ตอนที่ 15
พิเศษกว่าทุกคน
ปัง!
“ไอ้อาร์ม มึงจะปิดประตูเสียงดังเพื่อ?”
ไอ้แซนด์แหกปากร้องทันทีที่ผมกลับถึงห้อง มันผงกหัวขึ้นมาจากหมอนพร้อมกับมองมาด้วยสายตาขุ่นๆ
“โทษที กูลืมตัวไปหน่อย”
“เออช่างเหอะ แล้วสรุปไอดอลกูเป็นยังไงบ้าง”
“มะ...ไม่เป็นไร พะ...พี่อาร์คปกติดี มึงอ่ะคิดมาก” เกือบพากูไปเชือดแล้วมั้ยล่ะ ดีนะที่พี่มันมีนัดปาร์ตี้กับเพื่อนต่อ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีทางกลับมาถึงหอในสภาพแบบนี้แน่
“เหนือเดือนโอเคกูก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่มึงนี่สิเป็นเหี้ยอะไรครับ พูดตะกุกตะกัก หน้าก็แดงๆ นะนั่น ไม่สบายป่ะ” คนตรงข้ามหรี่ตามองราวกับกำลังจับพิรุธ นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนรนจนอยู่ไม่เป็นสุข ต้องเนียนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าบ้าง โต๊ะเขียนหนังสือบ้างเพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้
แค่ตอนขับรถกลับหอก็เกือบตายไปหลายรอบละ พี่แม่ง...ทำกูใจเป๋หมด
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโดนจูบแบบสูบวิญญาณขนาดนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว จนตอนนี้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นยังไม่เลือนหายไปเลย ร่างกายมันจดจำ แม้กระทั่งวินาทีที่ทิ้งตัวนั่งลงตรงปลายเตียง ทุกส่วนก็ยังคงสั่นเทาไม่หยุด
“อาร์ม ไอ้อาร์ม!”
“ฮะๆ ว่าไงนะ” ผมเหมือนถูกถีบให้ตื่นจากภวังค์ กลับมาเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง
“กูถามว่ามึงเป็นอะไร ไม่สบายป่ะวะ ให้กูจองศาลาวัดไว้รอมั้ย”
“วอนตีนกูละ กะ...กูไม่ได้เป็นอะไร งั้นขอไปอาบน้ำก่อนนะ”
“ไม่กินข้าวก่อนเหรอ”
“ขออาบน้ำก่อน”
“งั้นรีบเลย กูเริ่มหิวละเนี่ย เดี๋ยวกูเรียกไอ้โป้มาสแตนด์บายรอที่ห้องเราก่อน”
“อือ ขอเวลาสิบนาที”
พูดแค่นั้นก็รีบคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าส้วมอย่างไวว่อง หวังจริงๆ ว่าน้ำจะช่วยให้ผมผ่อนคลายกว่าที่เป็นอยู่ เพราะตอนนี้สมองแม่งยังคงคิดฟุ้งซ่านแต่เรื่องที่ถูกพี่อาร์คจูบไม่หยุด
ความอบอุ่นจากฝ่ามือหนา สายตาเจ้าเล่ห์ปนเอ็นดู กลิ่นตัวและสัมผัสของเขา ผมยังจำได้ทุกอย่างแม้ในเวลานั้นสายตาทั้งสองข้างจะพร่าเบลอไปมากแค่ไหนก็ตาม
“หยุดคิดๆ” พี่อาร์คมึงจะรู้มั้ยว่ากำลังทำให้ใครเป็นบ้า แม่ง คืนนี้กูจะนอนหลับหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
ต้องไม่คิดถึงพี่
ต้องลืมให้ได้ว่าก่อนหน้ามันเกิดอะไร
ทำเหมือนทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน เพื่อเซฟหัวใจของตัวเองไม่ให้รัวกระหน่ำจนตายไปซะก่อน
ผมบอกตัวเอง ย้ำอยู่อย่างนั้นพร้อมกับหาอะไรทำไม่ให้ตัวเองว่างมานั่งคิดถึงอีกฝ่าย แน่นอนว่ามันได้ผล แต่เป็นผลที่มีระยะเวลาแค่...ห้านาที เพราะหลังจากนั้นผมก็ไม่สามารถดึงพี่อาร์คออกจากหัวได้อีกเลย ร้องไห้แล้วสัด
นอนไปทั้งอย่างนั้น
“เฮ้ยไอ้แซนด์ มึงเป็นอะไรวะ”
ผมถึงกับสะดุ้ง เนื่องจากลืมตาขึ้นมาในเช้าวันใหม่ได้ไม่นานก็ต้องตกใจกับคนที่อยู่เตียงตรงข้าม ใบหน้าของไอ้แซนด์ค่อนข้างแย่ มันนั่งตัวสั่นคล้ายกับพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ ส่วนอีกข้างกำยาดมซุกไว้ตรงจมูกเพื่อบรรเทาอาการบางอย่างที่กำลังจู่โจมจนโคม่า
“ฮือออออออออ ชีวิต”
“เดี๋ยวก่อนมึงเป็นอะไร ให้ช่วยอะไรมั้ย” มันเอาแต่ส่ายหน้าไปมา “บอกกูสิ”
เมื่อวานยังดีอยู่เลย ไหงตอนนี้สภาพเป็นผีตายโหงได้วะ
“ชีวิตแค่โดนทำร้าย”
“เดี๋ยวใจเย็นๆ นะ”
“แต่ที่สุดมันต้องไม่โดนทำลาย”
“...”
“แค่วันนี้หัวใจสลาย เตือนตัวเองว่าถึงยังไงฉันยังต้องอยู่...” ร้องให้จบเพลงเลยมั้ยกูจะได้กลับไปนอนรอ แม่ง!
“ให้กูเรียกไอ้โป้มั้ย”
คนฟังส่ายหัน ผมเลยทำได้แค่ก้าวเท้าลงจากเตียงแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเพื่อนรัก ไอ้แซนด์เป็นคนอารมณ์ดี ที่ผ่านมาเลยไม่เคยเห็นมุมแซดๆ ของมันสักเท่าไหร่ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัส ถึงได้รู้ว่าระเบิดลงของจริงมันเป็นแบบนี้นี่เอง
“ยังไม่ต้องบอกกูก็ได้ พร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” ถึงยังไงผมก็จะนั่งข้างมันไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้นนั่นแหละ
“ความรักแม่งโคตรเหี้ย” มาละ เตรียมตัวรับแรงกระแทกได้เลยเพราะมันคงพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย
“มันอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้”
“เหี้ย มันเหี้ย มึงรู้มั้ยว่าเมื่อคืนกูเจออะไรในโทรศัพท์”
“จะ...เจออะไรวะ” พูดไปก็ตบบ่าคนเคียงข้างให้คลายความกังวลไปด้วย
“พี่หวานนอกใจกู”
“แต่มึงสองคนยังไม่ได้คบกัน”
“นั่นแหละ พี่เขาไม่ได้คุยกับกูแค่คนเดียว”
“มันอาจมีเรื่องเข้าใจผิด”
“โอ้โห รุ่นพี่เดือนปีสามอีกคนแท็กรูปคู่ขนาดนั้นมึงจะให้กูคิดยังไง”
“เขาอาจจะเป็นเพื่อนกัน”
“ถ้ามึงเห็นรูปมึงจะรู้เลยว่าไม่ใช่แค่เพื่อนแน่นอน เดี๋ยวนะ เดี๋ยว!” ว่าแล้วไอ้แซนด์ก็จัดการเลื่อนหน้าจอมือถือไปที่เฟซบุ๊กของใครคนหนึ่ง ไม่นานมันก็ยื่นกลับมาพร้อมกับเบะปากเตรียมร้องไห้
ผมก้มมองดูรูปคู่ของรุ่นพี่ที่ถูกแท็ก มันจริงอย่างที่ไอ้แซนด์ว่า ความแนบชิด ใบหน้ายิ้มแย้ม กับดอกไม้ช่อโตในมือของผู้หญิงมันทำให้ผมเผลอคิดว่าสองคนนี้คงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนแน่ๆ
ฉิบหาย กูเตรียมร้องเพลงเศร้ารอเพื่อนเลยครับ
“กูควรรู้แต่แรกแล้วว่าคนสวยไม่มีทางคุยแค่คนเดียว”
“ก่อนสรุปเองมึงได้ถามเขาหรือยังวะ” ก็ไม่อยากให้รีบปักใจเชื่อ เพราะสุดท้ายความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คิด
“ไม่จำเป็น”
“ทำตัวเป็นพระเอกละครไปได้ กลัวว่าถ้าเรื่องไม่เป็นอย่างนั้นมึงจะเงิบเอา”
“ไม่มีทาง ตอนนี้...กูคงต้องขอเวลาทำใจ” จ้ะ ได้เลยจ้ะ
ตื่นมาว่างงแล้ว เจอเพื่อนเออเองสรุปความเองเล่นเอางงยิ่งกว่า แต่นั่นแหละครับ สถานการณ์แบบนี้เหมือนน้ำเชี่ยว ต่อให้เราพยายามโต้แย้งยังไงก็คงไม่ได้ผล ทำได้ก็แค่อยู่เคียงข้างมันต่อไป
ช่วงเวลาอึมครึมลากยาวจากเช้ามาจนถึงกลางวัน
สตอรี่ดราม่าถูกเล่าต่อไปที่เดอะแก๊งอีกคนอย่างไอ้โป้ ซึ่งผมสงสารมันมากที่ต้องมาเออออห่อหมกไปกับไอ้แซนด์ แถมเราต้องมาหูชาฟังเรื่องเศร้าๆ ที่เล่าวนเป็นสิบรอบแบบไม่รู้จบ
มึงควรจัดเดี่ยวไมโครโฟนนะรู้ยัง เพราะเท่าที่สังเกตคิดว่ามันน่าจะไปได้สวย
“ความรักมันไม่เคยดีเลย ก่อนหน้ากูก็เคยโดนแบบนี้ มึงดูหน้ากูนี่! หน้ากูดีขนาดนี้ทำไมหญิงถึงกล้าทิ้งวะ”
“ใจเย็นนะ” อยากบอกว่าบางทีเหตุผลมันก็ไม่ได้อยู่ที่หน้า
ไอ้แซนด์เป็นคนหน้าตาดีมากนะครับ แถมค่อนข้างป๊อปในกลุ่มปีหนึ่งด้วยกัน แต่มันก็โนสนปักใจจะจีบแต่รุ่นพี่ซึ่งเขาก็มีดีกรีเป็นถึงดาวคณะ คือเล่นของสูงจนไม่กลัวเลยว่าตัวเองจะตกลงมาเจ็บ
ตอนนี้เป็นไง เจ็บกว่าใครเพื่อนเลย
“เดี๋ยวมึงก็หาคนใหม่มาดามใจได้”
“กูเข็ดว่ะ กับคนนี้โคตรจริงจังเลยนะเว้ย”
“อืม” รับฟังครับ ใช้หูอย่างเดียวพร้อมกับพยักหน้าประกอบก็พอ
“แต่ช่างเหอะ เจ็บตอนนี้ดีกว่าคบกันแล้วโดนทิ้งในวันข้างหน้า”
“...”
“พวกมึงก็ระวังตัวไว้ให้ดี คุยกับพวกตัวท็อปกลัวว่าสักวันจะเจ็บอีก” ไอ้แซนด์พล่ามอย่างต่อเนื่อง “เขามีตัวเลือกเยอะ จะเลือกคนหน้าตาดี เรียนเก่ง หรือรวยแค่ไหนก็ได้ เรามันก็แค่คนกากๆ”
“โคตรลูซเซอร์เลยว่ะ” ไอ้โป้ที่เงียบไปนานพูดพลางตักข้าวเข้าปาก
“ไอ้โป้ ชีวิตมึงสนใจแต่ตุ๊กตามึงไม่เข้าใจหรอก”
“ทำไมจะไม่เข้าใจ”
“มึงยังไม่เคยเจอสถานการณ์แบบกู อกหักจากคนที่เราชอบมากๆ มันเจ็บนะเว้ย”
“มึงยังไม่ได้คบกับเขาจะอกหักได้ไง”
จึ่ก! เจ็บแต่จริง ขออย่างเดียวอย่าต่อยกันกลางโรงอาหารก็พอ กูอาย
“กูให้ใจไปแล้ว” ไอ้แซนด์ยังคงเอ่ยเสียงสั่นเครือ
“ถามเขายังว่าอยากให้ใจมึงกลับหรือเปล่า”
“...”
“แม่ง แล้วนี่เฮิร์ตหรือเป็นง่อย ทำไมต้องให้คนตัวเตี้ยม่อต้ออย่างไอ้อาร์มมาคอยดูแลมึงด้วย ไม่สงสารมันเหรอ” เหมือนจะเห็นใจกูนะ แต่เปล่าเลย...
“พวกมึงสองคนต้องสงบสติอารมณ์ก่อน”
“...”
“ทุกปัญหามีทางออกเว้ย” ปากพูด ทว่าตอนนี้ตัวเองกลับเป็นฝ่ายวิตกไปเอง
อาจจะจริงอย่างไอ้แซนด์พูด มีรักก็ต้องมีวันที่เราเสียใจ
และความเสี่ยงนั้นยิ่งมีมากขึ้นเมื่อเราดันไปผูกใจกับคนที่มีตัวเลือกมากๆ หากวันนึงเขาเจอคนอื่นที่ดีกว่าแล้วทิ้งเราไว้ข้างหลัง สุดท้ายเราอาจเป็นคนเดียวที่เจ็บปวดอีก
กลายเป็นเหมือนไอ้แซนด์ที่มานั่งตัดพ้อ ไม่กินข้าวกินปลา สูญเสียความเป็นตัวเองไปจนหมด
นึกถึงตัวเองเลยว่ะ...
ไม่อยากโยงเข้ากับเรื่องของพี่อาร์คหรอกนะ ทว่าตั้งแต่วันที่ได้ยินคำสารภาพจากปากของอีกฝ่าย มันก็มีเสี้ยวหนึ่งเหมือนกันว่าคนอย่างกูเนี่ยนะที่พี่ชอบ คนที่ไม่มีอะไรโดดเด่นไปกว่าคนอื่นเลย ผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ และความรู้สึกนั้นก็ยิ่งติดลบเมื่อเขาอยู่กับคนที่เหมาะสมมากว่า
ชีวิตพี่อาร์คมีคนเข้าหาตั้งเยอะแยะ ทั้งหน้าตาดี เรียนเก่ง มีฐานะ แม้กระทั่งคนที่มีคุณสมบัติดีๆ ทุกข้อรวมอยู่ในคนคนเดียวเขาก็เจอมาแล้ว ถ้าพี่เลือกผมแล้วอนาคตจะเป็นยังไง
ต้องเสียใจเหมือนไอ้แซนด์ตอนนี้มั้ย
กับเรื่องเพศ เรื่องความสัมพันธ์มันเป็นประเด็นรองมาตลอด ครั้งแรกที่ได้ยินว่าเขาชอบผมทั้งที่เป็นผู้ชาย ก็เล่นเอาตกใจนิดหน่อยแต่ในใจกลับไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไร ภาพของเขายังเหมือนเดิม คล้ายกับว่าเงื่อนไขนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขณะที่ผมเองก็คิดแบบนั้น
ไม่ได้กลัวว่าใครจะมองว่านี่คือเกย์...
พ่อแม่ผมก็ด้วย ท่านไม่ได้เลี้ยงผมให้เป็นคนอื่น แต่เลี้ยงให้ผมเป็นผม คนที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด
ปัญหาทั้งหมดไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย ผมกำลังจะเปิดใจยอมรับความรู้สึกดีๆ ของพี่จนลืมคิดถึงผลที่อาจตามมาในอนาคต
ความไม่มั่นคงทางความรู้สึกของมนุษย์
ใครต่างก็เปลี่ยน ทุกคนโตขึ้นทุกวัน ความชอบเองก็เปลี่ยนได้ตลอดเวลา
ผมไม่มีความมั่นใจหรอกว่าพี่อาร์คจะอยู่กับผมไปจนสุดทาง มันคงมีวันที่เขาต้องไป ถึงตอนนั้นผมจะเสียใจกับการไม่มีเขาอยู่มั้ย แล้วถ้า...ไม่ลองเสี่ยง หยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ ในอนาคตผมก็ไม่ต้องเสียใจอีกใช่มั้ย เริ่มคิดวิตกแล้ว
“นี่ไอ้แซนด์แม่งเศร้าไปแล้วคนนึง มึงจะอินตามมันไม่ได้นะเชี่ยอาร์ม”
“กะ...กูเปล่านะเว้ย” ผมสะดุ้งโหยง รีบแก้ตัวกับไอ้โป้พัลวัน
“เห็นมึงเงียบไป หน้าก็หงอลงๆ”
“กูมัวแต่คิดเรื่องที่จะทำยังไงให้ไอ้แซนด์ดีขึ้นไง”
“เดี๋ยวมันก็ดีเองมึงอย่าไปคิดมาก”
“เชื่อสิ กูต้องหาได้ดีกว่าพี่หวาน กูจะควงหญิงมาเย้ยเขา” ไอ้คนอกหักก็เอาแต่พ่นน้ำลายไม่หยุด
ความรักเปลี่ยนมันจริงเหรอ จากคนคีพคูลทำตัวอารมณ์ดีเวลาอยู่กับเพื่อน พอถูกทำร้ายจิตใจเข้าหน่อยก็เปลี่ยนเป็นอีกคนจนน่าใจหาย ใครก็ได้เอาไอ้แซนด์คนเดิมคืนมาที คนนี้แม่งโคตรน่ารำคาญเลยว่ะ
แล้วผมล่ะ? ถ้าต้องเจ็บปวดจากความรัก ผมจะทำตัวน่ารำคาญแบบนี้มั้ย
“แดกๆ ไปไอ้ควาย พูดมากทำไม” ไอ้โป้ตัดประเด็น ก่อนเราจะก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก
วันนี้กลุ่มเพื่อนไม่ได้นัดกันไปไหน รูมเมทผมก็ยังเฮิร์ตๆ เลยพากันกลับหอเร็วหน่อย แถมพรุ่งนี้คณะยังมีกิจกรรมสำคัญอีกอย่างนั่นคือการทำความสะอาดคณะก่อนที่งานสถาปนาครบรอบการก่อตั้งจะจัดขึ้น แพลนการไปเมาร้านเหล้าต่างๆ เลยถูกเทไปโดยปริยาย
สี่ทุ่ม ไอ้แซนด์เข้านอนเร็วกว่าปกติเพราะไม่ได้ใช้เวลาไปกับการนั่งแชตคุยกับสาวเหมือนที่ผ่านมา ผมที่นอนไม่หลับเลยแอบย่องไปหาไอ้โป้ถึงห้อง คืนนี้รูมเมทมันไม่อยู่เนื่องจากแอบหนีไปร้านเกมทางเลยสะดวก
“ไอ้ตัวปัญหาหลับแล้วเหรอ” คำถามแรกจากพุ่งจู่โจมฉับพลัน ไอ้โป้นั่งอยู่บนเตียงพร้อมแล็ปท็อป ก่อนมันจะขยับตัวเล็กน้อยให้มีที่ว่างสำหรับผมอย่างรู้งาน
“อืม”
ผมนอนลงบนเตียงพร้อมกับถือวิสาสะดึงหมอนของเพื่อนรักมาหนุน มือว่างหน่อยก็หยิบตุ๊กตาของมันมากอดเพื่อให้คลายความประหม่าบางอย่าง
“ทนๆ เอาหน่อยเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
“กูก็ว่างั้นแหละ แต่ก็ไม่ได้รำคาญอะไร เข้าใจมากกว่า” ความรักอ่ะบางทีก็ดี บางทีก็แย่ และบางครั้งคนเราก็ไม่ได้เก่งพอจะเก็บความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ “มึง”
“ไร” ไอ้โป้ตอบกลับโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองผม เพราะสายตาของมันยังคงสนใจหน้าจอแล็ปท็อปอยู่
“ถ้าสมมติ อันนี้สมมตินะ”
“เห็นมึงพูดแบบนี้ทีไรเป็นเรื่องของตัวเองตลอด” จึก! เชี่ยนี่รู้ทันกูตลอด แต่ผมไม่พูดหรอก
“อันนี้ไม่ใช่เรื่องของกู เป็นเรื่องในหนัง แล้วตัวละครมันตัดสินใจแบบงงๆ อ่ะ”
“มึงไปดูหนังตอนไหน”
“นานแล้ว แต่นั่นมันใช่ประเด็นมั้ยวะ”
“อ่าเคๆ ว่ามา”
“แบบว่า...ถ้าเกิดมึงรู้สึกชอบใครสักคนขึ้นมา แล้วบังเอิญว่าเขาเองก็เป็นคนที่มีแต่คนล้อมรอบ แถมมึงยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โดดเด่นอะไรขนาดนั้น มึงยังคิดที่จะชอบเขาอยู่มั้ยวะ” ถามออกไปแล้ว เพราะทนความอัดอั้นตันใจไม่ไหว
“คิด” คนข้างๆ ตอบกลับแทบจะทันที
“ทั้งที่มึงรู้ว่าตัวเองอาจจะสู้ใครไม่ได้น่ะเหรอ”
“แล้วเขาชอบกลับหรือเปล่าล่ะ ถ้าเขาชอบยังไงกูก็สู้”
“มึงมั่นใจได้ยังไงว่าเขาจะรักมึงคนเดียวตลอดไป ไม่งั้นคงไม่มีการบอกเลิกกันหรอก”
“มึงสนใจด้วยเหรอ”
“ต้องสนอยู่แล้ว วันหนึ่งเกิดเขาไม่รักมึงขึ้นมา แล้วมึงก็ต้องจมกับความเสียใจมันจะยังโอเคอยู่เหรอวะ”
“อือ” ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าไอ้โป้มันฟังผมอยู่หรือเปล่า เพราะเจ้าตัวมัวแต่สนใจจอคอมจนอยากถีบตกเตียงให้มันรู้แล้วรู้รอด ทว่าผมก็ไม่คิดจะถามย้ำนอกจากนอนอยู่เงียบๆ “ความจริง....”
มาละ ความอินดี้...
“ความจริงอะไร”
“มึงจะไม่กล้าสักนิดเลยเหรอวะ” อีกฝ่ายถามกลับ
“กล้าอะไร”
“ลองเสี่ยง สุขก็ถือว่าดีไป ถ้าทุกข์ก็แค่เรียนรู้”
“เรียนรู้กับความเจ็บปวดเหมือนไอ้แซนด์อ่ะนะ คิดว่าเวิร์กเหรอ ดูมันเปลี่ยนไปเยอะเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง”
“นั่นคือการเติบโตต่างหากเว้ย เจ็บปวดเพื่อให้เติบโตไง”
“ทำไมวันนี้มึงพูดมีสาระจังวะ”
“กูเป็นคนแบบนี้มานานแล้ว แต่มึงโง่เอง” ไอ้เวรนี่ “กูรู้ว่ามึงกังวลเรื่องอะไรอยู่”
“กะ...กังวลอะไร เปล่าเลย กูแค่กำลังคิดถึงความเป็นไปได้ทางอื่นของหนัง”
“งั้นกูก็หาความเป็นไปได้ให้มึงแล้ว”
จบประโยคนั้นไอ้ปีโป้จัดการยกแล็ปท็อปของมันให้กับผม
“ถามให้ละ”
“...!!” หน้าจอที่เห็นตรงหน้าเป็นบทสนทนาระหว่างมันกับใครคนหนึ่ง เขาคือคนที่ทำให้ผมนึกถึงแทบจะตลอดเวลา และบางครั้งก็อดกังวลไม่ได้กับอนาคตที่จะมาถึง พี่อาร์ค...
ที่ผ่านมาแกไม่ค่อยรับใครเป็นเพื่อนในโซเชียลเท่าไหร่ ทว่าไอ้โป้กับไอ้แซนด์กลับเป็นข้อยกเว้น พวกมันดูดีใจกันฉิบหายหลังจากเหนือเดือนกดรับเพื่อนเมื่อไม่นานมานี้ แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายพวกมันจะได้คุยกับไอดอลเป็นการส่วนตัว
แถมยังเป็นเรื่องของผมอีกต่างหาก
คร่าวๆ ก็เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกกังวลเนี่ยแหละ แต่เดี๋ยวนะ มึงจะทรานสเลทคำพูดกูมาเป๊ะๆ แบบนี้ไม่ได้
“มึงพิมพ์เหี้ยไรเนี่ย”
“ก็มึงสงสัย กูก็ช่วยตอบคำถามแล้วนี่ไง”
“แต่กูถามมึง ไม่ได้ใช้ให้ไปถามพี่อาร์ค”
“อ่านดิ พี่มันตอบคำถามมึงแล้ว” มันรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อเอาตัวรอด ผมเลยชี้หน้าคาดโทษไว้ก่อนชันตัวขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียง
สายตาจ้องมองหน้าจอที่กำลังเคลื่อนไหวเหมือนมีคนกำลังพิมพ์ข้อความอย่างจดจ่อ ไม่นานมันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
Anol Paraminphisan อาร์ม เชี่ย!! รู้ด้วยว่ากูอ่านอยู่ เก่งเกินไปแล้วเหนือเดือน
แต่ผมก็ไม่คิดตอบอะไรกลับไปนอกจากรออ่านข้อความจากอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว เขาคงรู้ว่าสมองของผมตอนนี้มันว่างเปล่าเกินกว่าจะหาคำพูดอะไรมาตอบแล้ว
Anol Paraminphisan กังวลเหรอ ก็ไม่ผิดที่จะกังวล
แล้วถ้ากูถามกลับ ไม่ต้องตอบก็ได้นะ แค่อยากถาม
ถ้าสมมติมึงรู้ว่าอนาคตจะต้องเสียใจเพราะเราไปกันไม่รอด
มึงยังเลือกที่จะคบกับกูอยู่มั้ย ผมไม่รู้ ไม่รู้คำตอบ ไม่รู้ใจตัวเอง
รู้แค่ว่ากูแคร์พี่มาก แต่ก็อดกลัวไม่ได้หากวันนึงต้องเสียเขาไปจริงๆ ผมยังจะเป็นคนเดิมที่มีความสุขได้อีกมั้ยวะ
Anol Paraminphisan ถ้ามึงตอบไม่
ในอนาคตของมึงก็จะไม่มีกูอยู่ในความทรงจำตั้งแต่แรก
มึงเองก็ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของกูเหมือนกัน
ไม่เสียใจเหรอที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ เสียใจสิ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ กวนตีนหรือแสนดี ผมก็อยากมีเขาอยู่ในนั้น
แล้วถ้าหากรู้ล่วงหน้าว่าต้องเจ็บปวด ผมก็คง...
คำตอบที่ค้างคายังไม่ทันผุดออกมาจากความคิด ข้อความใหม่ก็เด้งขึ้น และประโยคนั้น ในวินาทีนั้นของพี่อาร์คมันทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมา
Anol Paraminphisan กูเสียใจนะที่ไม่มีมึงอยู่ในนั้น อย่าลืมสิ...
คุณค่าอย่างหนึ่งของการเป็นมนุษย์ คือการมีความทรงจำ ผมโยนความหวาดกลัวในใจไปกับอากาศ ตั้งแต่เมื่อคืนที่ได้คุยกับลุงรหัส ความคิดในหัวของผมก็เปลี่ยนไป เริ่มอยากเผชิญหน้า กล้าเสี่ยง กล้ายอมรับกับอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ทุกอย่างก็ยังคงค่อยเป็นค่อยไป
อาการของไอ้แซนด์วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานนิดหน่อย มันเลิกฟูมฟายแล้ว แถมยังตื่นเร็วรีบอาบน้ำแปรงฟัน หยิบเอาเสื้อช็อปที่ชอบบอกนักบอกหนาว่าใส่แล้วหล่อขึ้นมาสวม มันยืนอยู่หน้ากระจกค่อนข้างนานก่อนจะหมุนตัวหยิบกระเป๋าแล้วชวนกันลงไปกินข้าว
ช่วงเย็นของวันนี้มีกิจกรรมของคณะ อย่างที่บอกไปว่าอีกสองวันข้างหน้าจะมีพิธีวันครบรอบการสถาปนาคณะ เด็กวิศวะปีหนึ่งเลยถูกเกณฑ์ให้มาทำความสะอาด
คณะแม่งก็โคตรกว้าง ตึกก็เยอะ ลานกิจกรรมยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนพลุกพล่านจนทุกบริเวณเต็มไปด้วยเศษขยะ ปีหนึ่งต้องทำทุกอย่างนั่นแหละครับ เริ่มจากแบ่งฝ่ายทำความสะอาด กวาดพื้น เก็บขยะ ล้างสระ ขัดลานเกียร์ แม้แต่ป้ายคณะรูปฟันเฟืองเราก็ต้องทำการขัดให้ใหม่เอี่ยมเพื่อต้อนรับวันสำคัญ
ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผมได้รับหน้าที่ให้มาทำความสะอาดป้ายคณะกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ไอ้โป้ที่เห็นถึกทนรุ่นพี่เลยใช้ให้มันไปล้างสระล่าตัวเหี้ย ส่วนไอ้แซนด์ต้องไต่นั่งร้านปัดหยากไย่ที่ช็อป IE เรียกได้ว่าแต่ละคนทำงานมือเป็นระวิง
“ปีสองไปประชุมที่หน้าห้องสโม! เร็วเข้า!” เสียงเรียกจากพี่ปีสูงเร่งให้ปีสองวิ่งกรูกันไปติดๆ
“ปีหนึ่งอย่าอู้งานนะ”
“คร้าบบบบบบ/ค่าาาาา”
“ปีสามเฝ้าน้องด้วย อันไหนไม่เรียบร้อยก็ช่วยดูแลหน่อย เฮ้ยปีสองจะไปไหนเดี๋ยวเถอะ” เฮดหลักของงานตะโกนจนคอแหบแห้ง พี่ญี่ปุ่นแกก็วิ่งมาบ่นกับผมไปเมื่อกี้เหมือนกันเพราะปีสองต้องจัดผ้า ทำพาน เตรียมอาหารสำหรับถวายพระเยอะแยะไปหมด กูเลยไม่กล้าบ่นที่ต้องมาใช้แรงงานอยู่ตอนนี้
“ไอ้อาร์ม เสื้อมึงเปียกหมดแล้ว ถอดออกก่อนมั้ย”
ผมละสายตาจากรุ่นพี่มายังตัวเองอีกครั้ง เออว่ะ แค่เสนอหน้ามาล้างป้ายคณะไม่ถึงห้านที เสื้อช็อปของผมก็เปียกโชกไปแล้วครึ่งหนึ่ง เลยไม่รอช้ารีบถอดออกไปแขวนไว้กับต้นไม้พร้อมกับเสื้ออีกหลายตัวของเพื่อน
ดีที่วันนี้สวมเสื้อยืดสีดำมา เวลาเปื้อนเลยไม่ค่อยน่าเกลียดเท่าไหร่
และแล้วช่วงเวลาของทาสในเรือนวิศวกรรมศาสตร์ก็เริ่มต้น ขัดไปสิป้ายน่ะ ทั้งผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดอะไรก็เอาแทบไม่อยู่ โดยเฉพาะไอ้ตัวฟันเฟืองที่เต็มไปด้วยสนิมตรงหน้า กว่าจะขัดเสร็จก็ใช้เวลาประมาณชาติเศษ นาฬิกาหมุนไปที่ทุ่มนึงพอดี
“เดี๋ยวไปเอาข้าวที่สโมแล้วไปช่วยเพื่อนล้างสระมั้ย”
“เอาดิ” พักได้ไม่นานเราก็มีโปรเจ็กต์ใหม่ ผมเดินตามเพื่อนรักต้อยๆ ไปช่วยไอ้โป้กับเดอะแก๊งทำความสะอาดจนเปียกม่อลอกม่อแลกไปทั้งตัว งานเสร็จลุล่วงเรามีประชุมใหญ่ของรุ่นเล็กน้อยก่อนแยกย้าย ผมกลับมาที่ต้นไม้ต้นเดิมซึ่งเคยแขวนเสื้อช็อปเอาไว้ นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้มันจะไม่มีอยู่แล้ว
“เดี๋ยวพวกมึง มีใครเห็นเสื้อกูป่ะ” ผมถามอย่างกังวล
คือเพื่อนได้เสื้อของตัวเองหมดไง นั่นหมายความว่าต้องมีใครคนใดคนหนึ่งหยิบของผมไปด้วย คิดว่าคงเก็บไว้ให้นั่นแหละแค่ไม่รู้ว่าเป็นใครเท่านั้น
“ไม่เห็นนะ”
“กูแขวนไว้ตรงนี้”
“ตอนนั้นเห็นอยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้เลยว่ะ”
“อ้าว”
“ลองถามที่สโมไม่ก็พี่ปีสองดู บางทีเขาอาจจะเก็บไป”
“โอเค ขอบใจพวกมึงมาก”
ผมไม่รอช้าตรงไปที่สโมสรคณะพร้อมกับยิงคำถามเดิม ทว่าคำตอบที่ได้กลับมีแค่คำว่า ‘ไม่’ เพียงอย่างเดียว
จากตอนแรกคิดว่าน่าจะมีคนเก็บไว้ให้ ตอนนี้จิตใจเริ่มกระวนกระวายหนักกว่าเก่า เสื้อของพี่อาร์คด้วยไง ถ้าเกิดหายไปกูจะทำยังไงวะ
“เฮ้ยอาร์มกลับหอกัน” ไอ้แซนด์กับไอ้โป้ รวมถึงเพื่อนหอชายเดินมาสมทบหลังจากทำงานส่วนของตัวเองเสร็จ
“พวกมึงกลับก่อนเลย พอดีเสื้อช็อปกูหาย”
“ฮะ?”
“กูแขวนไว้ตรงต้นไม้อ่ะ กลับมาอีกทีมันก็ไม่อยู่แล้ว ถามใครเขาก็ไม่เห็น”
“งั้นเดี๋ยวช่วยหา”
“ไม่เป็นไร พวกมึงกลับก่อนเลย เดี๋ยวเจอกันที่หอ”
“เอางั้นเหรอ”
“เหอะน่า แค่นี้เอง”
“ถ้าไม่เจอยังไงมึงโทรมาบอกก่อน เดี๋ยวช่วยประกาศหาในกรุ๊ปวิดวะให้”
“โอเค” เพื่อนมันเหนื่อยกับงานมาตลอด ไม่อยากให้ต้องมาเครียดกับอะไรจุกจิกแบบนี้ ส่วนกูเหรอ หาไปดิ อย่าให้รู้นะว่าใครเอาไปกูจะแช่งให้มึงติดเอฟทุกวิชาเลยคอยดู
ผมเริ่มต้นหาอีกครั้ง ถามทุกคนที่เดินผ่าน จนกระทั่งก้าวเท้ามาเยือนในถิ่นของปีสามที่กำลังแยกย้ายกันกลับหลังจากช่วยปีสองเคลียร์งานจนเสร็จ
“ไอ้น้องอาร์ม”
พรึ่บ!!
ทุกสายตาหันมามองผมเป็นตาเดียว
“น้องอาร์มคิตตี้”
“คนนี้เหรอ”
อะไรของพวกพี่มันวะ
เสียงเซ็งแซ่ดังทั่วทั้งบริเวณ ผมยืนเกาหัวแบบงงๆ ก่อนจะโดนใครคนหนึ่งลากไปยังโต๊ะด้านข้างลานกิจกรรม
“มีอะไรครับ” พวกเพื่อนของลุงรหัสน่ะครับ จะแปลกออกไปก็ตรงที่ไม่มีพี่อาร์คอยู่ด้วยแค่นั้นเอง
“มาทำอะไรที่นี่วะ”
“ผมมาหาเสื้อช็อป มันหายไปตอนที่กำลังทำความสะอาด”
“ดูแลไม่ดีไง” พี่ปอนด์เฉ่งผมคนแรก คือไม่ต้องพูดขนาดนี้ก็ได้ รู้สึกผิดเลยเนี่ย
“ผมไม่คิดว่าจะมีคนเอาไป อีกอย่างมันก็ไม่ได้ใหม่ขนาดนั้น” เสื้อมรดกตกทอดจากเหนือเดือน สีก็เริ่มซีดบ้างแล้ว ถ้ามีคนคิดจะขโมยก็คงโง่สุดๆ ไปเลยครับ
ในบรรดาเสื้อช็อปใหม่ๆ ของเด็กปีหนึ่ง มึงเอาไอ้เน่าของกูไปเนี่ยนะ โง่บรม
“แล้วพวกพี่เห็นบ้างมั้ย” ผมถามอีก
“เสื้อก็เหมือนๆ กันหมด จะเอาอะไรมาเห็นวะ”
“ง่ะ” แต่ผมจำได้ไง
“ไม่เห็นต้องนอยด์เลย ซื้อใหม่ดิ” พี่คอปป์เสนอไอเดีย ซึ่งมันเป็นการแก้ปัญหาที่โคตรปลายเหตุเลย อย่างที่บอก ผมจะซื้อใหม่ได้ก็ต่อเมื่อเสื้อตัวที่หายไปไม่ใช่ของพี่อาร์ค กูดูแลมาอย่างดี แล้วก็รักเสื้อตัวนั้นไปแล้วด้วย
“ผมไม่อยากซื้อใหม่”
“ให้ทำไงอ่ะ หาไม่เจอแล้วหนิ” เบะปากจะร้องไห้แล้วววววว
“ผะ...ผมไม่มีเงิน”
“เสื้อตัวนึงไม่กี่ร้อย”
“นั่นแหละไม่มีเงิน” มันก็แค่ข้ออ้าง
“กูซื้อให้มั้ย เดี๋ยวสั่งสโมตอนนี้เลย”
“ไม่เอา”
“นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา สรุปจะเอายังไงครับไอ้น้องอาร์ม”
“เอาเสื้อตัวเดิม”
“มางอแงกับพวกกูคงได้อะไรหรอก เอางี้ กูให้เสื้อมึงไปใส่ก่อน หาเจอเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืนก็ได้” พี่คอปป์พูดแค่นั้นก่อนจะจัดการถอดเสื้อสีกรมท่าจากตัวแล้วยัดมือผม ในใจกูโคตรอยากปฏิเสธเลยแต่สถานการณ์คับขันตอนนี้ทำให้ผมพูดไม่ได้
“คือ...”
“เอาไปใส่เลย”
พอก้มมองดูเสื้อที่อยู่ในมือก็ถึงกับละเหี่ยใจ เอาไงดีเนี่ย แต่เดี๋ยว...
ผมพลิกดูเสื้อไปมา ทั้งรอยตำหนิและกลิ่นบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเสื้อตัวนี้ไม่ใช่ของพี่คอปป์ แต่เป็นของคนที่รู้ว่าใครต่างหาก รู้จักไอ้อาร์มน้อยไปซะแล้ว เสื้อตัวใหม่ที่เขาซื้อผมจำรายละเอียดได้เป็นอย่างดี
“นี่ไม่ใช่เสื้อของพี่หนิ” ว่าแล้วก็ชูเสื้อให้ดูด้วย คนฟังเลยรีบเถียงกลับมาทันที
“ของกู”
“ของพี่อาร์ค”
“ของกู”
“ไม่ใช่”
“ไอ้น้องอาร์ม มึงประสาทแดกแล้ว”
อ่านต่อด้านล่างค่ะ