(จบแล้ว) Red fox#น้องจะตอบแทนพี่เอง Ch.17 (16.08.18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (จบแล้ว) Red fox#น้องจะตอบแทนพี่เอง Ch.17 (16.08.18)  (อ่าน 132782 ครั้ง)

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
สามีขี้งอน

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
 :m20: :m20: :m20:

ออฟไลน์ iamew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุดเลยค่ะ อ่านแล้วก็.. น้องงงงงงงงง น้องวนไป ดีนะที่ลูกของน้องไม่ได้ชื่อน้อง น้อง น้อง กับน้องน่ะ
แต่ชารินซัง พี่อย่างอนน้องงี้ดิ โถ่ว ถ้าเกิดน้องชอบอะไรทีนี้จะเก็บไปชอบคนเดียวเงียบๆ นี่จะโทษน้องไม่ได้นะ
อยากเห็นตอนพ่อแม่ชารินซังมาเจอแก๊งก้อนขนใจจะขาด นี่ลองนั่งนึก ไม่ว่าปฏิกิริยาพวกท่านจะไปทางไหนก็น่าสนุกทั้งนั้นเลย
ดีไม่ดีแค่เห็นเค้าหน้าเจ้าก้อนขนทั้งสี่จะต้องแบบ เอ๊ะๆ
คิดถึงพี่หมาป่าด้วย อยากให้คืนดีกัน นี่ว่าพี่หมาป่าไม่ได้โกรธอะไรน้องหรอก
แค่เห็นว่ามนุษย์ชารินซังพอจะไว้วางใจได้เลยปล่อยน้องมา พี่หมาป่าเท่ที่สุด
ฟิลพี่หมาป่ากับน้องนี่เหมือนแบบพี่น้องต่างสายพันธุ์เลย

ขอบคุณคุณนักเขียนค่ะ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่สนุกและน่าจดจำมากๆ เลย

ออฟไลน์ spanap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮรืออออ มาอ่านเพราะมีคนรีวิวว่า น้อง มาอ่านละไม่อยากให้จบเลยยยยย ฮรืออออ :hao5:

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ชารินซังงงงงง โลกของน้องแคบมากเลยนะ เอาจริงๆน้องไร้เดีนงสามากเติบโตมาในป่า มาเจออะไรใหม่ๆยอมอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา ทำใจให้กว้างๆหน่อยสิเพ่!

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ถ้าทำน้องร้องไห้อีกจะตีชารินซัง !!

ออฟไลน์ AdLy

  • ไม่ได้ Korea Fever แค่รัก ดงบังและเอสเจ เท่านั้น
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ชาริน ซังร้ายกาจมาก
น้องข่วนหน้าลุงเลยลูก

ออฟไลน์ ตัวเล็ก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น่ารักมากเลยน้องงงง
ชริณก็ตามใจน้องหน่อยยย ฮิฮิ
 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ BeauBeeiiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
อ่านแบบรวดเดียว นี่คือในกัววนเวียนแต่คำว่าน้องอ่ะ

อะไรจะน่าฟัดขนาดนี้

ออฟไลน์ แมว

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ใจร้ายจริงเมินน้องได้ไง น้องเสียใจเลยเห็นมั้ย เห้อม :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Red fox#น้องจะตอบแทนพี่เอง Ch.15 (1/2) (2.08.18)
« ตอบ #159 เมื่อ: 09-08-2018 01:03:03 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Matia

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น้องงงงงงง น่ารักมากๆเลยค่ะ

อยากให้มีภาคต่อของคุณหมาป่าด้วยจัง ><

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
       

             “ชาริน ซังงงงงง”



                “ว่าไง หืม”



                “น้องทำท่าแบบนี้ ถูกไหม?”



                “แบบนั้นมันท่าไหว้พระแล้ว ยกถึงเท่านี้ก็พอ” กลีบปากหยักถึงกับคลี่ยิ้ม นึกเอ็นดู เมื่อเห็นท่าทีเงอะงะของคุณแม่ลูกสี่ ก่อนชริณจะแสดงตัวอย่างการไหว้ผู้ใหญ่แบบไทย ๆ ให้เจ้าจิ้งจอกดูอีกครั้งอย่างเต็มใจ ดูท่าอีกฝ่ายเองก็คงตื่นใจและเอาใจพ่อแม่ของชริณจริง ๆ



                 ในวันพรุ่งนี้ชริณจะต้องขึ้นเครื่องตั้งแต่เช้า เตรียมไปรับคุณพ่อคุณแม่มาญี่ปุ่นตามแผนการที่เขาวางเอาไว้ ยิ่งใกล้วันที่ทั้งสองจะได้พบกัน เขาก็ยิ่งกังวล ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ชริณเชื่อหากว่าเขายังเอ็นดูเจ้าจิ้งจอกถึงเพียงนี้ พ่อแม่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน



                “แบบนี้ใช่ไหม” เจ้าจิ้งจอกน้อยเอ่ยถามอีกครั้ง พร้อมกับแสดงท่าไหว้ผู้ใหญ่ให้สามีได้ตรวจเช็ก



                “แบบนี้แหละ”



                “งั้นน้องจะไปสอนลูกต่อ” เจ้าตัวเล็กพูดงึมงำ ก่อนจะเดินผ่านไปเข้าห้องลูกเพื่อสอนในสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้จากสามีมา



                ไม่ใช่แค่อยากไหว้เพื่อเอาใจ แต่คุณแม่ลูกสี่ยังมีการอ้อนให้สามีสอนแนะนำตัวสั้น ๆ เป็นภาษาไทยด้วย พอได้ความรู้จากสามีก็รีบวิ่งแจ้นไปสอนลูกต่อ เพราะอยากให้คุณปู่คุณย่าเอ็นดูหลาน ๆ ด้วย



                นับจากนี้ไปเจ้าจิ้งจอกน้อยไม่ได้อยู่บ้านเปล่า ๆ คอยเลี้ยงลูกอีกแล้ว แต่ชริณมีโครงการจะสอนภาษาญี่ปุ่นให้ด้วย อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับภาษาอ่านออกเขียนได้ขั้นพื้นฐาน



                เจ้าจิ้งจอกสื่อสารได้ก็จริง แต่อ่านหนังสือไม่ออก ลำพังอยู่แค่บ้านเฉย ๆ ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่คนเราไม่สามารถอยู่บ้านตลอดเวลาได้ ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องออกไปเผชิญโลกภายนอก ไกลกว่าห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านและไม่มีชริณคอยช่วยเหลือ ดังนั้นภาษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ



                ฝั่งคุณแม่ลูกสี่เมื่อได้รับความรู้ที่ถูกต้องจากสามีแล้ว ก็รีบวิ่งมาสอนลูก ๆ ก่อนที่ตัวเองจะลืม น้องฉลาดก็จริง มีมันสมองมากกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไป แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ามนุษย์อยู่ดี ดังนั้นต้องมีการย้ำคิดย้ำทำบ่อย ๆ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ลืม อาจไม่เข้าใจอะไรง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้โง่จนคนรำคาญ



                “ดูแม่เป็นตัวอย่างน้า...ทำแบบนี้ ๆ” หลังเรียกให้ลูก ๆ เข้ามามุงเพื่อดูตนได้แล้ว เจ้าจิ้งจอกก็เริ่มทำการไหว้แบบไทย ๆ ที่ได้ความรู้มาจากชาริน ซังมาให้ลูก ๆ ได้ดู ซึ่งเจ้าก้อนขนทั้งสี่ก็ได้ทำตาม มือป้อม ๆ ประกบกันไว้และยกขึ้น หัดเรียนรู้ตามแม่อย่างมึนงง



                “เราต้องทำด้วยหลอ คุงแม่” สายรุ้งถาม



                “ต้องทำตามนะ ๆ คุณปู่คุณย่าจะได้เอ็นดูเราไง”



                “แล้วคุงปู่คุงย่าเป็นใครอ่า” ตะวันถามต่อ ไม่เคยได้ยินคำนี้เลย ตั้งแต่เกิดมาก็รู้จักแต่พ่อแม่



                “ก็เป็นพ่อแม่ของคุณพ่อไง” เจ้าจิ้งจอกไขความสงสัยให้กับลูก



                “แล้วคุงแม่ หนูยกแบบนี้ได้ไหม” ว่าจบดวงดาวก็เอามือประกบกันทั้งสองข้างและยกขึ้นท่วมหัวโชว์ให้คุณแม่ดู



                “ท่านี้แม่ก็เคยทำให้คุณพ่อดูเหมือนกัน แต่คุณพ่อบอกว่ามันผิด ยกแค่เท่านี้ก็พอ” พูดเสร็จ คนแม่ก็โชว์ท่าไหว้ที่ถูกต้องให้ลูก ๆ ได้ดูอีกครั้ง



                มันอาจจะดูยุ่งยากไปเสียหน่อยกับการที่เราต้องเตรียมตัวครั้งนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่วัฒนธรรมของบ้านเรา แต่เจ้าจิ้งจอกน้อยก็ทำด้วยความเต็มใจ เพราะอยากให้พ่อแม่ของชาริน ซัง ประทับใจตัวเองและครอบครัวก้อนขนของเราจริง ๆ



                “ถ้ามันยากก็ไม่ต้องทำก็ได้นะ พ่อแม่เข้าใจอยู่แล้ว” ชริณที่เพิ่งจัดกระเป๋าเดินทางของตัวเองเสร็จ เดินเข้ามาโอบกอดภรรยาตัวเล็กไว้ข้างหลังพร้อมกับจูบข้างขมับอีกฝ่ายเบา ๆ โชว์หวานต่อหน้าพยานรักของเรา



                เขารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าจิ้งจอกและแก็งก้อนขน เห็นแบบนี้ก็อดสงสารไม่ได้ ดูว่าอยากทำให้คุณปู่คุณย่าประทับใจตั้งแต่แรกเห็น แต่ถ้ามันลำบากตัวเองมากเกินไปก็ไม่ดีและชริณเชื่อว่าพ่อแม่ของเขาเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี



                “แต่น้องอยากให้คุณพ่อคุณแม่ชาริน ซังประทับใจ”



                “ลำบากเราไหมล่ะ” เขาย้อนถาม



                “ไม่ลำบากเลย แค่นี้สบายมาก!” ว่าจบก็ส่งยิ้มแฉ่งให้สามี ตั้งใจยืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูดจริง ๆ ทว่าทันทีที่ชริณได้เห็นรอยยิ้มนั้นก็ไม่รีรอฟัดแก้ม หอมฟอดใหญ่จนเกิดเสียง  ชาริน ซังพึมพำเบา ๆ ว่าน้องหาเรื่องใส่ตัว ทำเอาเจ้าจิ้งจอกน้อยถึงกับหน้าแดง เพราะเรากำลังจู๋จี๋กันต่อหน้าลูก ๆ



                ใกล้จะถึงวันที่ครอบครัวก้อนขนได้พบคุณปู่คุณย่ามากขึ้นเท่าไร คุณแม่ลูกสี่ก็รู้สึกกังวลและตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ว่าผลสุดท้ายมันจะเป็นอย่างไร แต่น้องจะทำให้พวกท่านประทับใจอย่างสุดกำลัง



                ขณะที่รอสามีอาบน้ำเสร็จ เพื่อที่เราจะได้เข้านอนพร้อมกัน คุณแม่ลูกสี่ก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า พยายามท่องการแนะนำตัวเองเป็นภาษาไทยอยู่หลายหน ยิ่งใกล้วันแล้วจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด



                “ชาริน ซังน้องพูดถูกหรือยัง?” หลังลองทบทวนประโยคแนะนำตัวเป็นภาษาไทยให้สามีฟัง เจ้าจิ้งจอกน้อยก็ถามความเห็นชริณอีกครั้ง เผื่อได้ปรับเปลี่ยนตรงไหนอีก



                “ถูกแล้ว”



                “ดีใจจัง” พอได้ยินสามีพูดเช่นนั้น เจ้าจิ้งจอกก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง ดวงตากลมโตปิดสนิทลง ปล่อยให้สามีที่ผมเผ้ายังไม่แห้งสนิทดีเข้ามาจุ๊บหน้าผากเหมือนที่เราชอบทำกันเป็นประจำ



                หลังส่งลูก ๆ เข้านอนแล้ว เราสองคนถึงได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น แก็งเจ้าก้อนขนเองก็หัดกลายร่างได้เก่งขึ้นแล้ว นั่นทำให้คุณแม่ผู้รับบทบาทเป็นครูฝึกสอนทักษะชีวิตครั้งนี้รู้สึกเบาใจลงเปราะหนึ่ง



                โดยปกติแล้วมนุษย์จิ้งจอกช่วงแรกเกิดจนถึงหกเดือนแรกจะยังควบคุมพลังที่ตัวเองมีไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องทำใจยอมรับ หากก่อนนอนจะเห็นลูก ๆ อยู่ในร่างทารก แต่พอเช้าวันต่อมาอาจอยู่ในร่างลูกจิ้งจอกแดง ซึ่งแล้วแต่ธรรมชาติจะกำหนด



                “พรุ่งนี้ชาริน ซังจะไปเช้าแค่ไหนอะ” เจ้าจิ้งจอกน้อยเอ่ยถาม หลังนึกได้ว่าพรุ่งนี้ชาริน ซังจะไม่อยู่บ้านทั้งวัน



                “เช้ามาก ๆ เลย เดี๋ยวตกเครื่อง”



                “แล้วจะอยู่ที่นั่นนานไหมอะ”



                “แป๊บเดียว แค่ไปรับพ่อแม่มาญี่ปุ่นเฉย ๆ” ชริณว่า แผนที่เขาวางเอาไว้ก็แค่ตั้งใจจะไปรับพ่อแม่มาที่บ้าน ไม่ได้ตั้งใจจะกลับไปพักผ่อนที่เมืองไทย ด้วยความที่เป็นห่วงคนทางนี้ด้วย จะรับมือแก็งเจ้าก้อนขนพ้นวันหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ

                อีกทั้งตอนนี้ชริณเองก็ได้พาครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่

ใหญ่กว่าเดิมตามที่เคยวางแผนเอาไว้ ซึ่งบ้านหลังใหม่ที่ว่าพ่อแม่เองก็ยังไม่เคยมา เขาจึงต้องไปรับ อำนวยความสะดวกให้พวกท่านอย่างที่ลูกคนหนึ่งควรจะทำ



                “ฉันไปแป๊บเดียว ดูแลลูกได้ใช่ไหม” ชริณเอ่ยถามเจ้าจิ้งจอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล



                “หูย...แค่นี้สบายมาก ชาริน ซังไม่ต้องห่วงเลย” เจ้าจิ้งจอกน้อยรับคำอย่างมั่นเหมาะ แค่เลี้ยงลูกสี่คนระหว่างรอพ่อกลับบ้าน มันจะไปยากอะไรกัน!       

 









                “จะไปแล้วนะ ดูแลบ้านดี ๆ ด้วย” เช้าวันต่อมา จากที่ตั้งใจจะไปสนามบินอย่างเงียบ ๆ ไม่อยากรบกวนเวลานอนของคุณแม่ลูกสี่ขึ้นมาส่งตน กลับกลายเป็นว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยกลับตื่นเช้าว่าคนที่ต้องออกเดินทางเสียอีก อีกฝ่ายตื่นเร็วกว่าถึงขั้นเตรียมอาหารเช้า กาแฟร้อนให้ชริณแล้ว



                “เดินทางปลอดภัยนะ” เมื่อมั่นใจแล้วว่าชาริน ซังไม่ได้ลืมอะไรไว้ที่บ้าน เจ้าจิ้งจอกก็เดินออกไปส่งหน้าประตูอย่างเช่นทุกวัน จริง ๆ มันก็ไม่ต่างจากวันทำงานปกติเท่าไรนัก เพราะน้องเองก็ออกมาส่งสามีไปทำงานเป็นประจำอยู่แล้ว  ต่างกันเพียงแค่ว่าครั้งนี้ชาริน ซังไปรับพ่อแม่ที่เมืองไทย มาพูดคุยทุกอย่างให้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่ควรจะเป็นก็เท่านั้นเอง



            ดวงตากลมโตมองตามรถแท็กซี่จะไปส่งสามีที่สนามบินไกลสุดสายตา ถึงได้กลับเข้าบ้านเตรียมสวมบทบาทเป็นแม่ของลูก ๆ อีกครั้ง น้องก็หวังแค่ว่าขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นอย่างที่หวังไว้ก็พอ....






_______________________
สกรีมแท็ก #น้องจะตอบแทนพี่เอง

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1


16


   “มาให้แม่กอดหน่อย คิดถึงจังเลยลูก”
   “คิดถึงเหมือนกันครับ”
   “โกหก....ถ้าคิดถึงแม่จริง ต้องมาหาแม่บ่อย ๆ สิ”
   “โธ่....ผมผิดไปแล้วครับ” ชริณถึงกับหลุดหัวเราะ เมื่อเจอแม่ฟาดแขนเข้าให้เพื่อทำโทษ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปสวมกอดแม่เองอย่างลูกชายช่างอ้อน ในที่สุดเขาก็มาถึงเมืองไทยเสียที กว่าจะมาถึงก็ช่วงบ่ายของวันแล้ว พอกลับมาอยู่ในบ้านเดิม ๆ ที่เติบโตมาตั้งแต่เด็ก ๆ ความรู้สึกเดิม ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง
   แม้ตัวชริณจะไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นหลายร่วมปี จนส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นกำลังกลืนกินเขาอย่างช้า ๆ แต่ยังไงเสียที่เมืองไทยบ้านก็คือบ้าน ชริณเติบโตที่นี่ ไม่มีอะไรอบอุ่นเท่าบ้านเราอยู่แล้ว เขาเองอยากพักอยู่ที่นี่นาน ๆ เหมือนกัน แต่การกลับบ้านมาครั้งนี้ เขามาเพื่อธุระ ไม่ใช่ตั้งใจจะมาพักผ่อนตั้งแต่แรก
   “พ่อ...สวัสดีครับ” หลังจากปล่อยให้แม่กอดจนหายคิดถึงแล้ว ชริณก็เข้าไปทักทายพ่อต่อซึ่งพ่อของเขาก็พยักหน้ารับอย่างเช่นทุกที
   เราไม่ได้คุยโทรศัพท์กันอีกเลยตั้งแต่ครั้งที่ชริณพูดเรื่องครอบครัวผ่านสายโทรศัพท์ให้พ่อฟังคราวนั้น อาจมีบ้างที่เขาโทรมาหา ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการจองตั๋ว เรื่องจุกจิกในการไปญี่ปุ่นมากกว่า ไม่ได้คุยเรื่องอื่นเป็นกิจจะลักษณะ
   สารภาพตามตรงตั้งแต่ที่ชริณก็ได้เล่าเรื่องราวชีวิตช่วงนี้ ครอบครัว คนที่ใช้ชีวิตร่วมกันที่ญี่ปุ่นให้พ่อฟังผ่านสายโทรศัพท์คราวนั้น เขาก็มีความเกรงใจคนเป็นพ่อมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่เวลาเราคุยกัน เรามักจะคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน การใช้ชีวิตมากกว่า เพิ่งจะมาได้คุยเรื่องส่วนตัวกันก็ตอนครั้งนั้น แม้บทสนทนาจะเป็นไปในทิศทางที่ดีจนทำให้ชริณโล่งอก แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้
   “เขาไม่มาด้วยเหรอ”
   “ครับ?”
   “คนที่ลูกเล่าให้ฟังไง” พ่อขยายความ
   “อ๋อ....” ชริณเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง “เขาไม่สะดวกครับ เจ้าตัวเล็ก ๆ ยังขึ้นเครื่องไม่ได้ เขาเลยต้องรออยู่ที่นั่นเพื่อดูแลลูก” ชริณว่าพร้อมกับสังเกตปฏิกิริยาของพ่อ 
   ชริณกลัวพ่อมากกว่าแม่ พ่อของเขาเป็นคนเงียบ ๆ  เวลากำลังคิดอะไรอยู่ก็จะไม่ค่อยพูดออกมา ต้องรอให้มั่นใจถึงค่อยพูดและสมาชิกในบ้านทุกคนก็จะต้องฟังเสมอ
   โชคดีที่ชริณได้พูดรายละเอียดคร่าว ๆ แล้วว่าเรื่องมันเป็นมายังไงให้ฟังแล้ว เขากำลังคบหากับใครอยู่ การพูดคุยแบบนั้น แม้จะไม่ได้พูดเป็นกิจจะลักษณะ เป็นเพียงแค่การเล่ารายละเอียดผ่านสายโทรศัพท์ แต่อย่างน้อยพ่อแม่ของเขาก็จะได้รับรู้เพื่อที่จะได้รับมือ
   ชริณรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อแม่ เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว....แต่ทุกอย่างมันเป็นไปแล้ว
   “งั้นไม่เป็นไร....เดินทางมาเหนื่อย ๆ ขึ้นไปนอนพักผ่อนเถอะลูก”  เพราะบรรยากาศที่เริ่มเครียดตึง ทำให้พ่อเลือกที่จะปล่อยตัวเขาขึ้นมาพักผ่อนก่อน
   ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่แสนคุ้นเคย เพราะเห็นปฏิกิริยาพ่อแม่แบบนั้น เขาก็เริ่มเครียด ทั้งพ่อทั้งแม่ดูไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น เขารู้ล่ะว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับท่านทั้งสอง แต่อยากให้ท่านลองเปิดใจดูสักนิด เพราะครอบครัวก้อนขนของเขา น่ารักกันทั้งนั้น
   เหมือนความเครียดกลับมากองอยู่ที่ตัวชริณแต่เพียงผู้เดียวอีกครั้ง ทั้งเรื่องพ่อแม่ ทั้งเรื่องครอบครัวก้อนขน ไม่รู้ป่านนี้เจ้าจิ้งจอกและแก็งก้อนขนจะเป็นยังไงบ้าง คุณแม่ลูกสี่จะรับมือลูก ๆ ตัวแสบของเราได้ไหม? อยู่ห่างกันไม่ถึงวัน เขาก็เป็นห่วงฝั่งทางนั้นแล้ว  เขาอยากรีบกลับญี่ปุ่นเหลือเกิน
   ความกังวลยังคงตามหลอกหลอนชริณจนกระทั่งเวลาที่เขามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ยิ่งเวลาผ่านไปเร็วขึ้นเท่าไร ทั้งสองครอบครัวก็ยิ่งใกล้พบกันมากขึ้นเท่านั้น ไฟล์ทบินจากไทยไปญี่ปุ่นที่ชริณจองไว้ให้พ่อแม่ออกเดินทางประมาณเที่ยงคืน พอไปถึงที่นั่นก็เช้าพอดี คราวนั้นแหละทั้งสองครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที
   
   ฝั่งคุณแม่ลูกสี่คิดว่าจะสามารถรับมือกับลูก ๆ เหมือนอย่างในทุกวัน ตอนสามีไปทำงานได้ กลับกลายเป็นว่าตอนนี้กำลังคิดผิดถนัด เจ้าจิ้งจอกน้อยกำลังหัวหมุน เพราะมันไม่ใช่อย่างที่คิดและน้องไม่สามารถตอบคำถามขี้สงสัยของลูก ๆ ได้หมด
   “คุงพ่อเมื่อไรจะกลับมาอ่า”
   “นี่มันหายไปนานแล้วนะ คุงแม่”
   “เลาออกไปตามหากันดีไหมคะ”
   “ฮือ...เมื่อไรคุงพ่อจะกลับมา” เสียงเล็ก ๆ ของแก๊งก้อนขนบ่นกันระนาว เมื่อเข้าใจว่าวันนี้เป็นอีกวันที่คุณพ่อจะไปทำงานและกลับบ้านมาตอนห้าโมงเย็นพอดี ทว่ารอจนแล้วจนเล่าก็ไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าประตูเสียที จนเจ้าหนูน้อยทั้งหลายเริ่มไม่สนใจของเล่น แต่กลับนั่งล้อมวงจ้องหน้าประตูราวกับกดดันให้คุณพ่อรีบกลับบ้านเสียที
   หากวัดความขี้เห่อ แก๊งก้อนขนจะเห่อคุณพ่อมาก ๆ เมื่อเทียบกับแม่ที่เจอกันตลอดเวลาตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงตอนเข้านอน แต่คุณพ่อจะมีช่วงเวลาที่ต้องไปทำงาน หายไปจากวงจรชีวิตของลูก ๆ ครู่หนึ่ง ทำให้ทุกครั้งที่พ่อกลับบ้าน อีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายสุดฮอตของลูก ๆ เสมอ แก๊งก้อนขนจะเรียกหาพ่อจนคุณแม่ที่เลี้ยงมาทั้งวันต้องแอบหลบฉากไปก่อน
   “คุงแม่ เมื่อไรคุงพ่อจะกลับมา” ดวงดาวลูกสาวคนสุดท้อง เริ่มส่งเสียงงอแงคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เมื่อไม่เห็นคุณพ่อของเธอกลับบ้านมาเสียที
   “เดี๋ยวคุณพ่อก็มานะ รอก่อน ๆ” ฝั่งแม่เองก็รีบให้คำตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ กลัวว่าเจ้าหนูน้อยจะพากันปล่อยโฮ เพราะหากแก็งเจ้าก้อนขนร้องไห้พร้อมกันทั้งสี่คน คราวนี้ปวดหัวยิ่งกว่าการตอบคำถามไม่รู้ต่อกี่เท่าแน่
   “แล้วจะมาตอนไหนอ่า” ดวงดาวยังคงสงสัยต่อ
   “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันลูก” เจ้าจิ้งจอกน้อยว่า
   ไม่ใช่แค่เหล่าลูก ๆ รอคุณพ่อกลับบ้าน แต่เจ้าจิ้งจอกน้อยก็รอสามีกลับบ้านเช่นกัน คุณแม่ลูกสี่รู้สึกจนปัญญาเหลือเกินกับคำถามของลูก ๆ ภาวนาให้แก็งก้อนขนอย่าถามอะไรมากกว่านี้ เพราะเจ้าจิ้งจอกก็ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองไทยอยู่ไกลจากญี่ปุ่นเราขนาดไหน อีกทั้งก็ลืมถามชาริน ซังจึงไม่สามารถให้คำตอบอะไรได้
   เพื่อเป็นการตัดปัญหา ไม่ให้ลูก ๆ จดจ่อกับการกลับบ้านของพ่อมากเกินไป เจ้าจิ้งจอกน้อยจึงเลือกที่จะใช้ขวดนมเตรียมส่งให้ลูก ๆ เข้านอนก่อนกำหนดเกือบสองชั่วโมง ภาวนาให้พรุ่งนี้เช้าเจอชาริน ซังพร้อมคุณปู่คุณย่าอยู่หน้าบ้าน น้องจะได้ไม่ต้องคอยตอบคำถามลูก ๆ ของเราอีก
   ชาริน ซังรีบกลับบ้านมานะ ลูก ๆ รออยู่...

   โชคดีที่ไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร อย่างเช่นเครื่องบินดีเลย์ ทำให้ชริณสามารถพาพ่อแม่มาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นได้ตรงเวลาตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้
   “อากาศเย็นกว่าที่ไทยนิดหน่อย ระวังด้วยนะครับแม่” ชริณว่าพร้อมกับกำชับผ้าพันคอของมารดาให้เข้าที่เข้าทาง ขณะที่รอให้รถแท็กซี่มาจอดตรงหน้า
   ในตอนนี้อากาศที่ญี่ปุ่นถือว่าเย็นกว่าเมืองไทยเจ็ดถึงแปดองศา ทำให้เขากลัวว่าพวกท่านทั้งสองจะไม่สบายเอาได้
   หลังจากมาถึงสนามบิน ชริณก็เลือกต่อรถแท็กซี่พาพวกท่านมายังบ้านพักใหม่ของตัวเองและครอบครัวทันที โดยปกติหากเขาเดินทางคนเดียว มักจะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าและต่อด้วยรถประจำทาง แต่เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ลำบาก เบียดอัดกับผู้คน ทำให้ชริณยอมจ่ายแพงกว่านิดหนึ่ง เพื่อให้พวกท่านสะดวกสบายมากขึ้น
   “บ้านใหม่น่าอยู่ดีนะลูก” แม่ว่า เมื่อรถแท็กซี่มาจอดสนิทที่หน้าบ้านชริณแล้ว
    บ้านหลังใหม่ที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังเก่ามากนัก อยู่โซนเดียวกัน โชคดีที่ชริณสามารถหาบ้านพักหลังใหม่ได้ใหญ่กว่าเดิม แต่ยังคงอยู่แถว ๆ ขอบป่าตามจุดประสงค์ที่วางเอาไว้เพื่อครอบครัวก้อนขนในภายภาคหน้า
   บ้านหลังนี้มันอาจไม่ได้ใหญ่โตจนเหมือนบ้านเศรษฐีร่ำรวย แต่มันก็ใหญ่พอสำหรับสมาชิกสี่ห้าชีวิตที่กำลังเติบโตขึ้นในทุก ๆ วัน
   หากให้เทียบกันแล้ว แม่จะมาเยี่ยมชริณบ่อยกว่าพ่อ พ่อนาน ๆ ทีถึงมาเยี่ยมเขา เนื่องด้วยสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนักเมื่อเทียบกับแม่ แต่ชริณก็สนิทกับพวกท่านทั้งสอง ไม่มีการรักพ่อมากกว่าหรือรักแม่น้อยกว่า พ่อแม่ของเขาจะคอยสนับสนุนเขาคนละด้าน เขาก็มีท่านเป็นแบบอย่างในการเลี้ยงลูก
   “อา...พ่อแม่เข้าบ้านก่อนนะครับ ข้างนอกอากาศมันหนาวเดี๋ยวไม่สบาย ส่วนทางนี้ผมจะจัดการต่อเองครับ” ชริณว่าเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงแค่ขนสัมภาระเข้าบ้าน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจรับผิดชอบขนย้ายสัมภาระเข้าบ้านทั้งหมดเอง ให้พ่อแม่เข้าไปข้างในบ้านก่อนดีกว่า
   เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปไขกุญแจบ้านเปิดให้พวกท่านเข้าไปพักข้างในก่อน เราเดินทางจากประเทศไทยมายังญี่ปุ่นร่วมห้าหกชั่วโมง ทำให้เรามาถึงญี่ปุ่นค่อนข้างเช้าและเวลานี้ครอบครัวก้อนขนคงยังไม่ตื่นแน่ เขาจึงไม่ต้องไปอธิบายอะไรให้มากความ ลูก ๆ ก็ไม่ต้องแตกตื่นกับคนแปลกหน้า เพราะเวลานี้ยังไม่มีใครตื่น
    เขารู้สึกได้เลยว่าพ่อกำลังเงียบจนผิดสังเกต นั่นอาจเพราะกำลังเก็บหลักฐานบางอย่างอยู่ก็ได้ การที่ชริณคบกับใครสักคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชาย มันเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่สำหรับครอบครัวเรา แม้วันนั้นพ่อบอกว่าจะพยายามเข้าใจ เพราะนั่นคือความสุขของเขา แต่ชริณรู้ดีว่าพ่อเองก็ทำใจยากเหมือนกัน เพราะพ่ออยากอุ้มหลาน
   ก่อนขึ้นเครื่องบินมาที่นี่แม่ก็แอบบีบมือให้กำลังใจเขา ท่านรู้ว่าชริณกำลังเครียดกับเรื่องพวกนี้ แม้เขาจะตัดสินใจบอกเรื่องราวบางส่วนให้พ่อแม่ได้รับรู้และตั้งหลักแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี
    ชริณรู้ดีว่าแม่เองก็ทำใจลำบากไม่ต่างจากพ่อ เพียงแค่ท่านเลือกที่จะให้กำลังใจเขาด้วยแล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคต เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรและตอนนี้เขาจะถอยกลับไม่ได้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดฝั่งแก็งก้อนขนก็ครอบครัวเขาเหมือนกัน ฝั่งพ่อแม่ก็ครอบครัวเขาเช่นกัน

   ฝั่งคุณแม่ลูกสี่ที่เพิ่งหลับไปก่อนฟ้าสางก็ถึงกับลืมตาขึ้นมา นิ่งแล้วฟังเสียงอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไป
   ชาริน ซังกลับมาได้แล้วเหรอ?
   คราวนี้ไม่ใช่นอนฟังเสียงเพื่อให้ตัวเองแน่ใจเฉย ๆ แต่เจ้าจิ้งจอกน้อยรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วเอาหูไปแนบตรงประตูห้องนอนเพื่อฟังเสียงอีกครั้ง หากอยู่ในร่างจิ้งจอกคงได้เห็นพวงหางสวยสับส่ายไปมาแน่
   พอได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันข้างนอก น้องก็เริ่มมั่นใจไปแล้วเกินครึ่งว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นสามีน้องแน่ แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อน เพราะสามีน้องเคยสอนว่าหากมีอะไรน่าสงสัยให้ฟังจนแน่ใจเสียก่อน อย่าเพิ่งบุกออกไป มันจะเป็นอันตราย หากเป็นสมาชิกในบ้านค่อยเดินออกไปหาก็ได้
   กลีบปากบางถึงคลี่ยิ้มเมื่อมั่นใจว่าข้างนอกใช่ชาริน ซังสามีคนดีของน้อง แชาริน ซังไม่ได้อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง น้องได้ยินเสียงผู้ชาย ผู้หญิงด้วยโทนเสียงที่แตกต่างดังสลับกันไปมาด้วย ซึ่งน้องคิดว่านั่นคงจะเป็นคุณปู่คุณย่าของลูก ๆ
   เอาไงดี...สามีก็อยากเจอ คิดถึงจะตายถ้าน้องจะบุกออกไปหาตอนนี้จะเหมาะสมไหม?
   ตั้งแต่เรามีลูก สร้างครอบครัวด้วยกัน เราก็ตัวติดกันแทบทุกวัน นอนด้วยกันทุกคืน ช่วยกันแบ่งหน้าที่ดูแลเจ้าก้อนขนทั้งสี่ตัว แต่พอสามีหายไปร่วมยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไปทำเพื่อเรื่องครอบครัวของเรา แต่อาการความคิดถึงก็ทำงานอย่างเต็มที่อยู่ดี ไม่ใช่แค่ลูก ๆ ที่คิดถึงพ่อ แต่คุณแม่เองก็ไม่ต่างกัน เพียงแค่ว่าต้องทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าลูก ๆ ก็เท่านั้น
   เอาน่า....ถึงจะบุกไปกอดอย่างที่ต้องการไม่ได้ ขอแง้มประตูนิด ๆ พอได้เห็นหน้าสามีให้ความคิดถึงมันหยุดทำงานสักนิดก็ยังดี...
   เมื่อคิดได้เช่นนั้นเจ้าจิ้งจอกน้อยก็ถึงกับเลียปากอย่างลุ้นระทึก กลัวว่าคนข้างนอกจะจับได้ด้วย แต่ถึงมันจะมีความเสี่ยงว่าอาจทำให้คนที่อยู่ข้างนอกจับได้ แต่น้องก็เลือกที่จะทำ เพราะคิดถึงชาริน ซังจริง ๆ ขอแค่ได้เห็นหน้าพอให้ได้ชื่นใจก็ยังดี
   หลังคิดได้เช่นนั้น มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดโดยพลัน ก่อนจะค่อย ๆ หมุนอย่างเบาเสียงให้ได้มากที่สุดและค่อย ๆ เปิดมันออกอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงสนทนาของพ่อแม่และตัวชาริน ซัง
    ทุกอย่างควรเป็นอย่างที่น้องคิด ตั้งใจจะขอแง้ม ๆ ดูหน้าสามีสักหน่อยแ ล้วกลับไปนอนรอที่เตียงอย่างว่าง่าย                                                     แต่บานพับประตูดันเกิดอาการฝืดขึ้นมากะทันหัน นั่นทำให้มันส่งเสียงดังลั่นแล้วพ่อแม่รวมถึงตัวชาริน ซังก็หันมามองประตูห้องนอนอย่างไม่ได้นัดหมายทันที
   “....!!”
   ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ร่างกายเหมือนถูกสาปชั่วขณะที่เมื่อทุกคนหันมามองน้องที่กำลังแง้มประตูแอบดู ก่อนที่เจ้าจิ้งจอกน้อยจะได้สติ รีบปิดประตูเสียงดังลั่นแล้วกระโดดหนีขึ้นเตียงไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
   “ตายแล้ว ๆ เขาจับได้แล้ว ทำไงดี!”
   “ฮือออออออออออออ” เสียงครวญครางของเจ้าจิ้งจอกน้อยดังขึ้นลั่นผ้าห่มพื้นหนา ขาเรียวถีบสะเปะสะปะไปมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ชั่วครู่ น้องก็แค่อยากเห็นหน้าชาริน ซังเอง แต่ทำไมคุณประตูถึงต้องส่งเสียงด้วย ร้อยวันพันปีไม่เคยฝืด ดันมาฝืดจังหวะนี้พอดี พ่อแม่ชาริน ซังจะมองว่าน้องเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นไหม!
   ฝั่งพ่อแม่ของชริณที่เพิ่งเข้ามานั่งพักในบ้านได้ไม่นาน พูดคุยเกี่ยวกับบ้านหลังใหม่ของลูกชายไปได้นิดหน่อย ก็ถึงกับหันมองหน้ากัน หลังประตูห้องนอนของลูกชายเพิ่งถูกปิดไปจากคนในห้อง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้เห็นแค่ตาแป๋ว ๆ ของว่าที่ลูกสะใภ้เพียงครู่เดียวอีกฝ่ายก็รีบปิดประตูห้องเสียแล้ว สงสัยคงจะตกใจ
   “นั่น...เมียแกเหรอ” พ่อถามอย่างอึ้ง ๆ
   “ใช่ครับ...”
   “งั้นก็เข้าไปดูกันก่อนไป เผื่อเขาเป็นอะไร”
   เพราะเห็นว่าคนรักของลูกชายดูมีท่าทีแปลก ๆ จากที่ตั้งใจจะคุยเรื่องส่วนตัวที่ทำให้พ่อแม่ถ่อมาถึงที่นี่ ทำให้คนพ่อเลือกที่จะปล่อยให้ลูกชายเข้าไปดูอาการคนรักก่อน เผื่ออีกฝ่ายจะไม่สบายและตกใจที่เห็นคนแปลกหน้าอยู่ในบ้าน ฝั่งชริณเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขารีบลุกขึ้นเดินไปห้องนอน เพื่อไปดูอาการของเจ้าจิ้งจอกน้อยทันที
   “ฮือออออออออออ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ” ฝั่งเจ้าจิ้งจอกน้อยยังคงตีโพยตีพายกับตัวเองอยู่ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เจอกันครั้งแรกพ่อแม่ชาริน ซังก็ต้องประทับใจน้องสิ ไม่ใช่มองว่าน้องเป็นพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน แบบนี้ใครจะอยากให้เป็นคู่ชีวิตของลูกชายตัวเองกัน!
   เสียงเปิดประตูห้องนอนทำให้เจ้าจิ้งจอกน้อยรีบออกมาจากอุโมงค์ผ้าห่มของตัวเอง เมื่อเห็นว่าเป็นชาริน ซังที่เดินเข้ามาหา เจ้าจิ้งจอกน้อยก็รีบออกจากผ้าห่ม ท่อนแขนเล็กอ้าออกกว้างหวังจะได้รับอ้อมกอดอุ่น  ๆ จากสามีมาปลอบใจ
   “ฮือออ ชาริน ซังช่วยน้องด้วยยยยยย” เจ้าจิ้งจอกน้อยงอแง อุตส่าห์อยากให้พวกท่านประทับใจตั้งแต่แรกเจอ แต่น้องกลับทำมันพังหมดเพียงเพราะอยากเจอหน้าสามีให้ชื่นใจ พัง พัง พัง!
   “เป็นอะไร หืม?” ฝั่งชริณเองก็ไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรกับเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงเอ่ยถามภรรยาด้วยน้ำเสียงใจเย็นแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กับอีกคน
   “เมื่อกี้พ่อแม่ได้ว่าอะไรไหม”
   “ไม่นี่”
   “ฮือ พวกท่านต้องมองว่าน้องสอดรู้สอดเห็นแน่ ๆ เลย น้องไม่ได้อยากไปฟังตอนชริณคุยธุระกับพวกท่านนะ น้องก็แค่อยากเห็นหน้าชารินเฉย ๆ แต่เจ้าบานพับประตูดันฝืดนี่สิ ฮืออออ” เจ้าจิ้งจอกน้อยโวยวายใหญ่พลางเอาหน้าซุกอกสามีไว้
   “คิดมาก...ไม่มีอะไรหรอก พ่อแม่ไม่มาคิดอะไรแบบนี้หรอก” ชริณถึงกับกลั้วหัวเราะเมื่อรู้ว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยกำลังคิดอะไรอยู่ “ว่าแต่เราเถอะเป็นอะไร โดนจับได้แล้วทำไมถึงไม่ออกไปล่ะ”
   “ก็น้องตกใจอะ แต่พ่อแม่ชาริน ซังจะไม่มองว่าน้องเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นใช่ไหม” เจ้าจิ้งจอกน้อยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
   “คิดมาก เอาเวลาไปคิดว่าทำยังไงถึงจะให้พ่อแม่ประทับใจดีกว่า”
   “จริงสิ....แต่ตอนนี้น้องขอกอดชาริน ซังก่อนนะ คิดถึ๊งงงงคิดถึง” เจ้าจิ้งจอกน้อยว่าพลางกระชับอ้อมกอดตัวเอง สูดกลิ่นกายที่ตัวเองชื่นชอบ คุณแม่ยังคิดถึงขนาดนี้ ส่วนลูก ๆ ที่ถามหาพ่อสามเวลาหลังอาหารจะคิดถึงขนาดไหน นี่ว่าถ้าเห็นคุณพ่อกลับบ้านแล้วคงได้ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ดีใจตั้งแต่เช้าตรู่แน่ แต่ตอนนี้คุณแม่ขอกอดคุณพ่อให้หายคิดถึงก่อน ลูก ๆ ค่อยกอดต่อแล้วกัน
   “อะไรกัน ห่างกันไม่ถึงวันเอง” ถึงจะว่าเช่นนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชริณเองก็คิดถึงเจ้าจิ้งจอกเหมือนกัน เป็นห่วงไปหมดเพราะอีกฝ่ายต้องเลี้ยงลูกทั้งสี่ชีวิตเพียงลำพัง พอเห็นแบบนี้เขาก็ชื่นใจแล้ว
   “ก็ไม่เคยห่างกันนี่นา ชาริน ซังรู้ไหมลูก ๆ ของเราบ่นคิดถึงใหญ่เลย”
   “จริงเหรอ ฟังแล้วชื่นใจจัง” เขาถึงกับฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น แค่ได้ยินว่าแก็งก้อนขนถามหาตัวเองเขาก็ดีใจแล้ว หัวใจพองโตแปลก ๆ เพียงเพราะลูกถามหา
   “อื้อ! น้องตอบคำถามลูกไม่ค่อยได้ด้วย เสียใจมาก ๆ เหมือนทำหน้าที่บ้านได้ไม่ดีพอเลย” เจ้าจิ้งจอกทำหน้าสลด รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ตอบคำถามของลูก ๆ ไม่ได้ น้องคิดว่าเป็นแม่ที่ดีต้องตอบทุกอย่างที่ลูกอยากรู้ได้ แต่นี่ไม่ค่อยรู้อะไรเลยนอกจากเรื่องในป่า
   “ไม่เห็นต้องเสียใจเลย ขนาดมนุษย์ยังใช่ว่าจะรู้ทุกเรื่องเสียหน่อย”
   “จริงเหรอ”
   “อืม...การเป็นแม่ที่ดีไม่ได้หมายถึงต้องรู้ทุกเรื่องที่ลูก ๆ สงสัยนะ แค่เป็นห่วงลูกหวังดีโดยไม่หวังผลตอบแทนก็นับว่าเป็นแม่ที่ดีแล้ว” ชริณว่าพลางลูบหัวแม่ของลูก ๆ ด้วยความเอ็นดู ชริณว่าพักหลังมานี้เขาเริ่มหนักแล้ว หมายถึงหลงเจ้าจิ้งจอกหนักเลย ไม่รู้ทำไมถึงเอ็นดูในความคิดของอีกฝ่ายขนาดนี้ ดูเหมือนเจ้าจิ้งจอกจะมุ่งมั่นการเป็นแม่ที่ดีเพื่อนลูก ๆ มาก ๆ ทำให้เขาอดเอ็นดูไม่ได้
   “แล้วตอนนี้น้องเป็นแม่ที่ดีของลูกหรือยังอะ” เจ้าจิ้งจอกน้อยถามสามี
   “แล้วหวังดีกับลูกไหมล่ะ” ชริณย้อนถาม
   “ก็ขอแค่เห็นลูกกินอิ่ม นอนหลับน้องก็สบายใจแล้วนะ แต่ต้องยกเว้นดวงดาวนะ รายอันกินนมน้องเท่าไรก็ไม่อิ่ม กินนมขวดก็ไม่อิ่ม”
   “ฮ่า ๆ” ชริณถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อคุณแม่ลูกสี่พูดถึงลูกคนสุดท้องที่ดูเหมือนจะเป็นสาวจ้ำม่ำกว่าใคร “งั้นแค่เท่านั้นก็นับว่าเป็นแม่ที่ดีแล้ว”
   ฝั่งเจ้าจิ้งจอกเมื่อได้ยินสามีกล่าวเช่นนั้นก็ถึงกับยิ้ม หัวใจพองโตเหมือนตัวเองได้รับพลังวิเศษ น้องคิดไว้ตั้งแต่ตั้งท้องแล้วว่าหากลูก ๆ คลอดออกมา จะทำหน้าที่เป็นแม่ให้ดีที่สุด ต้องรอลูกโตจนลูกสามารถใช้ชีวิตในสังคมที่โหดร้ายนี้ได้ถึงจะหมดห่วง
   น้องคิดแค่นั้นจริง ๆ เป็น แต่น้องไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ตัวเองเป็นแม่ที่ดีหรือยังเพราะไม่มีใครคอยบอก แต่พอได้ยินสามีการันตีเช่นนั้น เจ้าจิ้งจอกก็รู้สึกว่าตัวเองทำภารกิจสำเร็จแล้วจริง ๆ อิ่มเอมยิ่งว่าตอนรู้ว่าเผ่าพันธุ์ตัวเองจะไม่สูญหายไปจากโลกนี้แล้วเสียอีก
   “รู้สึกดีขึ้นยัง?” ชริณถาม
   “ดีขึ้นแล้ว ดีใจจังที่ตัวเองเป็นแม่ที่ดี คราวนี้เหมือนน้องได้ทำภารกิจสำเร็จจริง ๆอะ”
   “ก็ดีแล้ว อันไหนตอบลูกไม่ได้ก็ไม่ต้องเครียด โลกนี้ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ” ชริณว่า เอ็นดูคุณแม่มือใหม่จริง ๆ แค่ตอบลูกไม่ได้ก็หน้างอแล้ว “แล้วนี่พร้อมจะเจอพ่อแม่ยัง”
   “น้องอยากแก้มือ แต่พ่อแม่ชาริน ซังไม่ดุจริง ๆ นะ”
   “เขาไม่กล้าดุเราหรอก งั้นก็ออกไปด้วยกันเลยไหม”
   “งั้นชาริน ซังรอน้องก่อน น้องขอเวลาห้านาที” เจ้าจิ้งจอกน้อยว่าก่อนจะผละออกจากร่างกาย วิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำส่วนตัวเพื่อไปแปรงฟัน ล้างหน้า เพื่อที่จะได้เจอกับพ่อแม่สามีอย่างเป็นทางการเสียที ไหน ๆ ก็พลาดไปแล้ว งั้นน้องขอแก้มือแล้วกัน!
   หลังจากแปรงฟัน ล้างหน้าเสร็จ เจ้าจิ้งจอกน้อยก็มาเช็กสภาพตัวเองหน้ากระจกแต่งตัวเพื่อให้มั่นใจ โดยที่มีสามีนั่งรออยู่ในห้องเตรียมจะออกไปพร้อมกัน จริง ๆ น้องก็ใส่ชุดอยู่บ้านปกติ ไม่ได้ใส่ชุดพิเศษอะไร แต่ก็อยากเช็กให้มั่นใจเสียก่อน ดวงตากลมโตกวาดตามองตัวเองผ่านกระจกเงา ขณะเดียวกัน กลีบปากบางก็ขยันท่องบทแนะนำตัวเป็นภาษาไทยไปด้วย
   “พร้อมยัง”
   “พร้อมแล้ว” เจ้าจิ้งจอกน้อยยืนยันกับสามีพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อุตส่าห์เตรียมตัวมาตั้งหลายวัน น้องจะทำตัวให้ดีที่สุด คุณพ่อคุณแม่ของชาริน ซังจะได้รัก ได้เอ็นดูน้องแล้ว
   เมื่อชริณได้ยินเช่นนั้น เขาบีบมือเจ้าจิ้งจอกเพื่อเป็นกำลังใจให้ทั้งเจ้าจิ้งจอกและตัวเขาเอง ภาวนาให้วันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จะได้หมดห่วงเสียที แต่ทว่าทันทีที่เปิดประตูออกไปแทนที่จะได้เห็นพ่อแม่นั่งรออยู่บนโซฟาเหมือนอย่างที่คิด แต่เราสองคนกับพบเพียงโซฟาที่วางเปล่าพร้อมกระเป๋าสัมภาระ ก่อนจะได้ยินเสียงพ่อแม่ดังออกมาจากห้องนอนของแก็งก้อนขน!
   “อุ้ม ๆ อุ้มโหน่ยยยย”
   “อุ้มผมด้วยค้าบบบบ”
   “ฮ—ฮึก คิดถึงคุงพ่อ”
   “ฮืออออ เมื่อไรหนูจะได้กินนม” เสียงงอแงของแก็งก้อนขนทำให้พ่อแม่ตัวจริงรีบวิ่งเข้าไปดู ทั้งคู่ต่างตกใจเมื่อเห็นว่าที่คุณปู่คุณย่าของเด็ก ๆ แทนที่จะนั่งอยู่โซฟา กลับกำลังคลุกคลีกับแก็งเจ้าก้อนขนที่เพิ่งตื่น ลูกบางคนถือวิสาสะจะปีนขึ้นหัวคุณปู่ด้วยซ้ำ ทำเอาคุณแม่จิ้งจอกแทบเป็นลม
   “อาทิตย์ ไม่เอานะลูก” เมื่อเห็นท่าไม่ดี ลูกชายกำลังลามปามเจ้าจิ้งจอกน้อยก็รีบเข้าไปอุ้มอาทิตย์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่กำลังจะปีนขึ้นหัวคุณปู่ออกทันที พอ ๆ กับชริณก็รีบเข้าไปอุ้มสายรุ้ง ลูกสาวคนโตที่กำลังเตรียมร้องไห้โฮมากอดแนบอกเอาไว้    
   “โอ๋ ๆ พ่ออยู่นี่แล้วนะคะ” สถานการณ์ยิ่งโกลาหลอยู่แล้ว พอคุณพ่อสุดที่รักปรากฏตัว เด็ก ๆ ที่กำลังเห่อกับคนแปลกหน้าอย่างปู่ย่า ก็รีบปล่อยทุกอย่างพยายามทั้งคลานทั้งเดินมาหาคุณพ่อสุดที่รักที่กำลังปลอบลูกสาวคนโตอยู่
   “คุงพ่ออออกอดหนูด้วย”
   “ฮ—ฮึก คุงพ่อกลับบ้านแล้ว”
   “คิดถึงคุงพ่อจางงงง” เด็ก ๆ รีบมารุมมาตุ้มคุณพ่อ ทำเอาชริณที่กำลังปลอบหนูสายรุ้งอยู่ ต้องนั่งลงก่อน เพื่อที่จะได้กอดลูก ๆ ทุกคน    
   “พ่อกลับมาแล้ว ไม่ร้องไห้นะลูก” ชริณว่าพลางใช้นิ้วเช็ดน้ำตาสมาชิกแก็งก้อนขนหนึ่งในสี่ออก รู้แล้วว่าลูก ๆ คิดถึงเขาจริง ๆ มันเป็นความวุ่นวายแต่กลับทำให้เขายิ้ม ฝั่งพ่อแม่ชริณก็มองภาพเด็ก ๆ ทั้งสี่วิ่งเข้าหาชริณด้วยความแปลกใจ เพิ่งจะเคยเห็นสายตาอ่อนโยนของชริณเวลามองเด็ก ๆ ที่ไม่ใช่ลูกตัวเองก็วันนี้
   เป็นแค่ลูกติดของแฟนลูกชายจริง ๆ เหรอ? คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของคนพ่อผู้ซึ่งจะเป็นว่าที่คุณปู่ของแก็งเด็กทั้งสี่คนนี้....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2018 18:24:44 โดย Papa614 »

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1




          “ส—สาหวัดดีคั้บคูนพ่อ คูนแม่ โผมชื่อโอโต้โตะคั้บ ยินดีที่ด้ายลู้จักนะคั้บ”  (**น้องชาย 弟 โอ-โต้-โตะ)ภาษาไทยแปร่ง ๆ ถูกเปล่งออกมาอย่างประหม่า เมื่อประโยคแนะนำตัวเป็นภาษาไทยที่ฝึกซ้อมมาหลายวันกำลังถูกใช้ในสถานการณ์จริงต่อหน้าพ่อแม่ของชาริน ซัง ก่อนจะก้มลงไหว้ตามที่ฝึกฝนมาหลายวัน
   เจ้าจิ้งจอกน้อยรู้สึกได้เลยว่าตัวเองประหม่า น้องใจเต้นแรง เสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด ในเวลานี้ลูก ๆ สองคนอย่างหนูดวงดาวและตะวันกำลังซื้อใจคุณปู่คุณย่าโดยการกระโดดขึ้นตัก มือเล็ก ๆ คว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนของคุณปู่คุณย่ากันตก ขณะเดียวกันก็เล่นกับนิ้วท่านไปด้วย พยายามอ้อนเหมือนอ้อนคนพ่อยามกลับจากบริษัท ดูแล้วเข้ากันยังไงไม่รู้
   ส่วนดวงจันทร์และสายรุ้งคุณพ่อก็เป็นคนรับมือเอง เจ้าจิ้งจอกน้อยค่อนข้างประหม่า ทุกอย่างดูติดขัดไปหมด แม้น้องจะทำใจ เตรียมพร้อมมาหลายวันแล้ว แต่พออยู่ในสถานการณ์จริง ทุกอย่างที่ตั้งใจจะทำนอกจากการแนะนำตัว น้องก็ลืมหมดเลย ยังดีที่ไม่ลืมการไหว้ ไม่เสียแรงที่ซ้อมมาหลายวัน
   ฝั่งพ่อแม่ของชาริน ซังสบตากันครู่กัน ก่อนจะพูดคุยกับชาริน ซังเป็นภาษาไทย ซึ่งคนน้องได้แต่เอียงคอฟังด้วยความสงสัย เพราะฟังไม่ออก ได้แต่อาศัยฟังน้ำเสียงและท่าทางเท่านั้น
   “แกสอนเขาพูดเหรอ” พ่อถามชริณ
   “เปล่านะครับ อันนี้เขาเป็นคนสอนให้ผมพาพูดเองนะครับ ผมไม่ได้บังคับให้พูด” ชริณรีบปฏิเสธ กลัวว่าพ่อแม่จะเข้าใจผิดว่าเขาบังคับให้น้องจิ้งจอกพูด เพื่อที่จะเอาใจท่านทั้งสองซึ่งมันไม่ใช่เลย เพราะเจ้าจิ้งจอกสมัครใจเองทั้งนั้น เขาก็แค่มีหน้าที่สอนในสิ่งที่เจ้าจิ้งจอกอยากรู้เท่านั้น
   บรรยากาศที่ชริณคาดการณ์ไว้ว่ามันจะต้องกดดันแน่ ๆ พ่อแม่อาจซักไซ้เจ้าจิ้งจอกน้อยอย่างหนัก โดยที่ใช้เขาเป็นสื่อกลางในด้านภาษาดูนุ่มนวลกว่าที่คิด อาจเพราะมีเด็ก ๆ คอยเป็นกาวเชื่อมให้ทุกอย่างมันดูไม่รุนแรง อีกทั้งพ่อแม่ของชริณก็พยายามเล่นกับเจ้าตัวแสบกันด้วย ไม่ได้พุ่งความสนใจไปหาเจ้าจิ้งจอกน้อยอย่างเดียว
   แม่ดูมีท่าทีผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด พยายามเล่นกับหลานที่นั่งอยู่บนตักซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่วนพ่อของชริณก็มีท่าทีอ่อนลง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพึงพอใจกับเจ้าจิ้งจอก
   ไม่รู้ว่าในจินตนาการของพ่อแม่ก่อนจะมาที่ญี่ปุ่นมองเจ้าจิ้งจอกน้อยเป็นแบบไหน แต่ชริณอยากบอกว่าจริง ๆ แล้วเจ้าจิ้งจอกไม่มีอะไรชวนให้มองเป็นคนเลวร้ายเลย ขอเพียงแค่พ่อแม่ลองเปิดใจ มองข้ามสิ่งที่เจ้าจิ้งจอกเป็นก็เท่านั้นเอง
   ชริณรู้สึกว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง เขาสังเกตท่าทางอ่อนโยนของพ่อแม่ยามเล่นกับแก็งก้อนขน ดูเหมือนบรรดาลูก ๆ ของเขากำลังซื้อใจคุณปู่คุณย่าอยู่และดูเหมือนจะซื้อใจสำเร็จด้วย
   “แล้วนี่ลูกติดเขาทั้งสี่คนเลยเหรอ” แม่ถามบ้าง คราวนี้ชริณถึงกับอ้ำอึ้งคล้ายคนน้ำท่วมปากไปไม่ถูก ไม่อยากจะโกหกและก็ไม่กล้าโกหกต่อหน้าพ่อแม่ด้วย แต่จะให้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ลูกติดของเจ้าจิ้งจอกก็ไม่ได้อีก เพราะเขาได้อธิบายเรื่องนี้ผ่านโทรศัพท์กับพ่อไปแล้ว พ่อก็คงจำได้แม่น
   “ก—ก็ไม่เชิงหรอกครับ”
   “ไม่เชิง? ตอบอะไรกำกวมแบบนั้นลูก ตอบว่าใช่ไม่ใช่ก็แค่นั้นเองจะไม่เชิงได้ยังไง” เมื่อได้ยินคำตอบของลูกชาย คนเป็นแม่ก็ถึงกับทำหน้างง ไม่เข้าใจทำไมชริณถึงตอบแบบไม่มั่นใจทั้ง ๆ ที่คำตอบมันก็มีอยู่แค่สองทางว่าใช่หรือไม่ใช่
   “เขาเป็นพ่อม่ายลูกติดสี่คนแล้วมารักกับเราจนสร้างครอบครัวด้วยกัน แม่เข้าใจถูกไหม?” แม้ความสัมพันธ์ของคนสมัยจะดูยุ่งเหยิงจนคนรุ่นเก่าตามไม่ค่อยทัน แต่คนเป็นแม่ก็พยายามเข้าใจความสัมพันธ์ของลูก อย่างน้อยก็น่าจะช่วยพูดคุยกับสามีได้ในระดับหนึ่ง
   “แต่แปลก...ทำไมพ่อถึงรู้สึกว่าลูกติดเขาหน้าคล้ายแก” ฝั่งคนพ่อพูดขึ้นมาบ้าง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอสังเกตดี ๆ กลับรู้สึกคล้ายจนนึกว่านี่คือการหลานแท้ ๆ ของตัวเอง ไม่ใช่ลูกเลี้ยงแต่อย่างใด
   “ความบังเอิญมั้งคะคุณ แหมพูดจาอะไรก็ไม่รู้ ลูกหน้าเครียดแล้วเห็นไหม” ท้ายประโยคว่าที่คุณย่าของเด็ก ๆ ก็หันไปเอ็ดสามี ไม่สังเกตหรือไงว่าตอนนี้ชริณกดดันจนยิ้มไม่ออกแล้ว หลังจากเอ็ดสามีเสร็จ ก็หันมาคุยกับลูกชายต่อเพื่อไม่ใช่บรรยากาศแย่ลงกว่านี้
   “แล้วนี่ลูกกับเขาคบหากันมานานหรือยัง?”
   “ประมาณสองปีแล้วครับ”
   “อืม ก็ไม่เร็วเกินไปนะ เฮ้อ....ชริณจริง ๆ พ่อแม่ก็ไม่อยากจะมาคุยเรื่องนี้หรอกนะ ลูกเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” แม่ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนเป็นพ่อแม่อยากอุ้มหลาน แต่ลูกชายคนเดียวกลับคบกับผู้ชายเดียวกัน พ่อแม่ก็เลยรู้สึกผิดหวังก็เท่านั้น
   คนเป็นแม่น่ะไม่เท่าไร ไม่ว่าลูกจะเลือกอะไรยังไงก็ต้องเข้าข้างลูกอยู่แล้ว แต่คนพ่อนี่สิ....ถึงแม้จะเป็นคนบอกว่าจะพยายามเข้าใจ เพราะนั่นคือความสุขของลูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ชริณเปิดตัวกับครอบครัวว่ากำลังคบหากับพ่อม่ายลูกสี่ มันส่งผลกระทบทางด้านจิตใจอยู่พอสมควร เพราะพ่อของชริณอยากอุ้มหลานมาก....พอเจอแบบนี้ก็เลยผิดหวังมากเช่นกัน
   “ชริณของแม่ก็โตพอที่จะแยกแยะได้แล้ว แม่ไม่เป็นห่วงหรอก แม่เชื่อว่าลูกรู้ว่าทุกคนที่เข้ามาในชีวิตคนไหนเป็นยังไง แม่คิดว่าลูกคิดดีแล้วที่จะสร้างครอบครัวกับเขา...” ท้ายประโยคว่าที่คุณย่าของเด็ก ๆ ก็เลื่อนสายตามามองคนรักของลูก
   แม้เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรก อาศัยได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายผ่านบอกเล่าจากปากสามี แต่เธอเชื่อว่าลูกชายคิดดีแล้วว่าจะสร้างครอบครัวกับผู้ชายตัวเล็กคนนี้
   “....ไหน ๆ เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เอาเป็นว่าแม่ไม่มีปัญหาแล้วกัน แต่ถ้าลูกมีปัญหาก็ขอให้ลูกอย่าลืมว่ามีพ่อแม่คอยให้คำปรึกษาอยู่” คำพูดของแม่ทำเอาชริณถึงกับหัวใจพองโต เหมือนเขาผ่านอุปสรรคมาได้ครึ่งทางแล้ว คราวนี้เหลือพ่อที่ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคที่ยากที่สุด
    วูบหนึ่งในความคิดชริณคิดอยากบอกความจริง ว่าแก็งก้อนขนที่กำลังนั่งตักของว่าที่คุณปู่คุณย่าเป็นหลาน ๆ ที่แท้จริง ไม่ใช่ลูกเลี้ยงของเขาแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นชริณก็ต้องยั้งปาก คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน เพราะถึงแม้จะบอกว่าว่าแก็งก้อนขนเป็นหลานของพวกท่านจริง ๆ ก็ใช่ว่าปัญหาทุกอย่างจะจบลงด้วยดี
   เมื่อว่าที่คุณย่าของเด็ก ๆ ให้ไฟเขียวอย่างว่าง่ายแล้ว คราวนี้ความกดดันก็ตกมาอยู่ที่คุณพ่อของชริณเพียงผู้เดียว ทุกสายตาจับจ้องไปยังประมุขของบ้านอย่างลุ้นระทึก ยกเว้นเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นกับนิ้วหนาของว่าที่คุณปู่คุณย่าอย่างเพลิดเพลิน
   เจ้าจิ้งจอกน้อยที่ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องก็อาศัยฟังน้ำเสียงและท่าทางของคุณแม่และตัวของชาริน ซังเอา พอเห็นรอยยิ้มบาง ๆ อย่างสามีหลังจากทั้งคู่สนทนาจบ น้องจึงพอเดาได้ว่าคำตอบออกมาในรูปแบบไหน
   “ชริณ....”
   “ครับ” ชายหนุ่มขานรับคนพ่อในทันที
   “พ่อขอเวลาหน่อย.... พ่อผิดเองที่เคยพูดว่าจะพยายามเข้าใจความสุขของลูก แต่ชริณรู้ใช่ไหมว่าพ่ออยากมีหลานมาก....มันเลยเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อ” พ่อของชริณเอ่ยขอเวลาด้วยน้ำเสียงลำบากใจ สำหรับคนใกล้เกษียณและอยากอุ้มหลานเต็มแก่ แต่ต้องก็พบกับความผิดหวังในช่วงเกือบบั้นปลายชีวิตมันเป็นเรื่องยากเกินไป
   ไม่ได้ต้องการให้ลูกเลิกรากับผู้ชายคนนี้แล้วไปแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อมีหลานให้ตัวเอง แต่เขาก็แค่ขอเวลาที่จะยอมรับความจริงนี้ ปล่อยให้เวลาเป็นตัวเยียวยาให้ความผิดหวังนี้จางหายไป จนวันนั้นเขาคงจะยอมรับคนรักของลูกและว่าที่หลาน ๆ เป็นคนในครอบครัวอย่างเต็มใจ
   “ครับ” เมื่อพ่อเอ่ยขอเวลาเช่นนั้น ชริณจึงไม่สามารถขอคำตอบเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากจะให้เวลาพ่อตามที่อีกฝ่ายร้องขอ ชริณไม่อยากให้พ่อผิดหวัง เขาเสียใจที่ไม่สามารถเล่าความจริงทุกอย่างให้พ่อแม่ฟังได้
   หากเผ่าพันธุ์ของเจ้าจิ้งจอกน้อยเป็นความลับต้องสาป ใครรับรู้และไม่รักษาความลับจะต้องตาย งั้นเขาขอให้พ่อแม่เข้าใจผิดอย่างนั้นน่าจะดีกว่า
   หลังจากที่พ่อให้คำตอบอย่างชัดเจนว่าขอเวลาทำใจก่อน เราจึงไม่พูดคุยเรื่องนี้อีก ถือว่าพวกท่านรับรู้ว่าชริณกำลังสร้างครอบครัวกับเจ้าจิ้งจอก พ่อแม่ชริณดูคลายกังวลเมื่อครอบครัวเราไม่ได้พูดคุยเรื่องซีเรียสกันอีกแล้ว แม่เองก็ดูเหมือนจะให้ความเอ็นดูต่อเจ้าจิ้งจอกอยู่ไม่น้อย แม้ทั้งคู่จะพูดคุยต่างภาษากัน แต่ก็พยายามใช้ภาษามือเพื่อพูดคุยกันอยู่ตลอด ไม่ใช่ปล่อยให้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งเข้าหา
   ชริณยิ่งดีใจที่ได้เห็นแม่และเจ้าจิ้งจอกพยายามเข้าหากัน แม้จะมีอุปสรรคทางด้านภาษา แต่วินาทีนี้เขากลับมองว่ามันเป็นเรื่องเล็ก
   สิ่งที่ทั้งคู่กำลังทำ ยิ่งตอกย้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกสะใภ้กับแม่สามีเข้ากันได้ดี แม่เองเอ็นดูเจ้าจิ้งจอกน้อยไม่ต่างกับเขา เอ็นดู...จนถึงขั้นจะสอนทำอาหารโปรดซึ่งเป็นอาหารไทยให้เจ้าจิ้งจอกใช้มัดใจเขาด้วยซ้ำ
   เพราะแม่จะลงทุนเข้าครัวเพื่อโชว์ฝีมือและสอนทำอาหารไทยลูกสะใภ้ป้ายแดง จึงชักชวนเขาและเจ้าจิ้งจอกพาไปห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านด้วยกัน ปล่อยให้พ่ออยู่บ้านเพียงลำพังครู่หนึ่งกับเจ้าแก็งก้อนขนที่กำลังนอนกลางวันอยู่
   ตอนแรกชริณว่าจะไม่ไป เพราะกลัวว่าหากเจ้าแก็งก้อนขนตื่นขึ้นมา พ่อของเขาจะรับมือไม่ไหว แต่พอพ่อออกปากว่าสามารถดูแลได้ ชริณจึงขอฝากบ้านและลูก ๆ ไว้กับพ่อครู่หนึ่ง เพื่อพาแม่และภรรยาไปซื้อของทำอาหารกันเย็นนี้
   หลังจากลูกชาย ลูกสะใภ้และภรรยาพากันออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อวัตถุดิบแล้ว คนเป็นประมุขของบ้านก็ถึงกับถอนหายใจออกมา นึกว่าจะไม่มีโอกาสได้ตรวจหาความจริงด้วยตนเองเสียแล้ว
   หลังมั่นใจว่าสามชีวิตนั่นออกไปข้างนอกแล้วจริง ๆ พ่อของชริณก็ค่อย ๆ เดินกลับไปหยิบสมุดบันทึกในลิ้นชักห้องลูกชายตัวดีออกมาสืบหาความจริง
   ถึงแม้เรื่องราวของครอบครัวลูกชายและพ่อม่ายลูกติดสี่คนจะดูเหมือนเข้าใจง่าย จนภรรยาเขาเออออตามนั้น ลูกชอบใคร แม่ก็ชอบก็รักด้วย แต่ดูเหมือนไม่ใช่กับคนพ่อ... เขาไม่ได้เกลียดที่ลูกชายชอบเพศเดียวกัน ไม่ได้รังเกียจพ่อม่ายลูกสี่หน้าตาน่ารักนั่นด้วย ที่แต่ต้องขอเวลาก็เพราะอยากพิสูจน์ความจริงอะไรบางอย่างให้แน่ใจก่อนว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดจริง ๆ
   มือที่เหี่ยวย่นตามช่วงวัย ค่อย ๆ เปิดดูสมุดบันทึกของลูกชายด้วยอาการใจเต้นแรง เพราะกลัวว่าจะเป็นอย่างที่ตนเองคิดไว้จริง ๆ
   พ่อของชริณอดคิดไปไม่ได้ว่าหากมันเป็นอย่างที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี แล้วถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง นี่คือสิ่งที่น่าเหลือเชื่อใช่ไหม สอนวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กมาเกือบทั้งชีวิตความเป็นครู ต้องแพ้ให้กับสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้จริง ๆ เหรอ
   ดวงตาคมอ่านทุกตัวหนังสือที่ถูกเขียนไว้ในสมุดบันทึกแต่ละหน้า แค่เห็นตัวหนังสือแว็บเดียว มั่นใจเสียยิ่งกว่าใครว่านี่แหละ คือสมุดบันทึกของชริณ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองที่เขาเป็นคนฝึกฝนให้อีกฝ่ายอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่แบเบาะแน่
   ข้างในสมุดบันทึกความลับของลูกชาย ระบุวิวัฒนาการพร้อมกับรูปถ่ายประกอบของลูกชายทั้งสี่ของคนรัก มันจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย หากพ่อของชริณไปอ่านเจอพัฒนาการเด็ก ๆ ที่ไม่มีลูกมนุษย์ทั่วไป ไหนจะลูกชายของเขาเรียกเด็กสี่คนเหล่านั้นว่าแก็งก้อนขนอีก
   ทั้งอย่างดูยุ่เหยิงจะจนก้อนไหมพรมที่ม้วนไม่เป็นเส้น จากที่เหมือนจะเข้าใจอะไรง่าย ๆ หลังจากการสมุดบันทึกสำคัญกลับไม่ใช่เลย ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อรู้สึกสับสนไปหมด เพราะในสมุดบันทึกมีทั้งภาพเด็กทารก สลับกับภาพลูกหมาจิ้งจอกแดงเรียงสลับกันไปมา ในจำนวนที่เท่า ๆ กัน ทำเอาคิ้วเข้มถึงกับขมวด
   “นี่มันคืออะไร...” นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคอุทานกับตัวเอง ก่อนที่พ่อของชริณแทบหยุดหายใจ เมื่ออ่านเจอประโยคสุดท้ายของสมุดที่ยังจดบันทึกไม่เสร็จและกำลังรอให้เจ้าของสมุดแต่งแต้มเรื่องราวลงสมุดนี้ต่อ ๆ ไป
   ‘สิ้นสุดการรอคอย6เดือน.... แก็งก้อนขนของคุณพ่อจะได้เป็นคนแล้ว’
   
   “พ่อครับ กลับมาแล้วครับ” หลังจากพาเจ้าจิ้งจอกน้อยและคุณแม่ไปซื้อวัตถุดิบตามที่ต้องการ เราก็กลับมาบ้านในทันที ชริณสอดส่องสายตาหาผู้เป็นพ่อ  ก่อนจะแวะเข้าไปดูแก็งก้อนขนก่อน เผื่อบรรดาลูก ๆ จะตื่นหลังจากนอนกลางวันแล้ว แต่ทั้งสี่คนก็ยังหลับปุ๋ยอยู่
   “พ่อครับ” ชริณเอ่ยปากถามหาพ่ออีกครั้ง ก่อนจะมองเห็นแผ่นหลังของผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนอยู่ตรงระเบียง มองดูทิวทัศน์ของประเทศญี่ปุ่นอย่างใช้ความคิด
   “ออกไปดูวิวข้างนอก โดยไม่ใส่เสื้อหนา ๆ แบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายเอานะครับพ่อ” ชริณว่าก่อนจะยืนข้างพ่อตัวเอง โดยอีกฝ่ายกำลังยืนเอามือซุกกระเป๋ากางเกงตัวเองเอาไว้
    ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อของเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ชริณก็ยังอยากยืนอยู่ข้าง ๆ พ่อ เผื่ออีกฝ่ายอยากจะถามอะไร ลุก ๆ เขาเองก็มั่นใจด้วยว่าสิ่งที่พ่อกำลังคิดอยู่ตอนนี้คงเป็นเรื่องครอบครัวของเขา มันคงจะดี หากเราใช้ช่วงเวลานี้พูดคุยกันแบบพ่อลูก เผื่อเขาจะช่วยให้พ่อทำใจได้ง่ายขึ้น ส่วนหน้าที่ในครัวก็ปล่อยให้คุณแม่และลูกสะใภ้จัดการกันเองดีกว่า เข้าไปเขาก็คงเกะกะเปล่า ๆ
   ยิ่งชริณเห็นพ่อหนักใจมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งอยากบอกความจริงเกี่ยวกับลูก ๆ หลาน ๆ ของพ่อมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้อยากโกหก อยากมีความลับกับครอบครัวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่สถานการณ์บีบบังคับ ทำให้ชริณต้องทำเช่นนั้น
   ชริณไม่อยากให้พ่อแม่กับตาย หากต้องรู้ความลับของเจ้าจิ้งจอกแล้วเผลอพูดให้ใครฟัง... มันเสี่ยงเกินไปที่จะต้องดึงพ่อแม่เข้ามารู้เรื่องนี้ ขนาดชริณเองตอนแรก ๆ ที่รู้ความลับของเจ้าจิ้งจอก เขายังหนักใจเลยแล้วพ่อแม่ของเขาที่จะต้องรู้ว่าลูกชายเพียงคนเดียวกำลังสร้างครอบครัวกับสิ่งมีชีวิตไม่เชิงเรียกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องใหญ่เกินจะเก็บไว้
   ไหนจะเรื่องที่พ่อแม่ของเขาจะเก็บความลับนี้ไว้ได้หรือเปล่านั่นอีก...
   “ชริณมีอะไรจะพูดกับพ่อไหม” จู่ ๆ พ่อก็พูดคำถามนี้ขึ้นมา
   “ครับ?”
   “พ่อคิดว่าเราคงมีบางอย่างอยากพูดกับพ่อ”
   “.....”
   “หรือเพราะพ่อรู้สึกไปเองนะ?” พ่อชริณถามหน้ายิ้มเหมือนไม่ได้จริงจัง แต่นั่นกลับทำให้ฝั่งคนลูกถึงกับหน้าถอดสี อาการน้ำท่วมปาก อึกอักลังเลว่าควรสารภาพความลับตัวเองออกมาดีไหม กลับมาเยือนเขาอีกครั้ง เมื่ออยู่กับพ่อเพียงสองคน
   แม้จะไม่ได้มีบรรยากาศกดดันอะไรเข้ามาเป็นฉากประกอบ แต่ชริณกลับรู้สึกว่าเขาพร้อมจะคายความลับออกมาได้ทุกเมื่อ ก้อนความรู้สึกผิดกำลังลุกลามอย่างเรื่อย ๆ จนเขาไม่สามารถปั้นหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรได้อีกแล้ว
   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ พ่อไม่ได้คาดคั้นเราสักหน่อยเจ้าลูกชาย พ่อก็แค่สงสัย” ฝั่งพ่อของชริณเองก็ตบบ่าลูกคนเดียวอย่างให้กำลังใจ ดวงตาที่เหี่ยวย่นไปตามวัยมองลูกชายที่เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวยังเล็ก ๆ ด้วยความเอ็นดู ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ความสัมพันธ์พ่อลูกที่ไม่เคยมีความลับต่อกัน ตอนนี้กำลังมีกำแพงที่มองไม่เห็น?
   “พ่อครับ ผมมีเรื่องจะสารภาพ...” ไม่รู้ว่าวินาทีนั้นชริณกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะพูดบางอย่างออกมา อย่างน้อยให้พ่อได้รับรู้ความจริงสักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี ก้อนความผิดของเขาจะได้น้อยลง ชริณจะได้รู้สึกผิดน้อยลงกว่านี้สักนิด
   “.....”
   “ผมขอโทษครับที่ผมโกหกพ่อ....ความจริงแล้วเด็กทั้งสี่คนไม่ใช่ลูกติดแฟนผมอะไรทั้งนั้น แต่เป็นลูกแท้ ๆ ที่เกิดจากเขาและผมเอง”
   “.....” พ่อของชริณถึงกับชะงักไป หลังจากฟังความจริงจากปากลูก ทั้ง ๆ ที่นั่นเป็นการเกริ่นนำความจริงเท่านั้นเอง
    แม้จะทำใจไว้แล้ว เตรียมรับทุกสถานการณ์ความจริงที่เกิดขึ้น หลังจากได้รู้ความจริงแบบงงเพราะสมุดความลับนั่น แต่พอได้ยินลูกชายออกปาก เอ่ยสารภาพอีกทีก็อดใจหวั่นใจไม่ได้
   รู้สึกกลัวความจริงที่ต้องรู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น....
   “แต่ผู้ชายกับผู้ชาย...”
   “ครับ น้องไม่เหมือนใคร” ชริณว่า เข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับคนเป็นพ่อ ลำพังแค่ความรักเพศเดียวกัน พ่อเขาก็ทำใจไม่ค่อยได้แล้ว ยิ่งมารู้ว่าสามารถท้องได้อีก มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต้องเข้าใจเรื่องแบบนี้
   “งั้นรวมถึงลูกแกด้วยหรือเปล่าที่ไม่เหมือนใคร”
   “พ่อรู้เหรอครับ” คราวนี้คำพูดของพ่อกลับทำให้ชริณชะงักแทน เขาสบตาพ่ออย่างตั้งคำถาม อึ้ง ๆ ปนระแวงกลัวว่าพ่อของเขาจะไปพบอะไรบางอย่าง ระหว่างที่ชริณไม่อยู่บ้าน
   “ฉันจะไม่ถามว่าเป็นตัวอะไร ทำไมถึงเป็นมนุษย์ ทำไมถึงเป็นจิ้งจอกได้ เพราะถ้าแกอยากบอก แกก็คงบอกฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ปล่อยไว้จนถึงตอนนี้หรอก....”
   “.....”
   “มันเป็นเรื่องยากใช่ไหมชริณ พ่อรู้...พ่อเชื่อว่าแกโตพอที่จะตัดสินใจอะไรเองได้แล้ว แต่พ่อขออย่างเดียวคือเราอย่ามีความลับต่อได้ไหม” พ่อของชริณว่าพร้อมกับสบตาลูกชายตัวดี “มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าสิ่งประหลาดเกิดขึ้นบนโลกนี้ แต่ถ้ามันเป็นไปแล้ว เด็กทั้งสี่คนเป็นลูกของแกจริง ๆ”
   “.....”
   “พ่อก็ขอเวลาทำใจก่อน คราวนี้พ่อดีใจนะที่รู้ว่าตัวเองกำลังมีหลานถึงสี่คน แม้ว่าเขาจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่สักวันพ่อเชื่อว่าตัวเองจะทำใจยอมรับแฟนแกเป็นลูกสะใภ้อย่างสนิทใจได้ เพราะต่อให้เขาจะไม่เหมือนใคร... แต่แกก็เลือกที่จะใช้ชีวิตกับเขาเหมือนเดิม”
   “.....”
   “เขาก็คงดีพอตัวใช่ไหมล่ะ แกถึงเลือกที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป”
   “ครับ เขาคอยช่วยเหลือ คอยยืนอยู่ผมตลอด” ชริณก้มหน้าลง เขารู้สึกดีขึ้นเมื่อพ่อหลุดหัวเราะและลูบหัวเพื่อปลอบโยน
   “แน่สิ....พ่อคงไม่คิดว่าแกจะเลือกใครเพียงเพราะเขาหน้าตาน่ารักอย่างเดียวหรอก”
   “ถึงเขาจะไม่เหมือนใคร แต่พ่อก็ช่วยให้ความรักเขาเหมือนที่มอบให้กับผมด้วยนะครับ คิดเสียว่าเขาเป็นลูกชายของพ่ออีกคนเถอะนะครับ” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ชริณอยากจะขอพ่อ
   “วางใจเถอะ นั่นคือสิ่งที่พ่อต้องทำอยู่แล้ว”





สกรีมแท็ก #น้องจะตอบแทนพี่เอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2018 18:31:26 โดย Papa614 »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ปลื้มใจ น้ำตาจะไหล
คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทำดีมากนะ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
โล่งอกที่คุณพ่อยอมรับได้ชรินเองก็ได้ไม่อึดอัดโกหกพ่อแม่

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
นึกภาพเจ้าก้อนขนเป็นลูกหมาป่ามารุมคุณปู่คุณย่าแล้วน่าร้ากกกกก  :hao5:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ค่อยเบาใจหน่อย  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ q.tr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พอได้บอกความจริงแล้วรู้สึกโล่งตามขาริน ซัง สู้ๆค่ะคุณพ่อ  o13

ออฟไลน์ AdLy

  • ไม่ได้ Korea Fever แค่รัก ดงบังและเอสเจ เท่านั้น
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
อ่านแบบลุ้นมากว่าก้อนขนจะหลุดแปลงร่างไหม

พอพ่อรู้ความจริง โล่งใจขึ้นเยอะเลยจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Red fox#น้องจะตอบแทนพี่เอง Ch.16 (2/2) (15.08.18)
« ตอบ #169 เมื่อ: 16-08-2018 01:05:11 »





ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Papa614

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1


17
[/b]


                ต่อไปก็คือคุณแม่ของชริณที่จะต้องเคลียร์กันอีกรอบ....



                 จริง ๆ ตอนแรกชริณตั้งใจว่าจะให้ปล่อยผ่านไปเลย เพราะไม่ว่าแก็งเจ้าก้อนขนจะเป็นลูกเลี้ยงหรือลูกจริง ก็เหมือนแม่จะโอเคทั้งนั้น แต่พอเขาได้คิด ๆ ดูใหม่อีกครั้ง ยังไงเสีย...ต่อให้ท่านจะรับได้ในเรื่องราวที่เขาโกหกขึ้นมา มันก็ยังไม่ถูกอยู่ดี ชริณไม่อยากให้แม่มาเสียใจ อยู่กับคำโกหกของเขาแล้วมารู้ความจริงในภายหลัง



                หากถึงเวลานั้นท่านคงไม่ยอมเข้าใจอะไรง่าย ๆ เหมือนในตอนนี้แน่....



            หลังจากที่ชริณพูดคุยกับพ่อ ได้เคลียร์เรื่องราวทั้งหมดและขอโทษในสิ่งที่เคยโกหกไว้เสร็จ ก็เป็นเวลาเดียวกันที่ทางแม่และว่าที่ลูกสะใภ้ทำอาหารเสร็จพอดี



                เจ้าจิ้งจอกน้อยโอ้อวดใหญ่ว่าทำอะไรเป็นแล้วบ้าง คุณแม่เขาสอนเจ้าตัวแสบทำอาหารไทย ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้งหรือผัดกะเพราอาหารคู่คนไทย



                หลังจากเข้าครัวเตรียมอาหารเสร็จ เจ้าจิ้งจอกก็ออกมาข้างนอกเพื่อเตรียมโต๊ะสำหรับมื้อเย็น ชริณจึงอาศัยจังหวะนั้น เข้าพูดคุยกับแม่ที่กำลังล้างอุปกรณ์อาหารอยู่ในครัว



                “แม่ค้าบบบบ” เขาเรียกเสียงยาว พออยู่กับแม่แค่สองคนก็กลายเป็นเด็กชายชริณในทันที ทุกครั้งที่ได้กอดได้อ้อนแม่ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง



                “ว่าไงเจ้าลูกชาย อ้อนแม่จะเอาอะไรหืม?” แม่ถามชริณอย่างอารมณ์ดี



                “เปล่าสักหน่อย แม่ก็พูดไป....ผมโตทำงานหาเงินเองได้แล้วนะครับ” ว่าจบก็หอมแก้มแม่ดังฟอดใหญ่ นาน ๆ ทีถึงจะได้กลับไทย คราวนี้พ่อแม่ลงทุนมาหาถึงที่นี่ เขาเลยตักตวงความสุขหน่อย



                “ก็เวลาเราชอบเอาใจแม่แบบนี้ มักจะมีเรื่องปวดหัวตามมาทุกทีนี่นา” แม่พูดพลางส่งเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเห็นลูกชายคนเดียวทำหน้างอเหมือนเด็ก ๆ



                “คราวนี้เปล่าครับ แต่ผมมีเลยจะสารภาพนิดหน่อย” ชริณว่าเสียงอ่อน กระชับโอบกอดแม่พลางโยกตัวไปมา



                “นั่นไง แม่เดาผิดเสียที่ไหนกัน”



                “แต่คราวนี้แม่ไม่มีปวดหัวแน่นอนครับ” ชริณการันตี



                “ไหน งั้นลองพูดให้แม่ฟังซิ”



                “แต่แม่ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธผม.....” ก่อนจะได้บอกความจริง ชริณก็ขอต่อรองเสียก่อน เพราะเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น



                “เอ๊ะ....มันเรื่องอะไรชริณ ไหนบอกว่าแม่จะไม่ปวดหัวไง”



                “ก็ไม่ปวดหัวหรอกครับ แต่แม่ต้องทำความเข้าใจนิดนึง”



                “งั้นก็เล่ามาเลย” คราวนี้แม่พลิกตัวหันมาสบตาลูกชายตัวดีอย่างจริงจัง เพราะไม่รู้ว่าลูกจะมาไม้ไหนกันแน่ ถึงได้มีเรื่องมาสารภาพเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้



                “เรื่องแฟนผมกับลูกติด มัน....”



                “เป็นเรื่องโกหก แม่เข้าใจถูกไหม?”



            “....!!” ไม่ทันที่จะได้สรรหาคำดี ๆ มาอธิบายให้แม่เข้าใจ เขาก็แค่เกริ่นนำแม่ของชริณฮุบหมัดกลับเข้าอย่างจัง ชายหนุ่มได้มองผู้เป็นแม่อย่างอึ้ง ๆ ในขณะเดียวกันแม่เองก็กอดอกมอง ไม่ได้ท่าทีตกใจอะไรด้วย นอกจากส่ายหน้าไปมาเหมือนสุดจะระอาเท่านั้น



                “แม่...แม่รู้ได้ไง” นานนับนาที กว่าชริณจะรวบรวมสติได้แล้วถามผู้เป็นแม่กลับ



                “แม่เป็นแม่นะชริณ จะมีใครรู้จักเราดีกว่าแม่ล่ะ”



                “.....”



                “ดูด้วยว่าเด็ก ๆ ทั้งสี่หน้าคล้ายกับตัวเองอย่างกับแกะ ไหนจะแฟนลูกที่ตอบไม่ได้เรื่องคนรักเก่าอีก ลูกรู้ไหมว่าลูกทิ้งหลักฐานไว้เยอะมากเลย” แม่ว่าด้วยประโยคยาวเยียด ขณะที่ชริณก็ยังคงมึนงงอยู่ ดูเหมือนพ่อแม่จะรู้ทันเขาหมดเลย พ่อก็รู้ แม่ก็รู้ เหลือแค่รอให้เขาสารภาพความจริงก็เท่านั้น



                นี่มันอะไรกันเนี่ย....



            “แล้วแม่สื่อสารกับแฟนผมได้ยังไง”



                “ท่าทางไง แฟนเราก็ฉลาดเอาเรื่องนะ แค่แม่ลองเย็บ ๆ ถาม ใช้ท่าทางช่วยนิด ๆ หน่อย ๆ เขาก็รู้แล้วว่าแม่ต้องการจะถามอะไร” ภาษาเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่มันสำคัญน้อยกว่าการอยากสนทนา แม้จะพูดคุยต่างภาษา แต่ถ้าหากอยากคุยกันจริง ๆ ภาษาก็ไม่ใช่อุปสรรคอะไร ใช้ท่าทางเอาก็ยังได้



                “แต่แม่อยากรู้ว่าทำไมเราถึงสามารถทำให้เขาท้องได้” ถึงจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าเด็กทั้งสี่คือลูกที่แท้จริงของชริณ แต่ก็ไม่ว่าสงสัยต่ออยู่ดี ในเมื่อทั้งคู่เป็นผู้ชาย



                “น้องมีสองเพศในร่างหนึ่งครับ....เขาไม่เหมือนกับเรา” ชริณเล่าต่ออย่างไม่ปิดบัง เขาเลือกที่จะเล่าในส่วนที่สามารถเล่าได้



                “รวมถึงเด็ก ๆ ด้วย เขาไม่เหมือนเรา”



                “จริง ๆ แม่ก็ว่าเขาแปลก ๆ อยู่นะ ถึงจะมนุษย์ แต่แม่ก็ว่าเขาดูแปลกต่างจากคนอื่น.....” แม่ของชริณพูดพลางเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ตอนที่พบกันครั้งแรกก็รู้สึกแล้วว่าแฟนของลูกชายแปลก ๆ พยายามสังเกตหา ตามร่างกาย แต่ก็ไม่พบอะไรงอกออกมา



                “เขา....เป็นผีเหรอลูก” แม่ว่า คิดเป็นตุเป็นตะ หากไม่ใช่คนก็คงเป็นผี...



                “ไม่ใช่ครับ เขาไม่ใช่ผี” ชริณรีบปฏิเสธทันที กลัวแม่จะเข้าใจเจ้าจิ้งจอกน้อยและแก็งก้อนขนผิดไปมากกว่านี้ “เขาไม่ใช่ผีครับแม่ เรื่องนี้ผมยืนยันได้”



                “งั้นเหรอ...ถ้าเขาไม่ใช่ผีและก็ไม่ใช่มนุษย์ แม่เข้าใจถูกไหม?” แม่ของชริณถามต่อ เก็บอาการตื่นเต้นไว้แทบไม่อยู่ ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มานาน เพิ่งจะได้พบเรื่องราวพิศวงก็คราวนี้ ทั้ง ๆ ที่พยายามจะเข้าใจลูกสุดกำลังแท้ ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี



                “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”



                “ชริณ....” คนเป็นแม่ถึงกับอุทานออกมา มองหน้าลูกชายคนเดียวของตัวเองอย่างอธิบายไม่ถูก



                “เขาจะทำร้ายตัวลูกไหม” แม่ชริณว่าด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง



                “น้องไม่ใช่ปิศาจที่จะทำร้ายใคร คุณแม่วางใจได้เลยครับ”



                “......”



                “แล้วก็ช่วยรักน้องด้วยนะครับ ผมขอจริง ๆ อีกอย่างผมก็สร้างครอบครัวกับน้องไปแล้ว ลูก ๆ ของผมก็คือหลานของคุณแม่ ถึงมันจะดูแปลกประหลาด ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ช่วยพยายามเชื่อและมอบความรักให้ครอบครัวตัวน้อย ๆ ของผมด้วยนะครับ” ชริณว่า



                “ผมขอโทษที่โกหกแม่ไปหนแรก แต่ตอนนี้ผมบอกว่าจริงแล้ว น้องไม่ใช่ผี ไม่ใช่คน ไม่ใช่ปิศาจร้าย น้องท้องได้ผมบอกแม่ได้เพียงเท่านี้จริง ๆ มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ แต่ผมขอโทษและช่วยพยายามเข้าใจเรื่องนี้ด้วยนะครับ”



                “เฮ้อ....แล้วบอกพ่อหรือยัง” หลังจากทำใจอยู่นาน คนเป็นแม่ก็เอ่ยถามลูกชายต่อ มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ และเรื่องนี้จะตัดสินใจเองไม่ได้ด้วย



                “เรียบร้อยแล้วครับ”



                “แล้วพ่อว่าไงบ้าง” คนเป็นแม่ถามต่อ



                “ไม่ได้ว่าอะไรครับ พ่อไม่ได้คัดค้านและพ่อพยายามเข้าใจกับเรื่องนี้ราวอยู่ครับ”



                “เฮ้อ...งั้นแม่จะว่าอะไรได้เล่า พ่อเขาว่าไงแม่ก็คงต้องว่าตามนั้น”



                ฝั่งจิ้งจอกเองหลังจากจัดเตรียมโต๊ะเสร็จ ก็ตั้งใจจะมายกอาหารในครัวต่อ แต่ทุกอย่างก็ต้องหยุดก่อน เจ้าจิ้งจอกน้อยต้องแอบมองแม่ลูกพูดคุยอยู่หลังประตูแทน ดวงตากลมโตแสดงท่าทีหวั่นใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด จิตใจเริ่มร้อนรน เมื่อคิดว่าชริณและคุณย่าของเด็ก ๆ กำลังพูดคุยเรื่องที่น้องเพิ่งสารภาพผิดไปแน่



                ทำไงดีชาริน ซังจะโกรธน้องไหม....



            เพียงแค่คิดว่าชาริน ซังสามีสุดที่รักจะโกรธเรื่องที่น้องตัดสินใจบอกความจริงกับคุณย่า จิตใจของเจ้าจิ้งจอกน้อยก็เริ่มพะว้าพะวงเต้นเร่า ๆ ในทันที ใบหูที่รับเสียงได้มากกว่ามนุษย์พยายามเอียงฟังอย่างสุดฤทธิ์ว่าสองแม่ลูกกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ได้ยินไปก็เท่านั้น เพราะน้องฟังภาษาไทยไม่ออกอยู่ดี



                อยากรู้ใจจะขาดแล้ว...



            “เจ้าจิ้งจอกมาทำอะไรตรงนี้”



                “โอ๊ะ! น้องไม่ได้ตั้งใจจะเล่านะ” หลังเห็นสามีเดินออกมาจากครัว เจ้าจิ้งจอกน้อยก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธชาริน ซังยกใหญ่ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด ๆ ว่าน้องเสนอหน้าไปบอกความจริงเอง



                เรื่องราวมันอยู่ว่าคุณย่าของเด็ก ๆ เหมือนจะถามน้องเรื่องในอดีต เหตุไฉนความรักถึงล่มจนได้ลูกสี่มา น้องเข้าใจว่าคุณย่าถามเช่นนั้น ตอนนั้นน้องคิดความหลังของตัวเองไม่ออก สิ่งที่คิด ๆ ได้คือ อาหาร ป่า คุณหมาป่าและก็คุณสามี ประกอบกับไม่กล้าที่จะพูดปดอีกต่อไป



                หลังคุณย่าของเด็ก ๆ เห็นน้องอ้ำอึ้งอยู่นานสองนาน ไม่ยอมเล่าให้ฟังเสียที ท่านจึงมองน้องด้วยสายตานิ่ง ๆ ดูดุคล้ายจะให้สารภาพคายความจริงออกมา นั่นทำให้น้องไม่มีทางเลือก ต้องทำท่าประกอบโดยการชี้นิ้วไปหาชาริน ซังที่กำลังพูดคุยกับคุณปู่อยู่ริมระเบียง ก่อนจะชี้กลับมาที่ท้องของตัวเองแล้วทำท่าท้องป่อง เพียงเท่านั้นคุณย่าของเด็ก ๆ ก็รับรู้ได้แล้วว่าความจริงเป็นอย่างไร



                “ชาริน ซังโกรธน้องไหม” เจ้าจิ้งจอกว่าด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นจวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เพราะกลัวชาริน ซังจะโกรธเอาจริง ๆ



                “โกรธทำไมเล่า เราทำดีที่สุดแล้ว ไปกินข้าวกัน”  ชริณตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ทุกร้อนอะไร



                หลังจากที่สารภาพบาปให้พ่อแม่ได้ฟัง ชริณก็รู้สึกเบาใจลงอย่างเห็นได้ชัด พอได้พูดความจริงออกไป เขาก็รู้สึกโล่งมาก ไม่เหมือนตอนที่โกหก ตอนนั้นความรู้สึกผิดประเดประดังเข้ามาจนเขาไม่สามารถยิ้มได้ด้วยซ้ำ



                “เราทำสำเร็จแล้วนะเจ้าจิ้งจอก เราจะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ มีพ่อแม่ ลูก มีคุณปู่ มีคุณย่าแล้ว” ชริณว่าพลางฉีกยิ้มให้เจ้าจิ้งจอก รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก แค่ได้คิดว่าทั้งหมดจะได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ เขาก็มองเห็นถึงความสุขไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้แล้ว



                แต่เห็นอยู่ภารกิจเดียว...



                “เรามาทำให้คุณปู่คุณย่าเอ็นดูลูก ๆ ของเรามาก ๆ กันเถอะ”















                “ฮะ ๆ คุงงงงย่า”



                “ตะวันอย่าซนสิลูก” คุณแม่ลูกสี่รีบเอ่ยปรามลูกชายคนที่สามทันควัน พ่อแม่ป้ายแดงที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยกำลังซนถึงกับกุมขมับเป็นว่าเล่น ปกติลูกไม่เคยซนถึงขนาดนี้ แต่วันนี้กลับควบคุมไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเพราะกำลังเห่อคุณปู่ คุณย่าหรือยังไง ถึงได้แก่นเซี้ยวพยายามปีนออกจากเก้าอี้นั่นสำหรับเด็ก คลานมาหมายจะเกาะแขนคุณปู่ คุณย่าที่กำลังทานข้าวอยู่



                “คุงงงงปู่ อุ้ม ๆ” เพิ่งจัดการตะวันไป สายรุ้งลูกสาวคนโตก็รับช่วงต่อทันที ทำเอาพ่อแม่ลูกสี่แทบหัวหมุน ไม่รู้จะจัดการลูกคนไหนก่อนดี ปกติลูกติดแต่พ่อแม่ ชริณกลับจากที่ทำงานแต่ละที ได้เป็นพ่อเนื้อหอม ลูก ๆ พยายามเล่นด้วยตลอด เพราะเขาหายหน้าไปทั้งวัน



                แต่ในเวลานี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลาของเขาอีกแล้ว เพราะลูก ๆ ทั้งสี่คนกำลังติดคุณปู่คุณย่าต่างหาก ไม่ต้องบอกให้ลูกอ้อนเพื่อเอาใจใคร ลูกก็ทำหน้าที่เองอยู่แล้ว ตามติดคุณปู่คุณย่าทันทีเมื่อเห็นว่าท่านใจดี แม้ทั้งฝั่งจะเพิ่งเจอกันไม่นานก็ตาม



                 ฝั่งพ่อแม่ของชริณก็ถึงกับหัวเราะด้วยความชอบใจ ยังไม่ทันกินข้าวเสร็จดี เจ้าตัวป่วนทั้งหลาย ทั้งหลานชาย หลานสาวก็ต่างเรียกกันระนาวเสียแล้ว เสียงเด็กเรียกหาเคล้ากับเสียงพ่อแม่ปรามดังขึ้นระนาว ฟังดูแล้วรู้สึกอบอุ่นไปอีกแบบ



                “มา ๆ มาให้ปู่อุ้มเร็ว”



                “แต่พ่อยังกินข้าวไม่อิ่มเลยนะครับ” ชริณว่า ดูเหมือนการทานข้าวจะเป็นเรื่องรองไปแล้ว เพราะหลานสาวที่เรียกหาให้อุ้มด้วยท่าทางสุดน่าชังสำคัญกว่า



                “ไม่เป็นไรหรอก พ่อใกล้อิ่มแล้วล่ะ” คุณพ่อของชริณว่าพลางอุ้มหนูสายรุ้งขึ้นมาแนบอกไว้ หนูน้อยเองก็เหมือนจะชอบใจที่คุณปู่เลือกเธอมากกว่าอาหาร ถึงได้ส่งตาแป๋วที่เหมือนจะได้แม่มา คล้ายจะอ้อนก่อนจะเอามือเล็ก ๆ ก็โอบคอคุณปู่ไว้อย่างหลวม ๆ พลางเอาแก้มยุ้ยเกยไหล่ไว้



                “ฮะฮ่า ๆ ลูกขี้อ้อนดีนะ” คุณปู่ของเด็ก ๆ ว่าด้วยความชอบใจ



                “กอดกัง ๆ”



                “ดูซี เจ้าตัวเล็กอ้อนพ่อใหญ่เลย” พ่อชริณว่าพลางชี้หลักฐานให้ลูกชายและลูกสะใภ้ดูว่าเจ้าตัวเล็ก ๆ ทายาทของทั้งคู่กำลังอ้อนคุณปู่คุณย่าหนักแค่ไหน



                ฝั่งชริณเองก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นภาพคุณปู่คุณย่ากำลังหยอกล้อกับหลาน ๆ อย่างมีความสุข เขารู้สึกดีที่ได้เห็นพ่อแม่ฉีกยิ้มกว้าง มีความสุขกับหลาน ๆ ของตัวเอง



                มันมีเท่านี้จริง ๆ ที่เป็นความสุขของเขา ชริณไม่ได้ต้องการเงินทองมากมายจนใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด เขาไม่ได้ต้องการความสุขสบาย มีคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้ เขาก็แค่ต้องการให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วยกันเท่านั้นเอง....เท่านั้นจริง ๆ ที่เขาต้องการ



                “น้องคิดว่าเราน่าจะทำภารกิจสำเร็จแล้วล่ะ” ภาพเจ้าตัวแสบทั้งสี่กำลังเล่นกับคุณปู่คุณย่า อยู่ในสายตาของเราทั้งหมด มันรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความอบอุ่นที่มีความสุข ชริณรู้สึกอย่างนั้น



                ชริณหลุบตามองมือภรรยาที่กำลังกุมมือเขาไว้ ทำให้อดคิดไปไม่ได้ว่าเรื่องของเราก็เดินทางมาไกลเหมือนกัน จากจุดที่มองเจ้าจิ้งจอกน้อยเป็นตัวประหลาด นับวันคอยว่าเมื่อไรภารกิจจะเสร็จสิ้นเสียที พอถึงวันจริงเขาทำสำเร็จกลับเป็นฝากเอ่ยรั้งอีกฝ่ายเองว่าขอให้อยู่ต่อ



                จากที่เคยมองเป็นตัวประหลาด ไม่มีวันจะเข้ากันได้ เมื่อเวลาผ่านไปเขากลับได้ตัวประหลาดที่เคยปรามาสไว้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสียอย่างนั้น....



            “ครอบครัวของเราสมบูรณ์แบบแล้วนะ ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว” เขาพูดกับเจ้าจิ้งจอก หมดแล้วสิ่งที่เคยกลัว เคยกังวลมาโดยตลอด เราข้ามผ่านมันไปด้วยกันแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวลอีกต่อไป

               



                ในที่สุดวันหยุดยาวของพ่อแม่ก็สิ้นสุดลง พอถึงวันที่พ่อแม่ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่เมืองไทย ชริณก็รู้สึกใจหายนิด ๆ เพราะอยากให้พวกท่านอยู่ต่อ แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น เพราะพวกท่านยังต้องมีอาชีพและภาระที่ต้องรับผิดชอบต่ออยู่



                “หลังจากพ่อแม่เกษียณ ผมอยากให้พ่อแม่ย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นะครับ” ชริณว่า ในเมื่อเด็ก ๆ เจ้าจิ้งจอกย้ายไปใช้ชีวิตที่เมืองไทยไม่ได้ เขาก็อยากย้ายพ่อแม่มาใช้ชีวิตที่นี่เอง



                “อย่าเลยลูก ยุ่งยากเสียเปล่า ๆ ให้บินมาหาเป็นครั้งเป็นคราวน่ะพอได้ แต่จะให้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เลย คงเป็นไปไม่ได้หรอก” แม่ว่า



                “.....”



                “พ่อกับแม่ไปก่อนสนามบินก่อนนะ เดี๋ยวตกเครื่อง ไปก่อนนะลูก” ขากลับพ่อแม่ไม่ได้ให้ชริณไปส่งที่สนามบินเหมือนอย่างเคย ทั้ง ๆ ที่เขาบอกแล้วแท้ ๆ ว่าสามารถไปส่งพวกท่านได้ แต่พ่อแม่กลับอยากไปเองมากกว่า ชริณจึงต้องว่าตามนั้น



                พ่อแม่ลูกร่ำลากันพอเป็นพิธี เจ้าจิ้งจอกน้อยก็ได้แต่ยืนมองอยู่ข้างหลัง ปล่อยให้ชาริน ซังและคุณปู่คุณย่าของเด็ก ๆ ร่ำลากันอย่างเต็มที่ ส่วนเด็ก ๆ เองในเวลานี้ยังไม่ตื่น ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีแล้ว เพราะหากบรรดาแก็งก้อนขนรู้ว่าคุณปู่คุณย่าต้องกลับไทยในวันนี้ คงมีหวังร้องไห้กันจ้าละหวั่นแน่



                แม่ของชาริน ซังผละออกมาก่อนจะเดินมาหาลูกสะใภ้ ในขณะเดียวกันพ่อและชาริน ซังก็พูดคุยกันอีกนิดหน่อย เจ้าจิ้งจอกมองคุณย่าของลูก ๆ ด้วยความแปลกใจ นึกสงสัยว่าคุณย่ามีอะไรอยากจะพูดกับน้องงั้นเหรอ



                “นดไยฟก##%$%^#” เจ้าจิ้งจอกน้อยถึงกับเอียงคอมองคุณแม่ของชาริน ซัง หลังอีกฝ่ายพ่นภาษาไทยที่น้องฟังไม่ออก มีแต่พูดได้ออกมา



                 ตอนแรกหลังจากฟังน้ำเสียงเสียง น้องก็คิดว่าท่านกำลังบ่นอะไรบางอย่าง แต่เหมือนน้องจะคิดผิดไป เพราะหลังที่ท่านพูดจบ ท่านก็ส่งยิ้มให้กับน้อง พร้อมลูบหัวน้องด้วยความเอ็นดูเหมือนที่ชาริน ซังชอบทำกับน้องบ่อย ๆ



                แม้จะเป็นสัมผัสที่บางเบาแต่เจ้าจิ้งจอกน้อยก็รู้สึกอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูก แม้เราจะอยู่ร่วมชายคาบ้านหลังเดียวกันไม่ถึงสัปดาห์ แต่น้องก็รับรู้ได้เลยว่าพ่อแม่ของชาริน ซังก็เอ็นดูน้องไม่ต่างจากสามีของน้อง ในที่สุดรถแท็กซี่ที่เตรียมไปส่งที่สนามบินก็มาจอดรับหน้าบ้าน น้องจึงเดินไปส่งพร้อมกับชาริน ซัง



                เรามองรถแท็กซี่ผ่านไปอย่างนึกใจหาย ดวงตากลมโตมองตามรถจนสุดสายตา ตอนนี้เรากลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมแล้วคือมีแค่เราและแก็งเจ้าก้อนขนตัวป่วน



                “เข้าบ้านกันเถอะ” ชริณว่าเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำภรรยาเข้าบ้าน แต่ถูกมือเล็กรั้งไว้ก่อน



                “ชาริน ซังน้องมีเรื่องสงสัย”



                “อะไรล่ะ?”



                “เมื่อกี้ชาริน ซังได้ยินที่คุณย่าของลูกเราพูดกับน้องไหม น้องอยากรู้ว่าเขาพูดอะไร” ปกติเจ้าจิ้งจอกน้อยมักจะปล่อยเลยตามเลย ไม่เคยสงสัยอะไรกับสิ่งที่คุณย่าพูด แต่ครั้งนี้น้องกลับอยากรู้ความหมายที่แท้จริง อยากจะรู้ว่าคุณย่าพูดอะไรกับน้องกันแน่



                “ก็ได้ยินอยู่” ชริณว่า ตอนที่คุณแม่ผละจากเขาไปคุยกับเจ้าจิ้งจอก เขาเองก็เอียงหูฟังอยู่เหมือนกัน



                “คุณย่าของเด็ก ๆ พูดว่าอะไรเหรอ”



                “ดูแลกันดี ๆ นะลูก ฝากลูกชายแม่ด้วย” ชริณพูดตามที่คุณแม่เขาพูดอย่างไม่ปิดบัง



                 เอาจริง ๆ เขาเองก็แอบเขินนิดหน่อยที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ออกมา แต่ถ้าหากเจ้าจิ้งจอกน้อยอยากจะรู้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ฝั่งเจ้าจิ้งจอกน้อยก็เผยรอยยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก หากน้องย้อนเวลากลับไปได้ น้องก็อยากบอกคุณแม่ของชริณเหมือนกันว่าน้องจะดูแลชาริน ซังให้ดีที่สุด คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ชาริน ซังอยู่กับน้องจะปลอดภัยแน่นอน



                “เราทำภารกิจทุกอย่างสำเร็จแล้วนะเจ้าจิ้งจอก” ชริณว่า พ่อแม่เข้าใจ ทุกคนรับรู้ เขามีความสุขที่สุดแล้ว “เราจะได้อยู่กันแบบครอบครัวแบบนี้....”



                “.....”



                “ตลอดไปแล้วนะ”



            “อื้อ! น้องรักชาริน ซัง น้องรักครอบครัวของเราที่สุด” เจ้าจิ้งจอกน้อยพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น น้องสัญญาว่าจะดูแลครอบครัวของเราให้ดีที่สุด เพราะกว่าเราจะสร้างมันมาด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่นิด ปวดหัว เสียความรู้สึก มีอุปสรรคมาขวางกั้นมาก็ตั้งเยอะ กว่าจะได้มีวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่นิด




                “ฉันก็รักนายเหมือนกัน เจ้าจิ้งจอกตัวแสบ” ชริณกล่าวออกมาจากหัวใจ “ขอบคุณสัญชาตญาณของนาย ที่ทำให้เราได้เจอกัน”






____________________

สกรีมแท็ก #น้องจะตอบแทนพี่เอง

ในที่สุดก็จบแล้ววว ใจหายมากกๆ แต่เรายังต้องเขียนบทพิเศษในเล่มต่อ อีก 2 บทอิอิ

ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสเรา ขอบคุณที่คอยสนับสนุนกัน ขอบคุณที่กล้าเสี่ยงอยากสายแฟนตาซีของเรา เนื้อเรื่องจะไม่จบ

หากขาดคนอ่าน ขอบคุณจากใจ พบกันในเรื่องของคุณหมาป่า จะมีน้องมาแจมๆนิดหน่อย ตอนเป็นแม่บ้านเต็มตัว คิๆ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:  ยินดีด้วยนะครอบครัวอบอุ่นน่ารัก.  แค่เรียนเองที่บ้านอยู่ใกล้ชิดป่าก็พอแล้ว
หวังว่าคุณหมาป่าจะได้หนึ่งในน้องไปนะดูแลให้ดีๆด้วยล่ะ

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
พี่หมาป่าจะมีเรื่องของตัวเองด้วยเหรอกีซซซ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
เกือบมองผ่านเรื่องนี้ไปแล้วค่ะ
แต่เป็นคนแพ้คำว่า "น้อง" เลยลองคลิกเข้ามาดู

แม้จะแปลก ๆ แปร่ง ๆ ไปบ้างในความเป็นจริง
แต่พอคิดว่า นี่คือนิทาน นี่คือนิยาย .. ก็อ่านจนจบได้แบบไม่ขัดข้องใจ
น่ารักดีนะคะ ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีงามมากมาย
แต่ยืนยันค่ะว่า ... น่ารัก และจบได้สบายใจคนอ่าน

ขอบคุณนะคะ
แล้วจะรอเจอพี่หมาป่านะคะ

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
รออ่านเรื่องคุณหมาป่า รีบมานะครับ

ออฟไลน์ Maleemol

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณค่ะ
น้องงงน่ารัก
 :-[  :-[  :-[

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
น่ารักยันตอนจบเลย ขอบคุณค่าาาา  :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด