,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ,,My Family : Hidden Secret ลับซ่อนรัก,,[ตอนพิเศษ ตึก2ต้องห้าม][P.6] /{02/03/62}  (อ่าน 30424 ครั้ง)

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
น้องกระวานคะถ้าขนาดกับโป๊ยกั๊กน้องยังสู้ไม่ได้ จะนับประสาอะไรกับอิตามาเฟียนี่คะ หนูอยู่บ้านดีกว่ามั้ยลูกจะมาป่วนเขาเดี๋ยวก็โดนเล่นเองอีกหรอก

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สนุกมาก สมนำ้สมเนื้อกันดีทั้งคู่

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ปะทะฝีปากกันมันแน่ๆ คู่นี้

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
พี่ไฮท์จบไปแล้วมาลุยกระวานต่อน้าเราคิดถึงทุกวันแหละ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ติดตามค่าาา เรื่องน่าสนใจมากิ :hao5:

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
-4-




       “อย่าไปสร้างเรื่องมาอีกนะกระวาน”

   คำเตือนของพ่อยังดังก้องอยู่ในหู เพราะประโยคนี้ผมฟังมาเกือบร้อยรอบ โม้ไปงั้น ที่จริงก็ไม่กี่รอบหรอก แล้วที่พ่อผมเตือนมันก็มีส่วนถูก ผมต้องไม่ก่อเรื่องอีก งานวันนี้เป็นงานใหญ่ด้วย หากก่อเรื่องละก็ ชีวิตของผมคงจบจริงๆ แน่

   วันนี้ผมขอพ่อเลิกงานเร็วเพราะต้องไปงานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ของรุ่นพี่ที่สนิทในวงการ งานนี้เขาส่งการ์ดเชิญผมโดยตรง ดังนั้นถ้าไม่ไป ก็ดูจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แม้รู้ทั้งรู้ว่าต้องไปเจออดีตคนในความดูแลของผมก็เถอะ ผมขับพี่ชมพูผ่านหน้าโรงแรมหรูไปจอดใต้ตึก วันนี้มีรถราคาแพงจอดเรียงรายจนเต็ม โซนนี้ที่จริงเป็นของบรรดาไฮโซ คนนอกไม่มีสิทธิ์จอด แต่เพราะรถผมมีป้ายพิเศษติดอยู่ถึงผ่านเข้ามาได้ 

   จอดรถปุ๊บหางตาก็เหลือบไปเห็นรถเบนซ์สีขาวป้ายทะเบียนคุ้นตาจอดอยู่ไม่ไกล จินนี่คงได้เดินงานนี้ตามคาดสินะ ตั้งแต่เลิกทำงานไป ผมก็ไม่ได้สนใจข่าวคราวของคนในวงการสักเท่าไหร่ ขนาดทีวียังไม่ค่อยได้ดูเลย ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนเลิกสนใจอดีต ผมกระชับสูทสีน้ำตาลให้เข้าที่ ก่อนเดินเข้าลิฟต์เพื่อไปงานที่จัดอยู่ชั้นบนของโรงแรมแห่งนี้

   เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก สิ่งแรกที่เห็นคือเหล่าบรรดานักร้อง นักแสดง นายแบบ นางแบบหรือพวกสาวสังคมมากันให้พรึบ แต่ละคนแต่งตัวจัดเต็ม มีทั้งแหวกบน ทั้งแหกล่าง ผ่าหน้า ผ่าหลังเพื่อให้ได้พื้นที่สื่อสักช่องทาง และถึงแม้ผมจะไม่ได้จัดอยู่ในคนพวกนั้น แต่ก็มีคนรู้จักเยอะพอตัว

   “อ่าวกระวาน ไม่เจอซะนานเลย” ช่างผมมือทองโบกมือทักขณะผมกำลังจะเดินผ่าน “สบายดีไหม เห็นเขาว่ากันว่า กระวานออกเพราะมีปัญหาเรื่องค่าตัวกับจินนี่ ”

   “ไม่จริงเลยครับ” รีบสวนทันควัน คิดไว้อยู่แล้วว่าผมต้องถูกจินนี่ให้ร้ายลับหลังอย่างแน่นอน และมันก็เป็นจริงดังนั้น “ที่ผมออกมาเพราะอยากทำงานที่มันเป็นเวลามากกว่า” ตอบให้สวยหรู

   “ทำอะไรเหรอ”

   “ก็กลับไปช่วยพ่อทำร้านอาหารครับ เป็นร้านเล็กๆ ชื่อร้านหิ้วปิ่นโต...”

   “พี่รู้จักๆ เคยเห็นเพื่อนรีวิวอยู่ เพิ่งรู้ว่าเป็นร้านของกระวาน ดีจริง ไว้จะไปอุดหนุนนะ”

   “ขอบคุณครับ ถ้าพี่มา ผมจะจัดแบบพิเศษให้เลย”

   ฉีกยิ้มส่งท้ายก่อนจะรีบเดินไปหาเจ้าของงานที่หลังเวที ป่านนี้คงยุ่งหัวหมุนอยู่แน่ งานเดินแบบแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมเคยไปช่วยอยู่หลายงาน ทำให้รู้ว่างานพวกนี้มันหนัก แต่ปลายทางคือความสุขและความสำเร็จ

   ห้องแต่งตัวดูวุ่นวาย มีช่างแต่งหน้าทำผมที่เหมือนยกมาทั้งวงการก็ว่าได้ รวมทั้งนางแบบคนไทยและลูกครึ่งก็รวมมาอยู่ที่นี่กันหมด ผมแหวกช่องหาทางเดิน ยืดคอก็มองหารุ่นพี่คนสนิทที่กำลังชี้นิ้วโวยวายอยู่เกือบหลังห้อง พอหันมาเห็นผมก็ยกมือโบกทักทายนิดหน่อยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะจัดการงานตัวเองต่อ ช่วงที่ผมกำลังจะเดินออกจากห้อง หางตาก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยกำลังตีหน้ายุ่งไม่พอใจในชุดที่ตัวเองต้องใส่เดิน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนผมยังเป็นผู้จัดการให้ ผมก็คงจะเลือกชุดสวยๆ ไว้รอ แต่ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าของแบรนด์อย่างเดียว ตัวใครตัวมันละนะ

   เดินออกจากห้องแต่งตัวมาแล้ว ผมก็เดินทักทายคนนู้นคนนี้ที่รู้จักด้านหน้าห้องจัดงาน งานนี้มีนักข่าวหลายสำนักที่ต่างก็พากันเดินวุ่นหาข่าวจากคนดัง ทั้งที่ผมควรจะชินกับความวุ่นวายเหล่านี้ แต่พอห่างหายไป เลยรู้สึกว่า เหตุการณ์แบบนี้มันช่างน่ารำคาญ ผมขยับขาจะก้าวเข้าไปด้านใน ก่อนจะมีเสียงฮือฮาจากคนรอบข้าง พร้อมๆ สายตากับทุกคู่ที่หันไปมองด้านหลังชวนให้ต้องมองตาม

   “นั่นมัน...”

   ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดสูทสีดำ เซ็ทผมเปิดหน้าผากยิ่งเพิ่มความน่ามองขึ้นไปอีก ท่ามกลางผู้คนตั้งมากมายยืนรายล้อมอยู่ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าสายตาดุนั่นกำลังจ้องผมอยู่ และนั่นทำให้ผมต้องรีบหันหลังกลับ เมื่อกี้นี้เขามองผมใช่ไหม คงไม่ใช่หรอกมั้ง เขาอาจจะมองไปด้านหลังของผมก็ได้ เพราะมีนางเอกระดับแถวหน้าของวงการยืนยิ้มให้เขาอยู่

        พอคิดแบบนี้ก็ทำให้หายใจคล่องจมูกหน่อย

        เมื่อไม่มีอะไรแล้ว ผมก็เดินเข้าไปในห้องจัดงานอย่างสบายใจ ภายในห้องเริ่มมีคนจับจองที่นั่งกันแล้ว ผมเลือกเดินไปนั่งข้างเวทีด้านซ้ายและเลือกเก้าอี้ตรงที่ไม่มีชื่อเจ้าของติดอยู่ ตอนนี้แสงในห้องดูสลัวๆ แต่อีกเดี๋ยวห้องก็จะลดแสงลงอีก นั่นเพราะตอนเดินแบบจะมีแค่แสงไฟสาดส่องบนรันเวย์เพื่อให้เห็นชุดได้ถนัดตาเท่านั้น ระหว่างมองนั่นมองนี่ เก้าอี้ข้างๆ ก็มีคนมานั่ง ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจ แต่กลิ่นน้ำหอมเย็นๆ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่เหมือนใครลอยเข้ามาเตะจมูก

        ผมว่า ผมเคยได้กลิ่นแบบนี้มาจาก...

   “เจอกันอีกแล้วนะคุณรถสีชมพู”

   “คุณ?”

   ตกใจจนเกือบหงายหลังจากเก้าอี้ ใบหน้าคมเข้มมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ดูน่ามอง แต่สำหรับผมคงอยากหันหนีมากกว่า
 
   “ไม่นึกว่าจะเจอคุณรถสีชมพูที่นี่ด้วย”

   “ผมไม่ได้ชื่อรถสีชมพู” หันไปตอบพลางกระชับเสื้อตัวเองให้เข้าที่ แต่นายจักรพรรดิเจ้าของคลับนั่นกลับยักไหล่แล้วขำเยาะเบาๆ “หัวเราะคนเดียว สงสัยจะบ้า”

   “ผมได้ยินนะครับ”

   “ก็ผมพูดออกเสียงคุณก็ต้องได้ยินสิ” ตีรวนกวนโมโหเพื่อให้เขารำคาญแล้วลุกหนี แต่กลับขำออกมาอีกรอบซะงั้น “แล้วคุณก็มางานนี้ด้วยเหรอ หรืออาบอบนวดคุณเป็นสปอนเซอร์ล่ะ”

   “เปล่าหรอก พอดีเขาเชิญมาดูเฉยๆ แล้วคุณรถชมพูล่ะ เขาเชิญหรือเป็นสปอนเซอร์”

   “ก็บอกว่าไม่ได้ชื่อรถสีชมพู”

   “ก็คุณไม่บอกชื่อตัวเอง ผมจะเรียกถูกได้ยังไง ทีผมยังบอกชื่อคุณเลย”

   ผมกำลังถูกนายจักรพรรดินี่ยั่วโมโหกลับใช่ไหม

   “ผมชื่อกระวาน” บอกเสียงห้วน ว่าแต่ ทำไมวันนี้เขามีท่าทางสบาย การพูด การจาก็ดูเป็นกันเอง ต่างจากที่เจอที่อาบอบนวด

   “กระวาน? มันมีความหมายไหม”

   “กระวานเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง”

   “อ๋อ เหรอ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย”

   ผมว่า ผมถูกตีรวนคืนแล้วล่ะ

   “แล้วนี่ ลูกน้องคุณไปไหน เมื่อกี้ยังเห็นเดินตามอยู่เลย” ก่อนที่จะเข้ามาเมื่อกี้ ผมเห็นลูกน้องของเขาเดินตามเป็นพรวนอย่างกับขบวนนักการเมือง

   “รออยู่ข้างนอกน่ะ” ว่าเสร็จก็ขยับสูทตัวเอง “คุณล่ะ มาคนเดียวหรือ?”

   “มากับเพื่อน”

   “ไหนล่ะ เพื่อนคุณ”

   “นั่งอยู่ข้างๆ นี่ไง มองไม่เห็นเหรอ” ผมชี้ไปที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ที่ว่างอยู่ นายจักรพรรดิย่นคิ้วมองเก้าอี้เปล่าสลับกับหน้าผมไปมา ก่อนจะกระแอมในลำคอเมื่อรู้ ว่าถูกผมแกล้งอำ

   แกล้งมา แกล้งกลับ ไม่โกง







   ตอนนี้คนเริ่มเข้ามาด้านในเกือบหมดเมื่องานใกล้จะเริ่ม ผมก็เพิ่งรู้เมื่อกี้ ว่าคนข้างผมมีเก้าอี้ที่ติดชื่อเขาอยู่อีกฝั่ง แต่เขากลับเลือกจะนั่งข้างผมตามเดิม คงคิดจะยั่วโมโหผมต่อละสิ คนอะไรแค่ยิ้มก็ทำให้หงุดหงิดได้ แล้วไฟในงานก็ค่อยๆ มืดลงเมื่อจอผ้าขนาดใหญ่เริ่มฉายวีดีโอการออกแบบ การตัดเย็บ การทำงานต่างๆ รวมไปถึงรายละเอียดของแผนงานที่ตั้งไว้ และเมื่อภาพจบลง ไฟจากสปอร์ตไลท์ก็พุ่งบนรันเวย์ทันที พร้อมๆ กับมีนางแบบเริ่มเดินออกมาด้วยชุดของคอลเล็กชั่นใหม่ที่สวยหรูและสามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้จริง

   เมื่อโชว์ชุดสุดท้ายจบลง เจ้าของห้องเสื้อก็ขึ้นไปยืนยิ้มปลื้มปริ่มกับความสำเร็จของงานวันนี้ ผมอยู่รอจนงานเลิกเพื่อมอบกล่องของขวัญเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการมาร่วมยินดีในครั้งนี้ และที่ผมไม่เลือกช่อดอกไม้เหมือนคนอื่น ก็เพราะเดี๋ยวพอแห้งก็ต้องทิ้ง เสียดายเปล่าๆ ผมขยับถอยหลังเมื่อให้ของขวัญเสร็จ จนเกือบจะชนนายจักรพรรดิที่ถือดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่มารอมอบให้เจ้าของงาน

   “ยินดีด้วยนะครับ ชุดสวยมากจริงๆ”

   “อุ๊ย คุณจักรพรรดิ ขอบคุณนะคะ ดีใจมากๆ เลยค่ะที่คุณมา” ผมมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย ไปสนิทกันตอนไหน “หากครั้งหน้าห้องเสื้อของเราออกแบบชุดสำหรับผู้ชาย หวังว่าคุณจักรพรรดิจะยอมมาเป็นนายแบบให้กับเรานะคะ”

   “ผมคงไม่เหมาะหรอกครับ” รอยยิ้มจากมุมปากที่ยกขึ้นนิดๆ แต่กลับทำให้คนรอบข้างเคลิบเคลิ้มได้อย่างมาก “ยินดีด้วยอีกครั้งนะครับ” พูดจบเขาก็เดินฝ่ากลุ่มสาวสวยออกไป แต่ก็ต้องหยุดเมื่อถูกจินนี่ทักทาย

   จินนี่รู้จักเจ้าของอาบอบนวดด้วยเหรอเนี่ย หรือหมอนี่จะไม่ธรรมดาจริงๆ ขนาดคนดังๆ ในงานนี้ยังเข้ามาพูดคุยด้วยไม่ขาดสาย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องสนใจ ตอนนี้อยากกลับมากกว่า ขืนถึงบ้านช้ากว่านี้ มีหวังถูกบ่นหูชาอีกแน่ ผมเดินออกจากงานมาอย่างเงียบๆ ก่อนจะหยุดหน้าโรงแรมเพื่อส่งข้อความหาโป๊ยกั๊ก ว่าอย่าเพิ่งล็อกห้องนอน เพราะผมลืมเอากุญแจมาด้วย ไม่รู้ป่านนี้มันจะนอนหลับน้ำลายยืดไปแล้วหรือยัง

   “รอรถหรือคุณ” กำลังกดตัวหนังสือยิกๆ ก็มีคนถามขึ้นมา กลิ่นที่โชยมาเตะจมูกนั้น ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ ว่าเป็นใคร แต่ผมก็ไม่ได้สนใจที่จะตอบกลับ “นี่ ผมถามคุณอยู่นะ คุณกระวาน”

   “อ่าวเหรอ ผมก็นึกว่าคุณคุยกับคนอื่น” ตีรวนพร้อมยักคิ้วให้ไปหนึ่งที นายจักรพรรดิทำแค่มองเฉยๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา และผมก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า ด้านหลังเขามีลูกน้องยืนอยู่สี่คน แต่คนที่ทำให้หนังตาของผมกระตุก ก็คงจะเป็นคนที่เคยทะเลาะกับผมมาก่อน “แล้วนี่ เวลาคุณไปไหน มาไหนต้องมีลูกน้องตามเยอะขนาดนี้เลยเหรอ อย่างกับมาเฟียในละคร” น่าแปลกที่ไม่มีคำตอบกลับใดๆ กลับมา อีกทั้งเขาก็ดูไม่สนใจคำถามของผมด้วย ดูเหมือนตอนนี้เขาจะสนใจอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหน้าของโรงแรมมากกว่า “นี่คุณ...”

   “หลบ!”

   ทันทีที่พูดจบ ผมก็ถูกมือใหญ่ผลักให้ล้มลงนอนกับพื้น โดยที่คนผลักก็ล้มตัวตามมา และไม่ทันได้โวยวายอะไรเมื่อข้อมือของผมถูกมือใหญ่ฉุดในลุกแล้วดึงให้วิ่งตาม

   “จะพาผมไปไหนเนี่ย” ถามขณะขาสองข้างแทบจะพันกัน เพราะคนดึงขายาวแถมวิ่งเร็วอีก “คุณจักรพรรดิ”

   “ถ้าไม่อยากตายที่นี่ละก็ วิ่งตามมาเงียบๆ”

   “ฮะ? ตาย?”

   ผมรั้งข้อมือตัวเองไม่ให้ถูกดึงไปตามแรง จนนายจักรพรรดิต้องชะลอความเร็วลงแล้วกลายเป็นหยุดวิ่ง ความสงสัยมันทำให้ผมไม่สามารถวิ่งโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยไม่ได้ ก่อนจะอ้าปากถาม กระถางเซรามิกใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างโรงแรมก็แตกเสียงดังลั่น ทำเอาเราสองคนสะดุ้งตกใจ พอได้สติถึงรู้ว่าตัวผมถูกดึงให้เข้าไปหลบอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าของอาบอบนวด

   “ทีนี้วิ่งได้หรือยัง”

   “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมกระถางมันถึงแตกได้ล่ะ” ถามเสียงสั่นระหว่างเริ่มวิ่งหนีอีกรอบ ผมหันหลังไปมองเศษกระถางนั่น ก่อนหางตาจะเห็นรถกระบะที่จอดอยู่ด้านนอกรั้วโรงแรม มันคงจะไม่มีอะไร หากคนที่ยืนหลังกระบะไม่ถือปืนสีดำจ่อมาทางที่ผมวิ่ง “นั่นมัน...”

   “รู้แล้วก็วิ่ง”

   กระถางด้านหลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ตามเส้นทางที่ผมวิ่งผ่าน และนั่นทำให้ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต แทบจะวิ่งแซงหน้าเลยด้วยซ้ำ ระยะทางจากด้านหน้าโรงแรมลัดเลาะมาด้านข้างจนจะถึงมุมตึก รถลีมูซีนสีดำยาววิ่งโฉบเข้ามาปาดหน้าจนต้องเบรกกันตัวโก่ง ด้วยความกลัวว่าจะเป็นพวกมือปืน ผมก็จะดึงมือใหญ่ให้วิ่งย้อนกลับ แต่แรงฉุดทำให้ต้องหันไปมอง

   “ไม่หนีเหรอ”

   “นี่รถของผม เข้าไป”

   ไม่รอช้า ผมพุ่งเข้าไปด้านในก่อนเป็นคนแรก ก่อนเจ้าของรถจะรีบตามเข้ามา ทันทีที่ขึ้นมานั่ง รถคันแพงก็พุ่งทะยานออกจากโรงแรม ที่ลูกน้องของเขาหายไปคงเพราะไปเอารถ ว่าแต่ ทำไมในนี้มีแค่สอง แล้วอีกสอง?

   “ลูกน้องคุณหายไปสองคนนะ”

   “อืม”

   “คุณไม่กลับไปรับเหรอ”

   “เดี๋ยวก็ตามมาเอง”

   “ร้อนเหรอ เหงื่อคุณออกเต็มเลย” ตอนขึ้นมาใหม่ๆ ก็ร้อนอยู่หรอก เพราะวิ่งมาไกล แต่พอเจอแอร์เย็นเฉียบในรถความร้อนในตัวก็หายไป ต่างจากคนข้างๆ ที่เหงื่อยังผุดเต็มหน้าไปหมด “นี่คุณ...เลือด!” ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นมือใหญ่ของเขาเปื้อนเลือดสีแดงสด “คุณถูกยิงเหรอ”

   “บอสถูกยิงหรือครับ” คนที่นั่งอยู่ด้านหน้ารีบตะโกนมาถาม คงเพราะได้ยินเสียงผมโวยวายแน่ “ไปโรงพยาบาล...”

   “ไม่ต้อง...ขับกลับห้องเลย”

   “แต่บอสครับ”

   ไม่มีคำตอบใดๆ ให้ เป็นอันรู้กันว่าต้องกลับตามคำสั่ง ผมเม้มปากดูคนเจ็บนั่งเอนตัวพิงเบาะ มือกดแผลบริเวณหน้าท้อง

   “ผมดูหน่อยได้ไหม” พอคนถูกยิงพยักหน้า ผมก็ค่อยๆ ปลดกระดุมสูทออกแล้วเลิกชายเสื้อเชิ้ตขึ้น ถามว่ากลัวไหม ตอบเลยว่ากลัว แต่ก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้ แผลถูกยิงมีเลือดไหลออกมาไม่ขาด คงเพราะกระสุนฝังลึกเข้าไป “ผมว่าคุณต้องไปโรงพยาบาล”

   “ไม่ต้อง”

   “อยากดื้อก็ตามใจ เลือดออกหมดตัวอย่ามาโทษผมแล้วกัน” ปากพูดไปงั้น แต่มือก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าตัวเองที่พกมากดแผลไว้ให้ ผมเคยเห็นวิธีห้ามเลือดจากกองถ่ายมาบ้าง ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริง “เจ็บหน่อยนะ ถ้าไม่กดไว้เลือดคุณอาจจะออกหมดตัว”

   “อืม”

   คนเจ็บพยักหน้าลง ผมก็ออกแรงกดลงที่แผล ใบหน้านายจักรพรรดิบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ขนาดผมถูกหนามตำยังเจ็บน้ำตาเล็ด นี่ถูกยิงเชียวนะ โคตรน่าสยอง หากไม่เห็นกับตา ไม่เจอกับตัว ผมคงคิดว่าเหตุการณ์พวกนี้คือส่วนหนึ่งของละครที่กำลังถ่ายทำ




   กว่าจะฝ่าการจราจรหนาแน่นออกมาได้ คนถูกยิงเลือดออกแทบหมดตัว รถที่ผมนั่งมาเลี้ยวเข้าซอยแคบลัดเลาะไปจนโผล่หน้าหน้าตึกสูงระฟ้า เบื้องหน้าดูคล้ายกับคอนโดธรรมดา แต่ด้านหลังตรงที่รถขับเข้าไปจอด เป็นลิฟต์เฉพาะ ซึ่งตอนนี้รถที่ผมนั่งมาก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปด้านบน 

   ลิฟต์ที่พารถเลื่อนขึ้นมาจอดอยู่เกือบกึ่งกลางของตึก พร้อมๆ กับมีคนสวมสูทสีดำวิ่งกรูเข้ามาหา ผมที่ไม่รู้จะตื่นตกใจกับอะไรก่อนก็ได้แต่หันไปหันมามองคนรุมประคองคนถูกยิงเข้าไปในตัวตึก

   “ตามมาสิ” เสียงเข้มคล้ายกับออกคำสั่ง ผมได้แต่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะโดยไม่กล้าทำอะไร ขืนด่าไป ได้โดนลูกน้องเขาเอาปืนยิงสมองกระจายพอดี
 
   ตอนแรกคิดว่าห้องพักจะอยู่ชั้นนี้ แต่ปรากฏว่า ผมกับทุกคนต้องขึ้นไปด้านบนอีก ยิ่งสูง หูก็ยิ่งอื้อ สุดท้ายลิฟต์ก็หยุดอยู่ชั้นบนสุดของตึก ชั้นนี้ไม่มีห้องอย่างโรงแรมทั่วไป เพราะประตูลิฟต์เปิด สิ่งแรกที่เห็นคือลานกว้างๆ คล้ายกับห้องโถงใหญ่ ผมเดินตัวลอยๆ ตามทุกคนเข้าไป สายตามองสำรวจนั่นนี่อย่างตื่นเต้น เกิดมาเพิ่งเคยเห็นความหรูหราแบบนี้ ปกติเห็นแค่ในหนังหรือละครเท่านั้น

   “ฝากดูแลเจ้านายผมด้วย” มัวแต่ตกตะลึงห้องนอนแสนกว้างจนมาสะดุดกับคำขอร้องของคนที่ไม่ได้นั่งรถมาด้วย ไม่รู้ตามมาตอนไหนแถมยังถึงก่อนซะอีก

       “ผมเหรอ?”

       “คุณนั่นแหละ”

   “อ่าว ทำไมคุณไม่ดูแลเอง”

   “ผมต้องลงไปรับคุณหมอด้านล่าง”

   “แล้วคนอื่น”

   “ไม่มีใครที่จะอยู่ในห้องส่วนตัวของบอสได้” พูดจบ ลูกน้องที่ช่วยกันพยุงเข้ามาก็เริ่มทยอยลงลิฟต์ไป “ฝากดูแลหน่อย ผมจะรีบกลับมา”

   “เดี๋ยวสิ...”

   ไม่ทันซะแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ผมคนเดียว ที่ประคองคนเจ็บ ที่น้ำหนักมากกว่าตัวเองไม่ให้ล้มลงไปกองที่พื้น ผมต้องพาเขาไปที่ส่วนไหนของห้องเนี่ย กว้างออกอย่างนี้ แต่แล้วรอยเลือดที่หยดอยู่บนพื้นเป็นทาง ทำให้ผมตัดสินใจพาคนถูกยิงเข้าห้องน้ำ ยังดีที่เจ้าของอาบอบนวดยังพอมีสติให้ผมถามทาง

   ห้องน้ำหรูหรามีพื้นที่มากกว่าห้องนอนของผมกับโป๊ยกั๊กเสียอีก ผมค่อยๆ วางคนเจ็บลงข้างอ่างอาบน้ำ ก่อนหันรีหันขวางหาผ้าขนหนู ตอนนี้ตู้อยู่ตรงไหนผมก็เปิดหมด กว่าจะเจอผ้าอยู่ในตู้ติดผนัง

   “ถอดเสื้อก่อนนะคุณ”

   บอกพร้อมๆ กับปลดเสื้อสูทสีดำออกจากตัว เห็นได้ชัดว่า ตรงที่ถูกยิงนั้นชุ่มไปด้วยเลือด รวมทั้งเสื้อเชิ้ตที่มีรอยเลือดเป็นวงกว้าง กล้ามเนื้อแน่น หน้าท้องเป็นลอนมีรอยแผลเหวอะจากกระสุนปืน แทบสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อเห็นแผลเต็มตาแบบนี้

   “เช็ดด้วยน้ำก็พอ” นายจักรพรรดิพูดเสียงในลำคอจนผมต้องยื่นหน้าไปชิดริมฝีปากถึงฟังรู้เรื่อง

   “เข้าใจแล้ว” ผมรีบกระวีกระวาดเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดแผล รวมทั้งเนื้อตัวของคนเจ็บ มือใหญ่ของเขาก็เต็มไปด้วยเลือด “ไม่อยากจะเชื่อ ว่ามีการยิงกันในสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่เห็นกับตา ผมต้องคิดว่าคุณกำลังถ่ายละครอยู่แน่” มือเช็ดไป ปากก็บ่นไป ได้ยินเสียงขำเบาๆ ในลำคอตอบกลับ “คุณน่ะ น่าจะถูกยิงมาหลายแผลแล้วใช่ไหม” ตรงเอวอีกฝั่งที่ผมเพิ่งเช็ดไปก็มีรอยแผลเป็น “เป็นเจ้าของอาบอบนวดก็อันตรายเหมือนกันนะ แล้วคุณสงสัยใครไหม”

   “ถามเยอะจริง ไม่เหนื่อยรึไง” คล้ายตัดบทเพราะรำคาญ แต่รอยยิ้มติดริมฝีปากดูขัดกับน้ำเสียง

   “ที่คุยก็เพราะอยากเช็คว่าคุณมีสติอยู่หรือเปล่า คุณนั่นแหละไม่ต้องพูด ยิ่งพูดเลือดก็ยิ่งไหล” ผ้าขนหนูสีขาวถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดงสด “เมื่อไหร่หมอจะมาเนี่ย เลือดออกจะหมดตัวแล้ว”

   บ่นได้ไม่นานเสียงด้านนอกก็ดังขึ้น ผมช่วยดีนประคองร่างคนเจ็บไปที่เตียง ก่อนถอยไปยืนดูอยู่ริมห้อง คุณหมออายุไม่มากตรวจอย่างคล่องแคล่ว

        “กระสุนฝังใน เราต้องผ่าออก” คุณหมอพูดขณะใส่สายน้ำเกลือและเลือดที่แขนคนเจ็บ “ต้องรีบพาไปที่คลินิกผม ด่วน!” 

   “ได้ครับ” ดีน ลูกน้องคนสนิทนายจักรพรรดิรับคำ ก่อนจะรีบประคองร่างเจ้านายขึ้น “ช่วยผมหน่อย”

   ตอนแรกก็ไม่อยากช่วย แต่เห็นหน้าคนเจ็บที่บิดเบี้ยวแล้วก็อดไม่ได้ ผมเข้าประคองอีกฝั่ง โดยมีนายดีนประคองอีกฝั่ง ส่วนคุณหมอรีบเดินนำหน้าไปที่ลิฟต์ จากที่พักมาคลินิกคุณหมอใช้เวลาพอสมควร พอถึงทุกอย่างก็ดูรีบเร่งไปหมด ผู้ช่วยของคุณหมอรีบวิ่งเข้ามาพร้อมพาคนเจ็บเข้าไปด้านหลัง

   “ที่นี่มีห้องผ่าตัดด้วยเหรอ” ถามขณะใช้แขนเช็ดเหงื่อที่ผุดบนหน้า เพราะมือผมเปื้อนเลือดอยู่

   “ด้านหลังน่ะ” นายดีนตอบ ก่อนจะเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ๆ เคาน์เตอร์หลังจากถูกเรียก ตอนนี้ผมเลยยืนเคว้งอยู่ที่ทางเดิน จะเข้าไปด้านในก็ไม่กล้า “ไม่ไปนั่งล่ะคุณ”

   ปกติผมไม่ใช่คนที่เชื่อฟังใครหรอกนะครับ แต่คราวนี้ผมค่อยๆ ถอยหลังไปนั่งที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งตอนนี้ไม่มีคนเลย คงเพราะคลินิกขึ้นป้ายว่าปิดตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว ผมยังแปลกใจอยู่เลย พอดีนคุยเสร็จก็เดินมาทิ้งตัวนั่งข้างผม

   “เจ้านายคุณจะเป็นอะไรไหม” ถามด้วยความเป็นห่วง

   “แค่นัดเดียว คุณหนึ่งไม่เป็นอะไรหรอก” เสียงตอบกลับแบบเรียบๆ ดูขัดกับสีหน้าที่คล้ายกับกังวล “มองหน้าผมทำไม”

   “คุณหนึ่ง?”

   “ผมหมายถึงคุณจักรพรรดิ เจ้านายผมน่ะ”

   “อ๋อ”

   แปลกดี คนในอาบอบนวดเรียกบอสกันทุกคน เพิ่งเคยได้ยินเรียกชื่นอื่น

   “คุณจะกลับเลยก็ได้นะ เดี๋ยวผมให้คนไปส่ง”

   “รออีกสักแป๊บก็ได้ ผมไม่รีบ”

   ใจจริงก็อยากกลับเต็มแก่ แต่ก็รู้สึกห่วงอยู่ดี อยากรู้ว่าคนข้างในจะปลอดภัยหรือเปล่า นั่งรอเกือบชั่วโมงคุณหมอก็เดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาผมกับดีนใจชื้นขึ้นมา

   “ปลอดภัยแล้วนะครับ” ไม่รู้ทำไมผมถึงถอนหายใจออกมาเสียงดังจนทั้งหมอกับดีนหันมามองหน้า “ถ้าไม่ได้คุณห้ามเลือดละก็ คุณจักรพรรดิอาจเสียชีวิตแล้วก็ได้” คุณหมอยิ้มให้ผมก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านใน

   “ขอบคุณนะครับคุณหมอ” ดีนยกมือลูบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันมามองผม “คุณจะกลับบ้านไหม ผมจะให้ลูกน้องไปส่ง”
 
   “ครับ”

   ตอนแรกว่าจะปฏิเสธ แต่ความล้า ความเหนื่อยทำให้ผมรับคำอย่างง่ายดาย ดีนให้ลูกน้องที่ตามมาทีหลังขับรถมาส่งผม แอร์เย็นๆ ทำให้เคลิบเคลิ้มจนเกือบหลับ ยังดีที่ภาพของพี่ชมพูผุดเข้ามาทำให้ตาสว่าง

   “รถ” โพล่งออกมาจนคนขับรถสะดุ้ง “ผมต้องกลับไปเอารถที่โรงแรมก่อน”

   “ได้ครับ”

   คนขับรถไม่มีท่าทางโกรธเคืองใดๆ เมื่อต้องวนกลับไปโรงแรม ทั้งที่ใกล้จะถึงบ้านผมอยู่แล้ว การจราจรในช่วงดึกเคลื่อนตัวได้คล่องกว่าตอนเย็น ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ในสมองยังนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หากไม่ถูกดึงให้หลบ ผมก็คงถูกกระสุนปืนเจาะหัวแน่ เพราะตำแหน่งที่กระถางต้นไม้เซรามิกแตก คือตรงหัวผมพอดี

   เกือบตายแล้วไหมล่ะ



   รถวนมาจอดหน้าโรงแรม ผมยกมือไหว้ขอบคุณคนขับรถเพราะแกน่าจะอายุเยอะกว่าผม ก่อนจะเดินลงไปลานจอดรถใต้ตึกที่ตอนนี้รถคนดังๆ ยังจอดอยู่เต็ม คงมีปาร์ตี้หลังงานเลิกสินะ เมาหัวราน้ำเชียวล่ะ จากที่ผมเคยประสบพบเจอมา พี่ชมพูยังจอดอยู่ที่เดิม ผมเปิดประตูแล้วสอดตัวลงไปนั่ง มือลูบๆ คลำๆ พวงมาลัยอย่างคิดถึง

   “เกือบไม่ได้เจอกันแล้วนะพี่ชมพู” เอาแก้มแนบลงไปถูๆ “จบเรื่องแล้วนะ กลับบ้านกันเถอะ”

   หวังว่าเจ้าของอาบอบนวดนั่นจะหายในเร็ววัน 




...TBC

ไร้ซึ่งคำแก้ตัวใดๆ เลย นอกจากคำว่าขอโทษค่าาาา ที่หายไปเลย แต่ตอนนี้จะปล่อยกระวานมาเรื่อยๆ แล้ว ไม่หายแล้วค่าา (ก้มกราบ) เรื่องนี้อาจจะมึนๆ อึนๆ ตรงไหนอ่านแล้วงงๆ ช่วยบอก ช่วยติด้วยนะคะ จะได้นำไปแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นคนละแนวกับเรื่องอื่นๆ แม้กระวานจะบ้าบอ เพี้ยนดังเช่นกลอยประเกรียนก็ตาม

ฝากด้วยนะคะ กำลังพัฒนาตัวเองอยู่ค่า ตรงไหนผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ จะรีบทำให้ดีกว่านี้ >w<

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2018 22:30:57 โดย aiaea83 »

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เหนื่อยไหมกระวาน เป็นงานที่ระทึกจริง ๆ งานนี้  :katai3:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โหหห เจอกันอีกทีก็พากันวิ่งหนีลูกกระสุนซะแล้วแต่ดูเหมือนคุณมาเฟียจะแอบติดใจกระวานนะเนี่ย เริ่มคิดแล้วสิว่าเหตุผลที่กระวานไปทำงานด้วยนี่น่าจะมีอะไรมากกว่าที่กระวานบอกอะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
คิดถึงจังงง
รอดูเขาโคจรมาเจอกันอีกรอบ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนนายมาเฟียจักรพรรดิจะสนใจนู๋กระวานอยู่ไม่น้อยเลยนะเนี่ย

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
คิดถึงแล้วน้า  :call: :call: :call:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
เราคิดถึงกระวานแล้วน้า ไม่กล้าเข้ามาทวงบ่อยเพราะคิดว่าคนเขียนคงงานยุ่งหรือถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็พักน้าแต่อย่าทิ้งกระวานหรืองานเขียนเลยนะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :call: :call: :call:

กระวานหายไปไหนเป็นเดือนเลย


ส่งข่าวหน่อยน้าาาาา

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-5-




        จากเหตุการณ์วันเกือบตายของผมนั้น ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว และเป็นอาทิตย์ที่ผมไม่เห็นหน้าเจ้าของอาบอบนวดเลย แม้แต่ลูกน้องคนสนิทอย่างดีนก็ไม่เห็น ไม่กล้าถามใครด้วย ป่านนี้หายหรือยังก็ไม่รู้

   “เดินระวังหน่อยสิ” เสียงเข้มดังขึ้นจนผมสะดุ้ง เพราะมัวแต่มองรถคันคุ้นตาวิ่งผ่านเข้าไปจอดที่ลานด้านหน้า “ดูทำหน้าเข้า”
 
   “คุณหายแล้วเหรอ” เคยตั้งใจว่าจะทำเป็นไม่สนใจ ที่ไหนได้ เจอหน้าแบบไม่ทันตั้งตัว ปากก็ถามไปก่อนสมองจะคิดซะอีก แถมตอนนี้ยังถูกขำใส่อีก

   “เป็นห่วงผมเหรอ” น้ำเสียงเจือขำเอาซะผมหน้าบูด “ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ แต่ถ้าเมื่อกี้คุณชน ผมก็อาจกลับมาเจ็บเหมือนเดิม”

   โดนประชดมาชุดใหญ่ทำเอาพูดแทบไม่ออก ผมเลือกจะเดินเบียดออกประตูแทนการตอบโต้ แต่ขยับเดินได้แค่ก้าวเดียวแขนก็ถูกดึงไว้ สะบัดออกก็ไม่ได้เลยต้องหันไปหาอีกรอบ

   “มีอะไรกับผมอีก” พยายามคุมอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยการคิดว่าคนตรงหน้าคือเจ้านาย แถมเป็นมาเฟียที่พร้อมจะฆ่าผมเมื่อไหร่ก็ได้ พอคิดแบบนี้ อารมณ์เหวี่ยงก็ค่อยๆ ลดลง

   “ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะถามคุณสักหน่อย”

        จากน้ำเสียงขี้เล่นเมื่อกี้กลับมาจริงจังจนผมต้องเม้มริมฝีปากรอฟัง พอกำลังจะอ้าปากถาม คุณป้าแผนกการเงินก็เดินปรี่เข้ามาหาก่อน จากที่ได้ยินคือมีเอกสารด่วนที่ต้องเซ็น ก็เพราะเจ้าของหยุดงานหลายวัน แฟ้มที่คุณป้าถือมาเลยเยอะเป็นพิเศษ

   “ผมถือให้” เอ่ยปากเมื่อเห็นคนป่วยเก้ๆ กังๆ รับแฟ้มมาถือเอง และช่วงที่ผมอาสา คุณป้าก็มองด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา

   “ต้องใช้เมื่อไหร่” นายจักรพรรดิถามเสียงเรียบ ใบหน้าที่ดูใจดีเมื่อกี้ค่อยๆ เรียบเฉย

   “เย็นนี้ค่ะ มีเอกสารการเงิน แล้วก็เอกสารการจัดซื้อ ดิฉันแนบรายละเอียดไว้แล้ว”

   “อืม”

   รับคำสั้นๆ พร้อมปรายตามอง เพราะคุณป้าเอาแต่มองหน้าผมแม้จะพูดกับเจ้านายตัวเอง คงกำลังคิดว่าผมสาระแนมายืนฟังด้วยแหงๆ ก่อนคนสงสัยจะสะดุ้งเมื่อหันไปเจอเจ้านายตัวเองขมวดคิ้วมอง

   “ดิฉันขอตัวนะคะ”

   ขนาดคุณป้าขอตัวแล้ว แต่สายตาก็ยังอยู่กับผม เอากับป้าแกสิ

   “ดูเขาอยากคุยกับคุณนะ” คำถามที่ส่งมาเรียกให้ผมหันไปมอง

   “คงจะใช่ละมั้งครับ”

   พอหมดคำพูดใดๆ นายจักรพรรดิก็เดินแทรกผมเข้าไปด้านใน ผมก็ต้องรีบถือแฟ้มตาม รู้แบบนี้ไม่ช่วยซะก็ดี แต่พ่อกับแม่ก็ดันสอนไว้ว่าให้เป็นคนดี ช่วยเหลือคนเจ็บ คนแก่แล้วก็เด็ก ระหว่างทางที่ต้องผ่าน ผมต้องกลั้นใจพยายามทำเป็นเมินเสียงที่ดังอื้ออึงอยู่ตลอด ห้องโถงชั้นนี้ผู้คนยังมาใช้บริการอย่างคึกคัก บ้างก็ได้คนนวดถูกใจ บ้างก็โวยวายไม่พอใจท่าเดียว

   “มีอะไร” กำลังจะเดินเข้าลิฟต์อยู่แล้วเชียว หากไม่มีเสียงดังมาจากบริเวณหน้าห้องกระจกจนนายจักรพรรดิต้องเดินย้อนไปดู และใบหน้านิ่งขรึมของเจ้านายทำเอาพนักงานหน้าเสียกันหมด “ไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ หรือพนักงานพูดไม่ดีกับคุณลูกค้า”

   “ก็พนักงานของคุณน่ะสิ ผมบอกว่าไม่ชอบๆ ก็ยังจะยัดเยียดให้อยู่ได้” ตาแก่พุงยื่นชี้ไม้ชี้มือ ทำเสียงดังจนคนหันมาสนใจกันหมด “มีคนแนะนำมาว่า ที่นี่ดีนักหนา ที่ไหนได้...”

   “นี่ลุง” ผมพยายามนับหนึ่งถึงร้อยแล้วนะครับ แต่มันก็ทนไม่ไหวจริงๆ ทันทีที่ผมขัดขึ้น สายตาก็พุ่งมาที่ผม “ใจเย็นๆ สิครับ มา เดี๋ยวผมแนะนำให้ลุงเอง รับรองว่าตรงใจอย่างกับผมรู้ความคิดลุงเลยล่ะ”

   ผมไม่สนใจสายตาตำหนิของนายจักรพรรดิ เพราะตอนนี้ผมอยากจัดการปัญหาการได้ยินของผมซะก่อน และลุงขี้โวยวายคนนั้นก็ดูจะอ่อนลงพร้อมเดินตามผมมาที่หน้าห้องกระจก

   “ไหน คนไหนที่มึงจะเลือกให้กู” น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากได้อีก ผมทำเมินพลางกวาดสายตาไล่มองไปทีละคน “เลือกได้หรือยังวะ”

   “ใจเย็นๆ สิ ใจร้อนจะได้ของไม่ดีนะลุง” ผมว่า ก่อนจะตาโตเมื่อเจอเป้าหมาย “ลุงๆ เบอร์ห้าสิบสองคนนั้นไง หน้าตากับหน้าอกอายุพอๆ กัน มืออวบนิดๆ มีเนื้อหน่อยๆ รับรองกดถูกเส้นจนลุงหายเมื่อยแน่ๆ” ผมบรรยายสรรพคุณโดยไม่รู้หรอก ว่าสาวเบอร์นั้นจะนวดเป็นยังไง แต่ที่ผมพูดคือสิ่งที่ลุงแกคิดและต้องการ “ถูกใจไหมครับ”

   “แหม่ เลือกดีนี่หว่า” ลุงขี้โวยวายเอาหน้าแนบกระจก มือก็ยื่นมาตีไหล่ผมหลายทีคงชอบใจคนที่ผมบอก “เอาเบอร์นี้เลย” ว่าแล้วพนักงานที่หน้าซีดก็รีบกดแท็ปแลตเลือกหมายเลข ก่อนหลอดไฟสีชมพูในตู้ข้างๆ คนนั่งจะสว่างวาบขึ้นมา เป็นอันจบ แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกมา แขนก็ถูกดึงไว้ “อะ ทิป”

   “ครับ?”

   “ทิปที่เลือกคนถูกใจ แบบนี้สิ ค่อยน่ามาใช้บริการบ่อยๆ”

   ยื่นมือรับเงินมาแบบงงๆ แบงค์สีเทาห้าใบอยู่ในมือของผม แถมได้มาแบบง่ายๆ ซะด้วย มันก็ดีอยู่หรอก หากพนักงานที่ยืนเชียร์ตอนแรกไม่มองตาละห้อย

   “อะไรครับ?” ถูกถามทันทีที่ยื่นเงินให้

   “ให้ไง ทิป”

   “แต่ลูกค้าให้คุณ ไม่ได้ให้ผม”

   “ก็ผมไม่ได้ทำงานที่นี่ อีกอย่าง มันควรจะเป็นของคุณอยู่แล้ว”

   พนักงานคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมารับ เพียงแค่จับก็มีเสียงกระแอมขัดขึ้นจนต้องชักมือกลับ

   “ผมคงรับไว้ไม่ได้ เดี๋ยวคุณ” ไม่สนใจคำปฏิเสธ ผมจับเงินยัดใส่มือให้มันจบๆ เรื่อง อีกอย่าง แฟ้มหนักๆ นี่ก็กำลังจะร่วง “ขอบคุณครับ”

   ไม่ได้ตอบรับ แต่ผมผลักให้พนักงานคนนั้นรีบๆ เดินหนีไป ไม่อย่างนั้นคงโดนเจ้าของที่นี่จ้องจนพรุนแหงๆ พอยืนอยู่กันสองคน กลายเป็นผมเองที่ถูกดวงตาคมนั้นจ้องดุ

   “มองทำไม”

   “ใจดีจริงนะ”

   “ก็มันควรเป็นเงินของพนักงานคุณนี่”

   นายจักรพรรดิส่ายหน้าช้าๆ พลางเดินวนกลับไปที่ลิฟต์ที่กำลังเปิด ผมได้แต่บ่นในใจแล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ ช่วงขึ้นไปด้านบน ผมลอบสังเกตคนข้างๆ ดูท่าทางแล้วไม่เหมือนคนถูกยิงมาก่อนเลย ยังยืนตัวตรงทำหน้าเฉยชาเหมือนเดิม และพอประตูลิฟต์เปิดออกในชั้นบนสุดของตึก เจ้าของที่นี่ก็เดินนำลิ่วไปยังห้องด้านในสุด


   ประตูไม้สีเข้มเปิดออกเผยให้เห็นห้องทำงานของเจ้าของที่นี่ ผมมองสำรวจอย่างสนใจ ห้องกว้างมีชุดโต๊ะทำงานอยู่ด้านซ้ายมือ ตรงกลางมีโซฟาสีดำ ด้านขวาตรงผนังมีทีวีสีดำเครื่องใหญ่ติดอยู่และมีโซฟายาวตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ที่สะดุดตาที่สุดตั้งแต่เดินเข้าห้องมา คงจะเป็นรูปมังกรสีทองที่ติดผนังด้านหลังโต๊ะทำงาน ดวงตาของมังกรเป็นสีน้ำเงินสวยจนอดมองไม่ได้

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เจ้าของห้องถามขณะเปิดแฟ้มที่ผมแบกขึ้นมาให้

   “ตาของมังกรในรูปสวยจัง” พูดโดยที่ตายังจ้องรูปด้านหลัง “คุณซื้อจากไหนเหรอ” ชักอยากได้ไปติดร้านของพ่อบ้าง
 
   “ปู่ผมสั่งทำน่ะ” เสียงตอบกลับแบบเรียบๆ

   “แพงไหม มันเหมือนมีชีวิตเลย” อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “ตามันสวยมากจริงๆ นะ” คล้ายกับถูกดวงตาสีน้ำเงินนั่นสะกดจิตจนไม่อยากละสายตาไป “คุณ...”

   ยิ่งกว่าดวงตาสีน้ำเงินคือดวงตาสีนิลที่ผมกำลังจ้องระยะใกล้

   “เกร็ดของมังกรในรูป ทำมาจากทองจริง ตาของมันก็เป็นไพลินเกรดพรีเมี่ยม” น้ำเสียงทุ้มบอกขณะผมขยับถอยหลัง อยู่ๆ คนที่นั่งทำงานก็ลุกขึ้นมาเฉย และผมก็เพิ่งรู้ว่า ผมต่างหากที่เดินเข้ามาอยู่ใกล้เขาเอง “รูปนี้ราคาคงประมาสิบล้านละมั้ง”

   “สิบล้าน?” ตกใจยิ่งกว่าถูกลูกค้าของแม่หลอก รูปแค่นี้นะสิบล้าน แม้จะทำมาจากทองจริงก็เถอะ แต่ราคาก็ไม่น่าจะถึงขนาดนี้ “ล้อเล่นหรือเปล่า”

   “หน้าผมเหมือนคนล้อเล่นเหรอ” สีหน้าเรียบเฉยนั่นทำให้ผมพูดไม่ออก พลางเบนสายตาไปมองรูปต่อ “พูดถึงไพลินแล้วก็เพิ่งนึกได้ แหวนของผมอยู่ที่คุณไหม”

   “แหวน?” ตีหน้างงทันทีที่ถูกถาม “แหวนอะไรเหรอครับ”

   “แหวนหัวไพลินที่ผมสวมอยู่ที่นิ้วก้อย มันอยู่ที่คุณไหม”

   “แหวนของคุณ จะมาอยู่ที่ผมได้ยังไง”

   “วันที่ผมถูกยิง คุณอยู่กับผมแค่สองคน...”

   “นี่คุณจะหาว่าผมขโมยแหวนคุณเหรอ” เริ่มโมโหที่ถูกใส่ร้าย “ถึงบ้านผมจะฐานะปานกลาง แต่พ่อแม่ผมก็ไม่เคยสอนให้ขโมยของใคร” แทบอยากจะเดินหนีออกจากห้อง หากไม่ถูกดึงแขนไว้

   “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” น้ำเสียงของนายจักรพรรดิดูอ่อนลง “ผมแค่ถามว่ามันติดไปกับคุณหรือเปล่า”

   “ไม่มี”

   “แล้วจำได้ไหมว่าคุณเอาไปวางไว้ที่ไหน”

   “ก็...”

        นั่นสิ ผมเอาไปวางไว้ที่ไหนวะ

   จำได้ว่า ผมเช็ดแขนของนายจักรพรรดิแล้วเห็นแหวนที่นิ้วก้อยด้านซ้ายมีเลือดเขรอะ ผมก็ถอดออกมาล้างแล้วก็วางไว้...ที่ไหนวะ

   “จำได้ไหม”

   “ไม่มีที่อ่างล้างหน้าเหรอ ผมล้างแล้ววางไว้ตรงนั้น”

   “ไม่มี”

   “ข้างๆ ก๊อกน้ำก็ไม่มีเหรอ”

   “นั่นก็ไม่มี”

   “อยู่ข้างสบู่หรือเปล่า”

   “ไม่อยู่”

   “แล้วมันอยู่ไหนล่ะ”

   “ถ้ารู้ผมก็คงไม่มาถาม”

   เดินปึงปังมานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน วันนั้นทั้งตื่นเต้น ทั้งลนลาน เพราะแผลที่ถูกยิงนั้นเลือดออกเยอะมาก ทำให้ผมนึกอะไรแทบไม่ออก คิดอยู่อย่างเดียวคือทำยังไงให้เลือดหยุดไหล

   “ผมไม่ได้เอาไปจริงๆ นะ” คิดแล้วคิดอีก นึกย้อนไปก็จำไม่ได้

   “หรือคุณจะไปหาด้วยตัวเองล่ะ” ก็น่าสนอยู่นะ “แต่คงต้องรอผมเลิกงานก่อน”

   “ไปหาก่อนไม่ได้เหรอ ให้ลูกน้องคุณพาไป” ขืนรอ มีหวังกลับบ้านดึก โดนพ่อด่าแหง

   “ห้องของผมไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกง่ายๆ หรอกนะ”

   รู้อยู่หรอกว่าต้องคอยระวังตัวเอง แถมข้าวของในห้องนั้นราคาแสนแพงอีก ดูอย่างรูปมังกรที่ติดผนังนั่นสิ แพงซะผมรู้สึกผิดที่คิดจะซื้อเลย 

   “คุณออกจะรวยล้นฟ้า สั่งทำใหม่ก็ได้นี่ แหวนวงแบบนั้นน่ะ” ผมบอกคนที่เริ่มกลับมานั่งทำงานอีกรอบ นายจักรพรรดิบรรจงเซ็นต์เอกสารด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่สนใจในสิ่งที่ผมถาม “นี่คุณ”

   “แหวนนั่นมีวงเดียวในโลก” ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน และดูเหมือนคนพูดจะรู้ว่าผมไม่เข้าใจ เลยวางปากกาแล้วเงยหน้าจ้องผม “แหวนนั่น แม่ผมเป็นคนออกแบบ และพ่อผมเป็นคนทำมันขึ้นมา”
 
   พูดไม่ออกเลยเมื่อได้ยิน หากผมตาไม่ฝาด คนตรงหน้าแสดงความเจ็บปวดทางสายตาออกมาเพียงเสี้ยววินาทีที่พูดถึงแหวนวงนั้น ก่อนจะกลับมาเรียบเฉยตามเดิม

   “ผมขอโทษ” บอกเสียงอ่อนเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มแปลกๆ “รีบๆ ทำงานสิ ผมจะรออยู่เงียบๆ”




 
   และก็รออยู่แบบเงียบจริงๆ เงียบซะจนรู้สึกอึดอัดเอง เลยต้องขยับตัวไปมา สายตาก็มองสำรวจนั่นนี่ไปเรื่อย ห้องทำงานตกแต่งเรียบๆ แต่ดูมีสไตล์เลยทีเดียว ก็คงเรียกได้ว่า เหมาะกับเจ้าของละมั้งนะ ช่วงที่สนใจของในห้อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แต่เจ้าของห้องก็ยังคงก้มอ่านเอกสารไม่สนใจ จากหนึ่งเป็นสอง ดูท่าแล้วคนข้างนอกคงจะมีเรื่องด่วนแน่ๆ

   “คุณจักรพรรดิ”

   “ครับ?”

   “มีคนมา”

   พอพูดจบ สายตาคมก็ตวัดไปมองทางประตูพร้อมๆ กับเสียงเคาะดังขึ้นมาพอดี น้ำเสียงทุ้มเลยเอ่ยอนุญาต ผมจ้องมองคนที่จะเข้ามาด้วยความอยากรู้ แม้มันจะไม่เกี่ยวกับผมก็เถอะ

   “บอส” เสียงใสเอ่ยเรียกทันทีที่เปิดประตูเข้ามา สาวสวยหุ่นดีสวมชุดเปิดบนเปิดล่างจนผมใจคอไม่ดี “มีปัญหาอีกแล้วค่ะ”
 
   “อะไร” คิ้วเข้มขมวดหลังจากได้ยินว่ามีปัญหา สาวหุ่นดีเดินผ่านหน้าผมไปยืนข้างๆ เจ้าของห้อง เรียวแขนเล็กยื่นเท้ากับโต๊ะทำให้เห็นหน้าอกหน้าใจที่เกือบจะล้นทะลักออกมา

   ผมว่ามันแปลกๆ นะ

   “ลูกค้าวีไอพีตุกติกค่ะ” หน้าที่ปกปิดด้วยเครื่องสำอางขยับไปจนชิดแล้วกระซิบเบาๆ แต่เพราะผมอยู่ใกล้เลยได้ยินไปด้วย “พาเด็กเราออกข้างนอกโดยไม่ได้ตกลงกันไว้ พอจับได้ก็หาว่าเด็กอยากไป”

   “ดีนล่ะ” นายจักรพรรดิเอนตัวพิงพนักไม่สนใจนมโตๆ ที่แทบทิ่มหน้าเมื่อกี้

   “ตอนนี้ดีนกำลังเคลียร์อยู่ค่ะ แต่ให้พิมพ์ขึ้นมาแจ้งบอสด้วย”

   ถ้าวัดจากน้ำเสียงและการกระทำ ผมว่าผู้หญิงคนนี้คงจะสนิทกับนายจักรพรรดิพอดู หากเป็นพนักงานคนอื่นๆ ก็คงไม่กล้ามาอ่อยขนาดนี้ บางคนแค่มองหน้ายังไม่กล้าด้วยซ้ำ

   “ถ้าได้เรื่องยังไงก็แจ้งด้วย ถ้ามันไม่ยอมก็จัดการไปตามกฎ”

   “บอสไม่ลงไปดูหรือคะ” ช่วงที่เธอพูด ดวงตากลมโตเหลือบมามองผมนิดๆ “แล้วนี่ พนักงานใหม่หรือคะ หน้าตาก็พอใช้ได้ แต่หุ่นยังไม่ผ่านนะคะ อ้วนไปหน่อย”

   “อวบก็พอครับ” รีบขัดทันทีที่ได้ยินคำว่าอ้วน

   “ไม่ต่างกัน” หญิงสาวยักไหล่แล้วหันไปสนใจเจ้านายตัวเองต่อ โดยปล่อยให้ผมนั่งหน้าบูดเป็นตูด “ว่าไงคะบอส”

   “ให้ดีนจัดการก็พอ งานผมเยอะ” เสียงเรียบตอบ “ถ้าดีนจัดการเสร็จแล้ว ให้ขึ้นมาหาผมด้วย”

   “ค่ะ”

   น้ำเสียงตอบรับดูไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ หรือเพราะการยั่วของเธอไม่เป็นผลนะ อาจมีผมอยู่ด้วยละมั้ง คนที่นั่งเคร่งทำงานเลยไม่มีท่าทีสนใจ และพอเสียงประตูปิดลง ผมก็รีบยื่นหน้าไปจ้องคนตรงข้าม

   “อะไร”

   “เมื่อกี้ คุณไม่รู้สึกอะไรเหรอ”

   “รู้สึกอะไร”

   “อ่าว ก็ตอนที่มีนมโตๆ อยู่ที่หน้าน่ะ คุณดูไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรเลย”

   “ทำไมถึงคิดว่าผมไม่รู้สึกล่ะ”
 
   “ก็ผมไม่ได้ยิน”

   “ได้ยิน? คุณได้ยินอะไร”

   “ก็...”

   เกือบหลุดปากบอกความลับไปซะแล้ว ดีที่ยกมือปิดปากตัวเองทัน นายจักรพรรดิดูสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะก้มหน้าทำงานตัวเองต่อ เพราะความอยากรู้ผสมปากไวแท้ๆ ว่าแล้วก็ตบปากตัวเองรัวๆ จนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ดีนก็เข้าห้องมาพร้อมรายงานเรื่องที่ติดปัญหาเมื่อกี้ว่าทุกอย่างเรียบร้อย

   “เจอแหวนไหม” คำถามแรกหลังจากฟังรายงานจบ ดีนส่ายหน้าช้าๆ “หาทุกตารางนิ้วแล้วใช่ไหม”

   “ครับ”

   แล้วอยู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อถูกสายตาสองคู่จ้องมอง

   “มองผมทำไม”

   “คุณแน่ใจเหรอ ว่าไม่ได้เอาติดกลับบ้านไปด้วย”

   “ผมไม่ได้เอาไป”

   “ดีนไปหาทั่วห้องของผมแล้วก็ไม่เจอ...”

   “ก็ผมไม่ได้เอาไปจริงๆ ไหนคุณจะให้ผมไปหาเองไง”

   “ถ้าไปแล้วไม่เจออีก คุณจะทำยังไง” คำถามนี้ทำให้ผมอ้ำอึ้งไม่มีคำตอบ “ว่ายังไง ว่าคุณหาแล้วไม่เจอแหวนของผม คุณจะทำยังไง”

   “ผมจะซื้อวงใหม่ให้ เอาที่เหมือนกับวงนั้น”

   “เอ่อ” เสียงแทรกจากดีนทำให้ผมหันไปมอง “ผมเกรงว่า คุณจะหาซื้อไม่ได้แล้วสิครับ”

   “ทำไม” ถามปุ๊บผมก็รีบเม้มริมฝีปากทันที เพราะเมื่อกี้ผมรู้ถึงเหตุผลไปแล้ว “แล้วคุณจะให้ผมชดใช้ยังไง ให้ชดใช้ด้วยเงินไหม”

   “แหวนที่ทำมาจากความรักและมีวงเดียวในโลก คุณคิดว่าราคามันเท่าไหร่ล่ะ”

   พูดไม่ออก รู้สึกจุกจนอยากกลั้นหายใจตายไปซะตอนนี้

   “ถ้ามันแพงจนประเมินราคาไม่ได้ คุณจะให้ผมทำยังไง”

   “ทำงานชดใช้สิครับ” เป็นความเห็นของดีนที่ดูจะเข้าท่า “ทำงานทั้งชีวิตเพื่อใช้หนี้ ก็เป็นวิธีที่ดีนะครับ”

   “ดีบ้าน่ะสิ”

   “แหวนที่มีวงเดียวในโลกเชียวนะครับ”

   ผมโคตรเกลียดการยิ้มมุมปากของเจ้านายลูกน้องคู่นี้ที่สุด

   “ไม่มีทางอื่นเลยเหรอ”

   “คุณก็หาแหวนวงนั้นให้เจอสิ”

   หมดคำพูดต่อ จะให้ผมไปหาแหวนนั่นจากที่ไหน ขนาดลูกน้องนายจักรพรรดิหาทั่วห้อง แทบจะรื้อห้องก็ยังไม่เจอ แล้วถ้าผมไปหามันจะเจอเหรอ ทำไมผมถึงจำไม่ได้ว่าถอดแหวนวงนั้นไปวางไว้ที่ไหน ไอ้กระวานปลาทองเอ๊ย

   “แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง”

   “ไม่ยากหรอก”

   เรื่องงานมันก็คงไม่ยาก แต่ที่ยากสำหรับผมก็คือ การต้องมาฟังเสียงความคิดหื่นกระหายตลอดเวลามันอาจจะทำให้ผมบ้าเข้าสักวัน

   แต่ผมก็ต้องทนใช่ไหม...ตอบเองเลยว่าใช่



...TBC

หายไปนานนนนนนนนนนนนน มาก พี่น้องคนอื่นๆ เขาไปถึงไหนต่อไหนกันหมดแล้ว T^T
ต้องขอโทษจริงๆ ค่าาา

หากผิดพลาด ติดขัดตรงไหน รับฟังทุกความเห็นค่า เนื่องจากเป็นแนวแฟนตาซีนิดๆ ซึ่งกลัวทำออกมาไม่ดี
ยังไงแล้ว ขอฝากด้วยนะคะ ติได้ตลอดค่า

ขอบพระคุณมากๆ ค่า (ก้มกราบ)

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-6-




       “พี่กระวานเป็นอะไร” แรงสะกิดกับคำถามทำให้ผมหันไปมอง ไนท์มองผมอย่างสงสัย “หรือเมื่อคืนพี่ดูหนังดึก”

   “อะไรของแก” ถามกลับอย่างรำคาญ

   “ก็พี่เช็ดโต๊ะนี้รอบที่สิบแล้ว” รีบชักมือกลับทันทีที่ได้ยิน “สะอาดจนใสเห็นทะลุพื้นแล้ว” ไนท์ทิ้งท้ายก่อนจะเดินเอาข้าวไปเสิร์ฟ ถ้าไม่ติดว่ามือมันถือถาดข้าวนะ ผมเตะมันไปแล้ว

   จะว่าไป นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์ที่ผมไม่ไปอาบอบนวดนั่น หลังจากถูกหมายหัว ไม่สิ อย่าใช้คำนี้ หลังจากคุยกันว่าผมต้องทำงานใช้หนี้ค่าแหวน ผมก็ออกปากขอเวลาบอกครอบครัวก่อน แต่ใครจะกล้าบอกว่าต้องไปทำงานใช้หนี้ แถมเป็นอาบอบนวดอีก ไม่รู้จะได้ทำส่วนไหน คงไม่ใช่ล้างห้องน้ำหรอกนะ

   “พี่เช็ดอีกแล้ว” ตอบแทนพนักงานสุดหล่อด้วยผ้าขี้ริ้วปาหัว คนโดนโวยวายหน้างอ มือจัดผมเป๋ๆ ตัวเองให้เจ้าที่ตามเดิม “หมดหล่อพอดี”

   “เออดี” ถ้ามันหมดหล่อ ผมคงสบายหูมากกว่านี้ “ไนท์ แล้วเมื่อไหร่กอล์ฟมันจะ...”

   “มันจะอะไรนะพี่”

   ไม่ใช่ว่าผมจะกวนโมโหพนักงานตัวเองหรอกนะครับ แต่ที่พูดไม่จบก็เพราะมีลูกค้าเข้าร้าน เป็นลูกค้าที่ไม่ควรมาเหยียบที่นี่ เพราะมันจะทำให้ผมคอขาดได้

   “พี่กระวาน โอ๊ย” ไนท์โวยวายเมื่อโดนผมตบหน้าผากข้อหาพูดมาก “แล้วพี่จะไปไหน ลูกค้ามาโน้น”

   “แกก็ออกไปรับสิ”

   “ผมต้องเอาจานไปเก็บ”

   “เดี๋ยวฉันเก็บเอง”

   คิดเหรอว่ามันจะฟัง ไนท์มันเบี่ยงตัวแล้วหลบเข้าไปหลังร้านแล้ว กอล์ฟก็ไม่อยู่ จะให้ซันออกไปรับหน้าแทนก็ไม่ได้ในเมื่อผู้ช่วยเซฟกำลังทำอาหารอยู่ พอดีกับนายจักรพรรดินั่งเก้าอี้ริมหน้าต่างแล้วโบกมือทักผม

   เอาวะ หนีไม่พ้นก็ต้องพุ่งชนอย่างเดียว

   “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ” ดีนทักผมก่อนจะหัวเราะออกมา “หน้าบูดเป็นนมหมดอายุเชียว”

   “จะหนีหรือไง” ข้อหาจากเจ้าของแหวนทำให้ผมหันขวับไปมอง

   “ใครหนี ไม่ได้หนี”

   “หายไปเป็นอาทิตย์นี่เรียกไม่หนีเหรอ ผมเพิ่งรู้”

   ได้แต่กัดฟันเมื่อเถียงไม่ขึ้น ผมเลยเลือกที่จะวางรายการอาหารแทน

   “จะสั่งอะไรดีครับ”

   “ฟรีไหม”

   “ของซื้อของขาย ใครจะให้กินฟรี”

   ไม่สนใจเสียงหัวเราะของนายจักรพรรดิกับลูกน้อง เพราะตอนนี้ มีเสียงอย่างอื่นที่แทรกเข้ามาเต็มไปหมด ทั้งเสียงแหลม เสียงทุ้มปะปนกันไปหมด แค่ยิ้มเองนะ ยังเรียกความคิดทะลึ่งจากสาวๆ ในร้านได้ขนาดนี้

   “มีอะไรแนะนำไหม”

   “กับข้าวร้านผม อร่อยทุกอย่าง”

   “ที่อร่อยสุดล่ะ”

   “ทุกอย่าง”

   “ในเมนูไม่เห็นเขียนเลย”

   “เขียนอะไร”

   “ทุกอย่าง”

   จากที่คิดว่าดีนกวนโมโหได้มากแล้วนะ แพ้หลุดลุ้ยให้กับเจ้านายเขาเลย ผมตีหน้าเบื่อใส่พลางทำเป็นสนใจกระดาษที่อยู่ในมือ

   “ผมขอผัดไทกุ้งสดห่อไข่” ดีนสั่งปุ๊บผมก็จดแล้วเหล่ตามองอีกคนที่ยังเปิดเลือกอาหารไม่ได้สักที

   “ขอคะน้าหมูกรอบไข่ดาว” ผมรีบจดรายการอาหารเสร็จก็ยื่นมือเก็บเมนู แต่ข้อมือกลับถูกยึดเอาไว้ “ลืมบอกว่า ไม่เอาผัก” พูดเสร็จนายจักรพรรดิก็ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาผมยั้งกำปั้นเกือบไม่อยู่

   “ได้สิ ผมจะจัดให้” กัดฟันตอบเร็วก่อนจะเดินออกมา ในเมื่อเปิดสงครามประสาทกันแล้วก็ให้มันสุดๆ ไป อยากได้แบบไม่มีผักเหรอ ไอ้กระวานจัดให้

   ผมเดินไปบอกสิ่งที่จดมาให้ซัน ผู้ช่วยพ่อผมถึงกับยกแขนขึ้นปาดเหงื่อพลางตีหน้าสงสัย

   “มันต้องทำยังไง ไอ้คะน้าไม่ใส่ผักน่ะพี่”

   “ง่ายจะตายไป” ยิ้มกริ่มมองหน้าหล่อๆ ของซัน ก่อนกระซิบบอกวิธีทำสิ่งที่ลูกค้าวีไอพีสั่ง มันจะไปยากอะไรจริงไหมครับ และต้องบอกว่าโชคดีที่พ่อผมไม่อยู่ เสร็จละทีนี้ ผมยืนรออยู่หน้าเตาจนได้อาหารมาสองจานตามสั่ง ซันทำหน้าไม่มั่นใจขณะมองจานแสนพิเศษ

   “มันจะดีเหรอพี่”

   “ดีสิ ก็ลูกค้าสั่งมา จำไม่ได้เหรอ พ่อพี่ว่าไง ลูกค้าคือพระเจ้านะ”

   “ผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น”

   รีบชิ่งเชียว หล่อแต่พึ่งไม่ได้นี่หว่า ผมยักไหล่พลางยกจานอาหารสองจานเพื่อไปเสิร์ฟ คนสั่งนั่งคุยกันเบาๆ โดยไม่สังเกตว่ากำลังตกเป็นอาหารทางสายตาของสาวน้อย สาวใหญ่ทั้งร้าน ทำเอาผมอยากยกหูฟังที่คล้องคอมาสวมปิด แต่ติดที่มือดันไม่ว่าง
 
   ‘ได้สักครั้งจะตั้งใจถวายตัวเลย’

   ‘แม่จะจัดทั้งคืนแบบออนท็อปเลย’

   นี่แค่แบบเบาๆ นะครับที่ผมได้ยิน ที่จริงมันมากกว่านี้แต่แยกประโยคไม่ออก มันผสมกันจนแทบจินตนาการเป็นภาพไม่ได้ ความคิดของมนุษย์ผู้หญิง มันน่ากลัวจริงๆ ครับ ผมเดินมาจนถึงโต๊ะวางผัดไทกุ้งสดห่อไข่ให้กับดีน ก่อนฉีกยิ้มให้กับเจ้าของอีกจานที่ผมกำลังจะวางลง

   “นี่ผัดคะน้าหมูกรอบไข่ดาวกรอบนอกนุ่มในไข่แดงเยิ้ม อ้อ ไม่ผัก พร้อมเสิร์ฟครับ”

   “นี่มัน...”

   ถึงกับอึ้ง นิ่งทั้งสองคน ผมยังฉีกยิ้มให้ไม่ยอมเดินไปไหน

   “แบบที่คุณสั่งเลยนะครับ”

   “แกล้งผมใช่ไหมเนี่ย”

   “ผมแกล้งคุณตอนไหน”

   “ก็ในข้าวเนี่ย ทำไมมันมีแต่หมูกับไข่ดาว”

   “อ่าว ก็คุณสั่งแบบนี้”

   “แบบไหน”

   “ก็ไม่เอาผัก”

   ตอบหน้าตายพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะจากดีนที่ดังขึ้นมาโดยไม่สนใจความโหดที่พุ่งออกจากสายตาเจ้านายตัวเอง นายจักรพรรดิตีคิ้วขมวดทำหน้ายุ่ง มือก็เขี่ยข้าวในจานไปมา

   “อร่อยนะคุณ ผมเพิ่มหมูกรอบให้ฟรีไม่คิดเงินเพิ่ม”

   “อยากแกล้งเขา สุดท้ายโดนเล่นซะเองนะครับคุณหนึ่ง” ดีนพูดออกมาแล้วหัวเราะอีกรอบ ผมรีบยกนิ้วโป้งถูกใจให้

   “เออ” คนได้คะน้าหมูกรอบไม่มีผักทำหน้าบูดตักข้าวเข้าปากคำใหญ่

        เอาจริงๆ กับข้าวร้านผมอร่อยทุกอย่าง ไม่งั้นไม่มีรูปคนดังๆ แปะผนังหรอกนะครับ ฝีมือซันว่าอร่อยแล้ว พ่อผมยิ่งกว่า แต่จะอร่อยยังไงก็ยังแพ้รสมือของคุณตากับคุณยายอยู่ดี นึกแล้วก็คิดถึงแฮะ จังหวะที่เงยหน้ามองกระจกหน้าร้านบานใหญ่ คนที่กำลังจะเดินผ่านมาหน้าร้านเขย่าหัวใจของผมให้เต้นแรง พร้อมๆ กับสองขารีบเดินเข้าไปหา

   ซวยแล้วไอ้กระวาน

   “อ่าวกระวาน” พี่ไธม์ทำท่าทางตกใจที่ผมโผล่พรวดไปยืนตรงหน้า

   “พี่ไธม์มาทำไมเหรอ” ปากไวกว่าสมองอีกจนได้ ดีที่พี่ไธม์ไม่ได้ติดใจอะไร “พ่อไปรับน้อง ยังไม่กลับเลย”

   “พี่ผ่านมาเลยแวะเอานี่มาให้” นี่ของพี่ไธม์คือกระดาษที่ระบุของแห้งที่พ่อจะเป็นคนจัดเตรียมให้ทุกครั้ง เพราะพี่ไธม์กินแบบคนทั่วไปไม่ค่อยได้ “วันนี้คนเยอะดีนะ”

   “อืม” รีบเอนตัวไปตามสายตาของพี่ไธม์ “วันนี้พี่ไม่ทำงานเหรอ” พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่พอเจอสายตาจับผิดของพี่ชายก็เล่นเอาเหงื่อตก

   “มีอะไรหรือเปล่า ทำตัวแปลกๆ นะ หรือทำผิดอะไรมา” พี่ไธม์ยื่นหน้าเข้ามาจ้องตาผมระยะประชิด จนผมต้องรีบส่ายหน้า ส่ายหัว ส่ายมันไปทั้งตัว “มีพิรุธนะเราน่ะ”

   “ใครมีพิรุธ พี่ไธม์มั่ว” ผมคงจะหลอกได้เนียนกว่านี้ถ้าตรงหน้าเป็นคนอื่น แต่นี่คือพี่ไธม์ คนที่จับโจรมาแล้วเป็นร้อยๆ “พี่จะกินข้าวไหม เดี๋ยวให้ซันทำให้”

   “ไม่หรอก พี่แค่มาแป๊บเดียว ถ้าได้แล้วโทรบอกพี่ด้วยนะ” พี่ไธม์ตบไหล่ผมเบาๆ แต่ก็ทำเอาผมเกือบทรุด “ว่าแต่ ไม่ได้ทำอะไรผิดหรือซ่อนอะไรไว้ใช่ไหม”

   “แน่นอนสิ อย่างกระวานเนี่ย เคยมีความลับเหรอ”

   “ออกจะเยอะ” แทบเซหลังจากพี่ไธม์ว่า “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว พี่ไม่ได้อยู่ดูแล กระวานต้องเป็นคนดูแลพ่อแม่แล้วก็น้องๆ”

   “รับทราบ” ตอบรับเสียงเข้มทำเอาพี่ไธม์ขำออกมา ก่อนจะเดินออกจากร้าน “ค่อยหายใจโล่งหน่อย”

   หลังจากพี่ไธม์กลับไปแล้ว ผมก็เดินย้อนกลับไปที่โต๊ะของนายจักรพรรดิอีกรอบ ซึ่งกับข้าวในจานหมดลงเรียบร้อย นี่ขนาดบ่นเรื่องผักนะ ยังกินเรียบไม่เหลือข้าวสักเม็ด

   “แล้วนี่ คุณคิดได้หรือยังเรื่องทำงานใช้หนี้”

   “คุณจะพูดเสียงดังทำไมเล่า” รีบหันรีหันขวางกลัวมีใครได้ยิน “คืนนี้ผมจะบอกครอบครัวก่อน แล้วค่อยเริ่มงานพรุ่งนี้”

   ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมานอกจากการพยักหน้ารับรู้ จังหวะที่ผมกำลังจะพูดต่อ ความคิดบางอย่างที่ลอยแว่วเข้ามาให้หู เรียกได้ว่า เป็นความคิดที่แซงทะลุอันอื่นๆ มากระตุ้นต่อมอยากรู้

   “มองหน้าผมแบบนี้ มีอะไรจะถามหรือเปล่า” นายจักรพรรดิถามพลางวางกระเป๋าเงินหนังสีดำบนโต๊ะเพื่อเตรียมจ่ายเงิน

   “ผมอยากรู้ว่า คุณใส่กางเกงในไซส์อะไร”

   “ฮะ?”

   คนถูกถามเบิกตาโตตกใจ ต่างจากลูกน้องอย่างดีนที่พ่นน้ำออกจากปากและจมูกจนสำลักไอไม่หยุด
 
   “ผมถามตรงไปเหรอ”

   “อยากรู้ไซส์กางเกงในผมไปทำไม” นายจักพรรดิกระแอมเบาๆ ก่อนจะถามออกมา

   “ไม่เอาไปทำอะไรหรอก แค่อยากรู้เฉยๆ”

   เพราะอะไรถึงอยากรู้น่ะเหรอครับ ก็เพราะมีกลุ่มสาวสวยโต๊ะไม่ไกลกำลังประลองวิชาในการประเมินรอบเอวกับไซส์กางเกงในของคนตรงหน้าผมทั้งสอง สำหรับดีนผมไม่อะไรอยู่แล้ว แต่อยากรู้ว่า สาวหน้าตาน่ารักคนนั้นจะเดาถูกไหม

   “แอล”

   “ถูกซะด้วย”

   “คุณว่าอะไรถูกเหรอ”

   “เปล่าๆ”

   ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงโต๊ะนั้นจะทายกันถูกเกือบหมด ขนาดไม่เห็นกับตาแถมไม่เคยสัมผัสยังรู้ลึก รู้จริงอีกด้วย อยากยกนิ้วให้แต่ก็คงไม่เหมาะ

   “ถ้างั้นเจอกันพรุ่งนี้ อย่ามาสายล่ะ ไม่งั้นจะถูกหักเงินเดือนตั้งแต่วันแรกที่เริ่ม” พูดจบก็ลุกออกไปเฉย ส่วนเงินทอนก็ไม่เอาแม้ผมจะรีบวิ่งไปหยิบเงินจากเคาน์เตอร์แล้วเอาไปให้ที่รถ

   “อะไรครับ” ซันถามอย่างงงๆ หลังจากวางจานข้าวลงในถาดของไนท์

   “ทิปไง มีคนให้นาย แถมชมด้วยว่าทำกับข้าวอร่อย”

   “ขอบคุณครับ” แม้ซันจะงงๆ แต่ก็รับเงินใส่กระเป๋าตัวเอง

   ให้ทิปเชฟ มากกว่าค่าอาหารหลายเท่า คนรวยสินะถึงทำแบบนี้ได้


   กว่าจะหมดวันผมก็แทบหมดแรงสมองเพราะมัวแต่คิดมาก จะหาเหตุผลอะไรดีเพื่อขอไปทำงานนอกบ้าน ไอ้กระวานคนนี้ปวดหัว




***



   “พี่กระวานไม่หิวหรือคะ” เสียงใสน่าฟังของเพกาเรียกสติให้ผมกลับมาอยู่ปัจจุบัน “ไข่พะโล้ของพี่ถูกพี่โป๊ยกั๊กเอาไปแล้ว”

   สิ้นเสียงน้องสาว ผมก็รีบหันไปทำตาขวางใส่คนที่แย่งไข่พะโล้ใบสุดท้ายที่ผมจอง จะแย่งคืนก็ไม่ได้ในเมื่อโป๊ยกั๊กเล่นเอาเข้าปากแล้วคายออกมาไว้ในจาน ถึงจะอยากกินแค่ไหน เห็นแบบนั้นแล้วก็ไม่ไหวเหมือนกัน ผมเขี่ยข้าวในจานตัวเองไปมาโดยไม่มีคำด่าหรือโวยวายอะไร

   “สงสัยจะป่วย” ผมก็ว่าผมอยู่เฉยๆ แล้วนะ “พี่ไม่ด่าผมเหรอ”

   “ขี้เกียจทะเลาะ” บอกเสียงเรียบๆ

   “ไม่อยากเชื่อ” แล้วคนไม่อยากเชื่อก็ถูกแม่หยิกเข้าที่แขนจนหน้าเบี้ยว

   ...สมน้ำหน้า

   “เป็นอะไรกระวาน กับข้าวฝีมือพ่อไม่อร่อยเหรอ” แม่ตักพะแนงหมูใส่จานข้าวผมพร้อมกับถาม “หรืออยากลดความอ้วน”

   “กระวานแค่อวบ ไม่ได้อ้วน” รีบขัดแม่ทันที แต่นั่นก็ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา “กระวานมีเรื่องอยากจะบอก” สูดเอาอากาศพร้อมความกล้าเข้าร่างกาย ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิด “กระวานหางานใหม่ได้แล้ว”

   “งานใหม่?”

   ไม่เข้าใจ ทำไมทุกคนต้องตกใจ แถมพูดออกมาพร้อมเพรียงกันสุดๆ

   “งานอะไร” พ่อวางช้อนส้อมแล้วหันมาถามเสียงเข้ม “หรือกลับไปทำให้เพื่อนอีก”

   “เปล่า” รีบส่ายหน้าจนหัวแทบหลุด ไม่มีทางที่ผมจะกลับไปอยู่กับจินนี่อีก

   “ถ้าไม่ใช่ แล้วงานอะไร”

   ผมกวาดสายตามองทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะอาหาร ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ไข่พะโล้แหว่งๆ ในจานของโป๊ยกั๊ก

   “พอดีรุ่นพี่ของกระวานเขาเปิดบริษัทเอเจนซี่ใหม่เลยมาขอให้กระวานไปช่วย” โกหกผิดศีลผมรู้ดี แต่ผมบอกความจริงไม่ได้ เกิดบอกไปตรงๆ ว่าต้องไปทำงานอาบอบนวดใช้หนี้ที่ทำแหวนเจ้าของหาย พ่อกับแม่ต้องเป็นลมล้มตึงแน่นอน 

   “แปลว่ากระวานก็ต้องเลิกดึกน่ะสิ” แม่ถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

   “นั่นสิ พ่ออุตส่าห์ดีใจที่ลูกไม่ต้องทำงานที่ไม่เป็นเวลา นาฬิกาชีวิตผิดเพี้ยนไปหมด” พ่อเสริมขึ้นมาอีก

   “เพกาไม่อยากให้พี่กระวานทำเลย” เพกาก็ร่วมวงไม่เห็นด้วย

   “พี่ทำงานที่ร้านก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไหนบอกไม่อยากได้ยินเสียงความคิดหื่นๆ อีกแล้วไง” ปิดท้ายด้วยโป๊ยกั๊ก ที่ฟังเหมือนจะดีแต่ก็ดีไม่สุด

   “อยู่ร้านก็ได้ยินทุกวัน” ผมค้านก่อนจะยื่นมือไปจับมือพ่อกับแม่คนละข้าง “กระวานดูแลตัวเองได้ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง” ฉีกยิ้มให้กว้างที่สุดเพื่อที่จะทำให้คนที่รักผมสบายใจ “รอบริษัทเขาลงตัวกระวานก็จะลาออกแล้วกลับมาช่วยงานพ่อที่ร้านเหมือนเดิม นะครับ อนุญาตให้กระวานไปนะ”

   “กระวานโตแล้ว จะคิดหรือตัดสินใจยังไงพ่อกับแม่ก็ไม่ขัดหรอก”

   “กระวานจะไม่ทำให้เป็นห่วง”

   “ขี้อ้อนแบบนี้ทำให้พ่อกับแม่ใจอ่อนทุกทีนะเรา”

   “ถ้าไม่ใช่พ่อกับแม่ กระวานก็ไม่อ้อนหรอก”

   “แล้วเพกาละคะ”

   โผเข้ากอดพ่อที แม่ที ก่อนวกมากอดน้องสาวที่น่ารักที่ยิ้มหวานอ้าแขนรออ้อมกอดจากผม ส่วนอีกคนปล่อยมันกินข้าวไปครับ

        ไม่รู้พรุ่งนี้ผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ขอแค่งานที่จะทำไม่โหดร้ายกับผม หรือไม่ทำให้หูของผมพังก็พอ...ว่าแต่ มันสวมหูฟังไม่ได้ใช่ไหม ตายแน่ผม


...TBC



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เจ้านายกับลูกน้องทำไมยิ้มแบบมีเลศนัย

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
-7-





        อากาศเย็นยามเช้าไม่ทำให้เหงื่อผมแห้งเหือดได้สักนิด กลับกัน มันยิ่งออกมากกว่าเดิม และมากขึ้นเมื่อผมมายืนอยู่หน้าห้องทำงานของเจ้าของ Wonder Land แม้จะเคยเข้าไปแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ผมยกมือเตรียมจะเคาะห้อง พอดีกับมีคนด้านในเปิดออกมาพอดี

   “อ่าว” ดีนตกใจที่เปิดประตูมาเห็นผมยืนกำมือค้างอยู่ “คุณหนึ่งรอคุณอยู่พอดี เข้าไปสิครับ” ไม่มีคำตอบอะไรให้ไปนอกจากรอยยิ้ม ดีนยื่นมือมาตบบ่าผมเบาๆ “บอสของที่นี่ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่อื่นๆ ไม่ต้องกลัวหรอกครับ”

   “คุณอยู่กับเขาตลอดก็พูดได้สิ” ปากไวอีกแล้ว คราวนี้ดีนขำออกมา

   “เข้าไปเถอะครับ สู้ๆ”

   ผมมองตามหลังคนที่เคยพูดจาหาเรื่องผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจออย่างแปลกใจ คนที่เคยคิดว่านิสัยไม่ดี กลับกลายเป็นคนดีมากๆ ซะอย่างนั้น ดีนลงลิฟต์ไปแล้ว เหลือแค่ผมที่ยืนอยู่หน้าห้อง เอาวะ มาถึงนี่ละ อะไรจะเจอก็ต้องเจอ คนข้างในไม่ใช่ยักษ์ใช่มารสักหน่อย จะไปกลัวทำไม ขืนทำอะไรผมละก็...จะฟ้องพี่ไธม์ให้มาจัดการ

   เคาะประตูสองสามทีก่อนจะได้ยินเสียงขานรับ ผมค่อยๆ บิดลูกบิดแล้วผลักบานประตูเข้าไป ห้องทำงานเจ้าของอาบอบนวดยังเย็นช่ำเหมือนเดิม เจ้าของห้องนั่งเป็นประธานอยู่หลังโต๊ะทำงาน ใบหน้าคมเข้มเงยขึ้นมาเมื่อผมเดินเข้าไปหา

   “มาสายนะ”

   “แค่สองนาทีเอง”

   มัวแต่ยืนทำใจหน้าห้องนานไปหน่อย นายจักรพรรดิวางปากกาด้ามแพงลงก่อนเอนหลังไปพิงพนัก ดวงตาดุจเหยี่ยวจ้องผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเคาะเรียกความสนใจไปซะก่อน

   “บอสเรียกพิมพ์หรือคะ” สาวเนื้อนมไข่ที่ผมเคยเจอเดินเฉิดฉายเข้ามา ก่อนดวงตาที่กรีดอายไลน์เนอร์จะเลื่อนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกคน

   ผมแต่งตัวไม่ดีตรงไหน เสื้อยืด กางเกงยีนส์เนี่ย

   “นี่พนักงานใหม่ ช่วยเทรนด้วย” สิ้นคำสั่ง ผู้หญิงที่เข้ามาใหม่ก็จับผมหมุนซ้ายหมุน

   “ฝั่งไหนคะ แล้วตำแหน่งอะไร” รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อถูกมองกราดไปทั่วตัว “แต่ดูหุ่นแล้วคงไม่ใช่มือนวด”

   “เชียร์แขก” นายจักรพรรดิบอกเรียบ “ฝั่งนี้”

   “ฝั่งนี้? ได้ค่ะ เดี๋ยวพิมพ์สอนงานให้ รับรองเป๊ะแบบที่บอสชอบเลยค่ะ”

   “ดี”

   ยืนมองเจ้านายลูกน้องคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะถูกดึงให้ออกจากห้อง คนเดินนำพาผมมาที่ห้องๆ หนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะมีตู้ล็อกเกอร์ชิดผนังทั้งสองด้าน

   “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าทำไมบอสถึงรับนายเข้ามา แถมออกปากให้ฉันฝึกด้วยตัวเอง” ผมถูกเดินวนรอบพร้อมสายตาที่มองสำรวจทุกซอกทุกมุม

   “ปกติเขาให้ใครฝึกเหรอครับ” อดที่จะถามไม่ได้

   “ก็ฉันนี่แหละ แต่ที่แปลกใจคือบอสเรียกฉันไปคุยก่อน ทั้งที่เวลามีพนักงานใหม่มาก็ผ่านมือฉันทุกคนอยู่แล้ว”

   “แล้ว...”

   “เรียกฉันว่าเจ๊พิมพ์เหมือนคนอื่นๆ ก็แล้วกัน งานของนายก็ไม่ยากอะไรมากหรอกนะ ไม่เหมือนพนักงานอื่นๆ”

   “พนักงานอื่นๆ เหรอครับ?”

   “ก็พวกหมอนวด เด็กดริ๊ง”

   “เขาฝึกกันยังไงเหรอครับ” ถามรัวๆ ด้วยความอยากรู้ ปกติผมเคยเห็นแต่ในละคร ในหนัง ไม่รู้ระบบงานของจริง

   “ถ้าความสามารถ คนเรามันก็ต้องฝึกเองบวกกับประสบการณ์ แต่ที่ฉันจะสอนเพิ่มคือจริตที่ทำให้ได้ทิปหนักๆ”

   มิน่าล่ะ ความคิดที่แวบเข้ามาในบ้างครั้งของเจ๊พิมพ์แกถึงมีแต่เรื่องอย่างว่า เพราะฝึกเรื่องพวกนี้นี่เอง คงจะเชี่ยวน่าดู สามารถฝึกหมอนวดได้ขนาดนี้

   “ว่าแต่ เด็กดริ๊งนี่คือ...” ตั้งแต่มาเหยียบที่นี่ ผมยังไม่เห็นบาร์สำหรับนั่งดริ๊งกินเหล้าเลยสักชั้น มีมากสุดก็ชั้นคาราโอเกะ ที่ดูๆ แล้วก็ไม่น่าจะมีเด็กนั่งดริ๊งคอยให้บริการ

   “อยู่ๆ ไปก็รู้เองแหละน่า เดี๋ยวจะเรียกรวมพนักงานก่อนเริ่ม ล็อกเกอร์เปล่าเลขหกสอง ชุดพนักงานอยู่ในนั้นแล้ว เปลี่ยนแล้วเจอกันที่โถงด้านหน้า”

   “ครับ”

   เจ๊แกร่ายมายาวๆ ก่อนจะเดินเฉิดฉายออกไป เจ้านายลูกน้องเหมือนกันเป๊ะ สั่งๆ แล้วก็ไป ผมยืนหันรีหันขวาง พอดีกับมีผู้ชายตัวผอมบางผิวขาวหน้าตาจิ้มลิ้มจนผมยังมองตาค้าง

   “พนักงานใหม่เหรอครับ” คำถามมาพร้อมรอยยิ้มหวาน ผมพยักหน้าลงช้าๆ คล้ายกับถูกสะกด “ยินดีต้อนรับนะครับ”

   เลือดเกาดำแทบพุ่งเมื่อคนตรงหน้าถอดเสื้อออกโชว์ผิวขาวเนียน จากที่ได้ยินเรื่องใต้เข็มขัดมาตลอดชีวิตจนอารมณ์เสื่อม ตอนนี้กลับรู้สึกกระชุ่มกระชวยแปลกๆ

   ผมยังไม่ตายด้านสินะ

   “รีบเปลี่ยนชุดเถอะครับ เดี๋ยวโดนเจ๊พิมพ์ด่าเอานะครับ”

   “ขอบคุณครับ” มัวแต่มองคนตรงหน้าจนลืม ผมรีบเปลี่ยนชุดที่อยู่ในตู้ แม้เสื้อจะตัวใหญ่แต่ก็พอใส่ได้ เปลี่ยนเสร็จก็ออกมาด้านนอก เจอคนน่ารักยังยืนอยู่ “ยังไม่ไปเหรอครับ”

   “ก็รอคุณนั่นแหละ กลัวหลง”
 
   หน้าตาน่ารักไม่พอ นิสัยยังดีอีกด้วย

   เราสองคนเดินออกจากห้องไปพร้อมกันจนมาถึงห้องที่นัดรวม ผมสังเกตเห็นพนักงานที่นี่แต่งตัวไม่เหมือนกัน อย่างผมกับคนข้างๆ ก็สวมเสื้อกั๊กคนละสี

   “นายชื่ออะไรเหรอ” ก่อนจะถามเรื่องสงสัย เราก็ต้องผูกมิตรก่อน “เราชื่อกระวานนะ”

   “ชื่อน่ารักจัง เราชื่อหอม”

   “ชื่อนายน่ารักกว่าเราอีก”

   ขนาดชื่อยังเข้ากับรูปร่างและหน้าตา

   “ทำไมเสื้อกั๊กนายถึงเป็นสีชมพูล่ะ” ผมมองเสื้อกั๊กสีดำของตัวเองสลับกับอีกคน

   “เราอยู่อีกตึกหนึ่งน่ะ ตึกนั้นทุกคนใส่สีชมพูหมด” พยักหน้าลงเมื่อได้รับคำอธิบาย “กระวานไม่อยากไปทำฝั่งนู้นเหรอ ได้เงินเยอะนะ”

   “เงินเยอะ?” เออว่ะ ผมลืมถามไปเลยว่าผมได้เงินเดือนเท่าไหร่ “นายได้เงินเดือนๆ ละเท่าไหร่เหรอ” แล้วผมก็ต้องรีบตบปากตัวเองที่เสียมารยาท แต่หอมกลับขำออกมา

   “ถามได้เราไม่ถือ” นิสัยก็โคตรน่ารัก “ปกติแล้ว ทุกคนจะได้เท่าๆ กันคือสามหมื่น แต่ถ้าบริการดีก็จะมีทิปติดมือ ขอบอกว่าแขกที่นี่กระเป๋าหนัก ทิปเยอะทุกคน”

   ถึงหอมไม่บอกผมก็พอรู้เพราะเจอมากับตัวเมื่อตอนแนะนำหมอนวดให้คราวนั้น ผมกำลังจะอ้าปากถามอีก พอดีกับเจ๊พิมพ์พูดออกไมค์ซะก่อน เลยต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน เรื่องที่พูดก็เป็นเรื่องกฎระเบียบของการทำงาน พร้อมทั้งบอกว่าเมื่อวานใครทำงานไม่ดี ใครโดนลูกค้าคอมเพลน นี่บอกท่ามกลางคนมากมายขนาดนี้เลยเหรอ ไม่คิดว่าคนโดนจะอายบ้างเหรอวะ

   “หอมๆ เจ๊พิมพ์เป็นกิ๊กกับนายจักรพรรดิเหรอ” พอถามจบ หอมก็เบิกตาโตตกใจ “ทำไมเหรอ”

   “กระวานกล้าเรียกบอสแบบนั้นได้ไง เดี๋ยวก็โดนเรียกไปอบรมหรอก”

   “อบรม?” ตีหน้าสงสัยอย่างที่สุด

   “ที่นี่นะ ทุกคนไม่มีใครกล้ายุ่งวุ่นวายหรือแม้แต่นินทาบอสเลย”

   “สักนิดก็ไม่เหรอ”

   “อาจมีบ้าง แต่ก็ต้องที่ลับตาจริงๆ เพราะที่นี่...” หอมมองไปรอบๆ บริเวณจนผมต้องมองตาม “การ์ดที่นี่หูดีมาก แล้วพวกพนักงานเคยคุยกันว่า ต้องมีใครเป็นสายให้บอสสักคน”

   ตาโตเมื่อได้รู้ข้อมูลใหม่ แบบนี้ผมคงต้องระวังตัวมากขึ้น ปากยิ่งไวกว่าสมองอยู่

   “แล้วสรุปเป็นกิ๊กไหม”

   “บอสไม่เคยยุ่งกับพนักงานที่นี่”

   “แน่ใจได้ยังไง” ก็ในตู้มีแต่คนเด็ดๆ ทั้งนั้น

   “ก็ตั้งแต่เราทำงานที่นี่มา ไม่เคยเห็นบอสตีสนิทกับพนักงานคนไหน ที่เห็นสนิทก็มีดีน เจ๊พิมพ์”

   “เขา หมายถึงบอสน่ะ ดุมากเหรอ”

   “ก็ไม่ดุหรอกถ้าเราไม่ได้ทำผิด” แล้วหอมก็ยื่นหน้ามาชิดกับผมพลางกระซิบ “เราเคยได้ยินพวกการ์ดคุยกันเรื่องจัดการพนักงานขายความลับด้วย เห็นว่าถูก...” หอมยกนิ้วขึ้นปาดคอตัวเองแทนประโยคสุดท้าย แต่มันก็ทำเอาผมกลืนน้ำลายลำบาก “ที่จริงบอสใจดีนะ มีน้ำใจ ทุกคนที่นี่เลยรักกันมาก”

   “หอมก็รักเหรอ” ยิ้มล้อเพื่อนใหม่ที่อายุคงไม่ห่างจากผมมากนัก หอมยิ้มเขินๆ แต่นั่นไม่ใช่คำตอบ เพราะสิ่งที่ผมได้ยินมันเด่นชัดมากกว่าสีหน้า

   เห็นน่ารักแบบนี้ ความคิดร้อนแรงและดุดันใช้ได้เลยนะครับ

   มัวแต่คุยกัน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนปิดการประชุม ผมเลยไม่รู้เลยว่าเจ๊พิมพ์แกพูดเรื่องอะไรบ้าง ตอนนี้ทุกคนพากันแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ผมกำลังจะเดินตามหอมก็ถูกเจ๊พิมพ์ดึงแขนเอาไว้

   “ตามฉันมานี่”

   “อ่าว ไม่ได้ไปกับหอมเหรอครับ”

   “รู้จักหอมด้วยเหรอ นั่นน่ะดาวเด่นตึกนั้นเลยนะ”

   ฟังไปก็ไม่รู้ ตึกนั้น ตึกนี้อะไรก็ไม่รู้ ผมเดินตามเจ๊พิมพ์เข้าไปในห้องโถงที่ตอนนี้เปิดบริการแล้ว และก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมที่นี่ถึงเปิดเช้า ปกติมันต้องเปิดบ่ายๆ ไม่ก็ค่ำไม่ใช่เหรอ

   “เจ๊ครับ ทำไมที่นี่ถึงเปิดเช้าล่ะครับ เพิ่งจะเก้าโมงครึ่งเอง” คนถูกผมถามหันมามองก่อนพาผมไปด้านในสุดที่มีห้องกระจก ดูเหมือนจะเป็นห้องทำงานของเจ๊พิมพ์ พอเข้ามานั่ง มุมนี้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ด้านนอก แถมยังมีจอทีวีขนาดเล็กนับสิบที่ตอนนี้ภาพบนจอเป็นมุมต่างๆ ภายในโถงนั้น

   เห็นแบบนี้แล้ว สายสืบที่หอมว่าคงไม่มีหรอก

   “นั่งสิ” ผมนั่งเก้าอี้ตรงข้าม สายตาก็กวาดดูรอบๆ ห้อง “ที่ๆ นี่เปิดเช้า เพราะคลับเป็นธุรกิจครบวงจร ในความคิดของนายหรือคนอื่นๆ อาจคิดว่า อาบอบนวดมีไว้สำหรับผู้ชายเข้ามาหาความสุขทางเพศ ซึ่งนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีอีกส่วนที่มีไว้สำหรับนวดคลายเส้นโดยไม่มีการขายบริการ”

   “แล้วจะมีคนใช้บริการเหรอครับ”

   “มีสิ แถมเยอะด้วย มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย”

   “มีผู้หญิงมานวดด้วยเหรอครับ” ตกใจยิ่งกว่าเห็นอุปกรณ์นำเข้าบางอย่างจากญี่ปุ่นที่วางบนหลังตู้ซะอีก

   “มีสิ แต่ต้องนัดก่อนล่วงหน้า เพราะพนักงานนวดคลายเส้นของที่นี่เก่งมากแต่มีน้อย” เจ๊พิมพ์ฉีกยิ้มก่อนวางแฟ้มหนาบนโต๊ะ “นี่คือชื่อและประวัติของพนักงานในห้องกระจกทุกคน นายต้องจำให้หมด จำให้ได้ว่า คนไหนมีความสามารถพิเศษอะไร จำไปจนถึงไซส์ชุดชั้นใน”

   แทบสำลักน้ำลายเมื่อได้ยิน ผมเบิกตาโตดูแฟ้มหนาๆ บนโต๊ะ “ผมต้องจำหมดแฟ้มนี่เลยเหรอครับ” ว่าหนังสือเรียนหนาแล้วนะ ยังไม่ครึ่งของแฟ้มตรงหน้าผมเลย

   “ใช่ ไม่งั้นจะแนะนำให้ลูกค้าได้ยังไง อ่อ ต้องจำหน้าตาให้แม่น เพราะบางคนไปทำหน้าหมอเดียวกัน อย่างกับฝาแฝด” ก็อยากจะขำเสียงฮึดฮัดของเจ๊พิมพ์ แต่มันก็ขำไม่ออก “ให้เวลาแค่สามวันนะ”

   “สามวัน?” แทบหงายหลังเมื่อได้ยิน ใครจะไปจำหมดแฟ้มได้

   “ทำไม่ได้เหรอ” ท้าทายผมใช่ไหม

   “ได้สิ ทำไมผมจะทำไม่ได้” ขอให้ได้อวด ผลจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน แต่ผมว่า จำข้อมูลพวกนี้ไปก็ได้ใช้ไม่มากหรอก เพราะสิ่งที่ต้องใช้ มันอยู่กับผมมาทั้งชีวิต

   เพิ่งจะเป็นประโยชน์ของมันก็คราวนี้แหละ

   ออกจากห้องเจ๊พิมพ์มา ผมก็เดินมานั่งที่เคาน์เตอร์กาแฟ เพิ่งเห็นว่ามีร้านกาแฟเปิดด้วย กลิ่นหอมตลบอบอวลไปหมด พลิกดูข้อมูลของพนักงานนวดแต่ละคน โปรไฟล์บางคนดีจนน่าตกใจ

   “ขยันจังนะ...มอคค่าเหมือนเดิม” เสียงทักทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง ดีนยกยิ้มให้พลางหันไปสั่งกาแฟ

   “ไม่ได้อยากขยันหรอก แต่มันต้องจำ” ยู่ปากเมื่อข้อมูลในหัวตีกันไปหมด “แล้วคุณ...”

   “เรียกผมดีนเฉยๆ ก็ได้”

   “ดีนเฉยๆ”

   “กวนตีนนะครับ” ด่าผมพลางหัวเราะ “กวนแบบนี้นึกถึงครั้งแรกที่เจอกัน ตอนนั้นถ้าไม่รีบ ผมอาจต่อยคุณไปแล้ว”

   “ก็รถผมถูกชน”

   “คุณนั่นแหละพุ่งออกมาตัดหน้า”

   “มั่ว”

   “รถผมมีกล้อง สามารถตรวจสอบได้ถ้าคุณต้องการ”

   เถียงไม่ออกเลยทีเดียว ผมส่งเสียงฮึดฮัดเมื่อเถียงไม่ได้ ดีนขำไปจิบกาแฟไป พอดีกับมีสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเดินผ่าน แม้ดีนจะเหลือบตามองแค่นิดเดียวเหมือนไม่สนใจ แต่มีบางอย่างที่มันบ่งบอกได้ว่า ดีนสนใจผู้หญิงคนนี้

   “สวยเนอะ” หลังจากได้ยินความคิดผมก็ลองถามดู ดีนพยักหน้ารับช้าๆ “พนักงานนวดของที่นี่เหรอ”

   “อยู่การเงิน”

   “อ๋อ มิน่าล่ะ”

   ผมยิ้มล้อจนดีนลุกหนีไป ที่จริงความคิดของดีนก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่แห่งนี้ สถานเริงรมที่มีสาวสวยนุ่งน้อย ห่มน้อย แหวกบน แหวกล่างแบบนั้น ใครบ้างจะไม่คิด ร้อยทั้งร้อยในหัวก็มีแต่เรื่องบนเตียงทั้งนั้น ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องทนฟังความคิดพวกนี้เป็นพันๆ รอบโดยที่หลีกหนีไม่ได้ แต่ก็ต้องทน ตราบใดที่ยังไม่มีเงินมาใช้ หรือไม่ก็ต้องหาแหวนวงนั้นให้เจอ

   “เฮ้อ”

   “ถอนหายใจมากๆ ระวังแก่ล่ะ”

   เสียงเนือยๆ ดังจากด้านหน้า เจ้าของเสียงยืนปั้นหน้านิ่ง มือล้วงกระเป๋ากางเกงสแลค เพียงแค่นั้น บรรดาสาวๆ ต่างก็หันมามอง

   “ถ้าผมแก่ คุณก็แก่หงำเหงือกแล้วล่ะ” สวนกลับทันควัน นายจักรพรรดิยักไหล่ก่อนมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ผม ดวงตาคมจ้องมองแฟ้มหนาก่อนคิ้วเข้มจะเลิกขึ้น

   “จำหมดแล้วเหรอ”

   “คนนะไม่ใช่คอมพิวเตอร์จะได้จำหมดในเวลาแค่ไม่กี่นาที”

   “ก็เห็นมองที่อื่นไม่สนใจ คิดว่าจำได้หมดแล้วซะอีก”

   ผมก็อยากตอบโต้ประโยคนั้นเหมือนกัน แต่บางอย่างมันน่าสนใจมากกว่า อย่างเช่นตอนนี้ที่มีหมอนวดหุ่นดีเดินผ่าน และนายจักรพรรดิก็ยิ้มให้ มันน่าแปลกตรงที่เจ้าของอาบอบนวดไม่มีความคิดใดๆ ลอยมาเข้าหูผม สักประโยคก็ยังไม่มี มันแปลกจนผมสงสัย

   “คุณชอบแบบเมื่อกี้ไหม” เมื่อสงสัยก็ต้องลองถามอีก

   “เมื่อกี้เหรอ ก็ดีนะ แต่ต้องลดส่วนเกินตรงก้นออกอีกสักหน่อย” ตาโตเมื่อได้ยิน ดูเหมือนเขาจะสังเกตแต่ทำไมไม่มีความคิดหื่นๆ ออกมาล่ะ “ทำไม?”

   “ไอ้นั่นของคุณ” ชี้นิ้วไปที่เป้ากางเกงของคนข้างๆ “เสื่อมหรือเปล่า” นายจักรพรรดิก้มมองตามนิ้วผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา “ขอโทษที่ผมถามออกไป”

   “ของผมก็ปกติดีนะ หรือของคุณเสื่อมล่ะ”

   “จะบ้าเหรอ” อยู่ดีๆ ก็หาว่านกเขาผมไม่ขันซะงั้น “ก็ผมแค่...”

   ก่อนที่เราจะคุยล้วงลึกมากกว่านี้ ดีนก็เดินเข้ามาขัดซะก่อน

   “คุณหนึ่งครับ แขกที่นัดไว้มารอที่ห้องแล้วครับ” คุณหนึ่งของดีนพยักหน้ารับ แต่ก่อนจะลุก ดีนก็รีบเอ่ยปัญหาบางอย่างออกมา “พอดีเขาอยากให้เราจัดคนในสเปคให้ ถ้าเราจัดถูกใจเขาถึงจะตกลงเซ็นต์สัญญา”

   “หาคนในสเปคเหรอ” นายจักรพรรดิคิ้วขมวดมุ่นพอๆ กับลูกน้องตัวเอง ดวงตาคมมองไปยังห้องกระจกห้องใหญ่ “เรียกพิมพ์มาซิ”

   “ครับ”

   พอดีนรับคำเสร็จก็รีบเดินไปหาเจ๊พิมพ์ที่ห้อง ไม่นานเจ๊แกก็เดินเฉิดฉายออกมาด้วยใบหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ผมว่าคงจะรู้เรื่องที่ดีนบอกเมื่อกี้แน่ พอมาถึงแฟ้มที่ผมได้ก็ถูกดึงไป

   “พิมพ์ว่ายากนะคะบอส เขาไม่เคยใช้บริการของที่นี่ อีกอย่าง ผู้หญิงที่เขาเคยควงไม่เคยซ้ำแบบกันเลยสักคน” ไม่รู้หรอกว่าเจ๊พิมพ์จะรู้ได้ไง เพราะผมกำลังถูกโจมตีด้วยลีลาบนเตียงของหมอนวดที่เจ๊พิมพ์เปิดดู

   ปวดหูมากที่สุด ปวดจนทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้

   “เอ่อ ขอโทษนะครับ” พูดจบก็ขยี้หูตัวเองไปมา เอาซะหูอื้อไปหมด “ลองให้ผมช่วยไหม” แล้วสายตาสามคู่ก็หันมาจ้องผมกันหมด

   “อย่างนายเนี่ยนะ” เสียงสูงถามมา ผมก็พยักหน้ากลับ “ไม่น่าได้หรอกค่ะบอส งั้นเดี๋ยวพิมพ์...”

   “ได้ คุณขึ้นไปกับผม” นายจักรพรรดิขัดทั้งที่เจ๊พิมพ์ยังพูดไม่จบดี “ถ้าทำได้ ฉันจะลดหนี้ให้”

   “แหวนคุณอาจไม่หายก็ได้” ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ ผมคิดทบต้นทบดอกแน่คอยดู

   เราทั้งสามคนขึ้นลิฟต์ไปยังห้องที่แขกมารอ ส่วนเจ๊พิมพ์แยกไปคัดหาหมอนวดฝีมือดีก่อนจะตามขึ้นไปทีหลัง มาจนถึงห้องประชุมใหญ่ มีโต๊ะยาวตั้งอยู่ ซึ่งตอนนี้แขกที่มานั่งอยู่ท้ายโต๊ะ พอพวกผมมาเขาก็ลุกขึ้นยืน

   ผมว่า ผมคุ้นหน้าคนๆ นี้นะ

   “ขอโทษที่ผมมาช้า” นายจักรพรรดิเดินเข้าไปหาพร้อมยื่นมือไปจับมือที่ยื่นมารอ “คุณกันสบายดีนะครับ”

   “ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ คุณล่ะสบายดีไหม” แขกของคลับยิ้มแย้มเป็นกันเอง แต่แววตาที่ผมสังเกตเห็น คนๆ นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว “เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ก็อย่างที่ผมบอกลูกน้องคุณไป ข้อตกลงที่ผมว่า หากทำได้ ผมก็จะนำทัวร์มาลงที่นี่ ซึ่งคุณก็คงรู้ ว่าลูกทัวร์ผมแต่ละคน กระเป๋าหนักและไม่ธรรมดากันทุกคน” คนพูดทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้พลางยกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าทางที่สบาย

   “ผมทราบครับ” รับคำไม่จบดี เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น คนเข้ามาคือคนดูแลในส่วนพนักงานอย่างเจ๊พิมพ์ที่พาหมอนวดสาวสวยมายืนเรียงรายเต็มไปหมด “นี่คือหมอนวดฝีมือดีของที่นี่”

   แขกของอาบอบนวดเดินเข้ามาพลางหรี่ตาสังเกตสาวสวยหุ่นดี เขาเดินวนไปวนมาทำหน้าเรียบเฉยเดาความคิดแทบไม่ออก แต่นั่นสำหรับคนอื่น

   “ผมว่า...”

   “ขอโทษครับ” รีบขัดขึ้นก่อนที่แขกคนพิเศษจะพูดจบ “ถ้าผมจะขอเลือกให้กับคุณแทนคุณจักรพรรดิ จะได้ไหมครับ” หลังผมพูดจบ คนที่ผมขัดก็ยกมือลูบคางตัวเองพลางพยักหน้า “งั้นผมขอเวลาสักครู่” ว่าแล้วก็รีบดึงแขนเจ๊พิมพ์ออกจากห้อง แม้คนถูกดึงจะฮึดฮัดแต่ก็ยอมเดินตาม

   “อะไรของนายฮะ ไม่รู้เหรอว่านั่นคนสำคัญของที่นี่เลยนะ”

   “ผมก็เป็นพนักงานของที่นี่นะ เชื่อผมสิ รับรองไม่มีพลาด” ขยิบตาส่งท้าย กระวานซะอย่างนี่เนอะ

   ผมใช้เวลาในการหาสเปคแขกคนพิเศษอยู่ไม่นานก็พาคนๆ นั้นขึ้นไป เพียงแค่ผลักบานประตู สายตาทุกคู่ก็พุ่งเข้ามาหา โดยเฉพาะนายจักรพรรดิที่คิ้วขมวดเป็นปม คงจะเครียดมากล่ะสิ ตอนรอน่ะ ผมเดินจูงมือคนที่ผมเลือกเข้าไปยืนตรงหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากทุกๆ คนในที่นี้

   “นี่คุณทำอะไรน่ะ” คุณกันที่นายจักรพรรดิเรียกทำเสียงเข้ม แววตาดูไม่พอใจอย่างมาก “คุณล้อเล่นกับผมเหรอ”

   “ผมไม่ได้ล้อเล่น” ว่าแล้วผมก็เดินย้อนกลับไปหาหมอนวดสาวสวยที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “คนนี้ คุณไม่ชอบเพราะหน้าอกเล็ก แม้สะโพกจะผายก็เถอะ ส่วนคนนี้ คุณก็ไม่ชอบ เพราะหน้าอกโตเกินไป ส่วนคนสุดท้าย ทุกอย่างเพอเฟกหมด แต่คุณก็ไม่ชอบ ผมพูดถูกไหม”

   “แล้วรู้ได้ไงว่าผมชอบแบบไหน” ไม่สนรอยยิ้มเยาะที่ส่งมาให้ “คิดเหรอว่าคนที่คุณพามาผมจะชอบ”

   “คุณไม่ต้องบอก ผมก็รู้ว่าคุณชอบ”

   “ยังไง”

   “เวลาคุณเจอคนที่ชอบ หูคุณจะแดง คุณจะกระพริบตามากกว่าปกติ ซึ่งตอนนี้คุณเป็นอยู่”

   “คุณสืบข้อมูลผมเหรอ”

   “ผมมีเซ้นส์น่ะ” ขยิบตาส่งให้จนคนตรงหน้าขำออกมา สถานการณ์ตึงเครียดในห้องก็เริ่มดีขึ้นเมื่อมีเสียงหัวเราะ “ผมหวังว่าคุณจะทำตามสัญญานะครับ” ว่าแล้วก็ดันคนที่ผมเลือกให้เข้าไปหาและก็ถูกแขนยาวนั่นตวัดโอบเอวทันที “หอมคือเดือนของที่นี่เลยนะครับ”

   “แค่เห็นผมก็รู้” พูดจบก็หันไปมองนายจักรพรรดิที่ยังยืนอึ้งกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน “สัญญาของคุณส่งให้เลขาผมได้เลยนะครับ”

   “ครับ”

   ก่อนที่แขกพิเศษของที่นี่จะควงหอมไป ยังมิวายยื่นมือที่ว่างมาเชยคางผมขึ้น “ที่จริงแบบคุณผมก็ชอบนะ”

   “คุณไม่ชอบคนอวบผมรู้” คำว่าอ้วนในหัวเขาผมจะข้ามไป

   “เซ้นส์ดีอีกแล้วนะครับ”

   แล้วทั้งห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้งหลังจากแขกของอาบอบนวดออกไปแล้ว หากไม่มีเสียงปรบมือของเจ๊พิมพ์ดังขึ้นมา ผมก็อาจจะลืมไปว่าห้องนี้มีคนอยู่

   “ไม่น่าเชื่อ สุดยอดมาก บราโว่” แล้วเจ๊แกก็มาเดินวนๆ รอบตัวผม “นายทำได้ยังไง มันยอดเยี่ยมมาก นายมีตาวิเศษหรือเปล่าถึงได้รู้ว่าสเปคเขาเป็นแบบหอมน่ะ”

   “นั่นสิ ผมไม่อยากจะเชื่อเลย” ดีนเสริมขึ้นมา “ขนาดผมไปสืบมาแล้วยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย” แล้วเสียงปรบมือก็ดังมาอีกรอบ เล่นเอาผมเขิน

   “ก็อย่างที่บอก ผมมีเซ้นส์น่ะ”

        ต้องบอกว่าโชคดีผสมด้วยส่วนหนึ่ง ตอนแรกผมก็พยายามฟังความคิดที่ได้ยิน เผอิญว่ามีเสียงของความคิดที่ผ่านเข้ามา มันทำให้ผมประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ คราวนั้นในหัวเขาไม่ได้มีเรื่องพิศสวาทผู้หญิงในอ้อมแขนในความคิดเลยสักนิด อีกทั้งพอมีสาวสวยๆ มายืนต่อหน้า เขาก็แค่วิจารณ์รูปร่างก็เท่านั้น ผมเลยสรุปเอาเองว่า สเปคที่เขาชอบต้องไม่ใช่ผู้หญิง และที่ผมเลือกหอม ก็เพราะเขาชอบคนขาว หุ่นบาง ซึ่งหอมดูตรงที่สุด รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองเก่งขนาดนี้

   เพราะมัวแต่ทำตัวยืดเมื่อได้รับคำชมจนลืมสังเกตว่า เจ้าของที่นี่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ดวงตาคมจ้องมองกลุ่มคนที่หัวเราะกันอย่างสนุกสนานด้วยความคิดที่เดาไม่ออก

   บางที เรื่องที่คิดว่าไม่มีอะไร ไม่มีใครสนใจ มันอาจจะนำพาความวุ่นวายเข้ามาในชีวิตโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ก็เป็นได้



...TBC



ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เรื่องนี้หายไปนานมากกกกกกกกกกกก คนเขียนจะมากลับมาต่อบ่อยๆไหมอ่า คิดถึงกระวาน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
 :oni3: :oni3: :oni3:  อยากอ่านอีกๆ จงมาๆ  :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สงสัยอะไรหนอ

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ค้างมากเลย อยากอ่านต่อไม่ไหวแล้ว ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อยากอ่านต่อแล้วพี่จ๋าาาาา  :katai2-1: :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด