ตอนที่ 17
หืดหาดสตอรี่
[เทพแห่งไฟ] “ฮั่นแน่~ กิ้วๆ กรุบกริบ กรุ๊บกรั๊บ”
“นั่งแดกข้าวอยู่ดีๆ ก็ดันมีตัวรุงรังสองคนมาสารภาพรักกันเอ๊าะ”
“รถน้ำตาลคว่ำใส่ผัดกะเพรากูเฉย ร้องเหี้ยหนักมาก”
“พี่อาร์ค งั้นกู...ไปก่อนนะ เดี๋ยว...เดี๋ยวมีเรียนต่อ” ไอ้อาร์มก้มหน้างุด ปากก็เอาแต่พึมพำตะกุกตะกัก สงสัยเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดความในใจออกมา แถมเพื่อนผมยังได้ยินกันถ้วนหน้า ทั้งน่าสงสารและน่ารักในคราวเดียว
“เพื่อนมึงบอกกูว่าคาบบ่ายไม่มีเรียน” ผมแย้งกลับไป อยากดูปฏิกิริยาของมันว่าจะตอบสนองกลับมาแบบไหน ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดไว้ ไอ้อาร์มยังคงก้มหน้ามองพื้น ความกวนตีนที่มีในตอนแรกเลือนหายไปหมด เหลือแต่เด็กตัวน้อยที่ถูกแกล้งอยู่ตรงหน้าเพียงอย่างเดียว
“นะ...นั่นไง ลืม แต่ว่าตอนบ่ายต้องไปตึกมนุษย์”
“มานั่งนี่ก่อน”
“ไม่นั่ง กูไม่เมื่อย ฮือ...พี่ลืมเรื่องที่กูพูดไปก่อนหน้านี้ได้มั้ย” เจ้าตัวเงยหน้ามองผมเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาจนอยากดึงมากอดให้รู้แล้วรู้รอด
“ให้ลืมอะไร ลืมเรื่องที่กูขอมึงเป็นแฟน หรือเรื่องที่มึงบอกว่ารอให้กูขอนานแล้วเหมือนกัน”
“ไม่รู้”
“ตอบคำถามก่อนเดี๋ยวจะปล่อยไป”
“อย่างหลัง”
“ไม่ลืม ลืมไม่ได้จำไปแล้ว” ไอ้อาร์มเม้มปากแน่น ไม่พูดหรือตอบโต้อะไรอีกจนกระทั่งผมหมดความอดทน เลยลุกขึ้น เดินไปหามันพร้อมกับลูบหัวอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะยอมตัดใจปล่อยไอ้ตัวรุงรังกลับไปยังที่ของตัวเอง
“เดี๋ยวคืนนี้โทรหา รอรับสายด้วย”
คนฟังพยักหน้าหงึกหงักส่งๆ จากนั้นแม่งก็รีบวิ่งสี่คูณร้อยกลับไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้ก็แต่ผมที่ยังมองแผ่นหลังบางแทบไม่คลาดสายตา
“อาร์ค...”
“...”
“ไอ้อาร์ค”
“...”
“ไอ้เหี้ยอาร์ค!”
“เรียกเหี้ยไร” ผมละสายตาจากหลานรหัสกลับมาแหวใส่คนถามทันที แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนในกลุ่มผมมันจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรนอกจากทำหน้ากรุ้มกริ่มจนยากถีบเปรี้ยงให้ตกเก้าอี้ไปทีละคน
“มองอะไรขนาดนั้น เพื่อนเรียกไม่หันเลยน้า ทำไม? ดีใจจนสมองหยุดทำงานไปเลยเหรอ”
“เสือก”
“กูไม่ได้เสือกเลย มึงกับไอ้เด็กผีสาระแนมาอยู่ในสายตาเองต่างหาก” ไอ้ปอนด์พูดเสียงทะเล้น ส่วนไอ้คอปป์ก็ไม่รอช้าหาเรื่องแซวอย่างต่อเนื่อง
“พวกกูก็อุตส่าห์คิดแผนโรแมนติกขอเป็นแฟน แต่สุดท้ายก็ล่มเพราะความกากของมึง ใครจะคิดวะว่าจู่ๆ ก็เกิดเซอร์ไพรส์กลางโรงอาหาร เล่นเอากูอึ้งไปเลย”
“กูได้ตั้งใจที่ไหนล่ะ” ผมเดินกลับมานั่งที่เดิม มองดูกระดาษที่มีตัวหนังสือของไอ้อาร์มปรากฏอยู่ด้วยความรู้สึกยากเกินอธิบาย แม่งเอ๊ย เกลียดตัวเองที่ไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน รู้แค่ว่ารู้สึกดีมากๆ จนเหมือนโลกทั้งใบมีแต่สีพาสเทลและกลิ่นของความรัก
การขอไอ้อาร์มเป็นแฟนในวันนี้ไม่ได้เอิกเกริกและเป็นไปโดยธรรมชาติ คนที่รู้ในตอนนี้ก็มีแค่เพื่อนในกลุ่มผม กับเพื่อนของไอ้อาร์มเท่านั้น
ตลกดีเหมือนกัน แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะขออีกฝ่ายเป็นแฟนด้วยวิธีนี้ แต่พอเห็นหน้าตาน่ารักของมันที่เข้ามาอยู่ในสายตาตลอดก็อดไม่ได้ต้องซื้อของเปย์ แล้วผมก็เป็นพวกที่ไม่ชอบแสดงความห่วงใยจนออกนอกหน้าด้วยไง เลยหาเรื่องเขียนข้อความกวนประสาทกลับไป
ใครจะคิดว่าไม่นานไอ้อาร์มจะตอบโต้กลับด้วยการกวนตีนใส่จนเพื่อนถึงกับหลุดขำ หลังจากนั้นก็ยาวเลยครับ ด่ากับไปกวนกันมา สุดท้ายก็นึกถึงหนังสือแคลคูลัสที่พกไว้ในกระเป๋า เลยเอามาใช้เป็นสื่อกลางเพื่อขออีกฝ่ายเป็นแฟน
ไง! โรแมนติกมั้ยล่ะ
“เออว่าแต่หนังสือเล่มที่มึงให้ไอ้อาร์มไปนี่ไม่ใช้แล้วเหรอวะ” จู่ๆ ความคิดที่อยู่ในหัวก็ถูกตีแตกกระจาย หลังไอ้บลูมถามแทรกขึ้นมา และนั่นทำให้...
“นั่นดิไอ้อาร์ค มึงไม่เก็บไว้อ่านสอบเหรอ” เออว่ะ คือเพิ่งนึกได้จริงๆ ว่าเล่มนี้ยังใช้สอบอยู่ แต่กูลืมไง บางครั้งความรักก็บังตาแถมยังทำให้คนโง่ได้
“เดี๋ยวไปขอคืนที่ไอ้อาร์ม”
“โอ๊ยยยยยยยย ไอ้ควาย! กำลังจะหล่ออยู่แล้วมึง ทำอะไรคิดหน้าคิดหลังบ้าง”
“หมดกันเหนือเดือน”
“อย่าบอกใครนะว่าเป็นเพื่อนกู อายสัด”
และช่วงบ่ายของผมก็ไม่เงียบเหงาอีกต่อไปเมื่อไอ้คอปป์ ไอ้ปอนด์ และไอ้บลูมยังคงเอาเรื่องหนังสือแคลเล่มสามมาล้ออย่างต่อเนื่องจนเลิกเรียน สัด! ซีนที่น่าจดจำในชีวิตกู คือการหยิบหนังสือที่ต้องอ่านสอบให้กับเด็กที่ไม่ได้สอบ ขอบคุณ
สองทุ่มผมหยิบมือถือขึ้นมา กดไปที่เบอร์ของใครคนหนึ่งแล้วมองอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ยอมกดโทรออกสักที
เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ต้องมานั่งคิดประโยคทักทายแรกหลังอีกฝ่ายรับสายสักครั้ง แต่กูแม่งสูญเสียความเป็นตัวตนทั้งหมดก็เพราะมัน จะคีปคูลไม่โทรไปก็ไม่ได้ไง เสือกคิดถึง เสือกอยากฟังเสียง สุดท้ายก็ทนความรู้สึกตัวเองไม่ไหวต่อสายหาอีกฝ่ายในที่สุด
ไอ้อาร์มไม่ปล่อยให้ผมรอนาน มันกดรับอย่างรวดเร็ว แถมยังทักทายด้วยประโยคกวนตีนโคตรๆ อีกต่างหาก
[ว็อทซับเหนือเดือน]
น่ารักฉิบหายเลยโว้ยยยยยย อย่าให้กูได้อยู่ใกล้นะ แม่งจะคว้าตัวมาฟัดให้ร้องครางไปถึงหน้าล็อบบี้เลยสัด
“ไงมึง ทำไรอยู่” ไปหมดแล้วสมงสมอง ประโยคดีๆ ที่คิดไว้สลายไปกับอากาศเพราะไอ้เด็กเห็บมาดันเปรี้ยวตีนกลับมา
[อ่านหนังสือ]
“วิชาอะไร”
[แคล] ไอ้อาร์มตอบกลับแทบจะทันที แต่ไม่นานมันก็พูดต่อประโยคเดิมอีก ซึ่งคราวนี้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาบางเบากว่าครั้งแรกมาก [เล่มสาม]
“เข้าใจหรือไง ยังไม่ได้เรียนเลย”
[อ่านแค่หน้าแรกที่พี่ถาม] เด็กมันร้ายเว้ย
“สงสัยตรงไหนถามเพิ่มได้”
[ไม่สงสัย]
“สักนิดก็ไม่มีเหรอ”
[เพื่อนมันถามว่าพี่พูดเรื่องอะไร กูก็ไม่กล้าตอบกลัวพี่จะโกรธ ต้องตอบว่าไงดีอ่ะ] กับเรื่องบางเรื่องน้องมันก็ไม่ประสาจริงๆ อุตส่าห์ขอเป็นแฟนขนาดนั้นแล้วผมคงไม่อยากให้มันปิดเป็นความลับหรอก
“บอกไปเลยว่ากูขอเป็นแฟน แล้วตอนนี้ก็เป็นแฟนกันแล้วด้วย”
[ตรงไปมั้ยอ่ะคนเรา พวกมันปลื้มพี่มากนะ ขืนบอกไปกูจะโดนอะไรมั้ย]
“ถ้าไม่บอกมึงก็จะโดนกูจับเย อยากโดนเหรอ”
[มะ...ไม่ๆ] ผมหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงตะกุกตะกักตอบกลับมา น่ารักโว้ยยยยยยย อยากเยเด็ก อยากจับมาฟัดกับเตียงแล้วทำให้แม่งร้องครางจนหมดแรงคาอก นี่แค่คิดก็ขึ้นแล้วนะ หาบันไดมาให้กูปีนลงที
“แล้วนี่กินข้าวหรือยัง” เปลี่ยนเรื่องดีกว่า
[สามทุ่มแล้วก็ต้องกินละดิ]
“ดีละ”
[พี่ล่ะกินยัง]
“ยัง เดี๋ยวจะออกไปกินกับเพื่อนแล้วแวะอ่านหนังสือที่หอสมุด แต่กูว่าจะไปหามึงที่หอในก่อน”
[พะ...พี่มีไรอ่ะ] ไอ้อาร์มถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ตอนนั้นเองที่ผมรวบรวมพลังใจทั้งหมดที่มีเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกไป และไม่ว่าอีกฝ่ายจะคิดแบบไหนผมก็พร้อมจะยอมรับความจริง
“ไอ้อาร์ม กู...”
[...]
“ต้องสอบ เพราะงั้นขอหนังสือแคลเล่มสามคืนได้มั้ย]
“ฮ่าๆๆๆ ถ้ากูไม่คืนพี่จะทำไม”
[อยากโดนดีเหรอไอ้เด็กเวร] แม่งเอ๊ย เสียเซลฟ์ฉิบหายโดนเด็กหัวเราะใส่
“กลัวๆ”
“วอนตีนตลอด เดี๋ยวได้ร้องไห้ทั้งน้ำตาแล้วจะรู้สึก”
[กลัวจัง กลัวๆ]
“ซื้อทิ้งได้มั้ยคำนี้”
[ไม่ขายครับ]
“กูจะออกไปหอในแล้ว ถ้าอยากเถียงก็ลงมาด้วย”
[แล้วต้องเอาหนังสือไปด้วยมั้ยอ่ะ]
“มาแต่ตัวก็ได้ ไม่อ่านแล้วหนังสืออ่ะ พอดีจะหาเรื่องเยเด็กให้มันจบๆ ไป” เท่านั้นแหละครับ หูของผมก็ชาไปทั้งซีกเนื่องจากโดนไอ้อาร์มด่าเช็ดก่อนวางสายไป
ผมไม่เคยรู้สึกฝืนเวลาอยู่กับมันเลยสักครั้ง น้อยมากที่เวลาอยู่กับใครแล้วจะรู้สึกสบายใจมากขนาดนี้ เพื่อนคือเซฟโซนสำหรับผม ทว่าตอนนี้ไอ้อาร์มก็ไม่ต่างกัน ตรงข้ามกับความสัมพันธ์ของคนที่เคยผ่านมา ถึงแม้จะพยายามเป็นตัวของตัวเองมากแค่ไหน มันก็ยังมีเสี้ยวหนึ่งที่เราปิดกั้นไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเข้าถึงอยู่ดี
คงมีแต่ไอ้อาร์มล่ะมั้งที่ทำลายกำแพงทุกอย่างลง และเข้ามาทำความรู้จักกับผมโดยที่เรา...ยังมีความเป็นเรา เราที่ไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวตนอะไรเลย
ผมมีนัดกับแก๊งเพื่อนที่ร้านอาหาร แต่ก่อนจะไปเลยแวะมาหาเด็กผีที่หอซะก่อน
เอาจริงเรื่องหนังสือจะมาเอาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะมันไม่ได้สำคัญอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือหน้ากวนๆ ของคนที่อยากเจอต่างหาก
“โห ยืนหล่ออะไรขนาดนั้น รถสีถลอกหมดแล้วมั้ง” ดูมัน เห็นกูยืนพิงรถรอหน่อยนี่หาเรื่องวอนส้นตลอด
ไอ้อาร์มเดินลงมาหน้าหอพร้อมกับหนังสือแคลคูลัส สภาพตอนนี้เรียกได้ว่าไม่เรียบร้อยนักเพราะหัวยุ่งเหยิง เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นก็กวนใจกูมาก กลัวยุงกัดแม่งไง บอกตรงๆ ว่าหึงยุง คือกูแม่งต้องได้กัดมันมันแค่คนเดียว จะกัดให้จมเขี้ยวจนกว่าจะพอใจเลย
พูดแล้วเอาบันไดมาให้กูอีกทีซิ ขึ้นได้ตลอดเวลา รำคาญ!
รอจนคนตัวเล็กเดินมาหยุดตรงหน้าผมเลยตอกกลับเป็นทีเล่นทีจริง
“ก็กูหล่อ”
“ยอมๆ”
“ยอมให้กูเยเหรอ ได้ๆ”
“พี่ไปกวนตีนตรงโน้นเลย”
“นี่กูได้ลูกหรือได้แฟนงี้เถอะ ไหนอ่ะหนังสือ” มือขาวยื่นสิ่งที่ผมต้องการมาให้ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่
“พี่รีบไปกินข้าวเลย เดี๋ยวเพื่อนจะรอนาน”
“รู้แล้ว มึงก็รีบขึ้นไปเถอะเดี๋ยวยุงกัด” ผมจะมองดูอยู่ตรงนี้จนกว่าเด็กดื้อจะละสายตาโน่นแหละ
“โอเค งั้นไปละ”
“อือ”
“พี่...อย่าลืมอ่านแคลเล่มนี้ด้วยนะ”
“รู้แล้ว” ไอ้อาร์มหมุนตัวเดินกลับเข้าหอ ส่วนผมก็พาตัวเองกลับเข้าไปนั่งในรถ ก่อนสตาร์ทเครื่องก็ไม่ลืบหยิบหนังสือแคลคูลัสมาเช็ก ไม่รู้ว่าอาร์มหยิบโพสต์อิตที่ผมเขียนไว้ออกหรือยัง แต่ก็คาดหวังลึกๆ ว่ากระดาษแผ่นนั้นจะไม่อยู่แล้ว
และใช่! เพราะเมื่อเปิดหน้าแรกออกมาผมก็ไม่พบกระดาษสีเขียวมะนาวที่เคยเขียน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยกระดาษสีเหลืองสดใสพร้อมกับตัวหนังสือบรรจงของคนเป็นเจ้าของ
‘ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับ’ บู้ม!
แค่ประโยคธรรมดา เป็นประโยคธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ไม่รู้ทำไม...
ถึงได้ฆ่าคนให้ตายทั้งเป็น
ชีวิตเด็กมหา’ลัยเข้าสู่ช่วงสอบไฟนอล ซึ่งก็เหมือนทุกครั้ง ทุกพื้นที่ในมอเต็มไปด้วยนิสิต ต่างคนต่างพากันมาจับจองที่นั่งสำหรับอ่านหนังสือ คาเฟ่ทุกที่เต็มตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย ยิ่งหอสมุดยิ่งไม่ต้องพูดถึง กว่าจะเดินหาที่นั่งได้ก็กินเวลาเกือบสองชั่วโมง
ผมไม่ได้เจอไอ้อาร์มมาสามวันแล้ว หนึ่งเพราะเด็กมันกำลังยุ่งอยู่กับการติวหนังสือกับเพื่อน สองผมเองก็ไม่กล้าไปเจอมันเพราะกลัวจะอดใจไม่ไหว เดี๋ยวนี้ความอดทนกูต่ำนะครับ ยิ่งตอนที่ได้มาเป็นแฟนยิ่งอยากทะนุถนอมแทบขาดใจ
แตะแขนปุ๊บแทบจะเยกันบนถนน
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือถ้าไม่แอบซื้อนมไปให้ กูก็ต้องรอจนกว่าจะสอบเสร็จโน่นแหละถึงจะได้หาเรื่องไปเจอมัน
“ทำหน้าเหมือนโดนตัดเอฟทุกวิชาเลยนะมึง จดจ่อกับหนังสือบ้าง”
ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว หอสมุดเต็มไปความเงียบแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมมีสมาธิขึ้นเลย
“อ่านอยู่ไม่เห็นหรือไง”
“ค้าบเพื่อนอาร์ค มึงอ่าน แต่ถามหน่อยว่าเนื้อหาเข้าหัวบ้างป่ะ”
“ไม่เสือกสิ”
“กูรู้ว่ามึงมัวแต่นึกถึงใคร ก็เด็กน้อยมันน่ารักอ่ะน้อ ในใจหมาโหดอย่างมึงก็เลยอยากฟัดเค้า แต่ขอโทษ ได้ข่าวว่าไม่ได้เจอกันมาสามวันแล้วหนิ”
“อุ๊ยมึง! อย่าเอาความจริงมาพูด กูหรรม ฮ่าๆ”
เกลียดเพื่อนตัวเองนี่ผิดมั้ย หาเรื่องกวนประสาทได้ทุกวี่ทุกวันนะสัด
“อาร์คเอางี้นะ ไหนๆ ก็ไม่มีสมาธิแล้วมึงก็ชวนไอ้อาร์มมันไปที่ห้องเลย” ไอ้คอปป์ดึงชีทเตรียมสอบออกจากมือ ส่วนไอ้ปอนด์กับไอ้บลูมก็ช่วยกันเคลียร์โต๊ะจนโล่ง ก่อนจะหยิบเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า
“กูมีของดีมาให้ คิกค้ากกกกกก” ค้ากพ่อง!
“นี่เลยๆ คืนนี้ชวนน้องมันไปที่ห้องก็เผด็จศึกเลย กูศึกษามาให้แล้ว” เสร็จสรรพมันหยิบถุงยางสารพัดยี่ห้อออกมาวางไว้ จนผมต้องโบกหัวแม่งไปคนละที ดีนะที่นั่งหลบมุมเลยไม่มีใครสังเกตเห็น
แต่เพื่อนกูไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ครับเพราะมันกำลังโชว์สกิลการพรีเซนต์สินค้าอย่างต่อเนื่อง
“นี่เลยดูเร็กซ์กลิ่นสตรอเบอรี่ มึงเอ๊ย...มึงเอ๊ย ดีมากมึง กูเคยใช้กับสาว กลิ่นหอมตั้งแต่เตียงยันหน้าประตูเลยนะเว้ย” พอเห็นผมหรี่ตามองขวาง แม่งก็ยังไม่ลดละหยิบถุงยางกล่องใหม่ออกมาอีก
“หรือไม่ชอบ มีแบบบางด้วยนะเว้ย โอกาโมโต หนาแค่ 0.03 มิล ใส่เหมือนไม่ได้ใส่”
“ไม่เอาเหรอ แบบ 0.01 มิลก็มีนะมึง สุดยอดของความประทับใจ”
ผมส่ายหัว มองไอ้เพื่อนตัวดีสาละวนกับการแชร์ประสบการณ์ที่กูเองไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด
“เพื่อนอาร์คไม่ชอบแบบนี้ งั้นชอบแบบขรุขระมั้ย เพิ่มผิวสัมผัสให้เร้าใจ บอกเลยว่าอันนี้เด็ด แฟนเก่ากูแม่งครางดังกว่าทีวีตอนเปิดเสียงสูงสุดอีกนะเว้ย”
“พอเถอะ กูนอนกับเมียเพราะงั้นกูไม่ใส่” ผมพูดตัดรำคาญเพราะไม่อยากฟังพวกมันพล่ามอีก แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“โหยยยยยยยย สุดยอดเพื่อนอาร์ค มึงก็ไม่ได้ไปหื่นหรือนอนกับใครโน๊ะ เพราะงั้นถ้ามีไอ้อาร์มคนเดียวกูขอพรีเซนต์ เจลหล่อลื่นสูตรน้ำพิเศษ ไร้สี ไร้กลิ่น ส่งตรงจากอังกฤษ”
“...”
“แต่ถ้าชอบแบบมีกลิ่นนี่เลย เชอร์รี่บลอสซั่ม ดมปุ๊บเหมือนมีเซ็กซ์อยู่ในสวนดอกไม้”
“กูว่านี่ไม่เหมาะกับไอ้อาร์คว่ะ สำหรับกูขอแนะนำยี่ห้อนี่เลย มันมีสารสกัดที่ทำให้ลูกชายมึงแข็งมาก คือทุบหัวนี่มีสลบเลยนะ รับประกันความแข็งดั่งหินแกรนิต”
ผมฟังไปเครียดไป ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกแต่ยิ่งพูดเรื่องอย่างว่าเยอะขึ้นสมองก็จินตนาการเตลิดเปิดเปิงจนเกินจะกู่กลับ กว่าจะไล่ความคิดหมกมุ่นออกจากหัวได้ก็ตอนที่ไอ้เพื่อนนรกมันเทของทุกอย่างใส่กระเป๋าให้ผมแล้วนี่แหละ
“เพื่อมึง”
“อ่านหนังสือไอ้สัด”
“กูรู้ว่าอะไรก็เอามึงไม่อยู่แล้ว เพราะงั้นไปสู้! สู้เพื่อความสุขของมวลมนุษยชาติ”
“ไอ้อาร์มจะสอบ มันต้องอ่านหนังสือ”
“มึงอย่ามาทำตัวมีคุณธรรม แค่มองตาก็รู้แล้วว่ามึงคิดไม่ดีกับเด็กผีนั่น เอาไง ไม่เอากูเอานะ” ได้ยินประโยคนั้นของไอ้คอปป์ผมก็จ้องมันตาขวาง กัดฟันพูดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“ช่วยให้เกียรติไอ้อาร์มด้วย”
ถ้าจะหื่นคือกูหื่นได้คนเดียว...
“รักเขามากอ่ะเนอะ ใครพูดแทะโลมไม่ได้เดี๋ยวหึง แล้วไง หึงแต่ก็ยังกากอยู่ดี แน่จริงนัดน้องมันไปนอนกกที่ห้องเลย ใจๆ กันหน่อย” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ตัดรำคาญด้วยการต่อสายหาไอ้อาร์ม ไม่คิดเลยว่ากูจะหยุดความตบะแตกไม่ไหวโผล่ไปเจออีกฝ่ายถึงห้องติวอีกจนได้
“ไอดอลมา พี่อาร์คคคคคคคคคคค”
แค่โผล่หัวเข้ามาก็โดนทักแล้วครับ ไม่รู้ว่าผมไปทำให้ไอ้พวกปีหนึ่งปลื้มตรงไหนถึงได้กระตือรือร้นเวลาเห็นกูมาก
ที่สำคัญตอนนี้เขาก็เริ่มรู้กันทั้งคณะแล้วว่าผมกับไอ้อาร์มคบกัน ดังนั้นเลยไม่แปลกถ้าจะเห็นผมโผล่หัวมาในห้องติวปีหนึ่ง แถมทุกคนยังช่วยกันจัดเก้าอี้ให้นั่งข้างเด็กเห็บหมาโดยไม่ต้องเอ่ยบอก
“ติวอะไรกัน”
“กลศาสตร์คร้าบ พี่อาร์ค ถ้าไอ้อาร์มมันกวนตีนบอกผมได้นะ เดี๋ยวจะช่วยสั่งสอนให้”
“เหนือเดือน ผมเท่กว่าเยอะ แถมหัวใจยังว่างด้วย”
“ตั้งใจเรียนไป กวนมากเดี๋ยวเจอตีน”
บรรยากาศในห้องติวดูครึกครื้นขึ้นมาทันตา ไม่มีใครกลัวผมอีกแล้ว มีแต่เสนอตัวเล่นๆ จนอยากกระทืบสั่งสอน ปีนเกลียวกันเก่งเหลือเกิน อยู่กับเพื่อนก็ปวดหัว อยู่นี่ก็ประสาทแดก เออดี!
“พี่ไม่อ่านหนังสือกับเพื่อนเหรอ” สุดท้ายคนที่นิ่งเงียบไปนานก็ถามขึ้น ไอ้อาร์มมองหน้าผมตาปริบๆ ริมฝีปากก็เอาแต่เม้มเข้าหากันแน่นให้ความรู้สึกยั่วยวนยังไงไม่รู้
ถุงยางในกระเป๋าสั่นระริกละ
“อ่านแล้ว ตอนนี้ว่างเลยแวะมาหามึง แล้วที่ติวนี่ตามเพื่อนทันมั้ย” ผมก้มมองชีทในมือของคนตัวเล็กกว่า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองมันอีกรอบ
“ทันดิ กูเป็นคนเก่ง”
“รุงรังเก่งด้วย”
“ไม่ด่ากันสักวันไม่ได้หรือไง”
“ด่าที่ไหน กูพูดความจริง” ไอ้อาร์มเบะปากน้อยๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับกระดาษที่กำลังติวอยู่
ผมนั่งอยู่ข้างมัน คอยสอนและแนะนำให้บ้างตอนที่เจ้าตัวตามเพื่อนไม่ทัน บอกตามตรงว่ากูรำคาญไอ้อาการเกาหัวแกรกๆ ของแม่งมาก เด็กมันโง่ แต่กูดันหลงหัวปักหัวปำ
การติวยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงตีหนึ่ง ปีหนึ่งหอชายเริ่มเก็บของแล้วแยกย้ายกันกลับ ส่วนผมก็หาเรื่องสร้างแผนล่อเห็บหมาออกจากถ้ำ
“มากับใคร” เอ่ยถามออกไปอย่างคาดหวัง
“มากับไอ้โป้แล้วก็ไอ้แซนด์”
“เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ลำบากเปล่าๆ ทางเดียวกันกลับด้วยกันอ่ะดีแล้ว พี่ก็จะได้รีบไปพักผ่อนด้วย”
“ไม่เป็นไร ไปส่งแฟนไม่ได้ลำบากอะไร”
“...” อ้าว ทำตาโตใส่กูเฉย เดี๋ยวพ่อก็เขมือบซะหรอก ยิ่งหื่นๆ อยู่ด้วย
“สรุปยังไง”
“ก็ได้ แต่ขอบอกเพื่อนก่อนนะ” เยส! การเริ่มต้นผ่านไปด้วยดี
แผนที่คิดเอาไว้ในหัวเลยคือแสร้งขับรถกลับไปที่ห้อง จากนั้นก็ขังไอ้อาร์มไว้ พอจัดการเผด็จศึกใหญ่เสร็จสรรพค่อยปล่อยตัวกลับไป คิดว่าแผนนี้แหละเวิร์คสุด
แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์จริง กูยังไม่ทันหักพวงมาลัยเลี้ยวไอ้เด็กผีก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน
“พี่อาร์คจะพากูไปไหน หอในเลี้ยวขวา”
“เออๆ”
“พี่เลี้ยวดิ”
“รู้แล้ว ย้ำทำไมบ่อย” เล่นเอากูขับรถเป๋ไปเลยสัด ไม่มีแล้วความเนียน แถมตอนนี้ก็ไม่มีความกล้าพอด้วยเลยตัดใจพาไอ้ตัวเล็กตัวน้อยไปส่งหน้าหอ ก่อนกลับก็เอ่ยขอบางอย่างให้กระชุ่มกระชวยใจบ้าง
“ก่อนลงรถต้องทำยังไง” ไอ้อาร์มกะพริบตาเหมือนงุนงงก่อนจะยกมือไหว้
“ขอบคุณครับ”
“ไม่ มึงต้องหอมแก้มกู”
“ได้ไง”
“ได้ เป็นแฟนกันต้องหอมแก้ม” ยังนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน “เอาไงว่ามา หรือจะนอนบนรถ”
นานเหมือนกันกว่าจะยอมขยับตัว มือบางปลดสายเข็มขัดนิรภัย จากนั้นก็ค่อยๆ โน้มตัวลงมาช้าๆ ในหัวผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักนอกจากหากำไรเล็กๆ น้อยๆ แต่ใครจะคิดว่าท้ายที่สุดแล้วไอ้เด็กนี่กลับทำมากกว่าที่ขอ
ใจของผมเต้นแรงจนแทบทะลุอกเมื่อริมฝีปากเล็กแตะลงมาบนปาก แม้จะเพียงชั่วครู่แต่ก็ทำให้คนถูกกระทำตายซ้ำตายซ้อนได้ในคราวเดียว
“ขอบคุณที่มาส่ง ฝันดีครับ”
“อือ...”
ผลัก!
ไอ้อาร์มไขประตูออกไป ส่วนผมยังคงนั่งนิ่งคล้ายกับถูกสาป มีเพียงสิ่งเดียวที่มีการเคลื่อนไหวและผมเกลียดตัวเองมากๆ เพราะไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างหวัง
สัด...
แข็งเลย
อ่านต่อด้านล่างค่ะ