[END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4  (อ่าน 26697 ครั้ง)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: จีบนะครับ...รักผมที -18- 10|03|2561 P.2
«ตอบ #60 เมื่อ11-03-2018 00:14:08 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -18- 10|03|2561 P.2
«ตอบ #61 เมื่อ11-03-2018 23:56:49 »

 :laugh:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -18- 10|03|2561 P.2
«ตอบ #62 เมื่อ12-03-2018 00:36:59 »

เขินๆๆ ได้กันแล้วววว

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -19- 16|03|2561 P.3
«ตอบ #63 เมื่อ16-03-2018 01:05:51 »

19

หลังจากที่พี่ข้าวตื่นมาผมก็หูชาตามระเบียบนั่นแหละครับ ยิ่งพอคนพี่รู้ว่าผมโทรไปลางานไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ก็ยิ่งโวยวายบวกทำตาขวางใส่ผมทันที แถมยังทำอวดเก่งว่าตัวเองไหวด้วยการลุกจะมาไล่เตะผมอีก

แต่ผลคือพอคนไม่เจียมตัวอย่างพี่ข้าวลุกจากเตียงปุ๊บ จากที่จะพุ่งหาผมก็กลายเป็นว่าถลาหาพื้นแทนนั่นแหละครับถึงทำให้เจ้าตัวเขายอมรับว่าสภาพตัวเองไม่ไหวจริงๆ

“หัวเราะบ้าอะไร!” ยกมือปิดปากทันทีพี่ข้าวหันมาทำตาขวางใส่ “เจ็บฉิบหาย...”

“ก็บอกแล้วว่าพี่ไม่ไหว ดื้ออยู่ได้” พอพูดไปอย่างนั้นก็ได้ยินอีกฝ่ายบ่นอุบ พี่ข้าวที่พยายามลุกแต่สุดท้ายก็ลงไปนั่งแหมะกับพื้นเหมือนเดิม ดวงตาแดงรื้นน้ำของคนพี่เงยขึ้นสบกับผมทันที

“...เจ็บ”

ก็นั่นแหละครับ... ตอนที่ช่วยพยุงพี่ข้าวที่ลงไปกองกับพื้นขึ้นทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายตัวรุมๆ เหมือนคนกำลังจะไข้ขึ้น พอบอกไปพี่แกก็เลยทำตัวให้สมเป็นคนไม่สบายที่ขยับร่างกายไม่ไหวให้ผมได้ดูแลทั้งวัน ทั้งป้อนข้าวป้อนยา ทั้งทำตัวเป็นไม้ค้ำให้คนแก่(กว่า)เดิน ไหนจะทำความสะอาดห้องนู่นนี่นั่นตามคำสั่งคนพี่... บ่นไปอย่างนั้นแหละแต่ใจจริงผมก็เต็มใจทำให้ล่ะครับ ก็ไอ้เราไปทำเขาเจ็บนี่นา...เนอะ?

และอย่างตอนนี้เรากำลังอยู่ในห้องน้ำกันครับ สาเหตุเพราะพี่ข้าวไม่อยากเช็ดตัวแล้วงอแงจะอาบน้ำ อ้างว่าตัวไม่สะอาดจากกิจกรรมเมื่อคืนทั้งๆ ที่ผมก็จัดการไปแล้วตั้งแต่เสร็จกิจแต่คนป่วยก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายก็ได้แต่พาคนพี่เข้าห้องน้ำตามคำสั่ง ยืนฟังอีกฝ่ายอาบน้ำไปในหัวก็มีแต่เรื่อง... อืมม นั่นแหละครับไป ทรมานตัวเองดี

แกร่ก

ประตูห้องน้ำที่ผมยืนพิงอยู่ถูกเปิดขึ้นเล็กน้อย พอให้คนข้างในได้ยื่นหน้าออกมา “ติณณ์ๆ”

“ครับพี่ข้าว นี่ชุดครับ”

พี่ข้าวรับชุดที่ผมยื่นให้ไปแต่ยังไม่ยอมกลับไปเปลี่ยน อีกฝ่ายที่ตาปรือๆ จากฤทธิ์ยาเงยขึ้นมองผมพร้อมกับทำปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง

“มีไรป่ะครับ?”

“โกนหนวดให้พี่หน่อย”

ก็เลยกลายเป็นว่าผมเข้ามาอยู่ในห้องน้ำกับพี่ข้าวที่เปลือยท่อนบนโชว์รอยสีแดงๆ ปะปราย พี่ข้าวหันไปหยิบมีดโกนหนวดด้ามสีเหลืองให้ผมก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งบนชักโครกแถมยังนั่งคอหักคอห้อย พอผมเดินเข้าใกล้ก็เอาหัวมาพิงหน้าท้องผมทันที

“พี่ข้าวเงยหน้าหน่อยครับ”

“อื้อออ”

“อื้อแล้วก็เงยสิครับ”

“...”

ได้แต่ถอนหายใจมองคนง่วงนอนเพราะฤทธิ์ยาที่ไม่ให้ความร่วมมือในการโกนหนวดสักเท่าไหร่ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเอ่ยขอให้ทำ หลังจากการอื้อจบลงคนพี่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มีเพียงเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอที่ดังออกมา ผมมองกลุ่มผมที่ซบท้องผมอยู่สลับกับมีดโกนในมือขวา ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปจับใบหน้าแดงระเรื่อจากไข้อ่อนๆ ที่พิงอยู่ตรงหน้าท้องให้เงยขึ้นสบตา พอได้เห็นตาเชื่อมๆ ปรือๆ จมูกแดงๆ และท่าทางอิดโรยของคนป่วยก็ได้แต่กระตุกยิ้มมุมปาก... หมดสิ้นแล้วพี่ข้าวคนโฉด

เห็นแบบนี้แล้วก็อยากแกล้งขึ้นมาซะอย่างนั้น

“น้องข้าวเงยหน้าก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ติณณ์ทำบาดแก้มนะ”

“ห๊ะ!”

“น้องข้าวเจ้าเงยหน้ามองพี่ติณณ์หน่อยนะครับ จุ๊บ”

ว่าแล้วก็กดจูบลงบนปากคนตื่นเต็มตาไปครั้ง ใบหน้าเหวอๆ ของคนที่ถูกแทนสรรพนามด้วยคำว่าน้องนั้นเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ จากที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่จนสะบัดหน้าหนีมือผมแล้วมุดหน้าท้องผมคืน

“ยะ... อย่าลามปามเว้ย ใครน้องติณณ์กัน!” พี่ข้าวโวยวายเสียงอู้อี้ติดสั่น ไม่รู้เพราะโกรธหรือเขินกันแน่ แต่ขอเดาว่าเป็นอย่างหลัง

“ก็ข้าวเจ้าน่ารักอย่างนี้ผมก็ไม่อยากเรียกพี่แล้ว”

“เสียตัวครั้งเดียวความเป็นพี่หายเลยหรือไงวะแม่ง” ยิ้มขำมองอีกฝ่ายที่พูดกับตัวเองอย่างเอ็นดูจนอยากดูเอ็น ผมโยนมีดโกนหนวดสีเหลืองในมือทิ้ง แล้วทิ้งตัวนั่งคุกเข่าตรงหน้าพี่ข้าวที่ทำหน้าเหวอเพราะความตกใจ ก่อนจะรวบตัวคนพี่เข้ามากอดและจัดการหอมทั้งแก้มซ้ายขวาหน้าผากปากจมูกทันที

มันเขี้ยวแฟนตัวเองนี่ผิดไหมครับ?

“ไอ้ติณณ์ปล่อยพี่! อื้อออออ”

“พี่ข้าวน่าฟัดว่ะแม่ง”

“ไอ้ติณณ์พี่บอกให้ปล่อยไงเว้ย!”

“อั่ก!!”

และแล้วไอ้ติณณ์ก็โดนฝ่าเท้าคนป่วยประทับลงกลางอกเต็มๆ เลยครับ...


ตั้งแต่วันที่ผมถูกลุงวัชพาไปนั่งสัมภาษณ์กับนักข่าวอย่างไม่ได้ตั้งใจและเต็มใจนั่นก็ผ่านมาได้เดือนกว่าๆ แล้วครับ นานซะจนผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยโดนลุงหลอกไปหานักข่าว ตอนนิตยสารฉบับที่มีบทสัมภาษณ์ออกมาผมก็ไม่รู้เรื่องจนกระทั่งวันนี้....

“ช่วงนี้แม่แกได้โทรมาบ้างไหม?”

“ครับ?” ผมเงยหน้าขึ้นจากเอกสารการสรุปประชุมไปมองลุงวัชที่จ้องผมเขม็ง “เมื่อกี้ลุงถามผมว่าอะไรนะ”

“แม่แกได้โทรมาหาแกบ้างไหม”

“ไม่นี่ครับ ปกติมีแต่ผมโทรไป” ผมตอบ “ลุงมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพร้อมกับถอนหายใจออกมาดังๆ ลุงวัชลุกจากโต๊ะของตัวเองเดินมาหาผมพร้อมกับเล่มอะไรสักอย่างในมือ

แต่แทนที่ลุงแกจะส่งให้ดีๆ ลุงวัชกลับม้วนมันแล้วฟาดลงกับหัวผมเต็มแรงแทนซะงั้น...

“โอ๊ย! ฟาดผมทำไม”

“ฟาดเตือนสติ” ของในมือที่ลุงวัชถือถูกวางลงทับเอกสารตรงหน้า “นิตยสารที่เราไปให้สัมภาษณ์ออกแล้ว จำได้สินะว่าตอบอะไรไปบ้าง”

ผมมองนิตยสารที่มีรูปลุงวัชเป็นมุมเล็กๆ บนหน้าปก เปิดหน้าบทสัมภาษณ์กวาดตาไล่มองตัวอักษรใต้รูปถ่ายของลุงวัชก่อนจะเงยมองตัวจริงที่อยู่ตรงหน้า “ไอ้ที่ลุงหลอกผมให้ไปสัมภาษณ์ด้วยน่ะนะ?”

โอ๊ะ คนแก่ส่งสายตาเขียวปั๊ดมาให้ล่ะ

“บ้านแกก็ไม่มีใครกวนประสาทสักคนนะ... หรือตอนเกิดพยาบาลสลับเด็ก?”

“ก็ผมได้ลุงไงครับ หึๆ”

“...จะให้ลุงบอกหนูเจ้าไหมว่าวันก่อนติณณ์ไปจีบสาว?”

“คุณชัยธวัชกรุณาเก็บโทรศัพท์ลงไปเถอะนะครับ” ผมกระโจนข้ามโต๊ะไปตะครุบโทรศัพท์ในมือลุงแทบไม่ทัน “จีบเจิบที่ไหนกันครับ คุณลุงก็เห็นว่าตอนนั้นเธอเข้ามาหาผมเองแถมผมก็ไม่ได้เล่นด้วยนี่”

คนสูงวัยหรี่ตามองผมที่โอดครวญออกมา ก็วันนั้นออกไปหาลูกค้ากับลุงแล้วฝ่ายนั้นพาลูกสาวตัวเองมาด้วย แต่เพราะคำว่าธุรกิจที่ติดบนหน้าผากทำให้ปฏิเสธไม่ออก

พอเห็นผมยิ้มแหยๆ ให้ลุงวัชหัวเราะในลำคออย่างคนเหนือกว่า “แกก็รู้นี่ว่าหนูเจ้าเขาเชื่อใครมากกว่ากัน”

“ขอโทษครับลุง ผมไม่กวนลุงแล้วก็ได้ครับ” รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยคนสูงวันทันที... เท่านั้นแหละครับคนแก่กว่าก็หัวเราะอย่างเต็มเสียง งานแกล้งลูกแกล้งหลานนี่ไว้ใจลุงวัชเขาเลย

“เออๆ งั้นเข้าประเด็นที่ลุงพูดไว้ จำได้ใช่ไหมว่าตอบอะไรไป”

“...ครับ”

“แล้วรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้า...”

“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอ่ะลุง ยังไงผมไม่ยอมเลิกกับพี่ข้าวแน่ๆ” ตอบขัดประโยคที่ลุงกำลังจะพูด ลุงวัชชะงักไปครู่ก่อนจะยิ้มจางๆ ออกมาให้

“ตกลงคนนี้จริงจังสินะ”

“ถ้าไม่จริงจังผมจะตามง้อเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้ไหมล่ะ โอ๊ย! ลุงเขกหัวผมทำไม!” โวยวายใส่คนแก่แรงไม่ตกที่เขกกำปั้นลงมาเต็มหัว มองค้อนใส่ลุงวงโตๆ ก่อนจะตอบออกไป “คนนี้รักเลยน่าลุง”

ลุงวัชถลึงตาผมใส่ก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง คนแก่ที่ทำตัวไม่สมวัยนั่งเท้าคางมองผมก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมยกยิ้มตาม “เฮ้อ...เอาเถอะ มีอะไรเดี๋ยวลุงช่วยเอง”


แรงสั่นของสายเรียกเข้าทำให้ผมตื่นจากฝันดี ปรือตาเอี่ยวตัวข้ามคนในอ้อมแขนไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงอีกฝั่งขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรมารบกวน

จากที่หงุดหงิดงัวเงียก็ต้องตื่นเต็มตาเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา

“ครับแม่ โทรมาแต่เช้ามีอะไรหรอครับ”

กรอกเสียงที่เต็มไปด้วยความงัวเงียบลงไปตามสาย นี่ผมเคยบอกหรือยังครับว่าคุณหญิงวิภา แม่ของผมเป็นลูกครึ่งไทย - อิตาลี(ที่ผมได้เสี้ยวมาเล็กน้อย) ส่วนพ่อผมก็เป็นน้องชายลุงวัชที่มีนิสัยคนละขั้วเลย แล้วถ้ายังจำกันได้... คงไม่ลืมนะครับว่าผมกับไอ้หมอหมาเพื่อนรักมาจากจังหวัดเดียวกัน

‘ติณณ์! ลูกไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่!’

“อะไรนะแม่” ผมขมวดคิ้วกับเสียงแหลมๆ ของแม่ที่ดังลอดออกมา

‘แม่ถามว่าลูก-ไป-มี-แฟน-ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมแม่ไม่รู้เรื่อง!! แม่ไปอ่านเจอในนิตยสารที่ลูกไปสัมภาษณ์กับลุงแกเขาเขียนไว้อย่างนั้น!’

“อ้อ” ผมลากเสียงยาวเพราะสมองที่เพิ่งตื่นเริ่มทำงานเมื่อได้ยินคำว่านิตยสาร ได้แต่ยกยิ้มแหยขอโทษแม่ในใจก่อนจะทำผิดศีลข้อสี่ “ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละครับแม่ ตัดปัญหาน่ะ”

“อื้อ...” คนติดหมอนข้างในอ้อมแขนขยับหน้าเข้าซุกกับอกผมและครางออกมาผะแผ่วเพราะเสียงผมที่ไปรบกวนการนอน พี่ข้าวขมวดคิ้วปรือตาเงยหน้ามองผมอย่างหงุดหงิดและหลับตาลงอีกครั้ง น่ารักซะจนอดที่จะก้มไปหอมหน้าผากของอีกคนไม่ได้

‘นั่นเสียงใครน่ะ?’

...ลืมไปเลยแฮะว่ายังคุยกับแม่อยู่

“เปล่านี่ครับ”

‘ตกลงว่าแค่ตอบไปอย่างนั้นใช่ไหม แม่จะได้ไปบอกหนูแพรวว่าติณณ์ยังว่าง’

“ใครนะแม่?”

‘หนูแพรวไง ลูกสาวเพื่อนแม่ สวยน่ารักดีแม่ชอบ ตอนนี้กำลังขึ้นปีสามมหาลัยเดียวกับติณณ์ที่แหละ’

“แม่...ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องหาคู่ไหนผม ผมหาเองได้น่า... ไว้ว่างๆ จะพาไปเจอ”

‘เหอะ ฉันหาให้ไม่ดีหรือไง หัวแข็งได้พ่อจริงเชียว’ แม่บ่นอุบให้ผมได้แต่ยิ้มจาง ดูท่าแม่จะไม่ตะหงิดใจกับประโยคหลังสักเท่าไหร่ ‘เอาเถอะๆ แต่หาเองแล้วไม่ถูกใจแม่แม่ไม่ยอมนะ’

ลอบมองคนหลับที่ยังขมวดคิ้วแน่น อย่างคนนี้จะผ่านไหมล่ะเนี่ย

‘จะว่าไปเมื่อไหร่ติณณ์จะกลับบ้านล่ะลูก’

“ก็เดี๋ยวกลับครับ รอคุณฟ้ากลับมาก่อนผมว่าจะกลับไปบ้านสักอาทิตย์ครับแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ”

‘กลับมาอยู่ตลอดเลยไม่ได้หรอลูก มาช่วยบ้านเราก็ได้แม่คิดถึงนะ’

“เดี๋ยวได้กลับไปแน่ๆ ล่ะครับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะครับแม่”

‘เอาเถอะๆ ตามใจเราแล้วกันแต่มาให้แม่เห็นหน้าบ้างก็ดี นี่จนลืมแล้วว่าลูกชายหน้าตาเป็นอย่างไง’ พอตอบไปว่าก็หล่อเหมือนพ่อไง ก็ได้ปลายสายหัวเราะออกมาเบาๆ ‘ถ้างั้นเดี๋ยวแม่วางสายก่อนนะลูก สายป่านนี้แล้วพ่อแกยังไม่ลงมาสักทีเลยต้องให้ปลุกตลอดเลย รักลูกนะ’

“ครับ รักแม่เหมือนกันครับ”

ผมมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ออกมาเมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่แม่พูด ไม่รู้คิดไปเองไหมว่าพี่ข้าวตื่นมาฟังแต่แกล้งหลับต่อเพราะแขนที่พาดเอวผมมันเริ่มแน่นขึ้น ยกยิ้มให้กลุ่มผมตรงหน้าแล้วกวาดแขนไปรั้งตัวอีกคนให้มาซุกอกอุ่น เกยคางลงกับหัวของคนในอ้อมแขนพลางหัวเราะหึเมื่อได้ยินเสียงครางในลำคอประท้วงเพราะผมกอดอีกคนแน่นเกินไป

“ไม่ไปหาหนูแพรวอะไรนั่นน่ะ” พี่ข้าวพูดเสียงอู้อี้ ดันตัวเอาหัวโหม่งคางผมเบาๆ

“ไปทำไม ก็แฟนผมอยู่นี่”

“ก็ไหนว่าไม่มีแฟน”

“ก็ไม่มีแฟน” คนในอ้อมแขนนิ่งไปจนรู้สึกได้ “ผมมีแต่พี่ข้าวนะครับ”

“...แล้วพี่ไม่ใช่แฟน?”

“คุณกณิศเป็นคนรักของติณณ์ไงครับ”

เหมือนว่าได้ยินเสียงฉ่าจากคนในอ้อมแขน คนที่หน้าแดงยันหูเอาแต่ซุกหน้าลงกับอกผมไม่ยอมห่างแถมยังเอากำปั้นทุบซ้ำอีก ได้แต่หัวเราะแล้วก้มไปหอมหัวคนในอ้อมแขนอย่ามันเขี้ยวและกระซิบเสียงเบา

“ไว้พี่พร้อมเดี๋ยวผมพาไปหาแม่นะ”

“...อื้อ”


เวลาผ่านไปจนกระทั่งลูกของคุณฟ้าหย่านมแม่และเธอกลับมาทำงานให้ลุงวัชได้อีกครั้งผมก็หมดหน้าที่เลขาจำเป็น จากนี้ผมมีเวลาพักที่เคยขอลุงแกไว้เกือบๆ สี่เดือนก่อนที่จะเข้าไปเป็นพนักงานที่สาขาเดียวกับพี่ข้าว ซึ่งเจ้าตัวยังไม่รู้เพราะผมกะจะทำเซอร์ไพรส์

และระหว่างที่พักนี้ผมมีแพลนจะพาพี่ข้าวเข้าบ้านด้วยครับ

ถึงจะเกริ่นๆ กับแม่แล้วก็เถอะว่ากลับไปครั้งนี้จะพาแฟนไปแนะนำด้วย... ผลที่ตามมาคือแทบจะซักประวัติแฟนของผมแต่ผมไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง แต่พ่อน่าจะรู้จากลุงวัชบ้างแล้วแหละว่าแฟนผมไม่ใช่ผู้หญิง ก่อนหน้านี้ท่านโทรมาถามว่าคุยอะไรกับแม่ แม่ถึงดูหัวเสีย แถมยังลงท้ายประโยคก่อนว่างสายว่า  :impress3: อีก...

มาอีหรอบนี้พ่อรู้แล้วแน่ๆ ล่ะครับทุกคน

“นี่ไม่ไปได้ไหม...” พี่ข้าวว่าเสียงอ่อย สองมือกอดกระเป๋าเป้ไว้แน่น “เอาจริงๆ ไม่กล้าไปว่ะ”

“ไปเถอะครับพี่ข้าว คบกันมาก็พักใหญ่แล้วผมยังไม่เคยพาไปบ้านผมเลย” ยกยิ้มมองคนพี่ที่เม้มปากแน่น “อยากเห็นแฟนตัวเองถูกแม่จับใส่พานให้คนอื่นหรือไง”

“ไม่!” อีกฝ่ายโพลงขึ้นมาทันที ก่อนจะค่อยๆ เบาเสียงลงเมื่อนึกได้ “แต่...ถ้าแม่ของติณณ์รับพี่ไม่ได้ล่ะ”

“ผมไม่เลิกกับพี่แน่ๆ และต่อให้แม่บังคับพี่ก็ต้องห้ามเลิกกับผมนะ”

“...เอาแต่ใจ”

“หึ ก็ได้พี่มานั่นแหละครับ”

“ไอ้ติณณ์!” พี่ข้าวยกมือชี้หน้าผม “นี่ยังไม่เคลียร์เรื่องไม่บอกล่วงหน้า แถมจัดการลางานให้เรียบร้อยนะ”

ผมแสร้งทำไม่สนใจคนพูด ก้มมองนาฬิกาแล้วดึงเป้ในมือพี่ข้าวมาถือเอาไว้เอง “ป่ะ ไปกันได้แล้วครับพี่ข้าว จะเดินไปเองหรือให้ผมอุ้ม?”

“ฮึ่ย!”

Tbc.

―――――――――――

จริงๆ ต้องลงตั้งแต่วันพุธ... แต่ติดละครเจ้าค่ะ...
เจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลยนะคะ ช่วงนี้วุ่นหน่อยเพราะเพื่อนบอกให้ไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้... วิ่งหาชุดกันสนุกสนาน ; w ; )

ปล. ไม่ม่าหรอก เชื่อเราดิ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -19- 16|03|2561 P.3
«ตอบ #64 เมื่อ16-03-2018 02:26:58 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -19- 16|03|2561 P.3
«ตอบ #65 เมื่อ18-03-2018 23:36:21 »

แม่จะว่าไงบ้างนะ???

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -20- 20|03|2561 P.3
«ตอบ #66 เมื่อ20-03-2018 01:08:39 »

จีบครั้งที่ยี่สิบ
ข้าวเจ้า


‘ว่าไงหนูเจ้า โทรหาลุงก่อนนี่มีอะไรหรือเปล่า’

“คุณลุง... พ่อแม่ติณณ์นี่เป็นคนยังไงครับ คือพรุ่งนี้หลานลุงจะพาผมไปบ้านด้วย...”  ผมรีบยิงคำถามอย่างเสียมารยาททันทีที่อีกฝ่ายรับสาย คืออย่างนี้ครับเมื่อวานติณณ์มาบอกว่าพรุ่งนี้จะพากลับบ้านด้วย เล่นเอาผมเหวอไปไม่น้อยเลยล่ะ ถึงก่อนหน้านี้ติณณ์จะบอกอยู่ว่าหลังจบงานลุงวัชจะพากลับด้วยก็เถอะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วแบบนี้...ไม่ให้ผมได้เตรียมใจกันสักนิด สุดท้ายก็ต้องต่อสายหาลุงวัชนี่ล่ะครับ

‘ฮะๆ ว่าแล้วเชียว’ ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่และหัวเราะเสียงนุ่มออกมา ‘อืม ไอ้วิชพ่อติณณ์น่ะมันเป็นน้องชายลุง เป็นคนที่นิสัยคนละขั้วกับลุงเลยล่ะ ส่วนแม่ของติณณ์ค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการจู้จี้จุกจิกมากหน่อย ก็ตามสไตล์ผู้หญิงแหละนะ’

“ครับ”

‘ส่วนคนอื่นในบ้าน...’

“นี่ยังมีคนอื่นอีกหรอลุง!” เผลอว่าเสียงสูงออกไปเพราะไม่นึกว่านอกเหนือจากพ่อแม่ของอีกฝ่าย พอได้ยินเสียงหัวเราะขำๆ จากปลายสายผมก็รีบขอโทษขอโพยทันที “เอ่อ ขอโทษครับ ผมก็นึกว่า...”

‘ไอ้ติณณ์ไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังหรอ’ ผมเม้มปากแน่นเพราะติณณ์ไม่เคยพูดให้ฟัง และผมก็ไม่เคยถามอีกฝ่าย ‘จริงๆ เลยไอ้เด็กนี่ งั้นเดี๋ยวลุงบอกเองก็ได้เนอะ บ้านที่นู่นนอกจากพ่อแม่ของติณณ์ก็มีเฌอแตมกับเชอรีนลูกของลุงที่ไปเรียนที่นั่น ส่วนบ้านที่นี่ก็มีครอบครัวลุงกับปู่ย่าติณณ์เขาละ นี่หนูเจ้ากลัวเรื่องจะไปเจอพ่อแม่ติณณ์เขาใช่ไหม’

คิ้วผมเริ่มขมวดเมื่อรับรู้ว่าบ้านติณณ์มีมากกว่าที่คิดไว้ นี่ผมต้องเจอทั้งบ้านทางนู้นกับทางนี้หรอ... “กลัวสิครับลุงวัช ผมเป็นผู้ชายนะไม่ใช่ผู้หญิง ยิ่งเป็นลูกชายคนเดียวอย่างติณณ์ด้วย พ่อแม่ใครเขาจะรับได้กันครับลุง”

‘ไม่ต้องคิดมากน่าหนูเจ้า ลูกชายลุงก็มีแฟนเป็นผู้ชาย ทั้งลุงกับแม่เขาทั้งปู่ย่าเขาก็รับได้นะ แล้วก็เรื่องที่ติณณ์คบกับหนูเจ้าทางนี้เขารู้กันหมดแล้ว แต่ทางนั้นเหมือนติณณ์ยังไม่ได้บอก’

แอบอ้าปากค้างกับที่ลุงวัชบอกว่าทางนี้รู้กันหมดแล้ว... “ติณณ์บอกไปแล้วครับ... แต่บอกไปแค่ว่าจะพาแฟนเข้าไปหา ไม่ได้บอกวันหรือรายละเอียดอะไร”

‘อ้าวอย่างนั้นหรอ’ ลุงวัชว่าเสียงสูง ก่อนจะพูดพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง ‘ไอ้ติณณ์นี่ไม่กลัวยัยภาวีนแตกหรือไง’

เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้ยินอย่างนั้น

‘หนูเจ้าไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวไว้ลุง... ’ ได้ยินเสียงแทรกจากทางปลายสายดังลอดมา ‘อ่า หนูเจ้าลุงต้องวางก่อนนะ’

“ครับ ขอบคุณมากครับลุงวัช”

ผมพรูลมหายใจออกมาหลังจากหน้าจอโทรศัพท์ดับลงไปแล้ว ก้มซบหน้าลงกับกองกระดาษบนโต๊ะทำงานอย่างคนคิดไม่ตก... ขอให้ไม่มีอะไรอย่างที่คิดเกิดขึ้นแล้วกัน

 ไอ้พล็อตแม่ผัวลูกสะใภ้อะไรนั่นน่ะ


และแล้ววันเดินทางที่ผมไม่พร้อมสักเท่าไหร่ก็มาถึง หลังจากที่ผมโวยวายไปเล็กน้อยก่อนออกจากคอนโดตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างทางไปบ้านติณณ์ครับ แวะกินข้าวที่บ้านสวนกันเสร็จก็กลับออกมาสู้ท้องถนนกันอีกครั้ง ผมนั่งเท้าแขนกับขอบกระจก หันหน้ามองติณณ์ที่ฮัมเพลงตามบทเพลงที่เปิดฟัง คนนี้แลดูจะมีความสุขกับการกลับบ้านครั้งนี้เป็นอย่างมากผิดกับผมที่แทบจะถอนหายใจทุกห้านาทีเมื่อนึกถึงสาเหตุในการกลับบ้านของติณณ์ครั้งนี้

“ผมรู้ว่าผมหล่อและหน้าตาดีมาก แต่พี่ข้าวกระพริบตาบ้างก็ได้นะครับ” สารถีส่วนตัวว่าด้วยเสียงติดหัวเราะให้ผมได้แยกเขี้ยวใส่ ผมกระพริบตาถี่ๆ ให้อีกฝ่ายอย่างประชดประชัน

“ไม่ต้องประชดขนาดนั้นก็ได้ม้างงง” อมยิ้มน้อยๆ กับคนลากเสียงยาว แล้วส่งมือไปดึงเส้นผมที่ปรกหน้าผากของติณณ์ที่ยักคิ้วใส่ผม

“แค่ไม่ชินหน้าตอนติณณ์เอาผมลง เมื่อไหร่จะตัด... ฮ้าววว” ว่าจบก็หาวออกมาวอดใหญ่จนคนขับรถหันมายิ้มล้อเลียนให้

“อ้าวๆ หนังท้องตึงหนังตาหย่อนหรอครับ นอนก็ได้นะครับถ้าถึงแล้วเดี๋ยวผมปลุก”

ผมส่ายหัวให้ติณณ์แล้วยัดตัวนั่งหลังตรงมองทาง มาด้วยกันทั้งทีจะปล่อยให้ติณณ์ขับคนเดียวได้ไง ผมเลยหาเรื่องชวนคุยโดยการถามเกี่ยวกับครอบครัวติณณ์ เจ้าตัวเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามก่อนรอยยิ้มจะจุดที่มุมปาก ซึ่งคำตอบของติณณ์ก็ไม่ต่างจากที่ผมรับรู้สักเท่าไหร่ยกเว้นแต่...

“แม่ชอบจับคู่ให้ผมกับลูกหลานเพื่อนแม่ครับ บอกตามตรงว่าน่าเบื่อมากแต่ยังดีที่แม่มาห่างๆ ตอนผมหนีมาเข้ามหาลัยที่นี่แหละ ขนาดวันนั้นยังอุตส่าห์จะจับคู่ให้ผมเลยพี่ก็ได้ยิน”

“อื้มมม” ผมลากเสียงยาวและพยักหน้าไปมากับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ

“กลัวแม่ของติณณ์ไม่ชอบข้าวเจ้าหรอ” ผมขบริมฝีปากแล้วกดหน้าลงเล็กน้อย เมื่ออีกคนเห็นอย่างนั้นติณณ์ก็ละมือจากพวงมาลัย ดึงมือผมที่กำแน่นไปวางบนตักของเจ้าตัวและกุมไว้หลวมๆ “เชื่อติณณ์สิว่ามันไม่เป็นอย่างที่ข้าวเจ้าคิดหรอก จุ๊บ”

ริมฝีปากของติณณ์ที่กดลงมาที่หลังมืออย่างแผ่วเบา ความอุ่นที่หลังมือวิ่งเข้าสู่ใบหน้าจนต้องเบือนหน้าหนีอีกฝ่าย

“...มั้งนะครับ”

ผมหันไปถลึงตาใส่คนทำบรรยากาศหวานๆ พังทลายแทบไม่ทัน...


“ข้าวเจ้า พี่ข้าวตื่นครับจะถึงแล้ว”

“อื้อ ถึงแล้วหรอ?” ถามด้วยเสียงยานๆ ยกมือจะขยี้ตาแต่กลับถูกมือของใครอีกคนบนรถรั้งไว้ก่อนที่ทิชชู่เปียกจะโปะหน้าผม

“ยังครับ พอดีแวะปั้มเลยปลุกคนขี้เซาให้ตื่นอยู่เป็นเพื่อน” ว่าจบมันก็ฉกหน้ามาจูบปากผมไปครั้ง “ไม่ทำตาดุใส่ผมสิ ที่ปลุกเพราะอีกไม่เกินสิบนาทีก็น่าจะถึงแล้วหรอกครับ พี่ข้าวคงไม่อยากงัวเงียตอนถึงบ้านผมใช่ไหมละ”

“อื้อ แวะห้างได้ไหม พี่อยากได้อะไรไปให้คุณลุงคุณป้า”

ติณณ์เลิกคิ้วสูง มุมปากยกเป็นรอยยิ้มกวนๆ “ผมเตรียมพร้อมให้แล้วครับ ถึงบ้านผมพี่ก็ถือเข้าไปได้เลย”

บทสนทนาจบลงของเราด้วยการที่ผมโดนติณณ์ขโมยจูบอีกรอบ อีกฝ่ายดูดดึงเหมือนว่าปากผมเป็นขนมจนรู้สึกว่าปากมันเริ่มบวมเจ่อ พอออกจากปั้มไม่นานเราก็มาอยู่หน้าบ้านขนาดกลางในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง

ความเครียดเข้าครอบงำผมทันทีที่รถของติณณ์เลี้ยวเข้าสู่ตัวบ้าน บ้านตรงหน้าค่อยข้างจะแตกต่างจากจินตนาการไปสักหน่อย สีเอิร์ธโทนของตัวบ้านทำให้รู้สึกอบอุ่นอยู่ดีหรอกครับแต่ไม่รู้ว่าคนในบ้านจะต้อนรับเราอย่างอบอุ่นหรือเปล่า...

เผลอกำมือแน่นจนรู้สึกถึงเล็บที่จิกลงฝ่ามือ ติณณ์ที่เหมือนจะรับรู้ถึงความเครียดของผมเคลื่อนมือมาวางทับหลังมือ เขาบีบมือเบาๆ จนผมคลายแรงออกเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นสอดประสานนิ้วของเราเข้าด้วยกันทันทีจนไม่เหลือช่องว่าง

“ไม่เครียดสิ ผมอยู่ตรงนี้นะ” ริมฝีปากของคนพูดกดลงมาที่หน้าผากเบาๆ “ผมรักข้าวเจ้านะครับ”

ผมยิ้มรับคำนั้น ยกแขนข้างที่ว่างเกี่ยวคออีกฝ่ายลงมาและกดริมฝีปากแนบลงไปกับปากติณณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระซิบคำที่ทำให้ติณณ์ยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้ “พี่ก็รักติณณ์นะ”

“สวัสดีครับพ่อ”

“อ้าว ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมาวันนี้?” เสียงทุ้มของคนที่ติณณ์เอ่ยทักทายตอบกลับ ผมลอบมองคนตรงหน้าที่มีเค้าโครงใบหน้าคล้ายกับลุงวัชแต่หนุ่มกว่าเล็กน้อย พอสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายผมก็รีบดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมขึ้นไหว้คนตรงหน้าทันที “แล้วนั่นใครล่ะ”

“สวัสดีครับ ผมข้าวเจ้าครับ...”

“ข้าวเจ้า?” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยเสียงระคนแปลกใจ “อ้อ หนูเจ้า เด็กที่พี่วัชบอกว่าเป็นแฟนของติณณ์ใช่ไหม”

พ่อของติณณ์จ้องหน้าผมเขม็งจนเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว ติณณ์ที่เห็นอย่างนั้นเลยรีบตอบออกไปทันที “ครับ ข้าวเจ้าเป็นแฟนผม”

“พ่อถามลูกหรอ?” คิ้วติณณ์กระตุกเพราะคำพูดของพ่อ “ว่าไง?”

“เอ่อ... ครับ ผมเป็นแฟนติณณ์”

“อืม” คนตรงหน้าลากเสียงยาวและยังคงจ้องหน้าผมคล้ายจะสำรวจอะไรสักอย่าง ติณณ์ขยับมายืนอยู่ข้างๆ ผมก่อนจะยัดกระเช้าผลไม้ใส่มือผม กระตุกเบาๆ แทนคำพูด

“เอ่อ... คุณลุงครับ อันนี้ผม--”

“คุณลุง?” คุณพ่อของติณณ์เลิกคิ้วสูง ต้นฉบับรอยยิ้มของติณณ์ถูกจุดขึ้นที่มุมปากจนผมต้องหลบตา... รู้แล้วว่าติณณ์ได้รอยยิ้มแบบนั้นมาจากใคร “เรียกพ่อเหมือนติณณ์ก็ได้ พ่อไม่ถือหรอก”

“...ครับคุณพ่อ” ฝ่ามืออุ่นของคนสูงวัยวางลงบนหัวผม ขยับลูบเบาๆ ก่อนจะผละออกไปหยิบกระเช้าในมือผมไปถือไว้เอง

“คราวหน้าคราวหลังไม่ต้องเอามาให้ก็ได้นะลำบากเราเปล่าๆ ติณณ์พาเขาไปเก็บของก่อนไป เดี๋ยวคุณภามาแล้วจะไม่ได้เก็บกัน” คุณพ่อส่งยิ้มให้ผมแล้วหันไปบอกลูกชายตัวเองที่รั้งเอวผมให้ไปใกล้เจ้าตัว

“แม่ไม่อยู่? ไปไหนครับ”

“สมาคมเขาล่ะ” คุณพ่อพูดพลางถอนหายใจออกมา “ตั้งแต่ที่เห็นลูกไปสัมภาษณ์อย่างนั้น พอโทรไปหาแล้วแกบอกว่าพูดไปงั้นๆ คุณภาก็ออกตระเวนแก้ข่าวกับคุณหญิงคุณนายเพื่อนเธอนั่นล่ะ วันก่อนที่แกโทรมาบอกว่าจะพาแฟนมาหาคุณภาเธอก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยไม่ยอมไปไหนเพราะไม่รู้วัน แต่วันนี้เหมือนนัดใครไว้เลยออกไปข้างนอกน่ะ”

“อย่างนั้นหรอครับ แต่ไม่อยู่ก็ดีแล้ว... เดี๋ยวข้าวเจ้าเครียดไปมากกว่านี้ผมจะไม่มีปัญญาทำให้หายเครียด” ติณณ์ว่าด้วยน้ำเสียงล้อๆ และโอบเอวผมอย่างไม่อายคนตรงหน้า พอเห็นคุณพ่ออมยิ้มคล้ายล้อเลียนผมที่เริ่มรู้สึกว่าหน้าร้อนๆ ก็ยิ่งพยายามแกะมือปลาหมึกนั่นออกแต่ก็ไม่เป็นผล

“นี่หนูเจ้า” สรรพนามเดียวกับที่ลุงวัชใช้เรียกทำให้ผมที่หยิกหลังมือปลาหมึกอยู่เงยขึ้นมองคนตรงหน้า “พ่อฝากลูกชายพ่อด้วยนะ ดื้อมากไปก็ดุได้ตีได้เลย”

“ครับคุณพ่อ”

มุมปากของผมยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนหน้านี่ราวครึ่งปีก่อนก็ได้ยินประโยคคล้ายๆ อย่างนี้จากเพื่อนสนิทติณณ์เหมือนกัน

...จะว่าไปยังไม่ได้เคลียร์เรื่องนี้กับอาร์ตเลยนี่หว่า

“ไม่ต้องกลัวว่าพ่อจะไม่ชอบเรานะ พ่อเชื่อในการตัดสินใจของลูกชายพ่อเสมอแหละ” พูดจบคุณพ่อก็ส่งยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ฝ่ามือของคนตรงหน้ายกขึ้นมาหมายจะลูบหัวผมอีกครั้งแต่ไม่ทันได้แตะเส้นผมดี ตัวของผมก็ถูกติณณ์ดึงไปจนชิดอกแน่นๆ นั่น พร้อมกับมืออีกข้างที่ยกขึ้นปิดตาผมทันที

“พอๆ คนนี้ของผมครับ พ่ออย่ามาหว่านเสน่ห์ใส่ข้าวเจ้าสิ ไปล่ะ” ว่าจบติณณ์ก็ดึงผมไปทางบันไดบ้านทันที ได้ยินเสียงเจ้าบ้านหัวเราะน้อยๆ ดังไล่หลังมาให้ผมได้หน้าร้อนกันไป

ผมมองประตูไม้สีเข้มตรงหน้าที่มีป้ายเล็กๆ เขียนว่า ‘ห้องน้องติณณ์’ ห้อยอยู่ สลับกับ ‘น้องติณณ์’ ที่ยกมือลูบหน้าลูบตาแก้เขินเมื่อผมเอ่ยล้อด้วยคำนั้น คนหูแดงเปิดประตูห้องและผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไป... เรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาในพื้นที่ของติณณ์จริงๆ

ติณณ์ดึงเป้ออกจากหลังผมและเดินหายเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ปล่อยให้ผมได้เดินสำรวจห้องของคนเป็นแฟนเล่น เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ในห้องเป็นโทนสีเทาขาวที่เป็นสีโปรดของเจ้าตัว ผมสาวเท้าไปยังกรอบรูปที่ถูกตั้งไว้ตรงหัวเตียง เผลอหัวเราะออกมาเมื่อรูปของติณณ์สมัยหัวเกรียนๆ ก่อนจะไปสะดุดกับรูปติณณ์ในชุดกางเกงสีกากีคู่กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ทั้งคู่ยืนยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

“ดูอะไรครับ หืม” คำพูดพร้อมกับสัมผัสที่กดลงมาที่หลังคอทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย พอติณณ์เห็นสิ่งที่อยู่ในมือก็ร้องอ๋อแล้วดึงออกจากมือผมไปวางที่เดิม “หึงหรือไงครับ”

“เปล่า”

“นั่นรักแรกผมเลยนะ” หันขวับตาขวางไปหาคนที่กอดเอวผมอยู่อย่างทันที “อย่าทำตาขวางสิที่รัก ผมล้อเล่นครับนั่นเพื่อนที่สนิทที่สุดในตอนม.ปลาย ไว้ว่างๆ จะพาไปรู้จักนะ... นี่สงสัยแม่จะเอามาใส่กรอบไว้ให้”

ผมครางอื้อยาวๆ ในลำคอเป็นการรับรู้

“อยากรู้ไหมว่าทำไมพ่อถึงไม่ห้ามเรื่องที่ผมคบกับผู้ชาย”

“หืม ทำไม?”

“เพราะพ่อแม่ผมเขาโดนคลุมถุงชนครับ” ติณณ์ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มีรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ที่จริงแม่ต้องเป็นคู่หมั้นลุงวัชแต่ลุงแกเฟี้ยวไปทำสาวท้องซะก่อน เลยกลายเป็นพ่อที่ต้องเข้าพิธีหมั้นแทน ถึงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่ขัดผู้ใหญ่ไม่ได้ คำว่าอยู่ๆ กันไปก็รักกันเองนี่ยังใช้ได้อยู่บ้างสุดท้ายก็เกิดเป็นผมนี่ล่ะ”

“ติณณ์...”

“อันนี้ลุงวัชเล่าให้ฟังตอนโตครับ พ่อผมก็ปรามๆ แม่ทุกครั้งที่แม่หาสาวให้ผม ท่านบอกว่าอยากให้ผมเลือกคนที่จะใช้ชีวิตเองมากกว่าที่จะมีคนมาบังคับจับแต่งเหมือนกับพ่อ”

“...แล้วแม่ติณณ์ล่ะ”

พอผมถามออกไปติณณ์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ผมก็ไม่รู้ครับ บอกตามตรงว่าผมเดาความคิดแม่ไม่ออกสักเท่าไหร่...” ติณณ์ว่าพลางกระชับแขนที่โอบรอบเอวผมให้แน่นขึ้น พาก้าวถอยหลังจนเจ้าตัวนั่งลงกับขอบเตียงโดยมีผมนั่งบนขาข้างหนึ่ง “อย่าเครียดสิครับคิ้วจะเป็นปมแล้ว คลายหน่อยๆ”

นิ้วชี้ของเจ้าของตักยื่นมาจิ้มหัวคิ้วผมย้ำๆ ก่อนมันจะดีดนิ้วลงกับหน้าผากผมดังเป๊าะ ...ไม่แดงเท่าไหร่แค่หน้าผากแดง

“ติณณ์!!”

“โอ๋ๆ ใครแกล้งข้าวเจ้าของติณณ์ครับ มามะเดี๋ยวติณณ์ปลอบให้นะครับ” ไอ้คนทำว่าหน้าชื่นมื่นให้ผมแยกเขี้ยวใส่ ติณณ์จับคางผมให้หันไปหาเจ้าตัวและจูบลงที่หน้าผากตรงรอยแดง ไล่ลงมาจมูกและแตะค้างที่ริมฝีปากเนิ่นนาน

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มือผมยกขึ้นคล้องคออีกฝ่าย เราปรับหน้าเอียงคอหาองศาเพื่อให้ริมฝีปากประกบกันอย่างแนบแน่น จากจูบอ่อนหวานเริ่มร้อนแรงขึ้นเมื่อลิ้นร้อนของอีกฝ่ายแตะไล้ตามริมฝีปาก ติณณ์กดจูบหนักๆ ลงบนปากก่อนผละห่างให้จมูกได้คลอเคลียกัน นิ้วมือของติณณ์ปาดหยาดน้ำที่มุมปากผมทิ้งและเมื่อเห็นผมเผยอปากหายใจ... ติณณ์ก็กดหน้าลงมาจูบและสอดลิ้นเข้ามาทันที สัมผัสของเรียวลิ้นที่หยอกล้อกัน เสียงจูบที่ก้องในหูและจูบที่ดูดดื่มทำให้ในหัวของผมแทบว่างเปล่า

หลังของผมแตะกับความนิ่มของที่นอน ติณณ์ขยับตัวมาทาบทับอยู่เหนือร่างโดยที่ริมฝีปากของเราแทบจะไม่ห่างกันสักวินาที...

แต่ก่อนที่จะอะไรๆ จะเลยเถิดไปมากกว่านี้... ประตูห้องนอนของติณณ์ก็ถูกเปิดขึ้น

“ติณณ์! ทำไมไม่โทรบอกแม่ว่ามาถึงวะ...”

ฝ่ามือของติณณ์ที่สอดเข้าใต้เนื้อผ้าจนเกือบถึงยอดอกและริมฝีปากที่ยังคลอเคลียกันไม่ห่างหลุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงนั้น ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจและหันไปตามต้นเสียงเช่นเดียวกับติณณ์

“แม่”

“นี่มันอะไรกัน”

ติณณ์ถอนหายใจหนักๆ ออกมา เบนสายตาจากคุณหญิงของบ้านที่ยังนิ่งค้างมาจัดเสื้อผ้าทรงผมของผมที่ยังคงตื่นตกใจอยู่ให้เรียบร้อย และมือดึงให้ผมไปตรงหน้าผู้มาใหม่

ผมยกมือไหว้แต่ได้รับสายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายกลับมา เบื้องหลังท่านมีคุณพ่อที่ยืนส่งยิ้มจางๆ ให้

“ติณณ์... นี่ลูก”

“แม่ครับ นี่ข้าวเจ้าคนรักของผมเองครับ”

Tbc.

――――――――――――――

มาแล้วค่าาา พาร์ทนี้กับพาร์ทหน้าพี่ข้าวยึดบทนะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นและการติดตามค่ะ ❤

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -20- 20|03|2561 P.3
«ตอบ #67 เมื่อ20-03-2018 01:45:42 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ลุ้น ๆ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -20- 20|03|2561 P.3
«ตอบ #68 เมื่อ21-03-2018 00:04:01 »

ผิดเวลาซะงั้น 555

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -20- 20|03|2561 P.3
«ตอบ #69 เมื่อ21-03-2018 07:28:04 »

 :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จีบนะครับ...รักผมที -20- 20|03|2561 P.3
« ตอบ #69 เมื่อ: 21-03-2018 07:28:04 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -20.5- 24|03|2561 P.3
«ตอบ #70 เมื่อ24-03-2018 23:03:12 »

จีบครั้งที่ยี่สิบจุดห้า
ข้าวเจ้า

“แม่ครับ นี่ข้าวเจ้าคนรักของผมเองครับ”


หลังจากที่ติณณ์เอ่ยประโยคนั้นออกไปทุกอย่างก็เหมือนถูกหยุดชะงัก ผมเบิกตากว้างหันไปมองติณณ์  เช่นเดียวกับที่หญิงสูงวัยตรงหน้าเบิกตากว้างมองลูกชายของตัวเองเขม็ง และพอคุณแม่ของติณณ์ได้สติท่านก็มองผมสลับกับติณณ์ เรียวคิ้วบนใบหน้านิ่งขมวดเข้าหากันก่อนจะแย้มยิ้มที่ต่อให้เด็กดูก็รู้ว่าฝืน

“ติณณ์ล้อแม่เล่นหรอ แม่ไม่สนุกหรอกด้วยนะ”

“ผมไม่ได้ล้อเล่นครับ นี่คนรักของผมจริงๆ เรารักกันครับ” ติณณ์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และตอกย้ำความจริงจังลงไปด้วยการโอบเอวผมและรั้งเข้าไปใกล้ๆ “ผมกับข้าว... เราคบกันได้จะครึ่งปีแล้วครับ ขอโทษที่ตอนนั้นผมโกหกแม่ว่ายังไม่มีแฟนนะครับ”

รอยยิ้มฝืนของคุณหญิงของบ้านเริ่มจางหายไปจากใบหน้าและแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงจนผมได้แต่ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง... อะไรมันจะละครขนาดนี้

“... ไปคุยกันข้างล่าง” ว่าจบคุณแม่ท่านก็เดินหุนหันออกไปทันที ส่วนคุณพ่อได้แต่ส่ายหัวให้และบอกว่าห้ามไม่ทัน ฝ่ามืออุ่นของผู้ใหญ่ตรงหน้าวางลงบนศีรษะผม และตบลงที่ไหล่คนตัวสูงข้างๆ ผมก่อนจะเดินตามคุณแม่ไป เหลือแต่ผมและติณณ์ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

“ผมลืมไปว่าห้องไม่ได้ล็อก”

“...ความประทับใจแรกพังไม่เป็นชิ้นดีเลย ฮะๆ” ผมพูดขึ้นขัดอีกฝ่ายพลางเอียงหัวไปซบกับต้นแขนของติณณ์ที่หันมองผมอยู่ก่อนแล้ว “คุณแม่ของติณณ์ไม่โอเคแน่เลย”

ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย... มีเพียงอ้อมกอดอุ่นๆ ของติณณ์ที่กอดผมเอาไว้และริมฝีปากที่กดลงมาบนกลุ่มผมย้ำๆ ที่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

และราวห้านาทีให้หลังติณณ์ก็พาผมลงไปข้างล่าง... ไปยังห้องรับแขกที่มีคุณพ่อและคุณแม่ของติณณ์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว บรรยากาศตรงหน้าน่าอึดอัดจนผมอยากจะก้าวถอยหลังไปตั้งหลักใหม่แต่ติณณ์ที่เดินนำหน้าเหมือนจะรู้ทันความคิดนั้นจึงหันกลับมาคว้ามือผมไปจับ กระตุกเบาๆ และพาไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับที่ผู้ใหญ่ทั้งสองนั่งอยู่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองและนั่งลงข้างติณณ์

“พรุ่งนี้หนูแพรวจะมาหา ติณณ์เตรียมต้อนรับน้องด้วย” แต่ทันทีที่หย่อนตัวลงนั่ง คุณแม่ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ให้พวกเราได้ชะงัก

หนูแพรว? คนที่เคยได้ยินชื่อตอนนั้นไม่ใช่หรอ?

“คงไม่ได้ครับแม่ ที่มาบ้านครั้งนี้เพราะผมจะพาแฟนมาให้แม่กับพ่อรู้จัก... อาจไม่สะดวกเท่าไหร่ถ้าผมไปดูแลคนอื่นและทิ้งให้แฟนผมอยู่คนเดียว”

ติณณ์ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังและเน้นคำว่าคนอื่นอย่างชัดเจนจนคุณแม่เผลอชักสีหน้าแต่ก็เปลี่ยนกลับเป็นหน้านิ่งๆ คืนในเวลาต่อมา ส่วนคุณพ่อเลิกคิ้วสูงและยิ้มออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น

“ในเมื่อผมมีแฟนอยู่แล้ว แม่ก็เลิกจับคู่ให้ผมเถอะครับ” ติณณ์ยื่นมือมาจับมือผมไปกุมไว้ “ผมกับข้าวเจ้าเรารักกันจริงๆ ครับ”

“แต่เด็กนี่มันผู้ชาย! แม่จะไม่ว่าอะไรเลยถ้าลูกจะคบผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายแบบนี้!” คุณแม่ตบมือลงบนโต๊ะเสียงดังลั่ง และตวาดเสียงดังจนผมได้แต่จิกมือลงกับหลังมือของติณณ์ ท่านปรายตามองมาทางผมและพูดต่อ “รักกับพวกผิดเพศอย่างนี้มันมีแต่เสื่อมเสีย! วิปริตกันไปแล้วหรือไง! แม่รับไม่ได้!”

ผมเผลอเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินอย่างนั้น ผิดเพศ? วิปริต? แค่คนที่เรารักไม่ได้เป็นเพศตรงข้ามนี่ถึงกับต้องว่าอย่างนี้เลยหรอ...

“ต่อให้ข้าวเจ้าเป็นผู้หญิง... แต่ถ้าแม่ไม่ชอบแม่ก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”

คุณหญิงของบ้านชะงักเมื่อได้ยินลูกชายตัวเองพูดอย่างนั้น

“ผมไม่ได้มาเพื่อให้แม่บอกว่ารับได้หรือไม่ได้ครับ ผมมาเพราะต้องการแนะนำว่าผมมีคนที่อยากให้ชีวิตด้วยแล้ว และต่อให้แม่ค้านแค่ไหนผมก็ไม่ปล่อยมือข้าวเจ้าแน่ๆ แล้วเสื่อมเสียที่แม่ว่า... หมายถึงชื่อเสียงหรือหน้าตาจองบ้านเราครับแม่” ติณณ์กระชับมือของเราที่จับกันไว้ให้แน่นขึ้น “อีกอย่างผมเป็นคนเริ่มจีบข้าวเจ้าก่อนครับเพราะถ้าเรื่องนี้จะมีคนผิด คนๆ นั้นควรเป็นผมไม่ใช่ข้าว... ก่อนหน้านี้ผมตามใจแม่มาตลอด ครั้งนี้ผมขอทำตามใจตัวเองบ้างนะครับ ถึงแม่ห้ามหรือจะหาผู้หญิงมาให้ผมสักแค่ไหนผมก็ไม่มีทางเลิกกับเขา”

ผมหลุบตาลงต่ำทันทีเมื่อได้ยิน ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ผมอาจจะหน้าแดงไปแล้ว...

“แต่!”

“ไหนแม่เคยบอกว่าก่อนที่จะมีผมแม่ไปอยู่กับคุณตาที่อิตาลีตั้งหลายปี... ที่นั่นก็มีคนรักร่วมเพศอย่างผมไม่ใช่หรือครับ”

“ติณณ์!! นี่ลูกกล้าเถียงแม่หรอ”

“ผมไม่ได้เถียงครับ ผมแค่อธิบายให้แม่ฟัง”

“นั่นสิ ผมยังไม่เห็นเลยว่าลูกเถียงคุณสักคำ” คุณพ่อที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นมาขัดคุณแม่ที่กำลังจะพูดอะไรต่อจนท่านชะงักและหันไปมองสามีของตัวเอง

“ผม... ผมรักติณณ์จริงๆ นะครับคุณแม่” ผมว่าด้วยเสียงแผ่วเบาแต่ก็เรียกความสนใจของอีกฝ่ายได้ดี ใบหน้าของผู้ชายอีกสองคนในห้องยกยิ้มหลังจบประโยคนั้น ผิดกับคุณแม่ที่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ผมอย่างไม่พอใจ

“ใครเป็นแม่เธอ?”

“แม่!”

“ฉันมีลูกชายคนเดียวและไม่ต้องการเพิ่ม ติณณ์พรุ่งนี้น้องน่าจะถึงบ้านเราสิบโมง เตรียมตัวด้วย” พอคุณแม่ท่านพูดจบ ท่านก็ทำท่าจะลุกออกไปทันที

“แม่ครับ!” ผมบีบมือของคนที่ขึ้นเสียงดังเพื่อปราบ พอติณณ์หันมาหาผมก็ส่ายหน้าห้ามและหันไปมองคุณแม่ของอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่ขยับไปไหน

“คุณแม่... คุณวิภาครับ” ผมเปลี่ยนคำเรียกทันทีเมื่ออีกฝ่ายตวัดสายตามามองอย่างไม่พอใจ ติณณ์ขมวดคิ้วหันมองผมด้วยสายตาที่อยากจะถามผมว่าคิดจะทำอะไร “อาจจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ผมขอถามคุณวิภาได้ไหมครับว่าการที่ผมกับติณณ์รักกันมันผิดตรงไหนครับ และคุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้จะทำให้ลูกชายคุณวิภามีความสุขจริงๆ”

คุณแม่ของติณณ์จ้องเขม็งเมื่อผมถามออกไปอย่างนั้น และตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ผู้ชายกับผู้ชายรักกันมันจะเป็นไปได้ยังไง” คุณหญิงของบ้านกดเสียงต่ำและหรี่ตามองผม “ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกชายฉันอยู่แล้ว”

“แล้วคุณภาถามลูกหรือยังว่าลูกเต็มใจไหม?” คุณพ่อที่นั่งเงียบเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มคล้ายจะถูกใจในคำถามผม “ผมว่านะคุณภา... สิ่งที่ดีสุดของคนเป็นพ่อแม่กับตัวของลูกมันไม่เหมือนกัน เราเจ้ากี้เจ้าการเขาได้ไม่ตลอดหรอกนะ”

“คุณวิเชียร!” ท่านหันไปหาคุณพ่อที่ยังคงยิ้มอย่างไม่สนใจอะไร “คุณยอมรับได้หรือไงที่ลูกชายเป็นพวกวิปริตผิดเพศอย่างนี้!”

“ได้สิ สำหรับผม ผมเคารพการตัดสินใจของลูกนะ อะไรที่ลูกเลือกว่าคือสิ่งที่ดีที่สุดมันก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าตัวแล้วล่ะคุณภา และถ้าวันไหนเขาเจ็บกับสิ่งที่ตัวเองเลือกขึ้นมาเราก็มีหน้าที่ปลอบไม่ใช่ตอกย้ำซ้ำเติม... และการที่จะรักใครชอบใครสักคนทำไมต้องแบ่งเพศด้วยล่ะคุณ” คุณพ่อหยุดพูดและหันมามองเรา “รักก็คือรักนี่ ใช่ไหมติณณ์ ใช่ไหมข้าวเจ้า”

“คุณวิช!!”

“หรือไม่จริงล่ะคุณภา”

จบประโยคจากเจ้าบ้าน คุณแม่ที่เหมือนจะค้านไม่ได้ก็สะบัดหน้าใส่คุณพ่อก่อนจะเดินไปอีกทางด้วยท่าทางหงุดหงิด คุณพ่อส่ายหัวน้อยๆ ให้กับท่าทางของคนที่เดินออกไปก่อนจะเงยมองพวกเราอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม

“ให้เวลาแม่เขาหน่อยนะ เล่นเข้าไปเจอฉากอย่างนั้นตั้งแต่แรกเลยคงมีมึนกันบ้าง นั่นลูกครึ่งก็จริงแต่เพราะถูกเลี้ยงแบบคนไทยแท้ๆ เลยรั้นไปเยอะเลยล่ะ ขนาดรู้ว่าหลานชายตัวเองคบกับผู้ชายยังทำหน้าบึ้งไปทั้งวันเหมือนเป็นลูกตัวเองเสียอย่างนั้น” คุณพ่อว่าพลางหัวเราะน้อยๆ ออกมาก่อนจะพูดต่อ “พรุ่งนี้ติณณ์ก็พาพี่เขาไปเที่ยว ข้าวเจ้าไม่เคยมาที่นี่ใช่ไหมล่ะ”

พอผมพยักหน้าท่านก็ยิ้มเอ็นดูออกมา กำลังจะอ้าปากถามเรื่องที่คุณแม่บอกว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาแต่เหมือนคนตรงหน้าล่วงรู้ความคิด “ไปเถอะๆ เดี๋ยวทางนี้พ่อจัดการเองไม่ต้องห่วง ไปพักเถอะไว้ตอนเย็นค่อยลงมาทานข้าวกัน”

“ขอบคุณครับพ่อ ป่ะพี่ข้าว”

ไม่ทันได้หันไปไหว้ขอบคุณคุณพ่อ ผมก็ถูกติณณ์ลากปลิวขึ้นห้องไปทันทีและเมื่อประตูห้องของติณณ์ปิดลงตัวของผมก็ถูกอีกฝ่ายรวบไปกอดจนจมอก

“สบายใจหรือยัง? หายเครียดหรือยังครับ คิดยังไงไปถามแม่อย่างนั้น หืมมม” เจ้าของริมฝีปากที่กดลงตรงขมับผมเอ่ยถามรัวจนผมหลุดยิ้ม “พาแฟนเข้าบ้านครั้งแรกก็เจอหนักเลย สงสัยจะได้พามาบ่อยๆ ซะแล้วมั้งเนี่ยจะได้คุ้นเคย”

ผมเงยมองคนพูดเสียงทะเล้น ยกมือหยิกเนื้อตรงเอวของติณณ์จนมันร้องโอดครวญ “ก็พอทำใจไว้แล้วแหละว่าต้องมาเจออย่างนี้... แต่อย่างน้อยก็ดีที่คุณพ่อรับเราได้”

“นี่... ผมขอโทษครับ” ติณณ์ว่าเสียงสลดและถอนหายใจออกมายาวๆ และกดหน้าลงกับไหล่ผม อีกฝ่ายเงียบนานจนผมยกมือโอบหลังคนตรงหน้า “คราวหลังผมจะระวังเรื่องกลอนประตูให้มากกว่านี้นะครับ”

เดี๋ยวนะ... ผิดประเด็นแล้วไหม!

รอยยิ้มที่มีก่อนหน้านี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยวใส่คนตรงหน้า ติณณ์หัวเราะออกมาร่าเมื่อผมขบกัดไหล่ของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว

ความเครียดที่มีตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านเริ่มจางหายไปจนเกือบหมด มาครั้งนี้ถ้าทำให้แม่ยอมรับได้สักนิดก็ยังได้...


มื้อเย็นมื้อแรกกับครอบครัวติณณ์เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะ... วุ่นวายไปสักหน่อย

นอกจากคุณแม่ที่ทำหน้าบึ้งตึงเพราะเห็นผมร่วมโต๊ะเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จาพออิ่มก็ลุกขึ้นห้องไปแล้ว ก็มีเฌอแตมกันเชอรีนที่เอาแต่คลุกคลีกับผม กับเฌอแตมที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วไม่ค่อยเท่าไหร่แต่กับเชอรีนที่เพิ่งเคยเจอหน้าแต่เจ้าตัวรู้จักผมจากน้องแตมบ้างแล้ว ทำให้ผมค่อยข้างจะเกร็งๆ ไปหน่อย

ตอนแรกก็ว่าชื่อเชอรีนมันคุ้นๆ หู แต่ใครจะไปนึกว่าลูกชายคนรองสุดท้องของลุงวัชเป็นนายแบบแนวยูนิเซ็กส์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้กันล่ะ...

“พี่ข้าวคะ ปิดเทอมครั้งหน้าพาหนูไปเที่ยวนะๆๆ”

“ปิดเทอมครั้งหน้าน้องแตมต้องสอบขึ้นม.หนึ่งไม่ใช่หรอ พี่ข้าวจะพาเราไปเที่ยวได้ยังไงครับ”

“พี่รีนเงียบบบบ ฉลาดๆ อย่างหนูสอบได้อยู่แล้ววว”

“ได้เชื้อหลงตัวเองจากใครมาครับเฌอแตม หืมม พี่ข้าวครับรู้ไหมว่าแตมมันเอาแต่พูดถึงพี่อย่างนั้นอย่างนี้ อุ๊บ”

“พี่รี๊นนนนนนนนนนนน”

ผมนั่งมองสองพี่น้องที่ทะเลาะกันอย่างสนิทสนมแล้วหัวเราะออกมา อันที่จริงผมก็มีน้องสาวนะแต่ก็ไม่ได้สนิทกับเจ้าตัวอย่างพี่น้องคู่ตรงหน้านี้ ติณณ์แอบกระซิบว่าเฌอแตมเป็นลูกหลงเลยห่างจากพี่ๆ เกือบสิบปี ที่บ้านของน้องเลยค่อนข้างจะเอ็นดูแตมเป็นพิเศษ

“แล้ว... แตมกับรีนจะปล่อยแฟนพี่ได้ยัง?” ติณณ์ว่าเสียงแข็งมองเจ้าของชื่อทั้งสองที่กอดแขนผมคนละข้าง แต่แทนที่จะปล่อยแขนผม ทั้งคู่กลับมองหน้ากันแล้วรัดแขนผมแน่นกว่าเดิมอย่างท้าทาย “เฌอแตม... เชอรีน...”

“ติณณ์จะอะไรกับน้องนักหนา รายนั้นนานๆ ทีได้เจอแต่เราได้เจอทุกวันนี่” คุณพ่อที่นั่งอยู่ไม่ไกลจุดรอยยิ้มที่มุมปาก “เห็นพี่วัชบอกว่าให้กุญแจห้องไปแต่ไม่ยอมไปนอนนี่?”

“ไม่อยากห่างจากแฟนนี่”

“แฟนหรือมากกว่านั้นครับลูกชาย ไม่ใช่ว่า----”

“ลุงวิช!! แตมยังอยู่ตรงนี้นะ!!!” เชอรีนแหวดเสียงขึ้นพร้อมๆ กับยื่นมือไปปิดหูน้องสาวตัวเองที่นั่งบนตักผม “แตมไม่ฟังนะครับ ไม่ฟัง”

คุณพ่อเลิกคิ้วสูงคล้ายเพิ่งจะนึกได้ว่ามีเด็กน้อยใสๆ อยู่ร่วมห้องด้วย พอท่านเห็นเฌอแตมทำหน้างุนงงก็หัวเราะออกมาดังลั่นพร้อมกับเอ่ยขอโทษหลานชายหลานสาว

“แล้วเมื่อไหร่จะปล่อยแฟนพี่สักที ข้าวเจ้าลุก”

“ไม่! พี่ข้าวของหนู”

“ของรีนด้วยๆ”

“ไอ้แตม! ไอ้รีน!”

ผมหัวเราะลั่นเมื่อเห็นติณณ์แยกเขี้ยวใส่สองพี่น้องที่ทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกรู้สากอดแขนผมไม่ยอมปล่อย แถมยังหันไปยักคิ้วกวนๆ ใส่ติณณ์อย่างผู้ชนะอีกต่างหาก

....ดูท่าว่าพรุ่งนี้คงมีคนไปเที่ยวด้วยแฮะ

Tbc.

―――――――――――

ตาไม่ฝาดค่ะ คราวนี้มีนมาก่อนเที่ยงคืน 555555555
ตอนแรกกะจะปัดเป็น21เลย แต่พอให้แฟนเช็คนางบอกว่ายังเป็นพาร์ทข้าวเอาเป็น20.5ดีกว่า ถถถถ  ใจจริงอยากให้ม่ากว่านี้แต่บิ้วอารมณ์ตัวเองไม่ได้ คือไม่รู้เป็นบ้าอะไรมีความสุขได้ทั้งวี่ทั้งวัน...
ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ เจอกันพาร์ทหน้าค่ะ จุ๊บ

ปล. ตัวละครใหม่เป็นลูกลุงวัชค่ะ บ้านนี้มีลูก4 คน เชอเบท เชอเบลล์ เชอรีน เฌอแตม แอบกระซิบว่าสองคนสุดท้ายนี่มีเรื่องแยกของตัวเองค่ะ แต่คงดองยาวๆ 5555555 (ของแตมเป็นGLที่แต่งให้น้องชายในวันเกิด ไหนๆ คิดชื่อแล้วเลยจับมาลงเรื่องนี้ด้วย ถถถถ)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -20.5- 24|03|2561 P.3
«ตอบ #71 เมื่อ25-03-2018 00:01:33 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -20.5- 24|03|2561 P.3
«ตอบ #72 เมื่อ25-03-2018 00:07:32 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -20.5- 24|03|2561 P.3
«ตอบ #73 เมื่อ26-03-2018 00:00:43 »

เป็นกำลังใจให้นะครับ,,,

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -21- 28|03|2561 P.3
«ตอบ #74 เมื่อ28-03-2018 00:13:48 »

จีบครั้งที่ยี่สิบเอ็ด

“พี่ข้าวครับ...อ้าว?”

ทันทีที่ออกจากห้องน้ำก็ต้องร้องอ้าวออกมาเมื่อเห็นคนที่ดื้อดึงบอกว่าจะรอนอนพร้อมกันชิงหลับไปก่อนแล้ว ผมเดินก้าวขาไปหาเจ้าชายนิทราที่ซุกในผ้าห่มหนาและกดจูบลงไปบนหน้าผากเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะเล่นกับสองพี่น้องนั่นมากหรือเพราะว่ายังเครียดกับเรื่องที่แม่ผมยังไม่ยอมรับแถมยังดูท่าว่าไม่พอใจในเจ้าตัวอีกกันแน่ถึงได้หลับสนิทขนาดที่ผมทั้งหอมทั้งจูบขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัวสักนิด

“อือออ”

เสียงครางคล้ายรำคาญดังขึ้นเมื่อหยดน้ำจากเส้นผมของผมตกกระทบใบหน้าคนหลับใหล ผมจุดรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาพร้อมกับปาดหยดน้ำนั้นออกจากใบหน้าข้าวเจ้าและเปลี่ยนทิศทางจากการกลั่นแกล้งคนรักไปยังตู้เสื้อผ้า แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นรูปที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง

รูปเจ้าปัญหาที่ข้าวเจ้ายืนจ้องมองตั้งนานสองนาน รูปคู่ของผมกับใครบางคนที่หลงลืมไปแล้ว... เธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนนี่ล่ะครับ เพื่อนจริงๆ ไม่ใช่รักแรกอย่างที่ผมโกหกข้าวเจ้าหรอก

ก็... ไม่ใช่สำหรับผมนะ แต่ใช่สำหรับเธอคนนั้น... ก็ไม่รู้หรอกว่าคำว่าเพื่อนมันเปลี่ยนไปตอนไหนสำหรับเธอ แต่ในสายตาผมเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและผมไม่เคยเห็นเป็นมากกว่านี้ ดีที่พอได้เปิดใจแล้วเธอเข้าใจก็เลยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ต่อ ส่วนเรื่องที่บอกข้าวเจ้าไปว่าจะพาไปรู้จักนั่นก็เรื่องจริง อยากพาไปให้เธอรู้จักว่าผมที่คนผมรักอยู่แล้ว

ผมแกะเอารูปในกรอบรูปออกมาเก็บไว้ในอัลบั้มคืนและแทนที่ด้วยรูปถ่ายของผมกับข้าวเจ้าตอนที่เราไปเที่ยวกันก่อนหน้านี้ จัดการแต่งตัว กดปิดไฟและแทรกตัวลงกับผ้าห่มผืนเดียวกับข้าวเจ้าดึงอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามาในอ้อมกอดและจมสู่ห้วงฝันดี

และความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีที่ผมตื่นนอน... นาฬิกาปลุกตอนตีห้ากว่าร้องลั่นให้รู้สึกตัว สาเหตุที่ผมตื่นเช้าเพราะคิดจะพาคนพี่ออกไปจากบ้านก่อนที่แม่จะตื่นขึ้นมารั้งไว้ แต่เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำ ไม่ทันได้แต่งตัวหรือปลุกข้าวเจ้าก็ได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ จนเจ้าชายขี้เซาลืมตาขึ้นมาพร้อมส่งสายตาดุๆ คล้ายจะให้ผมไปเปิดสักที และพอเปิดไปก็เห็นสองพี่น้องในชุดเตรียมเที่ยวเต็มยศยืนยิ้มกว้างอยู่

“จะไปไหนกัน?”

“ไปกับพี่ข้าวครับ” “หนูจะไปกับเที่ยวพี่ข้าววว”

“เดี๋ยวๆ ใครให้ไป?”

“ลุงวิช!”

แทบอยากจะกุมขมับกับสองพี่น้องตัวแสบและคุณพ่อสุดที่รักนี่มากเลยครับตอนนี้ ตัวแสบคนน้องอาศัยความเตี้ยมุดลอดแขนผมที่เท้ากับขอบประตูไปหาคนขี้เซาในห้องทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับตัวแสบคนพี่ที่หนีกรุงเทพฯ มาหาน้องสาวคนสุดท้องที่ยืนหน้าขึ้นสีและเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“พี่ติณณ์... ไปแต่งตัวเถอะครับถือว่ารีนขอ”

ผมก้มมองสภาพของตัวเองที่อยู่ในผ้าเช็ดตัวผืนเดียวไม่พอมันยังแถมด้วยรอยฟันบริเวณช่วงไหล่ และรอยเล็บประปรายที่คล้ายว่าเมื่อคืนผ่านศึกอะไรมาหนักหนา ทั้งที่จริงมันก็แค่ข้าวเจ้าคันฟันเลยงับๆ เล่นไปทั้งตัว (ความจริงคือผมไปกวนตีนเขาแล้วเจอกัดมาเต็มๆ) ผมยกมือยีผมยาวระต้นคอของนายแบบหนุ่มน้อยที่หน้าแดงจัดพลางหัวเราะหึแล้วเดินไปทางห้องแต่งตัว

นี่ลืมรสนิยมไอ้รีนได้ไงวะเรา...

“ปีนี้แตมจะขึ้นม.หนึ่งหรอ?”

“ค่ะ เปิดเทอมครั้งหน้าหนูก็ม.หนึ่งเต็มตัวแล้ว ส่วนพี่รีนก็ขึ้นปีหนึ่ง”

“หืมม รีนเรียนอะไรที่ไหนล่ะ ทั้งถ่ายแบบทั้งเรียนไปด้วยไม่เหนื่อยแย่หรอ ยิ่งใกล้จบม.หกแบบนี้ด้วย”

“ไม่หรอกครับพี่ข้าว รีนว่าจะไปมหาลัยเดียวกับพี่ติณณ์นั่นแหละครับ แล้วงานถ่ายแบบหลักๆ ก็มีแต่ของแบรนด์ของพี่เบทพี่เบลล์เขาล่ะครับ ส่วนงานอื่นๆ คุณแม่ต้องสกรีนให้รีนก่อนถึงจะรับ”

“แล้วอย่างนี้เวลาไปเรียนไม่มีปัญหาหรอ นายแบบดังอย่างนี้นี่”

“พี่ข้าวไม่ต้องห่วงหรอกครับ รีนแปลงร่างได้ ฮ่าๆ”

ผมยืนกอดอกพิงตู้เสื้อผ้ามองคนต่างวัยสามคนที่นั่งคุยกันหงุงหงิงอย่างสนุกนาน เชอรีนยกแว่นที่คล้องกับคอเสื้อไว้ขึ้นมาสวมแล้วขยี้หัวตัวเองให้ฟูๆ พอข้าวเจ้าเห็นอย่างนั้นก็เบิกตากว้างให้สองพี่น้องนั้นหัวเราะ ผมเหลือบมองเข็มสั้นของนาฬิกาที่ใกล้จะเข้าเลขหกไปทุกทีจึงตัดสินใจเอ่ยเรียกให้ข้าวเจ้าไปอาบน้ำ แต่กลับเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูห้องเปิดขึ้น

“....”

ทั้งสามพร้อมใจกับเงียบเสียงลงเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเปิดประตูเข้ามา สายตาของคนในห้องพุ่งไปยังบุคคลมาใหม่ด้วยท่าทางที่ต่างกัน ข้าวเจ้าเบิกตากว้างและหลุบตาลงในนาทีต่อมา ส่วนสองพี่น้องที่นั่งขนาบข้างข้าวเจ้าค่อยๆ ถดตัวลงจากเตียง

“ติณณ์ เดี๋ยวสิบโมงไปรับน้องแพรวให้แม่หน่อย เมื่อคืนแม่คุยกับป้าวารีแล้วแกบอกว่าน้องแพรวอยู่บ้านพอดี” แม่ที่อยู่ในชุดอยู่บ้านปรายตามองข้าวเจ้าที่สภาพเหมือนคนเพิ่งตื่น ก่อนจะตวัดสายตามามองผมและเอ่ยด้วยน้ำเสียงบังคับ

“ผมไม่ว่างครับ วันนี้ผมว่าจะพาข้าวเจ้ากับน้องๆ ไปเที่ยว” น้องๆ ที่ว่าพร้อมใจกันพยักหน้าหงึกหงัก “พรุ่งนี้ผมก็จะกลับกรุงเทพแล้วคงไม่มีเวลาเที่ยวมาก”

“ทำไมไม่อยู่นานกว่านี้หน่อยลูก”

“ข้าวเจ้าลางานมาแค่สองวันครับ”

“ก็ให้กลับเองสิ”

“แม่!”

“ไม่รู้ล่ะ ไปรับหนูแพรวให้แม่ด้วย”

ว่าจบแม่เดินออกจาห้องไปทันทีอย่างไม่ให้ผมได้เอ่ยขัดอะไร ผมถอนหายใจยาวๆ ออกมาพลางยกมือลูบหน้าอย่างปรับอารมณ์ตัวเอง แต่สัมผัสอุ่นที่แนบลงมาที่บริเวณแก้มทั้งสองข้างทำให้ผมลืมตาขึ้นมองเจ้าของมือนั่นที่ส่งยิ้มจางๆ มาให้

“ทำตามที่แม่บอกเถอะเดี๋ยวข้าวไปด้วยเอง ไว้มาครั้งหน้าค่อยพาข้าวเที่ยวก็ได้เนอะ ยังไงติณณ์ก็ไม่ได้พาข้าวมาบ้านแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวใช่ไหมล่ะ หืม”

“ครับ” ผมกดหน้ารับอย่างไม่คิดอะไรมากมายทันที

อ่า... ผมแพ้เวลาคนตรงหน้าแทนตัวด้วยชื่อจริงๆ


หลังจากที่ปล่อยให้ข้าวเจ้าไปอาบน้ำแต่งตัว สองพี่น้องที่อยู่ในเหตุการณ์หวานๆ อย่างผมกระชากตัวข้าวเจ้าที่ทำตัวน่ารักเกินไปเข้ามาจูบต่อหน้าต่อตาเด็กๆ จนได้รอยจูบและรอบตบมากประดับบนใบหน้าก็เข้ามาหาผม

“เจ็บป่ะ หูย เป็นรอยมือเลยอ่ะ” ว่าแล้วไอ้รีนก็จิ้มนิ้วมาที่รอยบนหน้าแรงๆ

“โว้ย! ไอ้รีนจิ้มมาได้นะมึงนะ”

“พี่ติณณ์ไม่พูดหยาบสิครับ”

แทบจะกลอกตาเป็นเลขแปดไทยเมื่อเจอน้องชายต่างสายเลือดที่ยกมือปิดหูน้องสาวตัวเองและติติงผมที่พูดคำหยาบออกไป

เออ ขอโทษที่กูหยาบโดยสันดานคงแก้ไม่หาย

“ใช่ไหม พี่ก็บอกติณณ์ตั้งหลายครั้งแล้วว่าให้ลบคำหยาบบ้าง” ข้าวเจ้าที่อยู่ในโทนฟ้าขาวเอ่ยขึ้นให้ผมได้กลอกตาจริงๆ

“ข้าวเจ้านั่นแหละพูดมากกว่าผมอีก พูดกับพี่หลงทีนี่แทบมาทั้งสวนสัตว์”

“พี่โตแล้วแยกแยะได้น่า” ข้าวเจ้ายักไหล่อย่างไม่สนอกสนใจอะไรกับที่โดนผมมองค้อนใส่เลยสักนิด

“เอาที่คนดีของติณณ์สบายใจเลยครับ”

พอจบการโต้วาทีเล็กๆ ระหว่างข้าวเจ้ากับผมโดยที่ข้าวเจ้าเป็นฝ่ายชนะไป พวกเราก็ย้ายตัวลงมากินข้าวเช้ากันตอนแปดโมงกว่าๆ พ่อที่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์เลิกคิ้วเชิงถามว่าทำไมยังอยู่เพราะเมื่อคืนผมบอกไปว่าจะพาข้าวเจ้าออกตั้งแต่เช้า แต่พอบุ้ยปากไปทางแม่ที่เมินผมกับข้าวเจ้าพ่อก็ร้องอ๋อออกมาทันที

กว่าจะกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็ปาไปเก้าโมงว่างๆ ผมก็ฉุดข้อมือข้าวเจ้าให้ลุกขึ้นทันที ไม่ต้องรอให้แม่บอกว่าให้ไปรับหนูแพรวอะไรนั่นตรงไหนเพราะเมื่อเช้าแม่บอกแล้วว่าเขาอยู่บ้านป้าวารี และผมรู้จักทางไปบ้านป้าวารีแกดี

“นั่นจะไปไหนกัน” น้ำเสียงนิ่งๆ ของแม่เอ่ยขัดเราสี่คนที่กำลังเดินไปทางประตูบ้าน สายตาของแม่มองที่มือของผมกับข้าวเจ้าที่กุมกันไว้ “แม่บอกให้ไปรับหนูแพรวมาบ้านไม่ใช่หรอ”

“ก็นี่จะไปรับหนูแพรวขอแม่ยังไงล่ะครับ ไปกันหมดนี่แหละ”

“แต่!”

“ก็แม่บอกให้ผมไปรับเขาผมก็ยอมไปตามที่แม่บอกแล้วไงครับ” ข้าวเจ้ากระตุกมือผมอย่างปรามๆ “ถ้าผมไปคนเดียวผมคงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ ที่ปล่อยให้แฟนอยู่คนเดียว เอาไปด้วยแหละดีแล้ว”

“เหอะ”

แม่สบถออกมาและสะบัดหน้าหนีผมที่หันไปมองหน้าข้าวเจ้า ผมเลยออกแรงจูงข้าวเจ้าให้เดินตามไปที่รถตัวเองโดยมีสองแสบเดินตามมาติดๆ

ขับรถออกมาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย บ้านของป้าวารีก็เป็นหมู่บ้านจัดสรรคล้ายๆ บ้านผมนี่แหละครับ เพียงแต่เป็นหมู่บ้านที่พื้นที่โดยรวมค่อนข้างใหญ่กว่าเล็กน้อย พอแลกบัตรกับยามหน้าหมู่บ้านเรียบร้อยผมก็ขับตามทางที่สมองจำได้จนมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง

และเหมือนแม่จะโทรมาบอกทางบ้านของป้าวารีไว้ก่อนแล้วว่าผมออกมาตอนไหน เพราะทันทีที่รถจอดหน้าบ้านของเขาผู้หญิงตัวเล็กผมลอนในชุดเดรสสีขาวก็เดินออกมาจากประตูบ้านพอดี

“เดี๋ยวผมลงไปก่อนนะครับ รอแปบนะ” ผมหันไปบอกข้าวเจ้าที่มองออกไปนอกกระจก ก่อนจะเอียงหน้าไปทางเด็กด้านหลัง “แตม รีนขยับหน่อย จะได้ให้พี่เขานั่งด้วย”

จัดการคนในรถเสร็จก็พอดีกับหนูแพรวของแม่เดินถึงประตูรั้ว ผมลงจากรถไปรับตามมารยาทที่ดี

“พี่ติณณ์สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ทำให้พี่ลำบากมารับแพรวนะคะ” คนตรงหน้าเอ่ยทักทายผมและพูดรัวอย่างสนิทชิดเชื้อ ผมที่จำไม่ได้ว่าเคยเจอเธอหรือเปล่าได้แต่ทักทายตอบกลับและพาเดินไปยังรถที่จอดอยู่ พอถึงตัวรถผมก็หันกลับไปหาเธอหมายจะบอกว่าให้เธอนั่งหลังเพราะมีคนมาด้วยแต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่เดินนำผมลิ่วๆ ไปเปิดประตูข้างคนขับเสียแล้ว

“พี่ติณณ์ไม่ต้องเปิดให้แพรวก็ได้ค่ะ แค่นี้ก็ลำบากพี่ติณณ์มากแล้ว... อ๊ะ” หนูแพรวของคุณแม่หันมาพูดพร้อมยิ้มหวานให้ผมโดยไม่ได้ดูว่าพอตัวเองเปิดประตูไปนั้นมีคนทำหน้าเหวอในท่าเท้าแขนกับอากาศเพราะประตูรถถูกเปิดอย่างกะทันหัน พอเธอหันไปเพื่อจะก้าวขึ้นรถก็ร้องอ๊ะขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นว่ามีคนประจำที่อยู่ ก่อนจะปิดประตูรถเสียงดังด้วยความตกใจจนผมสงสารคนในรถ

“เอ๊ะ? พี่ติณณ์คะ??”

เธอก้าวถอยหลังมาชิดผมและหันมาทำหน้าเหลอหลาใส่ผมที่กำลังกลั้นขำเต็มประดา ผมดันตัวเธอออกห่างเล็กน้อยและเดินไปเปิดประตูรถข้างที่เธอเพิ่งปิดไปเมื่อสักครู่นี้ ข้าวเจ้าที่กำลังลูบศอกและหัวของตัวเองปอยๆ หันมองผมด้วยตาที่คลอน้ำเพราะความเจ็บ โดยมีสองพี่น้องนั่นทำหน้ายักษ์ใส่ผม

“เจ็บมากไหมครับ”

“มาโดนเองไหมล่ะ!!”

คนพี่โวยวายแถมยังแยกเขี้ยวออกมาขู่ ผมยกมือปัดเส้นผมของข้าวเจ้าออกเพื่อดูรอยนูนแดงที่ขมับอีกฝ่ายและเป่าลมไปเบาๆ

“หายเจ็บนะครับคนดี”

เท่านั้นแหละครับ จากที่แดงแค่หัวกลายเป็นว่าตอนนี้ข้าวเจ้าแดงไปทั้งตัวเลย

“เอ่อ... พี่ติณณ์คะ”

“ครับ?” ผมหันไปหาบุคคลที่ถูกลืมเลือน หนูแพรวของแม่ทำหน้าเหมือนอยากจะถามอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกมา “พี่บอกไม่ทันว่ามีคนมาด้วย แพรวนั่งหลังกับน้องๆ นะครับ”

“เอ๊ะ ค่ะๆ ขอบคุณค่ะพี่ติณณ์”

ผมหัวเราะออกมากับท่าทางงกๆ งันๆ ของอีกฝ่ายก่อนจะเดินอ้อมรถไปขึ้นฝั่งคนขับ ตรวจสภาพแดงๆ ของข้าวเจ้าที่ยังแดงอยู่และบ่นครวญว่าเจ็บหัวก่อนจะขับกลับบ้านไปทันที ระหว่างทางกลับบ้านผมลอบมองหญิงสาวที่แม่คะยั้นคะยอ ให้ไปรับผ่านกระจกมองหลังก็เห็นแต่เธอเอาแต่มองกระจกด้านข้างอย่างไม่สนใจเสียงพูดคุยของสองพี่น้องในรถ

...เอาล่ะ มาดูกันว่าแม่จะมาไม้ไหน

Tbc.

――――――――――――――――――――

มาล่ะค่ะะะ คิดถึงเราไหมมม ตอนหน้ายังอยู่บ้านติณณ์อีกสักตอนก็ไทม์สคริปอีกรอบแล้วค่ะ
ถ้าสังเกตกันตั้งแต่ในตอนที่แล้วติณณ์จะเรียกข้าวเจ้าว่าพี่บ้างเรียกข้าวเจ้าเฉยๆ บ้าง ส่วนข้าวยังคงแทนตัวเองว่าพี่ ยกเว้นเวลาจะอ้อนหรือพูดให้ติณณ์คล้อยตาม (ถถถ+)

ปล. ใครอยากรู้ว่าในกลิ่นกาวน์ตอน24(หรือ 23นี่ละ) ข้าวเจ้าไปพูดไปแนะนำอะไรกับสีฝุ่นก็จะได้รู้ในเรื่องนี้ล่ะค่ะ แต่ตอนไหนนั้นก็คอยติดตามกันนน ถถถ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -21- 28|03|2561 P.3
«ตอบ #75 เมื่อ28-03-2018 00:29:53 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

อาคุงแม่ยังไม่เลิกเนอะ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -21- 28|03|2561 P.3
«ตอบ #76 เมื่อ29-03-2018 23:24:39 »

ก็ยังมาด้วยเนาะ ชะนีน้อย,,,

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
«ตอบ #77 เมื่อ31-03-2018 21:32:53 »

จีบครั้งที่ยี่สิบสอง

“หนูแพรว...เธอด้วย มาในครัวด้วยกันหน่อย”

ว่ากันตามจริงเลยนะครับ... ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้แม่กำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ชวนทั้งข้าวเจ้าของผมกับหนูแพรวของแม่เข้าครัวอย่างนั้น ทางหนูแพรวของแม่ผมไม่อะไรเท่าไหร่หรอกครับแต่ผมละโคตรจะห่วงคนของผมเลย ก็ตั้งแต่ที่อยู่ด้วยกันมาเกือบครึ่งปีเนี่ยผมไม่เคยเห็นข้าวเจ้าเข้าเขตครัวสักนิด ถ้าคนพี่ทำเองเต็มที่ก็มาม่าไม่ก็ต้องอาหารไมโครเวฟ...

ยิ่งตอนที่ได้เห็นหน้าซีดๆ ของข้าวเจ้าที่ถูกแม่เรียกไปนี่ทำเอาผมแทบจะเสนอตัวไปแทน ถ้าพี่มันไม่หันทำตาดุๆ ใส่ผมซะก่อน แล้วตอนนี้ผมได้แต่นั่งชะเง้อคอจนเกือบกลายเป็นยีราฟ ตาจ้องไปยังประตูครัวเปิดโล่งที่ได้ยินแต่เสียงพูดของแม่และคำรับแผ่วๆ ได้เกือบครึ่งชั่วโมงละครับ พอผมโผล่หน้าไปดูก็ถูกแม่กับป้าสายไล่ออกมาเลยไม่รู้สถานการณ์ข้างในนั้น

จำได้ว่าแม่เลยบอกว่าอยากได้สะใภ้ที่ทำอาหารเป็น... แต่ข้าวเจ้าเป็นผู้ชายไม่จำเป็นต้องทำเป็นก็ได้มั้ง ตัวแค่นี้ผมมีปัญญาเลี้ยงหรอกน่า

“เฮ้อ...”

“ถอนหายใจอีกแล้ว” พ่อที่นั่งดูข่าวอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นคล้ายเอือมระอาจนผมทำหน้ามุ่ยใส่ “ไว้ใจแฟนแกหน่อยสิ หนูข้าวอาจจะมีอะไรมากกว่าที่แกคิดนะ”

“แต่ผมไม่เคยเห็นข้าวเข้าครัวเลยนะพ่อ” พ่อเงียบ... และยกมือตบบ่าผมเบาๆ แค่นั้น “นี่พ่อ... แม่จะยอมรับข้าวเจ้าได้ไหมอ่ะ”

“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะรับได้แล้วแค่อยากกวนแก หรืออาจจะรับไม่ได้จริงๆ ก็ไม่รู้สิ” คำตอบของพ่อก็ไม่ได้ให้ผมคลายความเครียดได้สักเท่าไหร่ “ก็รอดูกันต่อไป แต่นั่นแฟนแกออกมาแล้ว”

สิ้นคำพูดของพ่อผมก็หันไปทางประตูครัวทันที เห็นแม่ที่ตีหน้ามุ่ยเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่างเดินนำออกมา ตามด้วยข้าวเจ้าในชุดผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ยิ้มหน้าระรื่นเคียงคู่มากับหนูแพรวของแม่ แต่สิ่งที่ทำให้คิ้วของผมขมวดเข้าหากันคือการที่ข้าวเจ้ากับแพรวคุยกันอย่างกระหนุงกระหนิงราวกับทั้งคู่สนิทกันมานานนม

“ว่าไงคุณ หน้าบูดมาเชียวนะ” พ่อเอ่ยแซวแม่ที่เดินมาทิ้งตัวลงกับโซฟาแรงๆ ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “จะแกล้งเขาแต่ผิดแผนหรือไง”

“เหอะ”

แกล้งเขาแต่ผิดแผนงั้นหรอ? ผมหันขวับมองแม่ทันทีเมื่อได้ยินพ่อพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ทันได้เห็นสีหน้าของแม่ข้าวเจ้าก็เดินเข้ามาหาผมเสียก่อน

และผมแทบจะลืมเลือนทุกสิ่งอย่างในหัวเมื่อได้เห็นความบางของผ้ากันเปื้อนที่อยู่บนตัวคนพี่ชัดๆ อ่า... อยากให้ข้าวเจ้าใส่แค่ตัวเดียวจัง

“ติณณ์ กินข้าวกัน” ข้าวเจ้าเอ่ยเรียกสติผม สองมือของอีกฝ่ายพยายามดึงมือผมให้ลุกขึ้น “ข้าวทำเองนะ ของโปรดติณณ์ด้วย”

ผมกระพริบตาถี่ๆ มองคนที่ทำท่าทางเขินอายแบบที่ผมไม่เคยเห็น พอหันมองพ่อกับแม่ก็เห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกับของทั้งคู่ พ่อมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับที่ใบหน้าในขณะที่แม่ปรายตามองข้าวเจ้าและสะบัดหน้าหนีไปทางแพรวที่ยืนยิ้มแห้งอยู่ไม่ไกล ข้าวเจ้าเอ่ยคำชวนซ้ำและออกแรงดึงมือผมเบาๆ ก่อนผมจะเดินตัวปลิวตามคนพี่ไปแบบงงๆ

ตกลงบ้านนี้นี่เล่นอะไรกัน...

ผมนั่งมองบรรดาอาหารบนโต๊ะสลับกับข้าวเจ้าและแพรว สองพี่น้องที่หนีขึ้นห้องไปตั้งแต่ข้าวเจ้าหายไปในครัวส่งเสียงร้องว้าวเมื่อได้เห็นความน่ากินอาหารตรงหน้า ตอนนี้บนโต๊ะมีเราห้าคนครับส่วนพ่อกับแม่ขอผ่าน

“ไม่ยักรู้ว่าข้าวเจ้าทำกับข้าวเป็น”

“ก็ไม่เคยถาม” ข้าวเจ้ายักไหล่ “ไม่ชอบเวลามีกลิ่นติดตัวก็เลยไม่ทำ อีกอย่างซื้อกินง่ายกว่า”

“หมดนี่พี่เจ้าตั้งใจทำเลยนะคะพี่ติณณ์” ผมหันไปหาแพรวที่ทำหน้าล้อเลียนข้าวเจ้าจนเจ้าตัวหันไปแยกเขี้ยวใส่ ตงิดใจที่อีกฝ่ายเรียกข้าวว่าพี่เจ้าแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป “แพรวเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังทำน่าทานไม่เท่าครึ่งของพี่เจ้าสักนิดเลย”

“แพรวก็ทำน่ากินนะ ติณณ์ชิม”

ข้าวเจ้าไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ถามข้อสงสัยทั้งหลายว่าญาติดีกับแพรวตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะทันทีที่ผมอ้าปากจะถามคนพี่ก็ยัดทอดมันใส่ปากผมพร้อมกับตวัดตาดุๆ ใส่ โดยมีเสียงหัวเราะของแพรวเป็นซาวด์ประกอบ

คนน่ารักมักใจร้าย...

“ตอนแรกแพรวก็ตกใจนะคะที่พี่เจ้าบอกว่าคบกับพี่ติณณ์ แต่มาดูอย่างนี้แล้วพี่ๆ น่ารักกันจัง” สาวน้อยตรงหน้าเอามือแนบแก้มตัวเองแล้วบิดตัวไปมาอย่างเขินอายให้ผมได้แต่นั่งนิ่งเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ “อ้อ เมื่อกี้พี่ติณณ์ไม่ได้อยู่ในครัวด้วยเลยไม่รู้เรื่องสินะคะ พอดีแพรวไปขอโทษพี่เจ้าที่ทำกิริยาไม่ดีใส่ตอนพี่ๆ มารับแพรว นั่นเพราะตอนนั้นแม่ของแพรวยืนมองอยู่ด้วยก็เลยต้องทำตามเรื่องตามราวของแม่หน่อย จริงๆ แพรวไม่โอเคกับการที่แม่จับคู่ให้กับคนนั้นคนนี้เลยยื่นข้อตกลงว่าจะยอมแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”

“เดี๋ยวๆ แล้วตกลงข้าวเจ้าไปบอกอะไรตอนไหนครับ” ผมพูดขัดคนที่กำลังเพลินกับการเล่าเรื่อง หันมองข้าวเจ้าที่นั่งกอดอกยิ้มกริ่ม

“ฟังต่อดิ”

“อ่ะแฮ่ม แพรวพูดต่อนะคะ” ผมพยักหน้าให้สาวเจ้า “คือแพรวเรียนคณะมนุษย์แล้วเพื่อนในเอกเขาเป็นแบบพวกพี่เยอะเลยพอจะดูออกบ้าง ยิ่งได้เห็นสายตาห่วงๆ ของพี่ติณณ์ที่มองพี่เจ้าตอนป้าภาชวนเข้าครัวแพรวเลยมั่นใจกว่าน่าจะใช่ เลยตัดสินใจถามพี่เจ้าหน้าด้านๆ นี่แหละค่ะ”

“แพรวไม่รังเกียจพวกพี่หรอก”

“หูย ถ้ารังเกียจแพรวก็อยู่ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพื่อนแพรวแมนๆ เห็นตั้งแต่ประถมยังมีผัวเลย อุ๊บ แฮะๆ หลุดไปหน่อย” แพรวยกมือปิดหน้าอย่างเขินๆ “พอได้คุยกับพี่เจ้าดันเข้าขาได้ดีจนคุณป้างอนเลย”

โอเค... ผมได้คำตอบแล้วว่าทำไมแม่ถึงทำหน้าบูดหน้างอออกมาอย่างนั้น ที่แท้ว่าที่ลูกสะใภ้ที่ตัวเองหมายปองกับที่รักของผมเข้าขากันได้ดีนี่เอง

“อีกอย่างนะคะ สเปคแพรวไม่อยากได้ตัวใหญ่เป็นยักษ์แบบพี่ติณณ์หรอกค่ะ เอาพอดีๆ แบบพี่ข้าวดีกว่า”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็รวบคนข้างๆ เข้ามากอดอย่างแสดงความเป็นเจ้าของทันที

“นี่แฟนพี่นะ”

“ฮ่าๆๆ”

หัวเราะกันเข้าไปสิครับ ไม่เคยเห็นคนหวงแฟนหรือไง

พอได้คุยถึงรู้ว่าแพรวเป็นคนเฟรนลี่กว่าที่คิดเยอะ และเป็นคนจริงด้วย เพราะหลังจากที่เราจัดการมือเที่ยงที่มีเชฟเป็นข้าวเจ้าและแพรวเสร็จ เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาแม่ตัวเองและบอกว่า คนที่แม่หาให้อย่างผมมีแฟนอยู่แล้ว และตัวเองทำตามข้อตกลงแล้วแม่จะมาหาคู่ให้ไม่ได้อีก หนำซ้ำยังลากข้าวเจ้าไปคุยกับแม่ในห้องซึ่งในส่วนนี้ผมไม่รู้ว่าเขาไปคุยอะไรกันแต่พอออกมาแม่ก็เชิดหน้าใส่ผมและบอกแค่ว่า ‘อยากทำอะไรก็ทำ’

เอาเป็นว่าบทจะง่ายก็ง่ายจนผมตามไม่ทันเลยทีเดียว...

หลังจากที่เราไปส่งน้องสาวคนใหม่ของข้าวเจ้า ตั้งใจว่าถ้าถึงบ้านจะคุยไปกับแม่เรื่องของข้าวเจ้าแต่ก็ต้องเก้อเพราะเมื่อถึงบ้านแม่ขึ้นห้องนอนไปแล้ว นี่ยังไม่สามทุ่มเลยด้วยนะ... ไอ้จะถามพ่อพ่อก็คงไม่รู้เหมือนกันเลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยอย่างข้าวเจ้า

ผมนอนรอคนพี่อาบน้ำเสร็จ และพอเป้าหมายมาถึงระยะสายตาก็ฉุดลงมากอดทันที

“โว๊ย!”

“นี่... จะไม่บอกผมหน่อยหรอครับว่าคุยอะไรกับแม่บ้าง” ผมกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดคนโวยวายอยู่ พอพี่ข้าวได้ยินคำถามก็เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนตอบออกมา

“ไม่”

“น่าที่รัก สักนิดก็ได้ครับ”

“ไม่มีอะไรมากหรอกน่า รู้แค่แม่ของติณณ์ไฟเขียวแล้วก็พอแล้วไม่ดีหรือไง”

ผมยู่ปากใส่ข้าวเจ้าจนคนพี่หัวเราะคิกคัก จะก้มไปหมายจะฟัดแก้ม ฟัดคอคนอมพะนำทำหน้ากรุ่มกริ่มให้หายมันเขี้ยวแต่ก็ถูกคนรู้ทันยกมือมาตะปบแก้มผมทั้งสองข้าวอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ และไม่พอแค่นั้นเมื่อข้าวออกแรงยืดแก้มที่ค่อยไม่มีของผมอย่างสนุกสนานราวกับมันเป็นมาชเมลโล่ก็ไม่ปาน

“เอ็บ อ่อย”

“ขอบคุณนะ”

“หือ” ผมมองคนที่เคยคำขอบคุณออกมาอย่างลอยๆ สองมือของข้าวเจ้าที่หยิกแก้มผมเปลี่ยนเป็นโอบรอบคอผมและกดจมูกลงกับแก้มผมเร็วๆ

“ไม่มีอะไร ข้าวง่วงแล้วนอนกันๆ คร่อกฟี้”

สุดท้ายผมก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมเลย... แต่ก็ช่างมันแล้วกันตอนนี้ขอลักหลับคนก่อนดีกว่า


ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยเสียงเคาะประตูอันดังลั่นพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของเชอรีน พอเปิดไปคุยก็เจอน้องชายต่างสายเลือดยืนทำหน้าบึ้งอยู่หน้าห้อง

“พี่ติณณ์กลับกรุงเทพวันนี้ใช่ไหม เดี๋ยวรีนกลับด้วยนะ”

“หืม ทำไมอ่ะ”

“พี่เบทอ่ะดิบอกว่าจะให้รีนไปถ่ายแก้เพราะรูปไม่ถูกใจ รีนบอกให้รอเปิดเทอมพี่เบทก็ไม่ยอม” รีนบ่นอุบ “นะๆ รีนกลับด้วย”

เผลอกลอกตาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงความเรื่องมากระดับสิบของลูกสาวคนโตของลุงวัช นี่เคยหลวมตัวไปถ่ายแบบคู่ไอ้เด็กตรงหน้าสมัยโครงหน้ามันยังหวานไม่ออกหนุ่มแบบนี้แค่ครั้งเดียวกว่าจะได้ถูกใจพี่มันก็ถ่ายซ่อมหลายวันอยู่

“โอเค พี่บอกข้าวเจ้าก่อน เราก็ไปบอกแตมด้วยเดี๋ยวน้องตื่นมาไม่เห็นเราแล้วนะงอแง ล้อหมุนเที่ยงตรงนะ”

เชอรีนพยักหน้าหงึกหงักแล้ววิ่งไปที่ห้องของน้องสาวตัวเอง พอผมหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องก็เจอข้าวเจ้านั่งทำหน้ามุ่ยมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเลิกคิ้วใส่อีกฝ่ายที่เอาแต่มองตามผมโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาจนสุดท้ายผมก็เป็นคนที่ต้องเอ่ยปากเอง

“มีอะไรครับ? มองผมเขม็งเลย”

“เมื่อกี้ออกไปด้วยสภาพนั้นอ่ะนะ”

ผมก้มมองสภาพตัวเองเล็กน้อย บนร่างกายมีเพียงกางเกงนอนขายาวตัวเดียวเกาะอยู่ช่วงสะโพกอย่างหมิ่นเหม่ อ่า... เราจะไม่พูดถึงรอยเล็บที่อกกับไหล่ผมกันครับนะ

“ก็... ครับ ไม่มีอะไรแปลกไปนี่ครับ แค่รอยเล็บที่ข้าวเจ้าฝากไว้เอง”

“ไอ้ติณณ์เงียบ!!”

หลังจากกวนฝ่าเท้าคนพี่พอหอมปากหอมคอก็ได้ฤกษ์อาบน้ำ อันที่จริงรอยบนตัวผมมันก็ไม่ได้มาจากอะไรติดเรทหรอกครับ ถูกแมวที่ชื่อข้าวเจ้าข่วนเอาเพราะไปกวนตอนหลับก็เท่านั้นเอง ผมอาศัยช่วงที่คนพี่ยังอาบน้ำอยู่ลงมาหาแม่ที่นั่งอยู่ห้องรับแขก อยากจะรู้เรื่องที่เขาคุยกับเมื่อวานให้ได้ไงครับ

“แม่ครับ”

“อ้าวติณณ์” แม่วางแก้วชาสีใสที่ถืออยู่ลงและหันมามองผม “รีนบอกหรือยังว่าจะกลับด้วย?”

“บอกแล้วครับ ว่าแต่เมื่อวานแพรวคุยอะไรกับแม่ครับแม่ถึงบอกผมอยากนั้น” แม่ปรายตามองผมเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ

“เด็กนั่นไม่ได้เล่า?” พอแม่เห็นผมสั่นหน้าปฏิเสธ ท่านก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งและตบมือลงกับเบาะข้างๆ “งั้นมานั่งนี่”

ผมทิ้งตัวลงข้างแม่ทันที แม่ยิ้มน้อยๆ ให้ผมแล้วดึงมือผมไปกุมไว้

“แม่ยอมรับนะว่าตอนนี้แม่ก็ยังรับไม่ได้ที่ลูกของแม่คบกับผู้ชาย แต่ที่หนูแพรวมาพูดกับแม่เมื่อวานทำให้แม่คิดได้ว่าแม่ก็เคยผ่านจุดที่ถูกผู้ใหญ่ยัดเยียดจับคู่ให้ด้วยความไม่พอใจแต่สุดท้ายแม่ก็รักพ่อของลูกจนกระทั่งมีติณณ์นี่แหละ” แม่เว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “หนูแพรวบอกว่าอยากให้แม่ลองเปิดใจให้กับคนที่ลูกของตัวเองเลือกบ้างเพราะยังไงชีวิตของลูกก็คือของลูก ถ้าเขาเจ็บในสิ่งที่ตัวเองเลือกจะได้รู้ว่ามันเจ็บยังไงไม่ใช่ไปห้ามตั้งแต่เริ่ม คำพูดของหนูแพรวทำเอาซะแม่หน้าเลยล่ะ พวกลูกรักกันจริงๆ ใช่ไหมไม่ใช่จ้างเด็กนั่นมาหลอกแม่เพราะไม่อยากให้แม่จับคู่ให้”

“ผมรักข้าวเจ้าจริงๆ ครับ”

“เฮ้อ เสียงหนักแน่นเชียวนะ แต่ก็อย่างที่แม่บอกนั่นแหละ ติณณ์อยากทำอะไรก็ทำ จากที่พาเด็กนั่นเข้าครัวก็น่าจะดูแลติณณ์ดีอยู่ รู้ของชอบของเราเกือบหมดเลย... แม่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าแม่จะยอมรับที่ลูกคบผู้ชายง่ายนะไม่ต้องมายิ้มระรื่นเลย”

“โอ๊ยแม่เจ็บๆๆ”

ผมหลุดเสียงร้องออกมาเมื่อแม่ยกมือมาหยิกแก้มผมแรงๆ คล้ายมันเขี้ยวก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบโครงหน้าผมเบาๆ จับให้ผมสบตากับนัยน์ตาสีเดียวกันของคนตรงหน้า

“พอได้ฟังพี่วัชยืนยันว่าเด็กนั่นดีอย่างนั้นอย่างนี้ทำซะแม่เป็นตัวร้ายเลยแฮะ เอาเถอะๆ แม่จะพยายามเข้าใจเราแล้วกัน โลกมันหมุนไปข้างหน้าทุกวันแม่ก็ต้องตามโลกให้ทันสินะ”

ประโยคหลังคล้ายว่าแม่จะเปรยกับตัวเอง ผมรวบแม่เข้ามากอดและหอมแก้มของแม่ฟอดใหญ่จนหยุดหญิงโวยวายให้พอ ก่อนผมจะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นและยกมือกราบลงที่ตักแม่

“ขอบคุณนะครับแม่ เดี๋ยวผมจะพาแฟนผมมาหาบ่อยนะๆ”

“ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกันล่ะ”

และแล้วก็ได้เวลากลับบ้านหลังน้อยของเราบนชั้น14 ล่ำลาพ่อแม่กับน้องเล็กอย่างแตมเสร็จก็ได้เวลาเคลื่อนทัพ ผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนหลับคอหักคอห้อยตั้งแต่พ้นตัวเมืองไม่ถึงสิบนาที ผมเหลือบมองข้าวเจ้าที่เอาแต่จ้วงขนมไม่ยอมพูดยอมคุยก็ได้แต่ยกยิ้ม รายนี้ก็เขินตั้งแต่อยู่บ้านเพราะได้ยินผมบอกรักเจ้าตัวให้แม่ฟังพอดี

...เห็นแล้วก็อยากทำให้แดงไปทั้งตัวจริงๆ


แถม


“รักข้าวนะ” เจ้าของชื่อชะงักไปเล็กน้อยเมื่อผมเอ่ยขึ้นมา ใบหน้าขาวๆ ของอีกฝ่ายเริ่มมีสีแดงแต้ม และเริ่มแดงลงไปคออย่างที่ผมอยากเห็น “ติณณ์รักข้าวเจ้านะ”

“อื้อ”

“บอกรักผมมั่งดิ”

“ไม่เอา”

“อ่ะเขินเด้ เขินเด้” ผมหันไปจิ้มแก้มแดงก่ำของคนข้างๆ อย่างหยอกล้อ “อ่า... อยากกินข้าวจัง อยากทำให้ข้าวเป็นของติณณ์”

“ไอ้ติณณ์!”

“...พี่ติณณ์ครับ พูดอะไรเกรงใจเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะหน่อยครับ”

“ทำไมต้องเกรงใจคนไม่เวอจิ้นด้วย?”

“พี่ติณณ์ครับ!!”

“แกล้งน้อง”

เพี้ยะ!

รถเป๋ไปเล็กน้อยเพราะพี่ข้าวฟาดมือลงมาพี่แขนผมเต็มแรงโทษฐานที่พูดแกล้งน้อง จริงๆ ผมก็ว่าไปนั่นอย่างนั้นแหละ ไอ้เด็กนี่หวงตัวจะตายไป

เอาล่ะ กลับบ้านเราดีกว่า

Tbc.

―――――――――――

กำลังจะลงนิยายแล้วเม้าส์ตายคามือ... ร้องไห้
ละใช้แพทไม่ถนัดมืออีก; x ;

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
«ตอบ #78 เมื่อ31-03-2018 22:30:09 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
«ตอบ #79 เมื่อ31-03-2018 22:49:57 »

 :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
« ตอบ #79 เมื่อ: 31-03-2018 22:49:57 »





ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
«ตอบ #80 เมื่อ02-04-2018 00:35:56 »

ผ่านด่านบ้านติณณ์แล้ว. ทีนี้บ้านข้าวละ??

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
«ตอบ #81 เมื่อ02-04-2018 12:38:24 »

ในที้สุดคุณแม่ก็ยอมรับซะที
 o13

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -23- 03|04|2561 P.3
«ตอบ #82 เมื่อ03-04-2018 19:36:26 »

จีบครั้งที่ยี่สิบสาม


“ข้าวมันดื้อกับเราบ้างไหม”

“ไม่นี่ครับน้าชาย” ผมตอบออกไปด้วยเสียงหนักแน่น ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งให้บุคคลที่มีศักดิ์เป็นน้าของข้าวเจ้าและเป็นเจ้าของค่ายมวยที่ผมกำลังอยู่ตอนนี้ที่หรี่ตามองผมราวกับจะคาดคั้นความจริง “ก็... ส่วนมากมีแต่มีแต่ผมนี่แหละครับที่ดื้อกับข้าว”

น้าชายหัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยินคำตอบ และทอดสายตามองไปยังหลายชายตัวเองที่กำลังออกหมัดอยู่บนสังเวียน “ดีแล้วๆ จะว่าไปนี่เราคบกับข้าวมานานแค่ไหนแล้วนะ”

“ถ้าไม่นับช่วงผมหายไปก็เกือบครึ่งปีแล้วครับ” ผมตอบ “ถ้านับรวมด้วยก็จะเข้าเดือนที่เก้าแล้ว ไม่รู้ว่าข้าวเจ้าจะนับตอบไหน”

แอบยกยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกได้ว่าถ้านับตั้งแต่เจอกันตอนที่ยังเป็นคนแปลกหน้าเมื่อตอนนั้น ผมก็รู้จักพี่ข้าวมาปีกว่าๆ แล้ว คบกับมาเก้าเดือนนี่ถ้าข้าวเป็นผู้หญิงคงก็ท้องจนคลอดแล้วมั้ง แต่นั่นก็แค่เปรียบเปรยแหละครับ จะชายจะหญิงถ้าเป็นข้าวเจ้าคนนี้อยู่ด้วยผมก็มีความสุขแบบฉิบหายแล้ว

อยากรักษาความสุขนี้ให้อยู่ตลอดไปจัง...

ตุ๊บ

“พี่ติณณ์~~”

เหตุการณ์คุ้นๆ นะครับ... เหมือนเคยเกิดมาแล้ว

ผมที่กำลังล่องลอยไปกับความคิดสดใจในทุ่งดอกไม้ก้มมองเจ้าของเสียงที่ถลาตัวมากอดเอวผม ถอนหายใจหนักๆ ออกมาจนน้าชายที่นั่งข้างๆ หัวเราะ ก่อนน้าแกจะจับเอาปกคอเสื้อด้านหลังของสิ่งมีชีวิตที่กอดผมอยู่รั้งให้ออกห่างตัวผม

“นามาอะไร?”

“โธ่น้า นี่ค่ายมวยบ้านเราป่ะนาอยากมาก็มาได้ดิไม่ใช่พี่ข้าวคนเดียวสักหน่อยที่มาได้”

“เถียงคำไม่ตกฝากแบบนี้เอ็งได้ใครมาวะไอ้นา!!”

“ได้น้าชายไงคะ อิอิ อ๊ายยย พี่ติณณ์น้าชายตี น้าจะตีนาแล้วววว”

ได้แต่ทำตาปริบๆ เมื่อทุ่งนา น้องสาวแท้ๆ ของพี่ข้างที่รุ่นราวคราวเดียวกับเชอรีนวิ่งมาซ่อนอยู่หลังผมเพราะเจ้าตัวก่อกวนน้าชายของตัวเอง พอน้าชายเห็นว่าหลานสาวจอมแก่นของตัวเองมาซุกๆ อยู่หลังผมแกก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินหายไปหาข้าวเจ้าที่ลงมานั่งพักอยู่ข้าวเวทีแล้ว

“น้าชายใจร้ายเนอะ” นายู่ปากใส่แผ่นหลังของน้าตัวเอง แต่ก็ยิ้มกลายเป็นยิ้มแหยเมื่อน้าชายหันมาชี้หน้าเจ้าตัว “พี่ติณณ์ๆ นาถามอะไรหน่อยดิ”

“ว่าไง ถ้าการบ้านพี่ไม่ช่วยนะ”

“โธ่ววว ไม่ใช่การบ้านน่า” น้องสาวของคนรักทำหน้าเหมือนคนถูกขัดใจ ทุ่งนาหันมองพี่ชายตัวเองที่ปีนขึ้นเวทีอีกครั้งด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ และหันมาลากเสียงยาวๆ ใส่ผม “คือ....”

และคำว่าคือของน้องแกก็หายไปเลยครับ เหลือแต่ความเงียบจนผมต้องเอ่ยปาก “คืออะไร นับหนึ่งถึงสามไม่พูดพี่จะไปหาข้าวแล้วนะ หนึ่---”

“พี่ติณณ์กับพี่ข้าวได้กันยังอ่ะ!!”

“เหี้ย!!”

“เฮ้ยข้าว!!”

ทุ่งนาถามออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น เอาจริงๆ ก็รู้นะครับว่าว่าน้องสายพี่ข้าวเนี่ยเป็นสาววายแต่ไม่นึกว่าจะถามออกมาตรงๆ แบบนี้ แล้วตอนที่น้องตะโกนออกมานั้นเป็นจังหวะที่คนในค่ายพร้อมใจกันเงียบเสียงเพราะตอนนี้บนเวทีมีร่างของเจ้าของค่ายกันหลายชายกำลังเตรียมชกกัน ข้าวเจ้าที่ได้ยินคำถามนั้นก็ทำหน้าเหวอหันมาทางเราและสบถหยาบออกมา แต่นั่นทำให้เจ้าตัวพลาดท่าถูกน้าชายชกเข้าซีกหน้าเต็มๆ จนเสียหลักล้มลงกับพื้นเวทีอย่างแรง

เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาและเมื่อผมเห็นข้าวเจ้าล้มลงไปต่อหน้าต่อตาผมรีบลุกขึ้นอย่างอัตโนมัติ ก้าวขายาวๆ ไปหาคนที่ยันตัวเองขึ้นมานั่งกุมหัว และสะบัดคล้ายยังมึนๆ

“โอเคไหมข้าว”

“ไหวน้าไหว มึนนิดหน่อย”

“ไอ้ข้าว... เลือดมึง”

สมงสมองไม่รับรู้อะไรแล้วครับตอนนี้ เพราะพอได้ยินคำว่าเลือดจากปากของนักมวยร่วมค่ายและเห็นน้ำสีแดงที่ไหลออกมาจากข้างขมับผมก็ปีนขึ้นไปช้อนตัวข้าวเจ้าที่ยังคงนั่งมึนอยู่บนเวทีขึ้นอย่างไม่กลัวว่าข้าวจะโวยวาย และเดินไปยังรถที่จอดอยู่หน้าค่ายทันที

เมื่อถึงโรงบาลคนเก่งของผมก็โดนผมสั่งเช็คทุกอย่างโดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่จะเอ่ยท้วงเพราะยัง นอกจากแผลที่หางคิ้วที่เย็บไปตั้งห้าเข็มก็ไม่มีอะไรน่าห่วงมากมาย ผมยืนฟังสรรพคุณของยาจากพยาลสลับกับข้าวเจ้าที่หน้าซีดเผือกตั้งแต่หมอเย็บแผลให้ และเมื่อเจ้าตัวเห็นผมเดินเข้าไปหาพร้อมกับถุงยาในมือข้าวเจ้าก็โผหาผมทันที...

ขวัญเสียหมดแล้วคนเก่งของผม

“เจ็บมากไหมครับ”

“ข้าวเจ็บอ่ะ...“

ผมระบายยิ้มมองคนเจ็บที่ยังกอดรอบเอวผมอย่างไม่อายชาวบ้านชาวช่องที่นั่งอยู่ในโรงพยาบาล ผมยกมือลูบเส้นผมคนเจ็บอย่างเบามือและพาจูงกลับไปที่รถ ระหว่างทางที่เราขับกลับไปค่ายมวยข้าวเจ้าก็รับโทรศัพท์จากคนที่ค่ายมือเป็นระวิงเลย ก็ตอนพามาโรงพยาบาลผมมัวแต่ห่วงข้าวเลยลืมโรศัพท์ไว้บนรถ กลับมาอีกทีมีสายไม่ได้รับเกือบๆ สามสิบสายได้เลยล่ะ

และพอมาถึงค่ายมวยอีกรอบ คนแรกที่เราเจอเลยก็คือทุ่งนาที่ยืนตาแดงก่ำและพุ่งเข้ามาขอโทษผมกับข้าวเจ้ารัวๆ เมื่อเจ้าตัวเห็นผ้าก็อตที่ปิดแผลกับหน้าซีดๆ ไร้สีของข้าวเจ้าเท่านั้นแหละครับน้ำท่วมทุ่งนาเลย... และเป็นเจ้าของค่ายมวยที่มาแยกสองพี่น้องที่ยืนร้องไห้เป็นเต่าเผาด้วยการไล่ทั้งข้าวทั้งนากลับบ้าน แกหันไปดุนาที่ถามอะไรไม่รู้เรื่องและหันมากำชับให้ผมดูแลข้าวดีๆ อีก

“ไม่ต้องบอกผมก็ทำอยู่แล้วครับน้าชาย” เพราะตอบไปอย่างนั้นเลยเจอหมัดน้าชายกระทบหลังเบาๆ อย่างแรง...


“นี่ติณณ์ต้องเบาเพี้ยงๆ ให้ด้วยไหม”  ผมถามแกมหยอกข้าวเจ้าหลังจากที่เจ้าตัวอ้อนให้ดูแผลให้ แผลเล็กๆ แต่เย็บตั้งหลายเข็มนี้ทำให้ข้าวเจ้าหงอยไปเลยล่ะครับ

เห็นคนหงอยแปลกตาแล้วก็มันเขี้ยวอยากฟัดให้โวยวาย... คิดได้อย่างนั้นปุ๊บผมก็กดจูบลงกับหัวเหม่งของคนเจ็บหนักๆ ทันที จนอีกฝ่ายโวยวายเพราะเขินแล้วเด้งตัวไปหยิบกระจกขึ้นมาส่องหน้า

“งื้อ ติณณณณณ์ ข้าวเจ็บ... เมื่อไหร่จะหายอ่า” หลุดยิ้มขำเมื่อคนงอแงที่เอาแต่ส่องกระจกดูรอยเย็บเหนือหางคิ้ว “จะเป็นแผลเป็นไหมเนี่ย...”

“พอตัดไหมออกก็ขยันทายาที่พี่หลงซื้อให้สิครับจะได้ไม่เป็นแผลเป็น” ผมตอบพร้อมชูหลอดยาให้คนพี่ เมื่อหัวค่ำพี่ทศกับพี่หลงมาเยี่ยมคนป่วยครับเพราะสองวันนี้มาข้าวเจ้าระบบแผลแล้วไข้ขึ้นผมเลยห้ามข้าวเจ้าไปทำงานและพาคนดื้อไปหาหมอสุดท้ายก็ได้ยามาอีกชุดเนื่องจากแผลอักเสบ มาวันนี้ไข้พอลดลงมาบ้างก็มางอแงกับผมนี่แหละครับ

พูดถึงสองคนนี้แล้วสงสารพี่ทศครับ จีบพี่หลงมานานแต่ยังไม่สำเร็จสักทีแต่รู้ถึงว่าคุณๆ เขาจะเล่นกีฬาบนเตียงกันบ่อยกว่าผมกับข้าวอีก... สงสารตรงที่พี่แกดูไม่ออกว่าพี่หลงคิดยังไงกับเจ้าตัวนี่แหละครับ แต่ก็ปล่อยเขาไปเถอะ

“อื้ออ” คนพี่ครางยาว “เตือนพี่ด้วยนะ”

“อ้าว ไม่แทนตัวด้วยข้าวแล้วหรอ”

ผมเอ่ยล้อคนที่แทนตัวเองเอาด้วยชื่อมาทั้งวัน มีไม่กี่ครั้งหรอกครับที่ข้าวเจ้าจะเรียกตัวเองว่าข้าว ถ้าไม่ป่วยแล้วหลุดออกมาก็จะเป็นเวลาที่คนพี่อยากอ้อนให้ผมทำอะไรให้

อ้อ แล้วก็เวลานั้นด้วยครับ หึๆ

และแล้วก็ถึงวันนัดตัดไหมของข้าวเจ้า คนพี่เหมือนจะงอนผมเล็กน้อยเพราะครั้งนี้ผมไม่ได้ไปกับเจ้าตัวด้วยเนื่องจากผมถูกลุงวัชเรียกเข้าไปหากะทันหัน เห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานของผมในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าที่อาจจะได้มาที่สาขาใหญ่แทนสาขาที่พี่ข้าวอยู่

“ให้ผมไปนู่นเถอะ ที่นี่คนก็เยอะแล้ว... อีกอย่างผมอยากอยู่กับข้าวเจ้านี่ครับ” ผมโอดครวญใส่ผู้เป็นลุงที่นั่งตีหน้าขรึมเพราะคุณฟ้าเอาเอกสารเข้ามาให้ และพอเธอออกไปจากลุงหน้าขรึมก็กลายเป็นผู้พันไก่ทอด... ตอนนี้ลุงวัชแกยิ้มอย่างนั้นเลยละครับ ถ้าหัวขาวกว่านี้ใช่เลย

“ติดแฟนหรอเรา?”

“ครับ” ยอมรับอย่างง่ายดายจนลุงวัชเบ้หน้า “นะลุงนะ ให้ผมอยู่กับข้าวเจ้าเถอะ จะให้ผมทำอะไรก็ได้”

“แลกกับไปสองงานนี้กับลุงไหมล่ะ?”

ผมที่กำลังจะอ้าปากพูดขอความเห็นใจจากลุงวัชก็ต้องชะงักเมื่อลุงแกยื่นบัตรเชิญต่างสีมาให้ตรงหน้า พอกวาดตามองรายละเอียดที่ถูกพิมพ์ไว้บนบัตรเชิญนั้นก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีเพราะรู้ตัวว่าหลงกลความเจ้าเล่ห์ของลุงเข้าแล้ว

ไอ้เรื่องย้ายสาขาย้ายสาขามันไม่มีหรอกครับ ลุงวัชจงใจให้ผมไปงานด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!

“เฮ้อ ครับๆ งั้นผมขอพาข้าวเจ้าไปด้วย”

“ไม่ต้อง” หน้าผมหงิกเมื่อลุงวัชเอ่ยห้าม และต้องกรอกตาเมื่อได้ยินประโยคถัดไป “เดี๋ยวลุงชวนหนูเจ้าเอง ไม่ได้คุยกับหนูเจ้ามานานแล้ว”

นี่ก็หลงหลานสะใภ้ไปนะ...


เผลอแปบเดียวก็หมดเวลาพักของผมที่ขอคุณประธานใหญ่ไว้แล้วครับ หลังจากนั่งๆ นอนๆ ตามติดพี่ข้าวยิ่งกว่าแฟนคลับตามดารา พรุ่งนี้ผมต้องเข้าไปทำงานในฐานะพนักงานใหม่ในสาขาเดียวกับข้าวเจ้าแล้ว ดังนั้นวันสุดท้ายของการแปลงร่างเป็นตัวขี้เกียจอย่างวันนี้จึงมีแขกรับเชิญอย่างข้าวเจ้ามาร่วมด้วยตั้งแต่แดดร่มลมตก...

เอาเป็นว่าผมได้กินข้าวจนอิ่มเลยล่ะครับ

ผมนอนมองข้าวเจ้าที่นอนคว่ำหมดแรงจากกิจกรรมกระชับสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ ยกมือเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายที่ยาวจนปรกตาออกจากใบหน้าแดงก่ำ ไล่สายตาไปยังหางคิ้วที่ไม่กี่อาทิตย์ก่อนยังติดพลาสเตอร์ยาอยู่แต่ตอนนี้แผลนั้นเริ่มเหลือแค่รอยจางๆ ที่ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น ผมกดริมฝีปากลงกับหน้าผากเนียนย้ำๆ พร้อมกับเกลี่ยปลายนิ้วไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าจนได้ยินเสียงครางอื้ออึงด้วยความรำคาญดังจากอีกฝ่ายนั่นแหละผมยอมหยุดการแกล้งและเริ่มทำสิ่งที่ควรทำสักที

“...ติณณ์ ไม่เอาแล้วนะ ข้าวไม่ไหวแล้วนะ” เสียงแหบแห้งติดงัวเงียของข้าวเจ้าเอ่ยทักท้วงผมที่จับข้าวพลิกตัวและช้อนสะโพกเจ้าตัวขึ้นมาเกยบนตัก ตาปรือแดงของคนหมดแรงช้อนสบเมื่อผมจัดการแยกสองขาให้ออกจากกัน... เพื่อจะได้จัดการทำความสะอาดร่างกายให้อีกฝ่ายดีๆ

ดูแลดีขนาดนี้ไม่มีขายที่ไหนแล้วนะข้าวเจ้า

“ติณณ์ก็ไม่ได้จะทำอะไรข้าวหรอกครับ แค่จะเอาออกให้” อีกฝ่ายทำเพียงครางฮื่อรับรู้พลางยกมือปิดหน้าตัวเอง ได้ยินเสียงครางจากคนพี่เล็ดรอดออกมาเมื่อผมหมุนนิ้วเป็นวงเพื่อคว้านเอาสิ่งที่อยู่ภายในตัวอีกฝ่ายออกมาจนหมด “อยากอาบน้ำไหม? หรือให้ติณณ์เช็ดตัวให้”

“หึ... เจ็บ” ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น คำว่าเจ็บของข้าวเจ้านั้นนอกจากความหมายตรงตัวแล้วยังตีความหมายได้อีกอย่างคือไม่มีแรงลุกเพราะฉะนั้นผมจึงจับตัวคนเจ็บให้นอนดีๆ แล้วลุกขึ้นขึ้นไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้อีกฝ่าย พอได้ของที่ต้องการเรียบร้อยแล้วผมก็เดินกลับเข้าห้องแต่ก็พบว่าข้าวเจ้านั้นหลับปุ๋ยไปแล้ว

หลังจากเช็ดเอาความเหนอะหนะออกจากตัวของข้าวเจ้าจนเจ้าตัวสะอาดเอี่ยมและสบายตัวแล้วผมก็ผละออกไปจัดการตัวเองบ้าง พอเรียบร้อยทุกอย่างก็กลับมานอนกอดร่างอุ่นๆ ของคนหมดแรงที่จมสู่นิทราไปก่อนหน้า

หวังแค่ว่าพรุ่งนี้ข้าวเจ้าคงไม่ไข้ขึ้นนะ... ผมไม่อยากลางานตั้งแต่วันแรก

Tbc.

―――――――――――

วันนี้มาแต่หัวค่ำเลย 555555555
อยากไปงานหนังสือจัง ; w ;

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -23- 03|04|2561 P.3
«ตอบ #83 เมื่อ03-04-2018 19:54:31 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -23- 03|04|2561 P.3
«ตอบ #84 เมื่อ03-04-2018 23:26:04 »

เหวอกันไปเลยสิ จังหว่ะนั้น,,,

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -24- 07|04|2561 P.3
«ตอบ #85 เมื่อ07-04-2018 20:47:01 »

จีบครั้งที่ยี่สิบสี่
ข้าวเจ้า


ผมมองบัตรเชิญสีหวานในมือสลับกับชุดสูทตัวสวยสีดำที่ถูกส่งมาจากลุงวัช พร้อมกับการ์ดใบเล็กๆ ที่แนบข้อความมาด้วยว่า ‘ลุงหวังว่าจะได้เจอหนูเจ้าในงานนะ’ นั่นทำเอาซะผมอยากจะร้องไห้เลยทีเดียว

“ติณณ์...” ผมชูบัตรในมือให้คนที่ยิ้มแห้ง ติณณ์รับบัตรสีหวานนั่นไปพลิกไปมาและส่งให้ผมคืน มันเป็นบัตรเชิญของงานอะไรสักอย่างที่ควบด้วยงานฉลองปีใหม่ที่ลุงวัชเคยพูดไว้เมื่อตอนคุยโทรศัพท์กันวันก่อนๆ ตอนนั้นเหมือนลุงแกบ่นว่าไม่อยากไปแต่ทำไม... ถึงมีบัตรเชิญให้ผมได้เนี่ยยย

“พี่ไม่ไปได้ไหม”

“ไปเถอะครับ ผมไปด้วย” อีกฝ่ายยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ “มีติณณ์อยู่ด้วยนะกลัวอะไร”

และด้วยคำพูดนั้นเองทำให้ตอนนี้ผมมายืนอยู่ท่ามกลางความวูบวาบของแสงแฟลชที่สะท้อนประกายระยิบระยับของเครื่องเพชรบนคอคุณหญิงคุณนายทั้งหลายและชุดราตรีสวยงาม ผมถอนหายใจยาวๆ พลางเหลือบมองคนตัวสูงที่กำลังเอ่ยทักทายคนนู้นคนนี้อยู่ก็ได้แต่ถามตัวเอง

นี่ผมมาทำไมที่นี่กัน...

“หนูเจ้า” ผมละสายตาจากแก้วค็อกเทลในมือและหันมองเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มกว้างมื่อเห็นเป็นลุงวัชที่เดินมากับภรรยาคนสวยของตัวเอง

ไม่แปลกใจสักนิดที่เชอรีนได้เค้าโครงหน้าหวานๆ นั่นมาจากใคร

“สวัสดีครับคุณลุง สวัสดีครับคุณป้า” ผมยกมือไหว้ทั้งสองคน ทั้งคู่รับไหว้ผมด้วยรอยยิ้มก่อนลุงวัชหันไปพูดอะไรกับป้าปราง ป้าแกพยักหน้าแล้วก็เดินหายไปในสมาคมคุณหญิงคุณนายทันที...

“ชุดที่ลุงส่งให้หนูเจ้าใส่พอดีเลยแฮะ เช็ตใหม่ของยัยเบทเขาล่ะ” ลุงวัชเอ่ยชมพร้อมขยิบตาให้เมื่อลุงกวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมยังจับผมหมุนไปมาอีก “สนใจเป็นนายแบบให้ลูกสาวลุงไหม เงินดีกว่าพนักงานบริษัทนะ ฮ่าๆ”

“ไม่ให้เป็นครับ” เป็นติณณ์ที่ตอบลุงวัชออกไปแทนผมพร้อมกับฝ่ามือใหญ่แตะเข้าที่กลางหลังของผมเบาๆ “อย่ามาแย่งตัวอนาคตเลขาผมสิ”

“เลขา?”

“ติณณ์ยังไม่บอกเราหรอว่าถ้าไปอยู่ที่นู่นมันจะเอาหนูข้าวไปด้วย” ผมส่ายหัวรัวและหันไปมองคนที่ยิ้มแห้งให้อย่างคาดคั้น “อ้าวๆ เคลียร์กันเองนะ ลุงไม่เกี่ยว”

“ไว้ถึงห้องจะอธิบายนะครับ แฮะๆ” ติณณ์ยกมือเกาแก้มเมื่อผมถลึงตาใส่ ก่อนจะหันไปคุยกับลุงวัชเพื่อเปลี่ยนเรื่องหนี “จะว่าไป พี่น้องเชอไม่มาหรอครับ”

“ถ้ามาลุงจะชวนแกมาไหมล่ะไอ้ติณณ์ พวกนั้นล่ะไม่ชอบมางานแบบนี้ที่สุดเลย” ลุงวัชบ่นลูกสาวลูกชายตัวเองอุบ บ้านนี้ผมเคยเจอแค่ลูกสองคนสุดท้องครับ แต่อีกสองคนที่ติณณ์บอกว่าเป็นแฝดกันยังไม่เคยเห็นหน้าเห็นตากันจริงๆ สักที

“ผมก็ไม่ชอบนะครับ” คนพูดเบะปากใส่คู่สนทนา “ไหนๆ ก็เจอลุงแล้วกลับเลยละกัน หวัดดีครับลุง”

ว่าจบไอ้ติณณ์ก็ยกมือไหว้อีกฝ่ายทันที และพอทำท่าจะพาผมเดินออกมาแต่ก็ถูกลุงวัชรั้งตัวไว้ก่อน “เฮ้ยๆ เดี๋ยวค่อยกลับสิอยู่ด้วยกันก่อน”

“โธ่ลุง ให้ผมกลับเถอะ จะสามทุ่มแล้วได้เวลานอนผมแล้วเนี่ย” ไอ้เด็กโข่งที่สูงเกินร้อยแปดสิบงอแงเล็กน้อย ลุงวัชหรี่ตามองหลายชายตัวเองก่อนจะส่งสายตาสงสารมาให้ผม

“ข้าวเจ้าเหนื่อยหน่อยนะลูก ได้แฟนไม่เต็มก็ลำบากอย่างนี้ล่ะ” คนสูงวัยว่าพร้อมกับตบลงที่บ่าของผมเบาๆ  แถมยังทำหน้าตาเห็นอกเห็นใจให้ผมได้หัวเราะชอบใจจนคนถูกพาดพิงหน้าบึ้ง แต่ก็ที่จะได้พูดอะไรต่อก็มีคนเดินเข้ามาทักผู้บริหารใหญ่เสียก่อน

“สวัสดีค่ะคุณวัช เมื่อกี้ดิฉันเห็นคุณปรางอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรอคะ” คุณนายตีกระบังฟูสูงตรงหน้าเอ่ยกับลุงวัช ผมที่ไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้ก็ได้แต่ยืนเป็นตัวประกอบฉากโดยมีหลังของติณณ์เป็นเกาะกำบัง “อุ๊ย นี่ใช่ติณณ์ลูกชายคุณวิชหรือเปล่าเอ่ย”

“อ่า ใช่ครับ นี่ติณณ์หลานชายผมเอง ติณณ์นี่คุณสมรภรรยาของคุณสมาน เจ้าของบริษัทที่เราทำธุรกิจด้วย”

“สวัสดีครับ ติณณ์ครับ”

“ตัวจริงดูดีกว่าในรูปอีกนะพ่อคุณ ป้าเคยเห็นตั้งแต่ตัวน้อยๆ ไม่นึกว่าโตแล้วจะหล่อขนาดนี้” คุณสมรยิ้มร่ารับไหว้ติณณ์ จังหวะที่คุณสมรหันไปกวักมือเรียกใครสักคนอีกฝ่ายก็อุทานออกมาเมื่อสังเกตเห็นผม “อุ๊ย แล้วเด็กที่มาด้วยกันนี่เพื่อนติณณ์หรอคะ ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเลย ลูกเต้าหลานใครเอ่ย อ๊ะ ลูกมายทางนี้ค่ะ”

สายตาของผมกับติณณ์โฟกัสไปที่บุคคลมาใหม่ แอบเห็นติณณ์หันไปสบตากับลุงวัชก่อนถอนหายใจยาวๆ แต่ก็กลับมาเป็นสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อคุณสมรหันกลับมา

“นี่สมายค่ะ ลูกคนเล็กของดิฉันเองค่ะ ลูกมายสวัสดีคุณวัชกับพี่ติณณ์เขาสิลูก” ลูกสาวของป้าสมรที่ชื่อสมายยกมือไหว้ติณณ์กับลุงวัชอย่างสวยงามตามคำแม่ พอเธอสบตากับไอ้ติณณ์ที่ยิ้มรับตามมารยาทก็ยิ้มเขินๆ ออกมาและขยับไปยืนหลังแม่ตัวเอง “มายเป็นเด็กขี้อายน่ะค่ะ ป้าพามางานนี้ก็ไม่รู้จักใครเลย ถ้าอย่างนั้นป้าขอฝากน้องไว้กับติณณ์และ เอ่อ...”

คุณนายสมรและลูกสาวชื่อสมายส่งสายตางุนงงมาให้ผม

“ขอโทษครับ ผมลืมแนะนำเด็กคนนี้ไปเลยครับคุณสมร” คุณชัยธวัชยิ้มมองผมและพยักหน้าให้คนตัวใหญ่ข้างกายผม ฝ่ามือของติณณ์แตะเข้าที่หลังของผมอีกครั้งและดันให้ออกมายืนอยู่ข้างเจ้าตัว “นี่ข้าวเจ้าครับ”

“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะข้าวเจ้า ถ้าอย่างนั้นป้าขอฝากน้องด้วยนะ---”

“...เป็นคนรักของติณณ์เขาครับ”

คุณสมรยกยิ้มค้างเมื่อลุงวัชเอ่ยขึ้นมาขัดประโยคที่คุณนายเธอกำลังพูด ดวงตาที่มีขนตาปลอมหนาเป็นแพรกระพริบถี่มองผมกับติณณ์สลับกันไปคล้ายไม่เชื่อคำของลุงวัช แต่ติณณ์ก็ย้ำคำนั้นของลุงวัชด้วยการยกมือมาเกลี่ยตรงปากล่างผมเบาๆ

“โตแล้วกินเลอะนะเรา หืม”

ขอกลอกตาเป็นสระอิครับตอนนี้... เลอะบ้าอะไรล่ะ ตั้งแต่มาจิบแต่ค็อกเทลแล้วมันจะเปื้อนได้ยังไงวะครับ! แล้วหน้าผมจะร้อนหาอะไรอีก...

“เอ่อ... เอ้อ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะพอดีเจอคุณสมหญิง ไปค่ะลูก ไป” เสียงรนๆ ของหญิงสาวทำให้ผมได้แต่ทำตาปริบๆ มองคนที่รีบดันลูกสาวตัวเองให้ออกจากวงสนทนา และเสียงแก้วกระทบกันที่ได้ยินข้างหูก็ทำให้ผมหันไปมองลุงกับหลานที่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กัน

“ฮ่าๆ เห็นหน้าเมื่อกี้ไหม ตอนลุงเข้ามาลุงยังเห็นลูกเธอยืนคุยกับคนนู้นคนนี้อยู่เลย ไม่มีเพื่อนอะไรกันล่ะตั้งใจเอาลูกตัวเองมาเสนอชัดๆ”

“ลุงไปหักหน้าเขาอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอครับ” ลุงวัชยักไหล่ให้ผม “แล้วบอกไปแบบนั้นมันไม่...”

“ไม่เป็นไรหรอกหนูเจ้า ไอ้ติณณ์มันอยากให้บอกแต่แรกด้วยซ้ำมั้งน่ะ” สองลุงหลานหัวเราะน้อยๆ “บอกแหละดีแล้ว หรือหนูเจ้าอยากให้ใครมาเกาะแกะแฟนตัวเองล่ะ”

ผมยู่หน้าใส่ลุงวัชที่ทำหน้ารู้ทัน ก่อนติณณ์จะแตะแขนผมพร้อมพเยิดหน้าไปทางผู้มาใหม่ที่เข้ามาทักทายลุงวัชให้ผมดู...

คืนนี้ผมต้องอยู่อีกยาวนานแค่ไหนเนี่ยยย


นับจากวันที่ติณณ์เริ่มเข้าทำงานจนถึงตอนนี้ก็เข้าเดือนที่สามแล้ว ช่วงเริ่มเดือนแรกของปีใหม่เช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงทองของพวกเราเพราะนักศึกษาฝึกงานที่ผ่านคัดเลือกจะเริ่มเข้ามาฝึกตามกำหนดของมหาลัยแล้ว ผมหันมองคนข้างกายที่นั่งตีหน้ามุ่ยใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้แต่หัวเราะจนอีกฝ่ายหันมามอง

“ข้าวเจ้าหัวเราะอะไรครับ”

“เปล่าๆ พี่คิดถึงตอนเราเจอกันครั้งแรกน่ะ” คนตรงหน้ายิ้มออกมาตามผม “ติณณ์ก็มาฝึกช่วงนี้เหมือนกันนี่นา”

“ครั้งแรกที่ไหนละครับ ครั้งแรกจริงๆ ก็ตอนนู้นนนน นามบัตรมั่วๆ ที่ข้าวให้ผมมา”

“อืมมม งั้นก็ปีกว่าแล้วที่เรารู้จักกันสิ” ติณณ์ไม่ตอบแต่ยื่นมือมากุมมือผมหลวมๆ “ไวแฮะ”

“นั่นสิ ผมไม่นึกว่าจะได้คบกับพี่ข้าวด้วยซ้ำ” หน้าของผมเห่อร้อนตามอุณหภูมิของริมฝีปากของติณณ์ที่กดลงมาหลังมือ

โป๊ก! โป๊ก!!

“โอ๊ย!” สันแฟ้มที่ฟาดลงมาที่หัวทำให้เราโอดครวญออกมาพร้อมกัน และเมื่อหันไปเห็นหน้าคนฟาดก็ต้องยิ้มแห้งให้อีกฝ่าย

“อะแฮ่ม คุณติณณ์กับคุณกณิศควรเก็บเรื่องอย่างนี้ไปทำที่บ้านนะครับ” คุณทศกัณฑ์หน้าเครียดยืนกอดอกมองผมกับติณณ์สลับกัน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมคล้ายต้องการให้ใครได้ยิน “ช่วยเห็นใจคนไม่มีใครให้สวีทหวานด้วยเถอะครับ”

เหมือนแอบเห็นนิ้วกลางที่ชู้มาจากโต๊ะของเพื่อนสนิท...

“อ้าว อยากได้ก็ไม่บอก ห้องน้ำว่างนะครับคุณ ในออฟฟิศผมยังไม่เคยนะ”

“ไอ้เหี้ยพี่ทศ!!”

เท่านั้นแหละครับทั้งแผนกฮาครืด ถึงคู่นี้ไม่ใช่แฟนกันแต่คนในแผนกก็รับรู้ความสัมพันธ์ลับๆ ที่ไม่ลับของทั้งคู่นั่นแหละครับ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้ยินมุขหยาบโลนจากคู่นี้บ่อยๆ

 “ไม่ขอพี่หลงเป็นแฟนสักทีล่ะพี่ เดี๋ยวก็เป็นพญานกหรอก” พี่ทศถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนลงไปนั่งยองๆ กับพื้นเมื่อได้ยินติณณ์พูดอย่างนั้น “ผมว่าพี่หลรอนะ”

“กูไม่กล้าว่ะ” หัวหน้าแผนกคนเก่งเปิดแฟ้มแล้วเอาคลุมหัว “กูไม่รู้ว่ามันคิดอะไรกับกูไหม”

ผมกับติณณ์มองหน้ากันอย่างยิ้มๆ อยากจะบอกพี่ทศว่าถ้าไอ้หลงมันไม่รู้สึกอะไรคงไม่ยอมให้พี่ทำอะไรมันอย่างนี้หรอกแต่ก็ต้องเงียบปากไว้เพราะติณณ์บอกว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน เรื่องของใครก็จัดการเองดีกว่า

“จะว่าไป พี่ทศมีอะไรป่ะครับ?”

“มีๆ” พี่ทศยกแฟ้มที่คลุมหัวตัวเองออกและยื่นมาให้ผม “ประวัดนักศึกษาฝึกงานที่เจ้าต้องดูแล ครั้งนี้ไม่ต้องห่วงนะ...”

“เป็นผู้หญิงใช่ไหมพี่”

“เปล่า รับสามคนผู้ชายล้วน” หัวหน้าแผนกยิ้มคล้ายสะใจเมื่อไอ้ติณณ์ทำหน้าแปลกประหลาดออกไป “เบ๊ข้าวจะเข้ามาอาทิตย์หน้านะ หาโต๊ะให้น้องมันด้วย”

“เค ได้ๆ” ผมเปิดแฟ้มและกวาดตาดูรายละเอียดคร่าวๆ มาจากมหาลัยใกล้ๆ นี่เอง เกรดใช่ได้เลย “เฮ้ยติณณ์ พี่ยังอ่านไม่จบนะ!”

ผมโวยวายเมื่อถูกคนข้างๆ ดึงแฟ้มออกจากมือ มันไล่สายตาไปตามตัวอักษรก่อนจะเบ้หน้าออกมาจนพี่ทศหัวเราะ

“ผมหล่อกว่าอีก ไม่มีเบ๊ให้ผมมั่งหรอพี่ทศ”

“ก็ใช่กับเจ้าไง เป็นคนๆ เดียวกันไม่ใช่หรอก หืมมม”

หน้าผมเห่อร้อนทันทีเพราะตีความหมายของคำว่าคนๆ เดียวกันไปในทางที่ค่อนข้างจะ...นั่นแหละ

“หมายถึงเจ้ากับติณณ์เป็นแฟนกันก็ช่วยๆ กันดูเด็กสิ” พี่ทศว่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ และยื่นนิ้วมาจิ้มๆ แก้มผม “คุณกณิศคิดไปถึงไหนแล้วครับหน้าแดงจังเลยยยยย”

“นั่นสิ ข้าวเข้าคิดไปถึงไหนแล้วหืมมมม”

แทบจะมุดโต๊ะหนี... ล้อกูจังเล๊ยยยยยยยยย

และเวลาหนึ่งอาทิตย์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ติณณ์มีอาการหมีตกมันเล็กน้อยตอนที่ผมไม่ให้เจ้าตัวช่วยดูแลเด็กฝึกงาน วันนี้ผมค่อนข้างจะแต่งตัวดีกว่าปกติเล็กน้อยเพราะFirst Impressionเป็นเรื่องสำคัญ

ขอให้ทุกคนตัดตอนผมเจอไอ้ติณณ์ไปนะครับ อันนั้นพี่ทศมาบอกกะทันหันเลยไม่ได้แต่งตัวมาก ซ้ำยังไม่ชอบขี้หน้ามันก่อนแล้วด้วย แฮะๆ...

“ตอนผมไม่เห็นดูดีอย่างนี้” ติณณ์ยังบ่นด้วยคำเดิมจนถึงที่ทำงาน หมีตกมันรั้งเอวผมไปใกล้อย่างไม่อายสายตาประชาชี กดจมูกลงกับหัวผมก่อนยู่หน้าออกมา “นี่อะไรเนี่ย เซ็ตผมซะเหม็นเลย”

“ปากหมา!”

“หมาไม่หมา ข้าวก็ชอบชิมไม่ใช่หรือไง” กลอกตาเป็นสระอิครับงานนี้

และเมื่อเดินไปถึงแผนกไม่ได้ได้เก็บของผมก็ถูกพี่ทศเรียกดักไว้เพราะน้องที่ต้องดูแลมาถึงแล้ว ผมก้มมองนาฬิกาแทบจะทันที นัดแปดโมงครึ่งแต่นี่เจ็ดโมงสิบห้า...

น้องรีบหรอครับ พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย!

“ไปด้วย”

“พี่หิว...” หันไปทำหน้าอ้อนใส่คนตัวสูงกว่า “ข้าวอยากกินข้าวมันไก่ พี่ติณณ์ไปซื้อให้ข้าวหน่อยนะฮะ”

ไอ้ติณณ์ตัวแข็งอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ พอได้สติมันก็ยกมือลูบหน้าลูบตาปิดหน้าแดงๆ ของมันก่อนจะยื่นมือมายีหัวผมแรงๆ อย่างมันเขี้ยว

“แม่ง เวลาอยากให้เรียกอย่างนี้ละไม่เคยได้ยิน” ผมหัวเราะติณณ์สบถอย่างหัวเสีย โบกมือตามหลังคนที่ยังหูแดงเพราะเขิน และเดินไปหาพี่ทศที่ยืนยิ้มล้อ

ลืมว่าพี่มันอยู่ตรงนี้

“น้องข้าวหิวข้าวมันไก่ พี่ติณณ์ไปซื้อให้หน่อยนะฮะ” พี่ทศดัดเสียงเล็กเสียงน้อย ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อผมตะปบก้นเหี่ยวๆ ของพี่มันเต็มแรง “แม่งฟาดมาได้ เด็กอยู่ในห้อง แนะนำตัวกันเองแล้วกัน”

“คร้าบๆ” ผมเบะปากใส่หัวหน้าแผนก ก่อนจะผลักประตูห้องรับรองอันน้อยนิดเข้าไปพบกับเด็กผู้ชายในชุดนักศึกษาที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว “หวัดดี”

เด็กตรงหน้าสะดุ้งโหยงเมื่อผมทัก เขารีบลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ผม “สวัสดีครับ ผมนายพิทักษ์ครับ มาจากมหาลัย----”

“พอๆ พี่ขอชื่อเล่นเราพอ” ผมเอ่ยขัดคนที่ตั้งท่าจะแนะนำตัวรูปแบบเต็ม “ประวัติเราพี่อ่านจากเรซูเม่แล้ว เกรดดีใช่ย่อยนะ”

“เอ่อ ขอบคุณครับ” นายพิทักษ์ยิ้มเขิน “จริงๆ ผมไม่มีชื่อเล่นหรอกครับ แต่เพื่อนๆ เรียกว่าทักครับพี่ข้าว”

คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินเด็กตรงหน้าเรียกชื่อผม ก้มหน้ามองป้ายชื่อก็ไม่มีเพราะฝากไอ้ติณณ์ไว้... แล้วไอ้นี่รู้จักชื่อผมได้ไงวะ

และเหมือนเด็กตรงหน้ารู้สึกว่าผมสงสัย มันเลยรีบอธิบายเสียงอ่อย “คือ ผมได้ยินเสียงพี่ทศเรียกเมื่อสักครู่นี้น่ะครับ”

“พี่ชื่อข้าวเจ้า เรียกพี่ว่าเจ้าเถอะ” ผมยิ้ม “ส่วนข้าวพี่ให้แค่คนสำคัญพี่เรียกน่ะ เอาเถอะๆ เดี๋ยวพี่หาเราไปโต๊ะแล้วกัน อยู่หลังโต๊ะทำงานพี่นี่”

“ครับ” ผมรีบตัดบทและหันหลังให้อีกฝ่าย ขณะที่เอื้อมมือไปจับลูกบิดผมก็ต้องชะงักกับคำพูดแผ่วคล้ายคุยกับตัวเองของคนร่วมห้อง

“แม่ง...น่ารักฉิบหาย”

....กูเนี่ยฉิบหาย!!!

Tbc.

―――――――――――

โคราชหนาววววว เราต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่นนน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -24- 07|04|2561 P.3
«ตอบ #86 เมื่อ07-04-2018 22:26:17 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสัยต่อไปต้องมีฉากหึงกันแน่ ๆ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -24- 07|04|2561 P.3
«ตอบ #87 เมื่อ08-04-2018 00:22:40 »

 :hao3:

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -25- 10|04|2561 P.3
«ตอบ #88 เมื่อ10-04-2018 21:35:48 »

จีบครั้งที่ยี่สิบห้า

“ติณณ์... พี่ต้องดูแลเด็กฝึกงานนะ เหมือนที่เคยดูแลติณณ์ไง”

“เข้าใจ... แต่ไม่อยากให้ข้าวดูแลใครไง”

“ไม่ดื้อสิ เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ” ข้าวเจ้าเอ่ยคำนี้เป็นรอบที่... ร้อยได้แล้วมั้ง ก็ตั้งแต่ที่เราเริ่มคุยกันเรื่องนี้นั่นแหละ แต่ผมก็ตีมึนทำเมินคำนั้นแล้วรั้งเอวคนข้างกายมากอดแน่นไม่ยอมปล่อย “ไหนบอกว่าจะเป็นเด็กดีของข้าวไง”

“ก็มัน...” รีบกลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของคนพี่ที่มองมา “เฮ้อ ครับๆ จะพยายามแต่ข้าวต้องสัญญากับผมนะว่าถ้าผมทำได้ข้าวต้องไปอยู่กับผม”

ข้าวเจ้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ ให้ผมใจเสียเล่น ฝ่ามือเย็นของข้าวยกมาแตะหน้าผม ออกแรงบังคับให้หันไปมองอีกฝ่าย “พี่ไม่สัญญา แต่ถ้าติณณ์ไม่งอแงจนกว่าเด็กมันจะกลับพี่จะลองคิดดูอีกทีดีไหม”

ผมยังคงเงียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายที่สบอยู่วูบไหว

“ไม่หึง ไม่หวง นี่งาน  โอเคนะ”

“อยู่กับผมก็งาน” ผมว่า “แล้ว...ไม่ให้ผมหึง ผมหวงแฟน แล้วจะให้ผมไปหึงหมาแมวที่ไหนล่ะ”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“ตอนผมจีบข้าวก็เพราะมาฝึกงานไม่ใช่หรอ”

คราวนี้ข้าวเจ้าถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเมื่อผมพูดขัด มือนิ่มที่แตะหน้าผมอยู่เกลี่ยแก้มไปมาคล้ายจะให้ผมใจเย็นลง “ข้าวรู้ว่าติณณ์ไม่พอใจ แต่ข้าวเป็นผู้ชายนะไม่ใช่สาวน้อยแรกแย้มที่ต้องให้ติณณ์ห่วงตลอดเวลา แล้วไม่ใช่ผู้ชายทั้งโลกจะต้องชอบผู้ชายด้วยกันหมดทุกคนนะติณณ์”

“จะผู้หญิงหรือผู้ชายผมก็หึงหวงห่วงข้าวเจ้าอย่างนี้ล่ะครับ”

“ติณณ์” ข้าวเจ้าเริ่มเสียงแผ่ว นัยน์ตาที่แสดงออกถึงความลำบากใจของเจ้าตัวช้อนสบอย่างที่ผมแพ้ทาง “นะเด็กดีของข้าว ติณณ์ก็อยู่กับข้าวตลอดเวลาใครจะกล้าจีบข้าวล่ะจริงไหม”

ผมพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา โอเค... ผมจะพยายามไม่อคติกับไอ้เด็กนั่นตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า มันอาจจะเป็นเด็กที่กว่าที่ผมคิก และก็ถูกอย่างที่ข้าวว่าคือไม่ใช่ผู้ชายทั้งโลกจะชอบผู้ชายด้วยกัน แต่จะบอกว่าห้ามไม่ให้ผมหึงผมหวงก็ไม่ได้จริงไหม

ก็ข้าวเจ้าของผมทั้งคน...

น้ำหนักมือเบาๆ ที่แตะบริเวณแก้มทำให้ผมเห็นว่าคนในอ้อมแขนที่เม้มปากแน่นจนขึ้นขาว ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะยกมือวางซ้อนกับมืออีกฝ่ายและพยักหน้าลงเล็กน้อยเป็นการยอมรับ ซึ่งข้าวเจ้าที่เห็นอย่างนั้นก็ระบายยิ้มออกมาตามด้วยสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แตะลงมาที่ริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

“เป็นเด็กดีให้ข้าวดูนะครับ แล้วข้าวจะให้รางวัลคนเก่ง” คนขโมยจูบเอ่ยเสียงใสชิดริมฝีปาก “เอาละ ตอนนี้ปล่อยพี่ไปอาบน้ำได้แล้ว วันนี้ต้องไปรอรับเด็กฝึกงานนะ”

ได้แต่ยกมือก่ายหน้าผากหลังจากที่ข้าวเจ้ามุดหนีออกจากอ้อมแขนไปอาบน้ำ วันนี้เป็นวันที่นักศึกษาฝึกงานทั้งสามคนจะเข้ามาทำในบริษัท ดังนั้นพี่เลี้ยงอย่างข้าวเจ้าและพี่ในแผนกอีกสองคนต้องไปแสตนบายรอเด็กมันก่อนตั้งแต่เช้าเผื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะได้เตรียมตัวทัน

ผมลุกขึ้นจากเตียงนุ่มเพื่อไปอาบน้ำตามคำเรียกของอีกฝ่าย และพอออกมาก็ต้องเบ้ปากใส่คนที่ยืนแต่งตัวเต็มยศ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่เคยปรกหน้าผากเนียนถูกปัดขึ้นจนเห็นโครงหน้าใสชัดเจน

นี่สินะที่เขาบอกว่ากินเด็กจะเป็นอมตะ

“ตกลงจะยิ้มหรือทำหน้าบึ้ง?” ข้าวเจ้าที่ยังง่วนกับการผูกไทด์หันมาหา กวาดตามองผมที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวห่อช่วงล่างหมิ่นเหม่ “แล้วเมื่อไหร่จะแต่งตัว พี่ต้องไปเช้านะ อ๊ะ! ไอ้หมีตกมันหยุดยีหัวพี่ได้แล้ว!”

จากคนกลายเป็นหมีแล้วครับตอนนี้

“เห็นแล้วมันเขี้ยวว่ะ ตอนผมไม่เห็นดูดีอย่างนี้เลย” หันไปพูดข้าวเจ้าที่โวยวายเพราะไปยกมือขยี้หัวเจ้าตัวจนมันไม่เป็นทรง อีกฝ่ายมองค้อนใส่ผมก่อนบ่นไปเซ็ตหัวตัวเองไป และเมื่อข้าวเจ้าเสร็จทุกอย่างเขาก็ลากผมออกจากห้องทันที


“...ตอนผมไม่เห็นดูดีอย่างนี้เลย” ข้าวเจ้าหัวเราะออกมาเล็กน้อยเพราะผมบ่นด้วยคำเดิมตั้งแต่ผมแต่งตัวเสร็จจนกระทั่งเราถึงที่ทำงาน เสียงหัวเราะใสๆ นั้นทำให้ผมรู้สึกมันเขี้ยวอย่างบอกไม่ถูกจนยื่นมือรั้งเอวอีกฝ่ายมาใกล้อย่างไม่อายประชาชีในบริษัท แต่เมื่อกดจมูกลงกับผมแข็งๆ นั่นก็ต้องยู่หน้าออกไป “นี่อะไรเนี่ย เซ็ตผมซะเหม็นเลย”

“ปากหมา!”

“หมาไม่หมา ข้าวก็ชอบชิมไม่ใช่หรือไง” อีกฝ่ายกลอกตาไปมาให้ผมได้หัวเราะร่านี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ที่ทำงานจะจับมาจูบให้หายซึนเลย พอเห็นข้าวเจ้าที่ลูบท้องน้อยๆ เพราะเมื่อเช้าไม่ได้กินอะไรรองท้องมาทำให้ผมรีบจูงมืออีกฝ่ายไปที่แผนก แต่เมื่อก้าวเท้าผ่านปุ๊บคนหิวก็ถูกพี่ทศดักเรียกไว้ก่อน

“เด็กมึงมาแล้ว อยู่ในห้อง” พี่ทศชี้ไปที่ห้องรับรองข้างห้องตัวเอง ข้าวกดหน้ารับและยื่นกระเป๋ามาให้ผมถือไว้

“ไปด้วยดิ”

“ติณณ์พี่หิว...ข้าวอยากกินข้าวมันไก่ พี่ติณณ์ไปซื้อให้ข้าวหน่อยนะฮะ” เผลอกลั้นหายใจเมื่อเจอข้าวเจ้าแอคแทคใส่ ในหัวมีแต่เสียงอ้อนๆ ของอีกฝ่ายที่แทนตัวเองว่าข้าวและแทนผมว่าพี่วนเวียนอยู่ในหัว แต่พอเห็นสายตาล้อเลียนที่ส่งมาจากพญานกอย่างพี่ทศก็ต้องยกมือลูบหน้าลูบตาซ่อนหน้าแดงๆ ของตัวเองก่อนจะยื่นมือมายีหัวน้องข้าวแรงๆ อย่างมันเขี้ยว

“แม่ง เวลาอยากให้เรียกอย่างนี้ละไม่เคยได้ยิน ข้าวมันไก่หนังเยอะๆ นะ?”

สุดท้ายก็ต้านความรู้สึกห่วงข้าวเจ้ามาไม่ได้จนต้องรีบลงไปซื้อให้ ซื้อเสร็จผมก็กลับขึ้นนั่งจุ้มปุ้กอยู่กับโต๊ะรอข้าวเจ้าที่ยังไม่ออกมาจากห้องรับรองนั่น... ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันหนักหนา

คิดได้ไม่นานประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดขึ้น ข้าวเจ้าที่เป็นคนเปิดประตูมาทำหน้าตาเหลอหลาเมื่อสบตากับผม ผิดกับเด็กฝึกงานที่ทำหน้าบานยิ่งกว่าดอกทานตะวันต้องแสงแดด... อะไรสักอย่างที่มันไม่ชอบมาพากลผุดขึ้นในใจ รู้สึกไม่ถูกชะตาไอ้เด็กฝึกงานที่ข้าวเจ้าเป็นพี่เลี้ยงขึ้นมาตงิดๆ

ระยะทางระหว่างห้องรับรองกับโต๊ะของเราไม่ได้ไกลกันมากแต่น่าแปลกที่ข้าวยังมาไม่ถึงสักที หมุนตัวไปดูก็เห็นข้าวเจ้าชี้นู่นนี่ไปทั่วห้องก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังแนะนำที่ทาง ผมมองใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายจนกระทั่งทั้งคู่มาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“นี่พี่ติณณ์นะ พาร์ทเนอร์ของพี่เอง มีอะไรก็ถามพี่เขาได้นะ” ผมพยักหน้าแกนๆ ให้เด็กที่ยกมือไหว้จนข้าวเจ้าถลึงตาใส่ “ส่วนนี้พิทักษ์นะติณณ์ เด็กฝึกงานที่พี่ต้องดูแล อ้อ โต๊ะทักอยู่ข้างหลังพี่นะ โอเคไหม”

“ครับ ให้ผมนั่งไหนก็ได้ครับ” ไอ้ทักอะไรนั่นยิ้มสดใสโชว์เหล็กดัดฟัน “แต่ถ้าได้นั่งใกล้พี่ข้าว... เจ้าคงดี”

รู้สึกว่าหางคิ้วกระตุก... เส้นเลือดที่ขมับเริ่มขึ้นแล้วล่ะครับ ผมสูดลมหายใจลึกมองข้าวเจ้าที่ยิ้มแห้งให้พลางยกมือลูบปรับสีหน้าตัวเองก่อนจะชูข้าวกล่องในมือขึ้นราวกับไม่เห็นไอ้เด็กชื่อทักอะไรนี่อยู่ในสายตา “ข้าวมันไก่ จะกินเลยไหม”

“กินๆ”

“ข้าวเช้าหรอครับ ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย” ไอ้เด็กนั่นยกมือลูบท้องตัวเองและทำหน้าเหมือนหมาหิวจนผมอยากจะแหมยาวๆ ให้ถึงดาวอังคาร “หิวจัง...พี่พาผมไปได้ไหมครับ”

“ลงลิฟต์ไปชั้นล่าสุดมีนิมิมาร์ท เดินเลยไปหน่อยมีร้านอาหาร” ข้าวเจ้าหันขวับมามองผมที่ตอบเสียงเรียบด้วยสายตาดุๆ “ที่จริงตอนเข้ามาก็เห็นไม่ใช่หรอ เดินไปเองดิ”

“ติณณ์” ข้าวเจ้าหันมาปราบผมเสียงเบา “นี่น้องนะ”

ผมพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พยายามทำใจร่มๆ ไม่ให้หึงอะไรอีกฝ่ายมากเกินไป แต่เมื่อสายตาเห็นคนในแผนกกำลังเดินไปทางประตูแผนกจึงเอ่ยทักทันที “พี่นิ้งจะไปไหนครับ”

“หืม พี่ว่าจะไปโรงอาหารน่ะ ติณณ์จะฝากซื้ออะไรหรือเปล่า” คำที่พี่นิ้งตอบกลับมาให้ผมได้ยิ้มระรื่น

“ผมฝากเด็กฝึกงานไปคนดิ มันหิว” ผมชี้ไปที่เด็กนั่นที่ทำหน้าเหวอ พี่นิ้งเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยก่อนพยักหน้าตกลง “ไปดิ มีคนพาไปแล้ว”

“ติณณ์...” ข้าวเจ้าช้อนตามองผมเล็กน้อย อีกฝ่ายหันไปหาเด็กฝึกงานก่อนเอ่ย “เอ่อ น้องไปกับพี่นิ้งนะ ได้ไหม?”

“...ครับ” ผมเค้นหัวเราะเมื่อไอ้เด็กนั่นทำหน้านิ่วไปแค่พริบตา รู้สึกเป็นผู้ชนะแปลกๆ เมื่อมันเงยมองผมคล้ายหงุดหงิดก่อนจะรับคำข้าวเจ้าและเดินไปหาพี่นิ้งที่กวักมือเรียกอย่างช่วยไม่ได้

และข้าวเจ้าก็หันมาหาผมทันทีเมื่อไอ้เด็กนั่นลับตา

“เมื่อเช้าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนี่” ข้าวถอนหายใจออกมาเบาๆ “นั่นเด็กที่พี่ต้องดูแลไปอีกสามเดือนนะ”

“ก็ผมไม่ชอบที่มันเรียกข้าวอย่างนั้น ไหนข้าวไม่ชอบให้ใครเรียกตัวเองว่าข้าวไงครับ” ผมยืนกอดอกมองคนที่ทำหน้าจ๋อย

“ข้าวก็ไม่ได้ให้น้องมันเรียกอย่างนั้น แต่น้องได้ยินตอนพี่ทศล้อข้าว...”

“สรุปพี่ทศผิดสินะ” ผมตีรวน “...กินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวหายร้อน”

ข้าวเจ้ารับคำเสียงอ่อยเมื่อผมตัดบทและยื่นถุงข้าวมันไก่ไปให้ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเริ่มจัดการกับข้าวเช้าผมควานหาของบางอย่างที่อยู่ก้นกระเป๋า หยิบมันมายัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนผละตัวออกจากตรงนั้นแต่เสียงของข้าวเจ้าก็รั้งผมไว้ก่อน “นั่นติณณ์จะไปไหนน่ะ”

“สูบไอ้นี่” ผมชูซองสี่เหลี่ยมยับๆ ที่ไม่ได้แตะมาซักพักขึ้นให้อีกฝ่ายดู “จะไปทำให้หัวหายร้อน ไม่อยากทะเลาะกับข้าวตอนนี้”

“ไปด้วย”

“กินข้าวไป”

“ก็เดี๋ยวเอาไปกินด้วย”

“มันเหม็น”

“รู้ว่าเหม็นแล้วสูบทำไมล่ะ”

“...” และเป็นอีกครั้งที่ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เนื่องจากแย้งคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ ข้าวเจ้าวางช้อนลงและลุกมาหยิบซองบุหรี่กับไฟแช็คออกจากมือผม จากนั้นก็โยนมันทิ้งลงถังขยะใต้โต๊ะของตัวเองก่อนจะหันมาจ้องผมเขม็ง “โอเค ไม่ก็ไม่”

ว่าจบผมก็เลื่อนเก้าอี้ออกและทิ้งตัวกระแทกลงแรงๆ อย่างระบายอารมณ์คลุกกรุ่นในหัว พอข้าวเห็นว่าผมไม่มีความคิดจะไปแล้วเจ้าตัวก็ตักข้าวเข้าปากต่อแต่ไม่วายจะเหลือบมองผมเป็นระยะ ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรก็ควานหาหูฟังในกระเป๋ายัดเข้าหูและหลับตาลงทันที

“ติณณ์ อ้ามๆ” ผมลืมตาขึ้นเพราะเสียงงุ้งงิ้งข้างตัว ภาพตรงหน้าคือช้อนพลาสติกสีขาวที่มีข้าวพูนๆ โปะไก่ชิ้นใหญ่ไว้ด้านบน ไล่สายตาตามช้อนที่จ่อปากไปยังเจ้าของมือที่ยื่นช้อนมา “อ้ามมม”

เผลอหลุดขำกับท่าทางหลอกเด็กกินข้าวนั่นเล็กน้อย “ง้อ?”

ข้าวเจ้าพยักหน้าหงึก พร้อมกับลดมือที่ยกขึ้นจ่อปากผมลงเล็กน้อย “ก็ไม่อยากให้ติณณ์สูบนี่”

“ง้อคนละเรื่องแล้วข้าวเจ้า” อีกฝ่ายยิ้มแหย “ข้าวจะง้อก็ง้อให้ถูกเรื่องดิ”

“คุยกันรู้เรื่องแล้วนี่ติณณ์... จะให้พี่ทำยังไงล่ะ”

“งั้นก็มาให้ผมจูบ”

“ห๊ะ”

“ผมบอกว่ามาให้ผมจูบดิ”คนตรงหน้าอ้าปากหวอเมื่อผมต่อรอง ใบหน้าขึ้นสีจางชะโงกพ้นคอกกั้นและมองซ้ายมองขวาคล้ายกับกลัวใครได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้ “เร็วดิ คนยังมาไม่เยอะ”

“...ไอ้เด็กเอาแต่ใจ”

ผมยักไหล่และยกยิ้มระรื่นรับคำนั้น ข้าวเจ้าตีหน้ามุ่ยวางช้อนลงในกล่องคืนและไถเก้าอี้มาใกล้ เมื่ออีกฝ่ายอยู่ในระยะเอื้อมถึงผมก็ดึงอีกฝ่ายจนถลามาหาและกดปากลงกับริมฝีปากมันแผลบจากข้าวมันไก่ทันที

จูบรสข้าวมันไก่มันค่อนข้างแปลก... แต่ก็อร่อยดี

จุ๊บ

ผมผละออกจากปากที่เริ่มเจ่อจากการโดนดูดอย่างอ้อยอิ่ง เกลี่ยปากกับปากนิ่มเล็กน้อยก่อนปล่อยตัวอีกฝ่าย และเมื่อเป็นอิสระข้าวเจ้าก็หอบลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนตวัดตามองผมที่ยักไหล่น้อยๆ ด้วยแววตาดุๆ

ก็ยอมให้จูบเองนี่ครับ ไม่ได้บังคับสักหน่อย

จะว่าไปหัวโล่งขึ้นเยอะเลยแฮะ

“พอใจแล้วใช่ไหม พี่กินข้าวต่อล่ะ”

“หนึ่งจูบหนึ่งมวน ซองนั้นมีอยู่สี่...” รอยยิ้มปรากฏขึ้นเมื่อข้าวเจ้าหันมาทำตาเหลือกใส่ผมทั้งที่ปากยังคาบช้อนไว้อยู่ “น่า อีกสามทีเอง อุ๊บ!”

ไม่ทันได้กวนข้าวเจ้าต่อ คนตรงหน้าก็เอาช้อนที่ตัวเองคาบไว้นั่นแหละมายัดปากผมทันที... จูบทางอ้อมสินะ หึ


การทำงานวันนี้นอกจากจะอยากให้เวลาผ่านไปถึงเย็นเร็วๆ แล้วผมแทบจะอยากฉุดข้าวกลับบ้านตลอดเวลา เพราะไอ้เด็กนั่นอะไรๆ ก็พี่เจ้าครับ พี่เจ้าครับ ก็รู้ว่าวันแรกอะไรๆ ยังไม่คล่อง แต่นี่ก็อุตส่าห์สละเวลาทำงานอันมีค่าไปนั่งสอนให้มันตั้งนานเสือกไม่จำหรือไงวะ! แล้วแทนที่มันจะเรียกคนอาสาสอนให้อย่างผมแต่มันกลับเรียกหาแต่ข้าวเจ้าอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่อ่ะ!

เหมือนแม่งอยากกวนประสาทผมอย่างไงอย่างนั้นแหละ

“พี่เจ้าครับบ ผมไม่เข้าใจตรงนี้เลย”

นั่นไง ไม่ขาดคำเสียงไอ้เด็กนั่นก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมปรายตามองเจ้าของชื่อที่ยิ้มแห้งๆ ให้และทำท่าจะลุกไปดูเด็กแต่ข้าวก็ต้องชะงักเมื่อผมขัดคอ

“ผมไปดูเอง ข้าวทำงานต่อเถอะ” หันไปยิ้มให้ข้าวเจ้าก่อนเดินไปหาเด็กนั่นที่ทำหน้าแห้งเหมือนดอกทานตะวันที่เหี่ยวแล้ว “ไหน ตรงไหนพี่ช่วยเอง”

“...ตรงนี้ครับพี่ติณณ์”

หึ รู้จักติณณ์น้อยไปแล้ว

―――――――――――

ติณณ์หึงจริงจังไว้พาร์ทหน้านะ---
จะบอกว่าาาาา ได้งานทำแล้วค่ะ
หลังสงกรานต์ไปแล้วอาจจะลงนิยายไม่เป็นเวลาแต่จะพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละตอนนะคะ TwT

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -25- 10|04|2561 P.3
«ตอบ #89 เมื่อ10-04-2018 21:56:05 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ยินดีกับงานที่ได้ด้วยนะคับ

หวังว่าจะมีเวลาอัพเดตผลงานอย่างต่อเนื่องนะคับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด