“ขอบใจมากนะภู งานวันนี้แกช่วยเอาไว้หลายอย่างเลย” สาลี่บอกขอบคุณ
“ไม่เป็นไร วันสำคัญของแก เพื่อนจะมีผัวทั้งที แค่นี้เล็กน้อย” ภูบอกก่อนจะเหลือบมองบนไหล่ของตนว่าเลอะเครื่องสำอางจากหน้าของอีกฝ่ายหรือไม่ เพราะมันช่างดูฉ่ำเยิ้มจนแทบจะละลายไหลออกมาเป็นสายได้เลยทีเดียว
“แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นเลยนะรู้ไหม?” สาลี่ตื้นตันจริงๆ กับทุกสิ่งที่ผ่านมาในมิตรภาพระหว่างคนทั้งสอง
“ส่วนแกก็เป็นเพื่อนที่แย่มาก” ภูแกล้งว่าเหน็บแนมเพื่อน “ตอนเรียนก็ทิ้งชั้นหนีกลับบ้านบ่อยๆ ชอบเห็นละคร เห็นบอยแบนด์เกาหลี เห็นผู้ชายสำคัญกว่าชั้น พอมาตอนนี้ก็ยังทิ้งชั้นไปแต่งงาน”
“เอาจริงๆ แกน่ะเหมือนแต่งงานมาก่อนชั้นตั้งนานแล้วนะ” สาลี่ลองนึกเปรียบเทียบดู “มีอย่างที่ไหนพอเรียนจบ แฟนกลับจากเมืองนอกก็ทิ้งพ่อแม่ย้ายไปอยู่บ้านแฟนเลย ไวไฟเวอร์”
“บ้านแฟนที่ว่ามันก็บ้านข้างๆ ป่ะ” ภูพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเอง “แล้วอีกอย่างตอนนี้จะเรียกว่าเป็นบ้านเดียวกันก็คงได้ เพราะไม่มีกำแพงแบ่งเขตแล้ว ใช้พื้นที่ร่วมกัน”
“ค่ะ แล้วแต่เถอะค่ะ คิดว่าดีก็ทำไป” สาลี่ไม่เถียงสู้ “ชั้นไปก่อนนะแก”
“เออ ไปเหอะ รีบไปเข้าหอได้แล้ว ป่านนี้เจ้าบ่าวนั่งตบยุงรอแล้วมั้ง” ภูเองก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วเช่นกัน “แล้วเดี๋ยวเจอกันคราวหน้ามาเล่าให้ชั้นฟังด้วยว่าไอ้ตฤณมันทำเป็นมั้ย”
“แกไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนั้น เค้าทดลองขับกันตั้งนานแล้ว” สาลี่ทำหน้ามีเลศนัยเป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องพูดตรงๆ
“ไปได้แล้ว” ภูพยายามกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงเมื่อรู้ความหมายของประโยคเมื่อครู่
ระหว่างที่รถวิ่งออกไป สาลี่ยังโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างและโบกมือลาภูกับคนอื่นๆ ที่มาส่งไปจนกระทั่งลับสายตา เมื่อไม่มีอะไรต้องทำอีกต่อไปแล้วภูจึงกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงที่ซึ่งกรรณกำลังนั่งฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะจากอาการเมาไวน์ที่มีให้ดื่มแบบไม่อั้นในงาน ภูมองคนรักของตนที่กำลังนอนหมดสภาพแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ถึงแม้ในเวลาปกติกรรณจะไม่ใช่พวกติดเที่ยวหรือชอบการดื่มสุรา แต่ถ้ามีโอกาสได้สังสรรค์ครั้งใดเขาก็มักจะเต็มที่กับมันจนผลมาลงเอยในรูปแบบนี้เสมอ เด็กหนุ่มนึกถึงพลังงานที่ต้องใช้ในการแบกอีกฝ่ายไปขึ้นรถแล้วก็ตัดสินใจปล่อยให้กรรณได้นอนพักต่ออีกสักครู่ก่อนจะเดินไปหาจอสที่กำลังเก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง
“ทางนั้นเค้าให้ค่าจ้างมาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” ภูถามเพื่อความมั่นใจ
“อ่ะฮะ” จอสพยักหน้า “เรียบร้อยแล้ว แต่ก็นะ อุตส่าห์บอกแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องก็ได้ งานนี้ถือว่าช่วยกัน”
“เค้าให้ก็รับไปเถอะ มานี่ก็เสียค่าน้ำมันรถ เสียอะไรตั้งหลายอย่าง” ภูขอรับไว้แค่น้ำใจ “แล้วนี่นายจะกลับไปที่ไหน บ้านตัวเอง บ้านพ่อ หรือบ้านแฟน?”
“คงบ้านแฟนมั้ง ดูอารมณ์ก่อน เหนื่อยมากก็ขี้เกียจกลับไปง้อ” จอสพยายามทำเป็นไม่สนใจวินทร์ แต่ก็ปกปิดอาการกระวนกระวายใจเอาไว้ไม่มิด “เมื่อกี้ก็โทรมาถามว่าเสร็จงานหรือยัง แค่ฟังเสียงก็รู้ว่ายังงอนอยู่”
“ง้อเค้าหน่อย” ภูแนะนำ “นิดเดียวก็หายแล้ว แค่ให้เค้ารู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่หนึ่ง”
“ผู้เชี่ยวชาญด้านการคบลุงมาแนะนำเองแบบนี้ต้องเชื่อแล้วล่ะ” จริงๆ แล้วไม่ต้องให้ภูบอก จอสก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องทำเช่นนั้น “งั้นเรากลับก่อนนะ ต้องเดินทางอีกไกล”
“โอเค มีอะไรก็โทรมาล่ะ ถ้าวันไหนมากรุงเทพแล้วมีเวลาว่างค่อยเจอกัน” ภูโบกมือลาอีกฝ่ายขณะที่อีกฝ่ายหิ้วกระเป๋าใส่กีตาร์ขึ้นสะพายบนบ่า
“นี่…” จอสยังหันกลับมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“หือ?” ภูเลิกคิ้วขึ้นคล้ายจะถามว่ามีอะไร
“ขอบใจนะ ที่รักษาสัญญามาตลอด” จอสพูดสิ่งที่ตั้งใจจะบอกอีกฝ่ายมาหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีโอกาส
“ขอบใจเหมือนกันที่กลับมาเป็นเพื่อนกับเรา” ภูยิ้มออกมา เขาเองก็รอโอกาสจะพูดประโยคนี้มานานแล้วเช่นกัน
หลังจากจอสกลับไปแล้ว ภูก็ยังมีงานหนักที่ต้องทำอีกหนึ่งอย่างนั่นคือการพยุงกรรณซึ่งคอพับคออ่อนไม่ได้สติกลับไปขึ้นรถ เด็กหนุ่มวางร่างของชายคนรักลงบนเบาะข้างคนขับด้วยความแรงในระดับเกือบจะเป็นการโยนทิ้งก่อนจะพักหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยขึ้นมาสตาร์ทเครื่องจากนั้นจึงขับออกไปจากบริเวณลานจอดรถของโรงแรม
เวลาขณะนี้ได้เลยผ่านเข้าสู่วันใหม่มาได้เกือบสามชั่วโมงแล้ว แต่น่าแปลกที่ถึงแม้จะไม่ได้พักผ่อนมาตลอดทั้งวันแต่ภูก็ยังไม่รู้สึกง่วงหรือเพลียแม้แต่น้อย เอ็นโดรฟินที่ฉีดพล่านในกระแสเลือดจากความยินดีกับวาระสำคัญของเพื่อนกอปรกับความสุขจากการได้พบเจอเพื่อนฝูงที่ห่างหายไปนานทำให้เด็กหนุ่มยังตื่นตัวอยู่ได้ เขาผ่อนแรงเท้าที่เหยียบคันเร่งลงเพื่อลดความเร็วจนอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติก่อนจะกดเลื่อนเปิดกระจกหน้าต่างทั้งสองด้านลงเพื่อรับลมจากภายนอกแทนเครื่องปรับอากาศในรถ
"หือ…” กรรณรู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อสัมผัสถึงอากาศเย็นเจือความชื้นของค่ำคืนยามใกล้รุ่ง
“ตื่นแล้วเหรอครับ ตาแก่ขี้เมา” ภูละสายตาจากถนนเบื้องหน้าแล้วหันมาถามกรรณซึ่งยังตื่นไม่เต็มตาอยู่บนเบาะข้างคนขับ
“เรียกขี้เมาไม่ว่า แต่ตาแก่นี่เคืองนะ” กรรณพูดเสียงงัวเงีย “ใช่สิ เดี๋ยวนี้รักกันน้อยลงแล้วนี่ เข้าข้างไอ้เด็กแว้นนั้นไม่พอ ยังมาเรียกเราว่าตาแก่อีก”
“จะเมาก็เมาไป ไม่ต้องดราม่าเพิ่ม” ภูรีบหยุดอีกฝ่ายไม่ให้ทำตัวน่าสงสารจนเกินกว่าเหตุ
“อยากได้น้องภูคนเดิมคืนมา คนที่แคร์พี่กรรณทุกลมหายใจเข้าออก ไม่พูดจาทำร้ายจิตใจ” กรรณยังงอแงเป็นเด็กจนภูไม่มั่นใจว่านี่เป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเป็นนิสัยที่แท้จริง
“น่าถ่ายคลิปไว้ให้ดูตอนหายเมาจริงๆ เลย” ภูกลั้นขำ “ทำตัวแบบนี้ระวังคณะกรรมการคัดเลือกหนุ่มโสดในฝันเค้าจะคัดชื่อออกนะ”
“เอาออกสิดี นี่ก็ไม่โสดนะ คุณสมบัติไม่ครบ ไม่รู้เข้ารอบมาได้ไง” กรรณไม่เคยอยากจะเข้าร่วมอะไรแบบนี้แต่แรกอยู่แล้ว
“แล้ววันนี้พี่ต้องไปทำงานหรือเปล่าครับ?” ภูถาม เพราะเมื่อมองจากสภาพแล้วเมื่อถึงบ้านกรรณคงจมอยู่ในเตียงนอนทั้งวันแล้วตื่นอีกทีตอนตะวันใกล้ตกดินเป็นแน่
“ไม่มี… มั้ง…” กรรณตอบพลางนึกดูให้แน่ใจเท่าที่สมองอันชุ่มแอลกอฮอล์จะระลึกได้ “จะมีก็แค่จัดการกับรูปงานแต่งที่เพิ่งถ่ายมาเตรียมส่งให้เจ้าภาพก็เท่านั้นแหละ”
“อืม ผมก็ว่าจะปิดร้านซักวัน” ภูเองก็รู้ตัวดีว่าคงไม่มีแรงพอจะตื่นขึ้นมาเตรียมของเปิดร้านได้เช่นกัน
กรรณผล็อยม่อยหลับไปอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน ภูยังคงรักษาระดับความเร็วในการขับรถเอาไว้เท่าเดิมจนกระทั่งมาถึงบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำ เด็กหนุ่มค่อยๆ เหยียบเบรคหยุดรถอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เกิดแรงกระชากรบกวนชายหนุ่มคนรักที่หลับสนิทส่งเสียงกรนอยู่บนเบาะข้างๆ จากนั้นจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกของสูทที่ใส่มาออกวางไว้ข้างเบาะก่อนจะเปิดประตูและลงมายืนชิดยังขอบราวของสะพาน ตามองออกไปยังท้องฟ้าที่อีกไม่นานก็จะเรืองรองไปด้วยแสงทองของวันใหม่ ลมหายใจสุดท้ายของยามค่ำคืนโชยมาปะทะใบหน้าและอาบไล้ร่างกาย ภูยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดอกเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตนเอง
วันเวลาหมุนผ่านไปอย่างไม่เคยหยุดยั้ง ดอกไม้เบ่งบานและร่วงโรยไปก่อนจะกลับมาผลิดอกอีกครั้งเมื่อฤดูกาลเวียนกลับมาถึง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่แต่ทุกสิ่งก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ภูยืนนิ่งอยู่ตรงจุดนั้นเฝ้ามองดูจุดเล็กๆ ของชีวิตที่กำลังจะเริ่มต้นและเมืองหลวงที่กำลังจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เสียงประตูรถเปิดออกและปิดกลับเข้าไป เด็กหนุ่มหันไปมองตามเสียงและพบว่ากรรณตื่นขึ้นมาแล้วและกำลังเดินตามมายังจุดที่ยืนอยู่
“ไม่อยากกลับบ้านหรือไง?” กรรณถามขณะเข้ามายืนขนาบข้างภู
“อยากดูพระอาทิตย์ขึ้นก่อนครับ” ภูตอบพลางขยับเอาตัวเข้าเบียดชิดอีกฝ่าย
“คิดมากอะไรอยู่หรือเปล่า?” กรรณยกแขนขึ้นโอบไหล่เด็กหนุ่มเอาไว้
“เปล่านี่ครับ” ภูส่ายหน้าปฏิเสธ “มีอะไรต้องคิดมากด้วยเหรอ?”
“ก็แค่เป็นห่วงตามประสา” กรรณดูโล่งใจขึ้น “นึกว่าเห็นเพื่อนแต่งงานแล้วจะคิดมาก อยากแต่งตามเพื่อน”
“อยู่แบบนี้ก็มีความสุขดีแล้วครับ” ภูเอนศีรษะเข้าหาอีกฝ่าย “มามีความสุขกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เถอะนะครับ”
“เรื่อยๆ ไปจนแก่เลยก็ได้” กรรณพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย “จนกว่าจะตายไปข้างนึงเลยยิ่งดี”
“ตอนนี้ยังไม่แก่อีกเหรอ?” ภูแกล้งแหย่จี้ใจดำแฟนตัวเอง “ขึ้นเลขสามแล้วนะพี่น่ะ”
กรรณปล่อยแขนที่โอบไหล่ภูออกแล้วยกมือขึ้นผลักศีรษะเด็กหนุ่มจนตัวเซ ภูหัวเราะชอบใจแล้วรีบง้อด้วยการเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้เอง กรรณก้มหน้าลงมาหาภูพลางเหลือบสายตามองรอบตัวก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไปแล้วเขาจึงจูบเข้าที่หน้าผากของเด็กหนุ่มเบาๆ ภูหลับตาพริ้มรับสัมผัสอันอ่อนโยนนั้นด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข
ความมืดเริ่มละลายหายไปที่ปลายขอบฟ้า แสงแดดอันอ่อนโยนของอรุณรุ่งส่องประกายทั่วผืนน้ำและฉายประทับลงบนตึกรามบ้านช่องของเมืองใหญ่ ภูเหม่อมองออกไปไกลเท่าที่จะทำได้และรู้ว่ากรรณก็คงมองไปยังจุดนั้นเช่นกัน วันใหม่ได้มาถึงอีกครั้งพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงอีกมากมายที่ชีวิตจะต้องเผชิญ แม้จะไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องพบเจอกับอะไรในบทถัดไปอีกบ้างแต่ภูก็มั่นใจว่าเขาจะมีความสุขกับมันได้
ขอเพียงยังมีกันและกันอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็พอ…
The End
[/i]