ใครมีวิธีแทรกคลิปยูทูปลงในหน้านิยายที่ดูดีกว่านี้ก็แบ่งปันกันได้นะ 5555 #ในเลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่
-------------------
ตอนที่17
“นิท๊านนนนนนนนนนนนนนนนน”ความอัดอั้นเต็มอกไม่รู้จะเอาไปลงที่ไหนก็เอามาระบายกับนิทานคนดีศรีสมรอมรเมฆนี่แหละ! ผมวิ่งดุ๊กๆเข้ามาที่ตึกคณะบัญชีก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกอดร่างโปร่งที่นั่งอยู่กับเพื่อนซะแน่นจนนิทานแทบหงายตกจากเก้าอี้
“เกิดอะไรขึ้น”
“แย่แล้ว!!”
“ก็เกิดอะไรขึ้นล่ะ!?”
“ฟรานต้องชอบเราแน่ๆเลย!!”คนแถวนั้นหันมามองผมกันพรึ่บ อูยยยย ขอโต๊ดก๊าบ เผลอพูดเสียงดังไปหน่อย
ผมรีบตะครุบปากตัวเองก่อนพวกขาเผือกจะเขยิบก้นเข้ามาสาระแน ไม่รู้ว่าแถวนี้มีลูกเพจทวงคืนผู้ชายงานดีจากเด็กอักษรอยู่รึป่าว ทางทีดีผมไม่ควรปากพล่อย”นิทานไปหามุมสงบคุยกับเราหน่อย”
เมื่อลากร่างโปร่งออกมาแถวที่ปลอดคนแล้วผมก็รีบพ่นใส่แบบไม่ยั้งทันทีว่า”เมื่อวันก่อนฟรานไปค้างที่ห้องเรามา แล้วเมื่อวานเราก็ไปค้างห้องเขา และวันนี้พวกเราก็กำลังจะไปกินข้าวเย็นกัน! เราลองมาทบทวนดูดีๆแล้วเรามั่นใจเกือบร้อยเปอเซ็นต์ว่าฟรานต้องชอบเราแน่ๆ ตั้งแต่ชวนเราไปดูบอล! ไปส่งเราที่ห้อง! ให้เราพิงไหล่! ไม่แคร์คนอื่นแต่แคร์เรามาก! และวันแรกที่มาค้างห้องเรา ตอนนอนกอดกันฟรานยัง ย๊า~~~ คิกๆๆๆ ไม่อยากจะพูดเลย เขิน!”
“อ่า...”
“เนี่ย เราคิดไปคิดมาเราเลยกะว่าหลังรอบเสร็จเมื่อไหร่จะคุยกับฟรานเรื่องนี้จริงจังแล้วก็คบกันซะเลย!”
“อ่า...”
“แต่หลังจากสอบเสร็จมันจะมีงานโอเพ่นเฮาส์เนี่ยสิ ไม่รู้ว่าเด็กดุริยางค์ต้องจัดการแสดงอะไรพิเศษรึป่าว ถ้าฟรานยุ่งอยู่กับการซ้อมเราก็ไม่ควรรบกวนสมาธิ เอาไว้ค่อยคุยกันหลังงานผ่านไปละกันเน๊าะ”
“อ่า...”
“อื้มๆ ตกลงตามนี้ล่ะ ไม่กวนนิทานแล้ว! กลับไปหาเพื่อนเหอะ เรามีนัดฟรานไว้ที่ประตู2เหมือนกัน ไปละนะบ๊ะบาย”
“เดี๋ยว”
“หือ อะไรเหรอ”ผมหันไปถามคนที่ร้องเรียกผมเอาไว้แบบงงๆ แต่เจอนิทานทำหน้างงใส่ผมยิ่งงงหนักกว่าเก่า แบบนี้รึป่าวที่เขาเรียกว่างงในงง
“แล้วเรื่องที่จะปรึกษาล่ะ”
“ปรึกษา? เราน่ะเหรอ ไม่นี่ ไม่มีอะไรจะปรึกษา”
“อ้าว แล้วที่มาหานี่คือ?”
“อ้อ มาแค่อวดน่ะ!! ฮ่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”ผมระเบิดเสียงหัวเราะลัลล้าลัลล้า แฮปปี้ไวรัสแพร่กระจายไปทั่วสารทิศแต่นิทานไม่ได้ร่วมหัวเราะไปกับผม เจ้าตัวแค่ถอนหายใจพลางยกมือขึ้นกุมขมับ ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงอยู่อ้อยอิ่งกับนิทานอีกสักพักแต่วันนี้ผมนัดฟรานไว้เพราะฉะนั้นผมต้องปล่อยนิทานเป็นอิสระก่อนเวลาอันควร
“ไปนะนิทาน หลังจากนี้ถ้าเรามาหาน้อยลงจนทนคิดถึงไม่ไหวก็โทรมาบอกได้นะ เราจะแบ่งเวลาให้นิทานเองไม่ต้องกลัว”ผมโบกมือบ๊ายบายให้คนน่ารักอีกครั้งก็วิ่งแด๊ะๆออกมาจากคณะบัญชี ได้ยินเสียงตะโกนไล่หลังมาว่าไม่ต้องมาหาเล้ย! นิทานนี่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ
“ฮ่ะๆๆ”
“วันนี้สีครามดูมีความสุขนะ”คนข้างกายผมทักขึ้น
“อื้ม อารมณ์ดีสุดๆ”มาถึงจุดที่เดินไปหัวเราะไปแบบนี้ขืนยังกล้าบอกปัดว่าอารมณ์ปกติไม่เห็นมีอะไรแปลกอีกฟรานคงหาว่าผมเป็นบว้า คิกคิก แต่ฟรานไม่รู้หรอกว่าผมแฮปปี้เรื่องอะไร เอาไว้หลังโอเพ่นเฮาส์ก็จะรู้เองนะจ๊ะจุ๊บๆ”อยากกินข้าวแล้ว เรารีบเดินกันเถอะ!”ผมทำเนียนคล้องแขนอีกฝ่าย แน่นอนว่าฟรานไม่ได้ขัดขืนอะไรแถมยังตาเป็นประกายอย่างชอบอกชอบใจอีกต่างหาก
ระหว่างที่เราเดินควงกันมามีคนมองตามหลายคนแต่ผมก็หาได้แคร์ไม่
เดินข้ามถนนมาถึงร้านของพี่คณะฟรานผมก็ต้องร้องว้าวออกมาด้วยความตะลึง ด้วยความที่ผมชอบกินหน้ามอมากกว่าเลยไม่เคยเดินผ่านร้านนี้เลย แอบเสียดายที่เรารู้จักกันช้าไป คือมันเป็นร้านที่ดีไซน์สวยมาก ยังกับห้องนอนเจ้าหญิงในปราสาทอะไรทำนองนั้น ทุกอย่างคุมโทนสีขาวแม้กระทั่งเปียโนที่ตั้งอยู่ชิดผนังมุมหนึ่งยังเป็นสีขาวล้วน
“สวยจัง”ผมเอ่ยชม
“พี่เขาหมดงบแต่งร้านไปเยอะเพราะฉะนั้นพวกเราต้องมาช่วยอุดหนุนบ่อยๆนะ”ฟรานตอบ
“น้อยๆหน่อย ลูกค้าร้านกูคิวเต็มทุกเย็น ขนาดตอนบ่ายโต๊ะยังเหลือไม่กี่ตัว มึงเล่นพูดซะเหมือนร้านกูใกล้เจ๊ง”คนที่ไม่ต้องแนะนำตัวผมก็เดาได้ว่าคือพี่เชนเจ้าของร้านเดินเข้ามาโวยวายรุ่นน้องของตัวเอง ก่อนจะหันมาทักทายผม”โอ๊ะ เนี่ยน่ะเหรอสีครามคนนั้น อื้มๆ สมราคาคุย”
พี่เชนเป็นผู้ชายรูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่ง บุคคลิคสบายๆ ระหว่างที่ผมกำลังพิจารณาสารร่างพี่เชน พี่เชนก็พิจารณาสารร่างผมอยู่เช่นกัน ก็หล่อนี่! ผู้ชายคณะนี้มาตรฐานสูงจริงๆ ผมกล่าวชมในใจ
“สวัสดี พี่ชื่อเชนนะ เคยเรียนคลาสเดียวกับไอ้ฟรานสมัยมันเรียนม.ปลาย ตอนนั้นมันยังอยู่เอกเปียโน”พี่เชนกล่าวพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
ผมกำลังจะยกมือเชคแฮนด์กับพี่เขาแต่เด็กหน้างอที่ยืนขมวดคิ้วยุ่งอยู่ข้างๆผมกลับรวมมือผมไว้และเดินนำไปนั่งที่โต๊ะว่าง ได้ยินพี่เชนที่ยกมือรอเก้อแซะไล่หลังมาว่า”เชี่ย! ขี้หวงเกินกว่าเหตุ!”
ผมหัวเราะชอบใจ พยามกลั้นแล้วจริงๆแต่มันอดไม่อยู่ ต้องใช้เมนูบังหน้าเอา พอสั่งเสร็จผมก็นั่งจ้องหน้าฟรานตาแป๋วจ้องจนคนถูกมองเริ่มวางสายตาไม่ถูกที่ เจ้าตัวไม่รู้ว่าจะจ้องผมตอบหรือทำเป็นมองข้ามไปดี น่าร๊ากกกก
“ทำไมต้องเขิน”ผมแกล้งถาม
“เปล่าเขิน”
“เขินอยู่ชัดๆ ไม่เขินก็มองตาพี่สิ”รังแกเด็กครับ ผมจับจุดอ่อนของฟรานได้แล้ว!
ฟรานทำหน้าเซ็งแต่ก็ฝืนจ้องกลับมา ผมส่งรอยยิ้มหวานให้ทันทีและใบหูของคนตรงหน้าก็เริ่มขึ้นสีแดง”เลิกแกล้งผมซักที ถ้าผมมองแล้วไม่เขินตอนที่เราเดินสวนกันวันนั้นผมคงส่งยิ้มให้ไปแล้ว”
สวนกันวันนั้น? ผมเอียงคอทำหน้าไม่เข้าใจฟรานจึงเอ่ยขยายความให้อีกหน่อย”งานเฟรชชี่ไนท์ไง ตรงทางเดิน”
“อ๊ะ...”ยังจำได้มั้ย คืนนั้นเป็นคืนที่ผมเจอฟรานเป็นครั้งแรกและสะดุดเข้ากับรักแรกพบอย่างจัง! ผมมองตามฟรานอยู่นานมากแต่เขากลับมองเลยหัวผมไปอย่างไม่ใยดี นั่นคือเขินไม่กล้าสบตาเรอะ!”โห คนเขินบ้าไรทำหน้าตายซากแบบนั้นกัน”
“หน้าผมมันเป็นแบบนั้นปกติ(=_=)”เนี่ย หน้าแบบนี้ใช่เลย
“เป็นคนขี้อายเหรอเรา”
“แค่กับสีคราม”
“โฮ่วๆ เด็กน้อย คิกๆ”
“ถ้าจะพูดให้ถูกสีครามเด็กกว่าผมเยอะ”อ้าว พูดงี้หาเรื่องกันนี่หว่ามองยังไงผมก็แก่กว่าฟรานทั้งด้านสกิลอ่อย สกิลจีบ! หรืออายุ! เป็นแค่เด็กปี1แท้ๆกล้ายกตนข่มท่านแบบนี้ได้ยังไง
“เด็กไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเด็กหรอก”ผมเถียง
“ใครกันนะที่แอบย่องเอาขวดน้ำมาให้ผมที่สนามบาส แค่คิดก็ตลกแล้ว คิดจริงๆเหรอว่าผมไม่เห็น?”
“ระ รู้เหรอ”เกิดอาการหน้าร้อนจนแทบไหม้ ไอ้สิ่งที่ผมคิดว่าทำดีที่สุดแล้วกลายเป็นเรื่องละอ่อนน้อยในสายตาอีกฝ่ายซะงั้น ฮืออออ ถ้าเห็นแต่แรกแล้วไมต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็นด้วยอ่า
“รู้สิ เพราะรู้ว่าเป็นสีครามผมถึงได้ขอให้มาเชียร์ไง ถึงสีครามจะไม่ยอมมาก็เหอะ”
“ทะ ที่จริงก็ตั้งใจไปดูแหละ...แต่พอดีไปผิดสนาม”
“เด็ก”
“ผู้ใหญ่ก็มีผิดพลาดกันได้!”ผมรีบแย้งทันที
“เด็กอย่างสีครามคิดอะไรตื้นๆ ตอนเอาโพสต์อิทมาให้ที่สนามบาสไม่ยอมเปิดเผยตัว แต่ตอนเอาเบอร์มาให้ที่สนามบอลดันใช้กระดาษลายเดียวกันแถมลายมือยังเหมือนกัน เห้อ”
นะ นี่มันรายการแฉแต่เช้างั้นเรอะ! ไม่เอาแล้ว พอแล้ว อ๊ากกกกก อับอาย! ความโง่ในอดีตมันไหลเข้ามาไม่หยุด ผมทนนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว ฮือออออ เด็กบว้า เด็กโหดร้าย เด็กร้ายกาจจจจ ผมกุมหัวน้ำตานองท่วมหัวใจ เสียงหัวเราะในลำคอของคนตรงข้ามมันช่างเสียดแทงบาดใจ
“ไม่เห็นต้องเขินเลย ผมชอบแบบนั้น น่ารักดี”
แบบนี้รึป่าวที่เขาเรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลัง ไม่ดิ แบบนี้มันแซวให้เป๋ก่อนยกมือมาลูบหลังกันนี่หว่า คนตรงหน้าผมมอบรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ผมขณะขยับมือลูบหัวผมไปด้วยเบาๆ เมื่อถอนมือกลับไปฟรานก็ลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างๆผมที่โซฟาตัวยาวแทน
นั่งข้างกัน
ฮือออ เขิน
“สีคราม”
“หื้อ”ผมชอบตอนที่ฟรานเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแบบนี้แล้วก็เงียบเพื่อเว้นจังหวะให้ผมขานรับมาก เพราะแววตาที่จ้องผมกลับมามันเป็นประกายชวนมอง
“งานโอเพ่นเฮาส์วันแรกผมต้องเล่นดนตรีโปรโมทให้มหาลัยที่โรงอาหารกลาง สีครามต้องไปฟังให้ได้นะ”
“อื้ม!”
“อย่าไปผิดที่เหมือนตอนเล่นบาสนะ คราวนี้จริงจังถ้าสีครามไม่มาผมจะโกรธ”
“เอ้ย ได้ๆรับรองจะไปยืนจองสถานที่ตั้งแต่เช้ามืดเลย!”
“สีครามชอบทำอะไรล้นๆตลอด”ด่ากูซะงั้น ผมเบ้ปากเป็นรูปสระอิแต่ยังไม่ทันต่อล้อต่อเถียงอะไรต่อพี่เชนก็ยกถาดอาหารมาเสริฟพร้อมกล่าวด้วยคำพูดเหน็บแนมว่า
“พนักงานกูอิจฉาความรักของคู่มึงจนเลือดขึ้นตาไม่เป็นอันทำงานทำการ เดือดร้อนกูต้องมาเสริฟแทนอีก อ้อ สูตรนี้รับรองไม่เติมน้ำตาลเพราะรู้ว่าโต๊ะนี้มีเยอะเกินพอ!!”
งุ้ย มีคนแซว เขินจรุง
“อ๊ะ ว่าแต่วันนั้นจะเล่นเพลงอะไรให้พี่ฟังเหรอ”ผมเอาตัวไปกระแซะๆร่างสูงเพื่อหลอกถาม ถ้าเป็นเพลงสารภาพรักจะได้เตรียมใจเขินไว้ล่วงหน้าเลยไรงี้ ฟรานไม่ตอบ เจ้าตัวเลื่อนจานของผมมาให้ก่อนทำหน้าแบบว่า กินข้าวเหอะ
“โหยย ขี้งกจังบอกแค่นี้ก็ไม่ได้ ฟรานอยู่คณะดุริยางค์แท้ๆแต่พี่ไม่เคยเห็นฟรานเล่นดนตรีเลย อยากเห็นอ่า อยากเห็นนน เล่นเปียโนให้ฟังหน่อยยยย”ผมเริ่มออกอาการงอแง หลังจากเมื่อกี้โดนเผาจนไม่เหลือซากตอนนี้ขอโอกาสเอาคืนหน่อยเหอะ
“สีครามก็พูดไปโน่น น้องมันเล่นไม่เป็นยังไปบังคับมันเล่นอีก!!”
ใครเสือก
ผมหันขวับไปยังโต๊ะข้างๆซึ่งเป็นกลุ่มแกงค์วิศวะในเสื้อช็อป และคนที่กล่าวหาฟรานเล่นดนตรีไม่เป็นผมจำหน้ามันได้แม่น! มันคือคนที่ตีโพยตีพายหนักสุดในเพจทวงคืนสีครามจากเบอร์9ดุริยางค์ พูดแบบนี้ก็สวยสิวะ! ผมเตรียมตัวโต้กลับแต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆผมกลับเอื้อมมือมาจับมือผมใต้โต๊ะ
ฟรานส่ายหน้าไปมาและกล่าวเสียงเรียบว่า”กินเถอะ”
“ขี้ขลาด!!”เชี่ย! ตัวเองมาตั้ง4คนยังมีหน้ามาว่าคนอื่นขี้ขลาดอีกเหรอ แน่จริงตัวตัวดิว๊ะ
ผมม้วนเส้นเข้าปากอย่างหงุดหงิด อาหารร้านพี่เชนก็อร่อยดีหรอกแต่บรรยากาศเหม็นเน่ามาก! ยี๊ๆๆๆๆๆๆ
ตึ๊ง ตึ่ง ตึ๊งๆๆๆๆๆ
งานนี้ไม่ใช่อากาศเน่าเพราะโต๊ะข้างๆละ เสียงเปียโนบาดแก้วหูขนาดนี้ฝีมือใครวะ!? ผมรีบหันขวับไปทางเปียโนสีขาวที่ตั้งอยู่ตรงมุมร้านอย่างเกรี้ยวกราด แต่พอเห็นว่าคนเล่นคือใครจิตใจของผมก็สงบลงราวกับถูกน้ำเย็นชโลมจิตใจ
คุณยายกับเด็กผู้ชายตัวน้อยสองคนเป็นต้นเสียงดังกล่าว ทีแรกหลานทั้งสองวิ่งมาเคาะคีย์เปียโนมั่วๆเหมือนไม่รู้ว่าเจ้าเครื่องดนตรีชิ้นนี้มีมูลค่าหลายแสนแต่คุณยายก็รีบลุกขึ้นมาปรามตอนนี้เสียงเลยสงบลงแล้ว
ผมอ่อนแอกับเด็กและคนชราครับ...ด้วยความสอดรู้สอดเห็นผมเลยแอบเหล่มองสามหลานยายเป็นระยะ จากตรงนี้ไม่รู้หรอกว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่แต่สักพักเด็กน้อยคนเดิมก็นั่งบนเก้าอี้และเริ่มกดคีย์เป็นจังหวะ
เพลงหนูมาลี แม้จะไม่สมประกอบเหมือนแมวเมากาวแต่หนูมาลีก็มีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมี่ยววว
ตัลล้าค
“กูว่านะ ถ้าให้ไอ้หน้าอ่อนนี่ไปดีดผลก็คงออกมาประมาณนี้ว่ะ ดีนะที่แม่งไม่ไปเล่นแต่แรก ดนตรีอะไรฟังแล้วประสาทจะเสีย”โอ้โห พี่มึงมาอย่างตัวร้าย อยู่อย่างตัวร้าย และจะตายอย่างตัวร้ายด้วยมั้ย มือผมมีมีดกับส้อม อยากจะลุกไปปักมือให้เลือดพุ่งซะจะได้อยู่เงียบๆ
กึก
“เดี๋ยวมานะ”
“ฮะ!?”ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ กำลังคิดวิธีทำร้ายไอ้วิศวะโต๊ะข้างๆอยู่จู่ๆฟรานก็ลุกขึ้นยืนและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มันเป็นเสียงโมโนโทนที่แฝงด้วยความโกรธอย่างชัดเจน
เจ้าตัวเดินจากโต๊ะตรงไปที่เปียโน ผมไม่รู้ว่าฟรานกำลังจะทำอะไรแต่ก็รีบตามเจ้าตัวไป เมื่อพวกเรามาถึงคุณยายก็มีสีหน้าตกใจ แกรีบจับมือหลานให้เลิกเล่นหนูมาลี”ขอโทษนะลูก ยายก็เล่นกับหลานซะเพลิน จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“คุณยายไม่ต้องขอโทษครับ ผมไม่ได้รำคาญเลย น้องน่ารักดี ผมชอบ!”ผมรีบแก้ตัวแทบไม่ทัน กลัวคนแก่เข้าใจผิด แค่นี้ยายแกก็หน้าเสียแทบแย่แล้ว ส่วนคนที่เดินหน้าตึงมาตรงนี้กลับไปคิดจะตอบอะไรสักคำ แถมยังก้มลงไปคุยกับเด็กว่า
“เล่นเป็นเพลงเดียวเหรอ”ไหนเคยโม้ว่ามีน้องไง ไหงพูดกับเด็กหน้าตายแบบนั้น เด็กมันก็กลัวหมดอะดิ
“ฟราน...”ผมเริ่มใจคอไม่ดีเพราะไม่รู้ว่าฟรานต้องการอะไร
“เล่นเปงเพงเดวคับ!”เด็กน้อยตอบกลับมาหน้าซื่อตาใส”ครูแก้วเพิ่งสอน!”
“งั้นพี่สอนเพลงใหม่ให้อีกเพลง เอามั้ย”
“เพงใหม่!”
“เพลงใหม่!”ทั้งผมทั้งน้องทวนคำนั้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เชี่ยยย ในที่สุดช่วงเวลาที่ผมรอคอยมาแสนนานก็กำลังจะมาถึง! ฟรานกำลังจะเล่นดนตรีให้ฟังแล้ว! ตื่นเต้นอยากรู้เร็วๆแล้วว่าจะเล่นเพลงอะไร
“รู้จัก twinkle twinkle little starมั้ย”เด็กชายส่ายหน้าไม่รู้จัก แต่ผมรู้จักครับ มันคือเพลงกล่อมเด็กโง่ๆที่ร้องคำว่า twinkle twinkle little star วนไปวนมาหาสาระอะไรไม่ได้เลย เห้อ ขอโทษที่คาดหวังเกินไป จะให้สอนเพลงซิมโฟนี่ให้เด็กมันก็ไม่ใช่ฟรานเลือกสอนเพลงง่ายๆแบบนี้ก็ถูกแล้ว
แต่มันไม่สะใจอะ!
อยากให้เปิดตัวแบบแกรนด์โอเพ่นนิ่งหักหน้าวิศวะโต๊ะนั้นด้วย! ตอนนี้พวกมันมองมายังเราไม่วางตาคงรอฟังผลงานที่จะเกิด แต่ฟรานหาได้แคร์ไม่ เจ้าตัวค่อยๆจับนิ้วน้องให้จิ้มคีย์ทีละตัว ทีละตัวอย่างใจเย็น
ตึ่งตึงตึ๊ง ตึ๊งตึง ตึงตึง ท่อนนี้เล่นวนอยู่ร่วม5นาที ก่อนฟรานจะบอกให้น้องเริ่มเล่นรวดเดียวจบคนเดียวดู
“ฮับ!”น้องดูดีใจกับเพลงใหม่มาก แต่ผลงานไม่เป็นไปตามที่หวัง เพลงออกเพี้ยนยิ่งกว่าหนูมาลีเมื่อกี้อีก ผมยืนยิ้มจนเหงือกแห้งเอาใจช่วยให้น้องผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปให้ได้”งือออ เล่นมั่ยได้”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึป่าวแต่ผมได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากทางโต๊ะของพวกวิศวะ แต่เห็นฟรานหันไปมองแปลว่าผมไม่ได้คิดไปเองสินะ พวกไม่มีจิตใจเอ็นดูเด็กน้อยก็ช่วยอยู่เฉยๆไป น้องมันก็ไม่ได้ทุบคีย์มั่วๆสร้างความรำคาญสักหน่อย น้องเขาเล่นเป็นเพลงอย่างตั้งใจนะ!
“เล่นมั่ยได้”
“มา พี่เล่นให้ดู”
โฮ่! ออกโรงแล้ว ถึงจะเล่นแค่เพลงกล่อมเด็กโง่ๆก็เหอะ ผมยิ้มจนแก้มแทบฉีก อย่างน้อยผู้ชายที่ผมเลือกก็มีความอดทนกับเด็กน้อยล่ะนะ!
ฟรานนั่งแทนที่ตำแหน่งของน้องผู้ชายก่อนจะเริ่มเล่น twinkle twinkle little star สาวออฟฟิศที่นั่งอยู่ในร้านทำหน้าเคลิ้มตาลอยกันใหญ่ เจ๊ครับ นี่มันเพลงกล่อมเด็กไม่ใช่เพลงกล่อมป้า อย่ามองแฟนผมด้วยสีหน้าแววนั้นแบบนั้น!
“อ๊ะ...”ผมเผลอหลุดคำอุทานออกมาเมื่อถึงคีย์สุดท้ายของเพลงที่ผมรู้จัก จากเพลงกล่อมเด็กโง่ๆกลายเป็นเพลงบรรเลงที่ซับซ้อนสมฐานะดนตรีคลาสสิค
https://www.youtube.com/watch?v=c8593t0ygIQ
“เพลงอะไรน่ะ”ผมเอ่ยถาม คนในร้านตอนแรกที่แค่ฟังผ่านๆหูเองก็เกิดเสียงฮือฮาและหันมาให้ความสนใจเปียโนและผู้เล่นคนนี้มากขึ้น ฟรานหันมายิ้มให้ผมและพูดว่า” twinkle twinkle little star ไง แบบเต็มเพลงจริงๆ”
“โฮ่!”มันคือเพลงกล่อมเด็กเวอร์ชั่นล้ำที่เกิดมาไม่เคยฟังมาก่อน ผมแอบช็อคเบาๆ น้องกับยายเองก็ยืนมุงแบบทึ่งๆเช่นกัน แต่พวกเราที่ว่าช็อคยังตกตะลึงได้ไม่เท่าพวกวิศวะโต๊ะนั้น พวกแม่งตาเหลือกน้ำลายฟูมปากไปเรียบร้อย
เมื่อเพลงเล่นจนจบผมก็เป็นแกนนำเสียงปรบมือ ก่อนลูกค้าคนอื่นจะปรบมือเสริมเกรียวกราว อ้อ ยกเว้นโต๊ะนึงอะนะที่นั่งตูดไม่ตติดเก้าอี้แล้ว
“พี่ชายเก่ง!”น้องคนที่เล่นหนูมาลีเข้ามาเกาะขาของฟรานตาเป็นประกาย
“ตอนอายุเท่าเราพี่ก็เล่นเพี้ยนเหมือนกัน แต่ถ้าตั้งใจฝึกโตมาก็จะเล่นได้แบบพี่นะ”
“หยักเล่งงงง”
“เอ้า ลองดูอีกที!”ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวอุ้มเด็กน้อยมาวางไว้บนเก้าอี้จากนั้นก็เริ่มสอนอีกครั้งอย่างใจเย็น
ช่างเป็นภาพที่เจริญหูเจริญตาเสียเหลือเกิน ลูกค้าคนอื่นก็ไม่มีอาการรำคาญเสียงเปียโนเพี้ยนๆนี่อีกแล้ว เพราะแต่ละนาทีที่ผ่านไปเด็กคนนี้เล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นผล
“เก่งจัง...”ผมออกปากชมอย่างดีเลย์ ฟรานเล่นจบไปตั้งนานเพิ่งได้สติ
“ไม่เก่งสิแปลก”พี่เชนมายืนอยู่ข้างๆผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ พี่แกก้มหน้ากระซิบคุยกับผมข้างหู
”พี่บอกไปแต่แรกที่เจอกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าตอนมันยังเรียนม.ปลายมันเคยเรียนเปียโนคลาสเดียวกับพี่! ตอนนั้นพี่จะจบมหาลัยอยู่แล้ว แต่ในชั้นไม่มีใครเพอร์ฟอมานซ์ดีกว่ามันที่อยู่แค่ม.ปลายเลย! เชี่ย พูดแล้วโกรธ เสือกเบนเข็มมาเรียนแต่งเพลง ถึงทางนี้จะทำกินได้มากกว่าแต่เสียดายฝีมือแม่งจริงๆ คิดแล้วหงุดหงิด!”
ทั้งเก่ง ทั้งใจเย็น
นั่นคือข้อดีของฟรานที่ผมค้นพบในวันนี้
โอ๊ย ปลื้ม!
-------------------------
ถ้าชั้นเป็นนิทานชั้นจะเลิกคบกับอินี่ 55555555555555