จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จบแล้ว-(Fantasy/Y) Royal quest ภารกิจรักกับคุณอัศวินซื่อบื้อ (Ch.พิเศษ2)  (อ่าน 46880 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ครอบครัวไม่ต่อต้านดีมากกก รออีกครึ่งจ้า

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
37.2

เย็นวันถัดมา

การตัดสินจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่กลางปราสาท มันเป็นห้องกว้างที่ตกแต่งไว้อย่างยิ่งใหญ่สมฐานะราชาผู้ปกครองประเทศ มีภาพเขียนตามฝาผนังและหลังคา เครื่องทอง เครื่องเงินวางประดับตามโต๊ะไม้ลงลาย ที่จุดลึกสุดของโถงมีบัลลังก์ตั้งอยู่ หนึ่งราชบัลลังก์ของราชา หนึ่งบัลลังก์ของราชินีผู้ล่วงลับ และ หนึ่งบัลลังก์ขององค์หญิง หลังแท่นบัลลังก์มีผลึกคริสตัลสีน้ำตาลก้อนใหญ่ เป็นที่สิงสถิตของสัตว์อสูรแอตลาส (Atlas) อสูรกวางผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้โดยมีองค์หญิงเดลิซ่าเป็นร่างทรงคนปัจจุบัน ตราประจำราชวงศ์นี้จึงเป็นรูปเขากวาง

หลังจากรับฟังคำปราศรัยแสดงความยินดีจากองค์ราชาจบก็เป็นคราวขององค์หญิงที่จะขึ้นกล่าวคำตัดสิน ทุกคนในห้องต่างก็ตื่นเต้น ทั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ยืนรอบห้อง และผมกับชายอีกสามคนที่ยืนอยู่หน้าบัลลังก์ วาเรเรี่ยน เดรโกนัส พี่ชายของรอส ถัดมาคือชายหนุ่มผมทองยาวประบ่า รูปร่างปราดเปรียว ฟัลเก้ ฮอว์คอาย (Falke Hawkeye) และโทโร่ แบล็คฮอร์น (Toro Blackhorn) ชายร่างท้วมท่าทางไม่มั่นใจ

“อย่างที่ท่านพ่อกล่าวไป เราต้องขอแสดงความยินดีอีกครั้งที่ผ่านการทดสอบของเรามาได้ สมแล้วที่เป็นลูกหลานของเสาหลักของประเทศ เราหวังว่าการที่พวกท่านได้เดินทางไกลไปในที่ๆแปลกใหม่ ที่ๆแตกต่างจากความสุขสบาย (comfort zone) ของตนเองจะทำให้พวกท่านได้รู้จักตนเองมากขึ้น และพร้อมที่จะรับการทดสอบถัดไป” เมื่อเสียงอ่อนหวานของนางจบลงก็เกิดเสียงเซ็งแซ่ไปทั้งห้อง ทุกคนต่างมองหน้าซุบซิบกัน แม้แต่องค์ราชายังแปลกใจ...นี่ยังไม่จบอีกเหรอเนี่ย

“พวกท่านไม่ต้องห่วง การทดสอบนี้ง่ายๆ แต่ก่อนอื่นเราต้องขอรบกวนให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านออกไปก่อน เราขอเวลาส่วนตัวกับผู้รับการคัดเลือกสักประเดี๋ยว” เหล่าขุนนางต่างทำหน้างุนงง บ้างก็ไม่พอใจแต่ก็ยอมออกไปแต่โดยดี “รวมถึงท่านด้วยค่ะ ท่านพ่อ”

“ลูกจะทำอะไร” องค์ราชาเอียงคอสงสัยการกระทำของธิดา

“หน่านะ ขอเวลาหนูแปปเดียว” เดลซ่าทำท่าออดอ้อนจนผู้เป็นพ่อยอมใจอ่อนออกจากห้องไป “เห้อ เอาล่ะ ออกไปกันหมดแล้ว” นางเดินไปนั่งที่บัลลังก์ของนางเอง บรรยากาศที่ตึงเครียดอ่อนลง

“เป็นไงบ้าง พวกท่านเหนื่อยไหม” องค์หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

“มากกกก” ฟัลเก้ลากเสียงยาว พอไร้ซึ้งพิธีรีตองก็กลับมาเป็นบรรยากาศสบายๆอย่างสมัยเด็กๆ

“ฮือ เดลซ่า ทำไมเจ้าถึงโหดร้ายแบบนี้ บอสที่ข้าเจอทำให้อุปกรณ์เวทมนตร์ใช้การไม่ได้ ข้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเลยนะ” โทโร่คร่ำครวญ

“แหม เรื่องนั่นจะโทษเราฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะจริงๆแล้วคนที่สร้างบอสขึ้นมาคือเทวะภัณฑ์ของพวกท่านต่างหาก”

“หา!! อาเทมิส นี่เจ้าเป็นคนสร้างบอสที่ล่องหนได้ตัวนั้นขึ้นมาเองเรอะ” ฟัลเก้โวยวายใส่คันธนูสีทองของตน

“คนขี้ขลาดที่เอาแต่สู้จากระยะไกลอย่างเจ้ามันก็ต้องเจออะไรที่ขี้ขลาดพอๆกันนั่นแหละ” คันธนูเปล่งแสงออกมาพร้อมเสียงหญิงสาวที่ฟังดูเย่อหยิ่ง

“หนอยยยย” ชายผมทองยกอาวุธของตนมาเขย่าอย่างหัวเสีย

“ที่ข้าต้องเจอบอส 2 ตัวนี่หมายความว่ายังไง โอทห์คีปเปอร์” ผมกระซิบถามดาบในฝักข้างเอว

“ก็นายท่านมากัน 2 คน มันก็ต้องยากขึ้นเป็นธรรมดา” มันตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนโมโห หนอย...ไอ้เจ้าดาบบ้านี่

“แล้วการทดสอบต่อไปคืออะไร” เป็นวาเรเรี่ยนที่แทรกขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

“อ่า...จริงจังตลอดเลยนะท่านวาเรเรี่ยน” นางยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ท่านทั้งสี่คนคือผู้ที่ถูกเลือกโดยเทวะภัณฑ์ที่เคยกอบกู้อาณาจักรจากภัยร้ายในอดีต เราจึงจัดการทดสอบแรกตามคำขอของพวกเขาเพื่อให้ผู้ถือครองได้พิสูจน์ตนเอง กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น” องค์หญิงยอมเฉลยออกมาใน

“ทดสอบอะไรเนี่ย เจ้าธนูบ้านี่เลยพูดไม่หยุดเลย” ฟัลเก้โวยวายอีกครั้ง

“เจ้านั่นแหละพูดมาก” คันธนูสีทองก็เถียงไม่ลดละ

“เอาล่ะงั้นก็เริ่มการทดสอบต่อไปเลย คนสุดท้ายที่ยืนอยู่คือผู้ชนะ” เสียงใสๆของนางทำให้บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นมาทันที การต่อสู้แบบพบกันหมดงั้นรึ

ฟัลเก้คว้าลูกศรมาขึ้นสาย

โทโร่ทำท่าเงอะงะ

วาเรเรี่ยนยังคงนิ่งเงียบ แต่มือก็กระชับคัมภีร์ปกแดงในมือแน่น

ผมยกมือขึ้นแตะด้ามดาบด้วยความลังเล เมื่อได้รับสัญญาณต่อสู้นักรบอย่างผมควรจะชักดาบขึ้นเตรียมพร้อม แต่ผมกลับนิ่งเฉย...เพราะผมไม่อยากชนะ

“พรืด คิกๆ ฮ่าๆๆ ล้อเล่นหน่า” เสียงใสหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เดลซ่ากุมท้องตัวงออยู่บนบัลลังก์ “แหม ท่านฟัลเก้ละก็...คิดจริงๆเหรอว่าเราจะให้เพื่อนในวัยเด็กฟาดฟันกันจริงๆ”

“นี่ยัยบ้า อย่าล้อเล่นแบบนี้เซ่” เจ้าของนามโวยวายอีกครั้งแล้วพร้อมลดคันศรลง “ข้าบอบบางสุดในบรรดาทุกคนเลยนะ ขืนโดนเปิดก่อนก็แย่น่ะสิ”

“เฮ้อ...” ทุกคนถอนหายใจโล่งอก องค์หญิงนี่ยังชอบทำเป็นเล่นอยู่เรื่อยเลย

“ฮ่าๆ แต่เราไม่ได้ล้อเล่นเรื่องการทดสอบต่อมาหรอกนะ” เดลซ่าเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังอีกครั้งแล้วยืนขึ้น “เราจะถามคำถามง่ายๆแล้วให้ท่านคิดคำตอบในใจ ผู้ที่หนักแน่นกับคำตอบที่สุดจะทำให้เทวะภัณฑ์ของตนเปล่งประกายสว่างที่สุด และเขาคนนั้นจะเป็นผู้ชนะ เอาล่ะหยิบอาวุธของพวกท่านออกมากันได้แล้ว”

เราทั้งสี่ถืออาวุธประจำตัวในมือ คัมภีร์สีเลือดของวาเรเรี่ยน คันศรอาเทมิสของฟัลเก้ ชุดเครื่องมือเวทมนตร์ของโทโร่ และดาบโอทห์คีปเปอร์ของผม คริสตัลหลังบัลลังก์สว่างขึ้น เทวะภัณฑ์ลอยขึ้นกลางอากาศ

“คำถามของเราคือ ท่านปรารถนาที่จะอภิเษกกับเราเพราะรักเรา ใช่หรือไม่ ?”

เป็นคำถามที่ผมเองก็ไม่ทันตั้งตัวรับมือ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากสำหรับผมเพราะการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับคนที่รัก และสำคัญที่สุดคือได้รู้จักกับตนเองและสิ่งที่ปรารถนา

‘ไม่’ คือสิ่งแรกที่ผมนึกถึงโดยไม่ลังเล

วาบ !!!

ดาบตรงหน้าเปล่งประกายสีฟ้าสว่างไสวจนแสบตากลบแสงสีจากอาวุธชิ้นอื่นจนหมด

“เราได้ผู้ชนะแล้ว” เสียงประกาศขององค์หญิงทำให้ผมหน้าซีดลงทันที

เป็นไปไม่ได้...ก็ผมไม่ต้องการอภิเษกนี่ ทำไมผมถึงชนะ

“เดลซ่า นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมถ...” ผมพยายามจะชี้แจงแต่ก็ถูกนางยกมือให้เงียบลง

“เอาล่ะ ทั้งสามคนอย่างได้เสียใจหรือผิดหวังไป ไม่ว่ายังไงพวกท่านก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกท่านยังคงเป็นเสาที่แข็งแกร่งให้กับทางราชวงศ์ ขอบคุณทุกท่านที่ลำบาก เชิญพวกท่านออกไปได้”

บรรยากาศในห้องเงียบสนิท เพื่อนทั้งสามของผมหน้าตาต่างก็ไม่สู้ดี แม้แต่ผมที่เป็นผู้ชนะก็ไม่ได้ดีอกดีใจ
ไม่ว่ายังไงผมต้องคุยให้รู้เรื่องให้ได้...

……………………………………………….

ณ สวนลอยฟ้าของวัง

“องค์หญิงนี่มันหมายความว่ายังไงครับ” หลังจากประกาศว่าผมเป็นผู้ได้รับเลือกให้เหล่าขุนนางฟังเป็นที่เรียบร้อยนางก็พาผมมาที่ระเบียงของวัง มันถูกจัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆ

“ไม่มีใครอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดเป็นทางการก็ได้” เดลซ่าเดินไปนั่งที่ริมระเบียง สายตาทอดไปยังตึกรามบ้านช่องเบื้องล่าง
“เดลซ่า อธิบายมาเดี๋ยวนี้ ทำไมข้าถึงชนะทั้งๆที่...”

“ทั้งๆที่ตอบว่าไม่น่ะเหรอ” นางขัดขึ้นมาโดยที่ไม่หันกลับมามอง “ก็อย่างที่เราบอก คนที่หนักแน่นที่สุดคือคนที่ชนะ”
“ต่อให้ไม่ต้องการจะชนะอย่างนั้นน่ะเหรอ”

“ใช่ เราไม่ต้องการแต่งงานกับคนที่ยังไม่รู้แม้แต่ความปรารถนาของตนเอง” เสียงของนางเรียบนิ่ง เจือความเศร้า
“แต่เจ้าจะยอมแต่งกับคนที่ไม่ได้รักเจ้าเลยอย่างนั้นเหรอ” ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจหญิงสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

“ราชาคือผู้ที่รู้ใจตนเองว่าต้องการหรือไม่ต้องการสิ่งใด นั่นคือคนที่เราตามหา”

“แต่...”

“เร็กซ์ ท่านจะปฏิเสธอย่างนั้นเหรอ” นางยกเสียงขึ้นถามอย่างท้าทาย “ท่านกล้าปฏิเสธราชวงศ์งั้นเหรอ”

“...ใช่”

“ด้วยเหตุผลอะไร”

“อย่างที่เจ้าว่า เพราะข้ารู้ว่าปรารถนาใครและต้องรักษาสัญญากับคนๆนั้น” ผมตอบไปโดยไม่เกรงกลัว ผมมีสัญญาที่ต้องทำตาม ผมต้องไปรับคนรักของผมกลับมาเคียงข้าง ต่อให้ต้องตายผมก็ไม่ยอมให้ใครขวางทาง

“เฮ้อ...” หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจยาว “ท่านนี่ซื่อบื้อเหมือนที่รอสว่าจริงๆ ขืนตอบไปแบบนั้นโดนจับประหารแน่ๆ ดีไม่ดีพ่อของเราจะลงมือเองด้วยซ้ำ”

“จ...เจ้ารู้” ผมไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง นางพึ่งเอ่ยชื่อคนรักของผม นางรู้ได้ยังไง

“ใช่เรารู้ เราคือร่างทรงของแอตลาส สัตว์อสูรแห่งปฐพีผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้ ขอแค่มีจุดอ้างอิงอย่างเทวะภัณฑ์ เราก็สามารถใช้ดวงตาของท่านเฝ้าติดตามได้ ตราบใดที่อยู่บนผืนแผ่นดินนี้”

“...!!!”

“เราเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้กล้าของเรามีความเป็นไปอย่างไรบ้าง” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลเข้มขึ้นปิดใบหน้าครึ่งล่าง “แล้วเราขอบอกเลยว่าการเดินทางของท่านแซ่บที่สุด”

แซ่บ ? อะไรคือแซ่บ แล้วผมตาฝาดรึเปล่า ทำไมหน้านางแดงขึ้นและผ้าเช็ดหน้าของนางมีสีเข้มขึ้นเป็นดวงๆ

“ถ้าแบบนั้นทำไมถึงยังเลือกข้าอยู่ทั้งๆที่มีคนรักเป็นชาย”

“ก็อย่างที่เราบอกไงว่าต้องการคนที่หนักแน่นที่สุด หากรัก...เราก็ยินดีที่จะแต่งงานด้วย หากว่าไม่รัก...เขาก็จะปฏิเสธเราเช่นท่าน แต่ท่านต้องปรับปรุงคำขอปฏิเสธสักหน่อย”

“ทำไมเจ้าถึงพูดเหมือนวางแผนไว้แล้ว”

“ท่านคิดมากไปเองต่างหาก หึหึ” เดลซ่าเก็บผ้าเช็ดหน้าลงแล้วดึงมือผมไปนั่งข้างๆ “เราช่วยท่านสละตำแหน่งโดยไม่ให้เกิดความบาดหมางระหว่างตระกูลของท่านกับราชวงศ์ได้ แต่ท่านต้องหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้”

“ข้ออ้างอื่นอย่างนั้นเหรอ” ผมครุ่นคิดว่าจะใช้เหตุผลใดดี นอกจากจะต้องฟังขึ้นกับราชาแล้วยังต้องฟังขึ้นกับที่บ้านด้วย อ่า...ใช่แล้ว เหตุผลเดิมที่ตั้งใจไว้

“ข้าขอปฏิเสธตำแหน่งรัชทายาทเพราะการเดินทางครั้งนี้ทำให้ข้าตระหนักได้ว่าข้ายังอ่อนหัดในหลายๆเรื่อง อีกทั้งยังมีผู้คนมากมายที่ถูกเงาบดบังจนไม่ได้รับความช่วยเหลือ ข้าอยากจะออกไปผจญภัยเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และช่วยเหลือประชาชนผู้ทุกข์ยากเหล่านี้ด้วยมือของตนเอง”

“เป็นเหตุผลที่สูงส่ง เปี่ยมไปด้วยความเสียสละโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตน เราว่าพ่อของเราน่าจะรับได้” เดลซ่ายกมือขึ้นท้าวคางแล้วคิดตาม “ถ้าแบบนั้นเราจะลองคุยให้ท่านพ่อมอบตำแหน่งผู้กอบกู้ (Savior)ให้ได้”

“ตำแหน่งที่มอบให้กับผู้กล้าในตำนานน่ะเหรอ” เป็นตำแหน่งที่คนมีชาติตระกูลไม่ค่อยรับเพราะต้องออกไปอยู่อย่างลำบาก ช่วยเหลือผู้คนเยี่ยงนักผจญภัยธรรมดา มันคือการเสียสละที่แท้จริง แต่มันก็มีสิทธิพิเศษมาบ้าง

“ใช่แล้ว ตำแหน่งที่สามารถเข้า-ออกได้ทุกเมือง รับภารกิจของกิลด์นักผจญภัยได้ทุกระดับ รวมทั้งขอหนังสือรับรองข้ามประเทศได้” เดลซ่าอธิบายต่อ

“เยี่ยมไปเลย...ถ้าได้รับมาตระกูลของข้าก็น่าจะไม่มีปัญหาเช่นกัน” ผมดีใจจนแทบลุกกระโดดโลดเต้น ถ้าได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้มาท่านพ่อต้องไม่มีปัญหาแน่ๆ ในที่สุดอุปสรรคก็จะได้หมดลงสักที ผมจะได้ไปรับคนรักออกมาผจญภัยอย่างที่ตั้งใจไว้ “ไปกันเถอะ ไปบอกองค์ราชากัน” ผมจูงมือนางเข้าวังด้วยความรีบร้อน

“เดี๋ยวก่อน จะบอกปุบปับแบบนี้ไม่ได้ เราขอเวลาคุยกับพ่อก่อน” นางรั้งตัวแล้วเรียกสติผมกลับมา “ขอเวลาคุยและเตรียมการสักอาทิตย์นึงได้ไหม แล้วอย่าพึ่งไปบอกคนนอกนะ เราไม่อยากให้ตื่นตูมกันก่อนที่จะเตรียมการเสร็จ”

“ก็ได้” แม้จะร้อนรนเพราะกลัวว่ารอสจะเสียใจเมื่อรู้เรื่องที่ผมได้รับตำแหน่งรัชทายาท แต่เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันผมคงต้องยอมอดทนหรืออย่างน้อยก็ไปบอกเขาไว้

รอก่อนนะรอส อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้าแล้ว

................................

4 วันผ่านไป

ผมนั่งอยู่ในเรือนรับรองชั้นนอกของตระกูลเดรโกนัสด้วยความตื่นเต้น ที่ดินของตระกูลนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือชั้นนอกที่ตระกูลรองอาศัยอยู่และใช้รับรองแขก และชั้นในที่มีข่ายอาคมคุ้มกัน เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลหลัก

ทั้งๆที่จะรีบตรงมาหาแท้ๆ แต่กว่าจะผ่านงานสังสรรค์มาได้ก็แทบแย่ วันแรกก็ต้องรีบแจ้งที่บ้านก่อนถึงเรื่องที่จะปฏิเสธตำแหน่งรัชทายาท ท่านพ่อแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ค้านอะไร

“อืม ถึงจะเสียดายอยู่บ้าง แต่เจ้าก็ยังอ่อนหัดจริงๆ เจ้ายังไม่คู่ควรกับตำแหน่งราชา ได้ออกไปเผชิญโลกกว้างก็ดีเหมือนกัน เจ้าจะได้แข็งแกร่งขึ้น” ท่านพ่อเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนตนเสมอ ขออ้างที่จะออกไปเดินทางเพื่อฝึกฝนจึงผ่านอย่างง่ายดาย

...แต่เพราะว่ายังต้องปิดข่าวไว้ก่อนจึงต้องร่วมงานเลี้ยงที่ญาติพี่น้องจัดให้ ไหนจะเหล่าขุนนางที่เข้าหาจนแทบจะกระดิกตัวไม่ได้ ซ้ำยังมีเจ้าพวกอัศวินตัวแสบใต้บัญชาอีก

“นี่หัวหน้า หญิงคนนี้นี่เด็ดสุดในร้านแล้ว พวกเรารวมเงินกันจ้างให้นางเป็นคู่ซ้อมให้หัวหน้าก่อนขึ้นเตียงวันอภิเษกเลยนะ” ผมได้แต่ส่ายหน้าเมื่อเจ้าพวกตัวดีจ้างหญิงสาวหน้าตาดีมานั่งด้วยในงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ

“ไม่ต้อง” ผมตอบไปเสียงแข็ง

“หัวหน้าจะปรนเปรอองค์หญิงให้มีความสุขได้ยังไง ถ้าไม่เคยมาก่อน ฮ่าๆ” หนอย...ไอ้เจ้าพวกนี้มันน่าเอาดาบฟันให้หัวแบะ

“ข้าเคยแล้...เอ้ย...ข้าจัดการเองได้หน่า” ผมตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“อะไรนะหัวหน้า โหย...ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆ ไกลหูไกลตาแปปเดียวก็...”

กร๊อบๆ

เจ้าพวกลูกน้องปิดปากสนิททันทีที่ผมเปลี่ยนสีหน้าและเริ่มหักข้อนิ้ว

“ถ้าไม่อยากให้งานเลี้ยงเป็นสนามฝึกก็สงบปากสงบคำซะ”

แอ๊ด...

ผมลุกขึ้นยืนเมื่อประตูเปิดออก แทบจะอยากเข้าไปฉวยคนตรงหน้ามากอดไว้ด้วยความรีบร้อน ทว่า...คนที่ออกมาพบคือวาเรเรี่ยน

“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าขอคุยธุระส่วนตัว” ชายผมแดงเอ่ยไล่บริวารออกจากห้อง

“ท่านวาเรเรี่ยน” ผมเอ่ยนามตรงหน้า

“มาที่นี่มีธุระอะไร...?” เขาตอบกลับเสียงแข็ง แววตาดุดัน

“ข้ามาขอพบวารอส”

“เพื่ออะไร...?”

“เราเดินทางร่วมกันมา ข้าอยากจะมาขอพบเขาอีกครั้ง” คำถามของชายตรงหน้าทำให้ผมอ้ำอึ้ง ผมไม่รู้ว่ารอสอยากให้คนที่บ้านรู้เรื่องหรือไม่จึงขอสงวนท่าทีไว้ก่อน

“ข้าต้องขอปฏิเสธ”

“ท...ทำไมล่ะ”

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ทั้งๆที่อยู่ในการทดสอบแท้ๆแต่กลับสานสัมพันธ์กับคนอื่น เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าคนๆนั้นจะเสียใจขนาดไหนหากเจ้าได้เป็นรัชทายาท” เสียงของรุ่นพี่กดต่ำราวกับพยายามระงับโทสะไว้ให้ได้มากที่สุด

“ท่าน...รู้ ?” ผมตกใจมาก ไม่นึกว่าคนในตระกูลจะรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้ว แต่มันก็น่าจะช่วยให้คุยง่ายขึ้น

“ใช่ข้ารู้ และก็เห็น...ว่าน้องข้าเศร้าโศกขนาดไหนเมื่อผิดหวัง” หัวใจของผมปวดร้าวเมื่อได้ยินคำตอบ เป็นอย่างที่คิด...รอสรู้ข่าวแล้วคงต้องเสียใจมากแน่ๆ

“แต่ข้ารักเขาจริงๆนะ ได้โปรดให้ข้าได้พบ...”

พรึบ

ลูกไฟพุ่งเฉียดใบหน้าไปไม่ถึงเซนติเมตร ถ้าไหวตัวช้าไปเบี่ยงตัวหลบไม่ทันอาจจะเข้าหน้าเต็มๆ จิตสังหารของชายหนุ่มตรงหน้าพุ่งตรงเข้าหาจนผมต้องตั้งท่าพร้อมรับมือ

“เร็กซัส!!! เจ้ากล้าดียังไงถึงพูดคำว่ารักออกมา เจ้าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดแบบนั้นได้แล้วนะ” วาเรเรี่ยนแผดเสียง เขาโมโหมากจนมีเปลวไฟลุกขึ้นมาที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง

“แต่ข้าหมายความอย่างนั้นจริงๆ”

พรึบ

ลูกไฟอีกลูกพุ่งเข้าหาจน ผมกระโดดถอยออกมาเว้นระยะเพราะไม่มีอาวุธในการปัดป้อง

“หุบปากได้แล้ว ข้าไม่อยากโดนตราหน้าว่าทำร้ายรัชทายาทเพราะแพ้การคัดเลือก ฉะนั้นไสหัวออกไปแล้วอย่ามายุ่งกับน้องข้าอีก แค่นี้เขาก็เสียใจมากพอแล้ว ถ้าเจ้ารักเขาจริงก็ปล่อยเขาไปซะ ให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นสำหรับวารอส” วาเรเรี่ยนกล่าวอย่างหัวเสียก่อนจะระเบิดประตูห้องออกแล้วเดินจากไป

“แต่ว่าข้า...ข้า...” บ้าจริง...เพราะสัญญาไปแล้วว่าจะยังไม่บอกเรื่องสละตำแหน่งก่อนเวลาอันควรทำให้ผมไม่สามารถโต้เถียงใดๆออกไปได้นอกจากกลับออกมามือเปล่า

……………………..

อีก 4 วันถัดมา

ในที่สุดก็ถึงวันที่ทุกอย่างพร้อมสำหรับการประกาศสละตำแหน่ง ขุนนางทุกคนแปลกใจเมื่อทราบข่าวเพราะไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่คิดว่าจะมีคนที่ปฏิเสธตำแหน่งนี้

พิธีถูกจัดขึ้นในห้องโถงห้องเดิม องค์ราชากล่าวชมความเสียสละและมอบตราสัญลักษณ์ผู้กอบกู้ให้ แต่ก็ตำหนิการตัดสินใจอยู่บ้าง คงเพราะติดใจที่ผมปฏิเสธองค์หญิงสุดที่รักของท่าน แต่เดลซ่าบอกไว้แล้วว่าเดี๋ยวท่านก็หายเคืองเอง ไม่รู้เหมือนกันว่านางไปพูดอะไรไว้บ้าง

เมื่อเสร็จพิธีผมก็ไม่รีรอ รีบตรงไปที่คฤหาสน์ของเดรโกนัสทันที แต่แล้วก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเพราะคนในตระกูลต่างออกไปประชุมที่สภาเวทมนตร์กันหมด อีกทั้งยังมีคำสั่งกำชับไม่ให้ผมเข้าพบรอสเด็ดขาด ผมรอจนตกดึกหวังลักลอบเข้าไปแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะข่ายอาคมทำหน้าที่เป็นกำแพงล่องหนทำให้ผมฝ่าเข้าไปไม่ได้ จึงต้องกลับออกมามือเปล่าอีกครั้ง

แต่แล้วด้วยคำแนะนำและความช่วยเหลือขององค์หญิงผมก็สามารถฝ่าเข้ามาได้สำเร็จ ในคืนนี้ก่อนที่รอสจะต้องเดินทางจากไปพอดี...

...........................



ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1909
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :z1: :z1:

องค์หญิงคือคนผู้อยู่เบื้องหลังสิน่ะ 5555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มีองค์หญิงสนับสนุนนี่เองงงง

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เจ้าแผนการที่สุดก็คงเป็นองค์หญิงนี่แหละมั้ง

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 38 Oath

เมื่อเรื่องราวที่เร็กซ์เล่าจบลง ผมก็ได้แต่อ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกหลากหลายมันตีกันไปหมด ทั้งดีใจที่เขายังรักและฝ่าอุปสรรคต่างๆมาหา ทั้งโกรธที่ไม่มาหาเร็วกว่านี้จนผมเกือบจะถอดใจ แล้วยังพี่ชายขี้โมโหนั่นอีกที่มากันท่า และตกใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ไม่คาดฝัน

“เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันเสียที” เจ้าอัศวินกล่าวพร้อมดึงผมเข้าไปสวมกอด

“เดี๋ยวๆ เร็กซ์ ในเรื่องราวของเจ้าไม่มีตรงไหนเลยนะที่ว่าข้าจะไปอยู่กับเจ้าได้ยังไง” เราสองคนจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ผมเองก็ต้องไปศึกษาต่อตามคำสั่งของที่บ้าน ส่วนเขาก็ได้ออกไปผจญภัยฝึกฝน

“เจ้าก็มากับข้าคืนนี้ไง” เขาตอบกลับมาหน้าตาเฉย มือของเขากอบกุมมือผมไว้แน่น

“เฮ้ย...ได้ไงเล่า จะให้ข้าทิ้งครอบครัวไปอีกเหรอไง” แม้ว่าผมจะต้องออกไปเรียนต่อในที่ห่างไกล แต่ที่นี่ก็คือบ้านของผม จะให้ผมทิ้งพวกเขาออกไปอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ “อีกอย่าง...ต่อให้หนีออกไปด้วยกัน สุดท้ายหน้าที่ขอตระกูลก็ทำให้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี”

“อืม...เป็นไปตามที่เดลซ่าว่าเลย เจ้าต้องไม่ยอมง่ายๆแน่ๆ” เจ้าอัศวินทำหน้าครุ่นคิดแล้วคุ้ยหาอะไรบางอย่างจากกระเป๋าสะพาย “ส่วนเรื่องที่จะได้อยู่ด้วยกันแม้มีตระกูลค้ำคอ นางก็แนะนำว่ามีวิธีอยู่”

“วิธีอะไร ?”

“วิธีการเก่าแก่ที่คนนิยมทำกันมาแต่โบราณ...” ในมือของเขาคือเชือก

“...” ผมเริ่มขยับถอยห่างเพราะชักจะไม่ไว้ใจเจ้านี่แล้วสิ

“วิธีแรกคือทำให้ท้อง...แล้วค่อยมารับผิดชอบทีหลัง”

“แค่ก...อะไรนะ” ผมแทบจะไม่เชื่อหู คำพูดแบบนี้ออกมาจากปากเขาได้อย่างไร

“แต่เจ้าคงไม่มีเวทมนตร์ที่ทำให้ตนเองท้องได้ใช่ไหม”

“...” ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ นั่นคำถามหรือคำพูดลอยๆฟระ

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นวิธีที่สอง” เขากล่าวต่อแล้วเดินเข้ามาใกล้ มือทั้งสองดึงเชือกให้เหยียดตรง

“เออ...เร็กซ์...ข้าว่าข้าไม่อยากรู้...”

“ฉุดไปนอนกก...จนกว่าทางบ้านจะยอม” เขากล่าวต่อหน้าตาเฉย

“แค่กๆ หา!!!” ผมแทบจะสำลักอากาศ นี่ใครเสี้ยมสอนให้เจ้าอัศวินของผมพูดจาแบบนี้

คนตรงหน้าไม่ได้ล้อเล่น อาศัยช่วงที่ผมกำลังมึนกับคำพูดคำจาของเขา จับผมกลับหลัง แล้วมัดแขนมัดขา ยกตัวผมลอยขึ้นพาดบ่า

“ข้ามาที่นี่รอบที่สามแล้ว ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่มีวันยอมกลับออกไปมือเปล่าแน่นอน” น้ำเสียงของเขาระริกระรี้ อัศวินหนุ่มพาผมไปยังประตูระเบียง คาดว่าน่าจะเป็นทางที่เขาลอบเข้ามา

“เดี๋ยวก่อน เร็กซ์...ฟังข้าก่อน” เมื่อตั้งสติได้ผมต้องรีบทักท้วง “เจ้าเป็นถึงอัศวินผู้พิทักษ์แห่งความดีเลยนะ เจ้าจะยอมลดตัวเป็นโจรลักพาตัวแบบนี้เพื่อข้าเลยเหรอ”

“อืม...ก็ถ้าเจ้ายอมมาด้วยดีๆมันก็ไม่เรียกว่าลักพาตัวหรอก แต่ก็ใช่...ข้ายอมเป็นโจร เพื่อให้ได้อยู่กับเจ้า” เร็กซ์ตอบกลับมาอย่างหนักแน่นจนผมอ่อนใจ แม้จะดูเหมือนการกระทำง่ายๆ แต่คนเคร่งครัดกฎอย่างเขายอมลดตัวลงมาแบบนี้ถือว่าเป็นก้าวที่ใหญ่มาก...ใหญ่จนผมหวั่นไหว

“วางข้าลงก่อนเถอะ แก้มัดด้วย วิธีการของเจ้าไม่เวิร์คหรอก” ผมร้องขอไปอย่างเอือมระอา แผนการตื้นๆของเจ้านี่ยังคงมีช่องโหว่เหมือนเดิม เจ้านี่มีดีแต่พละกำลังจริงๆ

“...” เจ้าอัศวินวางผมลงแล้วจ้องเข้ามาในดวงตา เมื่อมั่นใจว่าผมไม่เล่นตุกติกแน่ๆจึงยอมแก้มัดให้

“แล้วข้าจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้ายอมทิ้งตระกูลไปแล้วเจ้าจะไม่ทิ้งข้า” ผมถามกลับไปขณะบีบนวดข้อมือที่ขึ้นรอยเชือก มันมัดผมซะแน่นเชียว นึกไปนึกมาเหตุการณ์นี้เริ่มจะคุ้นๆ

“มั่นใจได้เลยข้าไม่ทิ้งคนที่ได้เป็นเม...เห้อ...พูดแล้วก็กระดากปาก ขอกลับมาใช้คำพูดของตนเองแล้วกัน”

“อันนี้ข้าเห็นด้วย” คำพูดคำจาแบบนี้ไม่เหมาะกับมันเสียเลย

“รอส...เจ้าปรารถนาสิ่งใดหรือ ? สำหรับข้าความปรารถนาคือการได้มีคนรักอยู่เคียงข้าง” สองมือของเขาบีบไหล่ผมไว้แน่น
สายตาของผมเบนไปมองสายฝนนอกหน้าต่าง มองดูเม็ดฝนที่พัดไปตามแรงลม

 “ความปรารถนาของข้าคือ...”

-สายลม ธาตุแห่งอิสรเสรี- คำพูดของพ่อดังขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

“การได้เลือกเส้นทางของตนเองอย่างเสรี”

“...”

“และตอนนี้ ข้าขอเลือก...ที่จะเดินเคียงข้างเจ้า”

“ดีเลย ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มทำสัญญากันเลย”

ชิ้ง

เร็กซ์ชักดาบขึ้นจากฝักมาถือตรงหน้า ปลายดาบตรงชี้ฟ้า ภาพที่คุ้นตากลับมาอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันแรกที่เราพบกัน

“ข้าขอสาบาน...ว่าจะรัก ดูแล และปกป้องเจ้าจนชีวิตหาไม่ จะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้ามีความสุขที่สุด ขอเพียงสิ่งเดียว...คือให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า ผจญภัยไปกับข้าในการเดินทางสู่โลกกว้างครั้งนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเช่นเคย แววตาของเขาแน่วแน่ แต่ข้อเสนอของเขากลับไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

“ไม่” ผมปฏิเสธไปในทันทีจนเจ้าอัศวินหน้าจ๋อย

“ท...ทำไมล่ะ” โอ้ย...อยากจะขำ แม้แต่น้ำเสียงก็ฟังดูตลก

ผมยกมือขึ้นปัดดาบออกไปก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งประคองหลังคอของเขาเพื่อดึงโน้มเข้ามามอบจุมพิต

“เราจะปกป้องกันและกัน อย่างเท่าเทียมกัน” ผมไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่คอยอัศวินม้าขาวมาคุ้มครอง ผมก็เป็นนักสู้ไม่ต่างจากเขา ผมไม่ยอมให้เขาปกป้องฝ่ายเดียวหรอก

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เร็กซ์คลี่ยิ้มออกมาทันที เขายกดาบขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นก็...อุบ” แต่ผมไม่ยอมหรอก ใช้ปากนี่แหละอุดปิดปากเขาไว้อีก

“มันคือคำสัญญาที่จะผูกมัดข้ากับเจ้า ไม่ต้องมีสักขีพยาน ไม่จำเป็นต้องมีโซ่ตรวนใดๆ หัวใจของข้าเป็นของเจ้า และข้าจะตามมันไปทุกที่” แม้ว่าผมคือสายลมที่พร้อมไปได้ทุกที่ แต่ผมก็ขอเป็นสายลมที่จะพัดเคียงข้างคนตรงหน้า เพราะเขาคือคนที่ครอบครองดวงใจของผม...ดวงใจของมังกรแห่งสายลม

“ฮ่าๆ นั่นสินะ แค่รักกันก็เพียงพอแล้ว” เร็กซ์หัวเราะแล้วเอานิ้วเกลี่ยแก้มของผม

เห็นใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของเจ้าซื่อบื้อนี่แล้วก็ขำ เราสองคนจูบกันอีกครั้ง บอกรักกันและกัน ก่อนจะเริ่มเตรียมแผนหนีออกจากบ้าน...ไม่สิ แผนลักพาตัว

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าฝ่าข่ายอาคมเข้ามาได้ยังไง แต่ข้าไม่สามารถออกไปได้จนกว่าพ่อจะแก้มนตร์ให้ หรือต่อให้พาข้าออกไปได้ พวกเขาก็แกะรอยจากสายใยเวทมนตร์ระหว่างคนในครอบครัวได้อยู่ดี”

“เรื่องนั้นข้าเตรียมไว้แล้ว” เขายิ้มเขินๆแล้วคว้าบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “เอามือมา...มือซ้าย” ผมได้แต่เลิกคิ้วสงสัยแต่ก็ยอมยื่นมือไปแต่โดยดี

เร็กซ์ประคองมือซ้ายของผมไว้อย่างทะนุถนอม ผมสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ฝ่ามือ มันไม่ใช่น้ำฝนแต่มันคือเหงื่อของเขาเอง เขากำลังตื่นเต้น...อีกแล้ว

“ข้าเก็บสายรัดข้อมือของเจ้าได้และพยายามนำไปซ่อม แต่โทโร่บอกว่ามันออกแบบมาหยาบเกินไปสำหรับการปกปิดพลังเวทย์ เขาจึงออกแบบอุปกรณ์ใหม่มาให้” ในมือของชายหนุ่มคือแหวนสีเงินลงลายลักษณ์อักษรโบราณไว้ เขาสวมมันไว้ที่นิ้วของผม...นิ้วนาง

“...!!!” ผมเลยพลอยตื่นเต้นหน้าแดงไปด้วยเลยทีเดียว นี่มันสวมแหวนแต่งงานชัดๆ

“แหวนนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวกรองเวทมนตร์ เจ้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้อยู่แต่คนที่อยู่ห่างออกไปไม่สามารถสัมผัสพลังของเจ้าได้” เขาจ้องตาของผมไว้ระหว่างอธิบายสรรพคุณของแหวน จ้องจนผมต้องหลบตาลงด้วยความเขินอาย ไม่นึกเลยว่าจะถูกสวมแหวนแสดงความครอบครองง่ายๆแบบนี้

“จุ๊บ...เอาล่ะไปกันเถอะ อุปกรณ์ที่ใช้เจาะรูข่ายอาคมเข้ามาอยู่หลังบ้านเจ้า เวรยามบ้านเจ้านี่หละหลวมมากเลยนะรู้ไหม” เจ้าอัศวินจอมฉวยโอกาสขโมยจูบผมอีกแล้ว

“ก็ใครจะไปคิดว่าจะมีคนเจาะข่ายอาคมเข้ามาได้เล่า”

“ทางนี้ๆ” ทันทีที่เขาเปิดประตูระเบียงออก น้ำฝนก็สาดเข้ามาทันที

“เร็กซ์ ขอเวลาสักครู่ได้ไหม” ดูท่าฝนฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจสำหรับผมนัก ขืนออกไปตอนนี้อาจจะปอดบวมตายเสียก่อน

“หืม...ทำไมล่ะ”

……………………..

“เอานี่ไปด้วย อันนี้ด้วย อ๊ะ...เล่มนี้ด้วยดีกว่า” ผมใช้เวทมนตร์ยกข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าและตำราเวทย์ลอยเข้ากล่องไม้ขนาดใหญ่ ครั้งก่อนผมเตรียมตัวเดินทางได้ไม่ดีนักทำให้เกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งนี้ผมขอเอาของติดตัวไปเยอะหน่อยแล้วกัน พกตำราไปศึกษาเองด้วยจะได้ไม่โดนที่บ้านตราหน้าว่าหนีเที่ยวเฉยๆอีก

“เอ่อ...รอส เอาของไปเยอะขนาดนี้จะแบกไปยังไง” เจ้าอัศวินทำหน้างุนงงกับการกระทำของผม พลางจ้องดูกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยสัมภาระ

“นี่ไง” เมื่อแน่ใจแล้วว่าของครบก็ปิดฝามันลง ทาบฝ่ามือไว้ที่ฝากล่อง แสงสีเขียวจางๆไหลออกไปอาบกล่องทั้งใบไว้ มีเสียงแกร็กๆเหมือนเสียงไขกุญแจแล้วจึงหดลงเหลือขนาดแค่ฝ่ามือ

กล่องมิติ เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ราคาแพงที่สามารถยืดขยายทั้งตัวกล่องและสัมภาระภายในได้ ช่วยให้สามารถบรรทุกของจำนวนมากไปได้โดยไม่ต้องเปลืองพื้นที่ให้พะรุงพะรัง แต่เพราะเป็นอุปกรณ์ราคาแพงจึงไม่เป็นที่นิยมนัก

“ไปกันเถอะ” หลังจากแต่งกายใหม่และเตรียมของเรียบร้อย ผมก็พร้อมเดินทางฝ่าพายุไปพร้อมกับคนรักแล้ว

เมื่อลักลอบออกจากบ้านได้ เราสองคนก็ตรงไปยังจุดที่เร็กซ์แอบเข้ามา เดินผ่านลานฝึก และโรงเลี้ยงสัตว์พาหนะก็เห็นที่หมาย มันเป็นรูกลมๆสีฟ้าอ่อนๆลอยอยู่กลางอากาศช่วยแหวกข่ายอาคมออกให้สามารถเล็ดลอดออกไปได้ อีกฟากมีม้าขาวยืนรออยู่ใต้ต้นไม้…เจ้าฟรีดนั่นเอง

“เราจะไปไหนกันต่อ” ผมถามชายตรงหน้า เขากำลังคุมม้าไปยังที่ไหนสักแห่ง

“ไปยังประตูมิติเก่าแก่ในโบราณสถานใกล้ๆเมืองหลวง ที่นั่นมีคนรออยู่”

“ใครเหรอ”

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

เราสองคนควบม้าฝ่าสายฝนเพื่อไปยังที่นัดหมาย ผมหันหลังมองคฤหาสน์หลังโต

“ขอโทษท่านพ่อและพี่ๆด้วยนะครับที่ต้องทำแบบนี้” ผมพึมพำเบาๆ พวกเขาต้องผิดหวังในตัวผมมากแน่ๆที่หนีออกจากบ้านอีกครั้ง

ตู้ม

ไม่ทันที่จะไปได้ไกลก็มีเสาไฟระเบิดขึ้น มันก็ตัวเป็นกำแพงเปลวเพลิงสูงหลายเมตรท่ามกลางสายฝน

“คิดจะหนีไปไหนอีกแล้วเหรอ วารอส”

.......................................

ปล. สั้นหน่อยเพราะหั่นเป็น 2 ตอน ตอนหน้าก็จบแล้วนะครับ แต่จะมี Epilogueอีกหน่อยนึง ขอบคุณกำลังใจจากทุกท่านนะครับ




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ดีใจนะครับที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกๆ จนจบเรื่อง
บางทีแอบกลัวคนเขียนจะรู้สึกว่าคนอ่านคนเม้นมันไม่ได้เยอะ
แล้วจะรู้สึกว่ามันไม่มีคนอ่านแล้วก็หายๆ ไป
ยังไงก็จะรออ่านตอนจบเน้อ
เจ้าเร็กซ์จะโดนอะไรบ้าง ฐานบุกมาล้วงคองูเห่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1909
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :mew5: :mew5:

ใครกันนะที่มาขัดขวางการหนีตามผู้ชายของวารอส  5555

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Chapter 39 My last chapter 50%

พรึบๆๆ

เปลวเพลงโพยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินเป็นเสาก่อนจะแผ่ขยายออกไปเป็นกำแพงขวางกั้นทางไว้ แม้จะอยู่กลางสายฝนแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อน ฟรีดตื่นตระหนกกระโดดไปมาจนผมและเร็กซ์เกือบจะตกจากหลังม้า ยังดีที่เจ้าอัศวินลูบปลอบคอมันจนสงบลงได้

“คิดจะหนีไปไหนอีกแล้วเหรอ วารอส” เสียงดุไล่หลังมาจนผมเสียวสันหลังวาบ เมื่อหันกลับไปก็พบพี่วาเรเรี่ยนเดินทอดน่องฝ่าฝนมาอย่างใจเย็น ผิดกับความรู้สึกที่ตึงเครียดขึ้นมาทันที

“วาเรเรี่ยน”

“พี่!!! พี่ใหญ่ตามมาได้ยังไง กว่าจะถึงบ้านก็น่าจะพรุ่งนี้เช้านี่” ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง ตอนแรกคิดว่าโชคดีที่เร็กซ์บุกเข้ามาช่วงที่คนในบ้านไม่อยู่พอดี และทางน่าจะสะดวกให้หลบหนีออกไป ไม่นึกว่าจะกลับมาถึงก่อนกำหนด

“จู่ๆก็สัมผัสถึงตัวตนของเจ้าไม่ได้เลยให้วาเรนเปิดอุโมงค์มิติให้แล้วล่วงหน้ามาก่อน เป็นไปตามลางสังหรณ์จริงๆด้วย” ก้อนพลังงานสีแดงที่ฝ่ามือของพี่ใหญ่เผยให้เห็นใบหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาเปี่ยมไปด้วยโทสะ “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมเร็กซัส ว่าอยู่มาเกาะแกะกับน้องข้าอีก”

ฟ้าว !!!

บอลพลังงานสีแดงพุ่งจากฝ่ามือเข้าหา มันเล็งไปที่คนข้างกายผมพร้อมจิตสังหาร

“Magic shield”

เปรี้ยง !!!

โล่เวทมนตร์ขึ้นมาขวางกั้นได้อย่างทันท่วงที แรงกระทบทำให้บอลพลังงานแตกออกเป็นสะเก็ดแสง ส่วนโล่ห์ก็ร้าวจนเกือบแตกออก แรงกระเทือนส่งผ่านมาจนแขนผมสะท้าน ความรุนแรงขนาดนั้นพอที่จะฆ่าไม่ก็ทำให้ปางตายได้เลยนะถ้าโดนเข้าจังๆ...พี่ใหญ่กำลังเอาจริง

“ท่านวาเรเรี่ยนได้โปรดรับฟังด้วย ข้ารักรอสจริงๆ” เร็กซ์อ้อนวอนเมื่อเราสองคนลงจากม้า “ข้าสละตำแหน่งทุกอย่าง ไร้ซึ่งพันธะใดๆแล้ว ได้โปรดให้เราได้อยู่ด้วยกันด้วยเถอะ”

“หุบปาก” วาเรเรี่ยนแผดเสียง แรงกดดันยิ่งทวีขึ้น “อย่าทำตัวเป็นเด็กๆเลยเร็กซัส ต่อให้เจ้าไม่ได้เป็นรัชทายาทแล้ว เจ้าก็ยังเป็นผู้สืบสกุลของไลโอเนล เมื่อถึงเวลาเจ้าก็ต้องทิ้งน้องข้าอยู่ดี”

“ไม่มีวัน...นั่นคือคำสัตย์ของข้า” อัศวินหนุ่มไม่ย่อท้อ แต่จอมเวทย์ผมแดงไม่สนใจ ตะหวัดตามาที่ผมแล้วส่งแรงกดดันเข้าหา

“ส่วนเจ้าวารอส เราตกลงกันแล้วไงว่าจะทำตามขนบธรรมเนียมของบ้าน ไปเรียนต่อแล้วค่อยกลับอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ถ้าได้รับการฝึกดีๆพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ของเจ้าสามารถช่วยคนได้มากมาย แต่เจ้าจะยอมทิ้งหน้าที่เพื่ออนาคตที่ไม่แน่นอนอย่างนั้นเหรอ ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้จะดีกับเจ้าเสียกว่านะ”

“ผมเข้าใจครับพี่” ตาของเราสองพี่น้องยังคงจ้องผสานกัน ทว่าผมจะไม่หวั่นเกรง “แต่ผมเชื่อว่าพรสวรรค์ของผมอยู่ที่ด้านอื่น ผมสามารถช่วยเหลือผู้คนได้แม้ไม่ได้เป็นจอมเวทย์เหมือนพี่”

“ด้วยการเป็นนักผจญภัยหาเช้ากินค่ำน่ะเหรอ หึ...ตลกสิ้นดี” พี่ใหญ่แค่นเสียงหัวเราะอย่างเอือมระอา

“มันคือความจริง ข้าสามารถผ่านการทดสอบได้เพราะความรู้ต่างๆที่รอสสั่งสมมา ความรู้ที่หาได้จากการเผชิญโลกภายนอกเท่านั้น” เร็กซ์ช่วยเสริมทัพ แต่วาเรเรี่ยนไม่ชอบใจจ้องกลับตาเขียวปั้ด

“ความใฝ่ฝันสูงสุดของผมคือการได้ออกไปท่องโลกกว้าง ได้เห็นและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากกว่าในห้องเรียน ช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมาผมก็ช่วยเหลือผู้คนมามาก พี่ก็รู้ว่าหากผมเรียนจบและเข้าร่วมสภาเวทมนตร์ผมจะไม่มีโอกาสได้ออกมาทำตามความฝันอีก” เราสองคนไม่ลดละ จอมเวทย์หนุ่มนิ่งเงียบไป เขาก้มหน้าครุ่นคิดก่อนจะหัวเราะออกมา

“หึหึ โอหังกันจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็แสดงให้พี่เห็นสิว่าเจ้าเก่งอย่างที่พูดจริงๆ หากว่าอยากออกไปผจญภัย...ก็จงล้มพี่คนนี้ให้ได้เสียก่อน” ใจผมกระตุกเมื่อได้ยินคำท้า พี่ใหญ่ไม่ได้พูดเล่น...แสงสีแดงเปล่งออกมาจากสัญลักษณ์มังกรที่ต้นแขนขวา ออร่าเข้มข้นสีแดงแผ่ออกมา หยาดฝนที่ตกลงสัมผัสระเหยเป็นไอน้ำทันที

“พี่...” นี่ผมจะต้องสู้กับจอมเวทย์แห่งไฟ วาเรเรี่ยน เดรโกนัส ผู้เป็นคนสืบทอดตระกูลรุ่นต่อไปจริงๆเหรอ

เร็กซ์เดินขึ้นประจันหน้าพร้อมจับด้ามดาบข้างเอว แต่...

“เจ้าจะทำอะไร” อัศวินหนุ่มถามด้วยความงุนงงเมื่อผมวางมือลงบนฝ่ามือของเขาที่กุมดาบอยู่

“เขาเป็นพี่ของข้า ข้าควรจะเป็นคนจัดการเพื่อพิสูจน์ตนเอง” ผมผลักเขาให้ถอยไปแล้วเดินขึ้นนำแทน มือหนารีบคว้าแขนผมไว้

“เจ้าจะไหวเหรอ” ผมวกตัวกลับไปใช้มือสองข้างประคองที่ใบหน้าของเขา เลื่อนใบหน้าเข้าไปแนบชิดเพื่อมอบจูบ

“ไว้ใจข้าไหม”

“...” เขาทำหน้าลังเลก่อนจะตอบว่า “ได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็ถอยออกไปก่อน ระวังโดนลูกหลง และขอร้อง...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามเข้ามาขวางเด็ดขาด เข้าใจไหม” ผมออกคำสั่ง ในใจเริ่มวางแผนและประเมินความเสี่ยงต่างๆ

“เข้าใจแล้ว ข้าจะรอคนรักของข้าไม่ไปไหนแน่นอน ต้องชนะเท่านั้นนะ” อัศวินหนุ่มจูบผมอีกครั้งก่อนจะพาฟรีดถอยออกห่าง

“แน่นอน” ผมกลับหลังหันแล้วเดินไปเผชิญหน้าพี่ชายของตน ไม่ว่ายังไงผมต้องชนะให้ได้

“จะมาพร้อมกัน 2 คนก็ได้นะ พี่ไม่ว่า...ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่” พี่ใหญ่ถากถางด้วยรอยยิ้มเหี้ยมโหด ใบหน้าที่หายไปนาน...ใบหน้าของวาเรเรี่ยนจอมหัวร้อน

“ผมคนเดียวก็พอ”

“พี่จะคอยดูว่าพอโดนจัดการแล้วจะยังปากดีอยู่ไหม”

เมื่อประจันหน้าผมก็รีบวางแผนทันที...

...ที่เลือกที่จะสู้คนเดียวเพราะผมเชื่อว่ายังไงพี่ใหญ่คงไม่เอาผมถึงตายแน่นอน แต่สำหรับเร็กซ์แล้วพี่อาจจะไม่ออมมือ และผมก็กลัวเร็กซ์จะลงไม้ลงมือหนักเกินไปเช่นกัน คนที่จะล้มพี่วาเรเรี่ยนต้องเป็นผมเท่านั้น

...และจริงอยู่ที่พี่เป็นจอมเวทย์ระดับสูงแต่ธาตุที่พี่ถนัดคือธาตุไฟ ฉะนั้นในสภาพอากาศฝนตกหนักแบบนี้ อานุภาพของเวทย์น่าจะลดลง ยังพอมีโอกาสที่ผมจะชนะได้อยู่บ้าง คงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์พอสมควร

“อณูเวทย์จงเป็นเชื้อเพลิง จุดประกายและก่อตัวเป็นศรแห่งเพลิงจู่โจมศัตรูเบื้องหน้า บทแห่งไฟที่ 15 Flame arrow”

“ลมหายใจแห่งวายุจงโอบอุ้มข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม บทแห่งลมที่ 14 Wind coat”

ศรไฟขนาดเท่าท่อนซุง 5 ดอก รวมตัวขึ้นกลางอากาศรอบตัวพี่ใหญ่ มันพุ่งเป้าหาผมทันทีที่ขึ้นรูปสมบูรณ์

ผมเองก็เปิดใช้หินเวทย์ลมและร่ายคาถาให้สายลมโอบรอบตัวผม ใช้ประโยชน์จากร่างกายที่ได้รับการฝึกจนแข็งแรงกว่านักเวทย์ทั่วไปผสานกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นเพื่อหลบหลีกศรเพลิง

“อณูเวทย์จงเป็นเชื้อเพลิงหลอมรวมกับลมหายใจแห่งข้ าจุดประกายเป็นเปลวเพลิงแห่งมังกรที่พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง โหมซัดเข้าแผดเผาศัตรูของข้า บทแห่งไฟที่ 25 Dragon’s breath” เมื่อศรดอกสุดท้ายสลายไป วาเรเรี่ยนไม่รอช้าร่ายคาถาต่อด้วยความรวดเร็ว

ซูมมมม

เปลวไฟโพยพุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้างเป็นสาย อาณาเขตมันกว้างจนผมหลบไม่ทัน

วิ้ง!!! ครืน!!!

หินเวทมนตร์สีน้ำตาลเรืองแสง พื้นดินเปียกชื้นยกตัวขึ้นเป็นกำแพงหนาเพื่อปกป้องผมจากเพลิงร้อนระอุ ขนาดใช้กลางน้ำฝนยังร้อนขนาดนี้เลย...นี่ถ้าไม่มีฝนผมเป็นมังกรเผาไปแล้ว

“นี่จะย่างสดกันเลยเหรอพี่” ผมตะโกนโวยวาย พี่ใหญ่เล่นแรงจริงๆ

“อะไรกัน แผลไหม้นิดหน่อยเอง ตราบใดที่ไม่ตายก็ให้วาเรนรักษากลับมาได้” จอมเวทย์หนุ่มตอกกลับมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

คลื่นเพลิงยังคงกระหน่ำเข้ามา ผมเปิดใช้งานหินสีน้ำเงินเพื่อควบคุมน้ำเข้าต้านแต่ก็ไม่ได้ผล ไฟของพี่ระเหยน้ำที่เข้าปะทะในทันที ผมไม่ใช่คนที่มีลักษณ์น้ำจึงไม่แกร่งพอที่จะทานไว้

“คงต้องลองเวทย์บทใหม่เสียหน่อย” มีคาถาอยู่จำพวกหนึ่งที่ผมอยากจะฝึกมานานแล้วตั้งแต่ออกไปผจญภัย ลองคิดลูกเล่นต่างๆมานานแต่เพราะปิดผนึกพลังตัวเองทำให้ไม่สามารถใช้ได้ ช่วงกลับมาบ้านได้ลองฝึกเองบ้าง...ได้เวลาลองดูแล้วว่าได้ผลไหม

ฟู่ ๆ ๆ

ในที่สุดก็ถึงโอกาสทอง เปลวเพลิงของพี่อ่อนกำลังลงแล้ว ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ปล่อยเวทย์มนตร์ต่อเนื่องนานๆไม่ได้ ต้องมีจังหวะพักบ้าง

“อณูเวทย์ในกายจงสร้างภาพมายาดั่งเงาในกระจกเพื่อลวงหลอกศัตรู บทแห่งการอำพรางที่ 6 Mirror image” เงามายา 4 ร่างปรากฏขึ้นข้างกาย ทั้งรูปลักษณ์และการเคลื่อนไหวเหมือนผมทุกอย่าง แต่เพราะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาทำให้ไม่สามารถจับต้องสิ่งใดได้

ผมและร่างมายาทั้งสี่พุ่งตัวออกจากที่กำบังแล้วกระจายตัวกันออกทุกทิศทุกทาง

“เงามายาอย่างนั้นเหรอ ของเด็กเล่น ใช้หนีไม่ได้หรอก” พี่ใหญ่ถากถางแล้วควบคุมให้กำแพงไฟขยายอาณาเขตตีวงล้อมกว้างออกไป หวังกักให้ผมไร้ทางหนี ทว่ากำแพงเริ่มเตี้ยลงอย่างชัดเจน พี่วาเรเรี่ยนเริ่มจะล้าแล้ว

จริงอย่างที่พี่ว่า Mirror image เป็นเวทมนตร์ที่นักเวทย์ใช้เพื่อล่อหลอกศัตรูด้วยภาพลวงตา ทำให้พวกมันสับสนแล้วหาโอกาสถอยห่างเพราะร่างกายที่บอบบาง หากโดนเข้าประชิดก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่เพราะผมเป็นนักผจญภัยที่ต้องประยุกต์สิ่งต่างๆเพื่อความอยู่รอด ผมจึงใช้มันในกลยุทธ์ที่แตกต่าง

เมื่อกระจายตัวออกไปอยู่ที่ทั้ง 5 มุมของลานประลอง ผมทั้ง 5 ก็ชักดาบพุ่งเข้าหาจอมเวทย์ตรงกลางทันที จุดอ่อนอันใหญ่หลวงของพวกนักเวทย์คือชอบขาตาย ร่ายเวทมนตร์อยู่ที่จุดเดียว ไม่ยอมขยับไปไหน หากโดนล้อมโดยไม่มีคนปกป้องก็พลาดท่าได้เช่นกัน

“ชิ เล่นแบบนี้เหรอ...ได้ บทแห่งไฟ Fire bolt” วาเรเรี่ยนยิงศรเพลิงลูกเล็กๆเข้าใส่ แต่เพราะพวกผมยังคงมีเวทย์ลมห่อหุ้มกายอยู่จึงหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย จนในที่สุดร่างของผม 3 ร่างก็เข้าประชิดได้ ได้เวลาวัดดวงแล้วว่าพี่จะเดาถูกไหมว่าร่างไหนตัวจริง

ผมเงื้อดาบเตรียมจู่โจม

“บทแห่งไฟ Blast”

บึ้ม !!!

“อัก” แรงระเบิดอัดเข้าร่างจริงของผม มันไม่ได้รุนแรงหวังสังหารแต่ก็แรงจนกระเด็น ร่างเงา 2 ร่างพุ่งทะลุร่างของพี่วาเรเรี่ยนก่อนจะสลายไป อีก 2 ร่างที่เหลือยังคงวิ่งตรงเข้าใส่

“มันจบแล้วล่ะ วารอส บทแห่งการจับกุม Grip” ออร่าสีแดงปกคลุมร่าง รู้สึกได้ถึงแรงบีบรัดที่คอ กายถูกยกให้ลอยขึ้นจนเท้าไม่แตะพื้นด้วยเวทมนตร์ของพี่ใหญ่ เขาแสยะยิ้มด้วยความสะใจ

“ทำไมถึง...อึก...เดาถูก” ผมเค้นเสียงออกมาจากหลอดลมที่ถูกบีบไว้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพี่

“มันก็แค่เงามายา แค่ดูว่าร่างไหนกระทบเม็ดฝนได้ก็พอ” เมื่อวาเรเรี่ยนกระดิกมือร่างผมก็ลอยเข้าหา

“อึก...บ้าที่สุด” ผมสบถด้วยความเจ็บแค้นก่อนจะหรี่ตามองร่างเงาอีก 2 ร่างที่กำลังจะปะทะร่างพี่ใหญ่ พยายามประคองสติไม่ให้หายไปจากการถูกบีบคอจนขาดอากาศ พี่ต้องกะให้ผมสลบเพราะหายใจไม่ออกแน่ๆ

“พี่ยอมรับเรื่องความคิดสร้างสรรค์นะ แต่...อุก” เมื่อร่างเงาสัมผัสตัว ร่างของพี่ใหญ่ก็ถูกกระแทกจนเสียหลักราวกับถูกหมัดต่อยที่ลำตัว “นี่มัน...กระสุนอากาศ”

“หึหึ ใช่แล้ว” ผมซ่อนกระสุนอากาศไว้ในร่างมายา เพราะว่าสายลมน่ะจับต้องไม่ได้และมองไม่เห็นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะซ่อนมันในร่างเงา ส่วนเรื่องเสียงก็มีลมฝนอำพรางให้

ปัก !!!

“อึก” กระสุนอีกนัดพุ่งเข้าหน้าพี่ใหญ่จนเซ เมื่อเวทมนตร์จับกุมคลายลงผมก็เป็นอิสระ

“ให้อภัยผมด้วยนะพี่” หินสีฟ้ายังคงเรืองแสงตั้งแต่เริ่มสู้ มวลอากาศอัดเป็นก้อนที่ฝ่ามือ

ผัวะ !!!

“อัก” วาเรเรี่ยนกระอักเมื่อผมซัดกระสุนอากาศเข้าท้องจนกระเด็นไปนอนอ้าซ่าที่พื้น

กำแพงเพลิงดับลงไป พี่ใหญ่สิ้นฤทธิ์แล้วแต่เพื่อความปลอดภัย ผมใช้เวทย์ดินโอบรัดตัวพี่ไว้ในท่าตรึงกางเขนพร้อมขึ้นรูปดินเป็นหลังคากันฝนให้

“ผมชนะแล้วนะพี่”

“กรอด หนอยยยย” เขาสบถอย่างหัวเสียเมื่อพ่ายแพ้

“ขอบคุณที่ช่วยดูแลผมมาตลอดนะครับ แต่ผมขอเลือกทางเดินที่ผมปรารถนา ผมสัญญาว่าผมจะกลับมาเยี่ยมให้ได้” เมื่อล่ำลาเสร็จก็กลับหลังหันมองเห็นเร็กซ์กำลังวิ่งมา

“เดี๋ยวก่อน!!!” เสียงของพี่ทำให้ขาชะงัก ผมหันกลับไป “พี่มีของจะให้ มันอยู่กระเป๋าเสื้อคลุมพี่”

“นี่มัน...” ผมหยิบบางอย่างขึ้นมา มันเป็นสร้อยคอที่มีจี้ทำจากหินสีฟ้าอ่อนเหมือนกับสีท้องฟ้า

“หินเวทย์สื่อสาร ยังไงก็ใช้มันติดต่อกลับมาที่บ้านบ้าง” พี่ใหญ่พูดอย่างเหนื่อยอ่อน “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน จำไว้ว่าเจ้าคือเดรโกนัส เป็นน้องของพี่”

“...ผมจะจำไว้ครับ ขอบคุณพี่จริงๆ” จู่ๆในใจก็รู้สึกหวั่นไหวยามที่ต้องก้าวออกมา ผมย้อนกลับไปสวมกอดร่างส่วนที่โผล่พ้นดินอีกครั้ง “ผมรักพี่ๆทั้งสองนะครับ ท่านพ่อด้วย”

“พี่ก็รักเจ้า ไปทำสิ่งที่อยากทำเถอะ เร็กซัส...ฝากวารอสด้วย”

“ข้าจะดูแลเขาให้ดีที่สุด” เจ้าอัศวินตกปากรับคำแล้วก็ประคองผมขึ้นหลังม้า แรงระเบิดของพี่ทำเอาผมบอบช้ำไปพอสมควร พวกเราสองคนมุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมายอีกครั้ง

“ลาก่อนนะครับพี่ สักวันผมจะกลับมาหาพี่ๆแน่นอน”

.................................................


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1909
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :mew4: :mew4: :mew4:

ในที่สุดก็ได้หนีตามผู้ 555

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตลกนักเวทย์ "ชอบขาตาย" 555  อาการขาแข็งก้าวไม่ออก

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ในที่สุดก็หนีตามกันจนได้  :laugh: 

ขำกับนักเวทย์ที่ "ชอบขาตาย" เหมือนกัน  มานึกดูมันก็จริง

ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
39.2

“รู้ถึงไหนอายถึงนั่น พี่ใหญ่ของตระกูลพ่ายแพ้ให้กับน้องเล็ก ฮ่าๆ” ชายหนุ่มในชุดนักบวชเดินถือร่มเข้ามาในเพิงเล็กๆที่ทำจากดิน สายตาก็มองดูม้าสีขาวที่กำลังจะหายลับไปกับสายฝนยามค่ำคืน

ครึกๆ

พื้นดินแห้งแข็งแตกออกปล่อยให้ชายหนุ่มผมแดงเป็นอิสระ

“ทำไงได้...ขืนเอาจริงขึ้นมาจากมีวารอสคนเดียวจะกลายเป็นมีวารอสหลายชิ้นแทน” วาเรเรี่ยนปัดเศษดินที่เปราะชุดออก เขาเดินไปยืนกอดอกอยู่ข้างน้องชายคนรอง

“ไม่นึกว่าพี่จะยอมปล่อยไปง่ายๆแบบนี้” วาเรนเอียงคอถามด้วยความสงสัยเพราะรู้ดีว่าพี่ใหญ่ของตนไม่ยอมใครง่ายๆ

“วารอสไม่ใช่มังกรน้อยของเราสองคนอีกแล้ว เขาเติบใหญ่เป็นมังกรแห่งสายลม ไม่มีกรงใดกักขังเขาไว้ได้ โดยเฉพาะกรงแห่งขนบธรรมเนียม” พี่ใหญ่ของบ้านยอมรับความสามารถของน้องเล็กแล้ว...และยังยอมรับด้วยว่าไม่มีสิ่งใดกักขังสายลมไว้ได้ มันพร้อมที่จะไปทุกที่ที่มันปรารถนา

“แบบนี้ก็ไม่ต่างกับ 6 ปีก่อนเลย” วาเรนกุมขมับ สุดท้ายเจ้าตัวแสบก็หนีออกจากบ้านอีกจนได้

“ต่างสิ” วาเรเรี่ยนกล่าวกับน้องชายด้วยท่าทีสุขุม “อย่างน้อยครั้งนี้เราก็รู้ว่าเขาปลอดภัยและยังมีชีวิตอยู่” เขาเชื่อว่าคนมีฝีมืออย่างเร็กซัสต้องดูแลน้องเขาได้ เพราะไม่เช่นนั้นเขาเองนี่แหละที่จะเป็นคนลงมือย่างสดเจ้าสิงโตเอง

“นั่นสินะ แต่ท่านพ่อต้องไม่ชอบใจแน่ๆ” วาเรนทำหน้าเหนื่อยหน่ายเมื่อคิดถึงเวลาที่ท่านพ่อกลับบ้านมาและทราบข่าว

ชายใหญ่กลับหลังหันแล้วตบบ่าน้องชายเบาๆ “ก็เป็นหน้าที่คนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าไงที่ต้องหาข้อแก้ตัวให้น้อง หึหึ”
“เจ้าตัวแสบนี่หาเรื่องปวดหัวให้ตลอดเลยสินะ”

“ก็เหมือนสมัยเด็กๆไง ที่เราสองคนต้องคอยปกปิดวีรกรรมของวารอสไม่ให้ถึงหูพ่อ” ภาพในอดีตกลับมาอีกครั้ง เพราะว่าสูญเสียแม่ไปทำให้หัวหน้าตระกูลเสียศูนย์ จึงตกเป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่และพี่รองที่ต้องดูแลเจ้ามังกรน้อยตัวแสบ

-วาเรเรี่ยนลูกแม่ เมื่อแม่จากไปแล้วก็อย่าได้โกรธเคืองพ่อของเจ้าเลยนะ เขาเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เจ้าจะเป็นพี่ใหญ่ของบ้าน แม่ฝากเจ้าดูแลน้องๆของเจ้าด้วยนะ-

“ผมปล่อยวารอสไปแบบนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหมครับแม่...ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างเสรี” วาเรเรี่ยนได้แต่พึมพำเบาๆเมื่อรำลึกถึงคำสั่งเสียของผู้เป็นแม่ ก่อนจะพากันกลับคฤหาสน์ไปกับน้องชาย

....................................

ณ วิหารเก่าแก่

“นัดพบกันตรงไหน” ผมถามด้วยความร้อนรน เราขี่ม้าฝ่าฝนกันมาหลายชั่วโมงแล้ว เปียกก็เปียก หนาวก็หนาว อยากจะหาที่หลบฝนเต็มแก่แล้วแม้จะซาลงแล้วก็ตาม

“ข้างในวิหาร” เร็กซ์ตอบกลับพร้อมควบม้าผ่านประตูวิหารโทรมๆ โครงสร้างดูไม่มั่นคงนัก มีหลังคาบางส่วนถล่มไปแล้ว

เมื่อเข้ามาในห้องโถงของวิหารก็พบประตูหินเก่าๆอยู่ที่จุดลึกสุดของห้องที่ยังเหลือหลังคาอยู่ ข้างๆมีกองไฟพร้อมคน 2 คน คนหนึ่งสวมชุดคลุมมิดชิด อีกคนสวมชุดเกราะเต็มยศ แต่ดูทรวดทรงแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง

“พ...พี่เรจิน่า” อัศวินหนุ่นหน้าซีดลงทันทีเมื่อเห็นสัญลักษณ์ราชสีห์ที่ชุดเกราะ

“อ่ะแหะๆ โทษทีนะเร็กซ์โดนนางตามเจอจนได้” หญิงในชุดคลุมเปิดหมวกออกมาเผยให้เห็นใบหน้าสวยพร้อมเส้นผมสีทอง

“เดลซ่า เกิดอะไรขึ้น” เมื่อเร็กซ์เอ่ยชื่อผมก็ต้องตกใจ นี่คือองค์หญิงเหรอเนี่ย ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้

วิ้ง

หมวกเหล็กเรืองแสงก่อนจะสลายหายไป ภายใต้ชุดเกราะคือหญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีดำสนิทแฝงแววดุดันเหมือนราชสีห์ เรจิน่า ไลโอเนล พี่สาวของเร็กซ์

“ข้าคือหนึ่งในองครักษ์ขององค์หญิงนะ จู่ๆแอบหนีไปก็ต้องตามให้เจออยู่แล้ว” นางตอบด้วยเสียงดุ “พี่ต่างหากที่ต้องถาม...ว่าคิดอะไรอยู่ถึงให้นางมาอยู่คนเดียวในที่อันตรายแบบนี้”

“เอ่อ...คือ...ผม...ผม” ดูท่าทางเจ้าอัศวินจะเกรงพี่ของตนไม่น้อย ถึงกับตอบกลับไม่เป็นคำ

“ช่างเถอะ พอเดาได้แล้ว ไม่ต้องตอบก็ได้ เสียเวลาเปล่าๆ รีบๆทำธุระให้เสร็จ พี่จะได้พาองค์หญิงกลับวัง” นางกล่าวแบบไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินไปนั่งที่แท่นหินข้างๆ

“พี่...ไม่ว่าอะไรใช่ไหม” เร็กซ์ก้มหน้างุดๆถามผู้เป็นพี่ด้วยท่าทีหวั่นเกรง

“เราสองคนต่างเป็นนักรบ โตๆกันแล้ว จะทำอะไรก็รับผิดชอบเอง” นางตอบแบบไม่ใส่ใจนัก “ชักช้าอยู่ได้ จะทำอะไรก็ทำ...เร็วๆ”

“ข...ขอบคุณครับพี่” เจ้าอัศวินรีบลากผมและม้าไปหาเดลซ่าทันที

“รอก่อนนะ เราต้องรอตะวันขึ้นก่อนถึงจะเปิดประตูมิติให้ได้” องค์หญิงกล่าวพร้อมยกมือขอโทษขอโพย “ขอโทษจริงๆที่โดนตามเจอนะ เร็กซ์” นางกระซิบ

“โล่งอกไปทีที่พี่ไม่ว่าอะไร”

“อ้อ...ในที่สุดก็ได้เจอตัวเป็นๆเสียที วารอส เราคือเดลิซ่านะ” นางยื่นมาให้ด้วยไมตรีจิต

“ย...ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมยื่นมือไปจับตามมารยาท คนนี้นี่เองคือคนที่คอยช่วยเหลือเร็กซ์อยู่เบื้องหลัง นี่ผมต้องโค้งคำนับรึเปล่านะ “นี่จะทำอะไรกันเหรอ” ระหว่างทางคิดแต่เรื่องหนีจนลืมถามไปเลยว่ามาที่นี่ทำไม

“เดลซ่าจะเปิดประตูมิติให้พวกเรา ข้าเกรงว่าการเดินทางปกติอาจจะโดนที่บ้านเจ้าตามจับได้” ผมพยักหน้าตามเมื่อเร็กซ์อธิบาย

“ด้วยประตูบานนี้เราสามารถส่งพวกท่านไปที่ไหนก็ได้ในอาณาจักร” เดลซ่ากล่าวพร้อมเดินไปนั่งผิงไฟ “แต่จะทำได้ต้องมีแสงอาทิตย์เสียก่อน อีกไม่นานก็เช้าแล้ว รอก่อนนะ”

เรา 4 คนนั่งพูดคุยรอบกองไฟรอเวลา เดลซ่าเป็นคนที่อัธยาศัยดีมากๆจนอาจจะแก่นแก้วเกินไปด้วยซ้ำ นางชวนคุยเรื่องต่างๆมากมายโดยเฉพาะเรื่องการเดินทางของผมกับเร็กซ์ที่นางดูจะให้ความสนใจเยอะเป็นพิเศษจนผมเริ่มสงสัยว่านางเฝ้ามองพวกเราเยอะขนาดไหน หวังว่าคงไม่ได้ดูช่วง...ด้วยนะ

“จะเช้าแล้ว เร็กซ์เจ้าไปช่วยเดลซ่าเตรียมประตูมิติได้แล้ว” เรจิน่าที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น เจ้าของชื่อทั้งสองรีบไปที่ประตูทันที แต่พอผมจะลุกตามไปก็โดนสายตาดุๆจ้องให้หยุด “ให้สองคนนั้นไปก็พอ เจ้า...รอสสินะ นั่งรอก่อน”

“ค...ครับ” ผมรู้สึกประหม่าทันทีที่นั่งอยู่กับพี่สาวของเร็กซ์ สายตาของนางช่างดุดันราวกับสิงโตที่พร้อมจะฆ่าทันทีที่กระดิกตัว
“ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลน้องของข้า” ผมสะดุ้งเมื่อนางเปิดปาก ไม่คาดฝันจริงๆว่านางจะกล่าวขอบคุณ “เร็กซ์เก่งกล้าก็จริงแต่ยังขาดประสบการณ์หลายๆด้าน ถ้าไม่ได้เจ้าคอยช่วยคงแย่”

“ด...ด้วยความยินดีครับ” ผมสะดุ้งซ้ำสองเมื่อนางยื่นมือมาให้จับทักทาย แต่ผมก็จับตอบไปอย่างว่าง่าย

“การเดินทางฝึกฝนของเขาต้องลำบากแน่ๆ ต่อไปก็ฝากเจ้าช่วยดูเขาด้วย” นางกล่าวฝากฝังด้วยรอยยิ้มจางๆ

“ได้ครับ...อึก” ไม่ทันจะได้ตอบรับมือของผมก็ถูกบีบอย่างแรง รอยยิ้มของคนตรงหน้าจางหายไปกลายเป็นนิ่งสงบ แต่แววตาช่างหน้าหวาดหวั่น

“ถ้าเจ้าทำร้ายเร็กซ์ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ ข้าขอสาบานเลยว่าข้าจะตามตัวเจ้าให้เจอแล้วจะหักกระดูกทุกชิ้นรวมถึงอะไรก็ตามที่หักได้” เสียงของนางเย็นเฉียบเหมือนสภาพอากาศ

“อึก” ผมยิ้มยิงฟันปกปิดความเจ็บปวด คนบ้านนี้นี่มันบ้าพลังกันจริงๆ

“เข้าใจไหม”

“ข...เข้าใจครับ คุณผู้หญิง”

“ดี” มือของผมหลุดออกมาได้ในที่สุด ต้องรีบบีบนวดคลายปวดทันที “ไปได้แล้ว”

ผมไม่รอช้ารีบคว้าข้าวของหนีไปรวมกับเร็กซ์ทันที สมควรแล้วที่เร็กซ์จะยำเกรง เป็นหญิงสาวที่น่ากลัวจริงๆ

“เอาล่ะ ท่านสองคนอยากจะไปไหนล่ะ” เราสองคนหันมองกันเมื่อได้ยินคำถาม

“เจ้าอยากไปไหนเหรอ รอส” เจ้าอัศวินถามต่อ

“อืม” ผมยกมือครุ่นคิด “ข้าไปมาหมดแล้ว เจ้าต่างหากล่ะอยากไปไหน” ผมถามกลับ ให้คนเดินทางครั้งแรกเลือกจะดีกว่า เร็กซ์ทำท่านึกอะไรบางอย่างได้

“ข้าอยากจะไปยังประเทศทางตะวันออกที่เป็นจุดกำเนิดเวทย์เสริมกำลัง จะได้ฝึกให้แข็งแกร่งขึ้น” ผมหัวเราะเบาๆ ท่าทางการเดินทางเพื่อฝึกฝนจะเพื่อ’การฝึกฝน’ จริงๆอย่างที่เขาว่า

ผมพยักหน้าตกลง

“ถ้าเช่นนั้นเราก็ไปส่งได้แค่ที่เอนเดลอนนะ” เดลซ่ากล่าวแล้วแตะไปที่ประตูหิน รากไม้ผุดขึ้นมาจากพื้นดินเข้าโอบรัดกรอบประตู เมื่อปกคลุมส่วนที่เป็นหินทั้งหมดก็เกิดแสงสีเขียวจางๆ ภาพประตูเมืองเอนเดลอนปรากฏขึ้น

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ เดลซ่า”

“ถึงจะพึ่งพบกัน ข้า...ผม...เองก็ต้องขอบคุณเช่นกัน”

“ด้วยความยินดี การทำให้คนรักสมหวังเป็นหน้าที่หนึ่งของเทพพยากรณ์อยู่แล้ว” นางยิ้มตอบด้วยความอบอุ่นก่อนจะผายมือไปที่ประตู

เราสองคนยืนหน้าประตู มองหน้าคนรักของกันและกัน คนที่พร้อมจะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกันเพื่อดูแลกันและกัน

“เจ้าแน่ใจแล้วนะ” ผมถามซ้ำ เพราะเมื่อก้าวออกไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใดๆได้แล้ว

“ไม่เคยต้องคิดซ้ำสองเลย” เร็กซ์ตอบกลับด้วยความหนักแน่นเช่นเคย

ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าอัศวินซื่อบื้อที่บังเอิญพบ บังเอิญต้องช่วยเหลือทำภารกิจสำคัญ จะกลายเป็นคนที่ยินดีที่จะมอบความอบอุ่นที่ผมโหยหามาตลอดให้ กลายเป็นคนที่เดินเคียงข้างกัน

บัดนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว แสงตะวันที่โผล่พ้นขอบฟ้ามอบความอบอุ่นให้แผ่นหลังของเราสอง เร็กซ์ดึงมือของผมไปจับก่อนที่จะก้าวเข้าไปในประตูมิติด้วยกัน ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ ดูเหมือนว่าเรื่องราวของผมจะจบลงแล้ว...

...เพราะต่อแต่นี้ไปจะเป็นเรื่องราวของเราสองคน เรื่องราวของการผจญภัยครั้งใหม่ที่ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป...


THE END

………………………………………
อย่าพึ่งกดออกจากชั้นหนังสือนะครับ ยังเหลือ Epilogue ครับ
..........................................

ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมผจญภัยกันมาจนถึงตอนจบนะครับ ส่วนตัวไม่เคยนึกเลยว่าจะได้มาเป็นคนแต่งนิยายเองเพราะเป็นคนเกลียดการเขียนเรียงความและรายงานมากๆ แต่ก็พยายามทำออกมาจนจบ

งานนี้จะไม่สำเร็จเลยถ้าขาดกำลังใจจากผู้อ่านทุกคน ยอมรับว่าหลายครั้งก็ท้อที่ไม่ได้รับความนิยมแต่ก็กัดฟันแต่งต่อเพราะผมเกลียดการถูกปล่อยให้ค้างมากจึงไม่ยอมปล่อยให้คนที่ติดตามค้างเด็ดขาด การที่ทุกคนมาเม้นเล่นกับตัวละครเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากๆ

อยู่ด้วยกันจนจบแล้วยังไงก็รบกวนทั้งคนที่ชอบเม้นหรือไม่ชอบเม้นช่วยวิจารณ์ทีนะครับ การใช้ภาษางงไหม เรื่องยาวไป-สั้นไป-เวิ่นเว้อไปรึเปล่า ตัวละครสมเหตุสมผลไหม ขอเก็บข้อมูลไปใช้ปรับปรุงครับ

หลังจากนี้อาจจะมีตอนพิเศษลงบ้างแต่คงลงใน Readawrite กับ ธัญวาลัย 2 ที่ครับ ยังไงก็ไปกดติดตามไว้ที่นั่นนะครับ
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1909
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
สนุกแบบพอดีพองามแล้วจ้า  ปกติไม่ค่อยอ่านแนวนี้ยังติดหนึบเลยนะขอบอก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน ขอบคุณที่มาลงให้จนจบ  :pig4:

ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
อ่านได้เรื่อยๆและสนุกมาก!  เราชอบนิยาบแนวนี้อยู่แล้วด้วยเลยตามอ่านงอมแงม 5555

ใจหายเหมือนกันที่สุดท้ายเรื่องนี้ก็มีถึงตอนจบ แต่เรายังติดตามผลงานเรื่องอื่นต่อไปค่ะ!

ปล. ขอนิยายวายแฟนตาซีอีกก็ดีนะคะ อิอิ

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
โฮกกกกกกกกกกก จบซะแล้ว
ดีใจที่พี่ชายใหญ่ยอมปล่อยน้อง

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
เราชอบเรื่องนี้มากค่ะ ตามอ่านทุกเลยเลย เนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อด้วย ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะ :กอด1: :กอด1: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
จบแล้วหรอออออ ม่ายยยยย ไม่ได้เตรียมใจมาให้จบเลย :a5:

ต้องขอบคุณนักเขียนจริงๆนะคะที่เขียนนิยายดีๆมาให้เราได้อ่าน จะรอผลงานอื่นๆนะคะ :L1: :pig4:

ออฟไลน์ Nocto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ปกติเป็นคนชอบอ่านแนวแฟนตาซีมากกว่าแนวปกติทั่วไป พอได้มาอ่านช่วงแรกๆคือ สนุก ชอบมาก ต้องติดตามต่อ อีกอย่างคือชอบคาแรกเตอร์ของรอส น้องมีความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ ทั้งยังมีเสน่ห์ดึงดูดเลยติดเรื่องนี้ทันที อาจจะมีความไม่ต่อเนื่องของอารมณ์อยู่บ้างเพราะไม่ได้อัพติดต่อกัน นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา จริงๆแอบอยากให้พวกท่าวิชาต่างๆของทั้งกับเร็กซ์กับรอสดูยิ่งใหญ่ มีพลังมากกว่านี้ (นี่ชอบอยากให้ตัวเอกเก่งกาจ) แต่แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ ไม่ได้ดูธรรมดาจนเกินไป

ขอบคุณที่ไม่ได้ทิ้งไป ขอบคุณที่มาต่อจนจบ ขอบคุณที่แต่งได้ให้อ่านกัน รอเรื่องถัดไป เป็นกำลังใจให้นะคะ


ออฟไลน์ KPMwolf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Epilogue

ตึกๆๆ

เสียงรองเท้าเกราะเหล็กกระทบหินอ่อนเป็นจังหวะ หญิงสาวในชุดเกราะอัศวินเดินฉับๆตัดผ่านทางเดินของวัง เหล่าแม่บ้านต่างค้อมคำนับ เขตปราสาทส่วนนี้เป็นเขตหวงห้ามเพราะเป็นเขตพำนักของคำสำคัญของราชวงศ์ แต่อัศวินสาวผู้นี้สามารถเดินผ่านเข้ามาได้โดยสะดวกในฐานะองครักษ์ของเจ้าหญิง

“ข้าขอเข้าเฝ้าองค์หญิง” นางกล่าวเสียงนิ่งกับแม่บ้านผู้เฝ้าประตู

“เชิญเลยค่ะ ท่านเรจิน่า” นางโค้งคำนับอย่างนอบน้อมก่อนเคาะประตูถามคนข้างใน เมื่อได้รับอนุญาตก็เปิดประตูให้

“ขอบคุณ”

ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม พื้นและกำแพงหินอ่อนโทนขาวดูสบายตา ตามตู้และโต๊ะมีเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องแก้ววางประดับประดา กลิ่นดอกไม้สดใหม่หอมหวน นั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องคือหญิงสาวแสนสวยผมสีทองในชุดเดรสสีขาวกำลังจดจ้องเข้าไปในผลึกคริสตัล นางช่างดูบริสุทธิ์ผุดผ่องสมชื่อเทพธิดาพยากรณ์

...แต่นั่นสำหรับคนที่ไม่รู้จักนางดีพอ

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้แอบส่องน้องข้าอยู่นะ” เรจิน่าสาวเท้าไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอคำอนุญาตใดๆ เพราะนางเป็นคนมีฝีมือและไว้ใจได้จึงได้รับมอบหมายให้เป็นหนึ่งในองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงเดลิซ่าหรือเดลซ่า และนั่นทำให้นางสนิทสนมกันจนไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆระหว่างกัน

“เปล่าสักหน่อย สองคนนั้นพึ่งจะหลับไป เราเลยไปดูอย่างอื่นแทน”

“เดี๋ยวนะ...”

“เรื่องราวเป็นยังไงบ้าง บ้านเดรโกนัสท่าจะปวดหัวน่าดู” เดลซ่ารีบพูดแทรกก่อนจะฟังคำบ่นขององครักษ์คนสนิท

“หัวหน้าตระกูลโมโหมากเมื่อรู้ว่าลูกคนเล็กโดนลักพาตัว รีบตามพวกอัศวินไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ แต่เหมือนวาเรเรี่ยนกับวาเรนจะปิดให้อยู่ว่าเป็นฝีมือน้องของข้า” นางกุมขมับ ไม่รู้ว่าคิดถูกคิดผิดกันแน่ที่เข้าร่วมแผนการนี้ด้วย

“ก็น่าอยู่หรอก ลูกชายหายตัวไปตั้งนาน พอกลับมาได้ก็หายไปอีก พี่น้องคู่นั้นคงต้องเหนื่อยแน่ๆเพื่อปิดวีรกรรมของน้องเล็ก”

“ทำแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ” เรจิน่าถามด้วยความไม่แน่ใจ นอกจากนางแล้วก็คงไม่มีใครอีกแล้วที่รู้ว่าองค์หญิงผู้งามสง่าจะเจ้าเล่ห์แบบนี้

“ทำไมล่ะ เร็กซ์น้องของท่านได้เป็นตัวของตัวเองและอยู่กับคนรัก เราเองก็ไม่ต้องแต่งงาน และท่านเองก็มีโอกาสเป็นหัวหน้าตระกูลคนถัดไปมากขึ้น สถานการณ์วิน-วิน แบบนี้มีอะไรให้เป็นห่วง”

เดลซ่าไม่เคยต้องการแต่งงานเลย แต่นางทนไม่ได้จริงๆที่องค์ราชาเอาแต่ถามๆๆว่าเมื่อไหร่จะครองคู่ เขาต้องการจะอุ้มหลานเต็มแก่แล้วทั้งๆที่นางพึ่งจะ 20 ต้นๆเอง ประจวบเหมาะกับที่เทวะภัณฑ์ในตำนานต้องการพิสูจน์ผู้ถือครองของตนพอดี นางเลยใช้โอกาสนี้ขอยืมพลังจากสัตว์เทพแอตลาสจัดการทดสอบหารัชทายาทเป็นฉากบังหน้าเพื่อส่งตัวแทนของแต่ละบ้านไปในที่ห่างไกล ให้พวกเขาได้ไปในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างเพื่อคนพบตัวเองและความปรารถนาของตน ซึ่งในกรณีของเร็กซ์เป็นอะไรที่คาดไว้บ้างแล้วแต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้

“ใครจะไปคิดว่าเร็กซ์จะชอบผู้ชาย นี่ข้าเลยแพ้พนันทั้งเจ้าและแม่ของข้าเลย” เรจิน่าเอนไปชิดพนักเก้าอี้มองดูเพดานสีขาวของห้องอย่างเบื่อหน่าย ไม่อยากจะคิดเลยว่าแม่จะขออะไรเป็นการตอบแทนที่แพ้พนัน

“ก็ท่านพยายามผลักตัวเองให้เทียบเท่านักรบเพศชายจนลืมความเป็นหญิงไปยังไงล่ะ เราเล่นกับเร็กซ์มาตั้งแต่แบเบาะ เราสังเกตเห็นความแตกต่างของเขาเช่นเดียวกับแม่ของท่าน”

เป็นเรื่องปกติที่เจ้าหญิงผู้เลอโฉมจะเป็นที่ปรารถนาของเหล่าบุรุษ ไม่ว่าจะขุนนาง นักรบ หรือพ่อค้า อาจจะด้วยความรัก ความหลงใหล หรือเพื่อผลประโยชน์ แต่เร็กซ์นั้นแตกต่าง เขามอบไมตรีให้ผู้อื่นด้วยความจริงใจ มันเหมือนความรักอันบริสุทธิ์ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ แต่เขากลับไม่ก้าวข้ามเกินเลยกว่ามิตรภาพ เหมือนมีกำแพงบางอย่างขวางตัวเขาเองกับหญิงสาวที่ห้อมล้อมเขาไว้ เขาเป็นคนดี ดีเกินไปจนซื่อ เขาจึงไม่คิดที่จะคบหญิงคนไหนเพื่อบังหน้า แต่ยอมอยู่คนเดียวและฝังความต้องการของตนเองให้ลึกที่สุด

“แล้วเจ้าจะเอายังไง องค์ราชาไม่ว่าเหรอที่เจ้าไม่ได้แต่งงาน”

“ก็บ่นนิดหน่อย...ถึงจะโกรธบ้างที่มีคนกล้าปฏิเสธเรา แต่เขาเองก็เป็นนักรบที่ได้ออกไปเห็นโลกกว้างมาก่อน เขาจึงเห็นดีเห็นงามที่ชายหนุ่มจะพัฒนาตนเองด้วยการออกไปผจญภัย มันเหมือนเป็นความภูมิใจของชายชาตรีน่ะ”

“แล้วคราวนี้ใครล่ะที่จะได้เป็นรัชทายาท”

“เราอ้างไปว่าใช้พลังไปมากเพื่อจัดการทดสอบ ขอพักฟื้นสักระยะหนึ่งก่อนที่จะหาผู้ที่เหมาะสมจะเป็นราชาคนต่อไป”

“ทำไมไม่เลือกคนลำดับถัดไปล่ะ”

“เพราะเราไม่ได้ชอบใครใน 4 คนนี้เลย คนหนึ่งก็จริงจังเกินไป คนหนึ่งก็หยิ่งทระนงเหมือนเหยี่ยว อีกคนก็เงอะๆงะๆขาดความมั่นใจ และน้องเจ้าก็ใสซื่อบริสุทธิ์เกิน”

“นี่!!!...แล้วคนแบบไหนล่ะที่เจ้าต้องการ”

“พ่อเลี้ยง มาเฟีย ซาตาน ปีศาจ เอะอะจับกด” องค์หญิงไขว่ห้างตอบมาแบบไม่สมฐานะเลย

“เจ้าหาคนมาปกครองประเทศนะไม่ใช่ทาสกาม ข้าว่าเจ้าอ่านนิยายในตลาดมากเกินไปแล้ว” องครักษ์คนสนิทก้มหน้ากุมขมับ นี่มันใช่สิ่งที่องค์หญิงผู้เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ควรจะพูดเหรอ

“ล้อเล่นหน่า” นางหัวเราะคิกคัก “เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโชคชะตาจะส่งใครมาให้...แต่ว่า”

“...”

“ถ้าได้เป็นราชินีผู้ปกครองประเทศโดยไม่ต้องมีราชาเคียงข้างก็อาจจะดีเหมือนกัน”

“นั่นล้อเล่นรึพูดจริง” เรจิน่าเริ่มจะตามท่าทีทีเล่นทีจริงของเจ้าหญิงไม่ทันแล้ว

“ประเทศเราก็เคยปกครองภายใต้ราชินีเพียงองค์เดียวมาก่อนนะ เมทิน่า ราชินีเดี่ยวองค์แรกกล่าวไว้ว่า ‘คิดจะเป็น เดอะเฟซ แค่กๆ ราชินี เจ้าจะต้องทำได้ทุกอย่าง ทั้งเดินแบบ ถ่ายแฟชั่น เป็นร่างทรง เป็นนักพยากรณ์ และนักการทูต’ ถ้าเราจะปกครองประเทศได้เราต้องสตรองค์ สตรองค์ และสตรองค์”

“เฮ้อ...” องครักษ์ถอนหายใจยาว “ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจ้าได้ปกครองเองจริงๆประเทศเราจะเข้าสู่ยุคสมัยไหน”

“ยุคทองแน่นอน ฮ่าๆ” เจ้าหญิงหัวเราะร่วนแล้วยกชาขึ้นจิบ

“แล้วนี่น้องข้าจะเป็นยังไงเนี่ย” คิดแล้วก็น่าเป็นห่วง อีกฝ่ายยิ่งเจนสนามด้วย กลัวน้องชายผู้ใสซื่อของตนจะตามไม่ทันจริงๆ

“เราห่วงวารอสมากกว่านะเพราะเขาผิดหวังมามาก เขาต้องรักษาความรักได้รับมาไว้ให้ดีที่สุดแน่ๆ น้องเจ้าต่างหากที่ไม่เคยมีสัมพันธ์กับใครมาก่อน จะคิดถึงหัวอกอีกฝ่ายขนาดไหน”

ภาพในคริสตัลเปลี่ยนเป็นรูปชายหนุ่มสองคนนอนกอดกันบนเตียงแม้ตะวันจะอยู่กลางฟ้าแล้ว

“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เร็กซ์เป็นผู้ถือครองอาวุธของวีรบุรุษในตำนานเลยนะ หากเกิดเภทภัยขึ้นใดๆขึ้น เขาจำเป็นที่จะต้องใช้ประสบการณ์จากโลกภายนอกเข้าช่วย”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...อดห่วงไม่ได้อยู่ดี”

“อยากจะพนันกันอีกสักรอบไหมล่ะ ฮ่าๆ”

.....................................................




จบหมดทุกตอนแล้วนะครับ ยังเหลือตอนเสริมที่คิดไว้อีกนิดหน่อยแต่ลงในนี้ลำบากเพราะระบบกระทู้ ไปติดตามกันต่อที่ Readawrite หรือ ธัญวาลัยนะครับ

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด