คุณผียอดรัก ตอนที่ 6 | 14 พฤศจิกายน 2566
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณผียอดรัก ตอนที่ 6 | 14 พฤศจิกายน 2566  (อ่าน 1068 ครั้ง)

ออฟไลน์ ชาญขวัญ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2023 22:46:20 โดย ชาญขวัญ »

ออฟไลน์ ชาญขวัญ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: คุณผียอดรัก ตอนแรก
«ตอบ #1 เมื่อ19-10-2023 19:08:53 »

ตอนที่ 1


มนุษย์กับความงมงายดูจะเป็นอะไรที่ไม่มีทางแยกกันได้ขาด
เพราะในชีวิตของมนุษย์แทบทุกคนจะต้องมีเรื่องให้ข้องเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บางคนก็ถูกสิ่งเหล่านั้นจู่โจมเข้ามาหาโดยไม่ทันตั้งตัว หรืออย่างบางคนก็ไขว่คว้าที่จะเข้าไปหาสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง อย่างน้อย ๆ ก็พี่สาวผมละคนหนึ่ง

นี่ก็ผ่านมาร่วมสามชั่วโมงที่ผมและพี่สาวนั่งรอคิวอยู่บนเรือนไทยหลังสวยที่หน้ารั้วแปะป้ายว่า 'ตำหนักพ่อหมอทองคำ' ตำหนักของชายชราผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นหมอดูและนักปราบผีชื่อดังที่กำราบวิญญาณร้ายมาแล้วทุกแห่งหน ซ้ำยังมีความสามารถในการทำนายทายทักได้อย่างแม่นยำเสียยิ่งกว่าตาเห็น หรือแม้แต่ใครที่เจ็บป่วยด้วยโรคประหลาดที่แพทย์แผนปัจจุบันหมดหนทางจะรักษาเขาว่ากันว่าพ่อหมอทองคำช่วยให้หายขาดมานักต่อนัก ด้วยชื่อเสียงกิตติศัพท์เป็นที่โจษจันขนาดนี้มีหรือมนุษย์สายมูที่กำลังมีเรื่องร้อนใจอย่าง 'คุณนายสายฝน' จะไม่ยอมดั้นด้นขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงอยุธยาเพื่อจะปรึกษาเรื่องที่คาใจกับผู้วิเศษคนนี้ ซึ่งแม่ของเธอก็เป็นห่วงกลัวว่าคุณเธอจะโดนหลอกให้เสียเงินเสียทองมากมายเลยให้ลูกชายคนเล็กอย่างผมตามมาเป็นเพื่อนด้วย

เรื่องของเรื่องก็คือคุณนายสายฝนเธอมีเรื่องผิดใจกันกับสามีจึงเป็นเหตุให้มีบทสนทนาที่ค่อนข้างรุนแรงต่อกันจนเกือบบ้านแตก และหลังจากวันนั้นผ่านมาเกือบสองสัปดาห์ผัวตัวดีก็หายหน้าไม่ยอมกลับบ้านและตัดขาดการติดต่อทุกช่องทาง พี่สาวผมจนปัญญาจะตามหาก็เลยต้องมาพึ่งพาอิทธิฤทธิ์ของพ่อหมอให้ช่วยจับยามสามตาหาว่าสามีของเธอนั้นไปมุดหัวอยู่บ้านเมียน้อยคนไหน

ในฐานะน้องชายผมพยายามเตือนพี่สาวถึงเรื่องความเจ้าชู้ของพี่เขยมาตั้งแต่ช่วงที่พวกเขาเริ่มคบหากันแรก ๆ แต่ด้วยความที่คุณเธอเชื่อมั่นในการที่ผ่านโลกมามากกว่าผมและมีความมั่นใจในตัวเองสูงมากว่าจะเอาผู้ชายคนนั้นอยู่ คำเตือนจากผมจึงไร้ความหมาย

เอาอยู่ที่แปลว่าเอาไม่อยู่ เพราะตั้งแต่เริ่มคบกันรวมแต่งงานก็ผ่านมาหกปีกว่าอีกฝ่ายมีเรื่องนอกใจมาให้พี่สาวผมช้ำใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมก็ไม่เข้าใจว่าคุณเธอจะยังทนอยู่เพื่ออะไร ลูกเต้าก็ไม่มี หน้าตาก็สะสวยซ้ำยังมีหน้าที่การงานที่มั่นคงเลี้ยงตัวเองได้สบายไม่ต้องพึ่งพาสามี แม้ว่าพ่อแม่และผมจะเตือนกันมาไม่รู้เท่าไหร่ ถึงขั้นบุกไปต่อว่าพี่เขยตัวดีผมก็ทำมาแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยการที่ผมต้องกินอาหารเม็ดอยู่ร่ำไป คนที่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้าก็คงจะบอกว่าคู่นี้เขาเป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนเลยตัดกันไม่ขาดเสียที

เรื่องพ่อหมอนี่ก็เหมือนกัน ผมก็ท้วงติงไปแล้วว่าแทนที่จะมาเสียเงินไม่ใช่น้อย ๆ ให้อะไรที่พิสูจน์ไม่ได้สู้เอาเงินไปจ้างทนายฟ้องผัวกับเมียน้อยยังจะได้เรื่องเสียกว่า แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความรั้นของคุณเธอ



ผ่านเวลามาตั้งแต่ตะวันตรงหัวจนตะวันใกล้ตกดินเห็นคนที่มาก่อนหน้าเข้าออกห้องพ่อหมอมาร่วมร้อย ในที่สุดคุณนายสายฝนก็ถึงคิวในการเข้าพบพ่อหมอทองคำสมใจ เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาด้านในห้องส่วนตัวของเจ้าของตำหนักผมก็ขนลุกตั้งถึงต้นคอ ถึงแม้ผมจะไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่เพราะบรรยากาศที่มันชวนให้ใจหวิว ๆ ตาลุงแก่ ๆ หน้าตาน่ากลัวใส่ชุดขาวนั่งอยู่บนตั่งไม้หน้าปะรำพิธีพร้อมด้วยพร็อพจัดเต็ม ทั้งหัวกะโหลก ตุ๊กตาปูนปั้น หมอดินเผาที่ปิดปากด้วยผ้ายันต์สีแดง และยังมีสายศิลป์ที่ตอกตะปูพันเป็นรูปสัญลักษณ์ของลัทธิอะไรสักอย่างติดผนังอยู่ด้านหลังปะรำพิธีอีก ต่อให้เป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีถ้ามาอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็ต้องมีหายใจไม่ทั่วท้องกันบ้างล่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยอมใจในการพยายามเซตฉากของลุงแกและบรรดาลูกน้องสองคนที่นั่งประกบตั่งซ้ายขวา แต่จะน่ากลัวอย่างไรคนพวกนี้ก็น่าจะเป็นแค่แก๊งต้มตุ๋นนั่นล่ะนะ

เพียงแค่ผมและพี่สาวนั่งพับเพียบลงตรงหน้าตั่ง ตาแก่ตรงหน้าก็ชี้หน้าคุณนายสายฝนพร้อมถามว่ามีปัญหาเรื่องคู่ครองใช่หรือไม่ เพียงเท่านี้ก็ทำเอาคุณเธอตะลึงตาค้างยกมือท่วมหัวและกล่าวเยินยอว่าพ่อหมอนั้นศักดิ์สิทธิ์จริงแท้ ผมได้แต่มองคนข้าง ๆ อย่างเอือมระอา คนที่มาหาหมอดูแบบนี้มันจะมีเรื่องร้อนใจสักกี่เรื่องกันเชียว ตาลุงคนนี้ก็แค่บังเอิญเดาถูกก็เท่านั้น

จากนั้นคุณนายสายฝนเธอก็สาธยายปัญหาชีวิตให้พ่อหมอฟัง อีกฝ่ายรับฟังแล้วก็หลับตาทำท่าลูบหนวดทำปากขมุบขมิบท่าทางเหมือนท่านปุโรหิตในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่ผมเคยดูตอนเด็ก เพียงไม่กี่อึดใจแกก็พูดถึงรูปพรรณสัณฐานของผู้หญิงคนหนึ่งว่าหน้าตาเป็นอย่างไร อายุประมาณเท่าไหร่ รูปร่างบุคลิกเป็นแบบไหน ไว้ผมทรงอะไร พี่สาวผมทำหน้าเคร่งเครียดคิดตามอย่างใจจดใจจ่อ แต่เพียงไม่นานคุณเธอก็ดูมีสีหน้าที่คลายความสงสัย ก่อนจะสบถชื่อเพื่อนในกลุ่มของเธอที่ผมก็รู้จักออกมาดังลั่นจนผมยังสะดุ้ง

"อีพราวพิลาศ!"

"เห้ย เจ๊ใจเย็นพี่พราวเขาคงไม่ทำแบบนั้นหรอก" ผมพยายามปรามพี่สาวให้เย็นลง แต่ดูเหมือนคุณเธอจะไม่ได้สนใจ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาถามสิ่งที่ยังคาใจกับตาแก่ตรงหน้าต่อไป

เวลาผ่านไปพักใหญ่ ๆ ที่บทสนทนาระหว่างคุณนายสายฝนและพ่อหมอทองคำดำเนินไป เอาเข้าจริงคำตอบแต่ละอย่างที่ตาลุงให้กับพี่สาวผมมันก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับความเป็นจริงเกือบทั้งหมด ต้องยอมรับว่าลุงแกทำการบ้านมาดีจริง ๆ

หลังจากได้คำตอบครบหมดทุกข้อสงสัย ผมคะยั้นคะยอพี่สาวให้รีบกลับ เพราะผมก็ไม่ได้อยากจะอยู่ในสถานที่แบบนี้นาน ๆ และยังกลัวคุณเธอจะโดนหลอกให้จ่ายค่าอะไรแปลก ๆ เพิ่มไปอีก

"เจ๊ ได้เรื่องแล้วก็กลับกันเถอะ"

"เดี๋ยวสิ ฉันเสียเงินมาตั้งแพงจะรีบไปไหนล่ะ" ว่าแล้วคุณเธอก็หันกลับไปหาพ่อหมอทองคำและเอ่ยบางสิ่งที่ทำเอาผมต้องหันขวับ

"พ่อหมอเจ้าขา ช่วยดูดวงน้องชายหนูทีเจ้าค่ะ ชีวิตนี้จะมีเนื้อคู่กับเขาหรือเปล่า อายุตั้งยี่สิบกว่าแล้วยังไม่มีแฟนเลย" เธอว่าพร้อมกับดันตัวผมให้เข้าไปใกล้ตาลุง

"เห้ย! เจ๊ไม่เอา ผมไม่ดู"

"เอ๊ะ ไอ้น้องคนนี้นี่ชอบขัดใจฉันตลอด มาถึงนี่แล้วก็ให้พ่อหมอท่านดูให้หน่อย เร็ว ๆ อย่าลีลา"

บทสนทนาระหว่างผมกับพี่สาวยังไม่ทันจะรู้เรื่อง ปลายคางของผมก็ถูกตาลุงตรงหน้าจับเชยอย่างถือวิสาสะ ผมพยายามจะเก็บสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ เพราะไม่อยากจะทะเลาะกับพี่สาว เอ้า อยากดูก็ดูให้พอใจ รีบ ๆ ดูให้เสร็จผมจะได้รีบออกไปจากที่นี่เสียที

ตาลุงพ่อหมอจับหน้าผมหันซ้ายหันขวาแล้วทำหน้าพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่ใหญ่ ๆ

"ชื่ออะไรล่ะเอ็ง"

"สายชลเจ้าค่ะ" พี่สาวผมชิงตอบ แถมบอกวันเดือนปีเกิด พร้อมเวลาตกฟากของผมให้เสร็จสรรพ

"หน้าสวยปากแดง ขนาดชาตินี้เอ็งเกิดเป็นชาย หน้าตาเอ็งยังสวยไม่แพ้ชาติที่แล้วเลยนะ" ไอ้เรื่องเป็นผู้ชายหน้าหวานนั้นใคร ๆ ก็ทักผมมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ชาตินี้ชาติก่อนอะไรไร้สาระสิ้นดี

"เนื้อคู่เอ็งน่ะมี และเอ็งจะได้เจอเขาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว" ผมลอบแสยะยิ้มในใจให้กับความไปเรื่อยของตาลุง ผมโสดมาตั้งหกเจ็ดปี จู่ ๆ พอมาเจอลุงแกแล้วจะเจอเนื้อคู่เลยเนี่ยนะ

"เอ็งกับเขารักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เกิดชาติใหม่เขาก็ยังตามมารักเอ็ง ตามคำที่เขาเคยให้สัญญาไว้ แต่ก็จะเจอกันในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดสักหน่อย"

"ชาติก่อนแม้จะรักกันมาก แต่เอ็งก็ได้แค่เป็นเมียเขาแบบลับ ๆ แต่ชาตินี้เขาจะเอาเอ็งเป็นเมียแบบออกหน้าออกตา" เห้ย! ไม่ใช่แล้ว หัวคิ้วทั้งสองข้างของผมแทบจะขมวดเป็นปมเพราะเก็บสีหน้าไม่อยู่ หลังจากที่เพิ่งได้ยินประโยคเมื่อสักครู่นี้จากปากตาแก่เพ้อเจ้อ

"ถูกแล้ว ชาตินี้เนื้อคู่เอ็งเขาก็ยังเกิดเป็นชายเหมือนชาติที่แล้ว"

ไม่รอให้ตาลุงพูดจบผมก็ดีดตัวลุกขึ้นพรวดอย่างหัวเสีย "มันจะไปกันใหญ่แล้วลุง!"

ออกตัวก่อนนะว่าผมไม่ได้เป็นพวกโฮโมโฟเบียแต่อย่างใด แต่ตาลุงมิจฉาชีพมาทักกันแบบนี้มันก็ดูจะเกินไปหน่อย เมียลับ ๆ เมียเปิดเผยบ้าบออะไร ผมไม่เป็นเมียใครทั้งนั้นแหละ

"ว้าย! ไอ้ชลนั่งลงแล้วกราบขอโทษพ่อหมอเดี๋ยวนี้" พี่สาวผมร้องห้าม แต่เส้นความอดทนของผมมันขาดผึงไปแล้ว

"จะหากินด้วยการหลอกลวงชาวบ้านเนี่ยก็ช่วยแต่งเรื่องให้มันเนียน ๆ หน่อยเถอะ ดูซีรีส์มากไปหรือเปล่า ตาแก่สติเฟื่องเอ๊ย"

"มึงลบหลู่กู!" คู่กรณีชี้หน้าผมตะคอกเสียงดัง ดูท่าจะโมโหมาก แต่แล้วอย่างไรถึงจุดนี้แล้วผมยังต้องแคร์อะไรอีก

"เออ ผมลบหลู่แล้วจะทำไม อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้ว่าลุงเป็นพวกมิจฉาชีพหากินบนความงมงายของชาวบ้าน ไอ้เรื่องผีสาง อิทธิฤทธิ์บ้าบอที่ลุงสร้างเรื่องหลอกชาวบ้านนั่นมันมีจริงที่ไหนกันเล่า"

ลูกน้องของพ่อหมอทองเก๊ทั้งสองคนตั้งค่าพุ่งเข้ามาเอาเรื่องผม แต่คิดหรือว่าผมจะกลัวเป็นอย่างไรก็เป็นกันล่ะคราวนี้ ทว่าตาลุงพ่อหมอยกมือขึ้นปรามลูกน้องก่อนที่จะมีมวย แม้ท่าทางจะอยากซัดหน้าผมเต็มแก่แต่พวกมันก็จำใจต้องกลับไปนั่งที่เดิม สองตาของตาลุงยังจ้องเขม็งมาที่ผมชนิดที่ดูพร้อมจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนที่แกจะคว้าหม้อดินข้างตัวและกระชากเอาผ้ายันต์สีแดงที่ปิดปากหม้อออกอย่างร้อนรนและลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับผม

พ่อหมอทองเก๊ขยุ้มเอาผงสีดำในหม้อที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรขึ้นมาเต็มกำมือพร้อมกับทำปากขมุบขมิบไม่รู้ว่าบ่นอะไร ก่อนที่ผงสีดำในมือแกนั้นจะถูกปาเข้าหน้าผมอย่างจัง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผมไม่ทันตั้งตัว

"โอ๊ย!" ผมร้องเสียงหลงพร้อมยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตา เพราะถูกผงบ้านั่นเข้าตาเต็ม ๆ และมันก็แสบเป็นบ้า ตาแก่นี่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง แจ้งตำรวจเสียดีมั้ง

"นับจากนี้อีกสามวัน เอ็งจะต้องเผชิญหน้าและพบเห็นสิ่งที่เอ็งบอกว่าไม่มีอยู่จริงไปชั่วชีวิต…"



สวัสดีครับ กระผม 'นายสายชล นามสกุลวงศ์วารี' ปัจจุบันอายุยี่สิบห้าปี ประกอบอาชีพเป็นเจ้าของร้านหมูกระทะบุฟเฟ่ต์ และมีพี่สาวชื่อนางสาวสายฝน ตอนนี้เปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามีซึ่งผมก็จำไม่ได้ พี่สาวผู้ซึ่งไม่ยอมคุยกับผมมาแล้วสามวัน นับจากวันที่ผมไปว้อแตกใส่พ่อหมอทองเก๊ที่คุณเธอแสนจะศรัทธา เหตุการณ์วันนั้นมันก็จบลงด้วยการที่ตาแก่คนนั้นสั่งให้ลูกน้องจับผมโยนออกมานอกตำหนัก แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายร่างกายอะไรผมมากกว่าการที่เอาผงประหลาดนั่นปาใส่หน้าใส่ตาผม โชคดีที่ตาผมไม่บอดเพราะของสกปรกนั่นแต่มันทำให้ผมระคายเคืองในลูกตาอยู่เป็นชั่วโมง และนับจากวันนั้นจนวันนี้พี่สาวก็ไม่ยอมพูดกับผมอีกเลย

และนับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาแล้วสามวัน ซึ่งก็เป็นสามวันที่ชีวิตผมยังคงเป็นปกติสุขดี ลูกค้าเข้าร้านเนืองแน่นฟาดกำไรเหนาะ ๆ ไม่ได้มีอะไรพิสดารเกิดขึ้นตามที่ตาลุงทองเก๊สาปแช่งไว้ ก็บอกแล้วว่ามันเป็นพวกต้มตุ๋น

ทว่าวันนี้พี่สาวที่ไม่ยอมคุยกับผมจู่ ๆ ก็โทรมาหาเสียงสั่น บอกว่าสามีตัวดีประสบอุบัติเหตุรถคว่ำอาการสาหัส เหตุการณ์มันก็มีอยู่ว่าคุณเธอบุกไปตามหาผัวที่บ้านเพื่อนคนที่รูปร่างลักษณ์คล้ายกับที่ตาลุงทองเก๊บอกใบ้มา แล้วปรากฏว่าเจอหญิงร้ายชายเลวกำลังเล่นชู้กันอยู่จริง ๆ จุดนี้ผมขอปัดไปว่าตาลุงแค่ฟลุคก็แล้วกัน แต่นั่นก็เป็นเหตุให้พี่เขยผมกระโจนออกจากบ้านเมียน้อยขับรถหนีไปอย่างเร็วและพี่สาวผมก็ขับตามแบบเหยียบมิด ก็เลยเกิดอุบัติเหตุแบบนี้โชคที่พี่สาวผมไม่ได้เป็นอะไรไปด้วย

วันนี้ผมก็เลยสั่งลูกน้องปิดร้านเร็วหน่อยเพราะกะจะเข้าไปดูอาการพี่เขยเพราะไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นการดูใจครั้งสุดท้าย

ผมมาถึงโรงพยาบาลราว ๆ สี่ทุ่มเศษ ไถ่ถามจากพี่สาวมาแล้วว่าพี่เขยรักษาตัวอยู่ที่ชั้นห้าของโรงพยาบาล หลังจากหาที่จอดรถเรียบร้อยผมก็เดินมาที่หน้าประตูลิฟต์กดเรียกลิฟต์และยืนรออยู่ไม่กี่อึดใจประตูลิฟต์ก็เปิดออก ทีแรกผมเดินเข้าไปในลิฟต์ตามลำพังแต่จู่ ๆ ก็มีผู้ชายอีกคนไม่รู้โผล่มาจากไหนวิ่งตามผมเข้ามา หนุ่มหล่อหน้าคมเข้มสวมแจ็คเก็ตสีแดงตัวเท่เข้ามายืนอยู่ด้านข้างผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลังจากกดปุ่มเลขชั้นที่ตัวเองกำลังจะไปแล้ว ผมจึงหันไปถามคนด้านข้างที่ดูไม่มีทีท่าจะกดไปชั้นไหนเสียที

"ชั้นไหนครับ" หมอนั่นไม่ตอบอะไรซ้ำยังยืนนิ่งเหมือนทองไม่รู้ร้อน

"คุณจะไปชั้นไหน ผมจะได้กดให้" ผมถามย้ำ ชายข้าง ๆ หันมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะหันมองรอบตัวคล้ายกำลังมองหาว่าผมกำลังสนทนากับใคร

"คุณ ผมพูดกับคุณนั่นแหละ ในลิฟต์มีแค่ผมกับคุณนะผมจะไปพูดกับใครได้"

ชายคนนั้นชี้ตัวเองสีหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะตอบกลับผมด้วยน้ำเสียงงุนงง "เอ่อ ไปชั้นเดียวกับคุณก็ได้ครับ"

แค่จะไปชั้นเดียวกันต้องลงท้ายด้วยก็ได้ด้วยหรือ… แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักและปล่อยให้ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปยังจุดหมาย

ทว่า…

ลิฟต์กลับหยุดและประตูเปิดออกที่ชั้นสี่ โดยที่ด้านนอกไม่มีใครกดเรียกลิฟต์ แต่ช่างเถอะระบบลิฟต์มันอาจจะรวน แต่เมื่อผมกดปิดลิฟต์ประตูมันก็ยังคงเปิดค้างอยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะปิดลงเพื่อเคลื่อนตัวต่อ แม้ว่าผมกดปุ่มย้ำ ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไร ผมถอนหายใจอย่างสุดเซ็งไอ้ลิฟต์นี่ท่าจะเจ๊งบ๊งไปแล้ว เอาวะ แค่ชั้นเดียวเดินขึ้นบันไดเอาก็ได้

"เอ่อ คุณ" ชายในลิฟต์เอ่ยทักในตอนที่ผมก้าวออกมานอกตัวลิฟต์ได้สองถึงสามก้าว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยินว่าเขาจะพูดอะไร เมื่อหันกลับมาประตูลิฟต์มันก็เกิดปิดเอาเสียดื้อ ๆ ให้มันได้อย่างนี้สิ! ผมทึ้งหัวตัวเองเพราะหัวเสียกับระบบลิฟต์ที่บ้าบอ กดตั้งไม่นานไม่ปิดดันมาปิดเอาตอนที่อยู่นอกตัวลิฟต์

ผมเดินออกไปตามทางเดินเพื่อมุ่งไปหาทางขึ้นบันได อีกแค่ชั้นเดียวเดินเอาหน่อยก็ได้ถือว่าออกกำลังกาย แต่แปลกทำไมบรรยากาศในอาคารชั้นนี้มันดูวิเวกวังเวงชอบกล ไฟตามทางเดินก็กะพริบปริบ ๆ ดูพร้อมจะดับอยู่ทุกเมื่อ แล้วก็ไม่ยักเห็นหมอหรือพยาบาลเดินผ่านไปมาจะมีก็แต่เหล่าคนที่ท่าทางแปลก ๆ ใส่ชุดคนไข้กำลังเดินอย่างเนิบนาบไปมาเหมือนไร้จุดหมายอาการดูคล้ายคนใจลอย และแม้ว่าจะมีคนเดินอยู่ขวักไขว่แต่ทั้งชั้นกลับเสียงเงียบสนิทราวกับว่าไม่มีสิ่งใดกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ผมเดินตรงไปยังทางขึ้นบันไดที่อยู่อีกฝั่งแต่ระหว่างทางเกิดเจอคนไข้สาวคนหนึ่ง จู่ ๆ เธอก็กล่าวทักทายผมขึ้นมา

"สวัสดีค่ะ" เธอว่าพร้อมยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร แต่แปลกแม้ใบหน้าเธอจะดูยิ้มแย้มแต่ผมกลับรู้สึกว่าในรอยยิ้มนั้นมันชวนให้รู้สึกเศร้าหมองชอบกล

"เอ่อ สวัสดีครับ"

"มาเยี่ยมญาติเหรอคะ"

"อ๋อ เอ่อ ครับ แต่พอดีว่าลิฟต์มันเปิดผิดชั้นต้องเดินขึ้นอีกชั้นหนึ่ง"

"เอ่อ ถ้าไม่เป็นการรบกวน ดาวอยากขอให้คุณเดินไปเป็นเพื่อนดาวหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าดาวจะกลับห้องแต่ทางเดินมันน่ากลัว"

"คือ… ก็ได้ครับ" อีกฝ่ายเขาขอความช่วยเหลือมาขนาดนี้ผมก็ไม่รู้จะว่าปฏิเสธอย่างไร และเรื่องที่เธอร้องขอนั้นก็ดูไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ทางเดินโรงพยาบาลที่ประดับด้วยไฟตามทางติด ๆ ดับ ๆ บรรยากาศสลัวชวนให้ขนหัวลุกจริง ๆ โดยเฉพาะบรรดาคนไข้ท่าทางแปลก ๆ ตามทางเดินนั้นนอกจากจะไม่ช่วยให้อุ่นใจแล้วซ้ำจะยิ่งทำให้ดูหลอนกว่าเดิม ถ้าเป็นคนที่กลัวผีคงไม่กล้าเดินผ่าน แต่พอดีไอ้ผมมันดันเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีเลยกล้าเดินดุ่ม ๆ ออกมาจากลิฟต์ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้

"ว่าแต่ญาติคุณป่วยเป็นอะไรเหรอคะ" คุณดาวกล่าวชวนคุยระหว่างทางที่ผมเดินมาส่งเธอ

"อ๋อ อุบัติเหตุทางรถยนต์น่ะครับ แล้วคุณดาวล่ะครับป่วยเป็นอะไรถึงได้มาอยู่โรงพยาบาล" ไม่รู้ว่าผมอาจจะพลั้งปากถามอะไรที่ไม่ควรไปหรือเปล่า เพราะหลังจากที่ผมถามเธอกลับใบหน้าของเธอก็ดูเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

"เอ่อ ถ้าไม่สะดวกจะตอบก็ไม่เป็นไรนะครับ"

"คือดาวฆ่าตัวตายน่ะค่ะ" คำตอบของเธอทำเอาผมใจแป้ว

"แฟนดาวเขาทิ้งดาวไปกับผู้หญิงคนอื่นดาวเสียใจมากก็เลย…." สาเหตุการมาอยู่โรงพยาบาลของเธอนั้น ทำเอาผมรู้สึกผิดเหลือเกินที่ถามออกไป

ผมจะกำลังพูดอะไรเพื่อปลอบประโลมแต่อีกฝ่ายชิงตัดบทขึ้นมาเสียก่อน

"อ้าว ถึงห้องดาวพอดีเลย ขอบคุณนะคะที่เดินมาส่ง ว่าง ๆ ก็แวะมาคุยกับดาวได้นะคะ ดาวเหงาไม่มีใครคุยกับดาวมาหลายปีแล้ว" หา?

คุณดาวเธอแทบจะไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้ทันตั้งคำถามกับคำพูดของเธอเมื่อครู่ เธอยิ้มให้ผมและหันหลังเดินทะลุประตูห้องคนป่วยเข้าไปราวกับตรงนั้นไม่มีสิ่งใดขวางกั้น

เห้ย!!!!

ผมตาเบิกกว้างและค้างตั้งเพราะสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า นี่ผมไม่ได้ตาฝาดหรือกำลังฝันอยู่ใช่ไหม สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่มันคืออะไร ผู้หญิงที่เพิ่งจะคุยกับผมเธอเดินทะลุประตู! ขนผมลุกตั้งชั้นไปทั้งตัวเพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอาการขนหัวลุกมันเป็นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้นอกเสียจาก คุณดาวเธอเป็น ผะ.. ผะ..

ยังไม่ทันที่ผมจะหายตระหนกและตั้งสติได้กับเรื่องคุณดาว ผมก็ต้องพบเจอสิ่งที่อาจจะน่ากลัวว่าเดิมหลายเท่า เมื่อเหล่าคนไข้ประหลาดตามทางเดินนั้นต่างพร้อมใจกันหยุดเดินและจับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว ตัวผมเย็นวาบเหมือนหัวใจหล่นวูบไปอยู่แถวตาตุ่มเพราะพอจะคาดเดาได้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นต่อไป

"เขาเห็นพวกเรา" สิ้นเสียงตะโกนจากหนึ่งในกลุ่มคนไข้ พวกเขาเหล่านั้นก็พร้อมใจกันพุ่งตรงเข้ามาหาผมราวกับฝูงซอมบี้ในหนังที่กำลังออกล่าเหยื่อ

ผมไม่มีเวลามากพอที่จะตกใจทุกประสาทสัมผัสในร่างกายมันสั่งการว่าผมต้องวิ่ง วิ่งให้เร็วที่สุด และห้องผีคุณดาวนั่นก็ช่างอยู่ไกลจะจากลิฟต์และบันไดเสียเหลือเกิน ผมวิ่งหนีคนไข้เหล่านั้นอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าระหว่างทางผมกับพบใครบางคนที่ดูจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นพิเศษ ชายผู้สวมแจ็คเก็ตสีแดงที่ผมเพิ่งเจอในลิฟต์ จู่ ๆ ก็มายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่กลางทางเดิน

"หนีเร็วคุณ" ผมคว้าแขนชายคนนั้นและวิ่งต่อแบบไม่เหลียวหลัง หากไม่ได้อยู่ในนาทีคับขันและมีเวลาให้คิดทบทวนมากพอผมก็คงจะตระหนักได้ว่าตอนนี้ผู้ชายคนนี้ควรจะต้องขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นห้าแล้วสิ แต่ทำไมเขากลับอยู่ตรงนี้

ตรงทางไปบันไดมีคนไข้พวกนั้นอยู่เต็มไปหมด ผมไม่กล้าพอที่จะฝ่าไปเพราะใช้ความกล้าบ้าบิ่นด้วยการวิ่งฝ่าพวกเขามาจากหน้าห้องผีคุณดาวไปหมดแล้ว ผมจึงตัดสินใจพานายแจ็คเก็ตแดงวิ่งไปทางประตูลิฟต์

ช่วงเวลาแห่งความหวาดกลัว หัวใจผมเต้นแรงชนิดที่แทบจะทะลุออกมา ผมกดเรียกลิฟต์รัว ๆ แต่ช่วงเวลาแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกว่าการเคลื่อนที่ของลิฟต์มันใช้เวลานานแสนนาน และก็นานมากพอที่จะทำให้คนไข้ที่น่ากลัวพวกนั้นพุ่งมาถึงตัวผม

"กลัวแล้ว กลัวแล้ว อย่ามาหลอกผมเลย" ผมสติแตกหันหลังพิงกำแพงแบบไร้ทางไป หลับตาปี๋และพนมมือร้องขอความเมตตาจากสิ่งที่น่ากลัวพวกนั้น

ทว่าในวินาทีที่คนไข้น่ากลัวพวกนั้นควรจะเข้ามาถึงตัวผมแล้ว กลับเหมือนมีบางอย่างมาขวางกั้นผมกับสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ ผมรวบรวมความกล้า ๆ ค่อยลืมตาขึ้นมองปรากฏว่าเป็นนายแจ็คเก็ตแดงที่ใช้สองแขนกำยำค้ำกำแพงคร่อมตัวผมไว้กันไม่ให้คนไข้น่ากลัวพวกนั้นเข้ามาถึงตัวผม เพียงไม่กี่วินาทีที่ผมได้สบตากับชายตรงหน้าที่สูงกว่าผมราวหนึ่งคืบมือนั้นแม้ว่าจะไม่มีคำพูดใด ๆ แต่เหมือนกับแววตาของเขากำลังบอกผมว่าเขาจะปกป้องผมให้ถึงที่สุด

"อย่ายุ่งกับเขา" แม้ว่าจะถูกคนไข้น่ากลัวพวกนั้นรุมทึ้งอย่างหนักแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าชายตรงหน้ายอมปล่อยให้ใครเข้ามาถึงตัวผมได้ง่าย ๆ แต่ดูแล้วเขาก็คงจะต้านแรงพวกนั้นได้อีกไม่นาน

ติ๊ง..

ในวินาทีระลึกใจ เสียงลิฟต์นั้นราวกับเสียงสวรรค์ ประตูลิฟต์ค่อย ๆ เปิดออกพร้อมกับแสงสีขาวนวลที่สว่างจ้าปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ ก่อนที่แสงนั้นจะค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับเหล้าคนไข้ที่น่ากลัวพวกนั้น และเหตุการณ์ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องน่าสยดสยองเกิดขึ้นเมื่อครู่ แม้แต่นายแจ็คเก็ตแดงก็หายไปด้วย…

นายแจ็คเก็ตแดง….

"อ้าวลิฟต์เปิดชั้นนี้ได้ยังไง เขาปิดไว้ไม่ใช้เหรอ" ด้านในลิฟต์เป็นคุณตาที่ท่าทางใจดีอุ้มองค์พระพุทธรูปขนาดประมาณเจ็ดนิ้วชะเง้อมองออกมาด้านนอกด้วยท่าทีงุนงง หรือว่าที่สิ่งน่ากลัวพวกนั้นหายไปเป็นเพราะบารมีขององค์พระอย่างนั้นหรือ

แล้วผู้ชายคนที่ช่วยผมไว้ล่ะ….

สิ่งที่เพิ่งได้ประสบพบเจอมันน่ากลัวและหนักหนาเกินกว่าที่มนุษย์ปกติคนหนึ่งจะรับไหว ร่างกายผมมันจึงเข้าสู่สภาวะทิ้งตัว ผมล้มทั้งยืนและหมดสติไปทั้งอย่างนั้น ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว

"อ้าว พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่ม เป็นอะไรหรือเปล่า"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2023 14:09:51 โดย ชาญขวัญ »

ออฟไลน์ ชาญขวัญ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 2

'นับจากนี้อีกสามวัน เอ็งจะต้องเผชิญหน้าและพบเห็นสิ่งที่เอ็งบอกว่าไม่มีอยู่จริงไปชั่วชีวิต'

เสียงของตาลุงทองเก๊ดังก้องขึ้นมาในหัวผมท่ามกลางความมืดมิด นี่ขนาดผมไม่ได้สติเสียงนั้นยังอุตส่าห์ตามหลอกหลอน แต่ไม่ใช่สิตอนนี้ผมคงต้องเรียกท่านว่าพ่อหมอทองคำผู้ยิ่งใหญ่ หลังจากวันที่ผมโดนผงบ้า ๆ นั่นสาดเข้าตานับได้สามวันก็ดูท่าชีวิตผมจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วจริง ๆ

ผมรู้สึกตัวขึ้นเพราะความระคายตาจากไฟเพดานที่ส่องแยงมา ผมทำได้แค่หรี่ตาขึ้นเพียงเล็กน้อยน่าจะเป็นเพราะยังสะลึมสะลือจึงทำให้ผมขยับตัวไม่ค่อยได้ ผมได้แต่ชำเลืองมองซ้ายทีขวาทีเท่าที่สองตาจะลืมขึ้นได้ก็เห็นเพียงแค่หญิงวัยกลางคนในชุดพยาบาลที่เดินสอดส่องรอบ ๆ เตียงและชะโงกมองมาที่ผม บรรยากาศรอบ ๆ ตัวบ่งบอกชัดว่าผมกำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้คาดว่าน่าจะโดนหิ้วมาหลังจากความทรงจำทุกอย่างของผมถูกตัดขาดไปที่หน้าลิฟต์ตอนนั้น อาจเป็นเพราะผมลืมตาขึ้นได้ไม่มากเธอจึงยังไม่รู้ว่าผมรู้สึกตัวแล้ว แต่แปลก ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าร่างกายทุกส่วนของผมมันหนักอึ้งไม่หมด หนักจนเกินกว่าจะเคลื่อนไหว แม้ว่าจะคอแห้งมาก ๆ ตอนนี้ผมก็ยังไม่มีปัญญาจะเอ่ยปากขอคุณพี่พยาบาลกินน้ำ นี่เป็นผลกระทบจากการที่ผมช็อกจนสลบไปอย่างนั้นหรือ

คุณพี่พยาบาลเธอเดินสำรวจรอบตัวผมอยู่ครูหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาแม้จะมองผ่านตาที่ยังหรี่ผมก็รู้สึกได้ถึงความน่าขนลุกภายใต้รอยยิ้มนั้น แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้งผมเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนมาเลยรู้สึกระแวงไปเองเสียมากกว่า กระทั่งคุณพี่พยาบาลหันหลังให้ผมและตั้งท่าจะมุ่งหน้าไปทางประตู ผมพยายามที่จะส่งเสียงเรียกเพราะกระหายน้ำอย่างมาก ทว่าริมฝีปากกลับไม่ขยับเลยสักนิด จนคุณพี่พยาบาลที่เธอเดินไปจนถึงหน้าประตูผมจึงได้ค้นพบบางอย่าง

มองจากด้านหลังคุณพี่พยาบาลคนนั้นเธอก็เหมือนคนปกติทุกอย่าง แผ่นหลังท้วม มีแขน มีขา จะไม่มีก็แค่เท้าทั้งสองข้าง มีเพียงตาตุ่มที่ลอยอยู่ในอากาศ เธอไม่ได้เดินแต่เธอกำลังลอย...

หา!

คุณพี่พยาบาลเธอไม่ได้เปิดประตูออกไป แต่ร่างกายของค่อย ๆ เลือนรางหายไปในอากาศราวกับว่าไม่เคยมีผู้ใดยืนอยู่ตรงนั้น พร้อม ๆ กับที่ผมสามารถสูดลมหายใจได้เต็มปอดและดีดตัวลุกขึ้นนั่งถอนหายใจออกมาดังเฮือก อย่าบอกนะที่ผมนอนขยับตัวไม่ได้เมื่อครู่นั้นเป็นอาการที่คนเขาเรียกกันว่า 'ผีอำ' แม้ว่าอยากจะคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นแค่ความฝัน แต่เหตุการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อครู่มันย้ำชัดเกินกว่าที่ผมจะหลอกตัวเองได้

ผี ผี และ ผีแบบล้านเปอร์เซ็นต์

ดูเหมือนว่าผมที่เพิ่งฟื้นคืนสติกำลังจะสติหลุดอีกรอบ ผมรู้แค่เพียงว่าตอนนี้ผมอยากจะร้องตะโกนดัง ๆ ให้กับสิ่งที่เพิ่งพบเจอ

แต่...

"อย่าส่งเสียงครับ ถ้าเขารู้ว่าคุณเห็นเขาละก็ เขากลับมาหลอกมาคุณแน่" เสียงทุ้มที่จะว่าคุ้นก็คุ้น แต่นึกไม่ออกมาเคยได้ยินที่ไหนดังขึ้นอยู่ข้างหูผม แต่แล้วผมก็เป็นอันสะดุ้งจนไหล่ตั้งเมื่อหันมองทางต้นเสียง

นายแจ็คเก็ตแดงคนนั้น... หรือจริง ๆ ต้องเรียกว่าตนนั้น ยืนอยู่ข้างเตียงและยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าผมจนหน้าผมกับหน้าเขาห่างกันไม่ถึงคืบ

ว่ากันตามตรงผมไม่ได้รู้สึกหวาดผวากับนายคนนี้เหมือนคุณผีพยาบาลหรือเหล่าคนไข้ซอมบี้ที่ชั้นสี่ อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาทำทีคล้ายว่าจะช่วยผม แต่อย่างไรก็ผีอยู่ดี ผมตะเกียกตะกายลงจากเตียงอย่างทุลักทุเลสับเท้าตรงดิ่งไปทางประตู แต่ไม่ทันที่ผมจะได้หนีออกไปร่างกำยำสวมแจ็คเก็ตสีแดงคุ้นตาก็วาร์ปมาปรากฏกายขวางประตูไว้เสียก่อน

เมื่อออกไปไม่ได้ผมจึงได้แต่ถอยหลังหนี แต่นายผีนั่นก็ยังเดินตามแบบก้าวต่อก้าว ผมถูกไล่ต้อนจนหลังชนกำแพงหมดทางไปต่อ สองแขนที่กล้ามเป็นมัด ๆ ยกขึ้นยันกับกำแพงคร่อมตัวผมไว้พันธนาการไม่ให้ผมหนีไปไหนได้

ผมกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งเหือด ยกมือที่สั่นริก ๆ ขึ้นพนมหวังจะขอเจรจากับคน เอ๊ย ผีตรงหน้า นายผีนี่ก็ดูไม่ได้มีพิษภัยอะไรขนาดนั้น เขาคงจะไม่ได้มาร้ายหรอก(มั้ง)

"คะ คุณผี อย่ามาหลอกผมเลยนะ คุณอยากได้ส่วนบุญใช่ไหม เดี๋ยวตอนเช้าผมจะรีบไปทำบุญให้นะ"

"ผมแค่ต้องการให้คุณช่วยผม ผมยังไม่ตาย แต่ผมกลับเข้าร่างไม่ได้ เคยมีคนบอกผมว่าคนที่สามารถมองเห็นดวงจิตของผมได้เป็นคนแรก จะเป็นคนที่สามารถพาผมกลับเข้าร่างได้ ซึ่งนั่นก็คือคุณ คุณช่วยผมได้ไหม" นายผีแจ็คเก็ตแดงพูดอะไรไม่รู้ยาวเหยียด แต่ผมอยู่ในสภาวะที่ยังไม่พร้อมจะจับใจความอะไรที่มันเข้าใจยาก รู้แค่ว่าน้ำเสียงและสีหน้าของเขาดูจริงจังและหนักแน่นมาก

แกร๊ก

แต่ยังไม่ทันที่ผมกับนายนั่นจะได้เจรจาอะไรกันต่อ ผมก็ถูกดึงความสนใจจากเสียงลูกบิด และประตูห้องที่ค่อย ๆ เปิดแง้มออก หญิงสูงวัยที่ผมที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีกำลังเดินเข้ามา แม่ผมเอง...

"ชล ฟื้นแล้วเหรอลูก"

เพียงแค่ผมหันไปให้ความสนใจกับคนที่เพิ่งเข้ามาแค่พริบตาเดียว หันกลับมาก็พบว่านายผีแจ็คเก็ตแดงตรงหน้าผมได้หายไปแล้ว แต่เมื่อครู่นี้นายนั่นพยายามจะบอกอะไรกับผมกันนะ ผมนึกออกคร่าว ๆ ได้ประมาณว่าเขากลับเข้าร่างไม่ได้อย่างนั้นหรือ

ในขณะที่ผมกำลังพยายามนึกจับต้นชนปลายถึงคำพูดของนายผี จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นในโสตประสาท และเสียงนั้นทำเอาผมต้องเบิกตากว้าง...

'เนื้อคู่เอ็งน่ะมี และเอ็งจะได้เจอเขาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว...'

'แต่ก็จะเจอกันในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดสักหน่อย...'

'ชาตินี้เนื้อคู่เอ็งเขาก็ยังเกิดเป็นชาย...'

'เขาจะเอาเอ็งเป็นเมียแบบออกหน้าออกตา...'


ถ้าคำสาปแช่งของพ่อหมอทองคำทำให้ผมกลายเป็นคนเห็นผีได้จริง ถ้าอย่างนั้นคำทำนายก่อนหน้านั้นก็....

อย่าบอกนะ!



สอบถามได้ความจากคุณหมอว่าจากเหตุการณ์ที่ชั้นสี่ ผมหมดสติไปราวสองชั่วโมงคาดว่าน่าจะเกิดจากอาการอ่อนเพลียเพราะช่วงนี้ผมพักผ่อนน้อย แต่ที่น่าแปลกคือผมไปโผล่ที่ชั้นสี่ได้อย่างไร... ถามจากหลาย ๆ คนในโรงพยาบาลนั้นทุกคนยืนยันว่าชั้นสี่เป็นชั้นที่ถูกปิดตายลิฟต์ก็ถูกตั้งค่าระบบไว้ให้ไม่สามารถเปิดที่ชั้นนั้นได้ แม้แต่ทางขึ้นลงบันไดหนีไฟก็ถูกล็อกเช่นกัน ส่วนสาเหตุที่ปิดไม่มีใครยอมปริปาก แต่ที่แน่ ๆ คือไม่มีทางที่คนนอกอย่างผมไปโผล่ที่ชั้นนั้นได้ เว้นเสียแต่ว่ามีพลังงานบางอย่างนำพาให้ผมเข้าไป และนับเป็นโชคดีที่บังเอิญมีคุณตาอุ้มองค์พระมาเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับหลานชายที่นอนป่วยอยู่พอดิบพอดี อาจเป็นเพราะบารมีขององค์พระที่ท่านรับรู้ได้ว่าผมกำลังตกอยู่สถานการณ์ที่คับขันจากสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นจึงทำให้ลิฟต์หยุดและเปิดออกตรงนั้น ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ผมจะคาดไม่ถึงไปมากกว่านั้น

แม้ว่าคุณหมอจะอยากให้ผมนอนดูอาการให้แน่ใจเสียก่อน แต่ผมดึงดันที่จะออกจากโรงพยาบาลให้ได้เดี๋ยวนั้น ขืนอยู่ต่อก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรอีกบ้าง แม้แต่พี่เขยที่ตั้งใจมาเยี่ยมแต่ทีแรกผมยังไม่ได้เห็นหน้าเลย ช่างหัวพี่เขยไปก่อนละตอนนี้ เพราะสิ่งแรกที่ผมจะต้องทำคือจบเรื่องบ้า ๆ นี่ให้ได้เสียก่อน

เรื่องมันเริ่มที่ตรงไหน... ก็ต้องไปจบที่ตรงนั้น...

ผมมุ่งหน้าลงมาทางบันไดหนีไฟเพื่อตรงไปยังลานจอดรถ ไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นลิฟต์กลัวทะลึ่งไปเปิดที่ชั้นสี่อีก ขนาดตอนเดินผ่านบันไดที่ชั้นนั้นก็ยังอดใจวูบ ๆ ไม่ได้ เพราะเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมงทำเอาผมระแวงไปหมดเวลาเจอคนแปลกหน้าไม่รู้ว่าคนที่เดินสวนไปมานั้นคือคนจริง ๆ หรือเปล่า แต่ท้ายที่สุดผมก็เดินมาถึงที่จอดรถของตัวเองได้ในสภาพหวาดหวั่น เจอคนก็กลัวเจอความมืดก็กลัว กลัวไปหมดทุกสิ่งอย่างโชคดีที่ยังไม่มีอะไรแปลก ๆ โผล่มา

ผมเปิดประตูเข้ามานั่งในรถวางมือทาบอกและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จุดหมายของผมคือตำหนักพ่อหมอทองคำที่อยุธยา เอาล่ะ ต่อให้ต้องกราบเท้าตาแก่นั่นผมก็ยอมขอแค่ให้เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับผมมันหายไปก็พอ

"นี่คุณจะไปไหนน่ะ" ผมสะดุ้งแรงเมื่อหันมองด้านข้างตัว อีตาผีแจ็คเก็ตแดงโผล่มานั่งที่เบาะข้างคนขับตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

"คุณผี คุณขึ้นมาอยู่บนรถผมได้ไงเนี่ย"

"ก็รถคุณไม่มีแม่ย่านาง คุณคงไม่เคยเอารถไปเจิมล่ะสิ" นายนั่นตอบกลับหน้าตาเฉย โอเค ถ้าเรื่องนี้มันจบเมื่อไหร่จะรีบเอารถไปให้หลวงพ่อทำพิธีโดยด่วน

"ผมขอร้องนะคุณผี เลิกยุ่งกับผมสักทีได้ไหม ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้เหรอ ผมก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวทำบุญไปให้"

"นี่เลิกเรียกผมว่าคุณผีได้ไหม ผมไม่ใช่ผี ผมบอกแล้วไงว่าผมยังไม่ตายเป็นแค่ดวงจิตที่หลุดออกจากร่างชั่วคราว" นายผีแจ็คเก็ตแดงว่าหน้านิ่วทำท่าเหมือนเด็กกำลังจะงอแง นี่สินะที่เขาเรียกว่าผีหลอก ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นผียังจะกล้าบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นผีอีก

แต่ช่างหัวนายผีที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นผีนั่นเถอะ อยากจะพูดอะไรก็เรื่องของเขา เพราะผมคงจะเห็นเขาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เอาไว้เดี๋ยวทำบุญให้แล้วก็ต่างคนต่างอยู่เสียเถอะนะ ผมสตาร์ทรถและมุ่งหน้าออกจากโรงพยาบาลโดยที่มีนายผีนั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างนั้น อย่างน้อยก็น่าจะพอเชื่อใจได้ในระดับหนึ่งว่าอีตานี่คงไม่ทำอะไรผม เพราะเจอกันรอบที่สามแล้วถ้าเขาจะทำคงทำไปนานแล้ว

ทว่าเลี้ยวรถออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่เท่าไหร่ ไอ้คุณผีตัวดีก็ดันพูดบางสิ่งที่ไม่เข้าท่าขึ้นมาทำเอาผมแทบไปไม่เป็น

"แปลกจังปกติผมไม่เคยออกนอกเขตโรงพยาบาลได้เลย แต่พอมากับคุณกลับออกได้...."

"เอ... หรือว่าเราสองคนจะเป็นเนื้อคู่กันนะ" นายผีพูดออกมาอย่างหน้าตาย คน เอ๊ย ผีที่พูดก็ดูจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดตัวเอง แต่คนฟังอย่างผมหน้าร้อนผ่าว รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวแล้ว

"เฮ้ย คุณเป็นอะไรอะ ไม่สบายหรือเปล่าทำไมจู่ ๆ ก็หน้าแดงแจ๋เลย"

"นี่ไอ้คุณผี ถ้าอยากจะนั่งรถไปด้วยกันดี ๆ ก็กรุณานั่งเงียบ ๆ อย่าคิดว่าเป็นผีแล้วผมจะไม่กล้าเตะลงข้างทางนะ"

นายผีทำหน้าเหลอหลาหลังจากโดนผมแหวเข้าให้ ก่อนจะยกมือขึ้นสองข้างคล้ายกำลังจะบอกว่ายอมแพ้และทำมือเป็นท่ารูดซิปปาก ที่หน้าแดงก็เพราะอากาศมันร้อนเฉย ๆ หรอกโว้ย ไม่ได้เขินอะไรหรอกนะ



ผมเหยียบมิดจากกรุงเทพฯ มาถึงหน้าตำหนักตาลุงทองคำตอนเวลาประมาณตีสอง ก็รู้อยู่ว่าการมารบกวนคนอื่นในเวลาแบบนี้มันก็ไม่ดีนัก แต่เรื่องมารยาทนั่นเอาไว้ก่อนตอนนี้ผมต้องจบเรื่องบ้าบอคอแตกนี่ให้ได้เสียก่อน นายผีแจ็คแดงเก็ตยังคงนั่งอยู่เบาะด้านข้างร่วมทางกับผมมาจนถึงที่หมาย สีหน้าเขาดูเริ่มหมดอาลัยนายนี่คงพอจะรู้ได้ว่าผมมาที่นี่ด้วยสาเหตุอะไร ถ้าหากว่าเรื่องที่ว่าเขายังไม่ตายแค่ยังหาทางกลับเข้าร่างไม่ได้เป็นเรื่องจริงมันก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่ตอนนี้คนที่ผมต้องสงสารที่สุดคือตัวเองเพราะผมไม่ได้มองเห็นแค่เขาตนเดียวแต่อะไรที่กลัวอีกมากที่ผมต้องเผชิญ ผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงผมยังประสาทจะเสียหากต้องเห็นอะไรแบบนี้ไปตลอดผมคงได้เป็นบ้าจริง ๆ แน่

ไปให้คนอื่นช่วยก็แล้วกันนะ คนที่เก่งกว่าผม เข้มแข็งกว่าผม สัญญาว่าจะทำบุญให้เรื่อย ๆ

บรรยากาศรอบ ๆ ตอนนี้เงียบสงัด บ้านที่ใช้เป็นตำหนักของพ่อหมอทองคำเป็นบ้านที่ตั้งอยู่หลังเดียวกลางที่ดินโล่ง ๆ พอตกกลางคืนแล้วมันมืดและเปลี่ยวมาก ผมทำใจอยู่นานกว่าจะกล้าก้าวขาลงจากรถเพราะไม่รู้ว่าจะมีอะไรโผล่มาตอนไหน ยิ่งมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ด้วย

ตำหนักพ่อหมอทองคำปิดไฟมืดสนิททั้งหลัง รถสักคันก็ไม่มีจอดอยู่ บ้าน่า อย่าบอกนะว่าไม่มีใครอยู่น่ะ

"พ่อหมอ พ่อหมออยู่หรือเปล่า" ผมยกมือป้องปากตะโกนเรียกคนที่น่าจะอยู่ข้างใน เพราะที่หน้าประตูรั้วไม่มีออดให้กด

"พ่อหมอครับ ช่วยผมด้วย ผมขอโทษที่ลบหลู่พ่อหมอวันนั้น จะให้ผมทำอะไรผมก็ยอม" ผมตะโกนจนสุดเสียงแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววว่าจะมีใครตอบกลับมาจนผมเริ่มใจเสีย ตาลุงพ่อหมอกับบรรดาลูกน้องหายไปไหนกันหมด

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีหญิงสูงวัยร่างท้วมท่าทางใจดีสวมชุดไทยประยุกต์เดินผ่านมาทางนี้ โดยที่ผมก็ไม่ทันได้สังเกตว่าคุณป้าเขามาจากทางไหนทำไมถึงมาเดินแถวนี้ตอนดึก ๆ ดื่น ๆ แต่คุณป้าเขาก็ดูไม่ได้มีรังสีของความน่ากลัว เอ่อ คุณป้าคงจะไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอกมั้ง บางทีเขาอาจจะเพิ่งไปงานแต่งลูกหลานแล้วเพิ่งจะกลับเลยแต่งตัวเต็มยศขนาดนี้

ผมกลืนลูกสะอึกก้อนใหญ่ก่อนจะทำใจเข้าไปทักคุณป้าคนนั้น เพราะตอนนี้ผมไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วจริง ๆ

"เอ่อ คุณป้าครับ พ่อหมอทองคำเขาไม่อยู่บ้านเหรอครับ"

คุณป้าหันมายิ้มให้ผมท่าทางเป็นมิตร เธอดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่ดูอย่างไรก็เป็นคนปกติทุกกระเบียดของร่างกาย เมื่อได้เห็นคุณป้าใกล้ ๆ ผมก็พอได้ใจชื้น คนแน่นอน อย่างไรก็คน

"อ้าว พ่อหนุ่มไม่รู้หรอกหรือลูก พ่อหมอเขาย้ายไปอยู่กับลูกสาวที่จังหวัดอื่นแล้ว เห็นว่าเมื่อสามวันก่อนเขาเพิ่งจะเปิดให้คนเข้าพบครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดตำหนัก" คุณป้าตอบผมด้วยน้ำเสียงเนิบนาบอ่อนหวาน หากเป็นในวรรณคดีไทยพื้นที่รอบ ๆ นี้คงจะโปรยปรายด้วยดอกพิกุลสีทอง ทว่าคำตอบของคุณป้านั้นทำเอาผมแทบล้มทั้งยืน ที่วันนั้นผมกับพี่สาวแล้วคนเยอะจนต้องรอกันค่อนวันเพราะพ่อหมอกำลังจะปิดตำหนักหรอกหรือ

"ย้าย ย้ายไปเหรอครับ คุณป้าพอจะมีช่องทางติดต่อพ่อหมอไหมครับ"

"ไม่มีใครติดต่อพ่อหมอได้หรอกจ้ะ แม้แต่บรรดาลูกศิษย์แกก็ไม่มีใครติดต่อได้ ป้าได้ยินว่าแกอยากจะไปใช้ชีวิตบั้นปลายแบบเงียบ ๆ ไม่ให้ใครรบกวน ถ้าไม่มีอะไรแล้วป้าขอตัวก่อนนะจ๊ะ"

ว่าแล้วคุณป้าก็ขอแยกตัวเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนตัวตัวสั่นน้ำตาตกอย่างคนสิ้นหวัง แม่งเอ๊ย! อยากจะไปใช้ชีวิตเงียบสงบแต่ดันมาสาปให้ผมกลายเป็นบ้าเป็นบออะไรก็ไม่รู้ก่อนจะไปเนี่ยนะ ตาแก่โรคจิตเอ๊ย

ผมเกาะรถเพื่อประคองร่างกายที่หนักอึ้งเดินกลับไปเปิดประตูขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ก่อนจะฟุบหน้ากับพวงมาลัยแล้วปล่อยโฮออกมายกใหญ่ ผมสิ้นหวังแล้วจริง ๆ หรือ ผมต้องเป็นแบบนี้ตลอดไปเลยอย่างนั้นหรือ โถ่โว้ย ไอ้แก่บ้า ย้ายไปอยู่ที่ไหนวะ

"คุณโอเคหรือเปล่า"ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมไม่ได้อยู่บนรถคนเดียว เพราะมีน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยจากสิ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น ผมปาดน้ำตาและพยายามเก็บอาการสะอึกสะอื้น เพราะไม่ชอบแสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็นแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผีก็เถอะ เมื่อครู่ผมอาจลืมตัวไปหน่อยจึงเผลอฟูมฟายออกมาเสียชุดใหญ่

"จริง ๆ การที่คุณได้เห็นพวกเรามันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้นะ"

"ไม่แย่บ้าอะไรล่ะ คุณไม่เห็นที่พวกเพื่อน ๆ คุณที่โรงพยาบาลทำกับผมหรือไง" ผมว่ากลับพยายามจะระงับสติอารมณ์ เพราะไม่อยากจะตะคอกใส่เขา

"พวกเขาก็แค่ขอส่วนบุญน่ะ ไม่เคยมีใครทำบุญให้พวกเขาเลย แต่อาจจะใช้วิธีผิดไปหน่อยเลยทำให้คุณกลัว" นายผีแจ็คเก็ตแดงพูดทั้งสีหน้าที่ดูรู้สึกผิด

ผมเบือนหน้าหนีสิ่งที่อยู่ตรงเบาะด้านข้าง กล้าพูดว่าแค่ใช้วิธีผิดไปหน่อยอย่างนั้นหรือพวกนั้นวิ่งไล่ผมอย่างกับฝูงซอมบี้เลยนะ

"แต่พวกเราก็ไม่ได้น่ากลัวไปซะทุกคนหรอกนะ ดูอย่างผมสิ หรือดูอย่างคุณป้าคนเมื่อกี้ก็ได้" หา! ว่าไงนะ

ผมชะงักหลังสิ้นเสียงที่นายผีพูด สองคิ้วของผมเลิกขึ้นเพราะมีคำถามก่อนจะเหลือบมองกระจกหลังแล้วก็ขนลุกเกรียวถึงต้นคอ เมื่อผมพบแค่ความว่างเปล่า

บ้านที่ใช้เป็นตำหนักพ่อหมอทองคำตั้งอยู่บนที่ดินโล่งหลังเดียวโดด ๆ ทางที่ผ่านหน้าบ้านก็เป็นทางยาวตรง ๆ ไม่มีบ้านคนหรือทางเลี้ยวไปไหน และผมก็แยกกับคุณป้าแค่แป๊บเดียว แล้วคุณป้าคนนั้นหายไปไหนแล้ว...

ผมหันมองสิ่งที่อยู่ตรงเบาะด้านข้างเพื่อขอความเห็น

"คุณป้าท่านเป็นนางไม้น่ะ แต่ท่านไม่ได้มาหลอกให้คุณกลัวหรอกนะ ท่านผ่านมาตามปกติของท่านแต่คุณบังเอิญไปเห็นท่านเอง"

ผมไม่มัวเสียเวลาเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งใดและตัดสินใจสตาร์ทรถเพื่อขับออกไปให้ได้เร็วที่สุด หากอยู่ตรงนี้นาน ๆ เกรงว่าจะมีท่านอื่น ๆ ปรากฏกายออกมาให้ผมได้เห็นอีก กลับถึงบ้านค่อยคิดหาวิธีอีกทีว่าจะเอาอย่างไรต่อ



บทสนทนาของผมและนายผีแจ็คเก็ตแดงมีเพียงแค่ความเงียบมานานหลายนาที นับตั้งแต่ที่ขับรถออกมาจากหน้าตำหนักตาลุงทองคำเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ผมขับตามจีพีเอชมาด้วยความไม่คุ้นทางรู้สึกตัวอีกผมก็มาโผล่บนถนนที่มืดและเปลี่ยวไม่มีแม้แต่รถคันอื่นที่จะเป็นเพื่อนร่วมทาง ผมพยายามจะขับรถเพื่อให้ออกไปถึงถนนใหญ่ไวที่สุดจนกระทั่งผมเริ่มรู้สึกว่าผมไม่สามารถจะควบคุมรถที่ตัวเองกับกำลังขับอยู่ได้อีกต่อไป จู่ ๆ เครื่องยนต์ก็เร่งขึ้นจนรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ผมพยายามแตะเบรกแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่พวงมาลัยก็ไม่สามารถจะควบคุมทิศทางของรถได้ เรื่องแบบนี้คงไม่ใช่ความขัดข้องของระบบเครื่องยนต์เป็นแน่ แต่น่าจะเป็นเพราะสิ่งที่เหนือธรรมชาติทำให้เกิดขึ้น

"นี่ฝีมือคุณใช่ไหม ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย" อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร ซ้ำแววตาของเขาเอาแต่เพ่งมองไปข้างหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง

"หยุดรถเดี๋ยวนี้นะ!" ผมเริ่มใจเสียกับความเร็วของรถที่เสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุเอามาก ๆ นายผีบ้าจะทำอะไรของเขากันแน่ หรือผมประเมินผิดไปว่าเขาไม่น่าจะมีพิษภัย

และแล้วสิ่งที่ผมกังวลมันก็เกิดขึ้นจริง เมื่อจู่ ๆ ก็มีผู้หญิงชุดขาวที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ยืนอยู่กลางถนน

"คุณเบรก!" ผมตะโกนสุดเสียงเพื่อให้นายผีแจ็คเก็ตแดงหยุดอะไรก็ตามที่เขาคิดจะทำ

โครม

แต่เปล่าประโยชน์รถของผมพุ่งชนผู้หญิงชุดขาวตรงหน้าเต็มแรง จนร่างของเธอกระเด็นข้ามหลังคารถไปด้านหลัง จากนั้นรถก็ค่อย ๆ ช้าลงและจอดนิ่งสนิท โดยที่ผมไม่ได้รับอันตรายใด ๆ จากเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ผู้หญิงคนนั้นล่ะ

"ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย!" ผมตวาดลั่นตั้งใจจะกระชากคอแจ็คเก็ตแดงหมายจะเรื่อง แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ ผมได้แต่มองหน้าเขาอย่างคาดโทษก่อนจะรีบลงจากรถเพื่อไปดูอาการคู่กรณี

ผมไม่ได้อยากจะคิดให้ตัวเองใจเสียแต่ด้วยความเร็วที่ชนแล้ว เธอคนนั้นคงไม่รอดแน่ ๆ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับชีวิตผมนักหนา เห็นผีแล้วยังจะต้องกลายเป็นฆาตกรอีก ต่อให้บอกความจริงว่าผีทำก็คงจะไม่มีใครเชื่อ ซ้ำจะโดนข้อหาหนักเดิมเพราะเขาคงคิดว่าผมแกล้งบ้าเพื่อหนีความผิด

หัวใจผมแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นสภาพของผู้หญิงคนนั้น เธอกระเด็นไถลครูดกับพื้นถนนไปไกลหลายเมตรเสื้อผ้าสีขาวที่เธอสวมใส่แดงชุ่มไปด้วยเลือดที่ไหลนอง กระดูกแขนขาหักชี้ไปคนละทาง ลำคอของเธอหักพับงอ เธอไม่รอดแล้วแน่ ๆ ผมจะต้องติดคุกข้อหาขับรถชนตายน่ะหรือแล้วพ่อแม่ผมจะอยู่อย่างไร โธ่โว้ย! ไอ้ผีบ้า มันทำบ้าอะไรของมันวะ

"คุณอย่าเข้าไป" ผมหันกลับมาเพราะนายผีแจ็คเก็ตแดงที่ตอนนี้วาร์ปลงมายืนอยู่ข้างรถ ร้องเรียกผมขณะกำลังจะวิ่งเข้าไปดูร่างที่น่าจะไร้วิญญาณไปแล้วของเธอคนนั้น

"คุณทำบ้าอะไรของคุณ ฆ่าเขาทำไม ไอ้เลวเอ๊ย ไอ้ผีชั่ว"

กรอบ... แกรบ...

ก่อนที่ผมจะได้ก่นด่าอะไรนายผีแจ็คเก็ตแดงไปมากกว่านั้น ผมก็ต้องชะงัก เพราะเสียงบางอย่างที่ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณมาจากทางด้านหลังผม เสียงนั้นคล้ายเสียงกระดูกลั่นแต่มันฟังดูน่าสยดสยองกว่านั้นมาก ผมหายใจไม่ทั่วท้องเหงื่อเริ่มไหลจนโทรมไปทั้งตัวก่อนจะทำใจกล้าเพื่อหันกลับไปทางที่มาขอเสียง

ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อหญิงสาวที่ผมเข้าใจว่าเธอได้ลาโลกนี้ไปแล้ว กำลังค่อย ๆ ประคองตัวลุกขึ้น แม้ว่าแขนขาของเธอจะหักจนกระดูกทะลุออกมานอกผิวหนัง เส้นผมของเธอยาวจรดพื้นผนวกกับชุดขาวโชกเลือดยิ่งเพิ่มความน่าสะพรึง ทุกการเคลื่อนไหวร่างกายของเธอจะมาพร้อมกับเสียงกระดูกลั่นสุดหลอน ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ จับลำคอที่พับงอให้ตั้งตรง แต่เพียงไม่นานลำคอระหงของเธอนั้นก็หักย้อนศรมาด้านหลัง ทำให้หน้าและตัวของเธออยู่ในสภาพย้อนศรกันแบบร้อยแปดสิบองศา และใบหน้าของเธอนั้นหันมาทางที่ผมยืนอยู่

สองตาของผมเบิกกว้างยิ่งกว่าไข่ห่าน เมื่อดวงตาทั้งสองของเธอหลุดจากเบ้ากระเด็นลงพื้นถนนกลิ้งไปคนละทิศทาง ปากของเธอค่อย ๆ ฉีกกว้างเป็นแผลยาวเลือดอาบเต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นเธอจึงกรีดร้องออกมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

"กรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

ผมสาบานได้เลยว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาในชีวิต หนังผีเรื่องไหนที่ว่าน่ากลัวนักหนาก็ไม่อาจเทียบได้ และร่างของเธอก็หายวับไปในความมืดต่อหน้าต่อตาผมราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้น

ภาพเหตุการณ์ที่หน้าสะพรึงนั้นทำเอาผมลมจับ แข้งขาประคองตัวไม่อยู่จนหงายท้องตึง แต่โชคดีที่มีบางสิ่งมารับตัวผมไว้ก่อนที่ร่างกายผมจะกระแทกกับพื้นคอนกรีต

ผมล้มมาอยู่ในอ้อมแขนของนายผีแจ็คเก็ตแดง ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงมามองสบตาผม ให้ตายเถอะ นี่มันซีนพระเอกละครไทยชัด ๆ

"ถ้าผมไม่ได้มาด้วยละก็ คุณได้อยู่เฝ้าถนนเส้นนี้แทนผู้หญิงคนนั้นแล้ว" ผมได้มองตาเขาปริบ ๆ นี่เขาช่วยชีวิตผมไว้อย่างนั้นหรือ... ตอนนี้หัวใจเต้นโครมครามซึ่งไม่อาจตอบได้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือเพราะอะไรกันแน่

เพราะมัวแต่ตระหนกกับวิญญาณหญิงสาวเมื่อครู่ ผมจึงไม่ทันได้นึกเอะใจว่าทำไมอีตานี่จึงสามารถโอบรับผมได้ ทั้งที่ตอนที่อยู่บนรถผมพยายามจะจับตัวเขาแต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ

และนายนั่นก็เอ่ยขึ้นเสียงหวาน

"เห็นทีว่า เราคงจะมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกเยอะนะครับ สายชล"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2023 01:56:11 โดย ชาญขวัญ »

ออฟไลน์ ชาญขวัญ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 3


"คุณชื่อสายชลใช่ไหม ผมได้ยินแม่คุณกับคนที่โรงพยาบาลเรียกคุณแบบนี้" ผมพยักหน้ารับคำนายผีช่างจ้อที่ถามนั่นนี่ไม่หยุด ตั้งแต่ผมขับรถออกมาจากจุดเกิดเหตุผู้หญิงชุดขาว แต่พอนึกถึงเธอคนนั้นจนกระทั่งตอนนี้ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วหัวใจผมก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ภาพของเธอมันช่างติดตาเหลือเกินชนิดที่คนไข้ซอมบี้ที่โรงพยาบาลแทบจะต้องชิดซ้าย

นับว่าโชคยังดีที่ผมมีวิญญาณข้าง ๆ ตามติดมาและช่วยชีวิตผมเอาไว้จากการเป็นตัวตายตัวแทน เพราะอย่างนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะพักโครงการตามหาตาลุงทองคำบ้านั่นเอาไว้ก่อน แล้วเปิดใจรับฟังปัญหาของนายผีแจ็คเก็ตแดงอย่างจริงจังเผื่อว่าผมพอจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง ตอบแทนที่เขาช่วยผมไว้ แล้วค่อยหาวิธีให้หายจากอาการเห็นผีทีหลัง

"ผมว่าคุณเข้าเรื่องเถอะ เรื่องที่ว่าจะให้ผมพาคุณกลับเข้าร่างเนี่ย มันยังไงกันแน่"

"วิญญาณผมออกจากร่างมาได้หกเดือนแล้ว" สีหน้าเขาเริ่มดูเศร้าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ "เมื่อหกเดือนก่อนผมได้พบกันท่านที่โรงพยาบาล"

"ท่าน..."

"ท่านผู้รับวิญญาณน่ะ ผมได้พบท่านมาแล้ว" นายนั่นตอบพร้อมหันมาอมยิ้มให้ผมเล็กน้อย แต่พอเอ่ยถึงท่านผู้นั้นผมก็รู้สึกใจหวิว ๆ ขึ้นมาเหมือนกัน แม้รู้ดีว่าวันหนึ่งวันใดผมก็ต้องได้พบท่านเหมือนกัน เพราะมันคือชะตาชีวิตที่มนุษย์ทุกคนไม่อาจหลีกหนีแต่พอนึกถึงผมก็อดจะกลัวไม่ได้

"ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองตายแล้วเลยจะตามท่านไปเหมือนวิญญาณดวงอื่น ๆ แต่ท่านบอกผมว่ายังไม่ถึงเวลาของผม และกายสังขารของผมยังไม่ดับสูญ" คิ้วผมเลิกขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ฟังนายนั่นอธิบายเบื้องต้น เพราะเกิดข้อสงสัยขึ้นบางอย่าง

"เอ ถ้าคนที่ตายแล้วต้องไปกับท่าน แล้วทำไมผู้หญิงคนเมื่อกี้และพวกที่โรงพยาบาลถึงยังอยู่ให้ผมเห็นล่ะ"

"อ๋อ พวกนั้นน่ะกายสังขารเขาดับสูญแล้ว แต่ดวงวิญญาณยังไม่ถึงเวลาที่จะไปสู่ภพหน้า เขาถึงยังต้องวนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์ ถึงพวกเขาจะน่ากลัวแต่จริง ๆ แล้วพวกเขาน่าสงสารมากเลยนะคุณ บางคนยังมีเรื่องค้างคาใจหรือมีคนข้างหลังให้ห่วงแต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว จะไปเกิดใหม่ก็ไปไม่ได้ต้องทุกข์ทนอยู่อย่างนี้" ผมพยักหน้ารับฟังคำอธิบายที่เข้าใจชัดเจน แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าผมควรจะขยาดหรือสงสารวิญญาณเหล่านั้นมากกว่ากัน

แต่อย่างน้อยสิ่งที่นายแจ็คเก็ตแดงบอกมันก็ทำให้ผมตระหนัก ว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนหากมีเรื่องอะไรที่อยากจะทำก็ต้องรีบทำให้สำเร็จก่อนที่จะไม่เหลือลมหายใจแล้วหมดโอกาสทำทุกสิ่ง

"กลับมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ท่านบอกผมว่าถ้าผมไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ภายในหนึ่งปีผมก็จะกลับเข้าร่างไม่ได้อีกและต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน เท่ากับว่าตอนนี้ผมเหลือเวลาอีกแค่หกเดือน คุณช่วยผมได้ไหมผมอยากกลับมามีชีวิตอีกครั้งจริง ๆ นะ" นายผีแจ็คเก็ตแดงว่าด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เว้าวอน พอลองคิดตามที่เขาพูดแล้วก็น่าสงสารจริง ๆ นั่นล่ะ เอ้า ตั้งใจแล้วว่าจะช่วยก็ต้องช่วย แค่พาเขากลับไปส่งเข้าร่างคงไม่ยากเย็นอะไร หลังจากนั้นค่อยตามหาตัวพ่อหมอทองคำให้ช่วยถอนคำสาปให้ผม

"ตกลงผมจะช่วยคุณ"

"จริง ๆ นะ คุณสัญญานะ" นายผีแจ็คเก็ตแดงยิ้มหน้าบานเป็นลิงโลด จนผมเผลอยิ้มตามและตอบว่าเออ นายนั่นยิ่งทำดีใจแป้นแล้นเหมือนเด็กโค่ง ช่างไม่เข้ากับลุคเข้ม ๆ เท่ ๆ เอาเสียเลย

"แล้วร่างคุณอยู่ที่ไหนล่ะ ผมได้พาคุณไปเข้าร่างตอนนี้เลย"

เสียงเงียบคือคำตอบ นายนั่นเอาแต่โคลงหัวและยิ้มแหย ๆ อะไรกันอีกล่ะ

"อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่าร่างตัวเองอยู่ที่ไหน" นายนั่นพยักหน้าหงึก ๆ แทนคำตอบ ส่วนผมนี่แทบจะกุมขมับดูท่าจะงานยากเสียแล้วสิ

"ถ้าอย่างนั้นคุณชื่ออะไร ญาติพี่น้องคุณอยู่ที่ไหนผมจะได้หาทางติดต่อให้พวกเขาช่วยหาร่างคุณ"

"นั่นแหละปัญหาผมจำอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งชื่อตัวเอง จะไปรู้ได้ยังไงว่ามีญาติอยู่ที่ไหนบ้าง" อีตานั่นพูดตาแป๋วพลางหัวเราะแห้ง ๆ ยกนิ้วชี้ขึ้นถูกกันแก้เก้อ ผมได้ยินแล้วถึงกับหลุดอุทานออกมาเสียงดัง

"หา!"

"นี่คุณผี ถามจริงนะกวนตีนปะ"

"เห้ย ผมเปล่านะ" อีกฝ่ายรีบแก้ต่างให้ตัวเองส่ายหัวพร้อมสะบัดมือทั้งสองพร้อม ๆ กัน ด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก

"ผมจำอะไรไม่ได้จริง ๆ รู้สึกตัวอีกทีผมก็เดินงง ๆ อยู่ในโรงพยาบาลแล้วอะ ก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างผมจำไม่ได้เลย" ให้ตายเถอะ ก็พอจะรู้ว่างานยากแต่ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้

ผมมืดแปดด้านไปหมดไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน เอาไงดีหว่าเปลี่ยนใจแล้วเอานายนี่กลับไปส่งที่โรงพยาบาลอย่างเดิมเลยจะดีกว่าไหม

"นี่คุณรับปากแล้วนะว่าจะช่วยผม ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด" นายนั่นว่าขึ้นราวกับรู้ความคิดของผม พร้อมกอดอกมองมาที่ผมเหมือนกำลังจับผิด เกลียดนักพวกคน เอ๊ย ผีชอบรู้ทัน

"เออ ก็ยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะไม่ช่วย คุณน่ะคิดมากไปเอง คุณผี"

"แล้วขออีกอย่างหนึ่งนะ ช่วยเลิกเรียกผมว่าคุณผีด้วย ผมบอกแล้วไงว่าผมยังไม่ตาย ผมไม่ใช่ผี"

"ก็แล้วจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรล่ะ ขนาดคุณยังไม่รู้ชื่อตัวเองเลย"

"ถ้าอย่างนั้น..." นายนั่นทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "คุณก็ช่วยตั้งชื่อให้ผมสิ" นายผีข้าง ๆ ว่าแล้วมองผมเหมือนตั้งความหวัง ผมยกนิ้วขึ้นชี้ตัวเองตาปริบ ๆ อยู่ดี ๆ มันวกมาที่ผมได้อย่างไรวะนี่

"นะ นะ ตั้งชื่อให้ผมหน่อย ตอนนี้คุณก็เหมือนผู้ปกครองผม ผมให้สิทธิ์คุณตั้งชื่อให้ผมได้เลย ดีกว่าเรียกคุณผีฟังแล้วมันแสลงใจ" นายนั่นทำท่าคะยั้นคะยอเหมือนเด็กน้อย ลำบากผมอีกแล้วล่ะสิคราวนี้จะตั้งชื่อให้ไอ้ผีเด็กโค่งนี่ว่าอะไรดีหว่า ผมก็ไม่ได้มีหัวทางด้านการตั้งชื่อเสียด้วยสิ

ระหว่างนั้นเองสองตาของผมก็สะดุดเข้ากับบางสิ่ง ที่ทำให้รู้สึกคล้ายกับว่ามีหลอดไฟสว่างขึ้นในหัวผม เมื่อรถแล่นเข้าสู่เขตชุมชนร้านซักรีดร้านหนึ่งติดป้ายหน้าร้านใหญ่โต 'นะโม ซัก อบ รีด' ผมนั้นถึงกับตบเข่าฉาด

ไม่ทราบว่าคุณนะโมคนนั้นเป็นเจ้าของร้าน หรืออาจจะเป็นชื่อแฟนหรือลูกเจ้าของร้าน เอาเป็นว่าผมขอยืมชื่อคุณหน่อยก็แล้วกันนะครับ 'คุณนะโม'

"คุณชื่อนะโมก็แล้วกัน" นายนั่นตาแป๋วมองผมอย่างให้ความสนใจ หลังจากที่ผมได้ลั่นชื่อใหม่ของเจ้าตัวออกมา ดูท่าผมคงจะขับรถเร็วจนเขาไม่ทันได้สังเกตป้ายข้างทาง

"ชื่อนี้นี่ดีนะ เป็นคำขึ้นต้นของบทสวดมนต์จะได้เป็นสิริมงคลกับคุณไง คุณจะได้หาทางกลับเข้าร่างได้เร็ว ๆ" ผมแถจนสีข้างผมแทบถลอก เมื่อยกเหตุผลที่มาที่ไปของชื่อมาให้อีกฝ่ายคล้อยตาม ซึ่งเจ้าตัวก็ตาเป็นประกายพร้อมตบมือชอบอกชอบใจ ดูจะตื่นเต้นกับชื่อใหม่ไม่น้อย

"เอา เอาชื่อนี้แหละ เพราะดีผมชอบ ต่อไปนี้เรียกผมว่านะโมนะ"

ผมเผลอยิ้มตามเวลาเห็นทำท่าทางเป็นเด็กโค่งอีกแล้ว เอาเป็นว่าตกลงตามนี้เนอะ... คุณผีซักอบรีด



ห้องเล็ก ๆ ที่ชั้นสองของบ้านติดกับห้องนอนพ่อกับแม่ แม่ผมใช้ทำเป็นห้องพระ ซึ่งเป็นห้องที่ร้อยวันพันปีผมไม่เคยคิดที่จะเข้ามาแต่วันนี้ผมต้องมาสาละวนกับการเปิดตู้นั้นลิ้นชักนี้ในห้องนี้เพื่อจะหาธูปที่แม่เก็บไว้ เรื่องของเรื่องก็เป็นเพราะไอ้คุณผีซักอบรีดที่ยืนหน้ามุ่ยแก้มป่องอยู่หน้าบ้านผมตอนนี้ พอมาถึงหน้าบ้านก็งอแงบอกว่าเข้าบ้านไม่ได้ พอผมถามว่าเป็นเพราะอะไรนายนั่นก็บอกว่าเขาไม่ให้เข้าแล้วชี้ไปทางศาลพระภูมิ โอเคเข้าใจตรงกัน ผมจึงเห็นสมควรว่าคงจะต้องจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเสียหน่อย

ผมหยิบเอาธูปในลิ้นชักที่แม่เก็บไว้ออกมาเจ็ดดอก ไม่รู้ว่ามากหรือน้อยเกินไปหรือเปล่าแต่ลองค้นหาในกูเกิ้ลเขาบอกว่าให้ใช้เท่านี้ ผมก็ไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้เสียด้วย พี่เกิ้ลว่าไงผมก็เลยต้องว่าตาม

ผมมาถึงบ้านตอนเช้ามืดเกือบจะฟ้าสาง ตอนนี้แม่ผมยังอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวที่โรงพยาบาลส่วนพ่อยังหลับอยู่ ผมต้องทำทุกสิ่งให้เกิดเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าเกิดมาพ่อมาเห็นตอนที่ผมกำลังจุดธูปไหว้ศาลทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะมาสนใจละก็คงต้องมานั่งตอบคำถามกันยาว ลำบากผมต้องมาคิดหาเหตุผลร้อยแปดมาแต่งเรื่องอีก ไอ้ครั้นจะให้บอกไปตามตรงว่าพานายนะโมกลับบ้านมาด้วยพ่อคงได้จับผมส่งโรงพยาบาลอีกคน

ผมจุดธูปยกมือขึ้นพนมและคุกเข่าลงที่หน้าศาลพระภูมิอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ไม่รู้จะต้องเริ่มต้นอย่างไรตรงไหนได้แต่ลองทำไปตามความเข้าใจที่คิดขึ้นเอง

"ท่านครับวิญญาณติ๊งต๊องที่ใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีแดงอยู่หน้าบ้านผมตอนนี้ชื่อนายนะโม เขาไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอกครับ ขอให้ท่านช่วยเปิดทางให้เขาด้วยนะครับ" ว่าจบผมก็ยกมือขึ้นท่วมหัวและปักธูปลงในกระถางบนโต๊ะหน้าศาล

หลังจากปักธูปเสร็จเพียงไม่ถึงพริบตาไอ้คุณผีซักอบรีดก็โผล่มายืนยิ้มร่าโบกไม้โบกมือให้ผมอยู่ตรงข้างศาลพระภูมิแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงเล่นเอาผมใจหายใจคว่ำ ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรถึงจะชินกับการวาร์ปไปนั่นมานี่ของอีตานี่เสียที

"เห็นไหมล่ะลุงผมบอกแล้วผมกับชลน่ะสนิทกัน" นายนะโมว่าหันหน้าเข้าหาศาลพระภูมิ

ลุง? ลุงอะไร ลุงไหน

ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยถามความจากนายนั่น ก็มีบางสิ่งที่เหมือนจะเป็นคำตอบของสิ่งที่ผมกำลังสงสัยปรากฏขึ้นเสียก่อน แสงสีขาวนวลสว่างทอดยาวออกมาจากในศาลพระภูมิก่อนจะปรากฏภาพชายชราหน้าตาดูใจดีในชุดนุ่งขาวห่มขาว หรือท่านนี้จะเป็น.....

"เออ เขายอมให้เข้ามาแล้วเอ็งก็อย่าหาสร้างความเดือดร้อนล่ะ ไม่งั้นข้าตะเพิดเอ็งออกไปแน่"

"โห ลุงผมเป็นเด็กดีจะตาย จะไปสร้างความเดือดร้อนอะไรได้ ใช่ไหมชล" นายนะโมยิ้มแป้นหันมาทางผมเหมือนจะหาพวก ทว่าตอนนี้ผมยังคงอ้าปากค้างตะลึงกับคุณลุงที่ออกมาปรากฏตัวให้เห็น เคยเห็นแค่เวอร์ชันตุ๊กตาปูนปั้นที่ตั้งอยู่ในศาลไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้พบท่านตัวจริงเสียงจริง

คุณลุงท่านนั้นหันมาทางผมด้วยรอยยิ้มคล้ายท่านกำลังจะบอกผมว่าไม่ต้องกลัว แววตาของท่านที่มองมาที่ผมเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารีราวกับญาติผู้ใหญ่ที่กำลังมองลูกหลาน ทำให้ผมคลายความตระหนกลงไปได้มาก

"เจ้ากับมันน่ะผูกพันกันมาด้วยคำสัญญาตั้งแต่ชาติปางก่อน จงหาคำตอบให้พบแล้วทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี" คุณลุงท่านบอกกับผม

"เอ่อ แล้วผมจะต้องทำยังไงบ้างครับ ท่านช่วยบอกผมได้ไหมครับ"

"ลุงบอกมากกว่านี้ไม่ได้หรอก มันผิดกฎสวรรค์มันคือชะตาของเจ้าทั้งสองที่ถูกกำหนดไว้แล้ว" คุณลุงท่านว่าจบก็เกิดแสงสีขาวนวลทอดยาวจากตัวท่านไปยังศาล ก่อนที่ท่านจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากการมองเห็นของผมพร้อมกับแสงนั้น

ผมก้มลงกราบตรงหน้าศาลพระภูมิ ไม่รู้ว่าคำบอกใบ้ของคุณลุงเจ้าที่จะช่วยอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ผมหันมองนายนะโมอย่างครุ่นคิดว่าจะเริ่มต้นหาวิธีช่วยนายนี่จากตรงไหนก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูยังคิดไม่ตกไม่เหมือนกัน สัญญา? สัญญาอะไร เรื่องตั้งแต่ชาติปางก่อนผมจะไประลึกได้อย่างไร

ก่อนที่ผมจะเอ่ยความเพื่อปรึกษาอะไรกับนายนั่น ก็มีเสียงบางอย่างลอยตามลมมาขัดจังหวะเสียก่อน

♪"เมื่อเธอรักฉัน หัวใจผูกกันใจเราไหวหวั่น"♪ เอ นักร้องเพี้ยนจากรายการนักร้องซ่อนแอบที่ไหนมาร้องเพลงแถวนี้หว่า

♪"แค่เธอเท่านั้น ที่ทำให้ฉันหลงละเมอ"♪ ผมเริ่มคิ้วขมวดเพราะเสียงเพลงที่ห่วยเกินจะบรรยาย ข้างบ้านร้องคาราโอเกะกันหรืออย่างไรนะ

 ♪"ฉันเก็บไปฝันถึงเธอทุกคร่า เมื่อยามหลับไป"♪ ผมหันซ้ายแลขวาเพื่อหาต้นตอของเสียงที่ชวนปวดแก้วหูนั้น

♪"รักเธอ รักเธอเหลือ โอ้เธอจ๋า"♪

ในที่สุดผมก็พบที่มาของเสียงนั้น หญิงสาวในชุดสไบสีเขียวกำลังร่ายรำและขับขานบทเพลงเสียงบรมห่วย อยู่หน้าต้นกล้วยที่พ่อผมเอามาปลูกไว้เมื่อหลายเดือนก่อน ต้นกล้วยที่ผมก็ไม่เคยรู้ว่ามันเป็นกล้วยสายพันธุ์อะไร แต่ว่าตอนนี้ผมว่าผมได้รู้ชัดจัดเจนแล้วล่ะมันคือกล้วยอะไรกันแน่

เธอคนนั้นผิวพรรณผุดผ่องและมีใบหน้างดงามยิ่งกว่านางสาวไทย ทั้งที่เธอสวยมากแต่กลับดูแล้วชวนหลอนแปลก ๆ ส่วนหนึ่งคนเพราะเธอมีที่อยู่อาศัยเป็นต้นกล้วยในสวนบ้านผม และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเสียงร้องเพลงที่สุดแสนจะรบกวนโสตประสาทการทำงานของหูหากคนข้างบ้านได้ยินเสียงคงได้มีเขวี้ยงรองเท้าแตะหรือกระถางต้นไม้เข้ามาในบ้านผมบ้างล่ะ

ดูเหมือนว่าเธอคนนั้นจะรู้ตัวแล้วว่าผมกำลังจ้องมองเธออยู่

"Hi" เธอหยุดร้องเพลงและหันมาโบกมือทักทายผม ที่ตอนนี้ตาค้างอ้าปากค้างไปแล้ว

"ว้ายตายแล้ว ความสวยของพี่นีทำให้คุณน้องตะลึงไปเลยเหรอคะเนี่ย สมกับที่ฉันเป็นนางตานีที่สวยและมีเสียงที่ไพเราะที่สุดในจักรวาลจริง ๆ" ว่าจบก็เธอเปล่งเสียงโอเปร่าที่ใครได้ยินก็ต้องขี้หูเต้นระบำ ผมได้แต่หวังว่านอกจากจะเป็นตัวสร้างมลภาวะทางเสียงแล้วเธอคงจะไม่ได้มีพิษภัยอะไรมากกว่านี้

ว่าแต่ว่า ผมยังต้องเจอกับอะไรอีกบ้างวะเนี่ย!!!!



น้ำอุ่นจะเยียวยาทุกสิ่ง ผมหลับตาพริ้มรับสายน้ำผ่านจากฝักบัวที่ราดรดลงมาบนตัว ผ่านมาทั้งคืนผมเพิ่งจะมีโอกาสได้ชำระร่างกายให้สบายตัว เจอเรื่องหนักที่หมายถึงหนักมากมาทั้งคืนแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องพักสมองกันบ้าง ตอนอาบน้ำนี่แหละคือช่วงเวลาปล่อยกายปล่อยใจที่ดีที่สุดสำหรับผม เปิดเพลงป๊อปที่ชอบคลอไปด้วยเบา ๆ นี่มันช่างกายสกายใจเสียจริง ๆ

แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขของผมดูท่ามันจะไม่ยืดยาวสักเท่าไหร่

"ชล" ผมเบิกตาตั้งเมื่อเสียงแจ๋วแหววที่ได้ยินมาทั้งคืนจนติดหู ดังขึ้นอยู่ทางด้านหลังผม

ผมหันขวับมาทางต้นเสียงทันทีโดยไม่ทันได้ฉุกคิด

ผ่าง! มังกรเจ้าพิภพประจักษ์แก่สายตาของไอ้คุณผีซักอบรีด ที่ผมคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะกำลังทำความรู้จักอยู่คุณตานีด้านล่าง

ผมก็ตกใจ ไอ้บ้านั่นก็คงจะตกใจเหมือนกันที่มาเห็นผมในสภาพเปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิดร่างกาย ถึงได้ชะงักงันอ้าปากค้างจ้องผมตาไม่กะพริบ กินเวลาไปช่วงหนึ่งอยู่เหมือนกันที่ผมกับนายนั่นยืนจ้องกันอยู่อย่างนั้นกว่าผมจะตั้งสติได้และรู้ตัวว่าต้องปิดบังบางสิ่งที่ตอนนั้นอีกฝ่ายคงจะเห็นอย่างหมดจดไปแล้ว

ผมสะดุ้งแรงรีบเอามือคว้าหมับปิดบังส่วนที่แทบจะปิดไม่มิด อีกฝ่ายก็ท่าจะเพิ่งตั้งสติได้เช่นกันจึงได้กุลีกุจอยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตาอย่างร้อนรน

"เห้ย! คุณเข้ามาได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้นะ"

"เอ่อ คะ คือ ผะ ผม ผมไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นเลยจริง ๆ นะ ผมขอตัวก่อนนะ" นายนะโมลุกลี้ลุกลนพูดไปอย่างลิ้นพันกัน ก่อนจะวาร์ปหายไป ถึงปากเจ้าตัวจะบอกว่าไม่เห็น แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่านายนั่นเห็นอะไร ๆ ของผมเต็มสองตาไปแล้ว

ใบหน้าผมร้อนผ่าวหรือจริง ๆ ต้องบอกว่ามันร้อนวูบวาบไปแล้วทั้งตัวถึงจะถูก เสียหายหลายแสนแล้วสายชลเอ๊ย

หมดกันช่วงเวลาแห่งความสุขของผม ผมรีบล้างตัวแบบลวก ๆ ก่อนจะหันไปคว้าเอาผ้าขนหนูมาปกปิดร่างกายส่วนล่างและออกจากห้องมาอย่างหัวเสีย

ตัวตนเรื่องก็ไม่ได้หนีไปไหนไกล ยังยืนทำหน้าจ๋องรอรับความผิดอยู่หน้าประตูห้องน้ำในห้องนอนผม

"นี่คุณกล้าดียังไงถึงบุกเข้าไปตอนที่ผมกำลังอาบน้ำ" ผมแหวขึ้นโดยไม่รอฟังคำแก้ตัว

"เอ่อ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะไปแอบดูตอนชลอาบน้ำจริง ๆ นะ ผมแค่นึกถึงหน้าชลแล้วจู่ ๆ ก็ไปโผล่ในห้องน้ำ เอ่อ ถ้าชลอาย เดี๋ยวผมถอดให้ชลดูของผมบ้างก็ได้นะจะได้หายกัน" ตัวตนเรื่องละล่ำละลักแก้ตัวอย่างร้อนรน ว่าแล้วนายนั่นก็ตั้งท่าจะปลดตะขอกางเกงของตัวเองเข้าจริง ๆ

"หยุด!" ผมรีบห้ามอย่างทันทีทันใด เพราะดูแล้วนายนั่นคงจะทำจริง ๆ ผมไม่ได้อยากจะเห็นอะไรของใครเว้ย

นายนะโมรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวเหมือนจะบอกว่ายอมแพ้

"ว่าแต่ว่า ชลก็... เอ่อ หุ่นดีเหมือนกันเนาะ" นายนะโมว่าพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ถ้าหากว่าผมมองไม่ผิด ผมว่าผมเห็นนายนั่นลอบกลืนน้ำตา และสองตาของเขาหลุบมองมาที่หน้าท้องของผม ก่อนที่แก้มทั้งสองข้างของเขาจะเริ่มขึ้นสีแดงเลือดฝาด

ผมเริ่มรู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นอีกครั้ง ถึงปากเขาจะแค่ชมว่าผมหุ่นดี แต่นัยน์ตาของหมอนี่มันฟ้องว่าในหัวของเขาจินตนาการไปไกลมากกว่านั้นแล้ว

"นะโม!" ผมเรียกชื่อที่ผมเพิ่งจะตั้งให้แบบกระแทกเสียงเน้น ๆ เพื่อให้เจ้าของชื่อรู้ตัวและหยุดจินตนาการถึงทุกสิ่ง

ผมหักนิ้วตัวเองเสียงดังกรอบ เอียงคอไปซ้ายทีขวาทีพลางมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง เอาวะ วันนี้ขอต่อยผีสักทีเถอะ อีกฝ่ายคงรู้ตัวว่าภัยกำลังจะมาเยือนจึงได้รีบยกมือขึ้นปรามและถอยหลังหนี

"เอ้ย คือผมว่าพี่นีคงจะมีเรื่องอยากคุยกับผมอีกเยอะแน่ ๆ เลย ผมไปก่อนนะ" ว่าแล้วเขาก็วาร์ปหายไป

ผมทึ้งหัวตัวเอง ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงบนที่นอนอย่างคนหมดแรง ชีวิตของผมต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อวะเนี่ย!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2023 06:33:21 โดย ชาญขวัญ »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ ชาญขวัญ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 4


'ชล' 'ชลครับ' 'โช๊นนน' เสียงเรียกชื่อผมจากนายนะโมแทบจะกลายเป็นเสียงที่ผมได้ยินบ่อยจนหลอนหูในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะอีตาผีซักอบรีดทำตัวเสมือนเด็กน้อยที่ตื่นเต้นไปกับทุกสิ่ง พบเห็นสิ่งใดแปลกตาก็ต้องเรียกผมมาดูไปเสียหมด 

และนี่ก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ชีวิตผมเปลี่ยนไปจากคนธรรมดาที่เคยใช้ชีวิตปกติทั่วไปกลับกลายเป็นคนที่สามารถสัมผัส มองเห็น และสื่อสารกับคนที่ตายไปแล้วได้ ไปที่ไหนก็เห็น ไปที่ไหนก็เจอ ที่แย่ที่สุดก็คือไม่มีแนวโน้มว่าผมจะทำใจให้ชินได้สักที ได้แค่พยายามทำตามคำแนะนำของนายนะโมให้ได้มากที่สุด คือต่อให้กลัวแค่ไหนก็อย่ากะโตกกะตากพยายามอย่าให้พวกเขารู้ว่าผมมองเห็นแล้วรีบออกมาจากจุดนั้นเสีย ซึ่งผมก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่โชคยังดีเพราะหลังจากวันแรกที่ผมโดนรับน้องโหดก็ยังไม่ได้เจอพวกเขาในเวอร์ชั่นที่น่าสยดสยองขนาดนั้นอีกเลย 

แต่จะน่ากลัวมากหรือน่ากลัวน้อย ก็ผีอยู่ดี...

อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนในรอบที่สัปดาห์ที่ผ่านมาคือผมตื่นมาใส่บาตรทุกเช้าแม้ว่าร้านจะเลิกดึกแค่ไหนผมก็ยังสลัดขี้ตาตื่นมาได้ไม่เคยขาด แรก ๆ พ่อแม่ก็มีสงสัยบ้างที่เห็นผมทำอะไรที่ไม่คุ้นตาผมก็ได้แต่บอกปัดว่าแค่อยากทำบุญรับวัยเบญจเพส แม้ว่าอีกแค่ไม่ถึงสามเดือนช่วงวัยเบญจเพสของผมก็จะผ่านพ้นไปแล้วก็เถอะ ส่วนหนึ่งอาจจะต้องยกความดีความชอบให้กับคุณตานีผู้มีเสียงโหยหวนเหมือนผีเปรตที่ขยันตื่นมาร้องเพลงในทุก ๆ เช้า กลายเป็นนาฬิกาปลุกที่ผมไม่ได้ร้องขอไปโดยปริยาย หากใครได้ยินเสียงยัยเจ๊นั่นเหมือนที่ผมได้ยินแล้วยังสามารถนอนหลับได้ละก็ผมจะขอคารวะให้หนึ่งจอกใหญ่ ๆ เลย 

ส่วนคุณลุงเจ้าที่นั้นหลังจากวันที่ผมพานายนะโมเข้าบ้านท่านก็ไม่เคยปรากฏตัวให้ผมเห็นอีกเลย



ผมเดินถือถาดที่ด้านบนมีถ้วยตะไลอยู่สามถึงสี่ใบบรรจุข้าวสวยและกับข้าวอย่างละนิดหน่อยออกมาที่หน้าร้านหมูกระทะของตัวเอง ก่อนจะวางมันลงตรงมุมที่ไม่สะดุดตาคนที่สัญจรไปมาและจุดธูปปักไว้ในถ้วยข้าว เพียงไม่กี่วินาทีที่กลิ่นธูปกระจายออกไปภาพที่ทำเอาผมใจเต้นตึกตักได้ทุกวันก็ปรากฏ ดวงวิญญาณที่สภาพดูสะบักสะบอมจากทุกสารทิศโผล่ออกมารุมกินอาหารที่ผมวางไว้อย่างหิวโซ แม้จะกลัวแค่ไหนผมก็ต้องฝืนเก็บอาการและทำเป็นเมินแสร้งว่ามองไม่เห็นพวกเขา

เอ้า กินให้อิ่มแล้วก็ช่วยเรียกลูกค้าด้วยล่ะ 

เป็นกิจวัตรในเกือบจะทุกเย็นที่จะต้องเข้ามาดูแลความเรียบร้อยที่ร้านหมูกระทะอันเป็นกิจการแห่งความภาคภูมิใจของผม หลังจากเรียนจบแล้วผมไม่ชอบทำงานประจำจึงขอเงินพ่อมาลงทุนเปิดร้าน ผ่านมาไม่กี่ปีร้านผมกลายเป็นร้านยอดนิยมของคนที่ชอบบุฟเฟ่ต์ไปแล้ว ด้วยวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สูตรมักเนื้อ น้ำจิ้ม น้ำซุปที่ผ่านการคิดค้นมาอย่างพิถีพิถัน รับประกันได้ถึงความอร่อยและสะอาด ราคาเป็นมิตร จนถึงตอนนี้มีคนติดต่อซื้อแฟรนไชส์ร้านผมไปเปิดแล้วหลายสาขา

ผมกลับเข้าร้านมาเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยตามปกติ เวลานี้น้อง ๆ พนักงานกำลังเริ่มจัดเตรียมโต๊ะเก้าอี้ให้เป็นระเบียบ เนื้อสัตว์และวัตถุดิบต่าง ๆ ก็ถูกทยอยนำมาจัดเรียงสำหรับให้ลูกค้าตักได้ตามพอได้ แค่มีข้อแม้ว่าตักไปแล้วต้องกินหมดไม่เช่นนั้นอาจจะต้องมีการปรับเงินลูกค้าเพิ่ม 

"สวัสดีครับพี่ชล" ผมหันมองตามเสียงทักทายจากเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษามีกีตาร์คู่ใจสะพายหลังที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในร้าน

"ไง พัตเตอร์"

นอกจากอาหารที่มีคุณภาพแล้วไอ้เด็กนี่อาจจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ร้านผมมีลูกค้าเยอะ 'พัตเตอร์' เป็นนักศึกษาที่มาทำงานพิเศษร้องเพลงและเล่นดนตรีที่ร้านผม หนุ่มลูกเสี้ยวที่ทางฝั่งพ่อมีเชื้อสายทางยุโรป เด็กนี่จึงหล่อละมุนแบบสายฝ. สไตล์เล่นกีตาร์ก็พลิ้วไหวเข้ากับเสียงที่นุ่มทุ้มมีเสน่ห์ของเจ้าตัวเป็นอย่างดี สังเกตได้เลยว่าวันไหนที่พัตเตอร์มาเล่นลูกค้าสาว ๆ ร้านผมจะเยอะเป็นพิเศษ ไอ้เด็กนี่เนื้อหอมขนาดที่ว่ามีร้านเหล้าหลายร้านมารุมจีบให้ไปทำงานด้วย แต่เจ้าตัวก็บอกปัดเขาไปหมดยืนยันจะเล่นที่ร้านผมแค่ร้านเดียว เขาบอกเขารวยอยู่แล้วแค่มาทำงานพิเศษเอาสังคมเท่านั้น

ยังไม่ได้ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ ดอกกุหลาบสีแดงที่ผมไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายถือมาด้วย ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผม พร้อมด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์เฉพาะตัวของไอ้เด็กนี่ ถ้าแฟนคลับสาว ๆ มาเห็นคงได้ใจละลาย ซึ่งผมได้แต่มองปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์

อะไรวะ อยู่ดี ๆ ก็ยื่นดอกไม้มา

"อ๋อ คือพอดีมีเด็กมาขายที่หน้าม.น่ะ ผมสงสารก็เลยช่วยอุดหนุน ผมไม่รู้จะเอาไปทำอะไรให้พี่ชลก็แล้วกัน"

"อ่า อืม ขอบใจนะ" ผมรับดอกไม้มางง ๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลยเอามาให้ผมเนี่ยนะ ดอกกุหลาบเขามีแต่จะเอาไปให้คนที่ชอบ แต่ช่างเถอะน้องมันอุตส่าห์ให้ผมก็รับไว้ไม่อยากให้เสียน้ำใจ

"ถ้าอย่างนั้นผมขอไปเตรียมตัวก่อนนะครับ" ว่าแล้วพัตเตอร์แยกไปประจำตำแหน่งตรงแท่นที่ทำไว้เป็นเวทีเล็ก ๆ มีไมค์และเครื่องเสียงพร้อมสำหรับให้เจ้าตัวใช้แสดงที่กลางร้าน

ระหว่างตั้งสายกีตาร์เด็กนั้นหันมายิ้มให้ผมเป็นครั้งคราว ผมก็ยิ้มตอบบ้างแต่ก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน ดอกกุหลาบที่เพิ่งได้มาก็ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนผมจึงตั้งใจจะเอาไปเก็บไว้ที่โต๊ะทำงาน แต่เดินไปยังไม่ทันถึงโต๊ะผมก็ต้องชะงักกลางทาง เมื่อแจ็คเก็ตสีแดงที่ผมเริ่มเห็นบ่อยจนใกล้จะชินตาปรากฏพร้อมผู้สวมใส่ขวางทางผมไว้เสียก่อน 

คราวนี้ผมแค่สะดุ้งเล็กน้อย นับว่าดีขึ้นมากจากวันแรก ๆ ที่เห็นนายนี่วาร์ปไปโผล่ตรงนั้นทีตรงนี้ทีแบบนี้

"เสน่ห์แรงจริงนะ" นายนะโมว่าพร้อมกอดอกทำหน้ามุ่ย เป็นอะไรอีกล่ะ

ผมเลือกจะเดินผ่านตัวนายนั่นทำทีเหมือนเขาเป็นเพียงแค่อากาศ ถ้าหากผมคุยกับเขาตรงนี้ขึ้นมาพนักงานทั้งร้านคงหาว่าผมเป็นบ้าพูดคนเดียว จากนั้นผมจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองวางดอกไม้ของพัตเตอร์ลงและคว้าเอาหูฟังบลูทูธขึ้นมาสวมหูทำทีเหมือนกำลังจะคุยโทรศัพท์ไม่ให้คนอื่นผิดสังเกต ซึ่งหมอนั่นก็ยังเดินตามผมมาต้อย ๆ

"พูดบ้าอะไรของบ้านาย" ตอนนี้ผมเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้แทนตัวเองกับนายนะโมจากผมกับคุณเป็นฉันกับนายแล้ว ตามพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่ดูไม่ค่อยน่าพูดเพราะด้วยสักเท่าไหร่

วันนี้ผมยอมให้นายนี่ตามมาที่ร้านด้วย เพราะเจ้าตัวบ่นว่าอยู่บ้านแล้วโดนพี่นีตามเต๊าะไม่เลิก

"อย่าคิดว่าผมไม่เห็นนะ ที่ชลรับดอกไม้จากไอ้เด็กนั่น"

"ไม่ได้ยินที่น้องมันบอกเหรอว่าซื้อมาเพราะสงสารเด็กขายดอกไม้ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย"

"ชลนั่นแหละไม่เห็นสายตาที่ไอ้เด็กนั่นมองชลเหรอ ถ้ากินชลเข้าไปได้มันคงกินไปแล้ว" ผมโคลงศีรษะอย่างหน่ายใจกับความคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อยของนายนะโม

เจ้าพัตเตอร์มาขอทำงานที่ร้านผมตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ปีหนึ่งจนตอนนี้เจ้าตัวใกล้จะเรียนจบแล้ว ก็เหมือนผมได้เห็นการเติบโตของน้องมันมาตลอด ในสายตาผมเจ้าเด็กนั่นก็คือน้องชายคนหนึ่ง นายนะโมคิดอะไรไม่เข้าท่า

"อ้าว พี่สา" ผมละความสนใจจากนายผีที่พูดไปเรื่อย เพราะคนที่เพิ่งมาใหม่

'พี่สา' คือหญิงวัยสามกลาง ๆ เธอคนนี้เป็นผู้ช่วยผมเองครับ ทำงานกับผมมาตั้งแต่ช่วงที่ผมเปิดร้านแรก ๆ พี่สาเป็นคนทำงานดี ขยัน ซื่อสัตย์และไว้ใจได้ ผมไหว้วานให้เธอช่วยดูแลร้านและพนักงานแทนอยู่เป็นครั้งคราวในตอนที่ผมติดภารกิจ พี่สาเป็นที่รักของทุกคนที่นี่เพราะเธอเป็นคนมีน้ำใจคอยช่วยเหลือน้อง ๆ ในร้านตลอด จนทุกคนตั้งฉายาให้เธอว่าเป็นแม่พระประจำร้าน

แต่วันนี้ผมว่าพี่สาดูมีอาการแปลก ๆ ใบหน้าของเธอดูหม่นหมองไม่สดใสเหมือนกับทุกวัน เดินมาพลางทุบ ๆ นวด ๆ แถวต้นคอและหัวไหล่ ดูเหมือนน่าจะมีอาการเจ็บปวดบริเวณนั้น และผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความสามารถพิเศษที่ผมเพิ่งได้รับมาหรือผมแค่จิตปรุงแต่งมั่วซั่วไปเองจึงทำให้ผมรู้สึกคล้ายว่ารอบ ๆ ตัวพี่สาถูกปกคลุมด้วยมวลบางอย่าง ที่ผมก็มองไม่เห็นและไม่สามารถอธิบายได้

"พี่สาไม่สบายหรือเปล่าพี่" ผมถามเพราะเห็นสภาพเธอวันนี้แล้วอดเป็นห่วงไม่ได้

"ไม่เป็นอะไรหรอกชล พี่แค่ปวดไหล่นิดหน่อย" เธอพูดอย่างนั้นแต่ดูสีหน้าเธอแล้ว ผมว่าไม่น่าจะนิดหน่อย

"ผมว่าวันนี้พี่ลาพักดีกว่าไหม ถ้าไม่ไหวอย่าฝืนเลย"

"ไม่ดีกว่าชล พี่โอเค ไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็วันหยุดแล้วค่อยพักทีเดียว" ว่าจบพี่สาก็แยกตัวไปหลังร้านเพื่อสมทบกับพนักงานคนอื่น ๆ 

แต่จังหวะที่พี่สาเดินผ่านหน้าผมไปดูเหมือนว่า สาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดไหล่ที่พี่สาเป็นก็ประจักษ์แก่สายตาผม ตอนนั้นจู่ ๆ ก็เหมือนโลกทั้งใบถูกความมืดมิดเข้าครอบงำอย่างกะทันหัน การเคลื่อนไหวทุกอย่างหยุดนิ่งสนิท และคล้ายกับว่ามีแสงสปอตไลต์ที่ส่องให้ความสว่างเพียงสองจุด นั่นคือที่ผมและพี่สา ทว่าในตอนนี้ผมกลับเห็นร่างของหญิงนิรนามสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ตามเนื้อตัวเธอมีรอยแผลฉกรรจ์เต็มไปหมด และเธอคนนั้นกำลังนั่งอยู่บนบ่าของพี่สา หัวใจผมแทบจะหยุดเต้นในตอนที่เธอค่อย ๆ เอียงคอหันมาทางผม ใบหน้าของเธอซีดเผือดจนเห็นเส้นเลือด แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้นยามที่เธอมองมาทางผม ผมสัมผัสได้ว่านัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น และน้ำตาเธอก็ไหลอาบเต็มแก้มทั้งสองข้าง แต่เพียงไม่นานน้ำตานั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเลือดสีแดงสดที่ไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสอง

"อย่ายุ่งกับเรื่องของกู" น้ำเสียงแหบพร่าจากเธอคนนั้น เอ่ยช้า ๆ และเน้นชัดทุกพยางค์ จากนั้นเธอจึงละสายตาจากผมกลับไปก้มมองผู้หญิงอีกคนที่เธอกำลังขี่คอ และทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ทุกการเคลื่อนไหวยังคงดำเนิน แสงสว่างกลับคืนมาราวกับว่าเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และผมก็มองไม่เห็นผู้คนนั้นแล้ว แต่ผมยังคงมองตามหลังพี่สาไปแบบตาไม่กะพริบ นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรพี่สา แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่กับพี่สาแบบนี้ได้ เรื่องเมื่อครู่มันเกิดขึ้นไวเสียจนไม่มีเวลาที่จะตกใจ

"พี่สะ.."

"อย่าไปยุ่งกับเวรกรรมของคนอื่นครับชล" นายนะโมพูดขัดจังหวะขึ้นในตอนที่ผมกำลังจะเรียกพี่สาเพื่อเตือนบางสิ่ง

"นายไม่เห็นเหรอนะโม ผู้หญิงคนนั้นเขาจะทำร้ายพี่สานะ" ผมว่าอย่างร้อนใจ

"เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกัน ชลเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก" คราวนี้นายนะโมพูดอย่างจริงจังย้ำชัดในคำพูดตัวเอง ไม่ได้ดูติดเล่นเหมือนทุกที

แต่คนที่แสนดีอย่างพี่สานี่น่ะหรือ จะไปสร้างเวรสร้างกรรมกับใคร จนอีกฝ่ายเขาโกรธแค้นจนตามเป็นเจ้ากรรมนายเวรได้

"แล้วทีนายล่ะ นายยังขอร้องให้ฉันช่วยนายได้เลย แล้วทำไมฉันจะช่วยพี่สาไม่ได้"

"มันไม่เหมือนกันชล ผมกับชลเรามีบางอย่างที่ผูกพันกัน แต่กับพี่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่"

ผมเข้าใจในเหตุผลที่นายนะโมกำลังอธิบาย แต่ผมเลือกที่จะไม่ฟังคำเขาและลุกขึ้นหมายจะตามพี่สาไปที่หลังร้าน ในเมื่อผมต้องรับสภาพในการเป็นคนที่เห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็นแล้ว ผมก็ควรที่จะใช้ความสามารถตรงนี้ในการช่วยเหลือคนใกล้ตัวจากสิ่งเหล่านี้ และผมก็มั่นใจว่าพี่สาที่ผมรู้จักไม่ใช่คนที่จะไปทำร้ายใครได้

ผมเดินมุ่งหน้าไปทางหลังร้านโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงจากนะโม แต่ไม่ทันจะถึงจุดหมายก็มีเหตุให้ผมจะต้องหยุดลงกลางทางเพราะใครบางคนนั้นคว้าเข้าที่แขนผม

"พัตเตอร์" เจ้าเด็กที่ควรจะกำลังซ้อมเพลงอยู่บนเวที เป็นคนมารั้งตัวผม เจ้าเด็กนั่นจับแขนผมมั่นสีหน้าจริงจัง "ปล่อยพี่นะ" 

"นี่ไม่ใช่เรื่องของพี่ชล อย่าเข้าไปยุ่งเลยครับ เดี๋ยวตัวพี่ชลเองจะเดือดร้อนไปด้วย" ผมชะงักงันกับสิ่งที่พัตเตอร์ว่า เจ้าเด็กนี่พูดในทำนองเดียวกับนายนะโม ราวกับรู้ว่าผมกำลังพบเจอกับสิ่งใด

"อย่าบอกนะว่านายเห็นเหมือนที่เห็นด้วย"

"พี่ชลหมายถึงอะไรล่ะ ผู้ชายเสื้อแดงที่พี่ชลคุยด้วย หรือผู้หญิงที่อยู่กับพี่สา" เพียงเท่านั้นดวงตาทั้งสองของผมก็เบิกกว้าง นี่น้องมันเห็นสิ่งที่ผมด้วยอย่างนั้นหรือ

นับว่าเป็นเรื่องที่ช็อกยิ่งกว่าเจอวิญญาณดวงไหน ๆ คือการได้เจอกับคนที่มีชะตากรรมคล้าย ๆ กัน

"พัตเตอร์นี่นาย..."

"เรื่องของผมเอาไว้ก่อนเถอะ แต่ตอนนี้พี่ต้องเลิกคิดที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องของพี่สาก่อน" พัตเตอร์ว่าพร้อมลอบชำเลืองมองนายนะโมที่มาโผล่อยู่ด้านข้างผม คล้ายเป็นการยืนยันว่าเจ้าตัวเห็นแบบเดียวกับที่ผมเห็นจริง ๆ 

"จะให้ทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะพัตเตอร์ ถ้าเราเห็นเหมือนพี่ เราก็ต้องเข้าใจพี่สิ" ผมว่าไปพร้อมกับมองเจ้าเด็กตัวโตตรงหน้าอย่างผิดหวัง ไม่คิดว่าพัตเตอร์จะเลือดเย็นขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้เห็นทุกอย่างแต่กลับจะปล่อยให้พี่สาเผชิญกับสิ่งที่ดูไม่น่าจะหวังดีโดยไม่คิดจะช่วยอะไร 

เจ้าเด็กนี่ทำได้แต่ผมทำไม่ได้หรอก

ผมสลัดแขนพัตเตอร์ออก และตรงดิ่งเปิดประตูเข้าไปหาพี่สาที่หลังร้าน โดยไม่สนใจต่อเสียงทักท้วงจากทั้งคนและผีด้านหลัง

"พี่สาครับ" ผมกระโดดเข้าไปดักหน้าพี่สา โดยมีพัตเตอร์และนายนะโมตามมาสมทบด้านหลัง เธอมองผมอย่างตั้งคำถาม "คือว่าผมมีเรื่องจะ..."

"กรี๊ด!!!!"

ยังไม่ทันที่ผมจะได้บอกอะไรกับพี่สา ทุกอย่างก็เป็นอันต้องหยุดชะงักเพราะเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากใครบางคนดึงความสนใจจากทุกคนในร้านให้หันไปมองพร้อมกันเป็นตาเดียว เสียงนั้นดังมาจากโซนห้องครัว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นหากใครกลัวเลือดมาเห็นเข้าคงเป็นอันหงายท้องตึง 'พี่เชอร์รี่' แม่ครัวผู้ชำนาญเรื่องการใช้มีดเป็นอย่างดี จู่ ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน มีดทำครัวที่คมกริบอันเป็นอุปกรณ์ทำงานคู่ใจของเธอบัดนี้มันปักแทงทะลุฝ่ามือของเธอยึดติดกับเขียงจนเลือดสาดกระเซ็น

"พี่เชอร์รี่!" ผมและคนอื่น ๆ ที่อยู่หลังร้านกระโจนเข้าไปที่ครัวพร้อม ๆ กัน ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมงาน

สภาพของพี่เชอร์รี่ทำเอาผมใจเสีย เลือดสีแดงฉานนองบนเขียงจนน่ากลัว คนเจ็บกรีดร้องดิ้นรนอย่างทรมาน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนอุบัติเหตุธรรมดา มันไม่ใช่แค่มีดบาด แต่มันดูคล้ายจะเป็นการจงใจปักมีดเข้ามือตัวเองชัด ๆ แต่คนปกติที่ไหนจะทำแบบนั้น เว้นเสียแต่ว่าเธอจะถูกควบคุมโดยบางสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็น ผมหันมองพัตเตอร์และนะโมเพื่อขอความเห็น สองคนนั้นสีหน้าวิตกพยักหน้าเล็กน้อย ยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงสิ่งที่ผมคิด

"ชล รีบพาเชอร์รี่ไปหาหมอเถอะ เดี๋ยวพี่ดูแลที่ร้านให้เอง" พี่สาว่าอย่างร้อนใจ

"ใช่พี่ชล รีบพาพี่เชอร์รี่ไปหาหมอเถอะ" พัตเตอร์กล่าวสมทบ

ผมมองทั้งพี่สาและพี่เชอร์รี่สลับกัน เวลานี้เธอทั้งสองก็น่าเป็นห่วงพอ ๆ กัน แต่ผมก็จำต้องตัดสินใจพักเรื่องพี่สาเอาไว้และพาพี่เชอร์รี่ไปโรงพยาบาลทั้งมีดที่ยังเสียบคา



ผมที่ยังหลอนกับโรงพยาบาลขนาดพี่เขยนอนพักรักษาตัวอยู่ก็ยังไม่คิดจะไปเยี่ยม แต่สุดท้ายไม่อาจเลี่ยงได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุรุนแรงที่ไม่น่าเป็นฝีมือมนุษย์กับพนักงานในความดูแลของผม โชคดีที่ตอนนี้อาการของเธอปลอดภัยดีแล้ว

ผมได้สอบถามพี่เชอร์รี่ระหว่างทางมาโรงพยาบาลเธอบอกว่าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เธอรู้สึกตัวดีทุกอย่างแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ตอนที่เห็นมือเห็นขวาของตัวเองคว้ามีดและง้างแทงเข้าที่มือซ้าย ได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ ขนาดพี่เชอร์รี่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยวิญญาณดวงนั้นยังทำได้ขนาดนี้ แล้วพี่สาล่ะ จะต้องเจอกับอะไรบ้าง

"พี่ชลเห็นหรือยังว่าแรงแค้นของวิญญาณอาฆาตมันน่ากลัวขนาดไหน เพราะอย่างนี้ผมถึงไม่อยากให้พี่เข้าไปยุ่ง" พัตเตอร์ว่าพร้อมหย่อนก้นลงนั่งข้างผมตรงเก้าอี้หน้าห้องทำแผล เจ้าเด็กนี่ขอตามมาที่โรงพยาบาลด้วย

"คนอย่างพี่สาน่ะเหรอพัตเตอร์ จะไปทำอะไรให้ใครแค้นได้ขนาดนั้น"

"ก็ไม่แน่หรอกชล เขาดีกับคุณก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดีกับคนอื่นด้วย" นายนะโมที่ยืนอยู่อีกมุมว่า

ผมถอนใจเอนหลังพิงพนักอย่างปลงไม่ตก จะเหตุผลอะไรผมก็ไม่อาจจะทำใจปล่อยวางเรื่องพี่สาได้

"ว่าแต่พี่ชลเถอะ ทำไมจู่ ๆ ถึงเห็นวิญญาณได้ ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยเห็นว่าพี่จะมีอาการอะไรแบบนี้"

"ไปกวนตีนหมอผีมาน่ะ เลยโดนสาป" ผมตอบตามความจริง แต่เจ้าพัตเตอร์เลิกคิ้วคล้ายจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด จนผมต้องทำหน้าจริงจังเพื่อยืนยันคำพูดตัวเองเขาจึงพยักหน้ารับ

"แล้ว..." พัตเตอร์มองผมคล้ายกำลังมีคำถามก่อนจะเสตามองนายนะโม

"เรื่องมันยาวน่ะ เอาไว้ให้พี่มีสติกว่านี้ค่อยให้ฟังก็แล้วกัน" แม้สีหน้าจะยังเต็มไปด้วยความสงสัยแต่พัตเตอร์คงจะเข้าใจว่าผมยังไม่พร้อมจะเล่าอะไร เขาจึงได้แต่พยักหน้าและไม่พยายามเซ้าซี้

"ว่าแต่เราเถอะเป็นแบบนี้มานานหรือยัง

"ตั้งแต่แปดขวบแล้ว" ผมหูผึ่งตั้งใจฟังสิ่งเด็กนั่นพูด เห็นผีมาตั้งแต่แปดขวบตอนนี้เขายี่สิบเอ็ด ผมอดสงสัยไม่ได้เลยว่าเขาใช้ชีวิตมาได้อย่างไรจนโตป่านนี้ ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยแสดงอาการใด ๆ ให้ผมระแคะระคายว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น แต่ผมสิ เพิ่งเป็นแบบนี้มาไม่กี่วันยังแทบประสาทเสีย

"ตอนเด็ก ๆ ผมเคยจมน้ำจนวิญญาณออกจากร่างน่ะ ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นแล้ว" 

"เดี๋ยวนะ" ผมเลิกคิ้วเพราะสะดุดกับบางสิ่งที่ที่พัตเตอร์เล่า

"เราบอกว่าเราเคยวิญญาณออกจากร่างอย่างนั้นเหรอ" ตามเรื่องที่เล่าก็หมายความว่าพัตเตอร์เคยอยู่ในสภาวะเหมือนนายนะโมตอนนี้ บางทีเจ้าเด็กนี่อาจจะช่วยให้อะไร ๆ มันง่ายขึ้นก็ได้ 

พัตเตอร์พยักหน้ารับ ผมจึงถามต่อ

"แล้วกลับเข้าร่างได้ยังไง"

"ผมก็ไม่รู้ ผมจำได้แค่ว่าผมยืนอยู่ที่ขอบสระว่ายน้ำ เห็นคนอุ้มร่างตัวเองขึ้นมาจากก้นสระ แล้วเขาก็ปั๊มหัวใจผมจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้แล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็ฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล" 

เรื่องของพัตเตอร์ดูจะช่วยอะไรนายนะโมไม่ได้มากเท่าไหร่ เพราะวิญญาณของเด็กนั่นออกจากร่างแค่ชั่วขณะ ไม่ได้ถึงขั้นล่องลอยและไม่รู้ว่าร่างตัวเองอยู่ไหนแบบที่นายนะโมเป็น แต่อย่างน้อยเรื่องของพัตเตอร์ก็ช่วยยืนยันได้ว่าคนเราสามารถวิญญาณออกจากร่างและกลับเข้าร่างได้จริง อย่างนั้นนายนะโมก็ยังมีโอกาสอยู่จริง ๆ



หลังจากจัดการเรื่องพี่เชอร์รี่เรียบร้อย ผมให้เธอลาพักจนกว่าจะหายดีค่อยกลับมาทำงาน ผม พัตเตอร์และนายนะโมยังคงกลับมาที่ร้าน ทุกอย่างยังคงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นพี่สาดูแลทุกอย่างแทนผมได้เป็นอย่างดีเช่นทุกครั้ง ทว่าอาการปวดคอและไหล่ของเธอดูจะหนักขึ้นกว่าเมื่อตอนเย็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะล้าจากงานหรือเพราะมีบางสิ่งต้องการให้เป็น

ผมพยายามที่จะไม่กระโตกกระตากเพราะรู้ซึ้งแล้วถึงฤทธิ์เดชของผีผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเชื่อได้เลยว่าเธอยังทำอะไรได้มากกว่านี้แน่นอน หนำซ้ำยังมีทั้งพัตเตอร์และนะโมที่คอยกันท่าไม่ให้ผมได้คุยกับพี่สา คืนนั้นทั้งคืนผมจึงไม่มีโอกาสได้เตือนเธอ ถึงภัยร้ายที่เธออาจจะต้องเผชิญ

แต่ผมยังคงตั้งใจไว้แน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะต้องหาทางช่วยพี่สาให้ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2023 05:48:28 โดย ชาญขวัญ »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ ชาญขวัญ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 5


วันนี้เป็นวันหยุดผมจึงจะไม่ได้เจอพี่สาที่ร้าน การข่มตาหลับในคืนที่ผ่านมาเป็นอะไรที่ยากลำบากมากสำหรับผม โทรศัพท์พี่สาไม่สามารถติดต่อได้ตลอดทั้งคืนไม่รู้ว่าเป็นเพราะการขัดข้องของสัญญาณหรือเพราะบางสิ่งตั้งใจจะขัดขวางไม่ให้ผมพูดเรื่องสำคัญ วันนี้ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไปหาพี่สายังที่พักของเธอ เพื่อเตือนถึงภัยร้ายก่อนที่จะไม่ทันกาล

"นั่นชลจะไปไหน" นายนะโมที่ยังคงมีสาวสไบเขียวเกาะอิงไหล่ถามขึ้น ตอนที่เห็นผมออกจากบ้านมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "จะไปหาพี่สาใช่ไหม"

แม้จะโดนอีกฝ่ายรู้ทันผมก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ อย่างไรนายนะโมก็คงจะห้ามอะไรผมไม่ได้มากเหมือนพัตเตอร์

"นี่น้องชลคะ พี่นีรู้เรื่องหมดแล้วนะ พี่นีขอเตือนในฐานะวิญญาณที่อยู่มานานนะคะว่าเราเข้าไปยุ่งเวรกรรมของคนอื่นไม่ได้" พี่นีกล่าวสมทบ

"ทั้งสองคนอย่าห้ามผมเลย ยังไงผมก็ต้องช่วยพี่สา" ว่าแล้วผมก็กดรีโมทปลดล็อกรถ แล้ววิ่งขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับโดยไม่ฟังคำเตือนของวิญญาณทั้งสอง

พี่ที่รู้จักกันมานานกำลังจะมีอันตรายจะให้ผมปล่อยเลยตามเลยคงทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอแค่ได้เตือนหรือพาเธอไปหาหลวงพ่อสักรูป ผมเคยได้ยินว่ามีพิธีกรรมที่สามารถสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิตได้ ถึงจะช่วยได้ไม่ทั้งหมดแต่อย่างน้อยมันก็คงจะพอผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ 

เมื่อหันมาอีกทีผมก็พบนายนะโมนั่งอยู่เบาะข้างคนขับแล้ว

"ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วย" ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่เขามีให้ผมจากสายตาที่มองมา ผมพยักหน้ารับการมีเขาไปด้วยอาจจะช่วยให้ผมอุ่นใจขึ้น ขอแค่อย่าพยายามห้ามผมอีกก็พอ หลังจากเสร็จเรื่องพี่สาแล้วเขาก็คงจะเป็นคิวต่อไปที่ผมจะต้องหาทางช่วยให้สำเร็จ



ผมขับรถมาจนถึงหน้าหอพักของพี่สา แต่แล้วก็มีเหตุให้ผมต้องชะงัก เมื่อเห็นเจ้าพัตเตอร์ในชุดลำลองนั่งรออยู่บนรถมอเตอร์ไซต์บิ๊กไบค์คู่ใจที่หน้าหอพัก เจ้าเด็กนี่คงจะเป็นอีกคนที่รู้ทันและคิดจะมาห้ามผม แต่มาถึงจุดนี้แล้วใครก็ขวางผมไม่ได้ทั้งนั้น ผมจอดรถเข้าซองก่อนลงมาหาคนที่น่าจะรอมาพักใหญ่

"ผมนึกแล้วว่าพี่ชลต้องทำแบบนี้"

"อย่าห้ามพี่เลยพัตเตอร์ ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพัตเตอร์พี่ก็คงต้องช่วยให้ถึงที่สุดเหมือนกัน แล้วกลับกันถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ เราจะยอมปล่อยให้พี่มีอันเป็นไปอย่างนั้นเหรอ" ผมพูดอย่างแน่วแน่และจริงจัง พัตเตอร์ถอนหายใจและโคลงศีรษะดูหน่ายใจ เขาคงพอจะรู้แล้วว่าอย่างไรก็ห้ามผมไม่ได้

"พี่ชลนี่ดื้อจริง ๆ เลย ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วย" ผมยิ้มกับท่าทีอ่อนลงของพัตเตอร์ เอ้า มีพัตเตอร์ไปช่วยพูดอีกคนก็น่าจะยิ่งดี มีสองเสียงยืนยันคงทำให้พี่สารับฟังได้ง่ายขึ้น

หลังจากคุยกันรู้เรื่อง ผม นะโมและพัตเตอร์ ตั้งท่าจะเดินเข้าไปด้านในหอพักพร้อม ๆ กัน แต่แล้วก็เกิดอุปสรรคบางอย่างมาขวางทางพวกเราไว้ แสงสว่างลักษณะเหมือนสายฟ้าฟาดพุ่งออกมาจากด้านในหอพัก สิ่งนั้นไม่ได้ทำอันตรายผมกับพัตเตอร์แต่กระทบตัวนายนะโมอย่าแรงจนทำให้เขาตัวลอยกระเด็นไปไกลหลายเมตร

"นะโม!" ผมรีบวิ่งเข้าไปหาและยอบตัวลงดูอาการนายนั่นที่กำลังดิ้นทุรนทุรายดูท่าคงจะเจ็บไม่น้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วละนี่

ไม่นานนักผู้ที่น่าจะเป็นต้นเหตุของสายฟ้าเมื่อครู่ก็แสดงตัว ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมเครื่องแต่งกายนักรบจีนโบราณกระโดดตีลังกาสิบตลบออกมาจากด้านในหอพัก ท่านผู้นั้นหยุดยืนจังก้าขวางประตูทางเข้าหอพักลูบหนวดมองผมกับพัตเตอร์แบบเพ่งพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะหันมาทำหน้าถมึงทึงพร้อมใช้ง้าวอันเป็นอาวุธประจำกายชี้มาทางนายนะโมที่ยังนอนเจ็บ

"เข้าไม่ได้" ท่านผู้นั้นกล่าวเสียงเข้ม ด้วยภาษาไทยสำเนียงจีน ท่านเป็นเจ้าที่ของที่นี่หรือ?

"ท่านครับ เขาเป็นเพื่อนผม พวกเรามาที่นี่เพื่อจะช่วยเพื่อนที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ท่านเปิดทางให้พวกเราเถอะนะครับ" ผมพยายามจะเจรจาแต่ท่านผู้นั้นยังคงมีสีหน้าดุดันไม่มีท่าทีโอนอ่อน

"ไม่ได้ เจ้าไม่ใช่เจ้าของสถานที่แห่งนี้ ไม่มีสิทธิ์อนุญาตให้วิญญาณหน้าไหนเข้าไปทั้งนั้น"

"ท่านให้ผมเข้าไปเถอะ ผมมาที่นี่แค่เพื่อจะดูแลชล ผมไม่ยุ่งกับคนอื่นหรอก อ๊าก!" เพียงนายนะโมตั้งท่าจะตะเกียกตะกายลุกขึ้น ท่านผู้นั้นก็สะบัดง้าวจนเกิดสายฟ้าเล่นงานนายนั่นจนหมอบไปอีกรอบ

รอบนี้ดูจะรุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้อีก ผมได้แต่มองนะโมที่กำลังเจ็บปวดทรมานอย่างจนใจ ในเวลาแบบนี้กลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย แค่จะสัมผัสตัวเขาเพื่อปลอบประโลมก็ยังทำไม่ได้ 

"ถ้าอย่างนั้น" พัตเตอร์ว่าพร้อมยื่นมือมาหาผม "ให้พี่เขารออยู่ข้างนอกแล้วพี่ชลก็ขึ้นไปกับผมสองคน"

"แต่ว่า..." 

"พี่เขาไม่เป็นอะไรหรอกพี่ชล แค่ไม่พยายามเข้าไปข้างในท่านเขาก็ไม่ทำอะไรแล้ว พวกเรารีบไปหาพี่สาดีกว่าก่อนจะไม่ทันกาล"

ผมคิดตามสิ่งที่พัตเตอร์ว่าพลางมองนายนะโมที่ตอนนี้สภาพยังน่าเป็นห่วง ท่ามกลางสถาการณ์ที่ตัดสินใจลำบาก แม้ครู่หนึ่งนายนั่นจะมองพัตเตอร์อย่างไม่ค่อยจะชอบใจนักแต่เขายังคงกลับมาฝืนยิ้มให้ผมคล้ายจะบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร

"ไปเถอะชล อึก ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะรออยู่ตรงนี้" นายนั่นว่าด้วยน้ำเสียงกระเซาะกระแซะ ก่อนจะประคองตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เวลาอย่างนี้แค่จะประคองเขาลุกผมยังทำไม่ได้ ตอนนี้เขาดูเจ็บร้าวไปทั้งตัวจนน่าสงสาร

"นายรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ฉันจะรีบออกมา" ผมลุกขึ้นเองโดยไม่ได้ใช้มือของพัตเตอร์ช่วยพยุง ใช่ว่าจะไม่ห่วงนายนะโม แต่เรื่องพี่สาก็เป็นอะไรพี่เร่งด่วนขอเพียงนายนะโมไม่รุกล้ำเข้าไปในอาณาเขต ท่านผู้นั้นก็คงไม่ทำอะไรรุนแรง

"ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวผมดูแลพี่ชลเอง" ใช่ว่าจะรู้สึกไม่ได้ถึงการเขม่นกันเล็ก ๆ ของพัตเตอร์และนะโม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพะว้าพะวังกับเรื่องนั้น

ผมยกมือไหว้ท่านเจ้าที่และหันมองนายนะโมอย่างอดห่วงไม่ได้ เขายังดูมีอาการเจ็บระบมทั้งตัว แต่สุดท้ายผมก็ต้องตัดใจเข้าไปด้านในหอพักกับพัตเตอร์สองคน

เมื่อเข้ามาด้านในสิ่งแรกที่เด่นตระหง่านทักทายสายตาของผมก็คือตี่จู้เอี๊ยะหลังใหญ่ที่อยู่ในโถงชั้นล่างของหอ ซึ่งน่าจะเป็นที่สิงสถิตของท่านที่ยืนคุมนายนะโมอยู่ด้านนอก ผมพนมมือไหว้ก่อนจะเดินเข้าไปติดต่อคนดูแลหอพัก คนดูแลหอพักต่อสายหาพี่สาแจ้งถึงการมาของผมและพัตเตอร์ ก่อนจะได้รับคำตอบว่าเธอไม่สบายหนักลงมารับไม่ไหวให้พวกผมขึ้นไปหาที่ห้องได้เลย

ผมและพัตเตอร์โดยสารมาด้วยลิฟต์ปุโรของหอพัก พูดถึงลิฟต์แล้วก็ยังหลอนไม่หายเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลนั้นผมยังไม่อาจลืมเลือน ซ้ำสภาพของเจ้าลิฟต์ตัวนี้ก็ไม่น่าวางใจว่าจะพาพวกผมไปถึงที่หมายได้หรือเปล่า

"พัตเตอร์ พี่ไม่เข้าใจทำไมตี่จู้เอี๊ยะกันไม่ให้นายนะโมเข้ามา แต่กลับปล่อยให้วิญญาณที่ตามพี่สาเข้ามาได้" ผมถามที่สิ่งที่คาใจ พัตเตอร์มีประสบการณ์กับเรื่องพวกนี้มากกว่าผม เด็กนั่นอาจจะให้คำตอบได้

"ขึ้นชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวร อะไรก็ขวางไม่ได้หรอกพี่ชล" 

ผมพยักหน้าคลายความสงสัย แต่ในชั่วอึดใจต่อผมก็เป็นอันต้องใจหายวูบ เมื่อลิฟต์ที่ผมโดยสารมามีอาการกระตุกก่อนจะหยุดนิ่งสนิท และไฟในลิฟต์ก็ดับพรึ่บ ผมยกมือทาบอกสัมผัสกับหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติ นาทีนี้เรื่องผีกลายเป็นเรื่องเล็กเพราะเกรงว่าไอ้ลิฟต์นี่จะพาผมดิ่งลงไปกระแทกพื้นโลกเสียมากกว่า และเพียงไม่นานเธอคนนั้นก็ปรากฏกาย แม้จะเคยเห็นเธอแค่เพียงครั้งเดียวแต่ผมก็จำเธอได้ไม่ลืม ใบหน้าขาวซีดราวกับว่าไม่มีเลือดในกาย น้ำตาที่ไหลเป็นสายเลือด และแผลฉกรรจ์ทั่วทั้งตัว ประจักษ์อยู่ตรงหน้าผมและพัตเตอร์

ผมผวาจนหลังติดกำแพงลิฟต์ พัตเตอร์ยกแขนแกร่งขึ้นกันตัวผมจากวิญญาณตรงหน้า

"กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับเรื่องของกู" น้ำเสียงแหบพร่าของเธอยังคงเน้นชัดอย่างน่ากลัวเช่นเมื่อวาน

"คุณปล่อยพี่สาไปเถอะ พี่สาเขาเป็นคนดีให้เขาได้อยู่เพื่อสร้างบุญสร้างกุศลต่อไปเถอะ อย่าจองเวรกันเลย เดี๋ยวผมจะบอกให้เขาอุทิศบุญกุศลให้คุณบ่อย ๆ" ผมพยายามจะเจรจากับดวงวิญญาณตรงหน้า

"หึ เป็นคนดีอย่างนั้นเหรอ" เธอแค่นยิ้มหยัน ก่อนที่เธอจะทำให้ผมได้เห็นความจริงบางอย่าง ความจริงที่มีเพียงแค่เธอและพี่สาเท่านั้นที่รู้กันสองคน

ผมรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองถูกดูดดึงเข้าไปในอีกห้วงมิติ รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนว่าจะมาอยู่บนถนนที่เปลี่ยวไฟทางที่มีไว้เหมือนเป็นเพียงของตกแต่งเพราะที่ส่องให้แสงสว่างได้จริง ๆ มีอยู่น้อยมาก ผมเห็นเธอคนนั้นคนที่ปัจจุบันกลายเป็นผีสาวหน้าตาซีดเผือด ตอนนั้นเธอน่าจะยังมีชีวิตอยู่ เธอยืนหอบกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่ที่อีกฝากหนึ่งถนน แม้จะไม่มีรถสักคันผ่านมาแต่เธอก็ยังข้ามถนนตรงทางม้าลายอย่างเคร่งครัด ทว่าจู่ ๆ กลับมีรถมอเตอร์ไซค์ขับฝ่าไฟแดงมาด้วยความเร็วที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด และรถคันนั้นชนร่างของเธอเข้าอย่างแรงจนกระเด็นไปไกล คนขับที่เป็นเด็กสาวจอดรถในทันทีด้วยอารามตกใจ อาจเป็นเพราะทางที่ไม่ค่อยสว่างเธอจึงไม่เห็นอีกฝ่ายและขับมาไวเกินกว่าจะเบรกได้ทันในระยะประชิด เธอหันมองหญิงเคราะห์ร้ายที่ล้มลุกคลุกคลานบนกองเลือด อีกฝ่ายพยายามที่จะไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ แต่เพราะกลัวความผิดเด็กสาวจึงสติเตลิดและขับหนีไป ปล่อยให้เธอคนนั้นล้มลงจมกองเลือดแบบไม่รู้ชะตากรรม

ผู้หญิงคนนั้นตายในคืนนั้น รอยแผลฉกรรจ์ตามตัวเนื้อตัวยังคงติดมาถึงตอนเป็นวิญญาณ 

ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ ผู้เสียหายก็อยู่สภาวะที่พูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว เด็กสาวคนนั้นจึงยังคงลอยนวลมาได้เป็นสิบปี และเด็กสาวคนนั้น คือพี่สา....

เธอทำให้ผมเห็นภาพตอนที่กำลังเจ็บปวดทรมานอยู่บนถนนตามลำบากนานนับชั่วโมงกว่าจะสิ้นใจไปพร้อมกับแรงอาฆาต หากพี่สาเลือกจะช่วยเธอในตอนนั้นเธออาจจะรอด...

"พี่ชล พี่ชล" ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ถูกพัตเตอร์เขย่าตัว ผมกลับมาอยู่ในลิฟต์ตัวเดิมที่ยังมืดมิด น้ำตาผมหลั่งรินเพราะเวทนาในชะตากรรมของผีสาวตรงหน้า ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอจึงผูกใจเจ็บจนตามเป็นเจ้ากรรมนายเวรพี่สาขนาดนี้

"เห็นหรือยังว่ามันสมควรตายแค่ไหน กูตายอย่างทรมาน แม่กูต้องลำบากเพราะไม่มีคนดูแล กูรอวันนี้มาสิบกว่าปี รอวันที่มันดวงตกที่สุดเพื่อที่กูจะได้แก้แค้น" ผมรู้ซึ้งดีแล้วในความเจ็บแค้นที่เธอมี แต่ครั้นจะให้ปล่อยให้เธอฆ่าพี่สา ผมก็ทำไม่ได้อยู่ดี

"ผมขอโอกาสสักครั้งได้ไหมครับ ไว้ชีวิตพี่สา ให้เขาได้มีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้ความผิดเถอะนะ"

ผีสาวมองผมอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบว่า

"ก็ได้ แต่กูจะให้โอกาสมึงแค่ครั้งเดียว ทันทีที่มึงเจอหน้ามันจงบอกให้มันยอมรับผิดและไปสารภาพความจริงกับตำรวจซะ ถ้ามันทำตามมึง กูจะยอมปล่อยมัน" ผมยิ้มรับในโอกาสที่เธอให้ แม้จะเป็นแค่ครั้งเดียว แต่ผมเชื่อว่าพี่สาในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปจากตอนเป็นเด็กสาวแล้ว เธอรู้จักผิดชอบชั่วดีมากขึ้นและน่ายินยอมที่จะเข้าสู่กระบวนทางกฎหมายเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับคู่กรณีผู้ล่วงลับ

หลังจากเจรจากันเสร็จสรรพวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของพี่สาก็ได้หายไป ลิฟต์กลับมาใช้งานได้ตามปกติ และนำพาผมและพัตเตอร์ไปจนถึงชั้นที่พี่สาพักอาศัยอยู่ เมื่อลิฟต์เปิดผมตรงดิ่งไปที่ห้องของพี่สาในทันที ผมเคาะประตูเรียกพี่สาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะได้ยินเสียงตอบรับที่ดูสิ้นไร้เรี่ยวแรงจากเจ้าของห้อง พี่สาเดินมาเปิดประตูให้พวกผมในสภาพอิดโรย วันนี้สภาพเธอดูแย่ลงไปกว่าเมื่อวานมาก ที่วิญญาณตนนั้นบอกว่าวันนี้คือวันที่เธอดวงตกที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องจริง

"ชลกับพัตเตอร์ มีอะไรหรือเปล่า มาหาพี่ถึงที่นี่เลย" พี่สาในสภาพที่แทบจะยืนไม่ไหว เอ่ยถาม

"พี่สา ต้องไปหาตำรวจกับผมตอนนี้เลย" ผมละล่ำละลักพูดออกไปอย่างร้อนใจ ยิ่งช้ายิ่งเสียเวลา 

"มีเรื่องอะไรชล ทำไมจู่ ๆ จะให้พี่ไปหาตำรวจ"

"เรื่องที่พี่ทำไว้เมื่อสิบกว่าก่อน ผมรู้หมดแล้ว" พี่สานิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาของเธอเริ่มแสดงความหวาดหวั่น คล้ายคนกำลังกลัวความผิด

"ผู้หญิงที่พี่ขับรถชนเขาตาย ตอนนี้วิญญาณของเขาตามมาจะเอาชีวิตพี่แล้ว ถ้าพี่ไม่ไปมอบตัวกับตำรวจในวันนี้ เขาไม่ปล่อยพี่ไปแน่"

"ชลพูดบ้าอะไรเนี่ย" ตั้งแต่รู้จักกันมานี่เป็นครั้งแรกที่พี่สาขึ้นเสียงใส่ผม

"พี่ไม่เคยขับรถชนใครตายทั้งนั้น" แม้จะปฏิเสธเสียงแข็งแต่พิพุธทางสีหน้าและแววตาเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจซ่อนเร้น รวมถึงท่าทางเธอลุกลี้ลุกลนจนจับสังเกตได้ไม่ยาก

"เชื่อพี่ชลเถอะพี่สา ติดคุกดีกว่าตาย" พัตเตอร์ว่าสำทับผม พี่สาดูสับสนแต่ยังคงดึงดัน

"วันนี้วันหยุด พี่ไม่สบายพี่อยากพักผ่อน ชลอย่ามากวนพี่ด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้เลย" ว่าจบพี่สาก็ปิดประตูใส่หน้าผมเสียงดัง พร้อมลงกลอนสนิท

"พี่สา! พี่สา เปิดประตูให้ผมก่อนพี่" ผมทุบประตูดังปังหลายที แต่พี่สาก็ไม่เปิดออกมาอีกเลย ผมทรุดตัวลงอย่างสิ้นหวัง พี่สาไม่ยอมฟังสิ่งที่ผมพูดเลย

"พอเถอะพี่ชล ผมบอกแล้วไงว่าเราเข้าไปยุ่งกับเวรกรรมของคนอื่นไม่ได้" พัตเตอร์ว่าพร้อมกับประคองผมลุกขึ้น

"วะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงแหบพร่าหัวเราะชอบใจดังก้องชวนขนหัวลุกไปทั่วทั้งบริเวณ ผมพยายามมองหาต้นตอของเสียงรอบตัวเพื่อหวังจะเจรจากับเธออีกครั้ง แต่เธอผู้นั้นไม่ยอมปรากฏกายออกมาให้เห็น

"กูบอกแล้วไงว่ามันสมควรตาย"

สิ้นเสียงสุดท้ายจากวิญญาณสาว ไม่ทันที่จะผมจะมีโอกาสได้พูดสิ่งใด ผมก็รู้สึกเหมือนทั้งตัวของผมถูกบางสิ่งกระชากอย่างรุนแรงจนตัวปลิว

"ชล!" ผมสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันตามเสียงที่คุ้นเคย นั่นมันนายนะโมนี่

เมื่อหันมองรอบตัวก็ได้พบว่าตอนนี้ผมกับพัตเตอร์กลับมาโผล่ที่บริเวณหน้าหอพัก ผมตกใจมากไม่รู้ว่าตัวเองถูกนำพามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ตอนไหน เมื่อไหร่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งสติได้เสียงกรีดร้องที่แผดดังมาจากด้านบนก็เรียกร้องความสนใจจากผมไปเสียก่อน

"กรี๊ด!!!" เสียงนั้นดังมาจากบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องพักของพี่สา

เพล้ง

เพียงอึดใจต่อมาผมก็เห็นร่างของใครบางคนพุ่งทะลุกระจกออกจากห้องที่เป็นต้นเสียง และไม่นานร่างนั้นก็ดิ่งลงกระแทกพสุธา สองตาผมยังคงจับจ้องอยู่ตรงห้องนั้น ตรงบริเวณช่องกระจกที่ถูกทะลุออกมา วิญญาณสาวหน้าซีดเผือดยืนแสยะให้ผมก่อนที่เธอจะเลือนหายไป ผมก้มลงมองสิ่งที่เกิดขึ้นบนพื้นโลกร่างที่ตกลงมาจากข้างบนนั้นคือพี่สา....

เธอเสียชีวิตคาที่ เลือดแดงฉานเจิ่งนองไปทั่วบริเวณหน้าหอพักและไหลเป็นทางมาจนถึงปลายรองเท้าของผม สองตาพี่สายังคงเบิกค้างนัยน์ตาเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ผมสั่นเทาไปทั้งตัว ช็อกจนประคองตัวเองไม่อยู่ แข้งขาอ่อนจนพัตเตอร์ต้องช่วยพยุง นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ผมเห็นคนตายต่อหน้า ตายในสภาพที่น่ากลัว ซ้ำยังเป็นคนสนิทที่ผมเพิ่งจะคุยด้วยยังไม่ทันจะถึงนาที

ผมช่วยเธอไว้ไม่ได้...



ผมกลับมาถึงบ้านในช่วงหัวค่ำ หลังจากต้องอยู่ให้ปากคำเรื่องการตายของพี่สากับตำรวจในฐานะคนแรกที่พบศพ แต่น่าแปลกตรงที่คนดูแลหอพักยืนยันว่าผมกับพัตเตอร์ไม่เคยเข้าไปข้างใน แม้แต่กล้องวงจรปิดก็บันทึกภาพพวกเราไว้ไม่ได้ ราวกับว่าทุกอย่างหยุดไว้ตอนที่เราสองคนอยู่หน้าหอพัก แต่ผมจะไม่เคยเข้าไปได้อย่างไรในเมื่อทุกอย่างด้านในก็ตรงกับที่ผมเห็นก่อนหน้าทั้งหมด ไม่ว่าอะไรจะอยู่ตรงไหน คนดูแลหอพักก็คนเดิม แม้แต่ชุดที่พี่สาสวมใส่ยังเป็นชุดเดียวกับที่ผมคุยกับเธอครั้งสุดท้ายตอนที่ยังมีลมหายใจ ทุกอย่างชวนให้ผมสับสนไปหมด

ผมเดินขึ้นห้องนอนในสภาพเหมือนคนไร้วิญญาณ เพราะยังคงรู้สึกผิดที่ช่วยพี่สาไม่ได้ แม้ว่าพัตเตอร์และนะโมจะพยายามปลอบประโลมว่ามันเป็นเรื่องของเวรกรรม

เมื่อผมเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน นายนะโมเข้ามารอผมอยู่ก่อนแล้ว แววตาของเขาที่มองผมยังคงเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ความอัดอั้นที่ผมเก็บมาทั้งวันในที่สุดก็ถึงคราวปะทุ ผมโผเข้ากอดนายนั่นและร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่เก็บอาการ เพราะทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ

"นะโม ฮึก ฮึก ฉันช่วยเขาไม่ได้" ผมพูดไปทั้งสะอื้นไห้ นายนะโมลูบหลังปลอบประโลมผม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ผมสามารถสัมผัสตัวเขาได้เป็นครั้งคราว แต่ขอบคุณที่มันเกิดขึ้นตอนนี้

"ไม่เป็นไรนะครับ ชลทำดีที่สุดแล้ว" เวลานี้น้ำเสียงเขาฟังดูอบอุ่นเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่เวลาที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้วผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เวลาผ่านไปพักใหญ่ผมถึงได้สงบลง ผมนอนอยู่บนเตียงในสภาพคนหมดแรง ด้านข้างมีนะโมที่อยู่เคียงข้างผม นายนั่นนอนตะแคงใช้ศอกตั้งบนที่นอนและหนุนหัวบนมือของตัวเอง แววตาของเขาที่มองมาทำให้ผมรู้อบอุ่น ถ้าไม่มีเขาอยู่ด้วยคืนนี้ผมคงไม่สามารถจะข่มตาให้หลับได้

ผมพยายามที่จะลองสัมผัสตัวเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมคว้าได้เพียงอากาศ มือของผมผ่านตัวเขาไปราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่เคียงข้างผม ผมมองเขาอย่างตั้งคำถาม เพราะไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะสิ่ง เขาเป็นวิญญาณการที่ผมจะสัมผัสตัวเขาไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ทำไมบางครั้งมันถึงเกิดขึ้นได้

"อย่าพยายามหาคำตอบเลยครับ วันนี้ชลเหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนนะครับ คนดีของผม"



ผมหลับไปทั้งอย่างนั้น กว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็กลางดึก นั่นเป็นเพราะเสียงสะอื้นไห้จากใครบางคนที่ดังมาจากปลายเตียงของผม ผมลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย รอให้ตาชินกับความมืดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเพ่งมองไปที่ใครคนนั้นที่กำลังนั่งกอดเข่าฟุบหน้าร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงปลายเตียง และตอนนี้ไม่มีนายนะโมนอนอยู่ข้าง ๆ ผมแล้ว

"พี่สา!" ผมสะดุ้งจนตัวโยนรู้สึกเสียวสันหลังวาบทันทีตอนที่เธอคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองผม พี่สาในสภาพที่ทั้งเนื้อตัวโชกไปด้วยเลือด ตามเนื้อตัวมีแต่รอยกัดและรอยข่วน

"ฮึก ฮึก ชลช่วยพี่ด้วย มันทรมาน ทรมานเหลือเกิน" น้ำเสียงของพี่สาเย็นยะเยือกชวนให้ขนลุกขนพอง แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดสิ่งใดก็มีมือที่ยืดยาวออกมาจากความมืดมาขยุ้มที่กลุ่มเส้นผมบนหัวพี่สา ก่อนจะกระชากอย่างแรง

"กรี๊ด!!!!" 

พี่สาถูกดึงหายไปในความมืด พร้อม ๆ กับที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา ในห้องของผมยังเปิดไฟสว่างโร่ นะโมก็ยังอยู่ข้าง ๆ ผม แค่ความฝันหรอกหรือแต่มันช่างเป็นฝันที่น่ากลัวและสมจริงเอามาก ๆ 

เรื่องของพี่สาทำให้ผมตระหนักรู้ ในเรื่องของเวรกรรม กรรมที่ทำไว้ไม่ว่าจะผ่านไม่นานแค่ไหนมันก็จะต้องย้อนกลับมาสนองเราเข้าสักวัน หลังจากนี้ผมตั้งใจจะสร้างกรรมดีให้มาก ๆ ส่วนหนึ่งจะอุทิศให้พี่สารวมถึงดวงวิญญาณผู้หญิงเคราะห์ร้ายคนนั้น เพื่อหวังว่าผลบุญจะหนุนนำให้เธอทั้งสองหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในเร็ววัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2023 02:08:09 โดย ชาญขวัญ »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ ชาญขวัญ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 6


หลังงานศพของพี่สาผ่านไปบรรยากาศในร้านผมยังคงเต็มไปด้วยความเศร้าโศกของบรรดาพนักงาน แม้ว่าความผิดของเธอในอดีตจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย แต่กับทุกคนที่นี่พี่สาคือพี่สาวที่แสนดี โดยเบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าสาเหตุการเสียชีวิตของพี่สาน่าจะเป็นอุบัติเหตุ คงจะมีแค่เพียงผม นะโม และพัตเตอร์เท่านั้น ที่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้พี่สาจากไปคืออะไร

เวลามีใครถามว่าทำไมผมกับพัตเตอร์ถึงอยู่ในที่เกิดเหตุวันนั้น ผมเลือกจะบอกว่าเธอไม่สบายผมจึงไปเยี่ยมในฐานะเจ้านายก็เท่านั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปด้านในหอพัก เธอก็ตกลงมาเสียชีวิตเสียก่อน ส่วนความผิดในอดีตของเธอ ผมยังคงเก็บไว้เป็นความลับเพราะคิดว่าให้คนรอบตัวพี่สาจดจำแค่ภาพดี ๆ ของเธอน่าจะดีกว่า อย่างไรเสียเธอก็ชดใช้ความผิดนั้นด้วยชีวิตของเธอแล้ว

"พี่ชล อาทิตย์หน้าหยุดยาว ไปเที่ยวทะเลกับผมไหม ไปค้างที่บ้านพักตากอากาศของพ่อผม" พัตเตอร์เข้ามาคุยกับผมหลังจากเล่นดนตรีเสร็จ ช่วงสัปดาห์หน้ามีวันหยุดนักขัตฤกษ์ติดกับเสาร์อาทิตย์ ผมเลยถือโอกาสนี้ปิดร้านให้พนักงานได้ไปพักผ่อนฟื้นฟูสภาพจิตใจจากเรื่องพี่สา

ผมใช้เวลาคิดไม่นานจึงให้คำตอบพัตเตอร์ 

"ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ" ผมเจอเรื่องหนักมามากแล้ว ไปพักผ่อนชมวิวทะเลสวย ๆ คงจะช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นได้เยอะ เด็กนั่นดูดีใจตอนที่ผมมีทีท่าจะตอบตกลง

"ผมไปด้วย" น้ำเสียงระรื่นนำมาก่อนที่เจ้าของเสียงจะวาร์ปมาโผล่ตรงกลางระหว่างผมและพัตเตอร์

เจ้าพัตเตอร์ทำหน้าเซ็งเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บอาการเมื่อผมมองไปทางเขา ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรสองคนนี้ถึงดูไม่ชอบหน้ากัน ทั้งที่นายนะโมก็เพิ่งมาไม่นานจึงไม่น่าจะเคยมีเรื่องบาดหมางใจกับพัตเตอร์มาก่อน

"ผมว่าผมชวนแค่พี่ชลนะ ยังไม่ได้ชวนพี่เลยสักคำ"

"ก็ถ้าผมไม่ไปชลก็คงจะเที่ยวไม่สนุกหรอกเนอะ" นะโมว่าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน มองผมอย่างเว้าวอน 

ตอนนี้ทั้งนะโมและพัตเตอร์พร้อมใจกันหันมองมาที่ผมเล่นเอาผมรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว แค่จะไปเที่ยวทะเลทำไมมันรู้สึกกดดันขนาดนี้ก็ไม่รู้

"เอ่อ คือ... พี่ไม่อยากทิ้งนะโมไว้คนเดียวน่ะ ให้นะโมไปด้วยเถอะนะพัตเตอร์" ผมพูดไปก็เกรงใจพัตเตอร์อยู่เหมือนกัน แต่เห็นสายตาอ้อนวอนจากนายนะโมแล้วก็ปฏิเสธไม่ลง จะว่าไปสองถึงสามสัปดาห์ที่ผ่านมานายนะโมตัวติดกับผมแทบจะทุกวันคืนจนเกือบจะกลายเป็นความเคยชินอยู่แล้ว ถ้าจะให้ทิ้งเขาไว้ที่บ้านกับยัยพี่นีเสียงผีเปรตแล้วตัวเองก็ออกไปเที่ยวสนุกผมก็คงรู้สึกผิด

"ก็แล้วแต่ อยากไปก็ไป" ถึงจะอิดออดแต่เด็กนั่นก็ยอมตกลงโดยดี ผมยิ้มและเอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบา ๆ 

"ขอบใจมากนะ พัตเตอร์เนี่ยเป็นน้องที่น่ารักที่สุดเลย" เอ่อ ไม่รู้ว่าผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า พอผมชมเขาไปอย่างนั้นพัตเตอร์นิ่งไป รอยเลือดฝาดที่แก้มเขาขึ้นสีแดงจาง ๆ จนผมเริ่มทำตัวไม่ถูก

ผมพูดไม่เข้าหูเลยทำให้เด็กนี่โกรธจนหน้าแดงเลยหรืออย่างไร

"พี่บอกว่าผมน่ารักเหรอ" พัตเตอร์ทวนคำผม พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ

"อะ อืม" 

เอ่อ การที่พี่ชายชมน้องชายว่าน่ารักมันก็น่าจะเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือแล้วทำไมเจ้าเด็กนี่จะทำอย่างกับว่าเป็นอะไรที่พิเศษมากมาย ผมหันไปทางนายนะโมกะจะถามความเห็นว่าน้องมันเป็นอะไรแต่หมอนั่นก็เอาแต่ทำหน้ามุ่ยย่นจมูกใส่ผม ก่อนจะแวบหายไป อ้าว เป็นอะไรอีกคนแล้วล่ะ ตกลงผมทำอะไรผิดพลาดตรงไหนล่ะเนี่ย



ผมอยู่เคลียร์บัญชีที่ร้านถึงดึกดื่นจนพนักงานในร้านกลับกันหมดแล้ว พอพี่สาไม่อยู่แล้วงานผมก็หนักขึ้นเอาเรื่องเหมือนกัน หลังจากช่วงหยุดยาวผมคงจะต้องเริ่มคิดเรื่องหาผู้ช่วยคนใหม่เสียแล้ว หลังจากตรวจดูยอดรายรับ รายจ่าย และรายการสินค้าที่สั่งมาเพิ่มจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นผมปิดหน้าจอและเก็บแล็บท็อปคู่ใจเข้ากระเป๋า บิดขี้เกียจสองถึงสามครั้งก่อนมองหานายนะโม นายนั่นยังคงยืนกอดอกอยู่ที่มุมร้านหน้าตายังไม่หายเง้างอ ไม่รู้ว่างอนอะไรอีกพอผมหันไปมองทีเขาก็ทำสะบัดหน้าหนีที 

"นี่นายเป็นอะไรของนาย นะโม" ผมอดรนทนไม่ไหวจนถามออกไป อีกฝ่ายหันมาหาผมด้วยท่าทางปากคว่ำเป็นพี่กิ๊ก สุวัจนี

"ชลกล้ามากนะพี่ชมไอ้เด็กนั่นน่ารักต่อหน้าผม" หา! นายนั่นงอนผมเพราะเรื่องนี้จริง ๆ น่ะหรือ

"ไร้สาระน่า นะโม เจ้าพัตเตอร์นั่นน้องฉันนะ ฉันจะชมน้องว่าน่ารักมันผิดตรงไหน"

"ชลมองมันเป็นน้อง แต่ดูมันไม่น่าจะมองว่าพี่ชลเป็นพี่นะ" ผมถอนหายใจและโคล่งศีรษะอย่างหน่ายใจ อยากจะคิดฟุ้งซ่านอะไรก็เอาที่สบายใจก็แล้วกันนะ ผมกลับบ้านก่อนล่ะ

"เอ้า ชล! ไม่ง้อผมก่อนเหรอ" นายนั่นว่าหน้าตาตื่นที่ตอนผมเก็บกระเป๋าตั้งท่าจะลุกหนี 

"ฉันจะกลับบ้านแล้ว ถ้านายอยากอยู่เฝ้าร้านก็ตามใจนายแล้วกันนะ" ว่าแล้วผมก็เดินหนีออกมา

"โห ชลใจร้ายอะ" ถึงจะอิดออดอย่างไร สุดท้ายนายนั่นก็เดินตามผมมาอยู่ดี 

หลังจากตรวจดูความเรียบร้อยว่าล็อกประตูร้านอย่างแน่นหนาแล้ว ผมจึงจะเดินมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถที่เช่าไว้ แต่จู่ ๆ อีตานะโมก็เกิดพูดอะไรที่มันไม่เข้าหูขึ้นมาอีกแล้ว

"ชลบอกว่าชลชมไอ้พัตเตอร์เพราะคิดว่ามันเป็นน้องใช่ไหม แต่ชลไม่เคยชมผมแบบนั้น แสดงว่า..." นายนั่นว่าแล้วเว้นวรรคไว้อย่างมีเลศนัย "ชลไม่ได้คิดกับผมแค่พี่น้องสินะ"

ผมชะงักหยุดยืนนิ่งไปในทันทีหลังจากที่นายนะโมพูดเรื่องเลอะเทอะออกมา ไม่รู้ว่านายนั่นใช้แกตแพทเชื่อมโยงอะไรแบบไหนจึงคิดไปได้ถึงขนาดนั้น สิ่งที่เขาพูดมันเพ้อเจ้อสิ้นดี แต่กลับทำเอาหน้าผมรู้สึกเห่อร้อนก่อนจะชาวาบไปทั้งตัว พูดบ้าอะไรของมันวะน่ะ

"ฮั่นแน่ หน้าแดงแบบนี้เขินล่ะสิ" นายนะโมว่าแล้วยิ้มหัวอย่างชอบใจ

เขินบ้าอะไร ใครเขิน ไม่มีโว้ย ผมหน้าแดงเพราะโกรธที่เขาพูดจาเพ้อเจ้อต่างหากล่ะ ผมอยากจะด่าอีตานั่นแต่กลับพูดอะไรไม่ออก จึงได้แต่เดินจ้ำอ้าวหนีเขาออกมา นายนั่นรีบวิ่งตามมาติด ๆ แต่ก็ยังแซ็วผมไม่เลิก ทว่าผมเดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็มีบางสิ่งที่ทำให้ผมผงะจนไม่กล้าไปต่อ

"เอ้า หยุดเดินทำไมล่ะชล หรือว่าเขินผมจนเก้าขาไม่ออก" นายนะโมว่าอย่างติดตลก ตอนที่เขาเดินตามมาทันและหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ผม นายนั่นคงจะมัวแต่มองหน้าผมจนไม่ได้สังเกตทางข้างหน้าเลยสินะ

ผมมองสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าตาปริบ ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นชี้ไปยังสิ่งนั้น นายนะโมหันมองตามนิ้วชี้ของผมกระทั่งเห็นสิ่งเดียวกับที่ผมเห็น เขาหน้าถอดสีท่าทางลั้นลาเมื่อครู่หายไปทันตา ผมกลืนก้อนสะอึกลูกใหญ่เพราะพิจารณาแล้วอุปสรรคตรงหน้าคงไม่ใช่สิ่งที่จะผ่านไปได้ง่าย ๆ

สุนัขสีดำขนาดมหึมากำลังยืนตระหง่านขวางทางพวกผมอยู่ น้ำลายเหนียวหนืดของมันยืดย้อยลงพื้นไม่ขาดสาย ขนปุยของมันดูกระเซอะกระเซิงคล้ายเพิ่งจะผ่านการฟัดกับสัตว์ที่ตัวใหญ่พอ ๆ กันมา ดวงตาสีแดงสดทั้งสองข้างของมันทำให้ผมพอจะรู้ได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ท่าทางของมันเหมือนสัตว์ป่าดุร้ายมากกว่าสุนัขจรจัดที่จะมาเดินเพ่นพ่านอยู่ในเมือง เจ้าตัวนี้ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อนมันอาจจะแค่บังเอิญผ่านมาแต่ดูแล้วมันคงจะไม่อยากผ่านไปง่าย ๆ

เสียงหอนของหมาทั่ว ๆ ไปก็ว่าหลอนเอาเรื่องอยู่แล้ว แต่พอเจ้าหมายักษ์มันเห็นนายนะโมมันก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าและหอนออกมาเสียงดังและลากยาว เสียงของมันทั้งหลอนทั้งโหยหวนชวนให้หดหู่จนขนลุกขนพอง ก่อนที่มันจะหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมและนายนะโมราวกับว่ามันได้พบอาหารมื้อดึกอันโอชะ 

ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ผมและนายนะโมไม่มีโอกาสจะได้ทันวิ่งหนี ความไวของเจ้าหมายักษ์ดูจะเหนือกว่าเสือชีตาห์เสียอีก เพียงมันพุ่งกระโจนครั้งเดียวก็สามารถตะครุบตัวนายนะโมไว้ได้

"นะโม!" ผมตกใจมากจนรนไปหมด ทำอะไรไม่ถูก ผีที่เป็นคนผมยังพอจะเจรจาได้ แต่พอเจอผีที่เป็นสัตว์ผมไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร 

มันอ้าปากกว้างจนสุดขากรรไกร เตรียมจะฝังเขี้ยวเข้าที่คอของนายนะโมอย่างเต็มรัก แต่โชคยังดีที่นายนั่นคว้าที่คอของมันได้ทัน ก่อนที่คมเขี้ยวจะถึงคอเขาเสียเอง ผีหมาและผีคนยื้อยุดกันอย่างเต็มแรง น้ำลายของมันหยดลงหน้านะโม แหม แหมะ ดูท่าทางมันคงอยากจะกินนายนั่นเป็นอาหารเต็มแก่

"ชลหนีไป" นายนั่นว่าเสียงดังในตอนที่เขาดูเริ่มจะต้านกำลังเจ้าหมายักษ์ไม่ไหว มันใช่เวลาจะมาทำตัวเป็นพระเอกไหมนั่น เขากำลังตกอยู่ในอันตรายจะให้ผมทิ้งไปได้อย่างไร

ผมลนลานจนคิดอะไรไม่ออก รู้ว่าจะต้องช่วยเขา แต่ไม่รู้ว่าจะต้องช่วยด้วยวิธีไหน ในวินาทีที่ผมกำลังมืดแปดด้านและเขี้ยวของเจ้าหมายักษ์อยู่ห่างจากนายนะโมแค่ไม่ถึงเซนติเมตร จู่ ๆ ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัวผม

"สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น"

ผมลั่นละล่ำละลักบทแผ่เมตตาออกไปในทันที เพราะเป็นสิ่งเดียวที่คิดได้ตอนนั้น ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล คมเขี้ยวของมันที่ใกล้คอนายนะโมมาก ๆ แล้วจู่ ๆ ก็หยุดชะงัก นายนะโมพยักหน้าให้ผมคล้ายจะบอกว่าให้ผมทำต่อไป

"อะเวราโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย"

เจ้าหมาดำตัวนั้นเก็บเขี้ยวและค่อย ๆ ถอยห่างออกจากนายนะโม

"อัพยาปัชฌาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย"

มันละความสนใจจากนายนะโม แต่หันเหความสนใจตรงมาทางผมแทน ดวงตาสีแดงสดที่จ้องมองมาทำเอาผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว

"อะนีฆาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย"

ผมยังคงกั้นใจท่องบทแผ่เมตตาต่อไป แม้ว่าในขณะนั้นเจ้ามายักษ์จะเริ่มย่างกายเข้ามาหาผมแล้วก็ตาม

"สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด"

บทสวดจบลงพร้อม ๆ กับที่เจ้าหมายักษ์มาหยุดอยู่ตรงหน้าผม เอ่อ หวังว่ามันคงไม่ได้คิดจะจับผมกินเป็นอาหารแทนนายนะโมหรอกนะ

"อย่าทำอะไรชลนะ" นายนะโมว่าเสียงดังขณะตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นยืน

แต่เจ้ายักษ์ยังไม่ได้ทำร้ายผม มันเพียงแค่เดินวนรอบตัวและยื่นจมูกมาสูดกลิ่นผมเท่านั้น เอ่อ หวังว่ามันคงไม่ได้กำลังพิจารณาว่าเนื้อส่วนไหนของผมอร่อยที่สุดหรอกนะ ผมหายใจติดขัดและเกร็งไปทั้งตัวพยายามไม่ขยับตัวตรึงเท้าไว้ให้มั่นที่สุด เกรงว่าหากทำอะไรให้เจ้าหมายักษ์ตกใจขึ้นมาผมอาจจะโดนมันฉีกเนื้อเอาได้

ทว่ามันกลับไม่ได้มีท่าทีที่จะทำร้ายผม หลังจากที่สูดกลิ่นผมจนพอใจมันยอบกายนั่งลงตรงหน้าผม แววตาที่ยังคงดุดันจ้องมามองมาที่ผมราวกับต้องการจะให้ผมมองนัยน์ตาของมัน และเมื่อผมมองเข้าในดวงตาของสัตว์ร้ายตรงหน้าความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เจ้ากรรมนายเวรของพี่สาทำให้ผมเห็นภาพในวันวานก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

ผมรู้สึกเสมือนถูกดูดกลืนไปยังอีกมิติหนึ่ง ในโลกที่ผมเป็นเพียงอากาศธาตุไม่มีใครมองเห็นหรือสนใจ ผมเห็นคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งรับเลี้ยงเจ้าลูกสุนัขสีดำตัวน้อยอย่างชื่นมื่น ชีวิตหมาเด็กของมันเป็นไปด้วยความสุขล้นในตอนที่มันยังตัวเล็กและดูน่ารัก ทว่าความสุขนั้นก็อยู่กับมันได้ไม่นานนัก เพราะอายุขัยของสุนัขที่ดำเนินไปไวกว่ามนุษย์ เพียงไม่กี่เดือนต่อมามันก็กลายร่างจากลูกหมาตัวน้อย ๆ สู่เจ้าหมายักษ์หน้าตาน่ากลัว การปฏิบัติจากมนุษย์ทั้งสองที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบของมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามการเจริญเติบโต จากที่เคยประคบประหงมเอาอกเอาใจก็กลายเป็นถูกเลี้ยงแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ จากที่เคยทำอะไรก็น่ารักกลับกลายเป็นทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปเสียหมด เพียงเพราะพวกเขาเบื่อมันแล้ว จากที่เคยกินอิ่มก็ถูกละเลยในบางมื้อ จากที่เคยกอดหอมเดี๋ยวนี้แค่ลูบหัวมันยังจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ บางครั้งที่มันเผลอกัดข้าวของตามประสาสุนัขที่กำลังโต มันก็มักจะถูกฟาดจนเลือดซิบ ต้องนอนเลียแผลตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

และวันหนึ่งคู่รักที่เคยหวานชื่นก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อมนุษย์ทั้งสองตัดสินใจแยกทาง ทว่าภาระที่มีลมหายใจตัวเบ้อเร่อยังคงอยู่ ต่างฝ่ายต่างเกี่ยงกันที่จะรับเจ้าหมายักษ์ไปดูแลท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยการที่มันถูกนำไปปล่อยทิ้งให้กลายเป็นสุนัขจรจัด

ชีวิตที่แต่เดิมก็ไม่ได้มีความสุขมากมายอยู่แล้วเป็นอันทุกข์ระทมขมขื่นหนักไปกว่าเก่า มันอยู่อย่างอดอยากบางวันก็โดนหมาเจ้าถิ่นรุมทำร้ายจนเนื้อตัวเป็นแผลเหวอะหวะ บางวันโชคดีเจอคนให้อาหารก็พอได้ประทังชีวิต แต่บางวันที่หิวจนทนไม่ไหวต้องไปคุ้ยถังขยะหาเศษอาหารก็โดนคนเขาทุบตีมา แม้ว่าตอนที่มีเจ้าของพวกเขาก็ใช่ว่าจะรักมันมากมายนัก แต่มันยังคงรักและคิดถึงมนุษย์ทั้งสองที่เป็นเสมือนโลกทั้งใบของมันสุดขั้วหัวใจ และรอคอยอย่างมีความหวังว่าสักวันพวกเขาจะมารับมันกลับไป

ชีวิตหมาจรช่างแสนลำบาก มีเพียงลังไม้เก่า ๆ ที่พอให้มันได้ใช้คุ้มกะลาหัว แต่ก็ไม่เคยมีวันไหนที่มันจะนอนหลับได้เต็มตา ไหนจะกลัวคนหรือสัตว์อื่นมาทำร้ายแล้วยังต้องคอยระแวงว่าฝนจะตกหรือเปล่า คืนฝนตกเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายของเจ้าหมายักษ์เพราะที่ซุกหัวนอนเกรอะกรังก็ไม่อาจคุ้มหัวได้อีกต่อไป มันต้องตัวเปียกทั้งคืนและนอนซมอย่างไร้คนเหลียวแลในวันถัดมา

เจ้าหมายักษ์ใช้ชีวิตอย่างทรหดอยู่นานนับปี จนมาถึงวันที่เส้นชะตาชีวิตของมันได้ขาดลง เนื่องจากมันมักจะโดนเด็กเกเรรุมรังแกคอยขว้างปาก้อนหินหรือสิ่งของใส่มัน และไล่ตีมันเหมือนเป็นเรื่องสนุกจนมันต้องหนีหัวซุกหัวซุนอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเห็นมันไม่เคยกัดหรือขู่เด็กพวกนั้นก็ยิ่งได้ใจ แต่ไม่ว่าคนหรือสัตว์ความอดทนมันก็มีขีดจำกัดด้วยกันทั้งนั้น เมื่อถึงวันที่มันกลายเป็นหมาจนตรอก มันกระโดดงับเข้าที่แขนของเด็กเกเรเพื่อป้องกันตัว จนไอ้เด็กนั่นร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งกลับบ้านไปฟ้องพ่อ

และความผิดของเจ้าหมายักษ์ ก็ถูกตัดสินโทษประหารชีวิต...

พ่อเด็กคว้ามีดอีโต้ตรงมาหามันอย่างบันดาลโทสะ และง้างมีดฟันเข้ากลางกบาลของมันเต็มแรงอย่างไม่พูดพร่ำ และแม้แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิตสวรรค์ก็ยังไม่เมตตาให้มันสิ้นใจในทันที ผู้ชายคนนั้นคงฟันมันซ้ำตามตัวอีกหลายแผล มันเจ็บปวดและทรมานอย่างแสนสาหัส มันดิ้นทุรนทุรายเสียงร้องของมันโหยหวนชวนให้คนที่ได้ยินหดหู่ใจ ทุกบาดแผลที่ถูกกระทำจนคนทำหนำใจมันรู้สึกได้ทั้งหมด ก่อนที่มันจะขาดใจตายในสภาพอเนจอนาถ และศพของมันก็ถูกไปเอาโยนทิ้งไว้ในกองขยะ ปิดตำนานชีวิตเจ้าหมาสุดอาภัพ

ชีวิตมันพานพบแต่คนใจร้าย

น้ำตาผมไหลพรากอาบเต็มสองแก้มในตอนที่กลับมาสู่ช่วงเวลาปัจจุบัน แววตาของสัตว์ดุร้ายตรงหน้าดูอ่อนลงและถูกแทนที่ด้วยน้ำใส ๆ ที่เริ่มเอ่อ ผมเวทนามันจับใจ และได้แต่อธิษฐานขอให้บุญกุศลที่ผมได้ทำนำพาให้มันพ้นจากความทุกข์ระทมทั้งปวงไม่ว่ากายหรือใจ หากชาติหน้าของมันมีจริงผมขอให้มันมีชีวิตที่ดีกว่านี้

"มนุษย์ไม่ได้ใจร้ายทุกคนหรอกนะ ฉันสัญญาว่าจากนี้ฉันจะอุทิศส่วนกุศลให้แกบ่อย ๆ" ผมพูดไปเสียงสั่นเพราะยังไม่อาจทำใจกับภาพชีวิตสุดรันทดที่เจ้าหมายักษ์เพิ่งถ่ายทอดให้เห็น

อะไรจะน่ากลัวไปกว่าสิ่งที่เรียกว่าจิตใจมนุษย์

เจ้าหมายักษ์ลุกขึ้นยืนพร้อม ๆ กับน้ำในตาที่ร่วงพรู ก่อนที่มันจะหันหลังให้ผมและเดินจากไปอย่างเชื่องช้า ผมมองตามจนร่างของมันกลืนหายไปในความมืด มันไปแล้วแต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับมีความรู้สึกบางอย่างบอกผมว่าผมกับมันยังจะต้องได้เจอกันอีกแน่

นายนะโมวาร์ปมายืนกอดอกอยู่ด้านข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ทันสังเกต รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินนายนั่นพูดว่า...

"เป็นพ่อทูนหัวของผมแล้วยังเป็นพ่อพระของสัตว์โลกอีกนะ ผมนี่รักคนไม่ผิดจริง ๆ" 

เอ เมื่อครู่อีตานะโมบอกว่าอะไรอยู่บนหัวเขานะ ผมได้ยินไม่ถนัด



♪"เมื่อเธอรักฉัน หัวใจผูกกันใจเราไหวหวั่น"♪

เป็นอีกวันที่ผมขี้หูเต้นระบำจนต้องแหกตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปลุกที่ไม่เคยร้องขอจากเสียงเพลงของยัยพี่นี อันที่จริงในห้องนอนผมก็มีนวัตกรรมที่เรียกว่านาฬิกาปลุกอยู่นะ สามารถตื่นเองได้โดยไม่ต้องง้อเสียงผีเปรตที่เปล่งมาจากผีตานีและคงจะตื่นขึ้นมาแบบสุขภาพจิตดีกว่าทุกวันนี้ เห็นทีว่าผมจะต้องจัดการปัญหานี้ให้สิ้นซากเสียที

จากลุกจากเตียงและรี่มายังต้นกล้วยในสวนบ้านทั้งชุดนอน มาทั้งถึงก็เจอภาพที่ชวนให้ขัดหูขัดตาในทันที ตานีสาวกำลังเกาะแขนอ้อนออดออเซาะเคลียคลออีตานะโมที่ดูไม่หือไม่อือ

หึ สวีตกันจังเลยนะ เห็นแล้วหมั่นไส้โว้ย

"อรุณสวัสดิ์ค่ะน้องชล ตื่นเช้าเชียวนะคะ สงสัยจะมาเป็นพยานความรักในพี่นีกับน้องนะโม" พี่นีกล่าวทักทายผมเสียงระรื่น แต่นายนะโมโบกมือคล้ายจะคัดค้านสิ่งที่ตานีสาวเพิ่งพูด แววตาเขามองผมเหมือนกำลังขอความช่วยเหลือ

ถ้าไม่ชอบก็บอกเขาไปตรง ๆ สิ มัวแต่อมพะนำอะไรอยู่

"เอ่อ พี่นีครับ พี่นีอาศัยอยู่ในต้นกล้วยนี่จริง ๆ เหรอ" พี่นีสีหน้าฉงนเมื่อจู่ ๆ ผมก็เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา

"เอ้า พี่นีเป็นผีตานีก็ต้องอยู่ในต้นกล้วยตานีสิคะ น้องชลนี่ถามอะไรแปลก ๆ"

"ถ้าอย่างนั้น พี่นีช่วยเข้าไปในต้นกล้วยให้ผมดูหน่อยได้ไหม" ยิ่งผมพูดอีกฝ่ายก็ยิ่งทำหน้างงงวย ผมจึงว่าต่อพร้อมเพิ่มน้ำเสียงและแววตาออดอ้อนเข้าไป "นะครับ นะ ผมทำให้ผมดูหน่อยนะ"

"อะ อะ ก็ได้" ถึงจะยังดูไม่ค่อยเข้าใจแต่พี่นีก็ยอมละจากแขนล่ำของอีตานะโม "เห็นว่าหล่อหรอกนะ พี่นีถึงยอมทำให้ดู"

ว่าแล้วพี่นีก็หลับตาและทำปากขมุบขมิบไม่รู้ว่าบ่นอะไร แต่ไม่นานนักร่างกายของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นดวงไฟสีเขียวลอยหายเข้าไปในต้นกล้วยอันเป็นที่อยู่อาศัย นับว่าผมเริ่มจะมีภูมิต้านทานกลับเรื่องเหล่านี้พอสมควร ถ้าเป็นแต่ก่อนเกิดเห็นตอนที่พี่นีวาร์ปหายเข้าไปในต้นกลัวผมคงสติแตก 

"อะ พอใจหรือยังคะ หว่ะ ว้าย น้องชลทำอะไรพี่นี! ทำไมพี่นีออกไปไม่ได้" พี่นีร้องเสียงหลงดังมาจากในต้นกล้วย หลังที่ผมล้วงหยิบเอาสายสิญจน์ที่ติดมาในกระเป๋ากางเกงผูกที่ลำต้นกล้วยตำนีทันทีที่เธอหายเข้าไปในนั้น 

"อยู่ในนั้นนั่นแหละ จนกว่าจะเลิกร้องเพลงรบกวนชาวบ้าน"

"ว้าย น้องชล เสียงเพลงของพี่นีคือสิ่งดีงามของโลกใบนี้นะคะ อย่าใจร้ายกับตานีสาวแสนสวยที่มีเสียงอันไพเราะอย่างนี้สิคะ" ผมถึงกับเผลอเหลือบตามองบนกับคำยกยอตัวเองของเธอ ไอ้เรื่องสวยผมคงไม่เถียงแต่เรื่องมีเสียงอันไพเราะนั้นอะไรทำให้เจ๊แกมั่นใจแบบนั้น

"พี่นีรู้นะคะว่าจริง ๆ แล้วน้องชลหึงพี่นีกับน้องนะโม แต่ต้องข้าใจนะคะน้องชลกับพี่นีเราอยู่กันคนละภพภูมิแล้วรักกันไม่ได้ พี่นีถึงต้องตัดใจเลือกน้องนะโม ที่น้องชลทำแบบนี้เพราะอยากจะแยกพี่นีกับน้องนะโมใช่ไหมล่ะคะ แต่พี่นีขอบอกเลยนะว่าน้องชลขังพี่นีได้แต่ตัว ขังหัวใจพี่นีไม่ได้หรอกนะคะ" เจ๊ตานีโศกาด้วยน้ำเสียงเหมือนนางเอกละครวิทยุสมัยโบราณ

ผมกุมขมับกับความไปเรื่อยไปเปื่อยของเจ๊แก ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยเจอผีหลงตัวเอง อยู่ในนั้นไปก่อนแล้วกัน ผมช่วยแม่เตรียมกับข้าวใส่บาตรเสร็จแล้วจะกลับมาปล่อย ผมหันหลังจะเดินกลับเข้าบ้านโดยมีบ้านนะโมเดินตามมาต้อย ๆ 

"ชลหึงผมต่างหากล่ะเนอะ หึงโหดแบบนี้ เริ่มหลงเสน่ห์ผมแล้วล่ะสิ" นายนะโมว่าตวัดปลายเสียงแบบยียวน เล่นเอาผมชะงักหน้าร้อนวาบ

นายนั่นทำท่ารูปซิปปากและยกมือยอมแพ้ตอนที่ผมหันไปทำตาขวางใส่ หึงบ้าอะไร ใครหึง ผมก็แค่รำคาญเสียงยัยพี่นีเท่านั้นจริง ๆ เพ้อเจ้อไปเรื่อยแบบนี้เดี๋ยวพ่อก็จับไปขังในต้นกล้วยด้วยกันเสียนี่ ผมรีบสับเท้าหนีเขาเข้าบ้านไปแต่อีตานั่นก็ยังตามมากวนประสาทไม่ห่าง

"ว้าย! น้องชลอย่าเพิ่งไป กลับมาปล่อยพี่นีก่อน!!!!"



ผมกลับเข้ามาในบ้านตั้งใจจะตรงไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยแม่เตรียมอาหารใส่บาตร ทว่าระหว่างทางที่ผมเดินผ่านห้องรับแขกตอนนั้นพ่อกำลังนั่งดูโทรทัศน์รายการข่าวตอนเช้า เสียงจากโทรทัศน์ดังเข้าหูซ้ายแต่ผมไม่อาจจะปล่อยให้มันทะลุออกหูขวาได้ เพราะหัวข้อที่พิธีกรกำลังพูดถึงนั้นทำเอาผมตาโตหูผึ่งและรีบหันไปจ้องหน้าจออย่างให้สนใจเป็นพิเศษ 

นักวิทยาศาสตร์สาวผู้คิดค้นอุปกรณ์ที่จะทำให้คนรู้อดีตชาติของตัวเองได้

ผู้หญิงที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ตอนนี้คือ 'ดร.โรสริน เดโชวะรา' ผมพอจะคุ้นหน้าเธออยู่บ้างเพราะเคยผ่านตาจากข่าวต่าง ๆ เธอคือนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ผู้ชอบคิดค้นอุปกรณ์แปลก ๆ รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ล่าสุดของเธอที่พิธีกรในหน้าจอและผู้ชมทางบ้านอย่างพ่อผมต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าโฆษณาเกินจริงไม่มีทางเป็นไปได้ แต่สำหรับผมที่มาถึงจุดนี้แล้วผมเชื่อว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ในเมื่อคุณลุงเจ้าที่เคยให้ปริศนาไว้ว่าเรื่องของผมกับนายนะโมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชาติปางก่อน

ไม่แน่ว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาให้ผมพบกับทางออกของปัญหาก็เป็นได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2023 06:31:53 โดย ชาญขวัญ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ค้างงงง :hao7: :z3: :sad4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด