三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน  (อ่าน 40531 ครั้ง)

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
สงสารหงฟี่ แล้วจะทำยังไงต่อไปละนี่ :heaven
ตั๋วหยางอย่าฆ่าหงฟี่เลยนะ ซิกๆ

ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
บทที่ 12 เทพมังกรปฐพี



   ถนนที่เคยเงียบเหงา บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน และยังอบอวลไปด้วยความรื่นเริงชวนเพลิดเพลินใจ   ชาวเมืองมากหน้าหลายตาแข่งกันแต่งตัวมาเต็มที่ หนุ่มสาวได้มีโอกาสพบปะทำความรู้จักกัน เด็กๆวิ่งเล่นลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย ผู้สูงอายุถูกลูกหลานจูงมาเดินเล่นระลึกความหลัง ครอบครัวน้อยใหญ่ต่างก็ดูมีความสุขกับงานรื่นเริงครั้งยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นเพียงปีละครั้ง

   ทุกบ้านตามถนนประดับประดาสวยงาม เห็นควันธูปลอยอบอวลจากศาลเจ้าบรรพบุรุษ   ถ้าบ้านใดมีรูปปั้นมังกรประดับอยู่หน้าบ้านก็จะมีการทำความสะอาดและตกแต่งด้วยผ้าสีแดงสีทองเป็นพิเศษ มีโคมแดงส่องแสงห้อยระย้านำทางไปตามถนนราวกับมวลหมู่หิ่งห้อยสีแดงที่พร้อมใจบินมาเรียงเป็นแถวเดียวกัน

   และเมื่อเดินไปตามทางแสงโคมนั้น กลิ่นหอมหวนก็โชยมาแตะจมูก อาหารคาวหวานยั่วน้ำลายมากมายเสนอขายให้เดินกินเล่นอย่างพึงพอใจ ของปิ้งย่างเอย เกี๊ยวเอย หมั่นโถวเอย เกาลัดเอย   หรือแม้แต่ร้านบะหมี่ข้างทางที่ไม่ค่อยมีคนเหลียวแลก็ยังมีคนไปอุดหนุนกันคับคั่ง

   ไม่ใช่แค่กลิ่นที่สร้างบรรยากาศโอบล้อม แต่ยังมีสรรพเสียงนานาสร้างความเบิกบานใจ   นอกจากเสียงพ่อค้าแม่ค้าร้องเรียกขายของแล้ว ยังมีซอพื้นบ้านบรรเลงจังหวะสดใสชวนให้ฝ่าเท้าร้องเรียกอยากจะออกมาเต้นรำ ทั้งเสียงเด็กวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวร้องขอขนมจากบิดามารดาที่เคยเห็นว่าน่ารำคาญก็กลับกลายเป็นฟังดูน่าเอ็นดูไปเสียอย่างนั้น

   และถ้าเดินมาตรงลานโล่งเกือบสุดถนน อีกเสียงหนึ่งที่จะได้ยินก็คือเสียงดนตรีแปลกหู ดูเป็นทางการกว่าดนตรีข้างถนนที่เพิ่งเดินผ่านมา และเมื่อเข้าไปใกล้ๆก็พบว่าเสียงนั้นคือเสียงดนตรีประกอบการแสดงบนเวทียกพื้น มีผู้ชมเข้าไปนั่งดูกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

   ตั่วหยางหยุดมองดู ด้วยความที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้ดูการแสดงของเมืองหลวงเลยสักครั้ง

   ฉากเบื้องหลังเวทีเป็นภาพวาดของเมืองบาดาลที่งดงามตระการตา ชายที่แสดงอยู่บนเวทีสวมหน้ากากสีทองอร่าม เข้ากับชุดสีทองสูงศักดิ์ที่ประดับประดาเต็มยศ ดูก็รู้ว่าไม่ได้แสดงเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา...  บนเวทีนั้นเขาแสดงท่าทีร่ายรำเกี้ยวหญิงงามที่ใบหน้าเปล่าเปลือยไร้หน้ากาก เห็นสีสันที่แต่งแต้มบนใบหน้าของนางแสดงถึงความพึงพอใจในการเกี้ยวพาราสีในครั้งนี้   แม้จะไม่มีคำเอื้อนร้องใดๆแต่ก็เข้าใจได้ว่าฉากนั้นจบลงด้วยการแต่งงานของทั้งคู่

   เมื่อฉากการแต่งงานจบลง ชายหน้ากากทองก็ออกจากฉากไป เหลือให้นางร่ายรำอยู่ลำพัง   เพียงพักเดียวชายอีกคนก็แหวกม่านเข้ามาหานางอย่างเงียบๆ... เขาสวมหน้ากากที่วาดลวดลายเหมือนชายคนแรกไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่สีหน้ากากและเครื่องแต่งกายกลับเป็นสีเงิน  นางหันไปสังเกตเห็นเขา และดนตรีก็กลับมาเล่นเป็นเพลงเกี้ยวพาราสีอีกครั้ง

   กลายเป็นว่านางกลับมาร่ายรำตามคำเกี้ยวพาของชายคนที่สองด้วย... ทั้งๆที่นางก็แต่งงานกับชายคนแรกไปแล้ว   มันทำให้ตั่วหยางนึกหวาดหวั่นกับสเน่ห์ของสตรีขึ้นมาครามครัน

   “ความงามนั้นฆ่าบุรุษได้...”

   ตั่วหยางสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มกระซิบอยู่ใกล้หู   เกือบลืมตัวเผลอป้องกันตัวไปแล้วหากไม่ได้หันไปมองว่าผู้พูดเป็นใคร

   “...ซึ่งข้าก็คงจะตายด้วยความงามของเจ้า”

   และผู้ที่จะกล่าวชมเขาด้วยคำชมหวานดุจยาพิษนี้ได้ ...ก็มีแต่หงฟี่เท่านั้น

   ในวินาทีแรก เขาไม่คิดว่าคนตรงหน้านี้จะเป็นคนที่เขารู้จัก ด้วยเพราะติดภาพลักษณ์ที่ว่า ต้าอ๋องมักจะปรากฏตัวด้วยอาภรณ์หรูหราเต็มยศเสมอ แม้แต่ยามไปขี่ม้ากันที่ชายหาดหงฟี่ก็ยังใส่ชุดรัดกุมไม่เคยปล่อยตัวตามสบายเลยสักครั้ง   แต่ไม่ใช่คราวนี้ ...ต้าอ๋องที่เขารู้จัก กลับสลัดลาภยศออกเหลือเพียงชายธรรมดาเท่านั้น

   ชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มรวบสาบเข้าหากันด้วยการมัดเอวอย่างหลวมๆ   ทรงผมที่มัดรวบเป็นมวยสูงมาตลอด วันนี้กลับมัดเพียงครึ่งศีรษะ ไม่มีอาวุธ ไม่มีเครื่องประดับใดๆติดตัวเลยสักชิ้น  ดูเผินๆแล้วคล้ายชายหาปลาธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น

   “ท่านต้า-”

   พลันนิ้วชี้เอื้อมมาแตะที่ริมฝีปากเขา

   “เรียกข้าว่าหงฟี่เถอะ ข้าไม่อยากให้ใครรู้”

   ตั่วหยางพยักหน้าอย่างว่าง่าย  เป็นชั่ววูบที่เขาเองก็ผ่อนคลายเสียจนลืมจุดประสงค์ในคืนนี้เสียสิ้น

   “เจ้ามารอนานหรือยัง ข้าตามหาเจ้าอยู่นานเลยทีเดียว”

   “ก็ไม่นานมากหรอกเพคะ”

   หงฟี่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปมองการแสดงบนเวที  เนิ่นนานที่เขาไม่พูดอะไรอีก  ...บนเวทีตอนนี้ชายชุดทองกลับเข้าฉากมา จับการคบชู้ที่เกิดขึ้นได้คาหนังคาเขา

   “เรื่องนี้ทำให้ข้านึกถึงพี่ชายของข้า...”

   หงฟี่พึมพำเสียงต่ำ เมื่อตั่วหยางหันไปมองก็พบว่าเขาจับจ้องอยู่ที่การแสดงบนเวทีนั้นราวกับเห็นคนแสดงทั้งสองคือพี่ชายของตนเสียเอง

   “จริงหรือ เรื่องราวมันเป็นเช่นไรเพคะ”

   ต้าอ๋องหลุดจากภวังค์หันมามองหน้าเขา  เมื่อเห็นสายตาสงสัยใคร่รู้นั้นแล้วจึงดึงมือสาวงามให้ลงมานั่งบนม้านั่งไม้ด้วยกัน  ก่อนจะกระซิบเล่าเรื่องย่อให้ได้ยินแค่สองคน

   “เป็นตำนานแห่งเทพมังกรปฐพี... แคว้นของเรานำตำนานนี้มาจัดการแสดงทุกปี  เรื่องเริ่มที่เทพมังกรปฐพีแบ่งให้โอรสสองคนช่วยกันปกครองบ้านเมือง ผู้พี่ได้ครองเมืองบาดาล ผู้น้องได้ครองเมืองมนุษย์”

   ชายทั้งสองบนเวทีที่ร่ายรำปะทะกันด้วยความกราดเกรี้ยวนั้นต้องเป็นสองพี่น้องเป็นแน่

   “แต่แล้วเมื่อเทพผู้พี่ได้รับหญิงงามจากเมืองมนุษย์ให้มาเป็นชายา กลายเป็นว่าเทพผู้น้องก็ต้องใจนางและแย่งชิงนางมาไว้เป็นของตนเช่นเดียวกัน...”

   นั่นย่อมเป็นฉากที่เขาเพิ่งได้รับชมไป หงฟี่ไม่พูดอะไรอีก และเมื่อเขาหันไปมองหน้า  อีกฝ่ายถึงตอบกลับมาเบาๆ

   “ตอนจบเจ้าดูเองจะดีกว่า...”

   ตั่วหยางจึงหันกลับไปรับชมการแสดงตรงหน้าอย่างว่าง่าย   ฉากแห่งการปะทะจบลง ชายทั้งสองลงจากเวทีไป คั่นด้วยดนตรีบรรเลงอันยาวนาน ก่อนที่ทั้งสองกลับขึ้นมาอีกครั้ง

   เพียงแต่คราวนี้ สองพี่น้องเปลี่ยนชุดเป็นชุดศึก ดูได้จากธงที่ปักอยู่ด้านหลังชุดที่ทำให้ดูน่าเกรงขาม ก่อให้เกิดเป็นฉากอลังการน่าตื่นตา   ทั้งคู่ต่างพาทหารศึกมาเต็มกองทัพ  ฝ่ายพี่ผู้ครองเมืองบาดาลพาสรรพสัตว์ในตำนานขึ้นมาสู้ ในขณะที่ผู้น้องก็พาทหารชาวมนุษย์มากรีทาทัพไม่ให้น้อยหน้า

   เสียงเพลงบรรเลงทวีความดุดันมากขึ้นทุกขณะ กลองดังกระหึ่มเป็นจังหวะราวกับเป็นกลองศึกปลุกใจเหล่าทหาร... นักแสดงบนเวทีพุ่งเข้าปะทะกันด้วยลีลาแข็งแกร่งงดงาม กระโดดกายกรรมฟาดฟันน่าตื่นตายิ่งนัก

   แต่แล้วบทสรุปของสงครามกลับจบลงที่ความสูญเสีย ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างล้มตายสิ้น... ทำให้สองพี่น้องต้องออกมาเผชิญหน้า ฟาดฟันอาวุธกันน่าหวาดเสียวจนนึกสะเทือนใจ

   จนกระทั่ง... ชายชุดทองอีกคนก้าวขึ้นเวทีด้วยชุดกษัตริย์เต็มยศ มงกุฎที่ใส่ยิ่งใหญ่สะท้อนบรรดาศักดิ์สูงสุด มีเคราสีดำยาวจนเลยสะโพก หน้ากากบนใบหน้าเขียนลายด้วยสีดำดูดุดันราวกับโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา

   เพียงแค่เสียงร้องจากนักร้องข้างเวทีเพียงประโยคเดียว สองพี่น้องก็หยุดฟาดฟันกันทันที   เดาได้ว่านั่นคือเทพมังกรปฐพีผู้พ่อที่ปรากฏกายเพื่อหยุดศึกแห่งโศกนาฏกรรมนี้ นักร้องเปล่งวาจาก้องน่าเกรงขาม เป็นท่วงทำนองหนักแน่นเปี่ยมด้วยอำนาจ เสียงเพลงเร่งเร้าขึ้นดูกดดัน

   สองพี่น้องคุกเข่าลงรับการลงทัณฑ์ เทพมังกรปฐพีริบมงกุฎของทั้งสองไว้ เป็นการถอดอำนาจ และตัดสายใยจากเชื้อสายไปตลอดกาล

   ลูกชายทั้งสองก้มหน้านิ่ง จำใจจากลาเวทีด้วยความว่างเปล่า... เทพผู้พ่อไม่แสดงความหวั่นไหวใด ยกเว้นในแววตาเล็กจ้อยหลังหน้ากากที่ซ่อนความเสียใจไว้ลึกสุดห้วงหฤทัย   ยินเสียงเพลงร่ำร้องก้องกังวาน เปี่ยมด้วยพลังน่าขามเกรงจนคนฟังรู้สึกหนาวเยือก จับใจไปกับบทสรุปสุดท้ายที่นักร้องได้ฝากเอาไว้

   คำร้องสุดท้ายดังก้องยาวนาน ทิ้งให้ผู้ชมชาไปทั้งร่าง ก่อนที่ม่านสีแดงจะปิดลง

   เสียงปรบมือดังขึ้นกึกก้องยาวนานยิ่งกว่า เพียงแต่ว่าหงฟี่กลับไม่ขยับ...

   “หงฟี่... ไปกันเถอะ”

   ตั่วหยางขยับตัวเพียงนิดเดียวต้าอ๋องก็รีบคว้ามือเอาไว้... เป็นสัมผัสอันเครียดขึ้ง ที่ทำให้ผู้ที่ถูกจับมือชะงักนิ่งในความผิดปกตินั้น

   “ข้าถามอะไรเจ้าอย่างหนึ่งได้ไหม”

   ผู้คนที่นั่งชมการแสดงเมื่อครู่ต่างลุกออกไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงพวกเขาเพียงสองคนที่ยังนั่งอยู่บนม้านั่งที่เดิม บรรยากาศที่ตึงเครียดในตอนนี้ไม่แตกต่างจากการแสดงที่ได้รับชมเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย

   “อ... อะไรหรือเพคะ”

   “ข้ารู้แล้ว ว่าเจ้าเป็นใคร และเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร”

   ดั่งมีอาวุธร้ายซ่อนตัวอยู่ในเสียงกระซิบพุ่งเข้าจู่โจมทิ่มแทง ตั่วหยางถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ เลือดทั้งกายเย็นเฉียบ แต่หัวใจกลับเต้นรัวเสียจนเจ็บ ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะหาทางออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้

   และในชั่ววินาทีที่เงียบงันนั้น ตั่วหยางแอบเหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนที่คุ้นเคยกำลังเดินตรวจตรามาทางพวกเขา เป็นบุคคลอันตรายที่จะนำพาสถานการณ์ในตอนนี้ให้แย่ลงยิ่งกว่า

   “...หลี่ไป๋”

   หงฟี่ตกใจกำลังจะหันหลังไปมองตาม แต่ตั่วหยางรีบดึงหน้าอีกฝ่ายให้หยุดสบตาอยู่ที่ตน

   “อย่าหันไปมองเพคะ ท่านอยู่นิ่งๆเถิด”

   ต้าอ๋องทำตามคำสั่ง  เขานั่งนิ่ง  ในขณะที่ตั่วหยางลดมือลง ค่อยๆเอื้อมลงมากอดแขนหงฟี่ที่วางอยู่ข้างตัว  พลางเหลือบมองหลี่ไป๋ที่นำทหารอารักขากระจายแยกตัวกันไปตามหาเจ้าครองแคว้น   ตั่วหยางหายใจเข้าลึกก่อนตัดสินใจซบหน้าลงบนไหล่ของคนข้างตัวช้าๆ

   เมื่อมองดูพวกเขาจากข้างหลังแล้ว แลดูเป็นคู่รักคู่หนึ่งที่ลักลอบใช้เวลาพลอดรักกันตามลำพังเท่านั้น

   “ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร” ตั่วหยางกระซิบตอบ

   “เจ้ามาเพื่อลอบสังหารข้า... และเจ้าไม่ใช่คนที่ข้าคิดว่าเจ้าเป็น”

   “ไม่จริง ข้าจงรักภักดีต่อท่านเสมอ”

   ตอบกลับไปใจก็ปวดแปลบ... รู้ทั้งรู้ว่าโกหกไปอย่างหน้าไม่อาย  แต่มันเจ็บยิ่งกว่าที่อยากจะให้คำพูดเหล่านี้เป็นความจริง

   “พิสูจน์สิ”

   ทั้งสองสบตากันนิ่ง ยาวนาน  แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่ตั่วหยางเห็นว่าทหารของหงฟี่แยกย้ายหายไปหมดแล้ว   เขาถึงลุกขึ้น ดึงมือของหงฟี่ให้ลุกขึ้นตาม แล้วจูงมืออีกฝ่ายออกวิ่งไปสุดฝีเท้า

   ตั่วหยางไม่รู้จะพาหงฟี่ไปที่ไหน เมื่อพวกเขาลุกออกจากที่มั่นอันปลอดภัยแล้วก็แปลว่ากำลังเอาตัวเองเข้าเสี่ยงกับการโดนจับ    แต่ในวินาทีนี้ ในสายลมที่พัดผ่านใบหน้าเมื่อออกวิ่ง ในการลัดเลาะชาวเมืองมากหน้าหลายตา ในการกระโดดฝ่าวงผู้คนที่กำลังเต้นรำกับเพลงพื้นบ้าน... มันทำให้พวกเขาลืมความทุกข์ใจไปเสียสิ้น

   จนกระทั่งฝ่ากลุ่มเด็กๆที่วิ่งสวนมาจะไปดูดอกไม้ไฟ ตั่วหยางเห็นหลี่ไป๋ซุกซ่อนอยู่ในผู้คนที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาถึงได้ดึงมือหงฟี่เลี้ยวเข้ามาในตรอกที่ใกล้ที่สุด   แล้วทั้งสองถึงหยุดยืนหอบหายใจ คลุกเคล้าเสียงหัวเราะที่หลบหนีการตามจับได้อย่างหวุดหวิด

   ทั้งสองไม่มีคำพูดอะไรอยู่นาน จนกระทั่งตั่วหยางเงยหน้าขึ้น และได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น

   “หงฟี่... ท่านยิ้ม”

   คนฟังชะงักไปทันที แปลกใจตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้น... ในขณะที่คนตรงหน้าก็เผยสิ่งที่เคยไม่เคยเห็นเช่นเดียวกัน

   “เจ้าก็ด้วย...”

   อะไรบางอย่างอบอวลอยู่ในบรรยากาศเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในปากถ้ำมังกรเหนือชายหาดในวันนั้น  ในความมืดมิดหลบเงาจากแสงโคม มีเพียงพวกเขาแค่สองคน ราวกับบนโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้ว

   “หงฟี่”

   “ไหนว่าเจ้าจะพิสูจน์...”

   ด้วยความรู้สึกลึกล้ำอันแรงกล้า ร่างกายตั่วหยางก็พุ่งเข้ากอดคนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว   เป็นแรงผลักดันอันลึกลับที่อยากเหนี่ยวรั้งหงฟี่ไม่ให้จากไปไหนได้อีกเลยชั่วชีวิต  ตั่วหยางกอดร่างเบื้องหน้าเอาไว้แน่นราวกับปรารถนาให้ร่างทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

   “หากขาดท่านไป ข้าคงไม่รู้จะอยู่เช่นไร”

   หงฟี่ชะงักนิ่ง สองมือของเขาที่โอบตอบกลับมาหลวมๆกระชับแน่นขึ้น

   “บอกข้าสิ ว่าเจ้าจะไม่ทรยศข้า...” ต้าอ๋องเอ่ยคำกระซิบ “ว่าเจ้าไม่ได้มาเพื่อลอบสังหาร---”

   สองมือตั่วหยางที่โอบกอดอยู่พลันเลื่อนขึ้นดึงรั้งใบหน้าของเจ้าครองแคว้นให้โน้มลงมาหา ปิดปากที่พร่ำคำหวาดระแวงเหล่านั้นให้เงียบไปด้วยริมฝีปากของตัวเอง  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรดลใจให้เขาทำสิ่งนั้น รู้เพียงแต่ว่าเขาทนไม่ได้ที่จะต้องแบกรับความหวาดกลัวและความเกลียดชัง โดยเฉพาะจากคนๆนี้

   หรือจะเป็นความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเหวลึกของหัวใจก็ไม่รู้ได้

   หงฟี่เกร็งตัวอยู่ชั่วขณะ ด้วยไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบกลับมาเช่นนี้  แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็หลงกลเชื่อสัมผัสหวานหอมนี้ไปทั้งใจ

   ไม่นานนัก สติอันเบาบางก็กลับคืนมาหาตั่วหยาง... ใจเต้นรัวจนแทบบ้า ไม่อยากจะเชื่อว่าทำอะไรลงไป   แต่พอผละใบหน้าออกมาแค่เพียงชั่วครู่  ถึงได้เห็นแววตาอันแข็งกร้าวเย็นชาของหงฟี่ที่แปรเปลี่ยนเป็นความโหยหา ปวดร้าวดุจกัน

   “หากนี่เป็นคำพิสูจน์ของข้า... ท่านยินดีจะรับมันไหม”

   หงฟี่เงียบ ไม่ตอบอะไร... ในความเงียบพวกเขาได้ยินเสียงดอกไม้ไฟที่ห่างไกลออกไปสุดคว้า เห็นเพียงแค่สีสันเป็นเงารางๆอยู่เบื้องหลังหลังคากระเบื้องสีเข้ม แต่หงฟี่กลับไม่สนใจแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง

   “ข้ายินดี...”

   แววตาของตั่วหยางเผลอวูบไหว... เปิดเผยตัวตนและความรู้สึกทั้งหมดออกมาโดยไม่รู้ตัว

   หงฟี่กระชับร่างเขาเข้าหาอีกครั้ง รู้ดีว่าการกระทำในครั้งนี้จะมิใช่การล่อลวง ไม่ใช่การหวั่นไหวทำตามอำเภอใจ   แต่เป็นสิ่งที่ทั้งสองเฝ้ารอมาเนิ่นนาน เป็นความเต็มใจที่จะทิ้งตัวตนทุกสิ่งสิ้น

   เป็นจุมพิตอันแสนหวาน และเป็นอ้อมกอดที่สัญญาว่าจะไม่ปล่อยกันและกันอีกแล้วชั่วกาล

   แต่ในสายตาของคนอีกคนในเฝ้ามองเงามืด   ภาพที่เห็นกลับระเบิดความคั่งแค้นเจ็บปวด รุนแรงเสียจนเมื่อเทียบกันแล้วเสียงดอกไม้ไฟอันกึกก้องช่างเงียบงัน...





โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
จะยังไงกันนะนั่น

ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
บทที่ 13 ราตรีอันเมามาย



   หลี่ไป๋ปวดหัวยิ่งนัก... นี่หงฟี่ก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว แต่ทำไมยังจะทำตัวคึกคะนองไร้ความคิดได้อยู่อีก ทั้งๆที่ก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ได้ปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย   และที่ยิ่งกว่านั้นคือหงฟี่น่าจะแอบหนีออกมากับนางรับใช้ตั่วหยาง เพราะไปสอบถามมาแล้วก็พบว่านางหายไปจากวังในเวลาเดียวกัน  ไม่เข้าใจเลยว่าหงฟี่จะยังไว้ใจนางผู้นี้อีกได้อย่างไรในเมื่อหลักฐานมากมายก็มัดตัวนางเสียขนาดนั้น

   พระมเหสีโหม่วซาสั่งให้เขารีบตามตัวหงฟี่กลับมาให้เร็วที่สุดแต่อย่าทำอะไรเอิกเกริก ด้วยว่างานเฉลิมฉลองการสถาปนาแคว้นในครั้งนี้ไม่ควรที่จะต้องถูกทำลายความสนุกสนานไป   ดังนั้นหัวหน้าทหารอารักขาอย่างเขาจึงไม่สามารถหยุดกิจกรรมใดๆของชาวเมืองเพื่อค้นหาตัวต้าอ๋องได้ นอกจากต้องส่งกำลังแทรกซึมเข้าไปตามหาอย่างเงียบๆเท่านั้น

   เสียดายที่บรรยากาศอันรื่นเริงสนุกสนานตามท้องถนนไม่ได้ซึมเข้าสู่จิตใจของหลี่ไป๋เลยแม้แต่น้อย

   หลังจากเดินหาประมาณครึ่งชั่วยาม ที่เวทีการแสดงก็เพิ่งจะเลิกราและไม่มีใครอยู่นอกจากคู่รักคู่หนึ่ง หลี่ไป๋ถึงตัดสินใจแยกย้ายทหารกลุ่มสุดท้ายที่เหลือ กระจายกำลังไปให้ทั่วงาน

   เขากำลังเดินตรวจอยู่ถึงบริเวณที่เหล่าเด็กน้อยกระจองอแงซื้อขนมจากชายชรา  เขาถึงเดินชนเข้ากับใครคนหนึ่ง

   “ท่านหลี่ไป๋?”

   ชายผู้ที่เรียกขานชื่อเขาเงยหน้าขึ้นจากการแจกจ่ายขนมที่กว้านซื้อมาให้เด็กๆ ในรอยยิ้มที่ดูเปี่ยมสุขนั้นทำให้หลี่ไป๋ประหลาดใจตามไปด้วย

   “ท่านเป้ยหมิง... ขออภัยขอรับ”

   “ท่านออกมาเดินตรวจตราหรือ”

   “มิใช่หรอกขอรับ ท่านหงฟี่หายตัวไป... คาดว่าน่าจะหนีมาเที่ยวที่งานนี้”

   ทหารหนุ่มคิดว่าปฏิกิริยาของเป้ยหมิงจะเป็นการตกใจและเป็นห่วงกับเหตุการณ์ใหญ่โตนี้ แต่ปรากฏว่าฝ่ายชายสูงศักดิ์กลับหน้าซีด ราวกับโดนจับความผิดได้คาหนังคาเขา

   “จริงหรือ...”

   “ขอรับ  ข้าต้องขอตัวก่อน”

   “ช้าก่อนท่านหลี่ไป๋”

   เสียงเรียกนั้นทำให้ชายทหารหมุนตัวกลับมารับฟังอีกครั้ง

   “คือ... จริงๆแล้วนี่น่าจะเป็นความผิดของข้า...” เป้ยหมิงดูอึกอัก “...วันก่อนที่ข้ากับท่านต้าอ๋องได้เล่นหมากรุกด้วยกัน ข้าสังเกตเห็นเขาไม่ค่อยจะรื่นเริงนัก ข้าเลยแนะนำให้เขาออกมาเที่ยวที่งานนี้ เผื่อจะทำให้เขารื่นเริงขึ้นมาได้บ้าง”

   จบคำนั้นแล้วทั้งสองก็เงียบไป  เป็นการสารภาพที่หลี่ไป๋ไม่คิดว่าจะได้ยิน แต่ก็ไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี

   “ทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของต้าอ๋องก็ไม่ปลอดภัยน่ะหรือขอรับ”

   “ข้าขออภัยจริงๆ ข้าลืมคิดไป”

   เป้ยหมิงเข้าใจดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดูไม่พอใจ ซึ่งเขาก็ต้องยอมรับความผิดแต่โดยดุษณี ยิ่งรวมกับการที่ตนเป็นแค่แขกของแคว้นแล้วยังจะกระทำสิ่งไร้ความคิดเช่นนี้ ก็สมควรแล้วที่จะถูกตำหนิอย่างไม่น่าให้อภัย

   เพียงแต่ว่า... หลี่ไป๋กลับอึกอักอยู่ครู่เดียว ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกขอรับ   สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นท่านหงฟี่ที่ตัดสินใจเองอยู่ดี”

   “ขอให้ข้าร่วมตามหากับท่านด้วยจะได้ไหม”

   ชายทหารนิ่งอึ้งไปอีก พอความขุ่นเคืองมลายหายไปแล้วเขาก็พบว่าจริงๆตัวเองยินดีไม่น้อยที่ได้เจอกับคนๆนี้ และยิ่งการที่เขาไม่เคยมาเดินเที่ยวเลยสักครั้งเพราะมัวแต่ต้องอารักขาหงฟี่ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะใช้เวลาพักผ่อนกับเป้ยหมิงอย่างบอกไม่ถูก

   แต่ว่าเมื่อมีหน้าที่ค้ำคอ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นได้เพียงความเพ้อฝันที่เลือนรางเท่านั้น

   “แล้วพวกคนรับใช้ ทหารอารักขาของท่าน อยู่ที่ไหนหรือขอรับ”

   “ข้าคงพลัดหลงกับพวกเขาตอนแวะซื้อขนมให้เด็กๆกระมัง...  แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คนจมูกไวอย่างเฉินซื่อ ครู่เดียวก็คงจะตามมาได้ทัน”

   เป้ยหมิงดูยิ้มๆ ไม่อนาธรร้อนใจราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขันในขณะที่อีกฝ่ายไม่คิดเช่นนั้น

   “แต่การที่ท่านอยู่คนเดียว ก็มีโอกาสที่ท่านจะถูกลักพาตัวไปได้อีกนะขอรับ”

   คราวนี้ชายอาคันตุกะถึงกับเถียงไม่ได้ และเมื่อมาคิดดูแล้วหลี่ไป๋ก็ไม่มีทางออกอื่นใดในเมื่อเหล่าทหารของเขาแยกย้ายกันไปหมดแล้ว และเป้ยหมิงเองก็ไม่มีคนอารักขาอยู่ข้างกาย

   ชายทหารสูดหายใจเข้าออกลึก... อดคิดไม่ได้ว่าอยากจะใช้โอกาสนี้ถือวิสาสะทำในสิ่งที่ปกติเขาคงไม่มีวันทำ

   “ท่านเป้ยหมิง... คือ ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าขออนุญาต---”

   มือซ้ายของหลี่ไป๋ยื่นมารอคำตอบอย่างลังเลใจ   ดูท่าเจ้าตัวจะลังเลไม่กล้าเอ่ยปากขอ แต่คนฟังก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าชายตรงหน้าต้องการสิ่งใด

   เป้ยหมิงไม่รอให้จบประโยค ยื่นมือขวาของตนมาจับมืออีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม

   หลี่ไป๋ถึงกับสะดุ้ง ทำตัวไม่ถูก ดูก็รู้ว่าเก็บอาการเขินเอาไว้ได้อย่างยากเย็น

   “คือ...เราจะได้ไม่หลงขอรับ”

   ชายร่างใหญ่พูดอุบอิบอยู่ในคอ ในขณะที่อีกฝ่ายบีบมือเขาตอบอย่างนึกเอ็นดู

   “ขอบคุณท่านมาก...”

   หลี่ไป๋พยักหน้ารับ ไม่พูดอะไรอีก... เป็นชั่วขณะที่เขามึนเมาเสียจนยอมรับว่าลืมไปสิ้น ว่าหน้าที่ของตนในขณะนี้คืออะไร

   แสงสีในงานรื่นเริงยังคงดำเนินต่อไป ชายสองคนที่เดินฝ่าผู้คนในงานก็เป็นเพียงแค่จุดเล็กๆจุดหนึ่ง  ยังคงออกเดินทางตามหาเจ้าครองแคว้นที่หายตัวไปอย่างไม่ย่อท้อ  ช่างเป็นเรื่องยากเย็นของหลี่ไป๋เสียเหลือเกินที่จะมีสมาธิกับการตามหาได้ เพราะเดี๋ยวสักพักจิตใจก็จะล่องลอยไปหาเจ้าของมือที่ตนจับอยู่เรื่อยๆ หักห้ามใจได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน

   ในขณะที่คนที่เดินอยู่ข้างๆก็แลดูมีความสุข คงไม่ใช่แค่เพราะตื่นตาตื่นใจกับวัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่มันมีอะไรบางอย่างที่บอกหลี่ไป๋ว่าความสุขของเป้ยหมิงเองก็เกิดจากการได้อยู่กับเขา

   แต่เพียงไม่นานนัก ด้วยหางตาของเขาหลี่ไป๋ก็เห็นชายผู้หนึ่งที่คลับคล้ายคลับคลากับหงฟี่ลับหายไปอยู่ไหวๆ  เขาดึงมือเป้ยหมิงให้รีบเดินเร็วขึ้น คนข้างๆก็ยอมเร่งจังหวะขึ้นตาม   จนกระทั่งทั้งสองตามชายผู้นั้นได้ทัน แต่ทว่าเมื่อจับไหล่ให้ชายผู้นั้นหันมาก็พบว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่ตามหา

   ผู้ต้องสงสัยอีกรายหนีรอดไปจนได้...

   “ไม่เป็นไรหรอกท่าน เดี๋ยวก็เจอ...”

   เป้ยหมิงเอ่ยปลอบใจ ก่อนที่จะถูกคั่นด้วยเสียงเด็กๆเจี๊ยวจ๊าวท่าทางกำลังวิ่งมาทางพวกเขา  เสียงเล็กๆเหล่านั้นฟังจับใจความได้ว่าไปดูดอกไม้ไฟ และยังไม่ทันหลีกทางอะไรให้ก็มีร่างเล็กๆที่วิ่งชนขาพวกเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ส่งแรงให้คล้ายจะสะดุดเข้าใกล้กันยิ่งกว่าเดิม

   เป็นอะไรที่ไม่คาดคิด และนั่นทำให้ยิ่งพูดอะไรไม่ออก   นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ใกล้ชิดขนาดนี้ และมันกลายเป็นวินาทีที่หลี่ไป๋ลืมภารกิจทั้งหมดของตัวเองไปได้จริงๆ

   ช่างเป็นวินาทีสบตาที่ยาวนาน ก่อนจะได้ยินเสียงดอกไม้ไฟที่ห่างไกลออกไปสุดคว้า

   เป้ยหมิงละสายตา เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำอันมืดสนิท  ซึ่งบัดนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันแห่งประกายไฟที่ระเบิดขึ้นประปราย วาดลวดลายเป็นดอกไม้สวยงามจรรโลงใจ

   หลี่ไป๋เงยหน้าขึ้นมองตาม... ราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น เป็นครั้งแรกที่รับรู้ว่าโลกนี้งดงามเพียงใด

   และมีมือของคนข้างๆที่จับมือเขาแน่น มันทำให้วินาทีนี้สมบูรณ์แล้ว

   “ท่านเป้ยหมิง!...”

   หากเพียงช่วงขณะอันต้องมนตร์นี้ก็อยู่ได้ไม่นาน... ในเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นเบาๆ และก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือข้ารับใช้คนเดิมของเป้ยหมิงนั่นเอง

   ชายร่างผอม ใบหน้าเสี้ยมแหลมดึงแขนองค์รัชทายาทเอาไว้อีกข้าง แต่เป้ยหมิงก็ยังไม่ปล่อยมือจากหลี่ไป๋ไป

   “ท่านหายไปไหนมา! พวกข้าตามหาท่านไปทั่วทั้งงานแล้ว---”

   “ข้าขออภัย”

   องค์รัชทายาทกล่าวตัดบทอย่างเรียบๆ เฉินซื่ออ้าปากจะตำหนิต่อแต่ก็ดันเหลือบหันไปเห็นมือของทั้งสองคนตรงหน้าที่จับกันไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไปไหน

   คนมองถึงกับสะอึก ลืมไปเสียหมดว่าจะพูดว่าอะไร

   “กลับเถิดท่าน ดึกแล้ว พรุ่งนี้ท่านยังมีงานต้องทำอีกมาก”

   “งานยังไม่เลิกเลย”

   ฟังดูก็รู้ว่าเป้ยหมิงกำลังดื้อเงียบ และด้วยฐานะที่สูงศักดิ์กว่ามันจึงทำให้ข้ารับใช้ยิ่งหงุดหงิดที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้   แต่จะให้หันไปบอกชายที่เขาไม่ไว้ใจให้ปล่อยมือจากนายของตน เขาก็ทำใจจะพูดด้วยไม่ได้เช่นกัน

   แต่ในสงครามสายตาอันเงียบงันนั้น ก็มีเสียงกระหืดกระหอบจากทหารชั้นรองอีกสองคนที่นำหน้าใครบางคนมา ร้องเรียกหลี่ไป๋ให้หันไปมอง และก็พบว่าพวกเขาเจอตัวการสองคนที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในครั้งนี้แล้ว

   หงฟี่เดินตามหลังทหารสองนายมาเงียบๆ สีหน้าเบื่อหน่ายที่ถูกจับได้  ในขณะที่มีนางรับใช้ตั่วหยางเดินมาข้างๆ ไม่ยอมสบตาเหล่าคนที่ยืนรออยู่เช่นเดียวกัน

   “ท่านต้าอ๋อง...” หลี่ไป๋ทักขึ้น

   “เอาเถอะ กลับกันได้แล้ว”

   ชายสูงศักดิ์ผู้ซึ่งไม่เคยเอ่ยปากขอโทษใครกล่าวปิดเรื่องราวยุ่งเหยิงนี้ด้วยคำเพียงไม่กี่คำ ทหารองครักษ์คนสนิทที่คุ้นชินกับพฤติกรรมนี้แล้วก็ได้แต่นึกขำกับนิสัยเอาแต่ใจที่ไม่เคยเปลี่ยน แต่ก็ยังโล่งอกที่เจ้านายของตนปลอดภัย   เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงสู่สภาวะปกติแล้ว ก็คงต้องถึงเวลาที่เขาต้องปล่อยมือจากความทรงจำดีๆนี้ไปด้วย

   ขบวนของพวกเขาค่อยๆเคลื่อนทัพออกจากงานช้าๆ... มีเพียงการสบสายตาเพียงแวบเดียวเท่านั้นที่เป้ยหมิงคล้ายจะส่งคำขอบคุณมาให้  นั่นทำให้หลี่ไป๋ได้แต่เก็บไปหวังให้โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย


...................................................................


   จันทร์ยังคงลอยค้าง บัดนี้ชาวเมืองซานหลงเข้านอนกันหมดแล้ว

   บ้างยังคงมีเสียงรื่นเริงอยู่ไกลๆ เป็นเสียงร้องเพลงเมามายไม่ได้ศัพท์จากโรงเตี๊ยมใหญ่น้อยไม่ก็หอคณิกา   แม้ตั่วหยางจะไม่ได้ร่วมดื่มด้วย แต่เขากลับเข้าใจดีว่าความรู้สึกของคนเหล่านั้นน่าจะเป็นเช่นไร  คงจะตัวเบา จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ล่ะกระมัง

   คืนนี้เขาตั้งใจจะเอาชุดไปคืนให้แม่เฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วรีบแอบกลับเข้าวังก่อนรุ่งสาง   พรุ่งนี้จะได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม แล้วก็จะได้เจอกับหงฟี่อีก...

   คิดหวนถึงจุมพิตที่ได้รับ มันยังคงหวาน... นึกเสียดายว่าถ้าหากไม่ถูกทหารวังมาพบเข้า เขาก็คงจะเมามายกับจูบนั้นเสียจนหมดสติไปเป็นแน่

   รู้สึกตัวอีกทีเขาก็มาหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมที่ตนพักแล้ว... แปลกเพียงอย่างเดียวที่มีเงารางๆของชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าประตู ทำให้เขาต้องหยุดเท้าสังเกตการณ์อย่างระแวดระวัง   จนกระทั่งเงานั้นลุกขึ้นมาอาบแสงจันทร์ เขาถึงได้เห็นว่านั่นคือหนึ่งในสหายของตน

   “อ้าว... หลินไน่ ทำไมไม่เข้าไป---”

   “เจ้าสนุกไหม?”

   ตั่วหยางหยุดกึก ไม่เข้าใจว่าทำไมการแทรกมาเพียงคำเดียวของหลินไน่ถึงทำให้บรรยากาศทุกอย่างตึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน
   “ก็... สนุกอยู่   นี่เจ้าน่าจะได้ดูการแสดงนะ ไม่เหมือนกับที่เราเคยเห็น...”

   “จูบกับไอ้หงฟี่น่ะ สนุกไหม?”

   สองตาเบิกโพลง หัวใจบีบแรงจนหยุดเต้นไปชั่วขณะ... นึกว่าจะสิ้นใจเสียแล้ว

   หลินไน่ก้าวเข้ามาใกล้อีก  ทำให้ยิ่งเห็นว่าแววตาที่จ้องกลับมาเปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชัง เจ็บยิ่งกว่าถูกหอกแหลมทิ่มแทงทรมาน   บัดนี้คงไม่เหลืออีกแล้วกับคำว่ามิตรภาพ ไม่มีอีกแล้วคำว่าเชื่อใจ

   “หลินไน่...”

   “ทรยศพวกเราน่ะ สนุกไหม?”

   “ข้าไม่---”

   “นี่เจ้ายังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือ!” หลินไน่เผลอตัวแผดเสียงกร้าว “เจ้าทรยศต่อพวกเรา... ต่อหมู่บ้าน... ต่อตัวเจ้าเอง และต่อไหนจื่อ!”

   แค่ได้ยินชื่อของหญิงนางนั้นก็แทบทนไม่ได้

   “หลินไน่ ข้าไม่ได้นอกใจนาง---”

   “ข้าเห็นความรักในดวงตาของเจ้า!!!”

   ตั่วหยางชะงัก... ประโยคง่ายๆเพียงแค่นี้แต่กลับทำร้ายเขายิ่งกว่าตายทั้งเป็น

   คบกันมาตั้งแต่เล็กจนโตก็มีแค่หลินไน่คนเดียวที่ดูออกว่าความรู้สึกในนัยน์ตาของเขาคืออะไร... และด้วยประโยคเดียวกันนี้ก็เคยเป็นประโยคที่หลินไน่ทำให้เขารู้สึกตัวว่าตนชอบพอไหนจื่อ  หรือแม้แต่อีกหลายเรื่องที่ตัวเขาเองยังไม่รู้ ก็มีแค่หลินไน่คนเดียวที่มองเห็น

   ต่อให้เขาจะโกหกตัวเองแค่ไหน... แต่เขาก็ไม่เคยโกหกหลินไน่ได้เลย

   “ไม่จริง...” ปฏิเสธเสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรง “...ข้าไม่ได้รักหงฟี่”

   “เจ้ามันโกหกไม่ได้เรื่อง”

   “ข้าไม่ได้โกหก!  ข้าไม่ได้รักมันจริงๆ---”

   “งั้นก็พิสูจน์สิ!” หลินไน่ทะลักเสียงกร้าวออกมา “ไปฆ่ามันซะ! ถ้าหงฟี่ยังไม่ตายด้วยน้ำมือของเจ้า ...ก็อย่ากลับมาให้พวกข้าเห็นหน้าอีก!!!”

   ดั่งแผ่นดินทรุดพังทลายลงต่อหน้า... มิตรภาพขาดสะบั้น หมดหนทางเยียวยาอีกต่อไป

   หลินไน่ไม่กลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม เพียงแวบเดียวที่เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดใบหน้า ก่อนจะโดดหนีขึ้นบนหลังคาเห็นเป็นเพียงเงาดำจุดเล็กๆที่ค่อยๆหายไปในราตรี  ทิ้งให้ตั่วหยางทรุดลงกับพื้นอยู่ตรงนั้น แม้แต่จะเปิดประตูเข้าไปเจอหน้าหยาโจวครั้งสุดท้ายก็ยังไม่กล้า

   ความผิดพลาดในครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงทรมานยิ่งนัก เขาเอามิตรภาพสิบกว่าปีมาแลกกับความหวั่นไหวเพียงชั่ววูบ หลงเมามายกับสิ่งที่เผลอใจคิดไปว่าคือความรัก... แต่มันไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด

   ความเกลียดชังตัวเองกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตา คงจะกัดกร่อนผืนดินหยดลงถึงโลกบาดาล

   มีทางเดียวเท่านั้น... ที่เขาจะแก้ไขความผิดพลาดในครั้งนี้






โปรดติดตามตอนต่อไป...

ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
บทที่ 14 คมมีดทรยศ



   แสงโคมเล็กจ้อยนำทางอ๋องแห่งแคว้นให้เดินเลียบไปตามชานไม้อันว่างเปล่า  ข้ามจากตำหนักใหญ่มาตำหนักตะวันออกที่ตัวเขาเองไม่เคยย่างกรายเข้ามา

   หลังจากคืนที่ได้หนีออกไปเที่ยวเล่นในงานฉลองการสถาปนาแคว้น วันต่อมาตั่วหยางก็เข้ามาหาเขาตอนที่มารินน้ำจัณฑ์ให้ พร้อมกระซิบสาสน์ที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยิน

   ...นางนัดเขาให้มาพบกลางดึกคืนนี้ที่ตำหนักตะวันออก บอกเขาด้วยน้ำเสียงเครียดขึ้งว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยด้วย  ขอให้เขามาพบตามลำพัง ไม่มีทหารใดติดตาม

   จะว่าเขาโง่หรือบ้าก็ได้ที่ยอมเชื่อใจหญิงนางนี้  ทั้งๆที่ทุกคนต่างก็เตือนเขาเป็นเสียงเดียวกันว่านางคือบุคคลอันตราย คือคนที่หมายจะลอบสังหาร หรือแม้แต่ยืนยันข้อเท็จจริงประหลาดที่ว่านางมิใช่สตรี

   วูบหนึ่งที่เขาหลงเชื่อ แต่จุมพิตหวานในคืนนั้นมันช่างล่อลวง ยึดทุกตรรกะและเหตุผลไปแล้วทั้งใจ

   ก้าวเท้าข้ามหัวมุมอาคารไปได้เพียงไม่กี่ก้าว แขนของใครบางคนจากความมืดก็ดึงเขาเข้ามาในห้องมืด หงฟี่ตกใจเกือบส่งเสียงร้องออกมา แต่แสงโคมที่สาดให้เห็นหน้าคนผู้นั้นก็เผยให้เห็นว่าไม่ใช่ใครที่ไหน

   “ตั่วหยาง!” หงฟี่หลุดเสียงกระซิบ “เจ้าทำข้าตกใจหมด...”

   “ขออภัยเพคะ”

   นางรับใช้หยิบโคมในมือเขาไปจุดโคมอีกสองดวงในห้อง  เมื่อความสว่างย่างกรายเข้ามาหงฟี่ถึงได้เห็นว่านี่เป็นหนึ่งในห้องต้องห้ามของวัง   ทุกสิ่งในห้องนี้เป็นสีแดงเพลิง ทั้งเสาไม้ที่ถูกทาสี กระดาษโคม โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ไม้ ขอบหน้าต่าง เรื่อยไปถึงแท่นบรรทมขนาดใหญ่กลางห้อง ทั้งผ้าปู หมอน ไปจนถึงม่านโปร่งบางที่ห้อยแขวนลงมารอบเตียงก็เป็นสีแดงเช่นเดียวกัน

   นี่คือห้องของเสด็จย่าของเขา รู้มาว่าท่านชื่นชอบสีแดงมากจนเสด็จปู่สั่งให้เปลี่ยนทุกอย่างในห้องนี้ให้เป็นสีแดง  และเมื่อเสด็จย่าของเขาจากไปแล้ว ต้าอ๋องสองรุ่นก่อนก็สั่งปิดตายห้องนี้ ห้ามใครเข้ามาอีกนับตั้งแต่นั้น

   แต่ดูท่าทางว่าจะมีคนเข้ามาทำความสะอาดเสียก่อนแล้ว ทุกอย่างในห้องจึงยังดูสดใหม่เหมือนไม่เคยถูกปิดตายมาหลายสิบปี

   “เจ้ารู้จักห้องนี้ได้เช่นไร”

   ตั่วหยางเป่าโคมเล็กในมือให้แสงดับลง บัดนี้เพียงโคมเหนือแท่นบรรทมสองดวงในห้องก็พอจะทำให้เห็นทุกอย่างเป็นสีแดงสว่างได้แล้ว

   “นางรับใช้คนอื่นๆเขาพูดกัน ว่านี่คือห้องแห่งความรัก...”

   เอ่ยจบแล้วคนพูดก็ไม่กล้าสบตาเขา... มันทำให้คนฟังคิดเตลิดไปไกล เผลอห้ามใจไว้ไม่ได้

   “ตั่วหยาง...”

   “ข้ามีความลับจะสารภาพ”

   ตั่วหยางดึงมือเขาเข้ามาใกล้ พลันสายตาที่เงยขึ้นจับจ้องเขาก็พลันดูเครียดขึ้ง แฝงไว้ด้วยความกังวลแต่ก็เด็ดเดี่ยวอยู่ในที
   ...เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นตั่วหยางเป็นเช่นนี้

   “มีอะไรหรือ”

   “ถ้าท่านได้ฟังแล้ว กรุณาบอกข้ามาโดยตรง   หากท่านเกลียดชังข้า กลัวข้า ได้โปรดเอ่ยมา...”

   “เจ้าพูดอะไร?... ข้าไม่มีวัน---”

   “ข้าโกหกท่าน”

   ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด  หงฟี่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ มีแต่ความสับสนงุนงงมากกว่าจะเสียใจ

   “เรื่องอะไร?”

   “ทุกเรื่อง”

   หงฟี่ยังยอมให้อีกฝ่ายจับมือตนอยู่เช่นนั้น นิ่งรอฟังคำสารภาพอย่างทรมาน

   “ที่ท่านกล่าวว่าท่านรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร และข้ามาที่นี่เพื่ออะไร...”

   คนฟังเหมือนเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะ... ตกใจกลัวว่าคำกล่าวหาของใครต่อใครจะเป็นความจริง เขาเตรียมตัวรับไม่ทัน หรือว่าเขาต้องจบชีวิตในคืนนี้?

   ตั่วหยางไม่พูดอะไรอีก... ในดวงตาของนางมีแต่ความเจ็บปวด แต่ก็ยังแน่วแน่ที่จะเปิดเผยความจริงต่อไป   ภายใต้แสงโคมแดงที่อาบไล้ นางปล่อยมือจากหงฟี่ช้าๆ แกะมวยผมออก ค่อยๆเอื้อมมือไปปลดผ้าคาดเอวของตนจากด้านหลัง แล้วเลื่อนมาปลดสาบเสื้อทั้งสองข้าง เผยให้เห็นสองหัวไหล่และแผ่นอกราบเรียบที่สะท้อนจังหวะหายใจ

   หงฟี่ร่างชา แต่ยังคงมองภาพเบื้องหน้าต่อไป... ตั่วหยางเอื้อมมือลงในสาบเสื้อด้านใน หยิบห่อผ้าเล็กๆสีดำออกมาวางบนพื้น ตามด้วยมีดสั้นเล่มหนึ่งที่ปกติคงซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น

   มีดเล่มนั้นถูกวางลงบนพื้น ตามลงมาด้วยเสื้อคลุมที่ถูกปลดเปลื้อง   เผยทุกความลับไม่มีปิดบังอีกต่อไป

   “ทีนี้ได้โปรดบอกข้า   หงฟี่... ท่านรังเกียจข้าไหม”

   หงฟี่ยังคงยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นราวกับถูกสาป คนตรงหน้าที่เขาเคยคิดว่าเป็นสตรี เป็นคนที่เขาไว้ใจ บัดนี้กลับเผยแล้วว่าความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามทุกอย่าง... แต่ในคำสาปที่อาบไล้ในแสงสีแดงนั้น เหตุใดเขาถึงเห็นคนตรงหน้าช่างงดงาม เศร้าโศก สิ้นหวัง ตราตรึงอยู่ในใจไม่ต่างอะไรกับที่ได้พบเห็นเมื่อแรกพบ

   เส้นผมสีดำขลับยาวลงมาถึงสะโพก ผิวเรียบเนียนที่เผยสู่สายตายังคงดึงดูด ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นสตรีหรือเป็นบุรุษก็ตาม...

   หงฟี่ตัดสินใจไปเมื่อนานมาแล้ว

   “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ... ว่าข้าไม่รังเกียจ”

   ตั่วหยางเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งอย่างสับสน  คงจะนึกย้อนไปถึงวันที่ทั้งสองแข่งขี่ม้าเร็วที่ชายหาดด้วยกัน... แม้ว่าในครั้งนั้นหงฟี่จะตอบกลับไปอย่างหยอกล้อเล่น แต่ก็พบว่าข้อความนั้นไม่ได้บิดพลิ้วจากความจริงเลยแม้แต่น้อย

   “จริงหรือ?...”

   “เจ้ายังคงเหมือนเดิม ข้าก็ยังคงเหมือนเดิม... จะให้ข้าเปลี่ยนใจหรือ?”

   “ได้โปรด อย่า...”

   น้ำเสียงของตั่วหยางสั่นเครือจนหงฟี่รีบดึงตัวเข้ามากอดไว้   รู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจอีกฝ่ายที่ส่งผ่านเนื้อผ้าของตนมา   เป็นความใกล้ชิดที่เคยคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ชิดใกล้ถึงขนาดนี้ได้อีกแล้ว

   ...และครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยมือไป

    “หนีไปกันไหม” หงฟี่กระซิบพลางกำชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “แคว้นนี้ไม่ต้องการอ๋องอย่างข้า และข้าก็ไม่เคยต้องการจะเป็นอ๋อง... แต่ถ้าข้ายังต้องสวมมงกุฎนี้ เราก็คงไม่มีวันได้อยู่คู่กัน”

   ตั่วหยางเบิกตากว้าง... ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำเสนอข้อนี้

   “แต่...”

   “บอกข้าสิตั่วหยาง เพียงเจ้าเอ่ยปากบอกข้ามาแค่คำเดียว ไม่ว่าเจ้าอยากไปไหนไกลสุดโลกหล้า ข้าก็จะพาเจ้าไป”

   ทั้งสองสบสายตากันอยู่อย่างนั้น... สิ่งที่ตั่วหยางเห็นในดวงตาของเจ้าครองแคว้นคือความรักความโหยหาอันล้นใจ ท่วมทะลักลงมาในใจเขา จนคงไม่อาจปฏิเสธใจตนเองได้อีกแล้ว...

   วินทีนั้น เป็นตั่วหยางที่ดึงใบหน้าหงฟี่เข้ามารับจุมพิตลึกล้ำ คว้ากอดไว้แน่นราวกลัวว่าอีกฝ่ายจะสลายหายไปกลางอากาศ  เจ็บราวกับใจแตกออกเป็นเสี่ยงแต่ก็ถูกเติมเต็มในเวลาเดียวกัน  เขาค่อยๆดึงหงฟี่ให้โน้มลงมาหาจนแผ่นหลังของตนจมลงบนฟูก จะไม่มีการรั้งความรู้สึกอะไรอีกต่อไปทั้งนั้น

   ตั่วหยางยอมจำนน หลับตาลงดื่มด่ำกับความปรารถนา ผลาญทั้งราตรีให้สิ้นไป


...................................................................


   แสงอรุณสีทองอร่ามฉาบไล้แผ่นดิน แต่เมื่อแทรกม่านสีแดงเข้ามาแล้วก็กลายเป็นแสงสีแดงสด

 พาให้ตั่วหยางค่อยๆตื่นขึ้นจากนิทรา

   ทุกสัมผัสที่ได้รับนั้นยังคงชัดเจน...

   รอยจูบทั่วเรือนร่างราวกับจะทิ้งรอยไหม้เอาไว้ สัมผัสแกร่งดั่งเหล็กร้อนที่รุกรานเข้ามาเติมเต็มคล้ายจะประทับตราฝังลึก  และมันคงจะทิ้งรอยจารึกเอาไว้เช่นนั้นไปชั่วกาล

   ฝันของเขาถูกเติมเต็มแล้ว... ได้เวลาตื่นจากฝันแล้ว

   ตั่วหยางขยับตัวลุกขึ้นช้าๆ เอื้อมมือลงไปหยิบมีดสั้นที่ทิ้งไว้ข้างเตียงตั้งแต่เมื่อคืนขึ้นมา  ในตอนนี้จิตใจของเขาแน่วนิ่ง ความอ่อนแอหวั่นไหวทั้งหลายได้จบลงไปสิ้นแล้ว

   ถอดปลอกมีดของหยาโจวขึ้นมาพิจารณาใบมีดในแสงสีแดงสด   คราวนี้แหล่ะที่ทั้งสหาย ทั้งคนในหมู่บ้าน และผู้คนทั้งแคว้นจะไม่ผิดหวัง

   เขาตั้งใจไว้แล้ว หากเมื่อคืนคำตอบของหงฟี่เป็นอีกคำตอบหนึ่ง หากหงฟี่เกลียดชังเขา รังเกียจเขา เรียกให้ทหารเข้ามาจับเขาไว้ หรือแม้แต่ลังเลใจ  วินาทีนั้นเขาจะรีบคว้ามีดขึ้นมาปาดคอคนตรงหน้า หรือปักลงไปในอก รีบทำหนทางใดก็ได้เพื่อที่จะสังหารหงฟี่ก่อนที่เขาจะต้องแบกรับความเกลียดชังอันเกินจะรับไหว

   แต่เขาคิดเอาไว้แล้ว ว่าถ้าคำตอบออกมาเป็นเช่นนี้... เขาจะขอทำตามใจตัวเองครั้งสุดท้าย จะปล่อยใจไปให้สุดไม่ให้มีอะไรค้างคาอีก   หากรักจะเกิด ก็ขอให้มันเกิดขึ้นและจบภายในคืนนี้เท่านั้น

   หงฟี่ไม่มีทางขัดขืนชะตานี้ได้อยู่ดี

   ชายผู้เป็นเจ้าครองแคว้นยังคงหลงอยู่ในนิทรา บัดนี้สิ่งที่ตั่วหยางเห็นก็คือชายร่างผอมคนหนึ่ง  คนที่ไม่สนใจรับผิดชอบในหน้าที่ คนที่นอกใจคู่ครองมาเล่นชู้กับนางรับใช้ คนที่ชวนเขาให้หนีไปด้วยกัน

   ตั่วหยางนึกสมเพชตัวเอง ชายไม่เอาไหนคนนี้น่ะหรือจะพาเขาไปไกลสุดโลกหล้าได้? แน่ใจหรือว่าจะหนีจากความจริงอันโหดร้ายว่าพวกเขาไม่มีทางได้รักกันได้พ้น

   ค่อยๆก้าวขึ้นคร่อมร่างของคนรักชั่วข้ามคืน... กำมีดเงื้อมมือขึ้นสุดแขน

   วันนี้แหล่ะที่ทุกอย่างจะต้องจบลง

   “ตั่วหยาง...”

   เสียงพึมพำดังมาจากคนที่หลับอยู่... หัวใจกระตุกวูบ แต่ก็ยังไม่ลดมีดที่เงื้ออยู่ลงมา... ถ้าจะทำต้องทำตอนนี้แหล่ะ ตอนที่หงฟี่ยังไม่ตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่จัญไรยิ่งกว่า

   จนกระทั่งหงฟี่ลืมตาขึ้นมามองเขา

   “ตั่วหยาง!”

   เจ้าของชื่อถึงกับชะงัก... ไม่ทันแล้ว เขาต้องรีบลงมือตอนนี้

   “ตั่วหยาง ทำไม...”

   หงฟี่เปลือยเปล่า ไร้อาวุธ ไร้หนทางต่อสู้ขัดขืนอยู่ตรงหน้าของเขา    แต่ทำไมภาพต่างๆกลับท่วมทะลักเข้ามาในความทรงจำ   ภาพที่หงฟี่ขอเขาเป็นชายาในคืนที่พบกันครั้งแรก ภาพที่ทั้งสองร่วมขี่ม้าด้วยกันที่ชายหาด ฟังตำนานเทพมังกรสมุทรที่ปากถ้ำ หนีออกไปเที่ยวงานรื่นเริง ภาพรอยยิ้มของหงฟี่ที่เห็นเป็นครั้งแรก จุมพิตแรก... สัมผัสรักครั้งแรก

   ...เขาคงไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!

   ชายหนุ่มฟาดมีดลงมาสุดแขน กรีดร้องราวกับจะขาดใจ

   หงฟี่ตัวแข็งทื่อ เขาได้ยินเสียงโลหะจมลงไปในเนื้อ เห็นเลือดสีแดงฉานทะลักกระฉูดจากอกซ้ายออกมารุนแรง สาดละเลงบนใบหน้าของเขา จบสิ้นกันแล้ว จบสิ้นกันที...

   เป็นเสี้ยววินาทีเดียว ที่เขาหวังจะเห็นทุกสิ่งเป็นเช่นนั้น

   ลืมตาขึ้นมา...  ความจริงแล้วคมมีดทรยศปักลงบนหมอนนุ่ม ห่างจากศีรษะหงฟี่ไปเพียงนิดเดียว

   เขาทำไม่ลง!!!

   ตั่วหยางกระโจนลงกับพื้น คว้าชุดคลุมที่ใส่เมื่อคืนเข้ามาห่มตัว สองเท้าก้าวพุ่งออกไปจากห้อง  เขาต้องหนี... ในเมื่อเขาทรยศทุกคนที่ตนรักไปหมดสิ้นแล้ว คงจะเหลือหนทางเดียวคือต้องอันตรธานหายจากโลกนี้ไปเพียงลำพัง

   “ตั่วหยาง! ช้าก่อน...!”

   หงฟี่รีบคว้าชุดมาใส่ วิ่งสุดฝีเท้าตามออกมาจากห้อง   แต่ในทางเดินระเบียงวกวนยามเช้าตรู่นั้นไม่มีผู้ใดขวางทาง   และด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่า ตั่วหยางก็นำไปได้ไกลลิ่วแล้ว

   ต่อให้วิ่งตามแค่ไหนหงฟี่ก็คงจะไม่มีทางคว้าไว้ได้ทัน

   เมื่อถึงริมขอบรั้ววัง   ตั่วหยางกระโดดขึ้นบนกำแพงแคบ หันมามองหน้าหงฟี่เป็นครั้งสุดท้าย

   “ตั่วหยาง...!”

   “ลืมข้าเสียเถอะ หงฟี่”

   เป็นคำขอร้องจากหัวใจอันแตกสลาย   นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ตั่วหยางจะได้เห็นหน้าคนๆนี้ เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำอันเป็นนิรันดร์

   วินาทีนั้น ตั่วหยางตัดสินใจกระโดดลับหายไปจากสายตา

   หงฟี่ยืนหอบนิ่ง ถูกตรึงอยู่เช่นนั้น... ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นต่อหน้า  ไม่คาดคิดว่าคนที่เขาไว้ใจจะกล้าทรยศเขาได้ลง

   ...ทั้งๆที่เขามอบให้ทั้งใจแล้วแท้ๆ

   เพียงไม่นาน ฝีเท้าของชายฉกรรจ์หลายนายก็วิ่งใกล้เข้ามา  ต้าอ๋องไม่ได้หันไปมองแต่เขาก็รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร

   “ข้าได้ยินเสียงร้อง... เกิดอะไรขึ้นขอรับ”

   “ข้าได้คำตอบแล้วหลี่ไป๋”

   องครักษ์เงียบ ยังคงตื่นตระหนกตกใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและอยู่ดีๆทำไมเจ้านายเหนือหัวถึงได้เอ่ยประโยคนี้

   “ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง... ตั่วหยางเป็นอย่างที่เจ้าคิด”

   หลี่ไป๋เบิกตากว้าง ไม่คาดคิดว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้

   ‘คำตอบ’ ที่หงฟี่ว่า คงเป็นคำตอบของคำถามที่เขาเคยถาม ว่าต่อให้รู้ความจริงแล้วหงฟี่ยังจะรักตั่วหยางอยู่อีกหรือ   แสดงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่หงฟี่หายไปจากห้องบรรทม แล้วมาโผล่อยู่ที่ตำหนักตะวันออกด้วยสภาพเช่นนี้ ย่อมแปลว่าหงฟี่คงจะรู้ความจริงทุกอย่างแล้วเป็นแน่

   ทหารทุกนายนิ่งฟังคำสั่ง หลี่ไป๋ยังคงยืนนิ่งจ้องมองแผ่นหลังของนายเหนือหัว  คาดเดาไม่ถูกว่าสิ่งที่จะได้ยินต่อไปคือสิ่งใด...

   น้ำเสียงที่เอ่ยกลับมาช่างเย็นชา แฝงความปวดร้าวและเจ็บแค้นไว้ลึกสุดใจ

   “ไปจับตัวตั่วหยางมาให้ข้าให้ได้  ...ต่อให้เจ้าต้องตายก็ตาม”





โปรดติดตามตอนต่อไป...



ออฟไลน์ Supak-davil

  • สาว Y = Why I don't have a boyfriend ??????????
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
มาจิ้มไว้ก่อน อ่านทันแล้วมาจะบอกนะ ว่าเป็นไง อย่าท้อไปก่อนนะ

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
ตั่วอย่างทำร้ายหงฟี่ไม่ลง แล้วหงฟี่ล่ะ

ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
บทที่ 15 คมดาบแลกชีวิต



   หยาโจวลืมตาตื่นขึ้นมา... เป็นเช้าที่เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย

   นี่เป็นเช้าวันที่สองแล้วที่ตั่วหยางกับหลินไน่หายไป  นับตั้งแต่คืนที่มีงานรื่นเริงในเมืองหลวง หลินไน่ก็กลับมาแค่เพียงชั่วครู่ สีหน้ามึนตึงเครียดขึ้งราวกับไปรับรู้เรื่องราวที่มิอาจทำใจ   แต่พอหยาโจวถามว่ามีเรื่องอะไร หลินไน่ก็กลับหนีออกจากห้องไปไม่ยอมพูดจา

   อยู่ดีๆทั้งสองก็หายไปพร้อมกันเช่นนี้... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

   แต่จะให้มากระวนกระวายใจอยู่ในห้องเฉยๆเช่นนี้ก็คงจะไม่ดี ยิ่งอยู่คนเดียวก็จะยิ่งฟุ้งซ่านเปล่าๆ หยาโจวเลยตัดสินใจจะออกไปข้างนอก ออกไปหาของกินเสียหน่อยเผื่อจะทำให้จิตใจปลอดโปร่งขึ้น และถ้าเจออาหารที่สหายทั้งสองชอบเขาจะได้ซื้อมาฝากเก็บไว้ตอนที่ทั้งสองจะกลับมา

   วันนี้ฟ้าขมุกขมัวนัก น่าแปลกที่ทั้งตลาดดูเงียบเชียบผิดปกติ   หยาโจวเห็นเหล่าแม่ค้าที่เริ่มคุ้นหน้าแอบคุยกระซิบอะไรกันอยู่เป็นหย่อมๆ  ดูคล้ายจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในวังหลวงแต่เขาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

   ถ้าหลินไน่อยู่ มันก็คงจะคาบข่าวมาบอกได้  แต่นี่หยาโจวอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่กล้าจะเข้าไปถามไถ่ชาวบ้านแบบที่หลินไน่ชอบทำ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือนั่งกินบะหมี่เงียบๆอยู่ในตลาด พยายามเงี่ยหูฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

   เป็นข้อความอันไม่ได้ศัพท์ ที่เขาต้องค่อยๆจับมาตีความเอาเอง

   ...คนทรยศ ...ค่าหัว ...กบฎ ...ลอบสังหาร ...จับตาย ...นางรับใช้

   ...ตั่วหยาง…

   หยาโจวเลือดเย็นเฉียบ ชาไปทั้งร่างกายเมื่อรู้ว่าชีวิตของเพื่อนอยู่ในอันตราย  แต่ทันทีที่เขาลุกขึ้นกำลังจะกลับไปที่โรงเตี๊ยมนั้น ขบวนทหารม้าชั้นรองก็โผล่มาแหวกทางผ่านผู้คนในตลาดไป

   ชายร่างผอมยืนนิ่งแข็ง แทบกลั้นหายใจ ทั้งๆที่รู้ว่าทำไปก็ไม่ได้ช่วยให้เขาหลบหนีจากสายตาของเหล่าทหารไปได้... ยิ่งทำให้ดูมีพิรุธว่าทำไมมีเขาคนเดียวที่ยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน ในขณะที่สายตาของคนทั้งตลาดยังคงมองตามเหล่าทหารไปพร้อมกับกระจายข่าวลือมากมาย

   ทหารบนหลังม้านายหนึ่งจ้องมองหยาโจวอย่างจะจับพิรุธ นั่นทำให้เขาได้สติ... เขาต้องรีบกลับไปเตือนภัย แต่ต้องด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าให้ใครจับได้ว่าเขาคือตัวตั้งตัวตีกลุ่มกบฏเสียเอง

   ชายหนุ่มตั้งสติแล้วเดินกลับโรงเตี๊ยมเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ในใจนึกเป็นห่วงเพื่อนทั้งสองคนจนแทบบ้า  แต่แล้วกลับต้องมาชะงักอีกครั้งเมื่อเห็นทหารนายหนึ่งกำลังคุยกับหญิงชราเจ้าของโรงเตี๊ยมอยู่หน้าอาคาร

   สายตาจับผิดของนายทหารจับจ้องมาที่เขาอีกครั้ง  หยาโจวสบตากลับ บังคับให้ตัวเองกลับเข้าห้องทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าอาจไม่มีทางรอดจากการถูกรุกรานครั้งนี้

   แต่แล้วสิ่งที่ตะลึงยิ่งกว่า คือเมื่อเปิดประตูห้องมาแล้วพบว่าไม่มีใคร...

   ยังคงงุนงงสับสนไม่ทันตั้งตัว ประตูห้องก็ถูกเคาะดังขึ้นกึงกัง  หยาโจวสะดุ้งสุดตัว จะเก็บของหนีไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่มีแต่จำต้องเผชิญหน้า  เป็นตายร้ายดีก็ต้องสู้ไป หากโชคดีเขาอาจใช้วาทศิลป์ช่วยให้รอดพ้นได้ก็เป็นได้

   มือขวาค่อยๆเอื้อมไปปลดสลักกลอนให้เปิดออกอย่างช้าๆ...  แทบหยุดหายใจเมื่อเห็นว่าทหารประจำวังเกือบสิบคนยืนรออยู่หน้าประตู

   ไม่มีการเตือนภัยอะไรทั้งสิ้น...

   “หวังหยาโจว... เจ้าถูกจับข้อหากบฏต่อแผ่นดิน”

   ชายหนุ่มตะลึงงัน สติสัมปชัญญะทุกอย่างพลันเตลิดหายไป

   “อะไร... พวกท่านมีอะไรเป็นหลักฐาน”

   “มีดสั้นเล่มนี้เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”

   เพียงแค่นั้นหยาโจวก็จนมุม เรี่ยวแรงพลันมลายหายจนแทบล้มทั้งยืน

   มีดสั้นเล่มนี้ บิดาที่เป็นช่างทำมีดประจำหมู่บ้านได้สลักชื่อเขาเอาไว้ให้เป็นของขวัญ เป็นมีดที่มีเพียงเล่มเดียวในโลกเท่านั้น

   สุดท้ายก็สาวมาถึงเขาจนได้

   เขาไม่ใช่คนโกหกเก่งแบบหลินไน่ ถ้าเป็นเจ้าอ้วนนั่นคงหาทางตลบตะแลงจนรอดตัวไปได้แน่แล้ว... และเขาเองก็ไม่ใช่จอมยุทธ์แกร่งกล้าแบบตั่วหยาง มิฉะนั้นเขาอาจจะบรรเลงเพลงดาบแล้วหนีรอดตัวไปได้เช่นกัน

   และ ณ เวลานี้... ทั้งสองก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา

   เมื่อเห็นผู้ต้องสงสัยยืนเงียบ เหงื่อเย็นๆไหลลงอาบหน้า เหล่าทหารก็รู้ได้ว่าจับไม่ผิดตัวแล้ว

   “เราเชื่อว่าเจ้ามีผู้สมรู้ร่วมคิดอีก... บอกชื่อและที่อยู่ของเพื่อนเจ้ามา เจ้าอาจจะได้รับการลดโทษ”

   “ข้าไม่รู้ว่าเพื่อนข้าอยู่ที่ไหน” หยาโจวพูดความจริง

   “รับสารภาพมาเถอะ”

   “ถึงข้ารู้ข้าก็ไม่มีวันบอก   ต่อให้ข้าต้องตายก็ตาม!”

   สัญชาตญาณพาไปไวกว่าที่ใจคิด รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ชักดาบออกมาเสียแล้ว

   เป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว  เหตุเพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการประกาศชัดเจนว่าจะขัดขวางการจับกุม ทำให้ปลายทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือยอมจำนนหรือต้องตายเท่านั้น

   ทหารตรงหน้าชักดาบออกมาเช่นกัน   

   “โทษของกบฏคือความตาย เจ้ารู้ใช่ไหม”

   หยาโจวใจหายวาบ  นี่เป็นครั้งที่สองที่หยาโจวได้ยินคำคาดโทษนี้ ...และแน่นอน คำตอบยังเป็นเช่นเดิม

   “ข้ารู้แล้ว”

   ชายหนุ่มเงื้อดาบขึ้น สูดหายใจลึก แล้วพุ่งเข้าหาทหารหลวงอย่างไม่คิดชีวิต   บรรเลงเพลงดาบขึ้นในวินาทีนั้น

   เขาจะยื้อเวลาให้ถึงที่สุด... ให้เพื่อนทั้งสองหนีไปได้   หรือถ้าแม้เขาต้องสู้จนตัวตายเพื่อให้เพื่อนทั้งสองอยู่รอดปลอดภัย เขาก็ยินดี

   หนีไปซะ... ตั่วหยาง หลินไน่

   หนีไป...


...................................................................


   ลัดเลาะไปตามแมกไม้ ร่างกายเริ่มเหนื่อยล้าหมดกำลัง

   ตั่วหยางกระชับชุดนางรับใช้สีน้ำเงินเข้าหาตัว นี่ก็ครึ่งค่อนวันล่วงมาแล้ว ฟ้ามืดครึ้มจนแทบมองทางไม่เห็น  ขณะนี้เท้าเปลือยเปล่าเริ่มเจ็บแสบ ผมที่ปล่อยยาวหลุดลุ่ยเริ่มพันกัน เริ่มหวั่นใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาไม่มีอาวุธติดตัวเลยสักชิ้น แม้แต่ม้าคู่ใจที่รออยู่ที่โรงเตี๊ยมเขาก็ไม่มีเวลาจะแวะไปหา

   แต่ถ้าจะให้หยุดหนีตอนนี้ ก็กลัวว่ายิ่งจะทำให้หนีไม่พ้น...

   ไม่ทันได้ตั้งตัว ม้าสีควันตัวหนึ่งก็กระโจนเข้ามาตัดหน้า   ตั่วหยางถึงกับชะงักเท้าไม่ทัน เซล้มลงกับพื้นตรงนั้น

   “อย่าหนีให้เหนื่อยเปล่าเลย พวกเราล้อมเจ้าไว้หมดแล้ว”

   ชายบนหลังม้าคนนั้นคือหลี่ไป๋ ทหารอารักขาของหงฟี่คนเดิม  ตั่วหยางลนลานมองไปรอบๆก็เห็นเงาของทหารบนหลังม้าอีกนับสิบนายยืนประจำการอยู่ไกลๆ

   เร็วเกินกว่าจะตั้งตัวได้ทัน แต่ในที่สุดเขาก็หนีชะตานี้ไม่พ้น...

   ได้แต่ก้มหน้า ถามความสิ่งที่ตนเองรู้ดีอยู่แก่ใจ

   “โทษของกบฏคือความตายใช่ไหม”

   “ใช่”

   “ไหนๆเจ้าก็รู้แล้วว่าข้าเป็นบุรุษ... ได้โปรด   ขอให้ข้าได้สู้ครั้งสุดท้ายและตายเยี่ยงบุรุษด้วย”

   ตั่วหยางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เป็นชั่วอึดใจที่แสนเนิ่นนาน ไม่มีวันรู้ได้เลยว่าหลี่ไป๋ทำสีหน้าเช่นไร

   จนกระทั่ง ดาบสั้นเล่มหนึ่งลอยหวือมาทางเขา

   ชายหนุ่มยกมือขึ้นรับดาบนั้นไว้ได้ทัน หลี่ไป๋โดดลงจากหลังม้า ชักดาบยาวของตัวเองออกเช่นกัน

   “ข้าให้โอกาสเจ้าสู้ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าท่านต้าอ๋องอยากได้ตัวเจ้าทั้งเป็น”

   ตั่วหยางเผลอหลุดหัวเราะสมเพชกับตัวเอง

   “ถ้าเจ้าฆ่าข้าได้ก็ทำเถอะ แต่อย่าส่งข้ากลับไปอีกเลย”

   ชายหนุ่มชักดาบสั้นออกจากฝัก... ปลายทางแห่งการต่อสู้นี้มีแค่สองทาง นั่นคือหากไม่หนีไปได้ ก็มีแต่ตายเท่านั้น

   เขากลับไปไม่ได้อีกแล้ว

   ฟ้าแลบปลาบลงมาฉาบแมกไม้ให้สว่างจ้า คล้ายเป็นสัญญาณให้ชายทั้งสองพุ่งเข้าปะทะคมดาบเสียงดังกังวาน ท่วงท่าการฟาดฟันรุกรับของอีกฝ่ายต่างยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ เพียงแต่ว่าตั่วหยางดูท่าจะเสียเปรียบอยู่ไม่น้อย  ดาบสั้นรูปแบบนี้เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ยามเมื่อใช้งานเป็นครั้งแรกก็กะน้ำหนักและความยาวไม่ถูก อีกทั้งยังสั้นกว่าอาวุธคู่มือของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงได้แต่ตั้งรับเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น

   ถูกท่วงท่าผลักให้ถอยหลังไปชนกับต้นไม้ ทหารหนุ่มฟาดดาบลงมาคว้านเนื้อไม้เป็นรอยกว้าง โชคดีที่ตั่วหยางพลิกตัวหลบได้ทัน

   กระโจนเข้าหาต้นไม้ข้างๆ กระโดดขึ้นถีบตัวพุ่งเข้าหาศัตรู ดูราวกับมังกรกำลังร่ายรำ

   ถ้าจะมีสิ่งเดียวที่เขาได้เปรียบชายนักรบผู้นี้ เห็นจะเป็นท่วงท่าและความรวดเร็วเสียกระมัง  หากจะสู้ด้วยความชำนาญและพละกำลังเขาคงพ่ายแพ้ จึงมีแต่ใช้ความว่องไวหลอกล่อ  เมื่อดาบเล่มยาวฟาดฟันเข้าหา เขาก็กระโดดหลบราวจะไต่ขึ้นบนเมฆา

   ทหารหนุ่มไล่ตามฟาดฟันอย่างไม่ลดละ และเพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ปัดดาบสั้นให้หลุดลอยจากมือชายกบฎไปจนได้

   แผ่นหลังตั่วหยางกระแทกกับต้นไม้ มีดาบคมจ่ออยู่ตรงคอ... เพิ่งรู้สึกตัวว่าฝนตกลงมาจนผมเปียกลู่ แผ่นอกราบที่พ้นเสื้อคลุมหลวมสะท้อนขึ้นลงจากความตื่นตระหนก

   “ยอมแพ้เสียเถอะ”

   ตั่วหยางจ้องมองคมดาบมันปลาบที่จ่อคอตัวเองอยู่ นึกอยู่ในใจว่าฟันคอเขาให้หลุดไปก็หมดเรื่องแล้ว

   แต่องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์คนนี้ก็ยังไม่อาจขัดขืนคำสั่งของเจ้านายได้

   “ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ว่าข้าจะไม่กลับไป!

   ทันทีที่ขาดคำ ตั่วหยางก็เตะด้ามดาบอีกฝ่ายให้หลุดลอยกระเด็นไป เห็นแววตาตื่นตระหนกที่ฉายบนตาซ้ายที่เหลือเพียงข้างเดียวทันที

   นั่นทำให้เขาเพิ่งนึกได้ ว่าเมื่อนักรบไร้ดาบก็เท่ากับเสียแขนไปเสียแล้ว

   ใช้โอกาสนี้รุกกระหน่ำ... เรื่องสู้ด้วยมือเปล่าเขาไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ทำให้ศัตรูตรงหน้าได้แต่ตั้งรับ   เมื่อหยาดฝนเริ่มทวีความหนักหน่วง ยามหมุนตัวปะทะหยาดน้ำก็เหวี่ยงกระจายออกไปเป็นวง

   ฟาดขาถีบร่างใหญ่เข้าไปเต็มแรง ทหารหนุ่มถึงกับล้มกระแทกลงไปกับพื้น ตั่วหยางตามมาจะหมายเผด็จศึก... แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่ทำร้ายชายผู้นี้

   เพียงแค่นี้ก็คงทำให้จุกพอแล้ว

   “ฝากบอกหงฟี่ด้วย ว่าอย่าตามหาข้าอีกเลย”

   ว่าแล้วก็กระโจนขึ้นบนกิ่งไม้... หากหนีไปตอนนี้อาจจะยังทัน

   ตั่วหยางโดดขึ้นไปได้สำเร็จ ทว่าหลี่ไป๋ที่ยังคงนั่งจุกอยู่กลับคว้าดาบสั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้ได้   เพ่งสายตาฝ่าสายฝนมองศัตรูที่กำลังจะโดดลับหายไปกับสายตา แล้วจึงตัดสินใจขว้างดาบสั้นออกไปสุดแรง

   อาวุธคมปลาบหมุนควงกลางอากาศเข้าฟันกิ่งไม้ที่ตั่วหยางกระโจนไปถึง เสียหลักจำต้องร่วงลงสู่พื้นเมื่อกิ่งไม้หล่นลงจากต้น

   ชายกบฎตั้งสติลงพื้นได้เพียงเสี้ยววินาที เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นศัตรูพุ่งเข้าหาพร้อมดาบยาวในมือเสียแล้ว

   กลิ้งตัวหลบคมดาบเกือบไม่ทัน การต่อสู้กลับมาดำเนินต่ออีกครั้ง... ชายหนุ่มจำต้องกลับมาเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะไม่มีอาวุธ ก่อนที่จะตั้งสติได้ว่าดาบสั้นเล่มนั้นคงร่วงหล่นลงไปอยู่ไม่ไกล

   ยุทธศาสตร์ในป่านี้ไม่เหมาะแก่การต่อสู้ ด้วยเพราะมิใช่ลานโล่งแต่แทรกไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ตั่วหยางจึงใช้จุดด้อยข้อนี้พลิกให้เป็นที่กำบัง  หลบหลีกจากคมดาบที่ฟาดฟันดั่งสายฟ้าแลบ ทำให้ต้นไม้ที่เขาใช้หลบหลีกถูกกรีดหรือถึงกับโค่นไปนักต่อนัก

   ในที่สุดก็เหลือบตาเห็นดาบสั้นเล่มนั้นจมอยู่ในกอไม้ ตั่วหยางก้มหลบคมดาบก่อนจะกระโจนไปหยิบดาบสั้นเล่มนั้น... เมื่อได้ยินเสียงศัตรูพุ่งใกล้เข้ามา ชายกบฎก็คว้าดาบเล่มนั้นเอาไว้ได้ทัน

   พลันได้ยินเสียงเหล็กทะลุเนื้อ เลือดสดสีข้นคลั่กสาดกระเซ็นใส่หน้าเขา

   ตั่วหยางตกใจปล่อยดาบสั้นในมือทิ้ง เพิ่งเห็นเต็มตาว่ามันปักลงในอกซ้ายศัตรูเกือบมิดด้าม วินาทีเดียวกับที่ร่างกายหลี่ไป๋ปล่อยอาวุธทิ้ง หมดสิ้นเรี่ยวแรงล้มลง

   เมื่อครู่นี้มันรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะลำดับเรื่องราวได้ ความตื่นตระหนกมันพุ่งเข้าใส่จนร่างกายกลายเป็นอัมพาต สองมือเปื้อนเลือดสั่นเทาไร้การควบคุม

   เขาทำลงไปแล้ว... เขากลายเป็นฆาตกรไปเสียแล้ว...

   ม้าสีควันร้องห้อขึ้นราวกับรู้ว่าเจ้านายสิ้นใจ มันทำให้ตั่วหยางได้สติ... นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมาตกใจ แต่ถ้าเขาไม่รีบหนีไปตอนนี้ ทหารยามที่ล้อมรอบแผ่นดินไว้คงเข้ามาจับตัวเขาได้

   กระโจนขึ้นบนกิ่งไม้อีกครั้ง ตัดสินใจลัดเลาะไปเหนือพื้นดินคงปลอดภัย

   ...ไม่มีแผ่นดินให้คนบาปหนาอย่างเขาได้ยืนอีกต่อไปแล้ว

   ตั่วหยางกระโจนขึ้นต้นไม้หนีไป   เป็นอีกครั้งที่สายฝนชโลมหลั่ง ทิ้งร่างของหลี่ไป๋ให้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ละลายเลือดสดให้ไหลลงปฐพี...





โปรดติดตามตอนต่อไป...




ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
บทที่ 16 กลลวงมัจจุราช




   ตาซ้ายที่เหลือเพียงข้างเดียวปิดสนิท ร่างใหญ่นอนแน่นิ่ง ท่อนบนเปลือยเปล่ามีผ้าสีขาวพันรอบอกกว้างเอาไว้

   หลี่ไป๋ค่อยๆลืมตาขึ้น... แสงสว่างกลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้ง

   ร่างใหญ่พลันผุดลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก มองไปรอบๆถึงพบว่าตนไม่ได้อยู่ในป่าอีกต่อไปแล้ว

   “ข้าอยู่ที่ไหน! เจ้ากบฏนั่นหายไปแล้วหรือ!”

   พอเห็นว่าคนไข้ทำท่าจะหนีออกจากเตียงหมอหลวงก็รีบเข้ามาห้ามไว้ ชายชราพยายามดึงตัวชายร่างใหญ่ให้นั่งลงกับเตียงดังเดิมอย่างยากเย็น

   “ใจเย็นก่อนเถิดท่านหลี่ไป๋ แผลของท่านยังไม่หายสนิทดี”

   “มันเกิดอะไรขึ้น”

   ถึงจะถามไปเช่นนั้นแต่อีกฝ่ายคงไม่มีคำตอบให้เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หลี่ไป๋จึงนึกทบทวนเองแล้วถึงจำได้ถึงภาพการต่อสู้เพียงลางๆ

   ดาบสั้นในมือศัตรูฝังกระแทกลงเหนืออก... พอเอื้อมมือไปสัมผัสดูก็พบว่าแผลนั้นถูกเย็บพร้อมพันด้วยผ้าสีขาว ได้กลิ่นยาสมุนไพรอบอวลอยู่ใต้ผ้า

   ตำแหน่งที่โดนนั้นอยู่ห่างจากหัวใจไปเพียงนิดเดียว   นับว่ายิ่งกว่าโชคดี... ยิ่งกว่าความบังเอิญ

   ...หรือจะมีอะไรที่มากกว่านั้น?

   “ท่านพักผ่อนเสียก่อนเถิดขอรับ ข้าจะไปแจ้งท่านต้าอ๋องให้ว่าท่านฟื้นแล้ว”

   “ไม่ต้องหรอก”

   พลันเสียงเย็นชาดังขึ้นที่หน้าประตู หมอหลวงลนลานก้มลงคำนับแทบไม่ทัน

   “ท่านต้าอ๋อง...” หลี่ไป๋พูดเสียงแหบแห้ง นึกขึ้นได้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง “...ข้ากราบขออภัย ข้าปล่อยให้กบฏผู้นั้นหนีไปได้”

   “ไม่เป็นไรหรอก” หงฟี่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบตึง ไม่อาจอ่านความหมายในสีหน้านั้นได้เลย “ตอนนี้ข้าส่งทหารออกไปจำนวนมากแล้ว ไม่นานคงหาตัวได้พบ”

   องครักษ์เอกก้มหน้านิ่ง รู้สึกละอายใจเหลือแสนที่ยังจะมีหน้ากลับมาให้เจ้านายเหนือหัวเห็นหน้าทั้งๆที่ภารกิจไม่เสร็จสิ้นเสียด้วยซ้ำ

   หงฟี่มายืนอยู่ข้างเตียง... สีหน้าตึงเครียดนั้นไม่ยอมหายไป ราวกับเด็กหนุ่มผู้เก็บงำความกดดันและความโศกเศร้าคนเดิมที่หลี่ไป๋เคยเห็นได้กลับมาอีกครั้ง

   “เจ้าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว หลี่ไป๋”

   “อย่าพูดเช่นนั้นเลยขอรับ ข้า...”

   “หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องปกป้องข้าแล้วก็ได้”

   หลี่ไป๋เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างใจหาย ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้

   ...หน้าที่ของเขาต้องจบลงเพียงเท่านี้หรือ?

   “หาก... หากนี่เป็นบทลงโทษของข้า ข้าก็ยินดีน้อมรับขอรับ”

   “ไม่ใช่แล้ว เจ้าโง่” หงฟี่ว่า ในน้ำเสียงนั้นคล้ายจะเจือความขมขื่น “เจ้าไม่ต้องพยายามขนาดนั้นแล้ว หน้าที่ของเจ้าคือรักษาตัวให้หายดีก็พอ”

   “ข้าจะรีบรักษาตัวขอรับ ข้าจะได้กลับไปทำงาน...”

   “ดีแล้ว... แต่ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากฝากเจ้าไว้...  ถ้าหากมีคนอื่นที่ต้องการตัวเจ้าอยู่อีก ข้าก็ยินดีให้เจ้าไปเสมอ”

   หลี่ไป๋ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงง “หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ ข้าไม่เข้าใจ”

   “เอาเถอะ... เจ้ารักษาตัวให้ดีก็พอ”

   คนไข้จำต้องก้มหัวน้อมรับคำพูดนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลยก็ตาม   

   “อ้อ... ข้าเพิ่งสวนกับองค์รัชทายาทจากป๋ายเซว่น่ะ” หงฟี่ชะงักเท้า หันมาพูดกับองครักษ์ของตนอีกครั้ง  “เห็นเขามาเยี่ยมเจ้าเสียทุกวัน ถ้าหายดีแล้วก็ไปเยี่ยมเขาหน่อยแล้วกัน”

   สีหน้าของคนพูดช่างราบเรียบ ไม่มีอารมณ์ใดปรากฏ   แต่ด้วยคำพูดนั้นกลับทำให้คนฟังหัวใจแทบหลุดออกมานอกอกด้วยซ้ำ

   ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ เป้ยหมิงมาเยี่ยมเขาอยู่ตลอดเลยหรือ?

   เมื่อสอบถามหมอหลวงมาก็ได้ความว่าเขานอนสลบไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว และในช่วงเวลาประมาณนี้ของทุกวัน เป้ยหมิงก็จะแอบแวะมาเยี่ยมเสมอ

   ความดีใจในข่าวคราวนั้นแทบทำให้บาดแผลหายในพริบตา

   หลี่ไป๋ตัดสินใจนอนลงกับเตียงคนไข้ให้หมอเปิดผ้าพันแผลเติมยาลงไปอย่างว่าง่าย  ตัดใจทิ้งความกังวลเรื่องกบฎที่ปล่อยให้หลุดมือไปชั่วครู่ ไม่มีประโยชน์ที่จะมากังวลในเมื่อร่างกายต้องการการพักผ่อนเช่นนี้

   รู้สึกตัวอีกที จิตใจก็ล่องลอยไปหาคนๆเดิมเสียแล้ว


...................................................................


   จันทร์เสี้ยวลอยนิ่งอยู่บนฟ้า ตั่วหยางลอบมองมันจากรอยรั่วบนหลังคา แผ่นหลังเอนลงกับคานไม้กว้าง

   เป็นอีกครั้งที่เขามาหยุดที่โรงม้าแห่งนี้... มันเป็นโรงม้าแห่งแรกที่พวกเขาหยุดพักก่อนผ่านเข้ากำแพงเมือง และเป็นโรงม้าที่หลินไน่กับหยาโจวเคยลักพาตัวเป้ยหมิงมาเพื่อให้เขาทำแผนการได้สำเร็จ

   ณ ตอนนั้นเขารู้ดีว่าเพื่อนทั้งสองต้องลักพาตัวอาคันตุกะแห่งแคว้นมาที่นี่แน่ เพราะมันเป็นที่ที่ปลอดภัยแห่งเดียวนอกเหนือจากโรงเตี๊ยมที่พวกเขาจะนึกออก  พวกทหารก็จำสถานที่นี้ได้และเข้ามาตรวจเป็นที่แรกๆ แต่ตั่วหยางก็รอจนกว่าพวกทหารจะล่าถอยไปแล้วค่อยใช้สถานที่นี้เป็นที่ซ่อนตัวเพียงลำพัง

   หวนคิดถึงวันเวลาที่ทั้งสามขี่ม้าข้ามแคว้น หยอกล้อเล่นหัวกันเบิกบานใจ... บัดนี้มันคงไม่มีอีกแล้ว

   หมดสิ้นแล้วทุกอย่างที่เคยมี... ทั้งมิตรภาพ อาชาคู่ใจ อาวุธคู่มือ คนรัก หรือแม้แต่คนที่เคยคิดว่ารัก  แผ่นดินนี้คงไม่ต้อนรับเขาอีกแล้ว จะกลับหมู่บ้านก็ละอายใจเกินกว่าจะทำ หรือจะกลับเมืองหลวงก็คงมีแต่การลงทัณฑ์เป็นแน่

   บางทีเขาอาจจะออกเดินทางไปแคว้นอื่น ไม่ก็ดินแดนอื่นที่ไม่ใช่แผ่นดินจีน หรือปล่อยให้หนวดเครารุงรังใช้ชีวิตเป็นโจร หรือจะไปฝึกตนซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาก็ท่าจะดี

   แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน เขาก็คิดไม่ตกมาหลายวันแล้ว... ได้แต่ตั้งหลักอยู่ที่นี่ หลบซ่อนอยู่บนคานเหนือโรงม้า แอบตามคนเลี้ยงอาชาเข้าไปขโมยของเขามากินเท่านั้น

   เขาหมดแรงจะทำอะไรในชีวิตแล้ว... หรือไม่เช่นนั้นหากเขาหาอาวุธได้ ให้จบชีวิตลงตรงนี้เลยท่าจะดีเสียกว่า...

   เมื่อคิดได้เช่นนั้น ประตูโรงม้าก็เปิดออกทันที

   ชายหนุ่มเกร็งตัวลงนอนแนบคานไม้ หัวใจแทบหลุดออกจากอก... ครั้งนี้หากโชคไม่ดีเหล่าทหารอาจจะเฉลียวใจหวนกลับมาตรวจอีกครั้ง และยามที่ไม่ได้ตั้งตัวเช่นนี้โอกาสหนีรอดก็คงยากเต็มที

   แต่ปรากฏว่าไม่ใช่

   “ตั่วหยาง... ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่”

   เสียงที่คุ้นเคยนั้นทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ... เขาไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงนี้อีกแล้วชั่วชีวิต  พอแอบเหลือบมองด้านล่างตรงประตูโรงม้า ก็เห็นเพื่อนร่างอ้วนคนเดิมเดินเข้ามาท่ามกลางความมืด

   ...เขานึกว่าหลินไน่ไม่อยากจะพบหน้าเขาแล้วเสียอีก

   “ออกมาเถอะน่ะ ข้าพาหยาโจวมาลาเจ้า”

   ตั่วหยางเพ่งมองด้านล่าง นึกงุนงงที่เห็นเงามนุษย์ปรากฏอยู่เพียงคนเดียว

   “ฝากบอกหยาโจวเถอะว่าข้าคงจะไม่มาพบพวกเจ้าอีกแล้ว”

   “เจ้ามาบอกมันเองดีกว่า นี่โอกาสสุดท้ายแล้ว...”

   มีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ในคำพูดนั้น... ถ้าหากหยาโจวต้องการจะพบเขาจริงทำไมถึงไม่ปรากฏตัวมาให้เห็นต่อหน้า และที่ประหลาดไปกว่านั้นคือทำไมหลินไน่ถึงยอมมาพบหน้าเขาอีกครั้ง

   แต่แล้วเขาก็คิดได้ ว่าหากนี่เป็นโอกาสสุดท้ายจริงจะมัวมาถือทิฐิอยู่ทำไม...

   ตั่วหยางกระโดดลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา แต่ภายใต้ความมืดนั้นเขาก็ยังคงไม่เห็นเงาของเพื่อนอีกคน

   “ไหนล่ะหยาโจว”

   หลินไน่ไม่ขยับ ปล่อยให้เขาเดินเข้าไปหา จนกระทั่งเห็นว่าเพื่อนถือกล่องไม้อยู่กล่องหนึ่ง  ตั่วหยางถึงกับชะงัก ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของม้าเมื่อหลินไน่ยื่นกล่องนั้นให้

   กล่องไม้ยังอุ่น คงเป็นเพราะคนถืออุ้มมันมาตลอดทาง... แต่มันกลับทำให้ตั่วหยางรู้สึกหนาววาบไปถึงหัวใจ

   ภาวนาขอให้มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด...

   มือสั่นเทาค่อยๆเอื้อมไปเปิดฝาออก แทบกลั้นหายใจ... แต่พอแง้มดูเพียงแค่นิดเดียว ฝากล่องก็ร่วงลงกับพื้น

   ศีรษะของหยาโจวหลับสนิทอยู่ในนั้น

   ตั่วหยางสิ้นแรงทรุดเข่าลง เศษเสี้ยวของชีวิตพลันปลิดปลิวหายไป หัวใจถูกบีบแน่นจนแหลกเหลวเมื่อเห็นภาพนั้น

   “หยาโจว!!!”

   ชายหนุ่มร้องออกมาสุดเสียง ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาล้นทะลักออกมาจากห้วงลึกสุดใจ

   หยาโจวจากไปแล้ว... จากไปตลอดกาล   ไม่มีอีกแล้วเพื่อนผู้เยือกเย็นหลักแหลม หยาโจวคงไม่มีโอกาสได้เป็นปราชญ์รับราชการอย่างที่หวัง ไม่มีวันได้เห็นแคว้นซานหลงเป็นไทจากทรราช  ...นี่คือผลกรรมจากการที่เขาพรากชีวิตทหารอารักขาผู้นั้นน่ะหรือ? หรือว่ามันเป็นผลจากการที่เขาทรยศเพื่อนได้แม้วินาทีสุดท้าย

   หวนคิดถึงเรื่องราวแห่งเทพมังกรนภาที่หยาโจวเคยเล่าให้ฟัง... นี่ใช่ไหมคือความรักจากเพื่อนที่ยอมสละชีวิตให้ได้เพียงเพื่อสหายจะได้พ้นภัย   เขากับหลินไน่ก็ช่างโง่เขลา ยามที่เพื่อนต้องการเรามากที่สุดแต่ทั้งสองกลับไม่อยู่เคียงข้าง...  ไม่ต่างจากสองสหายในตำนานที่ฟาดฟันกันหมายเอาชีวิต ในขณะที่ชายจากตะวันออกผู้นั้นกลับยอมสละชีวิตเพื่อพวกเขา

   ส่วนหนึ่งของวิญญาณเขาคงไม่มีวันกลับมาได้อีกแล้ว

   น้ำตาไม่ยอมหยุดไหลราวกับทะลักออกมาจากหลุมที่ไม่มีก้น... เพื่อหยาโจวแล้วเขาถึงกับร้องไห้ได้อย่างไม่อับอาย จนแทบจะลืมไปแล้วว่าหลินไน่ยังยืนอยู่ตรงนั้น

   “เป็นความผิดของพวกเราเอง” หลินไน่พูดขึ้นเบาๆ “พวกทหารมันเข้ามาจับหยาโจวในโรงเตี๊ยม ข้าพยายามเข้ามาช่วยแล้วแต่ก็ไม่ทัน มันตัดคอหยาโจวไปแล้ว”

   ตั่วหยางแทบไม่ได้ฟัง เสียงสะอื้นของตนนั้นยังดังยิ่งกว่า

   “ข้าบุกเข้าไปคว้าหัวหยาโจวมาได้ ก่อนจะหนีออกมา... ตอนนี้ข้าก็เลยเป็นที่หมายหัวอยู่พอๆกับเจ้า”

   “เจ้าไม่ผิดหรอกหลินไน่...” ตั่วหยางลุกขึ้นช้าๆ “...ข้าผิดเอง”

   หลินไน่ยื่นมือมาขอกล่องไม้กลับ แต่ตั่วหยางยังคงกอดเอาไว้เช่นนั้น

   “เอาคืนมาเถอะ แล้วเจ้าจะไปไหนก็ไป   ตอนนี้ข้าไปรู้ข่าวมาว่ามีกลุ่มกบฏอีกกลุ่มกำลังก่อตัวอยู่ ข้าจะไปฆ่าอ๋องทรราชนั่นเอง  หากช้ากว่านี้กบฏกลุ่มนั้นคงปลุกระดมประชาชนให้ก่อศึกนองเลือดขึ้นได้”

   “ไม่!” ตั่วหยางพูดเสียงดัง “ข้าจะไปฆ่ามันเอง”

   “พวกเราให้โอกาสเจ้ามาเกือบเดือนแล้ว สุดท้ายเจ้าก็ตัดใจทำไม่ได้   เพราะฉะนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีโอกาสครั้งที่สองอีก”

   “ที่หยาโจวตายก็เพราะข้า! หากข้าฆ่าหงฟี่ไปตั้งแต่แรกหยาโจวคงไม่ต้องมาตายเช่นนี้” ชายหนุ่มขึ้นเสียง “ข้าเป็นคนเริ่ม เพราะฉะนั้นข้าจะเป็นคนจบมันเอง”

   “พอเสียทีตั่วหยาง ข้าเชื่อคำพูดเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”

   “ข้าไม่มีที่จะยืนบนแผ่นดินนี้อีกแล้วหลินไน่! ข้าฆ่าคนไปแล้วด้วยซ้ำ ให้ฆ่าเพิ่มอีกสักคนคงจะไม่เป็นไร!”

   ด้วยความจริงข้อนี้ทำให้หลินไน่เงียบไป ไม่อาจต่อปากคำได้อีก

   “หยาโจวคงไม่อยากเห็นเราทะเลาะกัน”

   ศีรษะไร้วิญญาณในกล่องไม้ยังคงหลับสนิทอยู่ในนิทรานิรันดร์ แต่เพื่อนทั้งสองก็เชื่อว่าหากเจ้าของวิญญาณนั้นได้มองอยู่ก็คงหวังเช่นนั้นเป็นแน่

   “ขอให้ข้าได้ล้างแค้นให้หยาโจวเถอะ ข้าจะไปฆ่ามันเอง... ถ้าไม่มีเจ้า ใครจะพาหัวหยาโจวกลับหมู่บ้านของเรา”

   “ให้ข้าเป็นคนไปล้างแค้นแทนไม่ได้รึยังไง”

   “ถ้าข้าทำไม่สำเร็จเจ้าค่อยไปฆ่ามัน! ตกลงไหม”

   “ถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จนี่คือเช่นไร?”

   “ข้ายอมตาย หลินไน่”

   หลินไน่เงียบไป ในขณะที่แววตาของตั่วหยางแน่วนิ่ง... เป็นแววตาที่หลินไน่เห็นก็รู้ว่าเพื่อนคนนี้ไม่มีวันจะเปลี่ยนใจได้อีกต่อไปแล้ว

   “และถ้ามันเป็นเช่นนั้นเมื่อไร...” แผ่นอกผอมบางสะท้อนขึ้นลงหนักหน่วง ทำให้สัมผัสของสิ่งที่อยู่บนอกเตือนความทรงจำให้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง

   สร้อยหินสีแดงที่ไหนจื่อให้มา... แม้เขาใส่มันอยู่ตลอดเวลาแต่กลับรู้สึกชินชาเสียจนลืมไปเสียแล้ว

   ตั่วหยางถอดสร้อยนั้นออกช้าๆ

   “...ฝากเอานี่กลับไปให้ไหนจื่อด้วย”

   หลินไน่ยื่นมือไปรับมันไว้   ในขณะที่แววตาของตั่วหยางค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นความเสียใจ

   “และฝากบอกนางว่า ข้าขอโทษ

   เป็นคืนที่เงียบสงัด เส้นทางแห่งอนาคตจมดิ่งลงในความมืดมิด   รู้แน่ชัดแล้วว่าปลายทางคืออะไร แต่ถ้าจะให้ก็หันหลังกลับไปก็คงจะไม่มีทาง

   จันทร์เพ็ญที่เฝ้ามองพวกเขาสามคนหัวเราะรื่นเริงให้กันมันไม่มีอีกแล้ว

   และเมื่อไรที่จันทร์ดับ... โศกนาฏกรรมจัญไรนี้ก็จะสิ้นสุดลง





ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
บทที่ 17 เส้นพรหมลิขิต



   แผลบนอกซ้ายแผดร้อน มิใช่ว่าแผลมันกำเริบหรอก แต่คงเป็นความคิดถึง

   หลายวันที่ผ่านมานี้หลังจากที่หลี่ไป๋ฟื้นขึ้นมา เป้ยหมิงก็ไม่ได้แวะมาเยี่ยมเขาอีก ด้วยว่าธุระของฝ่ายนั้นคงจะยุ่ง และสถานการณ์ภายในวังเองก็วุ่นวาย  ในขณะนี้ทหารแทบทั้งหมดต้องผลัดเวรยืนประจำทุกจุดทั้งในและนอกวัง จะให้เป้ยหมิงลอบมาหาเขาเหมือนเดิมโดยไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คงไม่ได้

   สิ่งที่หลี่ไป๋ทำได้ก็มีแค่นอนคิดกังวลอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือเรื่องกบฏที่เขาปล่อยให้หนีไปได้ และอีกเรื่องก็คือ...เรื่องอาคันตุกะคนงามผู้นั้น

   การที่ต้องนอนอยู่เฉยๆ ได้แต่เฝ้ามองแสงจันทร์ทุกคืน มันก็อดคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้... เป็นความคิดอันหวานหอมชวนเคลิบเคลิ้ม แต่ก็เคลือบไว้ด้วยความผิดบาป   นั่นคือภาพจินตนาการว่าจะเป็นเช่นไรหากเขาคว้าจันทร์ดวงนั้นเอาไว้ได้ด้วยสองมือ

   แค่คิดก็ละลาบละล้วงยิ่งนัก แต่มันยิ่งทำให้เขาทนไม่ได้... หากยังมิได้เห็นหน้ากันอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าเขาคงต้องเสียสติไปแน่ๆ

   คืนนี้จันทร์คืนเสี้ยวจนใกล้จะไม่เหลือความสว่างแล้ว... อยู่ดีๆหลี่ไป๋ก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายลักลอบออกจากห้องพักเสียเอง โชคดีที่เขาเป็นถึงองครักษ์เอกของต้าอ๋องเลยทำให้ไม่มีทหารคนใดกล้าขัดขวางหรือแม้แต่จะนึกถามไถ่ว่าเขามีธุระอันใด

   เดินมาเรื่อยจนถึงศาลาริมน้ำที่เดิม   ไม่น่าเชื่อว่าในคืนนี้ เป้ยหมิงจะมายืนชมจันทร์อยู่เช่นวันแรกที่ได้เจอกัน

   “ท่านเป้ยหมิง...”

   เอ่ยทักเพียงแค่นั้น อีกฝ่ายก็รีบหันมามองด้วยความประหลาดใจ

   “ท่านหลี่ไป๋!” เป้ยหมิงรีบก้าวเข้ามาหา “...ท่านฟื้นแล้วหรือ อาการเป็นอย่างไรบ้าง”

   “ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกขอรับ”

   “แผลท่านยังไม่หายดีนี่นา จะออกมาเดินข้างนอกทำไมกัน”

   “ข้าคิดถึงท่าน”

   เป้ยหมิงถึงกับชะงักนิ่งไป คงไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้...

   สบตาได้เพียงชั่วครู่ก็หันเหสายตาออกไป หลี่ไป๋เองก็ไม่คิดว่าจะพูดคำนี้ออกมาได้เช่นกัน

   ความเงียบอบอวลกระอักกระอ่วนกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เป้ยหมิงจะเอ่ยคำขึ้นมา

   “ท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่ ได้ยินมาว่าดาบทะลุอกท่านเกือบมิดด้าม” มือขวาเอื้อมมือไปแตะตรงบริเวณบาดแผลเบาๆ... แต่ทว่าแม้จะแผ่วเบาเพียงใด เพราะฝืนร่างกายออกมาเดินเช่นนี้เลยทำให้เผลอเจ็บขึ้นมาได้

   หลี่ไป๋สำลักเสียงร้องออกมา ทำให้อีกฝ่ายชะงักมือเกือบไม่ทัน

   “ข้า... ข้าขอโทษ”

   “ไม่ต้องหรอกขอรับ ข้าไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”

   “อย่าเลย เข้ามาข้างในก่อนดีกว่า” ว่าแล้วเป้ยหมิงก็ลากแขนอีกฝ่ายเข้ามาในตำหนักที่พักของตน ยามนี้เหล่าข้ารับใช้คงเข้านอนกันหมดแล้ว เหลือก็แต่ทหารยามที่เฝ้าอยู่นอกตำหนัก เป้ยหมิงก็กำชับอย่างดีว่าอย่ารบกวน ด้วยเกรงว่าบ่าวจู้จี้อย่างเฉินซื่อจะตามมารังควานเข้าให้อีก

   จุดโคมในห้องพักให้สว่างขึ้น พาหลี่ไป๋ให้นั่งลงตรงเก้าอี้

   “ขอข้าดูแผลหน่อยจะได้ไหม”

   ชายชาติทหารไม่พูดอะไรแค่ปลดสาบเสื้อด้านซ้ายลงมาถึงต้นแขน เผยให้เห็นผ้าขาวสะอาดที่พันรอบอกเอาไว้

   ...โชคดีที่ความเจ็บเมื่อครู่ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อบาดแผลเลยสักนิด ผ้าพันแผลยังคงเป็นสีขาว ไม่มีร่องรอยของเลือดซึมออกมา

   “ท่านโชคดีเหลือเกินที่รอดชีวิตมาได้”

   “บางทีอาจจะไม่ใช่แค่โชคก็ได้นะขอรับ”

   เป้ยหมิงเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยความสงสัย ก่อนที่หลี่ไป๋จะเอ่ยต่อ

   “อาจจะเป็น... พรหมลิขิตก็เป็นได้”

   คนฟังนิ่งไปชั่วครู่ แล้วถึงหัวเราะเอ็นดูออกมา

   “ไหนท่านว่าไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต”

   “ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว...” หลี่ไป๋พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ด้วยเหตุที่คิดทบทวนเรื่องนี้มาได้พักใหญ่  “เป็นเพราะทั้งบาดแผลนี้... และก็เพราะท่าน”

   ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะพูดอะไรที่ไม่คาดคิดออกไปมากพอดู ทั้งๆที่ยามปกติคงไม่มีทางมีความกล้าจะพูดออกไปได้แน่   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดแผลนี้ที่ทำให้สำนึกคุณค่าของชีวิต หรือเป็นเพราะว่าอีกไม่กี่วันเป้ยหมิงต้องถึงกำหนดกลับป๋ายเซว่แล้วกันแน่

   ข้อหลังนั้นเป็นความจริงที่ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็เจ็บปวดเกินกว่าที่จะคิดถึงมัน

   “อย่าพูดเช่นนั้นเลย เดี๋ยวข้าจะทนไม่ได้เมื่อข้าต้องกลับไป”

   “ข้าเองก็ไม่อยากให้วันนั้นมาถึง” หลี่ไป๋สารภาพ

   “ข้าคงคิดถึงท่านจนแทบบ้า...”

   เป้ยหมิงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็เป็นเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนที่คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะมันค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันขมขื่น ปิดบังความโศกเศร้าไว้ไม่ได้อีกต่อไป

   เป็นภาพที่หลี่ไป๋ทนมองไม่ได้

   ไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ หลี่ไป๋คว้ามือที่วางอยู่บนอกของตนมากุมไว้  เป้ยหมิงดูตกใจเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าระยะห่างของทั้งสองค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ องครัชทายาทถึงยอมจำนนหลับตาลง

   ความเงียบลอยวนอบอวล เมื่อริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกันเพียงแผ่วเบา

   เพิ่งเข้าใจว่าความรู้สึกที่ได้สมหวังเป็นเช่นนี้ เป็นวินาทีที่จันทร์แสนงามลอยลงมาอยู่ในมือเขาอย่างที่เฝ้าฝันมานาน  เป็นห้วงภวังค์แสนหวานที่เชิญชวนให้เคลิบเคลิ้มไป

   เป้ยหมิงเองก็จูบตอบกลับมาอย่างคนไม่เคย ค่อยๆเรียนรู้ ถูกมอมเมาไปทีละนิด  จนเมื่อจุมพิตค่อยๆถลำลึกลง มืออีกข้างที่ยังว่างถึงเลื่อนขึ้นมาโอบคอคนต่างแคว้น เผลอบีบมือไปเสียแน่นเมื่อความรู้สึกประหลาดที่ตนไม่รู้จักแล่นพล่านอยู่ในร่างกาย

   ...นั่นทำให้หลี่ไป๋รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรลงไป

   เมื่อได้สติก็รีบถอนหน้าออก ความรู้สึกผิดขมวดปมแน่นอยู่ในร่าง

   “ข้า... อภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกิน---”   

   “ข้าไม่ได้รังเกียจ”

   เป้ยหมิงแทรกตั้งแต่เขายังพูดไม่จบเสียด้วยซ้ำ   ทำให้หลี่ไป๋ถึงกับชะงักด้วยความงุนงง

   ...ทั้งๆที่เดรัจฉานอย่างเขากำลังบังอาจไขว่คว้าดวงจันทร์เช่นนั้นหรือ?

   พอเห็นว่าหลี่ไป๋กำลังสับสน เป้ยหมิงจึงเอื้อมมือไปประคองหน้าเขาไว้ ราวกับจะบอกว่าความกลัวนั้นอย่าได้ไปใส่ใจ

   “ข้าไม่เคยรังเกียจท่านเลย... แต่ตรงกันข้าม”

   เป้าหมิงไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะหลบสายตาเมื่อรู้สึกตัวว่าสารภาพความรู้สึกอันใดออกไป  ทำให้คนที่ฟังอยู่ถึงกับเผลอหายใจไม่เป็นจังหวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าเพิ่งจะได้ยินสิ่งใด

   “จริง... จริงหรือขอรับ...?”

   “อย่าถามข้าอีกเลย”

   “ถ้าเช่นนั้น... หากข้าจะขออนุญาต...”

   ถ้อยคำขาดห้วงไปเช่นนั้น ด้วยว่าคนพูดก็ไม่กล้าเอ่ยคำขอที่ดูจะมากเกินไป  แต่ก็เป็นอีกครั้งที่หลี่ไป๋ได้รับคำตอบด้วยการถูกบีบมือแน่น ก่อนที่เป้ยหมิงจะเลื่อนนิ้วให้เข้ามาประสานมือเขาช้าๆ

   นั่นคงเป็นคำตอบว่าตกลง

   จันทร์เสี้ยวที่คอยมองอยู่หลับตาลง ปล่อยให้เมฆครึ้มล่องลอยมาบดบัง... เหลือเพียงแสงโคมดวงน้อยภายในห้อง กับเงาของคนสองคนที่แนบชิดยามโอบกอดกันชิดใกล้อีกครั้ง

   ค่ำคืนนี้คงเป็นฝันอันงดงาม...



...................................................................



   หลี่ไป๋กัดฟันแน่น ในขณะที่แผลเก่าต้องถูกเย็บปิดซ้ำลงไปอีกครั้ง

   “แผลก็ยังไม่หายดีแท้ๆ ท่านไปทำอะไรมาถึงทำให้แผลเปิดได้ขนาดนี้”

   “ข้าผิดเอง”

   คนไข้เอ่ยเสียงเบา แต่ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว เขาไม่เสียใจเลยสักนิด

   ตอนเช้าตรู่เขารีบออกมาก่อนที่จะมีคนรับใช้ของเป้ยหมิงคนใดตื่นขึ้น เป็นค่ำคืนแห่งความฝันที่เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของบาดแผลบนอกเลยแม้แต่น้อย มารู้สึกตัวว่าแผลเปิดออกก็ภายหลังตอนที่หมอหลวงเข้ามาดูอาการแล้ว...  แต่ถ้าถามว่าเขาเสียใจไหม ก็ต้องตอบว่าถึงแม้ว่ามันจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย เขาก็จะไม่เสียใจไปตลอดชีวิต

   เป้ยหมิงช่างงดงาม สำหรับคนที่เขาเคยคิดว่าเกินเอื้อม เมื่อคืนเขากลับพบว่าคนๆนี้แท้จริงแล้วก็เป็นแค่คนเดินดินเช่นเดียวกับเขา มีร่างกายที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก ล่อลวงให้เขาติดกับในสัมผัสอันเย้ายวนเหล่านั้น

   นึกเห็นแก่ตัวอยากจะครอบครองคนๆนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ก็รู้ตัวว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้   ทำได้เพียงแต่สนองความรักเท่าที่อีกฝ่ายร้องขอ และทิ้งไว้ได้แค่ร่องรอยสีกลีบกุหลาบที่ไม่นานก็ต้องจางหายไปเท่านั้น

   เรื่องปลายทางแห่งเส้นขนานที่กำลังจะมาถึงเขาไม่อยากจะไปนึกคิด ได้แต่ดึงรั้งความฝันงดงามที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเอาไว้ให้ได้ดีที่สุด หล่อเลี้ยงชโลมจิตใจเพื่อจะได้ผ่านไปได้อีกสักวัน

   เมื่อหมอหลวงจัดการกับแผลของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่ไป๋ก็ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกครั้ง  ความเหนื่อยล้าที่ปฏิเสธตัวเองมาตลอดก็เริ่มเข้าจู่โจมจนเขาเกือบจะผล็อยหลับไป

   แต่ยังไม่ทันจะทำเช่นนั้น ก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง

   ด้วยความที่ไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า หลี่ไป๋ก็คิดไปว่าต้องเป็นต้าอ๋องเป็นแน่... แต่ทว่าคนที่ก้าวเข้ามาในห้องกลับเป็นข้ารับใช้ของเป้ยหมิงที่เขาคุ้นหน้าดี และมีชายอีกคนที่เขาไม่รู้จักเดินตามมาเงียบๆ

   บรรยากาศตึงเครียดที่ตามทั้งสองคนมาด้วยนั้นทำให้หลี่ไป๋ยันตัวลุกขึ้นนั่งทันที

   “ท่านมีธุระอะไรกับข้า”

   เฉินซื่อเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนที่ชายอีกคนจะเป็นล่ามแปลเป็นสำเนียงใต้ให้ฟัง

   “พวกเรารู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหมดแล้ว”

   สิ้นประโยคหลี่ไป๋ก็ถึงกับร่างชา... ถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เขาก็ไม่ได้เตรียมใจว่าถูกจับได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

   “ข้าไม่เคยพูดกับท่านตรงๆแต่นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว...” ล่ามคนนั้นยังคงพูดแทนเฉินซื่อต่อไป “...ขอให้ความสัมพันธ์ของท่านกับท่านเป้ยหมิงจบลงเพียงแค่นี้ กรุณาอย่าไปพบหน้าท่านเป้ยหมิงอีก”

   “ท่านมีอำนาจอะไรมาสั่งข้า”

   “ท่านน่าจะรู้สถานะและตำแหน่งของตัวเองดี” ล่ามตอบ “ท่านเป็นแค่ทหารองครักษ์ของต้าอ๋องแห่งซานหลง ในขณะที่ท่านเป้ยหมิงเมื่อกลับไปยังป๋ายเซว่ไม่นานก็ต้องขึ้นครองแคว้น... และแน่นอน ว่าท่านทั้งสองก็จะไม่มีวันได้มาพบกันอีก”

   ความจริงอันเจ็บปวดข้อนั้นทำให้หลี่ไป๋ถึงกับเถียงไม่ออก จำต้องฟังความจากล่ามผู้นั้นต่อไป

   “ข้าไปได้ยินเรื่องนางรับใช้ที่ปลอมตัวเข้ามาลอบสังหารต้าอ๋องแล้ว และได้ยินว่าก่อนหน้านั้นท่านก็เป็นคนที่ไปเตือนต้าอ๋องให้ระวังนางเอาไว้... คิดว่าท่านคงจะจำได้”

   “แน่นอน ข้าจำได้”

   “ข้าเองก็เหมือนกัน... ข้าก็อยากจะทำหน้าที่บ่าวที่ดีที่สุดในการเตือนภัยให้เจ้านาย   ในเมื่อท่านเองก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ท่านก็น่าจะเข้าใจดี”

   ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่ตนเคยเตือนต้าอ๋องไปวันนั้นเป็นเช่นดาบสองคม แต่ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีวันที่มันจะกลับมาทำร้ายตนได้เช่นนี้

   และแต่ละคำที่อีกฝ่ายพูดมา ต่างก็เป็นความจริงทั้งนั้น

   “ข้าเข้าใจ... แต่ท่านก็น่าจะรู้ว่ากรณีของข้าต่างจากกรณีของท่านต้าอ๋อง”

   “หากท่านจะคิดเช่นนั้นเราก็ห้ามท่านไม่ได้ แต่ขอให้ท่านกรุณาฟังคำขอร้องของเรา มิฉะนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจแพร่กระจายทำลายชื่อเสียงของท่านอีกครั้งก็เป็นได้”

   หลี่ไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง... วูบแรกนั้นเขาไม่เข้าใจ แต่สักพักหนึ่งเขาถึงเพิ่งได้ตระหนักว่านั่นคงมิใช่แค่คำบอกเล่าธรรมดา

   “นี่ท่านขู่ข้าหรือ”

   “แล้วแต่ท่านจะคิด เรื่องราวเช่นนี้หากมีคนอื่นรู้เข้าคงจะปิดกันไม่ได้ง่ายๆ และข่าวอาจจะบิดเบือนไปเป็นอย่างอื่นที่ร้ายแรงกว่านี้ก็เป็นได้”

   “อย่างเช่นอะไรล่ะ” หลี่ไป๋เริ่มโมโห

   “อย่างเช่น องค์รัชทายาทถูกล่วงเกิน... หรือไม่ก็ถูกข่มขืน โดยองครักษ์ของต้าอ๋องแห่งซานหลง---”

   “มันจะมากไปแล้วท่าน!”

   “ท่านเองน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าข่าวลือน่ากลัวเพียงใดมิใช่หรือ... หากไม่คิดถึงตัวเอง ก็กรุณาคิดถึงท่านเป้ยหมิงด้วย”

   หลี่ไป๋กัดฟันแน่น พูดไม่ออก... จะแก้ไขแก้ตัวอะไรก็ไม่ได้ จนสุดท้ายก็ต้องปล่อยให้แขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองออกจากห้องไปอย่างไร้เยื่อใย

   ...เขาเองนี่แหล่ะคือคนที่ถูกข่าวลวงทำร้ายมากที่สุด และถ้าจะให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองเขาคงยอมไม่ได้... โดยเฉพาะเมื่อชื่อเสียงของเป้ยหมิงจะต้องถูกทำลายไปกับเขาด้วยแล้ว

   เขาไม่อยากจะเป็นคนที่ทำร้ายเป้ยหมิงเสียเอง

   ต่อให้ฝ่ายคนรับใช้ของเป้ยหมิงจะไม่ได้ปล่อยข่าวลืออย่างที่ขู่เอาไว้ แต่การใกล้ชิดกันของพวกเขาก็ต้องทำให้เกิดข่าวลืออันร้ายกาจได้เองในสักวันหนึ่ง เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่เหลือคืออย่าพานพบหน้าเป้ยหมิงอีกเช่นเลยกระนั้นหรือ?

   เรื่องราวของพวกเขาเป็นได้แค่เส้นขนาน พรหมลิขิตคงบันดาลมาให้เพียงแค่นั้น...
   





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
บทที่ 18 จันทร์หลุดมือ



   เวลาหนึ่งทุ่ม ทหารยามรอบประตูวังจะเปลี่ยนกะ วนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก... ตั่วหยางมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นที่จะใช้โอกาสนี้ลักลอบเข้าไปในวังให้ได้

   บรรยากาศของหลายวันที่ผ่านมานี้ดูตึงเครียด เมื่อตะวันลับฟ้าบ้านทุกหลังก็ปิดประตูหน้าต่างกันเงียบสนิท มีทหารม้าเฝ้าตรวจตราถนนทุกเส้นในเมือง   ในวันนั้นหลินไน่ได้บอกเส้นทางและช่วงเวลาหลบหนีจากทหารให้เข้าไปถึงกำแพงวัง   หลายวันต่อมาตั่วหยางหลบหนีเข้ากำแพงเมืองมาโดยการซ่อนตัวอยู่ในเกวียนบรรทุกสินค้า ส่วนหลินไน่ก็ซ่อนตัวอยู่กับกลุ่มกบฏที่ประชุมกันในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง

   แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า... อีกไม่กี่คืนแสงจันทร์ก็จะไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว นั่นทำให้เขาเหลือเวลาน้อยลงเต็มที เพราะสัญญากับหลินไน่ไว้ว่าถึงคืนเดือนแรมเมื่อไรแล้วเขายังฆ่าหงฟี่ไม่ได้ กลุ่มกบฏจะปลุกระดมประชาชนเคลื่อนไหวเข้ายึดวังในทันที

   ทุกอย่างเงียบสนิท แม้ใบไม้ที่กำลังร่วงก็ยังไม่ส่งเสียง   ทหารสองนายที่ยืนเฝ้าประตูเล็กทิศตะวันตกอยู่ไม่รู้เลยว่ากำลังถูกจับตามอง   เพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้นก็มีเงาดำพุ่งเข้าใส่ทหารคนหนึ่งจากด้านบน  ถูกสันมือฟาดลำคอตรงจุดที่ทำให้สลบชั่วคราวก่อนจะล้มฟุบลงไป   พลันชายทหารอีกคนที่ยืนข้างๆหันขวับมาเห็น จะชักดาบออกมาสู้เงาประหลาดนั้นแต่ก็ไม่ทันลีลาต่อสู้ที่เตะอาวุธในมือเขาให้ลอยหวือออกไปไกล   เงานั้นกระโดดไต่กำแพงขึ้นสูงโผล่ไปด้านหลัง รู้สึกตัวอีกทีทหารนายนั้นก็ถูกเข็มพิษทิ่มลงที่หลังคอ  สลบล้มลงหมดสติไปได้ทั้งคืน

   ตั่วหยางรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองกับทหารนายนั้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  เปลี่ยนให้ชายทหารใส่เสื้อเก่าๆที่เขาขโมยชาวบ้านมา แล้วลากไปนอนอยู่ข้างพุ่มไม้ที่สุดถนนให้ดูเป็นเพียงชายไร้บ้านคนหนึ่ง   เมื่อสวมชุดทหาร สวมหมวกเกราะจนมองไม่เห็นใบหน้าของตนแล้ว ตั่วหยางถึงได้ปลุกชายทหารอีกคนที่สลบไปก่อนหน้าให้ตื่นขึ้น ปลอบใจว่าเขาคงเฝ้าเหนื่อยจนสลบไป ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

   ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ก่อนที่ทหารกะชุดใหม่จะเข้ามาเปลี่ยนเวร

   แผนนี้สำเร็จไปได้อย่างงดงาม เขาเข้ากำแพงวังได้แล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่หาทางเข้าหาหงฟี่ให้ได้เท่านั้น

   เมื่อได้โอกาสดีเขาก็ผละจากทหารคนอื่นเดินลัดเลาะเข้าไปตามทางเดินในวัง... ป่านนี้หงฟี่คงจะนั่งดื่มเหล้าฆ่าเวลาอย่างเช่นทุกคืนกระมัง หรือว่าจะถูกบังคับให้ไปอยู่ในห้องอื่นที่ปลอดภัยกว่านี้ก็ไม่รู้ได้  หนทางเดียวที่เขาจะรู้ก็คือต้องเดินตามหา เก็บรวบรวมข้อมูลเท่าที่ได้ เพื่อที่จะไม่สร้างพิรุธมากไปกว่านี้

   แม้แต่ในวังเองก็ยังเงียบสนิท มีทหารประจำอยู่ทุกหัวมุมทางเดิน  แต่แล้วพอเขาย่างเท้าเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในก็ถูกดักไว้โดยทหารอีกสองนาย

   “มีธุระอะไร”

   “ข้าถูกสั่งให้เข้าไป”

   “ใครสั่ง”

   ตั่วหยางชะงัก  เกือบตอบไปแล้วว่าหลี่ไป๋... แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าชายผู้นั้นสิ้นชีพคามือเขาไปแล้ว

   สะท้อนใจได้เพียงครู่เดียวก็ต้องรีบตอบไป “ก็ท่าน...หัวหน้าน่ะสิ”

   “ท่านหัวหน้าชื่ออะไร”

   ตั่วหยางสะอึก เริ่มรู้ตัวแล้วว่าหนีพิรุธครั้งนี้ไปไม่รอดแน่ๆ

   “ข้าจำชื่อท่านไม่ได้หรอก ท่านเพิ่งรับตำแหน่งใหม่แค่ไม่กี่วันเองไม่ใช่หรือ”

   ทหารยามทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างงงงวย

   “ก็... ก็ท่านหลี่ไป๋เพิ่งจะสิ้น...”

   มีแค่ความเงียบสงัด ทหารทั้งสองมองหน้ากันอีกรอบ และเพียงเท่านั้นทุกอย่างก็กระจ่างแจ้งชัดเจน

   สองดาบถูกชักออกมาจู่โจมผู้บุกรุกไม่ให้ทันตั้งตัว  ตั่วหยางรีบวาดดาบขึ้นกันแม้ว่าจะเกือบหลบไม่ทัน  ทหารทั้งสองบุกเข้าจู่โจมรุนแรง แต่ก็ยังได้ยินเสียงทหารอื่นหันไปตะโกนก้อง ประกาศว่ากบฏผู้นั้นกลับเข้ามาในวังแล้ว

   สถานการณ์พลิกผันภายในชั่วพริบตาเดียว พลันได้ยินคำประกาศตั่วหยางก็รู้ดีว่าควรถอยหนีเสียตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่ทหารจะแห่มากันทั้งวัง  แต่พอได้โอกาสดีหาทางหนีออกมาจากหน้าประตูวังชั้นในได้แล้ว ก็ดันพบกับทหารกลุ่มใหญ่ดักรออยู่ตรงหัวมุมจนแทบชะงักเท้าไม่ทัน

   สถานะตอนนี้เขากลายเป็นสุนัขจนตรอก ถ้าจำต้องสู้กับศัตรูจำนวนมากขนาดนี้เขาก็คงจะไม่รอดแน่ๆ... ไม่ได้แม้แต่จะเห็นหน้าหงฟี่เป็นครั้งสุดท้าย

   หันไปมองรอบๆก็เห็นทหารเหล่านั้นค่อยๆตีล้อมเข้ามาเป็นวง ประกาศกร้าวให้เขายอมจำนนเสีย

   ...ถึงตายเขาก็จะสู้

   “อย่าให้ยืดเยื้อเลย พวกเจ้าเข้ามาซะ!”

   “อย่าเข้าไป”

   เสียงๆหนึ่งดังมาจากนอกวงทหาร... เป็นเสียงทุ้มต่ำที่ทำให้ตั่วหยางขนลุกชันขึ้นมาทันที

   “ท่านต้าอ๋องสั่งให้จับเป็น”

   ชายร่างสูงผู้นั้นเดินแหวกกำแพงทหารเข้ามา  นั่นคือชายทหารตาเดียวที่เคยประมือกับเขามาแล้วสองครั้ง... และเคยสิ้นชีพต่อหน้าเขามาแล้วด้วยซ้ำ!

   “เจ้า... ทำไมเจ้ายังไม่ตาย!”

   “ข้าโชคดี” หลี่ไป๋ตอบเรียบๆ เครียดขึ้งดุดันอย่างที่เขาไม่เคยเห็น “แต่เจ้าจะไม่โชคดีอย่างข้าแน่... จับมัน!”

   สิ้นคำสั่ง ชายทหารหลายนายก็กรูกันเข้ามาจับชายกบฏไว้ในทันที  จับมือเขาไพล่หลัง ดันให้ทรุดเข่าลงนั่ง กดหัวให้ต่ำลงไปอยู่กับพื้น

   ตั่วหยางตั้งสติ... หากคำบอกที่ว่าต้าอ๋องสั่งให้จับเป็นเขาเป็นจริง  ไม่แน่นี่อาจจะยังไม่ใช่จุดจบ


...................................................................


   ชายกบฏถูกจับถอดเสื้อผ้าทุกอย่าง ค้นจนหมดว่าไม่มีอาวุธอะไรหลงเหลืออยู่ ก่อนที่จะถูกจับใส่ชุดนักโทษ โยนไว้ในห้องขังที่มีเพียงประตูลงกลอนหนาแน่น ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีแสงอะไรทั้งนั้น

   ตั่วหยางนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นเพียงครู่หนึ่ง ไม่นานนักช่องเล็กๆบนประตูก็เลื่อนเปิดออก ได้ยินเสียงทหารประกาศดังมาแต่ไกล

   “ท่านต้าอ๋องเสด็จ ทำความเคารพด้วย”

   ชายกบฏผุดลุกขึ้นจากที่นั่งอยู่บนพื้น ลุกขึ้นเกาะประตู มองลอดไปที่ช่องเล็กๆที่มีไม้กั้นเป็นซี่กรงแคบเกินกว่าที่จะยื่นมือออกไปได้... ทั้งๆที่ห้ามใจแล้วแท้ๆ แต่เมื่อได้เห็นหน้าหงฟี่อีกเพียงครั้งเดียวก็ดันกลับไปรู้สึกเช่นเคยอีกครั้ง

   “หงฟี่...”

   ทหารที่ติดตามมาด้วยตวาดลั่น “นี่เจ้าบังอาจเรียกนามท่านต้าอ๋องเชียวหรือ”

   “ไม่เป็นไรหรอก” หงฟี่ตัดบทเรียบๆ ทำให้ทหารนายนั้นนิ่งเงียบไป

   ตั่วหยางเกาะช่องเล็กๆตรงประตูอย่างสิ้นหวัง นึกทรมานเสียจนถ้าถูกทหารลงทัณฑ์ไปตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วคงจะดียิ่งกว่า

   “ท่านจับเป็นข้าทำไม”

   “ข้าอยากเห็นหน้าเจ้าอีกสักครั้ง... ก่อนที่ข้าจะไม่มีโอกาสอีก”

   “ให้โอกาสข้าอีกครั้งเถอะ ครั้งนี้ข้าตั้งใจมาหาท่านจริงๆ ข้าไม่ได้คิดเรื่องลอบสังหารเลย...”

   “คำพูดทุกคำของเจ้าล้วนเป็นคำโกหกทั้งนั้น ข้าคงไม่อาจเชื่อคำพูดใดของเจ้าได้อีก”

   ตั่วหยางหน้าชา... ถึงแม้ว่าที่เอ่ยไปเมื่อครู่ก็เป็นคำโกหกก็ตาม แต่การที่เขาสูญเสียความเชื่อใจจากหงฟี่ไปเช่นนี้มันกลับทำร้ายจิตใจอย่างบอกไม่ถูก

   “ถ้าเช่นนั้น... หากท่านไม่เชื่อข้าแล้ว ท่านจะเก็บข้าไว้ทำไม”

   “ข้าแค่รอเวลา” หงฟี่ตอบกลับมาเรียบๆ “ให้เจ้าทบทวนตัวเองอยู่ในนี้คงทำให้เจ้าทรมานเท่ากับข้าได้บ้าง”

   “หงฟี่...”

   เจ้าครองแคว้นหันไปพูดกับทหาร “ดูแลนักโทษคนนี้ให้ดีๆ ถ้ามีคำสั่งอะไรอีกข้าจะสั่งลงมาอีกที”

   “ขอรับ”

   ต้าอ๋องหันหลังเดินกลับไปอย่างไร้เยื่อใย เพียงแค่นั้นตั่วหยางก็ตะโกนออกมาสุดเสียง

   “หงฟี่!... หงฟี่ ข้ากลับใจแล้ว หงฟี่! ได้โปรด...”

   แสงสว่างจากช่องเล็กๆหายวับไปเมื่อต้าอ๋องและเหล่าทหารอารักขาเดินออกไปจากห้อง ทิ้งตั่วหยางเอาไว้กับความมืดสนิท เงียบสงัด ลำพังในห้องสี่เหลี่ยมที่คงจะทำให้เขาเป็นบ้าไปได้ในไม่ช้า

   ชายหนุ่มนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง... กัดฟันแน่น   หากหงฟี่หมดรักเขาแล้ว เขาก็จะได้ตัดใจได้ง่ายขึ้น เมื่อครู่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอหน้ากันแล้ว  หากเขาหนีจากห้องขังนี้ไปไม่ได้ อย่างไรเสียอีกไม่กี่คืนข้างหน้าการกบฏก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี

   แต่ตอนนี้เขาจะไม่สิ้นหวัง... เพื่อหยาโจวแล้วเขาจะทำ ทุกวิถีทางเท่าที่มี...


...................................................................


   จันทร์ใกล้ดับ ความตึงเครียดในวังพุ่งถึงเกือบขีดสุด แทบจะไม่มีใครเดินไปในมาไหนได้เพียงลำพัง

   แม้แต่ศาลาริมน้ำที่หลี่ไป๋เคยไปตรวจตราทุกวัน เขาก็ไม่กล้าที่จะย่างกรายเข้าไปใกล้อีก หนึ่งคือเพราะหน้าที่ของเขาที่จำต้องประกบหงฟี่ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น กวดขันตรวจตรารอบบริเวณวังให้แน่นหนายิ่งขึ้น และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เขาตั้งใจที่จะไม่ไปพบหน้าเป้ยหมิงอีกแล้ว

   ในสถานการณ์เช่นนี้เป้ยหมิงก็คงไม่สามารถที่จะลอบออกมาหาเขาได้เช่นกัน คาดว่าบรรดาอาคันตุกะจากป๋ายเซว่คงอึดอัดอยากกลับแคว้นกันเต็มทนแล้ว... และนี่ก็เป็นเหตุผลเดียวที่หลี่ไป๋ใช้ปลอบใจตัวเองได้ ว่าเขาต้องอดทนอีกแค่ไม่นานเท่าไรเป้ยหมิงก็จะต้องกลับแคว้น และความทรมานทั้งหมดนี้จะได้สิ้นสุดลงเสียที

   ฝ่าเท้าที่ย่ำอยู่กลางราตรีหยุดกึก... หัวใจเผลอบีบแน่นอย่างห้ามไม่ได้

   แต่แล้วในความเงียบงันนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาไกลๆ   หลี่ไป๋ชะงักนิ่ง ปลายประสาทคมกริบ เตรียมพร้อมรับอันตรายทุกชนิดที่กำลังใกล้เข้ามา

   มือขวาเลื่อนลงไปอยู่ตรงด้ามดาบ รอจังหวะให้ฝีเท้านั้นใกล้เข้ามาแล้วเขาจะได้จัดการ...

   “ท่านหลี่ไป๋...!”

   ชะงักตัวเองเกือบไม่ทันเมื่อหันหลังขวับกลับไปหา เกือบชักดาบออกมาฟาดร่างตรงหน้าเสียแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย

   ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งสติไม่ทัน เพียงได้เห็นหน้าคนตรงหน้าชัดๆอีกครั้งก็เหมือนกับถูกช่วงชิงลมหายใจไปเสียแล้ว

   “ท่านหลี่ไป๋... ท่านหลบหน้าข้าทำไม...”

   ใบหน้างดงามที่แฝงความเศร้าอยู่เป็นนิจของเป้ยหมิงคราวนี้กลับระเบิดความเจ็บปวดออกมาอย่างไม่ปิดบัง... หลี่ไป๋ทนดูไม่ได้ แม้ว่าจะนึกเป็นห่วงคนตรงหน้าสุดใจก็ตาม

   “ท่านออกมาเดินทำไมขอรับ ท่านก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้อันตราย---”

   “ท่านไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย”

   หลี่ไป๋เถียงไม่ออก ได้แต่กล้ำกลืนน้ำขมลงไปในคอ

   “ท่านรออยู่ตรงนี้นะขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปตามทหารให้ไปส่งท่านกลับตำหนัก”

   “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าข้าจะพูดกับท่านให้รู้เรื่อง”

   “แต่ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับท่านแล้วขอรับ”

   หันหลังกลับคิดจะเดินหนี กลัวจะแพ้ใจตัวเองหากต้องยืนอยู่ตรงนี้นานกว่านี้... แต่ผละก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกมือของเป้ยหมิงดึงข้อมือเขาเอาไว้ได้เสียก่อน

   “แต่ข้ามี!” น้ำเสียงนั้นร้อนรนยิ่งนัก “...ได้โปรดตอบข้ามาเถิด เกิดอะไรขึ้นหรือหลี่ไป๋”

   “ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะขอรับ”

   “ไม่จริง! ถ้าไม่มีอะไรทั้งนั้นแล้วท่านจะหนีหน้าข้าทำไม” เป้ยหมิงพยายามเดินวนมามองหน้าเขาให้ได้ “...หรือเฉินซื่อมาพูดอะไรกับท่าน”

   “ต่อให้เฉินซื่อมาพูดอะไรกับข้า ข้าก็เป็นคนตัดสินใจเองขอรับ”

   “อะไร? แปลว่าเป็นเพราะเฉินซื่อจริงๆใช่ไหม... ข้าจะไปจัดการ---”

   “ก็ข้าบอกท่านแล้วไงขอรับ ว่าข้าเป็นคนตัดสินใจเอง”

   พลันนั้นเป้ยหมิงก็เงียบไป ในสายตาเต็มไปด้วยความงุนงงและรวดร้าวเสียจนน่าสงสาร

   “ตัดสินใจ... ตัดสินใจอะไร”

   “เรื่องของเรา ให้มันจบลงเพียงเท่านี้เถิดขอรับ”

   ริมฝีปากเป้ยหมิงแห้งผาก หายใจแรงอย่างใจสลาย “ทำไม.... บอกเหตุผลกับข้าได้ไหม”

   “ข้า... ข้ามาคิดๆดูแล้ว... ข้าไม่คู่ควร”

   “ไม่คู่ควรเช่นไร? บอกข้ามาสิ!” เป้ยหมิงก้าวเข้ามาดึงเสื้อเขาไว้แน่น “ท่านอายหรือที่จะบอกใครๆว่าเรารู้สึกอย่างไรต่อกัน แต่ข้าไม่อาย---”

   “ท่านแน่ใจหรือว่าเราคิดเหมือนกัน”

   องค์รัชทายาทที่ละล่ำละลักคำพูดอยู่นั้นถึงกับชะงักกึก ใจหายวาบ แทบไม่เชื่อหูว่าเพิ่งได้ยินสิ่งใด

   “แปลว่าอะไร... แปลว่าข้าคิดไปเองฝ่ายเดียวหรือ”

   “ข้าฆ่าคนมาแล้วนับร้อย คนทั้งแผ่นดินโจวคิดว่าข้าสังหารองค์จักรพรรดิ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ข้าเล่ามาเป็นความจริง? แล้วการที่ข้าใกล้ชิดกับท่านเช่นนี้ ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ฆาตกรเลือดเย็นคนนี้ไม่ได้คิดจะล่อลวงท่าน ขืนใจท่าน วางแผนสังหารท่าน เพื่อความสนุกสนานของตัวข้าเอง...”

   “นั่นมันเหลวไหลทั้งเพ หลี่ไป๋!---”

   สายตาพลันเหลือบไปเห็นทหารยามที่เดินตรวจตราสองนายเดินผ่านบริเวณเข้ามา

   “ทหาร! ช่วยพาท่านเป้ยหมิงกลับไปส่งที่ตำหนัก”

   “หลี่ไป๋! มองหน้าข้า!” เป้ยหมิงจับใบหน้าของเขาให้หันมาสบตาตน “ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนเช่นนั้น!”

   “แต่ทุกคนคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้น!”

   “ใครจะคิดอย่างไรก็คิดไป! แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่---”

   ทหารสองนายวิ่งมาถึงตัวเป้ยหมิงแล้ว ทั้งสองเห็นสถานการณ์ก็รีบดึงตัวองค์รัชทายาทให้หลุดออกมาจากหลี่ไป๋อย่างสุดความสามารถ

   “ตัดใจเสียเถิดขอรับ... กลับแคว้นป๋ายเซว่ของท่านไป”

   “หลี่ไป๋ ท่านอย่าพูดเช่นนี้”

   “ข้าเป็นเพียงแค่เดรัจฉาน... ที่หมายปองดวงจันทร์”

   ความคิดที่วนเวียนอยู่ในจิตใจตั้งแต่ที่ได้พบกันครั้งแรกพลันหลุดปากออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หลี่ไป๋ไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าการเล่นละครตบตาทั้งหมดที่เขาได้ทำมามันพังทลายลงด้วยคำๆนี้  แต่ก็สายเกินกว่าที่เป้ยหมิงจะรั้งเขาเอาไว้ได้อีกแล้ว  ตอนนี้องค์รัชทายาทดิ้นพล่านแต่ก็ไม่อาจจะหลุดจากการจับกุมของทหารทั้งสองนายออกมาได้ดั่งใจ

   “หลี่ไป๋... ท่านหลี่ไป๋... ท่านไม่ใช่---”

   “ลาก่อนขอรับ”

   เป็นคำบอกลาที่เจ็บปวดราวกับจะทำให้สิ้นใจ แต่เขาก็ทำได้แค่นี้... หลี่ไป๋หันหลังกลับ ฝืนเท้าย่ำไปข้างหน้า ทิ้งให้เสียงร้องตะโกนเรียกชื่อเขาค่อยๆถูกทิ้งให้ลับหายไป

   ...จันทร์งดงามดวงนั้น หลุดลอยจากมือเขาไปตลอดกาล





--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ปล.วันคริสต์มาสอีกแว้ววววว
Merry X'mas 2013 ค่ะทุกคนนนนน :กอด1:

ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
บทที่ 19 คืนจันทร์ดับ





   ท้องฟ้ามืดมิด ถึงคืนจันทร์ดับสนิทแล้ว

   ชายคนหนึ่งมองสำรวจฟ้าที่ดาวพร่างพรายผ่านหน้าต่างกรอบไม้เล็กๆ น่าแปลกที่โรงน้ำชาแห่งนี้ยังคงมีคนนั่งชุมนุมกันอยู่ภายใต้เทียนไม่กี่ดวงที่จุดไว้เพียงแค่สลัวๆ เพื่อพรางทหารยามทั้งหลายให้ไม่สงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นภายใน

   หลินไน่นั่งจ้องมองฟ้านิ่งเงียบ ราวกับจะนั่งนับลมหายใจเข้าออกที่เวลาผ่านไปทุกชั่วยาม

   “ตกลงต้องรอให้ถึงเที่ยงคืน หรือต้องรอให้หมดคืนกันแน่”

   ชายร่างใหญ่หนาเคราดกครึ้มกระโชกเสียงถาม หลินไน่หันมาตอบเรียบๆ

   “จบคืนนี้”

   “เราส่งสาสน์ให้ประชาชนทั่วทั้งซานหลงได้รู้เจตนารมณ์ของเราแล้ว เที่ยงคืนคืนนี้เราก็พร้อม!”

   “ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าวู่วาม! เพื่อนของข้ายังอยู่ในวังนั้น”

   “อยู่ดีๆเกิดก็เชื่อใจเพื่อนขึ้นมาเช่นนั้นหรือ เห็นก่อนหน้านี้เจ้ายังโกรธเกลียดเพื่อนของเจ้าอยู่เลย”

   หลินไน่สูดหายใจลึกเมื่อความโกรธแล่นขึ้นมาทันควัน

   “ถึงข้าจะโกรธจะเกลียดเพื่อนข้าเช่นไร... ข้าก็ยังไว้ใจเขา”

   บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ชายอีกเกือบสิบคนที่นั่งๆนอนๆอยู่ในโรงน้ำชาหันมามองการสนทนาอย่างเงียบๆ ท่ามกลางควันยาสูบลอยฟุ้ง

   “ใจเย็นๆเถิดทุกท่าน” ภรรยาเจ้าของโรงน้ำชาคนงามเดินมายุติความตึงเครียดอย่างเฉียบขาด สายตาคมกริบของนางค่อยๆเลื่อนมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเช่นกัน

   “อดใจรออีกเพียงคืนเดียว เพียงตะวันขึ้นจากฟ้า เราก็จะได้รู้ชะตากันแล้ว”

   สิ้นคำของนาง ผู้ร่วมกลุ่มกบฏทุกคนก็แทบจะหันมองนอกหน้าต่างพร้อมกัน... ความตึงเครียดนั้นไม่ได้จางหายไปไหน เพียงแต่มันถูกดูดกลับไปเก็บอยู่ในความเงียบอันทรมานเช่นเดิมเท่านั้น

   มีเพียงหลินไน่ที่ผละสายตาหันมามองกล่องไม้ที่วางอยู่ข้างตัว ได้แต่ลูบมือบนฝากล่องเพียงแผ่วเบา ราวกับจะสื่อสารให้เจ้าของวิญญาณที่ศีรษะหลับอยู่ในกล่องนั้นได้รับรู้ความในใจ

   รออีกเพียงอึดใจเดียว หยาโจวเอ๋ย... แล้วฝันของเราจะเป็นจริง


...................................................................


   เสียงช่องไม้บนประตูเลื่อนเปิดออกเสียงดัง ตั่วหยางสะดุ้งตื่นขึ้น  ถึงได้เห็นว่ามีทหารนายหนึ่งยื่นชุดคลุมให้เขาลอดผ่านช่องกรง

   “ใส่นี่ซะ นี่เป็นคำสั่งจากท่านต้าอ๋อง”

   “ท่านต้าอ๋อง?... ทำไม?”

   “ท่านมีคำสั่งให้นำตัวเจ้าขึ้นไปบนลานตะวันออก เดี๋ยวนี้”

   ตั่วหยางไม่กล้าพูดอะไรอีก มีเพียงความสงสัยที่ครอบงำในจิตใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็ได้แต่หยิบชุดคลุมที่ถูกโยนลงมาบนพื้นขึ้นมาใส่ พยายามตั้งสติหาทางหนีทีไล่จากสถานการณ์นี้

   “ท่านต้าอ๋องยังมีคำสั่งอีกว่า อย่าคิดหาทางหนีหรือทำร้ายทหารที่ถูกส่งมา ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น นี่จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย”

   ยิ่งฟังตั่วหยางยิ่งไม่เข้าใจอะไรมากขึ้น แต่จากถ้อยคำที่ท่องมาอย่างดีนั้นก็รู้ได้ว่านี่ไม่น่าจะเป็นแผนการหรือเรื่องตลกอะไร และเพียงแค่เขาได้ยินคำว่า “การพบกัน” มันก็ทำให้เขาลืมตรรกะเหตุผลไปได้สิ้นแล้ว

   แม้จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย... ก็ดีกว่าจะไม่มีการพบกันอีกเลย

   เมื่อหยิบชุดคลุมนั้นขึ้นมาสวมใส่ ทั้งๆที่ยังไม่มีแสงมากพอจะทำให้เห็นเนื้อผ้าได้ชัด ตั่วหยางก็พลันจำได้ว่านี่คือชุดคลุมของหงฟี่ที่ใส่ในวันฉลองการสถาปนาแคว้นที่พวกเขาไปเที่ยวด้วยกัน เหตุเพราะสัมผัสและกลิ่นของหงฟี่ที่ติดอยู่ทำให้เขามั่นใจได้ว่าเขาจำไม่ผิดแน่

   ประตูห้องขังค่อยๆถูกเลื่อนเปิดออก แสงสว่างที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันค่อยๆพุ่งเข้ามาสู่สายตา พร้อมกับที่เห็นว่าทหารเกือบสิบนายถืออาวุธพร้อมสรรพรอเขาอยู่ตรงประตู เตรียมพร้อมรับมือถ้าเขาจะพุ่งเข้าทำร้ายได้ในทุกวินาที

   ตั่วหยางมองไปรอบๆ... หลี่ไป๋ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้

   เหล่าทหารต่างพากันดูแปลกใจที่เขาไม่มีทีท่าว่าจะต่อสู้ขัดขืน ตั่วหยางค่อยๆก้าวออกมาสู่แสงสว่าง  ก่อนจะถูกทหารนายหนึ่งจับมือเขามัดไพล่หลัง จับตรวนใส่ข้อมือทั้งสองข้างของเขาอย่างแน่นหนา เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนักโทษก็ถูกพาตัวออกมาจากห้องขัง มีทหารเกือบสิบนายล้อมรอบราวกับเขาเป็นฝ่ายถูกอารักขาเสียเอง

   เมื่อได้ก้าวออกมาสู่ระเบียงวังอีกครั้งแล้ว ตั่วหยางถึงได้เห็นว่าคืนนี้นี่เองที่เป็นคืนจันทร์ดับ... เลือดในกายพลันแล่นพล่าน แต่ก็จำต้องสงบสติอารมณ์ไว้  ค่อยๆเดินตามกลุ่มทหารเหล่านี้ไปจนสุดทาง

   หลับตา พยายามนึกใบหน้าของหยาโจวไว้... นึกใบหน้าของคนทั้งหมู่บ้าน... คนทั้งซานหลงที่รอคอยความสำเร็จในค่ำคืนนี้ของเขา

   ทั้งวังเงียบกริบราวกับเป็นสุสาน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆนอกเหนือจากฝีเท้าของพวกเขา ตั่วหยางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกพาไปที่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ลานตะวันออก” คือสถานที่อะไร   ไม่แน่มันอาจจะเป็นลานประหารชีวิตของเขา และตอนนี้ประชาชนทั้งซานหลงอาจจะมารอดูความตายของเขาแล้วก็เป็นได้

   แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น...

   ประตูบานใหญ่ถูกผลักเปิดออกหลังจากขึ้นบันไดมาหลายชั้น ตั่วหยางถึงได้พบคำตอบว่าลานตะวันออกนั้นคืออะไร... แท้จริงแล้วมันคือลานระเบียงกว้างที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีโต๊ะหมากรุกตัวหนึ่งวางอยู่กลางลาน เมื่อมองลงไปจะเห็นทัศนียภาพของนครซานหลงที่กำลังหลับใหลอยู่ภายใต้อ้อมกอดของดวงดาว

   ...และมีหงฟี่ยืนรอเขาอยู่ที่ระเบียงนั้น

   เหล่าทหารปลดตรวนจากข้อมือของเขาออก ปิดประตูลงตามหลังเขา น่าแปลกใจเป็นที่สุดว่าไม่มีทหารคนไหนยืนเฝ้าคอยดูพวกเขาอยู่เลย

   เนิ่นนานที่ไม่มีคำพูดใดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

   คล้ายเป็นความฝัน... ตั่วหยางไม่คิดว่าจะได้เจอหงฟี่อีกครั้ง โดยเฉพาะสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ มันแทบจะเป็นความจริงไปไม่ได้  และแค่เพียงหงฟี่หันหน้ามาสบตาเขาอีกครั้ง ก็ยังดูเหนือจริงเสียเหลือเกิน

   “มีรายงานว่าคืนจันทร์ดับ หากข้ายังไม่จบชีวิตลง กลุ่มกบฏจะปลุกระดมประชาชนให้ลุกฮือเข้ายึดวัง... จริงหรือไม่”

   ตั่วหยางหายใจกระตุก ชะงักงันไม่กล้าตอบความจริง

   “ท่านรู้ได้เช่นไร”

   “แสดงว่าเป็นเรื่องจริง”

   หงฟี่เดินเข้ามาใกล้ มีเพียงแสงโคมเพียงไม่กี่ดวงที่ถูกจุดไว้ตามเสาวังฉายให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย... เพียงแต่แววตาเย็นชานั้นกลับแข็งกร้าว เป็นหงฟี่คนเดิมที่เขาเคยไม่รู้จัก

   “หงฟี่...”

   “ข้าเก็บมีดของเพื่อนเจ้าเอาไว้ให้... ใช้มันเสียสิ”

   หงฟี่หยิบมีดเล่มเดิมที่เขาจำได้ขึ้นใจออกมาจากด้านในเสื้อของตนเอง เห็นด้ามมีดที่แกะสลักตัวอักษรอย่างงดงามว่าหวังหยาโจว มีเล่มเดียวบนโลกหล้า เล่มที่ถูกกำหนดมาเพื่อคืนนี้

   อยู่ดีๆใจก็หายวาบ... นี่หงฟี่เตรียมใจตายแล้วเช่นนั้นหรือ  และมากไปกว่านั้นคือยินยอมตายด้วยน้ำมือเขา ด้วยอาวุธของเพื่อนเขาเช่นนั้นหรือ

   “จะให้ข้า...”

   “ทำภารกิจของเจ้าให้เสร็จสิ้น คืนนี้ทุกอย่างจะได้สิ้นสุดลงเสียที”

   “หงฟี่... ท่านคิดดีแล้วหรือ”

   อยู่ดีๆก็มีแต่ความเงียบงัน... หากแววตาของต้าอ๋องไม่มีแม้แต่การวูบไหวเลยแม้แต่น้อย

   “ข้าคิดดีแล้ว”

   ปมปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย ไม่จำเป็นต้องลอบสังหารอีกต่อไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด ในเมื่อคนตรงหน้ายินยอมพร้อมที่จะตาย จุดจบของเรื่องราวได้ดำเนินมาง่ายดายถึงเพียงนี้

   แต่ทำไมเล่า... เขาถึงตัดใจทำไม่ลง

   “รออะไรอยู่ล่ะ? นี่ข้าจะเป็นศพแรกของเจ้าหรือ”

   “ใช่...”

   “ไม่น่าเชื่อ...” หงฟี่รำพึงแผ่วเบา “...ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางเลือกแล้ว”

   ต้าอ๋องชักมีดออกมาจากฝัก หันมีดขึ้นในตำแหน่งที่จะปักลงกลางหัวใจ   ทันใดนั้นตั่วหยางก็พุ่งกระโจนเข้าไปหา จับด้ามมีดและมือหงฟี่เอาไว้ในมือตน

   “หงฟี่ อย่า!”

   “ทำไม? เจ้าจะห้ามข้าไว้ทำไม... ในเมื่อเจ้ามาหาข้าก็เพื่อการนี้ไม่ใช่หรือ”

   ตั่วหยางแย่งมีดเล่มนั้นกลับมาไว้ในมือตนได้สำเร็จ ผละตัวออกมาหอบหายใจลึก

   “ไม่ใช่... ไม่ใช่แบบนี้”

   “งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง...”

   ชายกบฏยังคงเหนื่อยหอบ หัวใจเต้นรัว ไม่มีสติจะคิดว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่

   “ทำไม... ทำไมท่านถึงตัดใจ ทำไมถึงยอมตายได้ง่ายดายเช่นนี้”

   “ข้าเข้าใจเหตุผลของท่านพี่รองแล้ว”

   ตั่วหยางเงยหน้าขึ้นมาสบตา... แต่สิ่งที่เห็นจ้องมองกลับมามีเพียงความว่างเปล่าอันไร้หัวใจ หงฟี่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง

   “จำเรื่องตำนานมังกรปฐพีได้ไหม... สองพี่น้องนั้นไม่ต่างอะไรจากพี่ข้า เพียงแต่แทนสาวงามที่ถูกแย่งชิงแท้แล้วคือบัลลังก์ที่ว่างเปล่า และการถูกเนรเทศก็คือความตายของทั้งสอง”

   คนฟังนิ่งเงียบ ไม่คิดว่าอยู่ๆหงฟี่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

   “มีคนลือกันว่าข้าเป็นคนฆ่าท่านพี่รองเพื่อจะได้ขึ้นเป็นอ๋อง” หงฟี่พ่นลมหายใจอย่างนึกสมเพช “หึ... ถ้าข้าทำเช่นนั้นแล้วข้าจะได้อะไร?”

   “แล้วเรื่องจริงมันเป็นเช่นไร”

   “การเป็นอ๋องสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการแล้วก็เป็นเพียงคำสาป” คำพูดอันเย็นเยียบนั้นขมขื่นนัก “ท่านพี่รองเพียงแค่อยากเอาชนะท่านพี่ใหญ่ อย่างเช่นที่ทั้งสองเคยเข่นเขี้ยวกันมาตลอด... แต่เมื่อบัลลังก์ตกมาถึงมือตนแล้ว ท่านพี่รองถึงได้เข้าใจความจริงข้อนี้”

   ในแววตาของหงฟี่... ภาพของท่านพี่รองในคืนสุดท้ายได้กลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง

   “ท่านพี่รองจะตรอมใจตายด้วยความเสียใจที่ฆ่าท่านพี่ใหญ่ก็ทำได้ แต่ท่านกลับเลือกจะใช้มีดสั้นเสียแทน”

   มีดสั้นที่สลักชื่อหยาโจวเงาปลาบ สะท้อนแสงโคมเป็นประกาย

   “ข้าอยู่กับเขาตอนที่สิ้นใจ...”

   ทั้งลานกว้างปกคลุมด้วยความเงียบ ตั่วหยางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

   “ท่านบอกเรื่องนี้แก่ข้าทำไม”

   “ตอนนี้ข้าเข้าใจเหตุผลของท่านพี่รองแล้ว ...สิ่งเดียวที่ข้าจะทำประโยชน์ให้แคว้นนี้ได้ ก็มีเพียงแต่ต้องตายเท่านั้น”

   “หงฟี่...”

   “ลงมือซะ! ลงมือเดี๋ยวนี้...” พลันหงฟี่ตะคอกเสียงกร้าว “...ฆ่าอ๋องทรราชของเจ้าซะ ก่อนที่ทั้งซานหลงจะลุกเป็นไฟเมื่อตะวันขึ้น... ฆ่าข้าซะ ก่อนที่ข้าจะลืมเจ้า”

   “อย่าพูดเช่นนั้น!”

   “เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าลืมเจ้าเองมิใช่หรือ”

   “ข้า...”

   ชายกบฎหมดเรี่ยวแรงเสียจนเข่าทรุดลงกับพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงจุดนี้คงไม่มีทางออกใดอีกแล้วนอกจากที่เขาต้องเสียสละสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อหยุดยั้งมหาโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้

   จำต้องเสียสละ... หัวใจที่ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไป

   “ข้าขอถามท่านหนึ่งคำ... ที่ท่านเคยขอพาข้าไปที่ไหนก็ได้ในโลกหล้า ท่านยังจะอยากพาข้าไปอยู่ไหม”

   ในความเงียบงันนั้น หงฟี่ค่อยๆทรุดเข่าลงนั่งตรงหน้าเขา

   “อยากสิ”

   “ท่านอยากจะพาข้าไปที่ไหน”

   “แล้วแต่เจ้า...  ทุกที่ที่เจ้าอยากจะไป”

   “แม้ว่าท่านจะรู้ ว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหนเราจะไม่มีวันรักกันได้อย่างนั้นหรือ”

   หงฟี่เงียบไป เพียงอึดใจก่อนที่จะเห็นว่าน้ำตาหยาดบางกำลังไหลลงอาบหน้าตั่วหยาง

   “ใช่...”

   “มีที่ที่หนึ่ง... ที่ไม่ใช่ภพนี้”

   คนฟังนิ่งเงียบ   ไร้สรรพเสียงใดในซานหลง... บัดนี้หงฟี่รู้แล้วว่าตั่วหยางกำลังคิดสิ่งใด

   ใบหน้างดงามที่ไม่เคยเปลี่ยนนั้นเงยขึ้นมามองเขาทั้งน้ำตา

   “...ท่านยังจะพาข้าไปอยู่ไหม?”

   ตั่วหยางสิ้นแรงทรุดลง ทั้งร่างโยกไหวเพราะแรงสะอื้น น้ำตามากมายที่ไม่รู้ว่าเอ่อล้นออกมาจากที่ใดยังคงไหลทะลักท่วมท้นออกมาไม่ขาดสาย หงฟี่ได้แต่ประคองร่างตรงหน้าไว้ พาลมีหยดน้ำเย็นๆไหลออกมาจากหางตาของเขาเช่นกัน

   ไม่เสียใจ ที่ต้องพูดคำนี้ออกไป

   “ไปสิ... ข้าจะพาเจ้าไป...”

   มีเพียงความเงียบสงัดชั่วอึดใจ ก่อนที่ตั่วหยางจะระเบิดเสียงร้องอันเจ็บปวดออกมาดังก้อง... ดังพอที่จะปลุกชาวเมืองซานหลงให้ตื่นขึ้นได้ เป็นเสียงร้องจากใจที่แตกสลาย จากวิญญาณที่รู้ตัวว่าค่ำคืนนี้คือคืนสุดท้าย

   หงฟี่ได้แต่กอดนักโทษผู้นี้ไว้ กอดดวงใจของตัวเองที่อยู่ในร่างของคนๆนี้

   อยากจะนั่งอยู่ด้วยกันเช่นนั้นเนิ่นนาน... แต่ก็รู้ว่าเวลามีแต่ต้องดำเนินไป

   ได้ยินเสียงฝีเท้าทหารยามมากมายวิ่งกรูกันใกล้เข้ามาที่ลานแห่งนี้  ทหารทุกคนคงจะรู้ตัวจากเสียงร้องของเขาเมื่อครู่  และเมื่อได้ยินเสียงตะโกนสั่งการของหลี่ไป๋ที่คุ้นเคยดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆพร้อมๆกับเสียงฝีเท้าหลายสิบคู่   ตั่วหยางถึงได้รู้ว่าหงฟี่คงเตรียมใจไว้แล้วจริงๆ ถึงขั้นวางแผนกันหลี่ไป๋ให้ออกไปตรวจตราที่อื่นเพื่อไม่ให้แผนการนี้ถูกขัดขวางได้   

   ทั้งสองมองหน้ากันในแสงสลัวราง หงฟี่จับมือตั่วหยางที่ถือมีดอยู่ให้กำด้ามแน่นสนิท มืออีกข้างเสยผมสีดำขลับที่ตนหลงใหลให้ได้มองเห็นใบหน้างดงามได้ชัดยิ่งขึ้น

   “ให้ข้าไปก่อน...”

   หงฟี่เอ่ยเพียงสั้นๆ... เวลาใกล้หมดลงแล้ว   ตั่วหยางทำได้เพียงดึงหน้าอ๋องที่ตนเคยชิงชังลงมารับจุมพิตหวานเป็นครั้งสุดท้าย มอบความรู้สึกทั้งหมดให้แบบที่ไม่เคยให้ใคร

   วูบหนึ่งเขาคิดถึงเด็กสาวผู้ร่าเริงที่รอคอยเขาอยู่ที่หมู่บ้าน... ความรู้สึกผิดวิ่งแล่นเข้ามากระแทกอกเมื่อนึกได้ว่าเคยให้สัญญากับนางไว้ ว่าให้นางเก็บรักษาใจของเขาให้ดีๆจนกว่าเขาจะกลับมา... แต่ในตอนนี้ เขาเพิ่งมารู้ตัว ว่าใจเขาไม่ได้อยู่ที่นางมานานแสนนานแล้ว

   หากเขาจะกล้าหาญ ยอมรับความจริงข้อนี้ตั้งแต่ต้นได้ก็คงดี...

   เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาอีก ผละใบหน้าออกมาจากจุมพิตเพียงเล็กน้อย... ในแววตาของหงฟี่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความกลัว ไม่มีแล้วความขมขื่น มีเพียงแค่ความอาลัยรักเพียงเท่านั้น

   หงฟี่หลับตาลง คล้ายเป็นสัญญาณให้เขา

   ฟาดมีดลงมาสุดแขน หงฟี่ตัวแข็งทื่อ เขาได้ยินเสียงโลหะจมลงไปในเนื้อ เห็นเลือดสีแดงฉานทะลักกระฉูดจากอกซ้ายออกมารุนแรง สาดละเลงบนใบหน้าของเขา จบสิ้นกันแล้ว จบสิ้นกันที...

   แต่คราวนี้ ภาพที่เกิดขึ้น... คือความจริง

   ประตูใหญ่เปิดผาง ทหารคนแรกที่บุกอยู่ตรงหน้าประตูนั้นไม่ใช่ใคร  หลี่ไป๋กวาดสายตามองภาพตรงหน้า ตกตะลึงที่เห็นนายเหนือหัวของตนอยู่ในอ้อมกอดของชายกบฏ เลือดพุ่งทะลัก แน่นิ่งสิ้นลมหายใจ

   “เจ้า! หยุด!”

   ตั่วหยางหันมามองช้าๆ มีเพียงคราบน้ำตาเพียงจางๆ เอ่ยเพียงประโยคที่จำได้ขึ้นใจ

   “โทษของกบฏคือความตาย”

   จบคำนั้น มีดที่ยังเงื้อสุดแขนนั้นก็ฟาดลงมาอีกครั้ง... หลี่ไป๋ตะโกนร้อง แต่ก็ไม่ทันเลือดมหาศาลที่พุ่งออกมาจากอกของชายกบฎ ตั่วหยางสำลักเลือดที่พุ่งสวนลำคอขึ้นมา ไม่คิดว่าความเจ็บปวดในห้วงสุดท้ายของชีวิตจะมึนชาถึงเพียงนี้

   ภาพที่เห็นค่อยๆถูกยืดออกไปอย่างช้าๆ ตัวของเขาค่อยๆล้มลงคว่ำหน้ากับพื้น ซบลงไปกอดบนร่างของหงฟี่ที่นอนแน่นิ่งบนทะเลสีแดงฉาน   เห็นเท้าของหลี่ไป๋ที่รีบวิ่งพุ่งเข้ามาหาพร้อมๆกับฝีเท้าของทหารอีกนับสิบคน แต่กลับเป็นว่ายิ่งพวกเขาเร่งฝีเท้าเท่าไรก็กลับวิ่งช้าลงเท่านั้น

   ตั่วหยางหลับตาลง... ภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้ว

   ต่อจากนี้จะเป็นการเดินทางของเขากับหงฟี่ เพียงสองคนเท่านั้น ไปทุกที่ที่เขาอยากจะไป

   ตามหาแม้เพียงภพหนึ่ง... ภพเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะได้ครองรักกันชั่วนิรันดร์








-----------------------------------------------------------------------------------------------------------


บทหน้าอวสานจ้ะ

สวัสดีปีใหม่ 2014 จ้าาาา :D


ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย



   ใบไม้ใบสุดท้ายร่วงหล่นจากซานหลง

   งานพิธีศพของต้าอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ ในวังจัดเตรียมงานให้อย่างเต็มที่ ส่วนประชนชนก็ไว้ทุกข์ให้ตามธรรมเนียม ...แต่ถึงกระนั้น ก็เป็นที่รู้กันดีโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยว่าเหตุการณ์นี้นำความปิติยินดีมาให้ราษฎรมากมายเพียงใด

   กบฏไร้นามผู้นั้นกลายเป็นวีรบุรุษให้เล่าขาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใครหรือหน้าตาเป็นเช่นไร... รู้แต่เพียงว่าศพของเขาก็ถูกจัดการภายในวังเช่นเดียวกัน

   เหล่าอาคันตุกะจากป๋ายเซว่เลื่อนกำหนดกลับไปอีกจนกว่างานพิธีศพจะสิ้นสุดลง  ส่วนองครักษ์เอกของหงฟี่ก็ถูกย้ายตำแหน่งให้มาเป็นองครักษ์เอกของพระมเหสี... หรือที่คณะขุนนางได้ตัดสินใจแก้ไขกฎมณเฑียรบาลใหม่ให้สตรีสามารถขึ้นครองแคว้นเป็นอ๋องคนต่อไปได้

   เมื่องานพิธีศพสิ้นสุดแล้ว งานขึ้นครองราชย์ก็ถูกจัดขึ้นในวันต่อไปในทันที อ๋องหญิงโหม่วซาขึ้นรับตำแหน่งบนบัลลังก์ที่หงฟี่เคยนั่ง ได้สวมมงกุฎที่อดีตสวามีเคยสวม

   หลี่ไป๋ยืนอารักขานิ่งอยู่เบื้องหลัง จิตใจเลื่อนลอยว่างเปล่าไม่ได้ฟังถ้อยคำแถลงจากอ๋องคนใหม่... ไม่ได้ฟังว่าสถานการณ์แคว้นต่างๆในแผ่นดินโจวเริ่มแข็งข้อ ราชการหลวงเริ่มระส่ำระส่าย ไม่ได้ฟังว่าแคว้นเล็กแคว้นน้อยเข้าทำศึกสงครามกันจนแตกพ่ายถูกกลืนกินไปแล้วมากมายเท่าใด...  สิ่งที่มีอยู่ในจิตใจเขาในขณะนี้คือความว่างเปล่า   สูญเสียเป้าหมายในชีวิตเมื่อนายเหนือหัวคนที่สองลาจากโลกนี้ไป

   ...และยังดวงใจของเขาอีก เขาคงต้องเสียเป้ยหมิงไปแล้วตลอดกาล

   แต่พลันนั้นก็มีใครบางคนสะกิดข้างหลังของเขาเบาๆ หลี่ไป๋แทบไม่ได้ขยับไปมอง แต่ก็มารู้สึกตัวว่ามีทหารชั้นผู้น้อยยื่นม้วนสาสน์ม้วนเล็กยัดใส่มือของเขา กระซิบเบาๆว่าสาสน์นั้นมาจากใคร

   ทหารองครักษ์เอกยิ่งแน่นิ่ง แทบไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน

   แอบเปิดอ่านกระดาษแผ่นน้อยเพียงแผ่วเบา... ไม่มีใครอื่นเห็นว่าข้อความนั้นคืออะไร ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขาในขณะที่อ่าน  และในขณะเดียวกันหลี่ไป๋เองก็มองไม่เห็นใคร ไม่ได้ยินสิ่งใด...

   ไม่ได้ยินว่าอ๋องคนใหม่ ตัดสินใจรวมแคว้นซานหลงเข้ากับแคว้นสุ่ยเหลียงอันเป็นบ้านเกิดเดิมของนาง ด้วยเหตุผลทางการปกครองว่าการรวมแคว้นจะทำให้แข็งแกร่งยิ่งกว่า ต้องพร้อมที่จะรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เกินกว่าที่จะรับมือได้ทัน

   ไม่มีอีกแล้ว ใบไม้ที่ร่วงหล่นจากซานหลง... เพราะซานหลงได้ร่วงหล่นหายไปกับใบไม้นั้นเช่นกัน


...................................................................


   ม้าสีน้ำตาลอ่อนวิ่งเหยาะใกล้เข้ามา หญิงสาวที่นั่งรออยู่หน้าหมู่บ้านเงยหน้าขึ้น ถึงได้เห็นว่าผู้มาเยือนนั้นคือผู้ที่จากไปเมืองหลวงเมื่อเดือนก่อน

   เพียงแค่นั้น เหล่าเด็กน้อยในหมู่บ้านก็พากันวิ่งกรูกันออกมา ส่งเสียงเรียกกระจองอแงถึงพี่ชายใจดีของพวกเขา ในขณะที่หญิงสาวก็ลุกขึ้นยืนรอด้วยใจจดใจจ่อ มองหาม้าอีกสองตัวที่จะวิ่งตามมา

   ...แต่ก็ไร้วี่แวว

   ชายที่กลับมามีเพียงแค่หลินไน่ บนม้าตัวเดิมที่ดูเหนื่อยล้า ในมือหนึ่งกอดกล่องไม้เอาไว้แน่น...   บัดนี้ไม่เหลือรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้าของชายผู้นี้อีกแล้ว ไม่แม้แต่จะทักทายกับเด็กๆที่เข้ามากอดแข้งกอดขาเขาอย่างดีใจ

   และเพียงแค่ไหนจื่อเห็นสีหน้าโศกเศร้าของเขานั้น รอยยิ้มของนางก็ค่อยๆหายไปจากหน้า... เข้าใจได้ไม่ยากว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร

   ไม่ต้องมีคำพูดจาใดๆ... หลินไน่เอื้อมมือลงไปในเสื้อ หยิบสร้อยหินสีแดงเส้นหนึ่งออกมา

   ...เป็นหินที่เย็นเยียบ ไร้ค่า เมื่อเจ้าของไม่ได้อยู่กับมันอีกต่อไปแล้ว

   หลินไน่เอ่ยคำที่เพื่อนฝากมาคำสุดท้าย ก่อนจะวางหินก้อนนั้นลงบนมือของหญิงสาว

   เพียงแค่นั้น ไหนจื่อก็ทรุดเข่าลงกับพื้น ละเลงน้ำตาให้ไหลท่วมธรณี...


...................................................................


   ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ขอบใบเรือพัดโป่งตามสายลมทะเล พาสำเภายักษ์ลอยออกจากฝั่ง มุ่งหน้ากลับสู่ถิ่นเดิมที่มันจากมา

   ลูกเรือทำงานกันขวักไขว่ดูขะมักเขม้น องค์รัชทายาทเดินฝ่าพวกเขาไปที่หัวเรือ ยืนเฝ้ามองท้องนภายามสายัณห์ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันงดงามยิ่งกว่างานศิลปะชิ้นเอก

   สายลมเย็นที่พัดมาปะทะใบหน้าทำให้ใจสงบนิ่ง เป้ยหมิงหลับตาลง ดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

   ลาก่อน อดีตนครงดงามนามว่าซานหลง... เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต

   หลากหลายเรื่องราวเหลือเกินเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้... เป็นที่ที่เขาได้พบคำตอบ และเป็นที่ที่เขาได้พบคำถาม

   อนาคตจะเป็นเช่นไรนับแต่นี้?

   พลันได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งมาหยุดอยู่เบื้องหลัง ทำให้เป้ยหมิงหันไปมอง... และแล้วคำถามที่มีก็หายลับไปจากใจ
   แค่มีคนๆนี้อยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่จำเป็นต้องถามคำถามนั้นอีกต่อไปแล้ว

   ...เพียงเพราะสาสน์เล็กๆสาสน์สุดท้ายที่เขาตัดสินใจส่งไปให้ในวันขึ้นครองราชย์อ๋องคนใหม่ เป็นสาสน์เล็กๆสาสน์เดียวที่นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา

   บนกระดาษแผ่นน้อยนั้น เขียนไว้เพียงว่า



   “ข้ามิใช่ดวงจันทร์และท่านก็มิใช่เดรัจฉาน
   เราต่างก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน
   เหตุผลเพียงแค่นั้น จะทำให้เรารักกันมิได้เลยหรือ?”




   หลี่ไป๋ไม่พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้ามาใกล้... ชี้มือไปทางริมขอบทะเล ชวนให้ดูเสี้ยวยิ้มของจันทร์ที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาทักทาย
   เป้ยหมิงเอนร่างลงพิงองครักษ์คนใหม่ของตนอย่างแผ่วเบา ยิ้มกลับให้กับจันทร์ดวงนั้น

   และแล้วจันทรา ก็เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง...






อวสาน
剧终
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้

ออฟไลน์ oujoong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สุดยอด เรื่องนี้ กดดันในอกจริงๆ บีบมากๆ

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
เศร้าจริงๆ... แต่ก็ซาบซึ้งใจมาก T^T  :hao5:

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
อ่านรวดทีเดียวจบ  ตอนอ่านก็ลุ้นอยู่ว่าจะมีพลิกล๊อกหรือเปล่า  สรุป...  มันพลิกล๊อคจริงๆด้วย  มาแบบรันทดเศร้าสุดๆ :hao5:  ไอ้เราก็อยากได้ตอนจบแบบแฮบปี้ 

แต่จบแบบนี้ก็ดีค่ะ  เศร้าได้ใจดี  แต่ก็....  น่าสงสารอ่ะ   :mew6: ฮึกๆ  (น่าสงสารคู่เอก)

ขอบคุณที่เอานิยายดีมาลงค่ะ :mew1: :pig4:

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เฮ้อ จบแบบบีบหัวใจจัง จบอย่างนี้ก็คงดีที่สุดของคู่หลัก..มั้ง หน้าที่ กับความรัก บางทีก็ไปด้วยกันไม่ได้น้อ เศร้าอ่ะ

ออฟไลน์ ikoolpaul

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอยยยย ร้องไห้ตาบวมอะ TT TT
จบคู่หลักได้เจ็บมาก
แต่มันคือตอนจบที่สมบูรณ์ที่สุดแล้วเนอะ
ปวดใจตรงหงฟี่บอกว่า
"สิ่งเดียวที่ให้แผ่นดินนี้ได้คือตายอะ"
ใครจะมารู้ความเจ็บปวดของคนที่แบกทั้งแผ่นดินไว้ทั้งที่ไม่เคยอยากทำอะ
ฮื่ออออออ
นิยายดีมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ blackcoriander

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-10
[จากคนเขียน]


จบแล้ววววววววว!!!!!!!!!!!!! >_________________<

จบแล้วนิยายจีนที่(ดอง)เอ๊ย เขียนทิ้งไว้นานมาก  คือเริ่มเขียนตั้งแต่มัธยมปลายมั้ง นี่จบป.ตรีมาจะปีนึงแล้ว (แม่เจ้าาาา!!!)




ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด ถึงจะไม่ค่อยป๊อบเท่าเรื่องอื่นๆ (ฮาาา) แต่ก็ดีใจที่ได้เขียน และดีใจที่มีคนอ่านนะคะ >__< บางทีก็ท้อบ้างอะไรบ้าง แต่เพราะคอมเม้นท์ของทุกคนก็เลยทำให้มีกำลังใจจะต่อให้จบ เย้



ในเมื่อตอนนี้ต้องทำงานหาเงินแล้ว - -a ก็คิดว่าอยากจะส่งสำนักพิมพ์อยู่บ้างแหล่ะค่ะ   ถ้าใครมีสำนักพิมพ์ไหนแนะนำอยากให้ส่งก็โพสไว้ได้ (หรือกระซิบบอกมาก็ได้ค่ะ)

อ้อ สำหรับท่านที่สงสัย เรื่องซานหลงนี้อยู่ในช่วงปลายราชวงศ์โจวของจีนค่ะ ราชวงศ์โจวแบ่งการปกครองเป็นหลายๆแคว้น แต่ละแคว้นปกครองโดยอ๋อง ช่วงปลายราชวงศ์แต่ละแคว้นเริ่มแข็งข้อ ทำให้จบด้วยการที่แต่ละแคว้นห้ำหั่นกันเอง แผ่นดินแตกแยก จนกระทั่งมีผู้รวบรวมทุกแคว้นให้กลับมาเป็นแผ่นดินจีนได้อีกครั้ง นั่นคือ "จิ๋นซีฮ่องเต้" ผู้ก่อตั้งราชวงจิ๋น (ฉิน) ค่ะ

แต่ว่าชื่อแคว้น ชื่อบุคคล เหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง รวมไปถึงตำนานสามมังกรของแคว้น อันนี้แต่งขึ้นเองนะคะ :)

ขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่อยู่ร่วมกันมา หวังว่าจะได้เจอกันในเรื่องหน้าอีก.... สำหรับใครที่เพิ่งอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ลองแวะไปอ่านเรื่องอื่นๆของเราได้นะคะ




ด้วยรักและห่วงใย


จอมยุทธ์ผักชีดำ
(กร๊ากกกก >___<)
Black Coriander ค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
เศร้ามาก T_T เดาตอนจบไว้แล้ว แต่ก็เศร้าอยู่ดี

nightsza

  • บุคคลทั่วไป
จบแบบนี้มันปวดใจ ตายเพราะหน้าที่กับความรักมันไปด้วยกันไม่ได้ แต่ดีใจกับอีกคู่นึงที่สมหวังกันในตอนสุดท้าย ขอบคุณมากๆจ้า ปกติไม่ค่อยได้อ่านแนวจีนเท่าไร พอมาเจอเรื่องนี้ทำให้ติดงอมแงมเลย อ่านรวดเดียวจบ

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 735
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เศร้ามาก มาม่าอืดแล้วอืดอีก
รันทดใจกับคู่เอก
ยังดีที่มีคู่รองมาช่วยหวานกันไม่ให้เรื่องมันเศร้าหนักกว่านี้
สงสารหงฟี่กับตั่วหยางสุด
ตายกันภพนี้ เพื่อรักกันในภพหน้า
ภาษาสวยมากค่ะ อาจจะมีตำนานแทรกมาเยอะหน่อย
แต่โดยรวมแล้วชอบค่ะ แต่งดีมากๆ

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
อ่านตอนจบยิ่งเศร้า น่าจะวางแผนให้เหมือนลอบสังหารแล้วทั้งคู่ก็หนีไปในที่ที่คนไม่รู้จัก
แต่มันก็คงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อเพื่อน จบแบบนี้มันก็ดีทั้งไม่ดี
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆ เรื่องนี้นะคะ

ออฟไลน์ Maxshu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ร้องไห้ น้ำตาท่วมจอเลยค่ะ รักกันมากแต่ก้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เศร้า ขอยกให้เป็นนิยายสุดตราตรึงใจเรื่องแรกเลยค่ะ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
อ่านถึงกลางเรื่องก็พอรู้อยู่แล้วละว่าตอนจบต้องตายกันทั้งคู่แน่  ทำใจไว้แล้วนะ แต่ก็อดที่จะเสียใจไม่ได้

ออฟไลน์ MIwEMInE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Sohso

  • You are my precious thing And I will always love you.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1373
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
น้ำตาไหลเป็นน้ำตกเลย 5555

ออฟไลน์ Aunttk

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เดาได้ว่าจบแบบไหน แต่ก็อ่าน หน่วงจิตดี เรียกน้ำตาเป็นปี๊ปเลย ฮือออออ  :mew6:

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
อ่านไปก็คิดนะว่าบทสรุปเหมาะจะตายไปด้วยกัน แต่ก็อ่านจนจบด้วยเสน่ห์ของเรือง  เฮ้อ แล้วอีกคู่จะเป็นไงนี่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด