" หลงละเมอเพ้อรัก " [YAOI][#47 ความรักของครอบครัว][END](25/6/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: " หลงละเมอเพ้อรัก " [YAOI][#47 ความรักของครอบครัว][END](25/6/63)  (อ่าน 49114 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิพี่หมอก  มันมีปมอะไรในใจซ่อนไว้หว่า?

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อีพี่หมอกเป็นอะไร สงสัย ๆ  :hao4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ถ้าไม่เปิดใจกันจะรักกันได้ไง  แต่อย่าลืมนะว่ามี
แฟนแล้วทั้งคู่

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
เพ้อ บทที่ 31 ของที่ไม่ใช่ของเรา


ตลอดเวลาที่เดินทางกลับนั้น พวกเราไม่ได้ พูดคุยหรือส่งยิ้มอะไรให้กัน แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกดีเหลือเกิน ดีจนคิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ดีจนเหมือนราวกับฝันไป

 "ส่งผมแค่ข้างหน้านี้ก็พอ" ผมพูดเบาๆ ผ่านความเงียบ ข้างหน้านั้นเป็นรั้วบ้านหลังใหญ่ที่ผมอาศัยอยู่ ผมควรจะต้องตื่นจากฝันได้แล้ว เพราะว่าพี่หมอก ไม่ได้เป็นของผม แต่เป็นของเจ้าของบ้านหลังนั้น

 "อิน" พี่หมอกจอดรถตามที่ผมขอ ผมหันมองคนที่เรียกผมด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างออกไป ความอบอุ่น แผ่ออกมาจากแววตา และน้ำเสียงนั้น พี่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เหรอ ทำไมกัน

 ผมจ้องมองพี่หมอก เฝ้ารอคำพูดที่พี่เขากำลังจะเอ่ยออกมา ผมยังคงหวังได้ใช่ไหม หวังว่าพี่จะพูดอะไร ที่ทำให้ผม...

 "ฝันดี" ราวกับมีผีเสื้อนับล้านๆ ตัวบินวนไปในอากาศ ผมที่พยายามเก็บทุกอย่างไว้ ซ่อนเอาไว้ในหัวใจ ในที่สุดก็ไม่อาจต้านทานความหวังครั้งใหม่ได้

 ผมเริ่มยิ้มออกมาอีกครั้ง และไม่รู้ตัวเลยว่า ทุกการกระทำของพวกเรานั้น อยู่ในสายตาของใครบางคน


 "วันนี้อารมณ์ดีจังเลยนะลูก" ผมที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาหลับไม่ลงสักทีก็โดนแม่แซวทักจนได้

 ผมรีบลุกขึ้นจากที่นอน เปลี่ยนจากกอดตุ๊กตาตัวนั้นเป็นกอดแม่แทน

 "ให้ทาย วันนี้อินไปไหนมา" ผมพูดและกอดแม่อย่างมีความสุข

 "หืม ถ้าให้แม่เดา อินมีแฟนแล้วใช่ไหมลูก" ผมชะงักเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินแม่พูด

 "ไม่ใช่เลยแม่ มั่วแล้ว" ผมพูดกลบเกลื่อน และบอกอีกเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุขเช่นกัน

 "วันนี้ อินได้ถ่ายละครด้วยนะ"

 "จริงเหรอลูก" แม่ทำเสียงตื่นเต้นยินดีด้วยกับผม

 "แต่ว่าอินเป็นแค่ตัวประกอบนะ" ผมรีบพูดต่อ แต่แม่ก็ยังคงยิ้มและลูบหัวผม

 "ถือว่าเป็นก้าวแรกของอินนะลูก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้ อีกไม่นานเขาจะเห็นเอง ว่าลูกแม่เก่งแค่ไหน"

 "ครับ อีกไม่นานหรอก อินจะปลูกบ้านใหม่ให้แม่ เอาให้ถูบ้านเหนื่อยไปเลย" ผมพูดและกอดแม่ให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม ผมสัญญากับตัวเอง ว่าผมจะทำให้ได้ เพื่อเราสองคน เพื่อแม่ที่ผมรักยิ่งกว่าสิ่งใด


 ในรุ่งเช้าที่แสนสดใส ผมตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน และช่วยแม่ทำงานบ้านเล็กน้อย ก่อนที่จะแต่งตัวเพื่อเตรียมไปมหาวิทยาลัย

 และเมื่อเดินทางมาถึงแล้ว ผมก็หาที่นั่งพักข้างๆ ตึกเรียน เพราะว่าผมมาเช้าจนเกินไป ทำให้มีเวลาเหลือเฟือที่จะหาอะไรกินรองท้อง หรืออ่านหนังสือรอ

 ผมมองเหล่าผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ ถึงจะยังเช้า แต่นักศึกษาก็ต่างเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามาเพื่อเตรียมเรียนในตึกคณะต่างๆ ทำให้บรรยากาศของที่นี่ดูคึกคักเหลือเกิน หรืออันที่จริงอาจเป็นเพราะผมที่ดีดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

 ผมที่คิดแบบนั้นก็นึกถึงใบหน้าของคนที่เป็นสาเหตุ ยิ่งผมพยายามปิดกั้นหัวใจตัวเองมากเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งคิดถึงคนคนนั้น ผมพยายามไม่ยิ้ม ไม่แสดงออกว่าผมชอบพี่มาก แต่ว่าเมื่อพี่ทำดีกับผม มันก็ยากเหลือเกินที่จะซ่อนทุกสิ่งไว้ ในเมื่อผมแทบไม่เคยลืมพี่ไปจากหัวใจ ผมจะทำยังไง ผมไม่อาจต้านทานหัวใจตัวเองได้เลย

 และอยู่ๆ โชคชะตาก็ราวกับจะแกล้ง ผมหัวใจสั่นไหว จ้องมองคนสองคนที่กำลังเดินมาช้าๆ พี่หมอกเดินมากับเพื่อนคนหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเห็นหน้า ผมลุกลี้ลุกลนสับสน ผมควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี ผมควรจะเอ่ยทักพี่เขาดีไหม ก็เพราะเมื่อวานพวกเรา...

 แต่ผมที่กำลังยิ้มและคิดว่าควรจะเอ่ยทักพี่หมอกนั้น ก็ค่อยๆ ลดแขนลงช้าๆ มีความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นในหัวของผม เป็นความทรงจำอันแสนเศร้า ผมนั้นเคยทำแบบนี้มาก่อน และผลลัพธ์ ก็ทำให้ผมต้องผิดหวัง พี่หมอกใจร้ายมากกว่าที่ผมคิด แค่พี่เขาทำดีนิดหน่อย ผมไม่ควรจะชะล่าใจไป

 "เป็นอะไรไป ทำไมไม่เข้าเรียน" แต่เสียงที่ดังขึ้นนั้น ทำให้ผมต้องค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ หัวใจของผมเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก

 นี่ผมฝันไปอีกแล้วงั้นเหรอ ทำไมพี่ถึง...

 ผมมองพี่หมอกที่หยุดยืนตรงหน้า และถามผมด้วยสีหน้าสงสัย เพื่อนพี่หมอกก็ทำสีหน้างงๆ เช่นกัน

 "ไปเหอะไอ้หมอก อาจารย์ใกล้เข้าแล้ว"

 "เออ ไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป" พี่หมอกบอกเพื่อน และหันมาสนใจผมเหมือนเดิม

 "ไม่สบาย หรือมานั่งอ่อยเหยื่อ" ไม่รู้ทำไม ผมหัวเราะในลำคอเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้น นี่สิถึงจะเป็นพี่หมอก

 "อาจจะเป็นอย่างหลัง" ผมพูดและมองพี่หมอกที่เริ่มทำคิ้วชิดกัน แต่ว่านะ วันนี้พี่หมอกก็หล่อมากๆ อีกแล้ว ผมเผลอจ้องมองพี่หมอกที่อยู่ในชุดนักศึกษาค่อนข้างเรียบร้อย ผิวขาว ตัวสูงสง่า พี่รู้ไหมว่าพี่กำลังทำให้ผมดูหม่นหมองมากๆ เมื่ออยู่ใกล้พี่

"ปากดี" พี่หมอกพูดและทำหน้ามุ่ยๆ แต่แบบนั้นมันดู น่ารักมากกว่า นี่ผมเป็นเอามากนะ ผมพยายามนึกถึงความร้ายกาจของพี่หมอกที่ผมได้เคยประสบมา ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงนึกไม่ออกเลย ผมลืมสิ่งเหล่านั้นไปได้ยังไง

 "กลางวันลงมากินข้าวด้วย มีเรื่องจะบอก" พี่หมอกบอกผม ก่อนจะเริ่มเดินห่างออกไปตามเพื่อน ไม่สิ น่าจะเป็นคำสั่งมากกว่า

 ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็คิดสงสัย ว่าเรื่องที่พี่หมอกอยากบอกผมนั้น มันคือเรื่องอะไรกันแน่


 เมื่อถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ผมลุกจากโต๊ะหินอ่อน สะพายกระเป๋า และเริ่มเดินขึ้นไปที่ตึกเรียน ไม่รู้ว่าวันนี้หมี่จะมาเรียนไหม ช่วงนี้ผมไม่ค่อยเห็นเขาเข้าเรียนเท่าไหร่

 แต่เมื่อผมเดินไปเรื่อยๆ สายตาของผมก็สะดุดเข้ากับใครคนหนึ่ง ที่ตรงสุดทางเดินตรงหน้าของผม

 ถึงแม้ว่าค่อนข้างจะไกลมาก แต่ผมก็จดจำคนคนนั้นได้ทันที พี่เปอร์ในชุดเสื้อช็อปสีกรม กำลังมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ พี่เปอร์ยกมือขึ้นทำท่าเหมือนทักทายผม ไม่ได้เข้ามาใกล้ๆ เพราะว่าผมได้ขอพี่เขาไว้ ว่าให้พวกเราอยู่ห่างกัน และพี่ก็ทำมันได้ดีจริงๆ

 ในคาบเรียนนั้น สมองของผมที่เหมือนจะปลอดโปร่ง แต่จริงๆ เริ่มหนักอึ้งและเคร่งเครียดอีกครั้ง พี่หมอกทำให้ผมรู้สึกดี ทุกอย่างที่ผมเคยฝันเอาไว้ราวกับกลายเป็นจริง ผมมีความสุขมาก ที่พี่หมอกเริ่มคุยกับผม และทำดีกับผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมพี่เขาถึงได้ดูสนใจผม ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน ผมแทบไม่ได้อยู่ในสายตาของพี่เขาเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นเหมือนกับเรื่องมหัศจรรย์ที่มันไม่มีทางเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว มันเกิดขึ้นจริงๆ จนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน

 แต่ว่าเมื่อผมอยากจะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่นั้น ผมกลับทำมันไม่ได้ หัวใจผมยังคงจดจำเรื่องราวบางสิ่งที่ทำให้ผมต้องเจ็บปวด พี่เปอร์นั้น เป็นคนแรกที่ผมนึกถึง ผมดึงตัวพี่เขามาพัวพันในเรื่องที่มันไม่ควรเลย พี่เขาจะต้องเจ็บปวดเพราะผม ยิ่งเห็นสายตาของพี่เขาเมื่อกี้นี้ ผมยิ่งเสียใจเหลือเกิน

 "อิน วันนี้กินข้าวด้วยกันนะ" ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็สะดุ้งน้อยๆ ผมมองหมี่ที่เพิ่งเข้าเรียนในช่วงกลางคาบ และตรงดิ่งมาหาจนผมแปลกใจ "นะ แล้วก็กลับบ้านด้วยกัน" หมี่พูดต่อ ทำเอาผมได้แต่อึกอักเพราะยังไม่ได้ตัดสินใจ

 "อืม ได้สิ" ผมบอกเธอ และมองดูเธอที่เดินไปนั่งกับเพื่อน ผมเผลอตอบรับเธออัตโนมัติ ทั้งๆ ที่อยากจะบอกว่าไม่เหลือเกิน

 และในช่วงกลางวันนั้น สิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้ผมนั่งอยู่ท่ามกลางบุคคลที่ล้วนทำให้ผมอึดอัดใจเหลือเกิน

 ที่ตรงข้ามผม ผมพยายามหลบสายตาพี่หมอกที่คอยแต่จะเหลือบมองมา และข้างๆ ผมนั้น คือพี่เปอร์ ที่นั่งเว้นระยะห่างนิดหนึ่งระหว่างเรา

 "ไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วยกันสักพักเลยนะคะ" หมี่ที่นั่งข้างพี่หมอกนั้นพูดขึ้นทำลายบรรยากาศแปลกๆ รอบตัว

 ผมได้แต่จ้องมองจานข้าวตรงหน้า และเขี่ยไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร

 "คนก็เยอะ ร้อนก็ร้อน ไม่แปลกหรอกที่ไม่มากินน่ะ" พี่เปอร์พูดเอื่อยๆ แบบรำคาญๆ พลางเหลือบมองผม "อินเอาน้ำอะไรไหม พี่ซื้อให้"

 "ไม่ครับ" ผมพูดเบาๆ และรู้สึกยิ่งอึดอัดมากขึ้นทุกที

 "พี่หมอกคะ ช่วงนี้พี่กลับมาถ่ายละครใช่ไหม หมี่อยากไปนั่งเล่นด้วยจังเลยค่ะ" หมี่เลิกสนใจพี่เปอร์และหันไปอ้อนพี่หมอกแทน

 แต่พี่หมอกกลับไม่พูดอะไรเลย และทำสีหน้าน่ากลัวจนผมหายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งสองคนมีอะไรกันหรือเปล่านะ แต่ว่าหมี่ก็ดูปกติดี ถ้าทะเลาะกันหมี่ก็ไม่น่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ได้นาน

 "อินเอาไข่ต้มไหม" ผมเหลือบมองพี่เปอร์ที่ตักกับข้าวของตัวเองใส่จานผม พี่เปอร์ก็เป็นคนแบบนี้แหละ

 "ผมอิ่มแล้วครับ พี่กินเถอะ" ผมตักคืนพี่เปอร์ทันที ไม่ใช่อะไร แต่เพราะกินไม่ลงจริงๆ

 "ก็ได้ แต่วันนี้อินเลิกเรียนกี่โมง พี่ไปส่งได้ไหม..."

 "อินจะขับรถพาหมี่ไปส่งค่ะ" หมี่พูดแทรกขึ้นมาทำเอาพี่เปอร์เริ่มหน้าตึง และไม่ใช่แค่พี่เปอร์ เพราะพี่หมอกก็ขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน

 "มีอะไร จะไปไหนกัน" พี่หมอกที่นั่งเงียบอยู่นาน อยู่ดีๆ ก็ถามหมี่ ซึ่งไม่รู้ทำไม ผมมองหมี่ที่หัวเราะขึ้นมาเบาๆ

 "ทำไมคะ พี่ถามเหมือนเป็นเรื่องแปลกอะไร ก็หมี่กับอินอยู่บ้านเดียวกันนี่คะ" หมี่พูดขึ้นและจ้องมองพี่หมอก

 "ไอ้หมอกถามน่ะไม่แปลกหรอก เพราะพี่ก็เห็นช่วงหลังๆ มาเราก็ขับรถกลับเองประจำ" พี่เปอร์พูดสนับสนุนความคิดพี่หมอก แต่ผมก็ว่าแปลกเหมือนกัน

 "เหอะ ไอ้ที่แปลกน่ะพวกพี่สองคนต่างหาก" หมี่พูดเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเอง แต่สายตาตอนนี้จับจ้องมองมาที่ผมเพียงผู้เดียว

หลังจากกินข้าวเสร็จนั้น ผมและหมี่ไม่มีเรียนในตอนบ่าย ผมจึงถูกหมี่ลากกลับบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าผมเป็นคนขับ

 "เฮ้ออออ" ทันทีที่ขึ้นมาบนรถ หมี่ถอนหายใจยาวเหยียดและนั่งพิงพนักอย่างเซ็งๆ

 "มีเรื่องอะไรเหรอ" ผมถามเธอ เพราะผมไม่ค่อยเห็นเธอเป็นแบบนี้เท่าไหร่

 "ก็จะเรื่องอะไรล่ะ เรื่องพวกหน้าไม่อายที่ชอบแย่งผัวชาวบ้าน" ผมหน้าชาขึ้นน้อยๆ มือที่กำพวงมาลัยก็เผลอกำแน่นอย่างลืมตัว

 "ใครเหรอ" ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจกลับเต้นแรงเหลือเกิน

 "ทำไม อยากรู้จริงๆ เหรอ" หมี่พูดและหันมามองผม มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้นเล็กๆ ผมเดาอารมณ์ของเธอไม่ถูกเลยจริงๆ

 "ก็ถ้าอยากบอก" ผมพูดและขับรถต่อไป

 "อืม ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่พวกหน้าด้าน น่าขยะแขยง รู้ว่าเขามีเจ้าของก็ยังจะพยายาม แต่มันก็แค่ช่วงหลงผิดเท่านั้นแหละ เพชรกับขี้โคลน แกว่าจะมีใครอยากเล่นกับของสกปรกโสโครกได้นานกัน เดี๋ยวเวลาผ่านไป มันก็ไร้ค่าไปเอง" หมี่พูดด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ผมได้แต่รับฟังและหวังอยู่ข้างในลึกๆ ว่า คนที่เธอพูดถึงนั้น คงไม่ใช่ผม


 ในช่วงหัวค่ำ ผมยังคงคิดทบทวนทุกอย่างอยู่ในหัว ความหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นในหัวใจของผม หมี่ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ให้ผมฟังกัน หรือเธอกำลังสงสัยอะไร แต่ว่านิสัยของหมี่นั้นผมก็รู้ดี ถ้าเธอรู้ แน่นอนแม่ผมป่านนี้คงรู้ไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ หมี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นเกย์ เป็นไปไม่ได้ ผมควรจบทุกอย่างที่ไม่ถูกต้อง ก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้

 ผมค่อยๆ เลื่อนมือไปอุ้มตุ๊กตาตัวโตที่อยู่บนหัวเตียง ความรู้สึกนุ่มละมุนทุกครั้งที่สัมผัส ทำให้หัวใจของผมผ่อนคลาย และยิ่งรู้ว่าใครเป็นเจ้าของมันแล้วนั้น มันก็ยิ่งล้ำค่าสำหรับผมเหลือเกิน

 แต่ว่ามันผิด ผมในตอนนี้ไม่ควรที่จะเก็บมันเอาไว้ ถึงแม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ว่ามันไม่ควรเป็นของผม เหมือนกับพี่ที่ไม่ควรมายุ่งกับผม ทั้งๆ ที่พี่ก็มีคนของพี่อยู่แล้ว และผมเองก็เช่นกัน

 ผมคิดและตัดสินใจ กอดมันให้แน่นที่สุด สูดดมความหอมของมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะไม่ได้เป็นของผมอีกแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2020 17:13:17 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Pawana

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
หน้าตาแบบไหนที่เค้าเรียกว่าความถูกต้องคะ น้องอิน.  ส่งกำลังใจให้คนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ใครบอกอะไรให้หมี่ฟัง นังพี่เปอร์อ่ะป่าว  :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หมีแกก็มาทีหลังเหอะ!!!

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
เพ้อ บทที่ 32 ไดอารี่ที่แสนเศร้า


ตลอดการเดินทางนั้นมีแต่ความเงียบงัน ผมลงจากรถแท็กซี่ในช่วงดึก เดินกอดตุ๊กตาตัวใหญ่ไว้ และขึ้นไปยังคอนโดที่ผมเคยมาหลายครั้ง

 พี่หมอกอยู่ในชั้นที่สูงขึ้นไป ผมใช้เวลาไม่นานก็มาหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้อง ผมควรจะกดกริ่งที่หน้าประตูนี้ไปตั้งแต่ห้านาทีที่แล้ว แต่ผมก็ยังคงทำใจลำบาก การตัดพี่ออกนั้นผมทำมาไม่รู้กี่ครั้ง และทุกครั้ง มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

 ผมที่ตัดสินใจอยู่อีกสักพัก ก็เริ่มที่จะยื่นมือออกไป ทุกอย่างในครั้งนี้จะจบลงจริงๆ ไหมนะ ผมต้องการจะทำแบบนี้จริงๆ งั้นเหรอ ผม....

 แต่ผมที่คิดอะไรมากมายนั้นก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเข้าใกล้ประตูมากขึ้นอีกนิด เสียงโครมครามที่ได้ยินข้างใน ทำเอาผมอกสั่นขวัญแขวน ผมเริ่มแนบหูลงกับประตูเพื่อเช็คดูว่าเสียงที่ได้ยินนี้ มาจากห้องพี่หมอกจริงๆ ใช่ไหม

 "แกจะทำตัวแบบนี้ไปถึงไหน!!!" เสียงตะโกนชัดเจนดังลอดออกมา ตามด้วยเสียงสิ่งของที่ตกแตกอีกชุดใหญ่

 ด้วยความเป็นห่วงและไม่ทันยั้งคิด ผมเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อกเข้าไปช้าๆ ทางเดินตรงหน้าถึงแม้จะไร้ผู้คน แต่ที่พื้นก็มีสิ่งของต่างๆ แตกกระจายมากมาย

 ผมค่อยๆ เดินเข้าไปลึกมากขึ้นอีกนิด แต่ก็นั่งลงแอบในมุมตู้เก็บรองเท้าทันทีที่เห็นคนคนหนึ่งเดินไปอีกด้านของห้องด้วยความโมโห ผมเหลือบมองดูและเห็นในทันทีว่าเป็นพ่อของพี่หมอก

 "ไอ้ของแบบนี้โยนทิ้งไป เล่นไปทำไม อยากน่าสมเพชเหมือนแม่แกเหรอ ขยะทั้งนั้น!!" ผมนั่งอยู่ในมุมมืดข้างตู้ ตกใจเสียงอันดังก้องของพ่อพี่หมอกที่ตะโกนไม่หยุด และกำลังถือกีตาร์ตัวหนึ่งและฟาดแรงๆ จนมันหักครึ่งเสียงดัง

 ผมมองคนอีกคนที่ค่อยๆ เดินเข้ามา พี่หมอกดูสีหน้านิ่งสนิทแววตาราวกับแสนเหนื่อยล้ากับสิ่งที่เผชิญ

 "เพราะคุณมันสารเลวแบบนี้ไง แม่ถึงได้หนีไป"

 "แก!!" ผมผุดลุกผุดนั่งมองดูพ่อพี่หมอกที่ทิ้งซากกีตาร์ในมือและไปกระชากคอลูกชาย

 "กี่ปีมาแล้ว แกยังร้องไห้หาแม่แกอีกเหรอ มันให้อะไรแกบ้าง มันเคยกลับมาหาแกมั่งไหม ไม่! ไม่เคย! มีแต่ฉันที่เลี้ยงแกมา แกที่มันไม่เอาไหน อวดดีปากเก่ง ทำไม่ได้แม่แต่เศษเสี้ยวของพี่แก!!" ผมหัวใจสั่นมองดูพี่หมอกที่ไม่ได้ต่อสู้ใดๆ พี่หมอกทำเพียงยกยิ้มมุมปาก ด้วยแววตาที่ผมรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน

 ถึงแม้นี่มันจะไม่ใช่เรื่องของผมเลยสักนิด แต่หัวใจของผมมันก็รู้สึกราวกับร้องไห้ไปกับคนตรงหน้า ผมทำได้เพียงแค่มองดู ผมไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง ผมได้แต่รอ รอให้พายุที่แสนปวดร้าวนี้ พัดผ่านออกไป

 แต่ผมที่กำลังมองดูสองพ่อลูกนั้น มือของผมก็เผลอไปแตะโดนอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้ๆ ผมมองหนังสือเล่มหนึ่ง ไม่สิ สมุดโน๊ตเล่มใหญ่ มันเป็นสีฟ้าที่ดูสดใส หน้าปกเป็นเหมือนภาพวาดระบายสีของเด็กน้อย เป็นของที่ไม่น่าจะอยู่ในห้องที่แสนอึมครึมของพี่หมอก

 ผมค่อยๆ ยกมันขึ้น เปิดมันออกและเพ่งสายตาจ้องมองลายมือที่เหมือนเด็กน้อยเขียน ด้านในหนังสือเล่มนั้น


 3 ตุลาคม 19xx

 วันนี้คุณแม่ชมผมว่าเล่นเปียโนได้ดีมาก ผมดีใจที่สุด

ผมได้รางวัลเอามาให้คุณพ่อ แต่ว่าคุณพ่อไม่ได้สนใจ...

ไม่เป็นไร! ผมจะต้องทำได้ดีกว่านี้ครับ ผมทำได้แน่นอน


 ผมหยุดอ่าน และมองไปยังพี่หมอกที่ยังคงโดนคุณพ่อด่าอีกยกใหญ่ หัวใจของผมเริ่มหนักอึ้งมากขึ้น แต่ก็ยังคงเปิดอ่านต่อไป


 14 พฤษภาคม 19xx

 วันนี้คุณแม่สอนเพลงใหม่ให้ผม แต่ไม่รู้ว่าทำไมคุณแม่ถึงไม่ยิ้มให้ผมเลย

ผมเล่นไม่ดีงั้นเหรอครับ คุณแม่ถึงไม่ค่อยชมผมแล้ว ผมอยากให้คุณแม่ชมผมอีกเยอะๆ เลย

ผมมีความสุขมากๆ ที่พวกเราเล่นมันด้วยกันฮะ!


 9 กันยายน 19xx

 คุณแม่ หายไป... ผมเหงามาก ทั้งๆ ที่อาทิตย์ที่แล้ว คุณแม่บอกว่าจะสอนเพลงใหม่

แต่ว่าไม่เป็นไรฮะ หมอกรอคุณแม่ได้นะ ผมจะรอ ถึงคุณพ่อจะบอกว่าไม่ต้องรอแล้ว...


 ผมเริ่มน้ำตาไหลออกมาช้าๆ สิ่งต่างๆ รอบตัวของผมดูราวกับเงียบสงบและแสงไฟก็มืดดับลง หัวใจดำดิ่งลงสู่ความเศร้า ความเปลี่ยวเหงา อ้างว้าง


 25 ธันวาคม 20xx

 คุณแม่ จะสบายดีไหมครับ ผมรู้สึก...ไม่ค่อยสบาย ผมคิดถึงคุณแม่มาก

ผมเป็นเด็กไม่ดีใช่ไหม คุณแม่ถึงทิ้งผมไป

ผมยังคงเล่นเพลงที่คุณแม่สอนผมทุกวันเลยนะ และร้องเพลงที่คุณแม่แต่งทุกวันเหมือนกัน

 ผม ทำดีแล้วใช่ไหมครับ

 ช่วยบอกผมที ว่าผมทำมันได้ดีแล้ว...


"ขอมันคืนได้ไหม" ผมสะดุ้งตัวน้อยๆ ทันทีที่ได้ยินเสียงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผมรีบเช็ดน้ำตา ผมไม่รู้เลยว่าพี่หมอกกำลังมองอยู่ และพ่อของพี่หมอกก็หายไปแล้ว

 พี่หมอกพูดเบาๆ และเหลือบสายตามองตุ๊กตาที่วางอยู่ข้างตัวผม แววตาที่ผมเห็นนั้น ก็ยิ่งเศร้ามากขึ้น เหมือนรู้ว่าผมมาที่นี่เพื่ออะไร

 "ถ้าอยากทิ้งอะไรก็ทิ้งไว้ แล้วก็ไปซะ" พี่หมอกพูดด้วยคำพูดที่เป็นนัยน์ มันมีความหมายไม่ใช่เพียงแต่ตุ๊กตาตัวนี้ ผมรู้ได้ในทันทีจากแววตา

 พี่หมอกหยิบไดอารี่เล่มใหญ่นั้น เดินไปที่โถงนั่งเล่นที่ตอนนี้เต็มไปด้วยซากข้าวของและเครื่องดนตรีที่พังไม่มีชิ้นดี

 ผมยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ หมุนตัวเพื่อจะออกไปยังประตูที่เปิดแง้มไว้ แต่ถึงแม้ร่างกายจะทำแบบนั้น แต่ในชั่วเสี้ยวนาที หัวใจของผมก็ต่อต้าน ผมหมุนตัวกลับและวิ่งไปที่โถงนั่งเล่น ไปยังคนที่ยังคงยืนอยู่อย่างหงอยเหงาและกอดคนคนนั้นจากด้านหลัง

 คนที่ถูกกอดเหมือนจะตกใจเช่นกัน พี่หมอกจับแขนของผมที่พันรอบเอวตัวเองไว้และหันมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไร

 ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ดี เพราะว่าพ่อของผมนั้น ก็ทิ้งผมกับแม่ไปเช่นกัน

 ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำเพียงแค่กอดคนตรงหน้าไว้ ยิ่งเมื่อรู้ว่าพวกเรานั้นเหมือนกันแค่ไหน ผมก็ไม่อาจปล่อยพี่เอาไว้แบบนี้ได้

 "ไม่อยากทิ้งแล้วเหรอ" เสียงที่ทุ้มนุ่มของพี่หมอกทำให้ผมราวกับสั่นสะท้าน ผมส่ายหัวไปมาทั้งๆ ที่ยังคงกอดพี่หมอกไว้แน่น ในช่วงเวลานี้ ผมไม่อยากผละจากพี่ แม้แต่วินาทีเดียว

 และก็เหมือนว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามอารมณ์ความอ่อนไหว คนตรงหน้าค่อยๆ คลายอ้อมกอดของผมออกช้าๆ ดึงให้ผมมาเผชิญหน้า พลางเชยคางให้ดวงตาของพวกเราประสานกัน

 แรงต้านทานใดๆ ในโลกก็คงไม่อาจจะฉุดรั้งพวกเราได้อีกแล้ว ใบหน้าของพวกเราค่อยๆ แนบชิด ริมฝีปากแนบสนิทแลกเปลี่ยนความอบอุ่นหอมหวาน

 ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผมเริ่มรู้สึกถึงหลังของผมที่เอนอิงนอนลงบนโซฟาใหญ่ คนตรงหน้าปลดเปลื้องเสื้อผ้าของผมออก และปลดเปลื้องของตัวเองด้วยเช่นกัน รสจูบยังคงหอมหวาน แต่ความรู้สึกต่อมานั้นกลับทำให้ผมต้องเริ่มผละริมฝีปากออก

 "จ.เจ็บ" ผมพูดเบาๆ แต่คนตรงหน้าก็ได้แต่จูบพรมซับน้ำตา ผมไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้สักพักแล้ว และมันก็รู้สึกแย่ทุกครั้งเวลาที่เริ่ม แต่เมื่อผ่านไปสักพัก ความเจ็บปวดนั้นก็เริ่มทุเลาลง

 บนโซฟาที่ไม่ได้กว้างมากมายสำหรับผู้ชายสองคน ผมกอดก่ายร่างกายที่ผมหลงใหลไว้ ปล่อยหัวใจไปตามความรู้สึก

 เราทั้งสอง ต่างกอบโกย โหยหา กอดรัดกันและกันราวกับไม่อยากพรากจาก ผมลืมทุกสิ่งที่ตั้งใจไว้ ความปรารถนาตอนนี้มีเพียงแค่อยู่กับคนตรงหน้าเท่านั้น การได้โอบกอดกันไว้อย่างนี้ ผมก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีกแล้ว


 แสงสว่างที่สาดส่อง ทำให้ผมเริ่มลืมตาขึ้นช้าๆ ด้วยความอ่อนเพลีย ผมค่อยๆ ลุกขึ้น นั่งเอนตัวพิงหมอนด้วยสติที่ยังดูมึนงง

 ผมมองตัวผมที่อยู่ในเสื้อเชิ๊ตตัวใหญ่สีขาว กางเกงชั้นในขาสั้น แต่เดี๋ยวนะ เสื้อผ้าพวกนี้ไม่ใช่ของผม...

 ผมที่เพิ่งประมวลสมองก็แทบจะเด้งออกจากเตียงทันที ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาแม่อย่างรวดเร็ว ผมขอโทษแม่อยู่พักใหญ่ที่ไม่ได้บอกว่าจะออกมาค้างบ้านเพื่อน ซึ่งก็ถูกสวดนิดหน่อยไปตามระเบียบ

 ซึ่งเมื่อบอกแม่เรียบร้อยแล้ว ผมเหมือนจะโล่งใจ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ผมค่อยๆ นึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ตั้งแต่ที่ผมอยู่ๆ ก็เข้าไปกอดพี่หมอก และ...

 ผมนั่งอึ้ง พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทำหน้ายังไงก็ไม่อาจรู้ได้ อิน อินเอ๋ย ช่างหน้าไม่อาย มาที่นี่เพื่ออะไร ทำไมถึงจบแบบนี้ได้กันนะ

 ผมถอนหายใจเฮือกและเลิกคิดถึงสิ่งน่าอายเหล่านั้น ผมค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง และเดินต่อไปเรื่อยๆ มองพื้นห้องที่ยังคงระเกะระกะไปด้วยข้าวของ

 ผมเดินลากขาต่อไปเรื่อยๆ ไปยังห้องนั่งเล่น ที่ก็ว่างเปล่าอีกเช่นเคย คอนโดพี่หมอกเป็นคอนโดที่ค่อนข้างใหญ่ และกว้างเป็นทางยาว เอ่อ อย่าคิดถึงอะไรที่มันยาวใหญ่แบบนั้นสิ

แต่ว่า...พี่หมอกไม่อยู่งั้นเหรอ แบบนี้ก็คงจะดีละมั้ง ถ้าผมแอบกลับไปเงียบๆ เรื่องราวของพวกเราเมื่อคืนนั้น ก็คงเหมือนกับฝันไปใช่ไหม...

 "ตื่นสักที มาช่วยหน่อย" แต่ผมที่คิดแบบนั้นก็ต้องสะดุ้งตกใจ ผมมองพี่หมอกที่ยกจานอะไรสักอย่างด้วยมือทั้งสองข้างและวางลงที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ในโถงครัว

 "มัน...คือ?" ผมถามเบาๆ อย่างงงๆ นี่ผมยังไม่ตื่นดีใช่ไหม

 "อาหารไง ทำไม จะกินไหม" พี่หมอกทำหน้าหงุดหงิดเล็กๆ แต่น้ำเสียงก็ยังคงปกติดี

 ผมรีบเดินไปรับจานอาหารตรงหน้า และช่วยพี่หมอกยกเหยือกน้ำส้มที่วางอยู่รินใส่แก้วให้

 "เร็วๆ นั่งลง" ผมวางแก้วน้ำให้พี่หมอกและนั่งลงทันทีที่พี่เขาเรียก

 ผมมองอาหารตรงหน้า สปาเกตตี้ในซอสมะเขือเทศดูหน้าตาเอ่อ จะบอกว่าสวยงามก็คงไม่ได้ แต่ถ้าพูดออกไปผมอาจจะโดนกินหัวแทนสปาเกตตี้นี้แน่นอน

 ผมยิ้มน้อยๆ และเหลือบมองคนที่กำลังจ้องมองผมเขม็ง เป็นครั้งแรกที่ผมได้กินอาหารฝีมือพี่หมอก ผมที่เคยคิดอะไรกังวลอยู่ในหัว ตอนนี้ก็สลายหายไปแล้ว

 ผมค่อยๆ หยิบซ้อมและตักกินสปาเกตตี้ตรงหน้าขึ้นมาชิมคำหนึ่ง

 "อร่อย" ผมพูดชม ถึงหน้าตาจะเละเทะไปหน่อย แต่รสชาติก็ดีมากจริงๆ

 "อืม ก็แน่สิ ใครเป็นคนทำ" ผมอมยิ้มเล็กๆ พี่หมอกเริ่มกินอาหารของตัวเอง และดื่มน้ำส้มที่ผมรินเอาไว้

 ไม่นานนักเมื่อพวกเรากินเสร็จ ผมอาสาล้างจานให้พี่หมอกทันทีด้วยความเกรงใจ แต่เมื่อจัดการรอบๆ ครัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็พบว่าพี่หมอกหายไปอีกแล้ว

 ผมเช็ดมือกับผ้า และออกมาจากมุมครัว มองพื้นห้องตอนนี้ที่ยังคงเละเทะอย่างน่ากลัว เอาล่ะ สงสัยวันนี้ผมคงไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว นอกจากเก็บกวาดสิ่งของเหล่านี้

 ผมมองหาถุงใบใหญ่ เดินไปเดินมาเพื่อจะหาอุปกรณ์ที่จะทำความสะอาด แต่เมื่อผมเดินไปเรื่อยๆ ผมก็เพิ่งเห็นว่าพี่หมอกไม่ได้ไปไหน แต่กำลังนั่งเก็บซากเครื่องดนตรี สีหน้าของพี่เขาทำให้หัวใจของผมสั่นไหวอีกครั้ง ผมไม่อยากให้พี่เป็นแบบนี้เลย

 "ทำไมคุณพ่อพี่ถึงไม่อยากให้พี่เล่นดนตรีเหรอครับ" พี่หมอกชะงักมือเล็กน้อย

 "ก็แค่คนบ้า..." พี่หมอกชะงักหยุดคำพูดเหล่านั้นและหันมามองผม คิ้วขมวดเล็กๆ ดูเหมือนกำลังคิดอะไรมากมายในใจ "คงทำให้นึกถึงคุณแม่ละมั้ง"

 ผมยิ้มเล็กๆ ให้กับคำอธิบายนั้น ดีใจ ที่พี่เขาดูเหมือนจะค่อยๆ เปิดใจมากขึ้นทีละนิด

 "แล้วที่พี่เล่นดนตรี ก็เพราะทำให้นึกถึงคุณแม่เหมือนกันเหรอครับ" ผมถามต่อ ซึ่งไม่รู้ว่าผมยุ่งมากเกินไปหรือเปล่า

 "คิดค่าถามนะ" พี่หมอกหันมาทำสายตาแปลกใส่ผม แบบนี้ผมควรหยุดถามหรือเปล่านะ

"..."

"เล่นเพราะชอบ" 

"..."

"เวลาที่ได้ทำสิ่งที่รัก คนเรามักเป็นอิสระ" ผมเริ่มรู้สึกหน้าร้อนผ่าว หัวใจของผมเต้นแรงกับคำพูดนั้น

มันเป็นคำพูดที่ผมเคยพูดกับพี่ พี่จำมันได้อย่างนั้นเหรอ...

 "คือ ผม ช่วยเก็บนะ" ผมแก้เขินโดยการนั่งลงช่วยพี่หมอกเก็บชิ้นส่วนเครื่องดนตรีใกล้ๆ

 ผมหยิบสายสีเงินและส่วนบนของกีตาร์ น่าเสียดายมากที่ของสวยๆ ต้องมาพังยับเยินแบบนี้ ลวดลายสีเงินที่ตัดกับความมันเงาสีดำ ลวดลายที่ดูเหมือน...

 "ตรงนี้เดี๋ยวเก็บเอง" ผมตกใจทันทีที่พี่หมอกอยู่ๆ ก็แย่งซากกีตาร์ออกไปจากมือผม และเก็บชิ้นส่วนทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว

 ผมทำหน้างง และลุกขึ้นมองพี่หมอก ผมเป็นห่วงพี่เขานิดหน่อย เพราะตรงนี้ก็มีเศษแก้วแตกเต็มไปหมด

 แต่ว่าอยู่ๆ เป็นอะไรของเขากันนะ พี่มีอะไร ที่ไม่อยากให้ผมรู้อย่างนั้นเหรอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2020 17:14:43 โดย Gloomy Sunday »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
กีต้าร์ตัวที่ไปเล่นที่สวนสาธารณะสินะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รีบ ๆ นึกให้ออกเสียทีซิ  :z3: :z3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

หมอกเป็นเด็กเก็บกดจากครอบครัวนี่เอง  การแสดงออกทางอารมณ์จึงเป็นแบบนั้น  น่าสงสารฮีนะ

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
เพ้อ บทที่ 33 ช่วงเวลาที่แสนมีค่า


หลังจากทำความสะอาดห้องพี่หมอกเสร็จเรียบร้อย ผมที่แทบจะสลบอีกรอบจากความเหนื่อยล้า ก็ได้โอกาสเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างตัว

 ผมนึกถึงเรื่องเมื่อวาน ผมมาที่นี่เพื่ออะไร ความตั้งใจของผมที่มาที่นี่นั้นมันล้มเหลวไม่เป็นท่า ความรู้สึกผิดลึกๆ ในหัวใจ มันทำให้ผมไม่สามารถยิ้มออกมาได้อย่างที่คิด ผมมันน่ารังเกียจ สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ผมควรจะออกห่างจากพี่หมอก ผมไม่ควรเอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับพี่เขาอีก

 แต่ทว่า ในเวลานั้น ผมที่เห็นพี่หมอกต้องเจ็บปวดเสียใจ ผมก็ไม่สามารถทิ้งพี่เขาไว้ได้ และในตอนนี้ ผมก็คิดว่าพี่เขาดีขึ้นมากแล้ว ผมควร...จะต้องไปสักที

 "ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว" ผมสะดุ้ง และแทบจะมุดลงในอ่างน้ำทันที ผมว่าผมล็อกประตูห้องน้ำแล้วนะ

 "ผมจะขึ้นแล้ว พี่อาบต่อก็ได้" ผมหน้าแดงน้อยๆ มองพี่หมอกที่ไม่คิดแม้แต่จะปิดจุดอันตราย

  แต่เมื่อผมกำลังจะลุกออกจากอ่างน้ำ พี่หมอกกลับเดินเอาตัวเองมาบังทางไว้ไม่ให้ผมขึ้นและเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนผมต้องลงไปอ่างในตามเดิม

 ผมกระสับกระส่ายทำตัวไม่ถูก พยายามเสมองไปทางอื่น แต่ก็ยังรู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ของพี่หมอกที่มองมา

 "กลัวอะไร เมื่อคืนไม่เห็นจะหนีเลย"

 "คือ..." ผมที่ถูกรุกจนหลังแนบผนังแล้วก็ผลักหน้าท้องพี่หมอกไว้เบาๆ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

 "อิน" เอาอีกแล้ว ผมที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อจากพี่หมอก ก็เผลอช้อนสายตาขึ้นไปมอง

 พี่หมอกใช้แขนข้างหนึ่งดันผนังไว้และก้มลงเล็กน้อยจ้องมองผม ราวกับคนไม่เคยเห็น ผมไม่ชินอะไรแบบนี้เลย มันปั่นป่วนไปหมด เพราะว่ายังไง นี่ก็คือพี่หมอก คนที่ผมแอบรักมานานแสนนาน

 แต่ว่า ผมคงจะเงียบแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ผมอยากรู้ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าอะไรถึงทำให้พี่หมอกเปลี่ยนไป พี่ในตอนนี้ ทำให้ผมสับสน แต่ผมก็ไม่กล้าคิด ผมไม่กล้าหวังอีกแล้ว ว่าที่พี่ทำทั้งหมดนี้ เพราะว่าพี่...รักผม

 "ทำไม...พี่ถึงกอดผม" ผมถามคนตรงหน้า และจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาสีเข้มนั้น ผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับคำถามนี้เท่าไหร่ และก็กลัว กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นคำตอบที่ทำให้ผมเสียใจ เหมือนที่พี่ ชอบทำให้ผมเสียใจอยู่เรื่อยมา

 สายตาของพี่หมอกดูกะพริบไหว ผมมองและจับจองแววตาที่ไม่มั่นคงนั้น เหมือนพี่เขาอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา

 "พอเอาเข้าจริงก็ยากเหมือนกัน" พี่หมอกเสหน้าไปทางอื่นและพูดเบาๆ กับตัวเอง

 "พี่รู้ไหม ความจริงเมื่อคืน ผมมาทำไม" ผมพูดและพี่หมอกก็หันกลับมาจ้องผมเหมือนเดิม

 "ผมมา เพื่อจะตัดพี่ออกอีกครั้ง ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่ผมก็ยังพยายาม" น้ำเสียงของผมแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด "ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่คิดอะไรอยู่กันแน่ พี่ต้องการจะทำอะไร พี่ช่วยบอกผมทีได้ไหม"

ผมจ้องมองพี่หมอกราวกับขอร้อง ผมอยากให้ทุกอย่างมันจบลงตรงนี้ ถ้าพี่ไม่ได้รู้สึกกับผมเลยสักนิด แต่ว่า ถ้าหากว่า ในหัวใจของพี่ มีสักเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่รักผมละก็ ช่วยบอกผมทีได้ไหม แล้วผมจะลืมทุกอย่างแล้วมีชีวิตต่อไป เพื่อพี่ เพื่อฝันต่อไป ว่าสักวันพวกเราจะได้ใช้ชีวิตด้วยกัน

 "เมื่อถึงเวลา..." พี่หมอกพูดเบาๆ และใช้มือแตะเบาๆ ที่แก้มของผม หัวใจของผมพองโตด้วยความรู้สึกอบอุ่น ผมจับมือพี่หมอกไว้ และตั้งใจฟังด้วยความหวังที่เต็มหัวใจ

 "จะบอกให้ฟัง" สิ้นสุดคำพูดนั้น พี่หมอกก้มตัวลงอีกเล็กน้อย ให้ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน

 ผมไม่ได้ต่อต้านหรือรั้งรออะไร ผมปล่อยให้ความปรารถนาควบคุมหัวใจและทุกสิ่งก็เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น

 ความนุ่มลื่นชุ่มชื้น ทำให้ท่อนกายของคนตรงหน้านั้นสอดลึกเข้ามาตามความต้องการอย่างรวดเร็ว ผมกระดากอายเล็กน้อยกับท่าทางการยืนที่ไม่ถนัดนี้

 คนตรงหน้ายกรวบขาของผมข้างหนึ่งขึ้นและเริ่มกระแทกกายเข้ามาช้าๆ อย่างรู้งาน พร้อมๆ กับบดเบียดริมฝีปากควานลิ้นร้อนเก็บเกี่ยวความหวานไม่รู้จบ

 ผมกอดคอคนตรงหน้าไว้ ทุกครั้งที่ถูกกระทำแรงขึ้น ขาของผมก็แทบจะแบกรับน้ำหนักไม่ไหว ปากที่เม้มกันแน่นเริ่มเป็นสีแดง เริ่มจะสะกดกลั้นเสียงร้องไม่ไหวอีกต่อไป

"ผม...อื้อ.ยืน..ไม่ไหว" เสียงที่พยายามบอกคนตรงหน้าเริ่มแตกพร่า เป็นเวลานานมากพอดูทีเดียวที่ร่างกายถูกจับให้พลิกไปมาและกระแทกกระทั้นจนแทบขาดใจ พี่หมอกดูเหมือนจะเริ่มรับรู้และสงสารผม จึงจับตัวที่อ่อนปวกเปียกของผมนอนลงราบกับพื้นที่กว้างขวางของอ่างน้ำ โดยที่การเชื่อมต่อไม่เคยหลุดออกจากกัน

ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ขาและหลังก็ดูจะไม่ปวดมากเท่าที่เคยปวด แต่ว่าพอคิดแบบนั้นไม่ทันไร ร่างกายที่ถูกเชื่อมต่อก็เริ่มที่จะถูกกระแทกกระทั้นหนักหน่วงกว่าเดิม คนตรงหน้าแทบไม่ให้เวลาผมหายใจ เหมือนผมยิ่งร้อง ความเร็วและแรงก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

"ข้างใน ได้ไหม" ใบหน้าที่แดงระเรื่อของผมเริ่มเป็นสีแดงเมื่อได้ยินคำถาม แต่ว่าจะมีประโยชน์อะไร เวลาที่พี่หมอกถาม ผมแทบไม่ได้มีโอกาสจะตอบได้จริงๆ สักที

"ไม่...อื้อ" ปากของผมถูกปิดสนิทและถูกดูดจนแทบช้ำ คนตรงหน้าเริ่มเร่งจังหวะและหอบหายใจ หลับตาแน่นดูราวกับจะขาดใจไปเช่นกัน

หลังจากที่ถูกใส่เต็มเหนี่ยวอีกไม่กี่ครั้ง ร่างกายของคนด้านบนก็ดูจะนิ่งสงบ ความรู้สึกอุ่นร้อนถูกเติมจนเต็มล้น พวกเรากอดก่ายกันด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะพูด ทำได้แค่เพียงกอดก่ายกันเอาไว้

 เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เรายังคงอยู่ในห้องน้ำและแช่อยู่ในอ่างน้ำ ตอนนี้ร่างกายของผมแทบจะกลายเป็นเนื้อเปื่อยเลยทีเดียว พี่หมอกยังไม่ยอมให้ผมขึ้นจากน้ำ ยังคงนั่งซ้อนอยู่ด้านหลังผมทำเอาผมไม่ค่อยกล้าขยับตัวเท่าไหร่

แต่ว่า ผมก็มีความสุขมากจริงๆ ที่ได้อยู่ตรงนี้ ผมได้ใกล้ชิดพี่ มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ และผมก็อยากอยู่ตรงนี้ตลอดไป

"อิน" อยู่ๆ พี่หมอกก็ทำลายความเงียบ ผมยังคงรู้สึกเขินเล็กๆ ไม่กล้าสบตาพี่หมอกจึงได้แต่นั่งขดตัว ซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ในน้ำ

"..."

"เรื่องไอ้เปอร์น่ะ..เลิกกับมันซะ"

 หลังจากฟังสิ่งที่พี่หมอกพูด ผมก็เริ่มรู้สึกฉุนขึ้นมาเล็กๆ ทำไมกันนะพี่ถึงต้องมาพูดเรื่องพี่เปอร์ตอนนี้ แถมยังมาพูดแบบนี้อีก พี่ไม่รู้เหรอว่าการที่ผมต้องคบกับพี่เปอร์นั้น ก็เป็นเพราะพี่ และตัวพี่เองก็ยังไม่เลิกกับแฟนพี่เลย

 ผมไม่ได้พูดอะไร แต่เริ่มลุกขึ้นจากน้ำตอนพี่หมอกเผลอ ผมพันผ้าเช็ดตัวที่เอว และเดินออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งพี่หมอกก็เดินตามผมมาเงียบๆ เช่นกัน

 "ผมว่าผมกลับดีกว่า เย็นมากแล้ว เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วง"

 "อิน" พี่หมอกเดินตามผมมาด้านหลัง และดึงแขนผมไว้

 "ฟังที่พูดและทำตามซะ ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นคนยังไง" ผมหันไปมองพี่หมอกด้วยท่าทีเคืองเล็กๆ พี่หมอกยังไงก็ยังคงเป็นพี่หมอก เอาแต่ใจ หลงตัวเอง เห็นแก่ตัว

 "แล้วพี่ล่ะ เป็นยังไง" ผมแกะมือพี่หมอกออก อยู่ๆ มาพูดอะไร มันไม่ได้ง่ายแบบที่พี่คิดหรอก

 ผมหยิบเสื้อผ้าที่ซักเรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ และเปลี่ยนอีกครั้ง พี่หมอกไม่ได้พูดอะไรต่อ ซึ่งก็แปลว่าโกรธไปแล้วละมั้ง

ผมน่ะ อยากจะทำแบบที่พี่พูดนั่นแหละ แต่ว่าผมก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำแบบนั้น ผมอยากให้พี่เปอร์ เป็นคนบอกเลิกผมมากกว่า เพราะยังไง ผมก็รู้สึกผิดที่ดึงพี่เขาเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมไม่ได้ใจดำเหมือนกับพี่ ที่จะทำร้ายจิตใจใครได้ง่ายๆ

 เมื่อเสร็จเรียบร้อย ผมออกมาจากห้องน้ำ และหยิบกระเป๋าที่โซฟาเตรียมพร้อมเพื่อจะกลับ แต่ว่า...พี่หมอกหายไปไหนกันนะ ผมควรจะลาพี่เขาก่อนที่จะไป

 และเมื่อมองหาคนที่คิดถึงนั้น เสียงเปียโนก็ดังขึ้น คลอเบาๆ อยู่ในบรรยากาศ ผมมองขึ้นไปตามที่มาของเสียง ทำให้รู้ได้ทันทีว่าพี่หมอกอยู่บนนั้น

 บทเพลงที่ได้ยินราวกับทำให้ความขุ่นมัวในหัวใจค่อยๆ สลายหายไป ผมเดินช้าๆ ไต่บันไดเล็กๆ ขึ้นไปด้านบน และมองดูพี่หมอกที่กำลังบรรเลงบทเพลงที่ชวนอบอุ่นหัวใจ

 "เลิกกันแล้ว" สิ่งที่พี่หมอกพูดขณะเล่นเปียโนนั้น ทำให้ผมได้ยินไม่ชัด ผมขมวดคิ้วน้อยๆ และก้าวเข้าไปหาพี่หมอกให้ใกล้มากขึ้นอีกนิด

 "เมื่อกี้พี่ ว่าไงนะ"

 "กับผู้หญิงนั้น เลิกไปแล้ว"

 "..."


 ช่วงเวลาทุกฝีก้าวที่ผมออกมาจากห้องพี่หมอกนั้น ราวกับติดปีกไว้บนหลัง ผมเดินไปตามทางและเริ่มยิ้มอยู่คนเดียว หลังจากที่อะไรหลายๆ อย่างผ่านไปผมก็ยิ่งเริ่มมั่นใจ ความหวังที่เคยดับมอดไปแล้ว มันลุกโชนขึ้นมา โหมกระหน่ำอยู่ภายใน

 พี่หมอกเลิกกับหมี่แล้วเหรอ นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม ผมในตอนนี้ทำหน้าไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ใจหนึ่งผมก็ดีใจเหลือเกินที่ทั้งสองไปกันไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงผมก็ไม่ควรดีใจกับความทุกข์ของคนอื่น ผมคิดว่าหมี่คงจะเสียใจไม่ก็โกรธสุดๆ กับเรื่องนี้แน่ๆ

 แต่ว่ามันยังไงกันนะ หรือว่าเมื่อวานที่พี่หมอกบอกว่ามีเรื่องจะบอกก็คือเรื่องนี้ แต่ว่าเมื่อวานหมี่ก็อยู่ด้วยตอนกินข้าวกลางวันนี่นา ทำไมเธอถึงทำตัวปกติ หรือว่าเธอไม่ยอมรับกัน

 ผมคิดและหยุดเดินกลางคัน จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นไหมนะ หรือว่าพี่หมอกจะโกหกผม หลอกผม...

 ไม่ ไม่ใช่หรอก...

 ผมบอกตัวเองและพยายามคิดถึงการกระทำของพี่หมอก

 ถึงพี่เขาจะยังไม่ได้บอกว่าชอบหรือรักผม แต่ผมก็เริ่มรู้สึกว่าพี่หมอกเปลี่ยนไปแล้ว พี่หมอกดูแคร์ผม ห่วงใยผมมากขึ้น ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

 ผมคิดและฝันละเมอไปต่างๆ นานา จนในที่สุดก็ถึงบ้านหลังน้อยของผม ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ผมเข้าไปช่วยงานแม่ที่ยังคงคั่งค้าง และอ้อนขอโทษแม่อีกยกใหญ่ที่ไม่ได้กลับมานอนบ้าน

"ทีหลังถ้าไปนอนกับเพื่อนแม่ไม่ว่านะอิน แต่ช่วยบอกแม่ล่วงหน้าได้ไหม แม่เป็นห่วงจะแย่" แม่ยังคงบ่นผม ซึ่งผมนั้นก็ได้แต่ยิ้มอย่างสำนึกผิด ผมรู้ตัวเองดีว่าทำให้แม่เป็นห่วงมากแค่ไหน แต่ว่าจะให้บอกก่อนก็ยากเหลือเกิน เพราะผมไม่มีระยะเวลาให้พักทำแบบนั้นเลยนี่นา

 ยิ่งหวนคิด ใบหน้าของผมก็เริ่มแดงขึ้น พี่หมอก ไอ้คนบ้ากามนั่น เหมือนเป็นคนเก็บกดแล้วชอบเอามาลงกับอะไรแบบนี้หรือเปล่านะ ทั้งแรงเยอะ ทั้งท่ายากคือจัดเต็มมาก ผมทั้งรู้สึกดีและอายมากในเวลาเดียวกัน

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ผมก็ชอบที่พวกเราได้อยู่ใกล้ชิดกัน ได้กอด ได้จูบคนที่รัก ช่วงเวลาเหล่านี้ มันมีค่าเหลือเกินกับคนที่พี่เคยไม่แลตามองแบบผม มีค่ามากมายจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2020 17:15:37 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อินนี่ไม่ทำมะดา  ชอบท่ายากดัวะ  หุหุ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้อออ สงสารใครดี

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ถ้าเจอหน้าหมี่ อินจะเป็นไงนะ  :hao4:

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
เอาจริงๆ เรื่องนี้ทั้งอินทั้งหมอกทำไม่ถูกนะ ถ้าจะทำอะไรกัน อย่างน้อยก็บอกเลิกแฟนตัวเองก่อน
การนอกกายนอกใจคู่ของตัวเองมันไม่ถูกต้อง อย่าดึงคนอื่นเข้ามาในวังวนของตัวเองเลย

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
เพ้อ บทที่ 34 คำเตือน


ผมในตอนนี้คงจะเป็นคนที่น่าหมั่นไส้ที่สุด ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ทุกครั้งที่จ้องมองใบหน้าของตัวเองผ่านกระจก เพราะรอยยิ้มเล็กๆ ที่ไม่เคยจางหาย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะผ่านมาหลายวันแล้วที่ผมกับพี่หมอกได้อยู่ด้วยกันในวันนั้น แต่ทุกสิ่งก็ยังคงเดิม พี่หมอก ยังคงดีกับผมเหมือนเดิม จนผมเริ่มที่จะชินมากขึ้น

"อิน ช่วงนี้หน้าตาสดใสนะ มีเรื่องดีๆ ก็บอกพี่มั่งสิ" ผมที่พยายามจะปรับสีหน้าก็ไม่ได้เรื่องซะแล้ว ถูกจับได้โดยพี่ๆ ในชมรมละคร

"เปล่าซะหน่อยครับ"

"แหม ไม่เชื่อหรอกจ้ะ หน้านี่บานมาหลายวันละ" พี่แก้วได้ทียิ่งแหย่ผม แต่ก็นะ ผมคงจะมีความสุขจนออกนอกหน้าจริงละมั้ง

"พี่ก็พูดเวอร์ไป"

"ได้ข่าวว่าอินไปถ่ายละครมาเหรอ ที่อารมณ์ดีเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า" พี่ๆ แต่ละคนก็สนใจเรื่องนี้กันมาก แต่อันที่จริงผมก็แค่ไปเป็นตัวประกอบเท่านั้น

"แค่ช่วยงานพี่ที่รู้จักกันครับ"

"ใครอ่ะ หรือว่าจะเป็นหมอกปี 4 นั่น" ผมอึกอักเล็กน้อย ไม่คิดว่าพวกพี่ๆ จะเดาถูก

"ใช่แน่ๆ เห็นวันก่อนก็อยู่กับเขานี่ สนิทกันเหรอ"

"ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ แค่ผมเคยช่วยพี่เขาต่อบท แล้วเพื่อนพี่เขาก็รู้จักกับผมด้วย" ผมก็ได้ทีแถไปก่อน ไม่อยากให้ใครเห็นว่าพวกเราเริ่มสนิทกันจริงๆ กลัวพี่เขาจะถูกมองไม่ดี

"แล้วอินเมื่อไหร่จะไปแคสเล่นละครจริงๆ จังๆ บ้างล่ะ"

"เร็วๆ นี้แหละครับ"

"ดีมาก พวกพี่เอาใจช่วยนะ"

"ขอบคุณครับ"

ผมยิ้มให้พวกพี่ๆ อีกไม่นานแล้วที่พวกเราจะต้องจากกัน เพราะพวกพี่หลายคนใกล้จะจบการศึกษาแล้ว ต่อไปผมคงจะเหงาน่าดู ประสบการณ์ที่ผมได้รับจากที่แห่งนี้ มันมีค่ามาก ผมจะไม่ลืมเลยว่า ผมได้เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา และพวกเรามีความฝันร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่าในสักวัน ความฝันของผม จะต้องเป็นจริง

เมื่อเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มมืดมิด ผมและพี่ๆ เริ่มแยกย้ายกันออกจากโรงละคร ผมในวันนี้รั้งท้ายเพื่อตรวจเช็คทุกสิ่งทุกอย่างและจัดการปิดห้องประชุมเรียบร้อย

แกร่กๆ!

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นจากความมืดตรงแถวๆ ที่นั่งที่มืดมิดชั้นบน ผมหัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ความมืดและเงียบทำให้เสียงแปลกๆ ดังขึ้นอย่างเด่นชัด ผมไม่ใช่คนที่จะไม่กลัวอะไร ผีนั้นก็เป็นอีกสิ่งที่ผมกลัว แต่ก็ไม่เคยเจอสักที

"อ..เอ่อ มีใครอยู่เหรอ" ผมส่งเสียงอย่างหวาดๆ มองไปบนชั้นที่นั่งที่มืดมิดนั้น ผมคงหูแว่วไปเองใช่ไหม ผมว่า ผมรีบไปดีกว่า

ว่าแล้วผมก็รีบสะพายเป้ที่ไหล่ และรีบขึ้นบันไดไปอีกทางเพื่อจะไปยังทางออกตรงกลาง ผมคิดว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเองว่ามีคนกำลังจ้องมองผมอยู่

ขาที่ก้าวเริ่มก้าวเร็วมากขึ้นอีกนิด ภายในใจคิดแต่ภาพน่ากลัวต่างๆ จนผมแทบจะวิ่งอยู่แล้ว และเมื่อมาถึงประตูทางออก ใจของผมก็โล่งไปเปลาะหนึ่ง ผมรีบเอื้อมมือไปจับประตูที่เปิดแง้มไว้ แต่ว่าเมื่อทำแบบนั้น ตัวผมก็ถูกจู่โจมจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว

"อื้อออออ ช่วย! อื้ออออ..."

ประตูที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้กำลังไกลห่างออกไปจากสายตา ผมถูกปิดปาก ถูกดึง ถูกรัดและลากให้ขึ้นบันไดสูงขึ้นไป จากความคิดเรื่องผีในตอนนี้ แปรเปลี่ยนไปเป็นหนังสยองขวัญ ผมตายแน่ คนที่จับผมนั้นแรงเยอะมาก ผมคงไม่รอดแน่ๆ

"ปล่อย!" ผมดิ้นไปมาและปากเริ่มหลุดจากมือหนา

"บอกให้ปล่อย!" ผมร้องเสียงดังจนเสียงสะท้อนไปทั้งโรงละคร แต่เมื่อทำแบบนั้น เสียงที่ได้ยินจากคนที่จับผม ก็ทำให้ผมหยุดดิ้นทันที

"ฮ่าๆๆ" ผมตัวแข็งทื่อขึ้นทันใด เพราะแค่เพียงเสียงหัวเราะ ผมก็จำได้ดี

"พี่หมอก!" ผมทั้งตกใจ ทั้งโกรธ ทั้งเขิน ทุกอารมณ์ทำให้หน้าตาผมตอนนี้ดูแทบไม่ได้

ผมหันไปผลักพี่หมอกเบาๆ อย่างเคืองๆ มองคนที่ยังคงหัวเราะชอบใจที่ทำผมแทบหัวใจวายตายได้

"เล่นอะไรของพี่"

"ก็อยากทำเป็นไม่ว่างเอง" ถึงแม้จะมืดมาก แต่ใบหน้าขาวๆ ของพี่หมอกก็ยังคงดูเด่นชัดมาก สีหน้าของพี่เขายียวนกวนประสาท คงกะจะทำให้ผมตกใจตายไปเลยจริงๆ

"ก็ผมไม่ว่างจริงๆ"

"แล้วตอนนี้ล่ะ" พี่หมอกไม่พูดเปล่าแต่ดึงผมให้นั่งลงที่ตักของพี่เขา ผมทำตัวแข็งทื่ออีกรอบ

"อย่าครับ ที่นี่มันมีกล้องนะ"

"ช่างมันสิ เดี๋ยวค่อยพังมัน"

"พังไม่ได้ครับ"

"งั้นก็เข้าไปลบในห้องควบคุม มีกุญแจไม่ใช่เหรอ" ผมเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ

"พี่รู้ได้ไงว่าผมมีกุญแจ"

"เดา" คนพูดไม่ยอมสบตา และเริ่มออกแรงรัดผมให้อยู่นิ่งๆ มากขึ้น

"ออกไปกันเถอะครับ"

ผมบอกพี่หมอกที่ยังไม่ยอมปล่อยตัวผม เก้าอี้ของโรงละครก็คล้ายๆ กับในโรงภาพยนตร์ แต่การมีผู้ชายสองคนนั่งซ้อนกันอยู่ มันก็ค่อนข้างอึดอัดนะ

"พี่ไม่ร้อนเหรอ ตัวผมก็หนักด้วย"

ผมที่จริงแล้วรู้สึกประหม่ามากๆ เมื่ออยู่ใกล้พี่หมอก และที่ผมจะหัวใจวายตายน่ะ ไม่ใช่เพราะตกใจอีกแล้ว แต่เพราะว่าพี่หมอกกอดผมแน่นมาก เหมือนกลัวผมจะหายไปยังไงยังงั้น

"ไปไหน ไม่อยากไปไหน" พี่หมอกช่างดื้อและเอาแต่ใจมาก แต่ไม่รู้ทำไม ผมแอบยิ้มเล็กๆ ในความมืด

ผมค่อยๆ ผ่อนร่างกายของตัวเองพิงซบคนใต้ร่างมากขึ้น ใบหน้าของพวกเราใกล้กันมาก ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจของพี่หมอกที่ข้างแก้ม ถึงแม้ที่นี่จะมืดมากแต่ในหัวใจของผมมันสว่างไสวเหลือเกิน

"งั้น สักพักนึงก็ได้ครับ" ผมหลับตาลง ซึมซับความรู้สึกที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้แต่นึกฝัน และหลงละเมอไปเองต่างๆ นานา แต่วันนี้ นาทีนี้ คนที่อยู่ในฝันของผม เขากำลังกอดผมเอาไว้ ผมมีความสุขมากเหลือเกิน และคงจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาเหล่านี้ได้เลย


ในช่วงเช้าของวันใหม่ หลังจากช่วยแม่ทำงานบ้านเป็นกิจวัตร ผมออกไปเรียนแต่เช้าด้วยความสดใส และอย่าให้พูดถึงเรื่องเมื่อคืนเลย ผมแทบเอาตัวเองไม่รอดจากโรงละครของมหา'ลัย

พี่หมอกก็ยังคงเป็นพี่หมอก ผมแทบจะถูกแก้ผ้าทันที หลังจากที่ผ่อนแรงขัดขืน แต่ดีที่คุณ รปภ.ผู้ดูแลรอบๆ เข้ามาซะก่อน ไม่งั้นผมคงได้โดนเอ้าท์ดอร์ของจริงแน่ นี่เป็นสิ่งที่ผมเอือมกับพี่หมอก คนบ้ากามยังไงก็บ้ากามอยู่วันยังค่ำ

"วันนี้อย่าคิดจะหนี"

เมื่อเดินเข้ามาใกล้คณะ เสียงพูดที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับมะเหงกเคาะเบาๆ ที่หัวของผม พี่หมอกเดินมาที่ด้านหลังและเดินผ่านผมไปอย่างรวดเร็ว ไม่วายยกยิ้มมุมปากกวนๆ ก่อนจากไป

ซึ่งผมที่งงงวยก็ได้แต่หยุดเดิน เกาหัวและยิ้มตามอย่างมีความสุข โดยไม่รู้เลยว่า อีกด้านหนึ่งมีคนที่กำลังเดินเข้ามาซึ่งคอยจ้องมองผมอยู่นานแล้ว

"ช่วงนี้อินดูมีความสุขดีนะ"

ผมสะดุ้งตกใจเล็กน้อยและหันกลับไปมองคนที่พูด พี่เปอร์ยืนอยู่ไม่ห่างจากผมมาก พี่เขาจ้องมองผมด้วยแววตาที่ผมไม่อยากเห็น

"แต่พี่ก็ดีใจนะ ที่อินมีความสุข ดีใจจริงๆ ที่เห็นอินยิ้มได้"

ผมหลบสายตาพี่เปอร์ รู้สึกเจ็บปวดข้างในหัวใจเล็กๆ ผมเกือบลืมเรื่องราวระหว่างพวกเราไปแล้วจริง

"อย่าทำหน้าแบบนั้น พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

ผมพูดไม่ออกและไม่ได้หลบมือหนาที่กำลังยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ พี่เปอร์ถึงแววตาจะเศร้าสร้อย แต่รอยยิ้มกลับสว่างไสวราวพระอาทิตย์

"ไปเรียนได้แล้ว"

ผมถูกผลักเบาๆ ให้เดินออกไป ขาของผมค่อยๆ เดินไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่เริ่มสับสน คิดกังวลมากมายกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา

ตลอดคาบการเรียน ในหัวของผมเหมือนกำลังว่างเปล่า ผมนั่งเหม่อลอยอยู่หลายชั่วโมง ปล่อยเวลาให้เดินล่วงผ่านไป ผมไม่อยากคิด ไม่อยากเครียดอีกแล้ว แต่ว่าผมจะแก้ปัญหานี้ยังไง เรื่องระหว่างผมและพี่เปอร์ มันจะมีทางไหนอีก ผมเริ่มเกลียดตัวเองมากขึ้นทุกที ที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งเหยิงแบบนี้

Trrr Trrr

แรงสั่นจากมือถือที่วางอยู่ตรงหน้าทำให้ผมหลุดออกจากความคิด ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา โดยไม่ได้ใส่ใจกับมันมากเท่าไหร่

[อย่าเชื่อใจพี่เปอร์ ออกห่างจากเขาซะ]

แต่ข้อความหนึ่งที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือ ทำให้ความคิด ความกังวลของผมเริ่มเพิ่มเติมมากขึ้น ผมไม่เข้าใจเลย ข้อความนี้มาจากเบอร์แปลกๆ ที่พอโทรกลับก็ไม่สามารถติดต่อได้ มันหมายความว่ายังไง และมาจากใคร

สิ้นสุดความสงสัยนั้น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นคนคนหนึ่งที่กำลังทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ที่หน้าประตู ผมรีบลุกขึ้น โดยไม่สนใจสายตาตำหนิของอาจารย์และเพื่อนๆ นี่มันแปลกมาก ทำไมเขาถึงมาให้ผมเห็นได้ หลังจากที่หลบหน้าผมมานาน

"ขอโทษครับ" ผมรีบพูดบอกทุกๆ คนในห้องเรียนและเก็บของวิ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็สายเกินไป คนคนนั้นหายไปแล้ว ผมไม่ได้เจอเขามาสักพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่ที่พวกเราไปทะเลด้วยกัน

มิว นายเป็นอะไรกันแน่ ทำไมนายถึงต้องหลบหน้าพี่ขนาดนี้

ผมไม่ได้กลับเข้าชั้นเรียน แต่เดินออกมาจากคณะ เดินไปเรื่อยๆ ด้วยสมองที่กำลังคิดถึงข้อความนั้น ออกห่างจากพี่เปอร์งั้นเหรอ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำนะ ผมก็พยายามออกห่างพี่เขาจริงๆ เพราะอยากให้พี่เขาตัดใจจากผม อยากให้พวกเราเป็นเพียงเพื่อน พี่น้อง อย่างที่ควรจะเป็น

"เดินเหม่อทำอะไร ขึ้นรถ"

เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้น พี่หมอกขับรถคันหรูมาจอดหยุดอยู่ข้างๆ พลางลดกระจกลงเล็กน้อย

"เปล่าครับ"

"ขึ้นมา"

ผมมองซ้ายขวาเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูขึ้นไป ผมยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กๆ ไม่อยากให้ใครเห็นว่าผมกับพี่หมอกนั้นอยู่ด้วยกัน

"เป็นอะไร เมื่อเช้าก็ยังดีๆ อยู่"

"เปล่าครับ"

"พูดเป็นคำเดียวหรือไง" ผมถูกดุเข้าให้แล้ว พี่หมอกดูหงุดหงิดมากขึ้น ผมไม่ควรเป็นแบบนี้เลย แต่จะพูดถึงพี่เปอร์กับพี่หมอกก็คงจะทะเลาะกันอีกแน่ๆ

"เราจะไปไหนกันเหรอครับ" ผมทำหน้าตาซื่อๆ ถามพี่หมอก เปลี่ยนเรื่องคุยน่าจะดีที่สุดในตอนนี้

"ไปไหนเดี๋ยวก็รู้" ถ้าพี่หมอกพูดแบบนี้ละก็ ผมก็ไม่ควรจะถามต่อสินะ

ผมสงบสติอารมณ์ เลิกคิด เลิกกังวลชั่วคราว ทำตัวดีๆ นั่งนิ่งๆ ไม่กวนใจ สายตาจ้องมองไปที่นอกหน้าต่างรถ มองดูผู้คน ถนน ตึกรามบ้านช่อง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงไม่คิดว่าจะได้เห็นทิวทัศน์นี้ผ่านกระจกรถของพี่หมอก มันดูเพ้อฝัน มันดูไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริงได้ ซึ่งพอมาถึงตอนนี้ พอได้หันมองไปข้างๆ และเห็นคนที่ผมฝันถึงเสมอมา ผมก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว

"อาทิตย์หน้า ผมจะลองไปแคสงานดูครับ"

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในหัวใจของผมก็ยังคงมีความกลัวอยู่เสมอ ผมกลัวเหลือเกิน ว่าผมอาจยังไม่ดีพอที่จะก้าวออกไปสู่สายอาชีพนักแสดงอย่างเต็มตัว

"แต่ไม่รู้ว่า จะได้ไหม..."

"ต้องได้สิ เป็นตัวของตัวเอง ทำให้ดีเหมือนที่ผ่านมานั่นแหละ"

"ขอบคุณครับ"

รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม จะมีอะไรที่ดีไปกว่าการได้รับการยอมรับจากคนที่เรารักและชื่นชม คำพูดของพี่หมอกนั้น ทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2020 17:16:24 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จะจีบไหม รึไม่จีบ? :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...เมื่อไรความลับอันน่าสะพรึงของพี่เปอร์จะถูกแฉสู่สาธารณะชน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มีแต่คนแปลก ๆ นะ ทั้งมิว ทั้งเปอร์  :hao3:

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
พี่เปอร์คงเป็นเพย์บอยแบบร้ายๆแหละ

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เพิ่งมาตามอ่าน ตัวละครมีพัฒนาการขึ้นนิดนึงตรงที่ยอมรับใจตัวเองกันสักที แต่ก็ควรรีบเคลียร์ความสัมพันธ์ดัวย

ออฟไลน์ Pawana

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
คิดถึงน้องอินน์น์น์กับพี่หมอกกกจัง

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
เพ้อ บทที่ 35 สิ่งสำคัญที่เก็บซ่อนไว้


รถเคลื่อนผ่านไปอีกสักพัก และในที่สุดก็จอดลงที่ลานจอดรถที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมตื่นเต้นเล็กน้อยขณะมองพี่หมอกใส่แมสปิดปากสีดำอันใหญ่ และแว่นตากันแดดสีเข้ม ไม่บ่อยมากนักที่ผมจะได้ไปไหนมาไหนกับพี่หมอกในที่ที่คนเยอะๆ แบบนี้

"เดินแยกกันดีไหมครับ"

"ก็แค่มากับเพื่อน"

พอได้ยินแบบนั้นผมก็หน้าเจื่อนลงเล็กๆ แต่พี่หมอกก็พูดถูกแหละ ถ้าทำตัวแปลกๆ นั่นแหละยิ่งมีพิรุธ

"ครับ เพื่อน"

ไม่รู้ว่าคำพูดผมไปสะกิดใจอะไรคนฟัง พี่หมอกหันมาจ้องหน้าผมนิ่งๆ

"ให้เขียนกลางหน้าผากไหมว่าผ..." ผมรู้ดีว่าพี่หมอกกำลังจะพูดอะไร และไวกว่าความคิด มือของผมก็เอื้อมไปปิดปากพี่หมอกได้ทันการพอดี

"ไปกันเถอะครับ" หัวใจของผมพองฟู ไอ้การมาเดทกันมันก็คงอารมณ์ประมาณนี้ใช่ไหม มีความสุขอีกแล้วนะอิน

พวกเราออกจากลานจอดรถ เดินข้างๆ กันไปด้านใน แน่นอนว่าตอนนี้คนที่มาจับจ่ายเดินเที่ยวนั้นมีค่อนข้างเยอะทีเดียว

พี่หมอกถึงแม้จะปิดหน้าตามิดชิดแต่ก็ยังคงเรียกสายตาของผู้คนให้หันมามองได้ ด้วยผิวขาวที่ขาวสุขภาพดี รูปร่าง ส่วนสูง ทุกอย่างบ่งบอกได้โดยไม่ต้องเห็นหน้าด้วยซ้ำว่าคนคนนี้ดูดีแค่ไหน

"หนังเข้าใหม่" พี่หมอกเหลือบมองป้ายโฆษณาอย่างสนใจ ซึ่งผมก็พบว่ามีหลายเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ

"พี่มาดูบ่อยไหม"

"ไม่"

"งั้นไปดูกัน" พี่หมอกพยักหน้าตอบรับ

พวกเราจัดการซื้อตั๋วเรียบร้อย ส่วนพวกขนมหรือน้ำพี่หมอกไม่สนใจจะกิน ซึ่งผมก็เช่นกัน พวกเราจึงเดินตัวเปล่าเข้าไป เลือกที่นั่งที่ชั้นบนสุด เพราะพี่หมอกบอกว่ารำคาญพวกถีบเบาะ ทำเอาผมดีใจเก้อเลยทีเดียว

"คนน้อยมาก"

"ดีแล้ว" พวกเราคุยกันเบาๆ พี่หมอกถอดแว่นและแมสออกจากหน้า นั่งกอดอกตัวตรงตั้งใจมองจอ

หัวใจผมนั้นเต้นแรงอยู่ในอก สายตาไม่รักดีคอยแต่จะเหลือบมองคนข้างๆ มากกว่าที่จะสนใจหนังที่กำลังเริ่ม ผมนั้นเคยฝัน ฝันว่าผมจะได้ทำอย่างวันนี้ อยู่ในบรรยากาศที่มืดสลัว สองมือกอบกุมกันไว้ เอียงคอซบไหล่พี่หมอกที่ผมแสนรัก และวันนี้ ในที่สุด ความฝันเล็กๆ ของผมก็เป็นจริง ผมไม่อาจหยุดหัวใจที่กำลังสั่นไหวนี้ได้เลย

"ดูหนัง" พี่หมอกพูดเบาๆ พลางเหลือบสายตามองผม ทำเอาผมที่ถูกจับได้นั่งหน้าแดงอย่างไม่รู้จะแก้ตัวยังไง

และหัวใจของผมก็ต้องกระตุกวูบอีกครั้ง เมื่อพี่หมอกค่อยๆ ขยับตัวลงช้าๆ และเอนพิงผม

"อย่าขยับ" พี่หมอกพูดเบาๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมในหูของผมมันถึงไม่ได้ยินเสียงของหนังเลย นอกจากเสียงหัวใจตัวเอง

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ผมยังคงนั่งนิ่งๆ อย่างที่ได้รับคำสั่ง ผมนุ่มๆ และกลิ่นหอมๆ ของพี่หมอกทำเอาผมสติแทบกระเจิดกระเจิง ถึงจะดูผิดโพสิชันนิดหน่อย แต่แบบนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ผมรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียงอีกแล้ว พวกเราทำเหมือนคู่รักคนอื่นๆ แล้วนะ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่ได้ยินคำๆ นั้นจากพี่หมอกก็ตาม

แต่ว่าพอเวลาผ่านไปสักพัก ผมก็เพิ่งรู้สึกจริงๆ จังๆ ว่ามีอุปสรรคซะแล้ว ไอ้เหน็บไม่รักดี ทำไมถึงมาป่วนตอนนี้

"พี่หมอก" ผมส่งเสียงออกไปเบาๆ หวังให้คนที่กำลังพิงผมให้ขยับตัวสักนิด แต่เมื่อผมลองเรียกออกไปอีกครั้ง ก็พบว่าพี่หมอกยังคงนิ่งสนิท เอ๊ะ...หรือว่า

ด้วยความสงสัย ผมพยายามขยับตัวให้น้อยและก้มลงมองใบหน้าของคนที่กำลังพิงผม แสงสว่างวาบจากหน้าจอทำให้ผมมองเห็นแพรขนตาที่กำลังขยับนิดๆ พี่หมอกขมวดคิ้วมุ่นทั้งๆ ที่ดวงตาปิดสนิท

ผมค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างอดใจไม่อยู่ ทั้งๆ ที่เป็นคนชวนผมให้ดูหนังแท้ๆ แต่ตอนนี้คนชวนกลับไปเฝ้าพระอินทร์ซะแล้ว ความมันเขี้ยวทำให้ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิกเบาๆ ที่ข้างแก้มขาวนั้น พอไม่พูดอะไรร้ายๆ ออกมาพี่ก็ดูบริสุทธิ์เหลือเกิน เหมือนกับเทวดาตัวน้อยๆ ไม่สิ ไม่น้อยเลยจริงๆ

แต่ขณะที่ผมกำลังชื่นชมใบหน้าของคนข้างๆ นั้น เสียงกระทบกันของโลหะเล็กๆ ก็ดังเบาๆ ขึ้นมา ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย มองดูสร้อยคอสีเงินที่ไหลออกจากปกเสื้อของพี่หมอก บนสร้อยคอนั้นมีแหวนวงหนึ่งเป็นจี้ห้อยเอาไว้ เป็นแหวนสีเงินกลมเกลี้ยง ตรงกลางมีเพชรเม็ดงามฝังอยู่

หัวใจของผมเริ่มสั่นไหวน้อยๆ ผมเคยเห็นมันมาก่อน ตอนนั้น ในกล่องม้าหมุน...

และด้วยความที่ไม่ทันคิด ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปช้าๆ เพื่อที่จะสัมผัสแหวนวงนั้น เพื่อจ้องมองมันให้ใกล้มากขึ้น

หมับ!

แต่เมื่อมือของผมเอื้อมไปจนได้แตะมันเพียงเล็กน้อย ข้อมือของผมก็ถูกจับไว้ทันที พี่หมอกขยับตัวขึ้น และเก็บสร้อยเข้าไปในเสื้อตามเดิม

"ขอโทษครับ" เมื่อรู้สึกว่าตัวเองก้าวก่ายเกินไป ผมก็บอกขอโทษพี่หมอก พี่เขาดูจะหวงแหวนวงนั้นมาก

"ใกล้จบหรือยัง" พี่หมอกทำเหมือนไม่ได้ใส่ใจเรื่องแหวนและถามถึงหนังแทน

"คงใกล้แล้วครับ" ผมตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจ และยังคงเหลือบมองสร้อยนั่นอย่างอดสงสัยไม่ได้ ผมรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ในหัวใจ เมื่อคิดว่าคนที่ให้แหวนวงนั้นกับพี่หมอก คงจะต้องสำคัญมากๆ สำคัญมากกว่าผมหลายเท่านัก

ผมไม่รู้ว่าพี่หมอกจะรู้ความหมองใจเล็กๆ ของผมไหม แต่พี่เขาก็จ้องมองผมเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลังออกจากโรงภาพยนตร์ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ผมบอกพี่หมอกว่าพวกเราควรจะแยกกันกลับ เพราะผมก็ไม่ค่อยอยากให้พี่หมอกขับรถไปส่งที่บ้านผมเท่าไหร่ ด้วยเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่ผมกังวลใจ

แต่คำพูดของผมก็คงจะไม่เป็นผล ผมมองเส้นทางขณะนั่งอยู่ในรถ และรับรู้ได้ทันทีว่าพี่หมอกกำลังจะไปที่ไหนต่อ

"ผมบอกแล้วไง ผมกลับเองได้นะ" ผมลองพูดบอกพี่หมอกอีกสักรอบ พลางเหลือบมองสร้อยคอเส้นเดิมที่ทำให้ขุ่นเคืองอยู่ในใจ

"นั่งเงียบๆ" และก็อีกครั้งที่ถูกดุ แต่ผมชินแล้วล่ะ

Trrr Trrr

เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมมองกระเป๋าสะพายของตัวเองและเริ่มเปิดซิปเพื่อดึงโทรศัพท์ของผมออกมา แต่ก็พบว่ามันไม่ใช่ของผม

"น่ารำคาญ" พี่หมอกสบถเบาๆ พลางหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา และวางแรงๆ ไปที่คอนโซลหน้ารถ

"พี่จะ ไม่รับเหรอ" ผมมองพี่หมอกที่เริ่มหงุดหงิด และไม่ยอมรับโทรศัพท์ที่ยังคงดังต่อเนื่อง

"พี่หมอก" ผมเรียกพี่หมอกเบาๆ

พี่หมอกหยิบมือถือขึ้นมาแต่ก็ยังไม่ได้กดรับ พี่เขาดูลังเลเล็กน้อย พลางเหลือบมองมาที่ผม ทำให้ผมเข้าใจได้ในทันที

"ผม ไม่แอบฟังหรอก..."

"ไม่เป็นไร นั่งเฉยๆ" คนพูดกดรับสายทันที และไม่ใช่แค่นั้น ยังเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ผมได้ฟังด้วย

"ครับคุณพ่อ"

"ไม่คิดจะกลับบ้านเลยใช่ไหม ทำอะไรของแกอยู่! "

เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งน้อยๆ ผมจำได้ดีว่าคือเสียงของคุณพ่อพี่หมอก

"ตอนนี้ไม่ว่าง"

"ปกติฉันไม่สนหรอกว่าแกอยู่ที่ไหน แต่พี่แกมาตั้งแต่เมื่อวาน ไม่คิดจะไสหัวมาเลยใช่ไหม หรือว่าต้องให้ต้องไปลากแกมาถึงที่!"

"ผมจะไปหาพี่เองวันหลัง แค่นี้นะครับ" พี่หมอกพูดและตัดสายไปอย่างรวดเร็ว ความเงียบหลังจากนั้นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ไม่กล้าถาม หรือพูดอะไรออกไป เพราะกลัวจะยิ่งทำให้พี่หมอกรำคาญใจ

รถของพวกเรายังคงค่อยๆ แล่นต่อไป ผมเหลือบมองพี่หมอกที่ขับรถเงียบๆ เหมือนกำลังคิดอะไรมากมายอยู่ในใจ

"พี่ชายของพี่ เป็นคนยังไงเหรอ" ในที่สุดผมก็ไม่อาจทนความอึดอัดนี้ได้ และเริ่มชวนพี่หมอกคุย "ผมเคยอยากมีพี่น้องมาตลอด ถ้ามีน้องสาวหรือน้องชายอีกสักคน ก็คงจะดี"

ผมเหลือบมองพี่หมอก พี่เขายังคงเงียบ และดูเหมือนไม่ได้สนใจจะฟังสิ่งที่ผมพูดเท่าไหร่ ผมจึงคิดว่า ผมควรจะพูดต่อไป

"ตอนเด็กๆ ผมแทบไม่มีเพื่อนเลย ผมได้แต่เดินตามหมี่ไปทุกหนทุกแห่ง เพราะหวังว่าพวกเด็กๆ คนอื่นๆ จะเล่นกับผมบ้าง"

"ขี้แพ้แต่เด็กเลยสินะ" ผมชะงักทันทีและมองพี่หมอกที่เริ่มกลับเป็นเหมือนเก่า ถึงคำพูดจะน่าโมโห แต่ก็ดีกว่าไม่พูดอะไร

"ไม่ได้ขี้แพ้ซะหน่อย" ผมแกล้งเถียง หวังว่าจะทำให้พี่หมอกคลายความตึงเครียดได้

"เบื่อพวกขี้แพ้" ผมถอนหายใจเล็กๆ อยากดีดปากคนปากดีนี่จริงๆ

"อยากลองดูไหมล่ะ ว่าผมขี้แพ้จริงๆ หรือเปล่า" ผมกอดอกและพูดออกไปด้วยความมั่นใจ ทำเอาพี่หมอกเริ่มกระตุกยิ้ม

"อยากพิสูจน์ตัวเองเหรอ"

"แน่นอน" ผมตอบด้วยความมั่นใจ

พี่หมอกยกยิ้มมุมปาก ผมตกใจเล็กน้อยตอนที่พี่หมอกหักรถเข้าข้างทางและจอดดับเครื่อง และตกใจมากขึ้นอีกนิดเมื่อพี่หมอกยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจ

"งั้นจะให้โจทย์ง่ายๆ" พี่หมอกพูดพลางยิ่งขยับหน้าเข้ามาใกล้

"ถ้าใครหลบตาใครก่อน คนนั้นเป็นคนขี้แพ้"

รอยยิ้มของคนตรงหน้าดูมั่นใจ แต่ว่าพอได้ยินแบบนี้ ผมก็ยิ่งยิ้มมากขึ้นด้วยความมั่นใจยิ่งกว่า

"ด้วยความยินดี"

เวลาเริ่มเดินหลังจากที่รู้กติกา ใบหน้าของพวกเรานั้นเรียกว่าอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น พี่ครับ พี่ไม่รู้หรือว่านี่เป็นโอกาสทองของผมแค่ไหน พี่ประเมินผมต่ำเกินไป

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยละโอกาสที่จะได้จ้องมองพี่ แม้เพียงเสี้ยววินาที แม้แต่เพียงปลายผม ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงพี่ การได้จ้องมองพี่แบบที่ไม่ต้องแอบมองนั้น มันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมเคยฝันถึง

ผมสามารถจ้องมองพี่ เฝ้ามองอยู่แบบนี้ ได้อีกนานแสนนาน...

"แพ้แล้ว" ผมเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ทันทีที่พี่หมอกหลบตาผม และหันหน้าหนีออกไปทางหน้าต่างรถอย่างรวดเร็ว ผมมองตามคนแพ้ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

เวลาไม่ได้ผ่านไปนานมากมาย แต่ตอนนี้ แก้มสีขาวของพี่หมอกกำลังกลายเป็นสีแดงจางๆ ผมไม่เคย ได้เห็นพี่หมอกในมุมมองแบบนี้มาก่อน มันทำให้ผมใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำเลยทีเดียว

"คือ..ผมทำให้ อึดอัดเหรอ" ผมถามเบาๆ และพยายามมองคนที่ยังไม่หันหน้ากลับมา

"น่ากลัวชะมัด นึกว่าจะถูกกินซะแล้ว" พี่หมอกพูดเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเอง แต่ว่าผมก็ได้ยินทุกคำพูดนั้น ทำเอาผมไม่อาจสะกดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้

"ฮ่ะๆ ตอนพี่อายก็น่ารักดีนะ"

"ไม่ได้อาย" พี่หมอกรีบแก้ตัว และพยายามทำหน้าขึงขังจริงจัง

"ทั้งขี้แพ้ แถมยังขี้อายอีก" ผมได้ทีก็แหย่พี่หมอกชุดใหญ่ ทั้งสะใจทั้งภูมิใจ ทำเอาพี่หมอกเหมือนจะเริ่มควันออกหู

"ก็บอกว่าไม่ได้ขี้อาย" พี่หมอกยังคงแก้ตัวเสียงแข็ง ซึ่งผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และยังไม่สามารถหยุดขำได้

"เฮ้อ ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้น่าจะอ่อนให้ซะ..." แต่ผมที่กำลังจะพูดต่อไปนั้นก็ต้องชะงักทันที ผมมองพี่หมอกที่ทำสีหน้านิ่งๆ และกำลังปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาตัวเองอย่างรวดเร็ว

"เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน พี่จะทำอะไรน่ะ" ผมถามเสียงอ่อย อยู่ดีไม่ว่าดี วอนซะแล้วอิน

"ก็พิสูจน์ไง ว่าไม่ได้ขี้อาย" ไม่พูดเปล่า พี่หมอกแกะกระดุมเม็ดสุดท้าย พร้อมๆ กับถอดเสื้อออก เผยให้เห็นร่างกายที่ขาวสะอาดและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่สวยงาม

ผมเริ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ผมคงจะเล่นเกินลิมิตไปซะแล้ว ก็รู้อยู่ว่าเรื่องแบบนี้พี่แกหน้าหนาแค่ไหน

"ยอมแพ้ ยอมแพ้แล้ว ผมขี้แพ้เอง" ผมยื่นมือไปยันคนที่โผตัวเข้ามา ถึงแม้นี่จะเป็นภายในรถ แต่พี่หมอกก็ไม่ได้ใส่ใจความคับแคบนี้เลยสักนิด และเริ่มจู่โจมผมแบบจริงๆ จังๆ

"พี่หมอกก เดี๋ยว มันจั๊กจี้นะ" ผมดันตัวพี่หมอกไว้เบาๆ ขณะที่ทั้งถูกหอมแก้ม ลามยาวลงมาที่ลำคอ ผมเริ่มหัวเราะดังขึ้นเพราะพี่หมอกเองก็เริ่มหลุดจากสีหน้าจริงจังกลายเป็นขำซะเอง

ช่วงเวลาเหล่านี้ พวกเราช่างมีความสุขเหลือเกิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2020 17:17:22 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นี่กะจะเอาท์ดอร์เหรอพี่หมอก  อิอิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สุขจริงหรอ สุขหรือนานแค่ไหน  :hao4:

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
กลัวจัง ไม่ค่อยไว้ใจเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด