✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿pine trees and clean laundry✿ #น้ำค้างกลางป่าสน omegaverse☁ epilogue (24/12/18)  (อ่าน 20658 ครั้ง)

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
chapter fifteen



                ตอนแรกก็แค่สนใจเฉยๆ ทรายคิดแบบนั้นตอนที่มองน้องกิมครั้งแรก

โอเมก้าสันโดษ ไม่ยอมแม้แต่จะให้คนอื่นได้กลิ่นตัวเอง เขาว่ากันว่าอย่างนั้น ในตอนแรกที่ได้ยินก็แค่ความสนุกหูสะดุดใจ มีด้วยเหรอโอเมก้าแบบนั้น มีด้วยเหรอโอเมก้าที่จะไม่ยอมสยบให้กับใครเลย เพราะทั้งชีวิตของทราย มีแต่โอเมก้าเข้าหาล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่มีโอเมก้าคนไหนที่ไม่หันมองเขาจนเหลียวหลังหรือพยายามที่จะเข้าใกล้ จะเรียกว่าหลงตัวเองก็คงไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะเขาก็ดันกลิ่นแบบนี้อยู่แล้ว จะแปลกใจที่มีโอเมก้าที่ไม่อยากเข้าใกล้อัลฟ่าสักคนเลยก็คงไม่ผิดนี่ 

ในตอนแรกก็แค่อยากเห็นว่าเป็นคนแบบไหน หยิ่งผยองซักเท่าใดอัลฟ่าถึงได้เที่ยวเอามาพูดต่อกันว่าอยากจะลองทำให้สยบลงกับตัวเองสักครั้ง ทรายเป็นผู้ฟังในวงสนทนานั้น อัลฟ่าชอบความท้าทาย ชอบการเอาชนะ ชอบเวลาได้เที่ยวอวดใครต่อใครที่โอเมก้าของตนหอมอย่างนู้นดีอย่างนี้ ถึงได้เอาไปพูดกันสนุกปากว่าถ้าได้โอเมก้าอย่างกิมสักครั้งก็คงเหมือนการเอาชนะเกมด่านบอสได้ ตอนนั้นทรายก็ยังขำเกลื่อนไปกับวงสนทนาด้วย

วันที่น้องกิมเดินเข้ามาทักมาทายเพื่อจะฝากของให้น้องรหัสเขานั้นก็ถือเป็นความบังเอิญ ครั้งแรกที่เห็นก็แค่รู้สึกว่าขาวสมกับในรูปภาพที่เพื่อนเคยยื่นๆ มาให้ดู โอเมก้าไร้กลิ่น เขาว่ากันอย่างนั้น และก็จริง แต่ความหยิ่งผยองในใบหน้านั้นไม่เห็นจะจริงสักนิดเดียว ใบหน้าดื้อไม่เป็นมิตร ไม่ยิ้มตามมารยาท ไม่พยายามที่จะประจบประแจงหรือเข้าใกล้ทำให้ทรายยิ่งแปลกใจระคนสนใจเข้าไปอีก

ในครั้งที่สองที่เจอ เป็นวันฝนตก และบทสนทนาอันแสนจะแปลกประหลาดเพื่อจะเอาตัวรอดกันทั้งคู่ จะเรียกว่าเอาชนะด่านบอสแบบที่เขาบอกกันได้รึเปล่าก็ไม่รู้ที่เขาได้กลิ่นของอีกฝ่าย กลิ่นอัญชันค่อนไปทางโลชั่นหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมอาบน้ำ ที่ปรุงแต่งกลิ่นเจ้าดอกไม้สีม่วงนี่ให้มีสเน่ห์ขึ้น

ในตอนนั้นทรายไม่ได้คิดว่าเขาชนะด่านบอสอะไรเลยด้วยซ้ำ ก็แค่คิดว่าช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ที่ได้กลิ่นนี้ ในโลกนี้มีกลิ่นเป็นล้านกลิ่น แต่บางอย่างในตัวน้องกิม ทำให้เขาต้องหันมอง กระวนกระวาย ตามหา ไม่ใช่แค่กลิ่น แต่เป็นสีหน้า ท่าทาง การพูด ที่ทำให้ทรายนึกถึงทุกครั้งยามที่หัวว่างๆ

ตอนแรกก็แค่เริ่มจากพาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่คิดว่าจะสามารถเจอได้ แค่เห็นหน้าก็พอ แต่มันไม่ใช่แค่ก็พอน่ะสิ ไอ้อาการอยากพาไปกินข้าว อยากซื้อนู่นซื้อนี่มาเอาใจ อยากตามดูแลนี่มันตีตื้นขึ้นมาในอกเป็นระยะๆ เลยทีเดียว

ก็แค่ไม่อยากเห็นใบหน้าน่ารักนั่นมุ่ยลง อยากจะตามใจ นี่ก็เป็นนิสัยของอัลฟ่าอีกอย่างรึเปล่า ที่อยากจะตามดูแลของที่ตัวเองชอบ

ตอนแรกยอมรับว่ากลัวอีกฝ่ายจะรำคาญ กลัวจะโดนไล่ โอเมก้าที่เขาว่าหยิ่งนักหยิ่งหนา ทรายกลัวจริงๆ ว่าจะหยิ่งสมคำพูด แต่ยิ่งได้เข้าใกล้ ได้คุย ได้รู้จัก ก็ยิ่งรู้สึกอยากดูแล ไม่อยากให้บอบช้ำเลย ไม่อยากให้ใครมารังแก ไม่อยากให้ใครมากล่าวหาอีก แต่ปากคนย่อมยาวกว่าปากนกปากกาเสมอ คงจะห้ามไม่ได้ถ้าจะถูกมองในแบบที่คนเห็น ท่าทางน้องกิมจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่มีอัลฟ่ามายุ่งด้วยบ่อยๆ ก็เพราะตัวเองโดนเอาไปพูดต่อต่างๆ นานาเสียขนาดนั้น

และทรายก็ไม่คิดว่าจะเป็นคราวที่ตัวเองจะโดนซักไซ้จากเพื่อนฝูง

                “มึงได้น้องกิมละเหรอวะ?”

                “โห่ อะไรวะ ไอ้ทรายแม่งฟังเงียบๆ แต่คาบไปแดกเร็วชิบหาย กูกะพริบตาปึ๊บ น้องกิมกูโดนละไง”

                “ละเป็นไง กูถามกี่รอบๆ ไม่เคยบอกซะทีว่าน้องเขากลิ่นเป็นไง ละหยิ่งมะ หน้าโคตรหยิ่ง เห็นแล้วหน้าเอาชิบหาย”

                ประโยคน่ารังเกียจมากมายถูกถามเข้ามาด้วยความสนุกปากในวงสนทนา ทรายตอบเลี่ยงๆ เป็นเชิงขอตัว ไม่อยากจะแก้ตัวหรือบอกว่าอะไรเป็นอะไร กับคนพวกนี้ พูดไปก็เสียเปล่า ไม่นึกโมโหเพราะฟังจนชินแล้ว ทะเลาะกันไปก็เปล่าประโยชน์ คนจะพูดถึงน้องกิมในแง่ไหนก็ไม่สู้เขารู้ดีที่สุด

                แต่พอคิดถึงใบหน้าขาวๆ นั่นจะมุ่ยลงไม่พอใจเพราะคำพูดพวกนี้แล้วก็เริ่มนึกอยากจะให้คนพวกนี้หุบปากเสียบ้าง เขาได้ยินน่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าน้องกิมมาได้ยินน่ะสิ รายนั้นน่าจะใจร้อนด่ากราดเลยล่ะมั้งนั่น ดูจากท่าทางแมวๆ นั่นแล้วถ้ากางเล็บได้คงโดนข่วนกันเสียอ่วม

                จะว่าไปน้องกิมไม่รับสายหรือตอบไลน์เขาเลยตั้งแต่เมื่อวานที่ฮีท ถ้าตามปกติแล้วตอนที่เขาออกไปก็น่าจะดีขึ้นแล้ว เพราะนั่นก็หลายรอบแล้ว แถมยังนอนเอาแรงไปตั้งเยอะ ถ้าตามหลักก็ต้องพ้นช่วงฮีทไปแล้วสิ

                อยากจะเอากุญแจสำรองไขเข้าไปหาที่ห้อง แต่ก็ไม่เคยทำแบบนั้นเลยตั้งแต่ได้มา ที่ได้มาก็เพราะว่าบังเอิญลืมงานที่ต้องส่งไว้ที่ห้องน้องกิมกะทันหัน น้องกิมเลยยัดใส่มือให้มาเอางานเอง แล้วก็ไม่เคยขอคืนอีกเลย และทรายเองก็ไม่เคยไขเข้าไปหาโดยพลการเช่นกัน

                เขาเดาใจอะไรอีกฝ่ายไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ถ้ารอบตัวของน้องกิมเป็นกำแพง ทรายก็คงเอาแผ่นหลังพิงกำแพง หูเงี่ยฟังอีกฝ่าย ถ้าต้องการเขาเมื่อไหร่ก็ถึงจะค่อยเปิดประตูเข้าไปหา ไม่อยากจะทำอะไรที่ทำให้อีกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือว่าไม่สบายใจเลย

เขาเคารพพื้นที่ส่วนตัวเสมอตราบใดที่อีกฝ่ายยังยอมให้เขาอยู่ในชีวิตประจำวัน ต่อให้ไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือจะไม่ได้โอกาสต่อ ทรายก็ยังยินดีที่จะตื่นมาแล้วได้เจอน้องกิมในแต่ละวัน 

                แต่ล่าสุดเนี่ยสิ ก็เย็นย่ำแล้ว แต่น้องกิมหายต๋อมไปเลย เจ้าแมวขาวขนฟูทำเขากังวลเสียอย่างนั้น จะไม่สบายรึเปล่า จะไหวไหมนะ หรือว่าช่วงฮีทจะยังไม่หมดกันแน่ ทรายไม่รู้เลย

                ในหัวได้แต่พูดวนไปวนมาว่าอย่าโกรธกันเลยนะ เพราะขายาวๆ หอบหิ้วตัวเองมาถึงหน้าประตูห้องเสียแล้ว กลิ่นอัญชันลอยกรุ่นออกมาจางๆ ไม่รู้ว่าทรายคิดไปเองในหัวหรือว่ากลิ่นลอยออกมาจริงๆ

                มือยกขึ้นเคาะประตูแทนที่จะใช้กุญแจสำรอง ทรายไม่อยากจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่บอกกล่าว เพราะน้องกิมไม่รับสายกันจริงๆ แต่ยังไม่ทันจะเอามือลงแล้วรอ โทรศัพท์ก็เด้งแจ้งเตือนข้อความเสียอย่างนั้น

                กิม: อยู่หน้าห้อง?

            ทราย: อือ น้องกิมโอเคไหม เป็นห่วง เห็นไม่รับสาย ไม่ตอบไลน์

            กิม: ไม่ได้เป็นไร อย่าเปิดเข้าห้องมานะ

            ทราย: ไม่เปิดหรอก รู้ว่าน้องกิมไม่ชอบ แต่มาเปิดให้ได้ไหม อยากเจอหน้า

            กิม: ไม่ได้เป็นอะไร พี่ทรายกลับไปเถอะ

            ทราย: เป็นห่วง ขอเจอหน้าหน่อย

                น้องกิมอ่านไม่ตอบแทน และทรายก็ได้แต่มองข้อความอยู่แบบนั้น ไม่มีสัญญาณว่าอีกคนจะมาเปิดประตูให้ ทรายได้แต่ยืนมองประตูอยู่แบบนั้น เขารู้ว่าน้องกิมเป็นคนที่ไม่ชอบพูดจาซ้ำซาก ไม่ชอบอธิบายเพิ่ม ถ้าพูดแล้วก็ถือว่ารับรู้แล้ว บางทีทรายก็อยากรู้ว่าในหัวน้องกิมคิดอะไรอยู่ จะเป็นประโยคห้วนสั้นแบบนี้ตามที่พูดหรือพิมพ์รึเปล่า หรือว่ามีประโยคมากกว่านั้น ถ้าเขาอ่านใจได้ก็คงจะดี

                กิม: อย่าเปิดเข้ามานะ

                ทรายอ่านข้อความที่เพิ่งส่งมาใหม่ และไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ แต่เป็นการย้ำที่ไม่ใช่วิสัยของเจ้าตัวเลย ทรายอ่านซ้ำ และก็รับรู้ ว่าไม่อยากให้เปิดเข้าไปหาจริงๆ

                ถามได้ไหมว่าทำไมถึงไม่อยากเจอหน้ากัน เขาทำอะไรผิดไปรึเปล่า หรือว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในโลกส่วนตัวของน้องกิมที่เขายังเข้าไม่ถึง ทรายครุ่นคิด ในใจฟีบไปหมดเพียงแค่นึกว่าหรือเขาจะหมดโอกาสแล้วรึเปล่านะ

แต่จะพิมพ์ถามว่าโกรธอะไรกันรึเปล่าก็ต้องหยุดมือที่พิมพ์ค้างไว้ ถ้าถามออกไปจะรำคาญรึเปล่า? ทรายเม้มปาก ก่อนจะกดล็อกหน้าจอ ถอนหายใจ

ขาก้าวถอยออกมาจากประตู และค่อยๆ เดินกลับไปยังที่ที่เดิมที่เดินมา


กิมนั่งกอดเข่าพิงหัวเตียง อาการฮีทไม่ได้กลับมาอีกหลังจากที่พี่ทรายกลับไป แต่ที่ไม่ได้คิดไว้ในหัวคือการที่อีกฝ่ายจะมาเคาะหาถึงหน้าห้องขนาดนี้ ในหัวส่งเสียงดังว่าอย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา

ถ้าเข้ามาเขาจะต้องพังแน่ๆ เลย

ก็ยังคงขอบคุณที่พี่ทรายไม่ไขกุญแจสำรองเข้ามา อีกฝ่ายไม่เคยขัดใจเขาเท่าไหร่ แต่บางทีกิมก็กลัวว่าโลกส่วนตัวที่ตัวเองเพียรสร้างขึ้นมาจะพังลงจริงๆ เพราะพี่ทรายคนเดียว โลกที่เคยคิดว่าตัวเองสามารถหนีมาหลบซ่อนเมื่อไหร่ก็ได้จะไม่มีอีกต่อไป

กิมถอนหายใจโล่งอกเมื่อแน่ใจแล้วว่าพี่ทรายไม่ได้ยืนอยู่หน้าประตูแล้ว เขาลุกออกจากเตียง เริ่มถอดชุดนักศึกษาออกเพราะเมื่อเช้าออกไปให้อาจารย์ตรวจแก้งานมา ความจริงร่างกายมันล้าเสียจนไม่อยากจะไปด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เป็นงาน ก็เลยยอมฝืนสังขารตื่นแต่เช้าไปเร็วๆ เพื่อจะได้รีบกลับมานอน และโชคดีที่ได้คุยกับอาจารย์เร็ว

แต่โชคไม่ดีหน่อยที่ดันไปได้ยินอะไรเข้าตอนที่แวะเข้าห้องน้ำที่โรงอาหาร

‘ไอ้ทรายแม่งร้ายเงียบจริง’

‘เออดิ เงียบตลอดอะรายนี้ ไม่พูดแต่ทำเลยจ้า ทำเมียน้องกิม’

เสียงหัวเราะดังครืนกันทั้งโต๊ะ และกิมก็ยังคงยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือ แสร้งทำเป็นกดโทรศัพท์ทั้งๆ ที่มือเปียก ด้วยความที่วงสนทนาอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ ห้องน้ำ และผู้พูดก็ไม่คิดจะเบาเสียงเลยสักนิด กิมเลยไม่ต้องพยายามที่จะเงี่ยหูฟังหรือกระเถิบเข้าไปใกล้ๆ มากนัก

‘ตอนกูบอกว่าใครได้น้องกิมไปเนี่ยเหมือนเล่นเกมผ่านด่านบอสนะ ไอ้ทรายนี่หัวเราะใหญ่ สงสัยในหัวแม่งคิดไว้แล้วแน่นอน นี่ขนาดกูไม่ได้พนันนะเนี่ย สงสัยถ้าพนันจริงไอ้ทรายแดกตังค์เรียบละ’

‘อย่าเลยมึง จนแดกทั้งกลุ่มแน่นอน ไอ้ทรายนี่ก็ท็อปฟอร์มชิบหาย โอเมก้าตามเป็นพรวน เนื้อหอมสัดๆ’

‘เอ้า มึงดูด้วยครับ นี่ใคร ไอ้ทรายนะเว่ย น้องกิมหน้าอย่างหยิ่ง ได้อย่างยาก แต่นี่ใคร ไอ้ทรายเพื่อนกูไง’

‘จ้า เจอไอ้ทรายคราวหน้ามึงไปบังคับให้มันเลี้ยงเลยเว่ย ได้ของดีๆ ก็ต้องตอบแทนอะไรดีๆ เพื่อนบ้าง’

‘ไอ้ทรายบอกกูไม่ใช่เพื่อนพวกมึงแน่ๆ’

เสียงหัวเราะดังอีกครืน แต่กิมไม่ได้คิดจะอยู่ฟังต่อ ไม่อยากเป็นเป้าสายตา แต่ก็จำเป็นต้องเดินออกมาจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ตัวเองอยากล่องหนได้เหมือนที่เคยคิดตอนประถม ไม่อยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขากำลังอยู่ตรงนี้

ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่ยอมให้มีอัลฟ่าคนอื่นนอกจากน้ำค้างเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว ตอนนี้กิมไม่มีพื้นที่ส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว

กิมมองตัวเองในกระจก เต็มไปด้วยรอยช้ำ ก็ไม่แปลกที่จะช้ำง่าย ผิวเขาขาวเสียจนมีอะไรขึ้นสีมานิดเดียวก็จะเด่นให้เห็นแล้วว่ามีตำหนิ เดินเข้าไปเปิดฝักบัวอาบน้ำ ข้อความของพี่ทรายช่างต่างจากสิ่งที่ได้ยินเมื่อเที่ยง และกิมก็ขลาดเกินกว่าจะถาม ถ้าโดนหลอกแล้วยังจะต้องโดนหลอกด้วยคำพูดอีก สู้ถอยออกมาตั้งแต่แรกเริ่มเลยไม่ดีกว่าหรือไร

                พอคิดถึงทุกอย่างแล้วกิมก็รู้สึกโง่ แต่มากกว่านั้นคืออาการเจ็บที่ไม่มีอะไรรักษาได้ ถ้าจะชอบใครแล้วต้องเจ็บขนาดนี้ สู้ไม่ต้องชอบเลยไม่ดีกว่าเหรอ กิมคิดซ้ำไปซ้ำมา ปล่อยให้ฝักบัวราดหัว ทัศนียภาพพร่าเบลอ ก็แค่กำลังหลอกตัวเองว่าไม่ได้ชอบ เดี๋ยวเดียวก็ลืมได้แล้ว แค่กะพริบตามันก็จะผ่านไป แต่กะพริบเท่าไหร่ก็ยังไม่ลืม ซ้ำพื้นห้องน้ำตรงหน้ายังเบลอกว่าเดิมด้วย

                และก็เป็นอีกครั้งที่กิมหลอกตัวเองว่าเป็นเพราะน้ำจากฝักบัว

50%




                น้ำค้างคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้เนื้อหอมหรือกลิ่นแรงอะไรขนาดนั้น

                แต่โอเมก้าที่อยู่ตรงเคาทน์เตอร์สตาร์บัคนั่นเอาแต่จ้องเขาไม่หยุดสักที

                เขาพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ เพราะตอนแรกก็แค่คิดว่าคุณฮิมหายดีแล้วอาจจะมาทำงานสตาร์บัค แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายขอลาออกไปสักพักแล้ว (พนักงานหญิงที่เคาทน์เตอร์บอกมาน่ะ ท่าทางจะรู้ว่าเขามาเพื่ออะไร ให้ตายเถอะ หน้าเขาดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ...)

                กิมเองก็ไม่มามหาลัยได้สักสองสามวันแล้ว พอไลน์ไปก็เอาแต่ปัดว่าฮีท ไม่สบายตัว อยากนอนอยู่หอ ซึ่งไม่ใช่วิสัยเพื่อนเขาเอาเสียเลย ปกติกิมจะกินยาแล้วก็แบกสังขารมาเรียนตามเรื่องตามราวของมัน สงสัยคราวนี้อาการจะหนักจริงๆ ถึงได้ไม่มาเรียนแบบนี้

                หรือว่าจะเป็นเพราะอัลฟ่าที่ชื่อพี่ทรายคนนั้นกันนะ เพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นกิมเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย

                น้ำค้างยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยกยิ้มเมื่อเห็นคุณฮิมส่งเลขห้ามาขำใส่เขาที่ไปนั่งสตาร์บัคเก้อ พอพิมพ์ถามไปว่าแล้วลาออกตอนไหนทำไมไม่บอกก็โดนส่งสติ๊กเกอร์ขอโทษมาอีกว่าลืมจริงๆ อ่า...นี่ท่าทางจะกลัวเขาโกรธสินะ แต่น้ำค้างเข้าใจอยู่หรอก เรื่องที่เจอในแต่ละวันมันช่างหนักหนาและเยอะเกินกว่าที่คนคนนึงจะรับไหว จะให้จำได้ทุกเรื่องคนเราก็เจ็บปวดน่าดู

เขาไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของคุณฮิมก็ได้ แต่ขอแค่อีกฝ่ายอยากจะบอกให้เขาฟังเป็นคนแรกในทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จหรือล้มลงแค่นั้นก็พอแล้ว

มือคว้าเอาแก้วช็อกโกแลตแบล็กทีกับเอิร์ลเกรย์เจลลี่มาถือก่อนจะลุกขึ้น ไม่น่าสมัครสมาชิกเลยเถอะถ้ารู้ว่าคุณฮิมจะออกจากงานแบบนี้ แบบนี้เขาเรียกว่าใช้เงินซื้อความรักรึเปล่า หรือว่าเขาคิดไปเอง แค่บัตรสมาชิกใบเดียวเองหน่า คิดปลอบใจตัวเองแล้วก็สาวเท้าเดินไป

แต่ท่าทางเขาจะก้มมองโทรศัพท์จนไม่ดูทางไปหน่อยถึงได้เดินชนพนักงานที่กำลังเสิร์ฟกาแฟเย็นจนมันราดหกเต็มกางเกงเขาไปหมด น้ำค้างทำหน้าตาเลิ่กลั่ก นี่แหละวันของเขา ไม่เด๋อก็ต้องประจานตัวเอง เป็นซิกเนเจอร์ของน้ำค้างรึเปล่านะ ชักเริ่มไม่อยากกลับมาสตาร์บัคสาขานี่แล้ว...

แต่พอเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าเป็นโอเมก้าผู้ชายคนที่มองเขาตั้งแต่ตอนเข้าร้านไม่หยุดก็ถึงกับกลืนน้ำลาย เวรมากๆ แถมยังเปียกเหมือนเขาเลยด้วย เพราะหกรดตัวเองเหมือนกัน

“เอ่อ ขอโทษครับ เดี๋ยวค่ากาแฟที่ทำหกเดี๋ยวผมจ่ายเอง” น้ำค้างรีบโค้งยกใหญ่ แล้วก็รีบบอก เพราะเหมือนพนักงานคนอื่นจะเริ่มเดินมาดู ทางฝั่งโอเมก้าที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กฝึกงานเองก็ส่ายหน้ายิ้มให้เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

“ส่วนผ้ากันเปื้อน เอ่อ ให้ผมเอาไปซักให้ไหมครับ แล้วเดี๋ยวเอามาคืน ยังไงสาขานี้ก็ใกล้ผม” น้ำค้างรีบเสนอจนลืมไปว่าเขากำลังโดนจับตามองอยู่ และด้วยความใจดีที่ไม่อยากให้ส่งซักรีดแต่อยากจะซักตากรีดและพับเองด้วยนั่นแหละ เขาอาจจะคิดมากไปก็ได้...อืม ก็นั่นแหละ

“อ๋อ เอาแบบนั้นก็ได้ครับ แต่ว่าตอนนี้เอาไปล้างน้ำที่ห้องน้ำก่อนดีไหมครับ?” อีกฝ่ายเสนอมาและน้ำค้างก็พยักหน้า เพราะเขาเองก็ต้องไปล้างเอาคราบวิปครีมตรงกางเกงตัวเองออกเหมือนกัน ตาเหลือบมองป้ายชื่ออีกฝ่ายแล้วก็อ่านออกเสียงในใจว่า ลักษณ์ // โอเมก้า ชื่อไทยเสียจนไม่คิดว่ายังจะมีคนตั้งชื่อแบบนี้อยู่

เขาสองคนเดินเลี่ยงออกมาทางห้องน้ำ ระหว่างที่กำลังวักน้ำจากอ่างล้างหน้าใส่กางเกงตัวเอง ตอนนั้นเองที่น้ำค้างได้กลิ่นของอีกฝ่าย กลิ่นป่าสนที่เข้าจมูกมากะทันหันทำให้น้ำค้างเผลอหันไปจ้องโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นกลิ่นป่าที่จืดจางกว่าและไร้หมอกลอยเอื่อย แต่ก็คือกลิ่นเดียวกัน ก็พอจะรู้ว่าโอกาสที่กลิ่นจะซ้ำกันนั้นมี แต่ไม่นึกว่าจะเจอใกล้ตัวขนาดนี้

ตกใจเสียจนเผลอมองค้าง และท่าทางฝ่ายนั้นจะรู้ตัวถึงได้เงยหน้ามามองเขากลับและยิ้มให้

“ไม่ชอบกลิ่นผมเหรอครับ”

“ปละ-เปล่าครับ” น้ำค้างถึงกับหลุดจากภวังค์แล้วก็ละล่ำละลั่กตอบกลับไป  ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัด ถึงแม้สถานการณ์จะเป้นแบบนั้นไปแล้วก็เถอะ

“คุณน้ำค้างใช่ไหมล่ะครับ?”

“ครับ?” น้ำค้างถึงกับย้อนถามงงๆ ที่อีกฝ่ายรู้ชื่อเขา

“พี่ๆ พนักงานเขาพูดกันว่าคุณน้ำค้างมาจีบพี่ฮิม เลยรู้เรื่องอยู่เนืองๆ น่ะครับ” โอเมก้าที่ชื่อลักษณ์ตอบขณะที่ยังคงล้างผ้ากันเปื้อนอยู่ น้ำค้างถึงกับยิ้มแห้ง เห็นไหม บอกไว้ไม่มีผิดเลยว่าเขาโดนเอาไปนินทา!

“อ่า โดนเอาไปพูดขนาดนั้นเลยเหรอ” น้ำค้างพึมพำกับตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อลักษณ์ก็แทรกขึ้นมาอีก

“ผมกลิ่นเหมือนพี่ฮิมล่ะสิท่า คุณน้ำค้างถึงได้มองผมแบบนั้น”

น้ำค้างถึงกับสะดุ้งโหยง เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ที่ดดนจับได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะเกิดพิศวาสอะไรอีกฝ่ายขึ้นมาหรอก แต่เวลาโดนจับได้เรื่องแอบดมกลิ่นเนี่ย มันออกจะน่าอายนี่

“เรียกว่าคล้าย...จะดีกว่าครับ”

น้ำค้างตอบอ้อมๆ เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ แล้วกลิ่นของอีกฝ่ายนั้นจืดจางกว่าคุณฮิมมากโขทั้งที่เป็นโอเมก้า ป่าสนที่ไร้หมอก แต่กลับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย ต่างกับคุณฮิมที่ถึงจะมีหมอกลงจัด แต่ก็ยังสามารถเห็นกวางมูสอยู่เนืองๆ ยามหลับตา

แต่จะว่าไปโลกจะเล่นตลกเกินไปแล้วที่เอาคนกลิ่นใกล้เคียงขนาดนี้เหวี่ยงมาอยู่ด้วยกัน

“แล้วชอบรึเปล่าล่ะครับ”

“ครับ?” น้ำค้างถามย้อนใหม่เหมือนได้ยินไม่ชัด เขาชักจะงงๆ กับคำถามอีกฝ่ายอยู่ แต่ก็ไม่อยากจะยัดเยียดแปลกๆ ใส่หัวตัวเองจนกระทั่งโอเมก้ากลิ่นป่าสนถามมาใหม่นั่นแหละ น้ำค้างถึงได้ยินเสียงไซเรนในหัวตัวเอง

“หมายถึงกลิ่นผมน่ะ”

น้ำค้างถึงกับรื้อคำพูดในหัวตัวเอง อะไรก็ได้ที่จะฟังดูถนอมน้ำใจมากที่สุด ก็พอจะรู้อยู่ว่าโดนจ้องมาตั้งแต่เข้ามานั่งในร้าน และไอ้เจ้าประโยคที่ถามว่าชอบกลิ่นไหมเนี่ย มันก็ประโยคเชิญชวนสามัญของโอเมก้าเลยไม่ใช่หรือไง ให้ตายเถอะ

น้ำค้างยังไม่ทันจะตอบอะไร โอเมก้ากลิ่นป่าสนก็กระเถิบเข้ามาประชิดตัวเขาทันที และแน่นอนว่าน้ำค้างกระเถิบหนีตามสัญชาตญาณ แต่ด้านข้างเขาก็เป็นกำแพงห้องน้ำแล้ว ดูหน้ายิ้มๆ ของโอเมก้าที่ชื่อลักษณ์แล้วก็เหมือนจะไม่มีพิษมีภัยอยู่หรอก...

แต่ทำไมถึงมาต้อนเขาจนมุมขนาดนี้!?

น้ำค้างจะเดินออกแต่ก็โดนอีกฝ่ายเอาตัวมาชิดจนเนื้อผ้าแนบกัน ในหัวน้ำค้างคิดแต่คำว่าซวยแล้ว ซวยแล้ว ซวยแล้ว เต็มไปหมด เกิดมาเขาเคยโดนโอเมก้าต้อนจนมุมอยู่สองรอบ และรอบก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นโอเมก้าที่อยู่ในช่วงฮีททั้งนั้น ฝังใจมากเพราะกว่าจะเอาตัวออกมาได้ก็เกือบสำลักกลิ่นตาย และด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจ รักสงบ แต่ถึงรบก็ตาย ทำให้สกิลการเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ต่ำมาก

“เอ่อ...ผมมีคู่แล้วนะครับ” น้ำค้างตอบพลางนึกถึงหน้าคุณฮิมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถ้าคุณฮิมเป็นพระเจ้าแล้วมีบทสวดเขาคงท่องไปแล้ว แต่เผอิญว่าดันไม่ใช่เสียนี่สิ

“หมายถึงอัลฟ่าแบบพี่ฮิมน่ะเหรอครับ?” ลักษณ์ถามแล้วขมวดคิ้ว “แบบนั้นเขาไม่เรียกว่าจับคู่หรอกนะคุณน้ำค้าง”

น้ำค้างฟังแล้วก็อยากจะลงไปขอร้องแทนว่าปล่อยเขาไปเถอะ อย่ามายุ่งกับอัลฟ่ากากๆ แบบเขาเลย เขาสอดส่ายมองหาตัวช่วย และเผอิญว่ามีคนเดินเข้าห้องน้ำมาพอดี น้ำค้างกำลังจะโล่งใจ จนกระทั่ง...

“ทำอะไรน่ะครับนั่น”

เสียงคุณฮิมกับกลิ่นป่าสนที่เหมือนแบกเอาไอหมอกลงจัดไว้ตลอกเวลาทำเอาน้ำค้างถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ มุมปากของป่าสนของเขายกขึ้นเหมือนจะไม่ได้คิดอะไร แต่น้ำค้างรู้ว่าคุณฮิมโหมดนี้น่ะไม่น่าไปแตะโดนมากที่สุด ไม่ต้องให้เดาก็รู้ว่าเขาจะต้องโดนเข้าใจผิดและโกรธแน่ๆ เมื่อเป็นเรื่องของความสัมพันธ์แล้วอารมณ์ก็มาก่อนสมองทั้งนั้น

“น้องลักษณ์นี่นิสัยเหมือนเดิมเลยเนอะ” คุณฮิมพูดแค่นั้น และแน่นอนว่าโอเมก้ารุ่นน้องถึงกับถอยออกจากเขาทันที แต่เอาตรงๆ ถ้าน้ำค้างเป็นอีกฝ่าย ก็น่าจะวิ่งหนีไปเลย คุณฮิมน่ากลัวจะตายไป แค่ตอนที่พยายามปั่นหัวเขายังดูน่าเกรงขามกว่าเขาอีก

“เดี๋ยวลักษณ์ขอตัวไปทำงานต่อ...” โอเมก้าชื่อลักษณ์กำลังจะเดินสวนออกไปแต่คุณฮิมกลับจับแขนไว้ก่อน จนน้ำค้างยังต้องลอบกลืนน้ำลายแทนอีกคน แต่พอเห็นคุณฮิมโน้มตัวลงไปที่แอ่งชีพจรอีกคนแล้วทำท่าอ้าปากเหมือนจะกัดแล้วน้ำค้างถึงกับเผลอขยับตัวไปกระชากแขนคุณฮิมออกมาด้วยอารามตกใจ

ส่วนโอเมก้าที่ชื่อลักษณ์น่ะเหรอ ไม่ต้องพูดถึงหรอก รายนั้นวิ่งหนีไปแล้ว

“คุณฮิมจะไปกัดเขาทำไมครับ!?” น้ำค้างถาม เผลอเสียงดังใส่ แต่ใบหน้าคุณฮิมเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องรีบอธิบายหรืออะไร

“ก็เห็นอยากมีคู่จนตัวสั่น หลายทีแล้วที่ทำงี้” คุณฮิมตอบเนิบๆ “คิดว่าผมจะกัดจริงๆ เหรอ”

“ผมจะรู้ไหมล่ะ คุณฮิมคิดอะไรผมยังดูไม่ออกเลย” น้ำค้างตอบพลางลูบหน้าตัวเอง วันนี้มีจะเรื่องให้เขาตกใจเยอะมากเกินไปแล้วนะ “แล้วโอเมก้าคนนั้น ทำไมไม่เคยเล่าให้ฟังเลยล่ะครับ?”

“เล่า? ทำไมต้องเล่าเรื่องลักษณ์ด้วย” คุณฮิมขมวดคิ้วแล้วก็หันมาถามเขา “มีอะไรให้เล่า?”

“ก็เขากลิ่นเหมือนคุณฮิม ผมเลยตกใจ” น้ำค้างตอบอย่างไม่คิดอะไร แต่ก็รู้ตัวอีกทีตอนแผ่นหลังโดนผลักติดกำแพงห้องน้ำอีกหน ทำไมเขากับคุณฮิมต้องมีประเด็นในห้องน้ำทุกรอบเลยสิน่า

“แล้วยังไงต่อเหรอคุณน้ำค้าง?” คุณฮิมยิ้มเหมือนตอนที่ปั่นหัวเขาอีกครั้ง “ก็แค่เพราะเขากลิ่น ‘คล้าย’ ผม และเป็นโอเมก้าใกล้ตัว ผมก็จำเป็นต้องเล่าด้วยงั้นเหรอ?”

คุณฮิมพูดพลางขยับมาถามข้างหูเขา จมูกโด่งไล่ดมไปตามตัวก่อนจะทำหน้าไม่พอใจที่กลิ่นโอเมก้าคนอื่นมาติดอยู่บนตัวเขา และน้ำค้างก็เพิ่งจะรู้ว่าทำไมคุณฮิมจึงโมโห

อ่า...ไอ้น้ำ คิดอะไรช้าแบบนี้นะ

“เล่าแล้วยังไงล่ะ? คุณน้ำค้างก็คงจะแจ้นไปหาโอเมก้าที่กลิ่นป่าสนแบบนี้มากกว่ามาหาอัลฟ่าแบบผมใช่รึเปล่า?”

“คุณฮิม...ไม่ใช่แบบนั้น”

“ชอบไม่ใช่เหรอ? ที่เข้ามาหาผมก็เพราะว่ากลิ่นทั้งนั้นนี่”

คุณฮิมยังคงพูดต่อ และน้ำค้างอยากจะบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะกลิ่น แต่เพราะเป็นคุณฮิม เพราะเป็นคุณฮิมเขาถึงได้โดนดึงดูดเข้ามา เพราะเป็นคุณฮิมน้ำค้างถึงได้โงหัวไม่ขึ้น ก็เพราะว่าคุณฮิมคือคนเดียวในโลกที่จะเป็นกลิ่นโปรดตลอดกาลของเขา

                และน้ำค้างรู้ ว่าป่าสนของเขามีแค่ผืนเดียว

                “คุณฮิม...” น้ำค้างเรียก อยากจะบอกให้ฟังกันก่อน แต่คุณฮิมเอาฝ่ามือทั้งสองข้างมาปิดหน้าตัวเองราวกับกำลังซ่อนอะไรสักอย่าง น้ำค้างทอดถอนใจพลางเอ่ยถามด้วยความตัดพ้อไม่แพ้กัน “...ทำไมเห็นผมเป็นคนแบบนั้น?”

                “ก็เพราะเป็นคุณน้ำค้างยังไงล่ะ...” คุณฮิมตอบ ฝ่ามือที่ปิดหน้าตัวเองเริ่มจะเอาเล็บจิกจนน้ำค้างถึงกับต้องดึงมืออีกฝ่ายออกมา และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายตาแบบนี้จากคุณฮิม นัยน์ตานั่นท่วมท้นไปด้วยหลากอารมณ์ “ก็เพราะเป็นคุณน้ำค้าง ผมถึงได้เป็นแบบนี้”

                น้ำค้างกำลังจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด แต่คุณฮิมถอยออก เว้นระยะห่างจากเขา ใบหน้าคมหวานนั่นสับสน พอๆ กับน้ำค้างที่เจ็บปวดจากการเห็นคุณฮิมเป็นเช่นนั้น

                “บางทีถ้าผมเป็นโอเมก้า...” คุณฮิมพูดสิ่งที่น้ำค้างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน น้ำค้างตกใจจนต้องก้าวเข้าไปหา แต่ยิ่งก้าว คุณฮิมก็ยิ่งถอยหนี จนเขาต้องหยุด

“บางที...ก็คงจะดีกว่านี้ถ้าผมกับคุณน้ำค้างไม่เจอกัน”

ราวกับบรรยากาศรอบด้านกลายเป็นสุญญากาศ น้ำค้างได้ยินเพียงแค่ประโยคนั้น

ทำไมล่ะ

ทำไมถึงไม่ยินดีที่เราได้เจอกัน

ทำไมถึงไม่ยินดีกับความรักในครั้งนี้

ทำไมถึงผลักไสเขาออกมาจากวงโคจรเสียดื้อๆ แบบนี้

“ผมไม่ได้รักคุณฮิมเพราะกลิ่นอย่างเดียว...” น้ำค้างอยากจะพูดอะไรกลับบ้าง เพื่อยืนยันความรู้สึกของตัวเอง แต่คุณฮิมตัดเขาด้วยประโยคคำถาม

“คุณน้ำค้างรู้อะไรไหม?” คุณฮิมถามแล้วก็พูดประโยคที่ฝังลงในใจของน้ำค้างราวกับรอยสัก “เราไม่มีวันรู้ได้เลยว่าผมหรือคุณน้ำค้าง สักวัน...เราจะไปจากกันเพราะโอเมก้าสักคนในโลกที่เรายังไม่เจอ”

“แต่...”

“มันผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ตอนผมกับเมฆ และผมกับคุณน้ำค้าง” คุณฮิมพร่ำไม่หยุดเหมือนกับความกลัวที่ลึกที่สุดในใจได้กระโดดออกมาเผชิญหน้า ความจริงที่ไม่ได้ถูกกลั่นกรองให้สวยหรู ทุกอย่างถูกสำรอกออกมาเละเทะเสียจนน้ำค้างไม่ทันตั้งตัว

“จะดีกว่าไหมถ้าผมกับคุณน้ำค้าง...”

“คุณฮิม...อย่า ผมขอร้อง”

“หยุดแค่นี้...ในฐานะอัลฟ่าสองคนที่ไม่ต้องรักกัน”

 




 
tbc.



ขอบคุณสำหรับคำติชม คำวิจารณ์ แล้วก็คำปรึกษาจากพี่ๆ ทุกคนมากๆ เลยค่ะ
#น้ำค้างกลางป่าสน

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
อ้าววว คุณฮิมมมมม กรีดร้องงงงแรงอ่า ไม่ๆๆๆๆ ทำไม อย่เพิ่งดิ

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
               
chapter sixteen



               ทำไมเรื่องมันต้องมาเกิดตอนยังไม่ปิดเทอมกันนะ...

                กิมคิดตอนแบกงานมารอต่อแถวเข้าส่ง ก็ไฟนอลโปรเจคอยู่แล้ว จะให้ฝากไอ้น้ำมาส่งก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์ก็ไม่ให้อีก อ้างนู่นอ้างนี่สารพัดเพื่อจะได้ไม่ต้องมามหาลัยแต่สุดท้ายก็ต้องมาอยู่ดี

                เหตุผลที่ไม่อยากมาน่ะเหรอ...หลบใครบางคนอยู่น่ะสิ

                กิมถอนหายใจระหว่างที่เดินลงจากตึกไปโรงอาหาร เขาไปย้อมผมดำมาแล้ว หนึ่งเพราะผมบลอนด์มันดูแลยาก สองคือไม่อยากจะเป็นจุดเด่นของใครๆ อีกต่อไป วันนี้ขนาดฉีดสเปรย์มาแล้วยังไม่มั่นใจเลย อยากจะมีผ้าคลุมล่องหนเสียจริงๆ จะได้ไม่ต้องเจอใครที่ไม่อยากเจอ แต่คิดไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

                กิมเดินไปเข้าห้องน้ำเหมือนอย่าเคย วางแผนในหัวว่าจะซื้อข้าวในโรงอาหารร้านโปรดของตัวเองแล้วก็จะรีบชิ่งกลับไปกินที่หอเอา มือสะบัดน้ำแล้วปาดกับกางเกงนักศึกษาตัวเองระหว่างเดินออกมา ก่อนจะถูกกระชากไหล่จากด้านหลัง...

                “น้องกิม”

                กิมตาโตอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก จะใครอีกถ้าไม่ใช่พี่ทราย รู้หรอกว่ามีโอกาสเจอ แต่ไม่คิดว่าจะโดนกระชากไหล่ขนาดนี้ พี่ทรายแทบจะไม่เคยแตะตัวเขาก่อนถ้าเขาไม่อนุญาตเลยเถอะ

                กิมขืนตัวออก เขาเหนื่อยกับการอดนอนทำโปรเจคและการคิดนู่นคิดนี่เกินกว่าจะฟังคำอธิบายแล้ว จะเรียกว่าหนีปัญหาก็ใช่ แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่...

                แต่กิมรู้ ว่าจริงๆ กิมก็แค่กลัว กลัวว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดกับของพี่ทราย เขาจะรับมันไม่ไหว

                “น้องกิม คุยกันก่อน” พี่ทรายเรียกเขาแล้วยังตามมาดึงแขนอีกรอบ คนตัวปลิวก็คือกิมทั้งนั้น ก็อย่างที่บอกว่าการเกิดมาแรงน้อยกว่ามันไม่แฟร์เลย ตอนพระเจ้าสร้างโลกนี้ขึ้นมา ได้คิดรึเปล่าว่าสมรรถภาพทางกายบ่งบอกอะไรได้มากมาย

                กิมไม่ได้พูดหรือแสดงสีหน้าอะไร เขาแค่ยืนอยู่ที่เดิมและขืนแขนตัวเองกลับมา ไม่อยากจะให้เป็นจุดเด่นในโรงอาหารที่คนจับจ้องมา เลยไม่ได้โวยวายหรือบิดตัวออกจนเห็นได้ชัด เขาดื้อเงียบแบบที่ไอ้น้ำบอกจริงๆ นั่นแหละ แต่ข้างในที่ไอ้น้ำไม่รู้ก็คือเขาไม่ได้อยากให้มันเกิดอะไรแบบนี้เลย ถ้าเลือกได้ก็อยากจะเป็นคนที่แสดงออกความรู้สึกเก่งกว่านี้ พูดอะไรสื่อได้เข้าใจมากกว่านี้ กิมไม่เก่งเลยสักอย่างในเรื่องการมีความสัมพันธ์ กับพ่อแม่ยังพูดแทบนับคำได้ เพราะการเล่าทุกอย่างมันยากเหลือเกิน

                “น้องกิม อย่าดื้อ”

                “ไม่ได้ดื้อ”

                กิมตอบเสียงเรียบ นึกโมโหที่พี่ทรายชอบหาว่าเขาดื้อ ไม่สิ ก็ทุกคนนั่นแหละที่หาว่าเขาดื้อ กิมไม่ได้ดื้อ กิมก็แค่ไม่อยากทำอะไรที่ตัวเองไม่อยากทำ ทำไมต้องบังคับหรือฝืนใจด้วย กิมไม่เคยเข้าใจเวลาคนมาบังคับให้เขาพูดทุกอย่างหรือพูดสิ่งที่อยากจะเก็บไว้กับตัวเองเลย ทำไมพื้นที่ส่วนตัวของเขาต้องโดนคุกคามล่ะ

                “ก็น้องกิมหลบหน้าพี่”

                พี่ทรายขมวดคิ้ว เสียงเริ่มแข็ง ไม่ใช่โทนใจดีแบบที่กิมเคยได้รับ และกิมก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เพราะคนที่ควรจะโมโหก็คือกิมทั้งนั้น คนที่ควรจะไม่พอใจก็คือตัวกิม ทำไมจะต้องโดนอีกฝ่ายมาไม่พอใจใส่แทนด้วย

                “ก็เบื่อแล้ว” กิมเลือกที่จะพูดจาแบบนี้แทน ในหัวก็แค่สั่งมาให้พูดอะไรร้ายกาจกลับไปบ้าง ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ทรายจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าจะไม่ได้พูดอะไรเลย

                “น้องกิม” พี่ทรายเริ่มขึ้นเสียงใส่เขา และกิมไม่ชอบ ไม่ชอบเวลามีคนมาทำตัวแบบนี้ใส่ มาลงอารมณ์ มาบีบคั้น มาบังคับกัน ไม่ชอบเลย ยิ่งเป็นพี่ทรายยิ่งไม่ชอบ

                กิมเงียบใส่ จะเดินหนีอีก แต่ก็ยังโดนพี่ทรายบีบแขนไว้แน่นจนผิวเนื้อเริ่มขึ้นรอยแดงจางๆ โอเมก้าตัวขาวเลยเริ่มออกแรงและแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไปบ้าง แต่พี่ทรายก็ยังไม่ปล่อย แถมยังบีบแขนเขาแรงกว่าเดิม จนกิมขมดคิ้วเบ้หน้าด้วยความเจ็บ

                “พี่ทรายปล่อย” กิมเริ่มเหวี่ยงกลับบ้าง คนเริ่มหันมามองเพราะพวกเขาสองคนยืนอยู่ตรงนั้นกันนานเกินไป แต่พี่ทรายก็ยิ่งบีบแขนเขาแน่นขึ้น

                “น้องกิมเป็นอะไร” พี่ทรายถามด้วยสีหน้าไม่พอใจที่กิมไม่เคยเห็น แต่ตอนนี้ไม่ว่าสีหน้าแบบไหนกิมก็ไม่อยากเห็นทั้งนั้น

                “พี่ทรายปล่อยดิวะ”

                กิมพูดด้วยระดับเสียงที่พยายามจะควบคุมไว้ไม่ให้ดังมาก แต่น้ำเสียงนั้นไม่พอใจและรำคาญอย่างชัดเจน กิมเหนื่อยเกินกว่าจะควบคุมสีหน้าแล้ว เหนื่อยเกินกว่าจะรับฟังอะไร

                ปัญหาจะไม่ลุกลามหรือต่อเติมตัวเองถ้าเราไม่เข้าไปแก้ไขมัน ปัญหาจะถูกลืมเลือนไปทีละน้อยหากเราทิ้งมันไว้ อาจจะใช้เวลามากโข หนึ่งเดือน หนึ่งร้อยวัน หนึ่งปี เวลามากโขอาจจะถูกใช้เพื่อกลบฝังปัญหา แต่นั่นไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับกิมตราบใดที่เขายังอยู่ในที่ของตัวเอง การรับมือของกลไกเวลานั่นช่างง่ายดาย อาจจะเจ็บหน่อยในครั้งนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร

                พี่ทรายยังคงไม่ปล่อย มือจับแขนเขาลากถูลู่ถูกังไปทางลานจอดรถด้านหลังโรงอาหาร กิมรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกคนได้ก็ยิ่งโมโห โมโหตัวเองที่ไม่มีปัญญาจะต่อกรกับอัลฟ่า โมโหที่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องพรรค์นี้ตั้งแต่แรก มือขาวจับข้อมือที่เอาแต่บีบเขาแน่นขึ้นมากัดเต็มฟันด้วยความไม่พอใจที่ระบายออกไม่ได้ แต่พี่ทรายดูจะไม่ได้สะทกสะท้านเลย นั่นยิ่งยั่วโทสะโอเมก้าอย่างกิมเข้าไปใหญ่ที่ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ

                สุดท้ายกิมก็โดนจับเข้าไปนั่งในรถจนได้ โอเมก้าตัวเล็กนั่งเงียบ กอดอก ไม่พูดไม่จา

                “น้องกิม อย่าเงียบใส่แบบนี้” พี่ทรายพูดเสียงดุ กิมหลุบตาลงมองข้อมือตัวเองที่โดนอีกฝ่ายบีบจนแดงไปหมดแล้วก็ยังเงียบต่อ

                “น้องกิม พี่ไม่ชอบให้ทำตัวแบบนี้”

                “แล้วพี่ทรายเป็นใครวะ ผมถึงต้องมานั่งบอก” กิมสวนกลับทันที ชักจะโมโหจัด ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งโมโห ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งอยากหนี

                “โกรธอะไรกันถึงต้องทำแบบนี้”

                “ทำอะไร ผมทำอะไร”

                กิมตอบยียวน ตายังคงมองตรงไปด้านหน้า ไม่ได้สนใจอัลฟ่าที่จ้องเขาอยู่ด้านฝั่งคนขับ กลิ่นพี่ทรายในรถยังคงตลบอบอวลเหมือนเคย และกิมเกลียด เกลียดที่ต้องมานั่งอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยอีกคนหลังจากที่หลีกเลี่ยงมาได้เป็นสัปดาห์

                “น้องกิม พี่ไปทำอะไรให้วะ?” พี่ทรายเริ่มขึ้นหางเสียงหยาบๆ เสียงเก็บอารมณ์ไม่อยู่ กิมรู้ว่าตัวเองกวนประสาทและทำตัวน่าโมโห แต่พี่ทรายก็ทำตัวน่าโมโหพอๆ กัน ไม่รู้ว่าใครกันที่เดือดดาลกว่า แต่กิมกำลังสนใจแค่ตัวเอง

                “พี่ทรายก็คิดเอาเองดิ” กิมตอบแบบกระชากเสียง

                “พี่ไม่ได้อ่านใจคนได้ปะวะน้องกิม”

                “ก็ไม่ต้องมายุ่งดิ ปล่อยผมไปได้ยัง น่ารำคาญ”

                “จู่ๆ จะเบื่อกันแบบนี้ก็ได้เหรอวะ พี่ทำอะไรผิด?”

                “เป็นพี่ทรายก็ผิดหมดอะ”

                “น้องกิม คุยกับพี่ดีๆ หน่อย”

                พี่ทรายแทบจะตะโกนอยู่แล้วแต่กิมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาไม่เคยโดนใครตะคอกใส่ ไม่เคยต้องมานั่งตอบคำถามที่ตัวเองไม่ได้อยากตอบ แต่ตอนนี้เขากลับสะใจที่ได้กวนประสาทพี่ทรายไม่มากก็น้อย

                “เป็นไรวะ จะทำไรกับพี่ทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ? แล้วที่พี่คอยตามใจนี่ก็คือน่าเบื่อมากงั้นดิ?”

                “พี่ทรายปะวะที่เป็นคนทิ้งๆ ขว้างๆ!”

                กิมหมดความอดทนที่ประโยคนั้น ตะคอกเสียงดังกลับด้วยความโมโห นัยน์ตาร้อนจัด ไม่สิ กิมรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า พอรู้ตัวอีกทีก็มีหยาดน้ำหยดลงมาตามปรางแก้มแล้ว กิมใช้หลังมือปาดลวกๆ หลุบลงมองตักตัวเองให้ผมบังหน้า ไม่อยากให้อีกคนเห็นใบหน้าอ่อนแอของเขา

                อย่านะ อย่าทำร้ายกันอีกเลย 

            “น้องกิม?”

                พี่ทรายใช้เสียงโทนอ่อนลง แต่กิมเหนื่อยเหลือเกิน ไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นไปตอบโต้อะไรอีก อัลฟ่าเลื่อนมือมาจับแขนเขาแต่กิมขืนออกอีกครั้ง

                “น้องกิม เงยหน้าขึ้นมาคุยกันก่อน”

                กิมส่ายหน้า ก่อนจะพึมพำว่า “ไม่เอา เหนื่อยแล้ว” ในลำคอเสียงเบาก่อนจะสูดจมูก

                “น้องกิม พี่ขอโทษ จะไม่พูดแบบเมื่อกี้แล้ว” พี่ทรายกลับมาใช้เสียงโทนเดิมที่ใช้พูดกับเขา พยายามจะกล่อมให้เขาเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วย แต่กิมยังคงส่ายหน้า มือปาดแก้มเงียบๆ ทำไมต้องใจดี ทำไมต้องมาขอโทษกัน ทำไมถึงไม่ปล่อยเขาไปสักที

                “โกรธอะไรบอกกันได้เปล่า?” พี่ทรายถามอีกครั้ง แต่อดทนกว่าเดิมโดยการไม่ขึ้นเสียงใส่เขา

                กิมเงียบ เอาแต่สูดจมูกก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง การจะพูดออกไปนั้นยากกว่าการลืมเสียอีก

                “โกรธที่พี่กลับไปก่อนเหรอ?”

                พี่ทรายหมายถึงวันที่เขาฮีท แต่เปล่าเลย กิมส่ายหน้า กิมไม่ได้เคืองเรื่องนั้น ใครจะมานอนกกเขาได้ทั้งวัน คนเรามันก็มีธุระต้องทำ

                “งั้นโกรธอะไร พี่ไม่ได้เจอเราเลย พี่ไปทำอะไร”

                “พี่ทรายจะเสียเวลามานั่งถามทำไม” กิมถามเสียงอู้อี้ “พี่ทรายถามแล้วได้อะไร”

                “ก็พี่แคร์น้องกิม พี่เลยต้องถามสิ” พี่ทรายตอบ “พี่จริงจังกับเรานะ”

                กิมส่ายหน้าแล้วก็ส่งเสียงเหอะในลำคอ ประโยคที่กลุ่มเพื่อนของเจ้าตัวพูดยังคงดังก้องในหัว คำพูดที่เหยียดเขาเหมือนหมูเหมือนหมา

                “พี่ทรายเหนื่อยไหม ที่ต้องมานั่งตามใจผม” กิมถาม “เหนื่อยไหมที่ต้องแกล้งว่าแคร์นักหนา เหนื่อยไหมที่ต้องรอเวลาจะได้เอาผมอย่างเดียว”

                “น้องกิม ทำไมพูดแบบนี้?” พี่ทรายขมวดคิ้วหนัก เหมือนแสร้งงงกับสิ่งที่เขาพูด

                “ได้ผมแล้วก็เลิกยุ่งกับผมได้แล้วดิ” กิมพูดเสียดสีต่อ ก่อนจะต้องยกฝ่ามือขึ้นมาปิดทั้งใบหน้า เพราะน้ำตาชักเริ่มจะหยดใหญ่ขึ้น นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่กิมไม่ชอบพูดทุกอย่างออกมาเป็นเสียง เพราะเหมือนเป็นการตอกย้ำความกลัวของตัวเองว่ามีอยู่จริง

                “น้องกิม ไปฟังอะไรจากใครมา?” พี่ทรายถามแล้วก็เอื้อมมาจับไหล่เขา ฝ่ามือเลื่อนไปที่กลุ่มผมก่อนจะวางไว้อย่างนั้น “ถ้าไปฟังอะไรจากคนอื่นมานี่หยุดคิดแบบนั้นเลยนะ”

                “ก็พี่ทราย...ก็แค่อยากได้ตัวผมปะวะ” กิมพูดแล้วก็หยุดกลืนก้อนสะอื้นลงไป “ก็พอแล้ว ไม่เอาแล้ว”

                “น้องกิม ไปฟังใครมาเนี่ย พี่จริงจังกับเรามากนะ”

                “คนจริงจังเขาก็ต้องมาร์กกันแล้วปะวะ”

                กิมพูดออกไปจนได้ พี่ทรายถึงกับชะงักมือที่กำลังลูบกลุ่มผมเขา

                “น้องกิม พี่ไม่มาร์กเพราะกลัวเราโกรธนะ พี่จริงจังพี่เลยต้องคิดดีๆ ว่าน้องกิมพร้อมไหม โอเคไหม พี่ไม่กล้าทำอะไรกะทันหันหรอกนะ” พี่ทรายค่อยๆ อธิบายเสียงอ่อน

                “ทำไมต้องคิด ผมยอมพี่ทรายเป็นคนแรกขนาดนี้ยังจะต้องคิดอีกเหรอ” กิมยอมเงยหน้าขึ้นมาตอบเป็นครั้งแรก ก่อนจะมองหาทิชชู่ในรถเพื่อจะมาเช็ดหน้าตัวเอง นิ้วโป้งพี่ทรายเลื่อนมาปาดหยาดน้ำที่ยังคาแก้มเขาอยู่ออก แต่กิมเบี่ยงหน้าหลบ “จะเอาทิชชู่”

                “ทำไมโกรธพี่ขนาดนี้ พี่เป็นห่วงเราหมดอะ นี่พี่คิดเยอะมากเลยนะ” พี่ทรายถอนหายใจก่อนจะเอื้อมไปหยิบทิชชู่จากเบาะหลังมาซับหน้าให้ แต่กิมแย่งออกมาเช็ดเอง

                “ก็กลัวพี่ฟันแล้วทิ้งปะวะ ถุงยางก็ไม่ใส่” กิมตอบแบบกระชากเสียงขุ่น

                “อันนั้นขอโทษจริงๆ มันฉุกเฉินอะ น้องกิมก็เอาแต่หาว่าพี่ช้า” พี่ทรายเสยผมขมวดคิ้วมุ่น “แล้วนี่ไปฟังอะไรใครมา?”

                “ได้ยินมา” กิมตอบแค่นั้น และหน้าพี่ทรายก็เหมือนจะกระจ่างขึ้นมาอีกนิด

                “ทำไมเชื่อคนอื่น ไม่เชื่อพี่”

                พี่ทรายถามแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนกิมต้องกระเถิบหนี แต่พื้นที่ในรถก็มีแค่นั้น กระเถิบอย่างไรก็ติดประตูรถอยู่ดี

                “พี่ทรายจะทำไร” กิมถามแล้วก็เหล่ตามอง

                “ก็ไหนบอกอยากให้พี่มาร์ก” พี่ทรายถามแล้วเลิกคิ้ว แต่กิมรีบชิงเอามือมาปิดแอ่งชีพจรตัวเองไว้ก่อน

                “ไม่เอา เจ็บ” กิมตอบเพราะตอนนี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนตอนฮีท จะว่าไปช่วงฮีทนี่ก็น่ากลัว เหมือนความเจ็บทุกอย่างด้านชาไปหมด มีแค่ฮอร์โมนที่ขับเคลื่อน แต่พอเป็นตอนปกติแล้วกิมดันกลัวเจ็บเสียอย่างนั้น

                “ไม่เจ็บดิ เดี๋ยวกัดเบาๆ”

                “ตลกละ มาร์กกันใครเขากัดเบา ผมเรียนสุขะมานะเว่ย” กิมตอบเสียงขุ่น พี่ทรายแม่งพูดเหมือนหลอกเด็กว่าฉีดยาไม่เจ็บอะไรแบบนั้น

                “ก็เดี๋ยวน้องกิมก็หาว่าพี่ไม่จริงจังอีกอะ” พี่ทรายพูดคลอเคลียหายใจรดกับตรงหลังมือที่กิมเอาปิดคอไว้ “เนี่ยพี่รักเรามากนะ”

                กิมกัดปากแน่น ไม่คุ้นหูกับคำว่ารักจากปากอีกคน ใจที่เคยปิดกั้นตอนนี้อ่อนยวบราวขี้ผึ้งลนไฟ

                “ไม่ได้โกหกกันใช่ไหม”

                “จะโกหกทำไม รู้ไหมว่าอยากกัดจะตาย แต่ไม่กล้า” พี่ทรายพูดเสียงเจื่อน

                “ทำไมไม่กล้า”

                “ก็ดูน้องกิมดิ ดุจังอะตัวแค่นี้”

                “ไม่ได้ดุ” กิมเถียง ลดมือลงจากคอโดยไม่รู้ตัวเพราะโดนชวนคุย “ไม่ได้ดื้อด้วย ก็แค่ไม่อยากทำ ทำไมต้องบังคับ”

                “ก็เนี่ย เขาเรียกดื้อ”

                พี่ทรายหัวเราะเพราะกิมกลับมาพูดย้อนแบบเดิมแล้ว ก่อนจะทันได้เถียงอะไรกลับ โอเมก้าตัวขาวก็ต้องหลับตาปี๋เพราะพี่ทรายโน้มลงมาฝังแอ่งชีพจรเต็มเขี้ยว ลำคอหลุดส่งเสียงออกไปโดยไม่รู้ตัว มือเอื้อมไปข่วนแขนอีกคนไม่เบานักฐานที่ทำอะไรไม่ปรึกษากัน ไบโอเคมีในร่างกายแล่นเร็วเสียจนแทบจะรู้สึกได้ในมโนสำนึกว่าฮอร์โมนของตัวเองกำลังปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับฮอร์โมนของอัลฟ่า ความเจ็บตรงคอเสมือนการตีตราว่าจากนี้ไปจะมีเพียงพี่ทรายที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของตัวเขาทั้งหมดได้แต่เพียงผู้เดียว

                “เจ็บเปล่า?”

                กิมพยักหน้าแล้วปาดน้ำตาที่คลอหน่วยอีกรอบ พอรู้ว่าตัวเองมีคู่แล้วก็ยังตกใจอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนกิมตั้งตัวไม่ทันกับความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นและไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ พอได้สร้างก็หวาดกลัวการถล่ม แต่พอไม่มีก็หวาดกลัวว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้นมาเลย...นี่แหละความสัมพันธ์

                “วันหลังมีอะไรบอกกันรู้เปล่า โอเมก้าของพี่เนี่ย”

                “จะพยายาม” กิมตอบเพราะตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจนักกับไอ้ความปากหนักอธิบายไม่เก่งของตัวเอง

                “อย่าทำงี้อีกนะ พี่ใจหายหมด ร้องไห้ทีพี่ก็แพ้หมดแล้วเนี่ย”

                “อือ” กิมตอบรับในลำคอ มือยกขึ้นมาลูบรอยกัดตรงคอตัวเองก่อนจะสะดุ้งโหยงเพราะความเจ็บ

                “อย่าไปจับดิ” พี่ทรายดึงมือเขาออกแล้วถามต่อ “จะกลับหอใช่เปล่า เดี๋ยวไปส่ง”

                กิมพยักหน้า แต่ยังไม่ทันจะหันไปดึงเข็มขัดมาคาด ก็โดนดึงท้ายทอยเข้าไปรับจูบหนักๆ จากอีกฝ่ายใหม่ จูบครั้งนี้เนิ่นนานและเอาแต่ใจกว่าปกติที่พี่ทรายจะขอ

                “คิดถึงน้องกิม”

                อือ...เหมือนกัน

 



50%



              (ต่อ)



ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0



(ต่อ)


ฮิมนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา ทีวียังคงฉายภาพยนตร์เน็ทฟลิคที่เปิดเอาไว้เพื่อไม่ให้รบกวนความคิดในหัวตัวเอง แต่ความจริงแล้วนั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลย เสียงและภาพในทีวีไม่ได้เข้าหัวเขาเลยสักนิด ทุกอย่างกลายเป็นเพียงเสียงรบกวน ตาเพียงแต่จ้องมอง แต่สมองนั้นล่องลอยไปยังเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา

                เกลียดตัวเองไม่พอ ยังจะต้องมาพาลทำให้คนอื่นเกลียดเขาอีก น่าสมเพชจริงๆ

                ฮิมกดเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง สุดท้ายก็กดเป็นสารคดีเผื่อจะโฟกัสกับรายละเอียดได้บ้าง แต่ก็เปล่า เขาจับใจความอะไรไม่ได้เลย

                เพราะกลัวทุกอย่าง ก็เลยเลือกที่จะออกมา

                กลัวความเปลี่ยนแปลง ทั้งของตัวเองและคุณน้ำค้าง กลัวจากอะไรหลายๆ อย่าง กลัวเหลือเกินว่าเวลาที่เราใช้มาร่วมกันมันจะยังสั้นเกินไป น้อยเกินไป

                ไม่มีอะไรจะการันตีได้เลยว่าพวกเขาทั้งคู่ สักวันหนึ่ง ธรรมชาติ กรรมพันธุ์ จะทำงานในแบบที่มันเป็น ทำให้พวกเขาแยกออกจากกัน ไม่มีจะอะไรมายืนยันได้เลยว่าคนเราจะเปลี่ยนไป คนเราเปลี่ยนแปลงไปในทุกวัน ฮิมเองก็เปลี่ยนไป ไม่มีใครจะเหมือนเดิมไปตลอดกาล

                ในคราแรก ฮิมไม่เคยกลัวอะไรเลยตอนที่ตัดสินใจคบกับเมฆ ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเลิกกันเพียงเพราะความถูกต้องของกฎธรรมชาติ คิดมาตลอดว่าความสัมพันธ์จะช่วยผูกติดทุกอย่างไว้ด้วยกัน จนกระทั่งมันพิสูจน์ไว้แล้วครั้งหนึ่ง

แล้วทำไมครั้งที่สองมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ล่ะ?

ที่ไม่ได้บอกว่าลักษณ์กลิ่นเหมือนเขาก็เพราะไม่อยากให้คุณน้ำค้างเจอ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่จำเป็น แต่มันจำเป็นเลยต่างหาก จำเป็นที่จะต้องเก็บไปให้ห่าง ซ่อนอะไรก็ได้ที่อาจจะทำให้คนใกล้ตัวของเขาหนีหายไป

คำว่าแต่ แต่ แต่ ในหัวของฮิมเต็มไปหมด เมื่อมีทางที่จะเป็นไปได้ ก็ต้องมีคำว่าแต่เพิ่มขึ้นมา ทั้งๆ ที่ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คนที่เห็นแก่ตัวและใจร้ายที่สุดก็คือตัวฮิมเอง

ทุกอย่างในตัวคุณน้ำค้างแทบจะเรียกได้ว่าดี คุณน้ำค้างสามารถหาเขาเจอในที่ที่คนอื่นอาจจะหาไม่เจอ คุณน้ำค้างเห็นเขาในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด และก็ยังคงอยู่ด้วย คุณน้ำค้างซื่อตรง อ่านออกง่าย จริงใจ ติดจะขี้อายไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยโกหก

และฮิมก็คิดว่าขนาดการตัดความสัมพันธ์เขายังสามารถทำได้ในไม่กี่ประโยค

แล้วถ้าเกิดเขาเจอโอเมก้าที่ถูกใจจริงๆ ขึ้นมาล่ะ เขาจะทำร้ายคุณน้ำค้างได้ด้วยประโยคสั้นๆ แบบวันนี้รึเปล่า

                ยาก ทุกอย่างของพวกเขาทั้งสองคนช่างยากไปหมด ไม่มีอะไรง่ายเลย ไม่มีอะไรที่จะรับประกันว่าพวกเขาจะไม่เจ็บ ทางออกของความสัมพันธ์พวกเขาอยู่ตรงไหน ฮิมหาไม่เจอเลยในตอนนี้

 

                น้ำค้างเสียศูนย์ เขารู้สึกเหมือนว่าทุกครั้งที่หายใจคือการสั่งตัวเองให้โกยอากาศเข้าปอด

                น้ำค้างยอมรับว่าไม่เคยนึกถึงตอนนี้ ตอนที่หัวใจโดนกำจนแหลกคามือ ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะดำดิ่งได้มากขนาดนี้ รสชาติของความเสียใจและผิดหวังในความรักมันเป็นแบบนี้สินะ

                ยอมรับว่าหลังจากที่กลับมานั่งอยู่กับตัวเองที่ห้องแล้วก็มีความขุ่นเคืองปนมาจางๆ ในสีเทาของความเศร้า ต้องดีแค่ไหน ต้องทำอย่างไร คุณฮิมถึงจะยอมให้เขารัก ทำไมอัลฟ่าอีกคนถึงมีโอกาสรักคุณฮิมได้ตั้งสองปีและทำลายมัน แล้วน้ำค้างล่ะ น้ำค้างต่อเติมให้คุณฮิมเป็นเหมือนเดิม แต่ทำไมถึงโดนผลักไส

                ทำไม ทำไม ทำไม ในหัวของน้ำค้างมีแต่คำนี้

                ก่อนจะเป็นจุดหนึ่งที่หัวใจอิ่มตัวและเริ่มยอมแพ้ ปอดสำลักอากาศและเริ่มกระตุก ใบหน้าเปียกชื้นทั้งๆ ที่ฝนไม่ตกในห้อง

                ก็แค่กลัวใช่ไหม ก็แค่กลัวว่าเขาจะเป็นเหมือนเมฆใช่ไหม? ก็แค่กลัวว่าเขาจะหนีไปหาโอเมก้าคนอื่นใช่ไหม? ทำไมถึงได้ดูถูกเขาแบบนั้นล่ะ? ทำไมถึงได้ดูถูกรักคราแรกของเขาเช่นนั้น?

                น้ำค้างถามคำถามที่ไร้คำตอบ

                และเมื่อมาย้อนคิดอีกที คำถามเหล่านั้นช่างเห็นแก่ตัว เขากำลังบังคับเพื่อปล้นความเชื่อใจจากคนคนหนึ่ง ไม่ใช่การขอความเชื่อใจ

                เพราะไม่ใช่ความผิดของคุณฮิมเลย ที่จะหลีกเลี่ยงเขา

                ความเสี่ยงก็คือความเสี่ยง แม้เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์มันก็ยังถูกจัดเป็นความเสี่ยง

                เขาไม่เคยโกรธคุณฮิมลงเลยจริงๆ

                เพราะถ้าหากเลือกได้ ก็อยากจะให้คุณฮิมคบกับเมฆได้ยืนยาว ไม่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนั้น ไม่ต้องเจ็บปวด และคุณฮิมก็จะไม่ต้องเจอเขาก็ได้ ในฐานะมนุษย์บนโลกคนหนึ่งที่ไม่ควรมาเจอกับอะไรแบบนี้

                แต่น้ำค้างรู้ ว่าต่อให้คุณฮิมไม่ต้องมีเขา ไม่ต้องเจอเขา

                น้ำค้างก็จะหาป่าสนผืนเดียวของเขาเจอในที่สุดอยู่ดี

               

                “หายใจอยู่ปะวะ”

                “อยู่”

                น้ำค้างตอบกิมที่ตอนนี้นั่งกระดิกตีนแดกขนมอยู่ในห้องเขาอย่างน่าหมั่นไส้ กลิ่นเพื่อนตัวขาวมีกลิ่นอื่นปนมาด้วยโดยที่น้ำค้างเองก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องเรียกว่ากลิ่นอะไรดี รู้แค่ว่าหอม ก็คงไม่ต้องบอกว่ากลิ่นใคร นั่งไหล่กว้างอยู่บนโซฟา รอยมาร์กบนคอกิมก็พอทำให้น้ำค้างไม่สงสัยที่พี่ทรายจะมานั่งเฝ้าไอ้เพื่อนกวนประสาทนี่ที่มานั่งเล่นเกมห้องเขา

                ห้องกิมไม่มีทีวีและห้องเขามี ส่วนห้องพี่ทรายน่ะเหรอ รายนั้นบอกว่าจะเรียนจบแล้วเลยขนทีวีกลับบ้านไปเรียบร้อย สุดท้ายเลยมาจบที่ห้องเขาอย่างที่เห็น

                “อกหักครั้งแรกเจ็บมากปะวะ”

                “เจ็บพอๆ กับตอนมึงเหยียบโมกูหักตอนปีหนึ่ง”

                “ไม่อะ กูว่าเจ็บกว่านั้น กูว่าน่าจะเท่าๆ ตอนที่มึงปัดโมกูที่ต่อเสร็จแล้วหล่นจากโต๊ะต่อหน้าอาจารย์”

                น้ำค้างเงียบ เถียงไม่ออก เพราะคดีนั้นร้ายแรง และทำจริงๆ ไม่มีอะไรมาเอาคืนแล้ว

                “ละนี่คือมึงยอมแพ้?” กิมถามใหม่ พี่ทรายสไลด์ตัวลงมานั่งพื้นข้างๆ กิมที่ตอนนี้ยังคงไม่รู้ตัวและกินขนมพร้อมกับโฟกัสที่เขา

                “ทำเหมือนกูไปเปลี่ยนใจเขาได้เลย” น้ำค้างถอนหายใจ คนอย่างคุณฮิมน่ะ นอกจากจะอ่านไม่ออกแล้วน่าจะหักดิบเก่งน่าดู

                “มึง...เห้ย!” กิมกำลังจะพูดต่อแต่พี่ทรายเกี่ยวเอวขึ้นไปนั่งตักแล้วเรียบร้อย เอาซะเพื่อนตัวขาวดิ้นพล่านด้วยความอายสายตาเพื่อนแบบเขา

                “พี่ทราย ไม่อายมันบ้างเหรอวะ” กิมด่า “เนี่ย มันอกหักอยู่แล้วพี่ก็มาทำเงี้ย มารยาทพื้นฐานของสังคมในการถนอมจิตใจนะเว้ย”

                น้ำค้างกะพริบตาปริบๆ เช่นเดียวกับพี่ทรายเองก็กะพริบตาปริบๆ คือต้องจริงจังอะไรขนาดนั้นวะเพื่อน

                แต่สุดท้ายพี่ทรายก็ยอมปล่อยกิมลงไปนั่งเสียบหูฟังดูหนังอย่างสงบเสงี่ยมเงียบๆ อยู่บนโซฟาเช่นเดิม

                “ไอ้น้ำ มึงคิดดู มึงอยู่กับเขาตอนที่โหดเหี้ยที่สุด เขาจะไม่ใจอ่อนสักนิดเลยเหรอวะ”

                “ไม่รู้ว่ะ กูดูเขาไม่ออกเลย เขาคิดอะไร กลัวอะไร กูยังไม่กล้าเดาเลย เขาดูเป็นคนที่คิดมาแล้วถึงจะพูด” น้ำค้างบ่นยาวเหยียด อากาศรอบตัวกลับมาหนักอีกครั้ง

                “คือกูบอกตรงนี้เลยละกัน” กิมพูดน้ำเสียงจริงจัง และน้ำค้างก็รอตั้งใจฟัง

                “คือกูโง่เรื่องแบบนี้”

                สัด น้ำค้างด่ามันในใจหนึ่งที

                “แต่มึงยังไม่ได้ลองเปลี่ยนใจเขาเลยปะวะ”

                “กูลองแล้ว...”

                “กูไม่นับตอนที่มึงพยายามเถียงเขาตอนนั้น อันนั้นเขาไม่มีสติ แต่ตอนนี้เขาอาจจะมีสติขึ้นมาอีกนิด...มั้ง เออนั่นแหละ กูโง่ แต่ถ้าเป็นกู กูจะหน้าด้านไปขอโอกาสเขาใหม่แบบโง่ๆ อย่างงี้เนี่ยแหละ”

                น้ำค้างกะพริบตาปริบๆ มองหน้ากิมที่เคี้ยวขนมกรุบๆ เหมือนว่าที่พูดมายาวเหยียดนั่นคือเหมือนเล่าว่าวันนี้ไปดูหนังเรื่องอะไรมา เรื่องเป็นไง จบ คือง่ายๆ ขนาดนี้เลยน่ะนะเพื่อน

                “พี่ทรายชอบคนโง่เหรอวะ”

                “ไม่เคยเชื่อว่าคนรวยๆ ชอบคนโง่ๆ จนพี่ทรายมาร์กกูนี่แหละ”

                “พี่ทรายรวยเหรอวะ”

                “ถ้าบอกว่าบ้านเป็นสุลต่านกูก็เชื่อ เอาเป็นว่าลูกกูจะโตไปการศึกษาดีกว่ากูแน่นอน”

                บทสนทนาทั้งหมด แน่นอนว่าพี่ทรายไม่ได้ยิน เนื่องจากนั่งหัวเราะไหล่สั่นกับซีรี่ย์ในจอมือถือตัวเองอยู่

                “กิม มึงว่าถ้ากูทำตัวโง่ๆ คุณฮิมเขาจะรักกูบ้างไหม”

                “มึงยังทำตัวฉลาดอยู่ตอนนี้ เพราะมึงไม่ไปหาเขาสักที”

                “แล้วถ้ากูโดนไล่กลับมาอะ”

                “ก็เลือกเอาว่าจะโง่ต่อหรือจะฉลาดแล้วไปหาโอเมก้ากลิ่นเหม็นเขียวคนอื่นมาเป็นตัวตายตัวแทน”

                สรุปมันเชียร์กูหรือมันประชดกูวะ? น้ำค้างคิดในใจอย่างงุนงง

               

                แต่คืนนั้นหลังจากที่กิมกลับไปพร้อมกับพี่ทราย น้ำค้างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคุณฮิม

                และด้วยการแกล้งทำตัวเป็นคนโง่ๆ น้ำค้างก็รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายอาจจะบล็อกเบอร์หรือปิดเครื่อง ซึ่งน้ำค้างก็ยังคงดันทุรังกดโทรใหม่ต่อไปเรื่อยๆ

                รู้ว่าคุณฮิมจะไม่รับ แต่ก็ยังกดโทร

                [ฮัลโหลค่ะ]

                “เห้ย!”

                น้ำค้างถึงกับสะดุ้งปล่อยโทรศัพท์ร่วงจากมือลงบนเตียง เขากดเปิดลำโพงและนั่งขัดสมาธิต่อหน้าโทรศัพท์อย่างกล้าๆ กลัวๆ

                ไอ้น้ำเอ๊ย... ทำตัวเหมือนตอนคุยกับคุณฮิมครั้งแรกไม่มีผิดเพี้ยน

                [เอ่อ ฮิมไม่ได้ทำอะไรเละเทะทิ้งไว้ที่ห้องใช่ไหมคะ? หรือว่าลืมจ่ายค่าทำความสะอาดอะไรรึเปล่า?]

                “...”

                [ฮัลโหลค่ะ?]

                “เปล่าครับ ผม...เพื่อนคุณฮิมเอง เขาเมมไว้เอ่อ เป็นฉายาน่ะครับ”

                [อ๋า แบบนี้นี่เอง นี่แม่ฮิมเองค่ะ พอดีเขากลับมาบ้านแล้วเปิดโหมดเครื่องบินทิ้งไว้ เข้าห้องไปนอนยาวเลยไม่รู้ไม่สบายรึเปล่า]

                “อ๋อ...โอเคครับ แล้วคุณฮิมเขา...หลับไปนานรึยังครับ?” น้ำค้างอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ นอนยาวเลยเหรอ จะเป็นไข้รึเปล่านะ? จะไม่สบายตรงไหนรึเปล่า? โอซีดีเขามันชักจะกำเริบเสียแล้วสิ ไอ้โรคจุกจิกอยากจะตามไปดูแลไปเช็คว่าเป็นยังไงบ้างนี่มันไม่เคยจะหายไปสักทีกับคนใกล้ตัว

                [เอาจริงๆ แม่คิดว่าเอ่อ...เขาน่าจะเข้าช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนน่ะค่ะ]

                ฮอร์โมนเปลี่ยน...ช่วงรัท

                [เพราะว่าตั้งแต่กลับมากลิ่นแรงมากเลย คิดว่าก็คงเอ่อ...นั่นแหละค่ะ]

                “อ่า อย่าลืมให้เขากินยา ทานน้ำเยอะๆ นะครับ ผมเองก็เป็นอัลฟ่า เข้าใจว่าช่วงเอ่อ...ฮอร์โมนเปลี่ยน มัน...ค่อนข้างจะ...เอ่อ อึดอัดครับ”

                [โอ้ มันแย่มากไหมคะ เพราะฮิมเขาไม่ได้ทานยาเลย ปกติเขามีคนมานอนเป็นเพื่อนด้วย แต่คราวนี้ไม่มีแล้ว แต่ก็ยังดื้อไม่ยอมทานยาอยู่ดี]

                “ลองบังคับให้เขาทานได้ไหมครับ เพราะไม่งั้นมันจะทรมานถ้าไม่ได้ทานยา” น้ำค้างเริ่มกังวลจนออกทางน้ำเสียง ทำไมคุณฮิมถึงได้ดื้อขนาดนี้นะ เขาว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นคนหักดิบเก่ง

                [เดี๋ยวจะลองดูนะคะ เอ่อ...รบกวนอย่าเพิ่งวางได้ไหมคะ เผื่อให้คุณแม่บ้านญี่ปุ่นลองคุยกับเขาดู เผื่อเขาจะฟังเพื่อนมากกว่าฟังแม่]

                น้ำค้างถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่แต่ก็รับปาก สำนวนน้ำเสียงนุ่มนิ่มขนาดนี้ ไม่ใช่แม่ใหญ่แน่นอน ท่าทางจะเป็นแม่เล็ก ลองให้แม่ใหญ่มารับสายสิ มีหวังเขาจะโดนด่าก่อนด้วยซ้ำมั้งนั่น

                [ฮิม...ทานยาหน่อยไม่ได้เหรอคะ...ไม่เอา...แต่เพื่อนฮิมบอกมันจะเจ็บนะ...เพื่อนคนไหน...คุณแม่บ้านญี่ปุ่นที่ฮิมเมมไว้ แม่ไม่รู้ว่า...กุกกัก กุกกัก อ้าว ฮิม]

                น้ำค้างได้ยินบทสนทนาตะโกนคุยจนกระทั่งตอนที่แม่เล็กบอกว่าเป็นเขา โทรศัพท์ถึงได้เป็นเสียงกุกกักและสลับกับเสียงปิดประตูดังฉับ น้ำค้างถือค้างแนบหูไว้อยู่อย่างนั้น คิดในใจว่าแม่เล็กคงโดนไล่ออกมาและอีกสักพักเขาจะต้องโดนตัดสายแน่นอน

                [คุณน้ำค้าง...]

                น้ำค้างใจกระตุก เขานั่งลงกับเตียง ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรออกไป กลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วคุณฮิมจะไม่ให้โอกาสอีก กลัวว่าจะพูดอะไรผิด กลัว กลัวเหลือเกิน

                แต่ก็ดีเหลือเกินที่ได้ยินเสียงคุณฮิมอีก

                “คุณฮิม กินยาเถอะ” น้ำค้างพูดแค่นั้น เขาไม่รู้ว่ามีสิทธิ์จะเป็นห่วงไหม แต่ก็พูดออกไปแล้ว

                [คุณน้ำค้าง พูดอีก...]

                “ครับ?” น้ำค้างถามเหมือนไม่แน่ใจ เพราะเสียงคุณฮิมแผ่วกระเส่าและออกจะติดลมๆ มากกว่าปกติ

                [พูดอีก...อยากได้ยินเสียงคุณน้ำค้าง]

                จนกระทั่งน้ำค้างได้ยินเสียงเฉอะแฉะมาจากอีกฝั่งนั่นแหละ อัลฟ่ากลิ่นผ้าสะอาดถึงกับผงะหน้าร้อนวาบไปทั้งหน้า คุณฮิมทำอะไรอยู่ทำไมเขาจะไม่รู้ ในเมื่อทั้งชีวิตเขาก็ทำให้ตัวเองมาตลอด

                “คุณฮิม ทำไม...เอ่อ ไม่กินยา” น้ำค้างพูดเสียงเบาโดยที่ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะหรี่เสียงทำไมทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยู่คนเดียว แต่มันก็น่าอายนี่ แล้วต้องพูดอะไรล่ะ น้ำค้างหัวสมองว่างเปล่าไปหมด

                [ไม่เอา...อย่าเงียบสิคุณน้ำค้าง]

                “ครับ? แล้วผมต้องพูดอะไรดี คือ...ผมควรวางสายไหม” น้ำค้างไม่อยากจะวางสายเลย แต่ก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงในสถานการณ์นี้ดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณฮิมอยากคุยกับเขาไหม

                [อย่าวาง] คุณฮิมพูดกระซิบสั้นๆ เสียงอย่างอื่นดูจะดังมากกว่าเสียงพูดคุณฮิมด้วยซ้ำ และน้ำค้างไม่ปฏิเสธเลยว่าตัวเองก็ชักจะตามไปด้วยแล้ว สาบานเลยว่าถ้าคุณฮิมอยู่ตรงหน้า เขาไม่อยู่เฉยๆ แน่ๆ

                “แต่คุณฮิมโกรธผมอยู่” น้ำค้างพูดต่ออย่างอึดอัดปนวาบหวามแปลกๆ “คุณฮิมไม่อยากเจอผมแล้ว ผมก็ดันโทรมา ผมนิสัยไม่ดี”

                [ไม่ได้โกรธ...อือ อยากเจอ แต่ไม่เอา...กลัว]

                “กลัวอะไร” น้ำค้างเม้มปากถาม เสียงเฉอะแฉะจากปลายสายเร็วขึ้นเรื่อยๆ น้ำค้างรู้ว่าคุณฮิมพูดโดยไร้เล่ห์เหลี่ยม

                [ทุกอย่าง...เลย]

                เสียงทั้งหมดหยุดลง เหลือแค่เพียงเสียงผ้าปูที่นอนและเสียงหอบหายใจของคุณฮิมที่ทิ้งไว้ ก่อนที่สายจะถูกตัดไป

                น้ำค้างมองโทรศัพท์ด้วยความไม่เข้าใจ จนกระทั่งแจ้งเตือนไลน์เด้งเป็นข้อความจากคุณฮิม...เป็นโลเคชั่นส่งมา

                เขายังมีโอกาสอยู่ใช่รึเปล่า เขายังจะสามารถหลับตาแสร้งเป็นคนโง่ต่อได้ใช่ไหม

               

 

tbc.






หายไปนานกว่าทุกครั้งเลยเพราะสอบมิดเทอมค่ะ ตอนไฟนอลก็คงหายไปประมาณนี้ ขอโทษจริงๆ นะคะที่ให้รอ

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ



 

 feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

               

ออฟไลน์ Spoypopoy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
งุ้ยยยย มาต่อเร็วๆน้าาาา เรารออ่านอยู่ สู้ๆในทุกๆเรื่องเลยเด้อ :impress2:

ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมาก ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
chapter seventeen



               น้ำค้างเปิดประตูออกมาจากรถแท็กซี่ เป็นอีกครั้งที่ต้องมาในที่ที่แปลกตาจากโลเคชั่นที่อีกฝ่ายส่งมาในไลน์ บ้านสองชั้นตรงหน้าพร้อมกับสนามหญ้าและรั้วล้อมเตี้ยๆ ทำเอาน้ำค้างกลืนน้ำลายอึกนึง

               คุณฮิมจะหลอกเขามากระทืบรึเปล่า...

               หรืออาจจะหลอกมาให้แม่ใหญ่กระทืบต่อทอดที่สอง...

               แค่คิดก็ต้องเอามือลูบแขน สภาพน้ำค้างตอนนี้มันเหยื่อโดนตกแท้ๆ

               น้ำค้างมองหากริ่งที่ประตูรั้วก่อนจะ...

               โฮ่ง! โฮ่ง!

               ผงะถอยหลังออกมาสามก้าวเพราะหมาร็อตไวเลอร์ตัวบะเฮ่งที่ใช้ขาหน้ากระโดดเกาะรั้วและแยกเขี้ยวขู่ใส่เขาอยู่

               รู้สึกเหมือนจะโดนหลอกมากระทืบจริงๆ ก็คราวนี้ ใครสั่งใครสอนให้เลี้ยงร็อตไวเลอร์ในที่เปิดและรั้วเตี้ยขนาดนี้! น้ำค้างทำหน้าเหยเก เพราะหนึ่งเขาแพ้ขนหมา และสองเขากลัวหมา...มาก

               วันนี้อาจจะโดนแม่ใหญ่จับเขาโยนเป็นอาหารเจ้าหมาตัวนี้ก็ได้ใครจะไปรู้ แค่เสียงกัดกรามดังกรับเมื่อครู่ก็พอจะรู้แรงงับแล้ว อยากจะยกมือไหว้หนึ่งทีแล้วเรียกแกร๊บให้มารับเขากลับคอนโดเหมือนเดิม

               “แสนดี มานี่ คุณเขากลัวหมดแล้ว”

               สาบานว่านั่นชื่อหมา... คุณน้ำค้างมองผู้หญิงที่อายุและตัวพอๆ กับแม่ใหญ่แต่โทนเสียงนุ่มนิ่มและสุภาพกว่าเดินออกมาจากประตูบ้าน แถมยังใส่กระโปรงลายดอกไม้ยาวเหยียดอีกต่างหาก เรียบร้อยทุกระเบียดนิ้วจริงๆ เสียด้วย ต่างจากแม่ใหญ่แทบจะคนละขั้วเลยก็ว่าได้

               “เพื่อนฮิมใช่ไหมคะ? เข้ามาก่อนเลย น้องแสนดีเขาไม่กัดหรอกค่ะ รายนี้ขี้ตกใจ เห่าตลอดเวลาคนมา เลยไม่ได้ติดกริ่งเอาไว้”

               น้ำค้างพยักหน้าตอบครับเบาๆ แต่ในใจมีแต่คำถามผุดขึ้นมาว่านี่มันใช่วิธีแก้ปัญหาเรอะ!?

               “ฮิมนอนเงียบเลยทีนี้ สงสัยพอรู้ว่าเพื่อนมาแล้วจะใจชื้น” แม่เล็กยิ้มให้เหมือนเขาเป็นหมออย่างไรอย่างนั้น เขาจะโดนต่อยเอาล่ะสิไม่ว่า โดนโกรธเสียขนาดนั้นยังจะหน้าโง่ถ่อมาถึงตรงนี้อีกต่างหาก

               พอจะเข้าใจปัญหาทะเลาะกันจุกจิกของคู่รักรอบตัวที่ไม่มีเหตุผลขึ้นมาเสียบ้างแล้ว คนนอกจะมองด้วยเหตุและผลอย่างไรก็ไม่เข้าใจเท่าทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันเองหรอก

               เพราะอย่างนี้ความรักถึงได้เหมือนกับน้ำมันในคราเดียวกันนี่เอง

               น้ำค้างเดินเข้ามาโดยต้องเรียกว่าเขย่งเท้าเดิน สัญชาตญาณความกลัวอะไรแล้วต้องมันไม่เลิกว่ามันจะอยู่ที่เดิมแสดงออกมาเต็มที่ และไอ้เจ้าแสนดีก็นั่งอยู่ข้างแม่เล็กอย่างว่าง่ายจริงๆ ถึงจะมองตามเขาทุกฝีก้าวก็เถอะ นี่ถ้าเขาวิ่งเข้าบ้านไปมันจะวิ่งไล่ตามมางับไหม...

               “ฮิมเขานอนอยู่ชั้นสองห้องในสุดเลยค่ะ ประตูไม้สีขาว เข้าไปเลยนะคะ แม่ไม่กวน”

               ถ้าเขาตะโกนช่วยด้วยก็คือแม่เล็กได้โปรดรู้ไว้ด้วยว่าเขาจะโดนลูกแม่กระทืบแล้วครับ...น้ำค้างยิ้มแห้ง

               “แม่เล็กมียาไหมครับ ผมรบกวนขอยาพร้อมกับน้ำแก้วนึงทีครับ” น้ำค้างถาม เป้าประสงค์คือไม่ว่าคุณฮิมจะกระทืบเขายังไงก็จะต้องจับกินยาให้ได้ ดื้อไม่กินยามันทรมานตัวเองเสียเปล่า

               “อ้อ มีค่ะๆ เดี๋ยวไปเตรียมให้แป๊บนึงนะคะ ดีจัง แม่นี่บังคับเท่าไหร่ฮิมก็ไม่ทานเลย ต้องให้แม่ใหญ่มา”

               “แม่ใหญ่เขาสั่งแล้วคุณฮิมไม่ดื้อเหรอครับ?”

               “เปล่าค่ะ แม่ใหญ่จับกรอกปากเม็ดเปล่าๆ เลย”

               ครอบครัวนี้คือเลี้ยงด้วยกำลังเหรอ... น้ำค้างพอจะนึกภาพออก เพราะเคยสัมผัสแม่ใหญ่มาแล้ว ว่าแต่แม่เล็กตอนโดนจีบนี่คือใช่ฉากลักพาตัวแล้วขู่ว่าถ้าไม่ยอมแต่งงานด้วยจะไม่ยอมปล่อยไปแบบในจำเลยรักรึเปล่าน่ะ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

               ถอดรองเท้าวางชิด ก่อนจะเดินค้อมหัวเป็นเชิงขออนุญาตเดินขึ้นไปชั้นสอง น้ำค้างกำยาไว้ในมือพร้อมกับน้ำอีกแก้วนึงเดินวนบันไดขึ้นไปแล้วก็ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตอนที่สายตามองเห็นประตูบานสีขาวด้านในสุดของชั้นสอง

               น้ำค้างทำใจดีสู้เสือเคาะประตู แต่รอสักพักก็ยังไม่มีคนขาน แถมยังเงียบฉี่อีกต่างหาก ทำเอาคนเคาะอย่างเขาขมวดคิ้ว

 

cut scene


ลิ้งบนไบโอทวิตเตอร์ @hopeniverse_ ค่ะ



คุณฮิมดูไม่ใส่ใจกับอะไรที่เลอะเทอะเลย แต่น้ำค้างเหมือนเป็นโรคโอซีดีกำเริบ ยกหลังมือตัวเองขึ้นปาดคราบตัวเองออกจากใบหน้าอีกคนอย่างร้อนรน แถมขายังลุกเดินไปห้องน้ำจนสะดุดกางเกงที่โดนร่นไปติดข้อขาไว้ยังไม่ได้ถอดออกจนต้องหยุดเดินแล้วแงะกางเกงออกก่อนอีกต่างหาก

               น้ำค้างมองหาแปรงสีฟันกับยาสีฟันในห้องน้ำคุณฮิมอย่างไม่คุ้นหูคุ้นตา มือหยิบจับเงอะงะไปหมด แต่สุดท้ายก็หาเจอ แล้วหยิบแก้วน้ำแก้วเดิมที่น้ำยังไม่พร่องไปจากเดิมตั้งแต่ตอนเข้ามาเลยเดินมาหาคุณฮิมที่นอนแผ่เอาหน้าซุกกับหมอนที่หัวเตียงไปเรียบร้อยแล้ว

               กางเกงก็ไม่ใส่ ผ้าก็ไม่ห่ม แถมยังไม่ล้างหน้าแปรงฟันอีก

               น้ำค้างไม่ปล่อยให้นอนทั้งอย่างนี้หรอกนะ

               “คุณฮิม ลุกมาแปรงฟัน”

               “สั่งอีกแล้ว กลับมาเป็นคุณแม่บ้านญี่ปุ่นแล้วเหรอครับ แม่คนจู้จี้” คุณฮิมเรียกเขาด้วยสรรพนามแสลงหูจนน้ำค้างต้องขมวดคิ้วแน่น

               “เรียกอย่างกับผมเป็นผู้หญิง”

               “ก็นี่ไง” คุณฮิมกระเด้งตัวขึ้นมากะทันหันก่อนจะเอื้อมแขนมาหยิกเนื้อหน้าอกเขา “นมก็มี”

               “คุณฮิม!”

               น้ำค้างถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่ายตอนที่คุณฮิมหงายหลังลงไปหัวเราะที่แกล้งเขาได้อีก ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมาฉกแปรงสีฟันในมือเขามายัดเข้าปากแล้วยอมแปรงแต่โดยดี ไม่วายใช้นิ้วชี้ป้ายฟองที่ขอบมุมปากมาป้ายแก้มเขาจนน้ำค้างต้องใช้หลังมือปาดทิ้ง

               “เล่นอะไรสกปรกคุณฮิม”

               ป่าสนของเขาหัวเราะทั้งๆ ที่ฟองเต็มปากก่อนจะฉกแก้วน้ำในมือเขาแรงๆ จงใจให้มันกระฉอกใส่เสื้อเขาจนน้ำค้างต้องเสยผมอีกรอบ บทจะซนก็ซน บทจะดื้อก็ดื้อ คุณฮิมนี่น้า มันน่าตีนัก

               น้ำค้างเห็นอีกคนเดินไปบ้วนปาก ก็เดินหาทิชชู่เปียกทั่วห้อง จะเอามาเช็ดคราบต่างๆ ที่มันเลอะเทอะ แต่เดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนเริ่มจะงงแล้วว่าห้องอะไรทำไมไม่มีทิชชู่เปียกเนี่ย?

               “พอแล้ว คุณแม่บ้าน เดินหาอะไรเนี่ย” คุณฮิมเดินมาซ้อนหลังเขาตอนไหนก็ไม่รู้ แถมยังกอดเอวเขาไปอีก

               “ทิชชู่เปียกครับ”

               “ของพรรค์นั้น ไม่มีหรอกนะ”

               น้ำค้างกุมขมับ ปักหมุดไว้ในใจว่าซื้อของคราวหน้า เขาจะซื้อทิชชู่เปียกแพ็กนึงมาให้คุณฮิมด้วย

               “ต้องจ่ายเท่าไหร่เนี่ย ทำความสะอาดหมดจดขนาดนี้”

               “จ่ายเป็นค่าซื้อทิชชู่เปียกก็ได้ครับ”

               “เอาจริงเหรอ” คุณฮิมเลิกคิ้วขำๆ แล้วก็กึ่งลากกึ่งจูงให้ลงมานอนแผ่บนเตียงด้วยกัน “กอดผมหน่อย คุณน้ำค้าง”

               อ้อนขนาดนี้จะหายโกรธกันหรือยังนะ

               น้ำค้างวาดแขนกอดอีกคน ฝังจมูกลงกับกลุ่มผมอีกฝ่าย กลิ่นเริ่มอ่อนลงจากยาที่เริ่มออกฤทธิ์รวมถึงลมหายใจที่สม่ำเสมอชิดหน้าอกเขา น้ำค้างมองเห็นแพขนตา ปลายจมูกโด่ง ปรางแก้ม และลักยิ้มยามที่อีกฝ่ายเม้มปากได้จากมุมนี้ มือเขาโดนคนในอ้อมกอดหยิบฉวยไปเล่นข้อนิ้ว ความเงียบเข้าครอบงำระหว่างพวกเขาอีกครั้ง

               แต่คราวนี้ไม่ใช่ความอึดอัดในบรรยากาศแล้ว

               “คุณฮิม”

               “...หือ”

               “ตอนนี้เรา...ดีกันแล้วใช่ไหม”

               “อือ ดีกันแล้วดิ” คุณฮิมพูดแล้วก็เอานิ้วก้อยเกี่ยวกับนิ้วก้อยเขาเพียงครู่เดียวก่อนจะผละออก “ขอโทษที่ผมเห็นแก่ตัว”

               “คุณฮิมจะเห็นแก่ตัวก็ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ”

               น้ำค้างตอบ เขาเข้าใจเพราะเข้าใจจริงๆ เข้าใจว่าทำไมความเห็นแก่ตัวของคุณฮิมจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่เรื่องร้ายแรง คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเอาตัวเองเป็นที่หนึ่งมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว

               “จะพยายามไม่คิดเองเออเองแล้ว”

               “ไม่พูดจาลามกด้วยจะดีมาก”

               “เอ๊ะ คุณน้ำค้างนี่เป็นอะไรกับคำพูดคำจาผมนักหนา” คุณฮิมจิ๊ปากถามไม่จริงจังก่อนจะกัดข้อมือเขาไปจนน้ำค้างร้องโอ๊ยเป็นพิธี

               “กัดจนช้ำไปหมดแล้วคุณฮิม”

               “ไว้คุณน้ำค้างรัทบ้างก็จะรู้ว่าทำไมมันอยากกัดนักหนา”

               น้ำค้างไม่เถียง เพราะเขาก็ยังไม่เคยรัท เลยพูดอะไรเยอะไม่ได้ จมูกยังคงฝังลงกับกลุ่มผมแล้วหลับตาลงอย่างนั้น พึมพำเบาๆ ว่าขอบคุณที่ยังยอมให้เขากลับเข้ามาอยู่ในชีวิตอีกฝ่าย...

 



tbc.






คุณน้ำค้างประหนึ่งเสียสาว

ขอบคุณที่ติดตามและรอเสมอนะคะ เราหายไปนานกว่ารอบอื่นๆ เลย U_U

ใกล้จะจบแล้วค่ะอีกประมาณสองสามตอน สัญญาว่าจะให้จบก่อนปีนี้ค่า





 feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2018 00:18:02 โดย hopeniverse »

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
กลับมาแล้วววว
คุณน้ำค้างเสียเวอร์จินให้ฮิมแล้วสิน้าา  :hao7: :hao7:

ปล.เล้าลงcut scene ได้นะจะได้อ่านไม่สะดุด

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
epilogue

               เสียงหมาเห่าจากชั้นล่างดังแข่งกันจนน้ำค้างสะดุ้งตื่น เพิ่งรู้ว่าหลับไป แต่ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปนานเท่าไหร่ คุณฮิมยังคงไม่ตื่น และนอนตะแคงข้างเข้าอยู่ ก็แหงล่ะ รัทขนาดนั้น แถมกินยาเข้าไปอีก คงจะตื่นง่ายๆ หรอก

               น้ำค้างย่องออกมา ก่อนจะแต่งตัวให้เรียบร้อย ตั้งใจจะให้คุณฮิมพักผ่อน ถึงจะอยากอยู่ดูอาการแล้วก็ตื่นมาคุยกันสักหน่อยก่อนก็เถอะ แต่เพราะอีกฝ่ายยังไม่ตื่น ก็เลยต้องเก็บไว้คราวหน้าแทน

               น้ำค้างเปิดประตูตั้งใจจะไปลาแม่เล็กแล้วกลับบ้านตัวเอง...

               “อ้าว น้ำหวาน แล้วไอ้ลูกชายฉันล่ะ”

               แม่ใหญ่ที่อยู่หน้าประตูพอดีทำเอาน้ำค้างยกมือไหว้แทบไม่ทันจนมือแทบจะพันกัน ไม่รู้ว่าทำหน้าแบบไหนออกไป แต่ก็นั่นแหละ ไหนแม่เล็กบอกว่าแม่ใหญ่ไม่อยู่บ้านไง!?

               “เอ่อ...คุณฮิมนอนอยู่ในห้องครับ”

               “เป็นไง ไอ้ลูกชายมันเอาไปกี่น้ำ”

               “เดี๋ยวครับ! พูดตรงๆ แบบนี้ไม่ได้นะครับ!”

               จะพูดจาลามกเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกไม่ได้นะโว้ย น้ำค้างเอามือปิดหน้าอย่างจนปัญญา ทนไม่ได้กับการพูดจาแบบนี้ออกปากเสียงดัง ไม่รู้สึกกระดากปากกันบ้างเหรอที่ต้องพูดอะไรแบบนี้เหมือนถามว่า กินข้าวรึยัง อากาศดีเนอะ

               “ทำไม นี่บ้านฉัน อาณาบริเวณฉัน เคหะสถานฉัน ฉันจะพูดอะไรก็ได้ แกมีปัญหาอะไรกับคำพูดฉันฮะ น้ำหวาน”

               “ไม่มีครับ...”

               น้ำค้างยอมแพ้และตัดสินใจว่าในบ้านนี้เขาจะยอมชื่อน้ำหวานก็ได้

               “แล้วนี่จะไปไหน”

               “กลับบ้านครับ”

               “ใครสั่งให้กลับ อยู่กินข้าวก่อน ไอ้ลูกชายมันยังไม่ตื่น มันตื่นมาไม่เจอหน้าแกแล้วมันแหกปากลั่นบ้านทำยังไง”

               น้ำค้างเลิกคิ้วยิ้มแห้ง อย่างคุณฮิมน่ะเหรอตื่นมาแหกปากลั่นบ้านร้องหาเขา แค่ไลน์มาบอกว่ามาหาหน่อยแค่นี้ต่อให้เขาอยู่ปัตตานีเขาก็จะนั่งเครื่องถ่อมากรุงเทพฯ เถอะ

               น้ำค้างเดินตามแม่ใหญ่ไปที่ครัวอย่างเถียงไม่ได้ เจอแม่เล็กนั่งดูซีรี่ย์เกาหลีอยู่ในจอโทรศัพท์แล้วก็นึกไปถึงคุณหญิงแม่ตัวเองที่ติดซีรี่ย์งอมแงมไม่แพ้กัน

               “แม่เล็ก ไปเลี้ยงข้าวไอ้โบ้ แสนดี กับมีโชคยัง”

               “เลี้ยงแล้วจ้าแม่ใหญ่ ไอ้โบ้เดี๋ยวนี้แรงดีมากเลย ยังไม่ทันเปิดกรงวางชามข้าวก็ชนประตูจนประตูกรงพังอีกแล้ว แม่ใหญ่อย่าลืมซ่อมให้หน่อยน้า”

               “เออ ไม่ลืม ไว้ทำให้”

               “...”

               บทสนทนาน่ากลัวนี่มันอะไรกัน... หมา หมา แล้วก็หมาในบ้านนี้ทำไมมันดูไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย ประตูกรงพังอย่างนี้ก็คือจะหลุดออกมาหัดเขาหัวขาดเมื่อไหร่ก็ได้น่ะสิ...ไอ้น้ำ

               “ขอโทษนะครับ แต่ขอถามหน่อยว่าหมาบ้านนี้พันธุ์ร็อตไวเลอร์หมดเลยรึเปล่าครับ?”

               “ใช่ค่ะ แม่ใหญ่เขาไปเลือกซื้อมาเองเลยตั้งแต่ยังตัวน้อยๆ สามตัว ตอนนี้ตัวเบ้อเริ่มเลย แรงเยอะมาก คุณน้ำค้างอยากลองเล่นด้วยไหมคะ?”

               “ไม่ครับ ไม่เป็นไร” น้ำค้างตอบด้วยระบบอัตโนมัติทันที

               “แล้วกับข้าวไปไหนหมดอะแม่เล็ก”

               “อยู่ในตู้เย็นจ้า รอฮิมตื่นแล้วค่อยเอาออกมาเวฟกินด้วยกัน”

               “ดี ไอ้น้ำหวาน แกนั่ง คุยกันหน่อย” แม่ใหญ่สั่งเขาแล้วลากเก้าอี้ไม้ข้างตัวด้วยมือเดียวจนขูดพื้นเสียงดัง น้ำค้างลอบมองแล้วก็นั่งลงตามที่สั่งพลางลอบกลืนน้ำลาย

               ตอนนี้นี่แหละ...จะโดนกระทืบจริงๆ รึเปล่าไอ้น้ำเอ๊ย

               “คุยกันไปเลยนะคะ แม่ขอดูซีรี่ย์ต่อก่อน”

               ถ้าจะขอให้แม่เล็กมีส่วนร่วมในบทสนทนานี้ด้วยจะผิดหรือไม่...ได้โปรดอย่าปล่อยเขาไว้กับแม่ใหญ่สองคนเลยนะแม่เล็ก น้ำค้างโอดครวญเงียบๆ ในใจ

               “ลูกฉันมันเป็นไง ดื้อไหม”

               “ก็...นิดหน่อยครับ” น้ำค้างตอบ รู้สึกผิดคาดนิดหน่อยที่แม่ใหญ่ดูไม่ได้ใส่อารมณ์ในคำถามนั้น แต่กลับเป็นความเป็นห่วงที่แฝงมาอย่างแท้จริง

               “รู้สึกแปลกๆ ไหมที่ต้องมาเป็นคู่กับอัลฟ่าด้วยกันเอง”

               “ไม่ ไม่เลยครับ ทางผมต่างหากที่ต้องถาม เพราะผมเข้าหาคุณฮิมก่อน” น้ำค้างรีบพูดออกไป กลัวว่าจะโดนระแวงไม่ให้มายุ่งกับลูกชายฝั่งนี้

               “ตอนนั้นเมฆก็เข้าหาฮิมก่อน” แม่ใหญ่พูดด้วยสีหน้าเดิมซึ่งอ่านไม่ออก “ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนี้หรอก แต่ตอนนั้นน่ะ ฉันทะเลาะกับฮิมแรงมาก”

               น้ำค้างรับฟังเงียบๆ ขัดกับแม่เล็กที่หัวเราะคิกคักกับซีรี่ย์ที่ดูอยู่จนบรรยากาศเขากับแม่ใหญ่ดูเหมือนคุยกันปกติธรรมดาทั้งๆ ที่คุยเรื่องตึงเครียด

               “ฉันเป็นอัลฟ่าหัวโบราณ ก็รับไม่ได้อยู่แล้ว ลูกตัวเองเป็นอัลฟ่า แต่ดันไปชอบอัลฟ่าด้วยกันเอง”

               ...จะว่าไปน้ำค้างก็ยังไม่ได้คุยกับแม่ตัวเองเรื่องนี้เหมือนกัน ท่าทางเขาจะต้องหาเวลาสักหน่อย

               “ตอนที่เลิกกับเมฆ ฉันไม่รู้หรอกว่าจบกันยังไง ไม่รู้อะไรเลย ตอนนั้นยอมรับว่าดีใจด้วยซ้ำ ที่ลูกเลิกกับอัลฟ่า แต่พอตอนที่รู้เรื่องที่ตามมาทีหลัง ฉันโกรธนะ โกรธตัวเองที่ไม่เคยคุยกับลูกเรื่องนี้ โกรธที่แกเป็นคนแรกที่ฮิมเลือกหาแทนที่จะเรียกแม่ตัวเอง”

               น้ำค้างเม้มปาก แม่ใหญ่หมายถึงตอนที่คุณฮิมมีเรื่องกับเมฆ...

               “ตอนนั้นฉันก็อคติกับแก เพราะเห็นเป็นอัลฟ่า แต่พอมานั่งทบทวนดีๆ แล้ว ฉันก็ผิดที่ปิดหูปิดตา ความจริงก็ไม่รู้หรอก ว่าอะไรทำให้ลูกชอบอัลฟ่าแล้วไม่สนใจโอเมก้า แต่ตอนนี้มานั่งคิดดีๆ แล้ว ฮิมจะเป็นยังไง ก็ลูกฉันอยู่ดี”

               แม่เขาจะคิดได้แบบนี้บ้างรึเปล่านะ หรือว่าทุกอย่างจะต้องใช้เวลา

               “ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน ฉันก็ไม่ได้อยู่กับฮิมไปจนตาย แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าฮิมโตไปจะเปลี่ยนไปอีกไหม ก็ได้แต่บอกแกกับคนอื่นๆ หรืออาจจะเป็นแกคนเดียวว่าอย่าทำให้ฮิมเจ็บ”

               คนอื่นๆ หรืออาจจะเป็นแกคนเดียว

               นั่นสินะ...น้ำค้างไม่มีวันรู้เลยว่าอนาคตเราจะยังรักกันอยู่รึเปล่า แต่เขาก็ยอมรับในจุดนี้ ยอมรับว่าความรักของพวกเขาทั้งสองคนคือความเชื่อใจที่ไม่มีกฎแห่งธรรมชาติมาผูกเอาไว้ด้วย ความรักที่มีอิสระจะไปจากเมื่อไหร่ก็ได้

               คุณฮิมจะคิดอย่างไรน้ำค้างไม่รู้ แต่ที่รู้คือน้ำค้างอยู่ในใจกลางป่าสน และคงหาทางออกไปจากป่าไม่ได้ในเวลาอันใกล้นี้แน่นอน

               “ทำหน้าเครียดเชียว ฉันพูดเรื่องเครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

               ก็ต้องเครียดขนาดนั้นน่ะสิ! น้ำค้างอยากจะตอบแบบนั้น แต่ก็ได้แค่ยิ้มแหะๆ กลับไปกลบเกลื่อนแทน แล้วเขาก็นึกอะไรได้

               “แม่ใหญ่ครับ ผมรบกวนถามอะไรหน่อย”

               “ว่า”

               “คุณฮิมชอบปลูกป่าไหมครับ?”

 

               “น้องกิม ทำไมยิ้มแบบนั้นอะ”

               “แกล้งคนอยู่”

               กิมตอบพี่ทรายที่เพิ่งอาบน้ำตัวหอมฟุ้งออกมาจากห้องน้ำโดยไม่ได้เลยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์เลย ตอนนี้หอเขากลายเป็นที่สิงสถิตของพี่ทรายไปแล้วหลังจากเจ้าตัวยืนยันจะไม่กลับบ้านที่ต่างจังหวัดจนกว่าเขาจะกลับ

               “แกล้งใครฮึ ไอ้ตัวซน”

               “สรุปเป็นเมียหรือเป็นลูก”

               กิมถามหน้าตายตอนยินชื่อใหม่แสลงหู ถ้าเรียกหมูๆ หมีๆ หมาๆ ตัวอ้วน ตัวอุ๋งอะไรนี่ไปไกลๆ ตีนเลยนะ

               “เอ็นดูอะ เรียกไม่ได้เหรอ” พี่ทรายถามแล้วก็ลงมานั่งตรงโซฟาข้างๆ เขา มือยังคงเช็ดผมไปเรื่อย “แล้วสรุปแกล้งใคร น้องน้ำค้างเหรอ”

               “มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ”

               พี่ทรายยื่นหน้าไปอ่านแชทแล้วก็นิ่วหน้า

               “น้องกิม ถ้าเกิดเขาเชื่อขึ้นมาจะทำไงอะ”

               “คนอย่างไอ้น้ำ เชื่ออยู่ล้วปะ ถามละเอียดขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะหมดหวังจนต้องมาพึ่งอะไรกิมขนาดนี้” กิมตอบแล้วก็ขำเอิ๊กอ๊าก พอใจกับผลลัพธ์ที่แกล้งเพื่อนได้สำเร็จ

               “แต่ป่าชายเลนเนี่ยนะ”

               “ชอบอะไรเหม็นเขียวกันดีนัก ไม่ไล่ให้ไปปลูกข้าวทำนาก็ดีจะตายแล้ว” กิมบอกแล้วก็บึนปากใส่จอ

               “เขาอยากได้สถานที่บรรยากาศดีๆ ลมเย็นๆ เอื่อยๆ เงียบๆ ทำไมไม่แนะนำอย่างอื่น” พี่ทรายถอนหายใจกับคู่ตัวเองที่ยังทำหน้าหัวเราะคิกคักนั่งขัดสมาธิกดจอไลน์คุยกับเพื่อนตัวเองไม่เลิก

               “ก็ไม่นึกว่าจะเชื่อไหมล่ะ” กิมตอบแล้วก็เสิร์ชในเบราเซอร์ “ป่าชายเลนก็ดีออก ยกเว้นลงไปปลูกป่าน่ะนะ...”

               “พี่กลัวปูจะหนีบเอาล่ะสิไม่ว่า”

               “เออพี่ทราย” กิมกระเด้งตัวขึ้นมานั่งหลังตรงก่อนจะหันหน้าไปหาอัลฟ่าตัวเองที่ยังเช็ดผมไม่เลิก “กิมอยากกินกุ้งว่ะ”

               “พรุ่งนี้เดี๋ยวพาไปกิน” พี่ทรายตอบแล้วก็มองนาฬิกา “ทุ่มนึงแล้ว จะไปหากุ้งจากไหน”

               “สั่งเอาดิ” กิมบอกแล้วก็เริ่มจิ้มโทรศัพท์หากุ้งที่จู่ๆ ก็อยากกินตอนนี้เดี๋ยวนี้ “เนี่ย กุ้ง กินด้วยกันหน่อย”

               “แกะให้อย่างเดียวได้ไหม”

               “ไม่ได้ ต้องช่วยกันกิน เสียดายของ”

               “ก็อย่าสั่งเยอะ”

               “สรุปจะเป็นผัวหรือจะเป็นพ่อ”

               คำถามไม้ตาย พี่ทรายถึงกับยิ้มแห้งเมื่อเขาเริ่มจะอารมณ์บูด ไม่ได้ขอให้จ่ายเงินให้ด้วย ขอให้กินด้วยกันแค่เนี้ย กินคนเดียวมันอร่อยที่ไหน มันต้องมีคนกินด้วยดิ!

               “อะๆ ได้ ไม่ขัดแล้ว”

               “ดี” กิมบอกแล้วกดสั่งทันที “งั้นกินไอติมไมโลตักด้วยละกัน จะเดินลงไปซื้อ”

               “ทำไมกินเยอะจัง จะฮีทอีกปะเนี่ย”

               กิมฟังแล้วก็ยื่นขาไปถีบสีข้างคนพี่เข้าให้ ใบหน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ พอนึกถึงรอบที่แล้วที่เขาทำตัวไม่มียางอายเพราะฮอร์โมน

               “เป็นฮีทไม่ได้เป็นเมนส์ กินเยอะไม่เกี่ยว จะกินเอง”

               “ตอนฮีทตัวหอมอะ พี่ชอบ แต่น้องกิมน่าจะไม่ชอบ” พี่ทรายพูดแล้วก็กระเถิบมาหา “ความจริงมีเพื่อนเพิ่งบอกพี่มาว่าอัญชันความจริงแล้วไม่มีกลิ่น”

               “ก็ใช่” กิมตอบ ตอนแรกที่มีคนได้กลิ่นเขา ก็ไม่มีใครบอกถูกเลยว่าเป็นกลิ่นอะไร สุดท้ายพอเที่ยวหาไปเรื่อยจนโตขึ้นก็ถึงรู้ว่าเป็นกลิ่นอัญชันปรุงแต่งเหมือนตามในโลชั่น ครีมอาบน้ำ หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

               กิมนึกแปลกใจอยู่นาน แต่ด้วยความที่ไม่สุงสิงกับใคร และฉีดสเปรย์ดับกลิ่นตลอด

               เขาจึงกลายเป็นอัญชันไร้กลิ่นอย่างเต็มตัว

               “แต่กลิ่นพี่ก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันรึเปล่า” กิมตอกกลับ เพราะเขาก็หาคำมานิยามกลิ่นของพี่ทรายไม่ได้เช่นกัน หอมเหนือมนุษย์ รู้แค่นั้น

               “กลิ่นบนโลกมีเป็นล้านล้านสิ่ง จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้เลยว่ากลิ่นพี่คือกลิ่นอะไร”

               “ความจริงกิมควรจะไม่มีกลิ่นด้วยซ้ำรึเปล่า” กิมตั้งคำถามขึ้นมา “ดอกอัญชันไม่มีกลิ่นจริงๆ ซะหน่อย มีแต่คนปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้น”

               “ต่อให้น้องกิมไม่มีกลิ่น เป็นโอเมก้าของพี่เดี๋ยวก็มีกลิ่นอยู่ดี”

               “เจ้าข้าวเจ้าของเก่ง” กิมตอบแล้วก็ใช้ขาถีบอีกรอบแต่คราวนี้พี่ทรายจับข้อขาเขาขึ้นมาจุ๊บเสียงดัง จนกิมต้องออกปากว่า “สกปรกพี่ทราย”

               “สกปรกอะไร นอนทั้งวันเนี่ยคนนี้”

               “ก็เท้าไหม”

               “เป็นน้องกิมพี่ก็ไม่รังเกียจหรอก ทั้งตัวนั่นแหละ”

               พี่ทรายว่าเสร็จคราวนี้ดึงขาเขาไปจนท่อนล่างเขาเกยขึ้นไปทั้งตัก แถมเสื้อเลิกขึ้นไปอีกต่างหาก เดี๋ยวนี้มือไวใจถึงมาก กิมคิดในใจแล้วก็ย่นจมูก

               ไม่ให้ทำหรอกโว้ย จะรอกินกุ้ง!

               พี่ทรายโน้มลงมาหอมซอกคอเขา แต่กิมจัดการจับมืออีกคนขึ้นมากัดให้ปล่อยเขาแล้วกระเด้งออกมายืนหน้ามุ่ยดึงกางเกงนอนและเสื้อให้เรียบร้อย

               “โห่ น้องกิม ไรอ่า”

               “ถุงยางก็ไม่ใส่ ยังจะมาพูด ทำเองไปเลย กิมจะเล่นเกมแล้ว”

               กิมเดินหนีไปในห้องนอนทิ้งให้อีกฝ่ายส่งเสียงตัดพ้ออยู่ด้านหลัง

 

               “คุณน้ำค้าง อะไรทำให้คิดอุตริพาผมมาถึงตรงนี้”

               “ไอ้กิมครับ...”

               คุณฮิมขำตัวงอจนตบขาตัวเองตอนที่น้ำค้างสารภาพว่าที่พามาเที่ยวป่าชายเลนก็เพราะไปขอคำแนะนำจากเพื่อนกิมมา

               “ไปถามแม่ใหญ่เนี่ยนะว่าผมชอบปลูกป่าไหม? โอ๊ย คุณน้ำค้าง ไม่ไหวอะ...” ว่าแล้วคุณฮิมก็ขำเขาต่ออีกยาว แต่น้ำค้างปล่อยไป เขายิ้มเขินๆ กับความเด๋อของตัวเอง แต่พอเห็นคุณฮิมหัวเราะเต็มปอดขนาดนี้แล้วก็รู้สึกว่าถ้าเขาจะเป็นคนแบบนี้แล้วคุณฮิมหัวเราะเยอะๆ ก็ไม่เป็นไรเลย

               “ดีไม่ถามว่าผมชอบปลาตีนไหม?”

               “ขำจนเหนื่อยแล้วมั้งนั่นคุณ”

               “เหนื่อยสิ คุณน้ำค้างน่ารักอะ” คุณฮิมว่าแล้วก็ตีแขนเขาเพราะตลกมาก “ไหนๆ แล้วพาผมไปกินเมี่ยงปลาเผาเลยละกัน”

               “ได้ ได้หมดแหละคุณฮิม”

               “ตามใจขนาดนี้หวังอะไรรึเปล่าเนี่ย” คุณฮิมถามแล้วมุมปากสองข้างก็ยิ้มให้เขาแบบที่น้ำค้างร้อนๆ หนาวๆ

               “เรื่องนั้นไว้คุยกันทีหลังก็ได้นะคุณฮิม”

               “เรื่องไหนอะ ลามกเปล่า”

               “...ไม่แกล้งผมสักวันได้ไหมอะ”

               น้ำค้างถอนหายใจ แต่คุณฮิมหัวเราะอีกแล้ว

 

               ทางเดินสะพานไม้ดูยาวไกล ใครจะไปคิดว่าอัลฟ่าผู้ชายสองคนจะมาเดินเดทในป่าชายเลนกัน ดีหน่อยก็ตรงที่น้ำค้างไม่ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อจะบุกลงโคลนไปปลูกป่าด้วย ชักจะบ้าจี้ตามไอ้กิมเข้าไปใหญ่แล้ว

               “ว่าแต่ตอนที่ผมยังไม่ตื่น” คุณฮิมถามขึ้นมาหลังจากที่เดินเงียบๆ กันมาสักพัก กลิ่นลมทะเลเค็มๆ โชยเข้าจมูกพอให้รู้ว่าสุดปลายสะพายไม้มีทะเลรออยู่ “แม่ใหญ่คุยอะไรกับคุณน้ำค้างอะ”

               “หลายเรื่องเลย” น้ำค้างตอบ เขารู้สึกว่าคุณฮิมน่าจะกังวลถ้ารู้ทั้งหมดที่เขาคุย “แต่ก็น่ากลัวเหมือนเดิมแหละแม่ใหญ่ ผมก็ตอบไปไม่ถึงสิบคำเลยมั้ง”

               “แม่ใหญ่ก็งี้แหละ” คุณฮิมตอบแล้วก็ถามอีก “แต่แม่คุณน้ำค้างดีนะ”

               “ห้ะ? แม่ผม? ยังไง?” น้ำค้างอุทานเสียงดัง นึกงงว่าคุณฮิมกับแม่เขาคุยอะไรยังไงกันตอนไหน

               “นานแล้ว คุณน้ำค้างจะจำได้ปะเนี่ย ที่ผมนั่งคุยที่คอนโดคุณน้ำค้างอะ ตอนนู้นเลย” คุณฮิมทำเสียงสูงตอนท้ายแล้วน้ำค้างก็นั่งนึกๆ จนนึกออกตอนที่เขาโดนไล่ให้ไปเฝ้าหม้อแกงเขียวหวานรอบนั้น

               “น้องน้ำจำที่หนูฮิมคุยกับคุณแม่ได้ยังคะ?”

               น้ำค้างเอาฝ่ามือสองข้างขึ้นมาปิดหน้าอีกรอบพลางทำหน้าขนลุกตอนที่คุณฮิมพูดจาแบบนั้นเลียนแบบแม่เขา

               “ชื่อน้องน้ำต้องเลิกนะ” น้ำค้างบอก “น้ำหวานด้วย แม่ใหญ่จะรู้ไหมว่าผมชื่อน้ำค้าง”

               “ชื่อไหนก็ดูเป็นสาวคอนแวนต์หมดเลยอะคุณ ทำใจนะ” คุณฮิมพูดเองขำเองอีกครั้งและน้ำค้างก็แพ้หมดท่า

               “แม่คุณน้ำค้างเขาเป็นห่วงกลัวผมจะมาหลอกทำมิดีมิร้ายต่างหาก” คุณฮิมเล่าต่อ “แต่ไม่ได้กีดกันนะ แกก็เป็นห่วงเหมือนทั่วไป เขาก็กลัวว่าสุดท้ายแล้วคุณน้ำค้างจะเสียใจนั่นแหละ”

               น้ำค้างรับฟังเงียบๆ แม่เขาก็เหมือนแม่ใหญ่...ไม่สิ ก็เหมือนแม่คนอื่นๆ ทั่วไปที่กลัวลูกตัวเองจะเสียใจ ล้มลงถลอกแล้วก็ร้องไห้เหมือนเด็กๆ แต่แย่หน่อยตรงที่ผู้ใหญ่ไม่สามารถปลอบโยนให้หายเจ็บได้อีกแล้วเมื่อเราโตขึ้น

               “ถ้าให้เดาแม่ใหญ่ก็คงพูดกับคุณน้ำค้างประมาณนี้ใช่ไหมล่ะ”

               “ก็...ใช่ ทำไมคุณฮิมเดาเก่งจังอะ”

               “ก็เพราะเจอมาเยอะไง ก็เลยเดาออกว่าแม่ๆ จะประมาณไหน” คุณฮิมพูดทีเล่นทีจริง “เอาตรงๆ ตอนนั้นผมก็แอบกลัวนะ ยังเพิ่งคุยกับคุณน้ำค้างได้ไม่เท่าไหร่เอง จู่ๆ ก็ได้เจอคุณแม่เฉยเลย แต่พอได้นั่งคุยแล้วผมก็ไม่ได้เก็บมากังวลเพราะว่าผมรู้ว่าคุณแม่จะไม่เกลียดผม แล้วก็ไม่เกลียดคุณน้ำค้างด้วยที่ชอบผม”

               และตอนนั้นน้ำค้างก็ได้รู้ว่าคุณฮิมตรงหน้าเขาเข้มแข็งและลุ่มลึกกว่าที่เขาเคยเห็นมากเพียงใด

               ความรักอาจจะยากและซับซ้อน แต่น้ำค้างก็ยังคอยตามหากลิ่นของคุณฮิมไปทั่ว

               ขาสองข้างยังคงก้าวเดินไปตามสะพานไม้ ทะเลอยู่ตรงหน้าแต่แค่ยังมองไม่เห็น เริ่มจากนิ้วก้อยที่เกี่ยวกัน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นช่องว่างระหว่างนิ้วมือทั้งห้าที่ค่อยๆ ประสานกันและเดินเคียงไปเรื่อย ป่าสนกับผ้าสะอาดเคล้าโชยอยู่ในลมและป่า อากาศดีเหมือนทุกวัน แต่น้ำค้างรู้ว่าหัวใจของเขาอยู่ตรงไหน

               “คุณน้ำค้าง...”

               “ครับ”

               “ถ้าถึงตอนที่หมดรักกันแล้ว ก็อย่ากลับมาทำร้ายกันเลยนะ”

               น้ำค้างหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจประโยคนั้น เข้าใจอย่างดี เข้าใจในความไม่แน่นอน เข้าใจในความใจร้อนของเลือดอัลฟ่าในตัวพวกเขาทั้งคู่ การขอร้องว่าอย่าทำร้ายกันคงจะดีกว่าการขอร้องให้อยู่ด้วยกันตลอดไป

               “คงอีกนานเลยนะคุณฮิม”

               “...”

               “คงจะใช้เวลานานพอๆ กับตอนที่ผมหาคุณฮิมไม่เจอมาตลอดชีวิตแล้วตอนนี้ผมหาคุณฮิมเจอแล้ว”

               มือกำประสานแน่น ก็แค่อยากให้มั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ มั่นใจว่าตัวเองคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับน้ำค้างแล้ว

               “ทั้งชีวิตนี้ผมคงจะหาป่าสนผืนอื่นไม่เจออีกแล้ว”

               คุณฮิมกลั้นหายใจ น้ำค้างรับรู้

               “เพราะฉะนั้น...อย่าไล่กันไปไหนเลยนะ”

               คุณฮิมยิ้มให้เขาก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวเป็นการร้องไห้ และน้ำค้างก็ได้แต่ยิ้มอ่อนๆ กับคนตรงหน้า ใจเจ็บนิดหน่อยที่ต้องมาเห็นอีกคนร้องไห้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยน้ำค้างก็รู้ว่าคุณฮิมไม่ได้ร้องไห้เพราะเจ็บปวด หากแต่เป็นความท่วมท้นกับเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตกาล

               น้ำค้างดึงตัวอีกฝ่ายมากอด คุณฮิมผอมลงจากที่เคยรู้สึก หรือเพราะน้ำค้างไม่ได้กอดอีกฝ่ายแบบนี้นานแล้วกันแน่นะ...

               ลึกลงไปในหมอกหนาจัดที่ปกคลุมทึบลอยเอื่อยอยู่เหนือป่าสน ท่ามกลางแมกไม้สีเขียวและใบต้นสนที่ยืนนิ่ง ไร้ซึ่งลมโชย ทิ้งไว้เพียงความเยือกเย็น เงียบงัน และเสียงสรรพสัตว์ที่แผ่วเบา...หัวใจของน้ำค้างถูกฝังอยู่ใจกลางป่าสน 





fin.





acknowledgement

เรากะผิดเองค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะจบตอนหน้า แต่พอพิมพ์แล้วมันลงตัวในตอนนี้ เลยกลายเป็นบทส่งท้ายไปเลย...แหะ

ตอนพิมพ์คำว่าจบเราพูดไม่ถูก มันเป็นความโล่งใจอย่างหนึ่งเพราะว่าเราปลุกปั้นกับเรื่องนี้มันตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายนของปีนี้ ก็เท่ากับว่าวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันคริสมาสต์จะเท่ากับครบรอบ 6 เดือนของเรื่องนี้ค่ะ ก็ครึ่งปีพอดี มีหลายอย่างเกิดขึ้นกับเรามากๆ ตอนที่เราแต่งเรื่องนี้ ความโชคดีของเราในปีนี้เริ่มจากเรื่องนี้ และในตอนนี้เราก็จะจบปีด้วยการจบเรื่องนี้

ขอบคุณหลายๆ คนมากๆ ในระหว่างทางของเรื่องนี้ ตอนเริ่มแต่งคือตอนที่เราเขียนอะไรไม่ออกเลย เราปิดเทอมและนั่งโง่ๆ หน้าจอคอมมาเป็นสัปดาห์และรู้สึกว่าตัวเองจะไม่สามารถเขียนอะไรออกมาได้แล้ว แต่แล้วเราก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้และเริ่มเขียนจากเพื่อนที่บอกให้เราอย่ากลัวกับคนในทวิตที่เชียร์ให้เราเขียนเสมอ (เกือบทุกพล็อตที่เราทวิตเล่นๆ ไป 555555555) ตอนแรกตกใจมากที่จู่ๆ คนทยอยมาอ่านกันเยอะ เพราะเราไม่เคยมียอดเฟบยอดเม้นเยอะขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราคงจะประทับใจที่สุดในตลอดเวลาการเขียนนิยายของเราค่ะ เพราะเรานับเป็นความสำเร็จแรกที่เราทำได้

มีหลายคนที่เราอยากขอบคุณ แต่เราคงขอบคุณในพื้นที่ตรงนี้ไม่หมด แต่เราจำคุณคนอ่านได้เกือบทุกคนที่คอยมาเม้นมาแท็กให้ตลอดนะคะ เราจำได้จริงๆ เวลาอัพก็จะรอพวกคุณอยู่ตลอด คนที่เป็นนักอ่านเก่า นักอ่านใหม่ หรือใครก็ตามที่เคยส่งข้อความให้เราเพื่อให้กำลังใจหรือคอมเม้น เราขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณอย่างล้นเหลือ ทุกอย่างมีความหมายกับเรามาก

ส่วนเรื่องรวมเล่ม เราตัดสินใจจะรวมกับสำนักพิมพ์เฮอร์มิทนะคะ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทำเล่ม อาจจะช้าหน่อย แต่ก็ขอบคุณที่รอกันนะคะ

ตอนพิเศษเจอกันในเล่มนะคะ ใครที่อยากอ่านอะไรในตอนพิเศษคอมเม้นทิ้งไว้ให้เราหรือจะแท็กก็ได้ค่ะ หรือว่าถ้าคิดถึงเรื่องนี้ก็แวะเข้ามาได้เสมอค่ะ เราตามอ่านฟีทแบคอยู่ตลอด

หวังว่าเราจะได้เจอกันผ่านตัวอักษรอีกครั้งนะคะ :-)





 feel free to comment and tag

#น้ำค้างกลางป่าสน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-02-2020 21:09:22 โดย hopeniverse »

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
จบแล้วววว ใจหายมากๆ มีช่วงนึงคือคอยรีเฟรช
ว่าน้ำค้างกลางป่าสนจะอัพหรือยัง ฮื่อๆ
รอตอนพิเศษในเล่มนะจ๊ะ รีเควสทรายกิมไว้เลย 55
BTW Merry Xmas ja

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ minicabbage

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พึ่งอ่านถึงตอนที่ 12 สงสารฮิมมากๆ  :katai1:

ออฟไลน์ minicabbage

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เข้ามาอ่านเพราะชื่อ..น่าจะนุ่มนวลชวนฝัน  :katai1: 

ที่ไหนได้มาม่าอืดเต็มท้องเลย  :z3:

ถ้าไม่มีคู่ทรายกิมมาตัดนี่..ตาบวมบวม ๆ   :hao5:

     ยังไงก็.... :pig4: :pig4: :pig4: นะ

ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นนิยายภาษาดี ๆ ที่สนุกมากค่ะ ตอนอ่านเหมือนไปเที่ยวป่าอยู่ในที่อากาศเย็น ๆ ตลอดเวลา

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 735
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
สนุกดีค่ะ
เป็น omegaverse อีกมุมมองหนึ่ง
ชอบคาแรคเตอร์ของทุกตัวละครเลย
มีเหตุผลของการกระทำทุกอย่าง
อยากอ่านตอนพิเศษที่คุณแม่บ้านรัทบ้าง
คุณป่าสนคงชอบมาก 55555

ออฟไลน์ zysygy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ anonymous

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พึ่งได้เข้ามาอ่าน เป็นอีกเรื่องที่สนุก เป็น Omegaverse อีกมุมมองนึงเลยค่ะ

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
จบแล้วว เป็นอีกเรื่องที่สนุกและอ่านเพลินกับ  Omegaverse ในอีกรูปแบบ ขำคุณแม่บ้านอัลฟ่าตัวโตๆแต่ใจเหมือนมดตัวเล็กๆที่พอตกหลุมรักป่าสน ก็ใจกล้าเข้มแข็งและหนักแน่นขึ้นมา รักฮิมมากจนบางครั้งก็มากไป จนขาดความมั่นใจแต่ก็ค่อยๆปรับตัวเข้าหากัน คุณฮิมมีความย้อนแย้งในตัวเองสูง แต่ขณะเดียวกันก็มีความอ่อนไหวในจิตใจ ข้างนอกดูเข้มเเข็งเอาแต่ใจ แต่ข้างในบอบบาง เป็นคู่ที่เหมาะสมกันและลงตัวที่สุดแล้ว กิมxทราย ก็เป็นอีกคู่นี้ที่น่ารักมากๆ เป็นคู่ที่ช่วยเยียวยาจิตใจ ตอนดราม่าจนไปต่อได้ 5555 /ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆทีสนุก ภาษาและสำนวนดีมากค่ะ ชอบบบบ เป็นกำลังใจให้ในผลงานต่อๆไปนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ PoPoe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณมากๆค่ะ สนุกมากๆ
ประทับใจมาก ทั้ง 2 คู่ อินกับทุกตอน ทุกตัวละคร :hao5:

ออฟไลน์ BooJiRa_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอบคุณมากๆค่ะ สนุกมาก ภาษาดี ชอบมากกกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pond_sn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณค่า่

ออฟไลน์ dekfad

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมาเลยค่ะ พล็อตเรื่องดี ภาษาดี เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ
ปล. ชอบน้องกิม อยากฟัด

ออฟไลน์ Parapoyfaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คิดไม่ผิดที่คลิกเข้ามาอ่านจริงๆ
สนุกมาก อ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบภาษามากๆ อ่านแล้วหยุดไม่ได้
เป็น omegaverse ที่ต่างจากที่เคยอ่านๆมามาก
แต่ดีมากเลย แงง ไม่รู้จะอวยยังไง
อ่านแล้วเหมือนได้กลิ่นสดชื่นอยู่ตลอดเวลา
ครบทุกรสมาก บางตอนอ่านยิ้มๆไป น้ำตาไหลซะงั้น55555
ขอบคุณคนแต่งนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน ขอบคุณค่า
 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ชอบน้ำค้างงง อัลฟ่าเด๋อด๋าผู้อบอุ่น
เป็นเมะหนึ่งในไม่กี่คน ที่อ่านแล้วรู้สึกเอ็นดูกว่านายเอก  55555

คู่รองที่เข้ามาเบรกอารมณ์หนักๆหน่วงๆของคู่หลักก็น่ารัก มันเขี้ยวเจ้าแมวกิม ยุให้พี่ทรายน้วยพุงหนักๆ

มาถึงเนื้อเรื่องเราชอบที่ถ่ายทอดเก็บลายละเอียดของ กลิ่นในเรื่อง และวิถีแห่งโอเมก้าเวิร์ลในหลายด้านมุม รวมถึงการใ้ช้ภาษาที่ลื่นไหล

ปล.ตรงนี้เม้นด้วยอคติส่วนตัวนะคะ เราค่อนข้างอคติกับผลกรรมที่ไปลงกับบุคลที่สามเป็นทุน เมื่อรู้ถึงสิ่งที่น้องผลไม้ต้องเจอเราเลยรู้สึกติดในใจนิดๆ อาจเพราะน้องเองไม่ได้ถูกกล่าวถึงความผิดบาปมาก่อน ผิดกับเมฆที่เลวร้ายสุดๆ เลยแอบคิดว่าคนที่ควรไก้รับบทเรียนจริงๆความเป็นเขาโดยตรง ไม่ใช่ผ่านทางคนรักแบบนี้ ย้ำอีกครั้งนะคะว่าเป็นอคติส่วนตัวเรา

สุดท้ายขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ Sohso

  • You are my precious thing And I will always love you.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1373
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ซึ้งมาก ครบรสเลย อยากรู้เรื่องคู่ของแฟนเก่าฮิมว่าเป็นไงต่อ

ออฟไลน์ w-for-winnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เป็น omegaverse ที่มุ้งมิ้งที่สุดที่เคยอ่านมา (น่าจะเพราะคาแรคเตอร์คุณแม่บ้านของน้ำค้าง 5555) เรื่องน่ารักดีค่ะ ชอบคาแรคเตอร์ของน้ำค้างกับพี่ทรายมาก ตามใจแฟนสุดๆ

ตอนแรกแอบงงความสัมพันธ์ของแม่เล็กกับแม่ใหญ่ นึกว่าแบบเมียน้อยคลอดลูกแล้วเมียหลวงเลี้ยง 55555 ฮาตัวเอง แต่จริงๆคือเป็นคู่รักกันใช่มั้ยคะ (คิดว่าใช่แต่ไม่ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ 5555)

ป.ล. เลา cut scenes ในเล้าได้นะคะ

ออฟไลน์ samesterx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตามอ่านทีหลังแต่ตามอ่านจนจบนะ แง 55555555555555555
เป็นเรื่องนึงที่น่ารักมาก ออกแนวฟีลกู๊ดที่มีตกเหวบ้าง ดราม่าบ้าง แต่น่ารักกกกกก
เอฟฟซีคุณน้ำค้างเลย ชอบเมะแนวนี้ เรียบร้อยน่ารัก รักคุณน้ำค้างนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด