รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รัก...ได้ไหม (อิง-หนึ่ง) * รีปริ้น "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า *** 29-01-61  (อ่าน 27839 ครั้ง)

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
28

ภาพของคนที่นอนหลับสนิทกลางเตียงนอนขนาดใหญ่ มีผ้าห่มคลุมไว้ตั้งแต่ช่วงอกลงมา คือภาพที่อชิตะจ้องมองมาราวห้าชั่วโมงแล้วอย่างไม่นึกเบื่อ เขานั่งบนโซฟาหลังใหญ่ที่ตั้งชิดติดผนังอีกฟากหนึ่งของห้อง หลังจากปล่อยหยาดหยดความต้องการครั้งสุดท้ายลงไปในช่องทางรักสีแดงเพราะรับศึกหนักมาตลอดทั้งคืน แม้กระทั่งตอนที่เจ้าตัวหมดสติ เขาที่โหมแรงใส่ไม่ยั้งก็ยังไม่หยุดความต้องการของตัวเองลงได้

...มันไม่เคยพอ เท่าไรก็ไม่พอ

อชิตะหลงเสน่ห์เฉพาะตัวของคณิตที่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แต่เพียงว่ามันชักชวนให้เข้าใกล้ หลอกล่อให้อยากกลืนกินไปทั้งตัว

คณิตเป็นดังความท้าทายแปลกใหม่ให้อยากเอาชนะให้ได้ เป็นรสชาติความรักที่หอมหวานแบบที่เขาเพิ่งเคยลิ้มลอง บางครั้งเขาก็อยากรู้ คนตัวเล็กหัวดื้อทำให้ตัวตนของเขาเปลี่ยน หรือว่าเจ้าตัวเข้ามาปลุกตัวตนที่หลับใหลของเขาให้ตื่นขึ้นมากันแน่ เพราะเขาไม่เคยสับสน ไม่เคยไม่มั่นคงต่อความรู้สึกที่เปลี่ยนไปนี้เลย หากไม่มีเรื่องณัชชาเข้ามา เขาก็ไม่มีวันปล่อยมือจากคณิต ไม่มีวันปล่อยคนตัวเล็กออกไปจากชีวิต ไม่มีวันทิ้งขวางให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสิ่งของไร้ค่า ทั้งที่ความจริงคณิตกลายเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจเขาไปแล้ว

 การที่เขายังไม่กลับมาหาคณิตในวันที่เจ้าบ่าวของณัชชาไม่ใช่เขาอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะไม่รัก ไม่คิดถึง เพียงแต่เขายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับคณิต ด้วยเหตุนี้เขาถึงรอเวลา รอแบบที่ไม่มีกำหนดเวลาว่าเมื่อไรถึงจะกล้า เลิกกลัว แล้วกลับเข้าไปในชีวิตคณิตอีกครั้ง

เคยแม้กระทั่งคิดว่า หากคณิตจะมีใครเข้ามาผูกพันด้วยความรัก เขาก็จะยอมรับว่าตัวเองได้เสียคณิตไปแล้วเพราะการกระทำของตัวเอง แต่เอาเข้าจริง เพียงแค่เห็นคณิตเดินอยู่กับผู้ชายคนอื่น เขาก็ทนไม่ไหว ไม่ติดที่ว่าพี่ชายคนโตเมาแอ๋ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่หมดแสง ที่พอเมาก็ออกอาการพูดไม่รู้เรื่อง ซ้ำยังลากเลื้อยเหมือนคนไม่มีกระดูก  จนเขาต้องรีบพากลับก่อนจะเลื้อยไปทั่วร้าน เอาตัวคนเมาไปส่งถึงมือพี่สะใภ้แล้ว เขาก็ตรงดิ่งมานั่งรอคณิตที่คอนโดฯทันที โชคดีที่เขามีกุญแจห้อง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเปิดประตูเข้ามานั่งรอถึงสามชั่วโมง กว่าที่เจ้าของห้องจะเปิดประตูเข้ามา...เข้ามาให้เขาจัดการให้สมกับความคิดถึงและความปากเก่งปากกล้าของเจ้าตัว

คณิตไม่จำเอาเสียเลย ว่าการพูดประชดประชันเขา มีแต่จะทำให้ตัวเองถูกลงโทษ ไม่จำเสียบ้างว่าเขาไม่ชอบให้ใครขัดใจ โดยเฉพาะคนที่เขาต้องการ แต่ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อการไม่จำของคณิต ทำให้เขามีแต่ได้กับได้...ได้ทำทุกอย่างที่หลั่งไหลมาจากทุกความต้องการ

...เขาชอบที่จะเห็นน้ำตาของคณิต ยามที่เจ้าตัวจำนนต่อเขาหลังจากพยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้

...ชอบร่างกายเล็กที่พยายามขัดขืนความต้องการของเขาอย่างสุดกำลัง ท้ายสุดก็หลุดความต้องการของตัวเองออกมา เผลอไผลให้ความร่วมมือกับเขาไปจนสุดทาง

...ชอบความปากดี ปากกล้า ปากเก่งของคณิต ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยทำอะไรเขาได้มากกว่ามดตัวน้อยที่กัดนิ้วมือ

...ชอบที่ได้นั่งมองคณิตยามหลับใหลเพราะฝีมือของเขา มันเหมือนได้นั่งมองชัยชนะ เฝ้ามองว่าเมื่อไรคู่ต่อสู้จะฟื้นขึ้นมาต่อสู้ฟาดฟันกับเขาต่อ ซึ่งไม่ว่ากี่ครั้งก็พ่ายแพ้หมดทุกทาง

...ชอบแววตาที่มองเขาด้วยความเจ็บปวด สายตาที่ต่อว่าด่าทอ สายตาที่ฟ้องถึงความเสียใจ สายตาของความน้อยใจ เพราะมันทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่ซ่อนหลังดวงตาคู่เรียวเล็กคือความยินยอมที่เจ้าตัวไม่ยอมรับ

...ชอบที่คณิตรองรับทุกความต้องการของเขาได้ทั้งหมด เขาสัมผัสคณิตด้วยความรุนแรงเกือบทุกครั้ง ถึงปากจะบอกว่าเจ็บ ร่างกายร้องประท้วงอย่างหนัก ทว่าไม่นานนักทุกอย่างก็จะเป็นในแบบที่เขาต้องการ ร่างกายเล็กตอบรับสัมผัสและร่วมมีความสุขไปด้วยกัน

...ชอบที่คณิตเป็นทั้งของเล่น ของจริง คนรัก และคู่ชีวิตของเขาได้ในเวลาเดียวกัน เคยคิดว่าหากเขาทำกับณัชชาแบบที่ทำกับคณิต พาขึ้นเตียงและครอบครองด้วยความรุนแรง สุขสมกับร่างกายบอบบางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฝ่ายนั้นจะทนหรือรับได้หรือเปล่า แต่ก็มีคำตอบตามมาอย่างรวดเร็วว่า เขาไม่เคยคิดจะทำกับใครแบบที่ทำกับคณิต ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกได้มากมายเช่นคณิตเลย

...แม้จะเพลินอยู่กับความคิดในหัวของตัวเอง แต่หน่วยตาคมเข้มก็ไม่ได้ละจากภาพบนเตียงนอนซึ่งตั้งอยู่กลางห้องที่ถูกฉาบไว้ด้วยสีดำ คนตัวเล็กที่สลบไสลเพราะความเหนื่อยล้าเริ่มขยับตัวช้าๆ บนใบหน้าซีดขาวปรากฏริ้วรอยความเจ็บปวดของร่างกาย โดยเฉพาะส่วนล่างที่ถูกใช้งานหนัก เจ้าตัวขยับยุกยิกอยู่สักพักถึงได้ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ

หน่วยตาเรียวเล็กกวาดมองรอบห้อง ก่อนมาสะดุดที่เขา เมื่อเห็นเจ้าตัวก็สะดุ้ง ก่อนฟาดสายตาขึ้งโกรธใส่เขาทันที จากนั้นก็สะบัดหน้าหนี ล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้ ไม่ลืมที่จะลากผ้านวมผืนใหญ่ห่มคลุมทั้งตัว

เขารู้ว่าคณิตคงอยากรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน สถานที่ที่เจ้าตัวไม่รู้จัก ก็ไม่น่าจะรู้จักหรอกในเมื่อเขาไม่เคยบอกคณิตว่ามีห้องนี้อยู่ในบ้านที่ครั้งหนึ่งเกือบได้เป็นเรือนหอของเขากับณัชชา

คณิตมีส่วนช่วยออกความคิดเรื่องเรือนหอของเขาก็จริง แต่ก็ไม่ทั้งหมด มีบางเรื่องที่เขาไม่จำเป็นต้องบอกใครเกี่ยวกับบ้านของตัวเอง โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกน้อง ว่าภายในบ้านรูปทรงตึกใต้ตัวบ้านชั้นหนึ่ง ลึกลงไปในชั้นใต้ดิน มีมุมที่เขาสร้างไว้ผ่อนคลาย นอนหลับใหลแบบไม่ต้องสัมผัสแสงเดือนแสงตะวัน

ภายในห้องรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีบันไดโค้งวนลงมาจากประตูบานหนึ่งที่ซ่อนแอบอยู่ในห้องเก็บของ มีเครื่องเรือนเพียงไม่กี่ชิ้น ก็แค่เตียงนอนกับโซฟาตัวที่เขานั่งไขว่ห้างมองคนบนเตียง ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้ามีเพียงเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็นใส่เครื่องดื่ม และแซนเดอร์เลียร์สีเงินวับวาวบนเพดานกลางห้อง

เวลาเดินผ่านอย่างเชื่องช้า อชิตะที่สวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียวยังคงนั่งเอนหลังไขว่ห้างบนโซฟา ท่ามกลางความเงียบเชียบที่มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังแทบไม่ได้ยิน ดวงตาจับจ้องคนที่ซ่อนตัวเองอยู่ในผ้าห่ม ชายหนุ่มไม่รีบร้อนกระโจนเข้าง้องอน เพราะรอเวลาให้คณิตหมดความอดทนเองน่าจะดีกว่ากันเยอะ เมื่อหมดความอดทนต่อความอยากรู้ เจ้าตัวก็จะออกมาจากที่หลบซ่อน ยิ่งตอนนี้คณิตคงอยากรู้เหลือเกินว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มาที่นี่ได้อย่างไร

เขาอุ้มคณิตออกจากห้องในคอนโดฯ ขณะที่หลับใหลไม่รู้สึกตัว มีหลายเหตุผลที่เอาตัวคณิตมาไว้ในห้องลับแห่งนี้ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือการตัดขาดคณิตจากลูกชายของเจ้าพ่อน้ำเมา ซึ่งเขาไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว รู้จักแค่ว่าชื่อภูมิ เคยเห็นหน้าในงานสังคมในบางครั้ง

ไม่รู้หรอกว่าคณิตแค่ประชดเขา หรือว่าประชดเพราะเป็นเรื่องจริง ที่ว่ากำลังคบหาอยู่กับภูมิ เขาไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่ขอไม่ประมาทไว้ก่อน การเก็บคณิตซ่อนไว้ในห้องลับที่มีแค่เขาและคนรับใช้ในบ้านที่รู้ ซึ่งเขากำชับโทษหนักไว้แล้วหากคิดจะเอาไปคุยให้คนนอกบ้านฟัง นอกจากกันไม่ให้คณิตเจอใคร ก็ยังกันไม่ให้อดีตลูกน้องอีกคนหนึ่งตามมาเอาตัวกลับไปด้วย

...ภาคีทำตัวเหมือนพ่อของคณิตและมองเห็นเขาเป็นคนร้ายไปแล้ว

เมื่อภาคีโทรหาคณิตเกือบยี่สิบสายแต่เจ้าของเครื่องไม่รับสาย และไม่เชื่อว่าคนที่ตอบไลน์ที่ส่งมาหาด้วยข้อความร้อนใจคือเพื่อนของตน...ก็ถูกต้อง ในเมื่อเขาเป็นคนตอบไลน์เอง จึงไม่แปลกที่ข้อความสุดท้ายในไลน์ของคณิตเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนจะเป็นประโยคที่ว่า

‘คุณเอาหนึ่งไปไว้ที่ไหน’ 

 เขาอ่านแต่ไม่ตอบ อีกฝ่ายก็ไม่พิมพ์คำถามอะไรส่งมาอีก ไม่ถึงนาทีโทรศัพท์เขาก็สั่นเพราะมีสายเรียกเข้า หน้าจอขึ้นชื่ออดีตลูกน้องคนสนิท เขาปล่อยให้มันสั่นอีกสามสี่รอบถึงเงียบเสียงลง เป็นคำตอบที่แน่ชัดในใจของอีกฝ่ายแล้วว่าคณิตอยู่กับเขา หากภาคีบุกมาถึงบ้านเขา ก็จะได้คำตอบเช่นเดียวกับคำตอบของทุกคนในบริษัท ว่าเขาเดินทางไปต่างประเทศและไม่รู้จะกลับมาเมื่อไร

เขาไม่มีวันยอมให้ภาคีเอาตัวคณิตไปจากเด็ดขาด คณิตเป็นของเขาและจะเป็นไปอีกนานแสนนาน...


และแล้วผ้านวมผืนใหญ่ก็เริ่มขยับ ก่อนร่างกายขาวมีรอยจ้ำแดงและรอยฟันกระจายทั่วตัวจะลุกขึ้นนั่งด้วยความหงุดหงิด ผสมไปกับความอยากรู้ว่าที่นี่มันที่ไหน ห้องสีดำแลดูน่ากลัว ชวนให้หายใจไม่ออก ซ้ำร้ายผนังห้องที่เป็นส่วนหนึ่งของผนังห้องน้ำยังเป็นกระจกใสแจ๋วและไม่มีผ้าม่านปิดบังสายตาคนด้านนอก มองไปเห็นตู้อาบน้ำขนาดใหญ่และอ่างอาบน้ำสีแดงเข้มตัดกับพื้นและผนังห้องสีดำ

ดวงตาเรียวเล็กวาววับด้วยความโกรธจ้องเขม็งไปยังคนที่นั่งไขว่ห้างอย่างไม่รู้สึกรู้สาไปกับอารมณ์ของเขา คณิตยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น โมโหจนต้องคว้าหมอนเขวี้ยงใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มความคับแค้นใจ ทว่าระยะทางมันไกลเสียจนหมอนลอยไปไม่ถึง บวกกับร่างกายสะบักสะบอมจากการรุกรานยาวนานของอชิตะ เรี่ยวแรงก็เหลืออยู่ไม่มาก หมอนเลยตกห่างจากเตียงไปไม่เท่าไรเอง

คณิตมองหาของใกล้มือ อะไรก็ได้ที่มีน้ำหนักพอจะปาใส่หน้าเรียบเฉยของอชิตะได้ แต่ไม่มี อย่าว่าแต่ใกล้มือเลย ไกลมือก็เห็นมีแต่ตู้เย็น สูงขึ้นไปบนเพดานห้องก็มีแต่แซนเดอร์เลียร์พวงใหญ่มากๆ นอกจากของใกล้มือไม่มีแล้ว เสื้อผ้าบนตัวเขาก็ไม่มีสักชิ้น มองหาตู้เสื้อผ้าก็ไม่มี หันกลับไปจ้องหน้าอาฆาตคนที่นั่งไขว่ห้างเป็นคุณชายบนโซฟาสีดำทะมึนอีกครั้ง จ้องจนเมื่อยลูกตาแล้ว อชิตะก็ยังนั่งเฉย ปราศจากคำพูด คำอธิบายอะไร เจ้าตัวไม่เห็นคำถามในตาขวางขุ่นของเขาหรือไงวะ คณิตนึกด่าในใจ ก่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างขัดใจ ตัดสินใจเปิดปากซะเอง

“ที่ไหน?”

คณิตถามตาขวาง ไอ้ที่คิดว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะหนีไปพึ่งภาคี หรือไม่ก็กลับบ้านต่างจังหวัดเป็นอันพับเก็บไปทันที อย่าว่าแต่หาทางหนีไม่ได้เลย แค่หาประตูหน้าต่างยังไม่เจอด้วยซ้ำ เจอแต่กำแพงสีดำน่ากลัว ประตูห้องที่คาดว่าน่าจะอยู่เหนือบันไดโค้งวน ก็ใช่ว่าจะใส่ตีนหมาวิ่งไปถึงตีนบันไดได้ง่ายซะหน่อย ในเมื่อมีคนนั่งเฝ้าบันไดไว้แล้ว ต่อให้อชิตะไม่นั่งเฝ้า ร่างกายที่เหมือนถูกสูบเอาพลังงานออกจากร่างจนหมดสิ้น ความปวดร้าวระบมตรงช่องทางด้านหลังอีกเล่า สภาพนี้เดินไปถึงตีนบันไดต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบนาทีแน่

เมื่อคืน...เขาไม่ได้นับว่ากี่ครั้งที่อชิตะรุนแรงเข้าใส่ ความทรงจำสุดท้ายก่อนทุกอย่างวูบดับไปคือเสียงเข้มครางกระเส่าตามอารมณ์สุขสม เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด กับแสงของวันใหม่ที่ลอดผ่านเข้ามารวมกับแสงของหลอดไฟภายในห้อง

กว่าจะได้คำตอบคณิตก็ต้องรอให้อีกฝ่ายลุกจากโซฟา ก้าวเท้าอย่างเนิบช้าเข้ามาหา อชิตะก้มเก็บหมอนสีดำบนพื้นพรมสีเดียวกันขึ้นมา ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วนั่นแหละ คณิตถึงได้คำตอบ

“ห้องใต้ดินในบ้านของเรา”

‘บ้านของเรา’ ให้ตีความก็คงหมายถึงอดีตเรือนหอของอชิตะกับณัชชา บ้านหลังนี้มีห้องใต้ดินด้วยเหรอ เขาไม่เห็นเคยรู้มาก่อน จะว่าไปที่เขาช่วยออกแบบความคิดให้บ้านหลังนี้ก็มีแค่สระว่ายน้ำแทนสวนต้นไม้ใบหญ้า และก็รายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่เขาชอบเท่านั้น แถมตอนสร้างเรือนหอของอชิตะ เขาก็ไม่เคยโผล่หน้ามาดูการก่อสร้างเพราะไม่ใช่หน้าที่ หากจะมีห้องใต้ดินในบ้านหลังนี้ก็ไม่น่าแปลก มันแปลกก็ตรงที่ว่าทำไมเขาต้องมาอยู่ในห้องลับนี้ด้วยวะ อย่าบอกนะว่า...อชิตะเอาเขามาขังไว้ให้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเหมือนที่เจ้าตัวขู่ไว้เมื่อคืน

แค่คิดก็กลัวแล้ว...ไม่คิดว่าอชิตะจะเป็นโรคจิตจริงอย่างที่เขาก่นด่ามาตลอด

“ชอบไหม?” คนโรคจิตถามยิ้มๆ

ชอบไหม...งั้นเหรอ?

ชอบกับผีอะไรเล่า ห้องสีดำอย่างกับนรก แถมอ่างอาบน้ำก็เหมือนกระทะทองแดง อะไรไม่ร้ายเท่ากับการที่ต้องไปยืนอาบน้ำท่ามกลางสายตาของคนร่วมห้อง ยังดีหน่อยที่ห้องสุขากั้นพื้นที่ด้วยกำแพงปูนฉาบสีดำ ไม่งั้นละก็ ไม่อยากคิดว่าจะอุจาดตาแค่ไหนเวลาปวดหนักขึ้นมา


“ผมจะกลับบ้าน” คณิตเอ่ยเสียงหนัก แม้ความหวังริบรี่


“คุณจะอยู่ที่นี่...” อชิตะบอกด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “...อยู่เป็นของเล่นของผม จนกว่าผมจะเบื่อ” เมื่อคืนคณิตตะโกนใส่หน้าเขาดีนัก ว่าเขาเห็นเจ้าตัวเป็นของเล่นที่ยังกอบโกยเอาไปหมด ก็ลองเอาคำพูดของเจ้าตัวมาใช้ซะหน่อย ดูสิว่าจะเป็นยังไง 

“เลว” คนตัวขาวขบฟันพูด ขณะที่หัวใจมันพลิกตลบ สะท้านกับคำว่า ‘ของเล่น’ เมื่อคืนยังบอกว่ารักเขาอยู่เลยไม่ใช่หรือไง หรือดันคิดได้กับคำด่าของเขา เลยรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกที่มีต่อเขา ไม่ใช่ความรัก เป็นแค่ความใคร่ล้วนๆ สิ่งที่อชิตะอยากได้จากเขาก็แค่ร่างกายที่ไม่ได้มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเหมือนเจ้าตัว ร่างกายที่เป็นรสชาติแปลกใหม่ หยิบจับใช้งานได้ง่ายตามความอยากของผู้ชาย เขาไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าแค่ที่ระบายความใคร่ คิดแล้วใจเหมือนจะขาดเป็นชิ้นให้ได้เสียตรงนี้

แล้วทำไมเขาต้องคิดให้ตัวเองเจ็บซ้ำซากด้วย!

เชิดหน้าไว้สิวะไอ้หนึ่ง!

จำไว้ ถึงตัวมึงจะหมดศักดิ์ศรีไปแล้ว แต่หัวใจมึงยังมีศักดิ์ศรีนะเว้ย!

มึงต้องรักษาศักดิ์ศรีของใจมึงด้วยการหยุดเจ็บปวดเสียที!

สั่งตัวเองน่ะมันง่าย แต่ให้ทำจริงๆ คณิตไม่แน่ใจเลยว่าจะทำได้ จะรักษาศักดิ์ศรีของหัวใจตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อมันรักไปแล้ว เป็นของคนเห็นแก่ตัวไปแล้ว ขอบตามันร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีทันใด คณิตต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ให้คนร่วมเตียงเห็นเวลาที่น้ำอุ่นร้อนคลอในหน่วยตา เขากำลังกัดฟันสู้กับความเจ็บปวดจากคำพูดของอีกฝ่ายที่เฉือนหัวจิตหัวใจเหลือเกิน

หัวใจมันทนไม่ไหวอีกต่อไป อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว คณิตขยับกายหวังจะหอบร่างระบมคลานลงจากเตียง ไม่รู้จะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ในเมื่อห้องกว้างว่างโล่งซะขนาดนี้

เออ! ในห้องน้ำก็ได้วะ

แต่แค่ขยับก็โดนมือหนารั้งตัวเอาไว้อย่างกับรู้ทันความคิด จากนั้นก็ถูกยกตัวให้ขึ้นไปนั่งบนตักแกร่ง ใช่ว่าคณิตจะยอมง่ายๆ ก็ตามสเต็ปเดิมคือดิ้นขัดขืน แต่ครั้งนี้ร่างกายไม่สมบูรณ์ ยิ่งดิ้นช่วงล่างก็ยิ่งเจ็บ คณิตเลยดิ้นได้ไม่เยอะเท่าที่ใจอยากทำ สุดท้ายคนตัวเล็กก็ฝืนทรมานตัวเองไม่ไหว นั่งนิ่งบนตักคนตัวใหญ่แบบจำยอม

แต่ปากกล้าแสนเก่งของคณิตใช่จะจำยอมไปด้วย

“ไอ้เหี้ย ไอ้เลว ไอ้โรคจิต ไอ้คนเห็นแก่ตัว มึงเป็นเหี้ยอะไรกับกูนักวะ” คณิตไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าแล้ว “ทำไมกูต้องมาซวยเจอคนอย่างมึงด้วย กูเป็นคน ไม่ใช่ของเล่น แล้วอย่าเผลอนะ เผลอเมื่อไร กูเอามึงตายแน่ จำไว้ไอ้เหี้ย! ไอ้เลว! สักวันกูจะหนีไปจากมึงให้ได้! ทำไมต้องทำกับกูอย่างนี้วะ กูเป็นลูกมีพ่อมีแม่ ไม่ใช่ของเล่นให้มึงเอาเล่นๆ” ตะคอกใส่หน้าอย่างสุดทน มือเล็กระดมทุบร่างกายหนาเท่าที่แรงน้อยนิดจะทำได้ เพื่อแสดงว่าตัวเองไม่ยินยอมในสิ่งที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้เป็น

“ปล่อยกู! มึงจะทำอะไรกูอีกห๊ะ!!”

“ด่าเยอะๆ หนึ่ง เพราะผมชอบ” คณิตรวบสองมือเล็กที่พยายามจะใช้เป็นอาวุธทุบตีเขาไว้เหนือศีรษะของเจ้าของมันด้วยมือเดียว เมื่อผลักร่างเล็กลงไปนอนราบกับเตียง  อีกมือหนึ่งบีบต้นคอขาวด้วยแรงที่ไม่มากนักแต่ก็พอทำให้ร่างข้างใต้หยุดพยศแทบจะทันที แล้วส่งสายตาเกลียดชังมาให้แทน “รู้ไหมหนึ่ง...ยิ่งคุณพยศ ผมยิ่งชอบ...ยิ่งคุณสู้ ผมยิ่งบ้า...ยิ่งคุณเกลียด ผมยิ่งสนุก...ยิ่งคุณอยากหนี ผมก็ยิ่งอยากฝังคุณไว้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน”

“ไม่ต้องมาขู่ ผมไม่กลัว” ปากบอกไม่กลัว แต่คณิตก็เลือกใช้คำแทนตัวเองที่อ่อนลง ก็อชิตะมีอะไรอีกมากมายที่เขาไม่รู้ ที่ผ่านมาก็ยืนยันแล้วว่าอชิตะทำอะไรได้เลวร้ายกว่าที่เขาจะคาดถึง อชิตะไม่ใช่คนใจดีอย่างที่เขาเคยเข้าใจ แต่เป็นคนเห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างเพื่อความต้องการของตัวเอง

“คิดว่าผมขู่?” มุมปากหนายกยิ้มอย่างคนที่เหนือกว่า “ผมไม่ได้ขู่ สิ่งที่ผมพูด คือสิ่งที่ผมทำมันได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ แม้แต่ฆ่าคุณ ผมก็ทำได้ ถ้ามันจำเป็น” อชิตะพูดเสียงเรียบ เพิ่มน้ำหนักมือที่บีบลำคอขาวขึ้นอีกนิดหนึ่ง ตอกย้ำคำที่พูดไป พอใจกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคณิต 

“ไอ้โรคจิต” ถึงจะเก่งกล้า ทำใจแข็งสู้สายตาด้วย แต่จะให้ท้าทายและมีชีวิตเป็นเดิมพันละก็ คณิตขอประคับประคองชีวิตตัวเอง
ให้พ้นจากห้องสีดำทะมึนไปให้ได้ก่อน มันต้องมีสักช่วงเวลาที่อชิตะเผลอ แล้วมันจะเป็นเวลาของเขา

“พาผมไปตรวจสิหนึ่ง จะได้รู้ว่าผมโรคจิตหรือว่าเพราะคุณเป็นตัวกระตุ้นให้ผมต้องโรคจิตใส่คุณ” พูดยิ้มๆ 

“อย่ามาโทษผม คุณมันโรคจิตเอง ไม่เกี่ยวกับผม” คณิตสวนกลับทันที เรื่องอะไรมาโทษเขา     

“ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แต่ผมคิดถึงคุณนะ” อชิตะเปลี่ยนมาทอดเสียงนุ่มหวานในประโยคสุดท้าย พลางละมือจากต้นคอขาวลงมาที่จุดกึ่งกลางตัว ขย้ำตัวตนนุ่มนิ่มให้ตื่นตัว “...คิดถึงมาก อยากเข้าไปอยู่ในตัวคุณแทบบ้า อยากให้คุณร้องครวญครางเหมือนเมื่อคืน คุณเซ็กซี่มากรู้ไหมหนึ่ง” อชิตะเอ่ยย้ำเสียงพร่าแหบ แทรกตัวเข้าไปนั่งระหว่างเรียวขาทั้งสองข้างของคนตัวเล็ก ดึงสะโพกนิ่มขึ้นมาเกยบนหน้าขา อีกฝ่ายทำหน้าตาตื่นแต่ก็แวบเดียว ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเคียดแค้น อยากฉีกเนื้อเขาทิ้งเป็นชิ้นๆ ต่างจากเขาที่อยากกลืนกินคณิตเข้าไปทั้งตัว ให้จมไปในร่างกายเขา ให้กลายเป็นทั้งชีวิต ร่างกาย และลมหายใจไปตลอดกาล

“ผมไม่อยากรู้ ไม่ต้องมาบอกความเป็นโรคจิตของคุณหรอก” คณิตตอกกลับด้วยเสียงแดกดัน พยายามเสือกไสตัวลงมาจากต้นขาแข็งแรง แต่ก็ติดทั้งมือและร่างกำยำที่ปิดล็อกทุกการเคลื่อนที่ของเขา ซ้ำยังจับน้องชายเขาเป็นตัวประกัน มือที่ขย้ำนวดเป็นจังหวะเบาสลับหนักกำลังทำให้ร่างกายเขาเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ต้องกัดปากตัวเองแน่นกั้นเสียงครางที่อาจหลุดออกมา...
โธ่เว้ย! เขาก็ผู้ชายนะ แตะนิดแตะหน่อยก็ไปแล้ว

“ผมไม่สน เพราะตรงนี้ของคุณน่าสนุกว่าเยอะ” อชิตะหมายถึงช่องทางด้านหลังของคนตัวเล็ก เขากำลังใช้สองนิ้วหยอกล้ออย่างสนุกมือ เห็นกรอบหน้าเล็กขึ้นสีแดงเพราะความโกรธและอารมณ์แบบผู้ชายเวลาถูกกระตุ้นตรงจุดอ่อนไหวและจุดที่ไวต่อความรู้สึกในคราวเดียวกัน “มันสนุกนะหนึ่ง เวลาเห็นคนปากไม่ตรงกับใจร้องครวญครางจนเสียงแหบแห้งเพราะผม”

ยิ่งเจ้าของช่องทางรักดิ้นขัดขืน อชิตะก็ยิ่งหยอกล้อด้วยการกดย้ำที่แรงขึ้น สัมผัสได้ถึงความร้อนผะผ่าวดึงดูดปลายนิ้วให้รุกรานเข้าลึก จนอยากแทนที่ด้วยอะไรที่คู่ควรมากกว่านิ้วมือ

“อยากให้ผมเข้าไปหรือยัง” ถามพร้อมรอยยิ้มเย้าแหย่ ตาเรียวตวัดมองขุ่นทันที

“ไอ้โรคจิต! หน้าไม่อาย!” คณิตจนคำด่าอีกเช่นเคย หรือเพราะเรี่ยวแรงที่เคยเหลืออยู่น้อยนิดได้เหือดหายไปพร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงกันแน่ แม้มือทั้งสองข้างจะเป็นอิสระแต่ก็ตกอยู่ข้างลำตัว ไม่มีแรงยกเหวี่ยงหมัดใส่คนที่กำลังเล่นสนุกกับร่างกายเขาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ร่างกายบิดสะท้านยากควบคุมไว้ได้ด้วยสติอันน้อยนิด ได้แต่นอนกลั้นเสียงครางไม่ให้หลุดออกมาประจานตัวเองให้ฝ่ายกระทำได้ใจ

อดทนไว้ไอ้หนึ่ง!

อย่าเผลอให้ความร่วมมือ ไม่อย่างนั้นจะด่าได้ไม่เต็มปากว่าถูกข่มขืน!

V
V
อ่านต่อข้างล่างนะคะ


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“มาดูสิว่าคนโรคจิตอย่างผมทำอะไรกับร่างกายของคุณที่มันเป็นของผมบ้าง ลองตรงนี้ก่อนดีไหม” คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะจบคำถาม อชิตะก็งับคณิตน้อยเข้าปากทันที ชายหนุ่มดูดดึง หยอกล้อด้วยฟันที่กัดย้ำ หนักบ้าง บ้างเบา

“อื้ออ...ไอ้...ระ...โรคจิต...อ่า...” คณิตด่าเสียงสั่นเบา ทั้งที่คิดว่าตัวเองตะโกนด่าจนสุดเสียงแล้วนะ มิหนำซ้ำยังหลุดครางเบาให้อชิตะเงยหน้าขึ้นมายิ้มสมใจใส่เขาอีก

โธ่เว้ย!! ดันรู้สึกดีไปด้วยนี่สิ ที่ร้ายแรงที่สุดคือช่องทางข้างหลังของเขายังร้าวระบมอยู่มาก ขยับเพียงนิดก็เจ็บร้าวไปทั้งตัวแล้ว อชิตะยังคิดจะเล่นกับมันอีกหรือไง นี่สินะที่เรียกว่าของเล่น อยากเล่นตอนไหนก็ต้องได้ เพราะร่างกายเขาก็แค่ของเล่น ไม่มีความรู้สึก เจ็บไม่เป็น ตายไม่ได้ รอแค่วันที่มันพังจนเล่นต่อไม่ได้...หรือไม่ก็เบื่อที่จะเล่น แล้วโยนทิ้ง 

“อยากให้ผมสัมผัสตรงๆ แล้วหรือยัง” อชิตะมองใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยอารมณ์ แบบที่กลั้นเก็บแล้วแต่ก็ไม่มิด   

“ไม่!” คณิตตะโกนสวนกลับทันที

“แต่ผมอยาก” ว่าแล้วก็ระบายเสียงหัวเราะเบาๆ แกล้งขยับสะโพกให้ส่วนร้อนระอุกระแทกเข้ากับช่องทางรักด้านหลังซ้ำๆ ส่วนคนถูกกระทำต้องด่าซ้ำด้วยคำเดิม

“โรคจิต!” 

“ก็กับหนึ่งคนเดียว” หนึ่งเดียวเท่านั้นที่อชิตะอยากแสดงความรักให้รุนแรงที่สุด


“ผมไม่ภูมิใจหรอกนะ มีแต่ขยะแขยง” คนที่กำลังจะถูกกลืนกินสะบัดเสียงใส่ มีวูบหนึ่งที่ต้องหลบตาคู่คมเข้มที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความต้องการของผู้ชาย อชิตะมองเขาเหมือนจะกลืนกินลงท้อง ไม่เหลือเว้นไว้แม้แต่กระดูก

“ผมให้โอกาสพูดใหม่ ขยะแขยงหรือว่า...” อชิตะยิ้มใส่ดวงตาจ้าจัดของคณิต “...รู้สึกดีกันแน่”

“ไปถามคนของมึงนู่น” ตะโกนสวนกลับไปอย่างเหลืออด ภาพเมื่อวานย้อนกลับมาในหัวอีกครั้ง

“พูดไม่เพราะหลายรอบแล้วนะหนึ่ง คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบ มันไม่เหมาะกับปากหวานๆ ของคุณ” อชิตะกระซิบข้างใบหูเล็กที่ขึ้นสีแดงจัด ไม่ใช่เพราะความเขินอายแต่เป็นเพราะความโมโหมากกว่า ชายหนุ่มกดปลายจมูกบนซีกแก้มที่บอกได้คำเดียวว่าคิดถึงเหลือเกิน แม้จะกกกอดไว้ทั้งคืนแล้วก็ยังคิดถึง “แล้วที่พูดว่า ‘คนของผม’ หมายถึงคนในร้านหรือเปล่า” ถามปนไปกับเสียงหัวเราะในลำคอ อชิตะเดาว่าคณิตกำลังหึง

หึง...ก็แปลว่ารัก

ไม่รัก...คงไม่หึง

คงต้องปล่อยให้หึงต่อไป

“หรือว่ามีอีกกี่คน” ย้อนถามอย่างอารมณ์เสีย นี่สินะถึงไม่กลับมาหาเขา ปล่อยให้เขารอเหมือนคนโง่ คิดแล้วอารมณ์น้อยใจก็ล้นปรี่ในหัวอก ตีคู่มากับอาการขอบตาร้อนจัด ต้องฝืนข่มน้ำตาไม่ให้ไหลซ้ำซากฟ้องความอ่อนแอของตัวเอง คณิตหันหน้าหนี ไม่ให้อชิตะได้เห็นความอ่อนแอนี้

“เป็นอะไร?” อชิตะใช้มือจับปลายคางเล็กให้หันหน้ากลับมา ที่เห็นคือเปลือกตาที่ปิดสนิทกับเม็ดน้ำตาตรงหางตา

“เรื่องของผม ไม่ต้องมายุ่ง อยากเอาผมนัก ก็เอาซะทีสิ” คนตัวเล็กข่มอารมณ์อ่อนแอไว้ลึกที่สุดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยประชดออกมา “แล้วรีบเบื่อผมให้เร็วด้วย เพราะมีคนรอผมอยู่ ผมอยากเจอหน้าเขาเต็มทนแล้ว” 

อชิตะแสยะยิ้มให้กับคำประชดของคนตัวเล็ก คำพูดของคณิตฟังแล้วจี๊ดที่อกก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามเอาของที่เป็นของเขาคืนมาลดลงเลย กลับยิ่งทำให้มีมากขึ้น คณิตเป็นของเขาและต้องเป็นของเขาไปตลอดชีวิต

“ถ้าผมยังไม่เบื่อของเล่นที่มันครางเสียงหวานจนผมอยากฝังตัวเองลงไปทุกนาที คุณก็ไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่กับผม ครางให้ผมฟังได้คนเดียว”

ความต้องการที่ไม่เคยพอ ไม่มีวันพอ มันต้องการปลดปล่อยใส่เข้าไปในร่างกายเล็กแสนหอมหวานเสียเดียวนี้... นาทีนี้เลย เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของที่แท้จริง

สำหรับอชิตะ ความรัก ความใคร่ ความต้องการ การได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเดียวกัน สิ่งเดียวกัน แยกกันไม่ได้

“อยากเอาก็เอา ไม่ต้องมาพูดมาก” คณิตบอกเสียงขุ่น หัวใจสลายกับคำว่า ‘ของเล่น’ ที่อีกฝ่ายย้ำเหลือเกิน กลัวเขาไม่รู้หรือไงว่าต้องอยู่ในฐานะอะไร

“ผมจะถือว่าเป็นคำเชิญชวน” อชิตะกระซิบข้างใบหูเล็ก แล้วดูดกลืนติ่งหูเล็กเข้ามาในปาก ชิมรสผิวเนื้อหวานหอมให้เจ้าของมันสะดุ้งและสะท้านซ่าน แล้วจึงละออกมา ยิ้มยั่วก่อนเอ่ย “ยิ่งคุณพยศ ผมยิ่งชอบ ยิ่งคุณสู้ ผมยิ่งบ้า แต่ถ้าคุณยอม ผมยิ่งคลั่ง” เขาระบายเสียงหัวเราะทุ้มต่ำราวกับคนโรคจิตจริงๆ

คนฟังทำตาโต ด่าทอผ่านทางสายตาจ้าจัดสักพัก ถึงเปิดปากเอ่ยสั่งเสียงสูงประชด เพราะขัดใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้

“ทำสิ พูดมากอยู่ได้ อยากนักไม่ใช่หรือไง ทำเลย เอาเลย จะได้เลิกพูดจาโรคจิตใส่คนอื่นเขาซะที ไม่อยากฟัง ไม่อยากโรคจิตไปด้วยกับคุณหรอกนะ”

“เก่งพอจะทำเองไหม?” ถามกลั้วเสียงหัวเราะ ยั่วแหย่และท้าทายให้อีกฝ่ายตกหลุม อชิตะพลิกตัวกลับไปอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน พิงแผ่นหลังไว้กับหัวเตียง “ขึ้นมาสิ จะได้รีบทำ รีบเสร็จ ไม่แน่นะหนึ่ง บางทีครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะเล่นกับคุณ ครางให้ดัง ทำให้ผมถึงใจ แล้วผมจะปล่อยคุณไป”

โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังถูกหลอกล่อให้ตกหลุม คณิตก็เอาตัวเองปีนขึ้นไปนั่งทับหน้าขาของอีกฝ่าย ราวกับจะประชดชะตากรรมและความน้อยอกน้อยใจของตัวเอง ก่อนกระตุกปมเสื้อคลุมสีเทาเข้ม กดฟันข่มความอายจับท่อนลำแข็งและร้อนจัด ซึ่งขนาดของมันไม่ได้ธรรมดาเลยสักนิด เห็นมากี่ครั้ง สัมผัสมากี่หน เขาก็ยังไม่ชิน ไม่คิดว่าจะเข้าไปอยู่ในตัวเขาได้เลยแต่ก็เข้าไปได้หลายครั้งต่อหลายครั้ง

“จะมองอีกนานไหม ทำสิครับ” เสียงทุ้มลากหวานติดจะเย้าแหย่ให้คนฟังอับอาย สิ้นศักดิ์ศรี

“.....” คณิตไม่ตอบโต้ มองตาขวางแทนคำด่า ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาสัมผัสกับไอร้อนที่แผ่ออกมาจากท่อนลำขนาดใหญ่ เขาใช้ลิ้นสัมผัสมันก่อนสองสามครั้ง แล้วจึงใช้ทั้งปากครอบมันลงไป ทำเหมือนที่เคยทำ ทำไปตามความคุ้นเคย

ใช้แรงดูด...

ใช้ลิ้นลากเลีย...

ใช้ฟันสร้างความเสียวสยิว...

ใช้ความตั้งใจใส่ลงไปทุกการเคลื่อนขยับให้ลื่นไหล...เพียงเพื่อให้ได้รางวัลเป็นมือหนาที่ลูบวนอยู่บนศีรษะ เสียงครางแหบที่บอกความพึงพอใจ ร่างกายที่บิดเกร็งจนถึงขั้นสุด ก่อนปลดปล่อยน้ำสีขาวข้นที่ล้นทะลักอยู่ในปากของเขา ส่วนที่เกินกักเก็บก็ไหลย้อยตามแรงโน้มถ่วง เขาก็ปาดมันทิ้ง ส่วนที่อยู่ในปากก็กลืนลงคอไป รสชาติของมันไม่ได้อร่อย หากเขาชินเสียแล้วที่จะทำแบบนี้

ก็แค่ทำเหมือนเคยทำ ก็แค่ทำเป็นครั้งสุดท้าย...

“คนเก่ง”

เป็นคำเรียกขานที่คณิตไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มไปด้วยสักนิด เมื่อถูกดึงเข้าไปรับจูบของคนที่สุขสมไปแล้วหนึ่งน้ำ ลิ้นของเขาถูกดูดกลืนอย่างรุนแรง อชิตะทำเหมือนตายอดตายอยากมาสิบชาติ   

“อื้อ...พะ...พอก่อน” คณิตดันใบหน้าอชิตะออกไป พูดเสียงหอบเพราะถูกช่วงชิงลมหายใจไปนานหลายนาที “เลิกจูบได้แล้ว ผมจะได้รีบทำ จะได้ไปๆ ซะที” ...กลับไปเจ็บช้ำเหมือนเดิม หรือไม่ก็ยิ่งกว่าเดิม ในเมื่อครั้งนี้ร่างกายของเขาถูกตีค่าว่าเป็นแค่
‘ของเล่น’ ที่เก็บขึ้นมาเล่นต่อแค่ครั้งสองครั้ง ก่อนจะทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดี

อชิตะเคยย้ำนักย้ำหนาว่า ‘รักเขา’ มาตอนนี้กลับเห็นเขาเป็นแค่ของเล่น ที่จะเล่นสนุกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ตัวเขา หัวใจเขา ไม่มีค่าอะไรกับใครเลยจริงๆ

“ก็ทำสิ” อชิตะยิ้มตาพราว รอรับความสุขสมที่ได้รับจากช่องทางรักของร่างเล็ก ความอร่อยที่กินเท่าไรก็ไม่เคยเบื่อ มีแต่อยากกินเพิ่ม

 อีกครั้งที่คณิตจับประคองท่อนลำที่ปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นไปแล้วครั้งหนึ่ง ทว่ายังคงแข็งแกร่งพร้อมรบอย่างเต็มที่ คนตัวเล็กมองความเป็นชายเกินชายของอชิตะ แล้วโน้มตัวลง ใช้ลิ้นลากเลียให้ท่อนลำแข็งแกร่งโชกด้วยน้ำลาย เพื่อง่ายต่อการสอดใส่เข้ามาในช่องทางบวมช้ำของเขา

“เจลอยู่ที่โซฟา” อชิตะบอก

คนตัวเล็กใช้สายตาเย็นชาเป็นคำปฏิเสธ สะโพกเล็กยกขึ้นสูง จากนั้นจึงหย่อนกายลงมา หวังให้ช่องทางรักที่ยังร้าวระบมกลืนท่อนลำใหญ่โตเข้าไปทีละน้อย

มันเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่ไม่ยอมให้มันไหล คณิตหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ฝืนกายลงมาด้วยความทรมาน กัดริมฝีปากล่างของตนไว้ไม่ให้เสียงของความเจ็บปวดพ้นออกมาจากปากให้โดนดูถูก ปลอบโยนร่างกายตัวเองว่า มันจะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายแล้ว ให้มันเจ็บที่สุดไปเลย

เจ็บ! ไม่ไหว...ส่วนหัวยังเข้าไปได้นิดเดียวเอง กลับเจ็บเจียนตาย   

“เป็นไงล่ะ อวดเก่งดีนัก” ร่างใหญ่ลุกจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนขึ้นมาโอบประคองร่างกายที่สั่นระริกจากความเจ็บร้าวเจียนตายที่ฝืนกดสะโพกลงมาแบบไม่ประมาณตน อชิตะช้อนร่างคณิตเข้าสู่วงแขน อุ้มลงจากเตียงพาเดินไปที่โซฟาตัวเดียวในห้อง ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง จับประคองให้อีกคนนั่งบนตัก เอื้อมหยิบหลอดเจลบีบใส่มือ ชโลมบนความต้องการของตัวเอง

“ไหวนะ” นิ้วแกร่งชุมเจลเนื้อเย็นแทรกเข้าไปในช่องทางรัก เจ้าของมันส่ายหน้าไปมา

“ผมไม่ไหว มันเจ็บ ไม่ทำแล้วได้ไหม” นาทีก่อนคณิตอยากประชด อยากทำตัวเองให้เจ็บเท่ากับที่ใจเจ็บ แต่นาทีนี้เขายอมแพ้แล้ว 

“อดทนหน่อยนะครับคนเก่ง” อชิตะมองตาคนตัวเล็ก ส่งสายตาอ้อนขอแบบที่ทำให้คนถูกอ้อนต้องกัดปากหลบสายตา “ทนได้ใช่ไหม ทนเพื่อผมหน่อยนะคนเก่ง” ทอดเสียงหวานถามซ้ำ นิ้วแกร่งยังขยับเข้าออกในช่องทางรัก ได้ยินเสียงครางแผ่วเบาจากปากเล็กที่สั่นระริก เป็นสัญญาณที่ดี

อชิตะดึงใบหน้าคณิตเข้ามาจูบ ส่งผ่านความรู้สึกทั้งรักทั้งหลงใหลลงในรสจูบที่บดเบียดช่วงชิงลมหายใจของคนตัวขาว ใช้จังหวะที่คณิตหลงไปกับจูบที่เขาปรนเปรอให้ ยกสะโพกของอีกฝ่ายขึ้น แล้วแทนที่นิ้วมือด้วยท่อนลำร้อนจัด คณิตผวาเข้ากอดคอเขาแน่น เนื้อตัวเกร็งสั่นระริกยามที่เขารั้งสะโพกเล็กให้รับตัวตนของเขาไปจนสุดความยาว

“ทำหน้าที่ได้แล้วคนเก่ง” เขากระซิบข้างใบหูเล็ก เจ้าตัวส่ายหน้ากับไหล่เขา มีเสียงสะอื้นผ่าวเบาปนมากับเสียงครางแผ่วหวาน

“ไม่เก่งแล้วเหรอ เมื่อกี้ยังใจสู้อยู่นะครับคนเก่ง แบบนี้ไม่เก่งจริงนี่น่า” อดไม่ได้ที่จะกระเซ้า ปลายเล็บจิกเข้าเนื้อตรงแผ่นหลังเขาเป็นการตอบโต้ อชิตะพลิกร่างนั้นลงไปนอนราบบนโซฟา โดยที่ท่อนลำร้อนจัดของเขายังเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับช่องทางรักของคณิต

“เอาเป็นว่า คนเก่งติดหนี้ผมหนึ่งครั้งแล้วนะ” อชิตะบอกเจ้าของดวงหน้าแดงก่ำ ก้มใบหน้าลงหาความหวานจากเรียวปากเล็กอย่างร้อนแรง ส่วนเบื้องล่างก็ไม่ต่างกัน ชายหนุ่มโหมแรงใส่ตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้ายที่ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองออกมา

“ออกไป”

เสียงแหบแห้งเอ่ยบอกไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ เมื่อเขายังคงทาบทับบนร่างกายของคนตัวเล็ก คณิตขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะน้ำหนักของเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ

“เสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง ก็ปล่อยผมไปได้แล้ว...อื้อ...จะ...เจ็บนะไอ้เหี้ย!” ต่อให้หอบระโหยโรยแรงเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก แต่ความปากเก่งก็ฟื้นตัวเร็วมาก เลยถูกอชิตะกัดปากไปหลายทีเป็นการสั่งสอน

“ผมยังสนุกกับของเล่นอย่างคุณอยู่เลยนะหนึ่ง” อชิตะยิ้มแหย่

“แต่คุณบอกว่าเป็นครั้งสุดท้าย” คณิตมองตาขวาง ทวงคำพูดที่อีกฝ่ายบอกเขา

“ผมพูดว่า ‘อาจจะ’ แล้วคุณก็ยังติดหนี้ผมอยู่หนึ่งครั้งด้วยนะหนึ่ง” บอกอย่างเป็นต่อ ก็อีกตามเคยที่คนฟังจะกัดฟันกรอด ระดมหมัดใส่ตัวอชิตะแบบไม่ยั้งแรงเท่าที่สภาพจะอำนวย ซึ่งมันก็เหมือนลูกแมวไม่มีกรงเล็บ ไม่ได้ทำให้อชิตะระคายเคืองเลย ตรงข้ามกลับยิ่งกระตุ้นให้อชิตะอยากขย้ำซ้ำอีกหลายรอบ

“ไอ้คนปลิ้นปล้อน” คณิตด่าด้วยความเจ็บใจ สองมือที่มีก็ทำอะไรคนที่นอนทับบนตัวเขาได้เลย

“สงสัยมีแรงเหลือเฟือ ต่อกันอีกรอบไหม?” ถามขำๆ ก่อนพลิกกายลงมานอนเบียดคนตัวเล็ก แล้วดึงเข้ามากอด กดศีรษะเล็กที่อัดแน่นด้วยความดื้อมาซบที่อก “ขืนดิ้นเยอะ ระวังอะไรที่มันสงบไปแล้ว มันจะตื่นนะ แล้วคุณจะแย่เอาหนึ่ง” อชิตะแกล้งขู่ คณิตถึงกับหยุดดิ้น แต่ไม่วายหยิกหน้าอกของอชิตะทิ้งทวนเสียหลายที

คณิตเงียบไปนาน จนอชิตะคิดว่าหลับ ทว่าก็คิดผิด เมื่อจู่ๆ คนตัวเล็กก็เอ่ยเสียงสั่นเบาขึ้นมา

“ผมเกลียดคุณ”

“เกลียดหรือรัก พูดใหม่ได้นะ”

“สักวัน...” คณิตเงยหน้าขึ้นมาสบตา “...ผมจะเกลียดคุณ” ...เพราะตอนนี้เขายังรักอชิตะ แม้ปากจะบอกว่าเกลียดก็ตาม

“ไม่มีวันนั้นหรอกหนึ่ง” อชิตะยิ้ม “เพราะผมจะรักคุณ จนคุณไม่สามารถทิ้งความรักของผมไปไหนได้ คุณจะเป็นของผมทั้งตัว หัวใจ และตลอดไป”

“ไม่มีวัน”

“พิสูจน์สิหนึ่ง” อชิตะท้า “วันที่เราจะรักกันไปถึงวันตาย”

คณิตหัวเราะทั้งน้ำตาให้กับคำท้าของอชิตะ

พิสูจน์อย่างนั้นหรือ?

อชิตะพูดมากี่ครั้งแล้วล่ะ แล้วเป็นไง วันนั้นก็ทิ้งเขาอยู่ดี

“ไม่เชื่อเหรอ”

“เปล่า...ไม่เคยเชื่อเลยต่างหาก”

คณิตจบบทสนทนาด้วยการพลิกตัวหันหลังให้อชิตะ ปิดเปลือกตาลง ข่มใจให้นอนหลับใหลไปซะ เผื่อว่าตื่นขึ้นมาจะเจอกับคำว่า...



‘ผมเบื่อคุณแล้ว’


จบตอนที่ 28
 :o8:
นับถอยหลังเหลืออีก 4 ตอนแล้วนะคะ
แอบกระซิบว่า คนเขียนเปิดจองในเพจแล้ว
แต่ในเล้า กำลังเตรียมเอกสารเพื่อขอเลข ID อยู่
หากสนใจเอาอิงหนึ่งไปกอดที่บ้าน เก็บเงินนะคะ
ในส่วนของเนื้อเรื่อง เหลืออีก 4 ตอน ก็จะเอามาลงทุกวันๆ
จะได้จบซะทีเนอะะะ

ขอบคุณที่ยังตามอ่านอิงหนึ่งกันอยู่นะคะ

สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดูโรคจิตจริงด้วย!

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
29

“คนเก่ง...”

ริมฝีปากอุ่นร้อนพรมจูบบนต้นคอขาว ไล่ลงมายังแผ่นหลังบอบบาง ปลุกอารมณ์ที่มอดดับของร่างเล็กที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำสีแดงและรอยกัดทั่วร่างขึ้นมาอีกครั้ง

สองวันแล้วที่กกกอดร่างกายหอมหวานนี้ ไม่อยากจากพรากไปไหน อชิตะทำให้โลกทั้งใบมีแค่ตัวเขากับคณิต...เพียงสองคน

“อื้อ...ไม่เอา...แล้ว” คณิตปัดมือของคนที่ทอดกายอยู่ด้านหลัง มือหนาคลำไปทั่วร่างกายเขาเท่าที่มันจะไปถึง เป็นสัญญาณอันตรายว่า ร่างกายเขาต้องรับบทหนักอีกรอบ หลังจากที่เพิ่งปลดปล่อยรอบที่สองไปไม่กี่นาทีก่อน ก่อนจะร้องเสียงแหบแห้งเมื่อฟันคมกัดย้ำไปตามแผ่นหลังของตน “จะ...เจ็บ...บะ...เบาหน่อย...อื้อออ...” มันเป็นความเจ็บที่มาพร้อมกับความเสียวซ่าน ยอมรับว่ามันเร้าอารมณ์ให้กระเจิง แต่ทว่ามากเกินไปเขาก็เหนื่อยตายได้นะ

อชิตะชอบกัด พอๆ กับที่ชอบเข้ามาในตัวเขา กัดเมื่อไร อีกไม่นานช่องทางด้านหลังของเขาก็ต้องรองรับความแข็งแกร่งที่โหมแรงใส่ไม่ยั้งอีกตามเคย

เขาเกลียดการเป็นของเล่นของอชิตะ แต่ไม่เคยปฏิเสธได้เลยว่า เวลา ‘ถูกเล่น’ เขากลับหลงใหลไปกับวิธีการเล่นของอีกฝ่าย

เขาด่าอชิตะว่าโรคจิตกี่ร้อยพันครั้งแล้วไม่รู้ ทว่าเขาก็ต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองให้คนโรคจิตทุกครั้งร่ำไป

“ไม่...เอา...ผมไม่ไหวแล้วบอส...อือ...” เพียงแค่ต้นขาถูกยกพาดไหล่หนา แท่งเนื้อร้อนระอุก็จ่อชิดเตรียมบุกรุกเข้ามาในช่องทางด้านให้สุดทางอย่างเช่นทุกครั้ง จากนั้นก็จะเป็นลีลาเร่าร้อน...ยากปฏิเสธ

มันควรเป็นเช่นนั้น หากไม่มีเสียงเคาะประตูรัวเร็วไร้จังหวะดังขัดขึ้นเสียก่อน ราวกับคณิตได้รับการปลดปล่อยจากกรงเล็บของเสือร้าย คนตัวเล็กถอนหายใจโล่งอก แม้กระนั้นคณิตก็ยังแปลกใจกับเสียงเคาะประตูเรียกที่ดังรัวราวกับไม่เกรงใจผู้เป็นเจ้าของบ้าน ตลอดสองวันมานี้ ไม่เคยสักครั้งจะมีใครมาเคาะประตูห้องใต้ดิน ไม่มีใครกล้ามายุ่งย่ามให้อารมณ์หื่นกระหายของอชิตะสะดุดลงแม้แต่ครั้งเดียว 

อชิตะก็คิดเช่นเดียวกับคนตัวเล็ก และคิดมากไปกว่านั้นอีก คนใช้ภายในบ้านถูกสั่งไม่ให้เข้ามายุ่งกับโลกที่มีเพียงเขากับคณิต

เขาเชื่อว่าไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งที่จะได้รับโทษคือการไล่ออก เว้นเสียแต่ว่ามีใครที่มีอำนาจเด็ดขาดพอๆ กับเขา

คนคลั่งรักระบายลมหายใจอย่างหงุดหงิด มันปนไปกับความยุ่งยากใจที่ไม่รู้จะอธิบายการกระทำของตัวเองแก่ผู้มาเยือนอย่างไรดี เพราะรู้ดีว่าการกระทำของเขาไม่ใช่เรื่องปกติ

...จับผู้ชายมาขัง ใช้เวลาไปกับเรื่องเซ็กซ์ทั้งวันทั้งคืน

“ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไป” อชิตะก้มลงบอกชิดริมฝีปากเล็ก ฝังจมูกบนแก้มนวลเนียน พร้อมกับฝากรอยฟันไว้ตรงซอกคอขาวไว้กับรอยเดิม “ผมจะไม่ให้ใครเอาตัวคุณไปจากผมเด็ดขาด” อชิตะย้ำ นั่นก็คือการย้ำบอกตัวเองด้วย

“ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่คุณต้องการทั้งหมดหรอก” คณิตจ้องตากลับ “...สักวันผมจะไปจากคุณ”

“ไม่มีวันนั้นหนึ่ง” ดวงตาของอชิตะแน่วแน่ในคำพูดของตัวเอง “ผมจะทำให้คุณเห็นวันที่เราใช้ชีวิตด้วยกันทุกวัน ทุกวันของผมจะมีคุณ” อชิตะจ้องตอบสายตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ของคณิต ปล่อยให้เสียงเคาะประตูดังอยู่อย่างนั้น ดังแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อหน่วยตาเรียวเล็กเป็นฝ่ายล่าถอยก่อน นั่นแหละอชิตะถึงลงจากเตียง

อชิตะก้มเก็บเสื้อคลุมขึ้นมาสวม ผูกปมแน่นแล้วถึงก้าวเท้าในจังหวะที่เป็นปกติ ไม่รีบร้อนและไม่ช้าเพื่อถ่วงเวลา เหยียบบันไดแต่ละขั้นด้วยความมุ่งมั่นว่าจะไม่ให้ใครก็ตามเอาตัวคณิตไปจากเขาเด็ดขาด

เมื่อเปิดประตู เสียงแหลมสูงเต็มอารมณ์โมโหก็แหวกอากาศออกมาทันที

“อิง! แกทำอะไรห๊ะ!” คุณเอมอรมองหน้าลูกชายคนเล็กด้วยความโกรธปนไปกับความผิดหวัง “แกเอาเด็กนั่นมาขังไว้...” ยังไม่ทันได้ถามจนจบประโยค เสียงแหบแห้งด้านล่างก็ตะโกนแทรกขึ้นมา

“ช่วยผมด้วยครับ ผมอยู่ข้างล่าง”

“คุณแม่กลับไปก่อนเถอะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมกับเมีย เป็นเรื่องของครอบครัวผม คุณแม่ไม่ควรเข้ามายุ่ง” อชิตะบอกมารดา

“อย่าไปฟังครับ ผมไม่ใช่เมียของเขา ผมถูกจับมาขัง ผมอยากออกไปจากที่นี่ ช่วยผมด้วย” เสียงแหบแห้งยังคงตะโกนขอความ
ช่วยเหลือเป็นระยะ

“นี่แกเป็นลูกฉันจริงใช่ไหม ทำไมถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้” คนเป็นแม่มองหน้าลูกชายเขม็ง คุณเอมอรไม่เคยโกรธลูกชายคนเล็กเท่าครั้งนี้มาก่อน เธอมาเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่สีฟ้าผู้เป็นลูกชายของคุณกฤษและคุณอุษากล่าวหาลูกชายเธอนั้นไม่ใช่ความจริง

สีฟ้ามาหาเธอและสามีถึงที่บริษัทพร้อมกับคนรัก...ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน

โธ่...โลกนี้ ผู้ชายกับผู้ชายรักกัน อยู่ด้วยกันเป็นคู่ผัวตัวเมีย บอกตามตรงเธอทำใจยอมรับไม่ได้ มันไม่ปกติสำหรับเธอเลย เธอยังมองว่าผู้ชายควรคู่กับผู้หญิง เพื่อมีทายาทสืบสกุล ดูแลธุรกิจที่คนต้นตระกูลสร้างเอาไว้ให้ สานต่อให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปในทุกรุ่น ให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเป็นที่กล่าวขานไม่รู้จบ

แต่...โลกเปลี่ยนไปแล้ว หรือว่ามันเปลี่ยนไปนานมากแล้ว แต่เธอเพิ่งรู้ เพิ่งประจักษ์ เพราะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว นั่นคือลูกชายของเธอเอง 

คนทั้งคู่มาด้วยเรื่องของลูกชายคนเล็กที่เธออยากจะตัดหางปล่อยวัดนัก หลังจากสร้างเรื่องปวดหัวให้เธอกับสามีถูกถอนหงอกกับเรื่องของณัชชาถึงสองครั้ง แต่สามีเธอไม่อยู่ เขาไปต่างประเทศ จึงมีแต่เธอที่ต้องรับรู้เรื่องราวที่ลูกชายก่อซ้ำกับคนเดิม

ผู้ชายคนเดิมที่ลูกชายเธอเรียกว่า ‘เมีย’ ได้อย่างเต็มปาก ทำเอาคนเป็นแม่อย่างเธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดหาทางจำกัดเด็กหนุ่มที่ชื่อคณิตออกไปจากชีวิตลูกชาย หากก็ถูกแม่สามีขอร้องให้หยุดคิดที่จะทำร้ายเด็กคนนี้ ซึ่งคำขอร้องของแม่สามีก็ไม่ต่างจากคำสั่งที่ต้องปฏิบัติ ดังนั้นเธอจึงต้องจำใจหยุดวุ่นวายกับชีวิตรักและรสนิยมของลูกชายคนเล็ก แบกหน้าไปพูดเรื่องถอนหมั้นกับครอบครัวของณัชชา

แต่เพียงไม่นานก็ต้องกลับไปขอลูกสาวเขาอีกครั้ง เพราะลูกชายเข้ามาบอกเธอกับสามีว่าทำณัชชาท้อง แต่เรื่องก็พลิกกลับอีกตลบใหญ่ เมื่อณัชชาไม่ได้ท้องกับลูกชายเธอ งานแต่งงานถูกยกเลิก เจ้าบ่าวถูกเปลี่ยนตัว เธอก็คิดว่าลูกชายคงจะกลับไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ก็เปล่า จนเธอคิดว่าลูกชายคงหายจากอาการวิปริตผิดเพศและกลับมาเป็นปกติแล้ว จนกระทั่งเมื่อชั่วโมงก่อนที่สีฟ้ามาขอร้องให้เธอช่วยพาคณิตออกมาจากลูกชายของเธอ เด็กหนุ่มรุ่นลูกบอกเธอว่าอชิตะเอาตัวคณิตไปขังไว้ 

คุณเอมอรไม่อยากเชื่อคำของคู่รักสีฟ้ากับภาคีที่ใส่ร้ายลูกชายเธอ ไม่เชื่อว่าลูกชายจะบ้าถึงขั้นจับคนไปขัง แต่จะปฏิเสธหรือยืนยันว่าลูกชายไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่ได้เข้าขั้นบ้าที่จับใครมาขังตามใจชอบ มันก็พูดได้ไม่เต็มปาก ก็ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์ใกล้เคียงเกิดขึ้นมาแล้ว ที่คณิตเข้ามาหาเธอที่บริษัท มาเรียกร้องค่าเสียหายที่โดนลูกชายเธอข่มขืน พร้อมหลักฐานเต็มตัว ดังนั้น เธอจึงต้องมาเพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเอง

ครึ่งหนึ่งเธอไม่เชื่อว่าลูกชายจะทำได้ กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้ชายนี่นะ ผู้ชายคนนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีพ่อมีแม่ เกิดพ่อแม่เขาเอาเรื่องล่ะ กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียชื่อเสียงกันทั้งตระกูลแน่ แน่นอนว่าเธอห่วงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล แต่ที่ห่วงมากกว่าคือลูกชายที่จะถูกกฎหมายลงโทษ คนเป็นแม่ที่คลอดลูกออกมา เนื้อตัวร่างกายและแม้แต่เลือดในกายก็เป็นดังชีวิตของเธอจะไม่ให้ห่วงยิ่งกว่าชีวิตได้อย่างไร 

ลูกเจ็บ...เธอก็เจ็บยิ่งกว่า

ลูกทุกข์...เธอก็ทุกข์ยิ่งกว่า

ลูกไม่มีความสุข...เธอก็ไม่มีความสุขยิ่งกว่า

ลูกทำความผิด...ก็เหมือนเธอได้ร่วมก่อความผิดไปด้วย ในเมื่อเธอคือแม่ คือครูคนแรกที่ต้องสอนผิดชอบชั่วดีให้กับลูกของตัวเอง

สำหรับเธอ ทุกเรื่องที่ลูกทำ เธอต้องร่วมรับผิดชอบ ฉะนั้นเธอต้องแก้ไขทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้ลูกชายติดคุกติดตะรางแน่

และตอนนี้เธอเชื่อแล้วว่า สิ่งที่สีฟ้ากับภาคีพูดเป็นความจริง ลูกชายเธอจับผู้ชายมาขังไว้จริงๆ

“หลีกไปอิง” คุณเอมอรสั่งน้ำเสียงเข้ม เมื่อลูกชายยืนขวางประตูไม่ให้เธอลงไปยังห้องด้านล่าง นี่ก็อีกเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน ว่าบ้านหลังนี้มีห้องใต้ดิน กว่าจะเค้นความลับเรื่องห้องลับจากปากคนรับใช้ในบ้านได้ ก็ต้องขู่ว่าจะไล่คนรับใช้ที่บ้านใหญ่ออกทั้งหมด เนื่องจากคนรับใช้ทั้งสองบ้านก็เป็นกลุ่มญาติที่ชักชวนกันมาจากต่างจังหวัดทั้งนั้น เธอรับปากด้วยว่าถ้าทั้งห้าคนถูกไล่ออก
(ตามคำขู่ของลูกชายเธอ) เธอก็จะรับกลับไปทำงานที่บ้านเหมือนเดิม แถมจะเพิ่มเงินเดือนให้อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถึงยอมเปิดปากกันได้

“ผมไม่ให้คุณแม่เอาหนึ่งไปเด็ดขาด” อชิตะยืนยันความต้องการของตัวเอง “คุณแม่ครับ ผมขอได้ไหม คุณแม่อย่ายุ่งเรื่องผมกับหนึ่งเลย แล้วผมจะไม่ขออะไรคุณแม่อีก” 

“ถ้าแกไม่ยอมให้ฉันลงไปเอาเด็กนั่นขึ้นมา งั้นฉันก็คงต้องเดินไปบอกคุณย่าของแกให้ลงไปเอามันขึ้นมาเอง ว่าไงอิง คุณย่านั่ง
รอแกอยู่ในห้องนั่งเล่น” คุณเอมอรข่มขู่ด้วยชื่อของผู้หญิงที่อชิตะเคารพรักและเชื่อฟังที่สุด หญิงชราที่เธอเชื่อว่าจัดการลูกชายคนเล็กของเธอได้ดีกว่าใคร ดีกว่าแม่อย่างเธอด้วยซ้ำ

มันเป็นความบังเอิญที่พอรถของคุณเอมอรจอดหน้าบ้านลูกชาย รถของแม่สามีก็วิ่งมาจอดต่อท้ายทันที

“คุณย่าก็มาด้วยหรือครับ” ลูกชายถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจ ลำพังแค่คนเป็นแม่ อชิตะรับมือได้ แต่สำหรับหญิงชราที่เขารักเท่ากับผู้ให้กำเนิด เขาไม่อยากทำให้ท่านผิดหวัง เสียใจกับพฤติกรรมเลวร้ายของเขา

“เลือกเอานะอิง จะให้ฉันหรือย่าแกจัดการ” คุณเอมอรถามซ้ำ คำตอบที่ได้ก็คือการที่ลูกชายหันหลังก้าวนำเธอลงไปตามบันไดโค้งวน ลงไปสู่ห้องลับใต้ดินที่มองไปตรงไหนก็เจอแต่สีดำทะมึน ชวนให้อึดอัดหายใจไม่ออก

ครั้งลงมาแล้วเจอสภาพเตียงยับย่น กลิ่นคาวที่เธอย่อมรู้ดีว่ามาจากสิ่งใด เป็นคุณแม่ที่มีลูกถึงสี่คน ไม่รู้ก็แย่แล้ว และสภาพของคนที่นั่งกองอยู่บนพื้นข้างเตียงนั่นอีกเล่า เจ้าตัวเหมือนพยายามเอาร่างกายอ่อนแรงของตนไปหาความช่วยเหลือซึ่งก็คือเธอ เห็นสภาพแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะคว้าตัวลูกชายเอาไว้ ก่อนจะฟาดมือบนใบหน้าลูกชายเต็มแรง แทนความรู้สึกเจ็บปวดของแม่เด็กผู้ชายคนนี้ หากได้มาเห็นลูกชายของตนถูกกระทำย่ำยีจนหมดสภาพ

“ตั้งแต่วันที่ฉันคลอดแกมา ฉันไม่เคยผิดหวังในตัวแกเท่ากับวันนี้เลย” สายตาของคนเป็นแม่ผิดหวังรุนแรง “แกทำได้ยังไงห๊ะ! แกเอาเขามาขัง เอาเขามาข่มขืน มันใช่สิ่งที่ลูกผู้ชายทำกันไหม ฉันผิดหวังกับแกมาก ลูกฉันมันบ้าไปแล้ว” สุ้มเสียงของคนเป็นแม่เจ็บปวดเหลือเกิน

“ผมกำลังปรับความใจกับหนึ่งครับ” ลูกชายอธิบาย

“สภาพเขาเป็นแบบนี้นี่นะ ปรับความเข้าใจ” คุณเอมอรถามกลับเสียงสูง  ลองเป็นลูกคนใดคนหนึ่งของเธอตกอยู่ในสภาพแบบคณิตละก็ หัวใจเธอคงสลาย “แกว่าแม่โง่หรือไง ดูไม่ออกว่าแกทำอะไรลูกเขา นี่ถ้าพ่อแม่เขารู้ เอาเรื่องขึ้นมา แกจะทำยังไงห๊ะ บอกมาสิตาอิง บอกแม่มา”

“ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง” 

“เข้าไปรับผิดชอบในคุกน่ะสิ” คนเป็นแม่เสียงอ่อนลง ยังไงก็ลูก ทำผิดก็ต้องช่วยเหลือ คุณเอมอรถอนหายใจ ก่อนหันไปถามคนที่ถูกกระทำ “เดินไหวไหม ถ้าไม่ไหว ฉันจะเรียกคนมาช่วยอุ้ม”

ได้ยินคำว่า ‘อุ้ม’ ลูกชายคนเล็กของคุณเอมอรก็พุ่งเข้าไปกอดคนตัวเล็กอย่างหวงแหนทันที

“ผมไม่ให้ใครแตะต้องคนของผมเด็ดขาด”

คุณเอมอรมองภาพลูกชายโอบกอดผู้ชายอีกคนที่ตัวเล็กกว่า ภาพที่เห็นทำให้นึกไปถึงตอนอชิตะอายุสี่ขวบ ลูกชายเธอเก็บลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้ได้ ครั้นเธอจะขอคืน เพื่อให้คนสวนปีนเอาลูกนกไปเก็บไว้ในรังตามเดิม อชิตะกลับกำมันไว้แน่น ไม่ยอมส่งให้เธอตามคำขอ สุดท้ายลูกนกก็ตายในกำมือน้อยๆ ของเด็กชายวัยสี่ขวบ จากนั้นลูกชายก็ร้องไห้ทั้งวัน เสียใจที่ลูกนกตาย ตกดึกก็ไข้ขึ้น เพ้อหาแต่นกตัวนั้น แม้เธอกับสามีจะซื้อลูกนกราคาแพงมาให้ อชิตะก็ไม่ยอมแม้แต่จะชายตามอง ทุกวันก็ไปนั่งเฝ้าหลุมฝังซากลูกนกด้วยใบหน้าเศร้าหมอง มีน้ำตาอาบแก้มยุ้ย นานเกือบสามเดือนเลยกว่าที่ลูกชายของเธอจะกลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิม

แล้วถ้าเธอจับทั้งคู่แยกกัน ลูกชายเธอจะเป็นอย่างไร ไม่อยากยอมรับว่าลูกรักผู้ชาย รักและหวงถึงขั้นเอามาขังไว้ ไม่ให้ไปไหน แต่ก็ต้องยอมรับวันนี้แหละ แต่เธอจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด ลูกชายเธอทำผิด จับคนมาขังไว้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

“ช่วยผมด้วยนะครับเอมอร ผมไม่อยากอยู่กับลูกชายคุณ ผมอยากกลับบ้าน” คณิตรีบบอก กลัวว่าคุณเอมอรจะเข้าข้างลูกชายของเธอ แล้วเปลี่ยนใจไม่ช่วยเขา

“สัญญากับฉันก่อน ถ้าฉันช่วยเธอ เธอจะไม่แจ้งตำรวจมาเอาเรื่องลูกชายฉัน” เธอยื่นข้อเสนอ เพราะอชิตะคือลูกที่เธอต้องปกป้อง ต่อให้เขาทำผิด เธอก็ต้องช่วยให้โทษของความผิดน้อยลง หรือไม่มีเลยยิ่งดี 

“ครับๆ ผมสัญญา” คณิตรีบรับปากทันที เขากำลังจะรอดแล้ว ไม่ต้องเป็นของเล่นของอชิตะอีกแล้ว แต่วูบหนึ่งก็มีความรู้สึกเสียดายผุดขึ้นมา

...เสียดายที่จะไม่ได้เป็นของเล่นของอชิตะ

โธ่โว้ยไอ้หนึ่ง! จะนึกเสียดายทำไมวะ ดีแล้วไม่ใช่หรือไงที่ไม่ต้องตกเป็นของเล่น เป็นเครื่องระบายความใคร่ของใคร

“อย่าเอาหนึ่งไปได้ไหมครับคุณแม่” อชิตะขอร้องมารดา น้ำเสียงวิงวอน ดวงตาที่ได้จากมารดามานั้นอ่อนแสงเหมือนตะวันใกล้ดับ “ให้ผมกับหนึ่งได้ปรับความเข้าใจกันก่อนนะครับ”

“ไม่มีอะไรที่ผมกับคุณต้องมาปรับความเข้าใจกัน” ...ไม่มีเลยสักนิด ที่มีก็แค่ความทรมานที่แสนหวาน 

“ไม่ได้อิง” คุณเอมอรเอ่ยเสียงเฉียบขาด แม้จะสงสารลูกมากเพียงไร แต่จะให้ลูกชายคนอื่นถูกขังและถูกทรมานร่างกายเพื่อความสุขของลูกชายเธอ เธอก็ใจร้ายไม่พอ “จะให้แม่เรียกคนมาอุ้ม หรือแกจะพาเขาขึ้นไปเอง”


“คุณแม่ไม่มีสิทธิ์เอาหนึ่งไปจากผม” ลูกชายย้ำเป็นการปฏิเสธทางเลือกของมารดา “หนึ่งเป็นของผม เขาเป็นเมียผม เขาต้องอยู่กับผม”

“แกมากกว่าที่ไม่มีสิทธิ์” คนเป็นแม่ตอบกลับด้วยสุ้มเสียงที่เริ่มจะไม่พอใจอีกครั้ง “ถามเขาหรือยังว่าต้องการแก อยากอยู่กับแก เขาเต็มใจเป็นเมียแกหรือเปล่า แล้วถามเขาหรือยังว่ารักแกไหม”

“ผมเกลียดลูกชายคุณ” คณิตเอ่ยแทรกขึ้นทันที “เขาทรมานผม”...ทรมานด้วยการเห็นเขาเป็นของเล่น เป็นเครื่องระบายอารมณ์ใคร่ล้วนๆ สองวันมาแล้วที่อชิตะทำเหมือนเขาเป็นตุ๊กตายาง สอดใส่เข้ามาในช่องทางของเขาเหมือนคนไม่รู้จักพอ ส่วนเขาก็ดิ้นขัดขืนไปเถอะ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อความต้องการของอชิตะ...ของเขาด้วย

“ได้ยินชัดไหมอิง”

“หนึ่งแค่ประชดผม” อชิตะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกรุม

“ผมไม่ได้ประชด” คณิตรีบเอ่ยแก้ทันควัน มองหน้าคนที่กอดเขาไว้แน่นจนเจ็บ “ผมอาจเคยหลงคิดว่ารักคุณ แต่ความจริงผมไม่ได้รักคุณ”...ก็แค่พูดไม่ตรงกับความจริง

“อย่าโกหกหนึ่ง คุณรักผม ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่มีความสุขทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน” เสียงครางแผ่วหวานคือส่วนหนึ่งของความเต็มใจ 

“ผมไม่ได้โกหก!” ตะโกนใส่หน้าคนหน้าไม่อาย ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนซะหน่อย “ผมเกลียดคุณ เกลียดก็คือเกลียด เข้าใจไว้ด้วย!”

“พิสูจน์ไหมหนึ่ง”

“ไม่!” คณิตเกลียดคำว่า ‘พิสูจน์’ จากปากของอชิตะเหลือเกิน เพราะมันมีความหมายไม่ต่างจากคำโกหก “คุณเอมอรช่วยพาผมออกไปทีนะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจจับลูกชายคุณ แล้วผมจะหนีไปให้ไกล ไม่ให้ลูกชายคุณหาตัวผมเจอ” เขาหันไปบอกคนที่จะช่วยเหลือเขาได้ หวังว่าเธอจะช่วย เพราะเธอต้องการให้เขาออกไปจากชีวิตอชิตะอยู่แล้ว

“คุณหนีไม่พ้นหรอกหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แม้แต่ในนรก ผมก็จะตามไปหาคุณจนเจอ แล้วอย่าให้ผมเจอคุณนะ เพราะคุณจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป แม้แต่ฝั่งคุณทั้งเป็น ผมก็ทำได้!”

“อิง!” คุณเอมอรเรียกชื่อลูกชายอย่างเหลืออด ทนฟังคำพูดเหมือนคนโรคจิตของลูกชายไม่ได้อีกต่อไป “อย่าให้แม่ต้องโทรไปแจ้งตำรวจจับแกเลยนะอิง” เธอตรงไปกระชากแขนลูกชายให้ปล่อยตัวคณิต แต่ลูกชายไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังกอดรัดคณิตไว้แน่นยิ่งขึ้น ฝ่ายนั้นถึงกับร้องเสียงหลง น้ำตาคลอเพราะความเจ็บ

“โอ้ย...บอสปล่อย...ผมเจ็บ...”

เสียงร้องและใบหน้าแสดงอาการเจ็บปวดยามถูกลูกชายเธอกอด ยิ่งทำให้คุณเอมอรนึกถึงภาพลูกนกในมือลูกชาย เพราะกลัวโดนแย่งเอาไป จึงกำไว้แน่น แน่นจนนกตัวน้อยบี้แบนและสิ้นลมหายใจคามือเล็กๆ

“อิง” เธอทรุดตัวลงนั่งข้างลูกชาย จับมือติดจะสั่นๆ เพื่อเรียกสติคนเป็นลูก พูดบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม “น้องเจ็บเห็นไหม ลูกไม่ห่วงน้องหรือไง ปล่อยน้องก่อนนะลูก” คุณเอมอรเปลี่ยนสรรพนามเรียกคนที่ลูกชายกอดด้วยคำที่น่าฟัง แสดงให้ลูกชายเห็นว่าเธอปรานีคนที่เจ้าตัวรัก...ยอมรับ เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น

เธอเป็นแม่ที่ชอบบงการชีวิตลูกก็จริง แต่เธอก็รักลูกทุกคนอย่างสุดหัวใจ ปรารถนาให้ลูกพบเจอแต่ความสุข แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาตามปลอบลูกเหมือนตอนลูกเป็นเด็กน้อยเช่นนี้เลย

“ตัวโตเสียเปล่า อายน้องไหม กล้าเอาตัวน้องมาขัง แต่พอแม่จะเอาน้องไป ทำไมถึงอ่อนแอนักนะ แม่ไม่ได้เอาน้องไปฆ่าแกงที่ไหนซะหน่อยนะอิง...” คุณเอมอรหลอกล่อลูกชายให้ผ่อนความหวงแหนลง “ปล่อยน้องนะลูก ปล่อยก่อน น้องจะได้ไม่เจ็บ” พูดพลางลูบแผ่นหลังลูกชายไปด้วย

อชิตะยอมคลายวงแขนลงแต่ก็ยังกอดคณิตไว้อยู่ เขาเอ่ยกับคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงที่สงบขึ้น

“คุณแม่กลับไปก่อนได้ไหมครับ ผมขอเวลาปรับความเข้ากับน้องก่อน” เขาเรียกขานคนตัวเล็กตามคำที่มารดาใช้ คิดว่ามันเหมาะกับคณิตไม่น้อย ดูน่ารัก น่าทะนุถนอม “น้องยังโกรธผมเรื่องหวาน ไม่ยอมให้อภัยผมเลย” 

“ไม่ใช่ซะหน่อย ผมไม่ได้โกรธเรื่อง...” คณิตพูดสวนขึ้น แต่ต้องหุบปาก หุบความคิดลง เมื่อคุณเอมอรตวัดสายตามองมาอย่างตำหนิ กล่าวโทษว่าเขากำลังจะทำเรื่องให้ยากขึ้น...ก็ได้ เขาจะปิดปากเงียบ

“เอาละ แม่เชื่อว่าลูกอยากปรับความเข้าใจกับน้อง แต่เอาไว้วันหลังนะอิง วันนี้แม่ขอเอาตัวน้องไปก่อน”

“ผมไม่ให้คุณแม่เอาน้องไป” เพราะหากปล่อยไป อาจเป็นการปล่อยไปตลอดชีวิต
“น้องเป็นคน มีหัวใจนะ ลูกจะบังคับให้น้องอยู่กับลูก ทั้งที่น้องไม่เต็มใจไม่ได้ ส่วนลูก งานการก็ต้องไปทำไม่ใช่หรือไง ไม่เข้า
บริษัทมากี่วันแล้ว” คุณเอมอรแอบตำหนิกลายๆ “สิ่งที่ลูกทำ มีแต่จะทำให้น้องกลัว ปล่อยน้องไปก่อน ให้น้องได้มีเวลาทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ถ้าน้องรักลูก น้องก็จะไม่ไปไหน...หรือลูกไม่มั่นใจว่าน้องรักลูก”

“ผมมั่นใจว่าน้องรักผม” อชิตะเลื่อนสายตากลับมายังใบหน้าเล็กในวงแขน “เพียงแต่น้องปากแข็ง ไม่ยอมรับหัวใจตัวเอง” พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจกว่าครั้งไหน คณิตรีบหันหน้าหนีสายตาเขาทันที แต่เขาก็ทันได้เห็นใบหน้าขาวซีดเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ พอให้ชื้นใจขึ้นมาบ้าง

“เมื่อลูกมั่นใจว่าน้องรักลูก ลูกก็ไม่ต้องมีอะไรต้องกังวลนี่ ให้น้องกลับบ้านนะ” คุณเอมอรหว่านล้อม หวังให้ลูกชายเชื่อ

“แต่น้องจะหนี” เอ่ยสิ่งที่หวั่นใจออกมา “น้องดื้อ ไม่ยอมรับความรู้สึกตัว เอาแต่พูดว่าเกลียดผม ทั้งที่ยอมให้ผมกอดทุกคืน” เหมือนจะพูดเพื่อฟ้องมารดาไปด้วย ใบหน้าแสนงอนหันมาค้อนตาขวาง ปากเล็กขยับขมุบขมิบเหมือนจะด่าแบบไม่ออกเสียง

“แม่จะดูแลน้องเอง ไม่ให้หนีไปไหน” คุณเอมอรเสนอตัวช่วยเหลือ เผื่อลูกชายเธอจะได้หมดห่วง แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะดูแลคนที่ลูกชายรักยังไง จะห้ามไม่ให้หนีไปไหนได้แน่เหรอ

“ผมไม่อยากให้คุณแม่ลำบาก” ความหมายที่แท้จริงคือ...ยังไม่ไว้ใจมารดาเท่าไรนัก อชิตะกลัวว่าคนเป็นแม่จะพูดเพื่อให้เขาตายใจ แล้วปล่อยให้คณิตหนีไปภายหลัง

“ไม่ไว้ใจแม่ใช่ไหม” คุณเอมอรถามอย่างรู้ทันความคิดลูกชาย เมื่อลูกชายไม่ตอบแปลว่ายอมรับ เธอจึงพูดต่อ “งั้นแม่จะให้คุณย่าดูแลน้องให้เอง ดีไหม”

“แต่ผมไม่...” คนที่ปิดปากเงียบมาหลายนาทีเอ่ยขัดขึ้น ว่าเขาจะไม่ไปอยู่กับใครที่ไหนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคุณเอมอรหรือคุณย่าที่เขาไม่เคยเห็นหน้า ไปอยู่ด้วยก็เท่ากับว่าถูกจองจำไม่ต่างกันเลย แต่ก็ต้องหุบปากลงเพราะถูกคุณเอมอรส่งสายตาเข้มจัดมาปรามคำพูดที่เหลือของเขา... ก็ได้ ไม่พูดก็ได้ ทำไมเรื่องของเขาแท้ๆ ถึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงเพื่อปกป้องตัวเองนะ คณิตได้แต่คิดอย่างขัดเคืองใจ

“ตกลงตามนี้นะอิง” คุณเอมอรหันมาสรุปกับลูกชาย เมื่อเห็นว่าลูกชายยังลังเล เธอก็รีบเอาแม่สามีมาอ้างอีกครั้ง “แม่ว่าคุณย่ารอพวกเรานานแล้ว ไปเถอะ พาน้องขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แม่จะไปคุยกับคุณย่าเรื่องน้องก่อน”

“คุณแม่จะบอกคุณย่าไหมครับ” อชิตะถาม หมายถึงเรื่องที่เขาเอาคณิตมาขังไว้ในห้องใต้ดิน

“อยากให้แม่บอกไหม” มารดาถามกลับ

“ผมจะบอกคุณย่าเองครับ” ให้คนเป็นย่าได้ฟังจากปากเขาเองดีกว่า

“ไป อุ้มน้องไปใส่เสื้อผ้าได้แล้ว” คุณเอมอรสั่งลูกชายซ้ำอีกครั้ง

“ไม่ต้อง ผมเดินเองได้” คณิตสะบัดตัวหนีเมื่ออชิตะจะช้อนตัวเขาขึ้น

“ให้พี่เขาอุ้ม อย่าดื้อ” คุณเอมอรรีบปราม เมื่อเห็นว่าคณิตไม่ยอมให้ลูกชายเธออุ้ม แล้วขู่ซ้ำ “ถ้าพี่เขาบ้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วไม่ยอมให้เราไปกับแม่ แม่ก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ เพราะถือว่าเราดื้อเอง ก็ต้องโดนพี่เขากำราบให้หายดื้อด้วยวิธีของเขา” เป็นอีกครั้งที่คุณเอมอรเลือกใช้คำแทนสถานะตัวเองกับอีกฝ่ายเพราะขึ้น สนิทสนมขึ้น เพื่อแสดงถึงการยอมรับ ทั้งหมดก็เพื่อลูกชายเธอ

คณิตคิดว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า ที่ได้ยินคุณเอมอรแทนตัวเองว่า ‘แม่’ กับเขา รวมถึงคำที่เรียกขานแทนตัวเขาด้วย เรียกเขาว่า ‘น้อง’ นี่นะ ฟังแล้วไม่ใช่ตัวเขาเลย แถมน้ำเสียงที่พูดกับเขาก็นุ่มนวล ราวกับเป็นคนละคนกับที่เคยตบหน้าเขากลางบริษัท

แต่ก็ช่างเถอะ เขาควรโฟกัสที่คำเตือนของคุณเอมอรมากกว่า อชิตะบ้าได้เกินกว่าที่เขาจะคาดถึง คุณเอมอรก็ขู่ในน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วว่าจะไม่ช่วยเขาอีก หากลูกชายตัวเองเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็ได้...เขาจะยอมให้อชิตะอุ้ม

อุ้มไปสู่อิสรภาพที่ต้องการ

เขาต้องการอิสรภาพจริงใช่ไหม อิสรภาพที่ปราศจากอ้อมกอดของอชิตะ เขาต้องการมันจริงๆ เหรอ?

V
V
อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“ออกไป ผมจะอาบน้ำ” คณิตบอกคนที่วางตัวเขาลงบนขอบอ่างในห้องน้ำของห้องนอนใหญ่บนชั้นสามของบ้าน เมื่อเจ้าตัวไม่ยอมออกไปจากห้องน้ำซะที ซ้ำยังยืนปลดสายเสื้อคลุมหน้าตาเฉย อึดใจเดียวเนื้อตัวก็เปลือยเปล่าอวดร่างกายที่สมบูรณ์ด้วยมัดกล้ามที่มีมากกว่าเขาเยอะ

เมื่อก่อน ก่อนเกิดเรื่องในสระว่ายน้ำ เขาเคยเห็นแต่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับร่างกายของอีกฝ่ายเลย ไม่ต่างจากเห็นเพื่อนรักอย่างภาคีแก้ผ้า แต่พออะไรมันเปลี่ยนไปแบบฟ้าพลิก เขาก็มองรูปร่างของอชิตะได้ไม่เต็มตา เพราะมันทำให้ใจสั่นหวิว อุณหภูมิความร้อนบนใบหน้าก็ไม่เป็นปกติ เลือดในกายก็ไม่ปกติ พานจะคิดถึงแต่เรื่องอย่างว่า...รสรักร้อนแรงที่ทำให้เขาครางสิ้นอาย แรงกระแทกที่ทำเขาสุขสมจนปลดปล่อยลาวาสีขาวข้นออกมา

เอ๊ย! อย่าคิดสิวะ ติดนิสัยโรคจิตของอชิตะมาหรือไง คณิตดุตัวเอง

คณิตหันหน้าหนีจากร่างกายกำยำและแข็งแรงด้วยมัดกล้ามไม่ทันไร ก็ถูกจับตัวให้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับเสื้อคลุมที่หลุดออกจากร่างกายไปกองบนพื้นเหมือนอีกตัวก่อนหน้า

มือไวชะมัด!

“ไม่รู้เมื่อไรจะได้กอดอีก ขอกอดให้ชื่นใจเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม” เสียงกระซิบขอนั้นมาพร้อมลมหายใจอุ่นร้อน ร่างกายที่ขยับเข้ามาจนกลายเป็นเสียดสี คณิตถูกขังไว้ในวงแขนอีกจนได้

ครั้งสุดท้ายอะไร!

ครั้งสุดท้ายกี่รอบแล้ว!

คณิตนึกแหวในใจ แต่ไม่พูดออกไป คำเตือนของคุณเอมอรยังติดอยู่ในหู เกิดเขาขัดใจ แล้วอชิตะสติแตกขึ้นมาล่ะ ไม่ยอมปล่อยเขากลับไปกับคุณเอมอรล่ะ

“ครั้งสุดท้ายแน่นะ”

“ทุกอย่างอยู่ที่คุณ”

ถ้ามันอาจเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ก็ได้ เพราะคุณเอมอรอาจแค่หลอกล่อลูกชายให้ตายใจ พอจับเขาแยกออกมาได้ ก็คงไล่เขาไปให้พ้นชีวิตลูกชายเธอทันที

เขาควรคว้ามันไว้ใช่ไหม ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่จะถูกกอด แม้จะกอดในฐานะของเล่นก็ตาม

ปากเขาด่าว่าอชิตะว่าโรคจิต กอบโกยเอาแต่ได้จากร่างกายเขา แท้จริงเขาก็กอบโกยเอาจากอีกฝ่ายเหมือนกัน เพียงแต่ซ่อนมันไว้ภายใต้คำพูดไม่ยินยอม ท่าทางขัดขืนในหนแรก ก่อนจะเผยความต้องการแท้จริงออกมาภายหลังเสียทุกครั้งว่ามีความสุขเพียงไรที่กลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับอชิตะ เขาอยากให้ตัวตนของอชิตะเข้ามาอยู่ในช่องทางรักของเขา เพื่อเขาจะได้รู้สึกว่าเป็นของมีค่า เป็นสิ่งที่อชิตะขาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว 

“เรามีเวลาครึ่งชั่วโมง...” คนตัวใหญ่โน้มใบหน้าลงมากระซิบเสียงหวานข้างแก้มนวล “...อาจจะเลทได้นิดหน่อย แม่เข้าใจอยู่แล้ว”

เสียงทุ้มกระซิบหวานนั้นเล่า ก็เร่งเร้าให้ต้องรีบตัดสินใจในวินาทีที่ปากอุ่นร้อนไม่ได้ทำหน้าที่เปล่งคำพูดใดอีก เพราะมันได้ทำการจูบลงมาอย่างเอาแต่ใจบนกลีบปากเขาเสียแล้ว เพียงแค่บดจูบหนักหน่วงลงมา ใจเขาก็ยินยอมพร้อมใจให้ความร่วมมือไปจนสุดทาง

ไอ้เรื่องครั้งสุดท้าย มันก็พอจะเชื่อได้บ้าง แต่ไอ้เรื่อง ‘เลทได้นิดหน่อย’ ที่อชิตะพูด คณิตพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริงสักนิด...
นิดหน่อยบ้านใครวะใช้เวลาชั่วโมงกว่า!

******************************************************

ภายในห้องผู้โดยสารด้านหลังของรถหรูคันใหญ่ที่คณิตอาศัยนั่งออกมาจากบ้านของอชิตะนั้นเงียบกริบ นางพญาแห่งอเนกดำรงฤทธิ์ก็นั่งเงียบ คนขับรถยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงมีหน้าที่ขับรถอย่างเดียว ดังนั้นคณิตจึงต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เพราะเวลาก็ผ่านมาหลายสิบนาทีแล้ว

ถึงเวลาที่ต้องไปเสียที ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง (ทำไมเขาต้องเริ่มชีวิตใหม่หลายครั้งด้วยวะ) คราวนี้เขาคงกลับบ้าน บ้านที่มีพ่อแม่ มีพี่ชายทั้งสาม ไปหางานทำที่บ้านเกิด มันน่าจะปลอดภัยกว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แต่ก่อนกลับเขาต้องไปอาศัยบ้านของภาคีก่อน ไม่อยากกลับบ้านไปในสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยน่าเกลียด

เฮ้อ...เนื้อตัวที่ถูกกลืนกินตลอดสองวันมาเนี่ย มันไม่น่ามองหรอก น่าอายซะมากกว่า ตอนอย่างว่า...เอิ่ม มันก็มีความสุขตามธรรมชาติของการร่วมรักแหละ สุขสมจนถึงสวรรค์ชั้นฟ้า แต่พอหลังความสุขสมผ่านพ้นนี่สิ ต้องมานั่งอายกับรอยจ้ำสีแดงตามร่างกาย รอยกัดอีกก็มาก

‘ซาดิสม์’

‘โรคจิต’

‘หื่นกระหาย’

‘ร้อยแรงม้า’

‘คึกไม่หยุด’

คือคำบรรยายลักษณะของอชิตะเวลาอยู่บนเตียง ทำเรื่องอย่างว่ากับเขา

เห้ย! หยุดคิดเรื่องนี้ได้ไหมเนี่ย มันใช่เวลามานั่งคิดเรื่องบนเตียงไหมเล่า คณิตด่าตัวเองในใจอีกรอบ ไล่ความคิดที่วนเวียนอยู่กับบทรักเร่าร้อนออกไปจากหัว ก่อนจะทำเรื่องที่คิดค้างเอาไว้ในหนแรก

“จอดให้ผมลงตรงนี้ก็ได้ครับ” เขาพูดผ่านความเงียบ ขณะที่รถยังวิ่งไปข้างหน้า บนถนนเส้นหลักที่มุ่งหน้าสู่ทิศทางตรงกันข้ามกับที่ตั้งคอนโดมิเนียนของเขา ก็เข้าใจหรอกว่าคุณเอมอรไม่คิดจะไปส่งเขาถึงคอนโดฯแน่ เพราะพอขึ้นมานั่งในรถ คุณเอมอรก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ ส่วนคนขับรถก็เหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องพาคุณเอมอรไปยังจุดหมายใด

“เธอเต็มใจหรือเปล่าตอนที่ลูกชายฉันกอด”

คุณเอมอรไม่ตอบสิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขอ กลับถามไปคนละเรื่อง ทำเอาแก้มของคณิตขึ้นสีระเรื่อด้วยความอายที่ถูกถามตรงๆ แม้จะเลือกใช้คำที่เบาลงแล้วก็ตาม มันก็น่าอายอยู่ดีสำหรับคนถูกถาม

มันไม่ใช่เรื่องควรถามซะหน่อย

“ผม...” กำลังจะตอบว่า ‘ผมไม่เต็มใจ’ ฝ่ายคนถามก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ฉันหมายถึงครั้งล่าสุดที่เธอใช้เวลากับลูกชายฉันปาไปกว่าชั่วโมง” คุณเอมอรอธิบายเพิ่มเพราะกลัวคนที่ถูกถามไม่เข้าใจ “เธอเต็มใจหรือเปล่า”

“ผม...ผมแค่...อาบน้ำ...แต่งตัวนานไปหน่อย” ตอบไปอย่างตะกุกตะกัก เป็นคำโกหกที่อีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว รอยยิ้มมุมปากของคุณเอมอรบอกเช่นนั้น ก็ใครจะกล้าตอบเล่าว่าที่ใช้เวลานานนับชั่วโมงบนห้อง ปล่อยให้ผู้ใหญ่ถึงสองคนนั่งรออย่างเสียมารยาทนั้น เป็นเพราะมัวแต่กอดกันครั้งสุดท้าย

...แต่สองรอบ

คณิตยืนยันว่าตัวเขาไม่ได้ไร้มารยาทขนาดนั้นนะ เพียงแต่ลูกชายคุณเอมอรเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด เขาบอกให้พอ ก็ยังจะมีต่ออีกรอบ ซ้ำยังขอรอบที่สาม ดีที่เขากัดไหล่หนาชนิดจมเขี้ยว เต็มแรงโมโห จนอีกฝ่ายร้องเสียงหลง ผละออกจากตัวเขามามองตาขวางใส่นั่นแหละ ถึงยอมเลิกเอาแต่ใจตัวเอง...ให้เขาตายเลยดีกว่า ถ้ามีรอบที่สาม

นึกแล้วก็โมโห ตอนกัดเขาเนี่ยมีความสุขเหลือเกิน แต่พอโดนเขากัดจมเขี้ยวเพื่อปกป้องประตูหลังไม่ให้บอบช้ำไปมากกว่าเดิม กลับมองเขาตาแข็งตาขวาง ทำอย่างกับเขาไปตัดไอ้จ้อนเจ้าตัวทิ้งก็ไม่ปาน

“ฉันจะเชื่อ” คุณเอมอรพูดช้าๆ “แต่ความจริงคือฉันไม่เชื่อ เอาเถอะ ก็แล้วแต่ความสบายใจของเธอ”

คณิตรู้สึกเหมือนถูกคุณเอมอรเอายาทิงเจอร์ราดสีข้างที่แถจนถลอกของตน

“ฉันต้องยอมรับรสนิยมของลูกชายฉันจริงๆ แล้วใช่ไหม” คล้ายจะพูดกับตัวเอง แต่คุณเอมอรก็มองใบหน้าของคนที่นั่งมาในรถด้วยกัน สำรวจตรวจตราเครื่องหน้าบนกรอบหน้าเล็กอย่างละเอียดอีกครั้ง อันที่จริงเด็กคนนี้ก็จัดว่าหน้าตาดี แต่ไม่ได้หล่อเหลาแบบลูกชายทั้งสี่คนของเธอ ที่แต่ละคนเครื่องหน้าคมชัด จัดว่าหล่อกันทุกคน คุณเอมอรไม่อยากจะยกยอตัวเองกับสามีว่าเป็นคนหน้าตาดี ลูกทั้งสี่คนถึงได้หน้าตาดีกันทั้งหมด แต่ก็ขอสักหน่อย

สามีเธอน่ะหล่อมาก แม้อายุล่วงเลยมากแล้ว แต่ความหล่อก็ยังไม่จางไปจากใบหน้า เธอก็เช่นกัน เธอเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัย มีแมวมองมาทาบทามให้เป็นนางเอกละครคู่กับพระเอกสุดฮอตในเวลานั้นเชียวนะ แต่เธอไม่ชอบอาชีพเต้นกินรำกิน และครอบครัวเธอก็ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี มีธุรกิจให้สานต่อจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่สำคัญเธอชอบใช้สมองในการทำธุรกิจมากกว่าจดจำบทละคร จึงปฎิเสธไปอย่างไม่นึกเสียดายแม้แต่น้อย

พ่อก็หล่อ แม่ก็สวย ส่วนผสมที่ลงตัว ลูกทุกคนของเธอกับสามีเลยหล่นไม่ไกลต้นสักคน อาจมีแค่คนโตคนเดียวที่ผิดจากพี่น้องทั้งสามไปบ้าง อาจเป็นเพราะว่าเป็นลูกคนแรก เธอและสามีก็อายุยังน้อย ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงลูกมาก่อน แถมต้องรับผิดชอบบริษัทใหญ่โตกันทั้งคู่ ลูกคนโตเลยถูกเลี้ยงโดยแม่สามีเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่แทนที่ลูกคนโตจะติดติดคนเป็นย่า กลับติดปู่ใหญ่กับคุณพรตเพื่อนรักของคุณนภาเสียได้ กลายเป็นหลานรักที่ปู่ใหญ่หรือคุณธาตรียกบริษัทให้ดูแลก่อนที่ท่านจะสิ้นลมไปเมื่อสามปีก่อน

แต่ถ้าจะให้มองดีๆ แบบไม่มีอคติส่วนตัว คุณเอมอรก็ยอมรับว่า แม้เด็กคนนี้ไม่มีความหล่อเหลาแบบลูกชายของเธอ แต่ก็มีหน้าตาน่ารัก ชวนมอง หล่อแบบดาราเกาหลี ญี่ปุ่น อะไรเทือกๆ นั้น ทั้งที่เครื่องหน้าแต่ละส่วน ไม่ได้โดดเด่นแทงตาเลย ตาก็เล็กไป จมูกก็กระจุ๋มกระจิ๋ม แถมปากยังบาง แก้มก็ใส ตอหนวดเหนือริมฝีปากก็เหมือนจะไม่มี ดูเรียบเกลี้ยง สะอาดไปหมด

“ทาลิปสติกด้วยหรือเปล่า” คุณเอมอรจับปลายคางเล็กแล้วถาม หนึ่งในข้อสงสัยของเธอ กลีบปากที่แดงเหมือนทาลิปสติกสีชมพูอมแดง แต่ก็เหมือนไม่ใช่

“เปล่าครับ” คณิตรีบตอบ มือของคุณเอมอรจึงละจากปลายคางเขาไป ดูสีหน้าคุณเอมอรเหมือนโล่งใจอะไรบางอย่าง
อย่าบอกนะว่า คิดว่าเขาเป็นผู้ชายหัวใจสาว คณิตรีบเอ่ยแก้ความเข้าใจผิดของคุณเอมอรทันที

“ผมไม่ได้เป็นกะเทยครับ ไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงด้วย เรื่องปาก มันก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว” เขาได้มารดามาเยอะไง แล้วก็ไม่อยากจะบอกคุณเอมอรอีกว่า ที่ปากแดงจนต้องถามว่าทาลิปสติกหรือเปล่า มันก็เป็นเพราะลูกชายเธอนั่นแหละ 

“ลูกชายฉันรุนแรงกับเธอมากไหม” คุณเอมอรถามอีก เธออยากจะรู้จักลูกชายในมุมที่เธอไม่เคยรู้ เข้าใจว่าเป็นเรื่องส่วนตัวมาก แต่เธอก็อดไม่ได้ แต่จากสภาพของคณิตที่เธอในห้องใต้ดิน น่าจะเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้วมั้ง ไม่รู้นิสัยชอบความรุนแรงของอชิตะได้มาจากใคร สามีเธอก็ไม่ได้มีนิสัยชื่นชอบความรุนแรงบนเตียงเลย 

ความอยากรู้ของคุณเอมอรทำเอาคณิตอยากแวบหายไปจากห้องผู้โดยสารของรถคันโตเสียจริงๆ เพื่อจบการชวนคุยที่มีแต่จะจุดไฟร้อนบนใบหน้าเขาอยู่ร่ำไป     

 “ผมขอลงตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้าเลยนะครับ” เขาไม่กล้ามองหน้าคุณเอมอร เลยบอกกับคนขับรถแทน ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะชะลอความเร็วลง นี่ก็ผ่านมาสองป้ายรถเมล์แล้วนะ ใช่ว่าจะจอดไม่ได้ซะหน่อย หรือว่าไม่ได้ยิน ลองบอกอีกทีก็ได้ “พี่ครับ จอดป้ายรถเมล์ข้างหน้าครับ” ...ผ่านป้ายรถเมล์ไปอีกแล้ว

“รถฉันไม่ใช่แท็กซี่” เจ้าของรถเอ่ยปากหลังจากเงียบมาครู่ใหญ่ คุณเอมอรถอนหายใจให้คนที่โดยสารมาด้วยกันได้ยิน แล้วพูดเสียงมีอารมณ์นิดๆ “เธอนี่...ดื้อเหมือนที่ลูกชายฉันพูดจริงๆ ฉันบอกเธอว่ายังไง จำไม่ได้ฉันจะช่วยบอกให้อีกที ฉันจะพาเธอไปอยู่บ้านคุณย่าของอิง ให้เธอใช้เวลาทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง ว่ารู้สึกยังไงกับลูกชายฉันกันแน่ รักหรือไม่รัก”

“ไม่จำเป็นต้องทบทวนอะไรทั้งนั้นครับ” ...ความรู้สึกของเขาชัดเจนอยู่แล้ว จะเสียเวลาทบทวนทำไม เขารัก แต่เขาจะไม่รักอีกต่อไป

“ดื้อ” คุณเอมอรลงเสียงหนัก ขัดใจกับคำตอบที่ได้ “ยังไงเสียฉันก็ไม่ผิดคำพูดกับลูกชาย เธอต้องไปอยู่ที่บ้านคุณยานภาก่อน รอให้อาการหลงเธอของลูกชายฉันลดลงก่อน จากนั้นเธอจะหนีไปสุดขอบฟ้า ฉันจะไม่ห้ามเลย จะไปส่งถึงที่เลยด้วยซ้ำ” คุณเอมอรอดประชดไม่ได้ นึกขวางหูขวางตากับท่าทีที่ไม่ใยดีหัวใจของลูกชายเธอ

ฟังอย่างนั้นแล้ว คณิตก็นึกค้านในใจ ลูกชายคุณเอมอร ‘หลง’ เขาตรงไหน ก็แค่สนุกกับร่างกายเขา ไม่งั้นจะพูดใส่หูเขาทำไมว่าเป็นแค่ของเล่น...ที่ถูกเล่นอย่างสนุกสนาน

“แต่ผมจะไปตอนนี้ กรุณาจอดรถให้ผมลงด้วยครับ”

“ฉันถามเธอจริงๆ แล้วตอบความจริงมา อย่าโกหกผู้ใหญ่ ยังไงก็ให้เกรงใจผมหงอกบนหัวฉันบ้าง” คุณเอมอรเกริ่นดักทางไว้ก่อน แล้วจึงถาม “เธอรักลูกชายฉันหรือเปล่า?”

คณิตส่ายหน้า เมื่อไม่ให้เขาพูดโกหก ก็ต้องเลือกใช้ท่าทางเป็นคำโกหกแทน

“ถ้าเธอเป็นลูกชายฉัน ฉันคงจะบังคับเธอพูดได้มากกว่านี้ แต่ในเมื่อเธอยืนยันว่าไม่ได้รักลูกฉัน ฉันจะเชื่อ...ก็ได้” ว่าแล้วก็หันทั้งตัวเข้าหาคู่สนทนา เพราะก่อนนี้เธอแค่หันหน้าไปคุย แต่นี่เธอจะพูดยาว และเป็นการแนะนำไปในตัว “ฉันจะบอกให้เธอรู้นะหนึ่ง อย่างลูกชายคนเล็กของฉันน่ะ เธอจะเอาแต่หนีไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่เธอหนี เขาก็จะตามหาเธอจนเจอ ถ้าไม่รักลูกชายฉันเลย ก็ต้องบอกเขาตรงๆ ว่าเธอไม่ได้รักเขา พูดกับเขาดีๆ ห้ามใช้อารมณ์พูด เพราะเท่าที่ฉันเห็น เธอใช้อารมณ์กับเขามากเกินไป มันเลยทำให้เขาเข้าข้างตัวเองว่าเธอประชดเขา ดังนั้นเธอต้องพูดกับเขาด้วยเหตุผล จะเกลียดเขาแค่ไหนก็ต้องพูดด้วยเหตุผลให้ได้ ตอนพูดก็จับมือเขาด้วย มันจะเป็นการบอกเขาว่าเธอกำลังใช้เหตุผลกับเขา เพราะตอนเขาเป็นเด็ก ฉันทำแบบนี้ประจำ ซึ่งมันก็ได้ผลมาถึงตอนโต”

คณิตนึกไปถึงตอนอยู่ในห้องใต้ดิน ตอนนั้นอชิตะกอดเขาแน่นมาก แน่นจนเจ็บไปถึงกระดูก คุณเอมอรก็จับมือลูกชายของตัวเองเอาไว้ แล้วพูดให้ลูกชายได้สติ

“ที่สำคัญคือเวลาที่พูด เธอต้องมองตาเขาด้วย เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เขาจะได้เห็นว่าในหัวใจเธอไม่เคยมีเขา เธอไม่ได้รักเขาอย่างที่เขาหลงเข้าใจ สุดท้ายแล้วเขาจะยอมรับความจริงได้ ว่าเธอไม่ได้รักเขาอย่างที่เขาหลงเข้าใจผิดมาตลอด”

...จะให้มองตาตอนพูดโกหกนี่นะ คณิตว่ามันยากที่สุด เขาทำไม่ได้แน่

“แต่ถ้าเธอรัก แต่เธอโกหกว่าไม่รัก ลูกชายฉันอาจจะทำอะไรบ้าๆ อีกก็ได้ ซึ่งฉันคงช่วยอะไรเธอไม่ได้ เพราะเธอทำตัวเอง เลือกทำร้ายความรู้สึกของตัวเองและความรู้สึกของลูกชายฉันด้วย”

ไอ้ที่แนะนำมาทั้งหมด บทสรุปสุดท้ายของคุณเอมอรนี่แหละที่คณิตกลัวที่สุด แต่คณิตก็ปัดความกลัวทิ้งไปก่อน จะมากลัวกับคำแนะนำแกมขู่ของคุณเอมอรทำไมกันเล่า ในเมื่อเขาหนีไปให้พ้นก็สิ้นเรื่อง กลับไปอยู่กับครอบครัว ให้พี่ชายทั้งสามช่วยปกป้อง

“งั้นผมลงได้แล้วใช่ไหมครับ”

“เธอนี่น้า” คุณเอมอรพูดเสียงระอา ส่ายหน้าหน่าย “เธอจะดื้อกับลูกชายฉันน่ะได้ แต่อย่ามาดื้อกับฉัน ฉันไม่ใจดีเหมือนลูกชายฉันหรอกนะ”

ก็ไม่เห็นมีใครใจดีกับเขาสักคน คณิตนึกเถียงในใจ

“กรุณาจอดด้วยครับ” เขายังยืนยันความต้องการเดิม รถยนต์คันหรูยังวิ่งด้วยความเร็วระดับเดิม วิ่งไปข้างหน้าแบบไม่ตีไฟเลี้ยวจอดข้างทางให้เขาเลย ลองอีกครั้งดูสิ เผื่อจะได้ผล คุณเอมอรอาจสงสารความพยายามของเขาก็ได้ “พี่ครับ รบกวนจอดหน่อยนะครับ” แต่ก็ไม่ได้รับความสงสารใดเลย นอกจากน้ำเสียงเข้มงวดและบทลงโทษที่น่ากลัว จนต้องหุบปากลงอย่างรวดเร็ว 

“ขืนเธอยังพูดอีกคำเดียว ฉันจะให้เลี้ยวรถกลับ เอาเธอไปคืนไว้ที่เดิม” คุณเอมอรยิ้มอย่างผู้ชนะ “คราวนี้เลิกดื้อได้แล้วนะ”   
คณิตซึ้งแล้ว ว่าแม่กับลูกเหมือนกันมาก ถอดนิสัยกันมาเลย...นี่เขากำลังหนีเสือปะจระเข้ เพื่อรอให้เสือตัวเดิมมาขย้ำซ้ำอีกหรือเปล่านะ
:กอด1:


จบตอนที่ 29
นับถอยหลังเหลืออีก 3 แล้วน้าาาาาาาาา
อย่าเพิ่งเกลียดคุณอิงกันน้า เพราะเขาพูดกันว่า "อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา"

ปล. เปิดจองหนังสือ รัก...ได้ไหม ในเพจแล้วนะคะ (ปิดจอง 5 กันยา น้าา)
ส่วนในเล้า ได้ของ ID ขายของไปแล้ว ได้เมื่อไรจะเข้ามาประกาศขายจริงจังนะคะ

สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สำหรับบทนี้นี่อยากกดไลค์ให้คุณแม่แบบรัว ๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
30
อากาศภายในสวนต้นไม้ดอกหอมของคุณนภายามเช้ามืดที่แสงของวันใหม่ยังคงไม่สาดลงมานั้นแสนสดชื่น กลิ่นหอมของดอกไม้ไทยหลายพันธุ์ส่งความหอมชื่นใจมาสัมผัสปลายจมูกของคณิตเป็นระลอก

คณิตทิ้งตัวลงนั่ง ห่อตัวหนีความเย็นยามเช้ามืด สูดเอาความสดชื่นของอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด นานครั้งเขาจะตื่นเช้าแบบที่แสงตะวันยังไม่ทำงาน สาเหตุที่ตื่นเช้าเพราะเมื่อคืนเขานอนไม่หลับ ทั้งที่หัวถึงหมอนตั้งแต่ตอนทุ่มครึ่ง ข่มตาให้ปิด บังคับตัวเองให้หลับ พลิกตัวไปมาไม่รู้กี่ร้อยครั้งกี่สิบท่าก็ยังนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะแปลกที่...หรือแปลกที่ไม่มีใครมากอด

ผ้าห่มเนื้อนุ่มที่ห่มกายเทียบกับวงแขนที่โอบเขาไว้ทั้งตัวไม่ได้เลย ความอบอุ่นยามค่ำคืนเหมือนตกหล่นไปไหนไม่รู้ เมื่อข้างกายเหลือแค่ความว่างเปล่าตลอดทั้งคืน มันเลยทำให้เขานอนไม่หลับ ต้องหอบเอาสภาพตาแพนด้าของตัวเองมาสูดอากาศยามเช้ามืดแทนการข่มตาให้หลับ

...ตีสี่ที่เขาลุกจากเตียง

...นี่ก็ใกล้ตีห้าแล้ว

เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังมาจากด้านหลัง คณิตลุกขึ้นยืนในทันที หันกลับไปมองก็เจอหญิงสูงวัยผู้เป็นเจ้าของบ้านเรือนไทยหลังงามที่อายุของมันคงมากกว่าเขาไปเยอะเลย

หญิงสูงวัยเดินมาพร้อมกับคนรับใช้ที่วัยน้อยกว่าแต่ก็อายุอานามเป็นป้าของคณิตได้ ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้มาใหม่ เมื่ออีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหา พอรับไหว้แล้ว ท่านก็โบกมือไล่คนรับใช้ทั้งสามให้กลับไปทำงานอื่น

“ตื่นเช้าเหมือนกันนะ” ท่านเอ่ยทัก พลางทรุดตัวลงนั่ง “นั่งสิ คุยกับคนแก่หน่อยนะ”

คณิตนั่งลงตำแหน่งเดิม บนม้ายาวตัวเดียวกับหญิงมากวัยที่มีนามว่านภา ชายหนุ่มยังประหม่าอยู่มาก เมื่อวานเขาพูดคุยกับท่าน แต่ไม่มาก เพราะส่วนใหญ่เขาจะเงียบ แล้วฟังแม่สามีกับลูกสะใภ้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป คุณนภามีถามเกี่ยวกับเรื่องเขาบ้าง ซึ่งโชคดีหรือว่าท่านไม่อยากรู้กันแน่ก็ไม่รู้ เพราะท่านไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเขากับอชิตะเลย นั่นทำให้เขาสบายใจขึ้น ที่ไม่ต้องถูกซักฟอกหรือคาดคั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับหลานชายของท่าน ไม่เหมือนตอนนั่งรถมากับคุณเอมอร เขานั่งเกร็งมาตลอดทาง คุณเอมอรตั้งคำถามแต่ละอย่างเหมือนกำลังจับเขาแก้ผ้าต่อหน้าคนขับรถของเธอ

‘เธอมีอะไรกับลูกชายฉันตั้งแต่เมื่อไร’

‘ครั้งแรกเจ็บมากไหม’

‘มีอะไรกันทุกวันหรือเปล่า’

‘ทำไมถึงได้ยอมลูกชายฉัน’

‘ป้องกันหรือเปล่า...ฉันหมายถึงสวมถุงยางไหม’

‘แล้วที่ถูกกัดไม่เจ็บหรือไง’

‘ลูกชายฉันเคยทำจนเธอเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า’

‘ตัวเธอก็เท่านี้ ก็ทนลูกชายฉันได้นะ’

‘เคยพากันไปตรวจเลือดหรือยัง ไม่ใช่ฉันไม่ไว้ใจเธอ แต่ของอย่างนี้ไม่ประมาทดีที่สุด’

และอีกหลายคำถาม หลากคำพูด ที่ทำเอาเขาวางหน้าไม่ถูก เขินกับทุกคำถาม อายกับทุกคำพูดของคุณเอมอร แม้ว่าแต่ละคำถามคำพูดนั้น เหมือนเธออยากรู้มากกว่าอยากทำให้เขาหน้าไหม้ก็ตามเถอะ ส่วนเขาเก็บปากเงียบ ไม่ตอบมันสักคำถามแหละ จะตอบให้ตัวเองอายเพิ่มเพื่ออะไรเล่า

การมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถึงสี่คน ทำให้คุณเอมอรเห็นว่าเรื่องลับบนเตียงนอนเป็นเรื่องชวนเม้าธ์ เอามาเล่าสู่กันฟังเหมือนดูหนัง ดูละคร ดูรายการประกวดร้องเพลง หรือรายการเรียลริตี้โชว์หรือไง   

“เมื่อคืนหลับสบายไหม” หญิงชราเริ่มต้นคำถามชวนคุย 

“สบายครับ” คณิตเลือกตอบสถานการณ์ที่ตรงข้ามกับเรื่องจริง

“แต่หลานฉันคงไม่สบายเท่าไรหรอก เห็นวิมลบอกว่าลดกระจกรถนอนในนั้นทั้งคืน ป่านนี้เนื้อตัวลายพร้อยหมดแล้วกระมัง ยุงแถวนี้ยิ่งดุอยู่ด้วย”

หา?...นอนในรถอย่างนั้นเหรอ คณิตอุทานเบาๆ ในใจ ก็เมื่อวานมองลงมาจากหน้าต่างห้องนอนก็เห็นขับรถออกไปแล้วนี่นา แล้วบ้านไม่มีให้นอนหรือไง

เหมือนคุณนภาได้ยินคำถามในหัวของคนตัวเล็ก ท่านจึงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า 

“เมื่อคืนเจ้าอิงขับรถกลับไปแล้ว แต่สักเที่ยงคืนได้กระมัง หลานรักฉันก็ขับรถกลับมาอีกรอบ ฉันคิดว่าคง ‘คิดถึง’ เธอมาก อยากมาหา ไม่ได้เห็นหน้าแต่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี ทำตัวเหมือนหนุ่มน้อยไปได้”

คล้ายกับมีผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยกระพือปีกแล้วบินอยู่ในอกซ้ายของคณิต...

‘คิดถึง’ เขาก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน คิดถึงจนนอนไม่หลับ 

แต่หยุดก่อน!

‘คิดถึง’ บ้าบออะไร คิดถึงจริงก็ต้องมาเคาะประตูห้องนอนเขาสิ ไม่ใช่มานอนให้ยุงกัด หรือว่าความจริงคือไปเที่ยวกลางคืนมา แล้วเมามาก เอาตัวออกจากรถไม่ไหว เลยนอนมันอยู่ในรถนั่นแหละ ไม่ได้ตั้งใจมานอนเฝ้าหลังคาบ้านของคุณนภาหรอก
ไอ้ที่ไปเที่ยวมาจนเมาน่ะ ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวกับของเล่นชิ้นใหม่หรอกนะ...คิดแล้วหงุดหงิด ภาพที่ผู้ชายคนหนึ่งก้มหน้าซุกไหล่ของอชิตะในผับคืนนั้น ยังติดตาค้างอยู่ในใจอยู่เลย 

“ไม่พูดอะไรหน่อยหรือ ใจคอจะให้ฉันพูดอยู่คนเดียว” คุณนภาเอ่ยแทรกความหงุดหงิดของเด็กหนุ่มที่ผ่านออกมาทางสีหน้า

“ผม...” ก็เขาไม่รู้จะพูดอะไรนี่นา มันเหมือนเขาอยู่ผิดที่ รู้สึกเกร็ง ทำตัวไม่ถูก ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาไม่ได้เป็นอะไรกับคุณนภาเลย ลูกหลานก็ไม่ใช่ เหตุผลที่มาอยู่ที่นี่ก็ใช่จะน่าภูมิใจ ครั้นจะเดินออกประตูรั้วไปก็เกรงใจสายตาหลายคู่ที่จับจ้องทุกย่างก้าวของเขา ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านอชิตะเลยทีเดียว ลองเขาเดินไปแตะประตูรั้วเมื่อไร คนสวนกล้ามใหญ่ได้พุ่งเข้ามาล็อกคอเขาแน่

ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่บ้านคุณนภาหรือบ้านหลานชายของท่าน เขาก็เหมือนเป็นนักโทษอยู่ดี แค่ไม่ถูกใส่กุญแจมือและได้รับการต้อนรับที่ดีประหนึ่งเป็นเจ้านายอีกคนหนึ่ง ทุกคนให้ความนอบน้อมกับเขามากเสียจนรู้สึกเกรงใจ

“ฉันรู้ ว่าเธอกลัวฉันจะถามเรื่องระหว่างเธอกับหลานชายฉันใช่ไหม ถึงนั่งหน้าเกร็ง หลังตรง ไม่พูดไม่จา ไม่กล้าสบตาฉัน ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ถามอะไรเธอหรอก ถามไป เธอก็ไม่ตอบ จริงไหม” คุณนภาถามด้วยยิ้มนุ่มนวลอย่างคนแก่ใจดี “แล้วเจ้าอิงก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟังหมดแล้ว”

“เขาเล่าอะไรบ้างครับ” ...ก็ไม่ได้อยากรู้หรอกนะ ก็แค่อยากรู้ว่าอชิตะใส่ร้ายเขาและเอาดีเข้าตัวอะไรไปบ้าง

แต่แทนที่จะได้คำตอบ คณิตกลับถูกดุกลับมา

“เธอเรียกหลานชายฉันว่า ‘เขา’ อย่างนั้นเหรอ?” คุณนภาถามเสียงเข้ม ริ้วรอยบนใบหน้ากระตุกนิดๆ ให้คู่สนทนาขยับตัวทำอะไรไม่ถูกไปหลายอึดใจ “หลานชายฉันแก่กว่าเธอห้าปี เรียกแบบนั้นสมควรแล้วรึ”

คณิตลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ใจเต้นเหมือนกลองโดนตีเพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างมากของหญิงมากวัย จากใบหน้าของคุณย่าใจดีได้แปรเปลี่ยนเป็นนางพญาเหยี่ยวแทนคุณเอมอรไปแล้ว

แค่เรียกอชิตะว่า ‘เขา’ ยังทำเหมือนจะสั่งขังลืม แล้วถ้าได้ยินคำด่าหยาบคายอย่างเช่น ไอ้หื่น ไอ้เหี้ย ไอ้เลว ไอ้โรคจิต ฯลฯ เขาไม่ถูกประหารหัวเลยหรือไง

รักษาตัวรอดเป็นยอดดีสิวะไอ้หนึ่ง...คิดอย่างนั้นแล้วอชิตะก็รีบแก้ไขคำเรียกขานเสียใหม่

“คุณอิงเล่าอะไรเกี่ยวกับผมบ้างครับ”

จาก ‘เขา’ เป็น ‘คุณอิง’ คิดว่าน่าจะเป็นที่ถูกใจของหญิงสูงวัยแล้วนะ เรียกชื่อหลานชายของท่านอย่างยกย่องที่สุด แต่ที่ไหนได้ อีกฝ่ายยังไม่คลายสีหน้าไม่พอใจลงเลย สายตาคมกริบจ้องมองเขาอย่างตำหนิโทษ แม้จะผ่านฝนหนาวมาร่วมแปดสิบกว่าปี แต่ดวงตาของคุณนภายังทรงไว้ด้วยอำนาจ ฟ้องอดีตในวันวานว่าเธอเคยยิ่งใหญ่แค่ไหน

“ไม่คิดว่ามันห่างเหินไปรึ” คุณนภาย้อนถาม ส่งสายตาเข้มงวดที่ไม่ต่างจากไม้เรียวปราบเด็กดื้อ

“ก็ไม่นะครับ” คณิตตอบเสียงอ่อย แอบหลบสายตาไม่พอใจของคุณนภา...จะให้เขาเรียกหลานชายสุดที่รักของท่านว่าอะไรเล่า
เรียก ‘เขา’ ก็ไม่ได้

เรียก ‘คุณ’ ก็ไม่เอา

อย่างนั้นคงเหลืออย่างเดียวแล้วนะ

“งั้นผมเรียกว่าบอสได้ไหมครับ” อ้อมแอ้มถามออกไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแค่การเรียกหลานชายสุดรักของคุณนภา มันเป็นเรื่องใหญ่เพียงนี้เชียว จริงจังถึงขั้นต้องเอ่ยขออนุญาตกันเลยนี่นะ

 “ยิ่งแย่ไปใหญ่ คนเป็นย่าอย่างฉันฟังแล้วมันเจ็บหูจริงเชียว” คนแก่ฮึดฮัดไม่พอใจ นาทีนี้สายตาท่านเหมือนเครื่องประหาร แต่แท้จริงคุณนภาแค่ตีหน้าดุ แกล้งขู่เด็กหนุ่มไปอย่างนั้นเอง เห็นท่าทางแล้วน่าแกล้ง ทำให้นึกไปถึงเพื่อนรักที่เปลี่ยนสถานะไปเป็นพี่สะใภ้ผู้น่ารักของนางในวันวาน

พรตนั้น น่ารัก น่าแกล้ง น่าทำให้ร้องไห้ เพราะยามน้ำตาไหลผ่านบนแก้มใส ตัวบอบบางจะสั่นเหมือนลูกนก และคนที่ชอบแกล้งพรตที่สุดก็คือพี่ชายของเธอ

“แล้วต้องให้เรียกแบบไหนครับ” คณิตถามด้วยจนปัญญาต่อกรกับความยุ่งยากที่คุณนภาสร้างขึ้น...ตระกูลนี้เอาแต่ใจกันเหลือเกิน   

“เรียกว่า ‘พี่อิง’ สิ ต้องให้คนแก่หัวหงอกสอนรึไง” ว่าเสียงดุ แต่ตายิ้ม “ไหนเรียกให้ฉันฟังซิ...พี่อิง”

คณิตอยากจะดื้อ ไม่ยอมเรียกอชิตะว่า ‘พี่อิง’ เด็ดขาด แต่เมื่อสบสายตาจริงจังของหญิงชราภายใต้แสงของวันใหม่ที่ฉาบทั่วท้องฟ้ากว้างแล้วก็ต้องเอ่ยออกมาอย่างจำยอม

“พี่...อิง...” รู้สึกกระดากปากชะมัด ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาเรียกอชิตะด้วยสรรพนามนี้ 

“ฟังแล้วเหมือนไม่เต็มใจพูด เอาใหม่ พูดใหม่”

“พี่อิง”

คุณนภาพยักหน้าช้าๆ แทนความถูกใจ

“ต่อจากนี้ให้เรียกหลานชายฉันว่า ‘พี่อิง’ ทุกครั้ง...ถือว่าฉันขอ”

‘ขอ’ หรือ ‘สั่ง’ กันแน่ แต่ที่แน่ๆ สายตานางพญารุ่นลายครามอย่างคุณนภา ไม่น่าปล่อยให้เขารอดจากกรงเล็บแน่ หากเขาปฏิเสธสิ่งที่เจ้าตัวขอ

“ครับ” ...เขาสู้คนตระกูลนี้ไม่ได้อยู่แล้วนี่   

คุณนภายิ้มพอใจ

“ไปได้แล้ว”

“ครับ” คณิตรับคำอย่างงงๆ เขานั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ แล้วจะไล่เขาไปไหน แปลกจริง ถ้าเขามาขอพบคุณนภาก็ว่าไปอย่าง แต่ช่างเถอะ เจ้าของบ้านอาจอยากนั่งชมต้นไม้ดอกไม้ยามเช้าในสวนของตัวเองคนเดียวก็ได้ มีเขาอยู่คงเกะกะลูกตา

คณิตลุกขึ้นยืน เตรียมจะหมุนตัวเดินออกไปจากสวนที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ดอกหอมของไทย ทว่าคุณนภาตั้งคำถามชวนงงขึ้นมาอีกจนได้

“รู้หรือว่าฉันให้เธอไปไหน”

คนถูกถามส่ายหน้าด้วยความงง แต่เพียงไม่นานความงงก็เปลี่ยนเป็นความลำบากใจ เมื่อเจ้าของบ้านใช้ให้ไปทำเรื่องที่ไม่อยากทำ

“ไปปลุกหลานชายฉัน ให้เขาตื่นกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานได้แล้ว”

“ให้คนอื่นไปปลุกได้ไหมครับ” เขาย้อนถามเป็นคำปฏิเสธ แต่พอถูกจ้องหน้าเขม็งแล้วนั้น คณิตจำต้องเปลี่ยนคำตอบให้เป็นที่พอใจของอีกฝ่าย

“...ครับ”

เขาต้องพ่ายแพ้ให้กับสายตาของคนในตระกูลนี้หมดทุกคนหรือไงนะ...

คณิตได้แต่นึกคร่ำครวญในหัวอกตัวเอง สวนทางกับขาที่ต้องไปทำหน้าที่ที่ถูกบังคับ แต่ในคำว่า ‘ถูกบังคับ’ คณิตยอมรับว่ามีคำว่า ‘คิดถึง’ แอบซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบและน่ายินดีไปพร้อมๆ กัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คนที่ปรับเบาะนั่งเป็นเตียงนอนชั่วคราวเริ่มขยับตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกจากด้านนอก อชิตะมองผ่านกระจกรถที่เปิดค้างไว้นิดหน่อยพอให้มีอากาศไว้ใช้หายใจยามหลับ พอเห็นว่าเป็นใคร รอยยิ้มผุดขึ้นมาทันที เขาปรับเบาะรถให้เข้าที่ ก่อนลดกระจกรถลง

“หนึ่ง...ผมคิดถึงคุณ”

ความคิดถึงทำให้อชิตะที่นอนพลิกตัวบนเตียงในห้องใต้ดินไปหลายตลบ ต้องขับรถมาบ้านคนเป็นย่า มาแค่ให้ได้อยู่ใกล้คนที่เขาคิดถึง มันก็พอให้ข่มตาหลับได้เมื่อเวลาผ่านเข้าสู่วันใหม่ตอนเข็มนาฬิกาชี้เลขสี่ ก้มมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา นี่ก็ใกล้หกโมงเช้าแล้ว ได้นอนไม่ถึงสองชั่วโมงเลย

“ไม่เจอแค่คืนเดียว คิดถึงเป็นบ้า” 

ผีเสื้อตีปีกในหัวใจของคณิตอีกรอบ รุนแรงกว่าเดิม ครั้นจะฉีกยิ้มรับอย่างที่อีกฝ่ายเปิดยิ้มกว้างมาให้ก็ไม่ควรอย่างยิ่ง มันจะทำให้อชิตะได้ใจ แถมทำให้เขากลายเป็นของเล่นโง่ๆ อีกด้วย เลยต้องปั้นหน้าเรียบเฉยกับความคิดถึงของอีกฝ่าย ดึงตัวเองกลับมายังหน้าที่ที่ได้รับการบังคับมาจากคุณนภาทันที
 
“คุณนภาให้ผมมาปลุก...” พูดแล้วก็หยุด เนื่องจากไอ้คำที่เขาต้องพูดต่อจากนี้ถูกบังคับมาโดยคุณนภา โดยมีผู้คุมที่ได้รับมอบหมายหน้าที่จากคุณนภาให้ตามมาจับคำพูดทุกประโยคของเขาอย่างใกล้ชิด ต้องให้ทุกประโยคที่เขาพูดคุยกับอชิตะมีคำว่า ‘พี่อิง’ รวมอยู่ด้วย

คุณนภากำหนดโทษเอาไว้ว่า หากไม่ได้ยินเขาเรียกหลานชายท่านว่า ‘พี่อิง’ จะลงโทษเขาด้วยการไม่ให้เจอหน้าอชิตะเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม!

มันเป็นบทลงโทษที่บ้ามาก แต่เขาก็ดันบ้าจี้ตามไปด้วยนี่สิ

“...พี่อิงไปทำงาน” คณิตต่อประโยคที่เหลือจนจบ เจ้าของชื่อเหมือนจะอึ้ง ก่อนฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว

“ไปละ” เมื่อหมดหน้าที่แล้ว คณิตก็หมุนตัวกลับ เตรียมเดินกลับเข้าไปในรั้วบ้านเรือนไทย ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูรถตามหลังมา ก่อนจะถูกรั้งไว้ด้วยมือหนาของคนที่ยิ้มกว้างยังไม่หมดไปจากใบหน้า

“เดี๋ยวก่อนหนึ่ง” อชิตะจับข้อมือเล็กไว้แน่น กันไม่ให้เจ้าของมันสะบัดหลุด แล้วจึงหันไปบอกคนสนิทของคุณย่านภา “ผมขอคุยกับน้องหน่อยนะครับ”

“คุณท่านให้แค่มาเรียกค่ะ ไม่อนุญาตให้คุย” นางบอก ยึดในคำสั่งของเจ้านายเป็นหลัก

“ผมขอแค่นิดเดียว ไม่นานครับ”

“แต่มันขัดคำสั่งคุณท่านนะคะคุณอิง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยอมลงโทษเพิ่มอีกปีหนึ่งก็ได้”...ก็คนมันคิดถึง เห็นหน้าแล้วอยากกอด อยากถามว่าเมื่อคืนนอนหลับไหม คิดถึงเขาไหม ถูกลงโทษเพิ่มก็ต้องยอม “ผมขอชั่วโมงหนึ่งนะครับ”

“ป้าให้สิบนาทีนะคะ”

อชิตะยอม...สิบนาทีที่ได้กอดให้หายคิดถึง แลกกับบทลงโทษสุดโหดที่เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งปี คุ้มหรือเปล่าไม่รู้ รู้แค่ว่าคิดถึงเหลือเกิน เขารอให้ถึงตอนหกโมงเย็นไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นเขากลับไปทำงานไม่รู้เรื่องแน่ เผลอๆ อาจจะนั่งเฝ้าประตูรั้วทั้งวันเลยก็ได้

แต่คนที่ไม่รู้เรื่องอย่างคณิตนี่สิ ยืนฟังด้วยความงุนงง สมองครุ่นคิดหาคำตอบ เพิ่มโทษอีกหนึ่งปีคืออะไร หรือว่าอชิตะก็โดนลงโทษด้วย แล้วโดนด้วยข้อหาอะไร หรือเป็นข้อหาที่โผล่หน้ามาหาเขา คุณนภาสั่งหลานชายตัวเองไม่ให้มาเจอเขาใช่ไหม แต่อชิตะขัดคำสั่ง บทลงโทษจึงตามมา

แค่เดือนเดียวที่เขาถูกคุณนภาขู่ลงโทษ เขาก็ว่ามากแล้วนะ มากจนไม่กล้าขัดคำสั่ง แต่บทลงโทษของอชิตะมากยิ่งกว่า

‘หนึ่งปี’ ไม่ได้มีแค่เดือนสองเดือนนะ มันมีตั้งสิบสองเดือน

ทำไมคุณนภาใจร้ายกับหลานชายจัง นี่เท่ากับว่าเขาจะไม่ได้เจออชิตะอีกอย่างน้อยสิบสองเดือนเลยงั้นเหรอ... ตายกันพอดี!

แล้วสิบนาทีนี่ มันไม่ได้คุ้มกับหนึ่งปีที่เพิ่มเข้ามาเลยนะ ทำไมอชิตะตัดสินใจอะไรโง่ๆ ด้วย แทนที่จะรอให้พ้นระยะเวลาของคำสั่งไปก่อน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร

คณิตคิดจะต่อว่าอชิตะที่ขัดคำสั่งคุณนภา พลอยทำให้เขาต้องโดนไปด้วย เพราะลงโทษอชิตะก็เท่ากับลงโทษเขาเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้อ้าปากว่าอย่างใจคิดเคือง คนตัวโตก็ลากเขาไปยืนข้างรถ ลับตาคนในบ้านเสียก่อน

“คิดถึง”

คำบอกนี้มาพร้อมกับอ้อมกอดคุ้นเคย มันอบอุ่นอย่างที่โหยหามาตลอดทั้งคืน คนถูกกอดหลับตาข่มอารมณ์ของตัวเองไม่ให้กระเจิงไปกับความคิดถึง ไม่อยากเผลอบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปให้อับอายและสิ้นศักดิ์ศรีมากกว่าเดิม

“คิดถึงกันไหม”

เสียงทุ้มยังคงกระซิบอยู่เหนือขมับ ปากอุ่นร้อนจูบซับลงมาหลายต่อหลายครั้ง ยิ่งหลับตา คณิตยิ่งซึมซับรอยจูบได้มากขึ้น มากเสียจนไม่สามารถห้ามมือของตัวเองไม่ให้เลื่อนขึ้นมาโอบกอดตอบได้ คนตัวเล็กซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างแสนคิดถึง

V
V
V
อ่านต่อข้างล่าง


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย ต้องขับรถมาหาถึงนี่ แต่เข้าไปหาในบ้านไม่ได้ คุณย่าสั่งห้ามไว้ ขัดคำสั่งจะโดนลงโทษเพิ่ม ทั้งที่คิดถึงมากขนาดนี้ แต่ก็ทำได้แค่มานอนเฝ้านอกรั้ว ตอบให้ชื่นใจหน่อยนะหนึ่ง คิดถึงผมไหม คิดถึง ‘พี่อิง’ หรือเปล่า นอนหลับไหม ถ้านอนไม่หลับเป็นเพราะคิดถึง ‘พี่อิง’ ใช่ไหม” อชิตะเน้นคำว่า ‘พี่อิง’ เป็นพิเศษ

คำพูดเหมือนจะฟ้องและอ้อนอยู่ในทีทำเอาคณิตอยากจะขยี้หูตัวเองสักสิบรอบ เผื่อว่าประสาทรับรู้เสียงของเขาจะผิดเพี้ยนไป มีแทนตัวเองว่า ‘พี่อิง’ ด้วย แต่เรื่องอะไรเขาจะตอบให้อีกฝ่ายได้ใจ อชิตะกำลังก่อเรื่องให้เขาซวยเพิ่มอีกหนึ่งปีเลยนะ มันต้องชำระความกันก่อน เพราะของเล่นชิ้นนี้ มันไม่อยากจากเจ้าของนานขนาดนั้นนี่น่า

เฮ้อ...ใจหนอใจ อยู่ใกล้ก็อยากหนี อยู่ห่างก็แสนคิดถึง พอโดนกอดก็ยิ่งโหยหายิ่งกว่าเดิมอีกร้อยเท่าพันทวี นี่สินะความรัก ความคิดถึง

“ใครใช้ให้บอสมาหาผมห๊ะ!” คณิตสาดเสียงใส่ ไม่ได้เรียกอชิตะว่าพี่อิง เพราะไม่มีคนคอยจับผิดแล้ว พลางค่อยๆ เอาตัวเองออกมาจากวงแขนของอีกฝ่าย ครั้งนี้อชิตะดูว่าง่าย ยอมปล่อยตัวเขาแต่โดยดี

“บอกแล้วว่าคิดถึง” อชิตะยิ้มตาพราว “อยากกอด อยากจูบ อยากหอม อยากทำอะไรๆ เหมือนที่เคยทำกับหนึ่ง อยากได้ยินเสียงครางหวานๆ ดังอยู่ข้างหู” ปลายเสียงแผ่วลงคล้ายจะสื่อความหมายถึงบางอย่างที่ลึกซึ้ง...ลึกเข้าไปในกายบาง

“หยุดพูดเลยนะ! หน้าไม่อาย” ปากด่า ทำโกรธ แต่วงหน้าขาวกลับขึ้นสีระเรื่อ

“คิดถึงหน้าตาแบบนี้ด้วย” บอกพลางประคองใบหน้าเล็กไว้ในอุ้งมือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเขินอาย อชิตะไม่เคยเบื่อที่จะมอง

“หน้าตาแบบตอนอื่นๆ ก็ชอบเหมือนกัน โดยเฉพาะ...” อชิตะแกล้งละคำพูดที่เหลือไว้ให้คณิตเติมมันเอง และคิดว่าคนตัวเล็กคงเติมมันได้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำท่าเหมือนจะฉีกเนื้อเขาทิ้งเป็นแน่

“เลิกพูดไร้สาระสักที” คณิตว่าเสียงฉุนกลบเกลื่อนอารมณ์ที่ถูกยั่วแหย่ให้ใบหน้าเห่อร้อน ดึงเรื่องกลับมายังจุดเดิมที่เขาอยากจะชำระความหลานชายคุณนภา “ทำไมไม่เชื่อฟังคำสั่งคุณย่าของบอสห๊ะ มาหาผมทำไม ดูซิ ขัดคำสั่งแล้วเป็นไง ตั้งหนึ่งปีเลยนะบอสที่เราจะไม่ได้เจอหน้ากัน มันน้อยซะที่ไหน” ว่าอย่างโมโห ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองควรจะทำเมินใส่อชิตะ ไม่ใช่เดือดร้อนโวยวายที่ไม่ได้เจอหน้ากันมากกว่าหนึ่งปี มารู้ตัวว่าพลาดไปแล้วก็ตอนที่เห็นดวงตาพราวระยับมีรอยยิ้มถูกอกถูกใจและคว้าเอวเขาเข้าไปกอดซ้ำนั่นแหละ

โธ่ไอ้หนึ่ง! มึงพลาดรุนแรงแล้วรู้ไหม

“หกโมงเย็นก็ได้เจอกันแล้ว แต่ถ้าทนคิดถึงไม่ไหว ผมจะโทรมาหาทุกชั่วโมงดีไหม หรือวีดิโอคอลทั้งวันก็ได้นะ” 
พลาดว่ารุนแรงแล้ว พอเจอที่อชิตะพูดอีก คณิตงงแบบถล่มทลาย ไม่ใช่เรื่องโทรคุยหรือวีดิโอคอล แต่คือคำพูดที่ว่า

‘หกโมงเย็นก็ได้เจอกันแล้ว’

“คือยังไงบอส?” คณิตเงยหน้าถาม ไม่ได้สนใจมือที่เลื้อยลงไปป้วนเปี้ยนแถวสะโพก ช่างมันก่อน ความอยากรู้สำคัญกว่าการถูกลวนลามร่างกาย “หกโมงเย็น มันหมายความว่ายังไง อธิบายมาดิ่”

“จูบก่อน แล้วจะบอก” อชิตะบอกอย่างเป็นต่อ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของคณิตที่ทำให้เขาใช้กอบโกยเอาแต่ใจตัวเอง

“บ้า! นี่มันหน้าบ้านนะบอส” คณิตเอ็ดเสียงเขียว ตอนนี้เช้ามากก็จริง แต่ก็มีรถวิ่งผ่านไปมา เท่าที่ให้กอดให้ลูบสะโพกอยู่ข้างถนนก็ต้องทำหน้าหนาเกินขีดจำกัดไปแล้วนะ

“ไปในรถ” ว่าแล้วอชิตะก็เปิดประตูรถตอนหลัง จับร่างเล็กที่ยังไม่ทันตั้งตัวเข้าไปก่อน จากนั้นก็ก้าวตามเข้าไป ปิดทุกสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมาในซอยแห่งนี้ด้วยรถคันใหญ่ติดฟิล์มดำ

คณิตยังไม่ทันโวยวาย แค่อ้าปากก็เป็นการเปิดทางให้อีกฝ่ายประกบจูบลงมาทันที ถามว่ารังเกียจรสชาติปากของคนที่เพิ่งตื่นนอนหรือเปล่า คณิตตอบได้เลยว่า...มันเลยคำคำนั้นไปเยอะมากแล้ว เลยไปมากโข ที่สัมผัสทุกครั้งในยามเรียวลิ้นดึงดูดกัน มันมีแต่ความเร่าร้อนที่พร้อมจะกลืนกินกันและกัน

“กลับบ้านเรากันนะ” เสียงทุ้มแผ่วจางด้วยอารมณ์ปรารถนากระซิบติดกลีบปากสีหวานเมื่อละริมฝีปากออกมา คนถูกชวนส่ายหน้าปฏิเสธ

“อื้อ...จูบแล้วก็บอกมา อย่า...” คณิตทวงเอาคำตอบที่อยากได้ มือก็ดันแผ่นอกกว้างสุดกำลัง เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะหยุดแค่จูบ มือหนาล้วงเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเรียบลื่นใต้เสื้อยืดสีขาวอย่างเอาแต่ใจ คณิตกลัวอารมณ์ตัวเองจะกระเจิงไปกับมือหนาที่ปลุกเร้า เขารีบดึงมืออชิตะออกมาก่อนจะรั้งอารมณ์ไม่ทันกันทั้งคู่ “บอกมาได้แล้ว หกโมงเย็นอะไร ยังไง”

อชิตะยังไม่ให้คำตอบในทันที เขายอมลามือจากผิวเนื้อของคณิต แต่ยังใช้มือประคองใบหน้าเล็กแทน แล้วพรมจูบไปทั่วผิวแก้มของคนที่คิดถึงสุดหัวใจ จูบอย่างเอ็นดู เมื่อนึกไปถึงอาการที่แสดงออกมาว่าเดือดร้อนขนาดไหนที่จะไม่ได้เจอหน้าเขาถึงหนึ่งปี

‘น้อยซะที่ไหน’

คำพูดที่เจ้าตัวระบายออกมาอย่างหัวเสีย ได้ยินแล้วชื่นใจ อดไม่ได้ที่จะตามหาความหวานฉ่ำหลังกลีบปากบางอีกครั้ง คณิตเหมือนจะไม่ยอมในคราวแรกเพราะคงอยากได้คำตอบเต็มที ทว่าแค่อึดใจเดียวก็พ่ายแพ้ ยินยอมให้เขาลิ้มชิมรสหวานของตน ให้ความร่วมมืออย่างดี ดีซะจนเขาอยากจะบดขยี้ร่างกายคณิตให้หายคิดถึง ความคิดถึงที่ล้นทะลักอยู่ในหัวอก อยากได้ยินเสียงครางอย่างสิ้นอายแต่หวานจับใจ อยากกอดร่างกายอ่อนปวกเปียกที่พร้อมจะรองรับทุกความต้องการของเขาอย่างอดทน อยากกดแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกันจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ อยากถ่ายทอดความรักผ่านร่างกายที่สอดประสานอย่างบ้าคลั่ง อยากกัดกลืนกินกายหอมหวานแสนยั่วยวนนี้ทุกตารางนิ้ว และอยากจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

ถ้าคณิตคิดว่าหนึ่งปี ‘น้อยซะที่ไหน’ แล้วโทษที่มีอีกสองปีล่ะ คนตัวเล็กจะรู้สึกอย่างไรกับมัน กับบทลงโทษที่คุณย่านภากำหนดขึ้นมา ซึ่งเขาไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง เนื่องจากเป็นบทลงโทษความบ้าคลั่งของเขาเอง จำนวนปีที่ถูกลงโทษได้มาจากจำนวนวันที่เขากักขังหน่วงเหนี่ยวคณิตไว้ในห้องใต้ดิน

หนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี

จำนวนวันที่เขากักขังคณิตไว้คือสองวัน ดังนั้น บทลงโทษของเขาจึงเป็นสองปี และคงจะเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งปีจากเหตุการณ์นี้ ทว่ามันก็คุ้ม คุ้มที่ได้รู้ว่าคนตัวเล็กก็คิดถึงเขามากเช่นกัน

“อึก...เจ็บบอส...ผมเจ็บ...บอกว่าเจ็บไงเล่า!”

เสียงร้องโวยวายดึงสติของอชิตะออกมาจากซอกคอระหง อชิตะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำมากกว่าจูบ เพราะมีรอยฟันคมรอยใหม่ประทับอยู่บนซอกคอของคณิตไปเรียบร้อยแล้ว พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเจ้าของลำคอโกรธหน้าดำหน้าแดงรอก่อนแล้ว

“คิดถึง” เขาใช้คำนี้แทนทุกการกระทำ คนฟังกัดปากทำหน้างอ ตาขวาง พลางขยับไปชิดประตูอีกฝั่ง มือชี้หน้าห้ามไม่ให้เขาขยับตาม

“อยู่ตรงนั้นเลย แล้วบอกมา”

อชิตะขยับยิ้ม ดวงตาคมระยับยามเอ่ยบอกบทลงโทษที่ยาวนานทรมานหัวใจและร่างกายเขามากมายนัก

“คุณย่าลงโทษผมไม่ให้มาเจอคุณเป็นเวลาสองปีเต็ม”

“ห๊า! สองปี” คนฟังอุทานเสียงหลง

“ใช่ สองปีเต็ม สำหรับข้อหาที่ผมเอาตัวคุณมาขัง ก็เริ่มลงโทษตั้งแต่เมื่อเย็นวาน”

หัวสมองของคณิตคิดอย่างเร็วจี๋ เมื่อกี้อชิตะโดนเพิ่มไปอีกหนึ่งปี รวมของเดิมอีกสองปี แปลว่าเขากับอชิตะจะไม่ได้เจอกันถึงสามปีเลยเหรอ

ให้ตายเถอะ มันไม่ใช่น้อยๆ แต่มันเยอะโคตรๆ ต่างหาก!

...1 ปีเท่ากับ 365 วัน

...3 ปีก็เกือบหนึ่งพันวันเลยนะ

แล้วเขาจะทนไหวไหมเล่า แค่คืนที่ผ่านมาก็ยืนยันแล้วว่า เขาไม่ไหว! นอนไม่หลับ โหยหาแต่อ้อมกอดของอชิตะ สัมผัสที่เคยได้รับจากการปรนเปรอของอีกฝ่าย ร่างกายที่ถูกเติมเต็มจากความปรารถนารุนแรงนับครั้งไม่ถ้วนอีกเล่า เขาหลงใหลไปเสียแล้ว

“แล้วบอสจะยอมทำไมเล่า ไม่เห็นต้องทำตามเลย” คณิตบอกเสียงขุ่น ผิดหวังด้วยที่อชิตะยอมรับบทลงโทษด้วยความเต็มใจ เป็นเขานะ เขาไม่ยอมหรอก เอ...จะว่าไปก่อนหน้านี้เขาก็กลัวบทลงโทษของคุณนภาเหมือนกัน

“ท่านเป็นคุณย่านะ ผมจะขัดคำสั่งได้ยังไง” อชิตะตอบกลับเสียงอ่อน แต่แววตายิ้มมีความสุข ยิ้มลงไปถึงปากด้วย

“ยิ้มอะไร?” คณิตกระชากเสียงถาม หงุดหงิดที่เห็นอชิตะยิ้ม ทั้งที่เขาเครียดจะตายอยู่แล้ว “ชอบหรือไงที่ไม่ต้องเห็นหน้าผม เออ...ลืมไป ผมมันก็แค่ของเล่น ไม่มีก็ไม่ตาย” ...หรือหาของเล่นชิ้นใหม่ที่สมรรถภาพดีกว่าเขามาเล่นแทน

ตั้งสามปี อชิตะหาของเล่นชิ้นใหม่ได้ไม่รู้กี่ชิ้น โสดแล้วด้วย คู่หมั้นก็ไม่มี เขาก็ไม่อยู่ให้รกสายตา คิดแล้วใจก็เหมือนโดนค้อนทุบซ้ำซาก

“ไม่มีก็ไม่ตายจริงๆ แหละ แต่ผมก็ยังอยากเล่นของเล่นชิ้นนี้อยู่นะ” เจ้าของของเล่นเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ อชิตะชอบความน้อยเนื้อต่ำใจของคณิตเหลือเกิน

“ไอ้เหี้ย!” ตะโกนใส่อย่างโมโหสุดๆ เจ็บใจที่ถูกตอกย้ำ ปวดหัวใจที่เป็นได้แค่ของเล่น แล้วไอ้คำพูดที่พูดว่า ‘คิดถึง’ เนี่ย มันก็คงแค่คิดถึงของเล่นสินะ

โง่ซ้ำซากนะไอ้หนึ่ง!

“ไม่อยากเป็นของเล่นของผมเหรอ”

“ไม่!” ตอบเสียงสะบัด ใบหน้าเล็กหันออกไปนอนกระจกรถติดฟิล์มหนา แล้วเอ่ยเสียงเบาหวิว “ผมเป็นคน ไม่ใช่ของเล่นของใคร
ปล่อยผมไปซะที” ความน้อยใจ ความเสียใจ ส่งผลให้ปลายเสียงสั่นยากจะห้ามได้

“มองตาผม แล้วพูดสิว่าไม่อยากเป็นของเล่นของผม” อชิตะรุกเข้ามาชิด โอบร่างเล็กไว้ มือข้างหนึ่งจับปลายคางมนให้หันมาสบตา “ไม่อยากให้ผมกอด จูบ เข้าไปในตัวคุณ กลืนกินคุณทั้งตัว หลอมกายเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณทุกค่ำคืน...แล้วผมจะปล่อยคุณไป” เสียงทุ้มระบายนุ่มใกล้ผิวหน้านวลเนียน ได้รับกลับเป็นแรงสะบัดหน้าหนี

คณิตนึกไปถึงคำพูดของคุณเอมอร

‘ต้องมองตาเวลาพูด’ อชิตะถึงจะยอมเชื่อ แต่เขาจะมองตาแล้วพูดคำโกหกได้อย่างไรเล่า

ให้พยายามหันหน้าหนีเท่าไร คนที่ตั้งตัวเป็นเจ้าของของเล่นอย่างอชิตะก็ประคองสองแก้มของคณิตให้อยู่นิ่งได้ในที่สุด ปลายจมูกโด่งฝังลงบนแก้มนุ่มหอมสะอาด ตามติดด้วยปากอุ่นที่ขบกัดริมฝีปากล่างและดูดดึงซ้ำๆ ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่ลุ่มหลง เนิ่นนานกว่าที่อชิตะจะปล่อยกลีบปากบางเป็นอิสระ มองตาเรียวเล็กหวานซึ้ง ก่อนลิ้นชื้นจะฉกลึกเข้าไปหาความฉ่ำหวานภายใน แตะต้องกับเรียวลิ้นที่รอเวลาพัวพันกัน ยิ่งลิ้นนุ่มยินยอม อชิตะก็ยิ่งเพิ่มรสจูบที่หนักหน่วงขึ้นอีก

มือร้อนลากไล้ไปทั่วผิวเนื้อนวลเนียน บีบขยี้เม็ดเล็กบนยอดอกอย่างสนุกมือ จนเจ้าของมันสะดุ้งสะเทือนไปทั้งกาย หลุดครางเสียงหวานผะแผ่ว ก่อนสติของเจ้าตัวจะกลับมา คณิตรวบรวมแรงที่เหลือน้อยนิดผลักร่างหนาออกห่าง หอบหายใจหนักๆ กับใบหน้าที่ร้อนจัดใกล้แตกเพราะอายตัวเองที่เต็มใจซะขนาดนั้น ไม่สนว่าบทเลิฟซีนบรรเลงอยู่ในรถยนต์ ไม่ใช่ห้องหับมิดชิด

คณิตได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วจางในลำคอของคนที่ทำเอาเขาไม่เป็นตัวของตัวเอง 

“น่ารักอย่างนี้จะให้ผมยอมปล่อยคุณไปได้ยังไง”

คณิตไม่ตอบโต้ เพราะการตอบรับอย่างเต็มใจเมื่อครู่ มันฟ้องอยู่แล้วว่าเขาพ่ายแพ้หมดรูป ยินยอมเป็นของเล่นของคนคนนี้ไปแล้ว ต่อให้ปากแข็งขนาดไหน หัวใจก็ไม่ได้แข็งอย่างปากว่าเลย

พอไม่ตอบ ก็ถูกรวบตัวเขาไปบดจูบอีกครั้ง ครั้งนี้นานแค่ลมหายใจเดียว

“อยากทำมากกว่านี้แต่ทำไม่ได้” เสียงทุ้มกระซิบออดอ้อนและยั่วเย้าอยู่ในคราวเดียวกันเมื่อละริมฝีปากจากความหวานออกมา

“แต่ถ้าคุณกลับไปพร้อมผม ผมจะทำให้คุณไม่อยากจากผมไปไหนอีกเลย” อชิตะจ้องลึกเข้าไปในหน่วยตาเรียวเล็ก พบอารมณ์หลากหลายอยู่ในนั้น

...เจ็บปวด

...โหยหา

...ปรารถนา

...และรัก

“ไม่” แต่คณิตก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ

“สามปีที่ไม่มีอ้อมแขนของผมคอยกอดคุณตอนนอน คุณไม่ทรมานเหรอหนึ่ง” อชิตะถาม น้ำเสียงไม่คลายความออดอ้อนลงเลย

“แต่สามปีสำหรับผมที่จะไม่ได้นอนกอดคุณ ไม่ได้อยู่ในตัวคุณ ไม่ได้ครอบครองคุณ มันคงทรมานมากนะ”

“.....” ใช่ว่าคณิตจะไม่ร่วมทรมานไปด้วยเสียหน่อย เพราะสามปี มันไม่ได้แค่นานมาก แต่มันนานเหี้ยๆ นานเสียจนทำให้ของเล่นชิ้นหนึ่งหมดความหมายไปตามระยะเวลายาวนานนั้นได้เลย

“อยากฉุดไปซะตอนนี้เลย” ชายหนุ่มถอนหายใจ “แต่ผมก็จะทน เพื่อของเล่นอย่างคุณ”

น้ำตาของคณิตไหลโดยทันใด จากคำพูดที่กรีดใจ ด่าว่าตัวเองเป็นของเล่น ยังเจ็บไม่เท่ากับที่อีกฝ่ายเรียกขานให้หัวใจย่อยยับแตกสลาย

ในม่านน้ำตา คณิตเห็นใบหน้าคมเข้มแสนหล่อเหลา แต้มรอยยิ้มพึงพอใจ ใบหน้านั้นโน้มลงมาใกล้ เขาเผยอริมฝีปากรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีต่อมา ไม่มีคำปลอบโยน มีเพียงสองแขนที่โอบกอด ปากเร่าร้อนที่บดจูบลงมาด้วยความกระหายอยาก จูบที่ไม่ได้นุ่มนวลอ่อนหวาน หากแต่ฝังลึกลงมาตีตราความเป็นเจ้าของของเล่นชิ้นนี้ไปจนกว่าจะไม่ต้องการ
นานกว่าคณิตจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ หลังถูกตักตวงจนน้ำตาแห้งเหือด คนตัวเล็กก้าวขาลงจากรถคันใหญ่พร้อมกับคนตัวโตที่เปิดประตูรถอีกฝั่งหนึ่งลงมา อชิตะยืนอยู่ข้างประตูรถ ขณะที่คณิตเดินก้มหน้าไปยังประตูรั้วด้วยหัวจิตหัวใจที่ถูกทำลายซ้ำซาก
อชิตะเอาแต่ได้ ส่วนเขาก็ยอมแต่ให้ ให้จนไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรมันแล้ว

...ปากบอกว่าไม่ แต่ใจบอกว่าได้

...สมองต่อต้าน ร่างกายกลับสนองตอบ

...หัวใจย่อยยับพังทลาย ก็ยังต้องแหลกละเอียดเหมือนฝุ่นผง

คณิตแว่วได้ยินว่าคนสนิทของคุณนภาที่เดินสวนเขาไปหาอชิตะ สิ่งที่หญิงมากวัยคุยกับอีกฝ่ายนั้น ทำเอาลมหายใจของคณิตสะดุดอีกครั้ง ใจหายวาบ นึกไปถึงบทลงโทษที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น!

“หนึ่งชั่วโมงนะคะคุณอิง ป้าต้องรายงานคุณท่านตามความจริง”

สิบนาทีก็ลงโทษตั้งหนึ่งปี แล้วนี่หกสิบนาที ไม่ลงโทษเพิ่มเข้าไปอีกหกปีเลยหรือไง

บ้าจริง! ถึงตอนนั้นเขาไม่กลายเป็นของเล่นตกรุ่นแล้วเหรอ

ฉุดเขาไปตอนนี้เลยได้ไหม

...พี่อิง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ตาเธอแดงนะ โดนหลานชายฉันรังแกมาหรือเปล่า” เสียงหญิงสูงวัยเจ้าของบ้านเรือนไทยเอ่ยถามจากชานเรือนที่นั่งรับลมเย็นก่อนมื้ออาหารเช้าจะมาถึง

คณิตหันไปตามเสียง ก่อนจะเดินตรงไปหาหญิงชราที่มีร่างกายภายนอกแข็งแรง เหมือนคนอายุห้าสิบหกสิบก็ว่าได้ ทั้งที่ท่านก็มีโรคประจำตัวที่น่าเป็นห่วง

คนตัวเล็กทรุดตัวลงนั่งห่างออกไป แต่ก็พอให้นั่งสนทนากันได้โดยไม่ต้องใช้เสียงที่ดังเกินปกติ

“เปล่าครับ” ...เป็นเขาเองแหละที่รังแกตัวเอง รักคนที่เห็นเขาเป็นของเล่น ยินยอมให้อชิตะเล่นสนุกกับร่างกายเขาเกือบชั่วโมง

“ตาแดงๆ ของเธอมันฟ้องหมดแล้ว บอกมาว่าเจ้าอิงทำอะไรเธอ ฉันจะจัดการให้”

“ไม่ใช่ครับ แค่ฝุ่นเข้าตาครับ ผมเผลอขยี้ตาแรงไปหน่อย มันเลยแดง” คณิตไม่อยากโกหกคนแก่หรอกนะ ทั้งที่รู้ว่าคนผ่านร้อนผ่านหนาวมาแปดสิบกว่าปี ไม่เชื่อคำโกหกนี้แน่ แต่ทำไงได้ ขืนพูดความจริง ก็กลัวว่าวิธีจัดการหลานชายของคนเป็นย่าจะเป็นบทลงโทษแบบเดิม คือสั่งเพิ่มจำนวนปีที่ไม่ให้มาเจอเขาน่ะสิ

คนที่โดนลงโทษไม่ได้มีแค่อชิตะคนเดียวซะหน่อย เขาก็พลอยโดนไปด้วย

“เอ้า ฝุ่นเข้าตาก็เข้าตา ฉันจะเชื่อ แต่ที่พากันหายเข้าไปในรถนานสองนาน ไปทำอะไรกันหึ ไม่ใช่คิดถึงกันจนหักห้ามอารมณ์ไม่ได้หรอกนะ” คุณนภาถามยิ้มๆ พลางปรายตามองกลีบปากเล็กที่บวมเจ่อ เล่นเอาคนถูกมองหน้าร้อนเป็นถ่านติดไฟทันที

“ปะ...เปล่าครับ...แค่...แค่คุยกัน...คุยกันครับ” รีบตอบลิ้นแทบจะพันกัน เจอฤทธิ์คำถามของคุณเอมอรคนเดียวก็จะแย่แล้ว ต้องมาเจอของคุณนภาอีกหรือไงนะ ครอบครัวนี้ชอบถามคำถามที่ไม่ควรถามเลยจริงๆ

“คุยกันสนุกสนานจนปากเจ่อเลยรึ” คุณนภายังต้อนด้วยคำถามที่ทำเอาคณิตก้มหน้าจนปลายคางจะชิดอกอยู่รอมร่อ “อย่ายอมหลานชายฉันให้มากนัก ไม่ใช่อะไรก็ยอมไปเสียหมด เจ้าอิงจะกอด จะหอม จะจูบ หรือจะทำอะไรกับตัวเธอ เธอก็ต้องขัดบ้าง ถ้าเวลาและสถานที่มันไม่เหมาะสมน่ะ อย่างเช่นในรถ ถ้ามันจอดอยู่ข้างถนนก็อย่าไปยอม แต่ถ้าจอดในรั้วบ้านของเรา ไม่มีคนผ่านไปมา แบบนั้นฉันก็ไม่ว่า” คุณนภาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนบอกกล่าวแนะนำ ไม่ใช่ตำหนิติเตียน แต่คนฟังนี่สิหน้าไหม้หมดแล้ว

“ครับ” ตอบรับคำแนะนำของคุณนภาไปอย่างอายๆ ในเมื่อคนมากวัยกว่าพูดถึงขนาดนี้แล้ว ขืนปฏิเสธอีก เขาอาจโดนคุณนภาต้อนให้ได้อายกว่าเดิมก็เป็นไปได้

“อยากกลับไปอยู่กับเจ้าอิงไหม” ท่านเปลี่ยนจากสีหน้ายิ้มๆ ของคนแก่ขี้แกล้งเป็นจริงจังขึ้น

“ไม่อยากครับ” ...เป็นคำตอบที่สวนทางกับเสียงร่ำร้องในหัวใจ

“ดีแล้ว” คุณนภาพยักหน้าพอใจ “ให้หลานฉันรับโทษความผิดที่ก่อไว้นานหน่อย ส่วนเธอก็อย่าใจอ่อนกับลูกอ้อนของเจ้าอิงไปซะก่อนล่ะ ทนได้ใช่ไหม” คุณนภาจบคำพูดด้วยคำถาม นางห่วงก็ตรงนี้แหละ คนนอนด้วยกันทุกคืน ไม่ต่างจากสามีภรรยา ห่างกันก็แทบจะขาดใจตาย

เมื่อวานคุณนภาก็ถามหลานชายตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน ว่าทนได้ไหมที่จะไม่ได้หลับนอนร่วมเตียงกับคนรัก ฝ่ายหลานชายบอกว่าทนได้ แต่ทนได้ไม่กี่ชั่วโมงน่ะสิ! ขับรถกลับบ้านไปแล้ว ยังขับกลับมาเฝ้าประตูรั้วอีกจนได้ หนำซ้ำยังลากกันไปทำอะไรต่อมิอะไรกันในรถอีกเล่า หวั่นใจซะจริงว่าจะทนได้ตามคำที่รับปากไว้หรือเปล่า

“ได้ครับ” คณิตตอบรับเสียงอ่อย ก่อนตัดสินใจถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก กลัวจะถูกมองว่าหลงหลานคุณนภาจนห่างกันไม่ได้

“แต่ว่า...ลดเวลาลงอีกนิดไม่ได้หรือครับ สองปี ผมว่า... เอ่อ มันนานไปนะครับ” เห็นคนตรงหน้ากระตุกยิ้มก่อนเอ่ยออกมาว่า

“หลานชายฉันไม่ได้บอกเธอหรือว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอคนเดียว ว่าอยากให้เวลามันยืดออกไป หรือหดสั้นเหลือแค่เย็นนี้”

“ยังไงครับ” 




จบตอนที่ 30 แล้ววว
นับรออีกสองตอนสุดท้าย ^_^
ก็ปิดฉากลงแล้ว
แต่ชีวิตของอิงหนึ่งยังไม่จบน้า
เขาจะอยู่กันไปจนแก่เฒ่า ตราบธุลีดินเลย (มา! เสียงน้อยหอยมา!)
ติดตามได้ในตอนพิเศษ (มีแค่ในนิยายเล่มเท่านั้นนะคะ ^_^)
แล้วก็จุดเริ่มต้นของชิตตะวันกับเบิกฟ้าด้วย จะอยู่ในรูปแบบของตอนพิเศษที่ยาวๆๆ
เป็นตอนของคนทั้งคู่เลย ชื่อเรื่อง (สั้น) แสงตะวันของผม (แต่แอบอยู่ในเล่มสองของอิงหนึ่งนะคะ)

 :bye2:

สีเหลืองอ่อน
ปล.แอบขอบคุณคอมเม้นเจ้าประจำนะคะ รักๆ ที่ยังติดตาม

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำไมรู้สึกว่าหนึ่งถูกคนบ้านนี้แกล้งอยู่นะ ฮา
พี่อิงก็นะ รักก็ไม่บอกดี ๆ ดันบอกว่าเขาเป็นของเล่น

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
31

“ใจคอเธอจะงอนลูกชายฉันไปถึงเมื่อไร?”
คุณเอมอรทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างกายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของลูกชายคนเล็ก เอ่ยถามน้ำเสียงติดจะตำหนิกลายๆ ที่เด็กหนุ่มใจแข็งกับลูกชายเธอเหลือเกิน หากไม่สงสารลูกที่ตามง้องอนได้แค่นอกประตูรั้วบ้านคุณย่าของตัวเองแล้วละก็ เธอไม่ยอมเสียเวลามานั่งตรงนี้หรอก ยิ่งตอนเช้าเธอมีนัดกับคู่ค้าคนสำคัญด้วย แต่เพราะรักลูก เธอถึงต้องมา

“ไม่มีกำหนดครับ” คณิตตอบเสียงเรียบ หลบสายตานางพญาของคุณเอมอรที่จ้องจิกเหมือนเขาดักตีหัวลูกชายตัวเองไม่ปาน
ทำไมต้องมองเหมือนเขาทำผิดร้ายแรงด้วย เขาก็แค่โกรธและโกรธลูกชายคุณเอมอรมากที่สุดเท่านั้นเอง สาเหตุความโกรธมาจากเมื่อประมาณห้าสิบวันที่แล้ว วันที่อชิตะบอกว่าถูกคุณนภาลงโทษไม่ให้เจอหน้าเขาสองปีเต็ม แต่ความจริงที่อชิตะไม่ยอมบอกอีกอย่างคือระยะเวลาสองปีนั้น อชิตะสามารถมาหาเขาได้ทุกวัน ตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงสามทุ่มตรง

ตรงไหนที่บอกว่าไม่ได้เจอหน้าเขาสองปีเต็ม!

ทั้งที่เจอกันได้ทุกวัน เพียงแต่มีกำหนดเวลาพูดคุยเห็นหน้าวันละสามชั่วโมง ไอ้ที่เขาเสียใจไปทั้งหมดล่ะ เสียใจที่คิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าอชิตะเป็นปีๆ อชิตะต้องรับผิดชอบความเสียใจของเขาในวันนั้น!

ใครจะว่าเขางี่เง่ากับเรื่องแค่นี้ก็เถอะ แต่เขาโกรธไง โกรธที่ถูกหลอก หลอกให้เขาเสียใจและใจหายที่จะไม่ได้เจอหน้าอชิตะ แถมยังหลุดแสดงท่าทางออกไปตั้งเยอะด้วย ดังนั้นเขาเลยไม่ยอมให้อชิตะมาหาและไม่ออกไปพบด้วย ก็อยากบอกดีนักว่าจะทนเพื่อของเล่นอย่างเขา

หึ! ได้ทนสมใจแล้วเป็นไงล่ะ

“หนึ่ง” เงียบไปครู่ใหญ่ คุณเอมอรถึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงของผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในเรื่องความรักมาก่อนคู่สนทนาที่วัยยังไม่ถึงสามสิบ “ความรักกับทิฐิอยู่ด้วยกันไม่ได้นะ ฉันกับคุณเทียนก็เคยเลิกกันเพราะทิฐิมาแล้ว ฉันเคยเข้าใจผิดว่าเขานอกใจ เพราะฉันเห็นรอยลิปสติกที่เปื้อนบนปกเสื้อของเขา ส่วนเขาก็โกรธที่ฉันไม่ไว้ใจเขา กว่าจะรู้ตัวว่าทำพลาด ปล่อยให้ทิฐิทำร้ายความรักของเรา เราสองคนก็หย่ากันไปแล้ว...ไม่เคยรู้ใช่ไหมว่าฉันกับพ่อของอิงเคยเลิกกันมาแล้วครั้งหนึ่ง”

คณิตพยักหน้าแทนคำตอบ

ใช่...เขาไม่เคยรู้ แต่เขาไม่เข้าใจมากกว่าว่าทำไมคุณเอมอรถึงมาเล่าเรื่องครอบครัวตัวเองให้เขาฟัง และแปลกใจเข้าไปอีก เมื่อคุณเอมอรบอกอีกว่า

“อย่าว่าแต่เธอไม่รู้เลย แม้แต่ลูกสี่คนของฉันก็ไม่มีใครรู้ เพราะพวกเขาเกิดหลังจากที่ฉันกับสามีจดทะเบียนกันอีกครั้ง” คุณเอมอรยังเล่าเรื่อยๆ หวังว่ามันจะช่วยให้เด็กหนุ่มคิดได้ กลับไปคืนดีกับลูกชายเธอเสียที “หลังจากหย่า แทนที่ฉันจะมีความสุข เป็นอิสระจากคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อความรักของฉัน แต่ไม่เลย ฉันกลับคิดถึงเขา นอนร้องไห้ทุกคืน เธอก็รู้ใช่ไหมหนึ่ง คนที่นอนด้วยกันทุกวัน กอดกันทุกคืน พอต้องแยกจากกัน ความรู้สึกมันเป็นยังไง ทรมานแทบตายใช่ไหม?”

คณิตเผลอพยักหน้ารับ

ใช่...ทุกวันนี้เขาทรมานมาก ความทรมานจากความคิดถึงไม่เคยลดลงเลย แต่เพราะทิฐิอยากเอาชนะ ทำให้เขาต้องทน สิ่งที่ได้จากความอดทน ไม่มีอะไรเลยนอกจากความทรมาน แห้งเหี่ยวลงทุกวัน เหมือนดอกไม้ขาดน้ำ 

“แต่ฉันก็ยังโชคดีที่ยังไม่สูญเสียคุณเทียนไป เพราะหลังจากหย่าได้หนึ่งเดือน ฉันก็รู้ตัวว่าท้อง” คุณเอมอรยิ้ม เมื่อนึกถึงวันแรกที่รู้ว่ามีหนึ่งชีวิตอยู่ในร่างกายเธอ “ลูกในท้องช่วยลดทิฐิในใจฉัน ฉันกลับไปขอโทษเขา เราปรับความเข้าใจกันและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้เรารักกันมากขึ้น วู่วามและใช้อารมณ์ใส่กันน้อยลง เพราะลูกทำให้เราสองคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก”

คุณเอมอรมองหน้าเด็กหนุ่มที่เธอเริ่มยอมรับในฐานะคนรักของลูกชาย ยอมเล่าเรื่องที่ไม่คิดจะเล่าให้ลูกทั้งสี่คนฟังก็เพราะอยากจะให้เรื่องของเธอช่วยลดทิฐิในใจของคณิตลง ไม่ใช่เพื่อใครหรอก เพื่อลูกชายที่กำลังเป็นทุกข์เพราะคนรักไม่ยอมคืนดีด้วย

 “เธอในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากฉันในวันนั้น ที่เอาแต่ปาทิฐิใส่คนรัก จนต้องแยกทางกัน แต่เธอจะไม่โชคดีเหมือนฉัน ที่มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องหัวใจให้กลับมาคืนดีกันนะหนึ่ง”

คนฟังถึงกับสะอึก หน่วงหนักในใจขึ้นมาทันที เหมือนมีใครเอาภูเขาทั้งลูกมาทับหัวใจเอาไว้

ใช่...เขาไม่สามารถให้กำเนิดโซ่ทองคล้องใจให้ใครได้ ก็เขาเป็นผู้ชาย ไม่มีมดลูก

“ฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เธอรู้สึกเจ็บปวดหรือรู้สึกผิด ที่พูดมาทั้งหมดแค่อยากให้เธอลดทิฐิในใจลงบ้าง เพราะต่อให้ลูกชายฉันรักหลงเธอมากขนาดไหน แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเกิดท้อและถอดใจขึ้นมา วันนั้นเธอจะเสียเขาไป” คุณเอมอรเอ่ยแนะนำอย่างคนที่มีประสบการณ์ “มือที่เธอมี มันควรถูกใช้เพื่อโอบกอดคนที่เธอรัก ไม่ใช่ใช้มันผลักไสเขาไปจากชีวิตของเธอ สุดท้ายจะเป็นตัวเธอที่เสียใจที่สุด”

คณิตก้มมองมือของตัวเอง มันสั่น เพราะทุกคำพูดของคุณเอมอรล้วนเป็นความจริงที่เขากลัว แม้จะถูกมองเป็นของเล่น แต่ถ้าเป็นไปได้...เขาก็ยังอยากเป็นของเล่นที่ถูกเล่นไปตลอดชีวิต 

 “ฉันอาจจะเคยเกลียดเธอ แต่นั่นเพราะฉันไม่คิดว่าลูกชายฉันจะรักผู้ชาย ฉันคิดว่าเขาแค่หลงเธอ ฉันเลยต้องพยายามดึงเขากลับมาเป็นลูกชายคนเดิมให้ได้ แต่ตอนนี้ ฉันมั่นใจแล้วว่า ลูกชายฉันรักเธอจริงๆ” คุณเอมอรเอื้อมไปจับมือคนที่ลูกชายเธอรัก บีบกระชับเป็นเชิงขอร้อง เธอกำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายมีความสุข “ฉันขอเธอนะ ให้อภัยลูกชายฉันได้ไหม เธอก็รักลูกชายฉันไม่ใช่เหรอ เธอทนเห็นเขาเจ็บปวดได้เหรอ ทนที่จะเห็นเขาถอดใจแล้วเดินไปจากชีวิตเธออย่างนั้นหรือ...วางทิฐิลงเถอะนะ ก่อนมันจะทำให้เธอสูญเสียความรักของลูกชายฉันไป”

ทิฐิในใจของคณิตค่อยๆ ทลายลงอย่างช้าๆ แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ค้านแย้งในใจ

“แต่เขาไม่ได้รักผม เขาเห็นผมเป็นของเล่น” 

“อะไรนะ?” คุณเอมอรถามเสียงหลง “ลูกชายฉันเห็นเธอเป็นของเล่นงั้นเหรอ”

อาการเหมือนคนจะร้องไห้กับตาแดงก่ำทำเอาคุณเอมอรปวดหัว เด็กสองคนเล่นอะไรกัน ฝ่ายนี้บอกว่าถูกลูกชายเธอมองเป็นของเล่น ฝ่ายลูกชายเธอก็กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะฝ่ายนี้ใจแข็งเกินไป ไม่ยอมคืนดีด้วยซะที ขนาดมานอนเฝ้าหน้าบ้านเป็นเดือนๆ ก็ไม่ยอมใจอ่อน แถมไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้าแม้แต่ครั้งเดียว โทรหาก็ไม่รับสาย เดือดร้อนเธอต้องยื่นมือเข้ามาช่วย แต่พอมาเจอคำพูดและสีหน้าเจ็บปวดของฝ่ายนี้แล้ว เธอควรเชื่อฝ่ายไหนดีล่ะ

ก็คงต้องเรียกลูกชายตัวดีมาอธิบายให้ฟัง

คุณเอมอรลุกขึ้นยืน มองตรงไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ ห่างออกไปไกลพอสมควร ไกลแบบที่ว่าไม่ได้ยินบทสนทนาของเธอกับคณิตได้

“อิง มานี่” เธอตะโกนเรียกลูกชาย

ครั้นได้ยินคนเป็นแม่เรียกลูกชายตัวเองออกมา คณิตก็รีบลุกจะเดินหนี แต่คุณเอมอรดึงมือไว้ซะก่อน

“ฉันไม่อนุญาตให้เธอทำให้ลูกชายฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับต่อไปแล้วนะ นั่งลง” คุณเอมอรสั่งเสียงเฉียบขาด บังคับเด็กหนุ่มให้นั่งลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกชายเธอเดินมาถึง “ว่าไงอิง น้องบอกว่าแกเห็นเขาเป็นของเล่น” คนเป็นแม่เปิดฉากถามลูกชายที่ยืนยิ้มแก้มจะฉีกอยู่แล้ว

“ผมขอคุยกับน้องสองคนนะครับ” อชิตะบอกมารดา พลางส่งสายตาร้องขอ เนื่องจากมารดาทำท่าเหมือนจะไม่ยอม เขาจึงเอ่ยเสริมขึ้นอีก “คุณแม่มีประชุมกับคู่ค้ารายใหม่ไม่ใช่หรือครับ ตอนนี้ก็ใกล้เวลาแล้ว”

คุณเอมอรไม่ยอมหลงกลลูกชายที่ใช้เรื่องงานมาไล่เธอ เพื่อจะไม่ต้องตอบคำถาม

“แกตอบแม่มาก่อน ว่ารักน้องจริงๆ หรือว่าเห็นน้องเป็นของเล่น อย่าโกหกแม่” คุณเอมอรชี้หน้าคาดโทษลูกชายตัวดี นี่ถ้าตอบว่าเห็นเป็นของเล่นนะ เธอจะรูดก้านมะยมแล้วตีก้นลูกชายเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยคอยดู

ตอนเธอกีดกันก็ต่อกรกับเธอ จนเธอต้องยอมถอย แต่พอเธอทำใจให้ยอมรับกับความรักรูปแบบนี้ได้ ก็กลับทำเหมือนเด็กเล่นขายของ เบื่อแล้วก็เลิก ทำแบบนี้เธอไม่ปลื้มหรอกนะ ทำลูกเขาจนสิ้นสภาพอย่างที่เธอเห็นในห้องดำถึงขนาดนั้น ต่อให้ไม่รักแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบสิ

พอได้ฟังคำตอบของลูกชาย คุณเอมอรก็พอใจ

“รักครับ” ลูกชายคุณเอมอรตอบเสียงหนักแน่น

“งั้นก็เคลียร์ที่เหลือเอาเองนะ แม่ไปละ” ว่าแล้วเธอก็เดินออกไป เพราะหมดหน้าที่ของเธอในวันนี้แล้ว ที่เหลือก็ให้ลูกชายตัวดีจัดการเอาเอง

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ให้โผล่หน้ามาให้ผมเห็น จนกว่าผมจะอนุญาต” คนตัวเล็กพูดเสียงไร้เยื่อใย ลืมคำพูดของคุณเอมอรที่บอกให้วางทิฐิลงไปเสียสนิท เพราะขัดใจที่อชิตะฝ่าฝืนบทลงโทษ

หลังจากรู้ความจริงเกี่ยวกับบทลงโทษที่แท้จริงของคุณนภา ที่ไม่ให้หลานชายคนโปรดเข้ามาภายในรั้วบ้านเรือนไทยก่อนหกโมงเย็นและต้องกลับออกไปก่อนสามทุ่มเป็นเวลาสองปี ไม่ใช่ห้ามเจอหน้าเขาตลอดสองปี เขาซึ่งได้รับอำนาจจากคุณนภาให้เขียนบทลงโทษบทใหม่ได้เอง เพราะเป็นผู้เสียหาย จึงลงโทษอชิตะให้สมกับคำโกหกของอีกฝ่ายซะเลย

คุณนภาบอกว่าเขาเป็นผู้เสียหาย ถูกหลานชายท่านกระทำ บทลงโทษทุกอย่างที่ท่านกำหนดขึ้นมาเป็นการลงโทษเบื้องต้น ให้หลานชายได้สำนึกว่าตัวเองทำไม่ถูกต้อง แต่เขาซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนบทลงโทษได้ตามความต้องการ อยากจะเพิ่มหรืออยากจะลดก็แล้วแต่ ให้อำนาจเขาเต็มที่ในการกำหนดบทลงโทษของจริง เขาก็เลยใช้อำนาจอย่างเต็มที่เริ่มตั้งแต่เย็นวันนั้นเลย ด้วยการสั่งไม่ให้อชิตะผ่านประตูรั้วเข้ามาในบริเวณบ้านเรือนไทยเป็นเวลาห้าปี โทษฐานที่หลอกเขาให้ใจหาย แถมเผลอปล่อยความในใจออกไปให้ขายขี้หน้าอีกด้วย

ระยะเวลาห้าปีนานโคตรๆ นานเหี้ยๆ เขารู้ดี และไม่ใช่อชิตะฝ่ายเดียวที่ต้องรับบทลงโทษนี้ เขาเองก็ได้รับผลจากบทลงโทษด้วยเช่นกัน แต่ละคืนที่ผ่านมานั้นผ่านไปอย่างยากลำบาก คิดถึงไออุ่นจากร่างกายที่กอดเขาไว้ตลอดค่ำคืน แต่เขาโกรธไง โกรธที่อชิตะไม่บอกความจริงทั้งหมด แถมยังแกล้งทำตัวให้น่าสงสาร ทำราวกับว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเขาจริงๆ ทั้งที่หกโมงเย็นก็ได้เจอกันแล้ว

บทลงโทษดูเหมือนโหด แต่ก็อย่าลืมว่า เขาเพิ่มบทลงโทษได้ แล้วก็ลดหรือยกเลิกบทลงโทษได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความพอใจของเขา เห็นไหมล่ะ เขาก็ไม่ได้ทรมานตัวเองไปตลอดห้าปีเสียหน่อย อย่างน้อยก็ขอเอาคืนให้สะใจเสียก่อน หลังจากที่โดนกระทำมานาน

“คิดถึง” เสียงทุ้มที่ทอดเสียงหวานผ่านริมฝีปากหนาดึงคณิตออกมาจากความภวังค์ความคิด และมันมีอิทธิพลต่อใจคณิตเสมอ
อดทนไว้หนึ่ง!

‘คิดถึง’ ก็แค่คำหลอกล่อ

อย่าได้หลงเชื่อเด็ดขาด!

“ถ้าไม่อยากให้ผมเพิ่มโทษอีกปีละก็ กลับไปซะ” เขาตีหน้าเรียบกลั้นใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“โธ่...หนึ่ง” คนถูกไล่ลากเสียงอ่อน “คุณไม่คิดถึงผมหรือไง”

คิดถึงสิ! คิดถึงทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่เขาต้องทำใจแข็งเข้าไว้ คำพูดของคุณเอมอรถูกก็จริง เขาควรวางทิฐิลง แต่พอเห็นปากที่ยิ้มกว้างระริกระรี้เหมือนไม่สำนึกความผิดของตัวเองแล้ว เขาก็เลยอยากให้อชิตะได้รับบทลงโทษให้สาสมเสียก่อน ถึงแม้เขาจะโดนด้วยก็ตาม

“หยุดอยู่ตรงนั้น ห้ามเข้าใกล้ผม!” คณิตชี้นิ้วสั่ง เมื่ออชิตะกำลังจะรุกเข้ามาหาตัวเขา ตั้งท่าจะกอดเขาให้จมไปในอกของเจ้าตัว ไม่ได้เด็ดขาด คืนยอม มีหวังถูกหลอกล่อเหมือนตอนในรถแน่ ก็เขามันแพ้ทางให้กับอ้อมกอดของอชิตะไปแล้วนี่น่า

คณิตเดินอ้อมมายืนหลังม้าไม้ ให้มันเป็นตัวช่วยกั้นไม่ให้อชิตะเข้าถึงตัวเขาได้ง่ายๆ

“กลับไปได้แล้ว” คณิตสั่งอีกครั้ง

“กลับไม่ได้ เพราะผมต้องเป็นคนขับรถพาคุณไปงานหมอนุที่จันท์” อชิตะบอก

พรุ่งนี้เป็นงานฉลองแต่งงานเล็กๆ ของหมอพิษณุกับน้ำฟ้า จัดขึ้นที่ทะเลสถานที่อันเป็นจุดเริ่มต้นความรักของคนทั้งคู่ หลังจากก่อนหน้านี้ได้จัดพิธีแต่งงานแบบไทยไปแล้วที่บ้านหมอพิษณุ งานแต่งวันนั้นคณิตก็ไปร่วมยินดีด้วย แต่ไม่ได้ไปพร้อมกับอชิตะ เขาไปพร้อมภาคีกับสีฟ้า ในงานอชิตะไม่ได้เข้าใกล้เขาเลย เพราะภาคีหนีบเขาไว้กับตัวตลอด ภาคีประกาศชัดเจนผ่านสีหน้าว่า หากอชิตะเข้ามาใกล้เขาละก็ มีเรื่องแน่ อชิตะจึงใช้แค่สายตามองเขาอยู่ห่างๆ

วันนี้เขาก็จะไปกับภาคีเหมือนเดิม เพื่อนของเขาจะมารับตอนสิบโมง

“ผมจะไปกับติน เดี๋ยวมันก็มารับแล้ว บอสกลับไปเถอะ แล้วก็ห้ามมาหาผมที่นี่อีกจนกว่าจะครบห้าปี” เขาสั่งกำชับถึงบทลงโทษ รู้สึกมีอำนาจเหนืออชิตะเป็นครั้งแรก

“ก็ได้”

ได้ยินคำพูดที่ยอมง่ายๆ ของอชิตะแล้ว คณิตก็อดแปลกใจไม่ได้ ทำไมถึงยอมง่ายนักนะ ความคิดถึงของอชิตะมีอยู่แค่นี้เองเหรอ พานนึกถึงคำพูดของคุณเอมอรขึ้นมาอีกจนได้

‘…ต่อให้ลูกชายฉันรักหลงเธอมากขนาดไหน แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเกิดท้อและถอดใจขึ้นมา วันนั้นเธอจะเสียเขาไป’
หรือว่าอชิตะกำลังท้อและพร้อมจะถอดใจจากของเล่นอย่างเขาแล้ว ของเล่นที่บังอาจเล่นตัวเกินคุณค่าของมันไปมาก
ไม่นะ! เขาไม่อยากเสียอชิตะไปตลอดชีวิต และเขาคงไม่โชคดีแบบคุณเอมอร เพราะเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่จะให้กำเนิดโซ่ทองคล้องใจอชิตะได้ หรือเขาควรเลิกผลักไสอชิตะเสียที แล้วใช้สองมือโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ให้นานที่สุด ตราบเท่าที่อชิตะยังต้องการของเขา...เขาไม่อยากกลับไปเจ็บปวดเหมือนวันนั้นที่ถูกทิ้ง กลับไปร้องไห้เหมือนคนบ้า

คณิตกำลังจะใจอ่อน ปากกำลังจะขยับเอ่ยความรู้สึกแท้จริงในใจออกมาอยู่แล้วเชียว หากคนที่ทำท่าจะเดินกลับไปทางเดิมจะไม่พุ่งเข้ามาจู่โจมตัวเขาอย่างรวดเร็วเสียก่อน

“เอ้ย!!” คณิตอุทานลั่น ก่อนโวยวายเสียงดังสนั่น “บอส! ปล่อยผมนะโว้ย...ปล่อยยยยย” คนตัวเล็กถูกช้อนตัวขึ้นสู่วงแขนแข็งแรง น้ำหนักตัวของคณิตไม่ได้สร้างความลำบากให้คนอุ้มแม้แต่น้อย อชิตะอุ้มคณิตได้สบายมาก เคยอุ้มมาหลายหนจนนับไม่ถ้วนในค่ำคืนที่ได้ก่ายกอดเป็นหนึ่งเดียวกัน

ขายาวก้าวไปข้างหน้า จุดหมายคือรถคันใหญ่ที่จอดหน้าเรือนไทยหลังงาม

“ชวนดีๆ แล้วไม่ยอม ผมก็ต้องวิธีนี้แหละหนึ่ง” อชิตะก้มใบหน้าลงบอกด้วยรอยยิ้มที่คณิตคุ้นเคย ยามเจ้าตัวจะเอาแต่ใจตัวเอง ยิ้มที่ประกาศว่าตนเป็นผู้ชนะ

“ผมจะฟ้องคุณย่าบอส” คณิตอ้างถึงหญิงชราเจ้าของบ้าน

“คุณย่าอนุญาตให้ปราบเด็กดื้อได้สองวัน” พูดอย่างเป็นต่อ เท้าก็ยังก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ยอมหยุดให้เสียเวลา แม้คนที่ถูกอุ้มพยายามจะดิ้นลงจากวงแขนก็ตาม เขาแข็งแรงกว่าเยอะ เลยรับมือได้สบายแบบที่คณิตไม่สามารถดิ้นหนีลงพื้นได้ อชิตะบอกตัวว่าเขาต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เขาต้องทำให้คณิตกลับมาเป็นเด็กดีของเขาอีกครั้งให้ได้ เพราะกว่าเขาจะอ้อนขอผู้เป็นย่าให้เห็นใจก็ใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ คุณย่ารักเขามากก็จริง แต่บทจะเข้มงวดกับหลานชายที่ท่านรัก ท่านก็เด็ดขาดแบบที่เขาไร้ข้อโต้แย้ง

สองวันที่ได้รับโอกาสมานั้น เขาต้องทำให้สำเร็จ เคลียร์ใจกับคณิตให้ได้ทุกอย่าง เพราะเขาอยากกลับไปนอนบนเตียงแล้วกอดคณิตไว้ทั้งคืนจนจะบ้าตายอยู่แล้ว คณิตใจแข็งกับเขามาก แถมเขียนบทลงโทษสุดโหดมาลงโทษเขาด้วย ห้าปีที่ไม่ใช่แค่ไม่ได้กอด แต่รวมถึงไม่ได้เห็นหน้าด้วย ให้ตายเถอะ เขารอให้ครบห้าปีไม่ได้แน่ แค่วันเดียวเขาก็แทบกระอัก ผ่านไปได้ห้าสิบวันก็แทบตายเลยทีเดียว

“คุณนภาไม่ใช่เจ้าของชีวิตผมนะ มีสิทธิ์อะไรมายกผมให้บอส” คณิตยังโวยวายต่อเนื่อง มองไปรอบๆ แล้วเห็นคนรับใช้ของบ้านเรือนไทยหลายคนชะโงกหน้าออกมาดูด้วยอาการอยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด

เรื่องทำเขาขายหน้าเป็นงานถนัดของอชิตะเลยหรือไงนะ

“ชู่...” อชิตะทำเสียงตักเตือน “คุณย่ารักคุณมากนะ เกิดท่านมาได้ยินเข้า ท่านจะเสียใจมาก ไม่พูดแบบนี้อีกแล้วนะครับ” บอกกล่าวเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก

คณิตรีบหุบปากทันที หน่วยตาเล็กกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก่อนผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกออกมา เมื่อไม่เห็นคุณนภาอยู่บริเวณนี้

ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคุณนภารักและเอ็นดูเขา ท่านใจดีกับเขามาก ตามใจเขาแม้กระทั่งเรื่องที่ไม่ยอมให้หลานชายเข้ามาในบริเวณบ้านของท่าน

คณิตถูกอุ้มไปจนใกล้ถึงรถหรูของอชิตะที่จอดอยู่หน้าเรือนไทย จึงเห็นว่าคุณนภาเดินลงมาจากเรือนหลังงาม ท่านเดินมาหยุดอยู่ข้างตัวรถ ทอดสายตามองเขาด้วยรอยยิ้มกระเซ้าเย้าแหย่สถานการณ์โดนอุ้มอย่างกับเป็นผู้หญิงตัวเล็กอ้อนแอ้นของเขา
ตลอดเวลาที่พักอยู่ที่บ้านเรือนไทย คุณนภาไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลานชายท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดูท่านจะยอมรับและสนับสนุนเสียมากกว่า

“ปล่อยผมลงบอส ผมอาย” คณิตบอกไปตามตรง อีกฝ่ายเลยยิ้มอย่างเป็นต่อ

“สัญญามาก่อนว่าจะไม่หนีไปไหน จะไปงานหมอนุพร้อมกับผม ไม่อย่างนั้นผมจะทำมากกว่าอุ้ม จะจูบคุณต่อหน้าทุกคน แล้วจะพาขึ้นห้องไปเดี๋ยวนี้แหละ เพราะวันนี้เป็นวันของผม คุณย่าอนุญาตให้ทำได้ทุกอย่างที่ผมอยากทำ แม้แต่เข้าไปอยู่ในตัวคุณ”
อชิตะขู่เกินจริงไปมากโข แต่ถ้าไม่ใช้ไม้นี้ มีหรือคนดื้อและใจแข็งอย่างคณิตจะยอม

“ก็ได้!...เอ๊ะบอส...จูบทำไม” ตอบเสียงแข็ง ก่อนจะอุทานเสียงเบาเพราะแทนที่จะถูกปล่อยตัว ริมฝีปากหนากลับฉกลงมาจูบกลางหน้าผากเขาแทน

“คิดถึงไง” อชิตะทำตาหวานบอก “อยากจะทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ” แล้วอชิตะก็วางคนร่างเล็กลง แต่ไม่วายที่จะคว้ามือนุ่มๆ มากุมไว้

“จับทำไม” มีเรื่องให้คณิตได้โวยวายอีกจนได้

“หรือจะให้จูบ” อชิตะถามด้วยรอยยิ้ม

“บอส!” คณิตอยากจะจิ้มตาพราวระยับเสียยิ่งกว่าอะไร ผิดแค่ว่าตอนนี้เดินมาถึงรถแล้ว เขาไม่อยากให้คุณนภาเห็นว่าเขาทำตัวไม่น่ารักใส่หลานชายของท่าน

“ย่าให้สองวันนะเจ้าอิง” คุณนภาบอกหลานชายที่ยิ้มหน้าบานต่างจากเมื่อเย็นวานที่พาท่านไปกินข้าวนอกบ้านลิบลับ

“ครับคุณย่า”

“เธอก็ด้วย ยอมใจอ่อนให้หลานชายฉันได้แล้ว” ท่านหันไปพูดกับอีกคน คุณนภาให้คณิตตัดสินโทษของหลานชายตัวเองก็จริง แต่ไม่คิดว่าคณิตจะใจแข็งกับหลานชายท่านถึงเพียงนี้ อชิตะขับรถมานอนเฝ้าหน้าประตูรั้วเป็นเดือนๆ ก็ไม่ยักจะใจอ่อนเสียที “ลงโทษหลานชายฉันนานเกินไป ฉันก็ไม่ปลื้มเท่าไรนะ”

โดนตำหนิกลายๆ คณิตก็ทำหน้าไม่ถูก เลยได้แต่ยิ้มจืดเจื่อนให้คุณนภาแทน ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำจากลำคอของคนที่กุมมือเขาอยู่มายั่วหัวใจยิกๆ
     
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รถคันใหญ่วิ่งเข้าสู่ตัวจังหวัดติดทะเล ภายในห้องโดยสารปราศจากบทสนทนาของคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน มีเพียงบทสนทนาแรกตอนที่รถวิ่งออกจากรั้วของบ้านเรือนไทยหลังงามเท่านั้น

‘ผมขอนั่งเงียบๆ นะครับบอส’

จากนั้นคณิตนั่งเงียบมาตลอดทาง ส่วนอชิตะก็ไม่อยากจะขัดคำขอแกมสั่งของคนตัวเล็ก รอให้ถึงคืนนี้ก่อน เขาจะเอาคืนให้สมกับที่คิดถึงมาก...มากที่สุด

“บอสจอดก่อนๆ” คณิตร้องบอก เมื่อเห็นชายวัยน่าจะสามสิบปลายๆ ยืนโบกรถอยู่ข้างทาง รถกระบะของชายคนนั้นน่าจะเสีย

“อาจจะเป็นโจรก็ได้นะหนึ่ง” อชิตะมองในแง่ร้ายไว้ก่อน แต่ก็ยอมลดความเร็วของรถลง ก่อนจอดสนิทเลยรถกระบะคันที่จอดอยู่
ข้างทางเกือบร้อยเมตร

“ไม่น่าจะใช่นะบอส เห็นผู้หญิงท้องโตคนนั้นไหม ผมว่าเธอน่าจะเจ็บท้องคลอดนะ” ตอนรถวิ่งผ่านชายเจ้าของรถกระบะ คณิตมองไปเห็นผู้หญิงท้องแก่นั่งอยู่ในรถ

“แน่ใจหรือหนึ่ง” อชิตะย้อนถาม เพราะเขามองไม่เห็นผู้หญิงท้องโตคนที่คณิตเอ่ยถึง

คณิตยังไม่ได้ทันได้ตอบคำถามอชิตะ ว่าเขาแน่ใจเพราะเห็นจริงๆ ชายเจ้าของรถกระบะวิ่งมาเคาะกระจกฝั่งผู้โดยสารเสียก่อน

คณิตก็รีบลดกระจกลง

“ช่วยผมหน่อยครับ...แฮ่ก...เมียผมเจ็บท้องจะคลอด” ชายคนนั้นพูดปนเสียงหอบ เพราะวิ่งมาไกลเกือบร้อยเมตร

“ครับได้ครับ ขึ้นมาเลยครับ บอสถอยรถเร็ว”

+
+
+ อ่านต่อด้านล่าง



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ภาพที่อชิตะนั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยหลังคลอด เพื่อรอพยาบาลนำตัวเด็กแรกเกิดมาส่งให้คู่สามีภรรยาในห้องพักเพราะเจ้าตัวอยากเห็นหน้าเด็กที่คลอดในรถของตนอีกครั้ง เนื่องจากทันทีที่รถมาจอดหน้าโรงพยาบาล เด็กน้อยก็โผล่หัวออกมาทันที จนพ่อของเด็กตั้งชื่อเล่นของลูกชายว่าน้องบีเอ็มตามยี่ห้อรถคันหรูของอชิตะ...ภาพนั้นยังติดอยู่ในความรู้สึกของคณิตมาจนถึงนาทีนี้

ทั้งยังภาพที่อชิตะยิ้มมีความสุขและหยอกล้อกับเด็กชายตัวน้อยหลังจากที่สองสามีภรรยาอนุญาตให้อุ้มลูกของพวกเขาได้ สีหน้าและแววตาของอชิตะมีความสุขมาก นั่นเพราะอชิตะรักเด็ก ครั้งหนึ่งเคยวางแผนไว้ว่าจะมีลูกสี่คน ลูกที่เป็นดังโซ่ทองคล้องใจ ชีวิตเล็กๆ ที่มาเติมเต็มชีวิตคนเป็นพ่อแม่ให้สมบูรณ์ ทำให้ครอบครัวเป็นครอบครัวอย่างแท้จริง แต่เขาให้โซ่ทองเส้นนั้นกับอชิตะไม่ได้ ไม่มีวันให้ได้

ท่อนแขนแข็งแรงสอดเข้ามาโอบรอบเอวจากด้านหลัง หลังจากประตูห้องพักของโรงแรมในตัวเมืองปิดลง ดึงคณิตออกมาจากห้วงความคิดที่คล้ายจะกัดกินความรู้สึกของตนไปทีละเล็กละน้อย เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนคิดมาก เรียกว่าคิดน้อยเกินไปด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาดูจะคิดมากไปเสียหมดทุกอย่าง...คิดจนอยากร้องไห้

“คิดถึง” เสียงทุ้มของอชิตะยังคงกระซิบถ้อยคำเดิม ถ้อยคำที่มาจากความรู้สึกโหยหาเจ้าของร่างกายนี้ “ไม่ทรมานผมอีกแล้วนะ คืนดีกันนะหนึ่ง” อชิตะทอดเสียงหวานขอ ปากอุ่นแตะลงข้างขมับของคนที่เขาแสนจะคิดถึง   

“บอสบอกว่าจะขึ้นมาอาบน้ำ ก็ไปสิครับ จะได้พาผมไปส่งที่รีสอร์ต” ที่พักของคณิตคือรีสอร์ตติดทะเลของชิตตะวัน สถานที่จัดงานฉลองแต่งงานของหมอพิษณุกับน้ำฟ้าในเย็นวันพรุ่งนี้ ส่วนห้องนี้คือห้องในโรงแรมริมแม่น้ำ ห้องพักของอชิตะในค่ำคืนนี้
คณิตไม่รู้ว่าทำไมอชิตะถึงเลือกจองห้องพักในตัวเมืองแทนที่จะเป็นรีสอร์ตที่ใช้จัดงาน หรือรีสอร์ตในละแวกนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องรู้ ปล่อยผ่านไปเถอะ แค่ที่มีอยู่ในหัวก็มากเกินพอแล้ว

“จะไม่ยอมใจอ่อนจริงหรือหนึ่ง ผมเป็นเด็กดีมาตลอดทางแล้วนะ” การเป็นเด็กดีที่อชิตะหมายถึง คือการไม่เซ้าซี้ชวนคุย ไม่ก่อกวนใจของคณิต ปล่อยให้เจ้าตัวได้ใช้ความคิด ที่เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นแต่ซีกหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดทาง ที่สำคัญเลยคืออดทนที่จะไม่ดึงคนตัวเล็กว่าเข้ามากอดให้หายคิดถึง ดูดกลืนความหอมหวานหลังกลีบปากสวย ข่มใจที่จะไม่ใช้ห้องโดยสารในรถของตนเป็นสถานที่ฝากฝังตัวตนร้อนระอุเข้าไปอยู่ในช่องทางรักของคณิต เพราะเป็นเด็กดีมาตลอดทาง ความรู้สึกยามนี้มันถึงได้แทบล้น เตียงนอนที่เห็นอยู่ในสายตาก็ล่อใจให้ฉุดร่างกายหอมหวานขึ้นไปพัวพันทำรักกันให้สมกับความคิดถึงล้นในอก

...อยากเข้าไปสัมผัสช่องทางคับแคบแต่อ่อนนุ่มที่เขาแสนคิดถึงแทบบ้าตายอยู่แล้ว

ให้ตายเถอะ สมองเขามีแต่เรื่องอย่างว่า นึกถึงแต่ช่องทางคับแคบที่ทำให้เขาสุขสม เพราะคณิตคนเดียวทำให้เขาเป็นมากถึงเพียงนี้

“ไปอาบน้ำ ออกมาแล้วค่อยคุยกัน” คณิตแกะมือใหญ่ออกจากเอวของตนสำเร็จ หลังบอกแกมสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ข่มอารมณ์สั่นไหวภายในไม่ให้หลุดออกมาให้คนฟังจับความรู้สึกได้ เพราะสมองมันมีเรื่องให้ต้องคิด หัวใจมันเลยเจ็บปวดไปกับความคิดของตัวเองเหลือเกิน

อชิตะหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วเมื่อคณิตเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีเปลือกไข่ ที่ออกแบบมาเพื่อใช้นอนมากกว่านั่ง ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกผ่านประตูระเบียงกรุกระจกใส เขาเหนื่อยเกินไปที่จะชื่นชมสีเขียวของต้นไม้ใบไม้และแม่น้ำสายยาว เพียงแค่ฝากสายตาเอาไว้เท่านั้น

สมองยังคิดจนล้า คิดวนอยู่แค่เรื่องเดียว คือเรื่องที่อชิตะรักเด็ก อยากมีลูก มันเป็นความจริงมานานแล้ว หากอชิตะเลือกใช้ชีวิตกับเขาที่เป็นผู้ชาย รอยยิ้มแบบเมื่อชั่วโมงก่อนตอนที่เจ้าตัวได้อุ้มลูกน้อยของสองสามีภรรยาคู่นั้นคงไม่มีเป็นแน่ อชิตะจะต้องใช้ชีวิตอย่างคนที่ขาดแก้วตาดวงใจ แก่ตายไปโดยไม่มีลูกมีหลาน เขาจะกลายเป็นคนที่ทำลายชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมด้วยพ่อแม่ลูกของอชิตะ

เฮ้อ...ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว เครียดจนปวดตาไปหมด ทำไมเขาจะต้องมานั่งคิดมากด้วย ในเมื่อเขาเป็นแค่ของเล่น พอเบื่อก็คงทิ้งเหมือนเศษขยะ แล้วหาชิ้นใหม่มาเล่นแทน หรือบางทีอชิตะอาจเจอผู้หญิงที่ถูกใจ ถึงขั้นแต่งงานสร้างครอบครัวเลยก็ได้ แล้วก็มีลูกสี่คนอย่างที่เจ้าตัวคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ลูกจะเป็นทั้งแก้วตาดวงใจและโซ่ทองคล้องใจของอชิตะและภรรยาคนสวย ลูกที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต ทำให้ครอบครัวสมบูรณ์...

ส่วนเขา...ก็กลายเป็นคนที่ถูกลืม หายไปจากความทรงจำของอชิตะไปตลอดกาล

เขาควรกลับมาคิดเรื่องชีวิตตัวเองหลังจากนี้ได้แล้ว เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเรื่องผิดเพี้ยนขึ้น เขาใช้ชีวิตเหมือนอยู่ไปวันๆ อยู่กับอะไรไม่รู้ที่จับต้องไม่ได้ อาศัยบ้านของคุณนภาอยู่ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด ลูกก็ไม่ใช่ หลานก็ไม่ใช่ ญาติก็ไม่ใช่เหมือนกัน ต่อให้คุณนภาเต็มใจให้เขาอยู่ก็เถอะ แต่เขาจะอยู่ไปจนถึงเมื่อไร อยู่ไปเพื่ออะไร มิหนำซ้ำงานการก็ไม่ได้ทำ ถึงเวลาที่เขาควรกล้าและก้าวขาออกมาจากกรงขังที่มองไม่เห็นซะที กรงที่ทั้งอชิตะ คุณเอมอร และคุณนภาขังเขาไว้ เลี้ยงดูเขาด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ให้เขาสำคัญตัวเองผิดไปเองทุกอย่าง

เพราะสุดท้าย...เขาก็มีค่าแค่เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่อชิตะกำลังสนุกที่ได้เล่น

ของเล่น...ที่รอเวลาหมดความสนุก

มันคงถึงเวลาแล้วที่เขาควรกลับมาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอีกครั้ง...ชีวิตที่ต่อไปมันคงแหว่งหายไปกว่าครึ่ง แต่ต่อให้เหลือไม่ถึงครึ่ง เขาก็เชื่อว่า ไม่ตายหรอก!

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ตื่นได้แล้วครับ”

สัมผัสหนักๆ หน้าผากและสุ้มเสียงทุ้มหวานปลุกคนบนโซฟาให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล เมื่อลืมตาคณิตก็พบว่ายอดไม้สีเขียวได้เปลี่ยนไปเป็นเงามืดสลัวเสียแล้ว บนท้องฟ้าสีเข้มเริ่มมีดวงดาวประดับเพิ่มความงดงามของยามค่ำ

คณิตควรจะโวยวายที่อชิตะเลือกปลุกเอาเวลาที่แสงตะวันหมดฟ้าไปแล้ว แทนที่จะปลุกตั้งแต่เจ้าตัวอาบน้ำเสร็จแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว แต่โวยวายแล้วได้อะไร เขาเองที่เผลอหลับ เปิดโอกาสให้อชิตะใช้มันรั้งตัวเขาไว้ตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า

“โกรธ?”

คณิตส่ายหน้า ไม่อยากพูดอะไร ลุกจากโซฟาแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้าที่ใส่กระเป๋ามาจากกรุงเทพฯถูกจัดแขวนไว้เรียบร้อย ที่หายไปก็มีแค่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงผ้าสีเรียบร้อยที่จะใส่ไปงานแต่งวันพรุ่งนี้ คิดว่าอชิตะคงจัดการส่งไปรีดแล้ว

คนตัวเล็กหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นออกมาจากตู้ ยังไม่ทันปิดตู้เสื้อผ้าก็ถูกสวมกอดจากด้านหลังเสียก่อน

“ขอโทษ แค่อยากให้อยู่ด้วยกัน” อชิตะกอดง้องอน เขาตั้งใจไม่ปลุกคณิต เพราะอยากรั้งไว้ให้อยู่ด้วยกันตลอดทั้งคืน ไม่อยากนอนบนเตียงคนเดียวอีกแล้ว

“ขอผมอาบน้ำก่อน ออกมาแล้วจะคุยด้วย” คณิตบอก สุ้มเสียงบอกว่าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้นในเวลานี้ อชิตะเลยไม่เซ้าซี้ ปล่อยร่างเล็กให้เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

แต่เอาเข้าจริง คณิตที่หายเข้าไปในห้องน้ำเกือบชั่วโมง เดินลงไปกินมื้อค่ำกันที่ร้านอาหารของโรงแรมราวครึ่งชั่วโมง จนกลับขึ้นมาบนห้องพักก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร สีหน้าและแววตาของคณิตที่เต็มไปด้วยความสับสนและพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ทำให้อชิตะไม่รบเร้าอะไรมากไปกว่ากอดนิดกอดหน่อยให้หายคิดถึง ซึ่งไม่ได้ช่วยให้หายคิดถึงได้เลย

“ผมเหนื่อย” คณิตพูดออกมาในที่สุดหลังจากนั่งเงียบมานาน เขาเหนื่อย ไม่ใช่ความเหนื่อยของร่างกาย หากเป็นความเหนื่อยจากความคิดเยอะแยะของตัวเอง เหนื่อยหัวใจที่ไหลไปกับความคิดย่ำแย่ในหัว

อชิตะพอจะรู้ความหมายของคำว่าเหนื่อยที่คณิตเอ่ยออกมา เขากับคณิตนั่งคนละมุมห้อง เมื่อคณิตเปิดปากพูด เขาจึงลุกเดินจากมุมของตัวเองเข้าไปหา ถูกฝ่ายนั้นมองด้วยสายตาที่ทำให้ก้าวขาต่อไม่ได้ ทั้งที่ไม่กี่ก้าวก็จะรุกถึงตัวได้แล้ว

“ผมพูดจริงนะบอส ผมเหนื่อย” คณิตหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก “ผมอยากกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบเดิมของผม ผมเหนื่อยที่ต้องมีชีวิตแบบนี้เต็มทน ผมไม่ชอบความสัมพันธ์ที่มันไม่ปกติ ผมไม่อยากมีอะไรกับบอสอีกแล้ว”

“คุณก็มีความสุขทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน” น้ำเสียงอชิตะเริ่มหงุดหงิด

“บอสจะเอาแค่เวลาที่ผมอยู่บนเตียงมาตัดสินชีวิตทั้งหมดของผมไม่ได้”

...และของบอสด้วย

“ผมกับบอสไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่เรื่องบนเตียง อย่างน้อยผมก็อยากแต่งงาน เพราะผม...”

“เราแต่งงานกันก็ได้ คุณอยากแต่ง ผมจัดให้ ยังไงคุณแม่ก็ยอมรับคุณแล้ว คุณย่าก็รักคุณ” อชิตะพูดสวนขึ้นมา ทว่าคณิตกลับส่ายหน้า ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

“...ผมอยากมีลูก”

...ความจริงคือบอสอยากมีลูก

“บอสมีลูกให้ผมได้ไหม?”

...เพราะผมมีลูกให้บอสไม่ได้ ทำให้ตายยังไงก็มีลูกให้บอสไม่ได้ จะกอดกันทั้งวันทั้งคืน ในท้องของผมก็ไม่มีวันจะมีชีวิตน้อยๆ อยู่ในนั้นได้

“มันจะได้ยังไงล่ะหนึ่ง” อชิตะตอบเสียงขุ่น หงุดหงิดที่คณิตอยากมีลูก นึกยังไงถึงอยากมีลูก หรือว่าเจ้าตัวเห็นความน่ารักของเด็กตัวแดงๆ เมื่อตอนกลางวัน เลยนึกอยากมีเหมือนสองสามีภรรยานั้นบ้าง ทั้งที่คณิตไม่ได้อุ้มหรือหยอกล้อกับเด็กเลย มีแต่เขาที่อุ้มเจ้าตัวเล็ก ชื่นชมในชีวิตไร้เดียงสาและยังไม่คุ้นเคยกับโลกภายนอกที่กว้างใหญ่กว่าโลกในท้องของมารดา

“ก็เพราะมันไม่ได้ไง บอสมีลูกให้ไม่ได้ ผมถึงขอให้บอสปล่อยผมไป ให้ผมกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ วันหนึ่งผมจะมีลูก แก่ตัวไปผมก็จะมีหลาน”

“นี่พูดจริงใช่ไหมหนึ่ง” อชิตะก้าวเท้าเข้าไปเกือบชิดตัวอดีตลูกน้องคนสนิท จ้องตาเรียวเล็กอย่างคาดคั้นและกดดัน “ตอบผมมาว่าคุณอยากแต่งงานกับผู้หญิง อยากพาเธอขึ้นเตียง อยากทำกับเธอเหมือนที่ผมทำกับคุณ อยากได้ยินเสียงครางของเธอมากกว่าเสียงของผม อยากกอดเธอมากกอดผม อยากตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นหน้าผม อยากให้ผมออกไปจากชีวิต อยากให้ผมไปกอดผู้ชายคนอื่น อยากให้เราสองคนเป็นคนไม่รู้จักกัน อยากมีลูกหลานตอนแก่ แต่ไม่อยากมีผมอยู่ในชีวิต ไม่อยากให้ผมร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับคุณ ไม่อยากแชร์ชีวิตร่วมกับผมอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่” คำตอบแค่นี้ของคณิตยังไม่เพียงพอสำหรับอชิตะ

“ไม่ใช่แค่นี้หนึ่ง คุณต้องพูดออกมา พูดทุกอย่างที่ผมพูดออกไปเมื่อกี้ พูดให้ผมเชื่อคุณให้ได้ แล้วผมจะปล่อยคุณไปอย่างที่คุณต้องการ วันนี้เลยก็ได้”

“ผม...” คณิตเมินหน้าหนีแรงกดดันจากสายตาที่จ้องมองอย่างคาดคั้น เขากลืนก้อนความจริงลงไปในอก สูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อทำตัวเองให้เข้มแข็งพอจะพูดคำโกหกมากมายออกมา ทุกคำพูดของอชิตะ เขาจำได้ทุกคำ ให้ทวนซ้ำอีกครั้งย่อมทำได้ ติดแค่ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน ทำอย่างไรไม่ให้ถูกจับได้ว่ากำลัง...โกหก

“ถ้าไม่พูด คุณก็ไปจากผมไม่ได้ อยู่เป็นของเล่นให้ผมเล่นไปตลอดชีวิต”

“ผมจะพูด” คณิตดึงสายตากลับมา เขาต้องพูด พูดมันออกมาด้วยอารมณ์ที่บังคับให้มั่นคงที่สุด ไม่ลืมที่จะจ้องตาอชิตะด้วย “ผมอยากมีชีวิตปกติ อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ อยากแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคนหนึ่ง ผู้หญิงที่จะเป็นแม่ของลูกผมได้ ผมอยากพาเธอขึ้นเตียง อยากทำกับเธอเหมือนที่บอสทำกับผม อยากได้ยินเสียงครางของเธอมากกว่าเสียงของบอส อยากกอดเธอมากกว่าบอส อยากตื่นขึ้นมาแล้วเจอหน้าเธอเป็น...คน...แรก”

ลมหายใจของคณิตสะดุดเพราะแต่ละคำปด มันกรีดหัวใจตัวเองทีละนิดๆ

“ผมอยากให้บอสออกไปจากชีวิต อยากให้บอสไปกอด...คนอื่น จะใครที่ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ผม อยากให้ผมกับบอสเป็นแค่คนสองคนที่ครั้งหนึ่งเคยรู้จักกัน...ผมอยากมีลูกกับคนที่ผมรัก อยากมีชีวิตอยู่จนทันได้เลี้ยงหลาน ทีนี้บอสปล่อยผมได้แล้วใช่ไหม”

“ยังไม่หมดหนึ่ง พูดออกมาให้หมด” ดวงตาสีเข้มจ้องเอาคำพูดที่เหลือ

คณิตสูดลมหายใจอีกรอบ วูบหนึ่งที่เขาเผลอหลบสายตาของอชิตะ ก่อนจะตั้งสติ ปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่กี่ประโยค ทุกอย่างก็จะจบลงด้วยดี ขอให้เขาอดทนอีกนิดเดียว ไม่กี่ลมหายใจหรอก...

“ผมไม่อยากให้บอสทำเหมือนเป็นเจ้าชีวิตผม อยากให้บอสออกไปจากชีวิตผมซะที ผมไม่เคยคิดอยากจะร่วมทุกข์หรือร่วมสุขกับบอส ไม่อยากแชร์ชีวิตร่วมกับบอสแม้แต่วันเดียว ผมต้องการอิสระ กลับไปมีชีวิตแบบที่ผมเคยมี...ผมไม่ใช่ของเล่นของบอส”
หมดแล้ว สิ่งที่อชิตะอยากได้ยิน คำพูดที่จะทำให้เขาเป็นอิสระ

เฮ้อ...จบกันซะที

คณิตเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้ใจจะขาดย่อยยับแล้วก็ตาม คนตัวใหญ่ที่ยืนตรงหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยคำพูดใดออกมา หน่วยตาสีเข้มยังจับจ้องใบหน้าของเขา แววตายากอ่านออก หรือว่ากำลังทำใจยอมรับความจริง แสดงว่าอชิตะเชื่อคำพูดของเขา เชื่อว่าเขาพูดจริง แอบดีใจอยู่เหมือนกันที่สามารถจ้องตาและพูดโกหกได้อย่างแนบเนียน แบบที่อชิตะจับไม่ได้

แต่คณิตก็พบว่าตัวเองคิดผิดไปถนัด เมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปเกือบนาที

“ก็ยังพูดเก่งเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่เนียน” อชิตะสรุปด้วยรอยยิ้มรู้ทัน ดวงตาสีเข้มคลายอารมณ์หงุดหงิดลงไปเยอะ เมื่อแน่ใจในความคิดของตน “คุณแค่พูดตามที่ผมสั่ง ไม่ได้พูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ความรู้สึกที่มันอยู่ในใจของคุณ”

คณิตอ้าปากค้าง อยากจะเถียงกลับแต่ก็เถียงไม่ออก อชิตะพูดถูก เขาพูดตามที่อชิตะสั่งจริงๆ ไม่ได้พูดออกมาจากความรู้สึกแท้จริง...ความรู้สึกที่ว่าเขาไม่ได้อยากมีใคร ไม่ได้อยากมีลูก เขาอยากถูกกอดจากผู้ชายคนนี้คนเดียว เขาไม่สามารถกอดผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนได้อีก นอกจากผู้ชายที่ยืนยิ้มเท่าทันสิ่งที่อยู่ในใจของเขา 

“วันนี้คุณยังไปไหนไม่ได้ เพราะผมยังไม่เชื่อว่าคุณพูดจากความรู้สึกจริงๆ คุณทำให้ผมเชื่อไม่ได้ ผมก็ปล่อยคุณไปไม่ได้”

“งั้นผมพูดใหม่ก็ได้” คณิตรีบเสนอ ด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะ

“ไม่ได้หนึ่ง” อชิตะส่ายหน้า “ผมให้โอกาสพูดวันละครั้ง ไว้คืนพรุ่งนี้ คุณค่อยพูดให้ผมฟังใหม่ พูดให้ผมเชื่อให้ได้ แต่ถ้ายังพูดให้ผมเชื่อไม่ได้ คุณก็ต้องพูดให้ผมฟังทุกคืนก่อนนอน พูดให้ผมเชื่อ ต่อให้ใช้ทั้งชีวิต คุณก็ต้องทำ”

“บอส!” คณิตแหวเสียงสูง ขัดใจสุดๆ “บอสจะมามั่วนิ่มตั้งกฎเจ้าเล่ห์กับผมไม่ได้นะ ผมไม่ยอม” โวยวายกับวิธีที่แสนจะเอาเปรียบเขาของอชิตะ ให้พูดแบบเมื่อกี้ทุกคืนนี่นะ ใครจะบ้าพูดได้ทุกคืน พูดไปก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อไหม ถ้าอชิตะเอาแต่พูดว่าไม่เชื่อๆ เพราะยังสนุกกับของเล่นอย่างเขา เขาก็ไม่ต้องไปไหนมันเลยสิ...

“คุณเป็นคนขอให้ผมปล่อยคุณเองนะหนึ่ง”

“ก็ใช่! แต่บอสจะมาขี้โกงใส่ผมไม่ได้”

“ในเมื่อคุณขอให้ผมปล่อยคุณไป คุณก็ต้องทำตามกฎของผมสิ คุณทำได้ คุณก็ไปได้ ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ต้องอยู่กับผมไปตลอดชีวิต เอาให้แก่ตายกันไปข้างหนึ่ง ไม่แน่นะหนึ่ง” อชิตะยิ้มกวนอารมณ์คนที่ออกอาการหน้าหงิกงอ ตาขุ่นขวาง “ผมอาจแก่ตายก่อนคุณก็ได้ วันที่ผมตาย คุณก็เป็นอิสระ อยากจะไปมีลูกมีหลานกับใครก็ได้ ตามสบาย”

“งั้นก็ขอให้ตายพรุ่งนี้เลยนะบอส” คณิตแช่งกลับอย่างเหลืออด อชิตะยิ้มรับ ไม่สะทกสะท้านต่อคำแช่งของคนที่ไม่สิ้นความพยายามจะไปจากเขา

“พรุ่งนี้คงยากหน่อย เพราะต้องไปงานแต่งเพื่อน ไม่ไปไม่ได้ เดี๋ยวหมอนุกับเมียจะโกรธเอา” ว่าแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับซ่อนความโล่งอกไว้ไม่ให้คณิตเห็น

เกือบไปแล้ว...เกือบชื่อลูกตาเรียวเล็กที่จ้องตาเขาตอนพูดประโยคยืดยาวพวกนั้นออกมา แต่เพราะลมหายใจที่สะดุดเป็นพักๆ ของคณิต ทำให้เขาไม่หลงกลตามเกมที่เจ้าตัวต้องการ

“วันมะรืนก็ได้” คณิตเถียงกลับอย่างคนอยากชนะบ้าง เถียงกันทีไรเขาไม่เคยชนะอชิตะได้เลย ความจริงคือไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็เอาชนะคนเจ้าเล่ห์อย่างอชิตะไม่ได้ ร่างเล็กกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างแรง เป็นวิธีระบายความโกรธอีกอย่างหนึ่ง
“ก็ไม่เป็นไร” สองไหล่หนายกยั่วอารมณ์คู่สนทนา “ยังไงผมก็ยังมีโอกาสอีกหนึ่งคืนที่จะได้ฟังเด็กดื้อพูดโกหก”

“ผมไม่ได้พูดโกหก บอสนั่นแหละไม่เชื่อผมเอง”

“บอกแล้วไงว่าพูดให้ผมเชื่อให้ได้” สบตาเรียวเล็กแล้วก็นึกขำ เมื่อกี้คณิตยังเล่นบทดราม่าไร้เยื่อใยกับเขาอยู่เลย พอโดนจับได้ว่าโกหก เจ้าตัวก็กลับมาเป็นคนปากแข็งที่พ่ายแพ้เขาไปเสียทุกทางคนเดิมจนได้

มันต้องมีอะไรสักอย่างสิน่า ที่ทำให้คณิตคิดอยากไปจากเขามากขนาดนี้ มากกว่าครั้งไหนที่เคยได้ยินคำว่า ‘ปล่อยผมไป’
อชิตะอยากรู้ แต่ไม่ใช่เวลานี้ เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าที่อยากได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัสแนบสนิท จมลึกเข้าไปในช่องทางคับแคบที่จะรองรับคุณความปรารถนาของเขาจนหมดสิ้น

“รู้ไหมหนึ่ง” อชิตะลากเสียงยาวถาม “ว่าผมจับโกหกคุณได้ตรงประโยคไหน” เอ่ยถามพลางทิ้งตัวนั่งข้างคนตัวเล็ก ด้วยความรวดเร็ว เขาก็ล็อกเอวบางเอาไว้ไม่ให้ลุกหนีไปไหน มือจับปลายคางอีกฝ่ายให้หันมาตอบคำถาม

“ไม่รู้!” คณิตกระแทกเสียงตอบ เขาพูดไปตั้งไม่รู้กี่ประโยค ใครมันจะเดาได้

“อยากรู้ไหม?”

“ไม่อยาก!”

“แต่ผมอยากบอก” อชิตะคล้ายยิ้มยั่วแหย่ลง แล้วเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มที่มีความหมาย รอยยิ้มซึ่งคนคุ้นเคยย่อมรู้ดี ชายหนุ่มเลื่อนสายตามายังกลีบปากสีหวาน ที่มันหวานทั้งสี หวานทั้งรสชาติของมัน ตักตวงดื่มกินไม่เคยเบื่อ

...หรือเป็นคณิตเองที่หอมหวานไปทั้งตัว

“ก็ตรงที่คุณพูดว่า...” อชิตะแกล้งกัดปากเล็กสองสามที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อ “...อยากได้ยินเสียงครางของเธอมากกว่าเสียงของผม...โกหกชัดๆ”

“ผมไม่ได้โกหก” คณิตเถียงทันควัน คนอะไรหน้าไม่อาย เลือกคำพูดนี้มาได้ไงวะ

“พิสูจน์ไหมหนึ่ง ว่าเสียงของผมกับเสียงผู้หญิงที่คุณเคยมีอะไรด้วย เสียงของใครเร้าใจคุณมากกว่ากัน” อชิตะยิ้มท้า เป็นคำท้าที่เขามีแต่ได้กับได้ ส่วนอีกฝ่ายก็ได้มีความสุขไปกับบทรักที่เขาบรรจงมอบให้

“ผมไม่พิสูจน์กับบอสแน่!” ตอบกลับเสียงขุ่นจัด คณิตอยากใช้นิ้วจิ้มลูกตาทั้งสองของอชิตะจริงเชียว เพราะมันเป็นประกายวาบหวามหัวใจเหลือเกิน แค่ถูกมองเลือดในกายเขาก็เร่าร้อนขึ้นมาดื้อๆ

“ถ้าคุณยอมพิสูจน์ วันนี้ผมจะยอมให้คุณพูดคำพูดพวกนั้นอีกครั้ง ไม่แน่ว่าคุณอาจทำได้ดีกว่าเดิม จนผมเชื่อว่าคุณพูดความจริงก็ได้นะ”

“ผมไม่ใช่เด็กสามขวบนะบอส!”

“แต่เป็นเด็กดื้อที่สมควรถูกลงโทษ”

“เอะอะก็หาเรื่องรังแกผม” มันน่าน้อยใจนัก แล้วหัวใจเนี่ย เป็นอะไรมากไหมวะ เต้นทำไม ดีใจทำไม ดีใจนักหรือที่จะถูกอชิตะกอดน่ะ

“น้อยใจเหรอ?” อชิตะถามคนหน้างอ ก่อนจะกระซิบเสียงเบาใกล้แก้มนวล เป็นวิธีหลอกล่อคนปากแข็งให้ยอมใจอ่อนโดยไม่รู้ตัว “กี่วันแล้วหนึ่ง ที่ผมไม่ได้เข้าไปอยู่ในตัวคุณ ผมอยากได้ยินเสียงหวานๆ ของคุณ อยากให้คุณได้ยินเสียงของผม ได้ไหมหนึ่ง...คิดถึงรู้ไหม คิดถึงมาก แทบขาดใจแล้ว” และแล้วแก้มนวลก็ขึ้นสีหวานระเรื่อ เป็นสัญญาณแห่งชัยชนะของอชิตะอีกเช่นเคย     

“บอสไม่เอานะ” คณิตยันไหล่หนาเอาไว้ ก่อนหันหน้าหนี เมื่ออีกฝ่ายหมายจะเอาปากของเขาไป 

“ไม่เอาอะไร...หื้อ...คนเก่ง...คิดถึงใจจะขาดแล้ว” เสียงกระซิบกระซาบกำลังดึงทึ้งแรงขัดขืนของคณิตออกไปทีละน้อย “อยากรู้ว่าตัวของคุณยังเป็นของผมอยู่ไหม ให้ผมพิสูจน์นะ...คนเก่ง”

“พรุ่งนี้...อื้อ...ต้องไปงานคุณหมอ...ไม่เอา...” คณิตพูดไปด้วย หนีปากร้อนที่รุกไล่ไปด้วย

“สองรอบนะครับคนเก่ง” เสียงพร่าด้วยแรงอารมณ์ยังคงตามมากระซิบขอ อชิตะเห็นแล้วว่าคนตัวเล็กกำลังละลายไปกับความต้องการของเขา

คณิตไม่เคยชนะเขาได้ มีแต่พ่ายแพ้ ไม่ว่าเขาจะเลือกใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ตาม สุดท้ายคณิตจะอ่อนระทวยใต้ร่างของเขาเสมอ ยอมเขาซะขนาดนี้ ต่อให้พูดขอให้ปล่อยเจ้าตัวไปอีกกี่พันกี่ล้านครั้ง เขาก็ไม่มีวันยอมปล่อยคณิตไปอีกแล้ว ไม่ยอมเชื่อเด็ดขาดว่าคนคนนี้ไม่รักเขาและอยากจะไปจากเขาแทบขาดใจ

“ห้ามทำ...เจ็บ” คณิตต่อรองเมื่อไม่เห็นทางรอด เขาไม่อยากไปร่วมงานของหมอพิษณุในสภาพไม่สมประกอบ

“ครับ ผมจะไม่ทำรุนแรง คุณจะไม่เจ็บ แต่จะมีความสุข...ตรงนี้หรือเตียงครับ”

คำถามที่แสดงความหน้าไม่อายของคนถาม ทำเอาคณิตค้อนตาคว่ำ อ้าปากจะด่าก็พลาดท่าทันที โดนลิ้นร้อนฉกเข้ามากวาดต้อนลิ้นเขาให้จนมุม สองมือเขาที่ดันไหล่อชิตะไว้ ถูกจับขึ้นไปคล้องต้นคอหนาแบบที่เขาเองก็แสนจะเต็มใจ

“อื้อ...ที่เตียง...” เจ้าของร่างที่ถูกกดลงไปนอนราบกับโซฟาร้องประท้วง เสื้อยืดถูกถอดออกพ้นจากศีรษะในเวลาเดียวกัน

“ครับ...ที่เตียง” คนร่างกำยำยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ขอตรงนี้ก่อนนะครับคนเก่ง” 

มีหรือคนเก่งของอชิตะจะไม่พ่ายแพ้ พอถูกหลอกล่อด้วยรสชาติความรักที่ถ่ายทอดผ่านร่างกายที่สัมผัสผสานใกล้เป็นหนึ่งเดียวกัน คณิตก็ลืมเลือนความคิดที่จะออกไปจากชีวิตของอชิตะเสียแล้ว 

.

.

.



จบตอนที่ 31

ใจหายแต่ก็ดีใจ จบได้ซะทีเนอะ
เหลืออีก 1 ตอนถ้วนๆๆๆๆ

สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
32

ด้านหน้าหาดมีโต๊ะและเก้าอี้ที่ถูกคลุมทับด้วยผ้าสีขาวสะอาดตา ตัวเก้าอี้ถูกผูกริบบิ้นสีฟ้าน้ำทะเลบนผ้าคลุมอีกที ปลายริบบิ้นสะบัดไหวไปตามแรงลมยามค่ำ ทั่วทั้งบริเวณประดับด้วยแสงไฟจากตะเกียงแก้วที่ตั้งรายล้อมรอบบริเวณสถานที่จัดงาน ชวนโรแมนติกด้วยบทเพลงหวานไพเราะ คัพเค้กถ้วยเล็กน่ารักถูกแจกจ่ายด้วยมือเจ้าของงานอย่างหมอพิษณุกับน้ำฟ้า

“นึกว่าดีกันแล้ว”

คำพูดลอยๆ ของเพื่อนร่วมโต๊ะดึงสายตาของคณิตให้ละจากคัพเค้กในมือขึ้นมามองหน้า 

“ก็นึกว่ามึงมองไม่เห็นกู” คณิตย้อนเสียงเรียบ ตอบกลับเพื่อนรักที่ตั้งหน้างอนเขาตั้งแต่เมื่อวาน ตอนที่โทรศัพท์ไปบอกว่าไม่ต้องมารับ เขาจะไปเอง ไม่ได้บอกว่าจะมากับอดีตนายจ้าง แต่เพื่อนรักก็รู้ทัน โวยวายใส่เขาเกือบสิบนาที ก่อนจะตัดสายเขาทิ้ง โทรกลับไปก็ไม่ยอมรับสาย พอวันนี้เขาเดินมานั่งโต๊ะด้วย มันก็ทำเมิน ทำมองไม่เห็นเขา ไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ ทักทายก็ไม่มี มีแต่สีฟ้าที่ชวนเขาคุย

ความจริงภาคีก็เคืองเขาตั้งแต่เรื่องที่ไม่ยอมไปอยู่บ้านเจ้าตัวแล้ว เพื่อนรักหาว่าเขาเจ็บแล้วไม่จำ กลับไปหาอชิตะเพื่อรอเวลาให้ถูกทิ้งซ้ำอีกหรือไง แถมหลอกให้มันเป็นห่วง เที่ยวตามหาเขาไปทั่วหลังจากติดต่อเขาไม่ได้ ภาคียังไม่รู้ว่าที่เขาหายไปสอง ที่จริงคือถูกอชิตะขังไว้ในห้องใต้ดิน เขาไม่ได้บอกมัน เพราะไม่รู้จะบอกไปทำไมให้เกิดปัญหาตามมา เท่าที่เป็นในตอนนี้ ภาคีก็ไม่ชอบหน้าอดีตเจ้านายจะแย่อยู่แล้ว

“ใครใช้ให้มึงไม่เห็นหัวกูก่อนวะ” ภาคีบ่นเรื่องเดิมที่เคยบ่นเพื่อนซ้ำๆ “บอกกูว่าจะไม่กลับไปหาบอส แต่ก็เต็มใจไปอยู่บ้านคุณนภา นั่งรอให้หลานเขามาง้อทุกวัน กูไปตามให้กลับมาอยู่ด้วยกัน มึงก็ไม่ยอม ทำหน้าเหมือนกูจะเอามีดมาปาดคอ การกระทำของมึงแม่งไม่ตรงกับปากที่บอกกูสักอย่าง”

ภาคีเจ็บใจที่รักเพื่อน ห่วงเพื่อน แต่เพื่อนดันไม่รักไม่ห่วงตัวเองเลย

“กูน่าจะถ่ายคลิปคืนที่มึงร้องไห้จะเป็นจะตายไว้ จะได้เอามาเปิดให้มึงดู ว่าสภาพหลังจากที่มึงถูกบอสทิ้ง มันเป็นยังไง เผื่อจะคิดได้ซะที” ภาคีอยากยื่นคำขาดเสียด้วยซ้ำ ถ้าคณิตเลือกอชิตะ ก็ต้องเลิกเป็นเพื่อนกับเขาไปซะ แต่สีฟ้าห้ามเอาไว้ พอเขาไม่เชื่อ สีฟ้าก็โกรธเขาอีก ง้อถึงห้าวัน กว่าจะหายโกรธ ทำเอาเขาเข็ดไปเลย พานเคืองคณิตไปด้วยที่เป็นสาเหตุให้สีฟ้างอนเขา 
คนถูกบ่นถอนหายใจอย่างเซ็งจัด ส่งสายบอกให้ตาสีฟ้าช่วยดึงอารมณ์ภาคีลงให้หน่อย ก่อนจะทำงานฉลองแต่งงานของหมอพิษณุกับน้ำฟ้าหมดสนุกไปเสียก่อน

สีฟ้าพยักหน้ารับ 

“ติน” สีฟ้าเรียกชื่อคนรัก มือนุ่มวางบนต้นขาอีกฝ่าย ภาคีรีบเอามือมาวางทับเป็นการบอกว่า เขาพยายามใจเย็นแล้ว “หนึ่งเขาเลือกแล้ว ก็เหมือนที่ลมเลือกตินไง”

“แต่ตินไม่เคยทำตัวเลวๆ แบบบอสนี่” ภาคีเผลอเถียงกลับ เจอคนรักเปลี่ยนโหมดมองค้อนแทบจะทันที เอาแล้วไง เรื่องของเพื่อนจะทำให้เขาทะเลาะกับสีฟ้าเป็นรอบที่สองหรือเปล่า คนรักเขายิ่งง้อยากอยู่ด้วย

“แน่ใจนะว่าไม่เคย สงสัยลืมว่าตัวเองเคยประจานลมต่อหน้าคนอื่นมาแล้ว” สีฟ้าหมายถึงเหตุการณ์ในผับที่ภาคีบังคับเขาทางอ้อมให้ยอมรับความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเจ้าตัว แม้ครั้งนั้นจะเป็นความร่วมมือของคนหลายคนก็ตาม หนึ่งในนั้นก็มีคณิตด้วย

“โธ่...ลมครับ นั่นมันก็ผ่านมานานมากแล้ว เลิกคิดได้แล้วครับ” ภาคีอุทธรณ์เสียงอ่อน 

“งั้นก็เหมือนเรื่องของพี่อิงกับหนึ่ง มันก็ผ่านไปแล้ว ตินก็รู้นี่ว่าทำไมตอนนั้นพี่อิงถึงทิ้งหนึ่ง พี่อิงจำเป็นต้องช่วยปกป้องหวาน เพราะหวานไม่มีใคร”

“แต่บอสทำไม่ถูกที่ไม่ยอมบอกเหตุผล บอกหนึ่งมันหน่อยไม่ได้หรือไง” คนพูดยังขัดใจอยู่มาก แต่จะบอกเพื่อนเขาหน่อยไม่ได้หรือไง บอกไปสิว่าไม่อยากให้ณัชชาท้องไม่มีพ่อ อยากให้เด็กเกิดมาแบบมีพ่อแม่พร้อมหน้า ไม่ใช่คิดจะทิ้งก็ทิ้ง ไม่บอกความจริงอะไรทั้งนั้น 

“ถูกหรือผิด มันก็ผ่านไปแล้ว ตินไม่มีสิทธิ์ไปห้ามหนึ่งรักใคร” สีฟ้าพูดอย่างใจเย็นกับคนรักหนุ่ม “ลองให้หนึ่งห้ามตินรักลมดูไหมล่ะ ตินจะยอมหรือเปล่า แต่ลมไม่ยอมนะ ถ้าใครจะมาห้ามลมรักติน เพราะลมรักตินม้ากมาก” สีฟ้าพูดจบ แล้วยิ้มหวานให้คนรัก ที่ยิ้มตอบกลับมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน

“ตินก็ไม่ยอมเหมือนกัน ถ้ามีใครห้ามไม่ให้ตินรักลม” ปากบอกเสียงหวานกับคนรัก แต่ไม่วายที่ภาคีจะหันมาเหวี่ยงสายตาขุ่นเคืองใจใส่เพื่อนรักที่เห็นว่าแอบเบ้ปากใส่ตน “แต่สำหรับมึง ยังไงกูก็ไม่อยากให้มึงคืนดีกับบอสง่ายๆ เดี๋ยวจะได้ใจ คิดว่ามึงเป็นของตาย คิดจะทำอะไรกับมึงก็ได้ มึงต้องเอาคืนบอสบ้าง ทำให้บอสรู้ว่ามึงไม่ใช่ของตายของเขา”

“มึงจะให้กูทำยังไง” คณิตถามเพื่อน

“เอาเป็นว่าคืนนี้มึงนอนที่นี่ ห้ามกลับไปกับบอส พรุ่งนี้ก็กลับกรุงเทพพร้อมกู ไปอยู่บ้านกูสักพัก จนกว่าบอสจะสำนึกความผิดของตัวเองได้” ภาคีเข้าใจผิดว่าอดีตเจ้านายของตัวเองกำลังทิ้งขวางคณิตอีกรอบ สังเกตจากที่ทั้งคู่เดินเข้ามางานด้วยกัน แต่ไม่พูดกันสักคำ อชิตะไม่มองมาที่โต๊ะของเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่เหมือนวันนั้นที่บ้านของหมอพิษณุที่มองตาละห้อย อยากเข้ามาคุยมาหาคณิตเหลือเกิน แต่ติดที่มีเขาคอยกันท่าเอาไว้

“ไม่เอา” คณิตส่ายหน้า

“ทำไม?”

คนถูกถามอ้ำอึ้งอยู่นาน ก่อนตอบเสียงเบาว่า

“กูไม่ยอมให้มึงห้ามกูรักบอสหรอกนะเว้ย” คณิตมองตาเพื่อนที่ดูจะไม่ชอบคำพูดเขาเท่าไร “กูอยากอยู่กับบอส เหมือนที่มึงอยากอยู่กับคุณลม...กูรักบอส” ปลายเสียงที่บอกนั้นหนักแน่น เขาอาจจะโกรธอชิตะที่ทำเขาเจ็บ โกรธที่อชิตะทำเหมือนเขาเป็นของเล่น แต่ไม่ว่ายังไงความรู้สึกของเขาก็ยังต้องการอชิตะอยู่ดี

“งั้นก็แล้วแต่มึงเลย” ภาคีว่าอย่างเซ็งๆ เพื่อนรักบอกว่ารักอชิตะซะเต็มปากเต็มคำ เขาก็คร้านจะยื้อให้เพื่อนกลับมารักตัวเองมากกว่ารักคนอื่น รอให้มันเจ็บกลับมาอีกครั้งก่อน ภาคีสัญญาเลยว่าจะไม่ปล่อยอชิตะไว้แน่ “แล้วนี่บอสทำอะไรมึง โกรธมึงเรื่องอะไร”

“ทะเลาะกันนิดหน่อย ไม่ต้องถาม ไม่ตอบ” คณิตดักทางเพื่อนไว้ก่อน ก็ไม่อยากบอกเรื่องงี่เง่าของตัวเองสักเท่าไร
ทะเลาะกันนิดหน่อยที่ว่า...เริ่มมาจากอชิตะไม่รักษาคำพูด ปากบอกว่าจะทำเรื่องอย่างว่ากับเขาสองรอบ
สองรอบบ้าอะไร! สองคูณสองน่ะสิไม่ว่า แล้วที่บอกจะไม่ทำรุนแรงแต่มันโคตรแรงเลย พอเขาด่าก็แก้ตัวว่าความคิดถึงมันรุนแรง ห้ามยาก

อชิตะบุกตะลุยเหมือนเห็นเขาเป็นบ่อน้ำกลางทะเลทราย ตักตวงดื่มกินจนแห้งขอด ตื่นเช้ามาเขาแทบลุกไม่ขึ้นเพราะห่างจากเรื่องบนเตียงมาพักใหญ่ แต่อชิตะยังมีหน้ามาขอต่ออีกรอบแบบไม่คิดจะถนอมร่างกายเขาเลย สภาพเขาตอนนั้นก็เมื่อยและระบมมาก ยิ่งคนมันง่วงจัดอยากนอนหลับสบายๆ ด้วย แต่กลับถูกก่อกวน เนื้อตัวโดนขย้ำอย่างสนุกมือ ถูกฟันคมแทะเล็มไปตามลำตัว เขาเลยหงุดหงิดที่อชิตะเอาแต่กอบโกยความสุขจากตัวเขามากเกินไป ปากก็เลยเผลอหลุดความคิดเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนออกไป

‘พอได้แล้วบอส! ทำให้ตายผมก็ไม่ท้อง’

‘ไม่แน่นะหนึ่ง ผมอาจจะทำให้คุณท้องก็ได้ คุณอยากมีลูกไม่ใช่เหรอ’ รู้ว่าอชิตะพูดแหย่ แต่อารมณ์ของเขาขึ้นขีดสูงแล้ว มันก็ลงยาก

‘คนที่อยากมีลูกคือบอสต่างหาก ไปสิ ไปหาคนที่บอสทำให้เขาท้องได้ แต่ไม่ใช่ผมแน่ เพราะผมมีลูกให้บอสไม่ได้’ ไม่รู้สิ เขาอาจทำตัวงี่เง่า โกรธง่ายเกินไป แต่สิ่งที่เขาพูด มันเป็นสิ่งที่เขาอยากพูดตั้งแต่เมื่อคืน พูดให้อชิตะทบทวนเกี่ยวกับความจริงเรื่องนี้ กลับไปถามตัวเองว่ายังอยากจะมีลูกเหมือนที่คิดไว้ในอดีตไหม หากเจ้าตัวอยากมีลูกก็ต้องปล่อยเขาไป เพราะเขามีลูกให้ใครไม่ได้ เขาไม่มีมดลูก ไม่มีตำแหน่งให้อสุจิตัวไหนมาพบกับไข่ที่รอการปฏิสนธิ

เขารักอชิตะ อยากแชร์ชีวิตทุกวันร่วมกับผู้ชายคนนี้ แต่อชิตะควรมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ มีภรรยาที่สามารถให้กำเนิดลูกชายลูกสาวให้อชิตะได้ ซึ่งคนคนนั้นไม่มีทางเป็นเขาได้เลย เพราะร่างกายของเขาให้แต่ความสุขอชิตะได้ แต่ไม่สามารถให้กำเนิดชีวิตใครได้ 

‘เป็นเมนส์เหรอ? ไหนดูหน่อยสิ’ อชิตะยังไม่เข้าใจความรู้สึกเขา ยังคงล้อเล่นด้วยการกระชากผ้าห่มออกจากตัวเขา แทรกกายเข้ามานั่งระหว่างขาทั้งสองขาของเขา ดึงยกสะโพกเขาขึ้นสูงให้ใกล้สายตาของตัวเองมากที่สุด

‘ผมไม่ใช่ผู้หญิง! ไม่มีเมนส์ให้บอสดูหรอก อยากดูก็ไปดูของผู้หญิงโน่น’ เท้าของเขาที่เตะป่ายปัดทำให้อชิตะที่ไม่ทันตั้งตัวก็ผงะหงายหลังทันที มันเป็นอะไรที่เขาไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขาตั้งใจจะดิ้นหนี กลับกลายเป็นว่าถีบหน้าอชิตะจังๆ

‘ขอโทษ’ เขาเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิดที่ถีบหน้าอชิตะจนเกือบตกจากเตียง

‘ไม่เป็นไร’ บอกมาแค่นี้ อชิตะก็ลุกเดินจากเตียงหายเข้าห้องน้ำไปเลย ออกมาจากห้องน้ำเจ้าตัวก็ไม่พูดอะไรกับเขา เขาก็ปากหนักเกินกว่าจะง้องอนด้วยคำขอโทษอีกรอบ จากความรู้สึกผิดในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้นมาจนได้

มันเป็นครั้งแรกเลยที่อชิตะโกรธเขาจริงจังขนาดนี้ โกรธแบบไม่ยอมมองหน้า ไม่พูดด้วย จากนั้นเรื่องก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ มา
ด้วยกัน แต่ไม่พูดกัน ไม่นั่งด้วยกัน

“พี่หนึ่งไปสนุกกันค่ะ”

เสียงเล็กๆ ของสาวน้อยวัยทีนชื่อดวงดาวที่เอ่ยชวนดึงคณิตออกมาจากภวังค์ความคิด ก่อนจะดึงตัวให้ลุกไปร่วมเต้นรำร่วมกับคู่อื่นๆ คู่เต้นรำของคณิตก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็อชิตะที่ถูกเด็กชายวัยทีนอีกคนหนึ่งที่ชื่อตามใจพามาส่งถึงมือนั่นแหละ

เป็นครั้งแรกที่ได้สบตากันตรงๆ หลังจากเหตุการณ์ ‘ถีบหน้าหงาย’ บนเตียงเกิดขึ้น คณิตอยากจะขอโทษอีกครั้งแต่ใจที่นึกโกรธก็ห้ามปากเอาไว้ ก็มันน่าไหมล่ะ อชิตะทำเขาเจ็บไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ลุกจากเตียงไม่ขึ้นก็เคยออกบ่อย พอถูกเขาทำให้เจ็บบ้าง กลับโกรธเขาจนไม่ยอมพูดด้วย อยากโกรธก็โกรธไปเลย ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด เขาไม่ยอมพูดก่อนแน่

“จะเต้นไหม?” เป็นอชิตะที่เอ่ยถาม คณิตอยากจะปฏิเสธ แต่โดนมือใหญ่เกี่ยวเอวไว้เสียก่อน “ผมโกรธคุณมากนะหนึ่ง อย่าทำแบบเมื่อเช้าอีก”

“ไม่รับปาก” คณิตตอบเสียงเรียบ ข่มใจไม่ให้สั่นกลัวไปกับหน่วยตาที่วาวโรจน์ขึ้นมาทันทีที่เขาพูดจบ

“หนึ่ง!” เสียงเรียกชื่อนั้นถูกกดให้ต่ำ บังคับไม่ให้อารมณ์ของตัวเองขึ้นสูง อชิตะพยายามระงับอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในอกด้วยบทเพลงหวานที่เปิดคลอให้คู่รักที่มาร่วมงานฉลองแต่งงานได้ขยับร่างกายไปตามจังหวะอันรื่นรมย์ เขาขยับพาคนตัวเล็กออกห่างจากคู่รักคู่อื่นทีละน้อยๆ

นานหลายนาทีแต่อารมณ์ที่เป็นอยู่ของอชิตะก็ยังไม่สงบลง ยิ่งคนตัวเล็กทำเหมือนไม่แคร์อารมณ์ความรู้สึกเขา ไม่คิดจะง้องอนให้หายโกรธจากเรื่องเมื่อเช้า เขาก็ยิ่งโมโห อยากฟาดก้นงอนๆ ให้สำนึกความผิดของตัวเองซะที แต่สงสารเพราะถ้าทำจริง คณิตต้องร้องลั่นแน่เพราะช่วงล่างของเจ้าตัวถูกใช้งานหนักมากเมื่อคืน คงร้าวระบมอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเขาต้องหาทางระงับอารมณ์ตัวเองด้วยวิธีอื่น นั่นคือการช่วงชิงเอากลีบปากที่คอยแต่จะปล่อยถ้อยคำดื้อด้านออกมาเอามาเป็นของตัวเอง

“บอส อย่า...อื้อออ”

หน่วยตาเรียวเลิกเบิกโพลงเมื่อรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ป้องกันอะไรไม่ทันเสียแล้ว เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ใครจะคิดว่า อชิตะจะกล้าจูบเขาต่อหน้าคนหมู่มาก ถึงทุกคนกำลังมีความสุขกับการเต้นรำกับคู่ของตัวเอง คงไม่สนใจคู่รักคู่อื่น แต่มันก็ต้องมีสายตาบางคู่บ้างแหละที่บังเอิญเห็นฉากจูบนี้

ลิ้นเล็กพยายามหลบหลีกแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ ผู้บุกรุกกลืนกินความหวานชื่นใจจนอารมณ์มันสงบลงบางส่วนแล้ว ถึงยอมปล่อยปากดื้อด้านแต่หวานอร่อยเป็นอิสระ

“อยากให้ผมมีคนอื่นจริงๆ ใช่ไหม” พออารมณ์เย็นลงบ้างแล้ว อชิตะก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ชวนให้เขาหงุดหงิดแต่เช้าจนถึงค่ำ “ทำไมชอบไล่ให้ผมไปมีคนอื่นหะหนึ่ง ผมไปจริงขึ้นมา คุณจะรู้สึก”

คณิตทำเสียงหมั่นไส้ประชด

“เฮอะ บอสก็เคยทำมานี่ ผมจะรู้สึกอีกสักครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ยังไงบอสก็ไม่ได้มาเจ็บกับผมซะหน่อย” ดวงตาเรียวเล็กหันมองไปทางอื่นอย่างแสนงอน รู้สึกว่าตอนเขาเป็นฝ่ายไล่อชิตะไปมีคนอื่น อารมณ์น้อยอกน้อยใจมันไม่ได้เท่ากับตอนที่อชิตะเป็นฝ่ายพูดออกมาเลย อชิตะบอกว่าจะไปหาคนอื่น แล้วเขาจะรู้สึก แน่นอนว่าเขาคงได้รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายอีกครั้ง

“เฮ้อ...”

เสียงถอนใจยาวของคนที่โอบรอบเอวเขาให้ขยับไปตามจังหวะของบทเพลงหวานดังขึ้น ดึงให้ต้องหันกลับมาสบตาด้วย น้อยครั้งนะที่อชิตะจะถอนหายใจใส่เขา

“ผมโกรธคุณ แทนที่คุณจะง้อ คุณกลับมางอนผมเพิ่ม” อชิตะสู้กับอารมณ์แสนงอนของคณิตไม่ได้เลย สรุปคือถ้าเขาโกรธคณิต เจ้าตัวก็จะโกรธเขาตอบ ไม่มีทางซะหรอกที่จะรีบง้อให้เขาหายโกรธ

“ก็ผมขอโทษบอสแล้วนะ บอสก็ไม่ควรจะโกรธไหมล่ะ” คณิตเถียงกลับ “ทีบอสยังทำผมเจ็บลุกจากเตียงไม่ขึ้นตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ผมทำบอสเจ็บแค่ครั้งเดียว ทำไมต้องโกรธจนไม่พูดกับผมล่ะ”

“เรื่องเจ็บตัว ผมไม่เจ็บมาถึงตอนนี้หรอกนะหนึ่ง” อชิตะพูดเสียงจริงจัง “แต่ผมเจ็บตรงหัวใจ คำพูดที่คุณไล่ผมไปหาคนอื่นต่างหากที่ทำผมเจ็บมาจนถึงตอนนี้”

แล้วบรรยากาศระหว่างคณิตกับอชิตะก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนแรกที่มาด้วยกันคือต่างคนต่างเงียบใส่กัน

เงียบจนถึง...

ตอนเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของโรงแรมริมแม่น้ำ

ตอนกลับกรุงเทพฯ

ตอนอชิตะขับรถมาส่งคณิตตรงหน้าประตูรั้วบ้านคุณนภา และขับกลับไปเลย ไม่มีคำร่ำลา

กระทั่งถึงคืนนี้ที่คณิตยังคงนอนพลิกตัวไปมา ตายังเปิดค้างในความมืดสลัวของยามดึกบนเตียงนอนในคอนโดฯของตนเอง ไม่ใช่เรือนไทยหลังงามของคุณนภา คณิตขออนุญาตคุณนภาย้ายกลับมาอยู่คอนโดฯ หลังกลับจากทะเลได้ห้าวัน เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ในเมื่อตลอดห้าวันนั้น หลานชายคุณนภาไม่ได้ขับรถมานอนเฝ้าประตูรั้วของบ้านเรือนไทยแม้แต่คืนเดียว

คุณนภาอนุญาตและไม่ได้ถามหรือทักท้วงอะไร แน่ล่ะ ในเมื่อหลานชายท่านเทเขาทิ้งอีกรอบแล้วนี่นา

“ไม่คิดถึงผมเลยหรือไงนะ”

คณิตบ่นด้วยคำถามแบบนี้มาทุกคืน คืนนี้เป็นคืนที่สิบสาม พรุ่งนี้ก็สิบสี่ ต่อไปก็สิบห้า และคงต้องนับไปอีกแบบไม่มีตอนจบ นับจนเบื่อที่จะนับว่ากี่คืนแล้วที่ถูกทิ้งให้นอนคนเดียว

...ของเล่นชิ้นนี้ถูกทิ้งจริงๆ แล้วสินะ

‘…แต่ผมเจ็บตรงหัวใจ คำพูดที่คุณไล่ผมไปหาคนอื่นต่างหากที่ทำผมเจ็บมาจนถึงตอนนี้’

คำพูดประโยคสุดท้ายจากปากของอชิตะหวนกลับมาในความนึกคิด ตอนนั้นเขาอยากจะเถียงกลับเหลือเกินว่าเขาเคยเจ็บมากกว่าอชิตะซะอีก เจ็บตั้งหลายครั้งหลายหน 

เฮ้อ...แต่ตอนที่ถูกทิ้งมาแล้วสิบสามคืน และมีดูท่าแล้วคงจะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกคืน ความอยากเถียงเอาชนะในวันนั้นไม่มีเหลือแล้ว ไอ้ที่แทนเข้ามาก็คงเป็นความรู้สึกผิดที่ขยับขยายเป็นวงกว้าง นอกจากรู้สึกผิดก็ยังมีความ ‘คิดถึง’ อีก

...ความคิดถึงที่เขาต้องแบกรับไว้คนเดียว

เขาคิดถึง ‘ความคิด’ ถึงของอชิตะ

อยากได้ยินคำว่าคิดถึงของอชิตะที่ดังซ้ำและวนเวียนอยู่ข้างหู เสียงกระซิบที่บอกว่าคิดถึงฟังแล้วอบอุ่นหัวใจ ยังอยากให้อชิตะคิดถึงของเล่นอย่างเขาอีกครั้ง ไม่อยากให้ความคิดถึงหายไปนานถึงสิบสามคืน

‘...วางทิฐิลงเถอะนะ ก่อนมันจะทำให้เธอสูญเสียความรักของลูกชายฉันไป’

หรือเขาควรเป็นฝ่ายกระซิบถ้อยคำว่า ‘คิดถึง’ ซะเอง จะได้ไม่ต้องมีคืนที่สิบสาม!
   

....................................................................


สองเท้าก้าวลงบนไดโค้งวนทีละขั้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนไปกับความรู้สึกเขินอายกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำ จำนวนขั้นบันไดเหลือน้อยเท่าไร เสียงหัวใจของคณิตก็คล้ายจะรัวแรงขึ้นทุกที

บนเตียงกว้างมีร่องรอยการนอนแต่ไร้ร่างเจ้าของห้อง สายตาของคณิตมองไปยังกระจกใสโดยอัตโนมัติ เจอร่างกำยำแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ ดวงตาของอีกฝ่ายจับจ้องมาที่เขาก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ นิ่งเฉย ไม่บอกความรู้สึกว่า ‘คิดถึง’ เลยสักนิด ทำราวกับว่าไม่มีเขาอยู่ในสายตา ทั้งที่จ้องตากันผ่านกระจกแท้ๆ

...อุตส่าห์มาง้อถึงที่ ไม่คิดจะสนใจ ทำท่าดีอกดีใจให้เขาชื่นใจหน่อยไม่ได้หรือไงนะ

คณิตนึกฉุนในใจ ยืนชั่งใจอยู่นานว่าจะหอบเอาความหงุดหงิดกลับคอนโดฯ หรือนั่งรอเวลาให้อชิตะอาบน้ำจนเสร็จ สุดท้ายคณิตก็เลือกอย่างหลัง หอบเอาความหงุดหงิดไปนั่งรอเวลาให้เจ้าของห้องอาบน้ำเสร็จอยู่บนโซฟาตัวเดียวที่มีในห้อง เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ อชิตะก็ยังไม่ลุกออกจากอ่างน้ำซะที นานเสียจนคณิตเปลี่ยนจากนั่งเป็นเลื้อยตัวลงนอนด้วยความง่วงเพราะเป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว พอขยับเปลี่ยนท่านอนให้สบายขึ้น สติก็เริ่มหมดไปทีละนิด จนเคลิ้มหลับไปในที่สุด

“อือ...บอส...”

มารู้ตัวอีกทีตอนถูกวางบนเตียงโดยเจ้าของห้อง กลิ่นผิวเนื้อหลังอาบน้ำให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น คณิตเผลอสูดลมหายใจเอาความสดชื่นเข้าปอดด้วยความคิดถึง ก็คนมันไม่ได้เจอมาตั้งสิบกว่าวัน แต่อชิตะก็ยังทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึกยินดีที่ได้เห็นหน้าเขา ไม่มองสบตาด้วยอีกต่างหาก

อชิตะขยับตัวเอื้อมกดสวิตช์ไฟที่ข้างหัวเตียง ก่อนทั้งห้องจะมืดมิดและเงียบสนิท

...เอาเลยไอ้หนึ่ง! พูดคำที่เตรียมมาจากคอนโดฯให้บอสฟังเลยสิวะ

คณิตสั่งตัวเองเสียงดังใจใน แต่ปากก็หนักเหมือนหิน ทั้งที่คิดและตัดสินใจมาอย่างดีแล้ว ว่ามาที่นี่ทำไม มาพูดคำคำใดให้เจ้าของห้องฟัง 

พูด

พูด!

พูด!!

พูดสิโว้ย!!! เกิดใจเสาะอะไรขึ้นมาตอนนี้เล่า มันใช่เวลาไหมที่จะมาปากหนักเอาตอนที่เอาตัวมาประเคนให้เขาถึงที่เนี่ย!

พูดก็พูดวะ

“บอส” เรียกแล้วก็กลั้นใจรอเจ้าของชื่อขานรับ จะได้เริ่มบทสนทนาต่อไป แต่อีกฝ่ายก็ยังเงียบ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ไม่มีแม้แต่เสียงขยับของร่างกาย

“.....”

“บอส” เรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น อีกฝ่ายก็ยังไม่ขานตอบ คณิตเลยลุกขึ้นนั่ง มีอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อยที่อชิตะเล่นตัวใส่เขาเกินไป 

...นี่เขามาง้อแล้วนะ

“บอส” คณิตกัดฟังข่มความหงุดหงิดแล้วเรียกอีกครั้ง หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่มีเสียงตอบรับมานะ เขาจะกลับ จะเลิกง้อ เลิกติดต่อ เลิกรักด้วย!

“.....” ก็ยังเงียบเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา

อชิตะเล่นตัวเกินไปแล้วนะ!

คณิตจ้องผ่านความมืดไปยังร่างกำยำที่สวมเพียงเสื้อคลุม อันที่จริงเขามองไม่เห็นอะไรหรอกในเมื่อห้องก็ปิดไฟ แสงดาวแสงเดือนก็ลอดเข้ามาไม่ถึง เหมือนนั่งอยู่ในกล่องที่มีเพียงสีดำกับความมืดมิด ราวกับเป็นคนตาบอด เมื่อใช้ตาไม่ได้ คณิตก็ใช้มือนี่แหละคลำหา

“บอส” ปากเรียกชื่อ ส่วนมือก็ยื่นคลำหาตัวเจ้าของชื่อไปด้วย เจอส่วนที่เป็นท่อนแขนก่อนพวก ตามด้วยแผ่นหลังคุ้นเคย อชิตะนอนหลังหันให้เขาอย่างนั้นเหรอ

งอนเกินไปแล้วนะ!

คณิตข่มใจไม่ให้ร้องโวยวายเสียงดังใส่คนร่วมเตียงที่เล่นตัวและงอนเกินเหตุ พยายามนึกถึงคำแนะนำของคุณเอมอรที่บอกให้เขาวางทิ้งทิฐิในใจลง เขาเต็มใจมาง้ออชิตะเอง ไม่มีใครบังคับ ฉะนั้นเขาก็ต้องทำสิ่งที่เป็นภารกิจสำคัญของชีวิตให้สำเร็จให้ได้

.

.

.
อ่านต่อด้านล่าง


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“บอส...”

เวลานี้ริมฝีปากของคณิตชิดติดกับส่วนที่เจ้าตัวคาดเดาผ่านความมืดแล้วว่าต้องเป็นใบหูของอชิตะแน่ๆ

“...ผมคิดถึงบอส ของเล่นของบอสคิดถะ...อื้อออ”

ยังไม่ทันเอ่ยคำสุดท้ายออกมา ปากแสนร้ายกาจของอชิตะก็กระชากคำที่เหลือทิ้ง แล้วแทนที่ด้วยสัมผัสที่บดเบียดเข้ามาอย่างรุนแรง คณิตเจ็บ ทว่าในความเจ็บกลับเต็มตื้นไปด้วยความหลงใหล ตอกย้ำว่าความคิดถึงของเขาได้รับการตอบสนองที่เท่าเทียมกัน ปากของเขาเหมือนถูกกัดกิน ลิ้นของเขาเหมือนถูกผูกมัดไม่ให้ดิ้นหลุดจากรสชาติของความคิดถึง

จูบที่รุนแรงด้วยความคิดถึงเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายก็ต้องจบลงในสภาพที่หัวใจเอิ่มเอมท่วมท้นกันทั้งสองฝ่าย

“คิดว่าจะให้โอกาสถึงแค่คืนนี้คืนเดียว ถ้ายังไม่มาง้อ ผมก็จะ...” เสียงทุ้มเอ่ยแทรกเสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยหนักจากรสจูบยาวนาน ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นให้คู่สนทนาขมวดคิ้วในความมืด

“บอสจะทำอะไร?” ไม่ใช่จะทิ้งเขานะ

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอดังนำมาก่อนคำตอบ

“จะไปเอาตัวคุณมาขังไว้บนเตียง ทำทุกอย่างทุกท่าที่จะไม่ให้คุณลุกจากเตียงไปไหนได้อีก...ดีไหมหนึ่ง”

จบด้วยคำถามที่ทำเอาคณิตค้อนตาเขียวแต่ใบหน้ากลับร้อนจัดในความมืดของห้องสีดำ เผลอจินตนาการไปตามคำพูดของอชิตะอย่างช่วยไม่ได้

“หรือจะเพิ่มโซ่อีกสักเส้น ล่ามคุณไว้จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง”

“โรคจิต!” ด่าเสียงสูงกลบเกลื่อนความร้อนบนใบหน้าที่ซ่อนในความมืดไร้แสง

“นึกว่าจะใจแข็งกว่านี้” อชิตะพูดหลังจากหัวเราะรับคำด่าของคนตัวเล็ก “คิดถึงผมมากแค่ไหน มากเท่าที่ผมคิดถึงคุณหรือเปล่าหนึ่ง หรือแค่ละเมอพูดมันออกมา” เสียงทุ้มทอดหวาน พลางคลำหาใบหน้าของคนตัวเล็ก จากนั้นก็ประคองมันไว้ในอุ้งมือ อชิตะจูบซับซ้ำๆ บนแก้มทั้งสองข้างและจบสัมผัสเบาบางที่กลีบปากหวานโดยใช้นิ้วเป็นตัวล็อกเป้าหมาย

“บอสไม่น่าถามนะ ผมมาหาบอสถึงนี่จะละเมอได้ไงเล่า” คณิตไม่ปฏิเสธ แต่ไม่วายประชดในประโยคหลัง “แต่บอสก็ทำเมินผม”

“อยากรู้ไงว่าคุณจะมาง้อผมแบบไหน” คณิตไม่มีวันรู้หรอกว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ที่จะข่มความยินดีเอาไว้ภายใต้ใบหน้าราบเรียบ นิ่งเฉยต่อการมาของอีกฝ่าย เพราะอยากรู้ว่าคนตัวเล็กจะใช้วิธีไหนง้อเขา ซึ่งวิธีที่คณิตใช้ก็ถูกใจเขาเหลือเกิน เพราะคำว่า ‘คิดถึง’ ทำเอาเขาไม่สามารถทนเก็บความโหยหาตลอดหลายคืนที่ผ่านมาไว้ได้อีกต่อไป

“หายโกรธผมแล้วนะ” คณิตถาม

“รับปากผมมาก่อนว่าจะเลิกไล่ผมไปหาคนอื่น แล้วจะหายโกรธทันที” อันที่จริง เขาหายโกรธตั้งแต่เห็นเรียวขาที่ซ่อนภายใต้กางเกงขายาวก้าวลงมาจากบันไดนั้นแล้ว การมาของคณิตไม่ใช่การบังคับ เป็นเจ้าตัวที่เต็มใจมาหาเขาเอง เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้วสำหรับการรอคอยที่ยาวนาน อย่างที่เขาบอกเจ้าตัวไปเมื่อกี้ เขาให้โอกาสคณิตถึงแค่คืนนี้ หากคณิตยังไม่มาหาเขา เป็นเขานี่แหละจะบุกไปถึงคอนโดฯ อุ้มเอาตัวมาขังไว้ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง

“บอส...” น้ำเสียงคณิตลังเล ไม่ได้ลังเลเรื่องที่อชิตะขอ หากเป็นเรื่องที่อยากจะพูด เขาดึงมือใหญ่จากใบหน้ามากุมไว้ “บอสเคยบอกผมว่า บอสจะมีลูกกับคุณหวานสี่คน ผู้ชายสองคน ผู้หญิงสองคน”

“คุณจะพูดถึงหวานทำไม ในเมื่อหวานก็มีครอบครัวของเขาแล้ว”

“เปล่าครับบอส ไม่เกี่ยวกับคุณหวาน แต่เกี่ยวกับบอส เกี่ยวกับผม” คณิตอธิบายสิ่งที่หน่วงอยู่ข้างใน “ตอนที่บอสอุ้มเด็กคนนั้น บอสดูมีความสุขมาก ผมก็เลยคิดว่า...”

“ผมควรหาผู้หญิงดีๆ สักคนมาเป็นแม่ของลูก” อชิตะพูดแทรกขึ้นก่อนอีกฝ่ายจะพูดจบ

คณิตพยักหน้าในความมืดที่ก็รู้ว่าอชิตะมองไม่เห็น

“บอสอยากมีลูก แต่ผมมีให้บอสไม่ได้” คณิตพูดออกมาช้าๆ อึดอัดที่หัวใจ มือของอชิตะที่เขากุมไว้ถูกเจ้าตัวดึงกลับ เขาตามคว้าไม่ทัน ทว่าเพียงไม่นานนักแสงขาวนวลจากแซนเดอร์เลียร์สีเงินก็ทำให้ห้องสว่างขึ้นทันที

“วันนั้นจะเป็นจะตายเพราะเรื่องที่ผมอุ้มน้องบีเอ็ม” ความสงสัยในวันนั้น มากระจ่างเอาตอนนี้

คนถูกถามพยักหน้ารับ ไม่กล้าสู้สายตาด้วย ได้แต่ฝากการมองเห็นไว้กับมือที่วางบนตัก...แต่อชิตะก็พูดเกินไปนะ เขาไม่ได้จะเป็นจะตายซะหน่อย ก็แค่อ่อนไหวไปตามความคิดที่ว่าตัวเขาเป็นผู้ชาย ท้องไม่ได้ มีลูกให้อชิตะไม่ได้ ทำให้อชิตะมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ไม่ได้เท่านั้นเอง

“คิดมากเกินไปแล้วนะครับคนเก่ง” อชิตะเชยคางเล็กให้เงยขึ้นมาสบตา ดวงตาสีอ่อนดูเศร้าสร้อย “ผมเคยคิดกับหวานว่าจะมีลูกด้วยกันก็จริง แต่ผมกับหวาน เราเลิกกันแล้ว ส่วนน้องบีเอ็ม ผมก็แค่ตื่นเต้น เพราะเพิ่งเคยเห็นเด็กออกมาจากท้องแม่ด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก”

“แต่บอสยิ้มมีความสุขตอนที่อุ้มน้อง” คณิตแย้งเสียงเบา

“เล่นกับเด็กก็ต้องยิ้มสิ คุณจะให้ผมทำหน้ายักษ์ใส่ลูกคนอื่นหรือไง”

“ไม่รู้ล่ะ ผมเห็นบอสยิ้ม บอสมีความสุข ผมก็ต้องคิดแหละว่าบอสอยากมีลูก ลูกที่จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตของบอส ซึ่งผมมีลูกให้บอสไม่ได้ ก็มีแต่ผู้หญิงที่จะคลอดลูกให้ได้บอส”

“คิดเยอะ เมื่อก่อนไม่เห็นเยอะแบบนี้เลย” อชิตะยิ้ม “หรือเพราะผมเข้าไปอยู่ในตัวคุณมากเกินไป คุณถึงได้เปลี่ยนเป็นคนคิดเยอะขึ้นมา” อชิตะลากเสียงเย้ากลั้วรอยขำ คนถูกเย้าตวัดสายตาค้อนมาอย่างไว

“เมื่อก่อนบอสก็ไม่หื่นขนาดนี้นะ” 

“มันเป็นเพราะคุณนะหนึ่ง เพราะคุณคนเดียวที่ทำให้ผมมีแต่ความคิดที่อยากเข้าไปในตัวคุณตลอดเวลา คุณทำให้ผมสำลักความสุขแทบตายทุกครั้งที่กระแทกตัวเข้าไปในช่องทางของคุณ” เสียงทุ้มแหบพร่าบอกอย่างเย้ายวน ก่อนยกร่างที่เล็กกว่าให้ลอยมาตกลงบนหน้าตักสัมผัสกับพลังความต้องการของเขา ชักชวนให้เรียวขาสองข้างของคณิตโอบรัดสะโพกของเขาไว้แนบแน่น

อชิตะจูบไล้บนใบหน้าฉ่ำสีแดง สูดกลิ่นหอมของผิวเนื้อนวลเนียนและขาวสะอาดอย่างหลงใหล

“ตอนนี้ผมก็ต้องการคุณ อยากเข้าไปในตัวคุณแทบใจจะขาดแล้วรู้ไหม อยากได้ยินเสียงครางแบบลืมอายของคุณ อยากให้คุณเรียกชื่อผมตลอดทั้งคืน อยากทำแรงๆ ให้สมกับความคิดถึงที่ผมมีให้คุณ ทำจนวันพรุ่งนี้คุณลุกจากเตียงไปไหนไม่ได้ แต่ผมก็อยากคุยกับคุณให้รู้เรื่องก่อน คุณจะได้เลิกคิดมาก หยุดคิดเยอะซะที”

เสียงหัวเราะในท้ายประโยคที่อชิตะเอ่ยออกมานั้น ช่วยละลายความวาบหวามเสียวซ่านลึกๆ ของคณิตให้จางลง ทว่าเขาก็ยังรู้สึกถึงใบหน้าที่ไม่ลดดีกรีความร้อนแทบไหม้ลงได้เลย ยิ่งหลับนอนด้วยกันมากเท่าไร อชิตะก็เหมือนจะมีถ้อยคำวาบหวามชวนให้เสียวซ่านในใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหนเยอะแยะ

“หนึ่ง...” อชิตจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเรียวเล็ก “คนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตผมได้ มีแค่คุณ คุณคนเดียวที่ทำให้ผมหลงรักจนหัวปักหัวปำ แม้แต่ความรักที่ผมเคยมีให้หวาน มันก็ไม่ถึงครึ่งที่ผมรู้สึกกับคุณ”

“แต่บอสบอกว่าผมเป็นของเล่น”...สถานะที่ทำให้เขาเจ็บปวดมาตลอด

“ปริมาณความคิดของคุณ มันสวนทางกับคุณภาพมากเลยนะหนึ่ง คิดเองไม่ได้หรือไงว่าอันไหนผมพูดจริง อันไหนพูดเล่น” ว่าขำๆ ขยี้กลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดู พอถูกว่าเจ้าตัวก็ทำหน้าหงิก มองตาขุ่น แสดงอาการฮึดฮัดขัดใจ จะปีนลงจากตักเขาให้ได้ ดีที่มือเขาเหนียวเกี่ยวเอวบางเอาไว้ไม่ให้ออกฤทธิ์ดิ้นหลุดไปไหนได้ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่คืนนั้นในสระว่ายน้ำ การกระทำทั้งหมดของผมยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ ว่าผมต้องการคุณมากขนาดไหน ทั้งรักทั้งหลงขนาดนี้ คุณยังเชื่อว่าผมเห็นคุณเป็นของเล่นอีกงั้นเหรอ”

“ก็บอสพูด” คณิตยังพยายามเถียง ทั้งที่เชื่อคำพูดของอชิตะไปแล้ว “ผมเจ็บทุกครั้งที่บอสบอกว่าผมเป็นของเล่น แถมบอสยังเอาแต่ทำเรื่องอย่างว่ากับผม ทำเหมือนผมเป็นเครื่องระบายความใคร่อย่างเดียวเลย ถนอมก็ไม่ถนอม เอาแต่ได้”

“คุณก็ได้เหมือนกันนะหนึ่ง หรือว่าจะปฏิเสธว่าคุณไม่ชอบตอนผมเข้าไปอยู่ในตัวคุณ ตอนที่ผมทำให้คุณเสร็จ ตอนที่เรากอดกัน จูบกัน และทำกันอีกรอบ” อชิตะย้อนถามกึ่งเย้านิดๆ

“ก็...ชอบ” ก็ไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไม ในเมื่อมันเป็นความจริง “ไม่เอาเรื่องนี้แล้วได้ไหมบอส พูดเรื่องอื่นเถอะ” คณิตขอเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากพูดเรื่องใต้สะดืออีกแล้ว เพราะไอ้อะไรที่อยู่ใต้สะดือที่เขานั่งทับอยู่นั้น มันดูจะแข็งแกร่งดุนดันขึ้นทุกที ทำเอาเขาสะท้านและอยากถูกเติมเต็มไปพร้อมกัน

“งั้นรีบพูด ผมจะได้รีบทำให้คุณมั่นใจว่า คุณไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นเมียของผม เมียที่จะขึ้นเตียงกับผมทุกคืนจากนี้ตลอดไป”

“ไม่หื่นสักประโยคได้ไหมบอส” คนตัวเล็กทำหน้ายุ่งแต่แอบอมยิ้มอาย

เฮ้อ...เมื่อก่อนเขาเคยเจ็บใจกับคำว่าเมียมาก เกลียดมากด้วย ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากให้อชิตะเรียกเขาว่าเมีย มาตอนนี้ยามที่ถูกเรียกว่าเมีย เขาเหมือนเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับอชิตะไปซะแล้ว

“บอสมั่นใจแล้วใช่ไหม ว่ามันคุ้มที่บอสจะเอาผมเป็นเมียไปตลอดชีวิตของบอส คุ้มแล้วเหรอที่บอสเลือกผมแทนที่จะเลือกลูกๆ ของบอส แก่ไปบอสจะไม่มีลูกมีหลานคอยดูแลนะ”

“แต่ผมมีคุณ เรามีกันและกัน แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือหนึ่ง” คนตัวเล็กพยักหน้าแทนคำตอบ “สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทิ้งผมไปไหน เราจะแก่ไปด้วยกัน อยู่ดูแลกันและกันไปตลอดชีวิต”

“สัญญา” คณิตพยักหน้ารัวเร็ว ไม่ลืมจะทวงคำสัญญาจากอีกฝ่าย “บอสก็สัญญาด้วยว่าจะไม่ทิ้งผม ห้ามเบื่อผม ถึงผมจะงี่เง่า คิดเยอะ คิดมากก็ตามนะ บอสต้องใจดีกับผมเหมือนเมื่อก่อน ไม่พูดให้ผมเสียใจ ห้ามโหดกับผมเหมือนที่ผ่านมาด้วย”

“ขอเยอะกว่าผมอีกนะหนึ่ง” อชิตะพูดกลั้วรอยยิ้มเอ็นดู

“ยังไม่หมดนะบอส”

“หือ? ยังมีอีก” อชิตะแกล้งทำตาโต

“ก็เหลืออีกอย่าง แต่มันเป็นคำถามที่ผมอยากให้บอสช่วยตอบ” ...ตอบให้เขามั่นใจ

“งั้นว่ามา”

“ถ้าบอสอยากมีลูกขึ้นมา บอสจะทำยังไง จะทิ้งผมไปไหม”

“คุณคิดมากกับเรื่องลูกเกินไปแล้วนะ”

“ก็ผมคิดแทนบอสไง ตอบมาสิบอส” คณิตเร่ง

“แล้วถ้าผมถามคุณด้วยคำถามเดียวกัน คุณมีคำตอบให้ผมไหม” อชิตะเห็นคนถูกถามนิ่งไปชั่วขณะ คิ้วเล็กขมวดใกล้เป็นปม มองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ ก่อนพูดออกมาว่า

“ก็ผมเป็นแบบนี้แล้ว ทำใครท้องไม่ได้หรอก แล้วผมก็ไม่อยากทำใครท้องด้วย เพราะผม...รักบอส”

“อืม ตอบดี” อชิตะยิ้มพอใจคำตอบของคนตัวเล็ก “คำตอบของผมก็เหมือนของคุณ ต่อให้ผมอยากมีลูก ผมก็ไม่นึกอยากจะไปทำผู้หญิงคนไหนท้อง นอกจากผู้ชายคนเดียวที่ผมจะนอนกอดไปตลอดชีวิต”

“แต่บอสอยากมีลูก” 

“ผมต้องพูดหรือทำอะไรคุณถึงจะหยุดคิดเรื่องนี้ซะที” อชิตะถามเสียงเข้มใส่คนคิดเยอะ ถ้ารู้ว่าเขากับคณิตจะลงเอยกันด้วยความรัก เขาจะไม่เล่าแผนมีลูกให้คณิตฟังเด็ดขาด กลายเป็นว่ามันฝังอยู่ในหัวของคณิตซะงั้น

“หยุดก็ได้” เจ้าตัวตอบเสียงสะบัด งอนที่โดนถามกึ่งตำหนิ แต่ก็ไม่วายพูดออกมาอีก สิ่งที่ยังค้างในความคิด “ชีวิตบอสจะไม่สมบูรณ์นะ บอสจะไม่ได้อุ้มเด็กตัวแดงๆ ไม่ได้เป็นพ่อคน กลับบ้านมาแล้วก็ไม่มีเด็กน่ารักๆ วิ่งเข้ามากอด ไม่ได้ส่งลูกไปโรงเรียน ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมวันพ่อ ไม่ได้สอนลูกทำการบ้าน ไม่ได้ไปงานรับปริญญาของลูก ไม่ได้เห็นวันแรกที่เขาไปทำงาน ไม่เห็นวัน
แต่งงานของเขา แล้วก็ไม่ได้เห็นวันที่เขาประสบความสำเร็จด้วย”

“คุณไปไกลแล้วหนึ่ง” อชิตะหลุดขำ ทั้งที่อุตส่าห์ทำเสียงเข้มดุคนตัวเล็กอยู่แท้ๆ “ผมอยากให้คุณเข้าใจซะใหม่ ว่าชีวิตผมไม่ต้องการลูกเด็กเล็กแดงอะไรทั้งนั้น นอกจากต้องการคุณ หัวใจของคุณ และตรงนี้ของคุณ”

คณิตกำลังซึ้งกับสายตาหวานล้ำของคนพูด แต่อารมณ์ก็ต้องมาสะดุดเพราะนิ้วแกร่งที่ขยับเย้าแหย่ช่องทางด้านหลังของเขา

“บอส! อย่าเล่นได้ไหม ผมกำลังจริงจังนะ” คนตัวเล็กโวยวายเสียงดังลั่นห้อง หยิกเล็บลงบนหลังมือหนาหลายสิบทีก่อนมันจะล่าถอยกลับไป

“ฟังให้ดีนะหนึ่ง เมื่อก่อนผมอาจเคยคิดว่าชีวิตที่สมบูรณ์คือการแต่งงาน มีลูก แต่ตอนนี้ที่ผมจ้องตาคุณ มีคุณไว้กอด ได้รักคุณ ผมคิดว่านี่แหละคือชีวิตที่สมบูรณ์แล้วสำหรับผม ผมไม่ต้องการอะไรอีก แค่ได้นอนข้างคุณทุกคืน มันก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว”

“แล้วถ้าบอสอยากมีลูกล่ะ”

“ถ้าผมไม่ตอบเรื่องนี้ คุณจะไม่ยอมหยุดใช่ไหม งั้นฟังอีกครั้งนะ ถ้าเมื่อไรที่คุณกับผมอยากมีลูกขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยววิธีมันก็มาเอง โดยที่ผมหรือคุณไม่ต้องไปมีอะไรกับผู้หญิงคนไหน แต่ก่อนอื่นคุณต้องหลุดออกมาจากความคิดที่ว่า คู่รักที่เป็นหญิงชายเท่านั้นที่มีลูกได้ คู่รักแบบคุณกับผม หรือแบบผู้หญิงกับผู้หญิงก็มีลูกได้ เพราะโลกเรามีทั้งธรรมชาติ ทั้งวิทยาศาสตร์”

“วิธีธรรมชาติก็ต้องแบบผู้หญิงผู้ชายอยู่ดีแหละบอส” คณิตยังหน้ายุ่งต่อเนื่อง ในเมื่อธรรมชาติในช่วงชีวิตของเขากับอชิตะ ไม่ได้สร้างพื้นที่ให้กำเนิดไว้ในร่างกายผู้ชายนี่นา

“ผมไม่เถียง แต่จะบอกคุณว่า วันหนึ่งๆ มีเด็กที่ถูกทิ้งหลังคลอดเพราะพ่อแม่ไม่พร้อมที่จะเลี้ยงดูเยอะมาก โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่ท้องในวัยเรียน คุณรู้ไหมว่าว่าประเทศไทยเราติดอันดับโลกเรื่องนี้เลยนะ”

“บอสจะมาสาระอะไรตอนนี้เล่า ผมรู้น่า โทรทัศน์หนังสือพิมพ์ก็ออกข่าวเยอะแยะ ไม่รู้ก็บ้าแล้ว” คณิตก็รู้ ไม่ใช่ไม่รู้เสียหน่อย ประเทศไทยน่ะติดอันดับโลกเรื่องวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควร เขาเคยอ่านข่าวเจอ เด็กผู้หญิงอายุแค่สิบสามปีก็ท้องแล้ว เขายังนึกเสียดายอนาคตของเด็กที่ท้องในวัยเรียนเลย แต่ที่สงสารยิ่งกว่าคือเด็กตัวเล็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งเพราะพ่อแม่ไร้ความรับผิดชอบ

“ผมพูดให้คุณรู้ไงว่าถ้าวันหนึ่งเราสองคนพร้อมจะดูแลเด็กสักคนหนึ่ง เราก็ยื่นเรื่องขอเป็นพ่อแม่เด็กพวกนั้นได้”   

“แต่เด็กไม่มีเลือดเนื้อของเรานะบอส เราจะรักเขาเหมือนลูกเราจริงๆ ได้เหรอ” คณิตนึกภาพไม่ออกว่าเขาจะรักเด็กที่ไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้ยังไง อาจจะรัก แต่จะรักด้วยความรู้สึกเหมือนเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดได้จริงเหรอ

“ไม่ลองไม่รู้” อชิตะก็หาคำตอบให้คณิตไม่ได้เหมือนกัน มันต้องให้ถึงวันนั้นเสียก่อน “แต่ถ้าเราสองคนได้ช่วยดูแลปกป้องชีวิตเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี มีชีวิตที่ดีได้ มีความคิดที่ดี มันก็น่าภูมิใจนะหนึ่ง”

“นั่นไง บอสอยากมีลูก ยอมรับมา...โอ๊ยย บอส ดีดทำไมเล่า” คณิตร้องด้วยความเจ็บเพราะถูกอชิตะดีดนิ้วเข้าที่หน้าผาก ไม่แรงมากแต่ก็เจ็บเอาการ

“ดีดให้สมองคุณหยุดคิดเรื่องผมอยากมีลูกซะทีไงหนึ่ง” บอกด้วยน้ำเสียงเซ็งจัดที่ต้องมารบกับความคิดของคณิต “เอาเป็นว่าถ้าอยากให้ผมยอมรับนักละก็ ผมยอมรับก็ได้ว่าอยากมีลูกมาก พอใจหรือยัง จะหยุดไหม” 

“หยุดก็ได้ แต่ผมมีลูกให้บอสไม่ได้นะ ทำให้ตายยังไงก็ไม่มี”

“ผมก็มีลูกให้คุณไม่ได้ ถือว่าเจ๊ากันนะ”

คนตัวเล็กพยักหน้ารับ มันก็จริงอย่างที่อชิตะว่า อชิตะก็มีลูกให้เขาไม่ได้เหมือนกัน     

“เลิกคิดเรื่องลูกได้แล้ว ผมไม่อยากให้คุณคิดถึงสิ่งที่เราสองคนมีไม่ได้ หรือคิดว่าไม่มีลูกแล้วชีวิตเราจะขาด เป็นครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์” เขายกมือลูบกลุ่มผมนุ่มด้วยความรู้สึกรักและเอาใจ “...เพราะมันสมบูรณ์ตั้งแต่ที่คุณกับผมอยากใช้ชีวิตด้วยกันแล้วนะ”
สัมผัสของอชิตะและน้ำเสียงอบอุ่นทำเอาคณิตยิ้มไปทั้งใจ อชิตะพูดถูกทุกอย่าง มีแต่เขานี่แหละที่เอาความกลัวในใจมาตั้งเป็นคำถาม เพื่อให้แน่ใจว่าอชิตะเลือกเขามากกว่าลูกที่เจ้าตัวอยากมี

“ผมขอโทษที่เอาแต่คาดคั้นบอสเรื่องลูก” คณิตสารภาพ “ความจริงคือผมแค่อยากมั่นใจว่าบอสเลือกผมแล้วจริงๆ ต่อให้ผมมีลูกให้บอสไม่ได้ บอสก็จะรักผมไปจนวันตาย เพราะผมก็จะรักบอสไปจนวันตายเหมือนกัน” 

“อยากให้ผมรักคุณไปจนวันตาย คุณก็ทำให้ผมรักคุณมากขึ้นทุกวันสิครับคนเก่ง” พอได้ฟังเหตุผลแท้จริงที่คนตัวเล็กสารภาพออกมา ก็ทำให้นึกเอ็นดูและอยากแกล้งไปพร้อมกัน “ทำได้ไหม ทำให้ผมรักคุณมากขึ้นทุกวัน”

“ต้องทำยังไง?” คิ้วเรียวขมวดยุ่ง จนด้วยวิธี ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อให้อชิตะรักเขามากขึ้นทุกวัน เพราะทุกวันนี้คณิตยังไม่รู้เลยว่าอชิตะรักเขาตรงไหน

“ทำให้ผมสำลักความสุขแทบตายในตัวคุณ”

โอเค! คณิตเข้าใจแล้ว มือเล็กถึงได้ฟาดไหล่หนาไปสองที ที่ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดรุนแรงให้คนโดนฟาดเลย นอกจากเสียงหัวเราะ และน้ำเสียงหื่นกระหายที่ตามมา

“ให้ผมกระแทกหนักๆ ในตัวคุณ”

“บอส!”

“ให้ผมทำแรงๆ กับคุณทุกคืน คืนละหลายๆ รอบ”

“เซ็กซ์จัด!”

“ทำได้ไหม” อชิตะถามด้วยรอยยิ้มเย้าแหย่ สมองมือหยอกล้อกับสะโพกเล็กที่ดิ้นปัดป่าย ยิ่งทำให้เขาตื่นตัวมากยิ่งขึ้น ความร้อนระอุแทบจะทะลุเนื้อผ้าออกมาเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ติดที่คำถามของคนเจ้าปัญหา กับใบหน้าที่เริ่มปรากฎความน้อยอกน้อยใจตามออกมา เขาก็คงมุดไปชิมความหวานในช่องทางรักแสนยั่วยวนนั้นไปแล้ว

“บอสรักผมเพราะเรื่องเซ็กซ์อย่างเดียวใช่ไหม เพราะผมรับความซาดิสม์ของบอสได้งั้นล่ะสิ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ ก็คณิตไม่เคยรู้เลย ว่าอชิตะรักเขาตรงไหน แต่ละครั้งที่บอกรักก็มาจากเรื่องเซ็กซ์ทั้งนั้น บอกรักเขาเพื่อจะได้มีเซ็กซ์กับเขา

“คุณอยากได้คำตอบไหน” อชิตถามกลับด้วยรอยยิ้ม “คำตอบแบบจริงจังหรือแบบเอาใจ”

“เอาแบบจริงสิครับบอส” คณิตนึกขวาง เล่นลิ้นอยู่ได้

ก่อนตอบอชิตะจูบปากคณิตเบาๆ แล้วจึงถามเสียงนุ่ม ตามด้วยรอยยิ้มหวาน

“จำจูบแรกของเราได้ไหม?”

คณิตพยักหน้าแทนคำตอบว่าจำได้ เขาจำได้ จำได้ไม่ลืมเชียวล่ะ จูบที่เขาเป็นฝ่ายเชิญชวน จูบเหมือนเมื่อกี้ที่มันเบาบางแต่ติดนาน แล้วทำให้ทุกอย่างดำเนินมาจนถึงวันนี้ นาทีนี้...

“ผมจูบคุณไปโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวก็ตอนที่ผมอยากจูบคุณอีกครั้ง ผมคงรักคุณแบบไม่รู้ตัวมากนานแล้วมั้ง เหมือนที่ผมจูบคุณไปแบบไม่รู้ตัว ส่วนเซ็กซ์ก็ทำให้ความรักของผมชัดเจนขึ้นทุกวัน” อชิตะจูบปากเล็กอีกครั้ง แล้วพูดต่อ “เซ็กซ์กับคุณ สำหรับผมมันคือความรักไปแล้ว เพราะทุกครั้งที่ผมมีอะไรกับคุณ ในหัวผมมีแต่คำว่า...ผมรักคุณ”

นิ้วแกร่งเริ่มขยับรุกเร้าช่องทางด้านหลังของร่างเล็กผ่านเนื้อผ้า เพื่อทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับคำพูดต่อมาของเจ้าของมัน

“ทุกครั้งที่ผมทำรุนแรงใส่คุณตรงนี้ มันหมายถึงผมรักคุณแทบบ้า ผมต้องการคุณ ผมต้องเป็นเจ้าของคุณให้ได้ ชีวิตคุณต้องเป็นของผม คุณจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากผมคนเดียว ผมจะตีตราความเป็นเจ้าของคุณด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี... และบอกคุณว่ามีแค่คุณคนเดียวที่เป็นความรักของผม คุณคนเดียวที่ทำให้บ้าคลั่งได้ขนาดนี้ คุณคนเดียวที่ทำให้ผมไม่ต้องการใครอีกแล้ว เพราะคุณเป็นทั้งความรักและเซ็กซ์ของผม”

“ผมต้องภูมิใจใช่ไหมเนี่ยที่เป็นทั้งเซ็กซ์ ทั้งความรักของบอส” คณิตถามแก้เขิน นิ้วที่พยายามจะแทรกเนื้อผ้าบางของกางเกงนอนขายาวของเขา มันทำให้เขาต้องกัดฟันข่มอารมณ์ไปหลายที

“คุณต้องรู้สึกโรแมนติกสิหนึ่ง” ว่าแล้วก็หัวเราะ ละมือจากสะโพกนิ่ม เพื่อจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่ขอบกางเกงผ้ายืดของคนที่นั่งบนตัก “...โรแมนติกบนตัวผมนะ”

“บอส!”

“ทำเลยไหมครับคนเก่ง ดูดผมเข้าไปในตัวคุณ ทำให้ผมสำลักความสุขแทบตายในตัวคุณ พาผมขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับคุณ” ดวงตาที่ฉ่ำด้วยปรารถนาเร่าร้อนร้ายดังเปลวเพลิงเผาไหม้ร่างเล็กให้หลอมละลาย “พิสูจน์ให้ผมเห็นหน่อยนะหนึ่ง ว่าเซ็กซ์กับผมคือความรักของคุณเหมือนกัน”

“เอาเจลมาสิ! ช้าอยู่ทำไมเล่า”

จะเขินอายบ่ายเบี่ยงให้เสียเวลามีความสุขและตะโกนบอกรักกันด้วยภาษากายทำไมเล่า อชิตะบอกว่าเซ็กซ์กับเขา มันคือความรัก เขาก็เช่นกัน...

จูบคืนนั้นคือจุดเริ่มต้น หัวใจที่อบอุ่นและมือที่โอบกอดตัวเขาไว้ก็เป็นดังผลผลิตของมัน

End

 :L2:
จบสักทีเนอะ ^_^
สนใจนิยาย รัก...ได้ไหม ในรูปเล่มหนังสือ
เข้าไปดูรายละเอียดที่เพจนิยายสีเหลืองอ่อนได้เลยนะคะ
ตอนพิเศษน่ารักน้า มีของ "ชิตแสง" ด้วย
ปิดจอง 5 กันยา 60 นี้นะคะ

สีเหลืองอ่อน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ นางฟ้าเชียงชุน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ขอยอมรับว่าเพิ่งเจอเรื่องนี้และอ่านรวดเดียวจบ

ขออนุญาตแนะนำนะคะ
สำหรับเราแกนเรื่องหลักสนุกมากกกกกก อาจจะเพราะคนเขียนแต่งได้ลื่นไหลขอชมเลย แต่ว่าเปิดเรื่องนี่คิดว่าเรื่องจะใสใส แต่พอได้กันจนถึงจบเรื่องนี่เหมือนเป็นนิยายอีกสไตล์นึงไปเลย55555

แต่อยากบอกว่า เราอยากให้คนเขียนแต่งสไตล์รักแบบจิตๆหลอนๆ รักแบบบ้าคลั่ง คุณแต่งได้เยี่ยมมาก เห็นได้ชัดจากตอน ห้องใต้ดินกับตอนที่แม่พระเอกมาตามแล้วพระเอกกอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย มันทำให้เราคิดว่าพระเอกจิตจนถึงขนาดควรไปพบหมอ 5555 ชอบบบบบ

และก็ตอนหลังๆอ่ะ เรื่องมันยืดไปหน่อย แต่เราโอเคนะอ่านได้เรื่อยๆอยู่ แม้ว่าจะชอบอ่านฉากโคมไฟ แต่ตอนหลังๆคำพูดติดเรทเยอะไปนิดเนอะ มันเลยไม่ค่อยวูบวาบ เอ๊ะ หรือเราเป็นคนเดียว

เป็นกำลังใจให้นะคะ จะไปตามอ่านเรื่องอื่นๆอีก

อันนี้ขอพื้นที่ด่าพี่อิง55555 เอาจริงๆนะ พี่อิงเป็นพระเอกที่เราไม่อยากให้สมหวังเลย นางทำให้หนึ่งเจ็บมากอ่ะ คือแบบ เห้ย เป็นคนรักกันนะทำไมไม่ปรึกษากัน อยากทิ้งก็ทิ้งกันง่ายๆแบบนี้อ่ะเหรอ คือสงสารหนึ่งมากกกกก ร้องไห้ตามเลย

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย

ตอนพิเศษ (ในเล่ม) “หัวใจของผมคือเขา”

ความรู้สึกของผมคงเหมือนลูกโป่งที่ไม่มีวันแตกได้เอง แต่เมื่อไรที่ถูกเข็มปลายแหลมแทงเข้ามา มันก็พร้อมระเบิดและปลดปล่อยทุกสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาจนหมดสิ้น


ผมว่า...นี่แหละคือความรู้สึกที่เป็นจุดเริ่มต้นความรักของผม


เมื่อเลือกได้...ผมก็ขอเลือกจะไม่พูดถึงเรื่องของผมกับอดีตคู่หมั้น ซึ่งเธอมีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นไปนานมากแล้ว แต่การกระทำของผมในครั้งนั้นเมื่อนานมาแล้ว เรียกว่าเลวร้ายพอสมควร ชนิดที่ไม่น่าให้อภัยเลย แต่หัวใจของผมนั้นเลวยิ่งกว่าการกระทำซะอีก


ผมยอมรับว่าวินาทีที่ได้แนบริมฝีปากตัวเองลงบนกลีบปากเย็นชืดแต่นุ่มเหลือเกินของคนที่ในยามนี้ได้ทอดกายเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับผม ลมหายใจเบาบางฟ้องว่าเจ้าตัวเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมความรักที่ผลาญพลังงานมากพอสมควร จนเข้าสู่ห้วงนิทราโดยง่ายเพียงเวลาไม่ถึงสองนาที หลังจากผมปลดปล่อยความปรารถนาทั้งหมดเข้าไปภายในช่องทางรักของเขา ยามนั้นผมรู้ทันทีว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ ผมต้องการคนคนนี้มากกว่าใครทั้งโลก เขาคือคนที่ผมจะทำทุกอย่างเพื่อได้ครอบครองทั้งตัวและหัวใจ


การได้จูบกับเขากลางสระว่ายน้ำในค่ำคืนนั้นเป็นเหมือนการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจแบบฉับพลัน ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีความเสี่ยง หรือเกิดอาการร่างกายต่อต้านแต่อย่างใด ทว่ามันกลับเปลี่ยนผมที่แสนดี กลายเป็นคนใจร้ายไปในพริบตาเดียว ซ้ำร้ายหัวใจดวงใหม่ของผมยังเต็มไปด้วยความปรารถนาแสนร้อนแรงและเอ่อล้นแบบไม่มีวันสิ้นสุด แม้กระทั่งตอนนี้ ทั้งที่กอดร่างกายขาวสะอาดไว้ในอก ผมก็ยังต้องการเขา ปรารถนาในตัวผู้ชายที่ชื่อ ‘หนึ่ง’ ไม่น้อยไปกว่าวันแรกที่ผมต้องการเขาเลย


‘หนึ่ง’ คือ ‘หนึ่งเดียว’ ในหัวใจผมนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ และตลอดไป ผมแน่ใจว่า...ผมจะรักหนึ่งไปจนวันสุดท้ายที่ผมมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้


ขณะที่ผมกอดหนึ่งที่นอนหลับสนิทจากกิจกรรมรักแสนหนักหน่วงนั้น ผมกำลังนึกย้อนไปถึงวันหนึ่งเมื่อวันวาน มันเป็นวันเสาร์ น่าจะเป็นเวลาสักประมาณบ่ายสองบ่ายสาม ผมกับหนึ่ง เราต่างนั่งทำงานของตัวเองอยู่ในห้องทำงานที่ตั้งอยู่ทางปีกขวาของตัวบ้านชั้นหนึ่ง ผมดูเอกสารสำคัญของบริษัท ส่วนหนึ่งนั่งเขียนแปลนบ้าน จู่ๆ หนึ่งก็หมุนเก้าอี้มาถามผมว่า...


‘จริงหรือเปล่าครับบอส ที่บอสเล็งผมมานานแล้ว ตั้งแต่วันที่ผมมา
สมัครงาน’


ผมเงยหน้าจากเอกสารขึ้นมาตอบหนึ่งไปตามความจริงว่า


‘เปล่า’


สาบานได้ว่าครั้งแรกที่เห็นผู้ชายตัวขาวจัดและติดจะผอมเอามากๆ สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้า ผูกเนกไทสีกรมท่า และตัดผมทรงหน้าม้าเด๋อๆ ผมไม่ได้มีความรู้สึก ‘รักแรกพบ’ หรือ ‘คิดไม่ซื่อ’ กับเจ้าตัวเลย


‘แต่ภัทรบอกว่า...พี่ปูเล่าว่าบอสเล็งผมตั้งแต่วันที่มาสมัครงาน เพราะแทนที่บอสจะเลือกไอ้ตินที่ได้เกียรตินิยม แต่บอสกลับเลือกผม ส่วนไอ้ตินได้งานก็เพราะเป็นเพื่อนผม’


ผมนึกย้อนกลับไปวันนั้นอีกครั้ง ก็จริงอย่างที่หนึ่งพูด ทั้งที่เดินเข้ามาในบริษัทพร้อมกันสองคน ผมกลับมองเห็นหนึ่งชัดกว่าอีกคน ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นตินใส่เสื้อสีอะไร ผูกเนกไทสีอะไร ทำผมทรงไหน แต่กับหนึ่งผมจำได้จนถึงวันนี้ จำได้ดีที่สุดคงเป็นรอยยิ้มแรกที่เจ้าตัวส่งมาให้ผม


ยิ้มของหนึ่งไม่ได้หวานเหมือนผู้หญิง แต่ให้ความรู้สึกเพลินตา


ยิ้มใสซื่อของเด็กจบใหม่ที่ทำให้ผมรู้สึกอยากให้ ‘โอกาส’ เขาได้ทำงานในบริษัทผม ผมไม่ได้ดูคุณสมบัติของหนึ่งเลยด้วยซ้ำ แค่เดินไปหาคุณปูและบอกเธอว่า ผมถูกใจเด็กเสื้อฟ้า รับคนนี้เลยละกัน แต่คุณปูบอกว่าตินน่าสนใจมากกว่า เพราะเรียนจบมาด้วยเกียรตินิยม ทว่าผมยังยืนยันความต้องการเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือให้รับตินเข้ามาทำงานด้วยเสียเลย


ผมก็เพิ่งรู้ในตอนที่หนึ่งตั้งคำถามกับผม ว่านอกจากวันนั้นผมจะให้โอกาสหนึ่งแล้ว ผมยังให้โอกาสตัวเองได้เป็นเจ้าของชีวิตหนึ่งด้วย


‘อาจจะใช่’ ผมตอบหนึ่งไปอย่างนั้น หนึ่งก็ทำหน้ายุ่ง ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่พอใจคำตอบ


‘ต้องไม่มี ‘อาจจะ’ สิบอส บอกมาเลยว่าวันนั้นคิดไม่ซื่อกับผมแล้วใช่ไหม’ หนึ่งยังคาดคั้นจะเอาให้ได้ดังใจ


‘เปล่า’ ผมยังปฏิเสธ ก็ผมไม่ได้คิดอะไรกับหนึ่งจริงๆ วันที่เจอหนึ่งครั้งแรกก็แค่ถูกใจรอยยิ้ม ชอบความสดใสของเด็กจบใหม่ แต่สาบานว่าไม่ได้คิดไม่ซื่อกับเจ้าตัวเลย เพราะตอนนั้นผมมีคนรักอยู่แล้ว


แต่หนึ่งยังไม่พอใจคำตอบ ถามเสียงกระเง้ากระงอดกลับมา หน้าตางอแงสุดๆ บอกเป็นนัยว่าให้ผมเอาใจเขาได้แล้วนะ


‘แล้วบอสรับผมเข้ามาทำงานทำไม เกรดผมต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนั้น สู้ไอ้ตินก็ไม่ได้’ ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าหนึ่งเรียนจบมาด้วยเกรดเฉลี่ยเท่าไร แต่งานของหนึ่งดีทุกชิ้นนะ ลูกค้าชมตลอด


‘ถามทำไม อยากรู้ทำไม’ ผมก็ยังไม่พูดเอาใจอย่างที่เจ้าตัวต้องการเพราะผมชอบเห็นเวลาหนึ่งน้อยใจแบบคนแสนงอน มันทำให้ผมอยากขย้ำให้เจ้าตัวจมลงไปในห้วงปรารถนาของผม


‘ก็อยากรู้ความจริงไงบอส!’ เจ้าตัวทำปากยื่นยาวด้วยความแสนงอนผสมกับอาการน้อยใจ นั่นทำให้ผมมองเห็นโอกาสอันโอชะอีกจนได้


‘มานี่สิหนึ่ง’ ผมเรียกเจ้าตัวด้วยเสียงที่ผิดไปจากเดิม เจ้าของชื่อมีสีหน้าลังเล ตาเรียวเล็กมองผมอย่างไม่ไว้ใจ กลีบปากบางขบเม้มเข้าหากันราวกับจะสั่งตัวเองว่า...ห้ามหลงเชื่อผมเด็ดขาด


ผมจึงต้องย้ำซ้ำ เร่งให้เจ้าตัวเดินมาให้ผมขย้ำโดยเร็ว


‘อยากรู้ก็มานี่ ผมจะบอกทุกอย่างที่คุณอยากรู้’


หนึ่งลังเลอยู่สักพักกว่าจะยอมลุกจากเก้าอี้เดินมาหาผมได้


‘อยากรู้มากหรือไงว่าผมรู้สึกยังไงตอนเห็นคุณครั้งแรก’ ผมถามกลับเมื่อเจ้าตัวเดินมาถึงโต๊ะทำงานของผม (ซึ่งก็อยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของหนึ่งไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำ) ผมหมุนเก้าอี้เข้าหาตัวหนึ่ง ดึงร่างเล็กให้มายืนระหว่างขาทั้งสองข้าง วางมือบนสะโพกเล็กแต่นุ่มและเต็มมือ หนึ่งใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขอบผ้ายืด ซึ่งเหมาะกับกิจกรรมที่ผมปรารถนาจะทำ


หนึ่งพยักหน้า ใบหน้ายังไม่หมดความระแวงและระวังภัยที่จะเกิดกับร่างกายของตัวเอง คงเห็นสายตาที่แสดงออกชัดเจนของผมและน้ำเสียงที่ลดระดับลงมาแทบจะเป็นกระซิบ


‘ทำให้ผมพอใจ’ พูดยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ ตาเรียวเล็กก็ตวัดมองแรงและด่าแบบไม่มีเสียง จ้องตาแข็งกับผมนานเกือบนาที เพราะตรงนี้ไม่ใช่ห้องนอนที่มิดชิด แต่เป็นห้องทำงานที่มีผนังห้องสองด้านที่กรุด้วยกระจกใส ผ้าม่านเนื้อหนาหนักถูกรูดเก็บอยู่ตรงมุมห้อง มีเพียงผ้าม่านสีครีมเนื้อบางปิดกั้นสายตาจากคนภายนอก


เมื่อผมไม่ยอมกลัวสายตาของเขา หนึ่งก็หมดหนทางที่จะเอาชนะความต้องการของผม และพ่ายแพ้ต่อความอยากรู้ของตัวเอง


ข้อดีของความสัมพันธ์ที่ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นเจ้านายของหนึ่ง ก็คือการที่หนึ่งยังรู้สึกว่าผมเป็นเจ้านายของเขา (แม้ตอนนี้หนึ่งจะทำงานในบริษัทของตินแล้วก็ตาม) หนึ่งจะมีความเกรงกลัวและเกรงใจผมอยู่ในจิตสำนึกของเขาตลอดเวลา ต่อให้หนึ่งดื้อหรือแสดงท่าทีต่อต้านความต้องการของผมอย่างสุดชีวิต สุดท้ายเขาก็จะยอมแพ้ให้กับความต้องการของผม เหมือนลูกน้องที่ยอมทำตามคำสั่งเจ้านาย


ทุกวันนี้ผมเลยไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจ‘เมีย’ หรืออยู่สมาคมคนกลัวเมีย เหมือนอย่างที่คนรอบตัวผมเป็น อย่างเช่นหมอนุกับตินเป็นต้น



‘บอสก็เอาแต่รังแกผมได้ทุกเวลา หื่นไม่เว้นสถานที่จริงๆ’ เจ้าตัวบ่นอุบอิบ ขณะที่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าผม โดยที่ผมไม่ต้องพูดความต้องการออกมา เพียงแค่ดึงมือเล็กมาวางไว้บนจุดกลางตัว ซึ่งเป็นอันรู้ดีว่าผมต้องการให้เขาทำอะไรเป็นอันดับแรก


‘คุณอยากรู้เองนะหนึ่ง โทษผมไม่ได้ ไม่อยากได้คำตอบ ก็ไม่ต้องทำ’ ...เพราะผมจะทำเอง ประโยคนี้ผมพูดต่อในใจ ไม่ได้เอ่ยออกมาให้คนที่กำลังรูดซิปกางเกงผมลงและเงยหน้าที่ซับสีเลือดขึ้นมามองค้อนผมได้ยิน 


‘ผมไม่ได้โทษบอส ผมโทษความหื่นของบอสต่างหาก!’ ท้ายประโยคเจ้าตัวกระแทกเสียงหนักใส่ผม ซึ่งไม่ได้น่ากลัว ซ้ำผมยังรู้สึกว่ามันเป็นมุมที่แสนน่ารักของผู้ชายคนนี้


ความน่ารักของหนึ่งคือฝีปากเก่งกล้า แต่ไม่เคยรอดน้ำมือผมไปได้สักตอน ดื้อให้ตายยังไง สุดท้ายความดื้อจะละลายในอ้อมกอดผมเสมอ...



‘เพราะคุณหนึ่ง’

.

.

.

.
ยัง! ยังไม่จบแค่นี้ ยังมีเหลืออีกเยอะกับ “ความอิง”
จะต้องร้องว่า ความอิงนี้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆๆๆๆ
...อ่านต่อในเล่มนะคะ ^_^
สนใจตามรายละเอียดการสั่งจองได้ที่ เพจนิยายสีเหลืองอ่อน ตามลิ้งนี้นะคะ

https://www.facebook.com/byaeaw/

แล้วจะเอาตอนพิเศษ “แสงตะวันของผม” เรื่องราวของ ชิต-แสง มาสปอยให้อยากได้นะคะ

สีเหลืองอ่อน
ปล. คนโพสแบบนี้จะเข้าข่ายผิดกฎการซื้อขายไหม ไม่ผิดใช่ไหม
แต่คนเขียนของ ID ซื้อขายไปแล้ว แต่ต้องรออนุมัติตามรอบก่อน
ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้รับอนุมัติเลข ID ซื้อขายเลย คงไม่เป็นไรใช่ไหม

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
อืม จะว่าไม่ดี มันก็ไม่เชิงนะครับ ในมุมมองผม เราร่ายกันทีละจุดดีกว่า

จุดแรก เรื่องแพทเทิร์นของงานเขียนครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราหยิบหนังสือขึ้นมาหนึ่งเล่ม คนอ่านส่วนมากจะอ่านหรือไม่ ก่อนที่จะดูเนื้อเรื่องหรือพล็อต คนส่วนมากจะดูก่อนว่าสามารถเขียนได้ ‘สบายตา’ หรือเปล่า มีการเว้นวรรคถูกไหม มีการขึ้นหัวข้อและขึ้นบรรทัดใหม่ ย่อหน้าใหม่ จัดองค์ประกอบของเนื้อความหนึ่งตอนให้คนอ่านสามารถย่อย ‘สาส์น’ ที่เราจะส่งไปได้อย่างเรียบง่ายหรือเปล่า ถ้าเขียนติดกันเป็นพรืด ไม่ได้เว้นวรรคหรือเว้นบรรทัดให้สบายตาเหมาะสม ไม่ได้มีการใช้ลูกเล่นในภาษา หรือไม่ได้เล่นสีแสงเอฟเฟกต์อะไรมาก(พวกตัวจุด, ตัวย่อ, ตัวหนา, ตัวเอียง) คนอ่านจะอ่านแล้วเหนื่อยครับ เพราะใน Perspective ของเขา อ่านแล้วเขาต้องมานั่งย่อยความอีกครั้ง ใครพูดอะไร ตรงไหนคือการคิด ตรงไหนของใคร ตรงไหนบรรยาย อรรถรสในการอ่านมันจะเสียไปครับ แล้วจะพาลทำให้คนไม่ติดตามเอาในกรณีที่พล็อตหรือเนื้อเรื่องคุณไม่ได้เด่นขึ้นจากพล็อตโดยทั่วไปครับ สำหรับเรื่องนี้ มีบางตอนก็เว้นบรรทัด บางตอนก็ไม่เว้นบรรทัดเลย บางตอนเล่นลูกเล่นทำให้เราแยกออกได้ว่าตรงไหนคำพูด ตรงไหนบรรยาย ตรงไหนเป็นความรู้สึก แต่บางตอนก็เขียนติดๆกันจนเราต้องมานั่งย่อยอีกทีครับ อยากให้ปรับตรงนี้หน่อย การเว้นช่วงทำหน้าที่คล้ายๆการพักหายใจสำหรับคนอ่าน เมื่อเราสื่อความจนจบ แล้วอยากจะให้คนอ่านพักเพื่อย่อยความครับ อย่าเขียนติดกันเป็นพรืด

ในเรื่องแพทเทิร์นมีปัญหาก็จริง แต่สำหรับเนื้อความบรรยาย ผมโอเคมากเลยครับ เขียนสื่อได้ตรงประเด็นทุกอย่าง ความสับสนของคณิต ความเด็ดขาดและบุคลิกที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งของอชิตะ ลักษณะนิสัยตัวละครทุกอย่างทำออกมาได้ดีครับ บรรยายให้เห็นภาพได้ชัดเจน ที่ผมชอบมากที่สุดของบรรยาย คือส่วนของ ‘สำนึกเสียใจ’ และความหวั่นไหวที่คณิตมี สำนึกเสียใจของคณิตทำออกมาได้ดีมากครับ บรรยายได้เรียล ชัดเจน แต่บางทีอย่างที่ผมบอก มันเขียนติดๆกันไปหมดจนรู้สึกว่ามัน Redundant (เยิ่นเย้อ) ถ้าเว้นบรรทัด หรือเว้นเพื่อใส่บรรยายอย่างอื่นเพื่อเพิ่มความหนักของความรู้สึกให้หน่วงมากขึ้น ก็จะทำให้คนอ่านย่อยความได้ดีขึ้น ความหวั่นไหวของคณิตก็ทำได้ดีมาก คือความรู้สึกสามารถบรรยายออกมาโดยที่คนอ่านอ่านแล้วเข้าใจ เห็นภาพ อินกับความรู้สึกของคณิต (ในช่วงแรกๆ)

ทีนี้ถึงจุดที่ผมว่าบรรยายได้แย่ครับ หนึ่ง การบรรยายความเซ็กซี่ของตัวละคร ผมคิดว่าการบรรยายติดจะตลก (เพราะเราอิงคณิตซึ่งเป็นคนมีอารมณ์ขัน) ดังนั้นพอถึงช่วงที่มันควรจะบรรยายเร้าอารมณ์คนอ่านให้อินไปกับบุคลิกหรือลักษณะทางกายภาพของใครในเรื่อง มันเลยดูแปลกๆติดจะขำขันเสียอย่างนั้นน่ะครับ ซึ่งจุดที่เป็นฉากอัศจรรย์ทำได้ดีนะครับ เพียงแต่ต้องเว้นบรรทัดเพิ่ม หรือเคาะเว้นวรรคเพิ่มอีกหน่อย ไม่งั้นมันพรืดมาเยอะๆแล้วคนอ่านไม่รู้สึกว่ามันเร้าอารมณ์สักเท่าไหร่ครับ สอง พาร์ทบรรยายของคนอื่นที่ไม่ใช่อชิตะกับคณิต ทำออกมารวบรัดมาก ผมไม่เข้าใจลอจิก และไม่ได้รู้สึกกับความอินเลยครับ เช่นตัวละครแรก ภาคี ฉากตอนทะเลาะกันนี่ผมรู้สึกว่ามันปวดหัวมาก คือไม่เข้าใจลอจิกของภาคีเลย ควรจะเอาฉากความคิดของภาคีในตอน 26 กว่าๆมาใส่ในช่วงแรกๆนะครับ เพราะคนอ่านจะได้เข้าใจภาคี ไม่งั้นผมรู้สึกว่าเขา bias เข้าข้างอชิตะจนทุเรศเลยล่ะ (คือใช้คำนี้ได้นะ เพราะว่าเรื่องในตอนนั้นมันคือการ ‘ข่มขืน’ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าเรื่องปูมาว่าภาคีเป็นเพื่อนที่ดี ปฏิกิริยามันควรจะดีกว่านี้ครับ ไม่ใช่พูดจาวนเวียนหาเรื่องให้คณิตกลับไปดีกับอชิตะ แล้วหาว่าเพื่อนเล่นตัว บลาๆ พยายามโยงคณิตกลับไปให้ได้ ผมว่ามันไร้สาระไปหน่อย ถึงจะสามารถวางเหตุผลได้ว่า ภาคีเข้าข้างคณิตไม่ได้มากเพราะว่าบริษัทต้องพึ่งอชิตะอยู่ แต่เราหาทางลงให้ดีกว่าได้นะครับ ไม่อย่างนั้นมันดูไม่สมเหตุสมผลครับ)

จุดที่สอง พล็อต พล็อตเรื่องนี้ดูจะธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดาเลยครับ(?) (หัวเราะ) ผมชอบนะครับเรื่องที่เราเอาประเด็นที่มีการผูกกันหลายจุดใส่ตูมมา แล้วให้คนอ่านค่อยๆไล่ตามไปทีละประเด็น ค่อยๆแตกตัวละครเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะการทำอย่างนี้จะค่อยๆเพิ่มความเรียลให้กับตัวละครหลัก ทำให้มันเป็นวรรณกรรมที่แน่นขึ้นในด้านข้อมูลสนับสนุน แม้จะเป็นพล็อตแบบธรรมดา ลูกน้อง-เจ้าของบริษัท แต่เนื้อเรื่องและตัวละครที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างจากนิยายน้ำเน่าทั่วไปมากทำให้มันน่าสนใจดีมากครับ แต่ประเด็นคือพล็อตมันมีบางจุดที่ผมว่ามันไม่เมคเซนส์ แต่หลายจุดก็ทำได้ขยี้ใจผมมาก ผมอินกับหลายประเด็นทีเดียวนะครับ เช่น

หนึ่ง เป็นผมผมทำไม่ได้ครับ จะให้ผมมาเป็นแฟนกับ CEO แล้วทำให้เขาเลิกกับคู่หมั้นที่คิดมานาน วางแผนชีวิตครอบครัวเสร็จสรรพหมดแล้ว คือเรื่องไม่ได้ปูมาก่อนว่าคณิตชอบอชิตะ (ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริง มันก็ไม่ถูกอยู่ดีแหละครับ เพราะผู้หญิงไม่ผิดอะไรเลย ผู้หญิงเป็นคนน่ารักด้วยซ้ำ เป็นผมผมทำไม่ลงอะ เราเจ็บเองดีกว่าให้ผู้หญิงมารับเคราะห์) หรือเรื่องปูมาก่อนว่าอชิตะชอบคณิต (ซึ่งถ้าอย่างนี้จริง ผมจะถือว่าเรื่องจะฉีกออกไปอีกแบบหนึ่งเลยครับ อชิตะจะกลายเป็นคนดูมักมาก เห็นแก่ตัว และไม่คู่ควรกับผู้หญิงแบบหวานครับ) แต่ข้อดีของพล็อตตรงนี้คือ คุณคนแต่งสร้างให้คณิตมีทั้งความสับสน และทำให้เข็มทิศคุณธรรมของเขาไม่หวั่นไหวเลย ตรงนี้ผมประทับใจมาก เพราะคนส่วนมากจะไหลๆไปกับเซ็กซ์ แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไปอย่างงงๆยังไงไม่รู้

ถ้าสังเกต เรื่องนี้พอเกิดการมีเซ็กซ์ที่ไม่สมยอม คณิตจะพูดตลอดว่าเขา ‘ถูกข่มขืน’ เขาไม่มาหวั่นไหวกับความหล่อเหลาหรือบุคลิกอะไรภายนอกครับ คือผมชอบคณิตที่ชัดเจนว่าเขารู้ตัวว่าถูกทำอะไร และถ้าไม่ยอม ก็คือไม่ยอม นอกจากนี้ พอคณิตคิดได้ เขาทำทุกอย่างโดยตั้งอยู่บนเข็มทิศคุณธรรมอย่างดี ไม่ใช่ทำปากอย่างใจอย่าง คือคณิตโลเล แต่ถ้าตัดสินใจแล้วคือทำเลย ไม่มีท้อ ไม่มีขัด และฉีกกรอบตัวนางโง่ๆไปทุกรายครับ ได้ มึงไม่ปล่อยกูใช่ไหม กูหาตัวช่วยอื่น (แม่ของอชิตะ, ครอบครัว, เพื่อนที่แอบรัก แล้วตอนที่อยู่กับชิตตะวันนี่ก็คือตรงมาก จะหักดิบทำและตอบรับเลยครับ ดีมาก ไม่ใช่มาเล่นตัวหลอกใช้คนแบบที่ตัวนางชอบทำกับพระรอง) ตรงนี้ได้ใจผมไปมากครับ

สอง ตัวละครเพิ่มมาแบบไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่องมากไปครับ แค่พล็อตตรงจุดหนึ่งกับพล็อตหลักนี่ก็สุดแสนจะหนักแล้วครับ ถ้าจะเพิ่มตัวละคร ควรเพิ่มตัวละครที่เกี่ยวกับพล็อตตรงนี้ อย่างแฟนคุณหมอนี่เพิ่มมาอย่างชั่วคราว แฟนชิตตะวันนี่ก็เพิ่มมาอย่างชั่วคราว (แถมสองคู่นี้ยังทิ้งนัยยะแบบที่ไม่จำเป็นต่อเรื่องเอาไว้อีก) คือเราสามารถใส่มาได้นะครับ แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่เราเน้นพล็อตหลัก เพราะคนอ่านจะโฟกัสกับพล็อตหลักอยู่ ฉากงอนง้อความหวานของภาคีกับสีฟ้าก็เหมือนกันครับ พวกนี้ควรใส่มาตอนที่โทนเรื่องไม่หนักมาก แล้วเราอยากซ่อนนัยยะที่น่าสนใจเอาไว้ให้คนอ่านไปอ่านต่อ อีกฉากนึงคือการสู้รบตบมือ, นัยยะมีเซ็กซ์, หึงเพื่อน อะไรพวกนี้ของเบิกฟ้ากับชิตตะวัน ฉากพวกนี้ไม่ควรมีครับ เพราะผมงงว่ามันไม่เกี่ยวกับพล็อตหลักสักนิด (ทั้งๆที่ตอนนั้นคือคณิตหนีมา เรื่องควรจะอยู่ในโทนเศร้า ปรับความเข้าใจ แต่สองคนนี้มาทีนี่พลิกโทนเรื่องเลยครับ ผมเลยว่ามันตงิดๆนะ) เราสามารถใส่เบิกฟ้ามาได้แต่ไม่ให้เขาเด่นมาก เพราะเขาต้องช่วยเพิ่มสีสันให้กับความเศร้าของคณิต (ผมชอบฉากผสมโรงกันไปนอกโลกนะครับ ตลกดี (หัวเราะ))  แต่ก็ยังมีข้อดี คือบางตัวละครก็ drive เรื่องได้ดีมาก เช่น คุณแม่, คุณย่าของอชิตะ, พี่ชายทั้งสามของคณิต ตัวละครเหล่านี้โผล่มาไม่เยอะ แต่มีเอกลักษณ์เด่นมาก สื่อสารบทของเขาครบถ้วน ส่งผลต่อพล็อตได้อย่างสมเหตุสมผลและมีน้ำหนักครับ

จุดที่สาม เรื่องเคมีการจับคู่และลอจิกของ Interaction ระหว่างตัวละครครับ เรื่องนี้คาบเกี่ยวกับระหว่างจุดแรกกับจุดที่สอง เช่นเรื่องของภาคีที่ผมพูดไปแล้ว และเคมีการจับคู่ของแต่ละคู่ที่ผมยังว่าแปลกๆอีกด้วยครับ (อันนี้เลยอาจจะทำให้ไม่ตรงจริตคนอ่านมากนัก) เช่น คุณหมอ-เจ้าของร้านกาแฟข้างบ้าน อันนี้ปกติ แต่ต้องดูบุคลิกด้วยครับ คือถ้าเจ้าของร้านกาแฟโหดร้ายเงียบขรึมเย็นชา มันก็จะเกิดคำถามว่าคนแบบนี้เป็นเจ้าของร้านกาแฟได้ยังไง? แล้วนิสัยของตัวคุณหมอมันเป็นยังไง ถ้าเย็นชา เย็นชาแล้วประกอบอาชีพหมอเฉพาะทางด้านไหน เพราะบุคลิกเย็นชาส่งผลต่อหน้าที่การงาน จะเห็นว่ามันเป็นโซ่กระทบๆต่อไปครับ ระวังเรื่องเคมีจับคู่นิดหนึ่ง หรือ ชิตตะวัน-เบิกฟ้า คู่นี้มีเรื่องของ Age Gap หรืออายุที่ห่างกันมาก แล้วมาได้ยังไง? ผมเข้าใจเรื่องพื้นหลังของเบิกฟ้าที่อาจจะยากจนหรืออะไรก็ตามแต่ที่ดันเรื่องให้เบิกฟ้าต้องมาอยู่กับชิตตะวัน แต่การที่เราเปิดตัวเพื่อนของเบิกฟ้ามาปุ๊ป ผมนี่เปลี่ยนเข็มทันทีเลยนะครับ ผมมองว่าสตอรี่ของเบิกฟ้ากับเพื่อนของเขา ถ้าจะจับคู่กัน มันน่าสนใจกว่าการจับคู่เบิกฟ้า-ชิตตะวัน อีกเยอะ เพราะว่าเราเห็นพล็อต ตัวนางมีปัญหา-เจ้าของรีสอร์ต และมี Age Gap มาเยอะมากจนเดาทางได้ แต่การจับคู่แบบ เพื่อน-เพื่อน ที่มีบุคลิกรูปร่างแบบเบิกฟ้าและเพื่อนของเขา รวมถึงแบ็คกราวน์ของเบิกฟ้าที่เป็นตัวนาง การแก้ปัญหาของพล็อตตรงนี้จะต่างกับการจับคู่แบบแรกมากครับ พล็อตต้องคิดเยอะขึ้นมากถ้ามันสมจริง และมันน่าสนใจกว่าเยอะ การจับคู่หลักของเรื่องผมโอเคนะ เพราะว่าตัวพล็อตมันมีอะไรซับซ้อนกว่าที่เห็น และนิสัยตัวละครนางก็เด่นจนกลบพวกพล็อต ลูกน้อง-เจ้าของบริษัท ไปจนหมดเลย (ไม่บ่อยที่เราจะเจอตัวนางแบบคณิต และคาแรกเตอร์ผู้หญิงแสนดีขนาดหวานครับ มันเลยทำให้การดำเนินพล็อตน่าสนใจ ไม่ซ้ำซากจำเจ)

จุดที่สี่ ชื่นชมเรื่องการควบคุมโทนเรื่องครับ แต่ยังมีปัญหาที่ทำให้โทนเรื่องไม่สม่ำเสมอจากสามจุดด้านบนที่กล่าวมาแล้ว โทนเรื่องนี้เป็นแบบสบายๆปนขำขัน แต่มีความเรียล ความหน่วง มิติและแบ็คกราวน์ตัวละครแน่นทำให้ดูน่าสนใจครับ แต่ปัญหาคือบางจุดที่เป็นโทนเศร้า ก็มีปัญหาอย่างที่ผมบอกไปด้านบน(ฉีกโทน ไม่ดิ่งจนสุด) โทนวาบหวาม (ก็มีปัญหาการเว้นเคาะบรรยาย ไม่สุดอีก) โทนจริงจัง (เจอคาแรกเตอร์ภาคีไปทีนี่ผมว่าลอจิกตัวละครนี้ไม่ใช่ ‘เพื่อน’ แล้วครับ ดูมีไบแอสมากแม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับความทุกข์ของเพื่อนสนิท) สิ่งที่สม่ำเสมอตลอดคือโทนขำขันปนสนุกสนาน อย่างฉากคณิตอยู่กับเพื่อนๆที่ทำงาน เอาจริงๆไมว่าคณิตอยู่กับฉากไหน เขาจะดึงเรื่องได้ดีขึ้นมากๆครับ คุณคนแต่งเขียนคณิตออกมาได้ดีที่สุดเลย คาแรกเตอร์เด่นมาก สมจริงมาก โลเลแต่มีความแข็งแกร่ง และฉลาด มีอารมณ์ขันอีก สุดยอดครับ ผมชอบหลายๆฉากที่มีคณิตนะครับ เป็นฉากที่ดีมาก เช่น ช่วงที่คณิตโดนข่มขืนจนถึงคณิตติดต่อคุณหญิงแม่เพื่อแก้ไขปัญหา, ช่วงที่อชิตะโดนพี่ชายสามคนของคณิตซ้อม (อันนี้บรรยายได้หนักหน่วง บ่งบอกความรักน้องได้ชัดเจนมากครับ ออกมาแค่บทเดียว แต่เนื้อความและนัยยะครบถ้วน ได้ใจผมไปเต็มๆเลยสำหรับตัวละครพี่ชาย ให้คะแนนเต็มในฐานะทำหน้าที่ครบถ้วนและสมเหตุสมผลมาก ตัวละครแม่เองซะอีกที่ดูจืดจาง ว่าดูเหมือนอะไรกัน...ไม่ได้รักลูกเลยเรอะ ลูกถูกข่มขืนนะเฮ้ย)



เพิ่มเติม 1 : คุณไอเก่งนะครับ ทำให้ผมเกลียดพระเอกได้เนี่ย (หัวเราะ) ปกติผมจะไม่ค่อยตัดสินคนเท่าไหร่นะ แต่อย่างอชิตะนี่ผมคบไม่ได้จริงๆแฮะ (หัวเราะ) คนแบบนี้ผมคบไม่ได้ครับ งูพิษชัดๆ คือมึงจะเอาแต่ใจมากเกินไปละ ผมยังงงอยู่ว่าที่เหลือ 5 ตอน มันจะหาทางลงยังไงให้มันเมคเซนส์กับการกระทำทั่วๆไปของมนุษย์ที่เจอได้ในสังคม แต่ไม่เป็นไรครับ อะไรที่เราปรับได้ก็ค่อยๆปรับ ถือว่าเป็นการพัฒนาทักษะการเขียนไป

เพราะจากที่ผ่านๆมา ก็มีทั้งพี่ชายคณิต ทั้งภาคี(ที่ ณ ตอนนี้น่าจะคิดได้แล้ว) ผมไม่คิดว่าอชิตะจะพร้อมรับมือสองกลุ่มนี้นะครับ เพราะถ้าผมเป็นพี่ชายคณิต ผมก็ไม่เอาไว้นะ น้องผมไม่ใช่ของที่คุณจะมาเล่นแล้วมันพัง เพราะคุณ 'ซ่อม' คนไม่ได้ คุณอาจทำให้เขากลับมาดีคืนผมได้ แต่บาดแผลในใจคุณลบมันไม่ได้ เป็นผมนี่ผมให้คณิตกลับมาทำงานที่บ้านเลย เดี๋ยวเปิดบริษัทให้ ไม่ก็เป็นฟรีแลนซ์ น้องคนเดียวผมมีปัญญาเลี้ยง ไอ้บ้านั่นโผล่มาเมื่อไหร่ เหยียบเท้าเข้าบ้าน ผมยิงนัดเดียวเข้าจุดตายอะ ไม่ผิดด้วย มึงบุกรุก (หัวเราะ)

คนเขียนชอบมากๆ เลยนะคะกับคำวิจารณ์ + แนะนำ + แสดงความคิดเห็น + ท้วงติง + วิเคราะห์ทุกอย่างเลย ปลื้มปริ่มมากๆ

ตั้งแต่เห็นโพสครั้งแรก โคตรดีใจเว่อร์ อายด้วย เขินด้วย ตามธรรมดาเนอะที่เจอการชี้ให้เห็นจุดด้อยมากๆ ของเรา

เราก็ต้องอายแระ ว่าฉันทำอะไรปายยยยยยย เขินๆ แต่ก็ยอมรับว่าตรงตามที่คุณนักอ่านว่าทุกอย่างเล๊ยยยยยยย น้อมรับมากๆ ค่ะ

น้อมรับตามแต่ละข้อนะคะ เรื่องแพทเทิร์นนั้น

ยอมรับว่า ขี้เกียจ จริงจังมากๆๆ ขอโทษไปถึงคนอ่านทุกคนด้วย

ยิ่งช่วงไหนที่โพสแล้วเน็ตโคตรกาก คนเขียนแทบจะเอาเนื้อเรื่องลงอย่างเดียวเลย ไม่พิถีพิถันจะเคาะบรรทัดเลย (สารภาพผิด)

ขอบคุณที่ชมการบรรยายในส่วนที่ดีนะคะ อันนี้ไม่ขอพูดถึงแล้ว เพราะถูกชมไปแล้ว 55+

ก็มาอันที่เป็นข้อติเรื่องการบรรยาย

น้อมรับอีกตามเคย ไม่มีอะไรแก้ตัวเลย ความภาคีนั้น คนเขียนอาจจะคิดประเด็นผิดไป เลยทำให้ภาพออกมาอย่างนั้นเลย

และภาคีคนเขียนคิดภาพของเขาเป็นคนอ่อนไหวง่ายค่ะ แต่ที่เขียนไปทั้งหมด อาจมีส่วนที่คุมลักษณะนิสัยของตัวละครภาคีไม่ได้

ภาคีเลยออกมาเป็นแบบที่เห็น แต่ภาคีกับคณิต เพื่อนกันจริงจังคะ ไม่มีนอกไม่มีใน
(ปล.ภาคี+สีฟ้า เป็นพระ-นาย ในเรื่อง "รัก...เธอ")

มาจุดที่สองกันต่อ

ขอบคุณสำหรับคำพูดที่บอกว่า พล็อตธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา ซึ้งงงงงงง

และขอบคุณคำชมในตัวคณิตด้วยนะคะ งือ เราไม่คิดเลยว่าตัวละครคณิตจะเป็นคนแบบนี้ แต่ที่เราเขียนไป มันเหมือนเราเขียนไปเองเลย เหมือนมีคณิตมาอยู่ข้างๆ แล้วบอกว่า ฉันจะทำแบบนี้นะ แบบนั้นนะ (เวอร์แระ)

คือแบบว่า เราเป็นคนเขียนก็จริง แต่เอาจริงๆ เราน่ะ รู้สึกว่า ตัวละครแต่ละตัว เขาเป็นคนจับมือเราพิมพ์งี้ คือแบบว่า อธิบายไม่ถูกเนอะ เหมือนพวกเขามีชีวิตจริงๆ งี้อ่ะ

สำหรับตัวละครที่เพิ่มเข้ามาแบบไม่จำเป็น

อยากร้องเพลงบอกว่า ...หนูเปล่าน้าาา เขามาเอง หนูป่าวชวนน้า เขามาเอ๊งงงง 55+

ความจริงมีทั้งตัวละครใหม่ๆ และ ตัวละครที่มาจากเรื่อง "รัก...เธอ" + "รัก...เชิญครับ" ด้วยค่ะ เรื่องมันคาบกัน เกี่ยวกัน เลยต้องมีโผล่มาบ้าง (แต่ก็กลายเป็นจุดอ่อนเลยเนอะ ที่ทำให้เรื่องอืด เอื่อย ในเรื่องอื่นๆ ในซีรีส์ "รัก..." จะพยายามเอาข้อเสียตรงนี้ไปปรับแก้นะคะ)

ส่วนกรณีของ "เบิกฟ้า"
น้องเขาก็มาเองเลย มาไมไม่รู้ (เลยกลายเป็นว่าคนเขียนก็ได้เขียนตอนพิเศษของคู่นี้ในเล่มหนังสือไปเลย แต่ไม่ได้เพิ่มเข้ามาเพื่อมีตอนพิเศษแต่อย่างใดเลยจริง คือจู่ๆ เราก็คิดว่าชิตตะวันควรมีคู่ เพราะคนเขียนไม่อยากให้ชิตตะวันโดดเดี่ยว น้องเบิกฟ้าเลยโผล่เข้ามาเลย) มันก็เลยกลายเป็นว่าเกินพล็อตของเรื่องหลักมา แถมคนเขียนก็คุมตัวละครไม่ได้ (จริงๆ นะ โคตรจะคุมไม่ได้อะ) ผลเลยออกมาเป็นอย่างที่คุณนักอ่านว่าเลย อันนี้ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้เสียอรรถรสในการอ่าน

มาต่อที่จุดที่สาม
เคมีการจับคู่ คุณหมอกับน้ำฟ้า อันนี้เป็น ตัวพระ-นาย จากเรื่อง "รัก...เชิญครับ" ค่ะ

ทั้งสองเป็นตัวละครน่ารักค่ะ นิสััยดี ไม่เย็นชา พูดดี คิดดี ใจดี คุณหมอเป็นหมอหมา คุณน้ำฟ้าก็เป็นเจ้าของร้านกาแฟใจดีมากๆเลยค่ะ

กรณีของเบิกฟ้าที่โผล่เข้ามา เพื่อจะเป็นคนของชิตตะวันโดยแท้จริง คนเขียนส่งน้องเบิกฟ้ามาให้ชิตตะวันโดยเฉพาะ ดังนั้น น้องเบิกฟ้าเลยเป็นของเพื่อนน้องไม่ได้ (เพราะอันนี้คนเขียนกำหนดมาแล้วววว เพื่อนจึงต้องแห้วไป ตามคำที่ว่า "คู่กันแล้ว ไม่แคล้วกันคร้าา...หรือเปล่า???) แต่พอมาอ่านที่คุณนักอ่านบอกว่าเคมี "เพื่อน-เพื่อน" ได้เนี่ย ชักเขว่นะเนี่ย

แต่ไม่เป็นไร เพราะน้องเบิกฟ้าจะทำลายเคมีนี้เอง ขอตัดเอาบางส่วนจากตอนพิเศษ "ชิต-แสง" มายืนยันนะคะ


“มึงจะทำจริงๆ ใช่ไหม อย่าทำอะไรมันเลย กูสงสารมัน แล้วมันก็ไม่ได้คิดอะไรกับกูจริงๆ กูกับมันเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะ”


“มันคิด” มันทำเสียงเข้มใส่ทันที ผมเลยยอมจำใจเชื่อมัน ทั้งที่ใจเถียงสุดฤทธิ์เลยล่ะ ว่าเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ได้คิดอะไรกับผมแน่ๆ


“เออๆ คิดก็คิด แต่ต่อให้มันชอบกูจริงๆ กูก็...” ผมยังพูดไม่จบ มันก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงระดับที่เข้มยิ่งกว่าเมื่อกี้อีก


“มันชอบมึง!”


“เออ! ชอบก็ชอบ มึงนี่แม่ง จะให้มันชอบกูให้ได้ใช่ป่ะ” ผมชักเสียงห้วนใส่มัน มันตั้งท่าจะเอานิ้วมาดีดปากผม ดีว่าผมเอามือปิดปากซะก่อน พอมันลดมือลง ผมก็เปิดปากพูดต่อ “...คือมึงฟังกูนะ ต่อให้มันชอบกู แต่กูก็ไม่ชอบมันหรอก เพราะกูชอบมึง กูรักมึง”


มันยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่เหมือนแสงตะวันของผม และตัวมันเองก็เป็นแสงตะวันของผมเหมือนกัน เพราะมันเข้ามาทำให้ชีวิตที่มืดมัวของผมกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง


ตามนี้ค่ะ ^_^

จุดที่สี่ เรื่องการคลุมโทนของเรื่อง

งื้อออ จะพยายามแก้ไขในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ จุดด้อยของคนเขียนมีเยอะมาก และหนึ่งในนั้นคือเรื่องการควบคุมพล็อตเรื่อง ที่เขียนทุกครั้งจะหลุดพล็อตไปเยอะมาก เชื่อไหมว่า จุดที่อชิตะทิ้งคณิต เพื่อไปรับผิดชอบลูกในท้องหวาน ความจริง พล็อตไม่ใช่แบบนี้เลย มันเป็นไปอีกทางหนึ่ง

แต่! อย่างที่คนเขียนพูดไปคือ พอเขียนแล้ว มันคุมการกระทำของตัวละครไม่ได้เลย คือจริงๆ นะคะ เหมือนถ้าเขียนไปตามพล็อตแล้ว ตัวละคร

ไม่เดินเลย พอเปลี่ยนมาเขียนแบบนี้ กลายเป็นว่าเดินไปฉิวเลย

ต่อไปคนเขียนต้องเข้มกับพล็อตมากกว่านี้ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ

ส่วนเรื่องตัวละครแม่ คนเขียนตั้งใจว่าจะไม่ให้แม่รู้ว่าลูกถูกข่มขืนอะคะ ไม่อยากสร้างปมให้ตัวละครยุ่งยากใจ เพราะเกิดแม่รู้ แน่นอนว่าต้องเป็นปมความรู้สึกที่มีต่ออชิตะเปลี่ยนไปแน่ และต้องตามไปแก้ปัญหาเรื่องแม่อีก คนเขียนเลยให้แค่พี่ชายสามคนของหนึ่งรู้ก็พอ (แต่คนเขียนอาจอธิบายไม่ละเอียดพอ เลยทำให้เข้าใจว่า แม่รู้ว่าหนึ่งถูกข่มขืน แต่ไม่ถือสา)

ส่วนเพิ่มเติมตอนสุดท้าย

อยากบอกว่า...................ไม่ทันแล้ววววววววววว

เพราะคนเขียนแต่จบทุกอย่างก่อนเอามาลงที่เล้าแล้วคร้าาาา และทำอาร์ตทำรูปเล่มหมดแล้ว

งือเสียใจมากๆ คนเขียนไม่ได้เล่นประเด็นพี่ชายคณิตต่อ (คือเอาจริงๆ คือ กลัวมันยืดเยื้อ เลยทำเนียนๆ ไปว่า เรื่องที่หนึ่งกับอิงเลิกกัน พี่ชายทั้งสามคนไม่รู้ เขาขอโทษษษษษ ในความผิดนี้)

เสียดายอะ ถ้าแต่งไป ลงไปนะ คนเขียนจะเอาข้อเสนอที่เพิ่มเติมเข้ามาไปสร้างประเด็นเขียนเพิ่มเลย

เสียดายจริงๆๆ เสียดายมาก ไม่งั้นก็จะได้ลงโทษอิตาอิงให้สิ้นซาก!!!!

สุดท้ายแล้ว ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกตัวอักษรที่เขียนมาให้คนเขียนได้รู้ข้อผิดพลาดของงานเขียน และรวมถึงข้อดีต่างๆ
 
ทุกตัวอักษรล้วนเป็นกำลังใจมากมายจริงๆ

ขอบคุณจริงๆ นะคะ ขอบคุณสามร้อยล้านตลบ

เรื่องนีี้อาจแก้ไขอะไรมากไม่ได้แล้ว แต่คนเขียนจะเอาไปปรับใช้กับเรื่องต่อๆ ไป

สีเหลืองอ่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2017 16:46:39 โดย i_ang »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
มาสปอยตอนพิเศษในเล่ม รัก...ได้ไหม
ตอนพิเศษ "แสงตะวันของผม"  เป็นตอนพิเศษของชิตกับแสง

วันที่ผมเจอมันครั้งแรก

เป็นตอนกลางคืน ในผับที่มีทั้งวัยรุ่นและวัยทำงานเกือบจะเท่าๆ กัน ผมที่นั่งดื่มคนเดียวเพราะถูกเพื่อนสนิทสองคนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมปลายทิ้ง คนหนึ่งโดนแฟนตามมาจิกถึงโต๊ะ ส่วนอีกคนเมียโทรจิกแทบจะทุกห้านาที เลยต้องบอกลาขวดเหล้าตั้งแต่ยังไม่ถึงสี่ทุ่ม

ผมที่ไม่ว่าจะมีเพื่อนร่วมโต๊ะหรือไม่มี ผมก็นั่งของผมไปได้ตามประสาหนุ่มโสดแต่หัวใจไม่ว่าง เพราะมีคนคนหนึ่งอยู่ในนั้นมาหลายปีแล้ว ก็ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีแรก แต่เป็นผมฝ่ายเดียวนะที่มีเขาอยู่ในหัวใจ ส่วนเขาไม่ว่ากี่ปี ผมก็ยังเป็นได้แค่เพื่อน ความสัมพันธ์ไม่พัฒนาไปไกลกว่าคำว่าเพื่อนได้

เอาเถอะครับ หยุดคิดเรื่องของคนที่อยู่ไกลถึงกรุงเทพฯไว้ก่อน เพราะดูแล้วผมคงได้กลับไปขึ้นเตียงกับใครสักคนในเวลาอันใกล้นี้ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมนั่งจิบเหล้าคลอเสียงเพลงสนุกสนานได้ แม้จะเหลือตัวคนเดียว ก็ตามประสาหนุ่มโสดที่ไม่ขาดเรื่องบนเตียงครับ

One-night stand ความสัมพันธ์คืนเดียวครับ สนุกด้วยกัน ได้ทั้งสองฝ่าย ไม่ผูกมัด ตื่นเช้ามาต่อกันอีกนิดหน่อยเป็นคำลาสุดท้าย ก่อนกลายเป็นคนไม่รู้จักกันต่อไป แม้มีหลายรายที่อยากรู้จักผมมากไปกว่าแค่คู่นอนคืนเดียว แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องต่อคืนที่สองกับใคร เด็ดแค่ไหนก็ให้จบแค่คืนเดียว

ตอนนี้กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่โต๊ะซึ่งอยู่เยื้องไปทางขวามือผม ที่มีประมาณสี่ห้าคนกำลังมองผมด้วยความหมายที่รู้กันอยู่ สาววัยรุ่นหน้าตาน่ารักใต้เสียงสีสลัวในผับ ไม่รู้ว่าเมื่อเจอแสงไฟจริงๆ หรือแสงแดดตอนเช้า ใบหน้าของพวกเธอจะสวยน่ารักได้เท่านี้หรือเปล่า ออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่พวกดูถูกหน้าตาใคร หน้าตาแบบไหนก็ได้ขอแค่ว่าผมถูกใจก็พาขึ้นเตียงแล้วล่ะครับ

ไม่ว่าข้างหน้าหรือข้างหลัง ผมได้หมด...ถ้า ‘ถูกใจ’

แต่ถ้าไม่ถูกใจ ให้สวยเหมือนนางฟ้าหรือน่ารักสัดๆ ผมก็แค่มอง ไม่เก็บติดมือไปนอนกอดให้เซ็งอารมณ์หรอกครับ ถามว่าหน้าตาแบบไหนที่ผมถูกใจเป็นพิเศษ เห็นแล้วแม่งอยากเอาขึ้นเตียงนาทีนั้นเลย ก็คงแบบ...

“มึง”

ผมละสายตาจากเด็กสาววัยรุ่นกลุ่มนั้น มายังเจ้าของเสียงเรียกที่เหมือนจะเหวี่ยงนิดๆ ซ้ำคำที่ใช้เรียกขานผมก็นะ

แม่ง...นี่กูเป็นลุงมึงก็ได้เลยนะ

ถึงผมไม่มีป้ายห้อยคอบอกอายุ แต่เบ้าหน้าที่ผ่านโลกมายี่สิบห้าย่างยี่สิบหกปี ก็ไม่ควรถูกไอ้เด็กหน้าใสวัยถึงเลขสองหรือยังก็ไม่รู้เรียกว่า ‘มึง’ นะครับ

ผมวางแก้วที่เหลือแค่น้ำแข็งลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วมองไอ้เด็กหน้าใสที่กล้าหาญทิ้งตัวลงมานั่งข้างผม โดยที่ผมไม่ได้เชิญ แต่ก็ไม่เป็นไร ก็อย่างที่ตั้งคำถามเอาไว้ว่าหน้าตาแบบไหนที่ผมถูกใจมากเป็นพิเศษ ก็คงแบบเด็กคนนี้

...หน้าขาว ตาชั้นเดียว ปากบาง และที่น่ามองคงเป็นจมูกรั้นนิดๆ ของมัน เหมือนถูกปั้นมาอย่างดีแล้วเอามาวางบนหน้าเกลี้ยงเกลาของมัน

“เพื่อนให้มาถามว่ามึงชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย” ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเอง เมื่อได้ยินคำถาม ซ้ำมันยังจ้องเอาคำตอบแบบตาไม่กะพริบเลย

“เพื่อนมึงเป็นใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

‘มึง’ ใส่ผมก่อน ผมก็ ‘มึง’ กลับครับ ไม่โกง

แน่ะ! มีชักสีหน้าใส่ผมอีก ก็เริ่มก่อนไม่ใช่หรือไง เรียกคนอื่นว่า ‘มึง’ พอโดนเรียกบ้างก็ทำหน้าไม่พอใจแต่ผมไม่สน ใช่เรื่องที่ผมจะต้องแคร์คนที่เพิ่งรู้จักกัน

“ก็ผู้หญิง แล้วก็มีกะเทย นั่งโต๊ะนั้นน่ะ” ไอ้เด็กหน้าขาวชี้มือไปยังกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่ห้าคน สามคนเป็นผู้หญิงจริง ที่เหลือก็นั่นแหละผู้ชายอยากมีนม ซึ่งผมขอปฏิเสธ...

เอาจริงๆ คือผมไม่ได้รังเกียจ แต่ผมพาขึ้นเตียงได้แค่ผู้หญิงกับเกย์ นอกเหนือจากนี้ไม่เคย ผู้ชายแท้ๆ ก็ไม่เคย แม้เคยมีความคิดกับคนคนนั้นที่อยู่กรุงเทพฯก็เถอะ ผมยกให้เขาเป็นผู้ชายแท้คนเดียวที่ผมอยากได้มาเป็นเมียไปตลอดชีวิต ไม่มีคำว่า
One-night stand แน่นอน

“แล้วมึงชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย” ผมย้อนถามไอ้เด็กไร้มารยาท แต่ก็ถูกใจผมมาก ยอมรับว่าคืนนี้ถ้าได้มันกลับไปด้วย ผมคงเสียหลายน้ำแน่

“มึงชอบผู้ชาย?” มันทำตาโต เห็นมันกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก ท่าทางไอ้เด็กนี่บอกว่าตัวมันไม่ใช่เกย์ แต่ทำไมผมถึงยังมีความคิดที่จะหิ้วมันขึ้นเตียงอยู่นะ

หรือเพราะมันคล้ายคนที่อยู่ในหัวใจผม ต่างกันที่ความสูง เด็กนี่สูงมาก แต่ก็น้อยกว่าผม

“กูชอบผู้หญิง” ผมขยับเข้าใกล้ คว้าข้อมือเล็กนิดเดียวของมันไว้ แล้วกระซิบข้างใบหูมันว่า “...แต่เอาผู้ชายมันส์กว่า สนไหมกับกูคืนนี้”


.
.
.
มาแค่นี้แหละ ติดตามต่อได้ในเล่มนิยายนะคะ
ปิดจอง 5 กันยา แล้วนะคะ
ดูรายละเอียดได้ที่เพจนิยายได้นะคะ
ตามลายแทงข้างล่างได้เลย ^_^

ออฟไลน์ karunanont

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ พึ่งมาจักเมื่อสามวันก่อน สั่งซื้อไปแล้ว  เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ ชอบความเป็นคุณอิงมากคะ น่าหมั่นไส้และน่ารักในคนเดียว  อยากเห็นนเองหนึ่งอ้อนพี่อิงอีกกกก ไว้รอลุ้นในเล่มเอานะคะ ฮี่ๆ ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ

ออฟไลน์ mkooo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
นิยายเรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ
แต่แปลกมากทำไมไม่ค่อยมีคนคอมเม้น
ภาษาค่อนข้างดีมากแทบไม่เจอคำผิดเลยค่ะ
ชื่นชมส่วนนี้มากๆ ปกติเราอ่านนิยายในเล้ามาหลายปีเป็นคนที่มาคอมเม้นนิยายยากพอตัว เพราะนิยายหลายเรื่องมีคนคอมเม้นให้กำลังใจตลอดๆส่วนมากเราเลยไม่คอมเม้นเราพูดไม่ค่อยเก่งแต่อยากให้กำลังใจนักเขียนเรื่องนีค่ะ เราอ่านเรื่องนี้แล้วให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยายวายแปลญี่ปุ่นอยู่เลยหาอ่านยากมากที่นิยายวายไทยจะเป็นพวกคลั่งรักขนาดนี้  คนเขียนสื่ออารมณ์ได้ค่อนข้างดีเลย อยากให้มีคนมาอ่านเรื่องนี้เยอะๆ เราชอบการบรรยายมากๆค่า แต่มันก็มีบางจุดที่ตัวละครแอบไร้เหตุผลไปบ้าง แต่โดยรวมคือสนุกค่ะ ขอบคุณนักเขียนที่แต่งนิยายให้เราอ่านนะค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 23:47:48 โดย mkooo »

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ไอดีการขาย TBL - 151-433

มีรูปแบบ Ebook ขายแล้วนะคะ
ตามลิ้งนี้นะคะ
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNTYzMjEzIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNjQ1NTciO30

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2017 14:33:27 โดย i_ang »

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
********************** ขอเข้ามาประกาศว่า *****************************

รัก...ได้ไหม
มีหนังสืออยู่ในสต๊อกนะคะ
สนใจสั่งซื้อได้ที่เพจนิยายนะคะ
ตามลิ้งนี้เลย อินบ็อกเข้ามาได้เลย
https://www.facebook.com/byaeaw/

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ประกาศรีฯ เรื่อง "รัก...เชิญครับ" หมอนุน้ำฟ้า หนึ่งในซีรีส์ชุด "รัก..." ค่ะ
ใครสนใจ เข้าไปดูรายละเอียดที่เพจนิยายได้เลยนะคะ

https://www.facebook.com/byaeaw/

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2018 04:56:20 โดย i_ang »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ตามมาอ่านอีกรอบให้จบ
เพราะรู้สึกคราวก่อนอ่านไม่จบไม่รู้ว่าเพราะอะไร

หนึ่งน่าเอ็นดู ตกหลุมพี่อิงตลอดๆ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เรืีองนี้พระเอกนิสัยไม่ดีค่ะ แต่เราก็อ่านจนจบ 555
อ่านตินลม นุฟ้า มาแล้ว จะไม่อ่านอิงหนึ่งได้อย่างไร
ขอบคุณผู้เขียนจ้าาาาา ^^

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบๆๆ ตามมาจาก รักเธอ และ รักเชิญครับ โดยส่วนตัวแล้วชอบ รักได้มั้ย ที่สุดแล้วในซีรีย์ รัก เลยล่ะคะ

ออฟไลน์ Blue

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด