F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518  (อ่าน 69508 ครั้ง)

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






#เป็นที่หนึ่ง



Open ♥ | 10   M a r c h   2018

Close ♥ | --------------------------

keep going ;}




____________________________________________

ถ้าผมเป็นดาวศุกร์

เขาก็คงเป็นโลกใบนี้

เป็นที่หนึ่ง, 2018

____________________________________________









 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2018 15:57:24 โดย miralchs »

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: m y F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง
«ตอบ #1 เมื่อ10-03-2018 19:12:36 »

p r o l o g u e ♥



             ผมชื่อ ‘ที่หนึ่ง’

            ชื่อจริงว่า ‘เป็นที่หนึ่ง’

            ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดผมเป็นอันดับแรกเสมอ

            เป็นเด็กสายวิชาการ สายกิจกรรม เด่นในทุกวิชา จนได้รับความเอ็นดูจากคุณครู ได้รับความสนใจจากเพื่อนๆ

            ไม่ได้เป็นคนที่ฉลาดจากพรสวรรค์ แต่มั่นใจว่าความขยันและความตั้งใจของผมมีมากพอที่จะสู้คนพวกนั้นแน่นอน

            ผมมั่นใจมาตลอด จนกระทั่ง…
           

            ‘เราเฟิร์สนะ’

            ‘...’

            ‘เพิ่งย้ายมา ยินดีที่ได้รู้จัก’

            รอยยิ้มของคนหน้าชั้นทำให้ผมนิ่งไป

            รวมถึงดวงตาสีนิลที่เป็นประกายคู่นั้น

            นับตั้งแต่วันที่ผมได้รู้จักเขาจนถึงวันนี้ ทำให้ผมรู้ว่า

            หากความมั่นใจของผมมีเต็มร้อย

            เขาก็จะนำหน้าผมไปหนึ่งก้าวเสมอ...

           
            ‘เฟิร์สที่แปลว่าที่หนึ่งเหรอ’

            ‘ใช่แล้ว’

            เพื่อนๆในห้องต่างให้ความสนใจกับนักเรียนใหม่ที่เข้ามากลางเทอม

            เขาเป็นจุดเด่น ท่ามกลางวงล้อม เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นมาเป็นระลอกทำให้ผมแอบเงยหน้าขึ้นไปมอง

            กับจังหวะที่เขาคนนั้นหันมาสบตาพอดี

            ‘อย่างนี้ก็ชื่อเหมือนที่หนึ่งเลยดิ หัวหน้าห้องเราอะ’

            ‘...’

            เขาไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนคนนั้นกลับไป

            แต่ยิ้มให้ผมที่อยู่ห่างไกลจากจุดนั้น

           

            ถ้าผมเป็นดาวศุกร์

            เขาก็คงเป็นโลกใบนี้     

 

            ‘ครูจะคัดคนไปแข่งขันวิชาการ’

            เสียงซ่อกแซ่กจอแจเริ่มเงียบลงเมื่อคุณครูประจำวิชาเคมีเอ่ยขึ้น

            ‘แข่งคนเดียว และครูหวังว่าห้องนี้จะส่งตัวแทนไปคัดกับห้องอื่นๆ’

            ‘ที่หนึ่งไงครับ ไม่ต้องคัดเลย ได้ชัวร์’

            เสียงเพื่อนคนหนึ่งเสนอขึ้น ก่อนที่คนอื่นจะพยักหน้าเห็นด้วย ผมเงยหน้ามองคุณครูที่อยู่หน้าชั้น แล้วก้มกลับไปอ่านหนังสือเงียบๆ

            มีคนรักก็ต้องมีคนชัง ผมเชื่ออย่างนั้น

            และคุณครูที่อาจรู้สึกกับผมเป็นอย่างหลัง

            เป็นเรื่องราวที่ไม่อยากใส่ใจเท่าไหร่ แต่อดสงสัยไม่ได้ทุกทีว่าทำไมเหตุการณ์แค่วันเดียวถึงส่งผลให้มาเป็นความรู้สึกถึงทุกวันนี้

            ‘ไม่มีคนอื่นบ้างหรือไง จะขึ้นม.5 กันแล้วจะเข้ามหา’ลัยก็ต้องมีผลงานกันบ้าง ไม่ใช่ป้อนให้แค่คนๆเดียว’

            ทั้งห้องเงียบ จนกระทั่งมีสมาชิกคนหนึ่งยกมือขึ้น

            ‘ผมขอไปคัดครับ’ เสียงทุ้มเอ่ยกับคุณครู

            ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

            คนที่ชื่อความหมายเดียวกับผมนั่นแหละ

            เสียงฮือฮาดังขึ้น ผมได้ยินเสียงกริ๊ดจากแก๊งค์ผู้หญิงจากทางด้านหลังพร้อมทั้งกับเสียงปรบมือเกรียวกราวของผู้ชาย

            ‘เด็กใหม่งั้นเหรอ ชื่ออะไรล่ะเรา’

            ‘เฟิร์สครับ’

            ‘งั้นก็ดี เปลี่ยนคนซะบ้าง หลังเลิกเรียนไปพบครูที่ห้องหมวดวิทย์นะ’

            ‘แต่ครูครับ ผมขออย่างหนึ่ง’

            ทันใดนั้นดวงตาคมก็หันมาสบตากับผม

            ‘ผมขอให้ที่หนึ่งไปคัดด้วย’

 

           การประกาศสงครามระหว่างเราครั้งแรก

           กับสายตามุ่งมั่น ที่ผมไม่เคยลืม

 

 

            เวลาบ่ายสามตรง ผมเก็บของใส่กระเป๋า รวบปึกชิ้นงานหนาที่เป็นหน้าที่ของหัวหน้าต้องเอาไปส่ง ลูกแพรเสนอเข้ามาช่วย แต่ปฏิเสธไป เพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทต้องรีบไปเรียนวันนี้

            จะบอกว่าเรียนเก่งแล้วเพื่อนน้อยเหมือนในนิยายหรือในหนังก็คงไม่ใช่ ผมมีเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่เหมือนเด็กมัธยมทั่วไป มีอะไรก็ปรึกษากันได้ตลอด แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยพูดทำให้ไม่ได้สนิทใจกับคนทุกคน

            แดดเวลาบ่ายสามเริ่มอ่อนลง เมฆฝนตั้งท่าครึ้ม

            ผมคงจะลงมาจากอาคารเร็วกว่านี้ ถ้าไม่มีเสียงเรียกไว้ก่อน

            ‘ที่หนึ่ง!’

            เสียงที่จำได้แม่นขึ้นใจ

            ในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนตรงหน้า

            นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยืนใกล้กัน ทำให้รู้ว่าผมสูงแค่เพียงเลยไหล่เขามาคืบเดียวเท่านั้น

            ‘ไม่ไปหาครูทิพย์ที่ห้องวิทย์เหรอ ที่จะคัดไปแข่งเคมี’

            ผมไม่ค่อยคุยกับใคร

            โดยเฉพาะกับเพื่อนใหม่ ก็ยิ่งไม่อยากคุย

            ไม่อยากเงยหน้าสบตาคู่นั้น

            ‘เราต้องไปส่งงาน ขอตัวก่อนนะ’ ผมรีบก้าวเท้าหนี แต่ก็ไม่ทัน

            คนตัวสูงเอื้อมมือมาคว้าแขนซ้ายไว้ ผมตกใจจนรีบสะบัดออก ทำให้ปึกกระดาษหล่นกระจายเต็มพื้นทันที

            ‘เห้ยเราขอโทษ เราไม่คิดว่าที่หนึ่งจะตกใจ’ เขากุลีกุจอเข้ามาช่วยเก็บ ใบหน้าเสียอย่างปิดไม่มิดพร้อมกับแววตาที่รู้สึกผิด

            ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

            แต่สุดท้ายผมก็พูดออกไปได้แค่ประโยคเดียว

            ‘ไม่เป็นไร’

            นั่นเป็น first impression ที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย

 

            ถึงวันคัดเลือก

            เพราะเป็นการแข่งขันระดับประเทศ ทางโรงเรียนก็ค่อนข้างจะจริงจัง

            แต่เป็นความรู้สึกเฉยๆสำหรับคนที่แข่งมาแทบจะทุกสนาม

            ผมเตรียมตัวมานิดหน่อย เพราะคิดว่าคงไมได้เป็นความรู้ที่นอกเหนือจากที่อ่านมาตลอด และวิชาเคมีก็เป็นวิชาที่ผมถนัดในระดับหนึ่ง

            คุณครูประกาศกติกาการคัดเลือกออกมาซ้ำๆ จนผมจำได้ขึ้นใจ

            รอบแรกเป็นข้อกา รอบสองเป็นข้อเขียน รอบสุดท้ายยกมือตอบ และจะคัดออกเรื่อยๆทุกรอบ

            ถึงเวลาเข้าห้อง หลายสายตามองมาที่ผมด้วยความชินเพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องเจอ แต่กลับจับจ้องคนข้างหลังผมด้วยความสนใจ

            เพราะบุคลิก รวมถึงหน้าตาทำให้ไม่สงสัยเลยที่กลายเป็นบุคคลน่าสนใจ

            ผมไปนั่งประจำที่

            เริ่มทำข้อสอบไปเรื่อยๆจนหมดเวลา

            แน่นอนว่าผมเข้ารอบสอง

            เพื่อนร่วมห้องผมอีกคนก็เช่นกัน..

 

            รอบข้อเขียนก็ไม่ยากเท่าไหร่ แต่คนก็พลาดไปเยอะพอสมควร

            และเหลือในรอบสุดท้ายเพียงสองคน

            คือผม กับเฟิร์ส

            หวนนึกไปถึงสายตามุ่งมั่นในวันนั้น ทำให้ผมอดประหม่าไม่ได้

            ได้เวลาเริ่มรอบสุดท้าย

            อีกฝ่ายหันมายิ้ม ชูกำปั้นให้ขยับปากเป็นคำพูดสั้นๆว่า

            ตั้งใจนะ

            นั่นทำให้ผมไม่มีสมาธิเลย

 

 

            คำถามข้อสุดท้ายกับคะแนนที่เท่ากัน

            เป็นการแข่งขันที่สูสีจนทำให้บรรยากาศในห้องกดดันไปหมด

            แต่คนข้างผมก็ไม่มีท่าทีอย่างนั้น เขายังนั่งล้วงกระเป๋ากางเกงสบายๆ

            ‘คำถามข้อสุดท้ายแล้วนะคะ’

            ‘...’

            ‘คำถามมีอยู่ว่า...’

           

            มันยาก

            ตอนนี้ผ่านไปเกือบหนึ่งนาที แต่ผมยังไม่ได้คำตอบ

            เผลอกัดเล็บที่ติดมาจนเป็นนิสัย

            คำถามข้อสุดท้ายให้เวลาห้านาที

            ยิ่งเวลาเดินถอยหลังลงเรื่อยๆผมยิ่งกดดัน

            ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองคู่แข่ง

            พลันนึกไปนึกคำพูดนั้น ก็ทำให้สมาธิที่มีอยู่กระเจิง

           

            จนถึงหนึ่งนาทีสุดท้าย ผมก็ยังคิดคำตอบไม่ออก

            ‘ใกล้จะหมดเวลาแล้วนะคะ’

            เสียงคุณครูเร่งขึ้นมา

            และเสียงทุ้มที่ดังขึ้นหลังจากนั้น

 

            ‘ขอตอบครับ’

         

 
            นั่นเป็นครั้งแรก
 
            ที่ผมไม่ได้เป็นที่หนึ่งเหมือนชื่อ


           

       












___________________





สวัสดีค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลย ฝากให้กำลังใจที่หนึ่งกับเฟิร์สไปด้วยกันนะคะ : )






[/size]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2018 19:00:14 โดย miralchs »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: m y F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [p r o l o g u e]
«ตอบ #2 เมื่อ27-03-2018 09:11:55 »

 :pig4: :pig2: :L1:

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: m y F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [p r o l o g u e]
«ตอบ #3 เมื่อ27-03-2018 12:04:56 »

น่าสนุก   :katai2-1:

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r    o n e   ♥

เป็นคนแรก




            “หัวหน้าห้อง ม.5 กับตัวแทนห้อง 1 คน ประชุมกันที่ลานวิทย์หลังเลิกแถวนะครับ”

            เสียงกรรมการนักเรียนประกาศผ่านไมโครโฟนท่ามกลางแดดร้อนในช่วงเดือนพฤษภาคม
           
            วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของการก้าวขึ้นสู่ระดับชั้นม.5

            เป็นปีที่ค่อนข้างจะวุ่นวายเลยทีเดียว

            “วันนี้ใครขาดแถวบ้างอะ”

            “จัดแถวดีๆหน่อย เดี๋ยวครูก็เดินมาด่า”

            “เลิกคุยกันสักทีเถ้ออออะ”

            เป็นปกติธรรมดาที่หลังจากปิดเทอมยาวนานกว่าสองเดือนที่ไม่ได้เจอหน้าเพื่อนๆ จะมีเรื่องให้คุยกันมากมาย

            อมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ก่อนจะออกปากบอกให้เพื่อนเข้าแถว

            นับว่ายังเป็นเรื่องที่ดีที่เพื่อนยังคอยฟังหัวหน้าห้องอยู่เสมอ

            “สรุปใครยังไม่มาโรงเรียนวะ”

            เต้ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มผมพูดขึ้น พร้อมกับชะเง้อมองไปหลังแถว แล้วขีดเครื่องหมายถูกลงใบเช็คชื่อ
           
            ผมช่วยมองไปทางฝั่งแถวผู้หญิง “แป้ง กานต์ ฝ้าย เมย์ มาแล้ว”
           
            “เค เหลือคนเดียว”

            “ใคร”

            “เฟิร์ส”

            ผมเงียบไป

            วันแรกก็มาสาย เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

            “เช็คขาดเลยป้ะ”

            “รอเคารพธงชาติก่อนแล้วกัน”

            “ใจดีเหลือเกินนะครับคุณหัวหน้า”

            ผมหัวเราะ ก่อนจะเดินกลับไปอยู่ที่ตัวเอง

 

            “วันนี้ท้องฟ้าสดใส เป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก คุณพ่อผอ.ดีใจเป็นอย่างยิ่ง...”

            เป็นธรรมเนียมแทบจะทุกโรงเรียนของการเปิดเรียนที่จะต้องมีผู้อำนวยการหรือคุณครูขึ้นไปอารัมภบท

            และแน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่ห้าหรือสิบนาที

            “ไอ้เฟิร์สมายังวะ” เต้ตะโกนถามเพื่อนหลัง

            “โดดแล้วล่ะ”

            ฉลาดไม่น้อยที่ไม่มานั่งตากแดดร้อนระอุแบบนี้

             “ขาดวันแรกน่าจะลบสิบคะแนน”

            “ละใครจะไปประชุมกับหัวหน้า” เกด รองหัวหน้าห้องถามขึ้น “เราต้องไปหาครูอนงค์”

            ส่วนมากแล้วถ้ามีนัดประชุมกับห้องอื่นๆคนที่จะไปกับผมก็จะเป็นเกดไม่ก็เต้

            “ส่งใบเช็คว่ะเพื่อน”

            “เออ ไม่เป็นไร ไปคนเดียวได้” ผมปากเหงื่อที่ไหลออกมาตามไรผม ภาวนาในใจให้ผู้อำนวยการพูดให้จบเร็วๆ

            เกดแย้ง “เอาเปรียบตายดิ เฮ้ย ขอสักคน ไปฟังเฉยๆ”

 

            “เดี๋ยวเราไปให้”     
   

 

            เสียงทุ้มที่คุ้นเคยตะโกนมาจากด้านหลัง

            เป็นเสียงที่ทำให้หายใจผิดจังหวะทุกครั้งที่ได้ยิน

            “ไอ้ห่า กว่าจะมา เช็คขาดไปละเนี่ย”

            ผมนิ่งไป เมื่อรู้สึกว่าเจ้าตัวเดินมานั่งใกล้ๆ

            “โหย เฟิร์สหล่อขึ้นอะ”

            “ไปทำไรมาวะ สูงขึ้นอย่างกับเปรต”

            “คนฮอตเว่อร์ น้องม.4 มองจะคอจะเคล็ดแล้วมั้ง ฮ่าๆๆ”

             เสียงจอแจของสมาชิกห้องม.5/12 ที่ครึกครื้นกว่าเดิมเมื่อคนตัวสูงมาถึง

 

            ไม่ต่างจากครั้งแรกเลย

            เคยโดดเด่นยังไง ก็ยังเป็นเช่นเดิมอย่างนั้น

 

            “เลิกแถวแล้วโว้ยย ร้อนเป็นบ้า ผอ.ก็พูดเหมือนไม่เคยพูดมาเป็นสิบปี”

            “ฟังนโยบายใหม่จนเอียน ซ่อมห้องน้ำหญิงให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่าเถอะ”

            เพื่อนในกลุ่มบ่นออกปากกันจนผมแอบขำ ก่อนจะแยกย้ายกับเพื่อนไปประชุมตามที่กรรมการนักเรียนประกาศ

 

            ส่วนอีกคนก็เดินตามผมมาเงียบๆ

            เราไม่ค่อยจะพูดอะไรกันเท่าไหร่

            จากหนึ่งเทอมที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของผมกับอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร เหมือนจะแย่ลงในทุกๆวัน

            ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่กลายเป็นคู่แข่งกันมาตลอด

            ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ผมกับเขาก็เจอหน้ากันบ่อยยิ่งกว่าเพื่อนในกลุ่ม เพราะต้องไปแข่งขันวิชาการด้วยกัน ไปทำกิจกรรม ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนห้อง

            จากเหตุการณ์วันนั้น วันที่ผมไม่ใช่ที่หนึ่งอีกต่อไป

            มันทำให้ผมพยายามมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

            มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากแพ้ ไม่อยากให้ชื่อนี้ถูกใครเอาไปครองง่ายๆ

            เฟิร์สเก่ง ผมยอมรับจากใจ

            เก่งโดยที่ไม่ต้องขวนขวาย

            เก่ง...จากพรสวรรค์

            เขามีความคิดเป็นระบบ จัดการระเบียบตัวเองได้ดี รวมถึงการเป็นคนที่มีพลังด้านบวกเสมอ

            นั่นแหละ ที่ผมพูดมาได้ทั้งหมดก็เพราะต้องคลุกคลีกับคนๆนี้อยู่ตลอด

            ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากยอมแพ้ให้

            “ที่หนึ่งมาแล้วๆ”

            สายป่านเพื่อนต่างห้องโบกมือเรียกพร้อมกับยิ้มกว้าง  “โห ขาวขึ้นใช่มั้ยเนี่ย ยืนข้างเราแล้วเราหมองเลยอะ”

            “เว่อร์ไป ก็ไม่ได้ไปตากแดดที่ไหน ตากอยู่โรงเรียนวันนี้ที่แรกเนี่ย” ผมพูดติดตลก

            “เออแล้วนี่..” สายป่านชะเง้อคอมองข้างหลังผม ทำให้ต้องแนะนำเสียเลี่ยงไม่ได้

            “เฟิร์ส เพื่อนห้องเรา”

            “อ้ออออออ เราสายป่านน้า” ลากเสียงยาวแล้วยิ้มกริ่ม พร้อมกับเดินเข้ามากระซิบผม “หล่ออะ มีแฟนยัง”

            “จะรู้มั้ยล่ะ”

            “โอ้ย เขินอะ ไม่กล้ามอง”

            ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วเดินไปสมทบกับหัวหน้าห้องอื่น

            “เออก็พูดเลยแล้วกัน เราม.5 แล้วก็น่าจะรู้ๆกันว่าต้องทำกีฬาสี แต่ปัญหาคือเมื่อกี้คือไปคุยกับครูมา เขาบอกปีนี้จำกัดงบว่ะ”

            “ละงบเท่าไหร่”

            “สีละห้าหมื่น”

            หลายคนสบถออกมาทันทีเมื่อได้ยินงบที่ได้

            ทั้งที่จากปีที่ผ่านๆมาไม่เคยจำกัดงบมาก่อน ปล่อยให้ทำอย่างอิสระเต็มที่

            “เชี่ย ค่าอุปกรณ์ ค่าหลีดก็เกินแล้ว ไหนจะขบวน”

            “เหมือนได้ยินมาว่าปีรุ่นพี่เรามีผู้ปกครองมาร้องเรียนว่าใช้เงินมากเกินไป แล้วใช้ไปกับเรื่องไร้ประโยชน์ เพราะมีห้องหนึ่ง ไม่พูดละกันว่าห้องไหน เก็บรายหัวคนละสี่พัน นี่ยังไม่รวมค่าห้องต่างหากนะ”

            “ก็เกินไป ตีห้องละสี่สิบคนก็แสนหก ดาวน์รถได้ละเนี่ย”

            “สมควรอะ ปีที่แล้วคือทำอลังการทุกสีจริง ถ้ามาจำกัดงบปีเราคือดรอปแน่”

            “ห้าหมื่นมันไม่ได้จริงๆนะเว้ย ค่าขบวนไม่ได้แน่อะ”

 

            “เราว่าได้นะ”

            เสียงถกเถียงกันเงียบลงเมื่อเพื่อนร่วมห้องที่ยืนอยู่ข้างๆผมพูดขึ้น

            “ถ้ากีฬาสีมีสี่ส่วน แบ่งห้าหมื่นก็ได้หมื่นสองกว่าๆ อุปกรณ์ฝ่ายขบวนก็ยืมจากรุ่นพี่ โครงบางส่วนก็ยังเห็นอยู่โกดังหลังโรงเรียน ถ้าเราคิดคอนเซปต์ง่ายเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้งบเยอะ แต่ถึงใช้เยอะกว่าห้าหมื่นก็ไม่มีใครรู้อยู่ดี ในเมื่อบิลมันก็โกงกันได้ ก็แค่ไม่ให้ขบวนมันเว่อร์มากไปก็พอ”

            ผมหันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยปากพูดขัดแต่ก็ถูกแทรกเสียก่อน

            “เออ ฉลาดว่ะ มันโอเคนะ”

            เพื่อนๆคนอื่นเริ่มเห็นด้วย

            แต่ผมกลับรู้สึกไม่สบายใจ

            ก็เท่ากับว่าใช้เงินเกินงบโรงเรียนอยู่ดี

            เพราะนักเรียนทำตัวมีปัญหาไม่ใช่เหรอทางโรงเรียนถึงต้องได้ออกกฎนี้มาแก้ แล้วก็ยังจะทำแบบเดิมอีก

            แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้แย้งอะไรออกไป

            “สรุปงั้นเอาตามนี้ นายชื่อไรนะ เฟิร์สป้ะ”

            “อืม”

            “เริ่มคิดคอนเซปต์เลยละกัน ที่หนึ่งมีอะไรที่คิดไว้ในหัวมั้ย”

            แน่นอนว่าเรื่องนี้คนอื่นๆคงคาดหวังไว้ และผมก็คงไม่ทำให้เพื่อนผิดหวัง

            “คิดไว้แล้วล่ะ”

            คุยกันเรื่อยๆจนตกลงกันได้เรียบร้อย

            เฟิร์สเข้ากับเพื่อคนอื่นได้ดีทั้งที่เพิ่งเริ่มคุยกัน และคนอื่นก็เหมือนจะเห็นด้วยกับเขาเอามาก

 

 

            ผมเคยบอกว่าเขาเหมือนโลก

            ทั้งมีสวยงาม และมีชีวิต

            ใช่ ตอนนี้ผมก็ยังคิดแบบนั้น

 

            “เลือกหัวหน้ากับรองกีฬาสีกันเถอะ”         

            “โหวตนะ”

            มีคนถูกเสนอชื่อลงบนกระดานเกือบสิบคน ซึ่งผมกับเฟิร์สเป็นหนึ่งในนั้น

            เพื่อนโหวตกันเรื่อยๆจนมาถึงผม

            “โหย เยอะว่ะ” สายป่านนับ “สิบ สิบเอ็ด สิบสองคน”

            สายป่านชี้ลงคนที่ยกมือคนสุดท้าย

            ..ที่ข้างตัวผม

           

            “ต่อไป เอ่อ..เฟิร์สนะ”

            มีหัวหน้าห้องที่เป็นผู้หญิงเกินครึ่ง

            เก้าสิบเปอร์เซ็นคงเทใจให้คนตัวสูง

            “ใครเลือกเฟิร์สยกมือ”

            “อือหือ เยอะพอกัน สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม เอ่อ.. สิบสามว่ะ”

            ผมเงียบ ต่างจากเสียงรอบข้าง

            คนข้างตัวก็เช่นกัน

 

            “โอเค สรุปคือเฮดกีฬาสีเป็น เฟิร์ส ม.5/12”

 

            ไม่รู้ว่าควรต้องรู้สึกยังไงเหมือนกันตอนนี้

            เป็นคนแรกจริงๆ

            ที่ก้าวนำผมไปหนึ่งก้าวเสมอ

 

 

            “ขอโทษนะ”

            อีกฝ่ายพูดขึ้นหลังจากที่เดินออกมาได้สักพัก

            ผมเงียบ เพราะไม่รู้จะตอบอะไร

            มันไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

            ยังไงก็ต้องเคารพผลโหวตที่ได้

            ผมแค่รู้สึก ไม่พร้อมจะคุยเท่าไหร่

            “ที่หนึ่ง”

            “ขอโทษเราทำไม”

            ในที่สุดผมก็ต้องเอ่ยปาก เพราะอีกคนยังตามเซ้าซี้ไม่เลิก

            “นายไม่ได้ผิดอะไรเลย ถ้าจะขอโทษเพราะคิดว่าเราโกรธหรือรู้สึกไม่ดี ก็ไม่ต้อง เราไม่ได้เป็นอะไร”

            โกหกทั้งเพ ก็เห็นๆกันอยู่

            เราทั้งคู่ต่างเงียบ จนได้เสียงลมพัดเบาๆ

            “ไปเรียนเถอะ” ผมตัดบท

            “แล้วเป็นเฮดต้องทำอะไรบ้าง”

            “ก็คอยประสานงานกับทุกฝ่ายทุกห้อง กับคุณครูที่เกี่ยวข้อง จัดการไม่ให้มีปัญหากันเอง”

            “อ๋อ”

            ผมถอนหายใจแบบเนือยๆ ดูท่าก็ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า

            ทั้งที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาได้ปีเดียว

            “ที่หนึ่ง”

            “...”

            “เป็นเฮดเราอีกทีนะ”

            ผมชะงัก แล้วหยุดเดิน หันไปมองเสี้ยวหน้าฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่เขาจะหันมามองกันตรงๆ

 

            “เราทำคนเดียวไม่ได้แน่ๆถ้าไม่มีที่หนึ่ง”

 

 

            นอกจากจะเป็นคนแรกที่ผมก้าวตามไม่ทัน

            ก็ยังเป็นคนแรกที่ทำให้ไปไม่เป็นเช่นกัน..



ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r    t w o  ♥

เป็นที่สนใจ


            วันอาทิตย์เป็นวันหยุดสำหรับใครหลายคน

            แต่กับผมคงไม่ใช่

            เด็กนักเรียนม.ปลายกับการเรียนพิเศษเป็นของคู่กัน

            “สองชั่วโมงครับ”

            “เป็นรอบสิบโมงครึ่งนะคะ”

            ผมยิ้มให้กับพี่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ลงเวลาเรียน แล้วรับบัตรคืน

            ขึ้นม.5 แล้วก็คงเป็นช่วงเตรียมตัวเข้าสู่มหาวิทยาลัย
           
            ซึ่งผ่านการวางแผนมาแล้ว

            ผมไม่ได้อยากเป็นหมอหรอก ถึงจะมั่นใจว่ายังไงก็เป็นได้ก็ตาม

            โชคดีที่พ่อแม่คาดหวังกับลูกชายคนโตไว้มาก จึงไม่ได้ห่วงอะไรกับคนเล็กอย่างผม

            การไม่ได้รับแรงกดดันจากครอบครัว เป็นสิ่งที่ทำให้สบายใจ

            แต่ก็ทำให้รู้สึกเคว้งคว้างไปในคราวเดียวกัน

 

            นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ถึงเวลาขึ้นไปเรียน

            ที่นั่งของผมคือ a12

            วางสัมภาระไว้ข้างล่างโต๊ะคอม พลันแขนซ้ายก็ไปสะกิดโดนคนข้างๆที่หลับอยู่

            ตกใจ เลยรีบหันไปขอโทษ

            “ที่หนึ่งเหรอ”

            เสียงทุ้มติดงัวเงียพร้อมกับเจ้าตัวที่ค่อยๆลืมตาขึ้น

            ผมเผลอเม้มปากเมื่อเห็นชัดว่าอีกคนคือใคร

 

            ไม่อยากจะโทษความบังเอิญสักเท่าไหร่

            แต่ครั้งนี้ก็อดไม่ได้จริงๆ

 

            “เรียนวิชาอะไรอะ”

            “ฟิสิกส์” ผมตอบกลับไปเสียงเบา ก่อนจะเสียบหูฟังใส่หูเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายชวนคุย

            ก็ดีที่ไม่มีเสียงน่ารำคาญตามมา

           

            เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ

            สักพักก็รู้สึกได้ว่าคนข้างโต๊ะฟุบหลับลงอีกครั้ง

            ถึงจะมีที่คั่น แต่โต๊ะก็ไม่ได้กว้างเท่าไหร่

            บวกกับความสูงที่เดาไว้ว่าต้องเกือบร้อยแปดสิบ ทำให้เขาเอนมาชนผมนิดหน่อย

            ถอนหายใจยาวๆแต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาแล้ว

            ผมกลับมาใช้สมาธิกับบทเรียนบนจอเหมือนเดิม

            แต่สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นเวลาที่แสดงบนหน้าจอของคนตัวสูงกว่า

            เรียนมาเกือบสี่ชั่วโมง

            ฮึ ไม่ง่วงก็ให้รู้ไป

            ไม่รู้ว่าขยันหรือฝืนร่างกายอยู่กันแน่

 

            แกร๊ง

            ให้ตาย

            อยากโทษแรงโน้มถ่วงของโลกที่ทำหน้าที่ตอนนี้ได้ดีจริงๆ

            เผลอปัดปากกาตกลงพื้น ไปที่ใต้โต๊ะของเขา

            ดูเหมือนจะหลับลึกซะอีก

            กลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ก่อนจะทำใจก้มตัวลงไปเก็บ

            เลือกได้ก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวมากด้วยซ้ำ

            “ทำอะไรน่ะ..”

            เฮือก

            ผมสะดุ้ง ทำให้หัวชนเข้ากับใต้โต๊ะทันที

            “เฮ้ย! เจ็บหรือเปล่า” มือหนารีบดึงผมขึ้นมาทันที

            “ไม่..ไม่เป็นไร”

            “เอาอะไรอะ ปากกาเหรอ” ว่าจบก็ก้มลงหยิบขึ้นมาคืน

            “ขอบคุณ...”

 

            จังหวะที่เงยหน้าขึ้นก็เผลอไปสบตากับอีกฝ่ายเข้า

            ผมที่ถูกเซ็ตขึ้น ดูแปลกตาไปจากที่โรงเรียน

            กับดวงตาสีนิลคู่เดิม

            และแววตาที่มองมาเหมือนเดิมทุกครั้ง

 

            ไม่ชอบเลย

            ไม่ชอบ..

            ที่ตัวเองดันเผลอไปสบตาด้วยบ่อยๆต่างหาก

 

            “ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย”

            คนตัวสูงกว่าเดินตามหลังมาติดๆ

            ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว

            แถมยังเป็นช่วงที่แดดแรงที่สุด

            ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น แพลนไว้ในหัวของผมหลังเรียนเสร็จคือกลับไปอ่านหนังสือ

            “เรามีเรียนต่อ”

            โกหกออกไปคำโตแบบไม่รู้สึกผิด

            ใครเขาอยากอยู่ด้วยกันล่ะ

            “มันเที่ยงแล้ว กินข้าวก่อนดิค่อยไป”

            “…”

            “ปวดท้องเพราะโรคกระเพาะวันที่ไปด้วยกันวันนั้นยังไม่เข็ดอีกหรือไง”

            จำได้ดียิ่งกว่าผมเสียอีก

            ผมถอนหายใจใส่อีกฝ่าย ส่ายหัวเชิงไม่ไปแล้วเดินเลี่ยงออกมา

            “ไม่ชอบหน้าอะไรเราขนาดนั้น”

 

            นิสัยอย่างหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นเฟิร์สเลยก็คือการพูดตรงๆ

            “เราเปล่า”

            และนิสัยอย่างหนึ่งของผมคือพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิด

            “รู้มั้ยว่าตัวเองเป็นคนคิดอะไรก็ออกทางสีหน้าหมดเลย”

            “…”

            “ไม่อยากให้เราห่วง ก็ห่วงตัวเอง แดดร้อนขนาดนี้เราไม่ปล่อยให้เดินกลับหรอก”

            ทำไมถึงได้กลายเป็นคนที่รู้เรื่องของผมไปทุกเรื่อง

            อยากถามออกไป แต่ก็คำได้แค่เดินตามแผ่นหลังกว้างเงียบๆ

 

 

            เรื่องของเรื่องคือการขี่จักรยานยนต์เป็นสิ่งที่ผมแทบจะไม่คุ้นเคย

            และยิ่งการออกแบบให้เบาะหลังยกสูงขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงให้ผมไปอีกเท่าตัว

            “ใส่หมวกกันน็อคด้วย”
           
            “ให้เรากลับเองเถอะ”

            คนตัวสูงขมวดคิ้ว “อะไรนะ”

            ก็ไม่รู้พูดยังไง

            จะให้บอกไปว่าไม่กล้าขึ้น ก็คงต้องโดนขำแน่ๆ

            แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้แล้วล่ะ

            “ไว้ใจเราหน่อย ไม่เคยมีประวัติร้ายแรงน่า ขึ้นมาเร็ว”

            ผมสวมหมวกกันน็อคอย่างจำยอม ก้าวขึ้นเบาะหลัง

            วันหลังคงจะไปนั่งฝึกตัวเองหน้ากระจกให้รู้จักปฏิเสธคนมากกว่านี้

            “กลัวตกก็เกาะหลังเรานะ ไม่หวง”

 

            ก็นิสัยซะอย่างนี้

            จะไม่ให้รำคาญได้ยังไง





            มาหยุดที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆ 

            ถึงจะบอกว่าเคยไปแข่งวิชาการด้วยกัน หรือไปเป็นตัวแทนห้องด้วยกัน แต่ไม่เคยคิดจะมานั่งกินข้าวด้วยกันสองคนแบบนี้ เพราะทุกครั้งก็ไปกับคุณครู เพื่อนต่างโรงเรียน

            ให้พูดตามตรงก็เป็นครั้งนี้ครั้งแรก

            เกร็งยิ่งกว่าไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการอีก

            “ข้าวมันคุยไม่ได้เหมือนเราหรอกนะ”

            “…”

            “เงยหน้าขึ้นมามองกันบ้าง”

            ผมค่อยๆเหลือบตาขึ้นมอง ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังอมยิ้ม “ให้เราพูดอะไร”

            “ข้าวติดปากแล้ว”

            รีบหยิบกระดาษมาเช็ดทันที

            ได้ยินหัวเราะตามมาแผ่วๆ จนต้องเผลอกัดปากด้วยความอาย

            ไม่อยากอยู่ด้วยแล้ว

            ให้กลับไปหายใจทิ้งอยู่ที่บ้านก็ยังดีกว่ามานั่งอยู่กับคนแบบนี้

            “เห็นครูหนิงบอกว่าให้เริ่มไปเตรียมตัวซ้อมแข่งฟิสิกส์ได้แล้ว”

            “อื้อ”

            “อีกคนในทีมเหมือนจะเป็นน้องผู้หญิงม.4 คนนี้ๆ ที่หนึ่งรู้จักมั้ย”

            คนตัวสูงยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าผม

            “ไม่รู้จักหรอก”

            “แต่สวยนะ” เขาว่า

            ตัวเล็ก มีลักยิ้ม หน้าหมวยๆหน่อย

            สเปคเขาเลยล่ะ

            “มาอยู่ทีมเดียวกับเราต้องดีแน่นอน”

            จะม่อเขาละสิไม่ว่า

            ผมแอบคิดในใจ ก่อนจะก้มลงทานข้าวในจานตัวเองเหมือนเดิม

            เราต่างเงียบทั้งคู่เมื่อไม่มีอะไรจะคุย

            บรรยากาศอึดอัด จนผมไม่ชอบ

            ปกติก็ไม่เคยคิดจะมาทานข้าวกับคนนอกกลุ่ม  ยิ่งเป็นคนตรงหน้ายิ่งแล้วใหญ่

            บอกเลยว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายที่ผมยอมมานั่งอยู่กับเขา

           

            “แป๊บเดียวก็ม.5 แล้ว”

            “…” ผมหยุดเขี่ยข้าว เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อน้ำเสียงอีกฝ่ายเริ่มจริงจัง

            “เรารู้จักกันมาหนึ่งปีเต็มแล้วนะ”

            “…”

            “แต่เหมือนเรายังไม่รู้จักที่หนึ่งดีเลย”

            ผมมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ

            “ทำไมถึงอยากได้รู้จักเราขนาดนั้น”

            จนต้องเอ่ยปากถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้มาตลอด

 

            “อยากรู้จริงๆเหรอ”

 

            เขายิ้ม

            และเป็นรอยยิ้มที่ผมมั่นใจว่าไม่เคยเห็นที่ไหน

 

            “ก็อยากให้เป็นที่สนใจ แค่นั้นเอง”

 

 

            โลกอยู่ห่างจากดาวศุกร์เกือบ 42 ล้านกิโลเมตร

 
            แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ไกลกันเลย...


   

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อุ๊ย!!!! เขินแทนเลยอ่าาา :hao5:

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r    t h r e e ♥

เป็นเพื่อนร่วมห้อง


            บ้านของผมมีพี่น้องด้วยกันสามคน

            มีลูกชายคนโต ลูกสาวคนกลาง และลูกชายคนเล็ก

            เป็นผมคนเดียวที่ยังเรียนอยู่

            วันที่ 1 มกราคม วันที่หนึ่งของทุกปี และเป็นวันที่หนึ่งในชีวิตของผม

 

            ‘น้องน่ารักมากเลยค่ะม๊า’

            ‘ขอเอกลองอุ้มหน่อย’

            ‘วันอุ้มด้วย’

            ได้รับความสนใจตั้งแต่เล็กจนโตเพราะเป็นคนสุดท้อง

            ‘ทำไมถึงตั้งชื่อน้องว่าที่หนึ่งล่ะ’

            ‘ไม่รู้สิ’

            ‘…’

            ‘เห็นมาเป็นคนสุดท้าย ก็เลยอยากให้เป็นที่หนึ่งในเรื่องอื่นแทน’

            คนเป็นพ่อว่าพลางลูบหัวเด็กน้อยในอ้อมแขน

 

            ‘สอบได้ที่หนึ่งเหรอ’

            ‘สมชื่อจริงๆ’

            ‘เก่งที่สุดเลยลูกม๊า’

            เด็กผู้ชายวัยสิบขวบยิ้มรับด้วยความภูมิใจ

 

            ‘ที่หนึ่งอีกละ’

            ‘เกียรติบัตรเต็มบ้านแล้วเนี่ย’

            กลายเป็นความเคยชินไปแล้วกับการเป็นที่หนึ่ง จากคำชมยกยอ เปลี่ยนเป็นการพยักหน้ารับรู้ราวกับเป็นเรื่องปกติ

            ผมเมื่อตอนสิบสองปียิ้ม

            แต่ดวงตากลับไปไม่ได้ยิ้มไปตาม

 

            ‘เอกจะสอบแล้วทำไมยังเล่นอยู่’

            ‘ตั้งใจเรียนหน่อยสิ มหาวิทยาลัยไม่ได้เข้าง่ายๆนะ’

            ‘วันก็เหมือนกัน เริ่มอ่านหนังสือสักที ไม่ใช่เอาแต่เที่ยว’

            ‘…’

            เสียงทะเลาะที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเด็กชายวัยสิบสี่ปีต้องเดินออกจากห้องมาดู

            ‘จนจะเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว ก็ทำไม่ได้ครึ่งของที่หนึ่งเลย ทำไมถึงชอบทำให้ม๊าผิดหวังกันนัก’

            ภาพความทรงจำสุดท้ายของผมในวันนั้น

            คือสายตาของพี่ทั้งสองคน ที่ไม่มองผมแบบเดิมอีกต่อไป..

 

            “ไปเรียนก่อนนะครับม๊า”

            “จ้า ไปดีมาดีนะลูก”

            ผมยกมือไหว้ ก่อนจะคว้ากระเป๋าออกมา

            ไม่ได้มีใครไปส่งที่โรงเรียนมาเกือบสามปีแล้ว

            ด้วยหน้าที่การงานที่ยุ่งมากขึ้นของสมาชิกในบ้าน ทำให้ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง

 วันนี้ท้องฟ้าอึมครึม กรมอุตุพยากรณ์อากาศวันนี้ว่าฝนจะตก

            ผมกระชับร่มในมือ เดินขึ้นรถเมล์ที่มาจอดข้างหน้าพอดี

            บรรยากาศตอนเช้ามืดเป็นช่วงที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ไม่วุ่นวาย เลยมักจะชิงมาโรงเรียนก่อนเจ็ดโมงเสมอ

            สถานที่ประจำในตอนเช้าของผมคือห้องสมุด แต่เหมือนวันนี้จะมาก่อนคุณครูไปสักหน่อย ทำให้ยังเห็นแม่กุญแจคล้องไว้เหมือนเมื่อตอนเย็นของเมื่อวาน

            ผมเดินถอยหลังกลับไปหาที่นั่งใกล้ๆ ตอนนี้ที่โรงเรียนเงียบจนได้ยินเสียงนกร้องบนต้นไม้

            จะมีแค่นักกีฬาที่มาฝึกกันแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง

            “อ้าว ที่หนึ่ง”

            ผมหันไปมองตามเสียงเรียก

            ข้อดีของการเป็นเด็กกิจกรรม คือการได้รู้จักใครหลายคนที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมห้อง

            ยังรวมไปถึงรุ่นพี่ตัวสูงตรงหน้า

            ผมยิ้มเป็นเชิงทักทาย เมื่อเจ้าของส่วนสูงกว่าร้อยแปดสิบเดินเข้ามานั่งด้วย

            “มาซ้อมเหรอครับ”
           
            “อือฮึ ครูเรียกมาตั้งแต่ตีสี่” พี่ซันพูดพร้อมกับทำหน้าเบื่อๆ “เขาจะรู้หรือเปล่าว่านั่นน่ะเป็นเวลาที่พี่เพิ่งได้นอนด้วยซ้ำ โคตรปวดหัวตอนนี้”

            ”ให้ทายว่าไม่ได้อ่านหนังสือ”

            “เห็นพี่เคยอ่านเหรอ”
           
            ผมหัวเราะให้กับคำตอบนั่น พร้อมกับเจ้าตัวที่ชวนคุยไปเรื่อย

            เรารู้จักกันจากการไปเข้าค่ายเมื่อตอนผมอยู่มัธยมต้นปีสุดท้าย ส่วนพี่เขาอยู่ม.4

            เป็นคนที่คุยง่าย และพยายามชวนให้ผมมีส่วนร่วมทุกเรื่อง

            ดูไม่มีพิษไม่มีภัย ระยะเวลากว่าสองอาทิตย์ของการเข้าค่าย ทำให้ความสัมพันธ์ของเราสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว

            เหมือนว่าจะชอบลูกแพร เพื่อนสนิทของผมด้วย

            “ลูกแพรเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ไม่ค่อยตอบแชทพี่เลยอะ”

            และก็ยังจีบไม่ติดมาตอนถึงทุกวันนี้

            “ช่วงนี้ยุ่งๆหน่อยครับ มีโครงงานกลุ่มกับเตรียมกีฬาสี”

            เขาพยักหน้าเหมือนเข้าใจ

            “แต่ก็เห็นเล่นโทรศัพท์อยู่ตลอดนะ”

            เคยมีใครบอกหรือเปล่าว่าคนตัวสูงกับใบหน้าหงอยๆนั้นมันแทบจะไม่เข้ากันเลย

            “ล้อเล่น ก็ยุ่งจริงๆช่วงนี้ รอไปก่อนเดี๋ยวว่างเขาก็ตอบเองแหละครับ”

            “เดี๋ยวนี้หัดกวนตีนพี่นะเรา” ชี้หน้าพร้อมกับส่งสายตามาอย่างคาดโทษ

            ผมหัวเราะ ก็ได้มาจากคนแถวนี้

            “เออ เหมือนชมรมบาสจะมีสมาชิกใหม่ มาจากห้องเรา”

            “ใครเหรอครับ”

            “ตัวสูงหน่อยๆ หน้านิ่งๆ ชื่ออะไรวะพี่จำไม่ได้ เรารู้จักหรือเปล่า”
           
            ม.5/12 มีผู้ชายที่จัดว่าสูงอยู่ไม่ถึงห้าคน แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าใครลงชมรมอะไรกันบ้าง

            “ไม่รู้หรอกครับ”

            “อ้อ นั่นไง มองมาทางนี้พอดี”

 

            ครั้งที่แล้วผมโทษความบังเอิญไป

            แต่ครั้งนี้ผมจะโทษความตั้งใจของอีกฝ่ายแทน

 

            “ครูเรียกไปซ้อมครับพี่ซัน”
           
            “โอเค เดี๋ยวไป”

             ไม่เพียงแค่มองมาเฉยๆ สุดท้ายคนที่ชื่อเหมือนผมก็เดินมาหยุดที่โต๊ะ

            “เออนี่ไม่รู้จักกันเหรอ ก็นึกว่าอยู่ห้องเดียวกัน”

            กึก

            ผมชะงัก หันไปมองคนที่เพิ่งมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

            ไม่น่าเลย
           
            ดันไปเห็นแววตาที่ไม่อยากเห็นเข้าไปแล้ว

            สุดท้ายคนที่ตอบพี่เขาก็เป็นอีกฝ่าย

 

            “รู้จักสิครับ ก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกัน”

 

            คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมเกลียดความปากหนักของตัวเอง



            ถูกเรียกไปพบคุณครูฟิสิกส์ที่ห้อง


            พร้อมกับอีกคนเมื่อตอนเช้า

            และน้องม.4 คนนั้น..

            “ซ้อมหลังเลิกเรียนคงไม่ทัน เพราะตารางเรียนไม่ตรงกัน”

            “…”

            “ถ้าครูขอเป็นวันเสาร์ ตอนบ่าย จะเป็นไปได้มั้ย”

            การแข่งขันต้องมีการซ้อมเป็นเรื่องปกติ

            แต่ปัญหาคือความจำเป็นของนักเรียนม.ปลายที่ต้องเรียนพิเศษควบคู่ไปกับการเรียนในห้องเรียน

            “หนูมาได้ค่ะ”

            “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

            อีกสองคนตอบไปแล้ว ยกเว้นผม

            “เธอล่ะ เป็นที่หนึ่ง”

            “เอ่อ...”

            เพราะโรงเรียนที่อยู่คนละทางกับสถาบันเรียนพิเศษ

            หากจะมา ก็ต้องเดิน เพราะไม่มีรถผ่าน

            แน่นอนว่ามันไม่ได้ใกล้กันเลย...

            แต่สุดท้าย ก็เลือกส่วนรวมมากกว่าตัวเอง

            “ได้ครับ”           

            “งั้นเริ่มอาทิตย์นี้นะ”

            คล้อยหลังครูไปแล้ว แต่เราสามคนก็ยังยืนอยู่ในห้อง

            น้องม.4 เป็นคนเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศแปลกๆนี้

            หันยิ้มตาหยี จนเห็นลักยิ้มที่สองแก้ม น่ารักกว่าในรูปอย่างที่เคยคิดไว้

            “หนูชื่อพีชนะคะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่า”

            เผยรอยยิ้มอย่างแจ่มใส ทำลายบรรยากาศอึมครึมเมื่อกี้ไปเสียสนิท

            “พี่ชื่อเฟิร์สใช่มั้ยคะ หนูแอบเห็นพี่แอดมา”

            “จำพี่ได้เหรอ” คนตัวสูงหัวเราะ

            “ได้ซี่ หล่อๆแบบนี้หนูจำได้”

            “เกินไปแล้วยัยหมวย”

            สนิทกันอย่างรวดเร็วสมกับเป็นเฟิร์ส

            อย่างที่เขาเคยบอกเลยว่า ถ้ามาอยู่ทีมเดียวกันต้องดีมาก ก็คงดีกับตัวเขาเอง

            ถ้าไม่มีน้อง ก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าในห้องจะเงียบแค่ไหน

            ผมไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่ยืนนิ่ง

            คนตัวสูงไม่ได้หันมาทางนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเจอคนคุยที่ถูกคอ

            ไม่ชอบเลย ความรู้สึกแบบนี้

 

            “แล้วพี่...?”

            ในที่สุดก็ถูกดึงมาร่วมในบทสนทนาของทั้งคู่

            “ชื่อเป็นที่หนึ่งหรือเปล่าคะ เมื่อกี้พีชเห็นครูเรียก” เธอยิ้ม

            “ครับ”

            “พี่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันเหรอคะ ไม่เห็นพูดด้วยกันเลย”

            เขาเงียบ ผมก็เงียบ

            “ไม่..” 

            “ห้องเดียวกัน”

            “…”

            “อยู่ห้องเดียวกันครับ”

 

 

            ไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้ผมชิงพูดออกไป

            แค่ไม่อยากได้ยินคำว่าไม่ แค่นั้นเอง

 

            มันเป็นเรื่องที่น่าขำ

            อยู่ดีๆบรรยากาศระหว่างเราก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

            “เจอกันวันเสาร์นะน้องหมวย”

            “หนูชื่อพีชมั้ยเล่า”

            หลังจากพูดคุยทำความรู้จักกับน้องเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาแยกย้ายไปเรียนคาบบ่ายต่อ ผมรีบเดินนำออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้สนใจเลยว่าอีกคนจะตามมาหรือเปล่า

            แค่คิดถึงตอนที่พูดประโยคนั้นออกไป ก็อายแทบตายแล้ว

            “ที่หนึ่ง”

            “...” ผมยังก้าวต่อ ไม่หันกลับมองใครทั้งนั้น           

            “เดี๋ยว เดี๋ยวครับ”

            ได้ยินเสียงปนขำตามหลังมา ยิ่งทำให้ผมเดินให้เร็วขึ้น

            เจอคนชื่อเฟิร์สมาเป็นสิบ ก็ไม่เคยเห็นคนไหนน่ารำคาญเท่าคนนี้

            “…”

            “เราเรียนอาคารสาม” คนสูงกว่าเดินจนคว้าไหล่ทัน “หันกลับมาเร็ว เดี๋ยวขึ้นเรียนสายนะ”

            ฮึ

            ทำยังไงได้ ก็ต้องหมุนเท้ากลับไปหาอย่างจำยอม

            “ก็เดินสิ” ผมว่า แต่ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

            เราไมได้พูดอะไรด้วยกันอีก

            แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงเสียงหัวเราะเบาๆของคนที่เดินมาข้างๆ

 

            ไม่อยากจะยอมรับหรอก

            แต่บรรยากาศตอนนี้ก็ดีกว่าเมื่อเช้าเยอะเลย

 

 

            “เงียบใส่เราอีกแล้ว”

            “...” ผมเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่น “ก็เรียนอยู่ไง”

            “บ่ายสาม เป็นเวลาเลิกเรียน”

            ก็ไม่ได้หมายถึงตอนนี้มั้ยล่ะ

            แอบตอบกลับในใจ แล้วสะพายกระเป๋าลุกหนี

            “ไปไหน”

            อยากเป็นประสาทตายเข้าสักวัน

            ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ลูกแพรที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ก็ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกจนต้องเอ่ยปากถามแทน “เฟิร์สมีอะไรเหรอ”

            “ว่าจะชวนที่หนึ่งกลับด้วย”

            “อะไรนะ?”

            ครั้งนี้ทั้งผมและเพื่อนสนิทก็หันไปมองคนตัวสูงอย่างไม่เข้าใจ

            เกิดมาได้ครบสิบเจ็ดปี ผมก็ไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน

            ปกติแล้วความสัมพันธ์ของผมกับเฟิร์สอยู่ในระดับที่เกือบล่างสุด

            ถ้าไม่นับว่าต้องไปแข่งขันด้วยกัน บทสนทนาในห้องก็แทบไม่เคยเกิดขึ้น จะมีแค่เฉพาะบางครั้งที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาถามเรื่องงาน

            และการที่ผมจะเดินเข้าไปคุยด้วยก่อนก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

            ดวงดาวที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยบริวารแบบนั้น ไม่ใช่พื้นที่ที่น่าเข้าไปนักหรอก

            “เรามีเรียนตอนเย็น”

            “อ.อุ๊?”

            นี่พกตารางชีวิตของผมมาโรงเรียนด้วยหรือไง

            ขนาดม๊าก็ยังไม่ได้รู้ดีเท่านี้

            “เห็นลงชื่อลงบนใบเรียนพอดี”

            แสดงว่าเรียนเหมือนกัน..

            “อื้อ ไปก่อนนะ”

            ผมตัดบทแล้วลากลูกแพรออกมาด้วย โดยไม่ฟังเสียงเรียกของคนในห้อง

            “ไม่ไปกับเขาอะ”

            “ละแกจะไปกับใคร” ผมย้อนถาม

            “เกี่ยวอะไรกัน เราเรียนคนละทาง แค่ไปรอรถด้วยกันเฉยๆมั้ย”

            “ก็เดี๋ยวไม่มีเพื่อนรอ”

            “โอ้ย พูดอย่างกับเป็นเด็กประถม” คนสูงพอๆกับผมทำหน้าเหม็นเบื่อ “วันหลังเขาชวนก็ไปเห๊อะ”

            “ไม่เอาอะ”

            “จะไม่ชอบเฟิร์สอะไรขนาดนั้น ก็ดูจริงใจกับแกดีออก”

            “อยากกวนประสาทมากกว่า”

            “เฮ้ ฟังเรานะ”

            ลูกแพรดึงใบหน้าผมให้หันไปมอง

            ผมเห็นประกายแพรวพราวในดวงตาบนใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น

 

            “เขาไม่เรียกกวนประสาท”

            “…”

            “เขาเรียก ‘สนใจ’ จำไว้นะที่หนึ่ง”

 

 

            บนถนนมีรถผ่านหน้าไปเป็นร้อย

            แต่ดันไปสบตากับเจ้าของหมวกกันน็อคที่ผมเคยใส่ได้ยังไงก็ไม่รู้

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อ่าาา หนึ่งซึน หรือเฟิส อ่อยไปทั่ว   :hao4:

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
น่ารักจัง เป็นกำลังใจให้นะคะ  :mew1: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
เรื่องน่าสนใจมากๆค่ะ
สัมผัสได้ถึงความน่ารักของหนึ่งงง
รอนะคะะะะะ :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r    f o u r  ♥

เป็นที่ปรึกษา


          กึกๆ

           “ยืมยางลบหน่อยสิ”

           คนด้านหลังใช้นิ้วสะกิดเรียกที่ไหล่ผม

           ไม่รู้ว่าตอนนี้กลอกตาด้วยความรำคาญไปกี่รอบแล้ว

           ทำไมการลงชื่อคนแรกถึงไม่มีสิทธิ์เลือกที่นั่งกันนะ

           เดาไม่ผิดตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้วว่ายังไงก็คงได้เจอกันที่นี่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้นั่งใกล้กัน

           เลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก แต่ก็เหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย

           หยิบยางลบที่วางไว้ข้างๆให้อีกคนด้วยความหน่ายใจ “ค่อยคืนตอนเลิกนะ”

           จะได้ไม่ต้องวอแวอีก...

           เฟิร์สยิ้มรับ แล้วเขยิบกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

           ที่เรียนพิเศษในจังหวัดมีเป็นร้อยเป็นพันที่ แต่ก็ดันเลือกลงเรียนที่เดียวกับคนตัวสูงกว่าไปแล้วสองที่

           ไม่รวมเวลาที่อยู่โรงเรียน หรือเวลาไปซ้อมแข่งวิชาการอีก

           จะด้วยโชคชะตา ความบังเอิญ หรือความตั้งใจก็ไม่สนแล้ว

           สนแค่ว่าจะหลุดพ้นออกไปได้เมื่อไหร่มากกว่า

           ผมสลัดเรื่องไร้สาระออกจากหัวทิ้ง ก้มกลับไปทำแบบฝึกบทหนังสือต่อ

 

 

           ปวดท้อง

           เป็นความรู้สึกแรก หลังจากที่เทปแรกของการเรียนจบ

           ผมนิ่วหน้า ค่อยๆเก็บของใส่กระเป๋า พลางกุมท้องตัวเองไว้ คงเป็นเพราะโรคเก่ากำเริบอีกแน่ๆ

           เพิ่งมานึกได้ว่าลืมกินข้าวเย็นไปสนิท..

           “อะ ยางลบ”

           “อื้อ”

           ปวด จนแทบจะขยับไม่ได้

           ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้ด้วยนะ     

           “ที่หนึ่ง ปวดท้องเหรอ” อีกคนในห้องถามด้วยสีหน้าตื่นๆ ไม่มีใครอยู่ข้างบนแล้วนอกจากพวกเราสองคน

           “โรคกระเพาะหรือเปล่า ไปหาหมอเถอะ”

           “…” ผมไม่ได้ตอบอะไร ฝืนเดินไปเปิดประตูด้วยมือสั่นๆ

           “หยุดฝืนตัวเองสักที อาการหนักขนาดนี้แล้ว” อีกฝ่ายรีบตรงมาขวางทันที พร้อมกับขึ้นเสียงใส่จนผมสะดุ้ง

           “เราไม่เป็นไร กลับเถอะ”

           อีกฝ่ายขบกรามแน่น ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ กับมือใหญ่ที่คว้าข้อมือไว้ แรงกระชากที่ไม่น้อยทำให้ผมเซไปหาอีกฝ่ายแทบจะทันที

           “ขอร้อง ทิ้งทิฐิตัวเองลงสักครั้ง”

           “…”

           “รู้ว่าไม่ชอบให้อยู่ใกล้ แต่จะปฏิเสธเราตอนนี้ โคตรไม่ใช่เรื่องเลย”
           
           ก้มหน้าลงจนเกือบจะชิดกับอก ก่อนจะก้าวเท้าตามแรงพยุงของเพื่อนร่วมห้อง

            น้อยครั้งที่จะถูกขึ้นเสียงใส่ และนี่คงเป็นครั้งแรกจากคนตรงหน้า

            แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว

           “กอดเราไว้ด้วย”

            ผมชั่งใจอยู่นาน จนไม่ได้ดั่งใจคนรอ ถึงได้เอื้อมมือมาคว้าแขนทั้งสองข้างของผมไปประสานที่เอวของเจ้าตัวไว้

            “ถ้าปล่อยมือจะให้มานั่งข้างหน้าแทน” เสียงทุ้มว่าอย่างหงุดหงิด

            ผมฟุบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างด้วยความล้า มองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองควรเป็น

            หลับตาลง เมื่อสองล้อเคลื่อนไปตามท้องถนนอย่างไม่รีรอ

 

            ผมนึกถึงหน้าม๊า และพี่ทั้งสองคนของผมขึ้นมา

            น้ำใสๆที่หยดลงข้างแก้มหยดหนึ่ง ตอกย้ำความรู้สึกของตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

            ผมแค่นยิ้มให้กับความจริง

            เฟิร์สคือคนแรก ที่รู้ว่าผมเป็นโรคกระเพาะมาได้สามปีแล้ว

 

            “ทานยาตามที่หมอสั่ง และเรื่องที่สำคัญที่สุดคือทานอาหารให้ตรงเวลา เข้าใจใช่มั้ยคะ”

            “ครับ”

            อาการปวดท้องค่อยๆทุเลาลงหลังจากพบหมอ ผมเหลือบมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม ซึ่งก็ดึกพอสมควรสำหรับเด็กม.ปลายอย่างพวกผม

            คนข้างๆไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนจะเดินนำไปที่รถ

            ไม่รู้จะรู้สึกอะไรก่อนเลย

            ทั้งเกรงใจ และรู้สึกผิดที่ปฏิเสธน้ำใจของเขาไปพร้อมๆกัน

            ผมไม่รู้ว่าเขาขับมาโรงพยาบาลไหน แค่ระยะทางก็ไกลจากที่เรียนมากโข ซึ่งมันก็ต้องไกลจากบ้านของผมด้วย

            “บ้านอยู่ไหน”

            “เลยอ.อุ๊ไปอีกสองซอย” ผมตอบเสียงแผ่ว

            อีกฝ่ายเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิด

            “หอเราอยู่แถวนี้”

            “…”

            “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ค้าง เราไม่อยากขับรถตอนดึกๆเท่าไหร่”

            อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีล้อเล่น บวกกับความผิดของผมในวันนี้ ทำให้ผมตอบรับไป

            “เราขอโทรบอกแม่ก่อนนะ”

            “เอาสิ”

            แม่ของผมอนุญาต แต่ก็บ่นไปเกือบหลายสิบนาทีที่ไม่ยอมโทรบอกตั้งแต่แรก ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมกับค่อยๆเงยหน้ามองอีกคนที่ยืนพิงรถกดโทรศัพท์มือเดียว

            หน้าตาเขาอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ก็เพิ่งสังเกตเอาวันนี้ว่าขอบตาเพื่อนร่วมห้องก็คล้ำไม่ต่างอะไรจากเขา

            การเป็นที่หนึ่งมันไม่ได้ง่าย และผมคิดว่าการเป็นเฟิร์สก็ไม่ได้ง่ายเช่นกัน ตอนนี้เขาควรจะได้ทำการบ้าน ทำงานที่ค้างไว้หรืออ่านหนังสือยามดึก แต่กลับต้องมาเสียเวลาให้กับผม

            “ขอบคุณนะ”

            “…”

            อีกฝ่ายละสายตาออกมาจากหน้าจอ แล้วมองผมด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

            “แล้วก็ขอโทษ...ที่ปฏิเสธออกไปบ่อยๆ”

           

           วันนี้ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าการพูดตามที่ตัวเองคิด

           มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่

 

            คนตัวสูงกว่าไม่ได้ตอบอะไรกลับ แค่ยิ้มแล้วส่งมือใหญ่ๆนั้นมาลูบหัวผมสองสามครั้ง



     

           “ชุดนักเรียนเอาไปซักได้เลยนะ พรุ่งนี้น่าจะแห้งทัน”

            “อื้อ”

            “ตารางเรียนพรุ่งนี้ไม่น่าจะมีอะไร ใช้สมุดใหม่เราก็ได้ แล้วค่อยเอามาคืน”

            “อื้ม ขอบคุณนะ”

            ชุดนอนที่ใส่บนตัวตอนนี้ใหญ่กว่าผมเกือบไซส์ แต่เจ้าตัวก็บอกว่าหาให้เล็กกว่านี้ไม่ได้แล้ว

            จะโทษกรรมพันธุ์คงไม่ได้ โทษตัวเองดีกว่าที่ไม่ยอมดื่มนมตั้งแต่เด็ก

            ผมดันแว่นตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อใช้สายตาเพ่งตัวหนังสือ ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืน แต่ผมก็ยังไม่ได้รู้สึกง่วงเท่าที่ควร ส่วนเพื่อนร่วมห้องก็เหมือนกำลังจัดระเบียบห้องตัวเองอยู่

            คงไม่ได้นอนกันง่ายๆ

            แอบโล่งใจนิดหน่อยที่เตียงมีขนาดกว้างพอที่ผู้ชายสองคนจะนอนโดยที่ไม่เบียดกัน

            กวาดสายตามองรอบห้อง ไม่ได้ตั้งใจจะสำรวจ แต่ก็อดสงสัยความเป็นอยู่ของเพื่อนร่วมห้องไม่ได้

            ผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวของเขาเลย

            ช่างแตกต่างกันจริงๆ ในขณะที่อีกฝ่ายรู้เรื่องของผมไปเกือบทั้งชีวิตแล้ว

            แค่พอจะจำได้เลือนรางว่าเขาชื่อจริงว่าอะไร มาจากที่ไหน ชอบวิชาอะไร แล้วก็สูงเท่าไหร่..

            น่าตลกที่มันเป็นแค่เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้ของเพื่อนในห้อง

            ผมไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้าง นั่นเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แค่ทุกวันนี้ใช้สมองจำเรื่องราวของตัวเองกับความรู้ที่อ่านไปก็ไม่เหลือพื้นที่ให้เรื่องอื่นเข้ามาแทรกแล้ว

            ก็จะมีแต่เรื่องช่วงนี้แหละที่ทำให้รบกวนสมาธิเรื่อยๆ

            ทั้งที่เป็นคนโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปล่อยให้มายุ่มย่ามจิตใจขนาดนี้

            ว่ากันว่าต่อให้คนสองคนจะสนิทกันมากแค่ไหน ก็ยังจะมีเส้นหนึ่งที่ก้าวเข้ามาหากันไม่ได้

            ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็คงมีเจ้าเส้นนี้เป็นร้อยเส้น

            ไม่เคยมีใครเข้ามาใกล้มากกว่านี้

            ลูกแพรอาจจะเป็นคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาแล้วเกือบเจ็ดสิบจากร้อย เพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มก็ลดหลั่นกันลงไป

            นั่นเป็นเพราะผมอนุญาต

            แต่กับคนตรงหน้าตอนนี้น่ะ

            นอกจากผมจะไม่อนุญาตแล้ว ก็ยังถือวิสาสะฉีกเส้นกั้นเข้ามาโดยไม่ได้ขอ

            ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่รู้จุดประสงค์ของเขาว่าทำไปเพื่ออะไร เคยคิดอยากจะถาม แต่ก็กลัวกลายเป็นไปให้ความสนใจ

            ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมใช้ความคิดไปกับตัวเองแล้วจ้องหน้าเฟิร์สอยู่อย่างนั้นจนอีกคนรู้ตัว

            “หิวเหรอ”

            จะหิวได้ยังไง เพิ่งกินไปเมื่อกี้

            “เปล่า”

            เขาเลิกคิ้ว “ง่วงหรือเปล่า เดี๋ยวเราหรี่ไฟลงให้”

            “ไม่..ไม่ได้ง่วง”

            “…”

            เขาครางรับในลำคอ กลับไปสนใจหน้าจอแลปท็อปต่อ

            “…”

            ผมเงียบ แต่กลับเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา

            ถ้าผมเป็นคนที่พูดเก่งขึ้นมาบ้าง จะทำให้รอบตัวคลายบรรยากาศอึดอัดบ้างหรือเปล่านะ

            หลายครั้งที่สัมผัสได้ว่าเวลาคนอื่นที่อยู่กับผมไม่ค่อยจะสบายใจเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาพูด

            และดูเหมือนผมจะเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่แย่ไปพร้อมๆกันซะด้วย

            ดวงตาสีนิลยังจดจ้องอยู่ที่จอ คิ้วเข้มขมวดกันนิดๆเหมือนไม่ได้ดั่งใจ

            ถ้าผมจะลองเปิดบทสนทนาบ้าง คงไม่แปลกไปมากเท่าไหร่หรอก..

            “ทำอะไรอยู่เหรอ”

            “…”

            คิ้วเข้มคลายออกจากกันทันที “แก้เค้าโครงโครงงานอะ”

            ร้องอ้อออกมาในใจ

            ผมอยู่คนละกลุ่มกับเขา ไม่แปลกที่จะทำเสร็จก่อนอีกฝ่าย

            “…”

            เฟิร์สเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เงียบไป

            “เราช่วยมั้ย”

            อาจจะเป็นเพราะความง่วง หรืออะไรก็ตาม แต่ผมก็พลั้งปากพูดออกไปแล้ว

            “พูดจริงเหรอ”

            “อื้อ”

            อีกฝ่ายยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้าย “มานั่งใกล้ๆเราดิ”

            ผมหอบผ้าห่มที่พันรอบตัวไว้แล้วค่อยๆเดินไปนั่งข้างคนตัวสูง

            “เหลืออะไรบ้าง”

            “เกือบทั้งหมดเลย”

            “หือ ส่งวันพฤหัสนะ”

             ทำไมพวกที่สมองดีๆตั้งแต่เกิดมักจะขี้เกียจกัน

            “ทันอยู่น่า”

            ผมเพ่งสายตาไปที่จอสีฟ้า โน้มตัวลงไปใกล้ ก่อนจะชี้นิ้วให้เจ้าของห้องเห็นว่าต้องแก้อะไรบ้าง

            “อันนี้เราว่าเปลี่ยนใหม่ดีกว่า มันไม่ครอบคลุมเท่าไหร่”

            “…”

            ลากนิ้วลงมาบรรทัดข้างล่าง “อันนี้ต้องมีสามข้อ ส่วนคำถามก็ต้องกระชับกว่านี้”

            “…”

            ผมกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ

            “ที่มาดีแล้ว แล้วก็...”

            ผมสัมผัสได้ว่าคนข้างๆเงียบไป จนต้องหันไปมอง

            ก็เห็นสายตาคมที่จ้องลงมาก่อนอยู่แล้ว

            ผมชะงักจนหายใจผิดจังหวะ ก่อนจะกระแอมไอแล้วนั่งตัวตรงเหมือนเดิม

           “ประมาณนี้แหละ”

           หางตาเหลือบไปรอยยิ้มนั้น

           เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ไปไม่เป็นเลย

          “ที่ปรึกษาดีขนาดนี้...”

            “…”

            “ครูไม่ให้ผ่านก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”


 

           กลับมากวนประสาทเหมือนเดิมได้รวดเร็วเหลือเกิน

           “เราไปนอนก่อนนะ”

           ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะ ก็ยิ่งอยากจะโยนโคมไฟใส่หัวเจ้าของห้องสักที

 

           “ฝันดีนะ ที่หนึ่ง”

 

           และคืนนั้นก็หลับสนิทราวกับเป็นเวทมนตร์

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   f i v e [1]  ♥

เป็นคู่แข่ง


            เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดชี้ไปที่เลขสิบสอง ในยามที่พระอาทิตย์อยู่กลางหัวพอดี

            แดดจ้าที่ส่องลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา ทำให้ไม่ต้องเดาเลยว่าออกไปข้างนอกต้องร้อนระอุแทบจะเรียกว่านรกแน่

            เป็นเวลาที่น่าเอื่อยเฉื่อยเสียจริง

            ชายหนุ่มวัยกลางคนตวัดสายตามองเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งหลังห้องที่หยอกล้อกันอย่างไม่สนใจการเรียนการสอนตรงหน้า บางคนก็เริ่มเท้าคางลงกับโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย เสียงพูดคุยคิกคักเริ่มดังมาเป็นระลอก จนทำให้ชายหนุ่มหน้าห้องต้องถอนหายใจ พลางเหลือบมองนาฬิกาข้างผนัง

            “วันนี้พอแค่นี้ครับ กลับได้”

            เมื่อได้ยินประโยคแสนคุ้นเคยจากคุณครูสอนพิเศษหน้าห้อง เหล่าเด็กนักเรียนวัยมัธยมปลายต่างส่งเสียงเฮกันดังลั่นอย่างไม่เกรงใจ แตกฮือเหมือนผึ้งออกจากรัง เมื่อหมดเวลาเรียนที่ยาวนานกว่าสามชั่วโมงในตอนเช้า

            ผมลุกขึ้นสะพายเป้สีขาวคู่ใจอย่างเอื่อยๆ เพราะรู้สึกง่วงเต็มที จากการที่แทบจะไม่ได้พักผ่อนเมื่อคืน

            ดูเหมือนว่าชีวิตม.5 จะวุ่นวายกว่าที่คิด

            เพียงแค่เทอมแรกก็รู้สึกว่างานมันรุมเร้าจนไม่มีเวลาจะกระดิกตัวไปทำอย่างอื่น

            ยิ่งเป็นหัวหน้าห้อง เป็นตัวแทนในหลายๆเรื่องก็ยิ่งเพิ่มหน้าที่ให้รับผิดชอบอีกเป็นเท่าตัว

            ผมถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ในเมื่อตัวเองเลือกที่จะมาเส้นทางนี้แล้วก็คงต้องสู้ต่อไป

            “ก้าวออกมาจากห้องยังไม่ถึงครึ่งนาที เหงื่อไหลเป็นลิตรละ เราว่าประเทศไทยแม่งต้องตั้งอยู่กลางพระอาทิตย์แน่ๆ”

            เสียงเพื่อนสนิทผมบ่นกระปอดกระแปดเมื่อต้องออกมาจากห้องเรียนแสนเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศมาเจอกับสภาพอากาศแบบนี้

            “จะไปไหนต่ออะ” ผมถาม

            “ทำโครงงานต่อที่บ้านเต้  โคตรน่าเบื่อ”     

            ดูจากหน้าก็เชื่อแล้วล่ะว่าเบื่อจริงๆ

            “และแกอะ ไปไหน”

            “ไปซ้อมแข่งฟิสิกส์”

            วันนี้วันเสาร์ เป็นอาทิตย์แรกของการนัดซ้อมเพื่อไปแข่ง

            “อ๋อ กับเฟิร์สป้ะ”

            “กับน้องม.4 ด้วยคนนึง” ผมแก้ให้

            “จ้า ก็กับเฟิร์สด้วยนั่นแหละ” ลูกแพรยิ้มพร้อมกับทำหน้าล้อเลียน จนผมต้องเขกหน้าผากมนนั้นไปหนึ่งที 

            “ไปไงหนิ”

            “เดิน”

            “wtf ได้เหงื่อท่วมตายก่อนถึงที่ซ้อมแน่” อีกคนสบถคำหยาบออกมาทันทีเมื่อได้รับคำตอบจากผม
           
            ก็ขอพูดอีกทีว่าลูกแพรเป็นผู้หญิง ถึงจะห่ามไปหน่อยก็เถอะ

            “เอ้า ก็มันคนละทางกับที่ต้องไปซ้อม ไม่มีรถผ่าน”
           
            “บอกเค้ามารับ”

            “เค้าไหน”

 

            “เฟิร์ส”

            ผมทำหน้าเอือมใส่ลูกแพร ก่อนจะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “จะให้รอรถเป็นเพื่อนมั้ย”

            “เฟิร์สจริงๆ” เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจประโยคที่ผมพูด แต่กลับมองไปทางด้านหลังแทน
           
            “...”

            “หันไปดู” มือบางจับไหล่ให้ผมหันกลับไป ก่อนจะชี้นิ้วไปที่คนๆหนึ่งที่นั่งพิงผนังอยู่ไม่ไกล

            จนเหมือนรู้ตัว ถึงได้ละสายตาจากโทรศัพท์มามองทางผม

            ผมมองอีกฝ่ายด้วยความฉงน ส่วนลูกแพรเพียงแค่โบกมือบ๊ายบาย แล้วชิ่งไปขึ้นรถประจำทางที่ขับมาจอดข้างหน้าพอดี

            ยังไม่ทันจะอ้าปากถามออกไป คนตัวสูงก็เฉลยในสิ่งที่ผมสงสัยออกมา

            “มารับ”

            “รับ?”

            “อื้อ ไปซ้อมไง”

            ผมขมวดคิ้วใส่อีกคนทันที

            ไม่ถามหรอกว่ารู้ได้ไงว่าผมเรียนที่นี่ เพราะคนอย่างเฟิร์สก็เหมือนจะรู้ตารางเวลาของผมไปหมดแล้ว

            “ละมาจากไหน”

            “บ้าน”

            “จริงจัง?”

            ผมทำท่าเครียดอย่างปิดไม่มิด จนอีกคนขำใส่กับท่าทีของผม

            “มันทางผ่านพอดีอะ”

            “อยู่หอไม่ใช่เหรอ” ผมถามอย่างสงสัย

            “ก็กลับบ้านมา”

            บอกเลยว่าข้อสอบคณิตศาสตร์เกือบร้อยข้อที่ทำไปเมื่อตอนเช้าก็ไม่ได้ทำให้ผมงงขนาดนี้

            “ช่างมันเถอะ ไปซ้อมกัน” เขาตัดบทแล้วเดินไปประจำที่รถคันเดิม

            ถึงจะยังคลางแคลงใจอยู่ แต่ก็เลือกที่จะเดินตามอีกคนไปเพราะใกล้จะถึงเวลาที่ครูนัดเต็มทีแล้ว
           
            เหมือนรถมอเตอร์ไซค์ลูกรักของคนตรงหน้าจะจอดตากแดดไว้นานเกินไปบ่อย ทำให้ต้องรีบชักมือที่เอื้อมไปแตะเบาะกลับทันที

            “ร้อนเหรอ”

            ไม่ได้อยากจะทำตัวยุ่งยาก แต่ลองคิดสภาพแดดตอนเที่ยงกับรถที่จอดอยู่กลางแจ้ง ถ้ารถคันนี้มีชีวิตก็อาจจะตายไปแล้ว

            “นิดหน่อย ไม่เป็นไร รีบไปเถอะ” ผมส่ายหน้า มันก็ยังพอทนได้ ก็ยังดีกว่าต้องเดินไปเอง

            ถ้าอากาศเหมือนฤดูร้อนของประเทศเมืองหนาวสักหน่อยก็คงจะไม่ต้องมาลำบากใครทั้งนั้น

            “เดี๋ยว”

            “…”

            “อะ เอาไปรอง”

            “จะให้นั่งทับเสื้อคนอื่นได้ไง แดดก็ร้อน ใส่ไปเหอะ” ผมปฏิเสธทันทีเมื่อเฟิร์สถอดแจ็คเก็ตสีดำยื่นให้

            “เราใส่เสื้อแขนยาว ไม่เห็นเหรอ”

            “ก็...”

            “รองไว้ กางเกงก็ยิ่งบาง ที่ซ้อมไกลด้วยนะจะบอก”

            กลับไปผมจะเอาพวกกางเกงยางยืดเก็บเข้ากรุให้หมด ซื้อกางเกงยีนส์หนาๆมาไว้ซักสิบตัว จะได้ไม่เกิดปัญหาแบบนี้อีก

            “ชักช้าไปสายนะ”

            ผมพรูลมหายใจออกมาเมื่อคำค้านถูกปัดตกไป ก่อนจะพับเสื้อให้ดีๆเพื่อไม่ให้ไหลลงไปเกี่ยวกับล้อรถ

            เข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบ บ่งบอกเวลาที่เหลืออีกแค่ไม่กี่นาที

            “เดี๋ยวจอดเซเว่นให้แป๊บนึง” เจ้าของรถที่เพิ่งสวมหมวกกันน็อคเสร็จเอี้ยวตัวมาพูดให้ได้ยิน

            “จอดทำไมอะ”

            “ซื้อข้าวดิ เพิ่งเลิกไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ปวดท้องอีก”

            “อ่อ โอเค”

            “เอายามามั้ย”

            “เอามา”

            อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ก่อนจะบิดคันเร่งทะยานตัวออกไป

            ผมมองแผ่นหลังกว้างนิ่ง เลือกที่จะไม่พูดอะไร

           เงยหน้ามองแดดที่ค่อยๆเคลื่อนลงจากหัวไปทางทิศตะวันตก

           ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาในวันหยุดแบบนี้

           ทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่ได้น่ายินดีเลยด้วยซ้ำ

           แต่กลับไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนกับที่ผ่านมาเลย..




            “มากันแล้ววววววว”

            เสียงใสตะโกนทักทายมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลงจากรถ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร

            น้องม.4 คนนั้นนั่นแหละ

            ชื่ออะไรสักอย่าง ผมจำไม่ได้แล้ว

            สุดท้ายก็มาเลทตั้งแต่วันแรก เพราะมัวแต่รอพนักงานเซเว่นอุ่นอาหารให้

            ช่างเป็นนักเรียนดีเด่นเสียจริง

            “ขอโทษที่มาเลทนะครับครู พอดีผมเพิ่งเลิกเรียนครับ” ผมหันไปไหว้คุณครูที่เพิ่งเดินออกมาสมทบ

            “ไม่เป็นไร ทานข้าวให้เสร็จก่อนค่อยเริ่มก็ได้”

            ครูหนิงก็ยังเป็นครูหนิง ท่าทางสบายๆไม่รีบร้อนของผู้สอนทำให้ผมเบาใจไปเปราะหนึ่ง ถึงจะสนิทกันเพราะถูกวานให้ไปช่วยงานบ่อยๆ แต่ก็รู้สึกเกรงใจที่ต้องปล่อยให้มารอแบบนี้

            “ซื้อมากินอ้างหน้างี้ พีชก็หิวแย่เลยอะดิ”

            อ้อ ชื่อพีช

            “เอ้า มากินด้วยกันมา”

            “ให้กินจริงอะ พีชกินเยอะน้า” รุ่นน้องตาเป็นประกายทันทีเมื่อเฟิร์สเอ่ยชวน คนตัวสูงหัวเราะให้อย่างเอ็นดู พร้อมกับตบที่นั่งข้างๆเชิงให้นั่งลง

            “มานานแค่ไหนละ”

            “ก็สักพักแล้วค่ะ นึกว่าพวกพี่จะมาก่อนเลยรีบมา”

            ผมเหลือบมองเด็กผมเปียตรงหน้า

            คำพูดของน้องฟังผ่านๆก็เหมือนจะไม่ได้ตำหนิอะไร แต่ถ้าคิดเล็กคิดน้อยหน่อยก็รู้สึกผิดที่ปล่อยให้น้องมารอคนเดียว

            “ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะ”

            อีกคนพูดแทนผมไปแล้ว เลยได้แต่ก้มหน้าลงทานข้าวต่อ

            “ไม่เป็นไรเลยยย พีชชิลๆ แล้วนี่ไปไหนกันมาอะ”

            “ไปรับที่หนึ่ง มีเรียนเช้าอะ ละก็ไปซื้อข้าวมา”

            “อ๋อ”

            ผมนั่งเงียบๆ ปล่อยให้ทั้งคู่คุยกัน

            “แล้วที่พีชบอกในแชท สรุปว่าไงอะ ไม่เห็นตอบ”

            “พี่หลับแล้ว”

            “โหย ห้าทุ่ม เด็กดีสุดๆ”

            “ใครจะนอนดึกเหมือนเรา” น้องถูกคนข้างตัวเขกหน้าผากไปเบาๆ

            บรรยากาศแบบนี้อีกแล้ว

            “แล้วว่าไงคะ อ่านที่พีชถามยัง”

            “เห็นแล้ว ก็ได้อยู่ พี่จะไปส่งเราก่อนแล้ววนกลับมารับที่หนึ่งทีหลัง”

            “ลำบากแย่เลย พีชไม่รู้ว่ามีพี่หนึ่งมาด้วย” น้องหันมามองผม “รบกวนด้วยนะคะ”

            ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนตกลงกันว่าอะไรบ้าง ไม่อยากจะไปถามเซ้าซี้ เลยได้แต่พยักหน้าอือออตามน้ำไป

            แต่พอคิดดูอีกทีกว่าจะเลิกก็เกือบห้าโมงเย็น ถึงตอนนั้นแดดก็คงร่มแล้ว เดินออกกำลังสักหน่อยก็ไม่ได้ลำบากหรอก

            “กลับตอนไปส่งน้องเลยก็ได้ วนกลับไปกลับมามันเสียเวลาเปล่าๆ ยังไงบ้านเราก็อยู่คนละทางกัน”

            “แล้วจะกลับยังไง มันไกลนะ” อีกฝ่ายปั้นหน้าดุพลางเอ่ยเสียงเข้ม “มาด้วยกันก็กลับด้วยกันดิ”

            “เดินไปโรงเรียนก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ เดี๋ยวเราขึ้นรถต่อเอา”

            “…”

            “ตามนี้แหละ”

            อีกฝ่ายจ้องหน้าผมนิ่งๆ เหมือนไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ

            ฝ่ายรุ่นน้องก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ยิ้มแห้งแล้วเดินหลบฉากออกไปเมื่อบรรยากาศเริ่มคุกรุ่น

            ผมไม่พูดอะไรต่อ ไม่สบตากับอีกฝ่าย แล้วลุกออกจากที่ตรงนั้นไป

            ขนาดเพื่อนสนิทหรือเพื่อนในกลุ่มแท้ๆผมยังเกรงใจที่บางครั้งต้องวานให้ช่วยเหลือ นับประสาอะไรกับเฟิร์ส ที่หยิบยื่นน้ำใจให้หลายต่อหลายครั้งทั้งที่ผมไม่เคยแสดงท่าทีที่ดีต่อเขาเลย

            มันไม่ใช่การเล่นตัว หรือยั่วยุให้อีกฝ่ายโกรธ แต่มันเป็นความไม่สบายใจลึกๆที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ

            ไม่เคยมีคนมาให้ความสนใจผมแบบนี้มานานมากแล้ว

            ไม่แปลกเลยที่เมื่อได้รับอย่างไม่ทันตั้งตัว จะทำให้ผมรู้สึกไม่ชินและต้องปฏิเสธออกไป

            ผมรู้ว่าเขาต้องอารมณ์ไม่ดีแน่

            แต่คงไม่นานหรอก เดี๋ยวก็กลับมากวนประสาทเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

            “เข้ามาซ้อมได้แล้วทั้งสองคน”

            ก็คงไม่ต้องบอกว่าบรรยากาศวันนี้คงจะเต็มไปด้วยความรู้สึกขุ่นมัวอีกแล้ว...

 

            “พีช หยิบกระดาษให้พี่หน่อย”

            “โอ้ย พีชนั่งอยู่ไกลกว่าพี่อีก ไม่เดินไม่หยิบเองเล่า”

            “อายุเท่านี้ทำไมขี้บ่นจริง ไปหยิบเร็ว”

            “ห่างกันตายอะ ปีเดียว”

            “พูดดีๆ”

            “ขอโทษค่า~”

            สมอลทอล์กวันนี้ช่างขัดใจจริงๆ

            เร่งเสียงจนเต็มหลอดก็ยังได้ยินเสียงเล็ดลอดเข้ามาอยู่ดี

            หากถามว่านิสัยอีกอย่างหนึ่งของผมที่ชัดเจนเอามากๆคืออะไร ก็คงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้

            รำคาญ

            ผมไม่ได้ชักสีหน้าใส่หรือทำหน้าบึ้งหน้าบูดอะไรทั้งนั้น แค่คิดในใจกับตัวเอง ถึงจะมีคนบอกว่าผมเป็นคนเก็บอารมณ์ไม่เก่ง แต่ก็มั่นใจผมว่าฉลาดมากพอที่จะไม่แสดงกิริยาใดๆในสถานการณ์แบบนี้

            “ที่หนึ่ง นั่งเงียบเชียว ได้ยินที่ครูพูดหรือเปล่า”

            “ได้ยินครับ”

            ยอมเสียมารยาทใส่หูฟังต่อหน้าครูก็ยังดีกว่าเพิ่มความรำคาญให้ตัวเอง

            “งั้นก็เอาตามนี้นะ เวลาซ้อมก็มากพอตัวอยู่ อาจจะมีนัดเพิ่มหลังเลิกเรียน ยังไงเดี๋ยวครูบอกแล้วกัน”

            “ครับ”

            “พีชถ้าตามไม่ทันก็ถามพี่เขา อย่าปล่อยให้เป็นความสงสัย แต่ครูรู้ว่าเธอก็เก่งพอตัวเหมือนกัน”

            “แหะๆ ขอบคุณค่ะครู”

            “ตั้งใจนะ”

            เวลากว่าสองชั่วโมงผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อย วันนี้ก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่นอกจากคิดรูปแบบการทดลอง และคงไม่เสร็จอีกด้วย เพราะอีกฝ่ายก็ตึงใส่กัน

            ผมไม่แปลกใจที่น้องม.4 ไม่ค่อยคุยด้วย ถ้าผมเป็นน้องก็คงจะทำแบบเดียวกัน

            นอกจากจะไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเข้าหา ก็ยังเป็นพวกถามคำตอบคำ

            ไม่ได้มีอคติอะไรกับน้อง เพราะน้องก็เป็นเด็กผู้หญิงแก่นๆร่าเริงทั่วไป ถ้าสังเกตดีๆผมก็ปฏิบัติกับคนที่ไม่สนิทอย่างนี้เกือบทุกคน

          “ทำไมนอนดึกอะเมื่อคืน”

            “ถ้าบอกว่าอ่านหนังสือจะเชื่อป้ะ”

            “หึ” ร่างสูงส่ายหัว

            “โหย พี่จะดูถูกพีชเกินไปแล้ว”

            “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่ไม่ได้ดูผิด”

            “พี่เฟิร์ส!”

            “ฮ่าๆๆๆ”

            คนตัวสูงดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างผิดคาดเมื่อได้คุยกับรุ่นน้องหน้าหมวย

            ก็ดีแล้ว จะได้หายบึ้งตึงสักที

            “ผมปรกหน้าหมดละ”

            จังหวะที่เผลอเงยหน้าขึ้นจากหนังสือนั้น

            ผมก็เห็นเพื่อนร่วมห้องค่อยๆทัดปอยผมให้น้องอย่างตั้งใจ ก่อนที่สายตาคมดุจะเลื่อนมามองที่ผมนิ่งๆ

            ผมไม่ได้หลบตาในทันที เพียงมองเข้าไปในดวงตาสีนิลคู่นั้นอย่างไม่เข้าใจ

            แต่สุดท้ายก็เป็นผมที่หลุบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

            ขอบตาร้อนผ่าว แต่ไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด

            ยิ่งเห็นน้องม.4 เขินจนโวยวายใหญ่

            มือที่จับดินสอก็ยิ่งกำแน่นขึ้น

            มันไม่ใช่ความรู้สึก โกรธ หึงหวง หรือไม่พอใจ

            ไม่ใช่เลยทั้งนั้น

            “ขอไปเข้าห้องน้ำนะครับครู”

           

           ผมลุกออกมาโดยไม่ได้ฟังคำอนุญาต

           แต่ถ้ายังขืนอยู่ตรงนั้นต่อ มีหวังได้แสดงด้านที่ไม่ดีออกไปแน่ๆ

            ไม่ชอบความรู้สึกอ่อนแอเลยสักนิด

            และไม่ชอบ...ที่ควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้

            เหตุผลที่ผมที่สร้างเส้นกั้นให้ตัวเองเป็นร้อย มันไม่ได้มีมากมายอะไรเลย และครั้งนี้ก็อีกเหตุผลหนึ่งเช่นกัน

            ผมปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์

            พิมพ์ข้อความสั้นๆ ลงบนแอปพลิเคชันที่คุ้นเคย

            กดบันทึก ก่อนจะปล่อยมือถือลงกับโต๊ะอย่างอ่อนแรง

            ‘ไม่คิดว่าจะรู้สึกแบบนี้อีก’

         

          ความรู้สึกน้อยใจ

          มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย


 

          อันที่จริงแล้ว ผมน่ะ ไม่เคยได้เป็นที่หนึ่งเหมือนชื่อหรอก..



____________________________

ฝากเอ็นดูน้องที่หนึ่งกับเฟิร์สด้วยนะคะ ; )

#เป็นที่หนึ่ง

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
สงสารน้องงงง  :hao5:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เฟิสแกอ่อยเรี่ยราดมาก เอาสักคน เลือกสักคน~

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
คลุมเครือมากก  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   f i v e [2]  ♥

เป็นคู่แข่ง


            สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์มาถึง

            เป็นวันที่เด็กมัธยมรอคอย เพราะแทบจะไม่มีการเรียนการสอน เนื่องจากกิจกรรมที่เตรียมไว้มากมาย ไหนจะซุ้มนิทรรศการที่จัดขึ้นเกือบสิบ และเป็นงานเปิดซะด้วย

            สตาฟของงานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

            ก็รุ่นม.5 อีกตามเคย

            จริงๆมันควรจะส่งมอบให้ม.4 ได้ดูแลบ้าง เพื่อให้น้องได้รู้จักเรียนรู้ เพราะม.5 ก็ยุ่งๆกับกีฬาสี ไหนจะโครงงานอะไรต่อมิอะไรอีก แต่ข้อเสนอก็ไม่ได้รับการยินยอมจากฝ่ายปกครองด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย

            ถ้าให้เรียงลำดับความสบายของเด็กมัธยมปลาย ม.4 คือที่สุดแล้ว

            “ที่หนึ่ง ครูเรียกอะ”

            ผมหันไปมองตามเสียงเรียก แล้วเดินเข้าไปหา

            วันนี้เป็นวันแรก เรียกได้ว่าเป็นวันแห่งความวุ่นวายสุดๆ ทั้งจะต้องแบ่งไปคุมรอบงาน เฝ้าซุ้ม แถมยังต้องดูแลเด็กประถมที่มาจากต่างโรงเรียนอีก สตาฟก็แทบจะไม่ได้นอนกันเพราะต้องรีบตื่นมาเตรียมของ จัดบริเวณรอบอาคารให้เรียบร้อย ผมเองก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น

            ถ้าเดินผ่านกันแล้วเห็นขอบตาคล้ำก็ไม่ต้องเดาเลยว่ารุ่นไหน

            “เดี๋ยวถ้าว่างแล้วครูฝากวานเอาใบรายชื่อคนแข่งไปเรียงหน่อยนะ จะได้ติดลำดับที่เลย”

            “เป็นหลังเลิกเรียนวันนี้ได้มั้ยครับ”

            “ได้ แต่ขอให้ทันวันแข่งก็พอแล้ว หรือจะให้เพื่อนคนที่ว่างไปทำก็ได้ ครูรู้ว่าเธอก็ยุ่ง”

            อีกข้อหนึ่งของการเป็นเด็กกิจกรรม คือการถูกไว้ใจจากคุณครู

            ถามว่าเป็นข้อดีมั้ย มันก็ต้องดีอยู่แล้ว แต่ถ้ามองในอีกแง่ก็แทบจะทำให้ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย เพราะถ้าเคยได้เรียกใช้ใคร ก็จะใช้คนนั้นไปตลอด

            ผมพยักหน้า ก่อนจะรับใบรายชื่อคนลงแข่งมาเปิดดูคร่าวๆ

            สัปดาห์วันวิทย์ นอกจากซุ้มนิทรรศการ หรือการแสดงต่างๆแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือการแข่งขัน

            มีเยอะจนต้องถอนหายใจ โรงเรียนก็ขยันจัดขึ้นมาเก่งเหลือเกิน

            เพราะแข่งช่วงวันท้ายๆที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูแลมากเท่าวันแรก ทำให้ผมตัดสินใจลงแข่งเป็นบางรายการที่ไม่ต้องใช้สมองอะไรมาก เป้าหมายแค่เพียงอยากได้เกียรติบัตรมาสะสมผลงาน

            ผมเปิดกระดาษผ่านไปเรื่อยๆจนเจอหัวข้อที่ตัวเองแข่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมองรายชื่อเกือบล่างสุด

            สายตาก็ไปสะดุดกับชื่อที่คุ้นเคย

            ไม่ใช่แค่หัวข้อเดียว เพราะเมื่อเปิดไปอีกก็เจอ

            ผมจะไม่เอะใจอะไรเลยถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ลงแข่งเหมือนผมทุกอย่างแบบนี้

            คิดจะทำอะไรกันแน่

            ผมลอบถอนหายใจ

            จากวันนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ก็กลับมาอีหรอบเดิมเหมือนตอนม.4 ถึงจะพอรู้ตัวว่าเขาไม่ได้ติดค้างอะไรในใจแล้ว ยังกวนประสาทได้เหมือนเดิมตามเคย

            แต่ผมทำไม่ได้

            เหตุการณ์วันนั้น ถ้ากลับมาคิดทวนดีๆก็ไม่ใช่อะไรร้ายแรง แทบจะไม่ใช่ความผิดของเฟิร์สเลย มันขึ้นอยู่กับตัวผมทั้งนั้น

            ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปน้อยใจเลย เพราะตัวเองก็ไม่สำคัญอะไรตั้งแต่แรก

            เฟิร์สก็คือเฟิร์ส

            ผมควรจะเข้าใจได้ตั้งนานแล้วว่าจริงๆเขาก็เป็นห่วงทุกคน ดูแลทุกคน ใจดีกับทุกคนเท่ากัน

            ไม่ใช่แค่เฉพาะผมคนเดียว

            แต่ถึงจะคิดได้ยังไง ก็ไม่อยากสู้หน้าอีกฝ่ายแล้ว

            ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเถอะ ถึงจะไม่ได้ดีเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจะทำเหมือนอีกฝ่ายไร้ตัวตน

            พอใจกับที่เป็นอยู่แล้วล่ะ..

            “ซุ้มภูเขาไฟขาดคนดูแลว่ะ มีใครว่างมั่ง”

            “ไล่จับเด็กน้อยอยู่เนี่ย โคตรเหนื่อย ทำไมพากันดื้อแบบนี้”

            “ฝนก็จะตก ซุ้มพังขึ้นมานี่ชิบหายกันถ้วนหน้าแน่ๆ”

            เสียงสตาฟในละแวกเริ่มโอดครวญ สภาพอากาศวันนี้ก็ช่างจะเป็นใจเหลือเกิน ร้อนมาตลอดเกือบทั้งเดือน เพิ่งจะมาฝนตกเอาเสียได้

            “เด็กเป็นลมๆๆๆ สตาฟไปดูหน่อย” เสียงตะโกนมาจากอีกฟาก ทำให้กลุ่มที่เพิ่งได้นั่งลงต้องรีบกุลีกุจอลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้

            “ฮืออออ กูยอมกลับไปทำโครงงานแล้ว”

            ประโยคสั้นๆแต่เรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่จากสตาฟบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย

ถึงจะวุ่นวาย แต่ก็คิดซะว่าได้ทำอย่างอื่นบ้างนอกจากเรียนแล้วกัน

 

            “เชื่อมั้ยว่าวันนี้ฉันพูดคำว่ารำคาญมาเกือบพันครั้งแล้ว”

            ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินคำสรรพนามแทนตัวนี้ นอกเสียจากว่าลูกแพรจะอารมณ์เสียเข้าขั้นสุดจริงๆ

            ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เพื่อนสนิทผมอารมณ์บูดทั้งวัน แค่นึกถึงตอนพักเที่ยงแล้วมีเด็กประถมวิ่งมาชนแล้วถูกลูกแพรแยกเขี้ยวใส่จนร้องไห้จ้า ผมก็ขำไม่หยุดสักที

            “ไปถือสาเด็กทำไม”

            “ทางเดินกว้างเป็นเมตร เดินวิ่งมาชนฉันเนี่ยนะ ไม่ด่าก็บุญแล้ว”

            “นั่นเด็กป้ะ”

            “ป.5 ก็สมควรรู้เรื่องได้แล้วป้ะล่ะ”

            ผมกลั้นหัวเราะให้แทนคำตอบ เพราะไม่รู้จะขำเพื่อนหรือสงสารเด็กดี

            “เออ มีอะไรจะถาม”

            “ว่า”

            “เฟิร์สคบกับน้องม.4 อยู่เหรอ ที่หน้าหมวยๆ ตัวเล็กๆละก็ชอบถักเปียมาโรงเรียนอะ”

            “…”

            ผมนิ่งไป เด็กผู้หญิงคนนั้นคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพีช

            “ทำไมอะ”
           
            “เอ้า ก็ไม่เห็นเหรอวันนี้ มาโรงเรียนด้วยกัน แถมยังตัวติดกันจนแบบน่าหมั่นไส้อะ”

            เอาเข้าจริง ผมก็ไม่เห็นเจ้าตัวตั้งแต่เช้าแล้ว

            ยุ่งขนาดนี้คงจะมีเวลาไปสนใจคนอื่นหรอก

            “เหรอ ไม่รู้สิ”

            “งั้นน้องม.4 ใช่คนที่ไปแข่งฟิสิกส์ด้วยป้ะ”
           
            “ใช่”

            “โป๊ะเชะ งั้นก็ข่าวจริงแล้วล่ะ ลือกันมาขนาดนี้”

            ผมไม่รู้จะพูดอะไร เลยปล่อยให้ลูกแพรพูดเจี๊ยวจ๊าวไปเรื่อยคนเดียว

            อื้อ ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เขาดูเข้ากันดีตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว

            ไม่ได้สนใจเลย..จริงๆ

            “ละทีตอนแรกทำมาเป็นสนใจเพื่อนฉัน ไอ้กะล่อนเอ้ย”

            “มั่วละ”

            “พูดจริงๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ คนแบบนี้ก็คงไม่อยากให้ยุ่งด้วยแล้ว”

            “…”

            “เอ้อ ลืมบอกอีกเรื่อง จำได้ป้ะที่ครูเพชรมาถามแกว่าจะลงแข่งชีวะให้มั้ย แล้วแกบอกว่าขอคิดดูก่อนเพราะหาเวลาว่างไม่ได้อะ”

            “ก็จัดเวลาได้แล้วนะ แต่ยังไม่ได้บอกครูว่าจะไป”

            “ชิบหาย ละรู้ยังว่ามีคนเสนอตัวไปแทนแกแล้ว”

            “ใคร?”

            “คนเดิม เฟิร์สนั่นแหละ นี่ก็ไม่รู้ว่าครูเพชรจะเอายังไง ยังไงก็ไปคุยกับครูก่อนละกัน เชื่อดิว่ายังไงครูก็เลือกแก”

            ผมเม้มปากแน่น

            เมื่อไหร่จะเลิกยุ่งเกี่ยวกันสักที

            “ไปคุยตอนนี้แหละ”

 

            ฝนที่ตั้งเค้าว่าจะตกตั้งแต่เมื่อเช้าเริ่มเทลงมา

            ทั้งห้องพักครูเงียบ จนได้ยินเสียงเปาะแปะที่กระทบลงบนหลังคา

            ใบหน้าที่รู้สึกผิดของคุณครูนั้น ทำให้ผมตกกดความรู้สึกผิดหวังลงไว้ในใจ

            “ครูนึกว่าเธอจะไม่ลง ก็เลยลงชื่อให้เฟิร์สไปแข่งแทน” ครูตบบ่าผมเป็นเชิงปลอบ “ขอโทษนะที่หนึ่ง”

            “ไม่เป็นไรครับ ผมก็ผิดที่มาบอกช้าไป”

            “ไว้รอบหน้านะ สัญญาเลยว่ายังไงก็เป็นเธอ” คุณครูร่างท้วมยิ้มให้อย่างโล่งใจเมื่อเคลียร์ปัญหาเสร็จสิ้น

            “ครับ”

            ปฏิเสธไม่ได้ว่าผิดหวัง

            แต่ก็นึกไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้ยังไงสักวันก็ต้องเกิดขึ้น ในเมื่อคำว่าที่หนึ่งตลอดกาลใช้ไม่ได้ผลตั้งแต่มีอีกคนมาอยู่ในโรงเรียนนี้แล้ว

            ยกมือไหว้ครู แต่ไม่ทันจะได้เดินออกไปจากห้อง ประตูก็ถูกผลักเข้ามาก่อน

            “ขออนุญาตครั...อ้าว”

            “เฟิร์ส..” เสียงลูกแพรเอ่ยขึ้นเบาๆเมื่อเห็นหน้าคนที่เพิ่งเข้ามา

            ผมอยากจบปัญหากับเขาตรงนี้สักที

            มันคาราคาซังมาจนผมไม่อยากทนแล้ว

            “มาคุยกับเราหน่อย”

 

 

            ลูกแพรลงไปรอข้างล่างแล้ว ตอนนี้จึงเหลือผมกับอีกฝ่ายแค่สองคน

            “ว่าไง”

            “เราเหนื่อย”

            ผมพูดตรงๆขึ้นมาอย่างไม่อ้อมค้อม

            “คือเรา เราไม่รู้ว่าเฟิร์สคิดอะไรอยู่ และเราก็คิดว่าเฟิร์สอาจจะยังไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรามากพอ”

            “...”

            “พูดตามตรงเราไม่เข้าใจเลยว่าตั้งแต่เปิดเทอมมานายจะเข้าหาเราไปเพื่ออะไรทั้งที่ตอนม.4 เราก็ไม่ได้สนิทกันเลย เราไม่รู้ว่าทำไมเราต้องมาแข่งกับนายทุกครั้ง ซ้ำๆเดิมๆทุกครั้ง”

            “…”

            “ไม่เคยปฏิเสธว่านายเก่ง เผลอๆก็เก่งกว่าเรา เราไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่บางครั้งนายก็จงใจลงแข่งกับเราตลอด แค่แข่งในวันวิทย์นายก็ยังลงหัวข้อเดียวกับเรา”

            ผมพรั่งพรูออกมายาวเหยียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คงเป็นเพราะอัดอั้นมาตั้งนาน คิดไว้แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องพูดให้จบ จะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกันอีก

            “เราถามจริงๆเถอะ”

            “…”

            “เมื่อไหร่จะเลิกแข่งกับเราสักที เราเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

            ไม่รู้ว่าประโยคจะแรงไปหรือเปล่า แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่จริงๆ

            และเขาก็ยังคงเงียบอยู่ดี...

            จนผมจะก้าวหนีนั่นแหละ อีกฝ่ายถึงได้พูดออกมา

            “ไม่เลิกหรอก”

            “…”

            “ถ้าเลิกแล้วทำให้ที่หนึ่งไม่สนใจ เรายอมให้โดนเกลียดยังดีกว่า”

            คนตัวสูงไม่พูดเปล่า เขาขยับเท้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น

            ไม่ไหวแล้ว.. พอกันที

            ทำไมถึงชอบล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้

            “พูดเองนะ”

            “…”

            “ถ้าอยากเป็นคู่แข่งกับเรานัก ก็ได้”

            “...”

            “แล้วไม่ต้องแปลกใจเลย ถ้าเราจะเกลียดคนที่เป็นคู่แข่งเรา”


         

            ตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่าผมไม่ใช่ดาวศุกร์อย่างที่เคยเปรียบเทียบไว้

            เพราะผมไม่ได้อยู่ในวงโคจรเดียวกับเขาด้วยซ้ำ...

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสารความรู้สึกน้อง~

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ยังไงก็เข้าข้างหนึ่ง
มีคนมาทำแบบนี้กะเรา เราคงงง

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
หูยยยยยยย  :katai1: :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อึดอัดใจ

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r    s i x  ♥

เป็นอย่างที่เคยเป็น


         ผมเขียนบันทึกไดอารี่มาเกือบสามปีแล้ว

         อาจจะดูไร้สาระสำหรับใครบางคน แต่มันกลับเป็นสิ่งเยียวยาจิตใจของผมได้มาก

         หากไม่มีใครให้ระบายหรือปรึกษา ตัวเองจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

         คนเรามีการกำจัดอารมณ์ด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป การได้เขียน ได้ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น อึดอัดน้อยลงเหมือนได้ระบายความรู้สึกออกมาบ้าง

         พอเวลาผ่านไปนาน เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไงนะ

         ไดอารี่ที่มีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป เรียงร้อยกันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น

         ปัดนิ้วเลื่อนลงไปข้างล่าง จนเจอกับบันทึกครั้งแรก

         ตอนนั้นผมอายุแค่สิบสี่

         เป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ถึงจะไม่ค่อยพูด แต่ก็มักจะยิ้มให้คนรอบข้างตลอด

         ผมภูมิใจกับชื่อที่ป๊าตั้งให้เอามากๆ ทุกครั้งที่ได้แนะนำตัวผมจะเอ่ยชื่อตัวเองอย่างชัดเจน

         ‘ชื่ออะไรน่ะเรา’

         ‘ที่หนึ่ง’

         ‘…’

         ชื่อเป็นที่หนึ่งครับ’

         เป็นชื่อที่แปลกจนทุกครั้งที่บอกไปต่อหน้าเพื่อนๆ ต้องเกิดความสงสัยกลับมาทุกครั้ง

         ‘ทำไมถึงชื่อที่หนึ่งล่ะ เป็นลูกคนแรกเหรอ’

         ผมก็ไม่เคยตอบ ได้แต่ส่ายหัวแล้วส่งยิ้มเล็กๆให้คำถามนั้น

         เพราะไม่นานก็จะมีคำตอบให้กับคำถามนี้เอง..

 

         พี่ชายคนโตของผมชื่อเอก ส่วนพี่สาวคนกลางชื่อวันที่แปลว่าเลขหนึ่ง

         ความหมายของชื่อเราพี่น้องสามคนเหมือนกันด้วยความตั้งใจของป๊าม๊า

         ที่คาดหวังกับลูกทุกคนไว้ตั้งแต่ยังเล็ก..

         พี่เอกเป็นคนที่จัดได้ว่าหน้าตาดีเลยทีเดียว แม้จะขี้หงุดหงิด อารมณ์รุนแรง แต่ก็ถือว่ารักครอบครัวและพร้อมปกป้องคนที่ตัวเองรัก

         ส่วนพี่วันก็เป็นคนน่ารัก ถึงจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็เอ็นดูผมมาตลอด

         ทั้งสองเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ใจดีกับผมยังไงก็ใจดีกับผมอย่างนั้นเสมอ

 

         ‘น้องหนึ่ง ไปเล่นน้ำกัน’

         ‘แต่ว่าม๊า...’

         ‘พี่ขอให้แล้ว วันนี้วันสุดท้ายนะ น้องหนึ่งไม่อยากไปเล่นเหรอ’

         เด็กน้อยวัยสิบขวบที่ไม่เคยสัมผัสกับคำว่าสงกรานต์ส่ายหน้า คว้ามือพี่ชายและพี่สาวตรงหน้าไว้ทันที

         ‘จับมือพวกพี่ไว้นะ ถ้าหลงกันแย่แน่เลย’

         เป็นวันแรกที่เป็นที่หนึ่งได้เข้าใจโลกของความสนุกในช่วงวัยนั้น

         แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ทั้งสองโดนตี..

         ‘ม๊าบอกว่าอย่าพาน้องเถลไถล ถ้าเป็นอะไรกันขึ้นมาจะเป็นยังไง!’

         ‘ม๊าก็ปล่อยให้น้องไปทำอย่างอื่นมั่งดิ ไม่ใช่แค่อ่านหนังสืออยู่ในบ้านคนเดียว’

         ‘น้องยังเด็ก พวกแกจะไปเข้าใจอะไร ก็เป็นแบบนี้กันทั้งคู่ ม๊าถึงต้องคาดหวังกับน้องไว้ไง!’

          เด็กน้อยยืนร้องไห้ มองพี่ๆที่ถูกตีเพราะตัวเองด้วยความรู้สึกเสียใจ

          เสียใจที่ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้

          ทั้งที่รู้แก่ใจว่าพี่ๆโกหกเพื่อให้คนเป็นน้องได้ก้าวออกจากพื้นที่เดิมๆ

          แต่ก็ขี้ขลาดเกินที่จะปกป้อง..

         

         บันทึกไดอารี่ครั้งแรกไม่ได้มีความยาวมากนัก

         แต่กลับไปอ่านอีกกี่ครั้งก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกตอนนั้นเสมอ

         นานมาแล้วที่เราทั้งสามคนไม่ได้พูดคุยหยอกล้อเหมือนเคยทั้งที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน

         ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่มีใครอยากให้ความสัมพันธ์มันเป็นแบบนี้ แต่จะให้แก้ไขก็คงเสียไปเสียแล้ว

         ผมในวัยสิบขวบกับตอนนี้น่ะ

         ขี้ขลาดไม่ต่างกันเลย
         
 

 

         อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นช่วงเวลาของกีฬาสี

         แต่ก่อนที่จะถึง ก็คงต้องผ่านโครงงานให้รอดก่อน

         ถ้าให้เปรียบเทียบกับสัปดาห์วันวิทยาศาสตร์กับวันนี้ ก็คงไม่ต่างกันมากนัก ติดที่วันนี้จะดูครื้นเครงกว่าหน่อย เพราะนักเรียนจากโรงเรียนอื่นที่มาไม่ใช่เด็กประถมเหมือนวันนั้น แต่เป็นรุ่นเดียวกัน

         โอกาสที่จะได้เพื่อนใหม่ยิ่งมีมากเพราะเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ถ้าได้ยินมาไม่ผิดตอนเย็นของวันนี้ก็อาจจะปาร์ตี้กันนิดหน่อย

         นักเรียนชั้นม.5 ที่กระจายตัวกันอยู่รอบโรงเรียนเริ่มทยอยเดินเข้าอาคารหลังจากได้ยินเสียงประกาศผ่านลำโพงให้มารวมตัวกันเพื่อจัดการภารกิจวันนี้ให้เสร็จสิ้น

         ผมถอดแมสปิดปากออก กวาดตาทวนสคริปต์อีกที ก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเสื้อ

         “หน้าไม่เอ็นจอยเลยว่ะ”

         เต้เดินเข้ามาทัก อีกฝ่ายวิ่งวุ่นทั้งวันเพราะเป็นกลายเป็นอาสาสมัครจำเป็นที่ต้องคอยช่วยเหลือคุณครูตลอดเวลา ผมเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆตามกรอบหน้าของเพื่อนร่วมกลุ่มก็อดจะยื่นทิชชูให้ไม่ได้

         “ต้องเอ็นจอยกับอะไร สคริปต์ยาวเป็นหางว่าว”

         “ธรรมดาล่ะครับคุณหัวหน้า”

         เนื่องจากฝ่ายคณะกรรมการนักเรียนต้องไปทำหน้าที่เฉพาะ กรรมจึงมาตกที่ผมแทน

         ถึงจะเคยไปแข่งพูดสุนทรพจน์ แต่การขึ้นไปกล่าวเปิดงานมันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยจะถนัดเท่าไหร่ แถมยังมีเวลาให้เตรียมตัวแค่ไม่กี่วัน เพราะผมก็ต้องซ้อมโครงงานของตัวเองไปด้วย

         “ละห้องเราอยู่แถวไหน”

         “แถวขวาสุดเลย สแตนบายกันเรียบร้อยละ แม่งโดนประเมินแถวแรกอีก โคตรบันเทิงอะงานนี้”

         “ใครจับฉลาก”

         “เกด”

         “เออ สมควร”

         เราต่างหัวเราะออกมาอย่างเข้าใจกัน

         รองหัวหน้าห้องที่มาพร้อมกับความซวยซ้ำซวยซ้อนเสมอ แต่เธอก็ทำงานได้ดีเชียว

         “ไปเตรียมตัวได้ละ ครูเริ่มเข้ามาแล้วเนี่ย”

         “เจอกัน”

         ผมตอบไปสั้นๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปหลังเวที

 

         บรรยากาศในห้องเริ่มเงียบลงเมื่อกรรมการประเมินเข้ามานั่งประจำที่จนครบ

         ถึงเวลาแล้ว

         ผมสลัดความกังวลทิ้ง เรียกกำลังใจให้ตัวเอง สายตามองไปที่ห้องม.5/12 ก็เห็นเพื่อนๆในห้องยืนยิ้มให้กำลังใจ พร้อมกับลูกแพรที่แอบชูสองนิ้วให้

         ผมยิ้มตอบกลับไป พลันกวาดสายตาไปเจอคนตัวสูงที่สุดในห้อง

         เราสบตากันเพียงเสี้ยววิ..

         ก่อนที่ร่างสูงจะก้มลงมองโทรศัพท์ในมือเช่นเคย

         ผมเบือนหน้าหนี สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังขึ้น

 

         “สวัสดีครับ ผมนายเป็นที่หนึ่ง เป็นตัวแทนจากโรงเรียน...”

 

 

          ว่ากันว่าความสัมพันธ์ที่เป็นเส้นขนานน่ะ

          ใกล้แค่ไหนก็ไม่มีวันได้บรรจบกันหรอก..






            “ผ่านไปสักทีโว้ยยยยยย”

            “ไปเพื่อน หมูกระทะเลยวันนี้ กูไม่ไหวแล้ว”

            เสียงครึกโครมดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากการประเมินโครงงานผ่านพ้นไป ยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่สูบพลังงานมากพอสมควร และถึงแม้จะผ่านไปแล้วก็ต้องรอดูผลคะแนนอยู่ดีว่าจะผ่านเกณฑ์หรือเปล่า

            ให้ตายเถอะ วิชาหนึ่งหน่วยกิต

            กว่าจะจบงานก็ล่วงเลยเวลามาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่าจุดมุ่งหมายต่อไปของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองคืออะไร

            สุดท้ายงานปาร์ตี้ตอนเย็นก็ล่ม เพราะต่างแยกย้ายกันไปแต่ละห้องของตัวเอง ส่วนคนที่หวังจะกระชับความสัมพันธ์ต่างโรงเรียนก็ได้แต่เศร้าไป

            แหงล่ะ ใครไม่อยากจะหาสิ่งใหม่ๆนอกโรงเรียนบ้าง

            “ไปป้ะ ให้ครบ ใกล้ๆ ใครไม่มีรถก็ติดเพื่อนไป”

            “ไอ้ม่วงขับรถใหญ่อะ น่าจะอัดกันได้สัก 4-5 คน”

            “เค เจอกัน!”

            บทสรุปของกว่า 45 ชีวิตของวันนี้จบที่ร้านหมูกระทะใกล้โรงเรียน ผมไม่อยากจะปฏิเสธเพราะไหนๆก็ไปกันทั้งห้อง จะให้กบฏไม่ไปเลยก็คงไม่ดีเท่าไหร่

            โชคดีที่เกือบครึ่งห้องมีรถเป็นของตัวเอง การไปกันทั้งห้องจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ อย่างลูกแพรเองก็มี แต่ขึ้นไปกับเต้คงจะดีกว่า

            “จะไปกับเต้อ่อ”

            “อือ ไว้เจอกันที่ร้าน”

            “เค บอกเต้มันขับดีๆ เดี๋ยวแหกอีก”

            ผมขำ เห็นท่าทางเป็นเด็กกิจกรรมของมันแบบนี้แต่ก็เฮ้วใช่เล่น

            “จะไปด้วย?”

            เต้มองหน้าผมอย่างงงๆทันทีเมื่อเดินเข้าไปหา

            “มีคนไปด้วยแล้ว?” ผมถามกลับ

            “มีมิกไป แต่ซ้อนสามได้ไม่มีปัญหา ขึ้นเลยครับคุณหัวหน้า”

            เพิ่งจะโดนบอกให้มันขับระวังๆแต่จะเล่นซ้อนสามแบบไร้หมวกกันน็อคอีก

            โคตรจะปลอดภัยเลย

            “ขับไหวมั้ย”

            “ซ้อนสี่ก็ทำมาละ”

            “แต่เคยแหกโค้ง”

            “ไม่ขุดได้มั้ยล่ะ ครั้งเดียวเองเถอะ” มันสวนกลับอย่างงอนๆ “ไอ้มิกมาละ มึงนั่งกลางรึหลัง เลือก หัวหน้ารอ” เต้พูดกลั้วหัวเราะ

            มิกเป็นคนร่างใหญ่พอควร และรถของเต้ก็ไม่ได้กว้างแม้แต่นิด เหมือนไว้นั่งได้แค่คนเดียวด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าเคยซ้อนสี่มาแล้วอยู่ดี

            “นั่งข้างหลังนี่กูจะทับหัวหน้าตายก่อนมั้ยเนี่ย” มิกพูดแบบไม่ได้ใส่ใจ

            “เออนี่ รถของเฟิร์สยังว่างนะเว้ย”

            “…”

            “คันใหญ่ด้วย นั่งสบายอะ”

            ผมเงียบ เต้ก็เงียบ

            เป็นอันว่าเพื่อนในกลุ่มผมทุกคนรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอีกคนเรียบร้อยแล้ว

            อย่าว่าแต่ให้ไปนั่งรถคันเดียวกันเลย

            แค่นั่งเรียนในห้องเดียวกันก็อึดอัดแทบตายแล้ว

            “ฮ่ะๆ มันไปแล้วมั้ง รีบขึ้นเถ๊อะ กูหิวละเนี่ย” เต้พูดตัดบท ก่อนจะก้าวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ตัวเอง

            “มันก็ยืนพิงรถเล่นโทรศัพท์อยู่นั่น”

            มิกชี้ไปที่คนตัวสูงยืนอยู่ไม่ไกล พออีกฝ่ายถอดหูฟังออกมิกก็ไม่ลังเลที่จะตะโกนเรียกทันที จนเต้ตะครุบปากไว้ไม่ทัน

            ใช่ อย่างที่ผมบอกไป เรื่องราวระหว่างผมกับเขามีแค่คนในกลุ่มรู้ คงจะไปโทษมิกไม่ได้

            “เฟิร์ส!! รถว่างช้ะ แบ่งหัวหน้าไปส่งหน่อยดิ”

            ร่างสูงเลิกคิ้ว ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ผม

            “ไอ้ห่าเอ้ย สนุกเลยมั้ยล่ะ” เพื่อนร่วมกลุ่มผมตบหน้าผากตัวเองอย่างเหนื่อยใจ

            เราไม่ได้คุยกันมาเกือบหนึ่งเดือนเต็มหลังจากวันนั้น แม้กระทั่งการเดินสวนกันก็ไม่เคยเกิดขึ้น การจะให้ไปนั่งรถคันเดียวกันยิ่งไม่มีความเป็นไปได้เลย

            ถึงจะพูดอย่างนั้น

            เฟิร์สก็ยังเป็นเฟิร์ส

            ใจดี..กับแทบทุกคน

            “มาดิ”

            “มึงไปนั่งกับมันเลยมิก ให้หัวหน้ามันไปกับกูนี่แหละ”

            “เอ้า ได้ไงวะ กูอุตส่าห์อยากให้ที่หนึ่งนั่งสบายๆ”

            “ไม่คือ...” ผมมองดูเพื่อนสองคนที่เริ่มมีปากเสียงกันสลับกับอีกคนที่ยืนรออยู่ไม่ไกลแล้วถอนหายใจออกมา

            “เอาตามนี้แหละ เดี๋ยวเราไปกับเค้าเอง”

            “เออ ก็จบละเนี่ย มึงโวยวายไรเต้”

            เพื่อนร่วมกลุ่มของผมหันมามองด้วยแววตาเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด ซึ่งผมก็เข้าใจความหวังดีของเต้ดี

            ให้รองจากลูกแพร ก็คงเป็นมันแหละนะ

            “ไปได้น่า ไปๆ จะหกโมงแล้ว” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อความสบายใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปอีกทาง

            เฟิร์สเก็บโทรศัพท์มือถือลง ยื่นหมวกกันน็อคอีกใบให้โดยไม่ปริปากอะไร

            ผมรอให้อีกฝ่ายสตาร์ทรถถึงได้ก้าวขึ้นรถโดยไม่ต้องให้บอก

            หากการนั่งเรียนด้วยกันในห้องอึดอัดแล้ว การนั่งด้วยกันสองคนแบบนี้ยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

            โชคดีที่มอเตอร์ไซค์ออกแบบมาให้เบาะกว้างพอสมควร ทำให้สามารถเว้นระยะห่างระหว่างผมกับเขาไว้ได้

            แผ่นหลังกว้างที่เคยคิดว่าตัวเองคุ้นเคย แต่ตอนนี้กลับยิ่งห่างไกลออกไป

            ถึงจะภาวนาให้ถึงร้านเร็วๆ แต่ก็ไม่เป็นดั่งใจคิด

            ไฟสีเหลืองที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ทำให้คนข้างหน้ากำเบรกทันที

            มันเป็นไปตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันข้อที่หนึ่ง ทำให้ผมเสียหลักเซไปชนอีกฝ่ายเข้าอย่างแรง

            “...ขอโทษนะ”

            คำกล่าวที่แผ่วเบาราวกับสายลมกระซิบ

            กับเวลาหนึ่งนาที..ที่ใช้เวลายาวนานราวกับไม่ใช่ความจริง

 

 

            “หัวหน้าห้องกับคุณชายมาละ”

            “เออนั่งๆๆ”

            “เหลือสองที่สุดท้ายพอดี ไม่งั้นชวดละเนี่ย”

            ผมเห็นสายตาเป็นห่วงจากเพื่อนในกลุ่มที่นั่งกระจัดกระจายกันอยู่ โดยลูกแพรที่นั่งอยู่รีบลุกขึ้นมาหาทันที

            “เพื่อนแม่งเล่นจับฉลากแยกกันนั่งอะ เลยจองที่ไว้ให้ไม่ได้ โอเคป่าววะ”

            เพื่อนสนิททำเสียงเครียด เหลือบสายตามองคนตัวสูงพร้อมกับฮูดดำที่เดินตามมาข้างหลัง ลูกแพรไมได้ถามเหตุผลอะไร คิดว่าเต้คงจะเล่าให้ฟังแล้ว

            “ไม่เป็นไร กินแป๊บๆเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

            “กลับพร้อมเราเลย ไม่งั้นเดี๋ยวก็วนเข้าอีหรอบเดิม มิกแม่งตัวติดกับไอ้เต้ขนาดนั้น”

            “จะไปหาพี่ซันไม่ใช่เหรอ”

            “เฮอะ จะซ้อมเสร็จเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช่างมันเถอะ จะกลับเมื่อไหร่เดินมาบอกเลยนะ”

            “โอเค”

            ผมเดินกลับมาที่ที่ว่างอยู่ เขานั่งลงด้านนอกไปแล้ว ทำให้ผมต้องเข้าไปนั่งริมติดฝาผนัง

            ร้านเป็นเหมือนร้านเนื้อย่างทั่วไป ต้องเดินไปตักเอง แต่เหมือนเพื่อนที่มาก่อนจะตักมาไว้เผื่อให้เยอะแล้วเลยไม่ต้องลุกไปหลายรอบ

            “ขอน้ำหน่อย”

            “ไอ้เฟิร์สขอน้ำ ส่งมาให้มันดิ๊”

            “สั่งเป็นคุณชายเชียวนะมึง”

            “จะให้เดินข้ามหัวมึงไปเอามั้ยล่ะ”

            ทั้งโต๊ะหัวเราะครืน บรรยากาศครื้นเครงขึ้น เนื่องจากสลับที่นั่งกันจึงทำให้ไม่เกิดการแบ่งกลุ่มและพูดคุยกันได้ทั่วถึง ละแวกที่ผมนั่งส่วนมากจะมีแต่เพื่อนผู้หญิง ตรงข้ามผมก็เป็นเพื่อนผู้หญิงจากกลุ่มหนึ่งที่ผมไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่ ถัดไปก็พอใจชื้นขึ้นมาหน่อยเพราะเป็นรองหัวหน้าห้องนั่นเอง

            “เอาน้ำอะไร” เพื่อนผู้ชายที่อาสาลุกขึ้นไปเอาให้ถามขึ้น

            “น้ำเปล่า”

            “เฮลตี้สุดๆ”

            “เอามาสองแก้ว อีกแก้วไม่ต้องใส่น้ำแข็ง”

            “กูเรียกเก็บแก้วละร้อยได้มั้ยเนี่ย สั่งจั๊งงง”

            “ค่ารายงานยังไม่จ่ายกูเลย”

            “ขอโทษครับคุณชาย!”

            เพื่อนๆต่างส่งเสียงหัวเราะ แต่เป็นผมคนเดียวที่ทำตัวไม่ถูก

            แทบจะไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเอง ในเมื่อคนเดียวที่ยังไม่ได้แก้วน้ำเหมือนกันก็คือผม

            ผมจะไม่แปลกใจไปมากกว่านี้เลย...

            กึก

            น้ำเปล่าที่ไม่ใส่น้ำแข็งตามที่สั่งถูกเลื่อนมาวางไว้ตรงหน้า โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้หันมามอง

            จะไม่แปลกใจไม่มากกว่านี้..ถ้าเขาไม่รู้ว่าผมเจ็บคอ

            เห็นสายตาเต้ที่นั่งเยื้องๆไปหน่อยหันมามองด้วยความสงสัย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับผมตอนนี้เลย

            ผมพูดขอบคุณออกไปพอให้เจ้าตัวได้ยิน ก่อนที่เราทั้งสองจะนั่งเงียบแล้วไม่มีบทสนทนาใดๆร่วมกันอีก

            “ที่หนึ่ง จริงหรือเปล่าที่สละสิทธิ์ไปแข่งฟิสิกส์อะ”

            ผมชะงักไปจนเกือบจะทำแก้วตก เมื่อรองหัวหน้าห้องถามขึ้น

            ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้...

            “อื้อ โดนเรียกไปแข่งวิชาอื่นแทน”

            “โห ดีนะเรียกตั้งแต่เนิ่นๆนี่ถ้าเรียกไปตอนใกล้จะแข่งอะ ตายพอดี แต่เสียดายแทน จะไม่เห็นแชมป์ฟิสิกส์ 2 ปีซ้อนอีกแล้ว”

            ผมยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรต่อ

            จะบอกว่าโชคช่วยก็ได้ ที่โดนเรียกไปแข่งอีกวิชาเนื่องจากสำคัญกว่าและวันใกล้กว่าทำให้ต้องสละสิทธิ์การแข่งฟิสิกส์ไป

            เป็นเรื่องที่ดีเอามากๆเพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะทนอยู่ในเวลาแบบนั้นได้นานแค่ไหนเหมือนกัน และอาจจะกลายเป็นตัวถ่วงในการแข่งไปเลยก็ได้

            คุณครูเอ่ยปากเสียดาย แต่ยังไงถ้ามีคนอย่างเฟิร์สอยู่ก็คงไม่ต้องเป็นกังวลแล้วล่ะ

            ครืด ครืด...

            เจ้าของฮูดสีดำควักโทรศัพท์ขึ้นมารับสายทันทีเมื่อมีเสียงเรียกเข้า

            ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคนในสายเป็นใครถึงทำให้เจ้าตัวต้องรีบรับแบบนี้

            เดาไม่ผิดหรอก

            “ว่าไงพีช”

 

 

            นานมาแล้วที่เด็กคนหนึ่งเคยได้รับสิ่งที่ตามหามาเป็นเวลานาน

            แต่สุดท้าย..ก็ต้องกลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็น

            เพราะสิ่งที่เขาตามหาน่ะ..มันไม่ได้มีไว้สำหรับเขา

 

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
หน่วงเว่อวังอลังการ สงสารหนึ่งทุกอย่างเลย
ทั้วเรื่องที่บ้าน เรื่องเฟิร์ส

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มาคุจัง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r    s e v e n  ♥

เป็นห่วง


            ทำไมคนเราถึงเกลียดวันจันทร์

            เพราะมันเป็นวันแรกของการทำงานหรือเป็นเพราะเรามีความสุขกับวันหยุดที่ผ่านมามากกว่า

            ไม่รู้สิ เหตุผลของวันจันทร์สำหรับแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน

            ผมไม่ได้เกลียดมัน แค่รู้สึกเนือยนิดหน่อยที่ต้องวนลูปชีวิตไปเรื่อยๆ หากวันจันทร์เป็นจุดเริ่มต้นของสัปดาห์ที่น่าเบื่อ คืนวันอาทิตย์ก็เป็นจุดสิ้นสุดที่ไม่ต่างกัน

            แน่นอนว่าผมเขียนวันเวลาขึ้นมาใหม่เองไม่ได้เหมือนการเขียนเรียงความ ดังนั้นการทำใจยอมรับวันทั้งเจ็ดจึงเป็นทางเลือกดูจะเข้าท่าที่สุดแล้ว

            แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมเกลียดเสียงนาฬิกาปลุกในตอนเช้าของวันจันทร์จริงๆ...

            เวลาหกโมงกว่าๆผมเดินลงมาจากห้องนอนหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย กิจวัตรประจำวันแทบจะเหมือนเดิมทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยน เคยเห็นม๊าทำกับข้าวอยู่ในครัวตอนเช้ายังไงก็ยังเป็นเหมือนเดิมอย่างนั้น ซึ่งผมก็รู้สึกยินดีกับที่เป็นอยู่

            การเปลี่ยนแปลงมีทั้งไปทางดีและทางไม่ดี ถ้าจะให้เสี่ยง ผมขอมีความสุขกับอะไรเดิมๆดีกว่า

            “ที่หนึ่ง”

            “ครับ”

            ผมขานรับอย่างแปลกใจ

            เราไม่ค่อยมีบทสนทนายามเช้าร่วมกันสักเท่าไหร่ ม๊าไม่ได้เป็นแม่ที่ทำงานบ้านอยู่บ้านเฉยๆ ท่านมีหน้าที่การงานให้รับผิดชอบ กิจกรรมร่วมกันในครอบครัวจึงมีแค่ช่วงทานอาหารเช้าและก่อนเข้านอนเท่านั้น

            ท่านรู้ว่าผมดูแลตัวเองได้...และผมไม่เคยเอ่ยขออะไร

            “ได้ข่าวหรือยัง..”

            “…”

            “ป๊าจะกลับมาแล้วนะ”

            “…ถาวรเลยเหรอครับ”

            “คงเป็นอย่างนั้น”

            ในสมองของผมยังคงจดจำเศษเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำได้ลางๆ

            ผมจำใบหน้าของเขาได้ จำเสียง จำสัมผัสทุกอย่างได้

            แต่ผมกลับจำความรู้สึกที่มีให้เขาไม่ได้

          มันเลือนหายไปราวกับความฝัน แต่สิ่งที่ตอกย้ำว่ามันเป็นความจริงก็คือผู้หญิงตรงหน้าผมตอนนี้

            ถ้าผมเป็นคนที่ขี้ขลาดที่สุดในโลก ม๊าก็คงเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดในจักรวาล

            มีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกไปได้แค่ประโยคเดียว

            “เขายังไม่รู้เรื่องนั้นใช่มั้ยครับ”

            “อืม..ไม่รู้หรอก”

          “…”

          “รู้ไปก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”

          “…”

          “ผิดที่ม๊าเอง ผิดที่ม๊าจริงๆที่หนึ่ง”

          เสียงสะอื้นเบาๆท่ามกลางความเงียบงัน แต่ชัดเจนในความรู้สึก

          กับคนขี้ขลาดคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะปลอบคนเข้มแข็งกว่าได้ตลอดไป

          ได้แต่หวังว่าการกลับมาครั้งนี้...จะเป็นจุดเริ่มต้นของวันใหม่เสียที

 

           

            เปิดเทอมมาได้เกือบสี่เดือน ตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่ช่วงเตรียมตัวสอบปลายภาคของเทอมแรกอย่างเต็มตัว

            เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มันก็เดินเหมือนปกติของมัน

            มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น หลายกิจกรรมที่ไม่เคยได้ลองก็มาเจอเอาตอนม.5 อะไรที่ไม่เคยทำร่วมกับเพื่อนๆในห้องก็ได้ทำ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีเหมือนกัน

            ไม่รู้ว่าอนาคตจะได้เจออะไรแบบนี้อีกหรือเปล่า แต่มันก็คงไม่ใช่ความรู้สึกในตอนนี้แน่ๆ

            คงหาชีวิตมัธยมปลายไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว

            ผมก็ยังคงเชื่อว่าเมื่อเราโตขึ้นแล้วหันกลับมามองเรื่องเก่าๆ เราจะสามารถยิ้มให้กับมันได้อย่างไร้ความทุกข์ใจ

            ถ้าบางเรื่องไม่ร้ายแรงเกินไปล่ะนะ..

            “เฮ้ออออ ทำไมบรรยากาศมันน่านอนอย่างนี้วะ”

            “โดดได้มั้ย ยังไงวันนี้ก็มีแต่คาบเบาๆอะ”

            ผมหันไปมองใบหน้าที่ง่วงนอนอย่างสุดขีดของเต้ พร้อมกับตบไปกลางหน้าผากมันอย่างไม่แรงมากนัก

            “ตื่น”

            “เจ็บโว้ย ตบลงมาได้ หน้าผากยุบขึ้นมาทำไง”

            “สำออยเกินไปละ”

            “ลองบ้างป้ะล่ะ”

            “อย่าๆๆ อย่าทำร้ายหัวหน้าห้องกู”

            ผมแกล้งหลบฝ่ามือของเต้ หัวเราะหึๆอย่างคนถือไพ่เหนือเหนือกว่า เพราะรู้ทั้งรู้ว่าให้ตายยังไงเพื่อนก็ไม่กล้าลงมือลงไม้กับผม

            มันไม่เชิงเป็นความเกรงใจ แต่ทุกคนก็มีบุคลิกที่ต่างกัน เราก็ควรจะรู้ว่าจะปฏิบัติต่อเพื่อนแต่ละคนแบบไหนถึงจะอยู่ด้วยกันได้

            ความอึกทึกครึกโครมของนักเรียนกว่า 45 ชีวิตเงียบลงทันทีเมื่อคุณครูประจำคาบแรกได้มาถึง ผมบอกทำความเคารพ ก่อนที่คุณครูจะเริ่มเข้าบทเรียนแรกของวันนี้

            เสียงทุ้มเอ่ยเนื้อหาที่เรียนอย่างเนิบนาบคลอไปกับเสียงสายฝนพรำ ราวกว่าครึ่งห้องต่างอ้าปากหาวหวอด ไถตัวลงฟุบกับโต๊ะอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

            ผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเช่นเคย ยังเป็นเด็กเรียนหน้าห้องในสายตาของคุณครูเสมอ คอยจดตามสิ่งที่ครูสอน แต่สายตาก็เหลือบไปมองเพื่อนรอบๆห้องตลอด

            ล้มตายอย่างอนาถจริงๆ

            ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ เห็นแบบนี้คะแนนเฉลี่ยในห้องก็สูงพอสมควรเมื่อเทียบกับห้องอื่นๆ

            เรียนบ้าง เล่นบ้าง แต่ก็ยังเป็นห้องที่มีความรับผิดชอบดีเยี่ยม

            ตอนนี้เหลือคนที่ยังตั้งใจเรียนอยู่ไม่กี่ชีวิต ผมก็เริ่มจะคล้อยตามไปแล้ว เลยแอบเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างนิ่งๆ

            แต่เดิมก็ไม่ค่อยจะชอบหน้าฝน พอเวลาผ่านไปก็เฉยกับมันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

            ถึงจะเป็นเรื่องที่อธิบายได้ในทางชีววิทยา แต่ก็น่าตลกดีที่ความคุ้นเคยชินจะส่งผลให้ความรู้สึกค่อยๆเปลี่ยนไป

            จนสุดท้ายในห้องก็เหลือเพียงผมกับ..เขา ที่ยังคงนั่งหลังตรงอยู่

            เฟิร์สควงปากกาในมือเล่น ส่วนตาคมดุนั้นก็จ้องไปที่จอโปรเจ็คเตอร์

            ไม่ปฏิเสธหรอกที่ตอนนี้กำลังแอบมองอีกฝ่าย

            ผมสามารถเดินผ่านอีกฝ่ายได้อย่างปกติแล้ว นั่นเป็นเรื่องดี และการนั่งอยู่ในห้องแบบนี้ การได้มองเขาในแบบที่มองเพื่อนในห้องได้ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน

            แต่การจะให้ไปพูดกันตรงๆ...ก็ยังทำไม่ได้

            ความสัมพันธ์เราเริ่มต้นจากจุดไหน ผมจำไม่ได้แล้ว รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็ก้าวเข้ามาใกล้จนทำให้ไปไม่เป็น และผมก็ดันไปทำลายมันลงเพราะความไม่เข้าใจของตัวเอง

            เคยตั้งคำถามไว้ในใจว่าเราจะทะเลาะกันหรือเมินกันไปเพื่ออะไร และมันจะเป็นอีกนานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น

            ลึกๆแล้วเราทุกคนต่างอยากมีความทรงจำร่วมกันที่ดีกับคนอื่น แต่เราจะไปคาดหวังกับทุกสิ่งไม่ได้

            ก็ไม่รู้หรอกว่าถ้าเวลาผ่านไปแล้วผมจะไปปรากฏอยู่ในความทรงจำของคนอื่นในรูปแบบไหน

          ไม่ได้คาดหวังให้เป็นเรื่องที่ดีที่สุด แค่ให้นึกถึงได้โดยไม่รู้สึกแย่ก็พอ

            ดวงตาสีนิลเปลี่ยนทิศจากจอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และมาหยุดที่ผมพอดี

            อดีตที่ผ่านมาทำให้เรียนรู้ไปได้บ้างว่าการหลบตาไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา

            เป็นเวลายาวนานที่ดวงตาคมจ้องลึกเข้ามาราวกับหาคำตอบที่ต้องการ           

            ยาวนานจนแทบเกือบลืมลมหายใจ..

             ระยะห่างจากหน้าต่างถึงประตูไม่ได้ไกลไปจากความรู้สึกของผมเลย

             กลับกัน มันยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้นต่างหาก






            ไม่ทันได้พักหายใจ กิจกรรมใหม่ก็มาหาทันที

            ‘ซ้อมน้อง’

            ไม่ใช่ซ้อมในความหมายเชิงลบแบบนั้น หากเคยผ่านกีฬาสีมาจะรู้ดีว่าคืออะไร

            จะว่าเป็นเรื่องดีก็ดี จะได้รู้จักกับน้องๆเพิ่มมากขึ้น สนิทกันไว้ก็ดีกว่าไม่รู้จักกันเลย

            ในอีกนัยนึง ก็เป็นความบรรลัยไม่แพ้กัน

            เพราะเด็กม.ต้นเราจะไม่มีทางหยั่งรู้เลยว่าแต่ละคนนิสัยแบบไหน พื้นฐานเป็นคนยังไง ยิ่งน้องใหม่อย่างม.1 ที่เพิ่งเข้ามายังปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ไม่ได้ ก็เป็นปัญหาหนักเลยที่ม.5 จะต้องช่วยเหลือกันดูแล

            ถ้าโชคดีก็ดีไป

            แต่ถ้าโชคร้ายล่ะก็...

            “เฮ้ย น้อง จะไปไหน!!”

            “แบร่!!” เด็กน้อยตัวสูงแค่เอวของรุ่นพี่ที่ดูยังไงก็ตัวกะเปี๊ยกชัดๆแต่วิ่งหนีเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ น้องหันมาแลบลิ้นใส่อย่างไม่เกรงกลัว สมาชิกในห้องบางส่วนรีบกระจายตัวไปตามหาเด็กกลับมา ส่วนคนอื่นที่นั่งคุมอยู่แสตนต่างกุมขมับทันที

            “กูตายก่อนวันกีฬาสีแน่ๆ”

            “มึงจำวันวิทย์ได้มั้ย นั่นแหละ คูณสิบเข้าไปเลย”

            ภาระหน้าที่ที่ถูกมอบหมายให้มาคุมแสตนแทนที่จะได้ไปอยู่ฝ่ายทำขบวนทำให้เพื่อนร่วมห้องแต่ละคนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ก็ติดที่ต้องปั้นหน้าขึงขังเข้าไว้เพื่อน้องๆจะได้เกรงกันบ้าง

            แต่ก็ที่เห็น นอกจากจะไม่สนใจใยดีแล้วยังท้าทายสุดๆ

            ที่นั่งอยู่ข้างบนตอนนี้มีไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ...

            “กูได้ตารางเรียนมาละ วันหลังไปดักหน้าห้องเลย หนีไม่ได้แน่ๆ”

            “ขนาดลากมาถึงแสตนก็ยังหนีได้อยู่ดีป้ะวะ ประมาทไม่ได้จริงๆเด็กพวกนี้”

            ผมที่รับบทบาทเป็นหัวหน้าห้องพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าสีน้ำเงินก็แทบจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของน้องๆ มันจะไม่มีวันสำเร็จแน่นอนถ้าไม่ได้รับความร่วมมือ

            ผมบอกเพื่อนผู้หญิงให้ซ้อมน้องบนแสตนต่อไป อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังมีกลุ่มเล็กๆคอยเชื่อฟังบ้าง ยังไงวันนี้ก็ต้องตามตัวมาให้จนครบ ผมเชื่อว่าน้องต้องยังอยู่ภายในโรงเรียนแน่นอน เพราะทั้งประตูหน้าและประตูหลังก็ยังไม่เปิดให้ออกจากโรงเรียน

            กีฬาสีนับได้ว่าเป็นประเพณีของโรงเรียนที่สืบทอดกันมายาวนาน และเป็นกิจกรรมที่ไม่ส่งผลต่อคะแนนใดๆ  หรืออาจจะมีแต่ก็น้อยนิด ดังนั้นจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นด้วยความสามัคคีและความร่วมมือร่วมใจล้วนๆ คนที่อยู่มานานย่อมเห็นความสำคัญ แต่สำหรับน้องๆที่เพิ่งเข้ามา ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะเข้าใจมันมากน้อยแค่ไหน หรืออาจจะไม่เข้าใจเลยก็ได้

            แต่ในวันหน้าน้องก็ต้องเป็นรุ่นพี่เหมือนพวกผม เพราะฉะนั้นการที่จะปล่อยปละละเลยในตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ

            “ตามหาเลย ไปหลบได้ไม่ไกลหรอก”

            “ฮือ กูจะร้องไห้”

            “ถ้าน้องปิดจุดบนเสื้อไว้อะ”

            ยอมรับว่าโรงเรียนฉลาดในเรื่องนี้ เราแบ่งสีตามห้องไปเลย และจุดบนเสื้อนักเรียนก็สามารถบ่งบอกได้ทันทีว่าอยู่สีอะไร

            “ถ้าปิดตอนที่เห็นเรา ก็นั่นแหละเด็กสีน้ำเงิน”

            “เออ ป้ะลุกๆๆ ไปวิ่งไล่จับเด็กกัน”

            “เฮ!!”

            ผมหลุดหัวเราะออกมาทันทีเมื่อแก๊งผู้ชายในห้องที่หุ่นล่ำอย่างกับอะไรทำตัวเหมือนเด็กอนุบาลสาม ความติ๊งต๊องที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ยังคงฝังอยู่ในสายเลือดของพวกนี้จริงๆ

            เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงในการซ้อม ผมกับเพื่อนจึงรีบออกตามล่าเด็ก เอาเข้าจริงวันแรกๆมันก็สนุกดีอยู่หรอก แต่จะให้ตามตัวทุกวันไปแบบนี้คงจะไม่ไหว

            สงสัยต้องได้เรียกมาปรับทัศนคติกันยาวๆ

            ผมแยกย้ายกับเพื่อน คิดเอาไว้ว่าสถานที่ที่หนีไม่พ้นก็คงเป็นแหล่งกบดานของน้องม.ต้นที่หลังอาคาร

            อือ นั่นแหละ เดาไม่ผิดอีกแล้ว

            เด็กตัวสูงโย่งสุดในกลุ่มสะดุ้งทันทีเมื่อหันมาเจอหน้าผม พร้อมกับยกกระเป๋ามาปิดเสื้อนักเรียนทันที

            อยากหัวเราะด้วยความเอ็นดู แต่ก็ติดที่ต้องปั้นหน้าโหดเข้าไว้

            “พี่มาทำไร”

            “มาตามน้องไปขึ้นแสตน” ผมตอบตามความจริง

            “ตามใคร พวกผมจะกลับบ้านแล้ว”

            “ประตูโรงเรียนยังไม่เปิดเลย รีบจัง”

            “พ่อแม่ผมมารอแล้ว!” เด็กตัวเล็กๆเสริมขึ้นมา พอผมก้าวเข้าไปใกล้ก็พากันถอยหลังอย่างรวดเร็ว

            “ก็ไปขึ้นแสตนรอประตูเปิด เดี๋ยวก็ได้กลับ”

            “ไม่ จะกลับตอนนี้!”

            “พี่ฟ้องครูนะ”

            “อย่า ไม่เอา!!”

            ผมเกือบหลุดขำออกไปซะแล้ว แต่ก็ยังเก็บอาการไว้ได้ “งั้นก็ตามพี่ไปซ้อมแสตน”

            เด็กน้อยทั้งสามคนมองอย่างชั่งใจ ก่อนจะค่อยๆเดินตามมาอย่างระวัง

            ผมพยักหน้าให้กับความว่าง่าย ถึงจะจำเป็นเอาครูมาขู่ก็เถอะ

            แต่หลังจากหันหลังให้เท่านั้น

            ผมก็เพิ่งได้รู้ว่าตัวเองประมาทเกินไป

            ผลัก!!! ตุ้บ!!

            “แบร่!!!”

            ผมโดนเด็กตัวโย่งผลักลงอย่างแรง ก่อนจะวิ่งหนีหายไปอีกทาง ความเจ็บที่ข้อเท้าแล่นแปร๊บขึ้นมาทันที แรงที่ไม่ใช่น้อยๆทำให้ผมแทบจะน้ำตาไหล ร่องรอยที่ถลอกจากการครูดไปกับพื้นปูนซีเมนต์ ทำให้ผมต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บแสบ

            ทั้งเจ็บกาย และเจ็บใจไปด้วย

            พยายามยันตัวเองขึ้นแต่ก็ต้องทรุดฮวบลงเมื่อไม่สามารถพยุงร่างกายตัวเองไว้ได้

            อาการนี้นี่มัน...ข้อเท้าพลิกชัดๆ

            ผมยอมแพ้ให้กับร่างกายตัวเอง กัดริมฝีปากไว้จนห้อเลือด ค้านโทษตัวเองที่ไม่พกโทรศัพท์มาด้วย

            อา.. ผมต้องรู้สึกอยากร้องไห้หรือเปล่า

            ป่านนี้เพื่อนๆอาจจะตามหาน้องอยู่ คงต้องรออีกหน่อยกว่าเพื่อนจะสงสัยว่าผมหายไป

            ค่อยๆกระเถิบร่างตัวเองไปพิงผนังแถวนั้นอย่างลำบาก อยากสบถออกมาแทบบ้าเมื่อเห็นเลือดบนหัวเข่าที่ยังไหลไม่หยุด

            รู้สึกหน้ามืดชะมัด

            ให้ตาย ผมไม่น่าเกิดมากลัวเลือดเลย…

            ก่อนที่จะสติจะดับวูบลง ผมได้ยินเสียงตะโกนของใครคนหนึ่ง

            “ที่หนึ่ง!!!”

            เสียงที่เคยถูกใช้กับผมเมื่อนานมาแล้ว...

            เสียงของเฟิร์ส

 

            กลิ่นแอมโมเนียยังติดอยู่ที่ปลายจมูก ผมค่อยๆกลอกตาไปรอบห้อง ไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไหร่ว่าต้องมาตื่นอยู่ในห้องพยาบาล

            อาการมึนหัวยังมีอยู่ติดหน่อย ก้มมองร่างกายตัวเองก็พบว่าได้ถูกทำแผลเรียบร้อยแล้ว จะเหลือแค่รอยถลอกบ้างประปราย แต่เหมือนข้อเท้ายังไงก็คงได้ใส่เฝือก

            ผมค่อยๆยันตัวขึ้น ห้องพยาบาลเงียบเชียบราวกับไม่มีใครอยู่ แต่ร่องรอยอุปกรณ์ทำแผลที่เพิ่งถูกใช้งานไปก็บ่งบอกได้ว่าไม่ได้มีผมอยู่ที่นี่คนเดียวแน่นอน

            ครืด

            เสียงผ้ากั้นห้องเลื่อนออก พร้อมกับคนหนึ่งที่เดินเข้ามา

            “เฟิร์ส…”

            ผมเอ่ยชื่ออีกคนเสียงแผ่ว เมื่อเขาลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆเตียง เขามองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาจับแขนผม พลิกไปมาสำรวจว่ายังมีรอยถลอกอยู่อีกหรือเปล่า แล้วค่อยๆเลื่อนมาจับมือผมที่กำอยู่ให้คลายออก

            ปลายนิ้วของคนตัวสูงลูบช้าๆไปที่รอยแผลบนฝ่ามือ ผมมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ปล่อยให้เขาทำโดยไม่ได้ชักมือออกมา

            ระยะจากตรงนี้ ผมอยู่สูงกว่าเขาทำให้มองไม่เห็นใบหน้าอีกคนที่ก้มต่ำอยู่ เลยไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร...

            เนิ่นนาน...กว่าเสียงทุ้มจะพูดขึ้น

            “เจ็บหรือเปล่า”

            ผมไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้าลงเงียบๆ

            ปลายนิ้วหยุดลูบไปแล้ว เพราะเปลี่ยนทิศทางมาที่ใบหน้าแทน...

            มือหนาเคลื่อนเข้ามาใกล้ ลูบเศษดินที่ติดอยู่ข้างแก้มให้อย่างแผ่วเบา และวางมือไว้อยู่อย่างนั้น

            สัมผัสที่อบอุ่นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่มองมาก่อนอยู่แล้ว

            บางอย่างที่กำลังเปลี่ยนไป..

            ผมไม่ได้กลั้นลมหายใจไว้เหมือนเมื่อก่อน แต่หัวใจกลับเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็น
           
            หลอกตัวเองมาตลอดว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ดีแล้ว

            ทั้งที่จริงๆส่วนลึกในใจก็หวังไว้ทุกครั้งว่าจะกลับมาคุยกันได้เหมือนเดิม

            ความเงียบในตอนนี้ทำให้ได้ทบทวนกับตัวเองว่าการกระทำที่ผ่านมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

            สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่รู้สึก...

            “เฟิร์ส..”

            ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าอีกครั้ง แต่ปลายนิ้วโป้งของเขาก็เลื่อนมาทาบที่ริมฝีปากของผมเสียก่อน

            “…”

            “…”

            สุดท้ายก็เป็นคนตัวสูงพูดออกมาก่อนเหมือนเช่นเคย

 

            “ขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ”

            “…”

            “ขอโทษที่เข้ามายุ่งตลอด แต่เราห้ามตัวเองไม่ได้”

            “…”

            “ถึงจะรู้สึกไม่ดีกับประโยคในวันนั้นเลยยอมถอยออกมา แต่ตอนนี้เราก็ฝืนตัวเองไม่ไหวจริงๆ”

            “…”

 

            “หายโกรธกันเถอะนะ...”

            “…”

            “อย่าเกลียดกันเลย”


            เป็นครั้งแรกที่เห็นดวงตาสีนิลนั้นสั่นไหวจากที่เคยมั่นใจตลอดมา..

            ราวกับคำอธิษฐานในใจที่ได้การตอบรับจากการรอคอยมาแสนนาน

            หากผมเคยเป็นที่หนึ่งในทุกๆเรื่อง

            ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่งขัน

 

            “เราไม่เคยเกลียดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

 

            ฤดูฝนได้ผ่านพ้นไปพร้อมกับความทรงจำเก่า

            กับลมหนาวที่พัดเอาความรู้สึกหนึ่งเข้ามาเยือน...


ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เอาแล้ววววววว ฮืออออ เป็นกำลังใจให้ค่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ความมืดมนจะหายไปใช่ไหม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด