┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]  (อ่าน 88820 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
«ตอบ #60 เมื่อ11-06-2018 01:00:30 »

อยู่ๆ ก็ได้ลูก 1ea สินะ

ออฟไลน์ mayyiyi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
«ตอบ #61 เมื่อ11-06-2018 23:03:41 »

 :katai2-1:  ใต้ความนิ่งๆแต่ไม่นิ้ง

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
«ตอบ #62 เมื่อ13-06-2018 15:59:45 »

 :pig4:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
«ตอบ #63 เมื่อ14-06-2018 17:54:44 »

-7-


“เลี้ยงต้อนรับเหรอครับ”

ผมเลิกคิ้วถามน้าต้อยด้วยความงุนงงปนประหลาดใจ ลำพังเรื่องเลี้ยงต้อนรับอาจไม่น่าแปลกนัก แต่ที่แปลกคือดันมาได้รับคำชวนในยามที่ตะวันตกดิน ทั้งยังจะจัดงานเดี๋ยวนี้เลยด้วยนี่สิ

“ใช่จ้ะ” น้าต้อยตอบแล้วยิ้มกว้าง “พวกหนูแต่งตัวเรียบร้อยแล้วตามน้าไปที่หาดนะ เดี๋ยวน้ากับแตงแล้วก็ตาลจะไปรอที่นั่น”

“อา...ครับ”

ผมกับภามหันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติหลังจากน้าต้อยเดินออกไปแล้ว เขาก็คงคิดว่ามันแปลกเหมือนกันถึงได้ขมวดคิ้วแบบนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มจากการที่ผมกับภามกลับมาจากไปสร้างบ้าน กว่าเราจะอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ตอนที่กำลังคิดว่าจะกินอะไรอยู่นั่นเอง จู่ๆ น้าต้อยก็เดินมาบอกว่าชาวบ้านที่นี่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เรา ทั้งที่มันผ่านมาหลายวันแล้วนับจากพวกผมมาที่นี่

“ไปเถอะ จะได้บอกพวกเขาเลยว่าเราจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่พรุ่งนี้” ภามหยิบกล้องที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือไว้แล้วลุกขึ้นยืน ผมเลยจำต้องลุกแล้วเดินตามไปอย่างเสียมิได้

ตลอดระยะเวลาสี่ห้าวันที่ผ่านมา เราทั้งคู่ต่างใช้เวลาไปกับการสร้างและซ่อมแซมกระท่อมกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้อลังการอะไรมากมายเพราะใช้เวลาแค่ไม่นานและทำแค่พออาศัยอยู่ได้ แต่มันก็น่าภูมิใจอยู่ไม่น้อยเมื่อคิดว่าจะได้อยู่ในบ้าน...หมายถึงในกระท่อมที่สร้างขึ้นเอง

ถึงผมจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ แต่แค่คอยเช็ดเหงื่อ หาน้ำหาข้าวให้กินก็ถือว่าช่วยแล้วนะ ภามต้องพออกพอใจแน่นอน ไม่งั้นเขาไม่จ้องผมตลอดแล้วบอกให้เช็ดตรงนู้นตรงนี้เพิ่มหรอก

“เดินแบบนั้นอยากโดนยุงกัดหรือไง” คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหันกลับมาหรี่ตามองผม “หรือเพราะมืดแล้วคนแก่เลยมองอะไรไม่ค่อยเห็น”

ดูปากคนเรา...มันน่าจับเย็บไหมล่ะ

“รู้ตัวว่าขายาวก็ก้าวช้าๆ ไม่ได้หรือไง...” ผมบอกทั้งหน้าบูดแล้วลดเสียงลงเล็กน้อยเพราะอยากบ่นคนเดียว “เด็กกว่าแค่สองสามปีทำเป็นพูด”

ขืนได้ยินต้องกัดกลับแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย ดังนั้นอยู่เงียบๆ คนเดียวดีกว่า

หลังจากผมพูดไปแบบนั้นภามก็ไม่ได้ตอบอะไรอีก แต่เขาลดความเร็วลงจนมาเดินอืดอาดอยู่ข้างกันจริงๆ ผมแอบเหล่ตามองคนที่ขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่ถนัดกับการเดินช้าๆ แล้วอยากจะขำออกมาดังๆ

ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์มันคือที่สุดเลยนะ เดี๋ยวชินแล้วจะติดใจ

“นายว่าทำไมเขาถึงมาจัดงานเลี้ยงต้อนรับเราตอนนี้” ผมชวนคุย ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิดจนมองแทบไม่เห็นทาง “แถมยังไม่บอกล่วงหน้าอีก”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“เอาเถอะ...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะปกป้องนายเอง”

ภามชะงักเท้ากะทันหันจนผมตกใจตามไปด้วย เกือบจะสะดุดรากไม้หน้าทิ่มดินหมดหล่อแล้วไง โชคดีที่คนข้างกายรั้งแขนไว้ได้ทันเลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ขอบคุณนะที่ทำให้เกือบหน้าคว่ำและช่วยให้หน้าไม่คว่ำในเวลาเดียวกัน

“คุณ...จะปกป้องผม” แววตาว่างเปล่าท่ามกลางความมืดมิดทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วและยื่นหน้าเข้าไปมองโดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะความมืดเลยทำให้เห็นว่ามันแปลกไป หรือเป็นเพราะผมคิดไปเองกันแน่

“ทำไมล่ะ ฉันโตกว่าก็ต้องปกป้องนายอยู่แล้วสิ”

เกิดเป็นอะไรไปแล้วพี่ชายกับพี่สะใภ้เขามาแหกอกผมทำไง

“อา…"

“ไปได้แล้ว ตอนแรกรีบไม่ใช่หรือไง” ผมดึงแขนตัวเองออกมาจากการจับกุม แล้วเป็นฝ่ายดึงข้อมือภามให้เดินตามไปด้านหน้าแทน น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่ได้พูดอะไรเลย ทั้งยังไม่ได้พยายามเดินให้ไวกว่าเดิมด้วย กลับกัน...ผมรู้สึกเหมือนเขาเดินช้าลงยังไงไม่รู้

ช่างเถอะ...

“นั่นไง มีกองไฟ!...” เสียงที่ดูตื่นเต้นจนเกินเหตุทำให้ผมต้องกระแอมออกมาเบาๆ เพื่อควบคุมตัวเอง ก่อนจะหันไปพูดกับเขาใหม่อีกรอบ “มีกองไฟด้วย”

“…ไม่ทันแล้ว” ภามส่ายหน้าหน่าย คล้ายจะบอกว่าที่ผมสร้างภาพเมื่อกี้ไร้ประโยชน์มากๆ เพราะเขามองออกจนทะลุแล้ว “เข้าไปกันเถอะ”

ผมแอบถอนหายใจแล้วมองตามแผ่นหลังกว้างไปแบบเคืองๆ แต่แล้วเมื่อก้าวเข้าไปในบริเวณหาดได้ไม่ทันไรก็โดนภาพบรรยากาศโดยรอบดึงดูดความสนใจไปจนหมด ทั้งแสงไฟที่เกิดขึ้นจากกองไฟหลายกอง ทั้งผู้คนที่นั่งล้อมวงปิ้งอาหารอะไรสักอย่างอยู่ แถมยังร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน เมื่อประกอบเข้ากับอากาศเย็นๆ กับกลิ่นและเสียงคลื่นกระทบฝั่งของทะเล ทุกอย่างทำให้ภาพบรรยากาศในยามนี้ดูสดชื่นจนผมลืมความสงสัยไปจนหมดสิ้น

“ไอ้หนู!” คุณลุงคนหนึ่งตะโกนเรียกผมกับภามที่ยืนนิ่งอยู่จนคนอื่นๆ มองตามกันมาทั้งแถบ

“มาวงนี้เร็วพวกเอ็ง”

“มาวงนี้ดีกว่า โตๆ กันแล้วต้องมาวงเหล้าสิวะ”

“พวกมันยังไม่ได้กินอะไรเลย ให้ไปหาอะไรกินก่อนไป”

เสียงโหวกเหวกของบรรดาคนที่แย่งกันพูดอย่างเฮฮาทำเอาผมเผลอขยับเข้าใกล้ภามโดยไม่รู้ตัว จวบจนเมื่อโดนคะยั้นคะยอมากเข้า คนข้างกายถึงได้ดึงแขนผมให้นั่งลงบนขอนไม้ของกองไฟที่อยู่ใกล้เราที่สุด เล่นเอาทั้งวงร้องเฮกันยกใหญ่

“เอ้า! กินปลากันให้อิ่ม เสร็จแล้วจะได้มาซัดเหล้ากัน”

“ไอ้ดำ มึงอย่าไปเร่งมันสิวะ”

“มึงก็อยากให้มันแดกเหมือนกันนั่นแหละไอ้ไม้”

ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะรับปลาย่างมาถือไว้ในมือ คนชื่อไม้กับดำดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าผมเสียอีก แต่กลับซดเหล้ากันเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนกลัวว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ ต่างจากคนอื่นๆ ในวงที่ดูจะใช้เวลาไปกับการพูดคุยเฮฮามากกว่าโดยสิ้นเชิง คงเป็นเพราะช่วงอายุที่แตกต่างมั้ง

“กินยังไง” คนที่นั่งถือไม้ปลาย่างอยู่ข้างผมหันมาถามงงๆ ท่าทางคงไม่เคยเจอภูมิปัญญาชาวบ้านแบบนี้มาก่อน

“แทะแบบนี้เลย” ผมสาธิตให้ดูแล้วพยักพเยิดให้ภามทำตาม เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่ก็ยังยอมทำ ผมเกือบจะขำออกมาแล้วด้วยซ้ำเมื่อเห็นหน้าตาประหลาดๆ เหมือนไม่แน่ใจของเขาทั้งที่แค่เอาปลาไปแตะปากเท่านั้น “ระวังก้างนะ”

ภามใช้เวลาไปกับการกินปลาย่างแบบยากลำบากอยู่นานหลายนาที จนผมกินหมดไปสองตัวแล้วเขายังไม่ได้กลับด้านเลยด้วยซ้ำ มองแล้วทั้งสงสารทั้งขำ ลองนึกภาพคนกินไม่เป็นและพยายามแทะสุดๆ แต่กลับทำหน้าตายดูสิ แค่คิดก็ตลกแล้ว

“ทำไมถึงต้องก่อกองไฟหลายๆ กอง” เขาถามขึ้นมาในระหว่างที่วางไม้ซึ่งเหลือแต่ซากปลาลงบนพื้น

“ไม่รู้เหมือนกัน” ถึงจำนวนคนจะมีมากพอสมควร แต่ผมคิดว่าถ้าเขาจะอยู่รวมกันก็คงได้ น่าแปลกเหมือนกันที่แยกกันไปคนละมุมแบบนี้ “น่าจะแยกตามกลุ่มมั้ง”

ดูเหมือนแต่ละวงจะมีลักษณะเฉพาะของตัวเองชัดเจน อย่างกลุ่มที่น้าต้อยนั่งอยู่จะเป็นพวกผู้หญิงกับเด็ก ส่วนใหญ่ทำอาหารกันกินเสียมากกว่า ต่างจากกลุ่มที่ผมนั่งซึ่งเป็นพวกวัยรุ่นกับวัยกลางคน คงไม่ต้องบอกนะว่าส่วนใหญ่นั่งทำอะไร...

กินเหล้ารัวๆ

“ฉันว่าเขาไม่ได้เลี้ยงต้อนรับเราหรอก น่าจะหาเรื่องกินเหล้ามากกว่า” ผมกระซิบกระซาบให้ภามได้ยินอยู่สองคน ซึ่งเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่เถียงอะไร

คิดว่าจะเลี้ยงต้อนรับประมาณว่าจัดงานอะไรให้เหมือนที่เคยพบเจอตอนอยู่กรุงเทพฯ ที่ไหนได้...มองภาพคนมาชุมนุมกันเวลากลางคืนแบบนี้ ดูยังไงก็หาเรื่องรวมพลกินเหล้าชัดๆ

“พวกนายกินเหล้ากันบ่อยไหม” ผมหันไปถามไม้ที่นั่งอยู่ข้างกายและกำลังเมาได้ที่แทน ไหนๆ ก็สงสัยแล้วคงต้องถามคนในนี่แหละได้คำตอบแน่นอน เว้นแต่ว่าเขาจะคุยไม่รู้เรื่องเพราะเมาเกินไปนะ อันนั้นน่าจะต้องยอมแพ้

“ไม่บ่อย” โชคดีที่ไม้ยังพอคุยรู้เรื่อง ไม่เหมือนดำที่แทบจะลงไปนอนแนบกับพื้นทรายแล้ว “ถึงเวลามีคนเข้าฝั่งแล้วจะขนเหล้ากลับมาด้วยตลอด แต่พวกเราจะเก็บไว้กินเวลามีโอกาสฉลองอะไรมากกว่า นี่ถ้าไอ้ดำมันไม่พูดเรื่องเลี้ยงต้อนรับพวกเอ็งขึ้นมา พวกข้าก็คงไม่ได้กินแบบนี้หรอก”

ที่แท้ตัวต้นเหตุก็อยู่ตรงนี้...

“พวกเอ็งเห็นกองไฟนั้นไหม” เขาชี้ไปที่กองไฟที่มีพวกผู้หญิงกับเด็กนั่งล้อมวงอยู่ “พวกผู้หญิงกับเด็กจะมากินข้าวกัน พอเสร็จแล้วก็จะกลับไปก่อน”

“อ๋อ…”

“ส่วนวงที่พวกหัวหน้านั่งกันมักจะคุยเรื่องงานระหว่างกิน” หัวหน้าที่เขาว่าคือลุงเหมที่ล้อมวงอยู่กับพวกผู้ชายมีอายุคนอื่นๆ “เดี๋ยวเรียบร้อยแล้วก็มานั่งกินเหล้ากับเราเองแหละ เอ้า...กินซะ”

ผมรับขวดเหล้ามาถือไว้ในมืออย่างเสียมิได้ จะปฏิเสธก็คงไม่ดีอีก สุดท้ายเลยได้แต่ส่งแก้วใบหนึ่งไปให้ภามแล้วเทเหล้าให้เขาพร้อมกับกระซิบถามเพื่อความมั่นใจ

“นายกินเหล้าได้หรือเปล่า”

“คุณมากกว่าที่น่าเป็นห่วง” ประโยคตอบกลับของเขาทำเอาผมหน้าหงิก ทว่ายามหันไปมองกลับต้องชะงัก เมื่อพบว่าผู้พูดไม่ได้กำลังกวนตีนแบบที่คิด เพราะหน้าตาเขาดูจริงจังกว่าทุกครั้ง

“มะ...มาห่วงอะไรฉันเล่า” ผมรีบหันหน้าหนีแล้วยกเหล้าเข้าปากแก้เก้อ ลืมไปเสียสนิทว่าไม่ได้กินมานานจนแทบจะลืมเลือนรสฝาดๆ ของมันไปแล้ว “แค่ก...แค่ก”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“มะ...แค่ก...เป็น เป็นแล้ว” ความรู้สึกคันคอจนทรมานทำให้เผลอเบ้หน้า ผมคว้าแขนคนที่เข้ามาช่วยลูบหลังไว้แน่น กว่าจะรู้สึกดีขึ้นก็ตอนที่เขาส่งขวดน้ำเปล่าให้กระดกเข้าปากเพื่อล้างรสฝืดเฝื่อนออกไปจากคอ ไม่คิดเลยว่าแค่หยุดกินไปนานแล้วกลับมากินอีกครั้งมันจะทรมานขนาดนี้

“คุณไม่ต้องรักษามาดอะไรแล้วเหรอ”

“หมายถึงอะไร” ผมเงยหน้ามองภามด้วยความงุนงงไม่เข้าใจทั้งที่ยังจับแขนเขาไว้เป็นหลักยึดอยู่

“เห็นช่วงแรกชอบทำท่าทีขึงขังรักษามาด แต่ตอนนี้พูดออกมาตรงๆ แล้ว แถมยังแสดงออกมากด้วย”

จะบอกว่าเมื่อก่อนผมชอบเก๊กใช่ไหมล่ะ ก็นั่นแหละ...ตามนั้นเลย ไม่มีอะไรจะเถียง

“ไม่รู้จะเก๊กไปทำไม เห็นตับไตไส้พุงกันหมดแล้ว” ตอบตามความจริงแล้วยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มอีกรอบพลางขยับตัวนั่งดีๆ และไม่ลืมปล่อยมือออก ผมเห็นภามมองแขนตัวเองที่โดนผมจับเมื่อครู่ด้วยแววตาแปลกๆ อยู่นานจนต้องอธิบายออกไป “เวลาเจ็บหรือทรมานแล้วได้หลักยึดจับมันทำให้รู้สึกดีขึ้น ฉันไม่เอาโรคอะไรไปติดนายผ่านทางการสัมผัสหรอกน่า มองจนแขนตัวเองจะทะลุอยู่แล้วมั้ง”

“เพราะแบบนั้นคุณถึงชอบจับตัวผมบ่อยๆ...”

“ใช่ รู้แล้วก็เตรียมตัวไว้เลย”

“เข้าใจแล้ว”

เดี๋ยวๆ เข้าใจอะไร แค่พูดเล่นเองนะ

ภามหันหน้ากลับไปมองกองไฟแล้วยกกล้องขึ้นมาเหมือนจะเป็นการตัดบทแบบกลายๆ ผมเลยได้แต่หุบปากฉับแล้วมองไปรอบด้านอย่างสำรวจแทน ดูเหมือนพวกผู้หญิงกับเด็กจะเริ่มทยอยเดินกลับกันแล้ว มีหลายคนที่หันมาสบตาผมพอดีแล้วส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง แตกต่างจากตอนที่เจอกันวันแรกแล้วทำหน้าเหมือนเห็นผีโดยสิ้นเชิง สงสัยจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตากันแล้วมั้ง

แชะ!

“ไหนว่าไม่ถ่ายรูปคนตรงๆ ไง” ผมแขวะคนที่เพิ่งแอบถ่ายกันตอนไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดูรูปอย่างสนอกสนใจเมื่อเห็นภามยื่นกล้องมาให้

“ทุกอย่างมีข้อยกเว้น”

“จะบอกว่าฉันเป็นข้อยกเว้นว่างั้น...โห หน้าโคตรเหวอเลยว่ะ” ไอ้คนในจอนั่นมันใครกัน ทำหน้าเอ๋อเหมือนพวกนอนไม่พอ แถมใต้ตายังดำจนน่ากลัว ถ้าไม่ติดว่าหน้าดีเป็นปกติอยู่แล้วนี่ดับเลยนะ

“ใช่”

อะไรใช่...

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตอบด้วยความงุนงง สมองประมวลผลอยู่พักใหญ่กว่าจะรู้ว่าก่อนหน้านี้เผลอพูดอะไรออกไป เราสบตากันอยู่นานจนผมเริ่มไม่แน่ใจว่ามันนานเกินความจำเป็นหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็เลือกเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อนเหมือนทุกครั้ง

“แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้เราจะทำอะไรกันดี” หนทางกำจัดบรรยากาศกระอักกระอ่วนคงมีเพียงการเปลี่ยนเรื่องเท่านั้น ผมพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหันไปถามเขาด้วยสีหน้าที่ถูกบังคับให้เรียบเฉย

“ผมว่าจะไปถ่ายรูป”

“อา…”

“ไอ้ไม้ ตีดังๆ หน่อยสิวะ!”

เสียงตะโกนโหวกเหวกของคนอื่นๆ ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ภาพที่เห็นคือบรรดาชาวบ้านที่ยังเหลืออยู่ต่างออกมาเต้นรำกันด้วยท่าทางเมามาย โดยมีไม้เอาถังอะไรบางอย่างมาตีให้จังหวะอยู่ไม่ไกล เสียงร้องเพลงของพวกชาวบ้านที่กำลังเมาได้ที่ดังสนั่นจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกผู้หญิงกับเด็กๆ จะนอนหลับกันได้ยังไง

ดูนั่น...เต้นไปล้มไป ตลกฉิบหาย

“เฮ้ยๆ ไอ้ดำ เดี๋ยวตัวก็ไหม้หรอกไอ้เวร!”

ผมหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นดำถูกดึงตัวไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มทับกองไฟ ภาพความวุ่นวายท่ามกลางเสียงร้องเพลงและลมเย็นๆ ทำให้จิตใจปลอดโปร่งแบบที่ไม่ได้เป็นมานาน ผมหันไปมองคนด้านข้างที่กำลังยกกล้องถ่ายรูปบรรยากาศโดยรอบอยู่ ก่อนจะแอบยิ้มจางเมื่อเห็นว่าแววตาว่างเปล่าที่อยู่หลังเลนส์กล้องกำลังเปร่งประกายแบบที่เจ้าของอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“หยุดถ่ายก่อน”

ภามลดกล้องลงก่อนจะหันมามองผมด้วยความงุนงง แต่ไม่รอให้เขาพูดอะไร ผมก็เป็นฝ่ายพยักพเยิดให้เขามองไปในทิศทางที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มชาวบ้านที่เต้นรำกันอยู่

“เต่า?”

“มาเถอะ” ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปในทิศทางที่เห็นสัตว์ตัวที่ว่านอนหงายท้อง ไม่นานนักภามก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างๆ กัน เขามองเต่าหงายท้องเหมือนเห็นของแปลก คิ้วขมวดมุ่นจนเกือบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว “ไม่เคยเห็นเต่าเหรอ”

“ไม่เคยสนใจมากกว่า” ภามตอบ “ทำไมคุณถึงมองเห็นมัน”

“ไม่แปลกหรอก” ไม่ต้องรอให้ถามอะไรต่อ ผมก็เป็นฝ่ายบังคับจับมือใหญ่ของเขาไว้ แล้วดันมันให้เขี่ยกระดองเต่าที่หงายท้องให้กลับไปพลิกคว่ำเหมือนเดิม “คนเรามักจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็น อะไรที่ไม่ได้สนใจ ต่อให้อยู่ตรงหน้าบางทียังไม่เห็นด้วยซ้ำ”

“คุณ...สนใจสัตว์เหรอ”

ผมหันขวับไปมองหน้าภาม ตากะพริบปริบๆ แบบไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำถามเมื่อครู่ดังออกมาจากปากของผู้ชายอายุขนาดนี้ แต่พอเห็นหน้างงๆ จริงจังของเขาแล้วผมกลับมองไม่เห็นวี่แววของความกวนตีนอยู่เลย

“ฮ่าๆ” สุดท้ายก็ขำออกมาจนได้

“ขำอะไร”

“ขำคำถามนายไง” ขำจนน้ำตาจะไหล ผมหัวเราะต่ออีกแป๊บนึงจนรู้สึกตัวว่าโดนจ้องตาไม่กะพริบถึงได้ยกมือยอมแพ้แล้วอธิบายต่อ “ฉันแค่เปรียบเปรย จะว่ายังไงดี...มันเป็นเพราะฉันเป็นพวกขี้สังเกตแถมยังขี้กังวลเกินเหตุมั้ง สายตามันเลยมองแล้วสนใจอะไรต่ออะไรไปทั่ว”

ภามพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ เขามองตามเต่าตัวเล็กที่ค่อยๆ เดินอย่างอืดอาดไปที่ทะเล จวบจนเมื่อมันหายไปแล้ว ดวงตาคมคู่นั้นถึงได้เบนกลับมามองผมอีกครั้ง

“จริงของคุณ เพราะแบบนั้นใครหลายคนถึงได้บอกว่าผมไม่สนใจพวกเขา”

“ใครหลายคนที่ว่า...แฟนนายเหรอ” ผมถามอย่างสนใจ

“เปล่า คนรอบตัวน่ะ” เขาเอียงหัวเล็กน้อยเหมือนกำลังคิด ขณะที่เหม่อมองไปยังทิศทางที่เต่าตัวนั้นเพิ่งเดินผ่านไป “ช่วงหลังๆ เก้าก็เคยบอกว่าผมไม่สนใจ เอาแต่ถ่ายรูป อาหมอก็เคยบอกเหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้ผมไม่คุยด้วย”

อาหมอ...ถามได้หรือเปล่าวะว่าใคร

อย่าเพิ่งดีกว่า

“คงเพราะนายเจอสิ่งที่ชอบอย่างการถ่ายรูปแล้วเลยลืมสนใจคนรอบข้างไปบ้าง ไม่แปลกหรอก”

“ผมเห็นและสนใจแต่สิ่งที่ชอบ...”

“เรื่องปกติของคนทั่วไปน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก” ผมตบไหล่ภามแปะๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ในฐานะของแพทย์ ฉันต้องสนใจและสังเกตอะไรต่อมิอะไรมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว มันเลยติดตัวจนเป็นนิสัยเท่านั้นเอง”

“แล้วถ้า...”

ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเดินกลับไปทางเดิม เมื่อแขนข้างหนึ่งถูกพันธนาการไว้ด้วยมือใหญ่อบอุ่นของคนด้านหลัง

“แล้วถ้าผมเห็นคนคนหนึ่งอยู่ในสายตาตลอดเวลาเพียงคนเดียว แบบนั้นมันหมายความว่ายังไง” แววตาสับสนและไม่มั่นใจของอีกฝ่ายทำให้ผมเผลอจ้องอยู่นาน จนกระทั่งภามพูดขึ้นมาอีกประโยค ผมถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง “หมายความว่าเขาพิเศษหรือเปล่า”

“นายไปรู้สึกแบบนั้นกับใครเข้าหรือไง” ผมถามติดตลกทั้งที่ปากไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ลองมาโดนจ้องด้วยแววตาจริงจังกันขนาดนี้ ใครจะทำเป็นเล่นออก

“ยังหรอก” เขาส่ายหน้า “แต่คิดว่าคงอีกไม่นาน”

อีกไม่นานอะไร...

อีกไม่นานจะรู้สึก หรืออีกไม่นานคนคนนั้นจะอยู่ในสายตาเพียงคนเดียว

แล้วทำไมกูต้องขี้เสือก

“งั้นมั้ง” ผมยักไหล่ตอบ ทำท่าเหมือนไม่คิดอะไร ทั้งที่รู้สึกแปลกๆ กับแววตาของเขาไม่น้อย

“…”

“ถ้าเป็นแบบที่นายว่า ก็คงแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเขาพิเศษกว่าใครไม่ใช่หรือไง”

เมื่อไม่ได้รับคำตอบหรือคำถามอะไรอีก ผมเลยหันหน้าแล้วเดินกลับไปทางเดิม ครั้งนี้ภามไม่ได้รั้งเอาไว้ แต่กลับเดินตามมาเงียบๆ จวบจนนั่งลงที่เดิมแล้วก็ยังไม่ได้พูดอะไร

ตอนนี้พวกชาวบ้านที่เต้นรำและร้องเพลงกันอยู่เริ่มสลบเหมือดกันไปหมดแล้ว เหลือแค่บางคนที่ยังนั่งจับกลุ่มคุยกันหรือกินเหล้าอยู่ ผมเห็นซากศพของดำนอนคว่ำหน้าคลุกทรายอยู่ห่างไปประมาณสิบก้าว ส่วนไม้ยืนถือขวดเหล้าโบกไม้โบกมือให้อยู่ไม่ไกลและกำลังจะเดินเข้ามาหา

ตอนแรกคิดว่าไม่เมา...ที่ไหนได้

“พวกเองงงงงงง แดกๆๆๆ” นั่งลงข้างผมแล้วยังปัดมือไม้สะเปะสะปะจนเกือบฟาดหน้า โชคดีที่ภามดึงตัวผมหลบทันแล้วช่วยลุกขึ้นเปลี่ยนที่ไปอยู่ตรงกลางแทนก่อน

มีคนดูแลมันดีแบบนี้เอง...

เดี๋ยวนะ ได้ข่าวผมบอกว่าจะดูแลเขาไม่ใช่เหรอ

“โทษทีๆ ว่าแต่ผัวเมียดูแลกันดีจังนา” ไม้หัวเราะเฮฮา คำพูดคำจาคล้ายยังมีสติ แค่ไม่ได้เกรงอกเกรงใจกันแล้วเพราะฤทธิ์เหล้า

“เราไม่ใช่...”

“เอาน่าๆ ข้าเข้าใจ ชาวบ้านเขารู้กันหมดแล้วว่าพวกเอ็งมาฮัน...ฮันอะไรวะ”

“ฮันนีมูน”

“นี่!” ผมหันไปตีแขนคนด้านข้าง โดนเข้าใจผิดไม่พอยังไปช่วยตอบให้มันเข้าใจมากกว่าเดิมอีกนะ

“เออใช่...ฮันนีมูนๆ”

“คือ…”

“แล้วเอ็งจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่กันเมื่อไหร่ล่ะ ให้ข้าไปช่วยสร้างไหม”

ทำไมเวลาจะอธิบายต้องโดนขัดทุกทีเลยวะ ตั้งแต่น้าต้อยแล้ว เอาเป็นว่าช่างมันแล้วกัน ปล่อยให้พวกเขาคิดกันไปเถอะ ถ้าไม้บอกว่ารู้กันไปทั่วแล้ว ผมไปนั่งอธิบายทีละบ้านก็คงไม่ได้อยู่ดี

จะว่าไปผมยังไม่ได้บอกน้าต้อยกับลุงเหมเลยว่าจะย้ายไปพรุ่งนี้ แต่เดี๋ยวตอนเช้าค่อยบอกก็คงไม่เป็นไร

“สร้างเสร็จแล้ว ว่าจะย้ายไปพรุ่งนี้” ผมเป็นคนหันไปตอบไม้เองเมื่อภามยังคงนั่งเงียบไม่สนใจโลก

“เออดี ผัวเมียก็ต้องอยู่ด้วยกันสองคนสิวะ”

“…อา” เถียงไปแล้วได้อะไร ยอมตอบไปให้เปลี่ยนเรื่องน่าจะดีกว่า

“ว่าแต่ทำไมเอ็งถึงมาเที่ยวที่นี่กันล่ะ เกาะห่างไกลแบบนี้ไปรู้จักได้ยังไง” ไม้เอียงหัวถาม ตาฉ่ำปรือเต็มทีเหมือนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ แต่น่าแปลกก็ตรงที่มันยังคุยรู้เรื่องอยู่ ท่าทางคงเป็นคนคอแข็งลำดับต้นๆ ของหมู่บ้าน

“มีคนแนะนำมาอีกทีน่ะ”

“แปลก...” เขาพึมพำเบาๆ แต่แล้วจู่ๆ กลับหันขวับไปจ้องหน้าภามตาไม่กะพริบ “จะว่าไป...เอ็งหน้าตาคุ้นๆ เนอะ”

ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามภามว่ารู้จักอีกฝ่ายไหม แต่เขาส่ายหน้าโดยไม่เสียเวลาคิด ทั้งยังหันกลับไปตอบด้วยตัวเองอีกต่างหาก

“คุณจำคนผิดแล้ว”

“อะ...เออ” ไม้บ่นอะไรสักอย่างกับตัวเองอุบอิบเสียงเบาจนผมไม่ได้ยิน แล้วสักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามต่อ “แล้วพวกเอ็งจะอยู่กันนานไหม”

“ก็...คงเดือนเดียวมั้ง” ผมตอบด้วยความไม่มั่นใจนัก แต่อย่างต่ำก็ต้องรอจนกว่าเรือจะเข้าฝั่งอีกรอบอยู่แล้ว

“น่าเสียดายนะ...นายอุตส่าห์อนุญาตให้อยู่ทั้งที”

“ปกตินายไม่อนุญาตเหรอ”

“อา...ก็มันเป็นเกาะส่วนตัวนี่หว่า ใครจะเข้ามาอยู่ง่ายๆ ได้ยังไง”

“แล้วนายที่ว่านี่เขาเป็นเจ้าของเกาะเลยเหรอ ถ้างั้นทำไมพวกชาวบ้านอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” ตอนแรกผมกะว่าจะหาจังหวะเหมาะๆ ถามน้าต้อยหรือลุงเหม แต่ในเมื่อมีคนเมาที่ตอบทุกอย่างตามความจริงอยู่ตรงนี้แล้วก็ต้องใช้ประโยชน์ให้เต็มที่เสียหน่อย

“พวกข้าอยู่มานานแล้ว” ไม้โบกมือไปมา ตัวเริ่มเอียงแต่ก็ยังไม่หยุดดื่มเหล้าในขวด “ปู่ย่าเราย้ายมาจากที่อื่น บังเอิญมาเจอที่นี่เข้าแล้วคิดว่าเป็นเกาะร้างเลยลงหลักปักฐาน เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเป็นเกาะมีเจ้าของ ตอนเขามาปรากฎตัวให้ดู ลุงๆ ป้าๆ แทบจะเป็นลมกัน เพราะคิดว่าต้องไปหาที่อยู่ใหม่แล้ว”

“แสดงว่านายให้อยู่ที่นี่ต่อได้ใช่ไหม” ผมถามด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะยังมีคนใจดีขนาดนั้นเหลืออยู่อีก

“ใช่ นายให้เราอยู่ที่นี่ แต่ต้องทำมาหากิน ห้ามใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เด็ดขาด”

เพราะแบบนั้นทุกคนถึงได้ดูเคารพนายมาก...

“แล้วนายเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ”

“นานๆ จะมาทีน่ะ เอ็งยังไม่เคยเห็นบ้านนายใช่ไหม ถ้าเห็นแล้วจะตกใจ เอาไว้ว่างๆ ลองไปดูสิ ให้ไอ้แตงไอ้ตาลมันพาไปก็ได้”

พอได้ยินแบบนั้นผมเลยพยักหน้ารับคำ เป็นเวลาเดียวกับที่ไม้ทำท่าจะไม่ไหว เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วเอนตัวลงนอนแนบไปกับพื้นในที่สุด

“ปล่อยให้นอนกันแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” ภามที่นั่งเงียบฟังมานานเอ่ยถามขึ้นลอยๆ ขณะกวาดสายตามองภาพโดยรอบ

ดูเหมือนตอนนี้จะมีแค่เราสองคนที่ยังมีสติอยู่ ส่วนคนอื่นๆ เมาพับหลับคาหาดไปแล้วเรียบร้อย ผมจะบอกว่าไม่เป็นไรก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะการปล่อยให้คนมานอนตากลมตากยุงแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและสมควรนัก แต่พอคิดว่าต้องแบกกลับไปทีละคน...

“ปล่อยไว้เถอะ พวกเขาคงชินกันแล้ว” ถ้าพวกผู้หญิงกลับไปโดยไม่ห่วงอะไรก็คงไม่เป็นไรมั้ง

“งั้นกลับเถอะ คุณเริ่มตัวสั่นแล้ว” ภามลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนผมให้ลุกตามไปด้วย พอโดนทักก็เริ่มหนาวขึ้นมาจริงๆ ท่าทางตัวผมคงสั่นอย่างที่เขาว่า อากาศริมทะเลตอนกลางคืนหนาวน้อยเสียเมื่อไหร่

“ขี้สังเกตเหมือนกันนี่” ผมพูดยิ้มๆ แล้วเอาไหล่แซะภามเป็นเชิงแซว ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายชะงักไป ทำเอาผมยิ้มค้าง เกือบเกาหัวแก้เก้ออยู่แล้วหากเขาไม่พูดขึ้นมาก่อน

“เพิ่งรู้เหมือนกัน”

อะไรของเขา...

“ไปๆ รีบไป หนาวจะตายแล้วเนี่ย” ครั้งนี้ผมยกมือกอดตัวเองเพื่อบอกให้รู้ว่าหนาวจริงจังแล้วก้าวเท้าเดินนำไปด้านหน้าก่อน แต่พอเห็นภามไม่เดินตามมาเสียทีเลยต้องกลับไปดึงแขนเขาลากให้เดินตาม “เหมือนเราจะเดินกันแบบปกติไม่ได้เลยเนอะ ต้องลากกันไปลากกันมาตลอด”

เรียกได้ว่าลากกันจนชิน เดี๋ยวผลัดกันชะงัก เดี๋ยวผลัดกันมึน ถือว่าเท่าเทียมแล้วกัน

“นั่นสินะ” เขาพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป ก่อนผมจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือ เมื่ออีกฝ่ายใช้มือใหญ่ๆ ของตัวเองวางทางลงมาบนมือผมที่จับแขนเขาอยู่ “มือคุณเย็นมาก”

“ตัวนายก็อุ่นมาก” เพราะแบบนั้นผมเลยเกาะไม่ปล่อยไง ทำไมลมทะเลทำอะไรคนคนนี้ไม่ได้เลย งงใจ “เออนี่...”

“…”

“ขอกอดแขนหน่อยดิ ไม่ไหวละ” ผมอาศัยจังหวะที่คนตัวโตกว่าทำหน้างงดึงแขนเขามากอดไว้แน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่าน ไปทั่วร่างจนรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ผมไม่รู้ว่าภามทำหน้ายังไงเพราะจุดที่เราเดินอยู่ตอนนี้มันมืดมาก แต่ถ้าเขาไม่ได้สะบัดแขนออกหรือพูดปฏิเสธออกมาก็แสดงว่าไม่เป็นไรมั้ง

“…”

“ขอบใจนะ” เป็นครั้งแรกที่ผมพูดขอบคุณออกมาจากใจ ทั้งยังยกยิ้มให้แม้เขาจะมองไม่เห็นก็ตาม

เราเดินกลับบ้านกันด้วยความเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาตลอดทาง จวบจนหัวถึงหมอนแล้วเราก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ ทั้งยังหันหน้าไปคนละทางตามที่ควรเป็น

ผมหลับตาลงแล้วภาวนา

ขอให้คืนนี้เขานอนหลับฝันดี ขอให้คืนนี้ไม่มีฝันร้าย

ฝันดีแล้วก็อย่าถีบฉันอีกนะ

มันเจ็บ...


—————————


ออฟไลน์ aeecd

  • :: 8018 ::
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
«ตอบ #64 เมื่อ14-06-2018 18:32:36 »

สงสัยว่าเป็นเกาะของใคร คุ้นๆนะหรือคิดไปเองหว่า :ruready

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
«ตอบ #65 เมื่อ14-06-2018 18:49:45 »

น้องภามรู้แล้วแน่เลยว่าตัวเองเริ่มชอบเจไดแล้ว เดี๋ยวก็จะได้ไปอยู่บ้านของเรากันแล้ว เย่ๆ // สู้ๆนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ Fallinlove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
«ตอบ #66 เมื่อ14-06-2018 20:39:32 »

นายคือใครน้อ คุณป๋าน้องเก้าหรือเปล่า
แต่ยังไง นายต้องเกี่ยวข้องกับน้องเก้าทางใดทางหนึ่งแน่ ๆ
ก็น้องเก้าแนะนำมานี่เนอะ แล้วทำไมไม้ถึงคุ้นหน้าภามล่ะเนี่ย
ภามเริ่มรู้สึกอะไร ๆ กับคุณหมอเจไดแล้ว รวดเร็วทันใจดีจัง > <

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
«ตอบ #67 เมื่อ14-06-2018 22:14:22 »

ภามลูก หนูจะมีความรักแหละ อิอิ


ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
«ตอบ #68 เมื่อ15-06-2018 00:14:20 »

ภามลูกกกกทเริ่มพัฒนาแล้ววว
เจไดทำไมเริ่มน่ารัก นิสัยน่ารักเหมือนกันทั้งกลุ่มเลย
แต่ว่า เอาพี่หมอสุดหล่อรองเดือนกลับมาได้มั้ยยยยย
ตอนนี้กลางเป็นตัวนิ่มลงพุงแล้วอะ ฮืออเมียดายหุ่นพี่หมออ
ภามเริ่มรู้ตัวแล้วว ดีจัง น้องยิ้มได้บ่อยๆแล้ว
เริ่มแสดงออกมากขึ้นแล้ว ฮือออ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
«ตอบ #69 เมื่อ15-06-2018 01:59:36 »

กลัวโดนภามถีบ ก่อนนอนมัดขาภามไว้ก่อนแล้วกัน  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
« ตอบ #69 เมื่อ: 15-06-2018 01:59:36 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
«ตอบ #70 เมื่อ15-06-2018 12:50:44 »

ทำไมหมออ่อยแรงงี้อะ

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
«ตอบ #71 เมื่อ20-06-2018 09:46:11 »

อ้อยยยยย

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
«ตอบ #72 เมื่อ20-06-2018 21:08:36 »

-8-


“ภาม แบกกระเป๋าให้หน่อยได้ไหม”

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

ผมไม่ได้ตอบในทันที แต่ลองหมุนแขนตัวเองไปมาดูก่อนเป็นลำดับแรก แล้วก็ตามคาด...

“ปวดแขน” เวลาอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่พอขยับเท่านั้นชัดเจนเลย เหมือนเมื่อคืนผมจะนอนตะแคงผิดท่าไปหน่อยหรืออาจจะทับแขนนานเกินไปนิด ตื่นเช้ามาถึงได้ปวดไปหมดแบบนี้

“ฝากหน่อย” คำพูดสั้นๆ มาพร้อมกับน้ำหนักของสิ่งที่ถูกสวมลงบนคอ ผมก้มลงมองกล้องสุดรักสุดหวงของคนตัวสูง ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเห็นเขาหันไปยกกระเป๋าขึ้น ทั้งของตัวเองและของผม

เมื่อเช้าผมกับภามไปบอกน้าต้อยเรียบร้อยแล้วว่าเราจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกันวันนี้ เพราะงั้นเลยตื่นมาเก็บข้าวเก็บของเตรียมย้ายที่นอนกันไวกว่าปกติ นอกจากระเป๋าทั้งสองใบที่เราเอามาแล้ว น้าต้อยยังช่วยหาฟูกนอนกับของใช้จำเป็นหลายอย่างเตรียมไว้ให้ด้วย ตอนแรกผมคิดว่าขนกันรอบเดียวน่าจะหมด แต่แขนดันมาเดี้ยงจนต้องพึ่งภามคนเดียว ท่าทางคงต้องขนสองรอบแน่ๆ

“นายถือกระเป๋าอย่างเดียวไปก่อน เดี๋ยวฉันถือพวกของใช้ไปให้ แล้วเราค่อยกลับมาขนฟูกกับมุ้งอีกรอบ” ผมหันไปบอกเขาแล้วยกขันน้ำกับกองผ้าที่น้าต้อยยกให้ขึ้น

“คุณไม่ต้องถือก็ได้ เดี๋ยวผมถือเอง”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง”

ดูเหมือนวันเวลาที่ผ่านไปจะทำให้ผมกับภามญาติดีกันมากขึ้นทีละน้อย แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับการเปลี่ยนแปลง แต่ผมก็ยังมองว่ามันเป็นเรื่องดี จำได้ว่าสมัยเรียนผมก็เคยมีเพื่อนคนหนึ่งที่เหม็นขี้หน้ากันมาก่อน แต่พอได้ลองทำงานด้วยกันกลับจูนกันติดซะงั้น หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด

แต่มันมีอะไรแหม่งๆ ระหว่างผมกับภามนี่ดิ...

ทำไมรู้สึกเหมือนระหว่างผมกับภามและระหว่างผมกับเพื่อนคนอื่นมันไม่เหมือนกันยังไงก็ไม่รู้

“คุณ…” สัมผัสอุ่นร้อนจากมือกร้านที่แนบลงบนหน้าผากทำให้ผมรู้สึกตัว ไม่รู้เลยว่าหยุดเดินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า” รีบปฏิเสธจนตัวเองยังคิดว่าน่าสงสัย “คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“เหม่อบ่อยแบบนี้คงได้หัวทิ่มพื้นเข้าสักวัน”

“เอาน่า...ทีหลังจะระวัง โอเคไหม”

เห็นว่าทำหน้าตาเป็นห่วงหรอกนะเลยไม่กวนตีนกลับ

บ้าน...หมายถึงกระท่อมที่ภามบอกว่าสร้างขึ้นมามั่วๆ ดูดีกว่าที่คิด ดูดีมากจนผมไม่คิดว่าเขามั่ว ถึงจะไม่ได้สวยงามอะไร แต่ก็กันแดดกันฝนได้จริงๆ เนื่องจากโครงบ้านที่มีอยู่ก่อนแล้วไม่ได้ใหญ่นัก สภาพที่ออกมาเลยกลายเป็นกระท่อมหลังเล็กๆ ซึ่งมีห้องเดียว เทียบกับห้องเจ้าตาลแล้วถือว่าใหญ่กว่าประมาณสองเท่า มีพื้นที่ให้กลิ้งไปกลิ้งมามากพอควร อีกทั้งภามยังไปขอกลอนประตูจากลุงเหมมาได้ด้วย ทีนี้คงไม่ต้องห่วงแล้วหากจะทิ้งของไว้ในบ้าน

“นี่ห้องน้ำจริงๆ ใช่ไหม” ผมยืนเกาหัวมองสภาพห้องน้ำที่อยู่นอกตัวบ้านด้วยความเครียด ถึงจะต่อท่อหรือมีโถส้วมอะไรอยู่แล้วตั้งแต่ต้น แต่จะให้อาบน้ำหรือทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำที่ใช้ผ้าใบยึดกับเสาไม้ทำเป็นกำแพงสี่ด้านมันก็ออกจะเกินไปหน่อย หนักกว่าห้องน้ำบ้านน้าต้อยอีก

“แค่นี้ก็พอแล้ว” ภามกอดอกมองผลงานตัวเองด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ผมคิดว่าเขาคงภูมิใจอยู่ไม่น้อย ดูจากท่ายืนเก๊กๆ นั่นน่ะนะ

“เอาเถอะ...” โชคดีที่ตัวเองเป็นพวกยอมรับอะไรได้ง่ายๆ “ฉันไปนอนดีกว่า”

“…อา”

อา...อาแปลว่าโอเคใช่ไหม

ปากบอกว่าอาแล้วมึงจะรั้งแขนกูไว้ทำไมหา!

“ปล่อยเลย” ผมสะบัดแขนไปมาเป็นเชิงบอกให้เขาปล่อยมือออก คราวนี้ภามไม่ได้บีบข้อมือผมจนเจ็บเหมือนครั้งก่อน แต่เขาก็ยังจับไว้แน่นไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเหมือนเดิม

“ผมจะไปถ่ายรูป”

“ก็ไปดิ” ใครห้ามเนี่ย

“คุณต้องไปด้วยกัน”

“เดี๋ยว...”

โอเค ผมยอมรับว่าตัวเองเสพติดการนอน ต่อให้เมื่อคืนนอนไปแปดหรืออาจจะเก้าชั่วโมงแล้วก็ยังง่วงอยู่ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความขี้เกียจล้วนๆ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ นั่นแหละ

แต่มึงไม่ต้องอุ้มกูพาดบ่าก็ได้โว๊ยยยยยยย!

“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยภาม!” ผมทุบแผ่นหลังของคนตัวสูงที่บังอาจอุ้มกันจนตัวลอยแรงๆ เพื่อให้เขาปล่อย แต่ภามมันเป็นพวกหนังเหนียว จะทุบจะตีเท่าไหร่ก็ยังทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สา กลายเป็นผมที่หมดแรงห้อยหัวลงแนบไปกับแผ่นหลังของเขาซะงั้น

“ไม่หนักหรอก”

ใครถาม...

“ไม่กลัวใครมาเห็นหรือไง”

“เขาคิดว่าเราเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแบบนั้น ทำได้ยังไงวะเนี่ย

“โอย….” ผมรู้สึกเหมือนอาหารจะไหลลงมาจุกอยู่ที่คอหอย ไม่รู้เพราะกลับหัวนานเกินไปหรือเพราะเส้นทางที่เขาเดินมันขรุขระเหลือเกิน ไอ้เราที่เหมือนเป็นกระสอบทรายซึ่งโดนแบกไว้เลยได้รับผลกระทบเต็มๆ

“ทำไมถึงไม่โวยวาย”

เอ้า...ไม่โวยวายก็ไม่ดีอีก จะเอายังไงเนี่ย

“เพิ่งรู้ว่าเวลาไม่ต้องเดินเองมันสบายขนาดนี้” ประชดไปหนึ่งดอก แม้จะปนความจริงไปส่วนหนึ่งก็ตาม จะว่ายังไงดี...คือผมเป็นพวกขี้เกียจระยะสุดท้าย ยอมรับแบบหน้าด้านๆ เลยว่าเวลาไม่ต้องเดินเองมันรู้สึกสบายโคคตรๆ แต่ถ้าต้องหัวทิ่มนานๆ คงไม่ไหวหรอกนะ “เปลี่ยนท่าหน่อยได้ไหม จะอ้วกแล้ว”

หากเป็นคนปกติคงวางผมลงแล้วอาจจะแถมคำด่าหยาบคายมาหนึ่งถึงสองคำ ข้อหาที่ไม่ยอมสำนึกถึงความขี้เกียจของตัวเองแล้วยังร้องขอให้เปลี่ยนท่า แต่นี่ไม่ใช่คนปกติไง...ภามเองจำได้ไหม

“ให้ตายเหอะ ตัวฉันมันเบาเหมือนนุ่นหรือไงวะ” ผมกอดอกทำหน้าบึ้งตึงอยู่ในอ้อมแขนของไอ้คนกวนตีนหน้าตายที่บังอาจช้อนตัวกันขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาว ได้โปรดอย่ามโนว่ามันเป็นโมเมนท์เขินอาย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่และไร้ซึ่งความโรแมนติกเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งมีชีวิตที่ชื่อภามเริ่มต้นจากการวางตัวผมลงบนพื้น จากนั้นเอากล้องที่ตัวเองแขวนคอไว้มาคล้องคอกันเหมือนเห็นผมเป็นหุ่นโดยไม่ถามความเห็น สุดท้ายจึงช้อนตัวผมขึ้นอุ้มตามคำขอกึ่งประชดโดยไม่พูดหรือแสดงสีหน้าอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

“เบาเหมือนเต้าหู้”

อย่ามาแย่งคำด่าตัวเองของฉันนะ!

ช่างหัวภาพพจน์แม่ง ยังไงก็ร่อยหรออยู่แล้ว ในเมื่ออยากอุ้มกันนักก็อุ้มไปเลย

“ถ้านายปล่อยเมื่อไหร่ฉันจะไม่เดินไปไหนทั้งนั้น พามาแล้วก็พาไปให้สุดแล้วกัน” พูดแบบหัวเสียหน่อยๆ แต่กลับได้รับแววตาขบขันจางๆ มองกลับมา ผมถลึงตามองหน้าภามแล้วขยับตัวขยุกขยิกให้เขารู้สึกหนักกว่าเดิมโดยตั้งใจ

“หลายปีมานี้คุณได้กินข้าวบ้างหรือเปล่า ทำไมตัวเล็กขนาดนี้” ภามถามต่อแบบไม่รู้สึกรู้สา

“ไม่ใช่ว่านายตัวโตเกินไปหรือไง”

“ก็คงใช่ แต่เมื่อก่อนคุณดูมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ดูแข็งแรงกว่าเก้าหลายเท่า”

“เดี๋ยวนี้ฉันก็ยังสู้มันได้เถอะ” ผมเถียงแบบไม่ยอมแพ้

ในกลุ่มเพื่อนสนิทที่มีกันอยู่สามคน มีแค่ไอ้โซที่ตัวสูงกว่าใครเพื่อนเพราะมันมีเชื้อต่างชาติ ส่วนผมกับไอ้เก้าตัวพอๆ กัน ต่างกันแค่เวลานั้นผมเข้าฟิตเนส เล่นกล้ามท้องและกล้ามแขนจนดูถึกกว่ามันพอสมควร แต่พอมาทำงาน เลิกออกกำลังกาย กล้ามอะไรต่างๆ ที่สะสมมาก็เริ่มจางหายไปตามเวลา แถมยังชอบนอนมากกว่าชอบกินข้าว ไม่แปลกที่ผมจะดูตัวเล็กลง ถึงอย่างนั้นก็น่าจะตัวพอๆ กับไอ้เก้านั่นแหละ

“สู้ไม่ได้หรอก”

“ทำไมจะ...”

“ปกติเก้าก็แรงเยอะอยู่แล้ว แถมตอนนี้คุณยังตัวเล็กกว่าอีก สู้ไปก็มีแต่แพ้”

โอ้โห...มีความดูถูกดูแคลน

ผมดิ้นหนักๆ กะจะให้ภามปล่อยให้ได้เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ตัวเล็กแรงน้อยอะไรขนาดนั้น หากยิ่งดิ้นกลับยิ่งรู้สึกเหมือนโดนรัดแน่นขึ้น พร้อมกับที่คนตัวสูงเริ่มออกตัววิ่งไปด้านหน้าจนผมต้องคว้าจับไหล่เขาไว้แน่น

เฮ้ย...นี่ถึงขนาดอุ้มคนวิ่งได้เลยเหรอวะ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันถึกเกินไปหรือผมเบาเป็นเต้าหู้จริงๆ กันแน่

“ไม่เหนื่อยเลยเหรอ” ผมอดถามไม่ได้เมื่อเห็นว่าเริ่มมีเหงื่อไหลลงตามกรอบหน้าคม แต่อีกฝ่ายกลับไม่บ่นหรือหอบหายใจหนักหน่วงเลยแม้แต่นิดเดียว

“ปกติก็วิ่งวันละหลายกิโลอยู่แล้ว”

เมื่อเห็นภามว่าแบบนั้นผมเลยขยับตัวให้เข้าที่เข้าทางกว่าเดิม สบายมากจนตาเริ่มปรือ ถ้าไม่ติดว่าต้องตั้งสมาธิอยู่กับการประคองกล้องคงเผลอหลับไปแล้ว ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ...ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียที่มีนิสัยยอมรับอะไรได้ง่ายดายเหลือเกิน

จะว่าไปตอนแรกผมยังเขม่นภามเพราะเมื่อก่อนเคยโดนกอดแล้วสู้แรงเขาไม่ได้อยู่เลยนี่นะ เดี๋ยวนี้ไม่ยักรู้สึกแบบนั้น ทั้งที่โดนมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก เอาจริงๆ ก็เพิ่งค้นพบเหมือนกันว่าเวลามีคนทำอะไรแทนมันสบายสุดๆ รู้แบบนี้แล้วจะคิดมากไปทำไมอีก ศักดิ์ศรีไม่ได้ทำให้กินอิ่มนอนหลับ ช่างมันเลยแล้วกัน

“สบายมากไหม”

“มาก” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด ก่อนจะแอบยกยิ้มมองภามแบบคนเหนือกว่า “เริ่มเมื่อยแล้วอะดิ”

“ผมทนได้”

ขืนตอบแบบนั้นแล้วทำหน้าตาน่าสงสารหน่อยคงเรียกความสนใจจากแม่ยกได้เป็นแถบ น่าเสียดายที่คนพูดทำหน้าปลาตายไม่เปลี่ยนแปลง ดูจริงจังมากจนผมเริ่มรู้สึกผิดนิดหน่อย

“ปล่อยลงเถอะ”

“คุณบอกว่าจะไม่เดิน”

“เดินแล้วน่า” ผมถอนหายใจแล้วหย่อนขาลงพื้นเมื่อภามหยุดเดิน แต่เมื่อเห็นเขาเอื้อมมือมาจะเอากล้องคืน ผมเลยรีบหมุนตัวหนีแล้วเดินนำไปด้านหน้า “ยึดชั่วคราว ข้อหาพาไปไม่ถึงจุดหมาย”

“หึ…”

“หึอะไร”

“ขำคนปากแข็ง” เสียงจากคนด้านหลังดังขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้เดินตามมา แต่คำพูดของเขาทำให้ผมหยุดชะงัก

“ปากแข็งอะไร”

อย่ามาทำเหมือนรู้ทันไปหน่อยเลย ผมไม่ได้ดูออกง่ายขนาดนั้นสักหน่อย

“อยากช่วยผมบ้างก็บอกมาเถอะ” เขาว่าแล้วก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ในขณะที่ผมทำได้เพียงควบคุมสีหน้าไม่ให้เผลอแสดงท่าทีอะไรออกไป

“พูดอะไรของนาย”

“หน้าตาไม่ได้น่าเชื่อถือเลย...คุณหมอ” รอยยิ้มเหยียดกับเสียงกระซิบติดใบหูทำเอาใบหน้าผมร้อนผ่าวด้วยความอับอาย

“เอาคืนไปเลย” ผมเอาสายกล้องออกจากคอ ก่อนจะผลักมันคืนไปให้เจ้าของถือเอง เมื่อเรียบร้อยแล้วถึงหันกลับไปเดินต่อแบบฉุนเฉียว

ก็แค่ไม่อยากติดหนี้เท่านั้นแหละ ไม่ได้อยากจะช่วยอะไรสักหน่อย









จุดหมายปลายทางที่ภามพาผมมาคือบนเนินเขาซึ่งอยู่กลางเกาะ พวกชาวบ้านบอกว่าด้านบนมีศาลาเล็กๆ ที่นายเคยสั่งให้คนสร้างไว้ชมวิวด้วย ตอนเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ว่าเป็นครั้งแรก ผมแทบจะร้องออกมาด้วยความยินดี ไม่นึกว่าจะเมื่อยและเหนื่อยมากขนาดนี้ กับอีแค่เดินขึ้นเขาที่ดูแล้วไม่ได้สูงอะไรนัก

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...อย่าด่วนเชื่ออะไรในสิ่งที่ตาเห็น มิฉะนั้นจะเสียใจในภายหลัง

เกาะที่เราอยู่เป็นเกาะขนาดกลาง ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายสำหรับเกาะส่วนตัว แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเล็ก น้าต้อยบอกว่าพื้นที่ที่พวกเราอาศัยอยู่และเป็นพื้นที่ที่ใช้จอดเรือประมงคือด้านข้างเกาะ ส่วนจุดที่ผมกับภามมาถึงตอนแรกคือทิศตรงกันข้าม ซึ่งหากนับจริงๆ แล้วมันคือด้านข้างเหมือนกัน แต่ทุกคนต่างเรียกว่าหลังเกาะเพราะเป็นทิศที่อยู่ตรงข้ามกับที่อยู่อาศัยซึ่งถูกมองว่าเป็นด้านหน้า

“น้าต้อยบอกว่าถ้าขึ้นมาบนนี้จะเห็นบ้านนายด้วยใช่ไหม” ผมหันไปถามภามที่กำลังเดินสำรวจรอบเขาอยู่ ในขณะที่ตัวเองนั่งกอดอกอยู่ในศาลาเพราะเริ่มรู้สึกหนาวแปลกๆ

“ใช่ นั่นไง” เขาตอบแล้วชี้ไปในทิศทางหนึ่ง ผมเลยรีบเดินออกไปแล้วมองตรงไปยังจุดนั้น

“โห...สวยโคตร”

สิ่งก่อสร้างที่ผมมองอยู่ไม่อาจเรียกได้ว่าบ้านธรรมดา เพราะมันใหญ่โตแถมยังดูสวยงามราวกับคฤหาสน์ เป็นบ้านปูนเปลือยสไตล์โมเดิร์นของแท้ ทั้งยังมีพื้นที่ของสระว่ายน้ำยื่นออกไปในทะเลอีก ถ้าตอนมาถึงเด็กๆ พาผมเดินอ้อมไปอีกทาง ไม่ได้ตัดเข้าป่าแบบที่ทำตอนแรก เราคงได้เดินผ่านบ้านหลังนี้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว

“คุณชอบเหรอ” คนที่ยืนมองอยู่ข้างผมทำสีหน้าคล้ายกำลังมองบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง ผมเห็นแล้วนึกอยากเบะปากอยู่ไม่น้อย ใช่สิ...พ่อคนรวยล้นฟ้า คงอยู่บ้านใหญ่โตแบบนี้จนชินแล้วสิท่า

“ใครจะไม่ชอบบ้างล่ะ อยากเข้าไปดูด้านในชะมัด” ได้แต่บ่นพึมพำแล้วมองอย่างเสียดาย บ้านของนายเจ้าของเกาะ ใครจะเข้าไปได้ถ้าเขาไม่อนุญาต

“จะเข้าไปไหม”

“อะไรนะ” ผมหันไปมองภามแล้วทำหน้างง เหมือนจะได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร

“จะเข้าไปดูไหม” อีกฝ่ายย้ำด้วยประโยคเดิม แต่เล่นเอาผมเสียวสันหลังวาบเพราะดูท่าแล้วคนพูดคงเอาจริง

“จะบ้าหรือไง”

“ทำไม”

“ยังจะถามว่าทำไมอีก แงะเข้าบ้านคนอื่นมันผิดกฏหมาย ไม่รู้หรือไง”

อะไร...มองหน้ากันเหมือนเอือมระอาทำไม

“เอาเถอะ ไปนั่งรอในศาลาไป” ภามพูดแค่นั้นแล้วหมุนตัวกลับไปสำรวจรอบๆ ต่อ ซึ่งผมก็ยอมทำตามคำพูดนั้นแต่โดยดี เพราะนอกจากจะขี้เกียจเถียงแล้วผมยังหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

ไม่รู้ทำไมวันนี้ไม่มีแดดเลย แถมอากาศยังเย็นผิดปกติอีกต่างหาก ผมคิดสงสัยแล้วได้แต่ยกขาขึ้นมากอด ทว่ายังไม่ทันได้มองออกไปด้านนอกอะไรบางอย่างก็เข้ามาบดบังสายตาเอาไว้จนมิด

“ทำอะไร” ผมดึงเสื้อแขนยาวออกจากหัวตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของมันที่ตอนนี้สวมเพียงเสื้อคอวีธรรมดาตัวหนึ่ง

“คุณใส่เถอะ ผมไม่หนาว”

“ก็ได้”

หึ...เห็นว่าหวังดี ถือว่าใส่ไม่ให้เสียน้ำใจแล้วกัน ว่าแต่ตอบเร็วไปจนน่าสงสัยหรือเปล่าวะ

“จะยิ้มก็ยิ้ม กลั้นจนหน้าเหมือนกบ”

“ไปถ่ายรูปเลยไป” ผมผลักแขนภามเป็นเชิงไล่ รอจนอีกฝ่ายหันไปแล้วถึงได้รีบกางเสื้อในมือออกแล้วสอดแขนเข้าไปอย่างรวดเร็ว ขนาดตัวที่แตกต่างทำให้แขนเสื้อยาวจนปิดมือ อีกทั้งไหล่เสื้อยังตกลงมาเกือบคืบ แต่ผมถือว่านั่นเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้รู้สึกอุ่นมากขึ้นไปอีก

แชะ!

วอทเดอะ...

ผมเงยหน้าทั้งปากหวอ เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงแชะดังขึ้นอีกครั้งแบบพอดิบพอดี

“ทำหน้าตลก” คนที่เพิ่งลดกล้องลงเพื่อสบตากับผมพูดทั้งหน้าปลาตาย หากดวงตาคู่นั้นกลับปรากฎแววขำขันอยู่ในที ผมชักจะรู้สึกว่าเขาแสดงอารมณ์เยอะเกินไปแล้วเหมือนกัน แต่จะบอกให้กลับไปทำหน้าปลาตายเหมือนเดิมก็คงไม่ได้ผล คำตอบคงไม่ต่างจากคราวที่ผมบอกให้กลับไปพูดน้อยเท่าไหร่นัก

“ถ่ายให้เมมเต็มแบตหมดไปเลยนะ”

“ผมมีหลายอัน”

เบื่อคนรวย...ก็ว่าทำไมถึงไม่เดือดร้อนที่บ้านใหม่ไม่มีไฟฟ้า คนที่ใช้กล้องตลอดอย่างเขาต้องมีกลัวแบตหมดบ้างละ ที่แท้ก็มีหลายอันนี่เอง เมื่อขี้เกียจเถียงผมเลยหันกลับมาซุกตัวในเสื้อตัวใหญ่เหมือนเดิมและไม่ได้พูดอะไรอีก ดีที่ภามเองก็หันกลับไปสนใจถ่ายภาพทิวทัศน์รอบๆ เหมือนกันเลยไม่ได้เถียงกันต่อ

พื้นที่บนเขาแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่นัก แต่ถ้าขึ้นมาคนสองคนก็ไม่ได้อึดอัดอะไร บริเวณโดยรอบศาลามีต้นไม้ปกคลุม หากก็ยังมีจุดที่เปิดโปร่งสามารถมองเห็นท้องฟ้าและทัศนียภาพด้านล่างได้อย่างชัดเจน ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าทางที่มีบ้านของนายตั้งอยู่ดูคล้ายกับมีคนทำเส้นทางไว้เพื่อให้เดินขึ้นมาด้านบนและลงไปด้านล่างได้สะดวก ถึงจะไม่เห็นต้นทาง แต่พื้นดินที่ดูลาดลงไปด้านล่างเป็นทางยาวก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนพออยู่แล้ว

‘คนรักของนายชอบขึ้นไปนั่งเล่นบนเขา พอนายรู้เข้าเลยสั่งให้พวกไอ้ดำขึ้นไปสร้างศาลาไว้ให้ น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะจ๊ะ’

ผมลอบยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดของน้าต้อย ดูท่านายคงรักแฟนน่าดูถึงได้ทำให้ขนาดนี้ จำได้ว่าตอนผมมีแฟน แม้แต่ซื้อของให้ยังไม่เคยด้วยซ้ำ โดนบอกเลิกก็บ่อย ส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมไม่แคร์พวกเธอ ไม่สนใจ ไม่ดูแล ไม่อะไรสักอย่าง ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจนักหรอก แต่พอโตมาถึงได้รู้...

ตัวผมเองคงไม่เหมาะจะดูแลใคร

นอกจากไม่มีเวลาแล้วยังขี้เกียจ ถ้าจะมีความรักจริงๆ ขอเป็นฝ่ายถูกดูแลดีกว่า เป็นไปได้ขอแบบก้าวเข้าบ้านแล้วช่วยถอดเสื้อผ้า อุ้มไปอาบน้ำ เสร็จแล้วอุ้มกลับมานอนที่เตียงเลยยิ่งดี แต่ผู้หญิงที่ไหนจะมาอุ้มผู้ชายได้กัน

ขณะที่กำลังนึกอะไรเพลินๆ จนเกือบจะหลับ จู่ๆ สัมผัสจั๊กจี้ก็แทรกเข้ามาในความคิดพร้อมกับความคันยุบยิบที่คาง แต่ไปๆ มาๆ กลับรู้สึกดีจนเผลอหลับตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม

อือ...ซ้ายหน่อย

บอกว่าซ้ายไง...

ไม่ได้ดั่งใจเลย ขยับหน้าเองก็ได้

อา...สบาย

“แมว”

ผมปรือตามองเมื่อได้ยินเสียงพูดของใครสักคนที่รู้สึกเหมือนจะอยู่ใกล้จนไม่น่าเป็นแค่ฝัน และทันทีที่เห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ความง่วงงุนผสมกับความสบายอกสบายใจก็ถูกแทนที่ด้วยความตกใจจนถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว

“ภาม!”

“…” ไม่ตอบแต่ทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เยอะไปละ แสดงออกเยอะไปละ

“เป็นโรคหรือไงถึงต้องเดินกลับมาหากันทุกห้านาทีเนี่ยหา!” ผมแขวะอย่างหัวเสีย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหน้าตัวเองตอนนี้จะต้องแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศแน่นอน

“ก็เห็นมองเหมือนอยากให้เดินกลับมาหา” เขาตอบหน้าตาย

“ฉันไม่ได้มองนายสักหน่อย”

“คุณมองตามทุกฝีก้าวเลย ไม่รู้ตัวเหรอ”

ทันทีที่เห็นใบหน้าอ่านยากไม่มีวี่แววของการล้อเล่น ผมเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นในใจ หรือว่าจะเผลอมองตามจริงๆ ตอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

“ไม่รู้” ทำเป็นไม่รู้เรื่องไว้ก่อนแล้วกัน “ไปถ่ายรูปต่อเถอะ”

“ผมถ่ายวิวเยอะแล้ว”

“งั้นจะกลับเลยไหม” ผมลุกขึ้นยืนปัดกางเกงไปมา ถึงที่นี่จะสวยขนาดไหน แต่อากาศหนาวแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน เอาไว้วันหลังเตรียมเสื้อผ้ามาดีๆ ค่อยมาใหม่ดีกว่า...ถ้าไม่ขี้เกียจนะ

“อย่าเพิ่ง”

“หือ…” ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ คนหน้าปลาตายก็ดึงแขนผมแล้วลากให้เดินตามออกไปนอกศาลา ท่ามกลางความงงและความเอ๋อ ผมได้แต่เดินตามเป็นหุ่นยนต์ กระทั่งถูกจัดท่าให้ไปยืนอยู่ริมเขาแล้วถึงได้รู้สึกตัว “ทำอะไรเนี่ย”

ด้านหลังเป็นวิวท้องฟ้ากับทะเล ด้านหน้าคือคนตัวสูงซึ่งกำลังยกกล้องถ่ายรูปขึ้น

แชะ!

“ทำท่าดีๆ หน่อย” ช่างภาพเผด็จการลดกล้องลงเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วฉับเป็นเชิงสั่ง

“เดี๋ยวๆ ฉันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย” ผมเกือบเผลอถอยหลังเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมาประชิดตัวแล้วจัดท่าจัดทางให้ “ไม่ถ่ายคนไม่ใช่เหรอ”

“คุณเคยถามไปแล้ว”

ทุกอย่างมีข้อยกเว้น...

คำตอบที่เพิ่งได้รับมาเมื่อวานทำเอารู้สึกแปลกๆ จนเผลอเม้มปากแน่น อยากจะด่าตัวเองที่ดันไปถามซ้ำจนต้องนึกถึงก็ไม่ทันแล้ว คราวนี้กลายเป็นหุ่นของแท้ให้เขาจับทำนั่นทำนี่ได้ตามอัธยาศัย จวบจนเมื่อมือข้างหนึ่งแตะลงบนแก้ม ผมถึงได้สะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้กระทำโดยอัตโนมัติ

“เงยหน้า” ภามพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป หากยังไม่ยอมละมือหรือสายตาออก กลายเป็นผมที่ต้องทำลายบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนใจด้วยการดันมือของเขาออกเบาๆ แล้วพูดเสียงค่อย

“รู้แล้ว”

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนกับการถ่ายรูปที่ดูจะกินเวลาและกินแรงมากกว่าปกติหลายเท่า ทั้งที่ตัวเองทำแค่มองไปมองมาหรือเหลือบไปมองกล้องบ้างบางโอกาส แต่ผมกลับรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะเหนื่อยเพราะยังนั่งพักได้ไม่นานแล้วต้องลุกขึ้นมายืนต่อ แต่ตอนนี้...

ไม่แน่ใจแล้วว่าเหนื่อยที่ต้องยืน หรือเหนื่อยที่ต้องควบคุมอารมณ์และหัวใจบ้าบอที่เต้นแรงไม่เลิกเสียทีกันแน่

“พี่หมอออออออออออออ”

ผมสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้นแต่ไกล พร้อมกันนั้นปรากฎร่างเล็กของเด็กฟันหลอสองคนวิ่งดุ๊กดิ๊กขึ้นเขามาหาจากทิศทางหนึ่ง ผมเกือบหลุดขำเมื่อเห็นภามขยับตัวหลบเด็กน้อยเหมือนกลัวว่าพวกเขาจะวิ่งชนกล้องที่ตัวเองถืออยู่ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าแตกตื่นของเด็กที่โกหกไม่เป็น ความเคร่งเครียดก็เข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณในทันที

“หายใจก่อน” ผมลูบหลังตาลที่ดูจะหอบมากกว่าพี่ชายเบาๆ รอจนอาการดีขึ้นแล้วถึงพยักหน้าให้พูดต่อได้

"แม่...แม่บอกให้มาตามพี่หมอ มีคนไม่สบายอยู่ข้างล่างจ้ะ”

“คนในหมู่บ้านเหรอ เขาเป็นอะไร”

“ไม่ใช่ในหมู่บ้าน เขามาจากทะเล” แตงพูดแทรกแล้วอธิบายแทนน้องชายที่ยังเหนื่อย “พี่ไม้ไปเจอตอนออกเรือแล้วเห็นเขาทำท่าจะจมน้ำ พอช่วยขึ้นมาได้ก็เอาแต่พูดว่ายังมีคนอยู่ในทะเล พี่ดำเอาเรือออกไปหาแล้วจ้ะ แต่แม่บอกให้หนูมาตามพี่หมอ เผื่อจะช่วยอะไรพวกเขาได้”

ผมรีบหันไปมองหน้าภามโดยอัตโนมัติ เห็นเขาพยักหน้าให้แล้วถึงหันกลับมาพูดกับเด็กๆ อีกรอบ

“เดี๋ยวพี่ลงไปก่อน พักอยู่บนนี้ให้หายเหนื่อยแล้วค่อยตามลงไป แตงดูน้องด้วย”

“จ้ะ”

การลงจากเขาไม่ได้ยากลำบากอะไรมากมายนัก แต่สำหรับผมมันดูน่ากลัวว่าตอนขึ้นมามากพอควร เกลียดตัวเองเหมือนกันที่เป็นพวกใจเสาะหวาดกลัวกระทั่งความสูง ถึงจะไม่ได้มากมายแต่ก็เสียววูบๆ อยู่ในใจจนต้องพยายามข่มกลั้นไว้ โชคดีที่คนข้างกายคอยช่วยพยุงและเดินนำ เวลาเห็นโขดหินหรือทางชันมากเขาจะลงไปคอยรับอยู่ด้านล่าง ฝ่ามือใหญ่อบอุ่นช่วยให้รู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด แต่ผมไม่มีเวลามาสนใจอาการแปลกๆ ของตัวเองในยามนี้

ในที่สุดเราก็ลงมาถึงตีนเขาจนได้ ผมกับภามรีบวิ่งไปที่หาดด้วยความเร็วเท่าที่แรงยังเหลืออยู่ ภาพบรรดาชาวบ้านยืนมุงแล้วพูดคุยกันเซ็งแซ่ไม่ได้แตกต่างจากที่ผมจินตนาการไว้นัก

“หลบหน่อยครับ” ผมส่งเสียงบอกฝูงชนแล้วเดินแหวกเข้าไปในวงพร้อมกับภาม ดูเหมือนผู้มาเยือนจะไม่ได้หมดสติจากการจมน้ำแบบที่คิด หรือไม่ก็มีใครช่วยเอาไว้แล้ว สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้คือภาพผู้หญิงร่างบอบบางคนหนึ่งกอดเด็กชายอายุราวห้าหกขวบไว้แน่น ทั้งคู่มีสภาพเหมือนกันคือเปียกไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว

“ไอ้หมอ” ไม้เดินเข้าแตะไหล่ผม “เอ็งไปช่วยเด็กที ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เลย เด็กมันเลือดออกจะหมดตัวอยู่แล้ว”

จะว่าไปดูเหมือนจะมีเลือดออกจริงๆ ด้วย หยดเป็นทางมาเชียว แต่เพราะผู้หญิงคนนั้นกอดเด็กไว้กลม ผมเลยมองไม่เห็นว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนกันแน่

“คุณครับ” ผมเดินเข้าไปคุกเข่าลงข้างเธอ เห็นใบหน้าสะสวยที่ดูท่าคงอายุไม่มากเท่าไหร่นักแล้วได้แต่พยายามพูดอย่างใจเย็น “ผมเป็นหมอครับ ขอดูแผลน้องก่อนได้ไหม”

แววตาประหลาดของคนตรงหน้าทำเอาผมหน้าชา ยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้วก็ยังไม่ได้รับความเชื่อถือ น้องร้องไห้จนจะเป็นจะตายอยู่แล้วไม่สนหน่อยหรือไง

“คุณมากันสองคนใช่ไหมครับ” ผมพยายามชวนคุยต่อเผื่อเธอจะสบายใจขึ้น แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับคำตอบ สุดท้ายเลยต้องหันไปหาไม้แทน

“ตอนแรกมีผู้ชายจมน้ำ ข้ากับไอ้ดำช่วยพาเข้ามาที่เกาะ พอช่วยจนฟื้นแล้วเลยพาไปพักที่บ้าน แต่เจ้านั่นเอาแต่บ่นเรื่องลูกชายตัวเอง พวกข้าเลยออกเรือไปตามเจอสองคนนี้เข้า ใครจะคิดว่าแม่นางคนนี้จะโดดเรือหนีตาย คงคิดว่าพวกข้าจะทำร้ายมั้ง แต่ประเด็นคือดันทิ้งเด็กไว้บนเรือ กว่าจะลากมาได้แทบลมจับ”

“แล้วทำไมเด็กถึงเลือดไหลได้”

“ก็หล่อนผลักเด็กจนล้มน่ะสิ พอขึ้นฝั่งมาเด็กมันจะวิ่งไปหา คงตกใจแล้วอยากเอาตัวรอดเลยผลักเด็กจนขาเหยียบเปลือกหอยเข้าเต็มๆ แต่พอคนมามุงดันดึงเข้าไปกอดแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะงั้น ตอนแรกยังไม่เห็นร้องไห้อะไรเลย” ไม้พูดถึงตรงนี้แล้วขมวดคิ้วเหมือนจะหัวเสียอยู่หน่อยๆ “คนเมืองสร้างภาพเก่งกันจังวะ”

เดี๋ยวๆ คนที่เอ็งคุยด้วยก็คนเมืองนะ

ผมถอนหายใจยามแล้วหันไปมองหน้าภาม ลองได้ยินไม้พูดแบบนี้ ท่าทางผู้หญิงตรงหน้าคงไม่ได้ดีเด่อะไร ดังนั้น...

“ภาม...ช่วยหน่อยได้ไหม”

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แต่เขาตอบด้วยการกระทำโดยการก้าวเท้ามาข้างผมแล้วโน้มตัวลงดึงเด็กน้อยคนนั้นออกมาจากอ้อมกอดของหญิงสาวได้อย่างง่ายดาย

ผมมองสบดวงตาฉ่ำน้ำของเธอแล้วยิ้มจาง

“ผมจะดูแลเด็กเองครับ”

นี่มันหมอเจไดผู้รักเด็กนะ อย่ามาแสดงละครใส่เลยจะดีกว่า ผมเจอผู้ปกครองของเด็กๆ มาเป็นร้อยรูปแบบแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าคนที่เป็นห่วงเด็กจริงๆ เขาแสดงออกกันแบบไหน

ได้แต่หวังว่าผู้มาใหม่ทั้งสามจะไม่เข้ามาทำลายชีวิตอันสงบสุขของผมบนเกาะนี้...

เพราะแค่ภามคนเดียวผมก็จะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว


—————————-

 


ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
«ตอบ #73 เมื่อ20-06-2018 21:37:29 »

ไม่รู้จะหวีดอะไรก่อนเลยล่ะค่ะ แรกๆมาซอฟต์มากกกกก น่ารักไปหมดเลย ยิ้มจนแก้มจะแตกแล้วค่ะ แต่ตอนสุดท้ายคุณหมอจะออกโรงแล้ว ตื่นเต้นนน // สู้ๆนะคะคุณชช. รอค้าบ :กอด1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
«ตอบ #74 เมื่อ21-06-2018 01:36:25 »

ความสงบคงไม่อยู่ใกล้เจไดแล้วล่ะ  :katai3:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
«ตอบ #75 เมื่อ21-06-2018 02:56:00 »

ขำในความขี้เกียจ

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
«ตอบ #76 เมื่อ21-06-2018 10:14:45 »

เจ้าของเกาะนี่ใครกันน้าาาา

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
«ตอบ #77 เมื่อ21-06-2018 12:32:25 »

ทำเป็นเนียนถ่ายรูปเขาอ่ะ น้องภามน่ารัก


ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
«ตอบ #78 เมื่อ23-06-2018 07:30:25 »

 :pig4:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
«ตอบ #79 เมื่อ24-06-2018 17:30:13 »

-9-


ผมจัดการทำแผลให้เด็กชายตัวน้อยอย่างดีที่สุดเท่าที่อุปกรณ์เอื้ออำนวย โชคดีที่พวกชาวบ้านมีอุปกรณ์ทำแผลและยารักษาโรคเบื้องต้นอยู่บนเกาะบ้าง อะไรๆ เลยไม่แย่นัก อีกอย่างคือแผลไม่ได้ลึกถึงขนาดที่น่าเป็นห่วง แต่ผมก็ยังกำชับให้พ่อของเด็กดูแลอย่างใกล้ชิดและย้ำไม่ให้เขาเดินในช่วงที่ยังไม่หายดี

“ขอบคุณมากครับหมอ” ชายร่างสูงใหญ่ผิวเข้มหน้าตาคมคายในแบบฉบับคนไทยแท้ส่งยิ้มจางมาให้ ก่อนจะละสายตาไปจับจ้องเด็กชายในอ้อมแขนตัวเองด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรครับ” ผมเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องแล้วขยับถอยหลังเล็กน้อยไปอยู่ข้างภาม

ตอนนี้เรานั่งอยู่ในกระท่อมหลังเล็กซึ่งมีอยู่ห้องเดียวไม่แตกต่างจากกระท่อมที่ผมกับภามสร้างขึ้นมานัก เหตุผลที่สองพ่อลูกได้มาพักอยู่ที่นี่เป็นเพราะกระท่อมของไม้อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุด อีกทั้งเขายังอาศัยอยู่เพียงลำพัง แม้เจ้าของบ้านจะไม่เต็มใจแต่ก็ขัดคำสั่งลุงเหมไม่ได้ ตอนนี้คงกำลังหัวร้อนอยู่ข้างนอกเพราะถูกสั่งให้ไปหาข้าวหาน้ำให้แขก

“ผมกับลูกมาเที่ยวกันตามลำพัง...” ชายตรงหน้าที่บอกว่าตัวเองชื่อไฟเริ่มพูดออกมาช้าๆ หลังจากเราเงียบกันไปนาน

ดีเหมือนกัน ไม่ต้องรอให้ถามก็เล่าเองเลย

“แล้วผู้หญิงคนนั้น...” ผมเรียบๆ เคียงๆ ถามโดยพยายามรักษาสีหน้าไม่ให้แสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป

“เป็นพี่เลี้ยงของเจ้าลมครับ” คุณไฟอธิบายด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “เธออ้อนวอนแล้วขอตามติดมาด้วย อ้างเหตุผลว่าลมจะร้องไห้ถ้าเธอไม่อยู่ พอเห็นลูกไม่พูดอะไรผมเลยคิดว่าจริง ใครจะคิดว่าพอเจอเหตุการณ์คับขัน อีกฝ่ายจะกล้าแม้กระทั่งผลักผมลงน้ำ”

“คุณไปเจออะไรมากันแน่”

“ผมโดนเรือสองลำขนาบข้างบังคับให้แล่นออกนอกเส้นทาง พอใกล้จะหนีพ้นเครื่องยนต์ดันมีปัญหาจนโดนตามทัน คงเห็นว่าผมใช้เรือส่วนตัวเลยคิดจะมาปล้น มันบอกให้ปลาผลักผมลงน้ำแล้วจะไม่ทำอะไร และเธอก็ทำจริงๆ ทั้งที่เพิ่งเสนอตัวให้ผมแท้ๆ ตอนแรกผมไม่ได้โกรธพราะคิดว่าคงกลัว แต่พอลูกยอมสารภาพกับผมว่าปลาปฏิบัติตัวกับเขายังไง ผมถึงได้เข้าใจนิสัยที่แท้จริงของเธอ...ลมคงกลัวมากเลยไม่ยอมบอกพ่อใช่ไหมลูก” ท้ายประโยคคุณไฟก้มลงพูดกับน้องลมที่กอดเขาไว้แน่นอย่างอ่อนโยน

ดูท่าเขาคงโมโหผู้หญิงชื่อปลาคนนั้นมากพอควร มิน่าเธอถึงได้พยายามเอาหน้าด้วยการทำเหมือนจะปกป้องน้องลมทั้งที่รู้ว่าพวกชาวบ้านตั้งใจเข้ามาช่วย คงกลัวเจ้านายอยู่แถวนั้นแล้วจะมาเห็นเข้าละมั้ง

“ผมเพิ่งทราบว่าแถวนี้มีโจรด้วย” ผมขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากที่ไม้บอกดูเหมือนจุดที่พวกเขาไปเจอเรือของคุณไฟจะไม่ได้อยู่ห่างจากเกาะเท่าไหร่นัก ถ้าพวกมันมาเจอเกาะเข้าแล้วรู้ว่าที่นี่มีแค่พวกชาวบ้าน ถึงตอนนั้นต้องแย่แน่

“ต้องระวังหน่อยนะ ผมเห็นที่นี่มีคนแก่กับเด็กเยอะด้วย” คุณไฟพูดด้วยความเป็นห่วง

“ขอบคุณครับ แล้วนี่คุณจะเอายังไงต่อ เย็นมากแล้วด้วย”

“เมื่อกี้ตอนลุงเหมเข้ามา ท่านบอกให้ผมกับลูกพักอยู่ที่นี่ก่อน มีข่าวว่าฝนจะตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ไม่รู้ว่าจะเอาเรือออกไปส่งได้เมื่อไหร่”

ได้ฟังเขาพูดแล้วผมเพิ่งนึกได้ว่านอกจากบ้านของนายแล้วยังมีบ้านลุงเหมอีกหลังที่มีโทรทัศน์เอาไว้ติดตามข่าวสาว โชคดีแล้วที่มี ไม่งั้นถ้าต้องเอาเรือออกไปไกลๆ แล้วฝนตกหนักขึ้นมา ถึงตอนนั้นคงเป็นอันตรายต่อทุกคน เพราะใช่ว่าภูมิปัญญาในการดูฟ้าฝนของชาวบ้านจะใช้ได้เสมอไป

“แล้วลุงบอกหรือเปล่าครับว่าให้คุณอยู่กับใคร” ผมถามแล้วมองน้องลมด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ทำแผลเสร็จอีกฝ่ายยังไม่ยอมเอาหน้าออกจากอกผู้เป็นพ่อเลย

“เห็นว่าจะให้ผมอยู่ที่บ้านหลังนี้นะครับ ท่านบอกว่ามีแค่ที่นี่ที่ว่าง เพราะบ้านของน้าผู้หญิงที่ชื่อต้อยคงต้องให้ปลาไปอยู่”

“ใครบอกจะให้อยู่ไม่ทราบ...”

เอาว่ะ...เจ้าของบ้านมา

ผมขยับไปชิดภามที่นั่งเงียบเหมือนไร้ตัวตนอีกนิด เพราะคาดว่าในไม่ช้าอาจเกิดศึก เพราะตอนนี้ไม้เดินถือถาดอาหารเข้ามาด้านในแล้ว ร่างโปร่งเหลือบตามองคุณไฟแบบไม่พอใจนิดหน่อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งแล้วดันถาดไปให้สองพ่อลูก

“กินแล้วไปหาที่นอนที่อื่น”

โอ้โห...ใจร้ายโคตรๆ

“หน้าตาก็ดี ทำไมถึงได้ใจร้ายนัก” คุณพ่อคนเก่งเถียงทันควัน คล้ายในดวงตาปรากฎวี่แววของความถูกอกถูกใจซึ่งปิดไม่มิด ผมมองเห็นเพื่อนตัวขาวผิดวิสัยชาวเกาะทำหน้าตึง ขณะเงยหน้ามองคนพูดด้วยความหัวร้อน

“หุบปากแล้วกินๆ ไปซะ”

ผมกะพริบตาปริบๆ มองภาพตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะทนไม่ไหวจนต้องหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างกายเบาๆ

“ระหว่างสองคนนั้นต้องมีอะไรสักอย่างแน่เลย”

“ผมได้ยินคนพูด...” ภามเกริ่นเบาๆ ดวงตาวาววับเมื่อเห็นท่าทางอยากเสือกจนเกินงามของผม แต่นาทีนี้อยากรู้จนไม่สนใจอะไรแล้ว “เพื่อนคุณเป็นคนผายปอดและช่วยชีวิตผู้ชายคนนั้น”

ได้ยินดังนั้นผมเลยร้องอ๋อในใจเบาๆ แต่ก็ยังงงไม่หาย ช่วยชีวิตเขาไว้แล้วทำไมต้องตั้งแง่ไม่ชอบขี้หน้าเสียชัดเจน หรือจะมีอะไรยิ่งกว่านั้นกันนะ แล้วก็อีกเรื่อง...

“ทำไมนายไม่เรียกชื่อใครเลย” เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ว่าไม่เคยได้ยินภามเรียกชื่อใครเลยสักคน แม้แต่ชื่อผมผมยังไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ

“ผมจำไม่ได้” เขาตอบง่ายๆ “หรือบางทีก็ไม่คิดจะจำ”

“ฉันอยู่กรณีไหนเนี่ย” ผมพูดติดตลก เกือบจะหัวเราะออกมาแล้วหากไม่ได้ยินคำตอบแสนจริงจัง

“ไม่ใช่ทั้งสองกรณี”

ในขณะที่บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างผมกับภามกำลังจะเกิดขึ้น บรรยากาศระหว่างคนอีกคู่ก็ถึงขีดสุดของอารมณ์เข้าพอดิบพอดี เมื่อเพื่อนคนใหม่ของผมประกาศก้องด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

“ยังไงกูก็ไม่ให้มึงอยู่ที่นี่เด็ดขาด!”

“เป็นเด็กเป็นเล็ก พูดจากับผู้ใหญ่ดีๆ หน่อย” คุณไฟเตือนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยน ไม่เหมือนคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อันตรายมาเลยสักนิด แล้วก็ไม่ได้ดูหัวเสียที่ถูกเด็กพูดจาไม่ดีใส่ด้วย

“ทำไมจะพูดไม่ได้ เป็นพ่อก็ไม่ใช่”

“แต่อาจจะได้เป็นอย่างอื่นนะ”

“มึง!”

“ที่โกรธเพราะฉันจูบนายสินะ”

เดี๋ยวๆ มีจูบด้วยเหรอวะ

“หุบปากเดี๋ยวนี้!” ไม้ชี้หน้าคุณไฟ ใบหน้าบูดบึ้งแดงก่ำ ถ้าไม่เขินมากก็คงโกรธสุดๆ

“คุณ…” แรงสะกิดจากคนด้านข้างทำให้ผมรู้สึกตัว

“อะไรเหรอ”

หนังกำลังสนุกเลย สงสัยทั้งคู่คงลืมไปแล้วว่ามีผมกับภามนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วย

“เด็กนิ่งเกินไป” คำพูดสั้นๆ แต่แฝงความจริงจังเอาไว้หลายส่วนของภามทำให้ผมเครียดตามไปด้วย เมื่อหันไปมองถึงได้พบว่าน้องลมที่อยู่ในอ้อมกอดของคุณพ่อดูนิ่งผิดปกติจริงๆ

“คุณไฟครับ ส่งน้องมาให้ผมที” ผมหันไปหาคุณไฟแล้วพูดโดยไม่อ้อมค้อม ทำเอาการสนทนาของทั้งคู่หยุดชะงักตามไปด้วย เขาก้มลงมองลูกชายตัวเองแล้วส่งน้องมาให้ผมแต่โดยดี ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะยังไม่ได้หลับไป เพราะเขาสะดุ้งเหมือนหวาดกลัว หากเมื่อหันมาเห็นผมที่ส่งยิ้มให้ก็ยอมโผเข้ามากอดไว้แต่โดยดี

โชคดีที่ตอนทำแผลตีสนิทไว้แล้ว...

“เจ็บแผลอยู่ไหมเด็กดี” ระหว่างที่กำลังสำรวจความปกติของร่างกายเล็กๆ ในอ้อมกอด ผมชวนน้องคุยอย่างเป็นกันเองเพื่อไม่ให้เขากลัว

“ไม่ครับ” น้องตอบสั้นๆ แล้วซุกหน้าเข้าหาอกผม

“น้องไม่สบายครับ ไข้ขึ้น” ผมเงยหน้าบอกคุณไฟที่นั่งหน้าเครียดอยู่ ข้างๆ กันคือไม้ที่มองเด็กตัวเล็กในอ้อมแขนผมอย่างเป็นห่วงเป็นใยไม่แพ้กัน

“ผมจะไปเอาผ้ากับขันน้ำมาให้” เจ้าของบ้านเอ่ยแล้วลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่ต้องรอให้ผมร้องขอ คงต้องบอกว่ายังดีที่เกลียดพ่อเด็กแค่คนเดียว

ผมวางน้องลงบนฟูกนอนของไม้ซึ่งภามเป็นคนหันไปจัดการให้ เด็กชายตัวเล็กทำท่าทางหวาดกลัวเมื่อถูกปล่อยออกจากอ้อมแขน แต่เมื่อคุณไฟขยับไปนั่งลูบหัวอยู่ข้างๆ แล้วเขาก็ยอมสงบและหลับตาลง

“ผมว่าอาการของน้องไม่ใช่ธรรมดาแล้วนะครับ” เมื่อมั่นใจว่าลมหลับไปแล้วผมเลยเงยหน้ามองคุณไฟอย่างตรงไปตรงมา “ผมเจอเด็กมาหลายประเภท และมั่นใจได้ว่าอาการที่ลมเป็นอยู่ไม่ใช่อาการของเด็กมีความสุขทั่วไปแน่ๆ เขากลัวทุกคนที่เข้าใกล้นอกจากคนคุ้นเคย อย่าหาว่ากล่าวหาเพิ่มเลยนะ...แต่ผมคิดว่าคุณพี่เลี้ยงคนนั้นน่าจะทำอะไรนอกเหนือหน้าที่แน่ๆ”

“ผมจะจัดการให้เรียบร้อย”

เมื่อได้ยินแบบนั้นผมเลยพยักหน้าแล้วหันมาสนใจคนที่กำลังหลับแทน อันที่จริงเรื่องภายในครอบครัวของเขาผมไม่อยากจะยุ่งนักอยู่แล้ว แต่อาการของเด็กไม่ใช่เรื่องที่จะละเลยได้ โดยเฉพาะสำหรับหมออย่างผม

โชคดีที่พวกชาวบ้านเคยไปซื้อยาน้ำสำหรับเด็กมาเก็บไว้ตามคำแนะนำของแฟนนาย น้องลมเลยมียาให้กินหลังอาหาร ผมจับน้องเช็ดตัวพร้อมบอกวิธีการดูแลอย่างถูกต้องให้คุณไฟกับไม้รู้ เสร็จแล้วจึงดึงแขนภามให้เดินตามออกมาด้านนอก เหตุผลแรกที่ไม่อยู่ต่อเป็นเพราะผมอยากให้พวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง เผื่อไม้โวยวายไล่คนพ่อออกมาด้านนอกผมจะได้ไม่มีส่วนรู้เห็น เหตุผลที่สองคือผมเริ่มหิวแล้ว และเหตุผลสุดท้าย...ผมสงสารคนข้างๆ กลัวเหลือเกินว่าน้ำลายเขาจะบูด

“ไม่มีใครแล้ว” ผมเอาไหล่แซะแขนภามเป็นเชิงแซว “ทีนี้ก็พูดได้แล้วมั้ง”

“ผมไม่รู้จะพูดอะไร”

ผมเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาเป็นพวกไม่ชอบพูด ถึงจะพูดมากและกวนตีนจนน่าเตะเวลาเราอยู่ด้วยกันสองคน แต่เมื่อไหร่ที่มีคนอื่นอยู่ด้วยภามจะกลายเป็นหุ่นยนต์ไร้ปากไปในทันที เอาเถอะ...ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไรเมื่อต้องทำหน้าที่เป็นปากแทนเขาอยู่แล้ว

เราเดินกันไปเรื่อยๆ จวบจนถึงบ้านน้าต้อย เจ้าตาลวิ่งมาหาผมแล้วบอกว่าเอาข้าวไปวางไว้หน้าบ้านใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว หลังจากพูดคุยกับเด็กๆ อีกสองสามประโยคผมเลยขอกลับไปพักผ่อนเพราะเริ่มเหนื่อยจากการเดินทาง ใช้เวลาไม่นานนักผมกับภามก็กลับมาถึงบ้านใหม่ซึ่งจะได้นอนจริงๆ เป็นคืนแรกในที่สุด

สภาพข้าวของซึ่งถูกจัดเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนเราขึ้นเขาทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหลายส่วน ลองคิดว่าถ้ากลับมาเหนื่อยๆ แล้วต้องจัดของต่อคงหมดเรี่ยวหมดแรงไม่เป็นอันทำอะไร ผมเดินไปคว้าข้าวของเตรียมอาบน้ำ เมื่อสำรวจอะไรต่อมิอะไรเรียบร้อยแล้วถึงเดินออกไปพร้อมอุปกรณ์ในมือ และไม่ต้องสงสัย...เราอาบน้ำพร้อมกันเหมือนเคย

“คุณทำหน้าเหมือนสงสัยอะไร” จู่ๆ ภามก็พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยระหว่างที่กำลังล้างฟองสบู่ออกจากตัว ผมถอนหายใจเพราะรู้ตัวดีว่ากำลังทำหน้าแบบนั้นอยู่จริงๆ

“ฉันสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงชินกับอะไรแบบนี้ได้เร็วนัก”

“ดีแล้ว”

ดีก็ดี...

พอได้มาอยู่บ้านที่เป็นบ้านของตัวเองจริงๆ แล้ว ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันผ่อนคลายมากกว่าปกติ แม้ตอนอยู่บ้านน้าต้อยเราจะได้อยู่ในห้องส่วนตัวด้วยกัน แต่มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนี้ บางทีอาจเป็นเพราะเราไม่ต้องเกรงใจเจ้าของบ้านที่ให้อยู่ฟรีๆ แล้ว

ผมดึงผ้าที่ใช้ขยี้หัวจนแห้งออก ก่อนจะหยิบสร้อยคอที่ใส่ติดตัวจนชินขึ้นมาสวมไว้ตามปกติ มันเป็นความเคยชินที่เวลาอาบน้ำผมมักจะถอดสร้อยวางไว้ด้านนอกเนื่องจากไม่อยากให้มันโดนน้ำมาก เพราะถึงจะไม่รู้วิธีการดูแลที่ถูกต้อง แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะพยายามเก็บรักษาเอาไว้ให้ที่สุดเท่าที่พอจะทำได้

“อ่านว่าอะไรกันแน่” แทบทุกครั้งหลังอาบน้ำและสวมสร้อยเรียบร้อยแล้ว ผมมักจะหยิบแหวนที่ห้อยไว้กับสร้อยขึ้นมามองอยู่เสมอ ความสงสัยที่มีต่อมันคงไม่มีวันจางหายไปหากยังไม่ได้รับคำตอบเสียที ตัวอักษรประหลาดที่ไม่เคยพบเห็น...ขนาดลองขี้โกงโดยการใช้กูเกิลยังไม่รู้เลยว่าหมายถึงอะไร

บางทีผมอาจไม่มีวันรู้คำตอบ...จนกว่าจะได้เจอกับเจ้าของมัน

“ลองส่งเมลไปดีไหมนะ” ไม่สิ...จำได้ว่าเคยส่งไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมเป็นห่วงเรื่องอาการของเขาเลยส่งเมลไปเผื่อจะได้รับคำตอบ อย่างน้อยแค่บอกว่าสบายดีก็พอ แต่รอจนผ่านไปนานนับปีก็ยังไม่ได้อะไรตอบกลับมา ผมเลยคิดว่าบางทีเขาอาจท่องเที่ยวไปทั่วจนลืมรหัสเข้าเมลไปแล้ว

เอาเถอะ...ถ้าเที่ยวไปทั่วจริงๆ สักวันอาจได้เจอกันโดยบังเอิญก็ได้

“คุณทำอะไร” คนที่นั่งเงียบอยู่ด้านหลังจนผมแทบลืมไปแล้วว่ามีตัวตนทักขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก แต่ทำเอาผมสะดุ้งจนเผลอปล่อยมือออกจากแหวน โชคดีที่คล้องคอไว้แล้วมันเลยไม่หล่นกระทบพื้น

แค่ตอนเจอเขาแล้วแหวนหล่นเป็นครั้งแรกนับจากได้มา ผมก็เงิบมากพออยู่แล้ว กว่าจะมั่นใจว่าไม่มีรอยถลอกต้องนั่งลูบอยู่ตั้งนาน ขืนหล่นอีกรอบแล้วมีรอยขึ้นมาคงใจสลายแน่ ผมขี้หวงมากนะบอกเลย โดยเฉพาะกับของแพงๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว

“ใส่สร้อยอยู่” ผมตอบตามตรงแล้วคลานเข้าไปในมุ้ง น่าแปลกที่วันนี้ภามเข้ามารออยู่ด้านในก่อน ปกติกว่าเขาจะเข้ามาต้องนั่งเช็คอะไรในกล้องอยู่ตั้งนานสองนาน

“สร้อยที่คุณทำหล่นบนรถไฟ?”

“ใช่”

“ผมขอดูหน่อยได้ไหม” ภามถามเสียงเรียบ ตาจ้องสร้อยที่ผมใส่ไว้ด้านในเสื้อเขม็ง ตอนแรกก็เกือบถอดออกไปให้ดูแล้วแหละ แต่พอเห็นหน้าตาจดจ่อเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่างของเขา ผมเลยเปลี่ยนใจฉีกยิ้มให้แทน

“ไม่ให้”

เพียงเท่านั้นดวงตาว่างเปล่าก็เลื่อนขึ้นมามองหน้าผมในทันที ครู่หนึ่งผมรู้สึกเหมือนเห็นดวงตาของเขาดูดุขึ้น มองไปแล้วคล้ายๆ กับพี่ชายของเจ้าตัวที่ผมเคยได้เจออยู่ไม่กี่ครั้ง รายนั้นชอบทำหน้าดุตลอดเวลาแบบนี้เป๊ะเลย แต่กับภามมันกลับปรากฎขึ้นเพียงแค่วูบเดียวแล้วจางหายไปไม่เหลือร่องรอย พร้อมกับที่เขากระทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนโดยการ...ล้มตัวลงนอนหันหลังให้

เดี๋ยวๆ คิดว่าจะพุ่งเข้ามาขู่ทำร้ายร่างกายแล้วฉกออกไปดูเองเสียอีก

“อย่าบอกนะว่างอน” ผมถามทั้งหน้าเหวอ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้รับท่าทีแบบนี้ตอบกลับมา แล้วนั่นอะไร...อะไรคือการขยับตัวหนีออกห่างทั้งที่ยังหันหลังอยู่

เอาจริงดิ...

“อย่าทำตัวเหมือนเด็กน่า” ผมที่นั่งชันเข่าอยู่ใช้เท้าเขี่ยตูดภามเบาๆ แบบไม่เกรงใจ ถือซะว่าสนิทกันแล้วทำอะไรก็ได้ “หันมาเร็ว”

เด็ก...โคตรเด็ก

ให้ตายเหอะ...เป็นหมอเด็กมาตั้งนาน ผมยังไม่เคยโดนเด็กงอนใส่แบบนี้เลยนะ ตอนไว้หนวดมีแต่เด็กกลัว หรือถ้าไม่กลัวก็จะเข้ามาออดอ้อนขอเล่นหนวดดึงหนวดกันสนุกสนาน แต่ไอ้ท่าทีนอนหันหลังงอน เหตุผลเพราะไม่ได้ของที่ต้องการแบบนี้ไม่เคยเจอมาก่อนเลยสักครั้ง

แล้วประเด็นคืออะไรล่ะ....ถ้าไม่ใช่ว่าผมแพ้เด็ก!

“โอเค...ฉันแค่ล้อเล่นน่า” ผมพูดอย่างยอมแพ้ พร้อมทั้งถอดสร้อยมากำไว้ในมือแล้วยื่นไปให้เด็กโข่งตัวเท่ารถถังที่กำลังหมุนตัวหันกลับมาหา ใบหน้าของภามยังคงเหมือนปลาตายไม่เปลี่ยนแปลง หากดวงตาว่างเปล่ากลับวาววับสมใจ

อะ...ไอ้บ้านี่มันแกล้งผม

“คุณนี่เหมือนแมวจริงๆ”

“แมวบ้าอะไร” จากที่เป็นฝ่ายแกล้งกลับกลายเป็นฝ่ายหงุดหงิดเสียเอง เมื่อไอ้บ้าตรงหน้าดันมือผมออกเหมือนไม่อยากดูแหวนแล้ว

“พอเจ้าของไม่สนใจก็เข้ามาคลอเคลีย” เขาพูดหน้าตาเฉยแล้วยื่นมือมาบีบปากที่กำลังจะอ้าด่าของผมไม่ให้พูดต่อ “ขี้อ้อน”

ภาพเหตุการณ์ตอนอยู่บนเขาที่เผลอปล่อยให้อีกฝ่ายเกาคางจนเคลิ้มลอยเข้ามาในหัว คราวนี้ผมอับอายจนหน้าแดงก่ำ ต่อมควบคุมอารมณ์ใกล้ระเบิดเต็มที ขืนยังโดนทำให้ขายหน้ามากไปกว่านี้ ผมต้องโดดกัดคอคนตรงหน้าแน่ๆ

“เงียบไปเลย...แล้วเนี่ยจะดูไม่ดู” ว่าแล้วเขย่ามือเป็นเชิงบอกให้รับไปเสียที ผมเห็นภามยกมุมปากเล็กน้อยเหมือนจะยิ้ม ก่อนเขาจะเลื่อนสายตาไปมองสร้อยที่ผมถือไว้ คงเพราะเผลอทำท่าจะเขวี้ยงใส่คนกวนตีนเมื่อกี้แหวนเลยล่วงออกมาอยู่นอกฝ่ามือ และในวินาทีนั้นเอง...ที่ผมได้เห็นสีหน้าแปลกใจของเขาเป็นครั้งแรก

ภามไม่ได้อ้าปากค้างหรืออะไร แต่เพราะปกติมีสีหน้าเป็นปลาตายไร้อารมณ์ พอเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอย่างการเบิกตาขึ้นแเพียงนิดหน่อยผมเลยสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

ทำไมต้องตกใจ...

“ไม่เอาไปดูเหรอ” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะยื่นสร้อยไปให้ใกล้กว่าเดิม แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่รับไว้แล้ว เขายังเบือนสายตากลับมาจ้องหน้าผม ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเปล่งประกายล้อแสงตะเกียงซึ่งเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้อง ใช้เวลาอยู่นานเกือบนาที กว่าภามจะยื่นมือออกมาดันมือผมกลับ

“ไม่จำเป็นแล้ว”

ไม่จำเป็นอะไร...

แม้ใจนึกอยากถามต่อเพียงใด แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์แปลกๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น ผมจึงเลือกเงียบปากแล้วล้มตัวลงนอนเงียบๆ

ดวงตาว่างเปล่าที่ดูไม่เหมือนเดิมคู่นั้น...ขืนจ้องนอนกว่านี้ต้องเป็นปัญหาแน่









ตอนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ที่เกาะนี้ ผมไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าพวกชาวบ้านจะมองคนนอกยังไง คงต้องบอกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ปฏิบัติตัวดี กระทั่งภามที่ไม่ได้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีนักพวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่ชอบอะไร พวกชาวบ้านไม่ได้รังเกียจคนนอก เห็นได้จากตอนแรกที่พวกผมบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวแล้วตื่นเต้นกันยกใหญ่ ขอเพียงแค่ไม่สร้างปัญหาให้ก็พอ

ในขณะเดียวกัน หากผู้เข้ามาพักอาศัยเป็นพวกที่ปฏิบัติตัวไม่ดี พวกชาวบ้านเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่พวกเขาจะมองอย่างกดดันและไม่พอใจชัดเจน ถ้าเป็นคนปกติคงรู้สึกรู้สาอะไรบ้าง แต่ผมคงต้องบอกว่าเธอคนนี้ไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง...

“คุณไฟคะ ปลาไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นจริงๆ นะคะ ปลาแค่กลัว...” เสียงอ่อนหวานเรียบร้อยของเธอคงทำให้ใครต่อใครเชื่อถือได้ไม่ยาก หากไม่ใช่ว่าไปเผลอเหวี่ยงเรื่องที่นอนกับน้าต้อยเอาไว้น่ะนะ

ตั้งแต่ผมกับภามเดินมาถึงหาด เราได้ยินเสียงของแม่สาวน้อยคนนั้นพูดจ้อไม่หยุดปาก ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นเรื่องที่ทำไว้กับคุณไฟ เธอคงยังไม่รู้ว่าน้องลมเล่าให้เขาฟังหมดแล้วว่าโดนทำอะไรมาบ้าง ขนาดผมที่ไปตรวจอาการน้องตอนเช้ายังตกใจที่ได้ยิน น้องบอกว่าเธอทั้งหยิก ทั้งตี ด่าทอสารพัด พอคุณไฟมาถึงได้เปลี่ยนท่าที

งงใจผู้หญิงคนนี้...ดูละครมากไปไหมเนี่ย

“ไม้!” ผมตะโกนเรียกคนที่กำลังอุ้มน้องลมเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เจ้าตัวหันขวับมามอง พอเห็นว่าเป็นผมเรียกถึงได้ตีหน้าขึงขังเหมือนอยากแสดงออกว่าไม่สนใจน้องแล้วเดินเข้ามาหา ตลกดีเหมือนกัน

“ไงไอ้หมอ” ไม้ว่าแล้วทำท่าจะปล่อยน้องลงพื้น แต่เหมือนจะนึกได้ว่าคนที่กำลังอุ้มเจ็บเท้าอยู่ เขาถึงได้ใช้เท้าลากเก้าอี้มานั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้ววางน้องลมไว้บนตักแทน

“ตอนนี้อากาศเย็นๆ เดี๋ยวฝนก็ตกแล้ว ทำไมเอาน้องออกมาล่ะ” ตอนผมไปตรวจเมื่อเช้าถึงน้องจะอาการดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังต้องกินยาอยู่ อุตส่าห์ย้ำกับทั้งพ่อและเจ้าของบ้านไว้แล้วแท้ๆ ไม่รู้ทำไมยังพาออกมาอีก

“อย่ามาว่าข้านะ ถ้าไม่ใช่เพราะนังผู้หญิงน่ารำคาญนั่นมาป่วนจนเจ้าเด็กนี่หนีพ่อตัวเองมาตามติดข้าแจ ข้าคงไม่เอามันออกมาทำงานด้วยหรอก” เขาพูดเหมือนจะหัวเสียอยู่หน่อยๆ ขณะที่พยายามดึงลูกลิงออกจากตัว

ผมถอนหายใจแล้วมองไปริมหาด เห็นคุณไฟกำลังยืนคุยกับปลาด้วยสีหน้าน่ากลัว นอกจากนั้นในเวลานี้ท้องฟ้ายังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มแล้วด้วย ดูท่าอีกไม่นานฝนคงเทลงมายกใหญ่ พวกชาวบ้านพากันเก็บข้าวเก็บของเดินกลับกันแล้ว เหลืออยู่แค่ไม่กี่คนที่ยังนั่งคุยกันอยู่

“น้องลมครับ” ผมสะกิดไหล่เล็กของคนที่กำลังกอดไม้ไว้แน่น แอบรู้สึกแย่ไม่น้อยเมื่อพบว่าน้องเป็นเด็กพูดน้อยเอามากๆ ทั้งยังชอบทำหน้าเศร้าๆ คงเป็นผลพวงมาจากหลายสิ่ง “ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ไหมหืม...”

“ไม่เป็นไรแล้วครับ” น้องส่ายหน้าดุ๊กดิ๊ก ก่อนจะขยับดวงตากลมโตมองผมทีมองไม้ที สุดท้ายพอผมยื่นมือไปหา น้องถึงได้ผละออกแล้วโผมากอดผมไว้แทน

“โอย...เมื่อยฉิบหาย” คนโผงผางสะบัดแขนตัวเองไปมา คล้ายจะส่งแววตาขอบอกขอบใจให้ผมอยู่ในที “กูอุ้มมาเป็นชั่วโมง กระดูกจะหักอยู่แล้ว จะปล่อยให้นั่งเองก็ไม่ยอมด้วยนะ”

ผมเผลอขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเหมือนน้องลมกอดตัวเองไว้แน่นขึ้น อันที่จริงไม้เป็นคนตรงไปตรงมา ที่เขาพูดคงเพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ อีกฝ่ายยิ่งตัวเล็กอยู่แล้วด้วย ต้องมาอุ้มเด็กอายุเท่านี้นานๆ คงไม่แปลกหากจะเมื่อย แต่ไม่รู้ว่าน้องจะเข้าใจเหมือนที่ผมเข้าใจหรือเปล่า

กันเอาไว้ก่อนดีกว่า...

“ภาม” ผมหันไปด้านหาคนด้านข้างที่ทำตัวเป็นหุ่นเหมือนเคย เขายกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นผมก้มลงมองน้อง

“มานี่”

เดี๋ยวๆ เรียกแบบนั้นเด็กจะอยากไปหาไหมเล่า

“น้องลม” แผ่นหลังเล็กสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่เด็กน้อยเข้าใจง่ายก็ยังยอมแงะตัวเองออกมาแล้วมองไปทางภามแบบหวาดๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนหน้าตายอย่างเขาไม่มีทางยิ้มให้เด็กอยู่แล้ว มีเพียงแค่มือสองข้างที่ยื่นออกมารอรับเท่านั้น และแม้น้องลมจะมองอย่างหวาดระแวงนานเพียงใด เขาก็ยังไม่ขยับมือไปไหน

แล้วภามก็ทำให้ผมแปลกใจ...ด้วยคำพูดที่คล้ายจะเข้าและไม่เข้ากับสถานการณ์อยู่ในที

“ไม่เป็นไร”

เพียงแค่ถ้อยคำนั้น เด็กน้อยที่หวาดกลัวคนนอกก็โผเข้าไปหาคนพูดแทบจะทันที ผมได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นขณะที่น้องซุกหน้าลงกับอกภาม เขาไม่ได้ทำอะไรนอกไปจากกอดแผ่นหลังเล็กไว้ ไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า เพียงแค่จ้องมองมาที่ผมแล้วพยักหน้าให้เล็กน้อย

“ไม้ มาด้วยกันหน่อย” ผมหันไปพูดกับไม้เมื่อได้สติ ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเดินนำเขาให้ออกห่างจากจุดที่ภามนั่งกอดน้องลมอยู่

“มีอะไรวะไอ้หมอ” คนด้านหลังเอ่ยรั้งผมไว้เมื่อเราเดินมาอยู่ริมหาด ห่างจากจุดเดิมพอควรแล้ว “มึงจะพูดเรื่องเด็กนั่นหรือเปล่า”

“ใช่”

“ถ้าจะแนะนำอะไรก็เอาไปบอกพ่อมันไม่ดีกว่าหรือวะ มาบอกข้าแล้วได้อะไร” ไม้เกาหัวแกรกๆ ท่าทางหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อพูดถึงพ่อน้องลม

“ตอนไปกิินข้าวผมได้ยินน้าต้อยบอกว่าเขาจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะมั่นใจว่าพายุฝนสงบไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกินเวลาหลายวันแน่ นายต้องอยู่กับน้องลมอีกหลายวัน รับรู้เอาไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน”

ไม้ชักสีหน้า บ่งบอกชัดเจนว่าเขาเองก็รู้เรื่องที่คุณไฟต้องอยู่ต่อ แต่ดูท่าคงไม่อยากต้อนรับนัก ถึงได้แสดงท่าทีแบบนี้ออกมา

“นี่เรื่องของน้องลม ไม่ใช่คุณไฟ” ผมรีบย้ำ ไม่อยากให้เขาโมโหจนไม่ยอมฟังต่อ โชคดีที่พอได้ยินชื่อน้องลมแล้วไม้เลยทำสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าคงเอ็นดูเด็กไม่ต่างกัน

“แล้วมีอะไรล่ะ”

“ไม้ก็ได้ยินว่าน้องโดนทำร้ายมา ผมคิดว่าที่น้องไม่ค่อยพูดและพยายามเกาะติดคนอื่นตลอดเป็นเพราะกลัว”

“เพราะแบบนั้นเลยไม่ยอมเข้าหาคนที่ไม่ไว้ใจสินะ”

“ใช่ และที่สำคัญคืออาการแบบนั้นมันน่าเป็นห่วง น้องอาจจะกลายเป็นเด็กเก็บตัวและส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ ทางที่ดีอย่าพูดจาอะไรให้น้องรู้สึกแย่ดีกว่า ฉันรู้ว่านายแค่พูดแบบตรงไปตรงมาไม่คิดร้าย แต่เด็กเขาไม่ได้เข้าใจด้วยเสมอไปหรอกนะ”

อาการของน้องลมไม่ใช่เพียงแค่อาการขั้นต้น แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นหนักหนา หากปล่อยไว้นานกว่านี้ผมแน่ใจว่าน้องต้องมีปัญหาเกี่ยวกับจิตใจแน่นอน ถึงเวลานั้นคนที่รู้สึกผิดคงเป็นทุกคนที่อยู่รอบข้างเขา ไม่เว้นแม้แต่ตัวไม้เอง

“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” คนฟังหน้าซีด ปากเม้มจนเป็นเส้นตรง แต่ผมกลับยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของเขา ลองแบบนี้แสดงว่าคงเป็นห่วงน้องมากจริงๆ

“อย่าเพิ่งเครียดเลย แค่พูดกับน้องดีๆ พยายามอย่าให้กลัวหรือพูดอะไรกระทบจิตใจเขาก็พอ”

“เข้าใจแล้ว” ไม้พยักหน้าหงึกหงัก

เราพากันเดินกลับไปหาภามที่อุ้มน้องลมอยู่ เขากะพริบตาปริบๆ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่คิ้วกลับขมวดเล็กน้อยยามมองมาที่ผม

อะไร...มองแบบนั้นคืออะไร

“โทษทีๆ ข้าลืมไปว่าไม่ควรแตะตัวเมียเอ็ง” ไม้รีบยกมือที่แตะไหล่ผมอยู่ออกแล้วยิ้มแห้ง ซึ่งภามก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ในทางกลับกัน...เขาพยักหน้า ดูพออกพอใจจนยอมคลายคิ้วที่ขมวดออก

“ดี”

เดี๋ยวๆ ดีอะไรของมึง!


—————————-


TALK : ความสงบสุขยังคงอยู่ค่ะ ปรบมือต้อนรับตัวประกอบ ในส่วนของคุณไฟน้อมลมกับไม้ที่ชื่อคล้องกันนั้น คาดว่าจะเป็นคู่ที่จะเขียนเป็นตอนสองตอนจบในภายหลังค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 18:21:29 โดย CHESS. »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
« ตอบ #79 เมื่อ: 24-06-2018 17:30:13 »





ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #80 เมื่อ24-06-2018 17:55:56 »

โอยยยยยย เขินจนหน้าจะไหม้เลยค่ะ คู่ใหม่ก็ดีงาม คู่น้องภามก็เริ่ดไม่หยุด เขินๆๆๆๆ รอนะคะ สู้ๆค่าา :-[

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #81 เมื่อ24-06-2018 17:57:54 »

เมีย?!!!

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #82 เมื่อ24-06-2018 18:48:43 »

นี่กำลังงงว่า ไม้คือใคร อ่อคนที่ช่วยคุณไฟนี่เอง ไม้นายจะมาเป็นคู่ใหม่ของเรื่องนี้ โอ้ยยยยดีใจ อิอิอิอิ 


ภามเป็นคนให้สร้อยคอหมอเจไดแน่ๆ 

ออฟไลน์ aeecd

  • :: 8018 ::
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #83 เมื่อ24-06-2018 19:14:29 »

โอ้วววว คู่ใหม่ๆ :hao7:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #84 เมื่อ24-06-2018 22:48:42 »

ใจก็ยังอยากอ่านภาม กับ หมอเจได แล้วทำไม ไม้กับคุณไฟก็น่าสนใจไม่น้อย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #85 เมื่อ25-06-2018 00:44:23 »

ครอบครัวใหม่ที่กำลังจะเริ่ม ไฟ ไม้ ลม เข้ากันดีแท้หนอ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #86 เมื่อ26-06-2018 08:34:54 »

 :L1:

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #87 เมื่อ26-06-2018 14:20:23 »

55555555555555

ดี



ออฟไลน์ aommyga40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #88 เมื่อ26-06-2018 14:25:47 »

 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ aommyga40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #89 เมื่อ29-06-2018 18:18:06 »

 :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด