-7-
“เลี้ยงต้อนรับเหรอครับ”
ผมเลิกคิ้วถามน้าต้อยด้วยความงุนงงปนประหลาดใจ ลำพังเรื่องเลี้ยงต้อนรับอาจไม่น่าแปลกนัก แต่ที่แปลกคือดันมาได้รับคำชวนในยามที่ตะวันตกดิน ทั้งยังจะจัดงานเดี๋ยวนี้เลยด้วยนี่สิ
“ใช่จ้ะ” น้าต้อยตอบแล้วยิ้มกว้าง “พวกหนูแต่งตัวเรียบร้อยแล้วตามน้าไปที่หาดนะ เดี๋ยวน้ากับแตงแล้วก็ตาลจะไปรอที่นั่น”
“อา...ครับ”
ผมกับภามหันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติหลังจากน้าต้อยเดินออกไปแล้ว เขาก็คงคิดว่ามันแปลกเหมือนกันถึงได้ขมวดคิ้วแบบนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มจากการที่ผมกับภามกลับมาจากไปสร้างบ้าน กว่าเราจะอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ตอนที่กำลังคิดว่าจะกินอะไรอยู่นั่นเอง จู่ๆ น้าต้อยก็เดินมาบอกว่าชาวบ้านที่นี่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เรา ทั้งที่มันผ่านมาหลายวันแล้วนับจากพวกผมมาที่นี่
“ไปเถอะ จะได้บอกพวกเขาเลยว่าเราจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่พรุ่งนี้” ภามหยิบกล้องที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือไว้แล้วลุกขึ้นยืน ผมเลยจำต้องลุกแล้วเดินตามไปอย่างเสียมิได้
ตลอดระยะเวลาสี่ห้าวันที่ผ่านมา เราทั้งคู่ต่างใช้เวลาไปกับการสร้างและซ่อมแซมกระท่อมกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้อลังการอะไรมากมายเพราะใช้เวลาแค่ไม่นานและทำแค่พออาศัยอยู่ได้ แต่มันก็น่าภูมิใจอยู่ไม่น้อยเมื่อคิดว่าจะได้อยู่ในบ้าน...หมายถึงในกระท่อมที่สร้างขึ้นเอง
ถึงผมจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ แต่แค่คอยเช็ดเหงื่อ หาน้ำหาข้าวให้กินก็ถือว่าช่วยแล้วนะ ภามต้องพออกพอใจแน่นอน ไม่งั้นเขาไม่จ้องผมตลอดแล้วบอกให้เช็ดตรงนู้นตรงนี้เพิ่มหรอก
“เดินแบบนั้นอยากโดนยุงกัดหรือไง” คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหันกลับมาหรี่ตามองผม “หรือเพราะมืดแล้วคนแก่เลยมองอะไรไม่ค่อยเห็น”
ดูปากคนเรา...มันน่าจับเย็บไหมล่ะ
“รู้ตัวว่าขายาวก็ก้าวช้าๆ ไม่ได้หรือไง...” ผมบอกทั้งหน้าบูดแล้วลดเสียงลงเล็กน้อยเพราะอยากบ่นคนเดียว “เด็กกว่าแค่สองสามปีทำเป็นพูด”
ขืนได้ยินต้องกัดกลับแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย ดังนั้นอยู่เงียบๆ คนเดียวดีกว่า
หลังจากผมพูดไปแบบนั้นภามก็ไม่ได้ตอบอะไรอีก แต่เขาลดความเร็วลงจนมาเดินอืดอาดอยู่ข้างกันจริงๆ ผมแอบเหล่ตามองคนที่ขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่ถนัดกับการเดินช้าๆ แล้วอยากจะขำออกมาดังๆ
ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์มันคือที่สุดเลยนะ เดี๋ยวชินแล้วจะติดใจ
“นายว่าทำไมเขาถึงมาจัดงานเลี้ยงต้อนรับเราตอนนี้” ผมชวนคุย ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิดจนมองแทบไม่เห็นทาง “แถมยังไม่บอกล่วงหน้าอีก”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอาเถอะ...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะปกป้องนายเอง”
ภามชะงักเท้ากะทันหันจนผมตกใจตามไปด้วย เกือบจะสะดุดรากไม้หน้าทิ่มดินหมดหล่อแล้วไง โชคดีที่คนข้างกายรั้งแขนไว้ได้ทันเลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขอบคุณนะที่ทำให้เกือบหน้าคว่ำและช่วยให้หน้าไม่คว่ำในเวลาเดียวกัน
“คุณ...จะปกป้องผม” แววตาว่างเปล่าท่ามกลางความมืดมิดทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วและยื่นหน้าเข้าไปมองโดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะความมืดเลยทำให้เห็นว่ามันแปลกไป หรือเป็นเพราะผมคิดไปเองกันแน่
“ทำไมล่ะ ฉันโตกว่าก็ต้องปกป้องนายอยู่แล้วสิ”
เกิดเป็นอะไรไปแล้วพี่ชายกับพี่สะใภ้เขามาแหกอกผมทำไง
“อา…"
“ไปได้แล้ว ตอนแรกรีบไม่ใช่หรือไง” ผมดึงแขนตัวเองออกมาจากการจับกุม แล้วเป็นฝ่ายดึงข้อมือภามให้เดินตามไปด้านหน้าแทน น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่ได้พูดอะไรเลย ทั้งยังไม่ได้พยายามเดินให้ไวกว่าเดิมด้วย กลับกัน...ผมรู้สึกเหมือนเขาเดินช้าลงยังไงไม่รู้
ช่างเถอะ...
“นั่นไง มีกองไฟ!...” เสียงที่ดูตื่นเต้นจนเกินเหตุทำให้ผมต้องกระแอมออกมาเบาๆ เพื่อควบคุมตัวเอง ก่อนจะหันไปพูดกับเขาใหม่อีกรอบ “มีกองไฟด้วย”
“…ไม่ทันแล้ว” ภามส่ายหน้าหน่าย คล้ายจะบอกว่าที่ผมสร้างภาพเมื่อกี้ไร้ประโยชน์มากๆ เพราะเขามองออกจนทะลุแล้ว “เข้าไปกันเถอะ”
ผมแอบถอนหายใจแล้วมองตามแผ่นหลังกว้างไปแบบเคืองๆ แต่แล้วเมื่อก้าวเข้าไปในบริเวณหาดได้ไม่ทันไรก็โดนภาพบรรยากาศโดยรอบดึงดูดความสนใจไปจนหมด ทั้งแสงไฟที่เกิดขึ้นจากกองไฟหลายกอง ทั้งผู้คนที่นั่งล้อมวงปิ้งอาหารอะไรสักอย่างอยู่ แถมยังร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน เมื่อประกอบเข้ากับอากาศเย็นๆ กับกลิ่นและเสียงคลื่นกระทบฝั่งของทะเล ทุกอย่างทำให้ภาพบรรยากาศในยามนี้ดูสดชื่นจนผมลืมความสงสัยไปจนหมดสิ้น
“ไอ้หนู!” คุณลุงคนหนึ่งตะโกนเรียกผมกับภามที่ยืนนิ่งอยู่จนคนอื่นๆ มองตามกันมาทั้งแถบ
“มาวงนี้เร็วพวกเอ็ง”
“มาวงนี้ดีกว่า โตๆ กันแล้วต้องมาวงเหล้าสิวะ”
“พวกมันยังไม่ได้กินอะไรเลย ให้ไปหาอะไรกินก่อนไป”
เสียงโหวกเหวกของบรรดาคนที่แย่งกันพูดอย่างเฮฮาทำเอาผมเผลอขยับเข้าใกล้ภามโดยไม่รู้ตัว จวบจนเมื่อโดนคะยั้นคะยอมากเข้า คนข้างกายถึงได้ดึงแขนผมให้นั่งลงบนขอนไม้ของกองไฟที่อยู่ใกล้เราที่สุด เล่นเอาทั้งวงร้องเฮกันยกใหญ่
“เอ้า! กินปลากันให้อิ่ม เสร็จแล้วจะได้มาซัดเหล้ากัน”
“ไอ้ดำ มึงอย่าไปเร่งมันสิวะ”
“มึงก็อยากให้มันแดกเหมือนกันนั่นแหละไอ้ไม้”
ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะรับปลาย่างมาถือไว้ในมือ คนชื่อไม้กับดำดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าผมเสียอีก แต่กลับซดเหล้ากันเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนกลัวว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ ต่างจากคนอื่นๆ ในวงที่ดูจะใช้เวลาไปกับการพูดคุยเฮฮามากกว่าโดยสิ้นเชิง คงเป็นเพราะช่วงอายุที่แตกต่างมั้ง
“กินยังไง” คนที่นั่งถือไม้ปลาย่างอยู่ข้างผมหันมาถามงงๆ ท่าทางคงไม่เคยเจอภูมิปัญญาชาวบ้านแบบนี้มาก่อน
“แทะแบบนี้เลย” ผมสาธิตให้ดูแล้วพยักพเยิดให้ภามทำตาม เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่ก็ยังยอมทำ ผมเกือบจะขำออกมาแล้วด้วยซ้ำเมื่อเห็นหน้าตาประหลาดๆ เหมือนไม่แน่ใจของเขาทั้งที่แค่เอาปลาไปแตะปากเท่านั้น “ระวังก้างนะ”
ภามใช้เวลาไปกับการกินปลาย่างแบบยากลำบากอยู่นานหลายนาที จนผมกินหมดไปสองตัวแล้วเขายังไม่ได้กลับด้านเลยด้วยซ้ำ มองแล้วทั้งสงสารทั้งขำ ลองนึกภาพคนกินไม่เป็นและพยายามแทะสุดๆ แต่กลับทำหน้าตายดูสิ แค่คิดก็ตลกแล้ว
“ทำไมถึงต้องก่อกองไฟหลายๆ กอง” เขาถามขึ้นมาในระหว่างที่วางไม้ซึ่งเหลือแต่ซากปลาลงบนพื้น
“ไม่รู้เหมือนกัน” ถึงจำนวนคนจะมีมากพอสมควร แต่ผมคิดว่าถ้าเขาจะอยู่รวมกันก็คงได้ น่าแปลกเหมือนกันที่แยกกันไปคนละมุมแบบนี้ “น่าจะแยกตามกลุ่มมั้ง”
ดูเหมือนแต่ละวงจะมีลักษณะเฉพาะของตัวเองชัดเจน อย่างกลุ่มที่น้าต้อยนั่งอยู่จะเป็นพวกผู้หญิงกับเด็ก ส่วนใหญ่ทำอาหารกันกินเสียมากกว่า ต่างจากกลุ่มที่ผมนั่งซึ่งเป็นพวกวัยรุ่นกับวัยกลางคน คงไม่ต้องบอกนะว่าส่วนใหญ่นั่งทำอะไร...
กินเหล้ารัวๆ
“ฉันว่าเขาไม่ได้เลี้ยงต้อนรับเราหรอก น่าจะหาเรื่องกินเหล้ามากกว่า” ผมกระซิบกระซาบให้ภามได้ยินอยู่สองคน ซึ่งเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่เถียงอะไร
คิดว่าจะเลี้ยงต้อนรับประมาณว่าจัดงานอะไรให้เหมือนที่เคยพบเจอตอนอยู่กรุงเทพฯ ที่ไหนได้...มองภาพคนมาชุมนุมกันเวลากลางคืนแบบนี้ ดูยังไงก็หาเรื่องรวมพลกินเหล้าชัดๆ
“พวกนายกินเหล้ากันบ่อยไหม” ผมหันไปถามไม้ที่นั่งอยู่ข้างกายและกำลังเมาได้ที่แทน ไหนๆ ก็สงสัยแล้วคงต้องถามคนในนี่แหละได้คำตอบแน่นอน เว้นแต่ว่าเขาจะคุยไม่รู้เรื่องเพราะเมาเกินไปนะ อันนั้นน่าจะต้องยอมแพ้
“ไม่บ่อย” โชคดีที่ไม้ยังพอคุยรู้เรื่อง ไม่เหมือนดำที่แทบจะลงไปนอนแนบกับพื้นทรายแล้ว “ถึงเวลามีคนเข้าฝั่งแล้วจะขนเหล้ากลับมาด้วยตลอด แต่พวกเราจะเก็บไว้กินเวลามีโอกาสฉลองอะไรมากกว่า นี่ถ้าไอ้ดำมันไม่พูดเรื่องเลี้ยงต้อนรับพวกเอ็งขึ้นมา พวกข้าก็คงไม่ได้กินแบบนี้หรอก”
ที่แท้ตัวต้นเหตุก็อยู่ตรงนี้...
“พวกเอ็งเห็นกองไฟนั้นไหม” เขาชี้ไปที่กองไฟที่มีพวกผู้หญิงกับเด็กนั่งล้อมวงอยู่ “พวกผู้หญิงกับเด็กจะมากินข้าวกัน พอเสร็จแล้วก็จะกลับไปก่อน”
“อ๋อ…”
“ส่วนวงที่พวกหัวหน้านั่งกันมักจะคุยเรื่องงานระหว่างกิน” หัวหน้าที่เขาว่าคือลุงเหมที่ล้อมวงอยู่กับพวกผู้ชายมีอายุคนอื่นๆ “เดี๋ยวเรียบร้อยแล้วก็มานั่งกินเหล้ากับเราเองแหละ เอ้า...กินซะ”
ผมรับขวดเหล้ามาถือไว้ในมืออย่างเสียมิได้ จะปฏิเสธก็คงไม่ดีอีก สุดท้ายเลยได้แต่ส่งแก้วใบหนึ่งไปให้ภามแล้วเทเหล้าให้เขาพร้อมกับกระซิบถามเพื่อความมั่นใจ
“นายกินเหล้าได้หรือเปล่า”
“คุณมากกว่าที่น่าเป็นห่วง” ประโยคตอบกลับของเขาทำเอาผมหน้าหงิก ทว่ายามหันไปมองกลับต้องชะงัก เมื่อพบว่าผู้พูดไม่ได้กำลังกวนตีนแบบที่คิด เพราะหน้าตาเขาดูจริงจังกว่าทุกครั้ง
“มะ...มาห่วงอะไรฉันเล่า” ผมรีบหันหน้าหนีแล้วยกเหล้าเข้าปากแก้เก้อ ลืมไปเสียสนิทว่าไม่ได้กินมานานจนแทบจะลืมเลือนรสฝาดๆ ของมันไปแล้ว “แค่ก...แค่ก”
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“มะ...แค่ก...เป็น เป็นแล้ว” ความรู้สึกคันคอจนทรมานทำให้เผลอเบ้หน้า ผมคว้าแขนคนที่เข้ามาช่วยลูบหลังไว้แน่น กว่าจะรู้สึกดีขึ้นก็ตอนที่เขาส่งขวดน้ำเปล่าให้กระดกเข้าปากเพื่อล้างรสฝืดเฝื่อนออกไปจากคอ ไม่คิดเลยว่าแค่หยุดกินไปนานแล้วกลับมากินอีกครั้งมันจะทรมานขนาดนี้
“คุณไม่ต้องรักษามาดอะไรแล้วเหรอ”
“หมายถึงอะไร” ผมเงยหน้ามองภามด้วยความงุนงงไม่เข้าใจทั้งที่ยังจับแขนเขาไว้เป็นหลักยึดอยู่
“เห็นช่วงแรกชอบทำท่าทีขึงขังรักษามาด แต่ตอนนี้พูดออกมาตรงๆ แล้ว แถมยังแสดงออกมากด้วย”
จะบอกว่าเมื่อก่อนผมชอบเก๊กใช่ไหมล่ะ ก็นั่นแหละ...ตามนั้นเลย ไม่มีอะไรจะเถียง
“ไม่รู้จะเก๊กไปทำไม เห็นตับไตไส้พุงกันหมดแล้ว” ตอบตามความจริงแล้วยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มอีกรอบพลางขยับตัวนั่งดีๆ และไม่ลืมปล่อยมือออก ผมเห็นภามมองแขนตัวเองที่โดนผมจับเมื่อครู่ด้วยแววตาแปลกๆ อยู่นานจนต้องอธิบายออกไป “เวลาเจ็บหรือทรมานแล้วได้หลักยึดจับมันทำให้รู้สึกดีขึ้น ฉันไม่เอาโรคอะไรไปติดนายผ่านทางการสัมผัสหรอกน่า มองจนแขนตัวเองจะทะลุอยู่แล้วมั้ง”
“เพราะแบบนั้นคุณถึงชอบจับตัวผมบ่อยๆ...”
“ใช่ รู้แล้วก็เตรียมตัวไว้เลย”
“เข้าใจแล้ว”
เดี๋ยวๆ เข้าใจอะไร แค่พูดเล่นเองนะ
ภามหันหน้ากลับไปมองกองไฟแล้วยกกล้องขึ้นมาเหมือนจะเป็นการตัดบทแบบกลายๆ ผมเลยได้แต่หุบปากฉับแล้วมองไปรอบด้านอย่างสำรวจแทน ดูเหมือนพวกผู้หญิงกับเด็กจะเริ่มทยอยเดินกลับกันแล้ว มีหลายคนที่หันมาสบตาผมพอดีแล้วส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง แตกต่างจากตอนที่เจอกันวันแรกแล้วทำหน้าเหมือนเห็นผีโดยสิ้นเชิง สงสัยจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตากันแล้วมั้ง
แชะ!
“ไหนว่าไม่ถ่ายรูปคนตรงๆ ไง” ผมแขวะคนที่เพิ่งแอบถ่ายกันตอนไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดูรูปอย่างสนอกสนใจเมื่อเห็นภามยื่นกล้องมาให้
“ทุกอย่างมีข้อยกเว้น”
“จะบอกว่าฉันเป็นข้อยกเว้นว่างั้น...โห หน้าโคตรเหวอเลยว่ะ” ไอ้คนในจอนั่นมันใครกัน ทำหน้าเอ๋อเหมือนพวกนอนไม่พอ แถมใต้ตายังดำจนน่ากลัว ถ้าไม่ติดว่าหน้าดีเป็นปกติอยู่แล้วนี่ดับเลยนะ
“ใช่”
อะไรใช่...
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตอบด้วยความงุนงง สมองประมวลผลอยู่พักใหญ่กว่าจะรู้ว่าก่อนหน้านี้เผลอพูดอะไรออกไป เราสบตากันอยู่นานจนผมเริ่มไม่แน่ใจว่ามันนานเกินความจำเป็นหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็เลือกเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อนเหมือนทุกครั้ง
“แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้เราจะทำอะไรกันดี” หนทางกำจัดบรรยากาศกระอักกระอ่วนคงมีเพียงการเปลี่ยนเรื่องเท่านั้น ผมพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหันไปถามเขาด้วยสีหน้าที่ถูกบังคับให้เรียบเฉย
“ผมว่าจะไปถ่ายรูป”
“อา…”
“ไอ้ไม้ ตีดังๆ หน่อยสิวะ!”
เสียงตะโกนโหวกเหวกของคนอื่นๆ ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ภาพที่เห็นคือบรรดาชาวบ้านที่ยังเหลืออยู่ต่างออกมาเต้นรำกันด้วยท่าทางเมามาย โดยมีไม้เอาถังอะไรบางอย่างมาตีให้จังหวะอยู่ไม่ไกล เสียงร้องเพลงของพวกชาวบ้านที่กำลังเมาได้ที่ดังสนั่นจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกผู้หญิงกับเด็กๆ จะนอนหลับกันได้ยังไง
ดูนั่น...เต้นไปล้มไป ตลกฉิบหาย
“เฮ้ยๆ ไอ้ดำ เดี๋ยวตัวก็ไหม้หรอกไอ้เวร!”
ผมหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นดำถูกดึงตัวไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มทับกองไฟ ภาพความวุ่นวายท่ามกลางเสียงร้องเพลงและลมเย็นๆ ทำให้จิตใจปลอดโปร่งแบบที่ไม่ได้เป็นมานาน ผมหันไปมองคนด้านข้างที่กำลังยกกล้องถ่ายรูปบรรยากาศโดยรอบอยู่ ก่อนจะแอบยิ้มจางเมื่อเห็นว่าแววตาว่างเปล่าที่อยู่หลังเลนส์กล้องกำลังเปร่งประกายแบบที่เจ้าของอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“หยุดถ่ายก่อน”
ภามลดกล้องลงก่อนจะหันมามองผมด้วยความงุนงง แต่ไม่รอให้เขาพูดอะไร ผมก็เป็นฝ่ายพยักพเยิดให้เขามองไปในทิศทางที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มชาวบ้านที่เต้นรำกันอยู่
“เต่า?”
“มาเถอะ” ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปในทิศทางที่เห็นสัตว์ตัวที่ว่านอนหงายท้อง ไม่นานนักภามก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างๆ กัน เขามองเต่าหงายท้องเหมือนเห็นของแปลก คิ้วขมวดมุ่นจนเกือบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว “ไม่เคยเห็นเต่าเหรอ”
“ไม่เคยสนใจมากกว่า” ภามตอบ “ทำไมคุณถึงมองเห็นมัน”
“ไม่แปลกหรอก” ไม่ต้องรอให้ถามอะไรต่อ ผมก็เป็นฝ่ายบังคับจับมือใหญ่ของเขาไว้ แล้วดันมันให้เขี่ยกระดองเต่าที่หงายท้องให้กลับไปพลิกคว่ำเหมือนเดิม “คนเรามักจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็น อะไรที่ไม่ได้สนใจ ต่อให้อยู่ตรงหน้าบางทียังไม่เห็นด้วยซ้ำ”
“คุณ...สนใจสัตว์เหรอ”
ผมหันขวับไปมองหน้าภาม ตากะพริบปริบๆ แบบไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำถามเมื่อครู่ดังออกมาจากปากของผู้ชายอายุขนาดนี้ แต่พอเห็นหน้างงๆ จริงจังของเขาแล้วผมกลับมองไม่เห็นวี่แววของความกวนตีนอยู่เลย
“ฮ่าๆ” สุดท้ายก็ขำออกมาจนได้
“ขำอะไร”
“ขำคำถามนายไง” ขำจนน้ำตาจะไหล ผมหัวเราะต่ออีกแป๊บนึงจนรู้สึกตัวว่าโดนจ้องตาไม่กะพริบถึงได้ยกมือยอมแพ้แล้วอธิบายต่อ “ฉันแค่เปรียบเปรย จะว่ายังไงดี...มันเป็นเพราะฉันเป็นพวกขี้สังเกตแถมยังขี้กังวลเกินเหตุมั้ง สายตามันเลยมองแล้วสนใจอะไรต่ออะไรไปทั่ว”
ภามพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ เขามองตามเต่าตัวเล็กที่ค่อยๆ เดินอย่างอืดอาดไปที่ทะเล จวบจนเมื่อมันหายไปแล้ว ดวงตาคมคู่นั้นถึงได้เบนกลับมามองผมอีกครั้ง
“จริงของคุณ เพราะแบบนั้นใครหลายคนถึงได้บอกว่าผมไม่สนใจพวกเขา”
“ใครหลายคนที่ว่า...แฟนนายเหรอ” ผมถามอย่างสนใจ
“เปล่า คนรอบตัวน่ะ” เขาเอียงหัวเล็กน้อยเหมือนกำลังคิด ขณะที่เหม่อมองไปยังทิศทางที่เต่าตัวนั้นเพิ่งเดินผ่านไป “ช่วงหลังๆ เก้าก็เคยบอกว่าผมไม่สนใจ เอาแต่ถ่ายรูป อาหมอก็เคยบอกเหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้ผมไม่คุยด้วย”
อาหมอ...ถามได้หรือเปล่าวะว่าใคร
อย่าเพิ่งดีกว่า
“คงเพราะนายเจอสิ่งที่ชอบอย่างการถ่ายรูปแล้วเลยลืมสนใจคนรอบข้างไปบ้าง ไม่แปลกหรอก”
“ผมเห็นและสนใจแต่สิ่งที่ชอบ...”
“เรื่องปกติของคนทั่วไปน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก” ผมตบไหล่ภามแปะๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ในฐานะของแพทย์ ฉันต้องสนใจและสังเกตอะไรต่อมิอะไรมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว มันเลยติดตัวจนเป็นนิสัยเท่านั้นเอง”
“แล้วถ้า...”
ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเดินกลับไปทางเดิม เมื่อแขนข้างหนึ่งถูกพันธนาการไว้ด้วยมือใหญ่อบอุ่นของคนด้านหลัง
“แล้วถ้าผมเห็นคนคนหนึ่งอยู่ในสายตาตลอดเวลาเพียงคนเดียว แบบนั้นมันหมายความว่ายังไง” แววตาสับสนและไม่มั่นใจของอีกฝ่ายทำให้ผมเผลอจ้องอยู่นาน จนกระทั่งภามพูดขึ้นมาอีกประโยค ผมถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง “หมายความว่าเขาพิเศษหรือเปล่า”
“นายไปรู้สึกแบบนั้นกับใครเข้าหรือไง” ผมถามติดตลกทั้งที่ปากไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ลองมาโดนจ้องด้วยแววตาจริงจังกันขนาดนี้ ใครจะทำเป็นเล่นออก
“ยังหรอก” เขาส่ายหน้า “แต่คิดว่าคงอีกไม่นาน”
อีกไม่นานอะไร...
อีกไม่นานจะรู้สึก หรืออีกไม่นานคนคนนั้นจะอยู่ในสายตาเพียงคนเดียว
แล้วทำไมกูต้องขี้เสือก
“งั้นมั้ง” ผมยักไหล่ตอบ ทำท่าเหมือนไม่คิดอะไร ทั้งที่รู้สึกแปลกๆ กับแววตาของเขาไม่น้อย
“…”
“ถ้าเป็นแบบที่นายว่า ก็คงแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเขาพิเศษกว่าใครไม่ใช่หรือไง”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบหรือคำถามอะไรอีก ผมเลยหันหน้าแล้วเดินกลับไปทางเดิม ครั้งนี้ภามไม่ได้รั้งเอาไว้ แต่กลับเดินตามมาเงียบๆ จวบจนนั่งลงที่เดิมแล้วก็ยังไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้พวกชาวบ้านที่เต้นรำและร้องเพลงกันอยู่เริ่มสลบเหมือดกันไปหมดแล้ว เหลือแค่บางคนที่ยังนั่งจับกลุ่มคุยกันหรือกินเหล้าอยู่ ผมเห็นซากศพของดำนอนคว่ำหน้าคลุกทรายอยู่ห่างไปประมาณสิบก้าว ส่วนไม้ยืนถือขวดเหล้าโบกไม้โบกมือให้อยู่ไม่ไกลและกำลังจะเดินเข้ามาหา
ตอนแรกคิดว่าไม่เมา...ที่ไหนได้
“พวกเองงงงงงง แดกๆๆๆ” นั่งลงข้างผมแล้วยังปัดมือไม้สะเปะสะปะจนเกือบฟาดหน้า โชคดีที่ภามดึงตัวผมหลบทันแล้วช่วยลุกขึ้นเปลี่ยนที่ไปอยู่ตรงกลางแทนก่อน
มีคนดูแลมันดีแบบนี้เอง...
เดี๋ยวนะ ได้ข่าวผมบอกว่าจะดูแลเขาไม่ใช่เหรอ
“โทษทีๆ ว่าแต่ผัวเมียดูแลกันดีจังนา” ไม้หัวเราะเฮฮา คำพูดคำจาคล้ายยังมีสติ แค่ไม่ได้เกรงอกเกรงใจกันแล้วเพราะฤทธิ์เหล้า
“เราไม่ใช่...”
“เอาน่าๆ ข้าเข้าใจ ชาวบ้านเขารู้กันหมดแล้วว่าพวกเอ็งมาฮัน...ฮันอะไรวะ”
“ฮันนีมูน”
“นี่!” ผมหันไปตีแขนคนด้านข้าง โดนเข้าใจผิดไม่พอยังไปช่วยตอบให้มันเข้าใจมากกว่าเดิมอีกนะ
“เออใช่...ฮันนีมูนๆ”
“คือ…”
“แล้วเอ็งจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่กันเมื่อไหร่ล่ะ ให้ข้าไปช่วยสร้างไหม”
ทำไมเวลาจะอธิบายต้องโดนขัดทุกทีเลยวะ ตั้งแต่น้าต้อยแล้ว เอาเป็นว่าช่างมันแล้วกัน ปล่อยให้พวกเขาคิดกันไปเถอะ ถ้าไม้บอกว่ารู้กันไปทั่วแล้ว ผมไปนั่งอธิบายทีละบ้านก็คงไม่ได้อยู่ดี
จะว่าไปผมยังไม่ได้บอกน้าต้อยกับลุงเหมเลยว่าจะย้ายไปพรุ่งนี้ แต่เดี๋ยวตอนเช้าค่อยบอกก็คงไม่เป็นไร
“สร้างเสร็จแล้ว ว่าจะย้ายไปพรุ่งนี้” ผมเป็นคนหันไปตอบไม้เองเมื่อภามยังคงนั่งเงียบไม่สนใจโลก
“เออดี ผัวเมียก็ต้องอยู่ด้วยกันสองคนสิวะ”
“…อา” เถียงไปแล้วได้อะไร ยอมตอบไปให้เปลี่ยนเรื่องน่าจะดีกว่า
“ว่าแต่ทำไมเอ็งถึงมาเที่ยวที่นี่กันล่ะ เกาะห่างไกลแบบนี้ไปรู้จักได้ยังไง” ไม้เอียงหัวถาม ตาฉ่ำปรือเต็มทีเหมือนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ แต่น่าแปลกก็ตรงที่มันยังคุยรู้เรื่องอยู่ ท่าทางคงเป็นคนคอแข็งลำดับต้นๆ ของหมู่บ้าน
“มีคนแนะนำมาอีกทีน่ะ”
“แปลก...” เขาพึมพำเบาๆ แต่แล้วจู่ๆ กลับหันขวับไปจ้องหน้าภามตาไม่กะพริบ “จะว่าไป...เอ็งหน้าตาคุ้นๆ เนอะ”
ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามภามว่ารู้จักอีกฝ่ายไหม แต่เขาส่ายหน้าโดยไม่เสียเวลาคิด ทั้งยังหันกลับไปตอบด้วยตัวเองอีกต่างหาก
“คุณจำคนผิดแล้ว”
“อะ...เออ” ไม้บ่นอะไรสักอย่างกับตัวเองอุบอิบเสียงเบาจนผมไม่ได้ยิน แล้วสักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามต่อ “แล้วพวกเอ็งจะอยู่กันนานไหม”
“ก็...คงเดือนเดียวมั้ง” ผมตอบด้วยความไม่มั่นใจนัก แต่อย่างต่ำก็ต้องรอจนกว่าเรือจะเข้าฝั่งอีกรอบอยู่แล้ว
“น่าเสียดายนะ...นายอุตส่าห์อนุญาตให้อยู่ทั้งที”
“ปกตินายไม่อนุญาตเหรอ”
“อา...ก็มันเป็นเกาะส่วนตัวนี่หว่า ใครจะเข้ามาอยู่ง่ายๆ ได้ยังไง”
“แล้วนายที่ว่านี่เขาเป็นเจ้าของเกาะเลยเหรอ ถ้างั้นทำไมพวกชาวบ้านอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” ตอนแรกผมกะว่าจะหาจังหวะเหมาะๆ ถามน้าต้อยหรือลุงเหม แต่ในเมื่อมีคนเมาที่ตอบทุกอย่างตามความจริงอยู่ตรงนี้แล้วก็ต้องใช้ประโยชน์ให้เต็มที่เสียหน่อย
“พวกข้าอยู่มานานแล้ว” ไม้โบกมือไปมา ตัวเริ่มเอียงแต่ก็ยังไม่หยุดดื่มเหล้าในขวด “ปู่ย่าเราย้ายมาจากที่อื่น บังเอิญมาเจอที่นี่เข้าแล้วคิดว่าเป็นเกาะร้างเลยลงหลักปักฐาน เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเป็นเกาะมีเจ้าของ ตอนเขามาปรากฎตัวให้ดู ลุงๆ ป้าๆ แทบจะเป็นลมกัน เพราะคิดว่าต้องไปหาที่อยู่ใหม่แล้ว”
“แสดงว่านายให้อยู่ที่นี่ต่อได้ใช่ไหม” ผมถามด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะยังมีคนใจดีขนาดนั้นเหลืออยู่อีก
“ใช่ นายให้เราอยู่ที่นี่ แต่ต้องทำมาหากิน ห้ามใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เด็ดขาด”
เพราะแบบนั้นทุกคนถึงได้ดูเคารพนายมาก...
“แล้วนายเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ”
“นานๆ จะมาทีน่ะ เอ็งยังไม่เคยเห็นบ้านนายใช่ไหม ถ้าเห็นแล้วจะตกใจ เอาไว้ว่างๆ ลองไปดูสิ ให้ไอ้แตงไอ้ตาลมันพาไปก็ได้”
พอได้ยินแบบนั้นผมเลยพยักหน้ารับคำ เป็นเวลาเดียวกับที่ไม้ทำท่าจะไม่ไหว เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วเอนตัวลงนอนแนบไปกับพื้นในที่สุด
“ปล่อยให้นอนกันแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” ภามที่นั่งเงียบฟังมานานเอ่ยถามขึ้นลอยๆ ขณะกวาดสายตามองภาพโดยรอบ
ดูเหมือนตอนนี้จะมีแค่เราสองคนที่ยังมีสติอยู่ ส่วนคนอื่นๆ เมาพับหลับคาหาดไปแล้วเรียบร้อย ผมจะบอกว่าไม่เป็นไรก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะการปล่อยให้คนมานอนตากลมตากยุงแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและสมควรนัก แต่พอคิดว่าต้องแบกกลับไปทีละคน...
“ปล่อยไว้เถอะ พวกเขาคงชินกันแล้ว” ถ้าพวกผู้หญิงกลับไปโดยไม่ห่วงอะไรก็คงไม่เป็นไรมั้ง
“งั้นกลับเถอะ คุณเริ่มตัวสั่นแล้ว” ภามลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนผมให้ลุกตามไปด้วย พอโดนทักก็เริ่มหนาวขึ้นมาจริงๆ ท่าทางตัวผมคงสั่นอย่างที่เขาว่า อากาศริมทะเลตอนกลางคืนหนาวน้อยเสียเมื่อไหร่
“ขี้สังเกตเหมือนกันนี่” ผมพูดยิ้มๆ แล้วเอาไหล่แซะภามเป็นเชิงแซว ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายชะงักไป ทำเอาผมยิ้มค้าง เกือบเกาหัวแก้เก้ออยู่แล้วหากเขาไม่พูดขึ้นมาก่อน
“เพิ่งรู้เหมือนกัน”
อะไรของเขา...
“ไปๆ รีบไป หนาวจะตายแล้วเนี่ย” ครั้งนี้ผมยกมือกอดตัวเองเพื่อบอกให้รู้ว่าหนาวจริงจังแล้วก้าวเท้าเดินนำไปด้านหน้าก่อน แต่พอเห็นภามไม่เดินตามมาเสียทีเลยต้องกลับไปดึงแขนเขาลากให้เดินตาม “เหมือนเราจะเดินกันแบบปกติไม่ได้เลยเนอะ ต้องลากกันไปลากกันมาตลอด”
เรียกได้ว่าลากกันจนชิน เดี๋ยวผลัดกันชะงัก เดี๋ยวผลัดกันมึน ถือว่าเท่าเทียมแล้วกัน
“นั่นสินะ” เขาพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป ก่อนผมจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือ เมื่ออีกฝ่ายใช้มือใหญ่ๆ ของตัวเองวางทางลงมาบนมือผมที่จับแขนเขาอยู่ “มือคุณเย็นมาก”
“ตัวนายก็อุ่นมาก” เพราะแบบนั้นผมเลยเกาะไม่ปล่อยไง ทำไมลมทะเลทำอะไรคนคนนี้ไม่ได้เลย งงใจ “เออนี่...”
“…”
“ขอกอดแขนหน่อยดิ ไม่ไหวละ” ผมอาศัยจังหวะที่คนตัวโตกว่าทำหน้างงดึงแขนเขามากอดไว้แน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่าน ไปทั่วร่างจนรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ผมไม่รู้ว่าภามทำหน้ายังไงเพราะจุดที่เราเดินอยู่ตอนนี้มันมืดมาก แต่ถ้าเขาไม่ได้สะบัดแขนออกหรือพูดปฏิเสธออกมาก็แสดงว่าไม่เป็นไรมั้ง
“…”
“ขอบใจนะ” เป็นครั้งแรกที่ผมพูดขอบคุณออกมาจากใจ ทั้งยังยกยิ้มให้แม้เขาจะมองไม่เห็นก็ตาม
เราเดินกลับบ้านกันด้วยความเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาตลอดทาง จวบจนหัวถึงหมอนแล้วเราก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ ทั้งยังหันหน้าไปคนละทางตามที่ควรเป็น
ผมหลับตาลงแล้วภาวนา
ขอให้คืนนี้เขานอนหลับฝันดี ขอให้คืนนี้ไม่มีฝันร้าย
ฝันดีแล้วก็อย่าถีบฉันอีกนะ
มันเจ็บ...
—————————