังดูนาฬิกาบนข้อมือ ชายหนุ่มก็เดินจากไปทันที



“เรียบร้อยหรือเปล่า” หัวหน้าหน่วยวัลฮัลลาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเลขาฯ หญิงกลับเข้ามาในห้อง แล็ปท็อปเครื่องหนึ่งอยู่ในมือเธอ ก่อนมันจะถูกวางลงบนโต๊ะประจำตำแหน่งของคอลลินส์



“ค่ะ คอลลินส์”



หน้าต่างโปรแกรมปรากฏขึ้นมาบนจอแล็ปท็อป คอลลินส์มองดูจุดสีฟ้าบนแปลนอาคารที่เพิ่งเคลื่อนออกจากห้องนี้ไป





 

ห้องพักภายในตึก CSSL ถูกจัดไว้ให้เอ็ม ในพื้นที่ขนาดใหญ่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เสื้อผ้า อาหาร นักสืบหนุ่มแสร้งทำเป็นโยนเสื้อโค้ตไว้ที่ปลายเตียงใหญ่แล้วนั่งนิ่ง ไม่สนใจเจ้าหน้าที่สองคนที่ยืนดูท่าทีตัวเองชั่วครู่ แล้วค่อยเดินออกไปหลังทำหน้าที่มาส่งเขาถึงในห้อง แต่เมื่อประตูห้องปิดลง เอ็มก็ปรี่ไปแนบหูกับประตูทันที เขาได้ยินเสียงใครสักคนด้านนอกนั้นพูดว่า ‘ไม่ต้องล็อก’ นั่นทำให้เจ้าตัวไม่สนใจห้องพักหรูหรา และรอเวลาเพื่อลอบเปิดประตูออกไปมองหน้าห้อง พอไม่เห็นว่ามีใครเฝ้าอยู่ เขาก็ออกจากห้องพักนี้โดยไม่รีรอ



ต่อให้เป็นเวลาหลังเที่ยงคืน ตึกนี้ก็ยังเปิดไฟสว่างทุกหนแห่ง สิ่งดีๆ อย่างเดียวคือใต้ไฟสีขาวแสบตาตลอดทางนั้นไม่มีใครอยู่เลย ร่างสูงโปร่งซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกงตัวเองขณะเดินผ่านประตูแบบเดียวกันที่เรียงรายเป็นแนวยาว ก่อนจะเข้าไปในลิฟต์เล็กๆ ตรงสุดทางเดินไปยังชั้นเดิมที่ตัวเองถูกกักตัวไว้ในคราวแรก อย่างน้อยตอนที่ออกจากห้องขังนั้นเขาก็ไม่ได้โดนปิดตา จึงพอจำทางได้บ้าง แม้จะแปลกใจที่บริเวณนี้ไม่มีคนอยู่เลย ซ้ำยังเปิดไฟเพียงริบหรี่ต่างจากพื้นที่ส่วนอื่น ที่ที่เขากำลังยืนอยู่คือหน้ากระจกบานเดียวซึ่งส่องให้เห็นชายรูปพรรณสัณฐานคุ้นตา ในห้องขังที่มีชื่อระบุว่า ‘S05’



ชายในห้องไม่มีทางเห็นว่ากำลังมีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหน้านี้ เช่นเดียวกับที่เอ็มไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องมายืนอยู่ที่นี่



เอสโอไฟฟ์...อีกคนที่อยู่ที่บ้านเลขที่ 114 เมื่อวันก่อน



“คุณสายลับ?”



ชายหนุ่มผมน้ำตาลเข้มยืนนิ่ง เสียงห้าวของคนในห้องขังลอดออกมาด้านนอก ฝ่ายตรงข้ามมองมายังตำแหน่งที่เขายืนอยู่ แต่ไม่นานก็หันกลับไปทอดสายตากับโต๊ะตรงหน้าเหมือนเดิมเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ เอ็มเดินเข้าไปใกล้อีก จนในที่สุดฝ่ามือขวาก็แตะกับกระจกบานยาว



“คุณมาทำอะไรที่นี่”



คราวนี้ไม่ใช่ของชายในห้องขัง เอ็มหันไปยังต้นเสียง แน่นอนว่าเขาไม่ได้คุ้นกับเสียงแหบต่ำนี้มากไปกว่ากลิ่นอายบางอย่างที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็เข้าใจผิด ทว่าเขาเองที่ผิดถนัด ตอนนี้มันยังจู่โจมตัวเขาไม่เลิกรา ทุกครั้งที่ใช้อากาศร่วมกับผู้ชายคนนี้ และในตอนที่คนที่บอกว่าตัวเองชื่อเชสเตอร์เดินเข้ามาใกล้โดยไม่รอคำตอบ



เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นสะท้อนกับแสงไฟเลือนรางขณะที่ดวงตาสีเขียวมองไปที่ชายในห้องขัง ก่อนร่างสูงใหญ่จะหันกลับมาประจันหน้ากับเอ็ม



“ถามจริงๆ เถอะ คุณมีเป้าหมายอะไรกันแน่” เชสเตอร์เอ่ยถามอีกครั้ง



ใบหน้าของผู้ชายคนนี้ทำให้เอ็มกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลายร่างในคืนพระจันทร์เต็มดวง เขาสบตากับเชสเตอร์ แล้วตอบ



“ไม่ใช่เรื่องที่คุณจำเป็นต้องรู้”



“จำเป็นแน่ ถ้าคุณรู้ในสิ่งที่ผมไม่รู้” เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดขณะเหลือบสายตาไปมองเอสโอไฟฟ์ หนึ่งในสองชายที่เขาพบโดยบังเอิญขณะไปตรวจสอบห้องเช่านั้นเมื่อวันก่อน “คุณกำลังสืบเรื่องของทีนา เฮซสัน”



เอ็มซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกง “คุณกับเขาอยู่ที่บ้านเลขที่ 114 ซึ่งผมก็อยู่ที่นั่นในวันและเวลาเดียวกัน”



พวกเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กันในห้องสอบปากคำ ถูกอย่างที่คนตรงหน้าบอก ในคราวแรกเอ็มตั้งใจจะสืบเรื่องนั้นด้วยตนเอง แต่ความบังเอิญที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวกลับทำให้สถานการณ์กลับตาลปัตรไปหมด และถึงเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังพูดต่อไปว่า “คุณไม่คิดว่าผมเป็นพวกเดียวกับเขาเหรอ ผมอาจเป็นคนที่ซินส์ส่งมาก็ได้”



“ผมไม่สนว่าคุณหรือนายจ้างคุณจะเป็นใคร” เสียงแหบต่ำขัด “แค่คุณมีประโยชน์ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะมองหาจากตัวคุณ”



“...”



ดวงตาสีฟ้าอมเทามองใบหน้าซีกหนึ่งซึ่งถูกเงาจากแสงสลัวบดบัง บางสิ่งบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวผู้ชายคนนี้ทำให้เอ็มขบริมฝีปากล่างเบาๆ อย่างชั่งใจ



ทะลุปรุโปร่ง



‘ผมอยากให้คุณไปกับผม’ แน่นอนว่าการเอาตัวไปพัวพันกับ ‘คนพวกนี้’ ไม่ใช่เรื่องที่พึงกระทำเลยสักนิด โดยเฉพาะตัวตนของผู้ชายคนนี้ที่ดูอันตรายกว่าสิ่งทั้งปวง



“คุณต้องการสิ่งเดียวกับผม แค่มองก็รู้” เชสเตอร์บอก



“หมายถึงต้องการจัดการกับกลุ่มอะไรนั่น หรือต้องการตัวคุณกัน” เอ็มยิ้มบางๆ



เจ้าหน้าที่หนุ่มชะงักสิ่งที่ตั้งใจจะพูดต่อจากประโยคก่อนหน้าของตัวเอง อยากจะยกคิ้วขึ้น แต่พอมองเข้าไปในนัยน์ตา สีอ่อนของอีกคนตรงหน้า เขาก็คิดว่าตัวเองเห็นอะไรในนั้น



“นั่นหมายความว่าเรารู้สึกถึงสิ่งเดียวกันหรือเปล่า” ท่าทีของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเปลี่ยนไป ร่างสูงใหญ่ในสูทสีดำขยับเข้ามาอีกก้าว



ใบหน้านักสืบหนุ่มเงยขึ้นเล็กน้อย เอ็มไม่เคยรู้ว่าระยะห่างห้านิ้วจะส่งผลให้อีกฝ่ายแตกต่างกับตัวเองมากขนาดนี้เมื่อได้อยู่ใกล้ เหมือนว่าเกรย์วูล์ฟขนน้ำตาลตัวใหญ่กำลังยืนอยู่ต่อหน้า เขามองปลายคางที่ถูกปกคลุมด้วยเคราบาง แล้วสบม่านตาสีเฮเซลที่จ้องมองลงมา



“ไม่ทราบว่าคุณหมายถึง?” เอ็มพูดเสียงเบากว่าปกติ เพราะระยะห่างอันใกล้ระหว่างคู่สนทนา



“ผมได้กลิ่นคุณนะ...ทั้งเมื่อวาน ที่ห้องสอบปากคำ...แล้วก็ตอนนี้ด้วย”



ภาพจินตนาการเมื่อคืนก่อนกลับเข้ามาในหัวเอ็ม ขณะอุณหภูมิร้อนๆ หนาวๆ แผ่วาบ กระจายทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว



“พูดด้วยเหตุผลไม่ได้คุณก็คิดจะใช้วิธีนี้เหรอ” เอ็มประท้วง เหมือนเขาเห็นรอยยิ้มหยันในสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองตัวเอง



“อย่างน้อยผมก็ไม่เคยพูดว่าผมต้องการตัวคุณ”



เอ็มเดาะลิ้น ‘ผมอยากให้คุณมากับผม’ อยากขีดเส้นใต้ประโยคนี้ไว้สักล้านรอบ “ขอโทษที่ผมใช้คำพูดผิดไปหน่อยแล้วกัน”



อาจเป็นเพราะเอ็มก็รู้ดีว่าสิ่งผิดปกติกำลังเกิดขึ้น เพียงแต่พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เชสเตอร์เห็นความประหม่าในแววตาอีกฝ่าย



กลิ่นอายบางอย่างกำลังวนอยู่รอบตัวพวกเขา ทั้งคู่สัมผัสมันได้



“สรุปว่า...คุณจะยังไม่สนใจข้อเสนอผมอยู่หรือเปล่า”



“...คำตอบเดิม เรื่องอะไรผมต้องไปเข้าพวกกับคุณ”



เชสเตอร์เลิกคิ้วให้คำตอบนั้น เขาก้าวเข้าไปใกล้คู่สนทนาก่อนมองใบหน้าที่เป็นสีชมพูอ่อน ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่าเขาอ่านความคิดนักสืบคนนี้ไม่ออกเลยสักนิด “อย่าถือตัวไป ต่อให้คุณปฏิเสธ ก็ใช่ว่าคุณจะกลับไปใช้ชีวิตปกติสุขได้ง่ายๆ เอ็ม”



เอ็มเสยกลุ่มผมหยักศกสีเข้มหลังฟังชื่อตัวเองที่ออกจากปากฝ่ายตรงข้าม “เพราะผมรู้อยู่แล้วต่างหาก”



ระยะห่างอันใกล้ทำให้เอ็มอึดอัด ท่าทีของผู้ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่เหมือนว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเอง เขามั่นใจว่าเชสเตอร์เข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังจงใจทำตัวเหมือนไม่รู้อะไร...เอาคืนงั้นเหรอ



พอชายหนุ่มมองหน้าคนตรงหน้าก็สรุปได้เลยว่าจริง ผู้ชายคนนี้กำลังเล่นตลกกับตน



นักสืบหนุ่มนึกเกลียดใบหน้าของคนที่ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ร้ายนี่ มันอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่คืบ ซึ่งใกล้ซะจนแทบใช้ลมหายใจเดียวกัน ดวงตาคมคู่นั้นมองเขาเหมือนจะกินเข้าไปทั้งตัว จึงตัดสินใจจะเลิกยียวน



“ที่ผมต้องการก็คือ…”



“เอาเป็นว่าถ้าคุณช่วยผม ผมก็จะช่วยในสิ่งที่คุณต้องการ” ชายหนุ่มสูทดำบอกความต้องการในที่สุด เขาไม่ได้แตะต้องตัวอีกฝ่าย จะมีก็แต่ลมหายใจร้อนที่เป่าแลกสัมผัสกัน ความใกล้ชิดทำให้กระและไรหนวดจางๆ บนผิวหน้าขาวฉายอยู่ในนัยน์ตาเขียววาวโรจน์ รวมทั้งริมฝีปากชมพูเข้มที่เดี๋ยวก็เม้มเดี๋ยวก็ขบของเจ้าตัว ปลายจมูกโด่งรั้นขยับเข้าไปใกล้ใบหูซึ่งถูกเส้นผมสีน้ำตาลเข้มปรกอยู่ครึ่งหนึ่ง เชสเตอร์ชะงักครู่หนึ่งด้วยกลิ่นกายและกลิ่นแชมพูที่ผสมผสานกัน แต่ก็กล่าวต่อด้วยเสียงราบเรียบปนแหบตามปกติ “ทุกอย่าง”



“คุณ...”



“ระวังตัวให้ดีเถอะ”



เอ็มอ้าปากค้าง เขากวาดลิ้นไปมาในโพรงปาก เพียงเสี้ยววินาทีที่ไม่ได้โต้ตอบ มนุษย์หมาป่าตรงหน้าก็ผละตัวออกห่าง แล้วเดินจากไปโดยไม่ลืมโบกมือให้โดยไม่ได้หันมามอง เขาไม่เคยถูกต้อนหรือตกเป็นรอง อย่างน้อยก็ตอนที่ทำงานนักสืบ



ดวงตาสีอ่อนมองตามแผ่นหลังกว้างในสูทดำที่หายไปในความมืดของทางเดิน ส่วนตัวเขายังอยู่ที่เดิม ภายใต้แสงไฟมัวๆ ตรงหน้าชายซึ่งนั่งนิ่งไม่รู้ความเป็นไปภายนอกห้อง เอ็มสบถกับตัวเอง พร้อมกับกอดแขนตัวเอว พยายามสงบความรู้สึกกำลังที่ปั่นป่วนไปทั้งร่างกาย หัวใจเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้



“แม่ง...”



ผู้ชายคนนั้นนำหน้าเขาไปไกลแล้ว





TBC




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2018 20:45:17 โดย kinookokei »

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 6
«ตอบ #7 เมื่อ03-08-2018 20:47:21 »

CHAPTER 6 – In the Car



“แน่ใจเหรอว่าได้รับอนุมัติแล้ว” สก๊อตว่าขณะเดินไปหยิบของที่โต๊ะตัวเอง ร่างสูงหกฟุตห้าของชายในสูทดำยืนอยู่ในแผนกไอทีของหน่วยวัลฮัลลาซึ่งกินพื้นที่เกือบทั้งหมดในชั้น หนึ่งในนั้นคือห้องกว้างที่ดูเหมือนเป็นแล็บทดลองอะไรสักอย่างของทีมพัฒนาเครื่องมือ เชสเตอร์ยืนล้วงกระเป๋าพิงผนังห้อง สักพักชายหนุ่มในเครื่องแบบคล้ายกันต่างแค่สีเชิ้ตด้านในก็เดินกลับมาพร้อมกับของในมือ ผมสีน้ำตาลแดงมีที่คาดผมคาดเสยไปด้านหลัง ชายคนนี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเชสเตอร์ สก๊อต เฟอร์เรอร์ คู่หูของเขาส่งกล่องหนังขนาดยาวให้ เมื่อเปิดออกก็เป็นด้ามปากกาหมึกซึมสีน้ำเงินวาว เชสเตอร์หมุนมันในมือ



“ปลอกมีไว้บิด” สก๊อตมองของในมือคู่หูตัวเอง “ไม่มีเสียง มีแค่สี”



“แน่ละ” เจ้าหน้าที่ภาคสนามยกยิ้มเล็กน้อย แล้วค่อยเก็บแค่ด้ามปากกาเข้ากระเป๋า “แค่นี้?”



“แค่นี้ก็ผลงานจากทีมพัฒนาแล้ว” ชายผมน้ำตาลแดงบอกโดยพยายามไม่สนใจเพื่อนร่วมทีมคนอื่นที่เดินผ่านมาพร้อมสายตาเหมือนโดนคำพูดเมื่อครู่กระทบไปด้วย ฝ่ายเชสเตอร์ก็ได้แต่ไหวไหล่ไม่ใส่ใจ “รถนายอยู่นั่น” สก๊อตว่าต่อ



เขาพาเชสเตอร์ลงไปชั้นล่างโดยลิฟต์ส่วนตัวของแผนกไอทีซึ่งเชื่อมตรงกับห้องอีกห้อง ชายหนุ่มกดรีโมตเล็กๆ ในมือที่พกมาด้วย เท่านั้นประตูเหล็กม้วนตรงหน้าเขาทั้งคู่ก็ยกตัวขึ้นเผยให้เห็นรถสปอร์ตสีขาวคันงามที่จอดตระหง่านอยู่กลางห้องโล่งขนาดใหญ่ ทั้งสองคนมองไปที่จุดเดียวกันคือโลโก้รูปหัวเสือจากัวร์ซึ่งทำมาจากโลหะอย่างดี ก่อนสก๊อตจะวางกุญแจรถในมือของหนุ่มสูทดำที่แบรออยู่แล้ว “เทสเองแล้วกัน”



“จะว่าอะไรไหม...” เชสเตอร์มองจากัวร์คันใหม่เอี่ยมของหลวงที่ผลัดมาเป็นของตนชั่วคราว “ถ้ามันจะกลับมาแบบมีรอยขีดข่วนนิดหน่อย”



“ถ้านายหมายถึงแค่กุญแจละก็” บอกตามตรง คนได้ตำแหน่งคู่หูซึ่งเห็นไส้เห็นพุงกันมาขนาดนี้อย่างเขาไม่ได้หวังอะไรเลย เมื่อมองรถหรูที่เอาเงินประกันชีวิตของตัวเองรวมกันสิบชาติก็คงซื้อไม่ได้เป็นครั้งสุดท้าย

 

เอ็มออกจากห้องพักก่อนจะมานั่งอยู่ในห้องรับรองสักแห่งภายในอาคารเดิม เขาได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง เพราะครึ่งหนึ่งของเวลานอนถูกเอามาใช้คิดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ไม่ว่าจะคดีของทีนา เฮซสัน หรือว่าเรื่องของ ‘ผู้ชายคนนั้น’



แต่จะว่าเป็นเรื่องดีก็ได้ ที่มันทำให้เขาไม่มีเวลาไปฝันถึงอะไร



เอ็มรู้สึกผิดที่ตัวเองคิดอย่างนั้น หากไม่นึกถึงก็เหมือนกับจำไม่ได้ เมื่อจำไม่ได้ ก็จะไม่มีภาพพวกนั้นติดอยู่ในสำนึกคิด ถือว่าเขาพลาดอย่างจังที่ปล่อยให้ตัวเองจมกับห้วงแห่งความคิดอีกครั้ง เขาสามารถบังคับตัวเองได้ แต่ไม่ใช่กับความหนาวลึกๆ ซึ่งพัดเข้ามาในใจ



เบื้องหน้านักสืบหนุ่มคือบ้านเลขที่ 114 ถนนสายเดียวกับแฟลตที่ตนอาศัยอยู่ ไม่มีร่างจมกองเลือดของผู้หญิงชื่อทีนา เฮซสันหน้าประตูสีดำ แต่เธอกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา ใครๆ ต่างรู้ว่าเธอเป็นโอเมกา หากดูจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้หญิงคนนี้คงไม่ผิดที่จะคิดว่าเธอฆ่าตัวตายจริงๆ แต่เอ็มไม่เคยเชื่ออย่างนั้น แล้วใครกันเล่าที่หมายเอาชีวิตเธอ



เอ็มจำเศษดินบนพรมที่เห็นวันนั้นได้ จากที่ตรวจสอบมาก่อน เขาพบว่าในวันเกิดเหตุตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่ายถนนสายนั้นถูกปกคลุมไปด้วยสายฝน เรื่องที่เอ็มมั่นใจที่สุดอย่างหนึ่งคือทีนา เฮซสันไม่ได้ก้าวออกจากบ้านเลยแม้แต่ก้าวเดียวในวันนั้น หากถามถึงเหตุผลคือหนึ่ง ไม่มีรองเท้าคู่ไหนมีร่องรอยของการย่ำโคลน สอง ร่มเพียงคันเดียวในห้องนั้นพังอยู่ สาม วันนั้นเป็นวันหยุดงานของเธอ และสี่ ตู้เย็นและชั้นวางในห้องครัวของยังมีวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารอยู่เต็มเปี่ยม เขาได้ความจากการสอบถามเจ้าของร้านของชำข้างๆ ว่าลูกค้าประจำของร้านได้เข้ามาอุดหนุนครั้งล่าสุดเมื่อสองวันก่อนวันเกิดเหตุ ซึ่งคนที่คิดจะจบชีวิตตัวเองในอีกไม่ช้าคงไม่มีความคิดที่จะเข้าร้านของชำก่อนเป็นแน่ นอกเสียจากเธอไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น ประกอบกับเหตุผลสามข้อแรกทำให้เอ็มไม่คิดสักนิดว่านี่คือการฆ่าตัวตาย



คนร้ายลอบเข้ามาในแฟลตเวลาฝนตก ประโยชน์อย่างหนึ่งของการเลือกลงมือเวลานี้คือสายฝนจะทำหน้าที่พรางตาไม่ให้คนนอกสังเกตถึงความผิดปกติได้เป็นอย่างดี คนร้ายเป็นผู้ชาย อย่างน้อยต้องเป็นผู้ชายตัวใหญ่ โดยดูจากระยะห่างของเศษดินบนพรมในแต่ละจุดซึ่งบ่งบอกขนาดก้าว แล้วยังต้องเป็นคนที่สามารถแสดงท่าทางมีอำนาจเหลือล้นพอจะสั่งให้ใครสักคนทำตามในสิ่งที่ไม่ปรารถนาได้ ชายคนนั้นรอกระทั่งฝนหยุด ไม่แปลกหากจะเกิดการต่อสู้ก่อนลงมือจริงบ้าง และร่องรอยเหล่านั้นก็สามารถกลืนไปกับสภาพเดิมของห้องได้อย่างไม่ต้องพยายามอำพราง แต่กรณีนี้เอ็มไม่ได้ใส่ใจไปมากกว่าเหตุผลที่ว่า ทำไมคนร้ายต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อนจึงจะเริ่มก่อเหตุ มันออกจะโจ่งแจ้งด้วยซ้ำในยามที่ทำความเข้าใจได้ นั่นเป็นเพราะคนร้ายต้องการพยานจำนวนมากที่สามารถพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โอเมกาหญิงที่อาศัยในบ้านเลขที่นี้ได้กระโดดจากหน้าต่างลงมาด้วยตัวเองจริงๆ แล้วก็ทำสำเร็จเสียด้วยเมื่อคดีนี้ถูกสรุปด้วยคำว่าฆ่าตัวตาย ส่วนตัวคนร้ายนั่น ป่านนี้คงอาศัยจังหวะชุลมุนเปิดตูดหนีไปถึงไหนแล้ว



ทั้งหมดคือข้อสันนิษฐานของเอ็ม



ในห้องรับรองขนาดใหญ่ไม่มีใครนอกจากตัวเขา ทว่านอกจากเขา...ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งอยู่ที่โซฟาตัวตรงข้าม ชายหนุ่มสามารถบังคับตัวเองให้ออกมาสถานการณ์ในหัวได้ แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นกับหญิงสาวตรงหน้า เป็นครั้งแรกที่ ‘เธอ’ ออกมาให้เขาเห็นเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้ ดวงตาสีฟ้าอมเทาของเอ็มจ้องมองใบหน้าไร้ความรู้สึกนั่น ก่อนที่ชายหนุ่มจะขบฟันและเบือนหน้าหนี ปล่อยให้บรรยากาศอ้างว้างโอบล้อมตัวเองจนกระทั่งได้ยินเสียงเอะอะแว่วมาจากด้านนอก เขาจึงสลัดภาพหลอนของตัวเองออกไปได้ แล้วลุกออกจากโซฟา เปิดประตูห้องออกไปโดยไม่สนใจภาพเบื้องหลังอีก

 

“เร็วกว่าที่คิดนี่”



“เทียบกับเวลาที่เหลือก็ไม่เร็วนักหรอก”



“ตัวก่อกวน?”



“คงทำนองนั้น”



ประโยคสนทนาระหว่างคนสองคนดำเนินไปพร้อมกับเสียงคีย์บอร์ดในห้องควบคุม ไม่ใช่เพียงมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่แสดงภาพจากกล้องวงจรปิดหลายตัวของสถานที่ใดสักแห่ง แต่ล้วนเป็นภาพเดียวกันในทุกๆ จอแล็ปท็อปของเจ้าหน้าที่ที่นั่งประจำตำแหน่งตัวเองโดยรอบห้อง ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์บัญชาการใจกลางวัลฮัลลา สก๊อต เฟอร์เรอร์นั่งอยู่ที่โต๊ะตรงกลางโดยมีเชสเตอร์ก้มตัวมองภาพเคลื่อนไหวบนจอกว้าง นั่นเพราะคู่หูเขามีตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมติดตามและประเมินสถานการณ์ บนจอแล็ปท็อปปรากฏภาพมุมสูงของระเบียงทางเดินขนาดห้าคนยืนหน้ากระดาน ก่อนภาพเดียวกันจะไปอยู่บนจอติดผนังขนาดใหญ่ตรงกลางห้อง สายตาของคนทั้งทีมติดตามจับจ้องอยู่ตำแหน่งเดียวกัน คือร่างของผู้ชายในแจ็กเกตหนังสีดำกับกระเป๋าถือขนาดใหญ่ในมือที่กำลังจะเดินพ้นเฟรมไป ท่ามกลางคนมวลชนพลุกพล่าน



“จะจัดการยังไง” ภาพหน้าตรงของชายคนหนึ่งขึ้นบนจอเล็กกว่าด้านข้าง โดยเทียบกับภาพซูมหน้าจากกล้องวงจรปิดเมื่อครู่ และอีกภาพคือภาพชายในชุดสีดำกับปืนไรเฟิลที่นั่งซุ่มอยู่บนดาดฟ้าของตึกสูง เห็นได้ชัดว่าคนในภาพทั้งสามคือบุคคลคนเดียวกัน



“สังเกตการณ์ไปเรื่อยๆ” เชสเตอร์ตอบ สก๊อตเห็นว่าคู่หูตัวเองหยิบแม็กกาซีนของปืน Sig Sauer ประจำกายขึ้นมาเช็กซองกระสุน



“นายจะไป?” เขาเอ่ยถาม



“แจ้งคอลลินส์ด้วย”



สก๊อตมีสีหน้าไม่แน่ใจในเรื่องนั้น แต่ฝ่ายสนับสนุนอย่างเขาไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของคนในภาคสนามได้จึงหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่คนอื่น เพียงเท่านั้นบรรยากาศในห้องควบคุมก็เปลี่ยนเป็นเร่งรีบขึ้นมาแม้จะไม่มีใครขยับออกจากที่เลยก็ตาม



เชสเตอร์ออกมาจากห้องควบคุม เดินทะลุหลายภาคส่วนของแผนกไอทีกลับมาสู่บริเวณระเบียงทางเดินริมสุดของชั้น ร่างสูงหยุดยืนอยู่หน้าแนวกระจกตรงข้ามกับประตูห้องห้องหนึ่งซึ่งปิดอยู่ ฝนกำลังจะตก นอกจากใบหน้าขอเขาเองที่สะท้อนในกระจกใสนั้น มันยังสะท้อนบานประตูด้านหลังที่เพิ่งถูกเปิดจากด้านใน ร่างผู้ชายอีกคนในแจ็กเกตสีดำต่างจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนซ้อนทับกับกลุ่มเมฆทะมึนที่ลอยตัวเหนือท้องฟ้าใจกลางลอนดอนนอกหน้าต่าง ซึ่งกลายเป็นบรรยากาศซึมเซาท่ามกลางห่าฝนขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา

 





เพียงเพราะคำว่า ‘ผมไปด้วย’ ของเอ็มทำให้ทั้งคู่มานั่งอยู่ในรถคันเดียวกันในตอนที่จากัวร์สีขาวเคลื่อนตัวออกจากอาคารสูงกลางลอนดอนไปสู่หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ระดับชาติ สำหรับเชสเตอร์ เขารอคำนี้มาหนึ่งคืน และเตรียมที่จะหาแผนสำรองหากอีกฝ่ายไม่ตอบรับข้อเสนอจริงๆ แต่เพราะการตอบรับอย่างกะทันหัน แท็บเล็ตซึ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคดีทั้งหมดที่เขาจัดทำเป็นรายงานขึ้นเองจึงตกอยู่ในมือของชายหนุ่มผมน้ำตาลเข้มในตอนนี้ เอ็มมองที่ปัดน้ำฝนที่เลื่อนไปมาบนกระจกหน้า ขณะที่เจ้าของรายงานเริ่มพูดขึ้น



“ระยะแรกการก่อเหตุเป็นไปแบบสะเปะสะปะ คนจำนวนหนึ่งพยายามสร้างความปั่นป่วนให้ลอนดอน ทั้งระเบิดควัน ปล้นธนาคาร จี้รถ ในตอนแรกเราไม่ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น กระทั่งเกิดเหตุพนักงานบริษัทขู่กระโดดตึกฆ่าตัวตาย สิ่งที่เขาทำคือการพูดชื่อของซินส์ออกมา พร้อมกับท่ายกสองมือขึ้นฟ้า เราช่วยเขาเอาไว้ได้ หลังจากนั้นความวุ่นวายทั้งหมดก็หยุดลง”



“ซึ่งความจริงแล้วมันคือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดต่างหาก” เอ็มเปรย “ผมเห็นแล้ว ในรายงานของคุณ”



เชสเตอร์เลี้ยวโค้งในอุโมงค์มืด ขับสวนกับรถจากอีกฝั่ง



“จากนั้นไม่นานนักเหตุการณ์ไม่สงบก็กลับมาอีกครั้ง เกิดเหตุกราดยิงเจ้าหน้าที่สก๊อตแลนด์ยาร์ด เป็นครั้งแรกที่มีผู้บาดเจ็บ เราจับมือปืนคนนั้นได้ พูดให้ถูกคือเขาไม่ได้หลบหนี ซ้ำยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่สิ่งที่เขาทำก่อนที่จะสมยอมคือท่ายกสองมือขึ้นฟ้า เราสังเกตจุดร่วมของสัญลักษณ์นั้นจึงนำตัวของพนักงานบริษัทที่ขู่จะโดดตึกมาสอบที่วัลฮัลลา เราแทบจะไม่ได้ความอะไรนอกจากการพร่ำแต่เรื่องโอเมกาเวิร์สของเขา แต่นั่นก็ช่วยทำให้เราเข้าใจเป้าหมายเบื้องต้นของคนกลุ่มนี้ได้ รวมทั้งผู้ก่อเหตุต่อๆ มาที่มีวิธีการก่อเหตุที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยทุกรายจะมีสัญลักษณ์เดียวกันเป็นจุดร่วม คือการชูสองมือขึ้นฟ้า”



“คุณตั้งข้อสังเกตว่า คนพวกนี้อาจเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ติดต่อกันด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งแทนการรวมกลุ่ม มีการแบ่งระดับ และมีวิธีก่อเหตุที่ชัดเจน จากครั้งแรกที่ก่อเหตุแบบสะเปะสะปะ แต่พอชื่อของซินส์หลุดออกมาจะเห็นได้ว่าความถี่ในการก่อเหตุลดลงกว่าเดิม จากคราวแรกที่การก่อเหตุอาจเป็นไปโดยพลการโดยคนระดับล่างในเครือข่าย หมายความว่าพวกคนระดับหัวหน้าไม่ได้พอใจกับผลลัพธ์นั้น ภายหลังจึงมีวิธีก่อเหตุที่ชัดเจนมากขึ้น แสดงถึงการพยายามรักษาอุดมการณ์ของตัวเองเอาไว้ ซึ่งนั่นคือการเดินตามรอยของซินส์ในอดีต” เอ็มเลื่อนสายตากลับมาที่หน้าจอแท็บเล็ตพร้อมกับปัดไปหน้าต่อไปด้วยนิ้วชี้ “สมกับเป็นหน่วยข่าวกรอง ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกคุณเพิ่มสักสองสามอย่าง”



“ว่ามาสิ ความคิดของนักสืบอย่างคุณ” เชสเตอร์เหยียบคันเร่งหนักขึ้นพลางเคาะนิ้วอยู่บนพวงมาลัย



“จากรายชื่อผู้บาดเจ็บของคุณ คุณจะเห็นว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์มีแต่พวกคนของรัฐ การเลือกสถานที่ก่อเหตุส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ใหญ่ๆ เกณฑ์คือที่ที่อยู่ในสายตาคนทั่วไปตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลกว่าคนที่ได้รับผลกระทบก็ควรจะเป็นคนทั่วไปนั่น แต่กลับไม่ นั่นก็เพราะเป้าหมายคือเจ้าหน้าที่รัฐอย่างพวกคุณต่างหาก นอกจากนั้นพวกมันยังได้ค่าตอบแทนจากความชุลมุนไปมากโข การที่ไม่โจมตีตรงๆ แต่กลับเลือกสถานที่แบบนั้นบอกถึงเป้าหมายที่แท้จริงว่าเป็นเพียงการเรียกร้องความสนใจจากพวกคุณนั่นเอง” เอ็มพูดเนิบนาบ “ไม่มีข้อเรียกร้อง แต่แสดงออกถึงการมีตัวตนอย่างมาก โดยเฉพาะชื่อท่าชูมือนั่น จากคราวแรกที่ไม่มีสัญลักษณ์บ่งบอกอะไร แต่พอเกิดท่าขึ้นมา พวกมันก็เลือกที่จะย้ำรอยหนักกว่าเดิมโดยใช้ท่านั้นเป็นสัญลักษณ์ต่อไปเพื่อบ่งบอกตัวตน ชื่อที่ไม่เคยเปิดเผยก็เช่นกัน พอหลุดออกมาครั้งหนึ่ง พวกมันก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาส จนสุดท้ายคือการส่งจดหมายขู่ภายใต้ชื่อนั้น ส่วนเรื่องการตั้งชื่อตามกลุ่มซินส์ในอดีต อย่างที่คุณเคยพูดเรื่องช่องว่างระหว่างอัลฟาโอเมกา คุณมาถูกทาง แต่ผมขอทำให้มันชัดเจนขึ้นก็เท่านั้น”



“อีกอย่าง ที่คุณพูดมาเมื่อครู่” เอ็มเอ่ยต่อ ไม่สนใจสายฝนที่กระหน่ำด้านนอกรถ เขากดความรู้สึกบางอย่างไว้ด้วยการเพ่งสมาธิกับเรื่องที่พูด “ผมเห็นด้วยเรื่องทฤษฎีเครือข่าย มันบอกเราได้อีกอย่างว่า ถึงจะเป็นระดับหัวหน้าของซินส์ก็มีมนุษยธรรมอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ความละเอียดอ่อนไร้สาระพวกนั้นทำให้เราจับทางสิ่งที่มันต้องการจะทำต่อไปได้ง่ายขึ้น เช่นตอนนี้ ผมคิดว่า...ว่าที่เอสโอซิกซ์ของคุณจะต้องรอจนกว่าเราจะถึงพิพิธภัณฑ์อย่างไม่ต้องสงสัย”



ตอบตกลงได้ไม่นานก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เจ้าหน้าที่หนุ่มหลุดยิ้มออกมาหลังฟังประโยคยาวเหยียด พร้อมการตั้งโค้ดเนมเป้าหมายให้เสร็จสรรพของเอ็มจบ “ขอบคุณสำหรับข้อสันนิษฐานเพิ่มเติม”



เอ็มผินหน้ามองหยดน้ำที่กระทบกับกระจกด้านข้างเป็นสายยาว แววสีเทากลับสู่ดวงตาสีฟ้าอ่อน เขาปิดหน้าจอแท็บเล็ต และตัดสินใจถามสิ่งที่ค้างใจอยู่ออกไป ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับเรื่องซินส์เมื่อครู่ “ทำไมวันนั้นคุณถึงไปที่แฟลต”



“ซินส์กำลังหาอะไรบางอย่างที่นั่น” เชสเตอร์ตอบเสียงราบเรียบ เขาเลือกจะบอกออกไปตามตรง “ทีนา เฮซสันเคยเป็นพวกเดียวกับมัน ไม่แน่ว่าผู้ว่าจ้างคุณก็อาจเป็นหนึ่งในซินส์ที่พยายามหาของสิ่งนั้นเหมือนกัน”



เอ็มหันกลับมาสบนัยน์ตาสีเขียวที่มองตัวเองชั่วขณะหนึ่ง



“พวกมันเคลื่อนไหวมากขึ้นหลังการตายของเธอ มากจนผิดสังเกต เหมือนกับว่าซินส์เองก็กำลังประสบกับหายนะบางอย่างเพราะการตายของเฮซสัน” เสียงทุ้มต่ำของอีกฝ่ายพูด จากนั้นเชสเตอร์ก็กลับไปให้ความสนใจกับท้องถนนที่เหมือนฝนจะซาลงแล้วแทน



เอ็มพยักหน้ากับตัวเองแล้วพิงศีรษะกับเบาะ ปล่อยให้ความเงียบ ความคิด และกลิ่นอายที่เขาเริ่มจะคุ้นเคยกับมันนั้นล่องลอยระหว่างตัวพวกเขาจนไปถึงที่หมายโดยไม่เอ่ยอะไรอีก

 





รถสปอร์ตสีขาวลดความเร็วก่อนเลียบจอดในพื้นที่ที่ใกล้กับสถาปัตยกรรมโอ่อ่าราวพระราชวัง เจ้าหน้าที่หนุ่มแตะหูฟังซึ่งทำหน้าที่วิทยุสื่อสาร ระยะทางเพียงสองไมล์ครึ่งทำให้ผืนฟ้ากลับมาปลอดโปร่งได้อย่างน่าประหลาด เอ็มกระชับแจ็กเกตสีดำที่ท่อนบนขณะก้าวลงจากรถ



“หมอนั่นยังอยู่”



เสียงของคู่หูอย่างสก๊อตรายงานผ่านวิทยุสื่อสาร ชายหนุ่มสูทดำเร่งเดินไปยังจุดหมาย โดยมีเอ็มตามอยู่ด้านหลัง ทั้งคู่มุ่งหน้าผ่านทางเดินที่ผู้คนสัญจรไปมา ไม่นานนักก็มาถึงหน้าประตูบานคู่สีอิฐที่มีชื่อติดสถานที่อยู่เหนือศีรษะ ก่อนจะรีบเข้าไปโดยไม่รีรอ เท่านั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงกระแสความปั่นป่วนในห้องโถงขนาดใหญ่ ภายใต้โคมไฟรูปร่างแปลกตาซึ่งส่องแสงสีทอง ผู้คนมากมายกำลังเดินชมการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์



“ขึ้นบันไดใหญ่ๆ ข้างหน้าแล้วเลี้ยวซ้าย”



คนในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้เยอะจนลายตา แต่ก็พอให้เดินสวนกันได้ตลอดโถงทางเดินอันกว้างขวาง เชสเตอร์และเอ็มขึ้นบันไดหินอ่อนซึ่งทำราวจับคล้ายรูปแบบของสถาปัตยกรรมกรีกไปสู่ชั้นสอง ระเบียงทางเดินสว่างไสวกว่าเดิมด้วยแสงสว่างจากช่องว่างบนกำแพงที่ทำหน้าที่เสมือนบานหน้าต่าง แสงอาทิตย์สะท้อนเข้ามากระทบกับเครื่องเงินเครื่องทองในตู้กระจกและบนโต๊ะที่จัดแสดงไว้ตลอดทางเดิน เชสเตอร์เดินไปตามทางที่อีกฟากของวิทยุสื่อสารบอก สิ่งจัดแสดงถัดจากงานโลหะก็เป็นงานไม้ เขาเข้าไปอีกห้องซึ่งนำทะลุไปยังระเบียงด้านหลัง เชสเตอร์ไม่ขึ้นบันไดวนไปอีกชั้น จุดหมายเขาคือข้างล่างนั่น เห็นได้ชัดเจนว่าชั้นล่างกลายเป็นส่วนของงานจิตรกรรม รองเท้าหนังก้าวลงบันไดหินอ่อนขนาดแคบกว่าตรงทางเข้า โถงเล็กๆ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวอังกฤษและชาวต่างชาติ หากหนึ่งในบรรดาผู้คนจากหลากหลายพื้นที่ที่มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ เสียงจากหูฟังเป็นเช่นเดียวกับที่ดวงตาสีเขียวกำลังมองไป



“เป็นผู้ชายวัยสี่สิบถึงสี่สิบห้า สูงราวหกฟุต สวมหมวกไหมพรมสีเทา แจ็กเกตหนังสีดำ ผมสีน้ำตาล ผิวขาว มีหนวดเครานิดหน่อย ใส่แว่นกรอบเหลี่ยมสีดำ สะพายกระเป๋าใบใหญ่สีเทาเข้ม นั่งอยู่หน้าภาพของ...”



“สิบนาฬิกา”



“ยืนยันเป้าหมาย สิบนาฬิกา”



เอ็มเข้าใจสถานการณ์ได้จากวิถีที่สายตาของคนด้านหน้าตัวเองมุ่งไป ผู้หญิงชาวตะวันออกเดินผ่านหน้าพวกเขา เอ็มได้เห็นร่างของผู้ชายในต่อมา ว่าที่เอสโอซิกซ์นั่งอยู่บนม้านั่งยาวหน้าภาพวาดภาพหนึ่ง สายตาไม่จับจ้องไปทางใด ในขณะที่คนโดยรอบให้ความสนใจกับภาพวาดของศิลปินชื่อดังทางด้านหลัง เจ้าหน้าที่หน่วยวัลฮัลลาอยู่ไม่ไกลจากผู้ชายคนนั้น และไม่ใกล้พอให้อีกฝ่ายไหวตัวได้ ประตูทางเข้าที่เชื่อมกับสถานีรถไฟใต้ดินถูกปิดลงในตอนเอสโอซิกซ์ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เชสเตอร์เริ่มเคลื่อนไหว



“เริ่มกันคนจากทั้งสองฝั่งเลย”



“รับทราบ”



เป้าหมายของเขาลุกออกจากที่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เชสเตอร์รีบรุดตาม ขณะที่เอ็มเองก็ก้าวตามอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้คลาดกันด้วยจำนวนคนในบริเวณส่วนจัดแสดงซึ่งเปลี่ยนมาเป็นส่วนของประติมากรรมหลังจากขึ้นบันไดอีกฝั่ง เรื่องดีจากกลุ่มคนพวกนั้นอย่างหนึ่งคือช่วยพรางตัวพวกเขาให้กลมกลืนไปได้เป็นอย่างดี เชสเตอร์เว้นระยะห่างราวแปดช่วงคนจากเป้าหมาย



“ปิดประตูหมดแล้ว เหลือแค่ประตูหน้า ส่วนเป้าหมาย มันกำลังมุ่งหน้าไปที่ประตูหลัง”



“งั้นก็จัดการรอเลย” เชสเตอร์ตอบ



เป็นจริงตามรายงานเมื่อสังเกตถึงจำนวนคนที่บางตาลงขณะทั้งคู่เดินตามเอสโอซิกซ์ซึ่งยังเดินปะปนฝูงชนพวกนั้นไปตามทาง กระเป๋าใบใหญ่ยังอยู่บนไหล่หมอนั่น แม้จะยังไม่รู้ถึงเป้าหมาย แต่เชสเตอร์จำเป็นต้องทำตามแผน รวมถึงแผนอันดับสามที่เพิ่งเข้ามาในหัว หลังมองไปยังทางเดินที่กำลังจะสิ้นสุดลงข้างหน้า



“สก๊อต”



“มีอะไร” เสียงจากวิทยุสื่อสารตอบกลับมา







TBC





ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 7
«ตอบ #8 เมื่อ03-08-2018 20:49:00 »

CHAPTER 7 – Chase



เขาค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้ตัวถึงความเปลี่ยนแปลงภายในนี้แล้ว สก๊อตเป็นคนประสานกับเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์และตำรวจประจำพื้นที่เพื่อเคลียร์คนด้านในและรอบอาคารให้เหลือน้อยที่สุด หลังจากนั้นจึงจัดการกับประตูห้องหับต่างๆ ภายในนี้ ลักษณะห้องที่เชื่อมกันหลายๆ ห้องเอื้อต่อแผนการใหม่ของเชสเตอร์ พวกเขายังอยู่ในส่วนของประติมากรรมและสถาปัตยกรรม และยังเข้ามาลึกกว่าเดิม ทว่าทั้งหมดไม่ใช่เพียงการนำทางของเอสโอซิกซ์ เชสเตอร์ส่งปืนกระบอกหนึ่งให้เอ็ม เมื่อในที่สุดทั้งคู่ก็เข้ามาที่ห้องขนาดใหญ่อีกห้องในส่วนท้ายของพิพิธภัณฑ์



“คุณคิดจะทำอะไร” เอ็มรับปืนพกมากระชับในอุ้งมือ ถึงมันจะไม่ถนัดมือเท่ากระบอกเก่าที่หายไปของตัวเองก็ตาม



“ระวัง” เชสเตอร์เอ่ยสั้นๆ ไม่ทันขาดคำ ประตูที่เพิ่งผ่านเข้ามาก็ปิดลง เอ็มหันขวับไปทางเจ้าหน้าที่หนุ่ม อีกฝ่ายค่อยๆ ก้าวไปบนพื้นไม้ปาร์เกต์ เอ็มเดาะลิ้น เขาจัดการบางอย่างกับปืนแล้วเดินตามไปเงียบเชียบ



ต่างจากส่วนอื่นที่จะเน้นความโล่งโปร่ง ในห้องนี้เต็มไปด้วยตู้กระจกซึ่งบรรจุหุ่นสวมเครื่องแต่งกายต่างยุคสมัย โดยมีผ้าลวดลายแปลกตาเป็นจุดเด่นอยู่ตรงกลาง หน้าต่างที่ควรจะให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามานั้นถูกปิดสนิทด้วยผ้าม่านสีทึบ ไฟสีส้มสลัวๆ บนพื้นยิ่งขับให้สิ่งจัดแสดงพวกนั้นดูพิศวงตามบรรยากาศ เชสเตอร์ประคองปืน Sig Sauer ของตัวเองอย่างระมัดระวัง เนื่องจากบรรดางานผ้าที่ทั้งในและนอกตู้กระจกจัดวางทั่วห้องและแสงมัวซัวเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น ปากกระบอกเบนไปทางขวาทันทีที่เขาเห็นเงาดำวูบวาบ หากไม่ใช่อย่างที่คิด มันเป็นแค่ผืนผ้าที่ไหวน้อยๆ เชสเตอร์ลอบมองด้านหลังที่มีคนอีกคนเดินเว้นระยะห่างอยู่ ก่อนจะหันกลับมาระวังด้านหน้าต่อ



ไม่ใช่เวลาที่ประสาทสัมผัสของเขาจะโดนอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานของตัวนักสืบคนนั้นสักหน่อย



เอ็มเห็นดวงตาฝ่ายตรงข้ามเพียงชั่วขณะเดียวก็รู้ว่าตัวเองกำลังตกมาอยู่ผิดสถานการณ์ไปนิด และผู้ชายคนนั้นก็คงกำลังรู้สึกแบบเดียวกัน เขาจึงรักษาน้ำใจอีกฝ่ายด้วยการเพ่งสมาธิกับกระบอกปืนที่ถืออยู่ข้างตัว นั่นทำให้เขาคิดเลยเถิดไปถึงหน้าที่การงานของผู้ชายข้างหน้าตัวเองเป็นครั้งแรก ผู้ชายคนนี้ปกติทำอะไร ต่อให้เขาจะเป็นนักสืบที่คุ้นชินกับเรื่องพวกนี้ แต่ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาก็หมกตัวอยู่แต่ในแฟลต การออกไปดูสถานที่เกิดเหตุนานๆ จะมีสักครั้ง ที่สำคัญ แม้บางครั้งงานของเขาจะเกี่ยวข้องกับการตายของคน แต่ยังไงก็ไม่ใช่การทำให้คนตายอยู่ดี



ไม่ว่าทางออกใดตอนนี้ล้วนถูกปิดหมดแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววเลยว่าเอสโอซิกซ์จะยังอยู่ในห้องนี้ เจ้าหน้าที่หนุ่มขมวดคิ้วขณะพยายามตั้งสติ เขาฉุกคิดขึ้นมาในชั่ววินาทีนั้น...



ผ้าจะไหวได้อย่างไรในเมื่อไม่มีช่องให้ลมผ่าน



แขนแกร่งของเกรย์วูล์ฟหนุ่มผลักตัวเอ็มจนเกือบล้มเพราะเสียการทรงตัว เสียงปืนดังลั่นโดยกระสุนขนาดเก้ามม. เฉียดร่างสูงใหญ่ไปเพียงไม่กี่นิ้ว ดวงตาคมย้ายไปยังวิถีที่กระสุนพุ่งมา ก่อนจะเห็นร่างของชายเป้าหมายชัดเจนอยู่หลังตู้กระจกข้างหน้า เขายิงโต้ในทันที แต่กระสุนที่เหมือนจะโดนแขนฝ่ายตรงข้ามกลับแฉลบเข้าไปที่ตู้กระจกอีกตู้ข้างกัน เศษแก้วร่วงกราวกับพื้น และแค่ชั่ววินาทีเดียวก็ไม่เหลือร่องรอยของเอสโอซิกซ์เมื่อครู่นี้อีก เชสเตอร์สบถในใจ เขากวาดสายตาผ่านผ้าตรงกลางห้องขณะดึงเอ็มที่กำลังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์มาอยู่ข้างหลังตนเอง ฝ่ายนักสืบหนุ่มกำปืนในมือแน่น



...ไม่มี แต่ยังอยู่ในนี้



แสดงว่ายังมีรอบสอง



คราวนี้เป็นกระสุนจากฝ่ายเชสเตอร์ทันทีที่เห็นเพียงเงารางเลือนของเป้าหมาย หากสิ่งที่ตอบกลับมาคือปืนกลมือ เชสเตอร์สบถอีกครั้ง เอ็มก้มตัวลง ผ้าที่เขาเห็นป้ายแนะนำในภายหลังว่าเป็นของเก่าจากอินเดียขาดวิ่นพร้อมกับที่ตู้กระจกอีกใบแตกกระจาย เสียงปืนดังอื้ออึงไปพร้อมกับเสียงแตกของกระจกนับไม่ถ้วน ทัศนวิสัยที่ยากต่อการมองเห็นทำให้เชสเตอร์จับทางเอสโอซิกซ์ไม่ได้ นอกจากรับรู้ถึงตำแหน่งของเสียงปืนซึ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ราวกับกำลังวิ่งวนรอบห้อง ในที่สุดแล้วแสงมัวๆ รอบตัวก็กลายเป็นสว่างจ้า เมื่อผ้าม่านสีเข้มที่เคยปิดหน้าต่างบานเดียวในห้องขาดออกจากกัน เชสเตอร์เห็นร่างทะมึนของเอสโอซิกซ์ยืนอยู่ตรงนั้น เขายิงโดนแขนของอีกฝ่าย ส่งผลให้เลือดสีแดงสาดกระเซ็นเป็นเงาสะท้อนแสงต่อหน้าคนทั้งสอง แต่นั่นไม่อาจหยุดสิ่งใดได้ หมอนั่นกระโดดออกจากหน้าต่างหลังรัวปืนจนกระจกทั้งกรอบกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระจายอยู่บนพื้น



“เวรเอ๊ย!”



เสียงฝีเท้าแทบจะดังไม่เว้นจังหวะ ร่างสูงของเจ้าหน้าที่ภาคสนามกระโดดตามออกไปทางหน้าต่างเดียวกัน ขอบคมๆ บาดแขนจนเสื้อสูทขาด อีกทั้งยังมีเลือดซึมอยู่ข้างใน ประตูห้องที่ล็อกอยู่ถูกเปิดออกจากข้างนอกโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภายสี่ถึงห้าคน เสียงเอะอะดังขึ้นเมื่อเชสเตอร์วิ่งหายไปจากหน้าต่างพร้อมกับตัวเป้าหมาย เจ้าหน้าที่ทั้งหมดนั้นจึงรีบวิ่งออกทางประตูเดิมที่เข้ามาพร้อมปืนในมือ เอ็มมองหน้าต่างที่เหลือเป็นซากอยู่ชั่วขณะก่อนตัดสินใจตามคนพวกนั้นไป



เชสเตอร์วิ่งไล่เอสโอซิกซ์ออกไปสู่ลานกว้างท้ายพิพิธภัณฑ์ซึ่งล้อมสระน้ำเตี้ยๆ อยู่ แม้ไม่เห็นร่างของอีกฝ่าย แต่หยดเลือดที่ทิ้งไว้บนพื้นสีเทาก็ทำให้รู้ว่าตนเองไม่ได้มาผิดทาง อีกฟากของลานคือประตูของอีกอาคารที่สามารถเดินเชื่อมไปได้ในยามปกติ แต่เวลานี้ประตูนั้นถูกปิดตายไปเรียบร้อยแล้ว เขาเห็นวัตถุบางอย่างวางอยู่ตรงหน้าสระ ก่อนจะเปลี่ยนซองกระสุนปืนระหว่างมองไปรอบๆ หมอนั่นอาจหลบอยู่หลังต้นไม้สักต้น เชสเตอร์รีบคิดหาความเป็นไปได้ ในเมื่อมันเป็นสถานที่ปิดแบบนี้คนทั้งคนจะหนีไปไหนรอด เช่นนั้นเขาจึงหันกลับไปด้านหลังตัวเอง เลื่อนสายตาไปยังประตูใหญ่ด้านหลังตนเอง เท่านั้นเสียงระเบิดก็ดังสนั่น น้ำจากสระกระจายไปรอบบริเวณบริเวณราวกับน้ำพุ เชสเตอร์หันขวับไปทันที ควันสีเทากำลังพวยพุ่งออกมา ในขณะเดียวกับที่ความสนใจถูกเบนไป เขาก็เห็นเงาหนึ่งแวบผ่านไปด้านข้าง เชสเตอร์ยิงกระสุนฝ่ากลุ่มควันที่เริ่มคลุ้งรอบบริเวณ ขายาวๆ สาวก้าวกลับไปทางประตูใหญ่นั้น อย่างที่คิด มันเปิดอ้าโดยเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าเป้าหมายของตัวเองวิ่งหนีไปไหนต่อไหนแล้ว



เอ็มหอบเหนื่อยเมื่อวิ่งมาถึงแยกของระเบียงทางเดินในพิพิธภัณฑ์ เจ้าหน้าที่ซึ่งเขาวิ่งตามมาแยกออกเป็นสองทาง นักสืบหนุ่มจึงตัดสินใจแยกกับคนทั้งสองฝ่ายออกไปที่ประตูทางเข้าอีกประตูหนึ่ง เท่าที่รู้ ประตูทางเข้าออกของพิพิธภัณฑ์มีทั้งหมดสี่แห่ง คือทางที่เชื่อมกับสถานีรถไฟตอนแรก ประตูใหญ่ข้างหน้า ประตูท้ายซึ่งใกล้กับห้องที่ปะทะกับเอสโอซิกซ์เมื่อครู่ และทางที่เขากำลังมุ่งไป เอ็มได้ยินเสียงฝีก้าวจากไกลๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร ยิ่งเขาวิ่ง ฝ่ายนั้นก็ยิ่งเร่งฝีเท้าราวกับว่ากำลังตามเขาอยู่ เมื่อไปถึงประตูที่ว่า เอ็มก็พบกับร่างของชายผู้เป็นเป้าหมายของเชสเตอร์ พร้อมกับร่างของเจ้าหน้าที่สองคนล้มกองอยู่บนพื้น



ร่างสูงโปร่งชะงักเมื่อชายคนนั้นจ่อปืนมาทางเขา ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง ใครบางคนก็หยุดอยู่อีกทางไม่ไกลจากการปะหน้ากันของคนทั้งสอง ชายหนุ่มในสูทสีดำเล็งปืนไปที่เอสโอซิกซ์พลางควบคุมลมหายใจให้สม่ำเสมอ ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งโถงอยู่ชั่วอึดใจเดียว ก่อนที่กลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกกลุ่มจะวิ่งมาสมทบแล้วตะโกนเสียงดังลั่น



“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”



เจ้าหน้าที่ภาคสนามของวัลฮัลลาเดาะลิ้น เขาเห็นฝ่ายที่เกือบเรียกได้ว่าโดนล้อมยกยิ้ม แล้วดึงหมวกไหมพรมของตัวเองทิ้ง เหล่าเจ้าหน้าที่มองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่ซ่อนไว้ในมือของผู้ก่อการร้ายคือรีโมตขนาดเล็ก



เสียงระเบิดกลบโสตประสาทเช่นเดียวกับที่สระน้ำดังก้องไปทั้งอาคาร กระสุนสี่นัดที่เจ้าหน้าที่ประจำพิพิธภัณฑ์ยิงออกไป สุดท้ายแล้วก็ฝังเข้ากับผนัง



เชสเตอร์พูดกับวิทยุสื่อสารอีกครั้งท่ามกลางความวุ่นวายจากหมอกสีเทาที่ตลบอบอวลไปทั้งบริเวณ “ขอตำแหน่งด้วย”



เอสโอซิกซ์ได้หายตัวไปกับควันอีกครั้ง





 

เขาทั้งคู่กลับมาอยู่ในรถจากัวร์ซึ่งตอนนี้กำลังแล่นด้วยความเร็วสูง มอนิเตอร์ขนาดเล็กบนคอนโซลบอกตำแหน่งเป็นวงกลมสีแดงกับสีน้ำเงินที่กำลังเคลื่อนที่รักษาระยะห่างบนถนนเส้นยาว อย่างเดียวที่เชสเตอร์ไม่พลาดคือกระสุนที่ฝังอยู่ในแขนของเป้าหมาย เจ้าหน้าที่หนุ่มขับไล่ตามทางที่เครื่องมือบอกพิกัดบอกด้วยความเร็วของรถหรือความร้อนรนที่สุมในใจ อะไรก็ตามแต่ ตามที่เห็นบนจอนั่น รถของเอสโอซิกซ์กำลังเคลื่อนที่มุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่ง



“แปลก” เอ็มเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบมานาน “พวกมันจะไม่เป้าหมายอื่นนอกจากเรียกร้องความสนใจเลยเหรอ ”



“คุณไม่รู้ผมคงจนปัญญา”



“หมอนั่นลงทุนขนาดนี้ไปเพื่ออะไร” ประโยคต่อมาของชายหนุ่มผมน้ำตาลเข้มคล้ายจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า



“หรือเพราะเราขัดเอาไว้ก่อน” เชสเตอร์พูด



“เป็นไปไม่ได้”



เกรย์วูล์ฟหนุ่มเหยียบคันเร่งหนักจนหน้าปัดความเร็วอยู่ในระดับที่น่ากลัว แต่ระยะของจุดสองจุดบนมอนิเตอร์นั่นก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิม การเล่นไปตามเกมจนถึงที่สุด อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่เชสเตอร์จะทำได้ในคราวนี้ อยากดีก็สะกดรอยตามไปถึงที่ไหนสักแห่งได้ อย่างแย่ก็โดนเล่นเพราะติดกับ แน่นอนว่ามันกำลังสร้างความหัวเสียให้เขาอย่างสาหัส



เอ็มยังถือปืนของเชสเตอร์ไว้ในมือขณะลูบปลายนิ้วไปตามด้ามปืนระหว่างใช้ความคิดด้วยความเผลอไผล



เป้าหมายของซินส์คืออะไรกันแน่ เหตุการณ์ทั้งหมดทำไปเพื่ออะไรกัน นั่นคือสิ่งที่เชสเตอร์และเอ็มกำลังคิดเหมือนกันในเวลานี้



เชสเตอร์สังเกตเห็นรถยนต์สีดำคันหนึ่งในเลนข้างๆ ที่แล่นมาใกล้จนผิดปกติ รถคันนั้นเร่งความเร็วมาจี้อยู่ท้ายรถเขาอย่างผิดสังเกต และทันทีที่เห็นจากกระจกมองหลังว่าคนขับรถคันนั้นยืนมือที่ถือกระบอกปืนอยู่ออกมาจากกระจกข้าง เชสเตอร์ก็เหยียบคันเร่ง หักพวงมาลัยไปอยู่ข้างหน้ารถคันนั้นทันที



เสียงปืนดังขึ้นสามนัดติดกัน เอ็มสะดุ้งโหยง สัมผัสได้ว่ากระสุนหนึ่งในสองนัดนั้นกระทบเข้ากับกระจกหลังของรถที่ตนนั่งอยู่ เขาเกาะเบาะแน่นเมื่อเชสเตอร์สบถและเร่งความเร็วรถอีกครั้ง



“เชสเตอร์ เกิดอะไรขึ้น” เชสเตอร์ได้ยินเสียงสก๊อตถามผ่านวิทยุสื่อสาร เจ้าหน้าที่หนุ่มกดหูฟังที่หูให้แน่นขึ้น



“ฉันก็ไม่รู้!”



พูดอย่างนั้นเขาก็เปิดหน้าต่างฝั่งตัวเองแล้วหยิบปืน ยื่นแขนออกไปยิงรถคันดำนั่นอยู่ดี กระสุนจากรถคันหลังตอบโต้มาไม่หยุด แต่ด้วยตัวรถที่กันกระสุนทั้งคันทำให้ลูกตะกั่วพวกนั้นไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ เชสเตอร์คิดหาวิธีจัดการกับตัวรังควานนี่ ตำแหน่งของจุดสองจุดบนเครื่องส่งสัญญาณกำลังเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ใครก็ตามที่อยู่ในรถสีดำนี่กำลังทำให้ความตั้งใจเขาพังไม่เป็นท่า



จากัวร์สีขาวผ่าไฟแดง เลี้ยวเข้าไปในซอยทางด้านขวา เสียงล้อเสียดกับพื้นถนนดังแทรกเสียงรถรอบข้างบีบแตรกันจ้าละหวั่น รถสีดำนั้นก็ตามเข้ามา เขาพยายามเร่งความเร็วเพื่อไปให้ไกลจากรถที่สัญจรเต็มท้องถนน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะรถคันหน้าที่ขับช้าเหมือนเต่าคลาน เชสเตอร์จึงปาดไปอยู่เลนฝั่งตรงข้าม แทบกวาดที่จอดจักรยานตรงกลางถนน และชนเข้ากับรถที่กำลังสวนมา เจ้าหน้าที่หนุ่มบังคับรถกลับมาเลนเดิมหลังแซงได้ และพุ่งตรงไปยังทางแยกข้างหน้า ไม่สนใจไฟจราจร แล้วเลี้ยวไปทางซ้ายทันที



ตัดขาดกับต่อก่อกวนได้ครู่หนึ่ง รถสีดำก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้โชคดีที่เขาหลุดมาในถนนโล่งๆ ได้ ทว่าสิ่งที่กำลังตามมาไม่ใช่เพียงรถสีดำคันเดียว เขาได้ยินเสียงไซเรนดังมาจากที่ไกลๆ ก่อนจะเห็นรถตำรวจไม่ต่ำกว่าสามคันกำลังไล่ตามมาทางเดียวกัน เท่านั้นเกรย์วูล์ฟหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจออกมา



“จัดการมันไปเลย” เชสเตอร์บอกสก๊อต



รถจากัวร์แล่นฉิวมาได้ระยะหนึ่งพอให้อีกคนที่ยังอยู่ในรถกลับมานั่งก้นติดเบาะได้ เอ็มกลืนน้ำลายพลางมองใบหน้าด้านข้างของคนขับรถคันนี้ เหมือนนักสืบหนุ่มจะเห็นออร่าความอันตรายที่คุกคามรอบตัวผู้ชายคนนี้มากขึ้นทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน เอ็มกำลังจะพูดบางอย่าง แต่เสียงทุ้มของอีกฝ่ายกลับขัดขึ้นมา



“สก๊อต?”



ไม่มีเสียงใดตอบรับ



ดวงตาสีเขียวมองกระจกมองหลัง เชสเตอร์ขมวดคิ้ว รถตำรวจคันหนึ่งกำลังแล่นตามเขามาด้วยความเร็ว แม้รถสีดำจะหายไปแล้ว เขาพยายามไม่สนใจในทีแรก ตั้งใจกลับรถเพื่อกลับไปสะกดรอยตามรถของเอสโอซิกซ์ใหม่ ทว่าขณะที่กำลังเลี้ยวตรงยูเทิร์นนั้น



“เวรเอ๊ย!” เชสเตอร์จับหัวเอ็มก้มลง กระสุนจากด้านนอกยิงเข้ามาในหน้าต่างที่ยังเปิดอยู่ รถจากัวร์หยุดอยู่กลางถนนชั่วขณะหนึ่งที่เขาหันขวับไปถนนฝั่งตรงข้าม เห็นชัดเจนว่ากระสุนนั้นมากจากรถตำรวจ



ชายที่อยู่ในรถไม่ได้แต่งกายเหมือนตำรวจสักนิด ซ้ำยังเล็งปืนมาที่รถเขาไม่หยุด เชสเตอร์เดาะลิ้น เขากระชากสารวิทยุสื่อสารออกจากหู เท้าขวาเหยียนฃบคันเร่งจนรถกระชากและแล่นไปข้างหน้าอย่างเร็ว พอกลับรถมาแล้วการจราจรก็กลายเป็นติดขัด เขาตัดสินใจปาดบรรดารถร่วมถนนคันอื่นจากเลนขวาสุดไปซ้ายสุด รถคันหนึ่งขนเข้าที่ด้านข้างอย่างจัง แต่ก็เป็นรถคันนั้นเองที่กระจังหน้าพังยับ เขาไม่ลดความเร็ว รถสีขาวพุ่งตรงไปยังประตูรั้วขนาดใหญ่ที่ปิดอยู่แน่นหนา



“คุณ!!!” เอ็มร้องลั่น มือขวาเขาจับเบาะที่เชสเตอร์นั่งพิงอยู่โดยอัตโนมัติ ผู้ชายคนนี้กำลังทำบ้าอะไร!



รถพวกเขาพุ่งเข้าชนรั้วตรงหน้าอย่างจัง เอ็มคิดว่าจะมีแรงอัดมหาศาลปะทะกับร่างตัวเอง รถคันนี้อาจจะเยินไปทั้งคัน ตบท้ายด้วยการระเบิด แต่ไม่ ประตูบ้านนั้นเปิดออก เขาเห็นบานประตูรั้วข้างหนึ่งกระเด็นไปอยู่ข้างทาง ขณะเชสเตอร์ยังประคองพวงมาลัยข้างหนึ่งด้วยท่าทางปกติ พวกเขาเข้ามาในเขตอุทยาน



ไม่กี่นาทีต่อมารถตำรวจก็ขับตามมาประกบได้ ในอุทยานนี้ไม่มีคนสักคน มีเพียงรถสองคันกำลังซิ่งแข่งกัน เชสเตอร์หักโค้งหลังต้นไม้ต้นสุดท้ายที่เรียงรายกันตามทาง ขับเสยขึ้นไปบนเนินหญ้า หันหัวรถกลับไปยังทางที่เลี้ยวมา พอรถฝ่ายตรงข้ามมาโผล่ตรงข้างหน้า เชสเตอร์ก็เปลี่ยนเกียร์ เหยียบคันเร่งสุดแรง รถจากัวร์วืดไปข้างหลัง เอ็มสบถออกมาอีกครั้ง เชสเตอร์ใช้มือซ้ายมือเดียวจับพวงมาลัย ส่วนมือขวาก็ยื่นออกไปยิงรถข้างหน้าไม่ยั้ง เจ้าหน้าที่หนุ่มเหลือบมองกระจกมองหลังอีกรอบ ใกล้จะสุดทาง เชสเตอร์หักพวงมาลัยด้วยมือเดียว ล้อส่งเสียงเอี๊ยดออกมาพร้อมกับรถที่เหวี่ยงตัวเลี้ยว ก่อนที่จะกลับไปพุ่งถอยหลังอย่างเก่า เชสเตอร์สบโอกาสที่รถตำรวจนั่นเลี้ยวตามมาด้วยความเร็วที่โค้งเดียวกัน รัวกระสุนเข้าไปที่ล้อของรถคันนั้น จนสุดท้าย รถตำรวจก็พลิกคว่ำและแน่นิ่งไป



เชสเตอร์เหยียบเบรก รถจากัวร์กลับมาจอดนิ่งห่ากจากคันที่พลิกคว่ำไม่ไกล คนในรถนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด เขาเอาหูฟังกลับมาใส่ไว้ ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่ดัง



“ตกลงว่านี่มันยังไง”



ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา กระจกรถด้านคนขับถูกปิดลง เชสเตอร์พ่นลมหายใจด้วยความหัวเสีย เขาหยิบซองกระสุนจากในตัวออกมาเปลี่ยนให้ปืนประจำกาย และตั้งท่าออกจากรถไปจัดการกับสถานการณ์ข้างนอก



“เดี๋ยว เชสเตอร์” เอ็มเรียกไว้ นิ้วชี้ไปตรงเครื่องส่งสัญญาณบนคอนโซลรถ



เกรย์วูล์ฟหนุ่มมองตามนิ้วคนข้างกาย จุดสองจุดที่เคยขึ้นอยู่บนมอนิเตอร์ ตอนนี้เหลือแค่จุดที่เป็นของรถคันนี้คันเดียว



“ผมว่าเราโดนกับดัก” นักสืบหนุ่มบอก



เชสเตอร์เงียบไป เขาตัดสินใจออกไปจัดการกับข้างนอกก่อน อย่างน้อยก็ต้องได้เรื่องบ้าง หากก่อนที่เชสเตอร์จะได้เปิดประตูรถออกไป ทั้งเอ็มและเชสเตอร์กลับรู้สึกถึงแรงปะทะบางอย่างที่กำลังขับเคลื่อนอย่างเชื่องช้า ทว่าตอนที่รู้สึกถึงมันจริงๆ ทุกอย่างกลับดับวูบไปก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเสียอีก



รถจากัวร์โดนระเบิดเข้าอย่างจัง







TBC





ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 3/8/18 Chapter 6-7 UPDATED
«ตอบ #9 เมื่อ04-08-2018 19:15:47 »

มาจิ้มให้กำลังก่อนค่ะ เดี๋ยวดึกๆคืนนี้มาอ่าน  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 3/8/18 Chapter 6-7 UPDATED
« ตอบ #9 เมื่อ: 04-08-2018 19:15:47 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 3/8/18 Chapter 6-7 UPDATED
«ตอบ #10 เมื่อ04-08-2018 22:54:11 »

เอ็มเป็นอะไรหรือมีเซ้นอะไรที่เกี่ยวกับการปวดหัวหรือเปล่า

ไหนจะความฝันที่มีเสียงกระซิบ "เด็กดี" อะไรนั่นอีก

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 3
«ตอบ #11 เมื่อ04-08-2018 23:11:22 »

สำหรับเรา เราว่าจัดโอเคอยู่นะ ก็อ่านได้อยู่ ไม่ปวดตาค่ะ
_________________________

สืบสวนสอบสวนมาเต็มจ้า บู้ระห่ำกันไป ปมภายในปม

ถ้าเป็นซีรี่ส์นะ โอ้โห มันมากแน่ๆค่ะ สนุกมากค่ะ ขอบคุณนะคะ

จัดไป 1 โหวตค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 6
«ตอบ #12 เมื่อ04-08-2018 23:48:01 »

เกิดอะไรขึ้น!!  :z3:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: CHAPTER 7
«ตอบ #13 เมื่อ05-08-2018 00:02:51 »

กรี๊ดดดดด  :o12:  :katai1: ทิ้งให้ค้างมากเด้อ กำลังสนุกเลย

เหมือนตัวเองไปอยู่กับเขาทั้งคู่

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 3/8/18 Chapter 6-7 UPDATED
«ตอบ #14 เมื่อ05-08-2018 21:40:49 »

ดันๆ กำลังสนุก

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 12/8/18 Chapter 8 UPDATED
«ตอบ #15 เมื่อ12-08-2018 14:17:58 »

CHAPTER 8 – Reason




เป็นอีกครั้งที่ความเย็นเยือกโอบล้อมเรือนร่างสูงโปร่งของชายผมน้ำตาลเข้ม



เท้าของเขายืนอยู่บนผืนน้ำสีดำซึ่งสะท้อนภาพร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเอง ความหนาวเย็นแทรกผ่านฝ่าเท้า เหมือนจะตรึงให้เจ้าของกายยืนเคว้งคว้างในความมืดอยู่อย่างนั้น ปลายนิ้วที่เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งแตะลงที่หน้าอกฝั่งซ้ายของตน อย่างน้อยหัวใจก็ยังเต้นอยู่ เป็นเวลาเดียวกับที่สีแดงรางๆ ส่องสว่างขึ้นบนจุดหนึ่งของผิวน้ำ พอเดินเข้าไปใกล้ เขาก็พบว่ามันเป็นเพียงแสงสะท้อนของวัตถุเล็กๆ สีแดง จะยื่นมือออกไปเก็บ แต่ความเย็นเยียบของมือใหญ่ราวแผ่นเหล็กกลับฉุดขาของเขาให้จมลงไปในน้ำ



เอ็มเม้มริมฝีปากที่สั่นระริกทันทีที่ดวงตาสีฟ้าอมเทาลืมขึ้น ขณะหัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดผวา แต่เมื่อพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ นักสืบหนุ่มก็พยายามปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ และเลื่อนสายตาไปรอบๆ อย่างใจเย็นที่สุด แม้เหงื่อจะท่วมตัวก็ตาม



เขานั่งอยู่บนเก้าอี้



ที่ถูกต้องควรเรียกว่า ถูกจัดให้นั่งอยู่บนเก้าอี้ เสียมากกว่า ทันทีที่สติสัมปชัญญะกลับมาได้มากพอ เอ็มก็ได้รู้ความจริงอีกข้อว่ามือและเท้าเขาถูกมัดไว้กับเก้าอี้นี่ด้วย สาเหตุที่ทำให้คิดว่าเป็นเก้าอี้ทั้งที่ไม่ได้ก้มมองเป็นเพราะแขนเขาเขาถูกไพล่ไว้กับพนักพิงของมัน สภาพเหมือนเมื่อหลายสิบชั่วโมงก่อนไม่มีผิด ซ้ำยังเป็นอีกครั้งที่ได้นั่งอยู่ในห้องมืดอย่างที่ไม่ได้ประสบกับมันมานานพอตัว เขาคิดทบทวนเหตุการณ์ซึ่งทำให้ตัวเองมาอยู่ในสภาพแบบนี้ เอ็มจำได้อย่างหนึ่งคือแรงดันและแรงกระแทกมหาศาลจากอะไรสักอย่าง เขาคงสลบไปตอนนั้นเพราะไม่รู้ว่าเรื่องราวต่อไปเป็นอย่างไร ความทรงจำสุดท้ายคือเสียงดังสนั่น จากนั้นภาพทุกอย่างก็ดับวูบ...รู้ตัวอีกที เอ็มก็มาอยู่ที่นี่แล้ว



รองเท้าหนังขยับสัมผัสกับพื้นคอนกรีต แม้บอกไม่ได้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน แต่ลักษณะห้องนั้นคล้ายกับเป็นชั้นใต้ดินภายในสิ่งปลูกสร้างสักแห่ง บนพื้นของห้องสี่เหลี่ยมโล่งมีเศษวัตถุหลายๆ อย่างกระจัดกระจายอยู่ ทั้งกระจก ท่อนเหล็ก และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ ผนังปูนเปลือยไม่มีร่องรอยของการทาสี ดวงตาสีอ่อนเห็นประตูบานเหล็กม้วนกั้นอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้า ด้านข้างของมันคือราวบันไดพาไปสู่ชั้นบนซึ่งเขามองไม่เห็นเพราะความมืด ด้านบนคงมีประตูอยู่อีกบาน ถึงได้ไม่มีแสงสว่างใดนอกจากโคมไฟรางๆ บนเพดานเช่นนี้



เอ็มลองขยับข้อมือตัวเองแต่ก็พบว่ามันถูกมัดด้วยเชือกไว้แน่นหนา ยิ่งออกแรงขืนก็ยิ่งเจ็บ ไม่ต่างอะไรกับที่ข้อเท้า อย่างน้อยใครก็ตามที่จับเขามาเป็นรอบที่สองในระยะสองวันนี้คงไม่คิดที่จะฆ่าเขาในทันที มีหลายทางเลือกที่เอ็มคิด ใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง ใช้เค้นข้อมูล แต่กับใคร และเรื่องอะไร คำถามนี้ยากยิ่งกว่าการคิดหาทางออกจากที่นี่เสียอีก



ท่าทางฝ่ายนั้นไม่อยากให้ความคิดเป้าหมายอย่างเขาเลื่อนลอยนานนัก เสียงกระทบกันของรองเท้ากับขั้นบันไดที่ทำจากแผ่นเหล็กดังขึ้น ดวงตาสีฟ้าอมเทาหรี่เล็กด้วยความแปลกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นร่างของคนคนนั้นเต็มตัว...ในเครื่องแต่งกายคุ้นตาคล้ายกับของใครบางคน ระยะเวลาสองสามวันที่ผ่านมาเอ็มไม่ได้ติดใจอะไรกับใครหรืออะไร นอกจากเรื่องคดีและเรื่อง ‘ผู้ชายคนนั้น’ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้างหรือสภาพแวดล้อมนอกเหนือจากนี้อีก แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นเจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลแดงที่ทึมลงตามแสงสว่างภายในห้องปรากฏตัวที่นี่ แม้ไม่เคยสนทนาด้วย แต่เอ็มก็จำได้ว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เชสเตอร์เรียกผ่านวิทยุสื่อสารว่า สก๊อต



ชายคนนี้เป็นคนหนุ่มอายุราวยี่สิบตอนปลาย ผมสีน้ำตาลแดงถูกปล่อยลงมาระหน้าผากไม่เหมือนกับคราวที่เขาเคยเห็นผ่านๆ เบลเซอร์สีช็อกโกแลตพอดีกับรูปร่างสมส่วน แต่มันกลับถูกถอดออกแล้วโยนไปอีกทางอย่างไม่ไยดี เช่นเดียวกับแขนเสื้อเชิ้ตที่ถูกม้วนขึ้นไปลวกๆ ชายคนเดิมมองดูเอ็ม ซึ่งเอ็มเห็นว่าข้างเอวฝ่ายตรงข้ามมีปืนพกกับมีดอยู่เล่มหนึ่งด้วย



“คงไม่ล่วงเกินคุณมากเกินไปนะ” สก๊อต เฟอร์เรอร์เอ่ย



“มากกว่านี้ผมคงคิดภาพไม่ออก” เอ็มตอบเสียงราบเรียบ เสียงของทั้งคู่ก้องในห้องสี่เหลี่ยม เขาไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “ขึ้นอยู่กับคุณอยู่แล้ว”



เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปรกบังการมองเห็น แต่ดวงตาทั้งคู่ยังจับจ้องโดยไม่ละสายตาจากร่างอีกฝ่าย สงบนิ่ง และแข็งกร้าวในเวลาเดียวกัน การที่เอ็มสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศที่ผู้ชายคนนี้แผ่ออกมา มันทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายที่แตกต่างกับคราวในห้องขังของวัลฮัลลา



“ที่จริงผมก็ไม่ถนัดภาคสนามนักหรอก” สก๊อตพูดขณะเริ่มเดินช้าๆ รอบเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ เอ็มวางสายตาไว้ที่จุดเดียวคือตรงหน้าซึ่งมีแสงสลัวจากโคมไฟเหนือศีรษะ เพราะเมื่อพอใจ ผู้ชายคนนี้ก็กลับมาย่อตัวอยู่ตรงหน้าเขา “คุณเป็นโอเมกา”



เอ็มฉุนกึกกับคำพูดที่ได้ยิน เขาเบื่อสถานการณ์และประโยคแบบนี้เต็มทน ราวกับว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา “คุณเป็นพวกซินส์”



“คำตอบเดียวกับของคุณ”



“แล้วยังไง ต้องการอะไร” เอ็มถามอย่างพยายามระงับอารมณ์ไว้ มือสองข้างที่ไพล่อยู่ด้านหลังขยับเสียดสีกับเชือกเหนียวๆ ในขณะเดียวกัน



“ดูคุณรีบร้อนจัง”



“ช่วยไม่ให้คุณโดนจับซะก่อนจะได้เปิดปากพูดไง”



“ส่วนคุณก็ตายเร็วกว่าเดิม”



“สรุปว่า...” เอ็มเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งอย่างหมดความอดทน “คุณต้องการอะไร”



อดีตหัวหน้าทีมติดตามและประเมินสถานการณ์ของวัลฮัลลาถูกใจนิดหน่อยที่ไม่เห็นวี่แววของความกลัวบนดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่าย ฝ่ามือสองข้างวางบนหน้าขาคนตรงหน้าตัวเอง นักสืบหนุ่มขมวดคิ้ว



“มันอยู่ที่ไหน” สก๊อตพูดด้วยน้ำเสียงผิดกับก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับสีหน้า



“นั่นคือสิ่งที่ซินส์กำลังตามหา?” เขาจำคำพูดของเชสเตอร์ได้ และเลือกที่จะตอบไปตามตรงเพื่อหยั่งเชิง “ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร”



“คุณหลอกเชสเตอร์ได้ แต่หลอกผมไม่ได้” ชายผมน้ำตาลแดงพูดเสียงแข็ง และหรี่ตาพิจารณาคู่สนทนา “คุณคงไม่อยากให้ผมพูดชื่อจริงของคุณ”



สายตาเอ็มเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “จะดีถ้าคุณบอกเป้าหมายของพวกคุณให้ผมรู้”



“นี่ไม่ใช่การต่อรองหรือเจรจาอย่างที่วัลฮัลลาชอบทำ”



“ผมก็ไม่เรียกที่วัลฮัลลาเคยทำว่าสองอย่างนั้นเหมือนกัน”



“คุณรู้อยู่เต็มอก อย่าเล่นลิ้นไปหน่อยเลย”



“สถานการณ์ตอนนี้มันทำให้ความคิดของผมเขวไปนิดหน่อย” เอ็มว่า เขามองคนที่ยังถือวิสาสะนั่งอยู่บนพื้นตรงหน้าตัวเอง แล้วยังวางมือสองข้างลงบนเข่าเขาด้วยสายตารังเกียจนิดหน่อย “ผมชักไม่แน่ใจว่าคุณเป็นพวกโอเมกาทวงสิทธิ์จริงๆ หรือเปล่า เพราะผมไม่รู้ว่าคุณเอาตัวผมมาเพื่ออะไร”



“ได้” สก๊อตบอกก่อนกลับมายืนเหมือนเดิม และหยิบกระดาษยับยู่ยี่ที่ด้านในเป็นรูปที่เขาเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า เอ็มเลียริมฝีปากล่างตอนที่เห็นตราโอเมกากับลายมือที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ซินส์ 200 ชั่วโมงก่อนการประณามบาป’ ขณะบรรยากาศเย็นเยือกแปลกๆ เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างตัวนักสืบหนุ่ม และเจ้าหน้าที่ทรยศซึ่งพูดประโยคต่อมาด้วยเสียงนิ่งสงบ



“ระเบิดอยู่ที่ไหน”





 

ไม่มีใครให้ความสนใจไฟหน้าที่กะพริบไม่หยุดจากรถที่อยู่ในสภาพตะแคงข้างพิงต้นไม้ใหญ่ข้างถนนที่กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ นอกจากกระจกรอบตัวรถที่เป็นรอยร้าวและเต็มไปด้วยเศษดิน รถสปอร์ตสีขาวก็ไม่มีร่องรอยความเสียหายอื่น เว้นแต่คนขับที่ยังติดอยู่บนเบาะตัวเองทั้งที่หมดสติ ด้วยล่วงเข้ามาในเขตอุทยานจึงไม่มีรถคันไหนผ่านมาในบริเวณนี้ นับจากเมื่อกลางวันก็เป็นเวลาหลายชั่วโมงทีเดียว กระทั่งรถสีเงินแล่นเข้ามาใกล้กับรถคันนั้น ชายวัยกลางคนในสูทสีน้ำเงินเข้มก้าวออกมา เครื่องส่งสัญญาณติดตามตัวในมือส่งเสียงเมื่อจุดสีแดงกับจุดสีน้ำเงินบนจอทาบทับกัน แล้วค่อยเงียบลง



อาเธอร์ คอลลินส์เคาะกระจกรถอยู่หลายครั้ง ในที่สุดคนในนั้นก็รู้สึกตัว เปลือกตาค่อยๆ ยกขึ้นให้เห็นดวงตาคมสีเขียวของเจ้าตัว ชายร่างใหญ่ครางในลำคอ นอกจากภาพเบื้องหน้าที่ไม่รู้ว่าไหนพื้นไหนฟ้าแล้ว ยังเห็นใบหน้ากับเรือนผมที่เป็นสีเงินเสียส่วนใหญ่ของคนคุ้นเคย นั่นทำให้เขาสบถไม่ออก อีกอย่าง คนที่เคยนั่งที่เบาะด้านข้างบัดนี้ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เชสเตอร์กัดฟัน



“สัญญาณนายขาดไป” คอลลินส์พูดหลังจากที่อีกฝ่ายออกมาจากรถได้ “เกิดอะไรขึ้น”



เจ้าหน้าที่หนุ่มขบฟันจนกรามเป็นสันขณะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เขาปลดกระดุมสูทออกและดึงเนกไทให้เลื่อนคลายความอึดอัด “เราโดนกับดัก เป้าหมายหนีไปได้ ส่วนเอ็ม...” เสียงต่ำแผ่วลงไป



ใช่ เอ็ม...



“ไม่ใช่ว่าหนีไปแล้วเหรอ” คอลลินส์ว่า



เชสเตอร์มองไปยังรถสีขาวที่ตะแคงอยู่ข้างทาง ไฟที่กะพริบอยู่กับไฟหน้ารถของหัวหน้าหน่วยวัลฮัลลาส่องแสงขมุกขมัวในกลางคืนที่มืดสนิท ความคิดในหัวเขายังไม่เข้าที่เข้าทางด้วยความรู้สึกเหมือนหัวตัวเองเพิ่งหมุนเคว้งไม่กี่นาทีก่อน แต่ที่รู้อย่างหนึ่งคือ ผู้ชายตรงหน้าในเวลานี้ไม่ใช่คนที่จะใช้คำพูดเดาสุ่มแบบนี้ แต่หากจะใช่ เหตุผลนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล หากเป็นตัวของเชสเตอร์เอง



เพราะปฏิเสธไม่ได้ ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้จักนักสืบคนนั้นมากไปกว่าแรงดึงดูดประหลาดที่ทำให้เกิดความรู้สึกสนใจในบางเวลาก็เท่านั้น



“เขาคงไม่หนี” ทว่าเชสเตอร์พูดในสิ่งตรงกันข้าม สิ่งนั้นกลับกลายเป็นสิ่งเดียวที่เขาเชื่อมั่นในเวลานี้ “คำพูดผมอาจจะเชื่อไม่ได้ แต่ว่าเอ็มไม่มีทางหนีไปไหน ซินส์ต้องเอาตัวเขาไปแน่”



“ทำไมซินส์ต้องเอาตัวนักสืบคนนั้นไป”



เชสเตอร์ตอบไม่ได้ เขาส่ายหน้าในตอนที่นึกถึงความรู้สึกเวลาอยู่ใกล้อีกฝ่าย และบอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น ผิดความคาดหมายของเชสเตอร์ที่คอลลินส์ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบ แต่กลับออกคำสั่งด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “ฉันพอรู้อะไรมาแล้ว ขึ้นรถ”



รถสีเงินแล่นออกจากเขตอุทยานสู่ถนนสายที่เชสเตอร์จำได้ว่าหากขับไปตามทางราวสามไมล์ ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ ก็จะพบกับสำนักงานของหน่วยสืบราชการลับ CSSL อันมีหน่วยปฏิบัติการย่อยชื่อว่าวัลฮัลลา เขาสองคนนั่งข้างกันบนเบาะหลังโดยมีคนขับรถส่วนตัวของคอลลินส์เป็นคนขับ ปลายทางไม่ผิดไปจากนั้น



“ฉันสงสัยว่าจะมีคนในเป็นสายให้พวกซินส์”



ดวงตาสีเขียวเบนขึ้นจากปืนประจำกายที่ถืออยู่บนตัก คอลลินส์อธิบายเรื่องที่ให้เลขาฯ แอบติดเครื่องส่งสัญญาณบนตัวเชสเตอร์เอาไว้ ซึ่งเมื่อกลางวันคอลลินส์ได้รับแจ้งจากทีมติดตามว่าสัญญาณจากชิปที่ฝังอยู่ในตัวเจ้าหน้าที่ภาคสนามทุกคนของเชสเตอร์ขาดหายไป นั่นหมายถึงชีวิต หากเมื่อดูจากเครื่องส่งสัญญาณของตนแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น เขาจึงออกมาคนเดียวเพื่อทดสอบสถานการณ์ กระทั่งพบเชสเตอร์กับรถเมื่อครู่



จริงอยู่ที่มันอาจเป็นเพียงความผิดพลาดเล็กน้อย แต่เมื่อทบทวนร่วมกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม้ไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรม ก็ดูเป็นข้อสันนิษฐานที่มีน้ำหนักประมาณหนึ่ง



“เอ็มบอกว่ามันเป็นกับดัก แต่ไม่ทันบอกมากกว่านั้น” เจ้าหน้าที่ภาคสนามพูด เชสเตอร์นึกไปถึงรถตำรวจและรถสีดำที่ขับไล่ล่าตัวเอง  ประโยคที่เอ็มพูดกับเขา “เอสโอซิกซ์อยู่ที่พิพิธภัณฑ์นั้นนานมาก แต่กลับไม่ลงมืออะไรสักอย่าง หมอนั่นต้องรู้ว่าเราจะเคลื่อนไหว อาจเพราะคาดคะเนจากที่แล้วๆ มา แล้วพอเป็นอย่างนั้นจริง เราก็เดินตามหมากที่มันวางไว้”



เขาขบคิดพลางหมุนกระบอกปืนในมือ ขณะเดียวกันก็นึกไปถึงปืนสำรองอีกกระบอกซึ่งตัวเองได้ให้ใครบางคนไว้



“ระหว่างที่ผมกำลังขับรถไล่ตามเอสโอซิกซ์ มีรถคันหนึ่งเข้ามาโจมตีเรา ทั้งที่ตอนนั้นระยะห่างระหว่างผมกับเอสโอซิกซ์ไกลนับไมล์ พอจัดการได้ ก็โดนรถอีกคันพุ่งชนจนลงเอยสภาพนี้...มันบังเอิญจนน่าสงสัยว่าพวกซินส์จะรู้ตำแหน่งของผมและเอ็ม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็หมายความว่าการเคลื่อนไหวของซินส์ครั้งนี้อาจเป็นตัวผมเองที่ถูกเพ่งเล็ง เพราะมันไม่ได้สร้างความเสียหายกับอะไร หรือเรียกร้องความสนใจเพื่อแสดงการมีตัวตนอย่างทุกครั้ง”



เจ้าหน้าที่หนุ่มไม่ได้สบตากับอีกคนในรถขณะพูด ความคิดหลายอย่างพรั่งพรูเข้ามาในหัวเขา สิ่งที่คอลลินส์พูด หากเป็นเรื่องความบังเอิญของตำแหน่ง ก็เป็นไปได้ว่าคนในจะเป็นสายจริง แต่ความเป็นไปได้มากกว่านั้นคือคนที่เคยนั่งเบาะข้างเขาเมื่อกลางวัน ถ้าเปลี่ยนจากซินส์รู้ตำแหน่งของเขา เป็น ‘ซินส์รู้ตำแหน่งของเอ็ม’ ยิ่งมีความเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะในเวลาที่หนึ่งในผู้ต้องสงสัยหายตัวไปแบบไร้ร่องรอยอย่างนี้



แต่ถ้าไม่ใช่



“มันมีโอกาสที่จะจัดการผมได้จริงๆ จังๆ แต่ก็ไม่ทำ กลับกลายเป็นว่าคือฝ่ายเอ็มที่หายตัวไป” เขาเสยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ตกลงมาปรกหน้าผากช้าๆ ให้กลับเข้าที่ ก่อนจะมองคนข้างกาย “บางที...เป้าหมายในครั้งนี้จริงๆ ของซินส์ อาจจะเป็นตัวเอ็ม”



“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ามีคนในหน่วยเราเป็นสายให้พวกซินส์จริงๆ” คอลลินส์สรุปสั้นๆ “หรืออีกทาง ซินส์แค่ต้องการคนสำคัญของฝั่งตัวเองคืน”



“คงไม่ใช่ ถูกไหม” คอลลินส์พูดอีกครั้ง



“ครับ” เชสเตอร์ตอบเบาๆ ใบหน้าของเจ้าหน้าที่ภาคสนามในเวลานี้บอกได้ชัดว่าจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว เขาผ่อนลมหายใจโดยไม่มีเสียง แล้วทอดสายตาออกไปบนถนนที่มีไฟสีส้มข้างทางส่องให้ความสว่างในความมืด พลันนึกขึ้นได้ ว่าอีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันปีใหม่ แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก มันเป็นเพียงความคิดไม่เข้าเรื่องที่บังเอิญโผล่เข้ามาในหัว



หัวหน้าหน่วยวัลฮัลลาเหลือบมองคนในตำแหน่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ชายวัยกลางคนคนนี้คือคนที่นำเชสเตอร์มาสู่เส้นทางที่เป็นอยู่ เขาเห็นเชสเตอร์มาตั้งแต่สมัยที่กลายเป็นเด็กกำพร้าเพราะครอบครัวเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้ คอลลินส์รับอุปการะเชสเตอร์ตั้งแต่อายุห้าขวบ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนดูแลเด็กคนนี้โดยตรง ภรรยาเขาทำหน้าที่ดูแลเชสเตอร์จนอายุได้สิบสามปีก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ หลังจากนั้นเชสเตอร์ก็ใช้ชีวิตตัวคนเดียวมาตลอด เนื่องจากภาระทางวัลฮัลลาที่ทำให้เขายุ่งจนไม่อาจหาเวลามาให้ความใส่ใจเด็กคนหนึ่งได้ กระทั่งครั้งหนึ่งที่เด็กนี่บังเอิญไปเห็นห้องเก็บอาวุธของเขา จึงเป็นครั้งแรกที่เชสเตอร์ได้เข้าสู่วงการนี้



คอลลินส์มีวิธีของตัวเองในการเลี้ยงดูเด็กสักคน ไม่ว่าวิธีนั้นจะเป็นอย่างไรในสายตาของเด็กคนนั้น เชสเตอร์เติบโตมาอย่างที่เป็น หรือถ้าไม่ใช่ เขาก็อาจขาดความละเอียดอ่อนเกินไป



ความเงียบก่อตัวและดำเนินมาจนถึงตึกสูงในทำเลที่ตั้งของสถานที่สำคัญหลายแห่งใจกลางเมือง ลอนดอนในคืนนี้เงียบสงบ ไร้ซึ่งความวุ่นวายดังปกติ หากเมื่อชายในสูทดำเดินเข้าไปยังอาณาเขตของตึกเป้าหมาย เชสเตอร์กลับเห็นแสงสะท้อนวิบวับของวัตถุบางอย่างบนดาดฟ้าของตึก CSSL เขากระชับสูท ก่อนจะใช้แขนกันอีกคนที่กำลังลงจากรถ



“คุณควรออกห่างจากที่นี่ก่อน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ย ความเยือกเย็นกลับมาในน้ำเสียงของชายหนุ่ม เขาเห็นว่าคนได้ตำแหน่งหัวหน้ากำลังจะตอบอะไรที่ขัดกับคำพูดเมื่อครู่ จึงพูดอีกครั้งว่า “ดูเครื่องมือของคุณแล้วก็ประสานกับสก๊อตแลนด์ยาร์ดไปเถอะครับ ผมไม่ตายง่ายๆ หรอก”



เชสเตอร์ใส่หูฟังวิทยุสื่อสารที่หูตัวเอง





 

ผู้ชายคนนี้พูดถึงระเบิด



“ผมบอกคุณชัดเจนขนาดนี้แล้ว ถึงเวลาบอกมาสักทีว่าระเบิดอยู่ที่ไหน” สก๊อตสั่งเสียงเย็น ชายหนุ่มนวดระหว่างคิ้วซึ่งมีผมสีน้ำตาลแดงปรกอยู่ด้วยท่าทีหมดความอดทน



“ผมไม่รู้” เอ็มตอบตามตรง เขาพยายามขยับมือซึ่งถูกมัดแน่น ตาสีฟ้าอมเทามองไปรอบห้องเท่าที่อยู่ในรัศมีสายตาจะมองได้ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมองจอโทรศัพท์ตัวเองชั่วครู่แล้วหันกลับมาด้วยสายตาไม่น่าวางใจกว่าเดิม



“โกหก!” สก๊อตตะคอก “มันอยู่ที่ไหน”



เอ็มเดาะลิ้นอย่างเริ่มรำคาญ “ไม่ใช่พวกคุณหรือไงที่จะเป็นฝ่ายวางน่ะ มาเค้นอะไรกับผม”



ปลายมีดคมจ่อที่คอเขา เอ็มเงียบเสียง



“ระเบิดอยู่ที่ไหน” อดีตเจ้าหน้าที่พูดช้าๆ เสียงสะท้อนก้องดังชัดเจนในห้องสลัวๆ นี้ คมมีดออกห่างจากลำคอขาวและเปลี่ยนไปอยู่ที่ต้นแขนเอ็มระหว่างที่คนถือมันค่อยๆ คุกเข่าลงอย่างทีแรก แต่คราวนี้เป็นด้านข้าง พอเอ็มเงียบก็กลายเป็นเสียงฉึกที่แทรกขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง ตามด้วยเสียงร้องของตัวเขาเอง



สก๊อตพ่นลมหายใจขณะดึงมีดออกจากแขนอีกฝ่าย เลือดสีแดงสดไหลจากใบมีดหยดลงพื้นเป็นดวง “ผมไม่สันทัดเรื่องการทรมานเท่าไร”



“คุณมัน...บ้าพลัง”



เอ็มคิดคำสบถเป็นร้อยเป็นพันคำในหัว ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามขืนเชือก ความรู้สึกเหมือนแขนกำลังจะขาดออกจากกันเต้นตุบอยู่ที่รอยแทงบนเนื้อ เขาสะดุ้งเมื่อสก๊อตใช้นิ้วลูบมันผ่านแจ็กเกตสีดำและเสื้อด้านในที่ทะลุเป็นรอยเดียวกัน ไม่มีเสียงเล็ดลอดจากลำคออีก เอ็มกัดปากล่างตัวเองจนกลิ่นคาวเลือดคลุ้งในโพรงปาก ลมหายใจนักสืบหนุ่มขาดเป็นห้วงๆ และไม่อาจปรับให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้



“เสียเลือดจนตาย ทนพิษบาดแผลไม่ไหว แขนกลับมาใช้ไม่ได้อีก หรือว่าจะรอดออกไปในสภาพนี้ ใช้ความฉลาดของคุณเลือกสิ นักสืบคนเก่ง” สก๊อตกระซิบที่ข้างหูเอ็ม



ลมหายใจร้อนๆ ปะทะใบหูที่น่าจะเย็นเฉียบเหมือนทั้งร่างกายเขาเวลานี้ ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ จากเอ็ม คมมีดจึงแตะเข้าที่เดิมเป็นครั้งที่สอง เอ็มร้องเสียงดัง มีดนั้นกดย้ำแผลและลากลงเหมือนจะกรีดให้เนื้อฉีกออกจากกันให้ได้



“ระเบิด...อยู่ที่ไหน”



ต่อให้เอ็มรู้ เขาก็ไม่อาจเค้นเสียงออกจากลำคอ สายตาพร่ามัวค้างที่จุดหนึ่งในห้อง เขากะพริบตาถี่ก่อนจะเห็นร่างของคนที่ตามหลอกหลอนตัวเองมาตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา เด่นชัดราวจับต้องได้และมีตัวตน ดวงตาไร้แววของร่างนั้นมองไปยังพื้นข้างหน้า ที่ตรงนั้นมีวัตถุแวววาวกระจัดกระจายอยู่ แต่เอ็มก็ไม่อาจทำอย่างไรได้เพราะความเจ็บที่แผ่ซ่านจนชาไปทั้งตัว ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วขณะ เอ็มกลืนน้ำลายตัวเองขณะชำเลืองไปยังสก๊อต อีกฝ่ายกำลังหมุนมีดในมือไปมาแล้วจ้องบาดแผลเขาราวกับว่ากำลังอดทนรอ ในตอนนั้นนักสืบหนุ่มก็กัดฟันแน่น ถือโอกาสดันตัวเองขึ้นแล้วฟาดเก้าอี้ที่ติดกับตัวใส่คนที่ยังนั่งคุกเข่าอย่างแรงจนอีกฝ่ายล้มกระแทกพื้น สก๊อตคำราม



“เอ็ม!”



เพราะขาเองก็ถูกมัดอยู่ เอ็มจึงถลาไปข้างหน้าก่อนจะล้มลงกับพื้นไปพร้อมเก้าอี้ที่ติดอยู่กับตัว เขาตะเกียกตะกายทุกวิถีทางเพื่อดันตัวเองไปข้างหน้า ขณะหันศีรษะกลับไปข้างหลังด้วย สายตาเลื่อนไปบรรจบกับสก๊อตที่ลุกขึ้นมาพร้อมใบหน้าแค้นเคือง เอ็มพยายามขยับหนี หากแผลฉกรรจ์ที่กระแทกกับพื้นในทุกขณะสร้างความเจ็บปวดจนใบหน้าซีดเผือด เลือดที่โชกไปทั้งแขนเปื้อนพื้นปูนเป็นรอยลากยาวสีแดงฉาน



“เป็นผมจะตัดสินใจอีกอย่างนะ” น้ำเสียงที่ไม่ได้บ่งบอกว่าล้อเล่นเคลื่อนเข้ามาใกล้ เอ็มพยายามยื่นมือที่ถูกมัดไปคว้าเอาเศษกระจกแตกบนพื้นไว้แน่นแม้มันจะทำให้ฝ่ามือเขาเป็นแผลบาดลึกก็ตาม สก๊อตเข้าตะครุบร่างสูงโปร่ง เก้าอี้ถูกจับให้กลับมาตั้งดังเดิม มือเปื้อนเลือดซึ่งเป็นเลือดของเขาเองลูบข้างขมับเอ็มเหมือนอยากให้เขาใจเย็นลง แต่สีหน้านั้นกลับทำให้นักสืบผมน้ำตาลเข้มสะอื้นอยู่ในลำคอ



“แค่บอก...ว่ามันอยู่ไหน” สก๊อตพูดเสียงเบา น้ำเสียงและท่าทางกระสับกระส่ายผิดกับที่พยายามให้เป็น เอ็มเห็นเลือดสดๆ ไหลจากขมับอีกฝ่าย เขาส่ายหน้าระรัว สก๊อตหัวเราะเบาๆ “เชสเตอร์คงไม่มีวันได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของคุณ”



“ผมไม่มีวันทำให้เขาเห็นหรอก!” เอ็มกระแทกหน้าผากตัวเองกับคนทรยศอย่างแรงจนฝ่ายตรงข้ามผละออกไปได้ชั่ววินาทีหนึ่ง แน่นอนว่าพร้อมเสียงตะโกนดังลั่น เชือกเส้นหนาร่วงลงพื้นหลังเขาคืนอิสระให้แขนสองข้างของตัวเองสำเร็จ เอ็มรีบทำอย่างเดียวกันที่ขาแล้วโยนชิ้นกระจกที่เพิ่งสร้างแผลเต็มมือและข้อมือตัวเองทิ้ง



มือโชกเลือดยกเก้าอี้ที่เคยนั่งทุ่มซ้ำลงไปบนตัวสก๊อตซึ่งทำท่าจะลุกขึ้นโดยไม่สนผลลัพธ์ว่าจะเป็นอย่างไร หมอนั่นบริภาษหยาบคายไม่หยุด ขณะที่เอ็มวิ่งขึ้นบันไดเหล็กแล้วหมุนลูกบิดขนาดใหญ่บนประตูที่อยู่สุดขั้นบันไดนั้น ไม่แยแสแผลใหญ่ที่สร้างความเจ็บปวดไปทั้งแขน หรือแผลบาดลึกตื้น แผลถลอกตามเนื้อตัวอื่นๆ พอประตูเปิดออกก็รีบแทรกร่างเข้าไปอีกฝั่งทันที เขาไม่หันกลับไปมองอะไรก็ตามในห้องนั้นอีก แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงลูกปืนกระทบประตูเหล็กดังสนั่นจนร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก



เบื้องหน้าเอ็มกลายเป็นทางที่มืดยิ่งกว่าเก่าในสถานที่ที่มีกลิ่นเหม็นเหมือนท่อน้ำทิ้ง ตาสีฟ้าอมเทาเหลือบเห็นบันไดอีกแห่ง จึงกระวีกระวาดวิ่งขึ้นไป เอ็มเปิดประตูอีกบานแล้วพบกับระเบียงทางเดินคุ้นตา มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั้งสองข้างคลำทางเดินด้วยความเคว้งคว้างในหัว ก่อนขาชายหนุ่มจะหยุดหน้าแนวกระจกใส เมื่อลองมองลงไป เอ็มก็พบกับแสงสว่างจากทัศนียภาพยามค่ำคืนของลอนดอนซึ่งบอกกับตัวเขาว่า...



เขาไม่ได้ไปไกลจากวัลฮัลลาเลยสักนิดเดียว







TBC






ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 12/8/18 Chapter 8 UPDATED
«ตอบ #16 เมื่อ13-08-2018 00:06:12 »

กรี๊ดดด  :katai1: อะไร ยังไง สรุปหนอนคือสก๊อตเหรอ

หรือว่ามีอีก โอ่ยลุ้นตอนรถโดนระเบิดแล้วยังมาลุ้นตอนนี้อีก

เชสเตอร์ต้องหาเอ็มให้เจอไวๆ นะ

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 13/8/18 Chapter 9 UPDATED
«ตอบ #17 เมื่อ13-08-2018 18:43:09 »

CHAPTER 9 – Gunshot



เครื่องสแกนบัตรส่งเสียงก่อนประตูบานเลื่อนจะเปิดให้เข้าไป ความผิดปกตินั้นเห็นได้ชัดตั้งแต่เชสเตอร์ก้าวเข้ามาในอาคารสูง ไฟที่เคยเปิดสว่างกระทั่งยามกลางวัน ตอนนี้มีแค่แสงจากภายนอกอาคารทำให้ยังมองเห็นทางอยู่บ้าง เขาจำแปลนของอาคารที่เข้ามาแทบทุกวันได้เป็นอย่างดี เชสเตอร์ผ่านความมืดขึ้นไปชั้นบน ส่วนของหน่วยงานจริงๆ จะเริ่มจากชั้นสองเท่านั้น ชายหนุ่มจึงเดินเลยซุ้มประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ซึ่งกินพื้นที่แทบทั้งโถงไปโดยง่ายดาย



ไม่ได้กลิ่นอายของใครบางคนเลย



ความจริงมันใช้บังหน้าพอเป็นพิธีก็เท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญอะไร เชสเตอร์ตั้งท่าเหยียบขึ้นไปบนบันไดด้านข้าง ทว่าต้องหยุดเสียก่อน



“ทางเดินกว้างขวางกับบันไดแคบๆ บอกทีสิว่าความสำคัญของพวกเราอยู่ที่ไหน” เสียงทุ้มใหญ่กล่าวขึ้น เขามองขึ้นไปด้านบน เห็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์สองคนยืนบังทางอยู่ตรงนั้น ในมือทั้งคู่คือไรเฟิลล่าสัตว์ และจากท่าทางถือที่ดูทะมัดทะแมง เขาไม่แปลกใจเลยถ้าคนคู่นี้จะคุ้นเคยกับมันอย่างที่สุด แต่ปืนนั่น เมื่อเจ้าหน้าที่หนุ่มนึกถึงภาพที่สามารถเห็นได้จากทางออกชั้นบันไดแล้ว ชัดเจนว่าทั้งคู่ไม่ได้มีเป้าหมายเป็นคนใช้บันไดเช่นเขาแต่อย่างใด หรืออาจด้วยความคิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาอยู่ด้านหลังอย่างนี้



“เสียงอะไร แกลงไปดูซิ” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ชายอีกคนจึงจับหมวกไหมพรมสีดำบนศีรษะให้เข้าที่ ก่อนประคองไรเฟิลขณะก้าวลงบันได



“หรือจะเป็นหมอนั่น...”



ถัดจากประโยคนั้นชายฉกรรจ์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หากเมื่อเหยียบลงไปสู่พื้นชั้นหนึ่งแล้วกลับต้องอ้าปากอีกครั้ง แต่เสียงก็ไม่ได้เล็ดลอดออกไปเพราะมือที่ปิดปากตัวเองไว้แน่น และอาจไม่ได้ส่งเสียงอีกเป็นพักใหญ่เมื่อชายฉกรรจ์ล้มลง หลังถูกของแข็งบางอย่างกระแทกเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง ร่างของชายผู้นั้นถูกลากไปพิงไว้กับผนังด้านข้าง ปืนไรเฟิลถูกหยิบขึ้นมา เช่นเดียวกับสิ่งของหลายอย่างในตัว



“หายไปนาน นึกว่าจะถูกใครจัดการไปแล้ว” ชายอีกคนที่ยืนรออยู่หน้าบันไดชั้นสองร้องทักตอนที่เห็นพรรคพวกตนกลับขึ้นบันไดมา บอกตามตรงว่าเขาค่อนข้างเห็นว่าเป็นเรื่องพิกลที่ชายในเสื้อกั๊กหนังกับหมวดไหมพรมปิดหน้าปิดตาไม่พูดไม่จาแม้จะถูกทักตามปกติ ซ้ำยังแผ่รังสีแปลกประหลาดชวนขนลุก ยังดีที่ไรเฟิลนั่นไม่ได้จ่อมาที่ตัวเขา มิฉะนั้นท่าทางแบบนี้คงคิดว่าแปรพักตร์ไปแล้วเรียบร้อย ชายฉกรรจ์ลูบเคราสาก พลางเอ่ยต่อว่า “แกนี่ประหลาด ตกลงว่าเจออะไรไหม”



“ลองลงไปดูสิ” ชายหมวกไหมพรมบอกเสียงต่ำ



ได้ยินอย่างนั้นก็เลิกคิ้ว ด้วยความสงสัยทำให้ชายคนนั้นเดินลงไปพร้อมกระชับไรเฟิล ใบหน้าเคลือบแคลงหันมาทางเพื่อนตัวเองซึ่งก้มตาก้มตาผิดสังเกตอยู่แวบหนึ่ง



“ไม่เห็นจะมีอะไร...” ไม่ทันสิ้นประโยคนั้นเขาก็ต้องสบถเสียงดังเมื่อจู่ๆ ชายผู้เป็นพวกเดียวกันก็ใช้ไรเฟิลในมือหวดเข้าที่หลังตัวเองจนหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด



“แกเป็นใคร!” ประโยคนั้นออกมาเป็นเสียงอู้อี้ด้วยมือในถุงมือหนังที่อุดปากเอาไว้ เมื่อหมวกไหมพรมเลื่อนหลุดจากศีรษะ จึงได้เห็นกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนกับดวงตาสีเขียวของคนที่ไม่ใช่พวกตัวเองอย่างที่คิด



ชายฉกรรจ์ขืนสู้ แต่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนก็เป็นฝ่ายจัดการข้อมืออีกฝ่ายให้ไรเฟิลล่าสัตว์หลุดออกจากมือ เช่นเดียวกับข้อพับขาที่อ่อนกำลังหลังถูกบิดแขนยันให้หมอบอยู่กับพื้น และร้องไม่ออกด้วยฝ่ามือซึ่งลงน้ำหนักกระแทกขมับทั้งสองข้าง ชายคนนั้นสิ้นแรงล้มลงในที่สุด เชสเตอร์โยนถุงมือกับเสื้อกั๊กไว้ข้างร่างที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เขาหยิบเอากระสุนปืนจากกระเป๋าคาดเอวอีกฝ่าย พร้อมถือไรเฟิลนั้นไปกับตัวด้วย



โถงชั้นสองมีลักษณะแตกต่างจากชั้นหนึ่งอย่างชัดเจนคือเป็นโถงเพดานสูง มีบันไดเลื่อนไหลเชื่อมไปสู่ทุกชั้นซึ่งสามารถเห็นตึกส่วนหน้าได้ทั้งหมดจากโถงใหญ่นี้ ทางเดินแยกไปสู่พื้นที่ของหน่วยงานต่างๆ รวมถึงระเบียงมากมายอันเชื่อมไปถึงคลังสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากสำนักงาน รูปแบบของสิ่งปลูกสร้างกลางเมืองนี้อาจดูเข้าใจยาก แต่ก็ทำความเข้าใจง่ายว่าห้องไหนเป็นห้องไหน มากกว่าจริงๆ แล้ว ห้องไหนเก็บซ่อนอะไรเอาไว้บ้างอยู่พอตัว



เขารู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เห็นตึกใหญ่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า ตึกนี่มีที่ให้ปากกระบอกไรเฟิลยื่นออกมาเยอะจนนับไม่ถ้วน เมื่อเขาถูกห้อมล้อมด้วยพื้นที่สูงกว่าเมื่อใด ย่อมโดนเป่าก่อนจะรู้ตัวเสียอีกว่าตัวกำลังเป็นเป้านิ่งดีๆ นี่เอง เชสเตอร์ยังหยุดอยู่ที่เก่า ดวงตาคมเหมือนหมาป่ากวาดมองเบื้องหน้าเพียงครั้งเดียว เขาไม่มั่นใจตำแหน่งของเป้าหมาย แต่ค่อนข้างมั่นใจจากแสงสะท้อนแวบหนึ่งว่ามีใครอยู่บนชั้นสาม ทว่าทั้งหมดทั้งปวง จะทำอย่างไรให้เขาสามารถจัดการกับฝ่ายตรงข้ามก่อนที่ฝ่ายนั้นจะจับการเคลื่อนไหวของตัวเองได้

 





เงาคนคนเดียวทอดบนระเบียงทางเดิน เอ็มทรุดตัวลงกับพื้น มือขวาจิกแขนข้างซ้ายส่วนที่ไม่บาดเจ็บของตัวเองแล้วสูดหายใจเข้าอย่างอ่อนระโหย เขาหันกลับไปทางทางเดินฝั่งที่เดินจากมาก่อนจะหลับตา ซบศีรษะกับเข่าสองข้างเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมา



นอกจากบาดแผลที่เห็นได้จากภายนอกแล้ว เอ็มยังปวดหัวอย่างรุนแรง ประสาทสัมผัสเขาแทบรับอะไรอื่นไม่ได้นอกจากอาการเจ็บปวดอย่างที่พร้อมจะวูบไปได้ทุกเมื่อ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหลังจากวูบไปแล้ว เขาจะยังได้ตื่นขึ้นมาอีกหรือเปล่า



เอ็มได้ยินเสียงรองเท้าลากกับพื้นตรงหน้า ดวงตาสีอ่อนจึงเปิดขึ้นมอง ริมฝีปากซีดเผยอขึ้นน้อยๆ ทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา



ผู้หญิงผมสีน้ำตาลประบ่า ใบหน้ายังสาวไม่ได้ดูโทรมอย่างคนสภาพชีวิตไม่ดีเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังสวย ผิดกับที่ได้ชื่อว่า ‘คนตาย’



เอ็มไม่รู้ว่าภาพหลอนของเธอเริ่มมาปรากฏต่อหน้าเมื่อไร หรือเป็นเพราะเขายอมปล่อยให้เธอเข้ามาในความรู้สึกจนเกินควบคุม ในเวลานี้ตัวตนของทีนา เฮซสันถึงได้ชัดเจน แจ่มแจ้ง เว้นแต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่สัมผัสมันได้ ซ้ำสายตาคู่นั้นยังทอดมองลงมาด้วยความเห็นใจอย่างที่เขาไม่เคยต้องการ



เอ็มขบริมฝีปาก เขายันตัวยืนขึ้นพลางเสยกลุ่มผมที่ปรกหน้าปรกตา อาการวิงเวียนทำให้เผลอใช้มือจับกำแพงเอาไว้ เพราะอย่างนั้นผนังสีขาวจึงติดรอยเลือดไปด้วย ร่างสูงโปร่งตั้งใจจะเดินต่อไปในทางมืดสลัว ทั้งยังมีอีกฝ่ายตามมาอยู่เงียบๆ เอ็มพยายามไม่สนใจ แม้จะรู้สึกไม่ปลอดภัย พลันขาสองข้างต้องหยุดลงอีกรอบ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าในรองเท้าผ้าใบของคนสองคน คนหนึ่งคือชายร่างใหญ่ที่มีส่วนสูงไม่ต่ำกว่าหกฟุต กับอีกคนคือชายตัวเล็กร่างท้วมซึ่งมีจังหวะการก้าวที่เร็วและสั้นกว่า โดยทั้งคู่เหมือนกันตรงที่ลงเท้าหนักจนเกิดเป็นเสียงดังให้เขาได้ยิน อาจด้วยอาการรีบเร่ง เสียงสนทนาเริ่มแว่วให้ได้ยินเมื่อทั้งคู่เข้าใกล้จุดที่เอ็มอยู่มากขึ้น เช่นเดียวกับเสียงฝีเท้าที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม



หวังว่านี่จะไม่ใช่ภาพหลอนอีก



นักสืบหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัว ไม่มีที่ใดใช้ซ่อนตัวได้ทันท่วงทีนอกจากประตูห้องข้างๆ ที่ไม่รู้ว่าร่างนั้นมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ผนังสีขาวหน้าห้องยังเห็นรอยเลือดที่ตนเผลอสร้างไว้เด่นชัด ต่อให้ไม่ชอบใจ แต่ก็จำต้องเข้าไป โชคดีที่ประตูห้องไม่ได้ล็อก เขาตัดสินใจเข้าไปด้านในและปิดประตูไม่ให้มีเสียง ด้านในนั้นเกือบจะเป็นความมืดโดยสมบูรณ์ มันคือห้องขนาดเล็กสำหรับเก็บเอกสารที่เหมือนจะไม่มีใครเข้ามาใช้งานนานตามสภาพระเกะระกะของชั้นเอกสารมากมายและกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น เอ็มจามเพราะฝุ่นที่คลุ้งในอากาศ เขาเข้าไปหลบในซอกหลังชั้นใส่แฟ้มกับกล่องสีน้ำตาลฝุ่นจับหนาบริเวณหลังห้อง ในจังหวะเดียวกัน ความเงียบสงัดที่กำลังล้อมรอบตัวอยู่ก็ทำให้ได้ยินเสียงแหบห้าวจากบทสนทนาของคนสองคน



“ไอ้หนูเฟอร์เรอร์ว่ามีหนูหลุดออกมาตัวหนึ่ง รีบจับให้ได้ซะก่อนจะโดนบึ้มไปด้วย”



“เราเป็นเบ๊มันตั้งแต่เมื่อไรกัน” เขาได้ยินเสียงสบถ “แต่ก็ดีกว่างอมืองอเท้าอยู่กับพวกดีแต่ปากอย่างแคปลิน”



จู่ๆ บทสนทนาก็ชะงักลง เอ็มเม้มปาก เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อเสียงลูกบิดดังแกรกจากหน้าห้อง เขาถอยตัวเข้าไปลึกกว่าเดิม มองช่องว่างระหว่างชั้นออกไปเห็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คนหนึ่งกับผู้ชายร่างเตี้ยซึ่งเพิ่งเปิดประตูเข้ามา



“ท่าทางเราจะเจอเจ้าหนูตัวเป้งก่อนใคร” น้ำเสียงตื่นเต้นระคนขบขันของชายคนที่สองทำให้ถูกชายคนแรกถองศอกเข้าใส่ เสียงที่เอ็มจำได้ว่าเป็นของคนที่พูดชื่อ ‘แคปลิน’ ออกมาเอ่ยต่อว่า



“อย่าคิดว่าพวกฉันโง่นัก ออกมาด้วยตัวเองถ้าไม่อยากเจ็บตัว”



อย่างน้อยความมืดก็ไม่ได้เป็นภัยแต่เพียงอย่างเดียว เอ็มไม่เห็นว่าชายสองคนนั้นมีอาวุธอะไรหรือเปล่า แต่เห็นว่าชายร่างเตี้ยสาละวนอยู่แค่บริเวณหน้าห้องเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ ผลต่อมาคือการที่ชายอีกคนเดินเข้ามามากกว่าเดิม เสียงก้าวเท้าสวบสาบดังทุกครั้งเมื่อเหยียบหรือข้ามกระดาษที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้นห้อง เอ็มได้ยินเสียงพ่นลมหายใจหนักๆ ก่อนชายคนเดิมจะตะเบ็งเสียงดังก้อง “ฉันมีเวลาหาแกทั้งคืนเลย ไม่ต้องห่วง!”



โกหก ผู้ชายคนนี้เร่งจังหวะเร็วขึ้นในทุกก้าว น้ำเสียงก็ปิดความร้อนรนไม่อยู่ อีกอย่างคือคำพูดของผู้ชายคนเตี้ยนั่น ระเบิด หมายถึงเรื่องเดียวกันกับที่สก๊อตพูดหรือเปล่า



เอ็มกลั้นหายใจเมื่อเห็นร่างของชายคนนั้นอยู่ห่างจากที่ที่ตัวเองซ่อนอยู่ไม่ถึงห้าฟุต เงาของแฟ้มเอกสารบนชั้นช่วยบังกายเขา ทว่ามันกลับไม่ได้ช่วยให้ความประหวั่นในใจลดน้อยลงเลย เสียงกระดาษเสียดสีกับพื้นตอนที่เอ็มก้าวเท้าถอยลึกเข้าไปในซอกอีก จนในที่สุดแผ่นหลังก็ติดกับกำแพงห้อง



“ประตูไม่ได้ล็อกแบบนี้มันคงเผ่นแน่บไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” ชายร่างเตี้ยที่ยังยืนอยู่หน้าห้องบอก ก่อนจะเดินเข้ามาอยู่ในจุดเดียวกับพรรคพวกของตัวเองและสอดส่องสายตาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบอะไร



“มันบาดเจ็บอยู่” ชายตัวสูงพูด “ฉันย้อนไปดูทางเดิน ผนังมีแต่รอยเลือดเต็มไปหมด”



“มันอาจจงใจหลอกเราก็ได้” อีกคนแย้ง “ถ้ามันบาดเจ็บก็ต้องพยายามไม่ทิ้งร่องรอยไว้อยู่แล้ว แต่ระหว่างทางมีรอยชัดซะขนาดนี้ มันคงไม่ซุ่มซ่ามเผลอทำเอาไว้”



เอ็มหลับตาลง เขาซุ่มซ่ามแบบนั้นแหละ



“ยังไงก็หาให้ทั่วก่อนเถอะ ฟังอยู่ใช่ไหมเจ้าหนู!” ชายตัวสูงตะโกน “ไม่ต้องห่วง อีกสักพักแกได้ออกมาแน่ แกคงเจ็บแผลสิท่า รออยู่นิ่งๆ เถอะ รับรองฉันจะไม่ทำให้เจ็บตัวเพิ่ม”



เอ็มสบถในใจ เสียงสวบสาบกำลังใกล้เข้ามาอีก ผู้ชายตัวใหญ่นั่นมีความพยายามไม่น้อยเลยทีเดียว เขากำมืออาบเลือดที่มีบาดแผลขนาดใหญ่ ของเหลวสีแดงร่วงสู่พื้น ซึมลงในเศษกระดาษตรงปลายเท้าเขา



“ไงเพื่อน...”

 

ปัง!

 

เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ร่างของทั้งสามคนชะงักไปพร้อมกัน คำพูดที่เพิ่งออกจากปากเมื่อครู่เหมือนจะถูกลืมเลือนไปพร้อมกับฝีเท้าที่หยุดการเคลื่อนที่ ความเงียบถึงที่สุดปกคลุมทั้งห้องอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกลับสู่สภาพปกติ พร้อมกับบทสนทนาใหม่ซึ่งชายคนเดิมเป็นคนเอ่ยขึ้นมา “เจคอบ?”



“ข้างบนงั้นเหรอ” ชายร่างเตี้ยพูดเสียงแผ่ว



ทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนที่คนตัวใหญ่กว่าจะบอก “จริงอย่างที่แกว่า เมื่อกี้มันคงเสร็จเจ้าเจคอบไปแล้ว”



เท่านั้นเอ็มก็ได้ยินเสียงสาวเท้าอีกครั้ง แต่เป็นคนละทิศทางกับคราวแรก ดวงตาสีฟ้าอมเทาลอบมองออกไปในความสลัว เห็นชายคนนั้นกวาดสายตาไปทั่วห้องอีกครั้งด้วยสายตาที่ยังคงความสงสัย จากนั้นชั่วครู่เอ็มก็ได้ยินบทสนทนาจากหน้าห้องอีกครั้ง แต่เป็นหลังจากที่ร่างของคนทั้งสองหายออกไปจากห้อง ปิดประตู และทิ้งความเงียบสงัดไว้ข้างในดังเดิม



เขาผ่อนลมหายใจอย่างที่ไม่ได้ทำมาพักใหญ่เมื่อบรรยากาศกดดันสิ้นสุดลง อย่างน้อยก็สักระยะหนึ่ง กดนิ้วบีบนวดระหว่างคิ้วตัวเองขณะตระหนักว่าสถานการณ์จำพวกนี้ช่างบั่นทอนจิตใจคนเราได้เสมอ มันสร้างอารมณ์มากมาย...มากมายเกินไป เอ็มถอดแจ็กเกตสีดำทิ้งไว้กับพื้น เผยให้เห็นรอยเลือดวงใหญ่ที่ลามไปทั้งแขนบนเสื้อเชิ้ตสีเข้ม



ข้างบน เขาจำคำพูดเมื่อกี้ได้



ปืนนัดเดียว ถ้าไม่ถึงขั้นทำให้คนถูกยิงเพลี่ยงพล้ำ ผู้ยิงก็จะต้องมีความเยือกเย็นสูงพอที่จะไม่ผลีผลามยิงซ้ำเพราะเป้าหมายหนีรอดไปได้ หรือหมายความได้อีกอย่างคืออาวุธต่อไปที่ใช้จะต้องไม่ใช่ปืน ถ้าเป็นอย่างนั้น ย่อมแสดงว่าฝ่ายที่เสียเปรียบไม่มีปืน มิฉะนั้นกระสุนนัดที่สองจะต้องโต้กลับในระยะเวลาไม่ไกลจากกระสุนนัดแรกแล้ว ในทางกลับกัน หากไม่ใช่ว่าคนถือปืนสามารถจัดการเป้าหมายได้ในนัดเดียว ตัวเองนั่นแหละที่จะกลายเป็นฝ่ายถูกเป่าเอาเสียเอง ในกรณีนี้หมายถึงคนที่ชื่อเจคอบ อย่างที่ผู้ชายร่างท้วมคนนั้นว่า



ด้วยอะไรสักอย่าง เอ็มกลับเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามนายเจคอบคนนี้จะต้องมีปืน คนคนนั้นจะต้องมีปืนแน่ๆ ดังนั้นผลลัพธ์คือสองทางเท่านั้น...ไม่อยู่ก็ตาย



หลังจากปล่อยเวลาให้ผ่านไปครู่หนึ่ง เอ็มก็ตัดสินใจออกไปนอกห้อง ระเบียงทางเดินกลับมาไร้ผู้คนอีกครั้ง เว้นแต่ร่างของคนที่เขาไม่อยากให้อยู่ที่สุดกลับยังอยู่ที่หน้าประตู



เขามันน่าสมเพช เอ็มคิด



ชายหนุ่มซุกมือซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลลงในกระเป๋ากางเกงแทนที่จะใช้คลำทาง ใบหน้าซีดเผือดเพราะเสียเลือดมาก เขาพยายามเดินไปข้างหน้าแม้สติสัมปชัญญะจะเลือนรางเต็มที ในหัวปรากฏภาพปืนสองกระบอก กระบอกที่ถูกเหน็บไว้ข้างมีดพกของตัวการที่ทำให้เกิดบาดแผลบนแขน กับอีกกระบอกที่เคยอยู่ในมือตัวเองในช่วงเวลาสั้นๆ...กระบอกที่เคยเป็นของใครบางคน และตอนนี้มันก็ไม่ได้อยู่ที่เขาแล้ว ผมสีเข้มย้ายไปปรกข้างขมับหลังการสางลวกๆ ในหัวเอ็มกำลังตีกันวุ่น สายตาเหลียวมองภาพข้างกาย



ถ้าเป็นเธอจะทำยังไง ร่างนั้นไม่ให้คำตอบไปมากกว่ารอยยิ้ม รอยยิ้มที่น่าเศร้า เอ็มหัวเราะในลำคอและพยายามไม่สนใจบรรยากาศเย็นยะเยือกแต่กลับทำให้หลังเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขากำลังมองหาบันได แต่ก่อนหน้านั้นคงต้องเดินตามทางไปเรื่อยๆ ก่อน โดยมีเงาของตัวเองเท่านั้นที่ทอดผ่านบนทางเดิน



ทุกอย่างนั้นเงียบสงบ มีแค่เสียงหายใจกับเสียงรองเท้าหนังกระทบบันไดขณะนักสืบหนุ่มก้าวขึ้นสู่ชั้นบน ซึ่งจนบัดนี้เจ้าตัวยังไม่เห็นว่ามีร่องรอยของใครอื่นข้างบนนี้



ป่านนี้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นอย่างไร เผลอปล่อยความคิดให้หลุดจากระบบการไตร่ตรองไปชั่วขณะเดียว เอ็มก็ส่ายศีรษะไล่ความคิดนั้นออกจากหัว



“...”



เอ็มหันหลังขวับ



ชายหนุ่มลูบข้อมือตัวเองช้าๆ ความแสบจากบาดแผลทำให้สะดุ้งไปทั้งแขน เป็นอีกครั้ง และอีกครั้งที่เขาชะงักแล้วหยุดนิ่ง ริมฝีปากสั่นระริกหอบเอาลมหายใจเข้าไปในปอด เสียงบทสนทนาฟังไม่ได้ศัพท์ดังก้องอยู่ในหัวที่ปวดจนแทบระเบิด เขาไม่สามารถสลัดมันออกไปได้ เอ็มกำมือซึ่งเป็นแผลบาดลึกแน่น ให้ความเจ็บปวดเรียกสติตัวเองกลับมา แล้วก้าวไปตามขั้นบันไดต่อไป



ไม่มีทางไปต่อเมื่อเอ็มมาถึงชั้นที่เขาคิดว่าเป็นชั้นบนสุด ร่างสูงยืนอยู่ในความมืดบนชานพักบันได มือเปื้อนเลือดจับราวบันไดก่อนกวาดสายตากลับไปทางที่เดินมา และมองไม่เห็นสิ่งในนอกจากความมืด ต้องมีทางไปต่อสิ เขาขมวดคิ้ว ก่อนยื่นออกไปสัมผัสผนังซึ่งเป็นตัวกั้นปิดทางที่ต้องการจะไป แต่แล้วโดยไม่คาดคิด ทันใดนั้นผนังก็แยกออกเป็นสองฝั่ง



ด้วยแสงของไฟที่ไม่ได้เจอมาเป็นเวลานาน ดวงตาสีอ่อนจึงปิดลงในทันที เมื่อลืมขึ้นอีกครั้ง เขาก็เห็นห้องขนาดใหญ่ และแสงสีส้มที่ไม่ได้ให้ความสว่างมากอย่างที่คิด ประตูอัตโนมัติปิดลงเมื่อร่างของเอ็มผ่านเข้าไปด้านใน



มันคือพื้นที่โล่งคล้ายกับชั้นใต้ดินที่เขาหนีออกมา เพียงแต่กว้างขวางกว่าและไร้กลิ่นเหมือนท่อน้ำทิ้ง พอปรับสายตาได้ระดับหนึ่งเอ็มก็เห็นว่าพื้นสีทึบที่เหยียบอยู่มีร่องบางอย่างกว้างประมาณสองนิ้ววาดเป็นวงขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง นักสืบหนุ่มมองไปรอบๆ บนผนังสีเดียวกับพื้นมีอุปกรณ์เครื่องมือหลายอย่างติดอยู่ ทำให้พอจะหาความเชื่อมโยงได้ว่าพื้นที่ส่วนนี้เป็นพื้นที่สำหรับอะไรกันแน่



ขนาดเฮลิคอปเตอร์หนึ่งลำ...ก็คงพอๆ กันกับขนาดวงกลมนี้



บนผนังยังมีประตูของอีกห้องที่ปิดอยู่ เมื่อเอ็มเปิดมัน เขาก็พบกับใครคนหนึ่งในห้อง ซึ่งหันมาพูดราวรู้ถึงการมาของตัวเขาตั้งแต่แรก



“บางครั้งผมก็คิดว่าคงดี ถ้าตัวเองหลับตานอนไปแล้ว วันพรุ่งนี้จะไม่มาถึงอีก”



บนกระจกใสที่ทำหน้าที่ต่างผนังอีกฝั่งหนึ่งของห้อง เอ็มเห็นภาพสะท้อนของตัวเองกับใครอีกคนซ้อนทับกับทิวทัศน์ภายนอก



“อะไรทำให้คุณเลิกคิดอย่างนั้นล่ะ” เอ็มเปล่งเสียงถาม ใบหน้าหันไปสบกับผู้ชายที่เคยพยายามทรมานเขาเพื่อรีดข้อมูล ในแสงสว่างเลือนราง เลือดสีแดงยังเป็นรอยไหลจากขมับ เอ็มหยุดอยู่แค่หน้าห้อง ขณะสก๊อต เฟอร์เรอร์ทอดสายตาไปยังวัตถุบางอย่างตรงข้ามกับโต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่ หน้าปัดตัวเลขแดงกำลังนับถอยหลังทุกวินาที







TBC






สามารถติดแท็ก #TheMCase เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นได้ค่ะ

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 13/8/18 Chapter 9 UPDATED
«ตอบ #18 เมื่อ13-08-2018 20:21:27 »

วิญญาณเหรอ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 13/8/18 Chapter 9 UPDATED
«ตอบ #19 เมื่อ14-08-2018 00:43:29 »

มันคืออะไรกัน  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 13/8/18 Chapter 9 UPDATED
« ตอบ #19 เมื่อ: 14-08-2018 00:43:29 »





ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 13/8/18 Chapter 9 UPDATED
«ตอบ #20 เมื่อ14-08-2018 05:22:44 »

เดี๋ยวๆ สรุปคือเจอระเบิดแล้ว? แล้วคือสก็อตคนละคนกัน  :katai1:

แคปลิน คอลลิน อืมม  หวังว่าคงไม่ใช่ ส่วนระหว่างทีน่ากับเอ็ม

นี่เกี่ยวข้องกันแน่ๆ อาจเป็นพี่น้อง แต่ว่านะ เมื่อไรเชสเตอร์

จะเจอเอ็ม แล้วพากันออกไปได้สักที  :o12:

ออฟไลน์ rodoubles

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 13/8/18 Chapter 9 UPDATED
«ตอบ #21 เมื่อ14-08-2018 12:33:29 »

โอ้ยยยย ตื่นเต้นมากเลย ชอบมากเลยค่ะ ลุ้นต่อไปว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง ตกลงคือเอ็มมีเซ้นส์มองเห็นทีน่าได้ แล้วที่มาสืบเรื่องทีน่าก็อาจจะไม่ได้มีผู้ว่าจ้างแต่เพราะเห็นทีน่าเองรึเปล่านะ หรือบางทีทีน่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์กับเอ็มสักอย่างโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ ต้องรอดูต่อไป ฮือออ ปักหมุดรอเลยค่ะ ชอบภาษามากเลยเลย รอนะคะะะ

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 17/8/18 Chapter 10 UPDATED
«ตอบ #22 เมื่อ17-08-2018 20:44:38 »

CHAPTER 10 – Down to the Bottom



10:07 ...ตอนนี้มันเพิ่งผ่านตัวเลขนั้นไป



“ความเป็นจริงยังไงล่ะ เอ็ม”



เขาน่าจะรู้ แต่กลับถามออกไปด้วยเสียงที่ล้าเต็มทน “ความจริงอะไร”



นั่นทำให้ชายเจ้าของกลุ่มผมน้ำตาลแดงในความมืดหันหน้ามาสบตา “เรื่องที่โหดร้าย คุณไม่รู้เหรอ”



เอ็มไม่ได้ตอบ ขาใช้มือข้างขวาบีบไหล่ซ้ายตัวเองไว้ อีกฝ่ายมองท่าทางนั้นก็หัวเราะออกมา



“คุณจะต้องเสียใจ”



“เสียใจอะไร” เอ็มขมวดคิ้ว



“เสียใจในความไม่รู้ของตัวเอง”



นักสืบหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกปั่นหัว เอ็มยืนอยู่หน้าห้องไม่ขยับร่างกาย แสงสว่างที่ลอดเข้าไปด้านในส่งผลให้เห็นเงาของตนทอดอยู่บนพื้นห้องเกือบมืดสนิท



“เข้ามาสิ” สก๊อต เฟอร์เรอร์เอ่ยอีกครั้ง



“ทำไมผมต้องเข้าไป”



“หมดโควตาถามตอบแล้ว เอ็ม”



เจ้าของชื่อขบกรามก่อนจะก้าวเข้าไปยืนเผชิญหน้าแล้วจ้องหน้าอดีตเจ้าหน้าที่อย่างระมัดระวัง ฝ่ายตรงข้ามเห็นดังนั้นจึงยิ้มออกมา



“ไม่คิดว่าเราสองคนสนิทกันเอาไว้จะดีกว่าเหรอ อย่างน้อย...ก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์”



“ลืมไปแล้วเหรอว่าทำอะไรไว้ถึงได้พูดอย่างนั้น” เอ็มตอบอย่างเย็นชา



รอยเลือดบนขมับอีกฝ่ายเทียบไม่ได้กับแขนข้างซ้ายของเขาที่ยังโชกไปด้วยเลือด เอ็มเดินผ่านหน้าโต๊ะซึ่งสก๊อตนั่งอยู่ ไปพิงหลังกับบานกระจกฝั่งตรงข้ามประตูห้องที่ตนเข้ามา และหายใจเข้าออกช้าๆ แม้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศคุกคามเป็นครั้งที่สอง เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพยายามเชื่อว่าถ้าจะโดนทำอะไรอีก ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่น่าเลือกเชื้อเชิญเขามาเสวนาในห้องแบบนี้ อีกอย่าง เขารู้สึกเริ่มถึงกลิ่นอายที่ห่างหายจากข้างกายไปสักพักใหญ่



สก๊อตเลิกคิ้วให้กับท่าทางหมดสภาพนั้น



“คุณคิดจะทำอะไรต่อไป” เอ็มถามเมื่อใบหน้าซีดเผือดหันไปมองหน้าปัดดิจิทัลอีกครั้ง คราวนี้มันบอกเวลานับถอยหลังคือ 9:22 เขาไม่ยอมปล่อยให้เวลาสูญเปล่าด้วยการทำเมินเฉยของอีกฝ่าย จึงเค้นเสียงออกมาจากลำคอแห้งผากอีกรอบ “แล้วระเบิดที่คุณพูดถึง?”



“ถ้าคุณบอกว่าไม่รู้จริงๆ ผมก็ไม่ต้องการมัน”



“ไม่ต้องการ?” เอ็มฉุนกึกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหมือนความเจ็บจากบาดแผลจะลดลงไปในทันใด “แล้วคุณตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”



“คุณต่างหากที่ตั้งใจจะทำอะไร” สก๊อตย้อนถาม “คุณขึ้นมาหาผมถึงที่นี่ทำไม ทั้งที่หนีออกไปครั้งหนึ่งแล้ว”



เอ็มเผยอริมฝีปาก มันเป็นความจริงอย่างประโยคเมื่อครู่ เขาสามารถหนีหรือไปหลบซ่อนที่ไหนก็ได้ แต่สิ่งที่เลือกทำกลับเป็นการหอบสังขารกลับมาหาคนที่ทำร้ายตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่เพียงชายผมน้ำตาลแดงที่มีเป้าหมาย เอ็มเองก็ไม่ต่างกัน



“ผมต้องการรู้ความจริง” เพียงแต่ตอนนี้เขาตระหนักได้ว่าไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้วกับผู้ชายตรงหน้า เขาไม่คิดจะเอาบทสนทนาเรื่องโอเมกาหรืออัลฟาขึ้นมาคุยกับอีกฝ่าย เขายอมร่วมมือกับเชสเตอร์ก็เพื่อเหตุผลเดียว และพยายามเชื่อว่าในเหตุผลของตัวเอง จะไม่มีเรื่องนั้นเข้ามาเกี่ยว



“เรื่องทีนา” เอ็มพูด “พวกคุณใช่ไหมที่ฆ่าเธอ”



“คุณจะอยากรู้ไปทำไม” เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มโดนย้อนถามแทนคำตอบ



“คุณบอกว่าคุณรู้ชื่อผม คุณรู้เรื่องของผม” เอ็มคิดหาคำพูดด้วยความอดกลั้น “ถ้าอย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้”



“ยังมีคนที่รู้ดียิ่งกว่าผมอีกมาก” สก๊อตตอบ ใบหน้าของเจ้าหน้าที่ทรยศเสมองไปยังวัตถุในมุมมืด ตัวเลขที่น้อยลงทุกขณะทำให้เอ็มต้องเอ่ยปากอีกครั้ง



“ใคร” เขาถาม และรู้สึกปั่นป่วนเกินกว่าจะรอคำตอบ เขาจำบทสนทนาที่ได้ยินโดยบังเอิญได้ “แคปลิน หรือคุณจะหมายถึงผู้ชายคนนั้น”



“เฮคเตอร์ แคปลิน” อีกฝ่ายเสริม “พวกเขาหลุดปากให้คุณได้ยินงั้นเหรอ”



เอ็มกำหัวไหล่ตัวเองแน่น บาดแผลที่ต้นแขนกำลังสร้างความเจ็บปวด สันกรามขบกันแน่นขณะพยายามเอ่ยต่อไป “แล้วถูกหรือเปล่า”



“ถ้าใช่...คุณจะทำยังไงต่อ”



“ผมจะฆ่าเขา” เอ็มตอบเสียงแผ่วเบา



นักสืบโอเมกากอดแขนตัวเองเมื่อรู้สึกถึงความหนาวลึกๆ ในร่างกาย ดวงตาสีฟ้าอมเทาสะท้อนภาพแม่น้ำเบื้องล่างของตึกซึ่งมีสะพานข้ามผ่าน รวมถึงตึกรอบข้างที่ทำให้ลอนดอนมีแสงสว่างอยู่ตลอดเวลาด้านหลังบานกระจกซึ่งเขาเห็นใบหน้าของตัวเองอยู่ในนั้นพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เอ็มหันหลังขวับ ชายผมน้ำตาลแดงที่ยังคงมีตัวตนอยู่ในห้องเลื่อนสายตาตามด้วยสีหน้าฉงนเมื่อไม่ได้มี ‘ใคร’ หรือ ‘อะไร’ อยู่ตรงนั้น



เอ็มนวดสันจมูกตัวเองและหลับดวงตาที่พร่ามัวลงชั่วขณะ



“คุณมีแผนอะไร” เขาเอ่ยถามสก๊อต สิ่งที่เขามองเห็นในตัวฝ่ายตรงข้ามคือสายตาที่ปราศจากความรู้สึกใด แม้ประโยคสนทนามากมายจะพรั่งพรูระหว่างพวกเขา



“แล้วคุณไว้ใจได้ไหมล่ะ”



เขาไม่ใช่เชสเตอร์ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตัวเป็นตำรวจจับผู้ร้าย ไม่มีหน้าที่ต้องทำความเข้าใจความคิด หรืออดีตอันขมขื่นของใคร



“ผมไม่มีความคิดอยากสืบเจตนารมณ์คนตาย”



อดีตเจ้าหน้าที่หัวเราะออกมาในที่สุดเมื่อถูกรู้ทัน เอ็มขบริมฝีปากสีชมพูเข้ม เมื่อสก๊อตลงจากโต๊ะตัวที่นั่งอยู่มายืนตรงหน้าเขา แผ่นหลังชื้นเหงื่อพิงกับกระจก เอ็มไม่อาจขยับไปไหน เพราะใกล้จะล้มทั้งยืนเต็มทน ระหว่างที่เลือดยังซึมออกจากทุกรอยบาดแผลบนร่างกาย



มือขวาโอเมกาหนุ่มปล่อยจากไหล่ซ้ายตัวเอง หูเขาเกือบไม่ได้ยินเสียงคนตรงหน้าเพราะความรู้สึกอีกอย่างที่แทรกเข้ามาระหว่างอาการเจ็บปวดแสนสาหัส เอ็มกลืนน้ำลายลงคอ



“แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” สก๊อตเอ่ยถาม



“เพราะผม...จำไม่ได้”



ของเหลวสีแดงสดที่แตกกระเซ็นอยู่ตรงหน้าทำให้ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะรู้สึกถึงเสียงปืนที่ดังฝ่าความเงียบในห้องมืด ปืนพกสีดำเมี่ยมถูกยกผ่านหน้าเอ็ม เล็งวิถีไปที่อีกฟากของห้อง บริเวณที่เงาดำเหมือนสัตว์ใหญ่ทาบทับอยู่บนแสงรางๆ จากภายนอก เสียงหอบหายใจดังอยู่ใกล้ตัว เอ็มกลั้นหายใจด้วยความผวา



“คิดจะทำอะไรของนาย” ร่างตรงประตูนั้นส่งเสียงเย็นเยียบ เอ็มเห็นดวงตาสีเขียวที่จ้องมองระหว่างเขาและชายอีกคนด้วยสายตาคล้ายหมาป่ากำลังล่าเหยื่อ แต่ก็แฝงความผิดหวัง และความตกใจไม่น้อยซึ่งเก็บซ่อนเอาไว้ภายใน



เชสเตอร์ เลวินส์กวาดสายตามองชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าที่ครึ่งตัวถูกย้อมไปด้วยสีแดง และชายผมน้ำตาลแดงอีกคน...คู่หูที่ตอนนี้กำลังเล็งปืนมาที่ตัวเขา ก่อนเชสเตอร์จะหยุดสายตาที่เลข 06:47 สีแดงบนหน้าปัดดิจิทัลของวัตถุมุมห้อง



“หยุดมัน” เสียงแหบต่ำออกคำสั่ง ชายในสูทดำจ่อปลายกระบอกปืนไปที่อดีตเจ้าหน้าที่วัลฮัลลา



“มันสายไปแล้ว เชสเตอร์” สก๊อตเอ่ย น้ำเสียงราบเรียบยิ่งกว่าตอนพูดกับเอ็มเสียอีก



สาย...เพราะระเบิดไม่อาจหยุดได้ สายไปที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจ หรือสายไปที่เขาเพิ่งตระหนักถึงปัญหาของคนใกล้ตัว



บรรยากาศตึงเครียดก่อตัวขึ้นเป็นกลุ่มก้อนของความสับสนในลำคอเจ้าหน้าที่อัลฟา สิ่งที่เห็นอธิบายสถานการณ์กับเขาได้ทั้งหมด “รัศมีแค่ไหน”



“ทั้งตึกนี้” สก๊อตตอบ เพราะความจริงแล้วไม่ได้มีเพียงระเบิดลูกเดียวที่อยู่ในตึก ตั้งแต่ชั้นใต้ดิน...จนถึงชั้นบนสุด ครอบคลุมทั้งอาณาเขต



“ฉันจะพูดอีกแค่ครั้งเดียว” เชสเตอร์พยายามใจเย็นกับคนตรงหน้า เขาบังคับกระบอกปืนไม่ให้เฉไปจากขั้วหัวใจอีกฝ่าย แม้ว่าหากต้องยิงจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้ไหมก็ตาม “หยุดมันเดี๋ยวนี้”



ไม่มีปฏิกิริยาจากคนที่กำลังพูดด้วย



“ถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมด เปลี่ยนเป็นเคลียร์บริเวณรอบตึก มีเวลาห้านาที ตึกนี้กำลังจะระเบิด” เชสเตอร์พูดกับวิทยุสื่อสารที่ต่อสายหูฟังไว้กับหู และมองดูร่างของอีกคนนอกจากอดีตคู่หูตัวเอง



นักสืบคนนี้โดนจับมาอย่างที่คิด...แต่ด้วยสาเหตุอะไรกัน



“เอ็ม” คนถูกเรียกชื่อขบฟันแน่น “คุณรู้อะไรเพิ่มมาบ้าง”



นักสืบหนุ่มลอบมองชายผมสีน้ำตาลแดงข้างหน้าตัวเอง สก๊อตในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างกับตน เลือดสีแดงฉานที่ไหลจากแขนซ้ายกองอยู่ที่พื้นข้างรองเท้าเขา เขาไม่อาจตอบอะไรได้ นอกจากอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แล้วก็หุบไปอีกครั้ง



“ฉันจะให้ฮ. ขึ้นมารับ” เชสเตอร์ตัดสินใจบอกอย่างนั้น ทว่าก่อนจะได้ทำสิ่งใด เสียงปืนกลับดังขึ้น ชั่ววินาทีเดียวที่ถูกหักเหความสนใจ ร่างของเอ็มก็ถูกคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นคู่หูของเขากระชากลงกดกับพื้น เชสเตอร์ปรี่เข้าไปใกล้ แต่สก๊อตก็ยกปืนจ่อที่ใต้คางของคนด้านล่างนั้นเสียก่อน



“อย่าทำแบบนี้”



เขาไม่ได้สนใจคำปรามของเชสเตอร์ และก้มลงมองหน้าโอเมกาใต้ร่างตัวเอง



“คุณไม่จำเป็นต้องเล่นบทตัวร้าย” เอ็มกัดฟันพูด เสียงลอดไรฟันให้พวกเขาได้ยินกันแค่สองคน



“งั้นคุณคงเข้าใจผิดไปหนึ่งข้อ” เสียงแหบห้าวที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายก็เจ็บแผลไม่น้อยกระซิบที่ข้างหู “ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือตึกนี้จะระเบิดในอีกไม่ถึงสี่นาที”



นักสืบหนุ่มสะบัดหน้าหนี ดวงตาสีฟ้าอมเทาส่งสายตารังเกียจให้อีกฝ่าย สก๊อตดึงร่างเขาให้ลุกขึ้นประชิดตัว แขนที่ถูกยิงล็อกคอเอ็มไว้โดยที่ไม่ละปืนออกห่าง



“ฉันไม่อยากให้นายทำแบบนี้” เสียงทักท้วงดังในหูฟังไม่หยุดตั้งแต่เชสเตอร์แจ้งทีมสนับสนุนไปว่ามีระเบิดอยู่ในตึก CSSL แห่งนี้ เขาดึงหูฟังออก และพยายามใจเย็นอีกครั้ง “ไม่ว่านายจะผ่านอะไรมาบ้าง นี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เราเห็นหลายสิ่งหลายอย่างมาด้วยกัน แล้วนายยังจะยอมแพ้ให้กับมันอีกเหรอ”



ปฏิเสธไม่ได้ว่าเชสเตอร์ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชายที่ชื่อสก๊อต เฟอร์เรอร์มาถึงจุดนี้ และมันยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดที่ไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากการรับรู้ จนมันสายเกินแก้ และเขาไม่เห็นเลยว่าแววตาของเพื่อนตัวเองจะมีความลังเลอยู่ในนั้น



“สิ่งที่นายคิดทำอยู่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยฝ่ายไหนเลย แม้กระทั่งตัวนายเอง”



“เป้าหมายของซินส์ในวันนี้คือตึกนี้” คนทรยศว่าขณะมองไปยังมุมห้อง ซึ่งในตอนนี้ตัวเลขเหลือเพียง 03:14 เอ็มพยายามขยับตัวหนี แขนที่ล็อกคออยู่ทำให้เขาหายใจไม่ออก สก๊อตเห็นอย่างนั้นจึงคลายแรงและผลักตัวนักสืบออกไป เชสเตอร์รับตัวเอ็มที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วไว้ ซึ่งมือที่ใช้กันให้อีกฝ่ายหลบไปข้างหลังนั้น เอ็มเห็นว่ามันสั่นอยู่



“สก๊อต”



“พอแล้ว” อดีตคู่หูพูดขัด “นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยฟังนาย”



สก๊อตเอาปืนลง ก่อนจะโยนมันไปข้างตัว กลุ่มผมสีน้ำตาลแดงปรกใบหน้าตอนที่ชายหนุ่มล้วงหาของในกระเป๋ากางเกง



“ไม่...เรามีทางเลือกที่ดีกว่านี้เสมอ สก๊อต”



ทั้งเชสเตอร์และเอ็มรู้จักของสิ่งนี้ มันคือรีโมตเล็กๆ เหมือนกับที่เขาเห็นเอสโอซิกซ์ใช้ที่พิพิธภัณฑ์ และเมื่อมันอยู่ในมือของผู้ชายตรงหน้า เชสเตอร์ก็สบถลั่น



“คึกคักให้สมกับเป็นนายหน่อยเพื่อน”



ในเสี้ยววินาทีเดียว แขนแกร่งโอบรอบตัวของเอ็มเอาไว้ก่อนออกวิ่งสุดแรง เสียงปืนหลายนัดรัวเข้าใส่บานกระจกใหญ่ซึ่งเวลานี้แตกร่วงลงไปเหมือนกับห่าฝน ทุกสิ่งทุกอย่างสายเกินแก้ ไม่มีเวลาให้บอกกล่าว ทันทีที่ปล่อยปืนประจำตัวให้หลุดออกจากมือ ไม่ทันที่จะหล่นกระทบกับพื้น ร่างของทั้งสองคนก็ทิ้งตัวดิ่งลงสู่เบื้องล่าง



ไม่มีเวลาแม้แต่จะหันกลับไปเป็นครั้งสุดท้าย



เสียงระเบิดดังสนั่นราวกับทุกประสาทสัมผัสจะดับลง เอ็มรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แรงอัดกระแทกจนร่างกายเหมือนจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไม่อาจทำอย่างไรในยามที่เขาและเชสเตอร์กระโดดลงมาจากชั้นบนสุดของตึก โสตประสาทที่ดับไปชั่วขณะกลับมาอื้ออึง สาบานได้ว่าทัศนียภาพที่เคยมองจากข้างบนไม่ใช่สิ่งที่กำลังได้สัมผัสเลยแม้แต่น้อย เอ็มเกร็งตัว ผืนน้ำซึ่งถูกย้อมไปด้วยความมืดของยามค่ำคืนโอบอุ้มตัวทั้งคู่เอาไว้ ก่อนจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างลงไปข้างใต้พร้อมกัน



สติสัมปชัญญะครึ่งหนึ่งของเขาดับวูบลงไปตอนนั้น



เหมือนเอ็มเห็นฟองอากาศจำนวนมากออกมาจากปากและจมูกตัวเองเป็นภาพช้าๆ เขาขยับตัวไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยร่างกายไปกับกระแสน้ำอ่อนนุ่ม ชั่ววินาทีที่ความทรมานเริ่มคืบคลานเข้ามา แขนของใครคนหนึ่งก็ดึงร่างเขาเอาไว้ ฉุดต้านแรงดันและผุดขึ้นสู่อีกฟากของผิวน้ำ



เอ็มหอบหายใจ ดวงตาแดงก่ำต้องแสงสว่างอีกครั้ง



เหนือสิ่งอื่นใด...เขาเห็นภาพตึกนั้นกำลังถล่มด้วยสายตาพร่ามัว ภาพสิ่งปลูกสร้างที่เคยสูงตระหง่านกำลังทรุดตัวลงและคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นควันหนาสีเทา เขาได้ยินเสียงของมัน รวมถึงเสียงอลหม่านของผู้คน เสียงไซเรนดังระงม รถยนต์ที่เคยสัญจรไม่เคยหยุดบนสะพานข้ามแม่น้ำบัดนี้กลับหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับร่างของคนที่ตอนนี้ก็ยังโอบตัวเขาให้ลอยเหนือน้ำเย็นเยือกของปลายเดือนธันวาคม และดึงตัวเขาเข้ามากอดซบบ่าท่ามกลางความหนาวเย็นจนสั่น



มือที่ตั้งใจยกขึ้นหาที่ยึดเกาะของเอ็มร่วงกลับไปอยู่ที่ข้างตัว ภายใต้ห้วงแห่งความสับสนวุ่นวายที่ทุกสิ่งนั้นถูกแช่แข็งจนหมดสิ้น







TBC







สามารถติดแท็ก #TheMCase เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ :D





ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 17/8/18 Chapter 10 UPDATED
«ตอบ #23 เมื่อ18-08-2018 02:02:09 »

 :katai1: กรี๊ดๆ ไม่นะเอ็มมม

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 17/8/18 Chapter 10 UPDATED
«ตอบ #24 เมื่อ19-08-2018 00:57:17 »

ตื่นขึ้นมาก่อน  :katai1:

ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 24/8/18 Chapter 11 UPDATED
«ตอบ #25 เมื่อ24-08-2018 22:37:59 »

CHAPTER 11 – Sentimental

 

อากาศเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศแทบไม่ต่างกับอุณหภูมิข้างนอก



ภายในเซฟเฮาส์กลางเมืองของเชสเตอร์ คนสองคนนั่งตรงข้ามกันบนโซฟาในห้องรับแขก เจ้าหน้าที่ภาคสนามของหน่วยสืบราชการลับที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นชายหนุ่มธรรมดาในเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีร่างกำยำ เลิกแขนเสื้อขึ้นเหนือข้อมือให้เห็นส่วนหนึ่งของแนวรอยสักที่ยาวลงมาถึงหลังมือซ้าย เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนปรกหน้าผากถูกมือข้างนั้นเสยไปด้านหลัง และตกลงมาข้างขมับอีกครั้ง



เชสเตอร์มีร่องรอยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่รวมรอยกระจกบาดที่ได้จากพิพิธภัณฑ์ เขาโดนต่อยแค่สองสามหมัดระหว่างทางที่ ‘ตามกลิ่น’ ขึ้นไปชั้นบน...หลังจากเรื่องนั้นแล้วก็มาลงเอยที่นี่ ตรงข้ามกับชายที่ยังอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งเสียงโทรศัพท์ของชายที่ว่าดังแทบจะทุกสิบวินาที ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในเซฟเฮาส์แห่งนี้



“คุณจะรับก็ได้นะครับ”



อาเธอร์ คอลลินส์ปิดโทรศัพท์แล้วเก็บมันไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม เชสเตอร์รู้ว่าต่อให้ทำแบบนั้น ตอนนี้รอบเซฟต์เฮาส์ของเขาก็คงเต็มไปด้วยคนในชุดสูท ที่ไม่เข้ามาก็เพราะหัวหน้าหน่วยวัลฮัลลาสั่งเอาไว้ว่าห้ามรบกวนระหว่างจัดการธุระกับเขา



แน่นอนว่าทั้งหมดนั่นทำใหเชสเตอร์สมเพชตัวเองเหลือเกิน



“เจ้าหน้าที่สก๊อต เฟอร์เรอร์” คอลลินส์เอ่ย “ตายแล้วสินะ”



“ครับ”



เชสเตอร์ไม่ได้สบดวงตาที่คมเหมือนเหยี่ยวของอีกฝ่ายขณะพูดว่า “เขาฆ่าตัวตาย” และพูดต่อ “เขาคือคนที่รู้เรื่องเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคดีนี้ หมายความว่าปฏิบัติการตั้งแต่ครั้งแรกเกี่ยวกับซินส์ เราโดนแทรกแซงมาโดยตลอด”



เชสเตอร์ไม่แน่ใจว่าการเอ่ยแบบนี้หมายถึงเขากำลังอ้างว่ามันเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเองทำล้มเหลวหรือเปล่า เขาไม่อยากปล่อยให้ระหว่างเขาและฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นความเงียบ เพราะมันจะเป็นความเงียบที่ทำให้ตัวเขาจมอยู่กับความฟุ้งซ่าน



“คุณจะไม่ไปดูพวกที่สก๊อตแลนด์ยาร์ดจริงๆ เหรอครับ” เชสเตอร์เปลี่ยนเรื่อง “ป่านนี้คงยังวุ่นวายไม่เลิก”



“ฉันมาถามความเห็นนายว่าจะเอายังไงต่อกับสถานการณ์นี้”



เท่าที่เขามั่นใจว่าตัวเองสามารถอ่านการกระทำและความคิดของผู้ชายคนนี้ออก คอลลินส์ไม่ใช่คนประเภทอยากได้ความเห็นของใคร



คอลลินส์เป็นประเภทที่ทิ้งใครก็ตามให้เผชิญโลกคนเดียว แต่ยังวกกลับมาถามว่ายังโอเคหรือเปล่า โดยที่ไม่ได้สนใจคำตอบ และปล่อยให้คนคนนั้นกระเสือกกระสนปีนหาทางขึ้นจากหุบผาที่ตกลงไปเอง แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เชสเตอร์จำความได้



ไม่ว่าวิธีการจะเป็นอย่างไร ชายคนนี้สนใจเพียงผลลัพธ์ ซึ่งหากพูดถึงผลลัพธ์ในตอนนี้ก็คงเป็นตึก CSSL ที่เพิ่งพินาศไป ทุกฝ่ายกำลังวุ่นกันหนัก ไม่ต้องพูดถึงคำถามโจมตีในเรื่องความมั่นคงของประเทศ ของรัฐบาล ผลกระทบมหาศาลซึ่งกำลังโหมเข้ามายิ่งกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ และคงไม่คิดจะลองจินตนาการ



“คุณอยากจัดการกับผมยังไงล่ะครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มถาม ครั้งหนึ่งเขาก็เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่มีสิทธิ์ต่อรอง หรือเสนอความเห็นใด ภารกิจล้มเหลว หน้าที่เขาก็หมดลง แม้ความจริงมันจะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการก็ตาม



“เบื้องบนมีบทสรุปรอให้นายอยู่แล้ว” ชายวัยกลางคนกล่าวเรียบๆ “แต่ก่อนหน้านั้น อีกยี่สิบเจ็ดชั่วโมงที่เหลือ ฉันสามารถยื้อไว้ได้”



เชสเตอร์เลือดขึ้นหน้าทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น “คุณยังคาดหวังอะไรจากผมอีกครับ”



สิ่งที่เขาอยากพูดจริงๆ คือ คุณเคยคาดหวังอะไรจากผมจริงๆ เหรอครับ



คอลลินส์ต้องการดูละครลิงหรืออย่างไร



“ฉันเคยพูดว่านายเป็นมือหนึ่งของหน่วยเรา ตอนนี้ฉันก็ยังเชื่อแบบนั้น” คอลลินส์พูด ซึ่งเชสเตอร์ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีอะไรแอบแฝงในน้ำเสียงนั้น อีกฝ่ายพูดกับเขาตรงๆ ทว่าระยะห่างระหว่างเขาและคอลลินส์มีมากพอๆ กับความชินชาที่ทำให้เขาไม่คิดจะแก้ไขมัน



“ถ้านายเชื่อสิ่งที่ฉันพูด ฉันจะให้เวลาคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เช้าเข้ามาคุยกับฉันที่ฐานสำรอง”



คนมีฐานะเป็นทั้งลูกน้องและอย่างอื่นเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่าเป็นครู่หนึ่งที่ยาวนานสำหรับเจ้าตัว



“แค่คุณเชื่อว่าผมสามารถจัดการกับมันได้ในตอนสุดท้ายก็มากพอแล้ว แบบที่ไม่ต้องสนใจวิธีการ วิธีโปรดของคุณ” เชสเตอร์เอ่ยขึ้นในที่สุด แต่ก็เป็นตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นให้พวกเขาหยุดบทสนทนาเอาไว้ ประตูหน้าของเซฟเฮาส์เปิดออกก่อนใครจะอนุญาต



“ขออนุญาตครับ”



เกรย์วูล์ฟหนุ่มแค่นหัวเราะเสียงต่ำเมื่อเห็นร่างของคนที่เข้ามาแทรกวงสนทนา เขาพลาดอีกแล้ว ในตอนที่หัวหน้าหน่วยวัลฮัลลาทำท่าจะลุกจากโซฟาและติดกระดุมสูทสีน้ำเงินกลับเข้าที่ ความฉุนเล็กๆ ก็เกิดขึ้นในใจ แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากมองแผ่นหลังของชายที่กำลังเดินออกไป ดวงตาสีเขียวสบกับอีกคนในห้อง



“สภาพดูไม่ได้เลยนะ”



“ไม่เจอกันนาน ปากดีกว่าเดิมอีกนี่” เชสเตอร์ตอบกลับ



แพทริก ฟรีดหัวเราะกับคำทักทายสุดจะเป็นมิตรของอดีตคนรัก เขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับที่หัวหน้าตัวเองเพิ่งลุกออกไป แล้วเสยเรือนผมสีบลอนด์ที่ยาวจนเกือบมัดหางม้าเล็กๆ ข้างหลังได้ ร่างโปร่งส่วนสูงหกฟุตโน้มตัวไปด้านหน้าคล้ายอยากสนทนากับฝ่ายตรงข้ามเสียเหลือเกิน แต่เชสเตอร์เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน



“อย่าทำตัวเป็นตัวร้ายอีกคนเลย แพท”



แพทริกยกยิ้มเมื่อถูกรู้ทัน เขาผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเอนหลังกับโซฟาด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้นั่งพักมาทั้งวัน “หมอนั่นอพยพคนออกจากตึกได้สมบูรณ์แบบอย่างกับซ้อมหนีไฟ”



เชสเตอร์ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกอีกหนึ่งเม็ด ก่อนจะวางปืนประจำตัวของตนกับปากกาหมึกซึมที่ได้รับมาไว้บนโต๊ะ แล้วเอนหลังกับพนักพิงบ้างเพื่อคลายความอึดอัด



“โชคดีที่วันนี้พวกเบื้องบนไม่ค่อยจะอยู่ อย่างกับนัดหายตัวไปพร้อมกัน” ชายหนุ่มผมบลอนด์ว่า “ทุกอย่างลงตัวจนน่าตกใจ”



“จะน่าตกใจยิ่งกว่า ถ้าหมอนั่นจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว” ดวงตาสีเขียวมองด้ามปากกาหมึกซึมที่วางไว้ข้างกระบอกปืน ขณะอีกฝ่ายพูดเศร้าๆ ว่า



“ทำไมคนคนหนึ่งต้องวางแผนฆ่าตัวตายขนาดนี้ด้วยนะ”



แพทริกไม่ได้รู้จักสก๊อตดีมาก แต่ก็รู้ว่าหัวหน้าหน่วยติดตามคนนั้นตัวติดกับเชสเตอร์ตลอดตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อห้าปีที่แล้ว หลังเขาตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย เพราะความผิดพลาดที่ถูกก่อขึ้น ซึ่งทำให้อดีตคนรักของเขากลายเป็นคนนิยมทำงานเพียงลำพัง จะมีก็แต่ผู้ชายที่ชื่อสก๊อต เฟอร์เรอร์ที่เชสเตอร์เปิดใจให้มาทำงานร่วมกัน



“แล้วนายจะเอาไง” แพทริกถาม ต่อให้เขากลับมาเป็นเพียงเพื่อนห่างๆ ของเชสเตอร์แล้ว แต่เขาก็รู้จักผู้ชายคนนี้ดีเสียยิ่งกว่าดี ท่าทีนิ่งเฉยในเวลานี้ของเชสเตอร์ไม่ได้ปิดความจริงได้มิดเลยว่า เขากำลังเศร้า “มีแต่คนลือกันว่านายพกนักสืบคนหนึ่งไปไหนต่อไหนเพราะไม่มีปัญญาสืบคดีเอง”



ไม่ต่างกับประโยคที่ว่า ‘ทุกวันนี้ที่เขาลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ก็เพราะมีคอลลินส์คุ้มกะลาหัว’ เชสเตอร์คิดในใจ



“ถูกส่วนหนึ่ง” เจ้าหน้าที่ภาคสนามตอบเร็วราวไม่ได้คิดก่อน นั่นทำให้แพทริกเลิกคิ้วเล็กน้อย “พอดีเลย ฉันอยากให้นายช่วยสืบอะไรสักอย่าง” เชสเตอร์ว่า



“ว่ามาสิ” เขาถาม ถึงจะรู้สึกแปลกไปบ้างกับท่าทีของคนที่คิดว่าตัวเองรู้จักดี



“ประวัติครอบครัวของตระกูลเฮซสัน ฉันอยากรู้ว่าพวกเขามีลูกกี่คน” เชสเตอร์พูดเสียงเรียบ “แล้วก็นี่”



ชายหนุ่มล่วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง วัตถุคล้ายรีโมตขนาดเล็กถูกวางไว้บนโต๊ะระหว่างโซฟาทั้งสองตัว น้ำค่อยๆ ซึมออกมาจากเครื่องมือควบคุม ลงบนผิวโต๊ะ



“ของหมอนั่น...คงไม่เกินความสามารถนายใช่ไหม”

 





ดวงตาสีฟ้าอมเทาเปิดขึ้นในห้องสี่เหลี่ยม เอ็มคิดว่าจะเป็นอีกครั้งที่เขาโดนมัดอยู่บนเก้าอี้ แต่ก็ไม่ใช่ เขากำลังนอนอยู่บนเตียง มันเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ เอ็มยันตัวเองขึ้นนั่ง แต่ความเจ็บหน่วงๆ บนแขนซ้ายทำให้ล้มไปกับเตียงอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่ในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงผ้าขายาว ต้นแขนซ้ายมีผ้าพันแผลพันเอาไว้รอบ ที่มือและข้อมือทั้งสองข้างเองก็ด้วย



นักสืบหนุ่มรู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน เพราะทันทีที่ศีรษะสัมผัสกับหมอนอีกครั้ง ‘กลิ่น’ ดึงดูดบางอย่างก็โชยออกมาด้วย แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก กระทั่งเอ็มฝืนกายลุกขึ้นและเปิดประตูออกไปข้างนอก เจ้าของร่างสูงโปร่งก็ต้องชะงักอีกรอบ



“ตื่นแล้วเหรอ”



“...”



เขาค่อยๆ ถดตัวกลับไปในห้องขณะกลิ่นเดียวกับเตียงเมื่อกี้ฟุ้งอยู่เต็มประสาทสัมผัส เจ้าของกลิ่นซึ่งสูงกว่าตัวเขาอยู่ห้านิ้วไม่เดินเข้ามา ดวงตาสีเขียวกลับเอาแต่จ้องมอง เอ็มยืนแข็งกับที่ จนเชสเตอร์เดินเข้ามาหยิบของบางอย่าง ส่งมันให้เขา แล้วค่อยเดินออกไป ราวครึ่งนาทีต่อมา เอ็มค่อยตระหนักถึงความจริงสามข้อ คือ



หนึ่ง...เขาอยู่ในห้องนอนของเชสเตอร์ สอง...เชสเตอร์เพิ่งส่งเสื้อคลุมตัวหนาให้เขา และสาม...ความรู้สึกเมื่อครู่ไม่ใช่อะไรที่ดีต่อสถานการณ์เลย ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ตัดสินใจตามอีกฝ่ายออกไปด้านนอก



“คุณหิวไหม”



เสียงทุ้มต่ำถามขึ้นตอนที่เอ็มกำลังพะว้าพะวังว่าจะเอาก้นตัวเองไปหย่อนลงตรงไหนดี เขาหันไปตามเสียงระหว่างสางผมสีเข้มให้เข้าที่ ไม่ทันได้ตอบอะไรเจ้าของประโยคเมื่อครู่ก็หายไปในห้องครัวที่อยู่เยื้องไปอีกทางเสียแล้ว



“คุณทำอะไร” เอ็มถามขณะตามเข้าไปแล้วหยุดอยู่ข้างหลังเชสเตอร์ ซึ่งตอนนี้อยู่ในเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำเงินเข้มกับกางเกงขายาว ผิดกับทุกครั้งที่เขามักเห็นผู้ชายคนนี้อยู่ในชุดสูทสีดำเต็มยศ แขนเสื้อที่ถูกถกขึ้นทำให้เห็นรอยสักบนแขนแกร่งข้างซ้ายได้ชัดเจน



“ผมไม่เคยถาม...คุณแพ้อาหารอะไรไหม” เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับในร่างผู้ชายปกติหันมาถามเขาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเดียวกับที่เคยพูดว่า ‘เรากำลังประสบปัญหากับกลุ่มก่อการร้ายหนึ่งที่ใช้ชื่ออ้างตัวว่าซินส์’



“ไม่มี” เอ็มส่ายหน้าพร้อมคำตอบ เชสเตอร์จึงหันกลับไปยุ่งอยู่กับการหยิบวัตถุดิบออกมาจากตู้เย็น แล้ววางทุกอย่างไว้บนเคาน์เตอร์ เอ็มกำลังจะเดินเข้าไปใกล้กว่านี้ หากอีกฝ่ายขัดเอาไว้เสียก่อน



“คุณไปนั่งรอเถอะ”



เอ็มไม่ตอบคำใด และไม่ทำอย่างที่เชสเตอร์บอก ตาสีฟ้ากวาดไปทั่วห้องครัวที่ไม่ได้ใหญ่สมกับห้องนั่งเล่นหรือห้องนอนกว้างขวาง แต่ก็ครบครันไปด้วยอุปกรณ์ทำอาหาร เอ็มมองดูมีดเกือบสิบเล่มในแท่นเสียบ พลางนึกในใจว่าหากวันหนึ่งมีใครบุกเข้ามาในนี้ละก็ เชสเตอร์จะเอามีดพวกนี้แทงพุงคนคนนั้นหรือเปล่า



“วางใจเถอะ ผมไม่เอาฮันนิบาล เลกเตอร์เป็นแบบอย่างแน่นอน”



เอ็มหลุดเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะผ่อนลมหายใจแล้วดูเชสเตอร์ประกอบอาหารง่ายๆ สำหรับสองคน พลางนึกไปถึงสปาเกตตีในห้องขังคราวนั้น ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนี้มีข้อด้อยอะไรถึงอยากได้ตัวเขานัก แต่สำหรับเอ็ม...เชสเตอร์คือโอกาสที่ดีที่เขาจะได้เข้าใกล้ความจริงอันเป็นเป้าหมายของตนเอง เขาถึงได้ยอมเล่นเป็นพรรคพวกด้วยจนถึงตอนนี้ ส่วนอะไรแปลกๆ ที่เกิดขึ้น นักสืบหนุ่มบอกตัวเองว่ามันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการไตร่ตรอง



หากคิดในแง่ของผลประโยชน์ เขายังไม่เสียอะไร นอกจากการเจ็บตัวนิดหน่อย



ไม่นานนักอาหารก็พร้อมบนโต๊ะ ทั้งเชสเตอร์และเอ็มต่างตระหนักได้ว่านี่เป็นอาหารมื้อแรกในรอบเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงนับตั้งแต่มื้อสุดท้ายในห้องสอบปากคำที่วัลฮัลลา ทั้งคู่จัดการกับอาหารตรงหน้าในเวลารวดเร็ว เอ็มนึกชมฝีมือของเจ้าหน้าที่บู๊ล้างผลาญคนนี้ในใจ ก่อนกวาดสายตาไปรอบห้อง



ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ใด เอ็มก็อดที่จะพินิจพิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่ตัวเองกำลังอยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะตัวเขาที่สองวันก่อนยังอยู่ในแฟลตของตัวเอง นอนกอดตัวเองอุ่นอยู่บนโซฟา คืนก่อนอยู่ที่ห้องขัง ทรมานจากความหิว แล้วตอนนี้กำลังอยู่ในเซฟเฮาส์ของผู้ชายที่เพิ่งทำความรู้จักกันได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง



ห้องของเชสเตอร์ซึ่งเขาตื่นขึ้นมาทีแรกเป็นห้องเรียบๆ ไม่มีของวางประดับ ยกเว้นชั้นหนังสือเล็กๆ ตู้เสื้อผ้า และตู้ตรงหัวเตียง เรียกได้ว่าแทบไม่มีร่องรอยของการอยู่อาศัย เอ็มไม่อาจประเมินอะไรได้นอกจากจะบอกว่าชายคนนี้ไม่ได้ประสบกับสถานะที่ต้องหลีกหนีหรือซ่อนตัวบ่อยครั้ง หรือในความจริงแล้ว เขาจะมีเซฟเฮาส์อื่นอยู่อีก เอ็มก็ไม่มีทางรู้ได้ แต่ว่าในห้องครัวและห้องน้ำที่เขาแอบสอดส่ายสายตาเข้าไปกลับมีทุกอย่างครบครัน ถ้าไม่ได้เป็นคนเตรียมพร้อม ก็คงเป็นคนที่ไม่เอาชีวิตส่วนตัวไปยุ่งเกี่ยวกับงานเป็นอันขาด



ความเป็นเชสเตอร์อยู่ที่ไหน หรือจะเป็นความว่างเปล่าอย่างในห้องนี้ เป็นห้องที่ไม่ยอมเอาอะไรมาประดับตกแต่ง ไม่ยอมให้มีอะไรผิดที่ผิดทางไปมากกว่าความธรรมดาสามัญที่ทำให้ไม่มีใครสามารถแตะต้องตัวตนที่แท้จริงได้อย่างนี้หรือ เอ็มเชื่อมโยงความคิดไปเรื่อยเปื่อย ความจริงเจ้าของอาจแค่ไม่ได้ใส่ใจอะไรก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องตีความให้วุ่นวาย เขาตบท้ายด้วยการตำหนิตัวเอง



“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ” เจ้าหน้าที่หนุ่มเรียกหลังจากจัดการนำจานไปล้างจนเสร็จ เป็นจังหวะเดียวกับที่เอ็มตัดสินใจไม่ถูกว่าควรเอาตัวเองไปไว้ส่วนไหนของห้องเป็นครั้งที่สอง



“ผมอยากถามคุณ” ดวงตาคมใต้เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนจ้องตรงมาที่เขาทันทีที่ก้นสัมผัสกับเบาะโซฟา “เกิดอะไรขึ้นที่ตึกนั่น” เสียงแหบต่ำไม่เหมือนทุกครั้งทำให้เอ็มรู้สึกแปลกๆ เขากระชับเสื้อคลุมเนื้อหนาแนบลำตัวเพื่อคลายหนาว



“เพื่อนคุณ เขาเป็นพวกเดียวกับซินส์”



“เขาเอาตัวคุณไปเพื่ออะไร”



เขารู้สึกว่าครั้งนี้เหมือนการสอบปากคำยิ่งกว่าที่วัลฮัลลาเสียอีก



“แล้วคุณกลับมาที่ตึกได้ยังไง” เอ็มถามกลับ เขาไม่ค่อยชอบวิธีการแบบนี้ แม้จะเป็นวิธีที่ตัวเองใช้ในการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยในคดีเหมือนกัน “คุณไม่ถูกจัดการ ทั้งที่คุณเป็นก้างชิ้นโตของพวกมัน”



เขารู้ตัวว่าคำพูดของตัวเองเหมือนเป็นพวกของอีกฝั่งมากกว่าจะเป็นผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันกับผู้ชายตรงหน้า



“การกระทำการอุกอาจไม่ใช่วิสัยของซินส์ แต่เหตุการณ์วันนี้กลับผิดจากที่เราคิดไว้” เอ็มระวังคำพูด เขาตระหนักว่าเหตุการณ์บนตึกไม่ใช่เรื่องที่สามารถกล่าวกับอีกฝ่ายได้ และเชสเตอร์ก็ดูจะต้องการรู้เรื่องนี้เป็นพิเศษ จึงเบนประเด็นไปอีกทางแทน “หรือบางที อาจเป็นเหตุการณ์ซ้ำรอยกับช่วงแรกที่ซินส์เริ่มก่อเหตุ”



“คุณจะบอกว่าเขาคือพวกแหกคอกของซินส์?” เชสเตอร์ถามเสียงเรียบ เอ็มไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่กลับเริ่มประเด็นใหม่



“การที่เขาทำได้ขนาดนั้นก็แสดงว่ามีกำลังหนุนมากพอสมควร” เขารื้อความทรงจำเกี่ยวกับชายสองคนที่พบในตึก “ถ้าเขาเป็นพวกนั้นจริง ก็หมายความว่าเรื่องในวันนี้ แกนนำหลักของซินส์ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเลย”



เชสเตอร์ไม่ได้พูดอะไร เอ็มสบดวงตาสีเขียวก่อนจะเสยผมหยักศกไปด้านข้าง



“นัยของจดหมายขู่คือความต้องการให้เราไล่ตามอะไรบางอย่าง แต่ถ้าการนับถอยหลังสองร้อยชั่วโมงมันมากจนขนาดซินส์ด้วยกันเองยังทนรอไม่ได้ แล้วช่วงเวลานั้นจะถูกกำหนดมาเพื่ออะไร” เขามองผ้าพันแผลบนมือตัวเอง “สำหรับพวกมันที่กำลังร้อนรนกับการหาอะไรบางอย่าง สองร้อยชั่วโมงนั้นอาจจะไม่ใช่การนับถอยหลังเพื่อกดดัน...แต่อาจเป็นการให้เวลา อย่างเดียวกับเอสโอซิกซ์ที่ไม่ยอมหนีไปไหนจนกว่าเราจะมา ไม่ว่าเวลาที่เหลืออยู่จะเป็นยังไง ผมคิดว่าพรุ่งนี้เราจะได้ไปเยือนฐานของซินส์อย่างแน่นอน”



“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ”



เอ็มเงยหน้าตามเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ชายหนุ่มในสเวตเตอร์สีน้ำเงินเข้มเดินหันหลังเข้าไปหลังประตูห้องนอน เขาหรี่ตาด้วยความไม่เข้าใจ



‘คุณคิดอย่างนั้นเหรอ’ งั้นเหรอ



รู้ตัวอีกทีเขาก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนนั้น เห็นเชสเตอร์กำลังทำอะไรสักอย่างกับชั้นหนังสือ ก่อนจะเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันมองเขา



“คุณเข้ามาสิ”



เอ็มไม่ได้ทำตามในทันที นักสืบหนุ่มคิดเลือกประโยคระหว่าง ‘คุณมีอะไร’ และ ‘คุณเป็นอะไร’ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกอย่างแรก ก่อนจะแบกความสงสัยเดินเข้าไปตามที่อีกฝ่ายบอก เขาไม่ยอมทิ้งระยะห่างจากประตู เอ็มกอดตัวเองผ่านเสื้อคลุมสีเข้ม บรรยากาศในห้องนี้ทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุข



“ห้าปีก่อน น้องสาวของหมอนั่นโดนพวกอัลฟาไร้สมองทำเรื่องเลวๆ ใส่” เสียงทุ้มต่ำพูด เชสเตอร์ยืนตรงหน้าเขา เป็นชั่วอึดใจที่คำพูดเขาหลุดหายไปในลำคอเพราะระยะห่างที่น้อยกว่าที่ผ่านมา แม้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่เอ็มเผลอก้าวถอยหลัง ซึ่งเชสเตอร์ก็ก้าวตามเหมือนเป็นแม่เหล็กขั้วตรงข้าม



“ผมรู้จักเขามาไม่ต่ำกว่าห้าปี คุณคิดว่าเวลานั้นมันมากพอให้ผมรู้ว่าเขาเป็นคนยังไงหรือยัง”



“คุณสงสัยอะไรผม”



เอ็มยืนนิ่งประจันหน้ากับเจ้าของห้อง แต่เพราะระยะห่างที่ยังคงน้อยอยู่ทำให้เขาตัดสินใจถอยอีกก้าว เพียงแค่นั้นแผ่นหลังของนักสืบหนุ่มก็ชิดกับผนังห้อง เชสเตอร์ยืนอยู่ที่เดิม พูดด้วยน้ำเสียงโทนเดิม หากไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนเดิมเลยเมื่อเขาได้ฟัง



“ที่ตึกนั้นไม่มีคนของ CSSL แม้แต่คนเดียว ถ้าคุณบอกว่าคนที่ซินส์ยอมให้เสียหายได้คือเจ้าหน้าที่รัฐ ทำไมเขาถึงต้องทำให้คนทั้งตึกหายไปก่อนจะลงมือก่อเหตุ”



เชสเตอร์เคยพังความคิดที่ว่าตัวเขาสามารถรับมือกับเจ้าหน้าที่คนนี้ได้ง่ายๆ ในครั้งแรกที่พบกันไปแล้วครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้ คนคนนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความคิดเดิมเป็นครั้งที่สอง ชายที่ชื่อเชสเตอร์นั้นคือหมาป่า



มือเอ็มระไปโดนหนังสือเล่มหนึ่งบนมุมโต๊ะข้างๆ มันเป็นหนังสือปกแข็งหนาประมาณสามร้อยหน้า หน้าปกเขียนชัดเจนว่า Omega Attraction: The Theory of Soulmate in Omegaverse และคั่นหน้าด้วยเศษกระดาษหยาบๆ



คือหมาป่าที่วางแผนจู่โจมเขามาอย่างดีเยี่ยม



“เดี๋ยว คุณ...”



“อย่าคิดว่าผมตามคุณไม่ทัน เอ็ม”



ท่อนแขนซ้ายของเกรย์วูล์ฟขนน้ำตาลสร้างกำแพงแข็งแรง ไม่ใช่ลมหายใจที่รินรดบนผิวหน้า เสียงพูดแหบต่ำ แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าแรงดึงดูดระหว่างอัลฟาและโอเมกา ที่ทำให้ทั้งภายนอกและภายในตัวเขาเตลิดเปิดเปิงไปหมด







TBC







สามารถติดแท็ก #TheMCase เพื่อร่วมแสดงความเห็นได้ค่ะ





ออฟไลน์ kinookokei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 24/8/18 Chapter 12 UPDATED
«ตอบ #26 เมื่อ24-08-2018 22:51:40 »

CHAPTER 12 – Hunted

 

ไม่จำเป็นต้องมีของประดับตกแต่งอะไร ในเมื่อแค่ชั้นหนังสือก็สามารถบอกตัวตนของผู้อยู่อาศัยได้ดีที่สุด



“ถอยกลับไป” เอ็มสั่ง ไม่ดีแน่หากเขาปล่อยให้ร่างกายและจิตใจตัวเองเป็นไปตามสัญชาตญาณ แม้ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้อยู่ในตัวเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าอีกฝ่ายในบ้านเลขที่ 114 เมื่อสองวันก่อน เขากำมือในผ้าพันแผล พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แม้ชายตรงหน้าจะยังคงร่นระยะห่างระหว่างพวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ



“ตอบผม” เชสเตอร์ยื่นหน้าไปใกล้จนปลายจมูกโด่งเกือบสัมผัสกัน ความใกล้ชิดทำให้เขารู้สึกถึงอุณหภูมิร้อน ไม่ใช่แค่ใบหน้าของอีกฝ่าย ใบหน้าเขาเองก็ด้วยที่กำลังร้อนจัด เอ็มไม่เปิดปากพูด นักสืบหนุ่มขบกรามเป็นสันนูนหวังกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านเพราะการกระทำของเชสเตอร์ “คุณจะเก็บมันไว้ทำไม ถ้าเป็นเรื่องที่จะทำให้คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยละก็ คุณคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก”



“เราแค่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ผมช่วยคุณเรื่องพวกซินส์ ส่วนคุณก็ช่วยผมเรื่องคดี นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ใช่สิทธิ์ของคุณที่จะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผม” เอ็มตอบเสียงเด็ดขาด เขาจ้องดวงตาสีเขียวที่ไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่ในนั้นเลย



“เรื่องส่วนตัวของคุณ?” เชสเตอร์ทวนคำพูด “เรื่องส่วนตัวของคุณเกี่ยวพันกับทั้งคดีนี้และกับเรื่องส่วนตัวของผมเต็มๆ”



“เขาจงใจฆ่าตัวตาย คุณก็เห็นอยู่” เอ็มพูด เขาไม่รู้ตัวว่าประโยคของตัวเองนั้นเย็นชามากแค่ไหน “มันเป็นทางเลือกของเขา ซึ่งผมก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเรื่องนั้นเลย”



“ถ้าการเข้าพวกกับซินส์เป็นทางออกที่ดีที่สุดของเขา ทำไมเขาถึงยังต้องตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง แล้วในตอนที่เขาตัดสินใจอย่างนั้น ทำไมเขาถึงยังตัดเรื่องคุณออกไปไม่ได้ล่ะเอ็ม เขาจะเอาตัวคุณไปทำไม” เจ้าหน้าที่หนุ่มพยายามใช้เหตุผล “ยังมีอะไรที่เขาสะสางไม่เสร็จอยู่อีก”



เชสเตอร์ถอยใบหน้าออกห่าง ไม่ใช่แค่เอ็มที่รู้สึก...เขาเองก็ต้องควบคุมตัวเองอย่างหนักไม่ต่างกัน



เรื่องที่ถาม เขาสามารถปะติดปะต่อความคิดเองได้ แต่สิ่งสำคัญคือคำพูดจากปากคนในเหตุการณ์ เขาต้องการคำยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้องจริงๆ



เชสเตอร์กำลังจะขยับปากเป็นคำพูดอีกครั้ง ไม่มีปฏิกิริยาจากเอ็ม เขาเห็นดวงตาสีฟ้าอมเทานั้นพยายามหาจุดวางสายตาที่ไม่ใช่หน้าของเขา เอ็มเงียบนานเกินไป ตอนนั้นเชสเตอร์จึงรู้ถึงความไม่ปกติบนร่างกายอีกฝ่าย



ลมหายใจของทั้งคู่รินรดกัน เช่นเดียวกับความร้อนของอุณหภูมิร่างกายที่แลกเปลี่ยนผ่านความชิดใกล้



“ผมไม่ให้คุณยืมห้องน้ำหรอกนะ” เกรย์วูล์ฟหนุ่มว่า



“งั้นคุณก็รีบถอยออกไป” เอ็มกัดฟันพูด ไม่รู้เมื่อไรที่ร่างกายเขาตอบสนองไวยิ่งกว่าความรู้สึก ความอึดอัดทำให้ใบหน้าเขาแดงเรื่อ เขาไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากไปให้พ้นจากสถานการณ์บ้าๆ นี่ แต่ตัวตนของอีกฝ่ายก็ล้อมเขาเอาไว้หมด เอ็มเบี่ยงตัวหนีไปอีกทางที่ไม่มีปราการแขนกางกั้น ทว่าเพราะอย่างนั้น ทำให้เชสเตอร์ใช้แขนอีกข้างกักตัวเขาไว้เช่นกัน



เอ็มขบริมฝีปาก “ถ้าผมไม่บอกคุณ คุณจะจัดการผมหรือไง” เขาเริ่มท้าทาย เสมือนลืมไปแล้วว่าร่างกายของตัวเองมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำพูดนั้นแค่ไหน ต่อให้ในใจจะไม่ได้เห็นพ้องด้วยก็ตาม



“ดูคุณก็อยาก” ต่อให้พูดอย่างนั้น ลมหายใจเชสเตอร์ก็สั่นสะท้านไม่ต่างกัน



ไม่ทันจะสิ้นเสียง ริมฝีปากชมพูเข้มก็ปิดลง นักสืบหนุ่มเบียดแผ่นหลังชื้นเหงื่อติดผนังห้องแม้ไม่เหลือที่ว่าง กระทั่งสองมือที่เคยยันผนังไว้ของเชสเตอร์เปลี่ยนมาโอบรอบเอว รั้งให้ร่างกาย—ส่วนล่างของพวกเขาแนบชิดและดุนดันกัน ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นทำให้เอ็มถอยใบหน้าออกมา ขณะไรหนวดคมๆ ยังคลอเคลียอยู่ที่บริเวณสันกราม สูดดมกลิ่นกายที่ดึงดูดตัวเขาตลอดเวลาตั้งแต่พบหน้ากัน จนมาลงเอยในสถานการณ์นี้



“...เขาวางแผนให้เอสโอซิกซ์ล่อเราออกไปเพื่อที่จะจัดการกับคนในตึก พอเสร็จแล้วก็เอาตัวคุณไปรีดข้อมูลบางอย่าง จากสภาพของคุณ น่าจะเป็นอย่างนั้นถูกไหม”



‘เด็กดี...’



ภาพไม่ปะติดปะต่อของบางสิ่งบางอย่างที่กำลังขยับเขยื้อนแทรกขึ้นมาตรงหน้า เป็นชั่ววินาทีหนึ่งที่เหมือนสติเอ็มจะลอยไปไกล ทันทีที่รู้ตัว ผิวขาวซีดก็สะดุ้งเฮือกเมื่อมือซึ่งเคยวางอยู่บนเอวล้วงเข้าไปในกางเกงเขา มือทั้งสองข้างของเอ็มเผลอผลักเชสเตอร์อย่างแรง เหงื่อกาฬผุดทั้งกาย ก่อนเอ็มจะใช้มือทั้งคู่ลูบใบหน้าตัวเอง หัวใจเต้นแรงด้วยอารามตกใจ



เชสเตอร์ไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อเห็นท่าทีอย่างนั้น “...ผมขอโทษ”



ร่างใหญ่เว้นระยะห่างออกมาและไม่ได้กลับเข้าไป ยอมรับจากใจจริงว่าตัวเองเผลอตัวไปไม่หน่อย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหน้าชา เชสเตอร์เป่าลมออกจากปาก ไม่รู้จะเอาสายตาไปไว้ตรงไหน



“คืนนี้คุณนอนในนี้แล้วกัน ผมออกไปนอนข้างนอกเอง”



ไม่ใช่อย่างนั้น



เอ็มเลียริมฝีปาก เชสเตอร์พยายามยิ้มบางๆ แล้วค่อยเดินเลี่ยงไปประตูที่อยู่ห่างจากเขาไม่กี่คืบ



“จับมือผม”



เชสเตอร์หยุด



ดวงตาสีฟ้าอมเทามองมือใหญ่ที่จับอยู่ที่ลูกบิดประตู เขากลืนน้ำลาย เชสเตอร์ไม่พูดอะไร เอ็มเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่าย เห็นความไม่เข้าใจฉายอยู่ในนั้น ก่อนเชสเตอร์จะหันกลับมามองใบหน้าและหูที่เป็นสีชมพูเรื่อตรงๆ ไม่ใช่เพียงคำพูด ทุกสิ่งที่เอ็มแสดงออกมาทำให้เขากลับต้องเดินเข้าไปใกล้คนคนนี้อีกครั้ง แม้จะด้วยระยะห่างมากกว่าก่อน



มือขวาของคนมีส่วนสูงมากกว่าห้านิ้วค่อยๆ เคลื่อนไปหามือที่เหมือนจะขยับหนีเขาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เอ็มกลับยกมือซ้ายขึ้นมา อุ้งมือเชสเตอร์รับมือบางนั้นเอาไว้



“มือคุณสั่น” เสียงต่ำว่า



คำพูดของเชสเตอร์ไม่เกินไปกว่าความจริง ปลายนิ้วส่วนไม่ถูกพันผ้าไว้เย็นเฉียบ มือของเอ็มสั่นอยู่ในมือเขา เชสเตอร์ค่อยๆ ขยับกายเข้ามาใกล้ เห็นแววตาไม่แน่ใจในสถานการณ์อย่างชัดเจน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเอ่ยว่า



“ทำให้มันหยุดสั่นทีสิ”



ภายด้านในตัวพวกเขากำลังเรียกร้องหากัน ทั้งคู่รู้สึกอย่างนั้นตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกเมื่อสองวันก่อน



“คุณแน่ใจ?”



เอ็มหลุบตา เลื่อนมือที่ประสานกันมาใกล้ริมฝีปาก จูบลงบนข้อนิ้วมือสีแทนอย่างเชื่องช้า จากนิ้วก้อย จนถึงนิ้วชี้ แล้วค่อยวางใบหน้าตัวเองที่มือเชสเตอร์ ซึ่งภายหลัง กลายเป็นเป็นเชสเตอร์ที่ประคองใบหน้าเอ็มด้วยมือตัวเอง นิ้วโป้งลูบแนวสันกรามของชายอ่อนวัยกว่า รู้ตัวอีกที ระยะห่างที่เคยถูกเว้นไว้ ก็กลับมาใกล้ชิดดังเดิม



“โอเค...” คล้ายเชสเตอร์เพียงพูดกับตัวเองเมื่อเอ็มจูบเบาๆ ที่อุ้งมือซึ่งยังอยู่บนกรอบหน้าของเจ้าตัว ระยะห่างระหว่างสองคนจึงสิ้นสุดลง ณ เวลานั้น



ริมฝีปากสัมผัสกันได้ครู่เดียวก็ผละห่าง แล้วกลับมาใกล้กันใหม่ คราวนี้เป็นสัมผัสที่ยาวนาน มือขวาเชสเตอร์ปล่อยจากใบหน้าด้านข้างเอ็มไปอยู่ที่สีข้าง เลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ ขณะที่สัมผัสบนริมฝีปากลึกซึ้งและรุนแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น ปลายนิ้วเชสเตอร์ลากตามแนวขอบยาง และเลื่อนมันลงมาอย่างหมิ่นเหม่



ลมหายใจร้อนปะทะกับใบหน้าทันทีที่เชสเตอร์ละใบหน้าจากอีกคน นักสืบหนุ่มหอบหายใจหนัก มือของเชสเตอร์เกี่ยวกางเกงขายาวของเขาให้พ้นไปจากเรียวขา เหลือแค่กางเกงชั้นในสีเข้มที่กันไม่ให้ส่วนอ่อนไหวออกมาสู่ภายนอก กับเสื้อยืดสีเทาเข้มบนร่างกาย ส่วนเสื้อคลุมที่เชสเตอร์เคยให้เขา ตอนนี้ตกลงไปกองกับพื้น ดวงตาสีเขียวของเกรย์วูล์ฟหนุ่มซึ่งเปี่ยมไปด้วยความต้องการจ้องมองใบหน้าแดงเรื่อชั่วอึดใจหนึ่งราวให้เวลาเตรียมใจกับการเป็นฝ่ายถูกล่า ก่อนท่อนแขนแกร่งจะยกร่างของเอ็มตัวลอย



เอ็มร้องเสียงหลงเมื่อถูกโยนลงบนเตียง เขาถดตัวขึ้นพิงหัวเตียง ในสายตาคือร่างของหมาป่าที่พร้อมขย้ำเหยื่อ เชสเตอร์ถอดสเวตเตอร์ออก เผยเรือนร่างสีแทนที่เอ็มไม่อาจหาคำบรรยายนอกจาก—อาจจะฟังดูตลก แต่เอ็มคิดว่าบางทีผู้ชายคนนี้น่าจะเลิกเป็นสายลับแล้วไปแคสต์หนังซูเปอร์ฮีโร่สักเรื่อง



นักสืบหนุ่มตัวสั่นทั้งด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเกินควบคุม และความกลัวจากการเพิ่งตระหนักบางสิ่งบางอย่างได้



“ทำไมผมต้องอยู่ข้างล่าง” เอ็มถามพลางมองรอยสักลายประหลาดที่กินพื้นที่ตั้งแต่ไหล่ซ้ายจนถึงหลังมือของอีกฝ่าย ไม่ทันได้สงสัยรอยแปลกแยกบนแขนข้างเดียวกัน ในตาทั้งคู่ของเอ็มมีความกังวลฉายอยู่ เชสเตอร์ชะงักมือที่กำลังจะถอดกางเกงตัวเอง



“คุณบาดเจ็บอยู่ คนเจ็บก็ควรนอนเฉยๆ”



“ไม่เมคเซนส์สักนิด” เอ็มว่าเสียงเบา พลางนึกในใจว่าอีกฝ่ายไม่ควรพูดอย่างนี้หลังเพิ่งจากเหวี่ยงเขาลงบนเตียงไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน โชคดีที่แผลเขาไม่กระทบกระเทือนจนปากแผลฉีกมากกว่าเดิม



เชสเตอร์กลืนน้ำลาย ความจริงเขาก็เพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายจะโอเคหรือเปล่ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ได้หมายถึงว่าเอ็มจะยอมนอนกับเขาร้อยเปอร์เซนต์หรือเปล่า แต่เอ็มจะโอเคกับ ‘ตำแหน่ง’ ของตัวเองหรือเปล่า เขาสัมผัสได้ว่านักสืบคนนี้ไม่ได้ไร้ประสบการณ์ แต่กับสถานการณ์เช่นตอนนี้ มันเป็นครั้งแรกของอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย



“ผมเข้าใจ ผมจะอ่อนโยน สัญญา” เชสเตอร์บอกด้วยเสียงอ่อนโยนปกติ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยให้เอ็มผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย



อาจฟังดูใจร้าย แต่เขาไม่มีความคิดจะยอมให้เอ็มอยู่ด้านบนในหัวเลยสักนิด



ในที่สุดเชสเตอร์ก็ขึ้นมาอยู่บนเตียง มือเอ็มเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ปรกหน้าปรกตาเมื่อเจ้าของมันอยู่เหนือร่างเขา ก่อนจะลูบปลายคางสาก แล้วรั้งศีรษะอีกฝ่ายเข้าใกล้ด้วยตัวเอง ความวาบหวามแผ่ซ่านไปทั้งสรรพางค์กายเวลาที่ลิ้นอุ่นแลกสัมผัสกัน มือของเชสเตอร์ไม่ได้อยู่นิ่ง เขาแยกเรียวขาสองข้างที่ไม่ยอมห่างออกจากกันแล้วแทรกตัวอยู่ระหว่างกลาง โดยให้ขาของคนข้างใต้เกี่ยวเอวตัวเองไว้ และเริ่มโลมไล้ผิวกายภายใต้เสื้อยืดที่ตัวเองเป็นคนเปลี่ยนให้อีกฝ่ายยามไม่ได้สติ เอ็มสะดุ้งโหยง แผงอกเขากระเพื่อมด้วยจังหวะการหายใจกระชั้นถี่ เชสเตอร์ดึงเสื้อยืดสีเทาให้พ้นจากศีรษะเอ็มได้โดยเจ้าตัวแทบไม่ได้ขยับร่างกายและไม่เจ็บแผล แต่แล้วก็เป็นตัวเชสเตอร์เองที่ถูกดึงดูดอย่างช่วยไม่ได้



เอ็มไม่ได้ผอมแห้งเหมือนที่เขาเคยจินตนาการตอนแรกพบ นอกจากหน้าตาที่ค่อนข้างเรียกได้ว่าเตะตาคนทั่วไปแล้ว เรือนร่างของนักสืบหนุ่มยังสมส่วนอย่างที่ไม่ได้มีกล้ามเนื้อหนา หรือรูปร่างสูงใหญ่ แต่มีความพอดี สมบูรณ์ในตนเองจนเขาไม่อาจละสายตาได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเวลาที่อีกฝ่ายสั่นเร่าอยู่ข้างใต้เขาแบบนี้ เชสเตอร์ยิ่งชอบใจเป็นพิเศษ จนอยากขบเม้มแสดงความเป็นเจ้าของไว้ไม่ให้เหลือที่ว่างบนผิวซีดๆ ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยนั้น



เอ็มไม่อาจเปล่งเสียงอะไรออกมาได้นอกจากลมหายใจสั่นสะท้าน ริมฝีปากบางเผยอออกตลอดเวลาที่มองตามกลุ่มผมน้ำตาลอ่อนซึ่งเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ ฟันคมงับขอบกางเกงชั้นในเขาและลากมันลงด้วยปาก ค่อยๆ ปล่อยความคับแน่นให้ออกมาเผชิญโลกภายนอก นักสืบหนุ่มขบริมฝีปากระบายความอึดอัด ก่อนที่คนเหนือร่างจะเกาะกุมมันไว้ด้วยมือ



ความเป็นโอเมกาอะไรนั่นมันไม่มีอยู่จริง เชสเตอร์คิดในใจ



เขาใช้มือจัดการกับมันพร้อมกับดูปฏิกิริยาของเจ้าของผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม เชสเตอร์ปัดเส้นผมที่ระใบหน้าชื้นเหงื่อให้เข้าที่เข้าทาง และจูบลงบนมุมปากคล้ายปลอบประโลม ทว่าเป็นการให้สัญญาณว่าต่อจากนี้ ศึกหนักกำลังจะมา



อัลฟาหนุ่มโยนอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของตนไว้ที่ข้างเตียง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบเครื่องป้องกันและสารหล่อลื่นออกมาจากตู้ใส่ของข้างหัวนอนเพื่อสวัสดิภาพของผู้ชายตรงหน้า เขาขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ใกล้จนเกือบแนบชิดกัน ก่อนเชสเตอร์จะผ่อนลมหายใจหนักๆ



“เดี๋ยว...คุณ...” ทว่าเอ็มกลับขัดขึ้นมา



เชสเตอร์หยุดตามคำร้องขอ ใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่ลมหายใจกั้นเหมือนกำลังพูดคุยด้วยสายตา มือขวาที่มีผ้าพันแผลของเอ็มลูบเบาๆ ที่ข้างแก้มคนด้านบน จูบบนริมฝีปาก แล้วผละออกเพื่อหายใจเข้าออกช้าๆ เชสเตอร์จับมือข้างนั้นไว้ แล้วจึงก้มลงไปจูบอีกฝ่ายยาวนานกว่าเดิม กระทั่งมือข้างหนึ่งของเขาประคองสะโพกเอ็ม ขณะค่อยๆ ลดระยะห่างระหว่างพวกเขาสองคน เขาได้ยินเสียงสะอื้น ก่อนจะคงความเงียบคล้ายเจ้าของเสียงกลั้นหายใจไปแล้ว



“อย่าเกร็ง” เขาบอกเสียงต่ำ



เอ็มไม่ตอบอะไรนอกจากหอบหายใจ ยิ่งเชสเตอร์ขยับกายเข้าไปอีก อีกฝ่ายก็ยิ่งรัดเขาเสียแน่น มือของเอ็มข้างที่ไม่ได้เจ็บบีบมือเชสเตอร์ไว้ เชสเตอร์ประสานมือกับมือเย็นเฉียบนั้น อย่างน้อยก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้เจ้าตัวหมดความอดทนไปเสียก่อนที่จะได้ใกล้กันถึงที่สุด



“คุณ...” เสียงเอ็มเกือบหายไปในลำคอ “ผมเจ็บ”



ริมฝีปากทาบทับกัน จากเดิมที่หายใจไม่ทั่วท้องอยู่แล้ว เขารู้สึกเหมือนจมน้ำ ปลายนิ้วเท้าเอ็มจิกกับที่นอน ความสากของหนวดเคราเคลื่อนจากริมฝีปากลงต่ำ สัมผัสกับอีกส่วนอ่อนไหวสองข้างบนเนินเนื้อแดงเถือก ครั้งแรกของการรุกล้ำนั้นไม่คุ้นเคยจนต้องส่งเสียงประท้วงออกมา แต่ด้วยความวาบหวาม หน้าท้องราบจึงหดเกร็งและสั่นเทิ้ม อีกฝ่ายถือโอกาสใช้ช่องว่างนั้นในการแทรกเข้ามาในตัวเขาจนหมดในที่สุด เอ็มเงยหน้าหอบหายใจเหมือนคนสิ้นเรี่ยวแรง ทั้งที่เพิ่งเริ่มต้นได้เท่านั้น



“ดีขึ้นไหม”



เอ็มไม่ตอบ แต่ทำหน้าตำหนิใส่อีกฝ่ายแทน เชสเตอร์ยิ้มบางๆ เพราะร่างกายของเอ็มไม่ได้บอกสิ่งเดียวกัน เขาลูบข้างแก้มของคนใต้ร่าง สูดดมกลิ่นกายน่าดึงดูดแปลกๆ บนซอกคอซ้ำไปซ้ำมา มันเป็นเหมือนสิ่งเสพติดยิ่งกว่ากลิ่นบุหรี่ที่เขาเลิกไปนานแล้ว เชสเตอร์อยากจะฝังเขี้ยวไว้ตรงนั้น แต่เพียงแค่เริ่มขยับร่างกายอีกครั้ง เขาก็อดสงสารเอ็มไม่ได้



สรีระของโอเมกาไม่ได้เหมือนในอดีต ไม่ได้มีส่วนไหนที่ไว้รองรับการรุกรานของใคร ไม่มีความสามารถในการอุ้มท้องเด็กคนไหน ไม่ต่างกับอัลฟาหญิงที่เปลี่ยนบริบทจากเหนือเป็นใต้อย่างไม่มีข้อยกเว้น วิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง กาลเวลาเปลี่ยนทัศนคติจากแปลกเป็นสมควร จากสมควรเป็นแปลก



ความอึดอัดในร่างกายลดลงไป แต่ก็กลับมาอีกครั้ง ห่างหาย ใกล้ชิด วนเวียนสร้างความหวั่นไหวกับทุกสัมผัส เอ็มสบตาดวงตาสีเขียวที่จ้องมองเขาอยู่เหนือร่าง ไรผมสีน้ำตาลอ่อนเปียกแนบอยู่กับกรอบใบหน้าคม คล้ายว่าคู่นอนของเขาจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าในคืนพระจันทร์ไม่เต็มดวง เมื่อร่างกายเอ็มปรับสภาพได้ บรรยากาศระหว่างพวกเขาก็เปลี่ยนไป



เอ็มจับมือเชสเตอร์แน่นจนสาบานได้ว่าหากตัวเชสเตอร์ไม่ได้เคยจับอาวุธนานาชนิด ไม่เคยผ่านการฝึกฝนร่างกายจากหน้าที่การงาน กระดูกของเจ้าหน้าที่หนุ่มจะต้องแหลกไปนานแล้ว ยิ่งเขาเปลี่ยนจังหวะร่างกายจากเนิบนาบเป็นเร่งเร้า บรรยากาศระหว่างพวกเขาก็เหมือนพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ ซัดทุกสิ่งกีดขวางให้ราบเป็นหน้ากลอง มือข้างขวาเอ็มเปลี่ยนมาโอบรอบลำคอเชสเตอร์ กดริมฝีปากบดเบียดกับคนด้านบนอย่างที่ไม่อาจห้ามจังหวะหัวใจที่เต้นรัวถี่ เขาเผลอกัดปากล่างของอีกฝ่ายจนรู้สึกถึงรสเลือด ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ เชสเตอร์ประทับริมฝีปากเขาอีกครั้งในตอนที่เอ็มคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเจ็บเพราะโดนเขากัด แต่ไม่...เชสเตอร์มอบสัมผัสที่รุนแรงยิ่งกว่า ทั้งจูบ และทางอื่น เอ็มจิกกล้ามเนื้อแข็งๆ ตรงไหล่ ความอึดอัดคับแน่นปะทุและคลายลงแทบจะพร้อมกัน ซีกใบหน้าซุกลงกับหมอนขณะแผงอกชมพูอ่อนกระเพื่อมตามจังหวะหายใจ



เกรย์วูล์ฟหนุ่มวางศีรษะบนบ่าเอ็มอย่างอ่อนแรง เขาปล่อยให้ลมหายใจร้อนรุ่มรินรดผิวเนื้อ เช่นเดียวกับช่วงล่างที่ยังถูกโอบล้อมอยู่ในร่างกายของเอ็ม เขาอยากจะกัดผิวเนียนที่เหมือนไม่เคยออกไปแตะมลภาวะจากโลกภายนอกนั่นแรงๆ สักที แต่สุดท้ายก็เลือกจูบเบาๆ ครั้งหนึ่งตรงข้างลำคอ ก่อนขยับตัวออก



ลมหายใจกลับมาเป็นปกติ อุณหภูมิในห้องกลับมาเป็นปกติ ยกเว้นตัวเขาที่ไม่รู้สึกถึงความปกติเหล่านั้น ผิวกายเริ่มรู้สึกถึงความหนาว นักสืบหนุ่มจึงดึงผ้าห่มยับยู่ยี่ที่กองอยู่บนพื้นมาห่มตัวพลางชำเลืองมองคนที่นอนอยู่ข้างกาย เขายังสัมผัสถึงบางอย่างจากตัวอีกฝ่ายได้เหมือนทุกครั้ง เพียงแต่มีอย่างอื่นที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในใจเขาหลังทุกอย่างเรียบร้อย และทิ้งความเจ็บหนึบอย่างที่ไม่เคยสัมผัสเอาไว้



ไฟเพดานถูกเปลี่ยนมาเป็นไฟจากโคมไฟหัวเตียงสีส้มสลัว เชสเตอร์ยังนอนอยู่ที่เดิมโดยมีผ้าห่มคลุมกายครึ่งหนึ่ง ดวงตาสีฟ้าอมเทาของเอ็มมองเพดานสีทึมระหว่างเอ่ย “เพื่อนของคุณ”



เชสเตอร์เลิกคิ้ว เขามองใบหน้าด้านข้างของเอ็มที่กำลังนอนหงาย ปล่อยให้แผ่นอกเปลือยเปล่า เมื่อคิดถึงเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามตั้งใจจะพูด เขาก็เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา



“เขาจงใจให้คุณมาเจอเขาในวาระสุดท้าย” เอ็มพูด “ซินส์ไม่ใช่ทางออกของเขา”



“เอ็ม” ชายหนุ่มขัดเสียงหนักแน่น



“ผมขอพูดให้จบก่อน”



เชสเตอร์ผ่อนลมหายใจ



‘ถ้าการเข้าพวกกับซินส์เป็นทางออกที่ดีที่สุดของเขา ทำไมเขาถึงยังต้องตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง แล้วในตอนที่เขาตัดสินใจอย่างนั้น ทำไมเขาถึงยังตัดเรื่องคุณออกไปไม่ได้ล่ะเอ็ม เขาจะเอาตัวคุณไปทำไม’



‘บางครั้งผมก็คิดว่าคงดี ถ้าตัวเองหลับตานอนไปแล้ว วันพรุ่งนี้จะไม่มาถึงอีก’



‘เรื่องที่โหดร้าย คุณไม่รู้เหรอ’



เอ็มคิดถึงคำพูดของคนข้างกายในตอนแรกที่พวกเขาเข้ามาในห้องนี้ ความคิดของเชสเตอร์นั้นถูกต้องทุกประการ หากความคิดนอกเหนือจากนั้นก็ผ่านเข้ามาในหัวเอ็มด้วย แต่ท้ายที่สุด เขาก็เลือกพูดออกไปสั้นๆ แค่ประโยคเดียว “ถึงตอนแรกเขาจะคิดอย่างนั้นก็เถอะ”



หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก เขาอยากหลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่หลับ กระทั่งเชสเตอร์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบระหว่างทั้งคู่ในไม่กี่นาทีต่อมา



“คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเครื่องมือ” ชายผมน้ำตาลอ่อนบอกเสียงเบา “ถึงผมจะเคยพูดอะไรทำนองนั้นก็เถอะ”



ดวงตาสีเขียวมองใบหน้าที่แก้มเป็นสีเลือดฝาด ใบหน้านั้นก็ทำหน้าเหมือนมีคำว่า ‘ทำไม?’ อยู่ในหัว ทั้งที่ไม่ได้หันมา



“เพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตัว”



เอ็มยิ้มบางๆ กับคำว่าเรื่องส่วนตัวที่เอ่ยออกมาโดยเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าแขนผมโอเค ผมคงอยากพลิกตัวไปหาคุณ”



“งั้นเราควรสลับฝั่งกัน” เชสเตอร์ว่า



“ไม่เป็นไร” เอ็มบอก เขาหันไปสบตากับเชสเตอร์ครู่หนึ่ง เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนด้านข้างตอนหันกลับมา “งั้นไว้พรุ่งนี้เช้า ผมจะบอกคุณในสิ่งที่ผมรู้”



“อืม” เชสเตอร์ตอบเบาๆ บรรยากาศผ่อนคลายกลับมาอีกครั้ง เพียงคำนั้นแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก เขาทั้งคู่เงียบลง ก่อนเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของหนุ่มร่างใหญ่กว่าจะมีให้อีกคนได้ยิน



เอ็มนึกถึงเรื่องส่วนตัวที่ว่าของตัวเอง แม้จะเป็นความเห็นแก่ตัวน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในใจ แต่เพียงแค่คืนนี้ หากเขานอนหลับโดยไม่ฝันอะไร ไม่เห็นร่างของใคร มันก็คงจะเป็นคืนที่ดีในรอบหลายวันที่ผ่านมา



ทว่าถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ท้ายที่สุด สิ่งสุดท้ายที่อยู่ในกระบวนการคิดของนักสืบหนุ่มก็คือเรื่องของคดี รวมทั้งเรื่องของบางสิ่งบางอย่างที่คนคนหนึ่งทิ้งไว้ให้ สิ่งที่รบกวนจิตใจเขาตลอดมา ซึ่งเขาจะต้องตามหามันให้พบเพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากมันเสียที



เอ็มกอดตัวเอง ไล่ความรู้สึกแปลกประหลาดเริ่มแทรกซึมเข้ามาในความรู้สึก







TBC







สามารถติดแท็ก #TheMCase เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ค่ะ







ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 24/8/18 Chapter 11 UPDATED
«ตอบ #27 เมื่อ24-08-2018 23:41:02 »

หืม หืมมมม  บรรทัดสุดท้ายนี่มันยังไง  :katai1:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 24/8/18 Chapter 11-12 UPDATED
«ตอบ #28 เมื่อ24-08-2018 23:56:56 »

กรี๊ดดด  เซิ้ง  :hao7: แต่ว่านะ จะผลัดกันจริงหรอคะคุณขา~

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: The M Case by Chester Lavins (Omegaverse) :: 24/8/18 Chapter 11-12 UPDATED
«ตอบ #29 เมื่อ25-08-2018 22:09:43 »

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด