✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 179622 ครั้ง)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
อ่านยาวเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รายละเอียดเยอะมากเลย
อ่านได้เข้าใจ และลุ้นมากทุกตอนเลยค่ะ

แต่ก็ยังอยากรู้นะ ว่า เค้าสลับร่างกันไปมาได้ไง
แล้วเจาเฟิงตัวจริงไปอยู่ที่ไหนแล้ว ยังอยู่หรือตายไปแล้ว
บัณฑิตหลิวไปเจออีกโลกแทนจื่อฟางไหมน้า

โอ๊ยย ใจบางมากคะ คนอะไรส่งภาพวาดลึกซึ้งไปหยอกยั่ว
ร้ายไม่เบานะจื่อฟาง ก็ทำไมล่ะ สามีข้า แบบนี้หรอ
รองแม่ทัพก็ไม่ธรรมดานะ มาไวเหลือเกิน อยากรู้เยอะมาก
เป็นไปคะ ลึกซึ้ง เข้าใจถ่องแท้เลยไหม ตอนนี้

สงสารฮ่องเต้นะคะ อยู่บนที่สูงก็ต้องเลือกสิ่งที่ต้องเป็น
แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจ คิดว่าจิ้งเฟยยังรอนะ ไม่งั้นไม่ส่งจดหมายมาหรอก

ตลกจางต้า แค่เจ็บตัว แต่ตอนนี้คิดไปเองเลยเจ็บใจ
หยางชวีจะกลับมาฉางอันแล้ว จะได้เจอจื่อฟางไหมนะ
คนซื่อไม่รู้ตัวว่ารัก ก็น่าเอ็นดูไม่หยอก

รออ่านตอนพิเศษค่ะ และรอลุ้นภาคสองจ้า

ออฟไลน์ mijimaria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: ฮือออ สนุกมากๆเลยค่ะ คุณนักเขียนอ่านตั้งแต่ สามทุ่มจนจะตี 5 แล้ว รอตอนต่อไปนะคะ อยากรู้แล้วว่าหยางชวีถ้ามาที่ฉางอันแล้วจะเป็นไงต่อ :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ปลื้มปริ่ม.....ดีต่อใจ......มึความสุขมาก  :mew1:  :mew1: :mew1:
แต่คงมึความสุขมากกว่านั้  ถ้าได้อ่านตอนพิเศษ กับอ่านภาค ๒   :z3: :z3: :z3:
รอไรท์นะ  :mew1:
อยากอ่านเรื่องของจางต้า หยางซวี  เสิ่นจิ้งฟาง ฮ่องเต้   :ling1: :z10: :serius2:
ไป๋ผูอวี้  หลิวจื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ BabyGB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากกกกก เรื่องยาวๆแต่น่าติดตามทุกตอน ตื่นเต้นตลอด อ่าน3-4วันจบ รอติดตาทภาคปลายนะคะ ขอบคุณ​สำหรับนิยายสนุกๆนะคะ

ออฟไลน์ KXXM04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากๆเลยค่ะ แต่ละตอนยาวจุใจมาก เป็นบางเรื่องนี่แอบปิดไปแล้ว แต่เรื่องนี้สนุกมาก ปิดไม่ลง แงงง55555 รอติดตามภาค2นะคะ อยากเห็นคุณท่อนไม้เลื้อยแร้วว

ออฟไลน์ ursleepingxd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุก ครบรสมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ รอภาคต่อไปไม่ไหวแล้วว แงงง น้อนจื่อฟาง

ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เพิ่งเข้ามาอ่าน ถึงกับติดหนึบ
สนุกมากๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ TrebleBass

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :impress2:เพิ่งจะมีโอกาสได้มาอ่านเรื่องนี้ รวดเดียวจบ  สนุกมาก ๆ ค่ะ  จะรอติดตามภาคต่อนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
เนื้อเรื่องภาคปลายต่อจากภาคต้น (ไม่นับรวมตอนพิเศษในเล่มที่ถือเป็นการสปอยเนื้อเรื่องในอนาคต)

-ความเดิม-
“กลับบ้านเรากันเถอะ” ชายร่างสูงกล่าวพร้อมยื่นมือมาให้ ราวกับเห็นภาพซ้ำร่างของเขาถูกดึงขึ้นบนหลังม้า
“ฉางอันคงได้บทละครบทใหม่แล้วกระมัง” เสียงของเว่ยหลงแว่วมาจากเบื้องหลัง ไป๋ผูอวี้เพียงหัวเราะในลำคอ กระชับอ้อมแขน สูดดมกลิ่นหอมจากร่างเบื้องหน้า ระหว่างที่อาชาควบเยาะไปตามเส้นทางคุ้นเคย แม้ว่าเรื่องของช่างอินกับชนเผ่านอกด่านยังไม่คลี่คลายแต่หากได้ตายอยู่ข้างคนรักเขาก็ไม่หวาดกลัว


ภาคปลาย บทหนึ่ง:เริ่มต้นบทใหม่

รัชศกซิงผิง (ความสงบรุ่งเรือง) ที่๑ในรัชสมัยของจักรพรรดิเจี่ยผิง

วสันต์ฤดูพัดพาสายลมเย็นปกคลุมเมืองฉางอัน ท้องฟ้ากระจ่างใส หมู่เมฆบางตา แต่กระนั้นก็ทำให้ผู้คนที่ทอดสายตามองอดรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในที การศึกกับชนเผ่านอกด่านยังคงสร้างความหวาดวิตกลึกๆ ให้กับชาวเมือง แม้วันเวลาล่วงผ่านไปนับเดือน มองจากภายนอกเมืองหลวงแห่งนี้คล้ายจะสงบสุขดังชื่อรัชศก แต่ภายใต้กระแสลมบางเบา คลื่นพายุกำลังเริ่มก่อตัว

องค์ฮ่องเต้เจี่ยผิงในชุดคลุมตัวยาวสีม่วงเอนกายพิงกรอบหน้าต่างในตำหนัก ทอดสายตามองท้องฟ้ากระจ่าง จิตใจล่องลอยไปไกล ความคิดมากมายก่อตัวช้าๆ

เสมือนยาพิษที่ค่อยกระจายตัว จากการบำรุงรักษาของหมอหลวง ยามนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงและสมบูรณ์มากกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนนัก จะมีก็แต่อาการทางใจที่ดูท่าจะบำรุงอย่างไรก็มิสามารถหายดี บุรุษหนุ่มนึกไปถึงบุตรชายก็เป็นต้องคิดหนัก เจี่ยอิงต้า นับว่ารู้ความแล้ว แต่ก็ยังไม่ประสามากพอ

เขารู้ดีว่าเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยสร้างรอยร้าวช้าวให้กับรัชทายาท เขาพยายามเยียวยาตอบแทนด้วยการเอาใจใส่รัชทายาท แต่ยังมีเรื่องหนึ่ง ที่เขาข้องใจอย่างประหลาด

บัณฑิตหลิวเซียนฟางผู้นั้นช่างแปลกนัก นับแต่หายป่วย พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ฮ่องเต้ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อนกพิราบสื่อสารบินโฉบเข้ามาเกาะกรอบหน้าต่าง กระพริบตามองเขาอย่างรู้ความ บุรุษหนุ่มเอื้อมมือแกะกระดาษที่ผูกติดกับข้อเท้าของสัตว์ปีกด้วยใคร่รู้ เขาคลี่กระดาษช้าๆ กวาดสายตาอ่านตัวอักษรบรรจงด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ออก

‘พบเบาะแสเชื่อมโยงไปถึงตัวตนของช่างอินที่เมืองผิงชาง…พวกเรารอคำสั่งจากท่าน’

ข้อความสั้นๆ กลับทำให้บุรุษหนุ่มใจเต้นกระหน่ำรัว เป็นเวลาหลายเดือนที่ข่าวคราวของพี่ชายผู้ก่อกบฏเงียบหายไป เจี่ยผิงยอมรับว่านอกจากความยินดียังมีความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

ถึงเวลาต้องลงมือแล้วสินะ ก่อนอื่นก็ต้องดำเนินไปตามแผน ฮ่องเต้เจี่ยผิงครุ่นคิดไตร่ตรองมาดีแล้ว เขาผละมาจากหน้าต่างเดินมานั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ จรดพู่กันลงบนกระดาษ

‘จับตาดูให้ดี ถึงเวลาเราจะสั่งการเอง’
หมากตานี้ เขาจะเดินก่อน

******

อีกฝากฝั่งของเมืองเสียงบรรเลงกู่เจิงติดๆ ขัดๆ ดังมาจากศาลาลมในตำหนักบูรพาสร้างความระคายหูให้แก่ผู้คนที่ได้ยินยิ่งนัก ยกเว้นเพียงองค์ชายรัชทายาทวัยสิบสองปีที่อยู่บนตั่งนอนกำลังหัวเราะอย่างขบขันราวกับเจอเรื่องถูกใจแม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอย่างคนเพิ่งหายป่วยแต่ดวงตากลับเป็นประกายสดใส ผู้ที่บรรเลงกู่เจิงเป็นบัณฑิตหนุ่มในวัยยี่สิบเอ็ดปี

จื่อฟางสวมชุดคลุมตัวยาวสีฟ้าอ่อนกระจ่างไร้ลวดลาย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปรากฏแววจริงจังเคร่งเครียด และเขาใกล้หมดความอดทนเต็มที เขาเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงทำให้ไฝเม็ดเล็กเหนือริมฝีปากเด่นชัด มือทั้งสองข้างจรดลงบนสายกู่เจิงด้วยท่วงท่าที่ทะมัดทะแมง บทเพลงกู่เจิงนี้จึงไม่ใช่บทเพลงอ่อนหวาน เส้นผมที่อยู่ภายใต้หมวกบัณฑิตหลุดลุ่ยน้อยๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก หน้าผากปรากฏเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ

‘ขนาดเข้ามาในร่างหลิวเซียนฟางยังลำบากเรื่องดนตรีอีก’

เขาคิดในใจอย่างหงุดหงิด ขนาดว่าอยู่ในร่างชองเสิ่นจิ้งเฟยเขายังไม่เคยสนใจฝึกดีดกู่เจิงเลยด้วยซ้ำ เขาเหลือบมอง หญิงสาวข้างกาย รูปร่างอรชร ใบหน้าที่แต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางสีอ่อนไม่ปรากฏอารมณ์ใด เว้นเพียงแต่คิ้วโก่งขมวดมุ่นน้อยๆ ซูเหลียนฮวา หรือนางมารหมื่นพิษเฝ้ามองอยู่ไม่ละเว้นสายตาก็ยิ่งทำให้จื่อฟางเครียดเกร็ง ยามที่ดีดสายเครื่องดนตรีผิดเพี้ยน มุมปากของอีกฝ่ายกระตุกดึงน้อย ๆ อันว่าความทุกข์ของผู้อื่นช่างหอมหวานนัก

ซูเหลียนฮวายกพัดโบกลมให้บัณฑิตผู้เคร่งเครียด นึกสงสารอยู่ไม่น้อย “บัณฑิตหลิวผู้นี้ ท่านเกร็งเกินไปแล้ว”

นางมารหมื่นพิษโน้มตัวเข้าใกล้ ใช้ด้ามพัดเคาะเบาๆ ที่หัวไหล่ของจื่อฟาง นางรู้จักคนผู้นี้ดี แม้ภายนอกต้องเรียกขานด้วยชื่อหลิวเซียนฟางก็เถอะ ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ แต่คุณชายจื่อเป็นเพียงดวงวิญญาณที่เข้าร่างของบัณฑิตหลิวและยังต้องสวมบทบาทเป็นเจ้าของร่างเหมือนเมื่อครั้งที่เคยเกิดขึ้นกับเสิ่นจิ้งเฟยคนงามไม่เอาไหนแห่งฉางอัน

อีกฝ่ายเพิ่งเริ่มหัดเล่นกู่เจิงได้ไม่ถึงครึ่งเดือน เรื่องราวนี้ลือไปถึงหูขององค์รัชทายาทเข้า ด้วยความใคร่รู้องค์ชายน้อยจึงอยากรับฟังบ้าง

“เช่นนี้ถึงจะดี” ซูเหลียนฮวาออกแรงกดพัดเล็กน้อยให้จื่อฟางผ่อนคลายไหล่ที่ตึงเครียด

“ข้า...พยายามผ่อนคลายแล้ว” จื่อฟางขบฟันเอ่ยเบาๆ รู้สึกว่ายากยิ่งนัก ทั้งยังมีเสียงหัวเราะขององค์รัชทายาทก่อกวนมิหยุด เขาผ่อนลมหายใจช้าๆ ทิ้งไหล่ที่เกร็งเขม็งลงให้เป็นธรรมชาติ เหลือบมองเห็นสีหน้าสนุกสนานของเจี่ยอิงต้าก็รู้สึกคันร่างยุบยิบ มิรู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่บัณฑิตหลิวตั้งใจศึกษาเพียงตำรามิได้สันทัดด้านดนตรี จึงไม่แปลกที่บัณฑิตหลิวผู้นี้จะเล่นกู่เจิงไม่เก่ง
รัชทายาทเดิมทีก็เบื่อหน่ายที่ต้องอุดอู้อยู่ในตำหนักบูรพา ได้ยินเรื่องที่บัณฑิตหลิวผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์ของตนฝึกเรียนดนตรีก็อยากให้เขาแสดงฝีมือเสียหน่อย

“อาจารย์หลิว หากกู่เจิงของท่านสามารถฆ่าคนได้ ข้าว่าพวกชนเผ่าป่าเถื่อนที่นอกด่านนั่นคงตายไปเสียครึ่ง” รัชทายาทเจี่ยอิงต้าส่งเสียงวิจารณ์อย่างขบขัน จื่อฟางส่ายศีรษะ หยุดมือที่จรดอยู่บนสายไหม หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาซับหน้าผาก นี่นับว่าเป็นเรื่องตลกยิ่งนักเพราะยามอยู่ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยสิ่งของติดมือคือพัด แต่ยามนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ของเขาคือผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเอาไว้คอยซับเหงื่อที่เวลาหวาดวิตก ภายในศาลาเงียบสงบสบายหูไปครู่ใหญ่ องครักษ์และนางในที่เฝ้ารับใช้อยู่โดยรอบต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกโล่งใจไปตามๆ กัน

“องค์รัชทายาท กล่าวเช่นนี้บัณฑิตเช่นกระหม่อมละอายใจยิ่งนัก” จื่อฟางยกยิ้มน้อยๆ สวมท่าทีของบัณฑิตหลิวผู้แก่เรียนอย่างแนบเนียน

เจี่ยอิงต้าเพียงไหวไหล่ “ก็ท่านน่าหน่ายนัก ให้ข้าอ่านบทกวีจืดชืดอยู่ได้ มิสู้ออกไปฝึกธนูมิดีกว่าหรือ อย่างไรเสียนางมารหมื่นพิษก็อยู่ที่นี่แล้ว”

รัชทายาทสนใจเรื่องการทหารและวรยุทธ์มากกว่าสนใจเรื่องการอ่านตำรา จื่อฟางกังวลอยู่ไม่น้อยเพราะเขาจำเรื่องราวของรัชทายาทผู้นี้ได้ ในนิยายไม่ได้เล่าอยากละเอียดแต่คำว่า บีบคั้นให้ลงจากบัลลังก์ก็ตีความได้หลายอย่าง

“เห็นทีจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทยังมีอาการไม่สู้ดี กระหม่อมเกรงว่า....”

“เจ้ามันหนอนหนังสือน่าเบื่อ” มิรู้เพราะเหตุใดหมู่นี้องค์รัชทายาทถึงได้มีอารมณ์หงุดหงิดบ่อยครั้งจนต้องมาลงที่เขา บางทีอาจเป็นเพราะฮ่องเต้เจี่ยผิงมิได้เอาใจใส่เหมือนเช่นก่อน กล่าวถึงฮ่องเต้ พระองค์ทรงหวาดระแวงยิ่งนัก ถึงขั้นวางกำลังลับไว้ในเมืองหลวงและตำหนักบูรพา ทางด้านกบฏช่างอิ่นยังไม่เคลื่อนไหว เขาไม่สันทัดเรื่องสงคราม แต่เดาเอาว่าอีกฝ่ายคงหนีไปได้ไม่ไกลและกำลังรอเวลาเท่านั้น

ภายนอกมองดูเหมือนเหตุการณ์สงบแต่คนในวังหลวงไม่มีผู้ใดวางใจ ถ้าหากเรื่องของกบฏช่างอิ่นยังไม่คลี่คลายเสียที เหล่าขุนนางและแม่ทัพต่างแวะเวียนหารือกับฮ่องเต้เจี่ยผิงเป็นระยะ รวมไปถึงไป๋ผูอวี้ที่ยังคงรั้งตำแหน่งรองแม่ทัพก็ต้องเข้าออกวังหลวงบ่อยครั้ง ทั้งยังมีคำสั่งให้รัชทายาทพักผ่อนอยู่ในตำหนักบูรพา

“กระหม่อมขออภัยที่ทำให้พระองค์เบื่อหน่าย แต่ใบหน้ากระหม่อมก็เป็นเช่นนี้...” บุรุษหนุ่มเอ่ยตอบอย่างใจเย็น ในความทรงจำของหลิวเซียนฟางยามที่องค์รัชทายาทโกรธเคือง บัณฑิตหลิวผู้นี้จึงคล้ายเป็นที่ระบายอารมณ์ของเจี่ยอิงต้า แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ดูจะผูกพันกันอยู่ไม่น้อย

“กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ไม่ชมชอบอุดอู้อยู่ในตำหนัก แต่ร่างกายของพระองค์ยังต้องบำรุงอีกมาก” จื่อฟางพูด ท่องไม่รู้ต่อกี่ครั้ง

“ข้ารู้ แค่อยากบ่นเท่านั้น” เจี่ยอิงต้าถอนหายใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนราวกับนึกเรื่องหนึ่งได้ “ข้าได้ยินว่าอาจารย์หลิวยื่นหนังสือขอไปประจำที่สำนักศึกษาหลวง ทำไมเล่า ท่านระอาข้าแล้วรึ”

“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เขาแสร้งกระกระอักไอ รับรู้ถึงสายตาของซูเหลียนฮวาอาบร่าง นางคงชื่นชมฝีมือการแสดงของเขาอยู่แน่

ข้าพัฒนากว่าแต่ก่อน ใช่หรือไม่

นึกถึงเมื่อคราวอยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟย ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานนัก มิรู้ว่าป่านนี้คุณชายรูปงามผู้นั้นจะมีชะตาเช่นใด ไหนจะจางต้าและหยางชวีที่ติดตามไปด้วยกัน เขารู้สึกใจหายอยู่บ้าง

“เพียงแต่ร่างกายของข้า ไม่สามารถอยู่ชี้แนะองค์รัชทายาทได้อีก” จื่อฟางเปรย ทำสีหน้ามองเศร้าเล็กน้อย เป็นความจริงอยู่บางส่วน

“เอาเถอะ ข้าจะทำเป็นลืมไปก็แล้วกันว่าครั้งหนึ่งท่านสัญญาว่าจะช่วยเหลืองานราชกิจ” เจี่ยอิงต้าแกล้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง แม้ในใจจะผิดหวังที่บัณฑิตหลิวผิดคำพูดแต่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลิวเซียนฟางมิคล้ายเป็นท่านอาจารย์ที่เขารู้จัก บางทีอาจจะป่วยจนเลอะเลือนไปจริง ๆ เขาเคยถามนางมารหมื่นพิษ อีกฝ่ายบอกว่ามีความเป็นไปได้เพราะอาการบาดเจ็บเมื่อครั้งที่วัดซิงเจียวทำให้บัณฑิตหลิวดูเลอะเลือนไปบ้าง

“องค์ชายก็ทราบดีว่าอาการป่วยของกระหม่อมไม่ใคร่ดีนัก”

“อาการป่วย คงไม่ได้มาจากรองแม่ทัพไป๋กระมัง” รัชทายาทเจี่ยอิงต้าเลิกคิ้ว จ้องมองท่าทางกระสับกระส่ายของอีกฝ่ายก็รู้สึกบอกไม่ถูก ถึงเขาจะชันษาเพียงสิบสองปีแต่เขาไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาเรื่องรักใคร่ แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม ตอนที่ได้ยินข่าวลือว่าบัณฑิตหลิวมีสัมพันธ์กับรองแม่ทัพไป๋ก็รู้สึกคาดไม่ถึงระคนแปลกใจ

เขามั่นใจว่าอาจารย์หลิวไม่กล้าทำเรื่องผิดธรรมเนียมทั้งที่ยังเป็นปั๋วซื่อ เจี่ยอิงต้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ นึกแล้วก็ทำให้ขุ่นเคืองอยู่ในใจ เพราะทำให้เขานึกไปถึงเรื่องของเสด็จพ่อและบุรุษงามผู้นั้น

“รัชทายาทไม่ต้องเป็นห่วง รองแม่ทัพไป๋ไม่กล้าทำเรื่องไม่ดีกับข้าอยู่แล้ว” จื่อฟางตอบด้วยรอยยิ้ม เห็นใจองค์รัชทายาทอยู่ไม่น้อย เขาไม่โทษที่อีกฝ่ายจะรู้สึกไม่ดีด้วย ถึงอย่างไรฮ่องเต้เจี่ยผิงก็มีเรื่องชายงามที่คนล่วงลือไปทั่ว

“หึ” องค์รัชทายาททำได้แค่แค่นเสียงในลำคอ ซูเหลียนฮวาคงสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจนักที่รัชทายาทพูดถึงนายท่านไป๋ด้วยน้ำเสียงดูแคลนก็ตาม แต่เด็กน้อยผู้นี้เปรียบเสมือนลูกแมวน้อยที่กำลังโกรธก็เท่านั้น

จื่อฟางไม่รู้ว่าต้องเอ่ยกล่าวสิ่งใดอีก ก็ประจวบกับมองเห็นร่างของเส้ากงกง ขันทีผู้ใหญ่ประจำกายฮ่องเต้เจี่ยผิงเดินมุ่งหน้ามายังศาลาแห่งนี้ องค์ชายรัชทายาทพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน กระแสยินดีวาบผ่านแต่ก็ครู่เดียวเท่านั้น กงกงผู้นั้นเดินมาถึงก็ค้อมกายคำนับรัชทายาทก่อนหันกายมาทางชายหนุ่ม รัชทายาทขมวดคิ้ว หัวไหล่ตกเมื่อเห็นว่าเส้ากงกงไม่ได้นำเรื่องมาหาตน

จื่อฟางยืดตัว มีลางสังหรณ์ไม่ดีชอบกล เส้ากงกงมาต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

“เส้ากงกง ไม่ได้พบท่านนาน สบายดีหรือ” เขาเอ่ยถามตามมารยาท

“สบายดี” กงกงตอบ ใบหน้าไม่แปรเปลี่ยน ก่อนเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง “ฝ่าบาทมีคำสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า”

มีเรื่องใดอีกนะ “…”

จื่อฟางหันมององค์รัชทายาทก็เห็นว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มดูหม่นหมองนัก “เสด็จพ่อได้ฝากอะไรมาถึงข้าหรือไม่”

“ทูลรัชทายาท ฝ่าบาทไม่ได้มีคำสั่งใดต่อรัชทายาทเป็นพิเศษ อีกทั้งฝ่าบาทมีราชกิจล้นมือ ทำให้ไม่อาจมาเยี่ยมเยียนได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีสูงวัยตอบเสียงนุ่มปลอบประโลมอยู่ในที รัชทายาทได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ

“ถ้าอย่างนั้น ท่านช่วยเอ่ยกับเสด็จพ่อให้ข้าหน่อย ทูลขอให้ข้าออกไปเดินเที่ยวเล่นนอกตำหนักได้หรือไม่” เจี่ยอิงต้าโน้มตัวเข้าไปกระซิบเสียงเบากับบัณฑิตหลิว เขารู้ดีว่าโอกาสที่เสด็จพ่อจะอนุญาตมีน้อยแต่เขาก็อยากจะลองดู

“องค์รัชทายาท...” จื่อฟางมีสีหน้าลำบากใจ ถ้าหากรัชทายาทเคยเอ่ยขอกับเจ้าแผ่นดินแล้วทรงไม่ได้ผล นับประสาอะไรกับเขา พระองค์ยังคงไม่พอพระทัยเขาด้วยเรื่องรัชทายาทและฮองเฮาที่วัดซิงเจียว

“นะๆ ท่านอาจารย์ ข้าแค่อยากออกไปเดินเล่นเท่านั้น ท่านก็รู้ว่าข้าอุดอู้อยู่ในตำหนักมาตั้งงหลายเดือนแล้ว”

“กระหม่อมจะลองดู” สุดท้ายเขาก็ต้องตกปากรับคำอย่างช่วยไม่ได้ เจี่ยอิงต้าพลันมีรอยยิ้มประดับบนดวงหน้าซีดเซียว ก่อนจะยอมรามือ


***********

ภายในห้องทรงอักษรอวลไปด้วยกลิ่นชาอู่หลงอ่อน ๆ จื่อฟางยืนค้อมกายถือป้ายงาช้างอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของฮ่องเต้เจี่ยผิง เขากล่าวรายงานกิจวัตรประจำวันขององค์รัชทายาทด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนเสร็จ เขารู้สึกว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงเรียกตัวเข้าเฝ้าในวันนี้ไม่ได้มีเพียงเรื่องของรัชทายาทเท่านั้น อย่างไรพระองค์ก็ทรงทราบเรื่องจากองครักษ์ใกล้ตัวอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงเตรียมใจพร้อมรับมือกับอีกฝ่าย เรื่องที่เขาสลับเข้ามาอยู่ในร่างของบัณฑิตหลิวนอกจากผู้ติดตามของสกุลไป๋ไม่กี่คนก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีกและเขาก็ไม่มีทางจะบอกกับร่างตรงหน้า

ในห้องทรงอักษรยังมีเกาจวีถังผู้รั้งตำแหน่งที่ปรึกษาและหัวหน้าคณะบัณฑิตนั่งอยู่ตรงมุมห้องกำลังเดินหมากด้วยสีหน้าสุขุมเฉกเช่นทุกครา จากหางตาเขามองเห็นชายเสื้อคลุมสีเหลืองขยับไหวไปตามย่างก้าว ฮ่องเต้หยุดเหม่อมองตำหนักร้างที่ปรากฏให้เห็นอยู่ไกลๆ จากนอกหน้าต่างอยู่เป็นนาน

‘มีอะไรจะพูดก็พูดเถอะ ข้ายืนจนขาแข็งหมดแล้ว’ บุรุษหนุ่มได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจ

“อาการเจ็บป่วยของท่านเป็นอย่างไรแล้วบ้างบัณฑิตหลิว” ฮ่องเต้เจี่ยผิงตรัสถามขึ้น ราวกับรายงานก่อนหน้าของเขาเป็นเพียงสายลมที่ลอยเข้าหูเท่านั้น

“ดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่หมอหลวงต้องการให้กระหม่อมพักอีกสักระยะหนึ่ง” เขาเอ่ยตอบอย่างเป็นธรรมชาติ ที่กล่าวมาเป็นความจริงทั้งสิ้นเนื่องเพราะนั่งอ่านตำราติดกันเป็นเวลานาน ระยะหลังมานี้จื่อฟางปวดหลังจนแทบลุกไม่ขึ้น ชายหนุ่มรับรู้ถึงสายตาใคร่รู้ของฮ่องเต้ก็เหงื่อซึมเล็กน้อย ที่ผ่านมาเขาใช้อาการป่วยเป็นข้อหลีกเลี่ยงเผชิญหน้าต่อเจ้าแผ่นดินมาตลอดจึงไม่ได้สนทนาเป็นการส่วนตัวกับเจ้าแผ่นดินบ่อยนัก

“อืม เรากับเกาจวีถังเองก็เห็นด้วยว่าท่านควรพัก” ฮ่องเต้เจี่ยผิงกล่าวช้าๆ จื่อฟางเก็บซ่อนสีหน้าแปลกใจที่ได้ยินชื่อของเกาจวีถังแต่ก็แสร้งทำมือสั่นน้อยๆ ราวกับกำลังสะเทือนใจนักหนา ที่ปรึกษาเกาขยับตัวอย่างไม่สบายใจทำให้เขาพอรู้ว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่สบายใจกับบทสนทนาในวันนี้ ฮ่องเต้ถอนหายใจก่อนกล่าวต่อ

“ที่ผ่านมาท่านดูแลรัชทายาทได้อย่างดียิ่ง” ฮ่องเต้เจี่ยผิงหยักยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกายวูบหนึ่งราวกับรำลึกถึงเหตุการณ์กบฏเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา “เรื่องที่แล้วมาก็ให้มันผ่านไป เราไม่ใจแคบโกรธเคืองท่าน”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงน่ะหรือไม่ใจแคบ เขาอยากจะหัวเราะดังๆ

“บอกท่านตามตรง เรายังคงกังวลเรื่องของรัชทายาท เรามองว่าเขายังไม่เติบโตพอจะรับราชกิจใดได้”

จื่อฟางแอบเห็นด้วยอยู่ในใจ เขาเพียงพยักหน้าน้อย ๆ ฮ่องเต้ปรายตามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง “ในยามนี้เรามองว่าร่างกายของเจี่ยอิงต้าเป็นเรื่องสำคัญ แม้อาการป่วยจะดีขึ้น แต่เรายังไม่วางใจ เราต้องการให้รัชทายาทได้ฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มที่เสียก่อน”

“ฝ่าบาทมีความคิดอันใดหรือ” บุรุษหนุ่มไม่รอช้าเอ่ยถามหลังจากฟังเจ้าแผ่นดินร่ายยาวมานาน ที่ปรึกษาเกาจวีถังอมยิ้มน้อย ๆ ดวงตาเผยแววขบขัน ฮ่องเต้เจี่ยผิงมีสีฟน้าคล้ายรำคาญใจ ตวัดสายตามอง

“เรามาคิดดูแล้วหน้าที่สอนหนังสือของท่านคงต้องละเว้นไว้ก่อน เราเห็นว่าบัณฑิตหลิวควรพักสักหน่อย แต่ท่านอย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าเราผลักไสท่าน เรื่องอาการป่วยของท่านก็ไม่สมควรมองข้ามเช่นกัน” บุรุษหนุ่มกล่าวอย่างลื่นไหลพร้อมเผยรอยยิ้มมีเมตตา แต่จื่อฟางรู้ดีกว่านั้น ที่ปรึกษาเกาจวีถังได้แต่ก้มมองกระดานหมาก หัวคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย

“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขารับคำสั่ง เขาไม่มีเรื่องใดต้องเสียใจ รู้สึกยินดีด้วยซ้ำ หากจำไม่ผิดคงใกล้ถึงเวลาที่เกาจวีถังจะเข้ามาดูแลรัชทายาทแทนแล้ว นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับตัวเขาและเจี่ยอิงต้า หากถูกสั่งสอนในทางที่ถูกที่ควร บางทีรอยร้าวระหว่างฮ่องเต้และรัชทายาทอาจจะไม่นักหนา อีกทั้งช้าหรือเร็ว จื่อฟางก็คิดวางแผนถอนตัวออกจากราชสำนักไว้อยู่แล้ว

เพียงแค่รู้สึกผิดต่อเจ้าของร่างนี้เท่านั้น แม้จะได้ความทรงจำของหลิวเซียนฟางมาทั้งหมดแต่ก็มีสิ่งที่เลียนแบบมิได้ นั่นก็คือความฉลาดปราดเปรียว บัณฑิตหลิวศึกษาตำรามาตั้งเท่าไหร่ ความฉลาดไม่ต้องกล่าวถึง ผู้คนย่อมต้องเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน กระนั้นเขาก็ยังต้องศึกษาตำราอ่านบทกวีเข้าไว้

‘หลิวเลอะเลือน’ จึงกลายเป็นชื่อที่จื่อฟางได้ยินบัณฑิตผู้อื่นพูดถึง บ้างก็ว่าบัณฑิตหลิวศึกษาตำราจนสมองไม่รับรู้สิ่งใด บ้างก็บอกว่าบัณฑิตหลิวเพี้ยนไปเอง ทั้งยังมีเรื่องรักใคร่ระหว่างบุตรชายสกุลไป๋ ที่คุยอย่างไรก็ไม่จบสิ้น นานครั้งจะมีชื่อของเสิ่นจิ้งเฟยคุณชายรูปงามโผล่มาด้วย แต่เนื่องเพราะหวาดกลัวต่อเจ้าแผ่นดิน หัวข้อนี้จึงคล้ายกับสายลม ประเดี๋ยวมาประเดี๋ยวไป

“อืม...เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังในวันรุ่งขึ้น” ฮ่องเต้เจี่ยผิงโบกมือ คงหมายถึงการประชุมท้องพระโรงและเรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนขององค์รัชทายาท เกาจวีถังมีสีหน้าไม่สบายใจนัก จื่อฟางค่อนข้างโล่งอก ถึงอย่างไรตัวหลิวเซียนฟางก็ยังมีตำแหน่งปั๋วซือบัณฑิตขั้นสูงติดตัวอยู่ดี ชายหนุ่มยังคงยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิม เริ่มปวดเอวแปลบๆ แต่ก็ไม่กล้าขยับตัว ช่วงเดือนที่ผ่านมาเขาค่อนข้างปรับตัวกับพิธีการต่างๆ ของวังหลวงได้แล้ว

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องที่อยากร้องขอพ่ะย่ะค่ะ” จื่อฟางเอ่ยขึ้นเมื่อได้จังหวะ นึกไปถึงคำขอขององค์รัชทายาท

“ว่าอย่างไร”

“ช่วงนี้องค์รัชทายาทรักษาตัวอยู่แต่ในตำหนักบูรพา กระหม่อมทรงมองออกว่าพระองค์ค่อนข้างเหงา จึงอยากขอฝ่าบาทอนุญาติให้พระองค์ออกไปเดินเล่นนอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยไปก็กลั้นใจไป

เจี่ยผิงได้ยินคำขอของบัณฑิตหลิวก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ช่วงนี้เขาค่อนข้างหวาดระแวงจึงเข้มงวดกับเจี่ยอิงต้าไปไม่น้อย อีกทั้งก็ใช้เวลาร่วมกับโอรสน้อยยิ่งนัก

“อืม เราอนุญาต” ฮ่องเต้กล่าว

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” จื่อฟางแปลกใจแต่ก็ตอบรับอย่างยินดี

ผู้เป็นฮ่องเต้เห็นบัณฑิตหลิวมีใบหน้าเปล่งปลั่งทันตาก็อดจะกระตุกยิ้มไม่ได้ แผนการบางอย่างเริ่มก่อร่างในความคิด เขาเอ่ยเสริม “เรามาคิดดูแล้ว น่าจะเป็นการดีหากให้รัชทายาทออกไปพบปะราษฎรแจกจ่ายอาหารแห้งดูสักครา”

“ฝ่าบาทแน่ใจแล้วหรือ” เกาจวีถังเอ่ยแย้งขึ้นเบาๆ ระหว่างนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงเดินไปหยิบหมากสีดำวางบนกระดานของที่ปรึกษา

“แน่ใจสิ อย่างน้อยก็เป็นสร้างความมั่นใจให้กับราษฎร” เจี่ยผิงรู้ดีว่า เหตุการณ์กบฏสร้างความหวาดหวั่นต่อชาวเมืองเช่นไร ความนิยมของเราก็เริ่มสั่นคลอน ส่งรัชทายาทออกไปพบปะภายนอกก็นับว่าเป็นเรื่องดี แม้จะยังหวาดระแวงเรื่องเกลือเป็นหนอนก็ตาม

“ถ้าหากท่านแน่ใจ...กระหม่อมคงเปลี่ยนใจพระองค์ไม่ได้” เกาจวีถังถอนหายใจอย่างไม่ปิดบัง ภายในห้องทรงอักษรเกิดความเงียบอีกระลอกหนึ่ง มีเพียงเสียงวางหมากบนกระดานสองสามตาเท่านั้น

“จะว่าไป ท่านได้ยินเรื่องที่ผู้คนภายนอกพูดถึงท่านหรือไม่ บัณฑิตหลิว” น้ำเสียงของของฮ่องเต้แฝงแววบางอย่าง สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน

“กระหม่อมสนใจเพียงศึกษาตำรา มิได้สนใจเรื่องราวอื่นใด” เป็นคำตอบที่เสแสร้งโดยแท้ แต่จื่อฟางไม่อยากพูดถึงข่าวซุบซิบของตัวเองต่อหน้าผู้อื่น โดยเฉพาะบุคคลอันตรายผู้นี้ เรื่องนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปของหลิวเซียนฟางถึงอย่างไรก็ปิดไม่มิด หากโอรสสวรรค์จะระแคะระคายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกฝ่ายจะเดาออกหรือไม่เขาไม่แน่ใจนัก

“ฮ่า ๆ เช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งเสียงหัวร่อราวกับเห็นเป็นเรื่องน่าขำ จื่อฟางลอบมอง ทันเห็นฮ่องเต้ยิ้มจางแต่เป็นรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตาทำเอาเด็กหนุ่มเสียวสันหลังวูบหนึ่ง เกาจวีถังขมวดคิ้วเข้าหากัน สีหน้าแคลงใจปรากฏให้เห็น

“มีสิ่งใดน่าขำหรือฝ่าบาท” เกาจวีถังเอ่ยถาม มีเพียงที่ปรึกษาสหายคนสนิทที่กล้าเอ่ยกับเจ้าแผ่นดินโดยไม่ต้องระวังกิริยา บุรุษหนุ่มวางหมากสีขาวลงด้วยรอยยิ้ม แค่ตัวหมากเดียวก็เปลี่ยนสถานการณ์บนกระดานได้ ทำให้ฮ่องเต้มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก อีกฝ่ายสะบัดแขนเสื้ออย่างนึกรำคาญ

“เราเพียงแปลกใจ เหตุใดบัณฑิตหลิวผู้เป็นปั๋วซือถึงได้มีเวลาผูกใจรักกับรองแม่ทัพไป๋ บัณฑิตหลิวท่องตำรา ส่วนรองแม่ทัพไป๋อยู่นอกกำแพง ช่างน่าแปลกโดยแท้ ข้าจำได้ว่าท่านเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ยิ่งนัก หรือที่ผู้คนว่าท่านเลอะเลือนจะเป็นความจริงเสียแล้ว” เจ้าแผ่นดินกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงแววหยอกล้อ มือลูบปลายคางอย่างใช้ความคิด

“หากบัณฑิตหลิวเลอะเลือนจริง เหล่าบัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงมิกลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญากันหมดเลยหรือ” ที่ปรึกษาเกาส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่เห็นด้วย

“ท่านไม่จำเป็นต้องมีโทสะ บัณฑิตหลิวยังไม่ว่ากล่าวสิ่งใดเลย” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่ใส่ใจนักระหว่างพิจารณากระดานหมากครู่ใหญ่ ดูแล้วจะพลาดท่าให้กับที่ปรึกษาเกาเข้าจริงๆ

“ท่านคิดอย่างไรเล่า ท่านเลอะเลือนอย่างที่ผู้คนว่าหรือไม่” ฮ่องเต้หันมาสบตากับจื่อฟาง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและแววประกายบางอย่างในดวงตาทรงอำนาจคู่นั้น

“ฝ่าบาท…” เกาจวีถังส่งเสียงปรามแต่จื่อฟางจับได้ถึงน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ของอีกฝ่าย เกาจวีถังเป็นสหายที่รู้จักกับหลิวเซียนฟางตั้งแต่สมัยร่ำเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง สหายเป็นคนเช่นไร อีกฝ่ายย่อมต้องรู้ดี

“ทูลตามตรง กระหม่อมไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด แม้จะรู้จักรองแม่ทัพไป๋ด้วยช่วงเวลาที่ไม่ปกติ…” เขาแสร้งสูดลมหายใจเข้าเพื่อความสมจริง เรื่องไป๋ผูอวี้หมดใจแก่คุณชายเสิ่นผู้ล่วงลับเป็นที่พูดถึงไปทั่ว เขาเองก็ยอมรับว่าฟังดูแปลกสำหรับคนนอก

“กระหม่อมพูดไปเกรงว่าจะไม่เหมาะสม ฝ่าบาทโปรดอย่าถือสา” จื่อฟางค้อมตัวน้อยๆ

“เอาละ เราไม่ได้มีเจตนาจะว่ากล่าวท่าน อย่างไรเสียเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเรา” ฮ่องเต้เจี่ยผิงมีสีหน้าเรียบเฉยคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

“เช่นนั้นท่านกลับไปพักผ่อนเสียเถอะ เราไม่มีเรื่องใดจะคุยกับท่านแล้ว” ฮ่องเต้โบกมือไล่อย่างไม่ไว้หน้านัก “หากมีเรื่องใช้เราจะเรียกหาท่าน”

“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” เด็กหนุ่มค้อมตัวหลายๆ ที ถอยออกมาจากห้องทรงพระอักษรด้วยจิตใจที่เต้นระส่ำ

“รักษาตัวด้วย บัณฑิตหลิว” ที่ปรึกษาเกาส่งยิ้มลำบากใจมาให้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2023 02:58:27 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4


เมื่อออกนอกตำหนักจื่อฟางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ องครักษ์ยังคงอารักขาหนาแน่นอยู่รอบบริเวณ เขาเดินไปตามทางอย่างเชื่องช้า อาภรณ์สีน้ำเงินพลิ้วไหวตามจังหวะย่างก้าว ยังคงรักษามาดของบัณฑิตหลิวไว้ เขาเดินกลับไปที่ตำหนักบูรพา องค์รัชทายาทกอดอกรอคอยด้วยสีหน้าร้อนรน เมื่อเห็นร่างของเขาเดินผ่านพ้นตำหนักประตู ก็รีบปรี่มาหา บ่าวรับใช้วิ่งตามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เกรงว่ารัชทายาทจะสะดุดล้มเข้า

“ท่านอาจารย์ ว่าอย่างไร เสด็จพ่ออนุญาตหรือไม่” สีหน้าท่าทางของเจี่ยอิงต้าเหมือนกับเด็กผู้หนึ่งทำให้เขายกยิ้ม

“ฝ่าบาทอนุญาต” จื่อฟางกล่าวถึงเรื่องที่ฮ่องเต้คิดไว้ให้อีกฝ่ายฟัง องค์รัชทายาทมีสีหน้าตื่นตะลึงอยู่บ้างแต่ก็เก็บอาการได้อย่างรวดเร็ว

“ท่านว่าจริงหรือที่เสด็จพ่อจะให้ข้าออกไปทำราชกิจ” เจี่ยอิงต้าอดถามขึ้นมาอีกรอบไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นล้นพ้น หมายความว่าเสด็จพ่อทรงไว้ใจเขา

“พ่ะย่ะค่ะ” จื่อฟางพยักหน้า อาการป่วยเซื่องซึมของเด็กหนุ่มคล้ายจะปลิวหายไปกับสายลม

“รัชทายาทปรีชาสามารถ ฝ่าบาทย่อมต้องมองเห็น” บ่าวรับใช้จอมประจบสอพลอกล่าวขึ้นมา จื่อฟางไม่ชอบใจนักขันทีเหล่านี้จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด ตามประวัติศาสตร์ผู้ปกครองแผ่นดิน เสียท่าไปตั้งเท่าไหร่ หากเกาจวีถังได้รับหน้าที่ดูแลเจี่ยอิงต้าอย่างเป็นทางการเขาต้องส่งต่อความกังวลให้อีกฝ่ายรับรู้

“อืม” ดวงหน้าของรัชทายาทเปล่งประกายไปด้วยความหวัง

จื่อฟางยอมถูกรัชทายาทลากจูงไปเดินเล่นในสวนอยู่นาน กว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้เขากลับ ตะวันก็เคลื่อนตรงศีรษะ บุรุษหนุ่มฮัมเพลงในลำคอเบาๆ เดินมาถึงประตูข้าง เขาก็ทิ้งไหล่อย่างโล่งใจ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่หน้าผากก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามบ่ายที่กระจ่างใสไร้ปุยเมฆ นึกอยากออกไปท่องเที่ยวยิ่งนักแต่เขายังมีสิ่งที่ต้องจัดการอีกหลายเรื่อง

ทั้งภารกิจของตนและงานของหลิวเซียนฟาง ไม่มีเวลาเอ้อระเหยเหมือนครั้งที่อยู่ในร่างเสิ่นจิ้งเฟย ยังมีพายุที่คอยตั้งเค้าอยู่ภายนอก ช่างอินที่ยังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไหนจะชนเผ่านอกด่านที่ยังเป็นปัญหาค้างคาที่ต้องแก้ไข จื่อฟางก้าวพ้นประตูข้างของวังหลวงก็พบกับสือโม่ บ่าวรับใช้นำรถม้าคันเล็กมาจอดรอรับอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่าทางแปลกพิกลของอีกฝ่ายทำให้เขารู้ว่าต้องมีเรื่องใดแน่

“มีเรื่องใด” เขาเอ่ยถามเมื่อก้าวเข้าไปใกล้จนถึงระยะที่ได้ยินเพียงสองคน

“เอ่อ เปล่าขอรับ” สือโม่ยิ้มแห้งแต่สายตาเหลือบมองไปยังรถม้า บ่าวรับใช้ก้มหน้างุดก่อนจะยกเก้าอี้เล็กมาวางให้เขาก้าวขึ้นไปนั่ง ชายหนุ่มเลิกคิ้วแต่ไม่ได้ถามต่อ แม้จะอยู่ด้วยกันร่วมสองเดือนแต่สือโม่ก็ยังรับมือกับนิสัยแปลกประหลาดบางอย่างที่ติดมาจากยุคปัจจุบันของเขาไม่ได้

จื่อฟางเข้าไปนั่งด้านในก็พบกับร่างสูงใหญ่อันคุ้นตา เขาคลี่ยิ้มกว้างก่อนทิ้งตัวนั่งลงข้างร่างนั้น

“ฮ่องเต้ทำเรื่องลำบากใจให้เจ้าหรือไม่” ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม เจ้าตัวสวมใส่ชุดลำลองของกรมทหาร สีแดงเข้มทะมัดทะแมง ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีไรหนวดจาง ผิวกายคล้ำแดดจากการฝึกยุทธ์

“หากคนผู้นั้นทำแล้วเจ้าจะจัดการเขาให้ข้าหรือไร” จื่อฟางกระซิบเสียงแผ่ว เผยสีหน้าเหนื่อยล้าให้เห็น

“เหนื่อยมากเลยหรือ” ไป๋ผูอวี้ถามด้วยใบหน้าที่คล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม แต่ก่อนจื่อฟางอยู่ในร่างของคุณชาย ไม่มีงานใดให้ทำ การใช้ชีวิตไม่ยุ่งยากถึงเพียงนี้

“เหนื่อยเดินเสียมากกว่า” เขาตอบยิ้มๆ เอนกายพิงลาดไหล่แกร่ง “เขาดูสงสัยในตัวข้าอยู่ไม่น้อย” จื่อฟางกล่าวต่อระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวไปตามถนนเส้นสายคุ้นตา

บุรุษข้างกายเงียบไปอย่างครุ่นคิด เขารู้ดีว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงมิใช่คนโง่ เรื่องเสิ่นจิ้งเฟยก็เป็นอีกฝ่ายที่ล่วงรู้ก่อน ความไม่สบายใจก่อตัวอยู่ในอก หากฮ่องเต้รู้ว่าจื่อฟางอยู่ในร่างของหลิวเซียนฟาง เขาไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะว่าอย่างไร เจ้าแผ่นดินหมกมุ่นยึดติดกับเสิ่นจิ้งเฟยอย่าวแปลกประหลาด จนเขาเกรงว่าอะไรที่เคยข้องเกี่ยวกับเสิ่นผู้นั้นจะทำให้ฮ่องเต้สนใจ

“เจ้าต้องระวังตัวไว้หน่อย คนอย่างฮ่องเต้เจี่ยผิงมิอาจมองข้ามโดยง่าย ข้าเชื่อว่าพระองค์อาจระแคะระคายบ้าง เจ้ามิใช่บัณฑิตหลิวนี่นะ” ไป๋ผูอวี้อดไม่ได้ต้องถอนหายใจ

“อืม ข้ายังต้องทำเรื่องของบัณฑิตอีกแหน่ะ” จื่อฟางขมวดคิ้วเมื่อนึกถึง บทของหลิวเซียนฟางไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการเมืองในราชสำนักโดยตรง ซึ่งเขาเองก็ไม่อยากไปข้องเกี่ยวแต่เป็นเรื่องของชุมนุมบัณฑิตที่ครั้งหนึ่งไป๋ผูอวี้ก็เคยเข้าร่วมมาก่อน แต่ก่อนการชุมนุมมีจุดประสงค์เกี่ยวกับงานบ้านเมือง แต่ณเวลานี้หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ออกกฎชัดเจนถึงขอบเขตเรื่องการวิจารณ์

การชุมนุมจึงเป็นเพียงการพบปะของบัณฑิตทั่วไป ถกบทกวี พูดคำคมที่ดูฉลาดสักหน่อย จากนั้นก็ดื่มชา มักจัดขึ้นที่โรงเตี๊ยมเสวียนหรงในทุกวันที่สิบของทุกเดือน ในยามเซิน (15.00-16.59 น.) ซึ่งตรงกับวันนี้ ตั้งแต่สวมบทบัณฑิตหลิว จื่อฟางได้มีโอกาสไปร่วมงานเพียงสี่ครั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่เขาเป็นผู้ฟังเสียมากกว่า หากจวนตัวเข้าจริง ๆ ก็ใช้ความจำจากตำราและความรู้งูๆ ปลาๆ จากยุคปัจจุบันมาใช้เอาตัวรอด

การสวมบทบัณฑิตหลิวของเขาจึงยังไม่นับว่าน่าเกลียดนัก อย่างไรเสียในตอนนี้เขาก็เป็นเพียงแค่หลิวเลอะเลือนเท่านั้น ฉายาบ้าบอพวกนี้ก็ได้มาจากการชุมนุมบัณฑิตนี่ละ

“เจ้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง” จื่อฟางเอ่ยถาม แหงนหน้ามองบุรุษข้างกาย ใบหน้าหล่อเหลาของไป๋ผูอวี้แปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่เขาก็ยังสังเกตเห็น ท่อนไม้ไป๋แสร้งตีหน้าได้แนบเนียน คงเพราะไม่อยากให้เขาเป็นกังวล เท่าที่จื่อฟางทราบมาเส้นทางของไป๋ผูอวี้ในกองทัพหลวงไม่ราบรื่นเท่าไหร่ ตำแหน่งรองแม่ทัพที่ฮ่องเต้เจี่ยผิงมอบให้ดูเหมือนจะเป็นดาบสองคม

ทหารในกองทัพบางส่วนไม่พอใจที่บุตรสกุลไป๋ผู้นี้อยู่ ๆ ก็ได้เข้ามาอยู่ในกองทัพด้วยตำแหน่งสูง เพราะเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ลมพัดเข้ามาวูบหนึ่งทำให้ม่านไหวสะบัด เขาย่นจมูกครั้นได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ มาจากอีกฝ่าย

“เกิดเรื่องใดขึ้น” จื่อฟางเอ่ยถามกวาดตามองบุรุษหนุ่มขึ้นลง มองหาร่องรอยบาดเจ็บ เขากดมือไปตามแผ่นอกแกร่ง เมื่อเลื่อนลงต่ำบริเวณท้องน้อย กล้ามเนื้อของไป๋ผูอวี้พลันหดเกร็ง สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สีหน้าเจ็บปวดวาบผ่านให้เห็น

“ท่านบัณฑิต...ไยทำเรื่องลามกแต่หัววันเล่า” ผู้เป็นรองแม่ทัพแสร้งกล่าวหยอกล้อ วางมือลงบนมือที่กำขยุ้มอยู่บนสาบเสื้อ

จื่อฟางถลึงตาใส่ “เจ้าได้รับบาดเจ็บ! ยังจะมาล้อเล่นอยู่อีก ถอดเสื้อให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”

ไป๋ผูอวี้ยังคงตีหน้าไม่รู้ความ บุรุษหนุ่มจึงออกแรงดึงผ้าคาดเอวของอีกฝ่ายออกอย่างไม่ออมมือนัก อีกฝ่ายลูบหลังมือเขาครู่หนึ่งก่อนจะยอมปล่อยให้จื่อฟางเปลื้องผ้าท่อนบนออกแต่โดยดี หากมีคนมองลอดผ่านม่านเข้ามาคงกลายเป็นเรื่องน่าดูชม ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้จะได้ยินคำหยอกของไป๋ผูอวี้หรือไม่ แต่ใครสนล่ะ ชื่อเสียงของบัณฑิตหลิวและไป๋ผูอวี้แปดเปื้อนจนไม่เหลือคุณความดีแล้ว
จื่อฟางมองเห็นผ้าพันแผลบริเวณท้องน้อยซึมไปด้วยเลือด เขาก็สูดหายใจเข้าเสียงดัง ดูแล้วไม่ใช่บาดแผลเพียงเล็กน้อย เขาใช้มือลูบแผ่วเบาเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้รับความเจ็บปวด คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน พอจะเดาได้ว่าผู้ใดเป็นต้นเหตุของบาดแผลนี้

“แม่ทัพใหญ่ซ่งผู้นั้นประมือกับเจ้าอีกแล้วรึ”

รถม้ายังคงเคลื่อนโขยกเขยกไปยังถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ถนนสายนี้มุ่งสู่ตรอกซีหมานอันคุ้นตา ไป๋ผูอวี้มองเห็นความกังวลและความขุ่นเคืองบนใบหน้าหมดจดของคนรักก็ตบหลังมือของเจ้าตัวเบาๆ ยกยิ้มเล็กน้อย

“แม่ทัพซ่งประมือกับข้าหนักไปหน่อย” พูดไปเช่นนั้น ไป๋ผูอวี้ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเก็บมาแค้นเคือง ซ่งอวิ๋นเซิงเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองหลวง กรมกลาโหมเพิ่งแต่งตั้งเข้ามาเมื่อเดือนก่อนเพราะผลงานการปราบกบฏในเมืองหลวงทำให้อีกฝ่ายได้รับความไว้ใจจากฮ่องเต้ แค่หลับตาข้างเดียวผู้คนก็มองออกว่าแม่ทัพซ่งไม่พอใจเขาอย่างยิ่ง

คนผู้นั้นชอบนักที่ได้ฉีกหน้าเขาต่อหน้าพลทหาร เดิมทีไป๋ผูอวี้ก็เตรียมใจไว้แล้วว่า ไม่ได้มีแต่ผู้ที่ชมชอบเขา เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ บุรุษหนุ่มก็มองว่าการเข้ามาของเขาในทัพหลวงก็ออกจะไม่ยุติธรรมเสียหน่อย มีเพียงพลทหารเก่าที่ติดตามเขามาตั้งแต่การศึกคราก่อนต่างก็ขุนหมองไม่ชอบแม่ทัพซ่ง

ยามที่ว่างจากการหารือทัพ ซ่งอวิ๋นเซิงมักท้าประลองกับไป๋ผูอวี้เพื่อฝึกมือด้านยุทธวิธีทางทหาร เขามิใช่คนน้ำเต็มแก้วยินดีรับการสั่งสอนเสมอ ไป๋ผูอวี้จึงมีรอยคมดาบอยู่บนร่างไม่น้อย คนผู้นี้นับว่ามีฝีมือเหมาะสมกับตำแหน่ง มีข่าวลือหนาหูว่าหากองค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าร่างกายแข็งแรง ฮ่องเต้คิดทาบทามแม่ทัพซ่งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาการต่อสู้ให้แก่รัชทายาท

“เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก แม่ทัพซ่งผู้นั้นแค่มือหนักไปหน่อย แต่ข้าเชื่อว่าเขาไม่ได้คิดร้าย” ไป๋ผูอวี้เข้าใจเจตนาของแม่ทัพซ่ง

“ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้น” จื่อฟางรู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้ เขาจัดแจงเสื้อผ้าท่อนบนของไป๋ผูอวี้ให้เรียบร้อยอีกครั้ง

“ข้าเพียงรู้สึกเหมือนคนสองหน้า แต่ก่อนข้าเคยต่อต้านระบบพวกพ้องของราชสำนัก แต่ในตอนนี้ข้ากลับเป็นเสียเอง หรือเป็นเพราะอยู่ท่ามกลางต้นหลิวลู่ลมก็เลยต้องเอนเอียงตามไปด้วย” บุรุษหนุ่มอดไม่ได้ต้องเอื้อนเอ่ยออกมา

“หันหางเสือตามลม” จื่อฟางเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ไม่ได้ว่ากล่าวตามที่ใจคิด ในโลกที่เขาจากมา ไม่มีผู้ใดที่ดีงามโดยไม่หมองหม่น คนเช่นนั้นคงมีอยู่ในเพียงเทพนิยาย ไป๋ผูอวี้ยังคงมีนิสัยอย่างพระเอก ก็คือมองโลกในแง่เดียว เป็นเส้นตรงจนเกินไปย่อมขาดได้ง่าย

“ต่อให้เจ้าเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ก็ห้ามเรื่องเช่นนี้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยกระซิบเบา ๆ ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วมุ่นน้อยๆ เหมือนอยากเอ่ยแย้ง แต่ก็ถอนหายใจเบา ๆ อีกฝ่ายรู้ดีว่าเขามีความคิดไม่เหมือนคนที่นี่ เขาทอดสายตามองร้านรวงสองข้างทางผ่านม่านที่สะบัดตามแรงลม ชาวเมืองออกมาเดินจับจ่ายซื้อของตามปกติจนเขานึกอิจฉา

“เจ้าจะไปตรวจดูเรือนฉิงเหมยหรือ” บุรุษข้างกายถาม เมื่อรถม้ามุ่งหน้าเข้าสู่ตรอกซอยคุ้นตา เรือนฉิงเหมยคือร้านที่จื่อฟางลงทุนไว้เมื่อครั้งที่ยังเป็นเสิ่นจิ้งเฟย ซึ่งบัดนี้สร้างเสร็จแล้ว หากยังจำกันได้ว่าไป๋ผูอวี้เคยไปหารือกับเสนาบดีเสิ่นเรื่องที่ดิน ว่าต้องการสร้างกิจการต่อไปเพื่อทำตามความต้องการของเสิ่นจิ้งเฟยที่ (ผู้คน) คิดว่าล่วงลับไปแล้วจากเหตุไฟไหม้ แต่กลายเป็นว่ายามนี้ร้านค้านั้นกลับตกเป็นของบัณฑิตหลิวที่ผู้คนเข้าใจว่าเป็นคนรักใหม่ของไป๋ผูอวี้

“ข้าต้องไปตรวจดูความเรียบร้อยเสียหน่อย ไม่ได้แวะไปดูนานหลายวันแล้ว” จื่อฟางมีสีหน้าพิลึกพิลั่นก่อนเหลือบมองคนข้างตัว

“เจ้าจะไปกับข้าหรือ”

“ใช่ ข้าเองก็อยากแวะไปดูโรงน้ำชาหลิวซื่อบ้าง ปล่อยให้ท่านอาดูแลเสียนาน” ไป๋ผูอวี้มอบหน้าที่ดูแลให้แก่ไป๋เหวินโม่ ผู้เป็นอา
“ทำไมหรือ เจ้ากลัวชื่อเสียงบัณฑิตแปดเปื้อนหรือไร” บุรุษหนุ่มกล่าวเย้าหยอก

“ชื่อเสียงของเจ้าต่างหากที่กู่ไม่กลับ” จื่อฟางพึมพำ รู้สึกไม่ดีนิดหน่อยที่เป็นหนึ่งในสาเหตุนั้น

“อีกเดี๋ยวผู้คนก็ลืมเลือน” ไป๋ผูอวี้ออกจะขบขันเสียมากกว่า เขาไม่ได้ใส่ใจนัก ภาพลักษณ์ดีงามของบุตรชายสุกลไป๋ป่นปี้ไปตั้งแต่บิดาของเขาขนข้าวของย้ายกลับไปที่หลานโจว ไป๋ผูอวี้กลายเป็นบุตรอกตัญญู ไม่รู้คุณไปเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย

เรื่องของเรือนฉิงเหมยยิ่งเพิ่มพูนความบาดหมางระหว่างเขาและเสิ่นมู่หยาง ดูแล้วคงไม่มีวันผสานรอยร้าวได้อีก ไป๋ผูอวี้ได้แต่นึกอย่างสะท้อนใจ บางทีคงเป็นโชคชะตากระมัง แต่แรกสกุลไป๋และสกุลเสิ่นก็ไม่มีทางญาติดีกัน จนกระทั่งจื่อฟางเข้ามาเปลี่ยน และก็เป็นจื่อฟางที่ทำให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนที่ควรเป็น

เรื่องเหล่านี้ไม่ทำให้โรงน้ำชาหลิวซื่อขาดผู้คน กลับเนืองแน่นดั่งแต่ก่อน พวกท่านคิดดูเอาเถอะ ว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นหัวข้อในร้านน้ำชาหลิวซื่อไปกี่วัน มิมีผู้ใดไม่ชมชอบเรื่องฉาวโฉ่ของผู้อื่น โดยเฉพาะเรื่องของไป๋ผูอวี้

จื่อฟางไม่ได้เอ่ยตอบ ขนาดเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยผู้คนยังไม่ลืมเลือนเสียที “ข้าต้องไปที่โรงเตี๊ยมเสวียนหรงอีก วันนี้มีงานชุมนุม”

“เจ้างานยุ่งน่าดู” ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบา ๆ “ขอให้สนุกล่ะ บัณฑิตเหล่านั้นคงทำให้เจ้าปวดหัวไม่น้อย”

โดยเฉพาะจ้าวเซียวชิง

“ถึงแล้วขอรับ” สือโม่ร้องเรียกจากด้านนอกเมื่อรถม้าหยุดลง จื่อฟางจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อย ถอดหมวกบัณฑิตออก จัดแจงมวยผมให้ดูไม่เป็นการเป็นงานมากนัก เขาก้าวลงมาจากรถม้าตามด้วยไป๋ผูอวี้ เรือนฉิงเหมยของเขายามนี้นับว่าเป็นดาวเด่นแห่งตรอกซีหมาน เพราะออกแบบด้วยสีสันฉูดฉาด มีชีวิตชีวาตรงข้ามกับโรงน้ำชาหลิวซื่อ บรรยากาศสบาย ดนตรีไพเพราะจึงเป็นสถานที่ส่วนมากลูกคุณหนูและเหล่าคุณชายแวะเวียนมาบ่อย ๆ

จื่อฟางมองข้ามสายตาสอดส่องของผู้คนรอบกาย ไป๋ผูอวี้ทอดมองไปยังโรงน้ำชาหลิวซื่อที่ตั้งเยื้องห่างออกไปอีกฝั่ง ดวงตาลึกล้ำเป็นคลื่นไหวราวกับนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ชาวเมืองคุ้นชินกับเรื่องเล่าลือของไป๋ผูอวี้และบัณฑิตหลิว แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังถูกจ้องมองด้วยสายตาแปลกประหลาดอยู่ดี

“ที่ตรงนั้นแต่เดิมเป็นของคุณชายเสิ่นมิใช่หรือ ได้ข่าวว่าคิดการเสียยกใหญ่” ใครคนหนึ่งพูด

“จะไม่ให้เสนาบดีเสิ่นมีโทสะได้อย่างไร บุตรชายตายได้ไม่นาน ไป๋ผูอวี้ก็พาคนรักใหม่มาทับรอยเสียแล้ว”

“อืม...ท่านว่าเรื่องนี้มันคุ้นๆ ใช่หรือไม่ เสนาบดีเสิ่นก็ใช่ย่อยนา เวรกรรมที่ทำกับเสิ่นฮูหยินกระมัง”

“พวกท่านก็พูดไป”

ทั้งไป๋ผูอวี้และจื่อฟางต่างก็นิ่งเงียบ ผู้คนในฉางอันยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จื่อฟางคุ้นชินกับคำนินทาเสียแล้ว ก็เลยไม่ได้ใส่ใจเสียงพูดคุยรอบตัวอีก ต่างจากสือโม่ที่ใบหน้ากลายเป็นเขียวปัดเหมือนอยากเอ่ยพรุคำเผ็ดร้อนออกมา เขาถอดสายตามาจากบ่าวรับใช้ ในบางครั้งก็อดนึกถึงจางต้าอยู่เล็กน้อย

“บัณฑิตหลิว รองแม่ทัพไป๋ เชิญทางนี้” อวี้หลันปรี่เข้ามากล่าวทักทาย หญิงสาวนางนี้คือผู้จัดการร้านที่เขาแต่งตั้งไว้ ร่างบางค้อมกายกล่าวทักทายคนทั้งคู่พร้อมเดินนำพวกเขาไปตรวจดูเรือนฉิงเหมยอย่างกระตือรือร้น ทิ้งสือโม่เฝ้าอยู่ที่รถม้า บ่าวรับใช้ได้แต่ส่งสายตาขุ่นเคืองใส่ชาวบ้านรอบตัว

ทันทีที่ก้าวเข้าไปในเรือนฉิงเหมยกลิ่นสุราและกลิ่นผลไม้ดองอวลติดจมูก

“บางครั้งข้าก็ไม่เข้าใจความคิดของเจ้าเอาเสียเลย” ไป๋ผูอวี้พึมพำกวาดสายตามองเรือนฉิงเหมย หากจะบอกว่าเป็นโรงน้ำชาก็มิใช่ ร้านสุราก็มิเชิง ทั้งยังเหมือนร้านอาหารอีก

จื่อฟางหัวเราะ ตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “เจ้ายังไม่ชินอีกหรือ”

อวี้หลันเชิญให้พวกเขานั่งลงที่โต๊ะรับรองชั้นสอง “เป็นอย่างไรแล้วบ้าง มีเรื่องใดติดขัดหรือไม่” จื่อฟางเอ่ยถามเข้าเรื่องทันที

“ถ้าไม่นับว่าถูกคนของเสนาบดีเสิ่นมาตะโกนก่อกวนฟน้าร้านก็นับว่าราบรื่นดีเจ้าค่ะ” อวี้หลันตอบ ก่อนที่นางจะนำสมุดบัญชีมากางให้เขาดูพร้อมกับชี้แจงรายละเอียดต่างๆ ไป๋ผูอวี้ยืนเอามือไพล่หลัง กวาดมองรูปภาพที่เขาวาดประดับห้อง ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แม้จะมีดรุณีน้อยเข้ามาวางน้ำชา นางเมียงมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านที่มุมห้องด้วยสายตาใคร่รู้ จื่อฟางลอบมองทางหางตา เขาไม่แปลกใจที่แม่นางน้อยใหญ่ต่างก็ยังมีความหวังกับไป๋ผูอวี้ อีกฝ่ายยังไม่แต่งงาน ตำแหน่งอนุก็ยังว่าง

“นี่นังหนู เสร็จแล้วก็ออกไป” อวี้หลันโบกมือไล่อย่างรู้ทัน ก่อนกระซิบกับเขา “ขอโทษด้วยนะเจ้าคะ นางเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่กี่วัน”

“มิเป็นไร” จื่อฟางยกยิ้ม เขาเลือกคนมาไม่ผิดจริง ๆ ชายหนุ่มเหลือบมองไป๋ผูอวี้ ร่างนั้นหันใบหน้ามามอง แต่มุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มขบขัน เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าคู่กายออกมาซับเหงื่อที่หน้าผากมน ร่างกายของบัณฑิตหลิวจะว่าไปก็คล้ายกับร่างเก่าไม่น้อย ชายหนุ่มถามไถ่อวี้หลันอีกสองสามประโยคก็เดินตรวจเรือนฉิงเหมยก่อนแวะเวียนไปที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ

แม้ไป๋ผูอวี้จะไม่ว่างมาดูแลแต่เขาก็ไม่ได้ละเลย ผู้ติดตามอย่างเว่ยหลงถึงแม้ติดตามไปกับไป๋ผูอวี้แต่ก็ไม่ได้มีตำแหน่งสูง เป็นเพียงพลทหารเท่านั้น ยามนี้คงเวรยามอยู่ที่ประตูเมือง เขามองออกว่าเว่ยหลงไม่พอใจนัก เขาไล่ให้มาดูแลโรงน้ำชาและจวนก็ไม่ยอมออก บอกว่าต้องการอยู่ใกล้ๆ กับเขา ไป๋ผูอวี้กับจื่อฟางมาถึงโรงน้ำชาอันครึกครื้นก็ลอบยิ้มอย่างพอใจ

“รองแม่ทัพไป๋” ไป๋เหวินโม่ร้องทักเมื่อเห็นเขาก้าวเข้าไปในร้าน เสียงเรียกทำให้ลูกค้าหลายคนหันมองเป็นตาเดียว แต่บุรุษหนุ่มก็ชินชาจนได้แต่ปล่อยผ่าน แค่เห็นว่าโรงน้ำชาหลิวซื่อยังคงยืนหยัดอยู่ได้เขาก็สบายใจยิ่งนัก เขาหันมองร่างเล็กกว่าของจื่อฟาง เจ้าตัวมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นทุกที เพราะบัณฑิตหลิวก็เป็นเช่นนั้น แต่ในใจคงบ่นอุบกระมัง

“บัณฑิตหลิว” ไป๋เหวินโม่ทักทายอย่างมีมารยาท ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายมามากเมื่อได้พบเจอตัวจริงก็ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

“เถ้าแก่ไป๋” จื่อฟางค้อมศีรษะน้อยๆ อย่างมีมารยาท หลายครั้งก็พบว่าเป็นเรื่องแปลกเพราะบัณฑิตขั้นสูงเช่นหลิวเซียนฟาง ไม่ได้ค้อมคำนับพ่อค้าง่ายๆ ที่แปลกคือเขาเป็นบัณฑิตมิใช่หรือ ตอนที่เขาค้อมศีรษะทักทายเถ้าแก่ร้านอื่น ก็พบว่าหลายคนมีท่าทีแตกตื่น

ไป๋เหวินโม่ไม่รอช้านำคนทั้งคู่ไปที่ห้องส่วนตัว จะได้สะดวกในการพูดคุย ไป๋ผูอวี้กว่าจะได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยียนโรงน้ำชาก็เดือนละครั้ง เขาย่อมต้องถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของอีกฝ่าย

“อาเหวินโม่ สบายดีกระมัง” บุรุษหนุ่มเอ่ยถาม

“สบายดีๆ ข้าได้คุยกับพ่อเจ้า ดูท่าจะยังห่วงโรงน้ำชาหลิวซื่อ อย่างไรเสียก็ตัดไม่ขาดหรอก อีกไม่นานอาจจะกลับมาที่ฉางอันก็ได้” ผู้เป็นอาบอกอย่างไม่ปิดบัง

“ข้าทำผิดกับท่านพ่อไว้มาก อีกอย่าง...ข้าก็ไม่อยากให้ท่านพ่อกลับมาฉางอันในเวลาอันใกล้นี้” ไป๋ผูอวี้เอ่ยเสียงเบา ระหว่างที่ท่านอายกกาน้ำชาเทใส่ถ้วยให้เขาและจื่อฟาง ชายหนุ่มพลันผ่อนคลายเมื่อได้กลิ่นชาหอมกรุ่นแสนคุ้นเคย ห้องนี้...เป็นห้องที่เขาเคยพบเจอกับจื่อฟางในร่างของคุณชายไม่เอาไหน เขายกยิ้มน้อย ๆ กับความทรงจำครานั้น จื่อฟางเองก็กวาดตามองรอบๆ ราวกับนึกถึงเรื่องเดียวกัน ร่างนั้นเคี้ยวขนมเปี๊ยะสดไปพลางทำให้ดูเหมือนเด็กหนุ่มไม่ประสา

“เพราะเหตุใดรึ”

“ชื่อเสียงของข้าไม่เหมือนก่อน ท่านพ่อมาเกรงว่าจะตกเป็นเป้าความสนใจเสียมากกว่า” ไป๋ผูอวี้ตอบไปเช่นนั้น แม้ความจริงแล้ว จะมีเหตุผลอื่น

“อืม นั่นสินะ” ไป๋เหวินโม่เกาคาง กระทั่งเขาก็ยังไม่คุ้นชินเสียที

ไป๋ผูอวี้ควรเขียนจดหมายบอกกล่าวบิดาที่หลานโจวว่าอย่าเพิ่งกลับฉางอันในเร็ววัน เพราะจากการหารือกับฮ่องเต้เจี่ยผิง ดูเหมือนว่าจะพบเบาะแสของช่างอินที่เมืองผิงชาง แต่เจ้าแผ่นดินวางแผนไว้อย่างไรเขาก็ไม่อาจล่วงรู้เพราะการศึกระหว่างช่างอินครานี้ ดูเหมือนจะเป็นหมากของฮ่องเต้

จื่อฟางนั่งฟังบทนสนทนาของสองอาหลานเงียบๆ จนกระทั่งเสียงคุ้นหูของเว่ยหลงดังแว่วมาจากชั้นล่าง เขามุ่นคิ้วอย่างสงสัยเพราะเวลานี้ย่อมเป็นเวรยามของอีกฝ่าย เขาสบตากับไป๋ผูอวี้ อีกฝ่ายมีท่าทีแปลกใจระคนใคร่รู้เช่นกัน

“นั่นเสียงเว่ยหลงมิใช่—” ไป๋เหวินโม่พูดไม่ทันจบประโยค ร่างของผู้ติดตามเว่ยหลงก็เข้ามาในห้องส่วนตัวแล้ว ร่างนั้นค้อมกายคำนับคนอายุมากกว่า

“ขออภัยที่ต้องเสียมารยาท พอดีมีเรื่องด่วนขอรับ” เว่ยหลงกล่าวไปก็พ่นลมหายใจพรูออกมา เขากวาดตามองบัณฑิตหลิวเซียนฟางครู่หนึ่ง แม้จะยังไม่คุ้นชินแต่ก็ไม่ได้ทำหน้าเหมือนพบเจอวิญญาณร้ายเหมือนแต่ก่อนแล้ว ไป๋เหวินโม่ขอตัวออกจากห้องไปก่อนอย่างรู้เวลา

“เจ้ามีเรื่องด่วนใดรึ ถึงได้ละทิ้งหน้าที่มาเช่นนี้” ไป๋ผูอวี้เอ่ยถาม ถึงแม้ผู้ติดตามของเขาจะไม่เต็มใจเป็นพลทหารภายใต้องค์ฮ่องเต้ แต่ก็ไม่เคยละเว้นปฏิบัติหน้าที่

“พอดีข้าเจอกับ...” เว่ยหลงปรายตามองมาที่จื่อฟาง เขาจึงเลิกคิ้ว

“ว่ามาสิ”

“เจอกับหยางชวีขอรับ”

“...” จื่อฟางไม่รู้ว่าทำสีหน้าใดออกไป แต่ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วมุ่น ว่ากันตามตรงเขาก็คิดถึงเจ้าคนหน้าตายอยู่ไม่น้อย แต่ก่อนเคยมีอีกฝ่ายคอยคุ้มกัน

“หยางชวีหรือ ไม่ใช่ว่าออกเดินทางไปเหลียวตงกับเสิ่นจิ้งเฟยแล้วหรือไร” เขาอดรำพึงออกมาไม่ได้

เว่ยหลงเพียงส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่ได้ทักทายมากความ พอข้าเห็นเขาที่ประตูเมือง ก็รีบปรี่มารายงานรองแม่ทัพไป๋โดยด่วน”
“อืม ขอบใจเจ้ามาก อันที่จริงเจ้าไม่จับเป็นต้องรีบร้อนมาก็ได้ หยางชวีจะไปมาฉางอันไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่” เสียงนุ่มหูของไป๋ผูอวี้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกคันไปตามร่างกาย จื่อฟางขยับตัวไปมา กระแอมเบาๆ

“นั่นสิ”

“เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องไปติดต่อกับหยางชวี เขากับเจ้า...ในร่างนี้ไม่รู้จักกัน”

“อืม” เขาพยักหน้าหงึกหงัก ลอบมองไป๋ผูอวี้ บุรุษหนุ่มยังคงสีหน้าสุขุมนุ่มลึก ดงวงตาสีดำเรียบนิ่งจ้องมองมาที่จื่อฟาง อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าเจ้าท่อนไม้น่ากลัวนัก ทำให้เขานึกไปถึงยามที่อีกฝ่ายเป็นเพียงคุณชายไป๋เท่านั้น



TBC
ตอนแรกมาลงแล้วค่ะ ขอบคุณนักอ่านที่ยังสนับสนุนเสมอมานะคะ ครั้งนี้จะลงเรื่อยๆ อาจจะไม่บ่อยเพราะเรื่องงาน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2023 03:05:54 โดย DuenTwinBII »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด