ตอนที่ 16
กากให้คุ้มกับโควตาที่ได้มา
“เดอะแก๊งเริ่มย้ายออกไปเช่าหอข้างนอกแล้ว เราจะเอายังไงดีวะ”
ไอ้แซนด์เริ่มต้นบทสนทนาในเช้าวันใหม่พร้อมหัวข้อที่เพิ่งเป็นประเด็นร้อน ความจริงมันร้อนมาเกือบอาทิตย์แล้วตั้งแต่เพื่อนคนแรกของหอชายทำใจกล้าแอบขนของออกไปเช่าข้างนอก
ปกติทางมหา’ลัยจะให้ปีหนึ่งพักอยู่หอในเป็นเวลาหนึ่งปี แต่แค่เทอมแรกก็พากันตบะแตกซะแล้ว
สาเหตุหลักไม่ได้เกิดจากการทะเลาะกันหรืออะไรหรอก ไอ้เพื่อนผมน่ะติดปาร์ตี้ อย่างที่รู้กันดีว่าชาววิศวะของเราแม่งมักโผล่หัวไปไม่กี่ที่ หนึ่งในนั้นก็คือร้านเหล้า คืนไหนกลับดึกหน่อยก็เข้าหอลำบากเลยหาทางออกด้วยการเช่าห้องแยกเอาไว้แทน
“ไม่รู้ดิ ต้องขอพ่อกับแม่ก่อน” ปกติก็ไม่ค่อยแบกหน้ากลับบ้านอยู่แล้ว โผล่ไปทีบอกจะออกไปเช่าห้องใหม่พ่อกูได้หวดขาลายแน่ๆ
“พอดีพี่รหัสกูแนะนำที่นึงไว้ แม่งโคตรเวิร์ก เหมาะแก่การลั้ลลามากๆ”
“จริงดิ แล้วไอ้โป้ว่าไง”
“โอ๊ยยย รายนั้นคือเตรียมเก็บของรอแล้วมึง”
“จะรีบกันไปไหน” ผมบ่นอุบอย่างไม่จริงจัง “กูว่าย้ายก่อนขึ้นเทอมสองดีกว่า อะไรมันจะได้ลงตัวขึ้น”
“ก็ดีเหมือนกันนะ เพื่ออิสรภาพของปีหนึ่ง”
“...”
“อีกอย่างถ้าพี่หวานตกลงปลงใจจะคบกู มันก็ยิ่งง่ายเวลาดอดไปหา”
“จ้า เอาที่สบายใจ”
“ส่วนมึงก็จะได้มีเวลาไปเจอกับพี่อาร์คตอนดึกๆ ไง” ประโยคนั้นทำผมสะดุ้งโหยง หน้าร้อนผ่าวลามไปถึงใบหูทั้งสองข้าง
“กะ...เกี่ยวอะไรกับพี่อาร์ควะ ปกติกูก็ไม่ได้ไปหาพี่มันดึกๆ อยู่แล้ว มึงแม่งโยงมั่วไปหมด”
“เคๆ ร้อนตัวตลอดนะมึงเนี่ย”
“กูเปล่า”
“อืมมมมมม เอาที่สบายใจนะ พร้อมจะพูดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”
ว่าแล้วไอ้รูมเมทตัวดีก็ลากสังขารลงจากเตียงพุ่งไปยังห้องน้ำเป็นอันดับต่อมา เราใช้เวลาในช่วงเช้าไม่ต่างจากทุกวัน อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวหน้าหอ ก่อนจะตรงไปยังคลาสเรียนที่แสนน่าเบื่อและจำเจ ทว่าที่ต่างไปจากนั้นคือคะแนนสามวิชาสุดท้ายซึ่งเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตดันมาออกพอดี
นี่มันวันของกูชัดช้าดดดดดดดด ถึงจะไม่ได้ท็อปของเซคอะไรเบอร์นั้น แต่ทุกวิชาที่ได้มาเมื่อเอามาเรียงดูแล้วถือว่าอยู่ในจุดที่พึงพอใจ แถมยังสามารถโทรไปขอเงินพ่อเพิ่มได้เนื่องจากเป็นเด็กเรียนดีแต่ไม่มีเงินแดก
และเหมือนสายรหัสเทวดาจะล่วงรู้ว่าคะแนนปีหนึ่งออกครบหมดแล้ว พี่ญี่ปุ่นเลยเป็นทัพหน้านัดเวลาฉลองอย่างเร็วรี่ อย่าลืมสิว่าสายรหัสผมยังมีการพนันเอาไว้ก่อนหน้า ใครแพ้จ่ายตังค์ แถมกูยังมีเดิมพันนอกรอบกับพี่อาร์คอีกต่างหาก
“อาร์มมาแล้ววววววววววว” เสียงพี่รหัสโพล่งขึ้นมาทั้งที่ผมโผล่หัวเข้ามาในร้านเพียงเสี้ยววินาที
“สวัสดีครับพี่ญี่ปุ่น สวัสดีครับพี่เจต” ว่าพลางยกมือไหว้ไปด้วย แต่พอหันไปเจอใครอีกคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วผมก็ไม่ลืมยกมือไหว้ก่อนเอ่ยทักทายแบบกวนๆ “หวัดดีลุง”
“เด็กผี” แล้วดูแม่งตอบกลับมาดิ โคตรรักกันเลยอ่ะ
“ผมไม่ได้ชอบแมนยูซะหน่อย จะเป็นเด็กผีได้ไง”
“วอนซะละ”
“อุ๊ยกลัวๆ”
“ลุงหลานนี่เถียงกันตลอดเลย เดี๋ยวมาสั่งอาหารก่อนเถอะ” พี่ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายยุติสงครามเหมือนทุกครั้ง ส่วนพี่เจตก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้า เป็นอะไรอ่ะ ซดน้ำกัญชามาเหรอ
“สั่งดิ” พี่อาร์คโยนเมนูอาหารให้ ผมเลยรับไปเปิดเงียบๆ ระหว่างนี้พี่เจตก็รีบพูดเข้าประเด็นทันที
“วันนี้คนแพ้จ่ายนะ”
“โหย ใครน้าที่ต้องแพ้” ผมพึมพำติดตลก ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่กู “ผมเอาอันนี้ครับ”
“โอเค อาร์มกินสเต็กปลา เพิ่มพาสต้ามั้ย”
“ไม่ครับ กลัวว่าคนแพ้ต้องจ่ายหนัก เห็นแล้วสงสารอ่ะ”
“มั่นใจจัง” ประโยคนี้เป็นของคุณชายปีสามที่นั่งทำหน้ากวนตีนอยู่ข้างๆ
“มั่นใจอยู่แล้ว”
แปลกดีนะครับ เวลาผมอยู่ใกล้พี่มันทีไรมักจะมีความรู้สึกสองอย่างขัดแย้งกันเสมอ หนึ่ง คือเป็นตัวของตัวเองมากๆ จนรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่ค่อยได้รู้สึกกับใครเท่าไหร่ แต่ขณะเดียวกันผมก็ยังรู้สึกประหม่าเวลาอยู่ใกล้พี่อาร์คในบางครั้ง เหตุการณ์ก็อย่างเช่น...
อยู่ด้วยกันสองต่อสอง แถมยังโดนทำรุ่มร่ามใส่ บอกตามตรงว่าถ้ายังทำตัวเป็นไอ้อาร์มคนเดิมได้นี่คงเก่งสัดๆ ไปเลยครับ
“พี่อาร์คกินอะไรดีคะ” พี่ญี่ปุ่นถามอีก
“เหมือนอาร์มละกัน”
“ขี้ลอกอ่ะ” แม่งอดไม่ได้ ต้องหาเรื่องแซะตลอดเลยกู
“รุงรัง”
“ฟ้องพ่อแน่”
“กูท้าให้โทรตอนนี้เลย เดี๋ยวจะเคลียร์เอง”
“งั้นต่อสายหาคุณรังสรรค์ให้ด้วยนะ พอดีอยากถามว่าทำไมลูกชายถึงเกเร”
“อยากคุยกับพ่อกูเหรอ”
ทั้งน้ำเสียงและแววตาของคนตัวสูงเต็มไปด้วยความจริงจัง แถมมือที่กำลังกำโทรศัพท์อยู่ก็พร้อมจะกดโทรออกตลอดเวลา นั่นทำให้...
“อะ...เอ่อล้อเล่นครับ พี่...กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ” กลัวอ่ะ
“ขอโทษทำไม พ่อกูก็เหมือนพ่อมึงนั่นแหละ โทรไปคุยได้”
โหยยยยยยย นึกว่าพ่อเป็นเพื่อนหรือไง ใครจะกล้าโทรไปคุยด้วยวะ
“กูว่าถ้าว่างเมื่อไหร่ค่อยโทรไปคุยแล้วกันนะ แต่ตอนนี้ช่วยสนใจกูกับปุ่นก่อน แม่งเอ๊ย เห็นหัวพวกกูมั้ยเนี่ย รีบเปิด reg เลย ใครแพ้จะได้รู้” ผู้อาวุโสที่สุดในโต๊ะเป็นฝ่ายยุติประเด็น ปัญหาคือคู่รักดาวเดือนนี่ต้องมาเป็นฝ่ายเคลียร์ทัพให้เราตลอด จนบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่มันคิดจะตัดสายกูโทษฐานกวนตีนบ่อยหรือเปล่าวะ
แต่ละคนหันไปจดจ่อกับหน้าจอมือถือของตัวเอง Reg ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง ความจริงกิจกรรมในสายนี้มันไม่มีอะไรเมคเซนส์หรอก แค่หวังจะคืนกำไรสู่สมาชิกในสาย โดยเราจะเลือกวิชาที่ได้มากที่สุดออกมา จากนั้นก็คิดคะแนนเฉลี่ย ใครได้มากที่สุดก็ชนะไป
“ปุ่นชนะพี่เจต ว้ายยยยย” มาแล้วครับผู้นำของสาย “อาร์มเอาคะแนนมาดู”
“จัดไปเลย”
“ง้า พี่แพ้อ่ะ ทำไมอาร์มเก่ง ตอนแรกคิดว่าจะโง่กว่านี้ซะอีก” อะ...อ้าวป้า! ถ้าไม่ติดว่าสวย ผมด่ากราดไปแล้ว
“คะแนนผมก็ดีเหมือนหน้าตานี่แหละ”
“ยอมแล้วจ้า ว่าแต่พี่อาร์ค ไหนเอาคะแนนมาให้น้องกับหลานดูหน่อย” คนตัวสูงไม่ได้ตอบอะไร แต่เลื่อนโทรศัพท์มือถือมาไว้กลางโต๊ะ ก่อนเราจะได้เห็นคะแนนทุกวิชาของพี่มันอย่างเต็มตา
เขร้! หัวดีจังวะ
“วิชานี้ ขาดไปสองคะแนน” เจ้าตัวพูดเสียงเรียบนิ่ง ทว่าวินาทีนั้นเหมือนมีมีดล่องหนปักลงบนอกผมอย่างจัง
“อะไรอ่ะ พี่อาร์คจะฟาดหน้าทุกคนแบบนี้ไม่ได้ โอ๊ยยยยยยย” ผมไม่ได้สนใจสิ่งที่พี่ญี่ปุ่นพูด แต่กำลังนึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์วันนั้น ตอนที่เราพนันกันว่าถ้าใครแพ้จะต้องพาอีกฝ่ายไปเลี้ยง แล้วดูดิ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้คะแนนน้อยที่สุดในสาย แต่ก็ยังหนีไม่พ้นต้องตามใจลุงรหัสอีกจนได้
“สรุปรอบนี้กูแพ้เพราะงั้นวันนี้ ปุ่น อาร์ค อาร์ม แดกฟรี!”
“เย่ๆ”
ความครื้นเครงบังเกิดอีกครา เรานั่งรออาหารอยู่ที่โต๊ะ ระหว่างกินก็พูดคุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยตามประสาพี่น้อง กระทั่งคนเคียงข้างโน้มตัวเข้ามาใกล้ พร้อมกับเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แพ้แล้วคงรู้นะว่าต้องทำยังไง”
“รู้แล้วน่า เลี้ยงก็เลี้ยงสิ” ผมตอบกลับในทันที
“พรุ่งนี้ตอนเย็นเจอกัน”
“โอเค สรุปอยากกินอะไรอ่ะ”
“แล้วแต่มึง”
“งั้นกูพาพี่ไปกินไอติมนะ”
“ทำไมต้องเป็นไอติม”
“ก็กูอยากกิน”
“กวนตีนทั้งขึ้นทั้งล่อง”
“อ้าว พูดแบบนี้ระวังจะไม่ได้กินฟรีนะ บอกเลยว่ากูไม่ใช่คนใจดีอย่างที่พี่เข้าใจ”
“เหรอ”
“เออดิ”
“จริงอ่ะ”
“จะ...จริง” แม่งเล่นมองหน้ากูขนาดนี้เป็นใครก็ต้องใจเป๋บ้างล่ะว้า จากที่คิดว่าตัวเองปากเก่งมาตลอด เจอพี่อาร์คแผลงฤทธิ์เข้าไปกูชิงตายก่อนเสมอ เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตากินอย่างเงียบๆ รอคอยว่าเมื่อไหร่พี่อาร์คจะหยุดฆ่าผมด้วยการกระทำของตัวเองสักที
เย็นวันต่อมาเรามีนัดหมายที่ไม่สามารถยกเลิกได้ ถึงตายก็ต้องพาวิญญาณกลับมาเพราะเหนือเดือนเขากำหนดเอาไว้แล้ว พี่อาร์คอาสามารับผมที่หอใน ก่อนเราจะมุ่งหน้าไปยังร้านไอศกรีมโฮมเมดชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ย่านมหา’ลัย
“จะเอาอะไร เดี๋ยวสั่งให้” คนตัวสูงเอ่ยออกมา หลังเรานั่งแปะก้นลงบนเก้าอี้ตรงซอกหนึ่งของร้าน
“พี่ก็สั่งก่อนดิ เป็นคนชนะแล้วหนิ”
“มึงนั่นแหละสั่งมา อย่าลีลา”
“เอาเซตนี้ได้มั้ยอ่ะ เลือกรสไอติมได้ด้วย” ผมชี้เมนูในรูปให้คนตรงข้ามดู ก่อนพี่มันจะแหวใส่เสียงดัง
“จะแดกให้ท้องแตกตายเหรอ”
“พูดงี้ได้ไง นี่เงินผมนะ คนกินฟรีมีสิทธิ์พูดแบบนี้ด้วยเหรอ”
“เออเอารสไรว่ามา” ลุงแกเตรียมกระดาษกับปากกาพร้อมแล้ว ชักช้าอีกก็กลัวว่าองค์จะลง มีหวังเปิดเปิงก่อนจะได้กินของอร่อยอีกแน่ เพราะฉะนั้นผมเลยไม่รอช้าสั่งกับคนตัวสูงอย่างรวดเร็ว
“คุกกี้แอนด์ครีมครับ รสนี้อร่อยน้ำตาไหลเลย”
“เลิกเพ้อแล้วสั่งให้จบก่อน”
“เพิ่มวิปเยอะๆ มีแมคาเดเมียด้วยอ่ะ”
“เอามั้ย” พี่อาร์คเงยหน้าถาม
“เอา! จริงๆ มันใส่ได้ห้าสคูป เอาทุกรสเลยได้มั้ย”
“แดกไรนักหนา”
“อ้าวก็ผมจ่ายตังค์อ่ะ”
“...”
“เอาไอติมช็อกโกแลตหนึ่งสคูป เมื่อกี้สั่งคุกกี้แอนด์ครีมไปแล้วใช่มั้ย”
“เขียนไปแล้ว”
“งั้นเอาทีรามิสุกับกล้วยด้วย แล้วพี่ล่ะเอาอะไร”
“แค่ฟังมึงพูดกูก็อิ่มละ”
“ดีเลยจะได้ไม่ต้องเลี้ยง”
“วอนตีนตลอด”
“เหลือให้เลือกไอติมได้อีกหนึ่งรส พี่เลือกมาเลย นี่โคตรใจดีแล้วนะที่ให้โอกาสเลือกอ่ะ”
“งั้นเอาคุกกี้แอนด์ครีมแล้วกัน” พี่อาร์คพูดพลางจดรายละเอียดลงบนกระดาษ ขณะที่ผมก็ได้แต่ปลื้มปริ่มเลยเอ่ยออกไปเพราะความปากไวของตัวเอง
“หูย ชอบเหมือนกันเลยว่ะ”
“ก็สั่งให้มึง เลยเลือกที่มึงชอบ” บู้ม!! คิดเอาว่าตอนนี้กูตายไม่ตาย ฆ่ากูได้ตลอดนะไอ้พี่อาร์ค แต่เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกเพราะเขียนเสร็จก็รีบแล่นไปยื่นกระดาษให้กับพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์ทันที ทิ้งผมให้นั่งใจสั่นอยู่ตรงโต๊ะเพียงลำพัง
กว่าจะดึงสติตัวเองให้กลับมาได้ก็ใช้เวลาอยู่เกือบนาที พี่อาร์คกลับมานั่ง สายตาจ้องมายังผมไม่คลาดเคลื่อนเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าผมก็ไม่มีความกล้าพอที่จะถามเลยได้แต่เงียบ รอกระทั่งไอศกรีมถ้วยบิ๊กบึ้มมาเสิร์ฟถึงได้เริ่มตักกิน
แน่นอนว่าบทสนทนาก็เริ่มขึ้นหลังจากนั้น แถมมันยังเต็มไปด้วยความลื่นไหล
“อร่อยอะไรขนาดนั้น”
“ใครจะไปเหมือนพี่ ทำอย่างกับโดนบังคับให้กิน”
“กูไม่อยากแย่งเด็ก เดี๋ยวมันงอแงแล้วน่ารำคาญ” รู้สึกว่าผมจะไม่เคยเป็นแบบนั้นนะ พูดมาได้เฮงซวย!
“เหอะ งั้นกูกินหมดพี่ก็อย่ามาโกรธแล้วกัน”
“แดกๆ ไปเถอะ พรุ่งนี้ก็ตาย”
“สัด” ปกติไม่ค่อยอยากด่านะ แต่วันนี้พี่อาร์คมันกวนตีนผมหนักจริง
“ถามอะไรหน่อย” เอาแล้วไง เล่นมาเบอร์นี้ผมจะหลบยังไงวะ แถมพี่มันยังเล่นเท้าแขนลงกับโต๊ะแล้วจ้องหน้าผมเขม็งอีกต่างหาก
“วะ...ว่ามา ตะ...แต่พี่ไม่ต้องชวนกูไปห้องนะ กูไม่ไป!”
“ร้อนตัวอะไรขนาดนั้น แค่จะถามว่าตั้งแต่เกิดมาเคยมีแฟนมั้ย” ผมถามนั้นทำเอาผมกลืนไอศกรีมลงคออย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจมนุษย์เหนือเดือนถึงได้ถามคำถามนี้ออกมา
“ถ้าตอบแล้วผมจะได้อะไรครับ”
“ถ้าตอบคงไม่ได้อะไร แต่ถ้าไม่มึงอาจจะโดนดี” อูยยยยยย โหดกับกูบ่อยกว่าหมาอีก
“ก็เคยมีคนนึง น่ารักมากด้วยนะ คบกันตอน ม.4 แล้วก็เลิกในปีนั้นเลย”
“เลิกเพราะอะไร”
“เขาหนีไปชอบคนอื่น” พูดแล้วเศร้า เล่าไปก็ช้ำ ตักไอติมแดกอย่างต่อเนื่อง “เฮิร์ตหนักมากตอนนั้น ไม่กินข้าวสามวัน น้ำหนักลดสองไปหกขีด”
“ก็ผ่านมาได้หนิ”
“หล่อไง ตัวเลือกใหม่เพียบทำไมต้องแคร์” ทว่าพอเห็นสีหน้าของคนตรงข้ามที่กำลังเต็มไปด้วยความเอือมระอาผมก็หยุดประเด็นของตัวเอง แล้วหันไประดมยิงกับลุงรหัสทันที “แล้วพี่อ่ะ เคยมีแฟนมาแล้วกี่คน”
“ถ้ากูตอบแล้วจะได้อะไร” มีย้อนนนนนนนน
“ก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้าไม่ตอบอาจจะเจอดี”
“โอ๊ย อยากเจอจังเลย” แม่งเอ๊ย เคยกลัวกูบ้างมั้ยเนี่ย “เคยมีแฟนมาแล้วสอง ตอนมัธยมเป็นปั๊ปปี้เลิฟคล้ายๆ มึงนั่นแหละ มหา’ลัยก็เลิกกันตั้งแต่ปีหนึ่งขึ้นปีสอง”
“แล้ว...แล้วเคยมีวันไนต์สแตนด์ป่ะ”
“เคย”
นี่กูกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่วะ ที่แท้พี่อาร์คก็เสือดีๆ นี่เอง
“บะ...บ่อยมั้ย ก็ไม่อะไรหรอก แค่อยากถามประดับความรู้เฉยๆ”
“ไม่ สองสามครั้ง ช่วงขึ้นปีสองใหม่ๆ กำลังเลือดร้อนแถมโสดด้วยไง ตอนนี้ไม่มีแล้ว” พี่อาร์คเน้นประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น ราวกับต้องการบอกให้ผมรู้ ซึ่ง...กูก็รู้แล้วไง เออ มีแต่ไอ้เหี้ยอาร์มที่นั่งอยู่ตรงนี้แหละที่ไม่เคยรู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย
“พี่รักแฟนคนไหนที่สุด แบบว่า...ผูกพันมากๆ”
“คนที่สอง”
“ตอนนี้เขาไปไหนแล้วอ่ะ” ยิ่งถามก็ยิ่งเหมือนก้าวขาเข้าไปในพงหนาม เจ็บนะแต่ก็อยากรู้
“เรียนอยู่ที่มอ มีแฟนใหม่แล้ว”
“พี่เสียใจมั้ย แต่ดูท่าน่าจะเสียใจมาก แล้วมันจะเป็นยังไงถ้าเกิดวันนึงเขากลับมา ไม่ดิ สมมติถ้าย้อนเวลาได้พี่อยากแก้ไขให้มันดีขึ้นมั้ย ความรักของพี่แม่งดูลึกซึ่งอ่ะ แบบ...แบบว่ากูเข้าไม่ถึง”
“อาร์ม”
“เขาต้องเป็นคนที่ดีมากแน่ๆ ตรงข้ามกับกูมากแน่ๆ แล้วพี่มาชอบกูได้ไง”
“น้อยใจแล้ว”
“กูเปล่านะเว้ย” ทว่าเสียงที่ตอบกลับไปสั่นเครืออย่างไม่น่าให้อภัย
“ถ้าถามว่าชอบมั้ย เคยชอบ ถามว่าเป็นคนดีมากมั้ยก็คงตอบว่ามาก ถามว่าตรงข้ามกับมึงหรือเปล่ายิ่งคนละโลกเลย จะเอามาเปรียบเทียบกันได้ยังไง มึงก็คือมึง”
“...”
“กลัวใช่มั้ยว่าวันนึงจะถูกกูทิ้ง เออ กูก็กลัวเหมือนกันว่าวันนึงมึงจะทิ้งกู”
“ไม่จริงเหอะ”
“กูชอบที่มึงเป็นแบบนี้จริงๆ แบบที่ไม่เคยชอบใครมาก่อน ไม่เหมือนความรู้สึกที่ผ่านๆ มา มันไม่ใช่ความหลง บางทีก็ยังแอบคิดถ้าวันนึงมึงไม่เลือก กูก็ยังหวังว่ามึงจะเจอคนที่ดีกว่า ในใจมันมองข้ามความเห็นแก่ตัวไปแล้ว”
“รู้แล้วน่า ตอบซะยาวเลย” ผมบ่นอุบ ซึมซับคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ในใจอย่างช้าๆ
“เลิกคิดมาก เป็นเห็บหมาไม่ต้องคิดอะไรก็ได้”
แป๊บๆ ก็วกกลับมาด่ากู นี่คือชอบกันจริงเหรอ แอบงง
“งั้นคำถามสุดท้ายละ”
“อือ”
“พี่ไม่อายเหรอที่ต้องบอกกับคนอื่นว่าชอบกูอ่ะ” มันไม่ง่ายเลยที่ต้องยอมรับตัวเองเวลาถูกมองว่าเป็นเกย์ ผมน่ะกว่าจะเข้าใจก็ต้องใช้เวลา แต่กับพี่อาร์คที่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางความสนใจของคนในคณะ ทุกอย่างมันจะผ่านไปได้จริงๆ เหรอวะ
แน่นอนว่าคำถามนี้ค่อนข้างยาก เขาไม่ได้ตอบผมในทันที แต่เลือกเงียบคล้ายกับกำลังใช้ความคิดจนผมเริ่มกระวนกระวายใจ
“คือถ้าพี่...”
“เมื่อก่อนอาจจะอายไม่อยากยอมรับกับใคร แต่พอเป็นมึง ใจมันก็กล้าขึ้นมาซะงั้น” “...”
“ก็กูรักของกูอ่ะ มันแค่รักจริงๆ”
บู้ม! บู้ม! บู้ม! ทุกอย่างในหัวกระจุยกระจายไปหมดแล้ว ทำไงดีวะ มือสั่น ปากสั่น ร่างกายเหมือนถูกใครสักคนเอาไฟฟ้ามาช็อต สติทุกอย่างของผมแปรเปลี่ยนเป็นหลุมดำโดยสมบูรณ์ แต่แปลกที่เรายังเอาแต่จ้องหน้ากันอยู่ไม่คิดหลบ
“อาร์ม”
“หือ”
“รีบกินสิ ไอติมละลายหมดแล้ว”
ใจกูก็ละลายตามไปด้วย พี่ไม่รู้หรือไง...
อ่านต่อด้านล่างค่ะ