16
“มาให้แม่กอดหน่อย คิดถึงจังเลยลูก”
“คิดถึงเหมือนกันครับ”
“โกหก....ถ้าคิดถึงแม่จริง ต้องมาหาแม่บ่อย ๆ สิ”
“โธ่....ผมผิดไปแล้วครับ” ชริณถึงกับหลุดหัวเราะ เมื่อเจอแม่ฟาดแขนเข้าให้เพื่อทำโทษ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปสวมกอดแม่เองอย่างลูกชายช่างอ้อน ในที่สุดเขาก็มาถึงเมืองไทยเสียที กว่าจะมาถึงก็ช่วงบ่ายของวันแล้ว พอกลับมาอยู่ในบ้านเดิม ๆ ที่เติบโตมาตั้งแต่เด็ก ๆ ความรู้สึกเดิม ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง
แม้ตัวชริณจะไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นหลายร่วมปี จนส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นกำลังกลืนกินเขาอย่างช้า ๆ แต่ยังไงเสียที่เมืองไทยบ้านก็คือบ้าน ชริณเติบโตที่นี่ ไม่มีอะไรอบอุ่นเท่าบ้านเราอยู่แล้ว เขาเองอยากพักอยู่ที่นี่นาน ๆ เหมือนกัน แต่การกลับบ้านมาครั้งนี้ เขามาเพื่อธุระ ไม่ใช่ตั้งใจจะมาพักผ่อนตั้งแต่แรก
“พ่อ...สวัสดีครับ” หลังจากปล่อยให้แม่กอดจนหายคิดถึงแล้ว ชริณก็เข้าไปทักทายพ่อต่อซึ่งพ่อของเขาก็พยักหน้ารับอย่างเช่นทุกที
เราไม่ได้คุยโทรศัพท์กันอีกเลยตั้งแต่ครั้งที่ชริณพูดเรื่องครอบครัวผ่านสายโทรศัพท์ให้พ่อฟังคราวนั้น อาจมีบ้างที่เขาโทรมาหา ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการจองตั๋ว เรื่องจุกจิกในการไปญี่ปุ่นมากกว่า ไม่ได้คุยเรื่องอื่นเป็นกิจจะลักษณะ
สารภาพตามตรงตั้งแต่ที่ชริณก็ได้เล่าเรื่องราวชีวิตช่วงนี้ ครอบครัว คนที่ใช้ชีวิตร่วมกันที่ญี่ปุ่นให้พ่อฟังผ่านสายโทรศัพท์คราวนั้น เขาก็มีความเกรงใจคนเป็นพ่อมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่เวลาเราคุยกัน เรามักจะคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน การใช้ชีวิตมากกว่า เพิ่งจะมาได้คุยเรื่องส่วนตัวกันก็ตอนครั้งนั้น แม้บทสนทนาจะเป็นไปในทิศทางที่ดีจนทำให้ชริณโล่งอก แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้
“เขาไม่มาด้วยเหรอ”
“ครับ?”
“คนที่ลูกเล่าให้ฟังไง” พ่อขยายความ
“อ๋อ....” ชริณเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง “เขาไม่สะดวกครับ เจ้าตัวเล็ก ๆ ยังขึ้นเครื่องไม่ได้ เขาเลยต้องรออยู่ที่นั่นเพื่อดูแลลูก” ชริณว่าพร้อมกับสังเกตปฏิกิริยาของพ่อ
ชริณกลัวพ่อมากกว่าแม่ พ่อของเขาเป็นคนเงียบ ๆ เวลากำลังคิดอะไรอยู่ก็จะไม่ค่อยพูดออกมา ต้องรอให้มั่นใจถึงค่อยพูดและสมาชิกในบ้านทุกคนก็จะต้องฟังเสมอ
โชคดีที่ชริณได้พูดรายละเอียดคร่าว ๆ แล้วว่าเรื่องมันเป็นมายังไงให้ฟังแล้ว เขากำลังคบหากับใครอยู่ การพูดคุยแบบนั้น แม้จะไม่ได้พูดเป็นกิจจะลักษณะ เป็นเพียงแค่การเล่ารายละเอียดผ่านสายโทรศัพท์ แต่อย่างน้อยพ่อแม่ของเขาก็จะได้รับรู้เพื่อที่จะได้รับมือ
ชริณรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อแม่ เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว....แต่ทุกอย่างมันเป็นไปแล้ว
“งั้นไม่เป็นไร....เดินทางมาเหนื่อย ๆ ขึ้นไปนอนพักผ่อนเถอะลูก” เพราะบรรยากาศที่เริ่มเครียดตึง ทำให้พ่อเลือกที่จะปล่อยตัวเขาขึ้นมาพักผ่อนก่อน
ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่แสนคุ้นเคย เพราะเห็นปฏิกิริยาพ่อแม่แบบนั้น เขาก็เริ่มเครียด ทั้งพ่อทั้งแม่ดูไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น เขารู้ล่ะว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับท่านทั้งสอง แต่อยากให้ท่านลองเปิดใจดูสักนิด เพราะครอบครัวก้อนขนของเขา น่ารักกันทั้งนั้น
เหมือนความเครียดกลับมากองอยู่ที่ตัวชริณแต่เพียงผู้เดียวอีกครั้ง ทั้งเรื่องพ่อแม่ ทั้งเรื่องครอบครัวก้อนขน ไม่รู้ป่านนี้เจ้าจิ้งจอกและแก็งก้อนขนจะเป็นยังไงบ้าง คุณแม่ลูกสี่จะรับมือลูก ๆ ตัวแสบของเราได้ไหม? อยู่ห่างกันไม่ถึงวัน เขาก็เป็นห่วงฝั่งทางนั้นแล้ว เขาอยากรีบกลับญี่ปุ่นเหลือเกิน
ความกังวลยังคงตามหลอกหลอนชริณจนกระทั่งเวลาที่เขามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ยิ่งเวลาผ่านไปเร็วขึ้นเท่าไร ทั้งสองครอบครัวก็ยิ่งใกล้พบกันมากขึ้นเท่านั้น ไฟล์ทบินจากไทยไปญี่ปุ่นที่ชริณจองไว้ให้พ่อแม่ออกเดินทางประมาณเที่ยงคืน พอไปถึงที่นั่นก็เช้าพอดี คราวนั้นแหละทั้งสองครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที
ฝั่งคุณแม่ลูกสี่คิดว่าจะสามารถรับมือกับลูก ๆ เหมือนอย่างในทุกวัน ตอนสามีไปทำงานได้ กลับกลายเป็นว่าตอนนี้กำลังคิดผิดถนัด เจ้าจิ้งจอกน้อยกำลังหัวหมุน เพราะมันไม่ใช่อย่างที่คิดและน้องไม่สามารถตอบคำถามขี้สงสัยของลูก ๆ ได้หมด
“คุงพ่อเมื่อไรจะกลับมาอ่า”
“นี่มันหายไปนานแล้วนะ คุงแม่”
“เลาออกไปตามหากันดีไหมคะ”
“ฮือ...เมื่อไรคุงพ่อจะกลับมา” เสียงเล็ก ๆ ของแก๊งก้อนขนบ่นกันระนาว เมื่อเข้าใจว่าวันนี้เป็นอีกวันที่คุณพ่อจะไปทำงานและกลับบ้านมาตอนห้าโมงเย็นพอดี ทว่ารอจนแล้วจนเล่าก็ไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าประตูเสียที จนเจ้าหนูน้อยทั้งหลายเริ่มไม่สนใจของเล่น แต่กลับนั่งล้อมวงจ้องหน้าประตูราวกับกดดันให้คุณพ่อรีบกลับบ้านเสียที
หากวัดความขี้เห่อ แก๊งก้อนขนจะเห่อคุณพ่อมาก ๆ เมื่อเทียบกับแม่ที่เจอกันตลอดเวลาตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงตอนเข้านอน แต่คุณพ่อจะมีช่วงเวลาที่ต้องไปทำงาน หายไปจากวงจรชีวิตของลูก ๆ ครู่หนึ่ง ทำให้ทุกครั้งที่พ่อกลับบ้าน อีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายสุดฮอตของลูก ๆ เสมอ แก๊งก้อนขนจะเรียกหาพ่อจนคุณแม่ที่เลี้ยงมาทั้งวันต้องแอบหลบฉากไปก่อน
“คุงแม่ เมื่อไรคุงพ่อจะกลับมา” ดวงดาวลูกสาวคนสุดท้อง เริ่มส่งเสียงงอแงคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เมื่อไม่เห็นคุณพ่อของเธอกลับบ้านมาเสียที
“เดี๋ยวคุณพ่อก็มานะ รอก่อน ๆ” ฝั่งแม่เองก็รีบให้คำตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ กลัวว่าเจ้าหนูน้อยจะพากันปล่อยโฮ เพราะหากแก็งเจ้าก้อนขนร้องไห้พร้อมกันทั้งสี่คน คราวนี้ปวดหัวยิ่งกว่าการตอบคำถามไม่รู้ต่อกี่เท่าแน่
“แล้วจะมาตอนไหนอ่า” ดวงดาวยังคงสงสัยต่อ
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันลูก” เจ้าจิ้งจอกน้อยว่า
ไม่ใช่แค่เหล่าลูก ๆ รอคุณพ่อกลับบ้าน แต่เจ้าจิ้งจอกน้อยก็รอสามีกลับบ้านเช่นกัน คุณแม่ลูกสี่รู้สึกจนปัญญาเหลือเกินกับคำถามของลูก ๆ ภาวนาให้แก็งก้อนขนอย่าถามอะไรมากกว่านี้ เพราะเจ้าจิ้งจอกก็ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองไทยอยู่ไกลจากญี่ปุ่นเราขนาดไหน อีกทั้งก็ลืมถามชาริน ซังจึงไม่สามารถให้คำตอบอะไรได้
เพื่อเป็นการตัดปัญหา ไม่ให้ลูก ๆ จดจ่อกับการกลับบ้านของพ่อมากเกินไป เจ้าจิ้งจอกน้อยจึงเลือกที่จะใช้ขวดนมเตรียมส่งให้ลูก ๆ เข้านอนก่อนกำหนดเกือบสองชั่วโมง ภาวนาให้พรุ่งนี้เช้าเจอชาริน ซังพร้อมคุณปู่คุณย่าอยู่หน้าบ้าน น้องจะได้ไม่ต้องคอยตอบคำถามลูก ๆ ของเราอีก
ชาริน ซังรีบกลับบ้านมานะ ลูก ๆ รออยู่...
โชคดีที่ไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร อย่างเช่นเครื่องบินดีเลย์ ทำให้ชริณสามารถพาพ่อแม่มาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นได้ตรงเวลาตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้
“อากาศเย็นกว่าที่ไทยนิดหน่อย ระวังด้วยนะครับแม่” ชริณว่าพร้อมกับกำชับผ้าพันคอของมารดาให้เข้าที่เข้าทาง ขณะที่รอให้รถแท็กซี่มาจอดตรงหน้า
ในตอนนี้อากาศที่ญี่ปุ่นถือว่าเย็นกว่าเมืองไทยเจ็ดถึงแปดองศา ทำให้เขากลัวว่าพวกท่านทั้งสองจะไม่สบายเอาได้
หลังจากมาถึงสนามบิน ชริณก็เลือกต่อรถแท็กซี่พาพวกท่านมายังบ้านพักใหม่ของตัวเองและครอบครัวทันที โดยปกติหากเขาเดินทางคนเดียว มักจะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าและต่อด้วยรถประจำทาง แต่เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ลำบาก เบียดอัดกับผู้คน ทำให้ชริณยอมจ่ายแพงกว่านิดหนึ่ง เพื่อให้พวกท่านสะดวกสบายมากขึ้น
“บ้านใหม่น่าอยู่ดีนะลูก” แม่ว่า เมื่อรถแท็กซี่มาจอดสนิทที่หน้าบ้านชริณแล้ว
บ้านหลังใหม่ที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังเก่ามากนัก อยู่โซนเดียวกัน โชคดีที่ชริณสามารถหาบ้านพักหลังใหม่ได้ใหญ่กว่าเดิม แต่ยังคงอยู่แถว ๆ ขอบป่าตามจุดประสงค์ที่วางเอาไว้เพื่อครอบครัวก้อนขนในภายภาคหน้า
บ้านหลังนี้มันอาจไม่ได้ใหญ่โตจนเหมือนบ้านเศรษฐีร่ำรวย แต่มันก็ใหญ่พอสำหรับสมาชิกสี่ห้าชีวิตที่กำลังเติบโตขึ้นในทุก ๆ วัน
หากให้เทียบกันแล้ว แม่จะมาเยี่ยมชริณบ่อยกว่าพ่อ พ่อนาน ๆ ทีถึงมาเยี่ยมเขา เนื่องด้วยสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนักเมื่อเทียบกับแม่ แต่ชริณก็สนิทกับพวกท่านทั้งสอง ไม่มีการรักพ่อมากกว่าหรือรักแม่น้อยกว่า พ่อแม่ของเขาจะคอยสนับสนุนเขาคนละด้าน เขาก็มีท่านเป็นแบบอย่างในการเลี้ยงลูก
“อา...พ่อแม่เข้าบ้านก่อนนะครับ ข้างนอกอากาศมันหนาวเดี๋ยวไม่สบาย ส่วนทางนี้ผมจะจัดการต่อเองครับ” ชริณว่าเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงแค่ขนสัมภาระเข้าบ้าน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจรับผิดชอบขนย้ายสัมภาระเข้าบ้านทั้งหมดเอง ให้พ่อแม่เข้าไปข้างในบ้านก่อนดีกว่า
เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปไขกุญแจบ้านเปิดให้พวกท่านเข้าไปพักข้างในก่อน เราเดินทางจากประเทศไทยมายังญี่ปุ่นร่วมห้าหกชั่วโมง ทำให้เรามาถึงญี่ปุ่นค่อนข้างเช้าและเวลานี้ครอบครัวก้อนขนคงยังไม่ตื่นแน่ เขาจึงไม่ต้องไปอธิบายอะไรให้มากความ ลูก ๆ ก็ไม่ต้องแตกตื่นกับคนแปลกหน้า เพราะเวลานี้ยังไม่มีใครตื่น
เขารู้สึกได้เลยว่าพ่อกำลังเงียบจนผิดสังเกต นั่นอาจเพราะกำลังเก็บหลักฐานบางอย่างอยู่ก็ได้ การที่ชริณคบกับใครสักคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชาย มันเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่สำหรับครอบครัวเรา แม้วันนั้นพ่อบอกว่าจะพยายามเข้าใจ เพราะนั่นคือความสุขของเขา แต่ชริณรู้ดีว่าพ่อเองก็ทำใจยากเหมือนกัน เพราะพ่ออยากอุ้มหลาน
ก่อนขึ้นเครื่องบินมาที่นี่แม่ก็แอบบีบมือให้กำลังใจเขา ท่านรู้ว่าชริณกำลังเครียดกับเรื่องพวกนี้ แม้เขาจะตัดสินใจบอกเรื่องราวบางส่วนให้พ่อแม่ได้รับรู้และตั้งหลักแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี
ชริณรู้ดีว่าแม่เองก็ทำใจลำบากไม่ต่างจากพ่อ เพียงแค่ท่านเลือกที่จะให้กำลังใจเขาด้วยแล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคต เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรและตอนนี้เขาจะถอยกลับไม่ได้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดฝั่งแก็งก้อนขนก็ครอบครัวเขาเหมือนกัน ฝั่งพ่อแม่ก็ครอบครัวเขาเช่นกัน
ฝั่งคุณแม่ลูกสี่ที่เพิ่งหลับไปก่อนฟ้าสางก็ถึงกับลืมตาขึ้นมา นิ่งแล้วฟังเสียงอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไป
ชาริน ซังกลับมาได้แล้วเหรอ?
คราวนี้ไม่ใช่นอนฟังเสียงเพื่อให้ตัวเองแน่ใจเฉย ๆ แต่เจ้าจิ้งจอกน้อยรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วเอาหูไปแนบตรงประตูห้องนอนเพื่อฟังเสียงอีกครั้ง หากอยู่ในร่างจิ้งจอกคงได้เห็นพวงหางสวยสับส่ายไปมาแน่
พอได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันข้างนอก น้องก็เริ่มมั่นใจไปแล้วเกินครึ่งว่าหนึ่งในนั้นต้องเป็นสามีน้องแน่ แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อน เพราะสามีน้องเคยสอนว่าหากมีอะไรน่าสงสัยให้ฟังจนแน่ใจเสียก่อน อย่าเพิ่งบุกออกไป มันจะเป็นอันตราย หากเป็นสมาชิกในบ้านค่อยเดินออกไปหาก็ได้
กลีบปากบางถึงคลี่ยิ้มเมื่อมั่นใจว่าข้างนอกใช่ชาริน ซังสามีคนดีของน้อง แชาริน ซังไม่ได้อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง น้องได้ยินเสียงผู้ชาย ผู้หญิงด้วยโทนเสียงที่แตกต่างดังสลับกันไปมาด้วย ซึ่งน้องคิดว่านั่นคงจะเป็นคุณปู่คุณย่าของลูก ๆ
เอาไงดี...สามีก็อยากเจอ คิดถึงจะตายถ้าน้องจะบุกออกไปหาตอนนี้จะเหมาะสมไหม?
ตั้งแต่เรามีลูก สร้างครอบครัวด้วยกัน เราก็ตัวติดกันแทบทุกวัน นอนด้วยกันทุกคืน ช่วยกันแบ่งหน้าที่ดูแลเจ้าก้อนขนทั้งสี่ตัว แต่พอสามีหายไปร่วมยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไปทำเพื่อเรื่องครอบครัวของเรา แต่อาการความคิดถึงก็ทำงานอย่างเต็มที่อยู่ดี ไม่ใช่แค่ลูก ๆ ที่คิดถึงพ่อ แต่คุณแม่เองก็ไม่ต่างกัน เพียงแค่ว่าต้องทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าลูก ๆ ก็เท่านั้น
เอาน่า....ถึงจะบุกไปกอดอย่างที่ต้องการไม่ได้ ขอแง้มประตูนิด ๆ พอได้เห็นหน้าสามีให้ความคิดถึงมันหยุดทำงานสักนิดก็ยังดี...
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเจ้าจิ้งจอกน้อยก็ถึงกับเลียปากอย่างลุ้นระทึก กลัวว่าคนข้างนอกจะจับได้ด้วย แต่ถึงมันจะมีความเสี่ยงว่าอาจทำให้คนที่อยู่ข้างนอกจับได้ แต่น้องก็เลือกที่จะทำ เพราะคิดถึงชาริน ซังจริง ๆ ขอแค่ได้เห็นหน้าพอให้ได้ชื่นใจก็ยังดี
หลังคิดได้เช่นนั้น มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดโดยพลัน ก่อนจะค่อย ๆ หมุนอย่างเบาเสียงให้ได้มากที่สุดและค่อย ๆ เปิดมันออกอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงสนทนาของพ่อแม่และตัวชาริน ซัง
ทุกอย่างควรเป็นอย่างที่น้องคิด ตั้งใจจะขอแง้ม ๆ ดูหน้าสามีสักหน่อยแ ล้วกลับไปนอนรอที่เตียงอย่างว่าง่าย แต่บานพับประตูดันเกิดอาการฝืดขึ้นมากะทันหัน นั่นทำให้มันส่งเสียงดังลั่นแล้วพ่อแม่รวมถึงตัวชาริน ซังก็หันมามองประตูห้องนอนอย่างไม่ได้นัดหมายทันที
“....!!”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ร่างกายเหมือนถูกสาปชั่วขณะที่เมื่อทุกคนหันมามองน้องที่กำลังแง้มประตูแอบดู ก่อนที่เจ้าจิ้งจอกน้อยจะได้สติ รีบปิดประตูเสียงดังลั่นแล้วกระโดดหนีขึ้นเตียงไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
“ตายแล้ว ๆ เขาจับได้แล้ว ทำไงดี!”
“ฮือออออออออออออ” เสียงครวญครางของเจ้าจิ้งจอกน้อยดังขึ้นลั่นผ้าห่มพื้นหนา ขาเรียวถีบสะเปะสะปะไปมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ชั่วครู่ น้องก็แค่อยากเห็นหน้าชาริน ซังเอง แต่ทำไมคุณประตูถึงต้องส่งเสียงด้วย ร้อยวันพันปีไม่เคยฝืด ดันมาฝืดจังหวะนี้พอดี พ่อแม่ชาริน ซังจะมองว่าน้องเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นไหม!
ฝั่งพ่อแม่ของชริณที่เพิ่งเข้ามานั่งพักในบ้านได้ไม่นาน พูดคุยเกี่ยวกับบ้านหลังใหม่ของลูกชายไปได้นิดหน่อย ก็ถึงกับหันมองหน้ากัน หลังประตูห้องนอนของลูกชายเพิ่งถูกปิดไปจากคนในห้อง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้เห็นแค่ตาแป๋ว ๆ ของว่าที่ลูกสะใภ้เพียงครู่เดียวอีกฝ่ายก็รีบปิดประตูห้องเสียแล้ว สงสัยคงจะตกใจ
“นั่น...เมียแกเหรอ” พ่อถามอย่างอึ้ง ๆ
“ใช่ครับ...”
“งั้นก็เข้าไปดูกันก่อนไป เผื่อเขาเป็นอะไร”
เพราะเห็นว่าคนรักของลูกชายดูมีท่าทีแปลก ๆ จากที่ตั้งใจจะคุยเรื่องส่วนตัวที่ทำให้พ่อแม่ถ่อมาถึงที่นี่ ทำให้คนพ่อเลือกที่จะปล่อยให้ลูกชายเข้าไปดูอาการคนรักก่อน เผื่ออีกฝ่ายจะไม่สบายและตกใจที่เห็นคนแปลกหน้าอยู่ในบ้าน ฝั่งชริณเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขารีบลุกขึ้นเดินไปห้องนอน เพื่อไปดูอาการของเจ้าจิ้งจอกน้อยทันที
“ฮือออออออออออ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ” ฝั่งเจ้าจิ้งจอกน้อยยังคงตีโพยตีพายกับตัวเองอยู่ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เจอกันครั้งแรกพ่อแม่ชาริน ซังก็ต้องประทับใจน้องสิ ไม่ใช่มองว่าน้องเป็นพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน แบบนี้ใครจะอยากให้เป็นคู่ชีวิตของลูกชายตัวเองกัน!
เสียงเปิดประตูห้องนอนทำให้เจ้าจิ้งจอกน้อยรีบออกมาจากอุโมงค์ผ้าห่มของตัวเอง เมื่อเห็นว่าเป็นชาริน ซังที่เดินเข้ามาหา เจ้าจิ้งจอกน้อยก็รีบออกจากผ้าห่ม ท่อนแขนเล็กอ้าออกกว้างหวังจะได้รับอ้อมกอดอุ่น ๆ จากสามีมาปลอบใจ
“ฮือออ ชาริน ซังช่วยน้องด้วยยยยยย” เจ้าจิ้งจอกน้อยงอแง อุตส่าห์อยากให้พวกท่านประทับใจตั้งแต่แรกเจอ แต่น้องกลับทำมันพังหมดเพียงเพราะอยากเจอหน้าสามีให้ชื่นใจ พัง พัง พัง!
“เป็นอะไร หืม?” ฝั่งชริณเองก็ไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรกับเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงเอ่ยถามภรรยาด้วยน้ำเสียงใจเย็นแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กับอีกคน
“เมื่อกี้พ่อแม่ได้ว่าอะไรไหม”
“ไม่นี่”
“ฮือ พวกท่านต้องมองว่าน้องสอดรู้สอดเห็นแน่ ๆ เลย น้องไม่ได้อยากไปฟังตอนชริณคุยธุระกับพวกท่านนะ น้องก็แค่อยากเห็นหน้าชารินเฉย ๆ แต่เจ้าบานพับประตูดันฝืดนี่สิ ฮืออออ” เจ้าจิ้งจอกน้อยโวยวายใหญ่พลางเอาหน้าซุกอกสามีไว้
“คิดมาก...ไม่มีอะไรหรอก พ่อแม่ไม่มาคิดอะไรแบบนี้หรอก” ชริณถึงกับกลั้วหัวเราะเมื่อรู้ว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยกำลังคิดอะไรอยู่ “ว่าแต่เราเถอะเป็นอะไร โดนจับได้แล้วทำไมถึงไม่ออกไปล่ะ”
“ก็น้องตกใจอะ แต่พ่อแม่ชาริน ซังจะไม่มองว่าน้องเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นใช่ไหม” เจ้าจิ้งจอกน้อยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“คิดมาก เอาเวลาไปคิดว่าทำยังไงถึงจะให้พ่อแม่ประทับใจดีกว่า”
“จริงสิ....แต่ตอนนี้น้องขอกอดชาริน ซังก่อนนะ คิดถึ๊งงงงคิดถึง” เจ้าจิ้งจอกน้อยว่าพลางกระชับอ้อมกอดตัวเอง สูดกลิ่นกายที่ตัวเองชื่นชอบ คุณแม่ยังคิดถึงขนาดนี้ ส่วนลูก ๆ ที่ถามหาพ่อสามเวลาหลังอาหารจะคิดถึงขนาดไหน นี่ว่าถ้าเห็นคุณพ่อกลับบ้านแล้วคงได้ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ดีใจตั้งแต่เช้าตรู่แน่ แต่ตอนนี้คุณแม่ขอกอดคุณพ่อให้หายคิดถึงก่อน ลูก ๆ ค่อยกอดต่อแล้วกัน
“อะไรกัน ห่างกันไม่ถึงวันเอง” ถึงจะว่าเช่นนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชริณเองก็คิดถึงเจ้าจิ้งจอกเหมือนกัน เป็นห่วงไปหมดเพราะอีกฝ่ายต้องเลี้ยงลูกทั้งสี่ชีวิตเพียงลำพัง พอเห็นแบบนี้เขาก็ชื่นใจแล้ว
“ก็ไม่เคยห่างกันนี่นา ชาริน ซังรู้ไหมลูก ๆ ของเราบ่นคิดถึงใหญ่เลย”
“จริงเหรอ ฟังแล้วชื่นใจจัง” เขาถึงกับฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น แค่ได้ยินว่าแก็งก้อนขนถามหาตัวเองเขาก็ดีใจแล้ว หัวใจพองโตแปลก ๆ เพียงเพราะลูกถามหา
“อื้อ! น้องตอบคำถามลูกไม่ค่อยได้ด้วย เสียใจมาก ๆ เหมือนทำหน้าที่บ้านได้ไม่ดีพอเลย” เจ้าจิ้งจอกทำหน้าสลด รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ตอบคำถามของลูก ๆ ไม่ได้ น้องคิดว่าเป็นแม่ที่ดีต้องตอบทุกอย่างที่ลูกอยากรู้ได้ แต่นี่ไม่ค่อยรู้อะไรเลยนอกจากเรื่องในป่า
“ไม่เห็นต้องเสียใจเลย ขนาดมนุษย์ยังใช่ว่าจะรู้ทุกเรื่องเสียหน่อย”
“จริงเหรอ”
“อืม...การเป็นแม่ที่ดีไม่ได้หมายถึงต้องรู้ทุกเรื่องที่ลูก ๆ สงสัยนะ แค่เป็นห่วงลูกหวังดีโดยไม่หวังผลตอบแทนก็นับว่าเป็นแม่ที่ดีแล้ว” ชริณว่าพลางลูบหัวแม่ของลูก ๆ ด้วยความเอ็นดู ชริณว่าพักหลังมานี้เขาเริ่มหนักแล้ว หมายถึงหลงเจ้าจิ้งจอกหนักเลย ไม่รู้ทำไมถึงเอ็นดูในความคิดของอีกฝ่ายขนาดนี้ ดูเหมือนเจ้าจิ้งจอกจะมุ่งมั่นการเป็นแม่ที่ดีเพื่อนลูก ๆ มาก ๆ ทำให้เขาอดเอ็นดูไม่ได้
“แล้วตอนนี้น้องเป็นแม่ที่ดีของลูกหรือยังอะ” เจ้าจิ้งจอกน้อยถามสามี
“แล้วหวังดีกับลูกไหมล่ะ” ชริณย้อนถาม
“ก็ขอแค่เห็นลูกกินอิ่ม นอนหลับน้องก็สบายใจแล้วนะ แต่ต้องยกเว้นดวงดาวนะ รายอันกินนมน้องเท่าไรก็ไม่อิ่ม กินนมขวดก็ไม่อิ่ม”
“ฮ่า ๆ” ชริณถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อคุณแม่ลูกสี่พูดถึงลูกคนสุดท้องที่ดูเหมือนจะเป็นสาวจ้ำม่ำกว่าใคร “งั้นแค่เท่านั้นก็นับว่าเป็นแม่ที่ดีแล้ว”
ฝั่งเจ้าจิ้งจอกเมื่อได้ยินสามีกล่าวเช่นนั้นก็ถึงกับยิ้ม หัวใจพองโตเหมือนตัวเองได้รับพลังวิเศษ น้องคิดไว้ตั้งแต่ตั้งท้องแล้วว่าหากลูก ๆ คลอดออกมา จะทำหน้าที่เป็นแม่ให้ดีที่สุด ต้องรอลูกโตจนลูกสามารถใช้ชีวิตในสังคมที่โหดร้ายนี้ได้ถึงจะหมดห่วง
น้องคิดแค่นั้นจริง ๆ เป็น แต่น้องไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ตัวเองเป็นแม่ที่ดีหรือยังเพราะไม่มีใครคอยบอก แต่พอได้ยินสามีการันตีเช่นนั้น เจ้าจิ้งจอกก็รู้สึกว่าตัวเองทำภารกิจสำเร็จแล้วจริง ๆ อิ่มเอมยิ่งว่าตอนรู้ว่าเผ่าพันธุ์ตัวเองจะไม่สูญหายไปจากโลกนี้แล้วเสียอีก
“รู้สึกดีขึ้นยัง?” ชริณถาม
“ดีขึ้นแล้ว ดีใจจังที่ตัวเองเป็นแม่ที่ดี คราวนี้เหมือนน้องได้ทำภารกิจสำเร็จจริง ๆอะ”
“ก็ดีแล้ว อันไหนตอบลูกไม่ได้ก็ไม่ต้องเครียด โลกนี้ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ” ชริณว่า เอ็นดูคุณแม่มือใหม่จริง ๆ แค่ตอบลูกไม่ได้ก็หน้างอแล้ว “แล้วนี่พร้อมจะเจอพ่อแม่ยัง”
“น้องอยากแก้มือ แต่พ่อแม่ชาริน ซังไม่ดุจริง ๆ นะ”
“เขาไม่กล้าดุเราหรอก งั้นก็ออกไปด้วยกันเลยไหม”
“งั้นชาริน ซังรอน้องก่อน น้องขอเวลาห้านาที” เจ้าจิ้งจอกน้อยว่าก่อนจะผละออกจากร่างกาย วิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำส่วนตัวเพื่อไปแปรงฟัน ล้างหน้า เพื่อที่จะได้เจอกับพ่อแม่สามีอย่างเป็นทางการเสียที ไหน ๆ ก็พลาดไปแล้ว งั้นน้องขอแก้มือแล้วกัน!
หลังจากแปรงฟัน ล้างหน้าเสร็จ เจ้าจิ้งจอกน้อยก็มาเช็กสภาพตัวเองหน้ากระจกแต่งตัวเพื่อให้มั่นใจ โดยที่มีสามีนั่งรออยู่ในห้องเตรียมจะออกไปพร้อมกัน จริง ๆ น้องก็ใส่ชุดอยู่บ้านปกติ ไม่ได้ใส่ชุดพิเศษอะไร แต่ก็อยากเช็กให้มั่นใจเสียก่อน ดวงตากลมโตกวาดตามองตัวเองผ่านกระจกเงา ขณะเดียวกัน กลีบปากบางก็ขยันท่องบทแนะนำตัวเป็นภาษาไทยไปด้วย
“พร้อมยัง”
“พร้อมแล้ว” เจ้าจิ้งจอกน้อยยืนยันกับสามีพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อุตส่าห์เตรียมตัวมาตั้งหลายวัน น้องจะทำตัวให้ดีที่สุด คุณพ่อคุณแม่ของชาริน ซังจะได้รัก ได้เอ็นดูน้องแล้ว
เมื่อชริณได้ยินเช่นนั้น เขาบีบมือเจ้าจิ้งจอกเพื่อเป็นกำลังใจให้ทั้งเจ้าจิ้งจอกและตัวเขาเอง ภาวนาให้วันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จะได้หมดห่วงเสียที แต่ทว่าทันทีที่เปิดประตูออกไปแทนที่จะได้เห็นพ่อแม่นั่งรออยู่บนโซฟาเหมือนอย่างที่คิด แต่เราสองคนกับพบเพียงโซฟาที่วางเปล่าพร้อมกระเป๋าสัมภาระ ก่อนจะได้ยินเสียงพ่อแม่ดังออกมาจากห้องนอนของแก็งก้อนขน!
“อุ้ม ๆ อุ้มโหน่ยยยย”
“อุ้มผมด้วยค้าบบบบ”
“ฮ—ฮึก คิดถึงคุงพ่อ”
“ฮืออออ เมื่อไรหนูจะได้กินนม” เสียงงอแงของแก็งก้อนขนทำให้พ่อแม่ตัวจริงรีบวิ่งเข้าไปดู ทั้งคู่ต่างตกใจเมื่อเห็นว่าที่คุณปู่คุณย่าของเด็ก ๆ แทนที่จะนั่งอยู่โซฟา กลับกำลังคลุกคลีกับแก็งเจ้าก้อนขนที่เพิ่งตื่น ลูกบางคนถือวิสาสะจะปีนขึ้นหัวคุณปู่ด้วยซ้ำ ทำเอาคุณแม่จิ้งจอกแทบเป็นลม
“อาทิตย์ ไม่เอานะลูก” เมื่อเห็นท่าไม่ดี ลูกชายกำลังลามปามเจ้าจิ้งจอกน้อยก็รีบเข้าไปอุ้มอาทิตย์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่กำลังจะปีนขึ้นหัวคุณปู่ออกทันที พอ ๆ กับชริณก็รีบเข้าไปอุ้มสายรุ้ง ลูกสาวคนโตที่กำลังเตรียมร้องไห้โฮมากอดแนบอกเอาไว้
“โอ๋ ๆ พ่ออยู่นี่แล้วนะคะ” สถานการณ์ยิ่งโกลาหลอยู่แล้ว พอคุณพ่อสุดที่รักปรากฏตัว เด็ก ๆ ที่กำลังเห่อกับคนแปลกหน้าอย่างปู่ย่า ก็รีบปล่อยทุกอย่างพยายามทั้งคลานทั้งเดินมาหาคุณพ่อสุดที่รักที่กำลังปลอบลูกสาวคนโตอยู่
“คุงพ่ออออกอดหนูด้วย”
“ฮ—ฮึก คุงพ่อกลับบ้านแล้ว”
“คิดถึงคุงพ่อจางงงง” เด็ก ๆ รีบมารุมมาตุ้มคุณพ่อ ทำเอาชริณที่กำลังปลอบหนูสายรุ้งอยู่ ต้องนั่งลงก่อน เพื่อที่จะได้กอดลูก ๆ ทุกคน
“พ่อกลับมาแล้ว ไม่ร้องไห้นะลูก” ชริณว่าพลางใช้นิ้วเช็ดน้ำตาสมาชิกแก็งก้อนขนหนึ่งในสี่ออก รู้แล้วว่าลูก ๆ คิดถึงเขาจริง ๆ มันเป็นความวุ่นวายแต่กลับทำให้เขายิ้ม ฝั่งพ่อแม่ชริณก็มองภาพเด็ก ๆ ทั้งสี่วิ่งเข้าหาชริณด้วยความแปลกใจ เพิ่งจะเคยเห็นสายตาอ่อนโยนของชริณเวลามองเด็ก ๆ ที่ไม่ใช่ลูกตัวเองก็วันนี้
เป็นแค่ลูกติดของแฟนลูกชายจริง ๆ เหรอ? คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของคนพ่อผู้ซึ่งจะเป็นว่าที่คุณปู่ของแก็งเด็กทั้งสี่คนนี้....