Chapter 39 : [Now] แผนชิงตัวประกัน
สิ่งแรกที่เมฆาทำหลังจากได้รับโทรศัพท์ของตนจากนิโคไลคือโทรหาเพื่อนสนิทของตน
“เมฆ? มึงเป็นอะไรรึเปล่า? กูเห็นข่าวในทีวี....”
“กูรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” เมฆาไม่มีเวลาสำหรับละครไร้สาระของนาวินทร์ที่ปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองตลอดระยะเวลาค่อนชีวิตที่เป็นเพื่อนกันมา ตอนนี้มธุวันกำลังตกอยู่ในอันตราย เรื่องอื่นสำหรับเขาในตอนนี้สามารถรอได้ทั้งหมด “ตอนนี้กูมี
เรื่องให้มึงช่วย”
เสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง เมฆาได้ยินเสียงแว่วจากระยะไกลที่ฟังดูละม้ายคล้ายคลึงกับเสียงน้องชายที่มธุวันหวงราวกับไข่ในหินว่า ‘ใครเหรอครับพี่วิน?’ ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงนาวินทร์ตอบกลับมา
“ให้ทำอะไร?”
“ที่คอนโดกูมีตู้เซฟอยู่ในตู้เสื้อผ้า...” เมฆาว่า ปรายตามองชายชาวต่างชาติทั้งหลายที่ยืนล้อมวงจ้องเขาเป็นตาเดียว โดยเฉพาะนิโคไลที่กอดอกขบกรามแน่นอย่างเคร่งเครียด “รหัสคือวันเกิดหมอก เอาแลปท็อปข้างในออกมา”
เขาไปยินเสียงบทสนทนาแว่วๆจากปลายสาย คาดว่าคงเป็นนาวินทร์กำลังหาข้ออ้างในการออกไปจากที่ที่อีกฝ่ายกำลังอยู่อย่างกระทันหัน ก่อนที่เพื่อนสนิทของเขาจะตอบกลับมาก่อนจะตัดสายไป
“สองนาที กูอยู่ใกล้ๆคอนโดมึง”
เมฆาไม่คิดว่าเวลาสองนาทีจะสามารถยาวนานจนเขารู้สึกทรมานไปหมดทุกอณูร่างกายได้อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
แต่ในที่สุด โทรศัพท์ในมือของเขาก็ดังขึ้น
“เปิดคอมแล้ว ให้กูทำอะไรต่อ?”
น้ำเสียงของนาวินทร์ฟังดูเคร่งเครียดขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก เมฆาเดาว่าอีกฝ่ายคงพอจะเดาออกแล้วว่าเจ้าของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเป็นใครจากรูปของสองพี่น้องตระกูลเหลียนที่ล่วงลับไปแล้วทั้งคู่บนหน้าจอ
ของดูต่างหน้าของมารดาที่รู้ดีว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากมันหลังจากที่เธอจากไปแล้ว
“สร้อยคอที่กูเคยให้หมอกไว้เป็นเครื่องส่งสัญญาณ....” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น นึกถึงสร้อยรูปก้อนเมฆที่มารดาของตนแอบติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณไว้ ไม่คิดเลยว่าคำสั่งเสียสุดท้ายของมารดาที่บอกที่ว่อนของคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวในโลกที่สามารถสะกดรอยตามสร้อยเส้นนี้ได้จะเป็นประโยชน์ขึ้นมาในวันนี้ “โปรแกรมที่ใช้เป็นแบบเดียวกับของตระกูลเหลียน มึงน่าจะคุ้นเคยดี”
เพราะมารดาของเขาเป็นคนวางโครงข่ายระบบคอมพิวเตอร์ของอัลฟอนโซ่ทั้งหมด
มาย้อนนึกดู เมฆาอดทึ่งกับความสามารถของหญิงสาวที่ให้กำเนิดเขาไม่ได้
ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้ที่อยู่ของมธุวันมาจากนาวินทร์ นิโคไลหันไปสั่งการลูกน้องให้เตรียมตัวสำหรับภารกิจ โดยไม่สนใจคนเจ็บที่หมดประโยชน์แล้ว
“ผมไปด้วย”
แน่นอนว่าเมฆาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ร่างสูงตวัดขาก้าวลงจากเตียง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่อาการปวดศรษะของตนแทบไม่หลงเหลืออยู่
นิโคไลส่ายหน้า
“ถ้าคุณเป็นอะไรไป น้องชายผมจะยิ่งเสียใจกว่าเดิม...”
เมฆากระชากสายน้ำเกลือออกจากหลังมือของตน
“จะให้ผมไปกับคุณหรือจะให้ผมแอบหนีไปคนเดียว” คนป่วยถามเสียงเรียบ “เพราะไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมจะไปหาหมอก”
“ตายขึ้นมาผมไม่รับผิดชอบนะ”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่เมฆาสังเกตว่าแววตาของนิโคไลดูอ่อนลงจากก่อนหน้านี้มาก
ดูท่าเขาจะไปทำอะไรถูกใจพี่ชายของอดีตคนรักเข้าให้แล้วกระมัง
มธุวันลืมตาขึ้นในห้องสีเหลี่ยมสีเทาหม่น นอกจากประตูสีขาวหนึ่งบาน เก้าอี้ไม้หนึ่งตัว กับเก้าอี้ที่เข้าถูกมัดติดไว้อย่างแน่นหนา เขามองไม่เห็นอะไรที่จะสามารถระบุตำแหน่งของสถานที่ที่เขาอยู่ได้เลย
แต่อย่างน้อยในครั้งนี้...มธุวันก็รู้ว่าคนที่จับตัวเขามานั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าอย่างครั้งก่อนหน้า
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
ประตูห้องที่มีอยู่เพียงบานเดียวเปิดออก เผยให้เห็นคู่หมั้นของเพื่อนสนิทเขาที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ราวกับว่าตัวเองไม่ได้ลักพาตัวและกักขังหน่วงเหนี่ยวคนเป็นๆไว้ในห้องปิดทึบที่อยู่มุมไหนของโลกก็ไม่อาจทราบได้
“ผมไปทำอะไรให้คุณ? ทำไมคุณถึงต้องจับผมมาแบบนี้?”
มธุวันถามอย่างไม่เข้าใจ เขาไปมีความบาดหมางอะไรกับคนตรงหน้าตั้งแต่ตอนไหน
“คุณไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ คุณมธุวัน...” โรเบิร์ตลากเก้าอี้ว่างเพียงตัวเดียวในห้องมาตรงหน้าของมธุวัน ตวัดขาคร่อมเก้าอี้ตัวนั้นแล้วใช้พนักพิงเป็นตัววางแขน ชายหนุ่มฉีกยิ้มที่ทำให้มธุวันนึกถึงเด็กเล็กๆที่เพิ่งได้ของเล่นที่ถูกใจมาครอบ
ครอง “ไม่สิ...ผมควรจะเรียกว่าคุณมิคาเอลมากกว่า จริงมั้ยครับ?”
ชื่อที่ควรจะฟังดูแปร่งหู แต่กลับคุ้นเคยอยู่ในทีทำให้มธุวันชะงัก ร่างโปร่งพยายามนึกย้อนไปในความทรงจำว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหน
ภาพตัวอักษรภาษาอังกฤษตวัดลวดลายสวยงามที่สลักลงบนลาดไหล่ของชายชาวอิตาลีอีกคนที่เขารู้จักวาบขึ้นมาในหัว มธุวันขมวดคิ้ว
“ใคร…”
“ผมขอตอบคำถามก่อนหน้านี้ของคุณก่อนแล้วกันนะครับ คุณหนูมิคาเอล” โรเบิร์ตขัดขึ้นยิ้มๆ “คุณไม่เคยทำอะไรให้ผมหรอกครับ...แต่คนที่มีคุณเป็นจุดอ่อนน่ะ เล่นผมไว้ซะแสบเลยล่ะ”
“ผมไม่เข้าใจ...”
กาลเวลาหล่อหลอมให้มธุวันกลายเป็นคนหัวไว แต่ในตอนนี้คำพูดของคนตรงหน้ากลับไม่ยอมปะติดะต่อเป็นรูปเป็นร่างในหัวของเขาเสียที
ราวกับว่าสมองของเขากำลังต่อต้านสิ่งที่โรเบิร์ตกำลังจะสื่อ
“ผมว่าคุณน่าจะพอเดาได้แล้วนะครับ...” ชายหนุ่มชาวต่างชาติเอียงคอ “เด็กกำพร้าอย่างคุณ...ไม่เคยคิดบ้างเหรอครับว่าจะมีครอบครัวหลงเหลืออยู่ที่ไหนซักแห่งบนโลก...”
“ผม…ไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร” มธุวันเบือนหน้าหนี ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังปั่นหัวเขาได้สำเร็จ
“ผมว่าคุณไม่ใช่คนโง่นะครับ...” มือใหญ่บีบครางเรียวให้หันกลับมาสบตาของตน “คุณหนูมิคาเอล อัลฟอนโซ่”
มธุวันรู้สึกเหมือนอากาศในปอดถูกสูบหายออกไปจนหมด ร่างโปร่งทำได้เพียงเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“หึ…นิโคไลคงเสียใจแย่ ที่น้องชายแท้ๆที่ตัวเองรักยิ่งกว่าชีวิตจนยอมรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอัลฟอนโซ่เพื่อตามหาทำหน้าเหมือนเห็นผีตอนที่รู้ความจริงแบบนี้”
โรเบิร์ตหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ สายตาของชายหนุ่มไม่มีแววอาฆาตพยาบาทเมื่อเอ่ยชื่อของนิโคไล มีเพียงสีหน้าเหมือนเด็กน้อยที่อยากเอาชนะเพื่อนในวัยเดียวกัน
มธุวันส่ายหน้า
“ผมยอมเกี่ยวข้องกับคุณนิโคไลมากกว่าคนเลวๆอย่างคุณ” ร่างโปร่งรู้สึกเจ็บแปลบในอกเมื่อนึกถึงลูกน้อยในท้องของเพื่อนสนิทที่ผู้เป็นบิดายังไม่รู้ว่ามีตัวตนอยู่บนโลก “คนอย่างคุณไม่คู่ควรกับผู้หญิงดีๆยาหยีซักนิด!”
เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ที่คำพูดจิกกัดนั้นทำให้โรเบิร์ตหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่ในวินาทีต่อมา แววตาไหววูบนั้นก็หายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ใช่…ยาหยีเป็นคนดี” น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนลงเล็กน้อยตรงชื่อของคู่หมั้นสาว “ความผิดเดียวของเขาคือเป็นเพื่อนกับคุณ เหมือนกับความผิดเดียวของคุณคือเกิดมาเป็นน้องชายของนิโคไล อัลฟอนโซ่”
“พวกคุณจะมีความแค้นอะไรกันมันก็เรื่องของพวกคุณ ไม่เกี่ยวกับผม” มธุวันสะบัดหน้าหนีจากมองใหญ่แต่ไม่เป็นผล ชายชาวต่างชาติส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้มีความแค้นอะไรกับนิโคไลหรอกนะ” ชายหนุ่มไหวไหล่ “แต่อัลฟอนโซ่กับกาวิโน่เป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ก่อตั้งตระกูล ถ้าหัวหน้าใหม่อย่างผมไม่แสดงฝีมือสักหน่อย ลูกน้องจะไม่เคารพเอา”
“คุณหลอกใช้ผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพื่อจับผมมาที่นี่ แค่เพราะต้องการที่จะสร้างผลงาน?” คนที่ถูกจับมาเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่คุณรู้มั้ยว่ายาหยีรักคุณมากแค่ไหน?”
เขาไม่เคยเห็นเพื่อนรักยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้มาก่อน ญาวิการักคนตรงหน้ามากพอที่จะฝากชีวิตของตัวเองไว้กับอีกฝ่าย พยานรักตัวน้อยในท้องของหญิงสาวเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าญาวิกาจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้แค่ไหน
แม้เพื่อนของเขาจะดุเป็นสาวเปรี้ยวหัวสมัยใหม่ แต่ญาวิกายังคงเชื่อมั่นในเรื่องของการเข้าเรือนหอครั้งแรกหลังแต่งงาน
การที่หญิงสาวยอมให้อีกฝ่ายแตะต้องเป็นเรื่องที่สร้างความตกใจให้มธุวันอยู่มาก แต่หลังจากที่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงที่โรเบิร์ตคบกับญาวิกา เขาก็นึกอยากจะกระโจนใส่คนตรงหน้าแม้ว่าจะถูกมัดอยู่ก็ตาม
“ผมไม่เคยคิดจะทำร้ายยาหยี” น้ำเสียงของโรเบิร์ตห้วนสั้นอย่างไม่สบอารมณ์ น่าแปลกที่เรื่องของเพื่อนสนิทที่ไม่ควรจะมีอิทธิพลใดๆเหนือผู้ชายคนนี้กลับทำให้ชายหนุ่มเสียการควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างง่ายดาย มธุวันลอบสังเกตการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างประหลาดใจ “ถ้านิโคไลไม่พยายามซ่อนคุณจากโลกของพวกเรา ผมคงไม่ต้องลากยาหยีเข้ามาเกี่ยวแบบนี้”
“ถ้าคุณนิ...ถ้าผู้ชายคนนั้นพยายามซ่อนผมไว้จริงๆ แล้วคุณหาผมเจอได้ยังไง?” มธุวันถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ คนคนนี้รู้ได้
อย่างไรว่าเขาเป็นใคร แล้วรู้ได้อย่างไรว่าญาวิกาเป็นเพื่อนของเขา
“หึ...จะว่าดวงดีก็คงจะได้ล่ะมั้งครับ?” รอยยิ้มของโรเบิร์ตกลับมาบนใบหน้าอีกครั้งหลังจากควบคุมตัวเองได้ “ถ้าจะให้เล่าทั้งหมด...คงกินเวลาทั้งวัน”
“ผมไม่ได้รีบไปไหนนี่” คนถูกจับมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน เรียกเสียงหัวเราะจากมาเฟียหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“ผมชื่อโรเบิร์ต กาวิโน่ หัวหน้าตระกูลกาวิโน่ที่เป็นศััตรูกับครอบครัวของคุณมานับร้อยปี” ชายหนุ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการในที่สุด “ตระกูลอัลฟอนโซ่เป็นตระกูลทรงอิทธิพลที่สุดในโลกมืดตระกูลหนึ่ง โดยใต้คำบัญชาของตระกูลอัลฟอนโซ่ คือตระกูลนักฆ่าที่ชื่อว่าตระกูลเหลียน เด็กที่เกิดในตระกูลนี้ทุกคนเรียกได้ว่าสามารถฆ่าคนได้ก่อนที่จะสามารถพูดเป็นประโยคได้ซะอีก ถ้าจะบอกว่าที่อัลฟอนโซ่เป็นตระกูลที่น่าเกรงขามที่สุดตระกูลหนึ่งมาจนถึงตอนนี้ได้เพราะมีกองทัพของตระกูลเหลียนหล่อเลี้ยง ก็คงจะไม่ผิด”
มธุวันพยายามจดจำรายละเอียดนั้นเข้าสู่สมอง แม้คำศัพท์พวกนี้จะเป็นสิ่งแปลกใหม่ แต่มธุวันกลับอดรู้สึกถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาดไม่ได้
“จนกระทั่งหนอนบ่นไส้แค่ตัวนึงที่แปรพักต์มาหาพวกเราตอนที่คุณอายุแค่สองปี ทำให้พ่อของผมทำลายอาณาจักรที่พวกเอาฟอนโซ่สร้างคนสำเร็จ” โรเบิร์ตยิ้มเยาะ “หนอนบ่อนไส้ตัวนั้นได้รับการยงย่องสรรเสริญในตระกูลของผมมาก เป็นที่
ปรึกษาของตระกูลที่มีตำแหน่งหญ่แทบจะเทียบเท่าหัวหน้าตระกูล แต่ผมไม่เคยเชื่อใจมัน เพราะทุกสิ่งที่มันทำไป เป็นเพราะอยากให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักหันกลับมามอง...”
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับการที่คุณหาผมเจอตรงไหนไม่ทราบ?” มธุวันถามขัดอย่างหมดความอดทน โรเบิร์ตเลิกคิ้ว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“อะไรกันครับ มีเวลาทั้งวันไม่ใช่เหรอ?”
มธุวันหรี่ตาลงอย่างหงุดหงิด ชายชาวต่างชาติหัวเราะกับท่าทีของคนตรงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้แล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้มธุวันต้องเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
“เพราะผู้หญิงคนนั้นคือคุณเกศรา แม่ของคุณเมฆาไงครับ”
----------
ใกล้ตายแล้วววว งานท่วมมมมม