: destiny of B ชุลมุนวุ่นนัก..รักของนายตัวบี : Final Game Up 12เม.ย58 จบแล้วครับ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: : destiny of B ชุลมุนวุ่นนัก..รักของนายตัวบี : Final Game Up 12เม.ย58 จบแล้วครับ  (อ่าน 46046 ครั้ง)

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 63rd Game  – vegetables wars on Phu tub berk

เสียงปลุกเตือนจาก iphone ร้องลั่น ปลุกให้ผมกับไอ้บอสตื่นกันมาตั้งแต่  05.30 น. ผมเดินไปปลุกเพื่อนๆทีละห้อง แล้วรีบไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ แล้วก็ปลุกพวกมันซ้ำอีกรอบ ผมกับบอสลงมาข้างล่าง พี่แม่บ้านที่ดูแลโอมสเตย์ก็เตรียมของใส่บาตรซึ่งก็คือข้าวเหนียวไว้ให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว

พวกไอ้เกมส์ไอ้ไบร์ท เริ่มทยอยลงมากันแล้ว พอเปิดประตูหน้าโอมเสตย์ออกมา ฟ้ายังมืดอยู่ ไอ้บัดกับไอ้วินที่เพิ่งลงมาถึงข้างล่างถึงกับสะดุ้ง

“กลับไปเอาเสื้อกันหนาวดีกว่า” ไอ้บัดกลับตัววิ่งขึ้นใบใดกลับไปที่ห้องทันที่ที่ไอเย็นพุ่งเข้า 
“บอกแล้วไม่เชื่อวินเอง” ไอ้วินบ่นสำทับปิดท้ายไป
“วินเอาผ้าพันคอไหม” ไอ้บัดยังมีน้ำใจห่วงตะโกนถามไอ้วินกลับมา
“มีแล้ว” ไอ้วินตอบกลับไปสั้นๆ
“ไอ้บัด หยิบเสื้อหนาวมาเพื่อพี่กับพี่ไบร์ทด้วยด้วย” ไอ้เกมส์ตะโกนฝากให้ไอ้บัดหยิบเสื้อกันหนาวมาเพราะห้องมันอยู่ติดกัน
“ครับพี่” เสียงไอ้บัดตะโกนตอบกลับมา

หมอกสีขาวลอยตัวลงมาต่ำจนถึงพื้นดิน แสงไฟจากเสาไฟฟ้าสีส้ม ตัดแสงมองให้พอมองเห็นได้ออกไปแต่ไม่ไกลมาก ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวตื่นเริ่มทยอยออกมารอใส่บาตรกันแล้ว

“แชด” เสียงไอ้บอสะกดถ่ายรูปจากกล้องมือถือ xperia มันกดถ่ายตอนผมเผลอ
“อ้าวจะถ่ายก้ไม่บอก” ผมหันไปบอกมัน
“แบบนั้นธรรมชาติดี” มันบอกผมแล้วก็เปิดรูปที่เพิ่งถ่ายเสร็จให้ดู

พระสงฆ์เริ่มเดินออกมาบินฑบาตรกันแล้ว พวกเราเข้าแถวหน้ากระดาน และนั่งลงบนเสื่อที่ปูเตรียมไว้เพื่อรอใส่บาตรพระกัน ผมนั่งข้างๆกับไอ้บรูคกับไอ้พลัส

“พลัสใส่ข้าวเหนียวนะ” ไอ้บรูคบอกไอ้พลัสให้เตรียมข้าวเหนียว
“เดี่ยวบรูคใส่กับข้าว”
“อืม” ไอ้พลัสตอบกลับมา
“ตอนรับพรพระอธิฐานดีๆนะ” ไอ้พลัสหันมาบอกไอ้บรูค
“ทำไมวะ” ผมอดสงสัไม่ได้
“ก็นี่เป็นครั้งแรกที่ใส่บาตรด้วยกันอ่ะ” ไอ้บรูคหันมาอธิบาย
“แหม่ น่ารักกันจริงวุ้ย” ผมอดแซวคู่ไอ้บรูคกับไอ้พลัสไม่ได้

ใส่บาตรพระกันเสร็จ พวกเราก็รอรับพรจากพระ เพื่อเป็นสิริมงคลกับพวกเรา ความรู้สึกดีๆ เป็นความรู้สึกอิ่มใจเกิดขึ้นกับพวกเราอย่างบอกไม่ถูก นี่คงเป็นผลจากการทำบุญ ทำความดี จิตใจก็มีความสุข

พวกเราทยอยกันขึ้นมาเก็บของ แล้วก็ทยอยกันไปอาบน้ำ

“แมร่งเย็นขนาดเครื่องทำน้ำอุ่นเอาไม่อยู่” ไอ้คริสบ่นกับไอ้บัดลอยออกมาจากห้องน้ำ
“มรึงก็รีบๆวิ่งผ่านน้ำสิ”  ไอ้บัดเสนอไอเดีย
“สัสกรูไม่ใช่มรึง” ไอ้คริสสบถด่าไอ้บัดข้ามห้องน้ำ เสียงไอ้วินกับไอ้บอลยืนขำกันอยู่หน้าห้องน้ำ
“ก็พวกมรึงอาบคนเดยวมันก็หนาวดิวะ” ไอ้บอสยืนรอคิวอาบน้ำอยู่หน้าห้องเสนอไอเดีย
“จริงเหรอพี่” ไอ้บัดถามเสียงหลงมาจากห้องน้ำ
“จริงดิ” ไอ้บอสตอบมันกลับไป
“บอสอ่ะ ทะลึ่ง” ไอ้วินรีบเบรก เพราะเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเอง
“แกร็ก” เสียงไอ้บัดเปิดกลอน โผล่หน้าออกมา
“ตัวเองมาอาบน้ำกะเค้าหน่อย เค้าหนาว” ไอ้บัดทำหน้าทำตาอ้อนไอ้วิน
“อาบคนเดียวเลย” ไอ้วินตอบไอ้บัดไป แต่ไอ้วินกลับยืนเขินหน้าแดง
“นะ นะ นะครับ” ไอ้บัดยังคงอ้อนไอ้วินต่อไป
“ไปอาบเป็นเพื่อนมันเลย” ไอ้บอสเดินไปดันหลังไอ้วินไปหน้าห้องน้ำไอ้บัด
“ไอ้บอสนะไอ้บอส” ไอ้วินคาดโทษไอ้บอสที่มันทำให้มันเขินหนัก

“ลุยเลย” ผมบอกไอ้บอลและหยักหน้าสงสัญญาณให้ไอ้บอล เพราะผมรู้ว่าไอ้คริสคงไม่กล้าเหมือนไอ้บัส
“ก็อกๆ” เสียงไอ้บอลเดินไปเคาะหน้าประตูห้องน้ำไอ้คริส
“ไอ้บอลอาบเป็นเพื่อนไหมคริส” ไอ้บอลอ้อนไปแล้วครับ
“แกร็ก” ไม่มีเสียงตอบจากไอ้คริส แต่มีเสียงเปิดกลอนประตูห้องน้ำแทน
“ไอ้คู่นี้พูดน้อยต่อยหนักกันจริง” ผมหันไปบอกไอ้บอส แล้วพวกเราก็ยืนรอคิวอาบน้ำกันต่อไป
“จะเร็วขึ้นหรือช้ากว่าเดิมล่ะนี่” ไอ้บอสหันมาบ่นกันผม
“โบ้ทว่าอย่างหลัง” ผมหันไปยิ้มๆตอบไอ้บอส

เก็บของเตรียมออกเดินทางกันต่อ โดยจุดหมายแรกของเราคือแก่งคุดคู้ ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอเชียงคานนัก แก่งคุดคู้เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ที่กั้นขวางแม่น้ำโขง เราเห็นโขดหินยื่นตัวทอดยาวลงไปในแม่น้ำ แต่ยังมีทางพอให้น้ำไหลผ่านไปได้ หน้าน้ำหลากน้ำจะท่วมแก่งหินไปจนหมด

พวกเราลงมาถ่ายรูปกับตัวแก่งกัน และก็ซื้อของฝากที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ มะพร้าวแก้วที่รสชาติหวานกำลังพอดี และเนื้อมะพร้าวสีขาวนุ่มลิ้น ทำให้เป็นของฝากยอดนิยมของที่นี่ ไอ้บูมกับไอ้นัท ไปหอบมะพร้าวแก้วมาทั้งฝากพวกเราและซื้อกลับบ้าน อีกตั้งสิบวันไม่รู้ว่าจะเหลือฝากที่บ้านหรือจะหมดก่อนกันแน่


Cr.รูปภาพ jeerapank-blog,www-manager-co-th,www-websitethaitour-com, คุณบัวหลิน @ พันทิป

พอขึ้นรถกันเรียบร้อย รถบัสนำพวกเราย้อนกลับลงมาตามทางหลวงหมายเลข 201 จนถึง อำเภอเมืองเลย แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 21 มุ่งหน้าสู่อำเภอภูเรือ ต่อไป รถวิ่งไต่ภูเขามาได้ประมาณ 40 กว่ากิโลเมตร ก็เข้าเขตอำเภอภูเรือ รีสอร์ทสวยๆเริ่มมีเรียงลายให้เห็นตามทาง

พวกเราแวะทานมื้อกลางวันที่ภูเรือ เป็นร้านอาหารจานด่วนของคนไทยอีกตามเคยครับ ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ข้าวหมูกรอบ ข้าวหมูแดง ครับเที่ยวนี้เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าครั้งแรก เพราะไอ้เบียร์กับไอ้เบนซ์รับหน้าที่จดออเดอร์ให้พวกเรา

หลังจากเติมพลังให้ร่างกายเรียบร้อย รถบัสก็เลี้ยวขวาพาเราขึ้นภูเรือกัน รถของพวกเรามาจอดที่ผาโหล่นน้อย จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นยอดภูเรือกัน นักท่องเที่ยวมากางเต้นพักเต็มไปหมด เพราะเป็นวันหยุดยาว พวกเราขึ้นไปถ่ายรูปกันบนยอดภูเรือ บรรยากาศสวยมาก ขนาดเที่ยงแล้วด้านล่างยังคงเต็มไปด้วยทะเลหมอก เห็นยอดเขาโผล่สลับขึ้นมาจากทะเลหมอกสวยจนไม่คิดว่าที่นี่เมืองไทย

“พวกมรึงมาถ่ายรูปตรงนี้กัน” ไอบลูชวนพวกเรามารวมกันถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กสำคัญของภูเรือ ป้าย “ยอดภูเรือ” 

พอรวมตัวตามคำชวนของไอ้บลูกันครบ ไอ้เบลกับไอ้เคนตั้งกล้องถ่ายอัตโนมัติเสร็จพวกมันสองคนก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาถ่ายรูป เก็บเป็นที่ระลึกเอาไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยมาเที่ยวกันที่นี่

“พวกมรึงไหว้พระกันหรือยัง” ไอ้บอมบ์ถามพวกเราหลังจากถ่ายรูปเสร็จ
“ยังเลยหว่ะ” ไอ้บาสตอบไอ้บอมบ์กลับไป
“อยู่ตรงไหนวะ” ไอ้ปั๊ปหันมาถาม
“ตรงโน่น” ไอ้บอมบ์ชี้มาที่ซุ้มที่ประดิษฐานพระพุทุธรูปอยู่บนยอดภูเรือ
“ไปกันกราบพระกันพวกมรึง” ไอ้บาสหันมาชวนพวกเรากัน

พวกเราเดินมากราบพระกันพอกราบพระกันเสร็จก็เสร็จภาระกิจ บนยอดภูเรือ รถบัสพาพวกเราลงมาจากภูเรือ รถกลับเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 21 มาไม่นานก็ถึงร้านไวน์ชื่อดัง ชาโตเดอเลย ก่อนจะมุ่งหน้าสู่อำเภอด่านซ้าย


Cr.รูปจาก travel-mthai-com,www-fotorelax-com,www-sarosharesort-com,www-tourismthailand-org
“คุณเบลจะแวะถ่ายรูปกันที่รูปปั้นผีตาโขนไหมครับ” พี่พนักงานขับรถคนที่สองขึ้นมาถามพวกเรา เพราะจริงๆแล้วนอกโปรแกรมแต่แกคงเห็นว่าไหนๆก็มาแล้ว
“ครับ แวะก็ดีครับพี่” ไอ้เบลตอบคนขับรถกลับไปก่อนที่รถจะค่อยๆชะลอความเร็ว

รูปปั้นผีตาโขน ที่อำเภอด่านซ้ายทำรูปปั้นขนาดใหญ่เอาไว้ตอนรับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าตัวอำเภอ

พอเก็บรูปแบบมวลหมู่เสร็จแล้วก็แยกกันถ่ายเดี่ยวถ่ายคู่
“มรึงอย่าทำหน้าน่ารักอย่างนั้นสิ” ไอ้เบรฟบ่นไอ้พาย
“หืมม ทำไมอ่ะ” ไอ้พายที่ยืนอยู่กับรูปปั้นผีตาโขนคิ้วขมวดเข้าหากัน
“ก็กรูเขินที่กรูมีแฟนน่ารัก” ไอ้เบรฟอวยแฟนตัวเองซะงั้น
“งั้นแฟนผมก็น่ารักด้วยสินะครับ” ไอ้บรูคอวยของตัวเองมั่ง
“ก็แน่ละสิก็ฝาแฝดกันนี่หว่า” ไอ้เคนถอนหายใจกับตรรกะของไอ้บรูค

ไอ้พลัสกับไอ้พาย ตัวก็สูงเท่าๆกัน เป็นนักกีฬาว่ายน้ำเหมือนกัน แถมหน้าเกือบจะเหมือนกันถ้าไม่สังเกตุดีๆนี่ทักผิดเอาง่ายๆ

พอถ่ายรูปกันเสร็จก็มุ่งหน้าสู่อำเภอหล่มเก่า รถบัสนำพวกเราเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 2331 มุ่งหน้าตามทางที่คดเคี้ยวขึ้นภูทับเบิก

ภูทับเบิกกับภูหินร่องกล้า จริงๆแล้วเป็นภูเขาลูกเดียวกัน ด้านที่หันมาทางฝั่งเพชรบูณ์เรียกภูทับเบิก ส่วนด้านที่หันไปทางจังหวัดพิษณุโลก จะเรียกว่าภูหินร่องกล้า ทางขึ้นภูทับเบิกเป็นทางที่ลดเลี้ยวไปทางไหล่เขาค่อนข้างชัน สภาพรอบเต็มไปด้วยไร่ผักเมืองหนาวของชาวบ้านแถวๆนี้ ที่เยอะที่สุดคงเป็นกะหล่ำปรี นักท่องเที่ยวนิยมมากางเต้นนอนกัน ภูทับเบิกเริ่มมีชื่อเสียงไม่นานนี้

พวกเราแวะเยี่ยมชมไร่กะหล่ำปลีของชาวบ้านซึ่งเรียงตัวกันสวยงามจนสุดตา ที่นี่แหละครับ ต้นตำหรับของกะหล่ำปลีทอดน้ำปลา รสชาติแอบบออริจินอลต้องที่ภูทับเบิกเท่านั้น

“ไอ้เชี่ยบาส หน้ามรึงใหญ่กว่ากะหล่ำอีก” ไอ้บูมกัดเพื่อนซี้มันดังลั่นไร่กะหล่ำปลี
“สัสบูม ถ่ายไปอย่าพูดมาก” ไอ้บาสเขวี่ยงหมามาด่าไอ้บูมแล้วครับ
“แหม่ๆ คนถ่ายรูปนี่หน้าไม่ใหญ่ ไม่ใหญ่เลย” ไอ้ปั๊ป แซวไอ้บูมแทนไอ้บาส
“แหม่ๆ คนของมรึงออกหน้าแทนเลยนะไอ้บาส” ไอ้บูมเงยหน้าจากกล้องมาแซว ทำเอาไอ้ปั๊ปยืนหูแดงอยู่ตรงนั้น
“ไม่ต้องแซวที่รักกรูเลยมรึง ของมรึงหน่ะเดินมาโน่นแล้ว” ไอ้บาสชี้ไปทางไอ้นัท ที่เดินถือบ็อกโคลี่ดอกโตๆเดินมาโน่น
“ตะเอง เค้าโดนไอ้คู่นี้รุม” ไอ้บูมฟ้องไอ้นัททันทีที่เดินมาถึง
“ใครรุมแฟนผม เดี๋ยวฟาดด้วยบ็อกโคลี่” ไอ้นัทหันมาคู่ไอ้บาสกับไอ้ปั๊ป
“ใครจะกลัววะฟาดมันเดียวมันก็เขวี่ยงกะหล่ำใส่มรึงพอดี” ผมหัวเราะกับไอ้เดียวเป็นเด็กๆของไอ้พวกนี้

หลังจากอิ่มใจกับกับภูทับเบิกเรียบร้อยรถบัสก็พาพวกเราไต่ขึ้นมาที่ภูแผงม้า เป็นภูที่ห่างจากภูทับเบิกมาแค่ 3 กิโลเมตร และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานภูหินร่องกล้า วิวที่มองลงมาคือเห็นภูทับเบิกทั้งหมด เป็นภาพที่สวยงามมากๆ

พอาถ่ายรูปกันบนภูแผงม้ากันเสร็จ ก่อนที่จะทยอยกันขึ้นรถบัส แล้วพวกเราก็เดินทางกันต่อมาที่ตัวอุทยานภูหินร่องกล้า ที่เราจองที่พักไว้และจะใช้เป็นที่นอนในคืนนี้


Cr.รูปภาพจาก thaimisc-pukpik-com,thai-tourismthailand-org,www-chaoswalker-com,www-cosmenet-in-th
.........

ผมกับบอส วิ่งลงไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ที่ที่ทำการอุทยาน ตรงหน้าอุทยานพวกไอ้บรู๊คกับไอ้พลัส ไอ้เบรฟกับไอ้พาย แล้วก็ไอ้บูลกับไอ้บอมบ์ ลงมาถ่ายรูปกันพอติดต่อกับอุทยานเรียบร้อยผมก็เรียกไอ้พวกนั้นขึ้นรถ และมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ขี้มอเตอร์ไซด์นำรถพวกเราไปยังบ้านพักที่จองไว้

บ้านที่จองไว้เป็นบ้านหลังใหญ่สุด ที่รอบตัวบ้านเป็นปีกไม้ บ้านมีลักษณะเหมือนกระท่อมแบบฝรั่ง บ้านพักของอุทยานตั้งอยู่บนสันเขาค่อยๆไล่ระดับลงไป มีอยู่หลายสิบหลัง ผมกับบอสกับพวกเพื่อนๆเอากระเป๋าเข้ามาเก็บภายในตัวบ้านกัน ภายในตัวบ้านแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอนใหญ่ 1ห้องนอนเล็กและ 1 ห้องรับแขก ภายในห้องนอนแต่ละห้องมีห้องน้ำในตัว และมีห้องน้ำส่วนกลางที่ห้องรับแขกอีก 1 ห้อง ภายในห้องนอนมีฟูกเรียงกันเป็นตับมีหมอนกับผ้าห่มเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ

ห้องนอนแรก มีผมไอ้บอส ไอ้บาสไอ้ปั๊ป ไอบูมไอ้นัท ไอ้เบสต์ไอ้แดน ไอ้บิวไอ้ริว
ห้องนอนที่สองมี ไอ้เบนซ์ไอ้เบียร์ ไอ้บรูคไอ้พลัส ไอ้เบรฟไอ้พาย ไอ้บลูไอ้บอมบ์ ไอ้เบลไอ้เคน แล้วก็ไอ้ไปป์
ห้องนอนที่สามมี ไอ้ไบร์ทไอ้เกมส์ ไอ้บีมไอ้โอม ไอ้แบงค์ไอ้อาร์ม ไอ้บัดไอ้วิน ไอ้บอลไอ้คริส

พอเก็บของกันเสร็จ พวกผมก็ขึ้นรถบัสไปเยี่ยมชมสถานที่แรกบนภูหินร่องกล้า นั่นก็คือ ลานหินแตกรถบัสพาพวกเรามาส่งที่ลานจอดรถหน้าฐานพัชรินทร์ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานเท่าไรนัก แล้วพวกเราต้องเดินเท้าเข้าไป ระยะทางประมาณ 300 เมตร พวกเราลงจากรถ ก็เป็นเวลาเกือบจะ 17.00 น.แล้ว

ลานเห็นแตกเป็นลานหินตะปุ่มตะป่ำขนาดใหญ่ มีพื้นทีหลายสิบไร่ แต่ที่เรียกว่าลานหินแตก เพราะมีการแตกตัวของหินเป็นร่องลึกหลายสิบเมตร เป็นริ้วๆไปตลอดแนวลานหิน พวกเราเดินข้ามรอยแตกด้วยสะพานที่อุทยานทำเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวเดินข้าม หลายสิบสะพาน ธรรมชาตินี่ก็สร้างสรรค์อะไรแปลกๆให้เราได้มาเที่ยวชม พวกเราไม่หลงทางเพราะมีป้ายคอยบอกทางเป็นระยะที่อุทยานทำไว้ให้ พวกเรามานั่งพักตรง จุดชุมพระอาทิตย์ตกที่ลานหินแตก เป็นลานหินที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดบนอุทยานเลย

“โคตรสวยเลยหว่ะ” ไอ้ไบร์ทหันมาบอกผม ภาพท้องฟ้าเป็นสีส้มกับพระอาทิตย์ดวงโตสีส้มกำลังหายไปที่ขอบฟ้า
“อืม สวยจริงๆหวะ” ผมตอบไอ้ไบร์ทกลับไป
“แต่ที่สวยจับใจเพราะมากับไอ้เกมส์ใช่ไหมไบร์ท” ไอ้บอสเริ่มแซวไอ้ไบร์ท
“แหม่ๆ ได้ทีแซวเลยนะไอ้บอส” ไอ้เกมส์รีบเบรก
“ใครจะสู้คู่ของคุณได้ครับ หวานกันได้ตลอดเวลา” ไอ้เกมส์แซวคืน

ถูกของไอ้เกมส์มันนะครับ ธรรมชาติสวยงามแต่มันจะจรดลึกลงไปในความทรงจำของเราได้ลึกกว่าก้เพราะเราได้มาชื่นชมธรรมชาตินั้นกับคนที่เรารักแล้วเขาก็รักเรา

พอพระอาทิตย์ลับของฟ้าพวกเราก็กลับมาขึ้นรถบัสที่หน้าฐานพัชรินทร์  พวกเราแวะสั่งมื้อเย็นที่ร้านอาหารชื่อดังบนตัวอุทยานเรียบร้อยแล้วก่อนจะออกมาลานหินแตก ร้านนี้เป็นเจ้าแรกที่เอาแครอทมาต่ำส้มตำ เย็นนี้เราฝากท้องกันที่ร้านนี้ก่อนจะตุนสะเบี้ยงไว้สำหรับแคมป์ปิ้งกันเบาๆในคืนนี้


Cr.รูปภาพจาก travel-mthai-com-blog,www-pixpros-net1,www-weekendhobby-com

พอกลับมาถึงบ้านพัก ไอ้บีมไอ้โอม แล้วก็ ไอ้บิวกบไอ้ริวช่วยกันก่อกองไฟ ที่ทางอุทยานเตรียมสถานที่ที่มีลักษณะเหมือนเตาไว้ให้นักท่องเที่ยวจุดไฟ สำหรับแคป์ปิ้งไว้ จะได้ป้องกันการก่อกองไฟในทีที่ไม่ควรก่อ พวกเรานั่งจิบเบียร์คุยกันถึงเรื่องมหาวิทยาลัยที่อยากเรียน กับเรื่องอนาคตที่อยากเป็นกัน

ที่ภูหินร่องกล้านอกจากจะมีธรรมชาติ ป่าสนที่ขึ้นเฉพาะที่สูงและความประหลาดของลานหินต่างๆให้เราชมแล้ว ที่แห่งนี้ยังเคยเป็นสมรภูมิของคนไทยที่เคยขัดแย้งกันด้วยความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน ระบบประชาธิปไตยกับระบบคอมมิวนิตส์ มีอนุสรณ์สถานต่างๆที่ทำให้เราระลึกถึงความไม่เข้าใจกันของคนในชาติ เพื่อเตือนสติของพวกเราไม่ให้ทำแบบนั้นอีก

Game
See you Next Game



-----------------------------------------------------------------------------

ตอบคอมเมนท์ครับ^^

ตอบคอมเมนท์คุณ kasarus
คุณ kasarus ตามมาเที่ยวกับ บอสกับโบ้ท ด้วยนะครับ ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยนะครับ

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 64th Game  – Hansome mens in Phu hin rong kla

ผมถูกปลุกด้วยหอมฟอดใหญ่จากบอส พวกเราสองคนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ ผมหันตะแครงข้างเข้าหาบอส เอามือข้างขวาคล้องไปที่เอวของบอส บอสค่อยๆประทับริมฝีปากอุ่นๆลงที่ริมฝีปากผมแล้วเม็มขบเบาๆที่ริมฝีปากด้านบนของผม ผมเผยอปากเมมไปที่ริมฝีปากล่างของบอส บอสค่อยๆสอดลิ้นเข้ามา ไออุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย บอสเริ่มเร่งเล้า ผมตอบสนองบอสด้วยลิ้นคืนไปเช่นกัน เราจูบกันอยู่นาน ก่อนที่ผมจะถอนริมฝีปากออก ก่อนที่เราจะหยุดกันไม่อยู่...

ผมค่อยยันตัวลึกขึ้นนั่ง ไอ้บาสนอนกอดไอ้ปั๊ปจากด้านหลังอยู่ที่นอนข้างๆ ไอ้นัทซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนไอ้บูมอยู่ที่นอนถัดไป ส่วนไอ้บิวก็นอนกอดไอ้ริวอยู่ใต้ผ้าห่ม คู่หูอินดี้ไอ้เบสต์กับไอ้แดนก็สวีทไม่แพ้คู่อื่นๆเหมือนกัน

“ไปอาบน้ำกัน” ไอ้บอสบอกผมพร้อมกับคว้ากระป๋าของใช้ในห้องน้ำแล้วลุกขึ้นยืน
“อืม” ผมตอบบอสกลับไป บอสยืนมือมาดึงตัวผมลุกขึ้นเดินเข้าไปห้องน้ำด้วยกัน
“สวีทจังเลยนะพวกมรึงอาบน้ำด้วยกันด้วย” ไอ้บาสแซวพวกเราทันทีที่ก้าวอออกจากห้องน้ำ
“สวีทเชี่ยไร อาบสองคนเร็วดี” ผมแก้ตัวรัวๆ
“คู่มรึ่งแหละไปอาบน้ำได้แล้ว” ผมไล่ไอ้บาสกับไอ้ปั๊ปไปอาบน้ำ พวกมันตื่นกันแล้วแต่ยังไม่ลุกออกจากที่นอน

“บูมครับ นัทครับ บิวครับ ริวครับตื่นได้แล้ว” ไอ้บอสเดินไปเขย่าขาไอ้บูมกับไอ้บิวที่นอนติดๆกัน

“เมื่อกี้ได้ยินใครบอกว่าใครอาบน้ำกับใครวะ” ไอ้เบสต์แซวพวกผมแล้วก็ดันตัวลุกขึ้นนั่ง
“กรูพูดเอง” ไอ้บูมส่งเสียงออกมาจากใต้ผ้าห่ม
“งั้นเราไปอาบด้วยกันบ้างไหมแดน” สิ้นเสียงไอ้เบสต์ก็คว้าข้อมือไอ้แดน แล้วไอ้สองคนก็เดินไปเข้าห้องน้ำด้วยกันตัดหน้าคู่ไอ้บาสกับไอ้ปั๊ปไปแล้ว

พอคู่หูอินดี้ออกมา คู่หูนักดนตรีไอ้บิวไอ้ริวก็ไปอาบต่อ ต่อด้วยคู่หูชมรมเชียร์ ส่วนไอ้คู่หูวงโยมัวแต่จู๋จีอยู่ในผ้าห่มเลยได้อาบเป็นคู่สุดท้าย

……..

ผมเดินไปปลุกห้องอื่นๆ ให้ทำธุระส่วนตัวกัน เพราะวันนี้มีโปรแกรมต้องไปเดินป่าเที่ยวที่ต่างๆบนภูหินร่องกล้ากัน หลังจากทำธุระส่วนตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เก็บของทยอยกันเอาขึ้นรถ เพราะเดินป่าเสร็จก็จะได้ลงจากภูหินร่องกล้าไปจุดหมายต่อไปกันเลย

มื้อเช้าพวกเราคือข้าวต้มทรงเครื่อง ที่สั่งให้ที่ร้านอาหารที่เราไปทานกันตอนเย็นเตรียมไว้ให้ พออิ่มทองเรียบร้อย ก็ขึ้นรถบัสจุดแรกที่พวกเราแวะก็คือ กังหนน้ำ เป็นกังหันไม้ที่ใช้พลังงานในการขับเคลื่อน ที่คนที่มีความคิดต่างในสมัยก่อนสร้างขึ้นมาใช้ประโยชน์จากพลังงานน้ำในการตำข้าว ตัวกังหันเป็นไม้ ตั้งอยู่ริมน้ำตกเล็กๆ มีรางน้ำนำน้ำจากริมหน้ำตกมาป้อนเข้ากังหันเพื่อหมุนมันการตำข้าว ต้องเดินลงมาจากริมถนน เป็นทางเดินที่ไม่ชันมากลงมาประมาณ 100 เมตร

พวกเราถ่ายรูปกันเพราะเป็นน้ำตกเล็กๆที่สวยงาม และกังหันน้ำที่ทำจากไม้อันใหญ่ก็หมุนอยู่ตลอดเวลา ส่งให้สากกับครกไม้อันใหญ่กระทบกันส่งเสียงออกมาก


Cr.รูปภาพ www-huaipaicomputer-com1


“ไอ้เบสต์ไอ้แดนระวังลื่นกันด้วยนะพวกมรึง” ไอ้บอสตะโกนบอกไอ้สองคน ค่อยๆปีนขึ้นไปบนน้ำตก
“เออ” เสียงไอ้เบสต์ตอบไอ้บอสกลับมา

น้ำตกเป็นน้ำตกขนาดเล็กสูงประมาณ 3 เมตร มีที่สามารถเลาะโขดหินขึ้นไปด้านข้างได้ แล้วไอ้สองคนก็ไปยืนบนน้ำตกแล้วก็แอกชั่นท่าฮีโร่ให้ไอ้เบลกับไอ้เคนถ่ายรูปเก็บเอาไว้


Cr.รูปภาพจาก www-huaipaicomputer-com


พอขึ้นมาจากกังหันน้ำ ก็ข้ามฝั่งมาเดินชมโรงเรียนการเมืองและทหาร ที่สมัยก่อนใช้เป็นที่สอนลัทธิขคอมมิวนิสต์ ที่ตรงนี้มองหาได้ยากจากทางอากาศ เพราะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมหนาทึบ มองทะลุลงมาได้ยาก มีกระท่อมที่ใช้เป็นที่เรียนและที่พักทำจากไม้ หลังคาทำจากไม้ที่ทำเป็นแผ่นบางๆเรียงซ้อนกัน



Cr. รูปภาพจาก www-thetrippacker-com,www-huaipaicomputer-com

ฝ่งตรงข้ามโรงเรียนการเมืองและทหาร ก็มีแผงขายของของชขาวบ้านมาตั้งขายกันเรียงราย ส่วนมากเป็นผัก ผลไม้ ดอกไม้กระดาษ แล้วก็ของชาวเขา พอเดินดูโรงเรียนและดูร้านขายของกันเสร็จ พวกเราก็ขึ้นรถมายังจุดสุดท้ายที่พวกเราจะแวะบนภูหินร่องกล้า คือการเดินชมธรรมชาติและป่าที่ทางอุทยานจัดเป็นทางเดินไว้ให้นักท่องเที่ยว

รถบัสจอดที่ลานจอดรถ พวกเราเดินลงมาดูแผนทีที่อุทยานฯจัดไว้ให้บนบอร์ด พอกำหนดเส้นทางกันแล้ว ก็เริ่มเดินกันเลย ทางตัดผ่านโขดหินที่มีน้ำไหลอ่อยๆ ผ่านมาตามหิน แล้วผ่านป่าสนแล้วกมาถึงจุดแรก



Cr. รูปภาพจากคุณ This road is mine @ พันทิป และคุณ ดอกปีป @ พันทิป

ที่เป็นจุดที่ทางเดินแยกออกเป็นสองสาย เป็นโขดหินขนาดใหญ่ที่พวกเราต้องเดินขึ้นไป พอขึ้นไปถึงบนนั้นก็มองเห็นทางเดินแยกออกเป็นสองฝั่ง เราเลือกเดินไปทางซ้ายเพื่อจะไปที่ ลานหินปุ่นเป็นที่แรก ระหว่างทาง มีหินรูปร่างแปลกๆ มีหินก้อนเล็กอยู่ข้างร่างแล้วหินก้อนใหญ่ซ้อนอยู่ข้างบนอีกชั้น รูปร่างคล้ายๆเห็ด 

“ไอ้แบล ถ่ายรูปให้กรูหน่อย” ผมไปยืดทำเท่ห์ เอานิ้วชี้จิ้มไปบนหินก้อนใหญ่ แล้วแอกชั่นทำเป้นยกก้อนหินก้อนนั้นด้วยนิ้วเดียว
“แหม่เทห์เลยนะมรึง” ไอ้เบลแซผมก่อนจะกดชัดเตอร์ถ่ายรูปให้
“กรูบ้าง” ไอ้แบงค์เดินขึ้นมายืนตำแหน่งผม
“อะไรเท่ห์ๆขอให้บอกแบงค์ ใช่ไหม” ผมแขวะมันไป
“ถูกต้องแล้วครับ” มันทำมือคุณปัญญาใส่ผม
“มรึงอ่ะลงไปได้แล้ว ชิ้วๆๆ” มันทำเสียงไล่ผม
“ไอ้ห่า กรูไม่ใช่หมา” ผมด่ามันกลับ ก่อนจะเดินลงมาให้ไอ้แบงค์แอ็คชั่นท่าเท่ห์ถ่ายรูป

ไอ้เบลกับไอ้เคนเลยได้โอกาสเก็บรูปพวกเราจนครบทุกคน


Cr. รูปภาพจากคุณดอกปีป @ พันทิป

เดินมาอีกหน่อยก็เป็นหินก้อนใหญ่สูงสัก 10 เมตร มีทางขึ้ที่พอจะปีนขึ้นไปได้ ไอ้เบลกับไอ้เคนเลยเกิดไอเดีย ให้พวกเราปีนขึ้นไปบนนั้น แล้วมันสองคนก็ตั้งกล้องกับขาตั้งกล้อง ตั้งเวลาถ่ายอัตโนมัต แล้วก็ใส่ตีนแมวโกยขึ้นมาถ่ายรูปกับพวกเรา


 Cr. รูปภาพจากคุณ This road is mine @ พันทิป

ทางเดินตัดผ่านลำธารเล็กๆ ลัดเลาะเข้าไปในป่า จนมาถึงลานหินปุ่ม ลานหินปุ่มเป็นชะงอนผาที่ยืนไปในอากาศ หินที่นี้เป็นปุ่มๆ งอกขึ้นมาจากพื้นแล้วมีเป็นร้อยเป็นพันปุ่มขึ้นเรียงราย พวกเราเดินมาจนถึงสุดหน้าผา ทิวทัศน์ข้างหน้ามองไปได้ไกล มองเห็นทิวขาว ไกลๆเป็นขอบฟ้า ทำเอาพวกเราหายเหนื่อย คุ้มค่ากับการเดินมาเป็นอย่างยิ่ง แล้วมหกรรมถ่ายรูปลงปกนิตยสารดังก็เริ่มต้นขึ้น ทั้งถ่ายแบบเดี่ยว แบบคู่ แล้วก็แบบกลุ่ม




Cr.รูปภาพจาก www-thaiticketmajor-com,www-pixpros-net,www-fotorelax-com


พอนั่งพักดื่มด่ำกับบรรยากาศจนหายเหนื่อยกันแล้ว พวกเราเดินออกมาจากลานหินปุ่ม ก็จะมีป้ายบอกทางให้เราไปยังสถานที่ต่อไปก็คือ ผาชูธง มีทางเดินที่เลาะริมหน้าผามาเรื่อยๆ แต่ทางไม่ได้หวาดเสียวจนน่ากลัว ไม่นานก็มาถึงผาชูธง ผาชูธงเป็นหน้าผาที่สมัยก่อนไว้ปักธงคอมมิวนิสต์ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นธงชาติไทยเรียบร้อยแล้ว และเป็นก้อนหินใหญ่ที่ยื่นออกไปในอากาศพวกเราต้องต่อแถวเรียงหนึ่งปีนขึ้นไป บนก้อนหินมีเสาธงขนาดใหญ่ปักธงชาติไทยเอาไว้ ทิวทัศน์งดงามไม่แพ้ลานหินปุ่ม และจากที่นี่มองเห็นลานหินปุ่ม ทั้งลานได้ชัดเจน แม้จะห่างกันเกือบ 1 กิโลเมตรก็ตาม




Cr.รูปภาพจาก www-klongdigital-com,nun1nattida-blog,www-klongdigital-com


ลงจากผาชูธง พวกเราก็เดินลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงลานหินกว้างและที่นี่ก็มีปืนต่อสู้อากาศยานตั้งอยู่ ใกล้ๆกันมีหลุมกระสุนที่เผยให้เห็นการยิ่งต่อสู้ในอดีตอยู่ใกล้ๆกับปืนด้วย

“ไอ้เบล ถ่ายรูปให้กรูหน่อย” ไอ้แบงค์ตะโกนเรียกไอ้เบลให้ถ่ายรูปให้
“เออ” ไอ้เบลตอบกลับไปแล้วก็ตั้งขาตั้งกล้องถ่ายรูปให้ไอ้แบงค์

ไอ้แบงค์ยืนแอ็คชั่นเป็นแรมโบ้ถ่ายรูปกับปืนกลต่อสู้อากาศยาน แน่นอนว่าอะไรที่เท่ห์อย่างนั้น พวกเราก็ไม่อายที่จะเลียนแบบท่าแอ็คชั่นของไอ้แบงค์ แม้ว่ามันจะยืนค่อนแคะพวกเราอยู่ข้างๆก็ตาม


Cr.รูปภาพจากคุณ "ตับ" @ พันทิป

ทางเดินก็นำเราวกกลับมาตรงลานหินที่แยกเส้นทางออกเป็นสองเล้นทางอีกครั้ง พวกเราค่อยๆเดินกลับมาถึงรถบัส ก่อนจะกลับมากินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารร้านเดิมตรงที่ทำการอุทยาน เป็นมื้อที่ 3 แล้วที่เราฝากท้องกับร้านนี้ แล้วคราวนี้ได้ชิมส้มตำแครรอทที่เป็นต้นตำหรับเจ้าแรกที่นำเอาแครอทมาทำส้มตำเสียที

..........

รถบัสค่อยๆลงจากภูหินร่องกล้าฝั่งจังหวัดพิษณุโลก ลงมาตามทางหลวงหมายเลข 1331 แล้วมาเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข  2013 เพื่อเข้าตัวอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1143 มุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอชาติตระการ เพื่อไปยังจุดหมายแห่งต่อไปของพวกเรา อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ

เลยจากอำเภอนครไทยมาได้ประมาณ 30กว่ากิโลเมตรก็เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1237 ไปอีกไม่ไกล ก็เลี้ยวขวาเข้าตัวอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ พอลงจากรถบัสพวกเราก็ค่อยๆเดินเลาะริมลำธารขึ้นไป เสียงซูซ่าของน้ำกระทบหินดังมาให้พวกเราได้ยิน เดินมาได้ไม่นานก็ถึงน้ำตกชั้นที่ 1 มะลิวัลย์

มะลิวัลย์ เป็นชื่อของน้ำตกชั้นที่ 1 ของทั้งหมด 7 ชั้น ในอุทยานฯน้ำตกชาติตระการ ตั้งชื่อตามนามธิดาท้าวสามลในวรรณคดีไทยเรื่องสังข์ทอง น้ำตกชั้นแรกอยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 200 เมตร เป็นชั้นเดียวที่จะสามารถนำเอาเครื่องดื่ม ขนม อาหารมานั่งกินรอบๆ บริเวณได้ น้ำตกชั้นนี้ ทำหน้าที่เหมือนพนักงานต้อนรับของอุทยานฯ บริเวณโดยรอบร่มรื่น แอ่งน้ำของน้ำตกกว้างขวางใหญ่ สามารถลงเล่นน้ำได้ เพราะมีโซนน้ำตื้นที่ไม่ลึกมากนัก พวกเราจะมองเห็นหน้าผากว้างใหญ่มีสายน้ำพุ่งออกมาจากผาหินสวยมาก พวกเราแวะถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก ก่อนจะมุ่งหน้าสู่น้ำตกชั้นที่ 2



Cr.รูปภาพจาก  บล็อคของคุณ the mynas และคุณ นกสุโขทัย @ พันทิป

กรรณิการ์ เป็นชื่อของน้ำตกชั้นที่ 2 อยู่ห่างจากชั้นแรกประมาณ 400 เมตร เป็นช่วงเส้นทางที่นับว่าชันที่สุดในบรรดาน้ำตกชาติตระการทั้ง 7 ชั้น เส้นทางเดินสูงชันที่ต้องขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ พอสุดขั้นบันไดจะเห็นป้ายบอกทางไปาน้ำตกชั้นที่ 2 หลังจากก้าวพ้นขั้นบันไดมาได้เล่นเอาพวกเรานั่งหอบ แล้วยังต้องเดินลงไปที่ตัวน้ำตกอีกประมาณ 100 เมตร เฮ้อคิดแล้วเหนื่อย เพราะต้องปีนกลับขึ้นมาอีก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินลงไปดู แล้วก็คุ้มากเพราะน้ำตกชั้นนี้สวยมากจริงๆ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ไหลลงมาเรื่อย ๆ ผ่านชั้นเล็ก ๆ ประมาณ 3-4 ชั้นจนมาสู่ด้านล่างของน้ำตก


Cr. รูปภาพจาก student-nu-ac-th

“จะไปต่อกันไหมหรือจะลง” ไอ้วินถามพวกเราเพราะเห็นว่าทุกคนเริ่มเหนื่อย
“เอาไงกันพวกมรึง” ผมสอบถามความเห็นพวกมัน
“แล้วแต่ ไหวก็เดินต่อไม่ไหวก็ลง” ไอ้โอมเสนอความเห็น
“กรูอยากไปต่อนะ ไหนๆก็มากันถึงนี่แล้ว ตามแผนทีจากตรงนี้ไปก็เดินง่ายแล้วนะ” ไอ้เบสต์อยากไปต่อ
“ไปต่อเหอะพวกมรึงอีกนิดเดียวเอง” ไอ้แบงค์ออกความเห็น
“กรูอยากไปต่อ” ไอ้บาสหันมาบอกพวกเรา
“ไอ้วินไหวหรือเปล่า” ไอ้เบลหันไปถาม
“กรูโอเค ไงก็ได้ กรุเห็นว่าเหนื่อยๆกันก็เลยถาม” ไอ้วินตอบพวกเรากลับมา
“งั้นใครอยากไปต่อบ้าง ยกมือ” ไอ้บอสให้ยกมือถามความเห็น ปรากฏว่ายกมือกันเกือบหมด พอนั่งพักจนหายเหนื่อยพวกเราก็ลุยกันต่อ

การะเกด เป็นน้ำตกชั้นที่ 3  น้ำตกชั้นที่สามห่างจากชั้นสองไป 250 เมตร สามารถมองเห็นได้เมื่อยื่นอยู่ด้านล่างน้ำตกชั้นที่สอง น้ำตกชั้นนี้เป็นเพียงน้ำตกเล็ก ๆ ไหลมาตามร่องผาเท่านั้น


Cr. รูปภาพจาก student-nu-ac-th


ตอนนี้ความเหนื่อยลดลงไปเยอะเพราะไม่ค่อยชันเท่าไร แล้วก็มาถึงน้ำตกชั้นที่ 4 ยี่สุ่นเทศ ที่ห่างจากชั้นการะเกดเพียง  110 เมตร เป็นน้ำตกที่ติดลำดับต้นๆของชั้นน้ำตกที่สวยที่สุดในอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ ชั้นนี้น้ำตกจะไหลจากแผ่นหินกว้างเป็นม่านน้ำ


Cr.รูปภาพจาก  บล็อคของคุณ the mynas


เกศเมือง เป็นน้ำตกชั้นที่ 5 ลักษณะของน้ำตกชั่นนี้ลักษณะน้ำตกจะคล้าย ๆ กับน้ำตกชั้นที่ 2 ที่มีการไหลลดหลั่นมาตามชั้นย่อย ๆ แต่ขนาดน้ำตกจะดูเล็กกว่า แต่ความสวยงามก็ไม่แพ้ชั้นที่ 2 เหมือนกัน


Cr. รูปภาพจาก student-nu-ac-th

มาถึงชั้นที่ 6 ชั้นรองสุดท้าย เรืองยศ  เป็นน้ำตกที่ไม่ชั้นมากและดูกระฉับกระเฉงกว่าน้ำตกชั้นอื่น ๆ น้ำที่ไหลลงมาจากแหล่งต้นน้ำไหลมาตีโค้งเหมือนกันเล่นสไลเดอร์ดูสวยงามไปอีกแบบ


Cr. รูปภาพจาก student-nu-ac-th

ทางขึ้นระหว่างชั้น 6 ไปชั้นที่ 7 ไม่ไกลมากนักแต่ก็ชันพอสมควร แล้วเราก็มาถึงชั้นที่ 7 น้องเล็ก รจนา มีขนาดเล็กกว่าใครเพื่อน เพราะเป็นลูกสาวคนเล็กของท้าวสามล นางรจนาเป็นน้องคนเล็ก ก็เลยมีขนาดเล็กกว่าใคร เหนือขึ้นไปกว่านี้มีเพียงลำธารที่ราบเรียบเท่านั้นเอง


Cr. รูปภาพจาก student-nu-ac-th

ปีนขึ้นน้ำตกมา 7 ชั้นระยะทางแค่ 1.5 กิโลเมตร ช่วง 400 เมตรแรกจากชั้นที่ 1 ไปชั้นที่ 2 นั้นเหนื่อยที่สุดเพราะชันมาก แต่ก็คุ้มค่าที่ได้ปีนมาถึงชั้นที่ 7 เพราะมันทดสอบความอึดของพวกเราได้เป็นอย่างดี น้ำตกทั้งเจ็ดชั้นพวกเราใช้เวลาเดินและถ่ายรูป ประมาณ 2.30 ชั่วโมง

พอขึ้นมาบนรถผมดูนาฬิกาก็ประมาณ 16.00 น. ไอ้บัด ไอ้บอล ไอ้คริส ทำหน้าที่เป็นบัสฮอสเตส เดินแจกน้ำอัดลมให้พวกเราที่ซื้อมาก่อนขึ้นรถ รถเริ่มออกจากอุทยานฯน้ำตกชาติตระการ ล้อเริ่มหมุ่นรถเริ่มวิ่ง ลิงทั้ง 31 ตัวก็สลบหมดแรง ตามแผนที่คุยกับพี่คนขับรถไว้แต่แรก รถเราจะวิ่งย้อนกลับมาตามทางหลวงหมายเลข 1237 แล้วมาเลี้ยวขวาผ่านตัวอำเภอชาติตระการไปตามทางหลวงหมายเลข 1143  ล้อเริ่มหมุ่นรถเริ่มวิ่ง ลิงทั้ง 31 ตัวก็สลบหมดแรง  ก่อนจะเลี่ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1246 ไปอีกไม่ไกลก็เลี้ยวขวาอีกทีเข้าทางหลวงหมายเลข 1214 ผ่านอุทยานแห่งชาติคลองตอน แล้วเลี้ยวขวาเข้าเขื่อนสิริกิตที่เป็นที่พักของเราคืนนี้


Cr.รูปภาพจาก panramio คุณNudsikan Kaewjai


เราไม่ได้แวะเข้าที่หน้าเขือนสิริกิต์เพราะ เกือบจะ 17.30 น.แล้ว ที่ที่เราจะไปลงแพ คือเขื่อนดิน เราต้องขับรถอ้อมไปตามริมเขือน  เชื่อนดินเป็นเขือนที่ต้องสร้างเพื่อกันน้ำไหลออกมาอีกด้านที่เป็นที่ต่ำ เขือนดินอยู่ทางด้านซ้ายของหน้าเขื่อนสิริกิตต์ อยู่ที่ บ้านท่าเรือ ตำบลท่าปลา เขื่อนสิริกิต์เป็นเขื่อนที่กักเก็บน้ำใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศและเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดกั้นแม่น้ำน่าน

แพของพวกเรารออยู่ที่ริมตลิ่งเรียบร้อยแล้ว พอขนของลงแพกันเรียบร้อย เรือก็เริ่มลากแพของเราออกไปกลางเขื่อน ในแพมีสิ่งอำนวยความสะดวกผมสมควร มีเครื่องปั่นไฟที่ใช้เครื่องดีเซลเป็นตัวปั่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ให้กระแสไฟกับแพทั้งหลัง มีเตาแก๊ส ห้องครัวขนาดไม่ใหญ่มาก มีห้องน้ำ แล้วก็ห้องเก็บสัมภาระ 1 ห้องที่มีผ้าห่ม หมอน แล้วก็ฟูกนอนแบบพับได้ที่วางเก็บไว้ในห้อง ส่วนห้องนอนก็คือบริเวณโถงแพขนาดใหญ่


Cr.รูปภาพจากคุณ บุณฑริกา@พันทิป


ส่วนมื้อเย็น คุณพี่ชายคุณชายเบนซ์กับไอ้เบียร์ได้สั่งไว้ตั้งแต่เรือยังไม่ลากแพออกมา เดี๋ยวเจ้าของแพ้จะให้เด็กเอามาส่งโดยพาหนะที่จะนำกับข้าวพวกเรามาส่งก็คือเรือหางยาว

เรือลากแพของเรามาผูกไว้ตรงเกาะที่เป็นเนินไม่สูงนัก อยู่กลางทะเลสาบในเขือนสิริกิต์ บรรยากาศเริ่มมืดแล้ว พวกเราเลยยังไม่ลงเล่นน้ำ เอาไว้ค่อยลงตอนเช้าพรุ่งนี้แทน สักพักเรือหางยาวก็เอากับข้าวมาส่งให้พวกเรา


Cr.รูปภาพจาก www-siamfishing-com

หลังจากท้องอิ่ม พวกเราก็มานั่งล้อมวงคุยกันเปิดใจกัน


Game
See you Next Game

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2015 15:30:28 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
ไม่ได้เข้ามาอ่านแป๊ปเดี๋ยว ลงมาหลายตอนเลยนะเนี่ย
อ่านๆไปนึกว่ารีวิวท่องเที่ยวในพันทิป ฮ่าฮ่าฮ่า มีทั้งรูปทั้งรายละเอียดสถานที่
เด็กก็จู๋จี๋ไม่อายกันเองเลย บอกรักกันอยู่นั่นแหละ อิอิ
ตัวละครเยอะมาก อ่านแอบงงตามไม่ทัน หลังๆเขียนบางตัวละครค่อยโอเคหน่อย
คนอ่านที่อายุเริ่มจะเยอะ?? เริ่มตามไม่ทัน ฮ่าฮ่าฮ่า  :laugh:

ออฟไลน์ Spelling_B

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
นักเขียนขยันมาก ข้อมูล ทุกอย่างดีมากนะคะ

ขอบคุณค่ะ  :pig4: :L2:

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 65th Game  – Bicycling at Nan

หลังจากทานมือเย็นแสนอร่อยบนแพกลางเขื่อนสิริกิต์กันเสร็จ พวกเราก็มานั่งล้อมวงกันไอ้อาร์มอยากให้พวกเรารู้จักกันมากขึ้น เพราะมีบางคนที่เพิ่งจะเป็นเพื่อนกันเลยจัดให้เปิดใจกัน โดยที่พวกเราล้อมวงเป็นครึ่งวงกลมกัน

“ออกมาพูดทีละคนนะ คนพูดออกมานั่งตรงกลาง ชิดราวระเบียงกันตก จะได้เห็นหน้ากันทุกคน” ไอ้อาร์มชี้ไปที่เกาอี้ ที่ตั้งอยู่กลางหันหน้าออกมาหาพวกเรา
“พูดแนะนำตัวเอง แล้วก็อนาคตของตัวเองที่อยากจะเป็น พูดได้คนละไม่เกิน 3 นาที”  ไอ้อาร์บอกกติกา
“เริ่มจากใครก็ได้ที่พร้อมแต่ต้องพูดทุกคน แต่วันนี้ขอแค่ 16 คนแรกก่อนเนอะ”
“เราเริ่มก่อนเลยละกัน” ไอ้อาร์มเป็นคนแรกที่เดินไปนั่งเก้าอี้

“เริ่มก่อนเนอะ ได้เปรียบนะ 555+” มันหัวเราะแก้เขิน
“ชื่ออาร์มครับ ชื่อจริง ญาณโชติ มงคลวัฒน์ เป็นลูกคนเดียวครับ”
“ตอนนี้เป็นเลขาของสภานักเรียนครับ โรงเรียนกางเกงสีดำแถวๆสาธรนะครับ”
“เกิด 12 พ.ค แล้วก็ชอบสีชมพูอ่อน ดาราที่ชอบ Robert Pattinson ครับ” มันเอามือขึ้นเกาหัวแก้เขิน
“อยากเรียนเภสัช แต่ไม่รู้จะสอบติดหรือเปล่า”
“ดีใจที่ได้รู้จักกับพวกมรึงนะ”  ไอ้อาร์มพูดจบก็ลุกจากเกาอี้  เสียงตบมือดังขึ้น ไอ้บีมเดินเข้าไปต่อ


“บีมนะครับ อลงกรณ์ ศรพิษณุ ครับ”
“เกิด 9 มี.ค ครับ ชอบสีเหลืองครับ มีพี่ชาย 2 คน บีมเป็นคนเล็กครับ”
“ตอนนี้เป็นสมาชิกชมรมเทนนิสครับ โรงเรียนกางเกงสีดำแถวๆสาธรครับ”
“บีมเล่นประเภทคู่ๆกับไอ้ไบร์ทครับ”
“อยากเรียน นิเทศ ครับ มอไหนก็ได้”
“ดีใจที่สุดก็คงเป็น ติดทีมเทนนิสโรงเรียนครับ” เสียงตบมือดังขึ้น แต่มีเสียงเป่าปากจากไอ้โอมแถมมาด้วย ไอ้บีมลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไอ้ไบร์ทก็เดินเข้ามาเสียบต่อ


“เริ่มเลยนะครับ ไบร์ทครับ” ไอ้ไบร์ทพูดแก้เขิน
“ภัทราวุธ อุดมโชค ครับ ที่บ้านผมมีพี่น้อง 2 คน คนโตเป็นพี่สาว ผมเป็นคนเล็ก”
“เกิด 9 ก.ย ครับ ตอนนี้เป็นสมาชิกชมรมเทนนิส โรงเรียนกางเกงสีดำแถวสาธร”
“ผมเล่นประเภทคู่ครับ คู่กับไอ้บีม”
“อยากเรียน นิติ ถ้าได้มอแถวท่าพระจันทร์ก็ดีครับ”
“ดีใจที่สุดคือได้เกิดมาในครอบครัวอุดมโชคครับ” ไอ้เกมส์เป่าปากตั้งแต่ไอ้ไบร์ทยังพูดไม่จบดี เลยโดนไอ้ไบร์ทเอาค้อนปาหน้าไปหนึงที พอไอ้ไบร์ทลุกไอ้ปั๊ปก็เข้ามานั่งแล้วก็พูดต่อ

   
“ปั๊ป ครับ” “มัชฌิมา ปฏิภาณ ครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมดุริยางค์ โรงเรียนกางเกงสีน้ำตาลแถวถนนพระราม 1 ครับ”
“ผมเล่น ฟลุ๊ตครับ”
“ผมเป็นลูกคนกลางครับ มีพี่ชาย 1 คน มีน้องสาว 1 คน
“เกิด 17 มิ.ย ครับ อยากเรียน คณะดุริยางค์ศิลป์ มอแถวศาลายาครับ”
“ดีใจที่สุดนี่คงเป็นตอนติดวงดุริยางค์โรงเรียนครับ” ไอ้ปั๊ปพูดจบ เสียงตบมือดังขึ้นแล้วไอ้นัทก็เข้าเดินเข้าไปนั่งเกาอี้พูดเป็นคนต่อไป


“บารมี ศีลรักษา ครับ ชื่อเล่น นัท ครับ”
“เกิด 22 ม.ค มีพี่สาว 1 คนครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมเชียร์ โรงเรียนกางเกงสีน้ำเงินแถวๆบางรักครับ”
“อยากเรียน นิเทศ ครับ มออะไรก็ได้ครับ”
“ดีใจที่สุดคงเป็นตอนได้เป็นหัวหน้าชมรมเชียร์ครับ” เสียงตบมือดังขึ้นโดยเฉพาะจากไอ้บูม ไอ้ริวเป็นคนพูดคนต่อไป


“ผมริวนะครับ ดิศษฎา ทิวากร ครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมดนตรี โรงเรียนกางเกงสีดำแถวๆพาหุรัดครับ”
“ผมเล่นดนตรีได้เกือบทุกอย่างครับ แต่ที่ถนัดที่สุดคงเป็น เปียโนกับคีย์บอร์ดครับ”
“เกิด 24 ก.ย ครับ ผมเป็นลูกคนรอง มีพี่ชาย 1 คน น้องสาวอีก 2 คนครับ
“อยากเรียน ดุริยางค์ศิลป์ เหมือนกับไอ้ปั๊ปครับ”
“ดีใจที่สุดคงเป็นตอนชนะประกวดเปียโนชิงถ้วยรางวัลพระราชทานครับ”
“น่าจะมีเท่านี้นะครับ” ไอ้เบลเดินออกมาจากเกาอี้ เสียงตบมือดังขึ้น แล้วไอ้เบลก็เดินเกาหัวแกรกๆเข้าไปพูดเป็นคนต่อไป


“ 555+ ผมเบลนะครับ ฐาภิรัชต์ ธวัชวงศ์ ครับ” ไอ้เบลหัวเราะแก้เขินนำมาก่อนเลย
“เกิด 19 ก.ค มีพี่สาว 1 คนครับ”
“ตอนนี้เบลเป็นหัวหน้าชมรมถ่ายภาพ โรงเรียนกางเกงสีดำแถวๆสาธรครับ”
“อยากเรียน นิเทศศาสตร์ครับ และเป็นช่างภาพมืออาชีพครับ”
“ดีใจที่สุดตอนได้กล้องตัวนี้มาครับ เป็นกล้องที่เก็บตังค์ซื้อเองครับ” ไอ้เบลชูกล้องถ่ายรูปตัวเก่งของมันให้พวกเราดูกัน พวกเราตบมือให้กับไอ้เบล แล้วไอ้แดนก็เป็นคนต่อไป


“แดนครับ เตชธร รัตนศิลป์ ครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมกีฬา X-Game โรงเรียนกางเกงสีน้ำเงินแถวถนนเพชรบุรีครับ”
“ผมเล่น จักรยานผาดโผนครับ”
“เกิด วันปีใหม่ไทยครับ มีน้องชาย 2 คน ผมเป็นคนโต”
“อยากเรียน วิศวะ ครับ”
“ดีใจที่สุดคงเป็นตอนหาเงินได้เองครั้งแรกจากการขี่จักรยานครับ” ไอ้แดนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ไอ้เบสต์ตบมือเสียงดังให้กับไอ้แดน ไอ้แดนก็ยิ้มแบบเขินๆออกมา ต่อไปเป็นไอ้เบียร์ คุณพี่สะใภ้ของผมเองครับ


“คนธีร์ วีรพัฒนชัย  เบียร์ ครับ”
“เบียร์ มีพี่สาว 2 คนครับ เกิด 31 ตุลา วันฮาโลวีนพอดีครับ”
“เบียร์ เป็นหัวหน้าชมรมคหกรรม โรงเรียนกางเกงสีดำแถวๆสาธรครับ”
“เบียร์ อยากเรียน คณะเทคโนโลยีอาหาร หรือไม่ก็คหกรรมศาสตร์ครับ แต่ที่แน่ๆคือยังไงต้องเรียน เลอ กอร์ดอง เบลอ ที่ฝรังเศษ ให้ได้ครับ”
“ดีใจที่สุด ก็คือตอนทำขนมแล้วทุกๆคนชอบครับ” เสียงตบมือดังขึ้น โดยเฉพาะไอ้เบนซ์กับพวกเรา ที่เคยชิมฝีมือไอ้เบียร์มาแล้วว่าอร่อยแค่ไหน


“วิน ครับ หรรษนัย สุวรรณรัตน์ ครับ”
“วินเป็นลูกคนเดียวครับ เกิด 1 มิ.ย ครับ”
“วินเป็นหัวหน้าชมรมวารสาร โรงเรียนกางเกงสีดำแถวๆ สาธรครับ
“วินอยากเรียนคณะ วารสาร มอแถวๆท่าพระจันทร์ครับ
“ดีใจที่สุดเหรอครับ คงเป็นตอนที่ได้เจอไอ้บัดมั้งครับ” ไอ้วินพูดไปเขินไปจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อๆ แล้วก็เริ่มมีเสียงแซวดังไปรอบวง สวนไอ้บัด ก็ทำท่าส่งจูบให้ไอ้วิน ยิ่งทำให้ไอ้วินยิ่งเขินไปใหญ่ ไอ้คริส จะเป็นคนพูดคนต่อไป


“คริส ครับ เฟดเดอริก สมิท ครับ”
“ผมเป็นลูกครึ่งไทย-เยอร์มันครับ”
“ผมเกิดวันที่ 9 ก.พ มีน้องสาว 1 คน
“คริสอยู่ชมรมบาสฯ โรงเรียนกางเกงสีเทาที่บางแสนครับ”
“อยากเรียนอะไร ยังไม่แน่ใจครับ ระหว่าง วิศวะ
 หรือ วิทยา ครับ”
“ดีใจที่สุดก็คงตอนติดชมรมบาสที่โรงเรียนครับ” ไอ้หน้าฝรั่งพูดจบ เสียงตบมือดังขึ้น แล้วต่อไปก็เป็นคิวของไอ้แฝด ที่มันขอออกไปพูดพร้อมกันเลย


“พลัส ลีลภัทร สวัสดิกุล ครับ
“พาย ธีรภัทร สวัสดิกุล ครับ
“เราสองคนเป็นแฝดกันครับ จุดสังเกตพวกเราคือ พลัสมีขี้แมลงวันตงแก้มซ้าย แต่พายไม่มีครับ”
“ผมกับพายเกิดวันที่ 25 ก.ค ครับ”
“ผมเป็นเลขาชมรม ส่วนพายเป็นหัวหน้าชมรมว่ายน้ำ โรงเรียนกางเกงสีเขียวที่ขอนแก่นครับ”
“ผมอยากกับพลัสอยากเรียนคณะ วิทยาศาสตร์การกีฬา มอแถวศาลายาครับ”
“ดีใจที่สุดก็คงได้เป็นแฝดกับไอ้พายมั้งครับ”
“อ้าวไอ้นี่” พายหันไปบ่นไอ้พลัส
“ดีใจที่สุดของผมก็คงเป็นแฝดกับพลัสล่ะครับ” พวกเราตบมือให้ไอ้แฝดหลังจากมันแนะนำตัวกันเสร็จ คิวต่อไปเป็นไอ้บอมบ์


“บอมบ์ครับ ฌานนุวัฒน์ รักษาบุญ ครับ” ไอ้บอมบ์เริ่มแนะนำตัว
“บอมบ์เกิด 17 ธ.ค ครับ มีพี่สาว 1คน”
“บอมบ์เป็นหัวหน้าชมรมแบดมินตัน โรงเรียนกางเกงสีม่วงที่พิษณุโลกครับ”
“อยากเรียนคณะ บริหารธุรกิจ เอกบัญชี ครับ”
“ดีใจที่สุดก็คงเป็นตอนได้แชมป์แบดมินตันเยาวชนภาคเหนือครับ” ไอ้บลูยิ้มหน้าบานตอนที่ไอ้บอมบ์แนะนำตัว พวกเราตบมือให้ไอ้บอมบ์หลังจากแนะนำตัวเสร็จ ผมเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้าไปครับ


“โบ้ทครับ รัชชานนท์ สุขอนันต์ ครับ”
“ผมเกิด 15 ธ.ค ครับมีพี่ชายหนึ่งคนที่เกิดหัวปี นั่งหัวโด่หน้าหล่ออยู่ตรงนั้นครับ” ผมผายมือไปที่ไอ้เบนซ์
“ผมเป็นหัวหน้าชมเทนนิส โรงเรียนกางเกงสีดำแถวสาธรครับ”
“อยากเรียน คณะการท่องเที่ยวและโรงแรมครับ”
“ดีใจที่สุดคงเป็นตอนนำทีมโรงเรียนคว้าแชมป์เทนนิส ครับ ชนะโรงเรียนไอ้เกมส์ครับ” ผมได้ทีแกล้งยั่วไอ้เกมส์
“เออ ชนะทีเดียวคุยใหญ่นะมรึง” ไอ้เกมส์แซวกลับมา
“แค่นี้ล่ะครับ” ผมกำลังจะลุกจากเก้าอี้
“เฮ้ยย มรึงไม่ดีใจที่สุดที่ได้กลับมาคบกับไอ้บอสอีกรั้งหรา” ไอ้แบงค์ปล่อยหมาออกมากลางวง เล่นเอาฮือ กันทั้งวง โดยเฉพาะไอ้เชี่ยเกมส์ ส่วนผมหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกไปเรียบร้อย


ไอ้ไปป์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงกลาง
“เห็นสมาคมแม่บ้านออกมาแนะนำตัวกันคบแล้ว” ไอ้ไปป์ยิ้มแก้มแถบปริที่ได้แซวพวกเรา
“เชี่ยไปป์ หาคำอื่นไม่ได้เหรอวะ” ผมตะโกนด่ามันกลางวง
“หรือจะเอาสมาคมเมียจ๋าวะ” ไอ้ไปป์ยังคงได้ทีแหย่พวกเราต่อ
“แม่บ้านก็ได้วะ เมียจ๋าไม่ไหววะ หมดกัน” ไอ้เบียร์รีบตะโกนบอก
“เข้าเรื่องๆ” ไอ้ไปป์ตัดบทก่อนจะไปกันใหญ่

“ผมขออนุญาตแนะนำแฟนผมให้เพื่อนรู้จักนะครับ” ไอ้ไปป์ยิ้มอย่างภูมิใจ
“แต่ตอนนี้เค้าอยู่บนฟ้านะครับ”
“แฟนผมชื่อ เบิร์ดครับ ฏักศิลา ศักดากรณ์” พวกเราตั้งใจฟังโดยเฉพาะไอ้บัด
“เบิร์ด เกิดวันที่ 8 ส.ค ครับ เบิร์ดเป็นลูกคนเดียวครับ”
“เบิร์ดเคยเป็นหัวหน้าชมรมศิลปะ ก่อนที่เบิร์ดจะเสียครับ”
“เบิร์ดเคยฝันว่าจะได้เรียนที่คณะ จิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ครับ”
“ดีใจที่สุดของเบิร์ด คงได้เป็นแฟนกับผมมั้งครับ” เสียงไอ้แบงค์เป่าปากแซวมาแต่ไกล พวกเราตบมือเสียงดังลั่น ภูมิใจกับไอ้ไปป์ แล้วก็ดีใจแทนไอ้เบิร์ดที่ได้แฟนที่มั่นคงอย่างไอ้ไปป์ ถ้ามันยังคงได้อยู่ด้วยกัน มันคงเป็นอีกคู่ที่รักกันมาก


พอแนะนำตัวกันเสร็จ เบียร์เริ่มหมด พวกเราก็เริ่มปูฟูกที่นอน ไอ้เบสต์ กับไอ้แบงค์ ช่วยกันดึงผ้าไบด้านข้างแพทั้งสองข้างปิดลงมา แล้วก็ไม่ลืมเดินไปปิดประตูระเบียงกันตก แล้วก็เริ่มซุกตัวในผ้าห่มอุ่นๆ กัน

...........

เช้านี้ผมถูกปลุกด้วยเสียงกระโดดน้ำของไอ้บัดกับไอ้คริสแล้วก็ไอ้บอล พวกมันตื่นกันแต่เช้าแถมลงไปเล่นน้ำแบบไม่กลัวหนาว

“พวกมันร้อนวิชา” ไอ้บอสหันมาบอกผมหลังจากที่เห็นชันตัวขึ้นมานั่ง
“ไม่หนาวกันเหรอ” ผมยังคงซุกครึ่งล่างของตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแต่ไอ้พวกนั้นกระโดดน้ำกับตูมๆ
“ใส่เสื้อชูชีพกันหรือเปล่า” ผมถามไอ้บอสเพราะห่วงว่าจะเป็นตะคริวกัน น้ำเย็นแบบนี้ด้วย
“ใส่แล้วล่ะ ตอนแรกมันจะไม่ใส่กัน บอสบังคับให้ใสไม่งั้นไม่ให้ลง พวกมันจึงยอมใส่” ไอ้บอสเล่าให้ผมฟัง

ตอนนี้เริ่มทยอยตื่นกันเกือบหมดแล้ว ไอ้แบงค์กับไอ้อาร์มกำลังยืนแปรงฟันกัอนอยู่ไม่ไกลจากที่เด็กๆส่งเสียวเจี้ยวจ้าว

“ไม่ลงมาเหรอพี่ ในน้ำอุ่นดีนะ” เสียงไอ้บัดร้องบอกไอ้แบงค์
“เออ เด่วตามไป แปรงฟันแปป” ไอ้แบงค์พูดตอบไอ้บัดทั้งที่ฟองยังเต็มปาก

สักพักไอ้แบงค์กับไอ้อาร์มใส่เสื้อชูชีพเสร็จ มันสองคนจับมือกันแล้วนับ 1..2..3 แล้วก็กระโดดลงไป ตูม

“ไอ้โบ้ทลงมาเร็ว” ไอ้แบงค์ตะโกนเรียก
“ไม่เอาหวะกรูหนาว” ผมตะโกนบอกมันกลับไป
“มาถึงแพ้ทั้งทีจะไม่เล่นน้ำก็คงเหมือนมาไม่ถึงเอานะ” ไอ้บอสยืนบอกผมอยู่ข้างๆ
เสียงน้ำกระจาย ไอ้ไบร์ทกับไอ้เกมส์ลงไปลอยคออยู่ในน้ำแล้ว ตามไปด้วยไอ้บูมกับไอ้นัท
“เฮ้ยย ไอ้โบ้ท ไม่ลงจริงๆหรือ” เสียงไอ้บาสถามผม ผมเริ่มลังเลนิดๆ
“งั้นกรูลงก่อนนะ” สิ้นเสียงไอ้บาส มันก็จับมือไอ้ปั๊ปวิ่งลงน้ำไปอีกคู่

ตามไปด้วย ไอ้บีมกับไอ้โอม ไอ้เบลกับไอ้เคน ไอ้บรูคกับไอ้พลัส ไอ้เบรฟกับไอ้พาย ไอ้บูลกับไอ้บอมบ์ แล้วก็ไอ้ไปป์ ปิดท้ายที่ไอ้เบสต์กับไอ้แดน ที่มันสองคนวิ่งมาจนสุดแพแล้วเทคตัวตีลังกาลงน้ำไปอย่างเท่ห์

ไอ้บอสสวมเสื้อชูชีพแล้ว มันก็เอาเสื้อชูชีพมาสวมให้ผมใส่สายรัดให้เรียบร้อย

“ลงน้ำกัน” มันหันมาบอกผม
“เดี๋ยวๆ กรูทำใจแปป” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะโดนมันลากลงน้ำไป

พอลงมาอยู่ในน้ำจริงๆแล้ว ตอนแรกก็หนาวจนปากสั่น แต่พอสักพักเริ่มรู้สึกว่าอุ่นกว่าอยู่ข้างบนอีก พวกแล้วเกมส์สารพัดที่เล่นกันในน้ำก็ถูกคิดขึ้น นำทีมโดยไอ้แฝดนักว่ายน้ำ เล่นน้ำกันจนหนำใจแล้วพวกเราก็ขึ้นมาเก็บข้าวของกัน เพราะวันนี้ยังต้องออกเดินทางกันต่ออีก

ขากลับมีเรือหางยาว 7 ลำมารอรับพวกเรากลับ เพราะถ้ารอให้เรือมาลากแพกลับคงเที่ยงพอดี พวกเรานั่งเรือหางยาวแหวกผืนน้ำกว้างใหญ่ผ่ากลางเขื่อนไป มีเกาะโผล่กลางน้ำเป็นระยะๆ แล้วก็มีต้นไม้ที่ยืนต้นตาย โผล่กิ่งก้านขึ้นมาเหนือน้ำ พวกพี่คนขับเรือที่เก่งจริงๆนะ เพราะตอนกลางคืนก็ขับเรือมาส่งกับข้าว ส่งกับแก้ม อยากได้อะไรก็โทรสั่งเขา พวกเขาก็ผ่านสิ่งกีดขวางพวกนี้มาอย่างสบาย ทั้งๆที่มืดจนแถบจะมองอะไรไม่เห็น

พอถึงตลิ่ง พวกเราก็ช่วยกันขนของขึ้นรถบัส แล้วก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง รถบัสนำพวกเรามาตามทางหลวงหมายเลข 1045 จนมาบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 11 แล้วขวาวิ่งไปตามทางหลวงหมายเลข 11 ไม่นานก้ผ่านทางเข้าตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วก็ค่อยๆไต่ขึ้นภูเขาสูง ทางหลวงช่งนี้ดีเลยทีเดียวเพราะเป็น 4 ช่องจราจร แล้วรถก็มาถึงทางแยกที่อำเภอเด่นชัย รถนำพวกเราเลี้ยวขวาเขาทางหลวงหมายเลข 101 มุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดแพร่ ระหว่างทางพวกเราหลับกันเกือบหมด อาจจะเพราะเหนื่อยจากการเล่นน้ำกันมาแต่เช้า พอผ่านอำเภอสูงเม่นและทางเข้าตัวจังหวัดแพร่มาไม่นาน รถก็เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 1022  เพื่อแวะสักการะพระธาตุช่อแฮ ที่วัดพระธาตุช่อแฮ

วัดพระธาตุช่อแฮ ตั้งอยู่บนเนิ่นเขาเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดแพร่ มีพระธาตุช่อแฮเป็นประธาน ตั้งอยู่บนเนินเขา ล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้วทั้ง 4 ทิศ มีโบสถ์ประดิษฐานหลวงพ่อช่อแฮซึ่งเป็นพระประธานอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านมีวิหารพระเจ้าทันใจ พระธาตุช่อแฮเป็นพระธาตุประจำปีขาล

Cr. รูปภาพจาก คุณ Oishi-1 www-oknation-net

พวกเราซื้อดอกไม้ธูปเทียนแล้วเดินเวียนขวารอบองค์พระธาตุ 3 รอบ ก่อนจะมาจุดธูปเทียนแล้วอธิฐานกัน จากนั้นเข้าไปกราบหลวงพ่อช่อแฮ ในโบสถ์ แล้วก็ไม่ลืมไปขอพระจากพระเจ้าทันใจ ก่อนจะกลับมาขึ้นรถบัสแล้วเดินทางกันต่อ

Cr. รูปภาพจาก www-phrae-go-th

รถนำพวกเราย้อนออกมาตามทางหลวงหมายเลข 1022 แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 101 อีกครั้งมุ่งหน้าจังหวัดน่าน ที่ที่จะพักกันในคืนนี้ รถบัสวิ่งขึ้นลงภูเขาที่กั้นระหว่างจังหวัดแพร่กับจังหวัดน่านเป็นระยะทางกว่า 80 กิโลเมตร

..........

ก่อนจะเข้าจังหวัดน่าน พวกเราแวะขึ้นไปที่วัดพระธาตุเขาน้อย เป็นวัดที่เป็นอีกแลนมาร์กหนึ่งของจังหวัดน่าน ตั้งอยู่บนดอยเขาน้อย เป็นภูเขาที่ไม่สูงมากนัก เมื่อขึ้นมาอยู่ที่นี่เราจะเห็นเมืองน่านทั้งเมือง แล้วก็จะมีพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน เป็นพระพุทธรูปปรางค์ยืนประธานพรหันหน้าเข้าเมืองน่าน ที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปกัน เพราะจะเห็นด้านหลังพระพุทธรูปและเห็นเมืองน่านทั้งเมือง


Cr. รูปภาพจาก www-108like-com,www-khunkay-thaimultiply-com


พอถ่ายรูปกันเรียบร้อยก็ลงจากดอยเขาน้อยมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองน่าน รถผ่านใจกลางเมือง ผ่านหอคำที่เคยเป็นวังของเจ้าผู้ครองนครน่าน แต่ตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ผ่านวัดพระธาตุช้างคำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันหอคำ บ้านเมืองใจกลางตัวเมืองน่านเป็นเขตอนุรักษ์เมืองเก่า ทำให้สภาพบ้านเมืองดูขลังๆตามแบบสมัยโบราณ

รถบัสมาจอดที่โรงแรมสุขเกษมที่เราจองกันเอาไว้ใจกลางเมืองน่าน เป็นโรงแรมราคามิตรภาพ แบงค์สีม่วงๆเอาอยู่ โรงแรมข้างในตกแต่งด้วยไม้ห้องพักขนาดมาตรฐาน สะดวกสบาย เพราะอยู่ใจกลางเมือง ไม่ไกลจากตลาดและหอคำ วัดพรมหมินทร์ วัดพระธาตุช้างค้ำ ที่พวกเราจะต้องปั่นจักรยานกันไปเที่ยวตอนบ่ายแก่ๆวันนี้กัน

เช็คอินกันเสร็จก็ยกกระเป๋าเข้าห้องพักกัน ล้างหน้าล้างตากันเสร็จก็ลงมารวมตัวกันที่ล็อบบี้ พอมากันครบก็เดินออกจากโรงแรมมาทางซ้าย แล้วเลี้ยวซ้ายอีกทีเดินมาอีก 100 เมตรก็มีร้านให้เช่าจักรยานอยู่ตรงหัวมุมถนนพอดี ไอ้บอสชี้ให้ผมดูก่อนรถบัสจะเลี้ยวเข้ามาโรงแรม ตอนแรกว่าจะเช่าแค่ 16 คันขี่คนซ้อนคันละ 1 คน แต่พวกมันไม่ยอมอยากจะขี่กันเอง ก็เลยเช่าแบบเกือบหมดร้านลุงเขาเลย 31 คัน

ภาพแก๊งค์จักรยานในภาพยนต์แฟนฉันลอยเข้ามาในหัวผมเลย 555+ พวกเราปั่นกลับมาที่พิพิธภัณฑ์ก่อนเพราะจะปิดเวลา 16.30 น. มีเวลาอีก 1 ชั่วโมง เสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท มีการจัดแสดงประวัติความเป็นมาของจังหวัดน่าน ตั้งแต่สมัยก่อน จนมาเป็นประเทศราช และมาเป็นจังหวัดหนึ่งของไทย

Cr.รูปภาพจาก www-siengchownan-com

ที่ชั้น 2 ของตัวพิพิทธภัณฑ์ มีชานออกมา ทิวทัศน์ที่ได้คือสนามขนาดใหญ่ แล้วเห็นทิวไม้ที่ปลูกเรียงรายตลอดแนวรั้ว มียอดเจดีย์ หลังคาโบสถ์ที่โผล่ขึ้นมา ภาพสวยงาม คล้ายบริเวณสนามหลวง พวกเราเฮโลมาถ่ายรูปกันจุดนี้

“มืดไปนิดหว่ะ” ไอ้เบลบ่น
“เด่วเอาไปปรับแสงในโฟโตช็อปเอา” ไอ้เคนบอกให้ไอ้เบลทำใจ
“นี่ขนาดอัดแฟลตแล้วนะ”ไอ้เบลยังคงบ่นต่อ
“ทำไงล่ะก็มันถ่ายจากในร่มออกไปข้างนอก มันก็มืดอย่างนี้แหละ”ไอ้เคนบอก
“เดี๋ยวกลับไปเอาโฟโตช็อปช่วยเอา” ไอ้เคนบอกให้ไอ้เบลถ่ายไปก่อน


Cr.รูปภาพจาก wangtaoschool-blog,www-manager-co-th


หลังจากนั้นก็ข้ามาที่วัดพระธาตุช้างคำ เป็นวัดที่อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์หรือหอคำวังของเจ้าผู้ครองนครน่าน มีพระธาตุสีทองอยู่ด้านหลังพระอุโปสถ มีปูนปั้นรูปช้างเรียงรายรอบฐานของเจดีย์ พวกเราเข้าไปไหว้พระในโบสถ์ก่อนจะออกมาถ่ายรูปกับพระธาตุกัน

Cr.รูปภาพจาก baannanhotel-blog


แล้วพวกเราก็ปั่นจักรยานมาวัดพรหมมินทร์กัน วัดนี้มีชื่อเสียงจากมานานแต่ที่ทำให้รู้จักกันเป็นวงกว้างคงมาจากภาพยนตร์โฆษณาผงซักฟอกยี่ห้อหนึ่ง ที่มีเด็กผู้หญิงมาพูดแนะนำนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพรพักตร์ออกด้านประตูทั้งสี่ทิศหันเบื้องปฤษฏาค์ชนกัน ประดับนั่งบนฐานซุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยภายในนอกจากนี้วัดภูมินทร์ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังชื่อดัง "ปู่ม่าน ย่าม่าน" และภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีเรื่องราวชาดก วิถีชิีวิตพื้นบ้านซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต




Cr.รูปภาพจาก bakkaklongtalon-blog,www-teawteenai-com,manager-co-th,www-naryak-com


จากนั้นพวกเราก็ปั่นจักรยานไปต่อกันที่วัดมิ่งเมือง หรือ เสาหลักเมืองน่าน สักการะเสาหลักเมืองกันเรียบรอยพวกเราก็เดินชมวิหารวัดมีสถาปัตยกรรมผสมผสานกับแนวคิดสมัยใหม่ มีลวดลายศิลปะปูนปั้นสีขาวประดับตกแต่งตัววิหาร ซึ่งมีความสวยงามวิจิตรบรรจง

Cr.รูปภาพจาก travel-edtguide-com


เสียดายที่มาวันธรรมดาเลยไม่มีถนนคนเดินที่ถนนช่วงเมือง แต่ก็พอจะหาของกินแบบพื้นเมืองได้ไม่ยากเย็นนัก มื้อเย็นก็เลยปั่นไปหาของทานที่ตลาดโตรุ่ง กัน พวกผมลังเลที่จะจอดรถจักรยานเพราะกลัวหายกัน มีลุงที่เป็นคนเมืองน่าน เห็นเราลังเลๆที่จะจอดรถก็บอกพวกเรา ว่าจอดไว้เถอะลูกไม่หายหรอก พวกเราได้ยินดังนั้นก็เลยวางใจ จอดรถจักรยานแล้วไปหาของทานที่ตลาดโต้รุ่งกัน

เดินกลับมารถจักรยานก็ยังอยู่กันครบทุกคัน ถ้าเป็น กรุงเทพฯหรือที่อื่นๆ คงจะได้มีหายกันบ้างล่ะ จากนั้นก็ปั่นจักรยานมาร้านขนมหวานชื่อดังของเมืองน่าน ที่เป็นเรือไม้สองชั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง ขนมหวานร้านป้านิ่ม เป็นร้านขนมหวานแบบไทยๆ ที่อร่อยสมคำร่ำลือ โดยเฉพาะบัวลอยไข่หวาน



Cr.รุปภาพจาก www-siamensis-org,drink-edtguide-com

อิ่มจากร้านขนมหวานพวกเราก็ปั่นจักรยานมาจอดที่ใต้โรงแรมเพราะร้านลุงจักรยานปิดไปแล้ว พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยปั่นไปคืนจักรยานที่เช่ามากัน.....

Game
See you Next Game



-------------------------------------------------------
ตอบคอมเมนท์ครับ^^
ก่อนอื่นต้องขอโทษคนอ่านด้วยนะครับที่ช้าพอดี ลงวินโดว์ใหม่ครับ


ตอบคอมเมนท์คุณ IsDeer
ตอนเขียนก็คิดว่านี่นิยายหรือรีวิวท่องเที่ยวเหมือนกันครับ 555+ เด็กพวกนี้อายไม่ค่อยจะเป็นกันหน่ะครับ อิอิ ยังไงฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยนะครับอิอิ

ตอบคอมเมนท์คุณ Spelling_B
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะครับ คนเขียนอยากให้คนอ่านเห็นภาพตามไปด้วยครับ 555+ ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับอิอิ

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 66th Game  – Nan to Chiangmai

พวกเราตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปคืนร้านเช่าจักรยาน แล้วก็กลับมาเก็บของ วันนี้ต้องเดินทางไกลจากน่าน-เชียงใหม่ คือเดินทางจากตะวันออกของภาคเหนือ ไปยังตะวันตกของภาคเหนือกันเลยทีเดียว

แต่ก่อนจะออกจากตัวจังหวัดน่านพวกเราแวะไปสักการะพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดน่านกันก่อนนั่นก็คือ พระธาตุแช่แห้ง วัดพระธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองมาราว 2 กิโลเมตรเศษ มีอายุราวๆ 600 ปี  จากตัวเมืองน่านข้ามสะพานข้ามแม่น้ำน่าน ใช้เส้นทางสาย น่าน-แม่จริม ทางหลวงหมายเลข 1168 พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำคนที่เกิดปีเถาะ

หลังจากซื้อธูปกับเทียนกันเรียบร้อยพวกเราก็เดินเวียนขวารอบพระธาตุแช่แห้ง 3 รอบ ก่อนจะมาจุดธูปเทียนสัการะพระธาตุ  แล้วก็ถ่ายรูปกับพระธาตุกแช่แห้งกัน ก่อนจะเดินไปที่วิหารพระนอน ที่อยู่ด้านนอกกำแพงแก้วขององค์พระธาตุ
[imghttp://i1056.photobucket.com/albums/t370/destiny_of_b/01-www-teepucks-com_zpsf2im3dj8.jpg]http://[/img]

Cr.ภาพจาก www-teepucks-com,www-touronthai-com


แล้วก็เดินออกมาทางหน้าวัดที่เป็นเนินเขายกตัวสูงขึ้นมา มองเห็นถนนเส้นทางที่เรามา มีพญานาคตัวใหญ่สองตัวโอบทั้งสองข้างบันใดทางขึ้นวัดไว้ ไอ้เบลกับไอ้เคน ตั้งกล้อง หันหน้าเข้ามาในวัด เพราะมุมนี้เป็นอีกมุมที่เราสามารถถ่ายรูปได้โดยสามารถเห็นพระธาตุแช่แห้งทั้งองค์




Cr. ภาพจาก www-manager-co-th,www-dhammathai-org,picdb-thaimisc-com

หลังจากไหว้พระกันเสร็จรถบัสเริ่มนำเราออกเดินทางจากจังหวัดน่าน มุ่งหน้าทิดตะวันตกสู่จังหวัดเชียงใหม่ ตอนนี้เวลา 8.45 น. คาดว่าคงจะถึงเชียงใหม่ คงบ่ายแก่ๆ รถบัสออกจากตัวจังหวัดน่านไปตามทางหลวงหมายเลข 1091 เป็นทางขึ้นเขาสลับซับซ้อนแต่ภาพข้างทางสวยงามเพราะยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก แล้วเป็นเส้นทางที่ไม่ใช่เส้นทางหลัก รถก็เลยไม่ค่อยเยอะ ความเจริญแบบตามเส้นทางถนนหลักยังไม่ค่อยมี เป็นวิถีชีวิตแบบชาวบ้านๆเสียส่วนมาก ไม่นานเราก็มาถึงอำเภอบ้านหลวง ซึ่งเป็นอำเภอสุดท้ายของจังหวัดน่าน


Cr.ภาพจาก Blog ของคุณ tuk-tuk@korat


ไอ้บิวคว้ากีตาร์ขึ้นมา เล่นชวนพวกเราร้องเพลงแก้เบื่อกัน โดยเล่นโยนกันเป็นคู่ๆ คู่ละ 1 ท่อนฮุก จบแล้วก็เรียกคู่ต่อไปร้อง คู่ไหนไม่เข้าพวกจะโดนลงโทษ เริ่มต้นจากไอ้บิวกับไอ้ริวก่อน ไอ้คู่นีฉลาดที่เริ่มก่อน แต่ก็ต้องให้มันเพราะไอ้บิวต้องเล่นกีตาร์ ไอ้บิวกับไอ้ริวเริ่มต้นเกมส์กับเพลงพี่ปั๊ป โปเตโต้

เลยเก็บใจไว้รอ คนที่พอดีทุกอย่างเข้ากับฉัน
คนที่มีหัวใจเหมือนกัน คนนั้นเป็นเธอได้ไหม
หัวใจมันบอกยอมทุกสิ่งยอมทุกอย่างให้กับเธอ
แม้ปลายทางอาจจะได้เจอความผิดหวัง
แต่ถึงยังไงก็จะรักเธอไปทุกวัน


“ไอ้แบงค์กับไอ้อาร์ม” ไอ้ริวเรียกชื่อคู่ต่อไป เมื่อท่อนฮุกเพลงแรกจบ ไอ้แบงค์กับไอ้อาร์มรับลูกต่อด้วยเพลงของพี่ตูน บอดี้ฯ

ให้มันเป็นสีชมพู แค่ให้หัวใจของเราได้รู้
ว่าโลกใบนี้เป็นสีชมพู รอยยิ้มมีให้กันทุกคืนทุกวันต่างก็ชื่นใจ
เมื่อทุกอย่างสดใส อะไรๆก็สีชมพู เย้
ที่ไหนเมื่อไรใครๆก็รู้ แค่ใจดวงนี้เป็นสีชมพู
รอยยิ้มมีให้กัน ทุกคืนทุกวันต่างก็เข้าใจ
อยู่ร่วมกันด้วยรัก โลกนี้จะงดงามเพียงใด


“ไอ้บาสไอ้ปั๊ป” ไอ้อาร์มโยนต่อไปที่คู่วงโยฯ ไอ้คู่นั้นเตรียมตัวกันแล้วไอ้บาสต่อด้วยเพลงพี่แบงค์ แคลช

Hey One Two Three ไม่ได้เป็นคนที่เกเร
แค่อยากจะบอกไม่ได้เจ้าชู้ถ้าเธอเข้าใจก็โอเค
ถ้าไม่เข้าใจคงเดินเซ พะวงมึนงงและโลเล
ถ้าโดนเธอตอกคงเข้าอารมณ์ D A R K
ก็อยากให้จำ ที่มองสาวๆสวยๆทุกครั้งทุกคราวที่ผมทำ
เป็นเวรเป็นกรรมที่ชายทุกคนนั้นเป็นต้องเผลอกัน
ถ้าไม่ตะขัดตะขวงในใจก็คงไม่บอก
ซื่อสัตย์ไม่ได้หลอก เพียงแต่ผมไม่เคยจะบอก


แล้วคู่วงโยฯ ก็โยนมาให้ผมกับไอ้บอส แล้วกรูจะร้องเพลงไรล่ะนี่แล้วระหว่างที่ผมเกาหัวแกร๊กๆ แลถูกสายตาของพวกมันจ้องมอง และเกือบจะแพ้ ไอ้บอสก็ขึ้นเพลงช่วยชีวิตพวกเราก่อน

บางทีฉันก็ยั้งไม่อยู่ บางทีฉันก็รู้แต่ทนไม่ไหว
บางทีฉันใจร้อนเกินไป โปรดจงเข้าใจ
ที่เป็นไปนะเป็นไปด้วยรัก 
แต่อาจจะขี้หึงเกินไป แต่ใจทั้งใจมีแต่เธอคนเดียว
รักเธอคนเดียว ไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยน (เป็นไปด้วยรัก)
แต่อาจจะขี้หึงเกินไป แต่ใจทั้งใจมีแต่เธอคนเดียว
รักเธอคนเดียว ไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยน (เป็นไปด้วยรัก)


กรูรอดแล้วผมนึกในใจ แต่เพลงนี้ก็เหมาะกับไอ้บอสดีนะ ขี้หึงนี่ หลังร้องเสร็จก่อนจะโยนให้ไอ้เบสต์กับไอ้แดนต่อ

ใจเย็นจนเริ่มจะชา ดา ดา ดี๊ด่าด้า 
(หน้าชา ปากชา ขาชา ไอนั่นก็ชา แม้แต่ปรอทก็วัดไม่ได้)
ใจเย็นก็กลัวว่าหมา อา อา จะคาบไป
(ตั้งแต่มีเธอนั้นเดินเข้ามา อยู่ ๆ หัวใจหยุดเต้น มัน Thinaken จนเกินเยียวยา ก็เธอนั้นน่ารักที่สุด น่ารักเป็นหนึ่งในพสุธา)
ใจเย็นจนเริ่มจะชา ดา ดา ก็หวั่นไหว
(แค่เธอขวาซ้ายขวา แค่เธอเดินมาแทบลืมหายใจ แค่อยากจะทักแต่ก็ต้องทุกข์ ก็เพราะไม่รู้ต้องเริ่มไง)
ไม่รู้จะพูดยังไง ว่าคน ๆ นี้นั้นมันแอบรักเธอ
(น้ำแข็งเกาะทีละนิด ความเย็นออกฤทธิ์ภายในหัวใจ ชามันไปทุกส่วน ทุกอวัยวะในร่างกาย)


(เหยดด) ไอ้แดนเริ่มร้อง ไอ้เบสต์ก็แร็ปสวน ร้องตอบกันแบบเฮ้ยยย พวกมรึงไปเป็นนักร้องกันดีกว่าไหม ไอ้แดนโยนให้ไอ้ไบร์ทกับไอ้เกมส์ต่อเป็นคู่ถัดไป

“เชี่ยเบสต์ แล้วกรูจะต่อยังไงละวะ” ไอ้ไบร์ทถึงกับสบถด่าไอ้เบสต์กับได้แดน คุณชายเกมส์นั้นชิวๆ แล้วก็ร้องขึ้นเพลงนี้

อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ อยากรู้จักตั้งแต่ได้เจอ
ใจฉันสั่นเมื่อได้ยินเสียงเธอ ตั้งแต่วันแรกเจอ ก็เผลอเอาไปคิดละเมอ
พอรู้จักก็อยากจะทักทาย พอไม่เจอแล้วใจก็วุ่นวาย เธอหายไปก็ห่วงเธอแทบตาย
จะเป็นเช่นไร ตรงนั้นมีใครดูแลหรือไม่ก็ไม่รู้
เกือบลืมหายใจเมื่อเธอเข้ามาใกล้ๆ แค่เธอยิ้มมาก็สั่นไปทั้งหัวใจ
อยากจะบอกเธอให้ได้รับรู้ความในใจ

แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ ว่าเธอคิดเช่นไร
ถ้าบอกคำนั้นแล้วเธอตอบมาว่าไม่ใช่ ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงจะเดินหนีไป
ดีพอแล้วที่ได้มีเธออยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียง ได้คอยดูแลอยู่ไม่ไกล
จะซ่อนความลับเอาไว้ในหัวใจ มากเพียงไหนฉันจะไม่ยอมพูดไป


ด้วยเนื้อเพลงที่โดนและเพลงนี้กำลังดังเพราะซรี่ย์ยอดฮิต กลายเป็นว่าพวกเราช่วยกันร้องเพลงนี้จนจบเพลง

..........

“เมื่อยไหม”บลูหันไปถามไอ้บอมบ์ หลังจากนั่งรถข้ามเข้ากันมาหลายลูก
“นิดหน่อย” ไอ้บอมบ์ตอบไอ้บลูกลับไป ไอ้บอมบ์เอามือมาประสานกับมือไอ้บลูแล้วกุมไว้
“บลูล่ะเมื่อไหม” บอมบ์ถามบลูกลับไป
“ไม่อ่ะ แค่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้ว”  ไอ้บลูตอบไอ้บอมบ์แล้วยิ้มจนตาแถบจะปิด
“พวกมรึงมาหากันยังไง”ผมถามไอ้บลูกับบอมบ์ที่นั่งข้างๆกับผมกับบอส
“ก็ผลัดกันมาหาอ่ะ” ไอ้บอมบ์ตอบผมกลับมา
“คือถ้าเดือนนี้กรูไปหาไอ้บอมบ์ที่พิษณุโลก เดือนถัดมาไอ้บอมบ์ก็มาหากรูที่เชียงใหม่” ไอ้บลูอธิบายเพิ่ม
“แล้วพวกมรึงไม่คิดถึงกันเหรอ” ไอ้บอสถามไอ้บลูกับไอ้บอมบ์
“ก็คิดถึง แต่ทำไงได้ก็มีหน้าที่ต้องทำกัน” ไอ้บอมบ์หันมาตอบไอ้บอส
“แล้วไม่กลัวมือที่สามเหรอวะ”ผมถามพวกมันต่อ
“ก็กลัว แต่ถ้าพวกเรายังรักกัน ก็ไม่มีใครแทรกเข้ามาได้หรอก” ไอ้บลูตอบผมกลับมา ไอ้บอมบ์เอามือมากุมมือไอ้บลูไว้
“พวกเราห่างกัน 5 ชั่วโมง” ไอ้บอมบ์หันมาบอกผม ผมทำหน้างง
“ห่างกัน 5 ชั่วโมงคือไรวะ” ผมถามพวกมันกลับไป
“ก็เวลาที่พวกเราจะไปหากันไง ขับรถประมาณ 5 ชั่วโมง” ไอ้บอมบ์อธิบาย

ผมกับบอสพวกเราสบายกว่าคนอื่น ที่เรารักกันแล้วยังได้อยู่ด้วยกัน ผมนับถือไอ้บลูกับไอ้บอมบ์มันนะ ที่แม้ไกลกัน แต่ก็ยังมั่นคงในความรักของกันและกัน

พอผ่านอำเภอบ้านหลวงก็จะเข้าเขตจังหวัดพะเยาที่อำเภอเชียงม่วน เส้นทางก็ยังวิ่งขึ้นเขา บางครั้งถนนก็ตัดอยู่บนสันเขาเลย ซ้ายก็เหว ขวาก็เหว แต่ทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามมาก เลยอำเภอเชียงม่วนมาไม่ไกลก็เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1251 มุ่งหน้าสู่อำเภอดอกคำไต้

Cr.ภาพจาก Blog ของคุณ tuk-tuk@korat


เส้นนี้ยิ่งมีรถน้อยลง เพราะบางคนมักจะชอบเลี้ยวไปเส้น 1091 ที่ไปเมืองพะเยาได้เหมือนกัน แต่จะอ้อมกว่านิดหน่อย ผ่านอำเภอปง อำเภอจุน แล้วถึงเมืองพะเยา แต่พวกเราเลือกที่จะมาเส้นนี้เพราะใกล้กว่า พอเลยตัวอำเภอดอกคำใต้มานิดหน่อย ก็เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผนดินหมายเลข 1021 ไปอีกไม่ไกลก็เลี้ยวขวาเข้าถนนสายเอเชียทางหลวงหมายเลข 1 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าจังหวัดพะเยา ออกจากน่านประมาณ 8.45 น. มาถึงพะเยา 12.30น.

พวกเราแวะหาข้าวกลางวันทานที่ริมกว๊านพะเยา กว๊านพะเยาเป็นทะเลทราบน้ำจีดที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่กลางเมือง มีทิวเขาเป็นฉากหลัง ริมกว๊านพะเยามีร้านอาหารมากมายและมีสวนสาธารณะ กว๊านพะเยามีแม่น้ำหลักที่ส่งน้ำหล่อเลี้ยงกว๊านก็คือแม่น้ำอิง พวกเราแวะร้านอาหารร้านหนึ่งที่ขายอาหารตามสั่งแต่มีแต่อาหารประเภทเส้น มีทั้งผัดไท ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ราดหน้า ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน แถมมีก๋วยเตี๋ยวหลอดด้วย ผมว่าร้านนี้เขามีจุดขายคืออาหารตามสั่งประเภทเส้น

“พวกมรึง กรูภูมิใจนำเสนอ” ไอ้เบียร์ ส่งจานก๋วยเตี๋ยวหลอดมาให้พวกเรา
“น้ำจิ้มสุดๆจริงๆหวะ ลองชิมดู” ไอ้เบียร์ชี้ไปที่น้ำจิ้มสีเขียวที่อยู่ในถ้วย ไอ้เกมส์เป็นคนแรกที่ลองชิม
“เออ จริงหวะ อร่อย” ไอ้เกมส์ถึงกับอุทาน
“กรูบอกแล้ว ถ้าเบียร์ว่าอร่อยมันต้องอร่อยจริงๆ” ไอ้คุณพี่ชายผมออกปากชมไอ้เบียร์
“จร้า กรูเชื่อแล้ว” ไอ้เกมส์ลากเสียงยาวแซว แล้วจานก๋วยเตี๋ยวลุยสวนก็ถูกส่งไปให้ชิมกันทั่วโต๊ะ จนไอ้พวกนั้นสั่งเพิ่มกันอีกเพราะอร่อยจริงๆ

พอทานข้าวกันอิ่มพวกเราก็เดินข้ามถนนมาถ่ายรูปกับป้ายกว๊านพะเยา ที่อยู่ริมกว๊านกัน ทะเลสาบกว้างไกลสุดสายตามีทิวเขาเป็นฉากหลัง นี่ถ้าไม่บอกว่าเมืองไทยก็คงคิดว่าอยู่เมืองนอก

“สวยจัง” ผมหันไปบอกไอ้บอสที่ยืนสูดอากาศสดชื่นริมกว๊านพะเยา
“สวยมาก อากาศก็ดี” ไอ้บอสหันมาตอบผม
“วันนี้นั่งรถมาวิวก็ดีเนอะ” ผมหันไปยิ้มตาหยีกับบอส
“ทางสวยมาก แต่มีโบ้ทมาเลยทำให้สวยยิ่งขึ้น” บอสเอื้อมแขนมาโอบบ่าผมอีกข้างหนึ่ง
“อืม”  ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว
“โบ้ทมีความสุขมากๆที่ได้มาเที่ยวกับบอสนะ” ผมตะกุกตะกักตอบบอสไปด้วยความเขิน

ไม่ใช่แค่คู่ผม ดูเหมือนทุกคนก็จะดื่มดำกับธรรมชาติตรงหน้า ที่สวยงามอย่างกับภาพวาด แม้แต่ไอ้ไปป์ที่อาจจะดูเหงาๆ แต่รอยยิ้มละมุมบนหน้าของมัน ทำให้ผมเชื่อว่าไอ้เบิร์ดที่อยู่บนสวรรค์ ตอนนี้ได้มายืนอยู่ข้างๆมันแล้ว




Cr.รูปภาพจาก travel-mthai-com,GumpzZ@พันทิป,www-khunnung-com

ถ่ายรูปกันเสร็จก็ขึ้นรถ ตอนนี้พี่คนขับคนที่ 2 ผลัดเปลี่ยนมาทำหน้าที่พลขับแล้ว รถบัสย้อนกลับลงมาตามเส้นทางหมายเลข 1 มุ่งหน้าจังหวัดลำปาง แล้วมาเลียวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 120 มุ่งหน้าอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย จากจุดทางแยกทางหลวงหมายเลข 1 ตัดกับทางหลวงหมายเลข 120 จากจุดนี้อีก 144 กิโลเมตรก็ถึงเชียงใหม่

รถบัสวิ่งมาตามทางหลวงหมายเลข 120 ที่ตัดผ่านจังหวัดพะเยาและผ่านอำเภอวังเหนือ จ.ลำปาง เส้นทางขึ้นเขาเหมือนแต่ถนนจะดีกว่าช่วง น่าน-พะเยา เพราะเป็นเส้นหลักที่ใช้เดินทางระหว่างจังหวัดพะเยากับจังหวัดเชียงหม่ ทิวทัศน์สองข้างทางก็สวยงามไปอีกแบบ เลยอำเภอวังเหนือมาไม่นานก็เข้าเขตอำเภอเวียงป่าป้า จังหวัดเชียงราย


Cr.รูปภาพจาก Blogของคุณ tuk-tuk@korat


แต่เราไม่ได้เข้าอำเภอเวียงป่าเป้า เพราะทางหลวงหมายเลข 120 จะมาบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 118 ถนนเชียงใหม่-เขียงราย ที่ตำบลเจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า แล้วรถเราก็เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ เลยตำบลเจดีย์มาไม่ไกล แถวๆแม่ขะจาน มีบ่อน้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมาอยู่ริมถนนด้วย เสียดายที่ไม่ได้แวะ เพราะกลัวจะไม่ทันขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพกัน พอลงดอยสะเก็ตก็ถึงพื้นราบเมืองเชียงใหม่ ความเจิรญแบบสังคมเมืองของจังหวัดที่มีความเจิรญเป็นอันดับสองของประเทศปรากฎให้เห็นตั้งแต่ลงดอยสะเก็ตลงมา

Cr.รูปภาพจาก Blogของคุณ tuk-tuk@korat

พอเข้ามาในตัวเมืองก็มุ่งหน้าขึ้นดอยสุเทพกันเลยครับ รถบัสค่อยๆไต่ขึ้นไปตามถนนขึ้นดอยสุเทพ เริ่มต้นจากอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ตรงตีนดอย ที่พวกเราตั้งใจว่าจะกลับลงมากราบท่านหลังจากขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพแล้ว รถบัสนำเราค่อยๆขึ้นไปบนดอยสุเทพ บางช่วงสามารถมองเห็นเมืองเชียงใหม่ได้ทั้งเมือง เป็นภาพที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เชียงใหม่ไม่เหมือนเมืองอื่นๆในประเทศไทย ก่อนจะถึงบริเวณวัดนิดหน่อยจะมีโค้งหักศอกที่เป็นที่เรื่องลือ เพราะนอกจจะหันศอกแล้วยังชันมากอีกด้วย พวกเราขึ้นไปถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ ก็ 16.00 น. พอดี



Cr.รูปภาพจาก Akadech Repaichit @youtube,พระรถเสน@พันทิป,www-thailovetrip-com

พวกเราใช้บริการลิฟท์ขนส่งของทางวัดให้พาพวกเราขึ้นไปที่ตัววัด พระธาตุดอยสุเทพ มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงเชียงแสนบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเอาไว้ พอเข้ามาบริเวณที่จัดไว้ให้สักการะพระธาตุแล้ว สงบร่มเย็น เสียงกระดิ่งดังจากแรงลม กังวานไปทั่ว พวกเราซื้อดอกไม้ธูปเทียนกันเรียบร้อย ก่อนจะเดินอธิฐานเวียนขวารอบองค์พระธาตุ 3 รอบ แล้วจึงมาจุดธูปเทียนบูชาสักการะตรงจุดที่วัดจัดไว้ให้

หลังจากสักการะพระธาตุกันเสร็จก็มาเดินรอบกำแพงแก้ว ที่มีระฆังเรียงยาวรอบกำแพงแก้ว พวกเราก็เดินเคาะระฆังกันจนรอบกำแพงแก้ว ก่อนจะมาถ่ายรูปหม่ที่จุดชมวิว เพราะก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่เป็นไฮไลท์สำคัญของการขึ้นมาบนวัดพระธาตุดอยสุเทพ วิวด้านหลังเราสามารถมองเห็นเมืองเชียงใหม่ได้ทั้งเมือง





Cr.รูปภาพจาก chiangmai-tourist-blog,www-chiangmaitouring-com,-blog ,คุณแก้วกังใส,Blog คุณ วินวิน

ถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อยพวกเราเลือกที่จะเดินลงบันใดแทนการใช้ลิฟท์ บันใดสูงทั้งสองข้างเป็นลำตัวพญานาค สมัยก่อนยังไม่มีลิฟท์ก็ต้องเดินขึ้นกันทางนี้สถานเดียว แน่นอนแลนมาร์กแบบนี้ไม่ถ่ายรูปคงไม่ได้

Cr.รูปภาพจากwww-chiangmaitouring-com

........

รถบัสค่อยๆนำพวกเราลงจากดอยสุเทพ พวกเราแวะสักการะอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยกัน พอรถบัสหาที่จอดได้พวกเราก็ลงมาซื้อดอกไม้ธูปเทียน แล้วก็ไปกราบครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นสิริมงคลกับทริปของพวกเรา

ลงมาจากดอยสุเทพพวกเรารถบัสก็พาพวกเรามาที่บ้านไอ้เบรฟกับไอ้บูล เพราะคืนนี้เรานอนพักกันที่บ้านไอ้สองคนนี้ บ้านไอ้เบรฟกับไอ้บลูอยู่ติดกัน แถมพ่อไอ้เบรฟกับพ่อให้บลูเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมอีกด้วย

รถบัสเลี้ยวเข้ามาจอดที่บ้านของไอ้เบรฟกับไอ้บลู บ้านสองหลังปลูกติดกัน มีรั้วจากต้นไม้พุ่มเตี้ยๆกันระหว่างสองบ้านนี้ พื้นที่บ้านทั้งสองหลังรวมๆเกือบ 2 ไร่ พวกเราลงมาสวัสดี พ่อกับแม่ของไอ้เบรฟกับไอ้บลูรอพวกเราอยู่แล้ว หลักจากสวัสดีท่านเสร็จ แม่ของไอ้เบรฟกับไอ้บลู ก็พาพวกเราเดินมา ศาลาหลังไม้ใหญ่สีขาวสไตล์โคโลเนียล (เรือนขนมปังขิง) มีกระจกกั้นพร้อมกับติดแอร์ไว้พร้อม ที่ปกติใช้เป็นที่สังสรรค์ของทั้งสองครอบครัว แต่ตอนนี้ดัดแปรงเป็นเรือนนอน มีฟูกปูเรียงรายพร้อมกับหมอนและผ้าห่ม มีห้องน้ำในตัว

เก็บของกันเสร็จ พ่อกับแม่เบรฟกับบลู จองร้านอาหารไว้ให้พวกเราเรียบร้อย ท่านจัดการทุกอย่างไว้แล้ว ไปสั่งแล้วก็ทานเท่านั้น มื้อนี้เป็นอุปการะคุณจากพ่อกับแม่ไอ้บูลแล้วก็ไอ้เบรฟครับ ร้านอาหารตั้งอยู่แถวๆถนนนิมมานฯ

พอทานมื้อเย็นกันเสร็จ พวกเราไปเดินไนซ์บาร์ซ่าของเชียงใหม่กันต่อ เสียดายที่ไม่ตรงกับวันอาทิตย์ เพราะจะมีถนนคนเดินอันเรื่องชื่อของจังหวัดเชียงใหม่ วันนี้เลยได้เดินแค่ไนซ์บาร์ซ่าเท่านั้นเอง


หลังจากเดินช็อปปิ้งจนขาลากกันแล้วพวกเราก็มุ่งหน้ากลับมาพักที่บ้านไอ้บูลกับไอ้เบรฟ ผ่านไปกว่าครึ่งทางแล้วสำหรับทริปนี้ พรุ่งนี้จุดหมายต่อไปของเราคือ ปาย เมืองท่องเที่ยวในฝันอีกเมืองหนึ่งของเมืองไทยครับ


Game
See you Next Game
-------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 67th Game  – Onsen

หลังจากอาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยคืนนี้เป็นคิวเปิดใจของพวกสมาคมพ่อบ้านกันต่อครับ พวกเรานั่งล้อมวงเป็นครึ่งวงกลมเหมือนเดิม โดยลากเก้าอี้มาวางตรงกลางหนึ่งตัว

“วันนี้เหมือนคืนก่อนเนอะ เริ่มแนะนำตัวเอง แล้วก็อนาคตที่อยากเป็นกันครับ” ไอ้อาร์มย้ำคำถามให้พวกหนุ่มๆกันอีกรอบ
“ใครจะเริ่มก่อน ก็เชิญเลยครับ”

แล้วคุณพี่ชายผมก็เดินออกไปเป็นคนแรก

“ผมเบนซ์ครับ ชญานนท์ สุขอนันต์ครับ
“มีน้องชาย 1 คน นั่งอยู่โน่นครับ” มันชี้มาทางผม
“ผมเกิด 5 ม.ค ครับ”
“ผมอยากเป็นรองหัวหน้าชมดุริยางค์ โรงเรียนกางเกงสีดำแถวสาธรครับ”
“ผมเล่นแซกโซโฟนครับ”
“อยากเรียนคณะ ดุริยางค์ศาสตร์ มอแถวศาลายาครับ”
“ดีใจที่สุด คงเป็นตอนที่ไอ้เบียร์ยอมรับผมเป็นแฟนครับ” เสียงโฮ่ฮาแซวดังขึ้นรอบวง ไอ้เบนซ์เอามือเกาหัวแก้เขินก่อนจะลุกจากเก้าอี้ แล้วก็เป็นไอ้ไปป์เดินเข้าไปแทนครับ


“ไปป์ครับ ฒวัชวงศ์ อภิเชษฐ์พงษ์ ครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมฟุตบอล โรงเรียนกางเกงสีดำแถวสาทรครับ”
“ผมกิดวันที่ 15 พ.ค ผมมีพี่ชาย 1คน ครับ”
“อยากเรียนคณะ วิทยาศาสตร์การกีฬาครับ แต่สิ่งใฝ่ฝันก็คือได้เล่นฟุตบอลเป็นอาชีพครับ”
“สิ่งที่ดีใจที่สุดคือเคยได้ดูแลเบิร์ด ถึงแม้จะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตผมตอนนี้” พวกเราตบมือให้ไอ้ไปป์ ไอ้ไปป์เดินออกมาจากเก้าอี้ ไอ้บลูเป็นคนต่อไป

“บลูครับ ศีลวัตร วิวัฒนโชติ ครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมดนตรี โรเงรียนกางเกงสีกรมท่าที่เชียงใหม่นี่แหละครับ”
“ผมรักที่จะเล่นไวโอลินมากครับ”
“ผมเกิด 9 มิ.ย ผมมีพี่ชาย 2 คน ผมเป็นคนเล็กครับ”
“อยากเรียน คณะดุริยางค์ศิลป์ มอแถวศาลายา ครับ”
“ดีใจที่สุดก็คือ ได้แชมป์ไวโอลินชิงถ้วยพระราชทานครับ”
“คงมีเท่านี้ครับ” เสียงตบมือให้บลูดังขึ้น แล้วไอ้เบรฟก็เดินเข้าไปพูดเป็นคนต่อไป

“พิชชากร นิลธราช ครับ ชือเล่นผม เบรฟ ครับ”
“ผมเกิด 11 ต.ค ผมมีน้องสาว 2 คน”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมว่ายน้ำ โรงเรียนกางเกงน้ำเงินชื่อดังที่เชียงใหม่นี่แหละครับ”
“อยากเรียนคณะสัตว์แพทย์ ครับ”
“ดีใจที่สุดก็คงเป็นแชมป์การแข่งว่ายน้ำภาคเหนือครับ” พวกเราตบมือให้ไอ้เบรฟ คิวต่อไปเป็นไอ้บรูค

“ผม บรูค นะครับ”
“ยุติธร มงคลพิศัย”
“ผมเกิด 30 เม.ย มีน้องชาย 1 คน ผมเป็นคนโตครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมภาษาจีน โรเงรียนกางเกงน้ำเงินที่ขอนแก่นครับ”
“อยากเรียนคณะอักษรศาสตร์ มอแถวสามย่านครับ แต่ไม่รู้ว่าจะสอบติดไหม” มันเอามือขึ้นเกาหัวแกรกๆ
“ดีใจที่สุด ตอนนี้ก็คือได้มาเที่ยวกับพวกเพื่อนๆครับ” พวกเราตบมือให้ไอ้บรูค คุณชายบัด เดินเข้าไปที่เก้าอี้เป็นคนต่อไป

“บัดครับ ทีมากร อรรถากร ครับ”
“ผมเกิด 8 ม.ค เป็นลูกโทนครับ”
“ผมเป็นสมาชิกชมรมบาสเก็ตบอล โรงเรียนกางเกงสีแดงที่พัทยาครับ”
“อยากเรียนคณะอะไร ยังไม่ได้คิดครับ ผมเพิ่งจะ เกรด 10 เอง” มันยิ้มแก้เขิน
“ดีใจที่สุด ก็คงจีบวินติดครับ” ไอ้บัดยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เสียงแซวจากไอ้แบงค์ นำลิ่วมาแต่ไกล จนไอ้วินนั่งม้วนเขินแทนไอ้บัดเรียบร้อย พอไอ้บัดลุก ไอ้บอลก็เข้าไปพูดต่อ

“บอลครับ นราวัฒน์ สิริไพโรจน์ ครับ”
“ผมเป็นนักฟุตบอลทีมโรงเรียนกางเกงสีน้ำตาลแถววัดยานนาวาครับ อยู่ชมรมฟุตบอลด้วยครับ”
“ผมเกิด 22 ม.ค ครับ ผมมีพี่ชาย 1 คน น้องสาว 1 คน ผมเป็นคนกลาง”
“อยากเรียนคณะอะไร ยังไม่ได้คิดเหมือนไอ้บัดครับ เพิ่งจะม.4 เองครับ แต่อยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนพี่ไปป์ครับ”
“ดีใจที่สุดหรือสบายใจที่สุดก็คือผมเปิดเผยเรื่องผมกับคริสกับพี่บอสและพี่ๆทุกคนได้ครับ มันเหมือนผมไม่ต้องเก็บคริสเป็นแฟนลับๆอีกต่อไปแล้วครับ” ผมเราตบมือให้กับความกล้าของไอ้บอลมัน อย่างน้อยตอนนี้มันก็กล้าที่จะยอมรับตัวเอง ไอ้คริสนั่งน้ำตาคลอด้วยความดีใจอยู่ไม่ไกล พอไอ้บอลลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก็เป็นคิวของไอ้เบสต์ครับ
“เบสต์ครับ ษิธาวุฒิ อินทรภัทร ครับ”
“ผมเกิด 7 ธ.ค ครับ ผมมีน้องชาย 2 คน ผมเป็นคนโต”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมกีฬา X-Game โรงเรียนกางเกงสีดำแถวสาธรครับ”
“ผมเล่นสเก็ตบอร์ดครับ”
“อยากเรียนคณะ นิติศาสตร์ครับ มออะไรก็ได้ครับ”
“ดีใจทีสุด ก็คงหาเงินได้จากสเก็ตบอร์ดนี่แหละครับ” มันเอามือเกาหัวแก้เขิน ก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ เสียงตบมือดังขึ้นให้ไอ้เบสต์ แล้วไอ้เคนก็เดินไปพูดเป็นคนต่อไป

“เคน นะครับ ฉัตรปวีร์ อัครโชติ ครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมถ่ายภาพ โรงเรียนกางเกงสีเทาที่ขอนแก่นครับ”
“เคนเกิด 18 ต.ค ครับ มีน้องชาย 1คน”
“อยากเรียน นิเทศศาสตร์ครับ และเป็นช่างภาพมืออาชีพเหมือนเบลครับ
“ดีใจที่สุดก็คงที่ได้ไปวันเกิดไอ้อาร์มครับ เพราะทำให้ผมได้เจอเบลครับ” พวกเราเป่าปากวี๊ดหวิ่วแซวไอ้เคน กันลั่น ไอ้เคนลุกขึ้น คิวต่อไปเป็นของไอ้บิว

“บิวครับ สักกทัศน์ พิพัฒนชัย ครับ”
“ผมเกิด 24 ส.ค ครับ มีน้องสาว 1 คน
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมดนตรี โรงเรียนกางเกงสีดำแถวสาธรครับ”
“อยากเรียน คณะดุริยางค์ศาสตร์ มอแถวศาลายาครับ อยากมีวงดนตรีเป็นของตัวเองครับ”
“ดีใจที่สุดก็คงเป็นได้หัวหน้าชมรมดนตรีล่ะครับ” พวกเราตบมือให้ไอ้บิวหลังจากที่มันแนะนำตัวเสร็จ ไอ้บูมเป็นคนต่อไป

“ถกลเกรียติ วัฒนไพศาล ครับ ชื่อเล่นชื่อ บูม นะครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมเชียร์ โรงเรียนกางเกงสีดำแถวสาธรครับ”
“ผมเกิด 19 พ.ย ครับมีน้องชาย 1 คน”
“อยากเรียนเรียนคณะ แพทย์ ครับ แต่ไม่รู้จะสอบติดกะเค้าหรือเปล่า”
“ดีใจที่สุด คือทำหน้าที่หัวหน้าชมรมเชียร์ปีนี้ครับ” เสียงตบมือให้ไอ้บูมดังขึ้น แล้วไอ้บาสก็เดินเข้าไปพูดเป็นคนต่อไป

“บาสครับ วาทินเมธ เสรษฐวุฒิ ครับ”
“บาสเกิด 29 ก.พ ครับ 4 ปีจะมีวันเกิดกะเค้าสักครั้งครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมดุริยางค์ แล้วก็เป็นดัมเมเยอร์ โรงเรียนกางเกงสีดำแถวสาธรนี่แหละครับ”
“อยากเรียนคณะ ดุริยางค์ศาสตร์ มอแถวศาลายาครับ
“เรื่องที่ดีใจที่สุดก็คือเล่นเฟสบุคเป็นเลยจีบปั๊ปติดครับ” ไอ้แบงค์กับไอ้บูมแล้วก็ผมเป่าปากกันดังลั่นเพราะเราสามคนเป็นคนสอนให้ไอ้บาสเล่นเฟสบุคจนจีบไอ้ปั๊ปติด พอไอ้บาสแนะนำตัวเสร็จ ก็เป็นคิวของคนที่คุณก็รู้ว่าใครครับ

“เกมส์ครับ ณัฐภัทร กิตติกรสกุล ครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมเทนนิส โรงเรียนกางเกงสีน้ำเงินแถวบางรักครับ”
“ผมเกิด 8 ส.ค ครับ ผมมีพี่ชาย 1 คน ผมเป็นลูกคนเล็กของบ้านครับ”
“อยากเรียน สถาปัตย์ ครับ มออะไรก็ได้ แต่ถ้าได้แถวสามย่านจะดีมากครับ”
“ดีใจที่สุดก็คือได้มาเป็นเพื่อนกับทุกๆคนครับ” พวกเราตบมือให้ไอ้เกมส์เมื่อมันแนะนำตัวเสร็จ คิวต่อไป ก็เป็นคิวไอ้โอมครับ

“ผมโอมนะครับ ฑีฆายุ อำนวยศิลป์ครับ”
“ผมลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 16 พ.ย ครับ มีน้องชาย 1 คน ผมเปนพี่คนโตครับ”
“ผมเป็นหัวหน้าชมรมเทนนิส โรงเรียนกางเกงน้ำเงินแถวหอสมุดแห่งชาติครับ”
“อยากเรียน วิศวะ ครับ มออะไรก็ได้ครับ”
“ดีใจที่สุดก็คือได้มาทริปกับไอ้บีมแล้วก็เพื่อนๆทุกคนครับ” เสียงตบมือดังขึ้นเมื่อไอ้โอมแนะนำตัวเสร็จ คิวต่อไปเป็นของไอ้แบงค์ไอ้เพื่อนซี้ตัวแสบของผมครับ

“ผมนายแบงค์นะครับ ปฏิภาณ ปัทมศิริครับ”
“ผมเป็นรองหัวหน้าชมรมเทนนิส โรงเรียนกางเกงสีดำแถวสาธรครับ”
“ผมเกิด 19 ก.ค มีน้องชายกะเค้า 1 คนครับ”
“อยากเรียน คณะมนุษย์ ครับ มออะไรก็ได้ ผมอยากเป็นนักโบราณคดี”
“ดีใจที่สุด ก็คงเหมือนไอ้โบ้ทครับ ที่ทีมเทนนิสโรงเรียนเราได้แชมป์ครับ”
“เห็นผมปากหมาๆแบบนี้ แต่รักใครก็รักจริงนะครับ” ไอ้แบงค์สรุปปิดท้าย เสียงไอ้บีมกับไอ้ไบร์ทโห่ฮา กับมุขเสียวๆของมัน พอไอ้แบงค์แนะนำตัวเสร็จ ก็เป็นคนสุดท้ายครับ คุณชายบอส

“ปิดท้ายที่ผมนะครับ บอสครับ จารุวัฒน์ อรรถากร”
“ผมเป็นประธานสภานักเรียนโรงเรียนเด็กกางเกงสีดำแถวสาธรครับ”
“ผมเกิดวันที่ 5 เม.ย ครับ ผมเป็นลูกคนเดียวครับ ส่วนไอ้บัดนั่นเป็นลูกพี่ลูกน้องนะครับ” บอสผายมือไปที่ไอ้บัดที่ใช้นามสกุลเดียวกับมัน
“ผมชอบสีเขียวครับ”
“ผมอยากเรียนคณะ วิศวะ ครับ มออะไรก็ได้ แต่ถ้าอยู่มอเดียวกับโบ้ทจะดีที่สุดครับ” เสียงไอ้แบงค์เป่าปากแซวดังมาอีกรอบ
“ดีใจที่สุด ก็คงเป็นที่ได้กลับมาคบกับโบ้ทเป็นแฟนอีกครั้งครับ” คราวนี้เสียงเป่าปากแซวดังยิ่งกว่าเก่า ไอ้บอสยิ้มบางๆ อย่างภูมิใจ ส่วนผมแถบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้

พอไอ้บอสแนะนำตัวเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายกลับฟูกใครฟูกมัน เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปปายกันต่อ ผมมีความสุขที่ได้ซุกตัวอยู่ใต้ไออุ่นของบอสอีกครั้ง   บอสประทับริมฝีปากเบาๆลงที่หน้าผากผมเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์นะครับโบ้ท”
“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับบอส”


.....................

วันนี้เป็นวันแรกในทริป ที่ไม่ต้องตื่นแต่เช้า เพราะวันนี้โปแกรมของเราคือเดินทางเชียงใหม่ไปปายเท่านั้น ผมกับบอสเริ่มตาตื่นขึ้นมา ตอน 9.00 น. แอบนอนกลิ้งๆอาลัยที่นอนกันอีกแปป ก่อนจะลุกไปทำธุระส่วนตัวกัน ปลุกพวกเพื่อนๆ เก็บกระเป๋ากันเรียบร้อยก็เกือบจะ 10.00 น. พ่อกับแม่ของเบรฟเตรียมข้าวซอยไก่ไว้รอพวกเรากันแล้ว

กินข้าวซอยกันเสร็จพวกเราก็ช่วยกันเก็บชามไปไว้ในครัวกัน พี่แม่บ้านรอรับไปล้าง ก่อนจะออกมาขอบคุณพ่อกับแม่ไอ้บูลไอ้เบรฟ แล้วก็เตรียมตัวเดินทางมุ่งหน้าสู่อำเภอปายกัน

รถบัสเริ่มเคลื่อนตัวออกจากเชียงใหม่ก็เกือบจะ 11.00 น. จากเชียงใหม่ ใช้ทางหลวงหมายเลจข 107 ผ่านอำเภอแม่ริมมาจนถึงอำเภอแม่แตง พอมาถึงแยกแม่มาลัยเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง 1095 สู่ถนนแม่มาลัย-ปาย-แม่ฮ่องสอน อันได้ชื่อว่าถนนพันโค้ง เหลือเชื่อว่าเส้นทางจากแม่มาลัยถึงแม่ฮ่องสอนระยะทางประมาณ 103 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นถนนลาดยางตลอดเส้นทาง แม้จะมีความคดเคี้ยวสูงชัน แต่ทว่าการเดินทางมารถส่วนตัวจะทำให้เราได้มองทิมทัศน์ที่สวยได้งามได้จากสองข้างทางและเป็นมุมสูงที่สวยงามของธรรมชาติอีกด้วย
 
“ใครเอายาแก้เมารถบ้าง” ผมลุกขึ้นยืนตะโกนถามพวกมัน
“กรูเอา”
“เอาครับ”
“ผมเอาคับพี่”

เสียงร้องขอตัวช่วยดังค่อนรถ พร้อมกับยกมือกันสลอน เพราะทุกคนรู้ว่าที่ผ่านมาแม้เขาจะสูงแต่ก็ไม่โหดเท่าทางที่พวกเรากำลังจะไปกันผมเดินแจกยาแก้เมารถตามเบาะที่นั่ง

“ไม่เอาเหรอมรึง” ผมถามไอ้แบงค์
“แค่นี้จิ๊บๆ” ไอ้แบงค์มันมั่นใจมากว่ามันไม่เมา
“แน่ใจเหรอมรึง” ผมถามมันอีกรอบ
“อืมแน่ใจ ทางที่ผ่านมากรูก็ชิวๆ ไม่ต้องห่วงกรูหรอก”
“ปล่อยมัน ไอ้โบ้ท แต่กรูขอยาด้วย” ไอ้อาร์มออกจะหงุดหงิดความมั่นใจของไอ้แบงค์
“ไอ้อาร์มมรึงเตรียมถุงก๊อกแก็ปเพื่อ ข้าวซอยไก่มันจะย้อนออกมาด้วยนะ” ผมบอกไอ้อาร์ม
“นี่ไง” ไอ้อาร์มชี้ไปที่ถุงใส่น้ำของร้านสะดวกซื้อที่พวกเราแวะกันก่อนจะขึ้นเขา
“จะเอายาดมบอกกรูนะ กรูมี” ผมย้ำกับไอ้อาร์ม



ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงก็เพราะต้องจัดการกับ 762 โค้ง ตลอดเส้นทางเราจะได้พบกับเครื่องหมายจราจรเกือบครบทุกแบบ ไม่ว่าจะ “โค้งตัว S” “โค้งอันตราย” หรือ “โค้งหักศอก” นับเป็นเส้นทางหฤโหดเส้นทางหนึ่ง

“ไอ้โบ้ท กรูขอยาดม หน่อย” ไอ้อาร์มเดินมาขอยาดมกับผม
“นี่อ่ะ” ผมเปิดกระเป๋าสะพายคว้ายาดมส่งให้ไอ้อาร์ม มันพยักหน้าผมแล้วหันไปทางไอ้แบงค์ ที่ตอนนี้นั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ที่ที่นั่งของมัน
“กรูบอกแล้ว” ผมตะโกนด่าไอ้แบงค์มัน
“กรูยังไม่อ๊วกโว้ย” มันยังมีแรงปากดีกลับมา
“ไม่ต้องปากดีเลยแบงค์” ไอ้อาร์มหันไปดุ ไอ้แบงค์ทำปากจู๋ใส่ไอ้อาร์ม
“ขอยาแก้เมารถด้วยหว่ะโบ้ท” ผมควักยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ไอ้อาร์มไป

พอผ่านกิโลเมตรที่ 40 มา รถบัสก็เลี้ยวขวาพาพวกเราไปตามแคบๆเล็ก ที่เป็นทางเข้าป่งเดือดป่าแป๋

โป่งเดือดป่าแป๋ เป็นส่วนหนึ่งของเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังซึ่งจุดเด่นสำคัญเลยก็ตัวน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ ลักษณะของน้ำพุที่พุ่งขึ้นจากผิวดินเป็นครั้งคราวต่อเนื่องตลอดเวลา โดยที่ระยะเวลาในการพุ่งขึ้นมาสม่ำเสมอ อุณหภูมิของน้ำที่ขึ้นมาถึงผิวดินแล้ว จะอยู่ประมาณ 90-100 องศาเซลเซียส สำหรับโป่งเดือดป่าแป๋นี้จัดว่าเป็นน้ำพุร้อนแบบไกเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยเลยทีเดียว


Cr.รูปภาพจาก www-thaiticketmajor-com

รถบัสจอดตรงที่จอดรถ พวกเราต้องลงเดินระยะทางประมาณ 500 เมตร

“พวกมรึงหยิบกางเกงขาสั้นกับผ้าเช็ดตัวเผื่อไปด้วย” ผมตะโกนบอกพวกมัน ก่อนจะลงจากรถ
“เด่วเราจะไปแช่น้ำร้อนกัน” นั่นคือสาเหตุที่ทำไมต้องหยิบกางเกงขาสั้น

พี่พนักงานขับรถ ลงมาเปิดประตูช่องเก็บกระเป๋าให้พวกเรา ไอ้เบลก็ไม่ลืมที่จะชวนพี่เขาไปแช่น้ำร้อนด้วยกัน

เส้นทางทางในการเดินชมน้ำพุร้อนไม่ได้โหดมาก แต่ก็เดินขึ้นเดินลงพอสมควร ตามทางมีเถาวัลย์ มีกิ่งไม้ขนาดใหญ่พาดผ่านตามทางเดิน เดินมาไม่นานพวกเราก็มาถึงน้ำพุร้อน

Cr.รูปภาพจาก blog คุณ wicsir


เราก็มาถึงตัวน้ำพุร้อนซึ่งกำลังพวยพุ่งขึ้นมาเหนือพื้นดินอย่างต่อเนื่อง บริเวณรอบๆ นี้จะอบอวลไปด้วยกลิ่นกำมะถันที่พุ่งขึ้นมาพร้อมๆ กับน้ำพุ และด้วยอุณหภูมิของน้ำร้อนที่สูงสุดถึง 100 องศาเซลเซียสโดยประมาณ จึงไม่น่าแปลกใจถ้าบริเวณโดยรอบนี้จะมีรั้วรอบขอบชิดและป้ายห้ามเข้าใกล้ตัวน้ำพุร้อนให้เห็นอย่างชัดเจน พวกเรายืนถ่ายรูปกันกับน้ำพุร้อนเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมาเที่ยวที่นี่

Cr.รูปภาพจาก www-yellowpages-co-th

พอถ่ายรูปกันเสร็จทางเดินก็นำเราเดินต่อมาผ่านป่ามีบางช่วงที่ทางเดินทำเป็นสะพานมีราวกั้นกันตก บางทีมีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางอยู่ต้องมุดต้องปีนข้ามกันออกมา ไม่นาน ภาพตรงหน้าเราทำเอาพวกเราอึ้ง เพราะมองเห็นบ้านพักที่จัดเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวพัก ทำจากไม้ เรียงลายกันอยู่หลายสิบหลัง ไกลออกไปมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนเป็นฉากหลัง ไอ้เบลกับไอ้เคนอดใจไม่ไหวบอกให้พวกเราถ่ายรูปอีกตามระเบียบ



Cr.รูปภาพจากblog คุณ wicsir,www-weekendhobby-com


พวกเรามาถึงบ่อน้ำร้อนสำหรับแช่ตัวไว้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว จ่ายค่าเข้ากันเรียบร้อย พวกเราเลือกบ่อรวมที่เป็นบ่อกลางแจ้งขนาดใหญ่ ที่นี่มีบริการให้ 2 บ่อ พวกเราก็ยึดกันบ่อหนึ่งแล้ว ด้วยจำนวนคน 31 คน จากบ่อใหญ่ๆก็แน่นขนาด น้ำอุ่นจนเกือบร้อน

“ร้อนหวะ” ไอ้แบงค์บ่นทันทีเมื่อเท้าเตะโดนน้ำ
“ค่อยเอาลงดิวะ” ผมสาธิตการค่อยหย่อนตัวลงในบ่อน้ำร้อน
“ค่อยให้ร่างกายปรับสภาพก่อน” ไอ้บอสเสริมอีกคน
“ตอนแรกที่ค่อยลงไป มันทรมานชิบหายเลยหวะ” ไอ้เกมส์บอกพวกเราหลังจากที่ตัวมันลงไปอยู่ในบ่อแล้ว
“แต่พอลงมาแล้วโคตรสบายเลยหวะ โล่งหัวเลย” ไอ้แบงค์ที่ตอนแรกบ่นอุ๊บ กลับชอบเมื่อลงมาแช่ทั้งตัวแล้ว
“กรูบอกแล้วว่าสบายเห็นป่ะ เชื่อกรูบ้างไรบ้างเหอะมรึง ตั้งแต่ยาแก้เมาแระ” ผมหันไปบ่นไอ้แบงค์ มันหันมายิ้มตาหยี่พร้อมกับเอามือขึ้นมาเกาหัวแก้เขิน

พอลงมาจริงๆแล้วรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัวมากๆ พวกเราแช่กันประมาณ 10 นาทีแล้วขึ้นไปที่ริมบ่อจะมีก๊อกฝักบัวเป็นน้ำเย็น ให้ร่างกายได้ผ่อนคลายความร้อน ทำสลับกันแบบนี้ รู้สึกได้เลยว่าเลือดลมไหลสะดวกดี


Cr.รูปภาพจาก www-thetrippacker-com,www.thailovetrip-com


พอแช่น้ำอุ่นกันจนสบายตัวแล้ว พวกเราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเก็บของเดินออกมตามถนนที่นำเราไปสู่ที่จอดรถ คนละเส้นกับที่เดินไปน้ำพุร้อนตอนขามา ไม่นานก็ข้ามสะถานที่มีลำธารขนาดใหญ่พอสมควรไหลผ่าน เป็นช่วงที่ลำธารไหลลงจากที่สูงเหมือนน้ำตกกลายๆ ลำธารนี้ก็ไหลมาจากน้ำพุร้อนนั่นเอง

รถบัสนำเราออกมาจากโปร่งเดือดป่าแป๋ กลับเข้าสู่ทางหลวงหมายเลขจ 1095 อีกครั้ง ใช้เวลาพอสมควรก็ผ่านทางเข้าอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำด้ง พอเลยอุทยานฯห้วยน้ำดัง ไปได้ไม่ไกลมากก็เริ่มลงจากภูเขา และเริ่มเข้าสู่อำเภอปาย

ก่อนจะเข้าปาย พวกเราแวะที่สะพานประวัติศาสตร์ ชมวิวแม่น้ำปาย แล้วก็ถ่ายรุปกับสะพานที่มีอายุเก่าแก่ 53 ปี สะพานเป็นสะพานไม้ผสมเหล็ก พื้นสะพานเป็นไม้ แต่ครอบด้วยโครเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่ จุดน้ำมองเห็นแม่น้ำปายได้ชัด ข้างทางมีร้านขายของที่ระลึกอยู่เต็ม


Cr.รูปภาพจาก www-biogang-net,chill.co.th


พอถ่ายรูปกันเสร็จก่อนจะเข้าที่พัก รถบัสก็จอดแลนด์มาร์กสำคัญของที่ปายอีกแห่งหนึ่ง ร้านกาแฟ coffee in love ร้านกแฟบรรยากาศดีๆ ที่มองเห็นท้องทุ่งเมืองปายเพราะตั้งอยู่บนเนินเขา โดยทุ่งกว้างนี้มีทิวเขาสูงใหญ่เป็นฉากหลัง พวกเราสั่งกาแฟกันเรียบร้อย ก็สาระวนอยู่กับการถ่ายรูปตามจุดต่างๆที่ร้านจัดเอาไว้รองรับลูกค้า ด้านข้างเป็นบ้านสไตล์ยุโรปสีเหลืองเป็นอีกแห่งที่เกือบทุกคนต้องมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้






Cr.รูปภาพจากwww-12fly-com,ska-hihi-tt-blog,ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง



ปายเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาสูงตระหง่าน ฤดูหนาวอากาศเย็นจัด เมืองเล็กๆแห่งนี้มักปกคลุมด้วยสายหมอก ละอองน้ำจางๆยามเช้า บรรยากาศอันเงียบสงบ ทุ่งนาสีเขียว ท้องฟ้าสีคราม กับแสงแดดอุ่นๆ ที่ทอดผ่านม่านหมอกหนา แลเห็นต้นสนไม้ยืนต้นเมืองหนาวสูงใหญ่เป็นทิวแถวตามเชิงเขา วิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คน ด้วยความเป็นเอกลักษณ์นี้ ปายได้ดึงดูดนักเดินทางรวมทั้งตัวผมเองให้มาสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งนี้

รถบัสนำพวกเราผ่านตัวอำเภอที่เป็นเมืองสมัยใหม่มีตึกแถวที่เห็นได้โดยทั่วไป แล้วก็จะเลี้ยวขวาผ่าหน้าที่ทำการอำเภอก็จะเริ่มเป็นบรรยากาศเมืองเก่า ที่เห็นเป็นบ้านไม้ ก่อนที่รถบัสจะจอดส่งพวกเราลงที่รีสอร์ดที่อยู่ติดแม่น้ำปาย

บ้านปายวิลเลจ เป็นรีสอร์ทแบบเรียบง่ายแต่ทว่าสวยงาม ตัวเรือนพักเป็นเหมือนกระท่อม ทำจากไม้ทั้งหลัง มีกระจกบานเฟี้ยมกั้นภายนอกกับภายในเป็นสัดส่วน มีห้องน้ำในตัว ตัวเตียงนอนทำจากไม้ไผ่มีเสากระโดงสี่ต้นรองรับคานเพื่อครอบมุ้ง ด้านหน้ามีระเบียงหน้าห้องนิดหน่อย สภาพแวดล้อมปลูกต้นไม้พุ่ม ต้นไม้ใบหใญ่สีเขียวสดใส มีลำธารเล็กๆลัดเลาะไปตามกระท่อม  ตัวร็อบบี้เป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่ตรงนี้จัดเป็นลานอเนกประสงค์ ตอนเช้าก็เป็นที่รับประทานอาหารเช้าอีกด้วย




Cr.รูปภาพจาก 1081009-tourismthailand-org,www-xn--12c7bnkw1gjt5o.tv,www-จองที่พักปาย-com



ตอนโทรมาจองเกือบจะไม่ได้ที่นี่ เพราะทั้งรีสอร์ดมีอยู่แค่ 25 ห้อง เราจองไป 17 เกือบจะเหมาทั้งรีสอร์ท แต่ตอนนั้นห้องว่างมีแค่ 15 ห้อง ผมกับบอสก็เลยต้องหาที่ใหม่ แต่พอดีมีคนแคนเซิ้ล 2 ห้อง รีสอร์ทรีบโทรกลับมาบอก พวกเราก็เลยได้พักที่นี่กัน

พวกเราเก็บของเข้าที่เข้าทางก็นอนพักเอาแรงกัน เพราะเย็นนี้มีอีกที่ที่พวกเราพลาดไม่ได้ ถนนคนเดินปาย พวกเรากะไปฝากท้องมื้อเย็นที่นั่นกันครับ


Game
See you Next Game

-----------------------------------------------

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ตารางทัวร์แน่นมาก ถ้าจะตามรอยทัวร์คณะนี้คงต้องใช้เวลาเป็นสองเท่า อิอิ

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 68th Game  – Pai in love

ถนนคนเดินปายเป็นถนนคนเดินเส้นที่ยาวมากๆเส้นหนึ่งมเริ่มจาก ที่ว่าการอำเภอปายจนถึงลำน้ำปายมีการปิดจราจรทำให้สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าหลากหลายทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าจำพวก ของที่ระลึก เสื้อผ้า รูปภาพ โปสการ์ดตลอดจนถึงร้านอาหารที่มีทั้งอาหารพื้นบ้าน อาหารฝรั่ง อาหารมุสลิม ให้เลือก อยู่เต็มถนนเส้นนี้

Cr.รูปภาพจาก www-smiletravel-in-th


“ไอ้โบ้ท ชิมนี่” ไอ้เบลส่งขนมปังปิ้งรูปร่างแปลกตามาให้ผม
“อร่อยดีหว่ะ” ผมรับขนมปังมากัดเข้าไปคำแรก อุทานทันที่ความอร่อยพุ่งเข้าที่ปลายลิ้น”
“ซื้อตรงไหนวะ” ผมหันไปถามมัน
“โน่น” ไอ้เบลชี้ย้อนกลับที่ร้านที่เพิ่งเดินผ่านมา
“มีหลายหน้านะมรึง” ไอ้เบลบอกผมจนผมต้องลากไอ้บอสเดินกลับไป
“บอส ไปซื้อนี่กัน” ผมพูดเสร็จก็คว้าข้อม้อบอสเดินย้อนกลับมา
“อ่ะ ชิม” ผมป้อนขนมปังที่ผมกัดไว้แล้วครึ่งหนึ่งให้บอสชิม
“อร่อยอ่ะ” บอสยังชม
“เบียร์ ๆ ไปซื้อนี่กัน” ผมชวนไอ้เบียร์ที่กำลังเดินสวนมากับคุณพี่ชายพอดี

ขนมปังร้านนี้เอาขนมปังฝรั่งเศสมาฝานเป็นแผ่นแล้วใส่หน้าลงไป แล้วนำไปปิ้ง มีหลายหน้าเช่น แฮมชีส ที่ผมเพิ่งชิมไป ผักโขม พอสั่งเสร็จ ยืนรอแปปเดี๋ยวแม่ค้าก็ส่งถุงขนมปังให้พวกเรา พอจ่ายเงินเสร็จ สิ่งแรกก็คือหยิบแจก ไอ้บอส ไอ้เบียร์แล้วก็ไอ้เบนซ์

“กร็อบ” เสียงกัดขนมปังกรอบที่ยังอุ่นๆ แล้วชีสที่ยืดตามมาอีก
“อร่อย” ไอ้เบียร์ถึงกับตาโต ถ้าไอ้เบียร์ว่าอร่อยแล้วก็การันตีได้ว่าอร่อยจริงๆ

ไอ้เบนซ์กับไอ้เบียร์ เดินกลับไปซื้อขนมปังปิ้งร้านนั้นเพิ่ม เอามาฝากเพื่อนๆทุคนอีกรอบ

Cr. รูปภาพจาก www-tueymeaw-com

ผมกับบอสเดินดูร้านต่างๆที่อยู่บนถนนคนเดิน มีทั้งของตกแต่ง ของที่ระลึก วางขายอยู่เต็มสองข้างทาง บรรยากาศอบอุ่นๆแบบเมืองเหนือ พ่อค้าแม่ค้ายิ้มแย้ม ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงหลงเสน่ห์เมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่เสื่อมคลาย

ผมกับบอสเดินมาถึงร้านเสื้อยืด ก็เจอไอ้บีมกับไอ้โอมที่กำลังซื้อเสื้อยืดกันอีกรอบ

“ไอ้บีม มรึงจะซื้อเสื้อทุกที่ที่ไปเลยใช่ป่าว” ผมแซวมัน
“เออดิ กรูอยากเก็บเสื้อยืดพวกนี้เป็นที่ระลึกทุกที่ที่กรูไปหว่ะ” มันหันมาตอบ
“ต้องซื้อเป็นคู่ด้วยมรึง” ไอ้โอมหันมาบอกผม
“ทำไม โอมไม่อยากใส่กับเค้าเหรอ” ไอ้บีมหันมาตัดพ้อ
“ป่าวจร้าที่รัก เค้าแค่บอกไอ้โบ้ทมัน” ไอ้บีมรีบแก้ตัว
“บีมเลือกเลย เอาตัวไหนดี” ไอ้โอมรีบไปเอาใจ แต่ก็ไม่ลืมหันมาพยักหน้าให้ผม เป็นอันรู้กันว่า ยังไงก็ต้องใส่เสื้อคู่อยู่ดี


,Cr.รูปภาพจาก www-tourtooktee-com,www-weekendhobby-com


พวกเราเข้ามาที่พักก็สี่ทุ่มกว่าๆแล้ว
“อาบน้ำกัน” บอสหันมาชวนผม
“ไม่อบได้เปล่าอ่ะ หนาว” ผมอิดออดไอ้บอส
“ไม่เหนียวตัวเหรอ” บอสถามกลับมา
“ไม่อ่ะ เพิ่งอาบก่อนจะไปเดิน แถมอากาศเย็นซะขนาดนั้น โบ้ทไม่มีเหงือเลย” ผมรีบตอบบอส เพราะไม่อยากหนาว
“งั้นมาล้างมือ ล้างหน้า ล้างเท้าก่อน” บอสยังไม่ยอมอยู่ดี ผมเลยต้องลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ล้างเท้า ล้างมือ

“ล้างตรงนั้นด้วยดิ” ผมหันขวับเมื่อได้ยินไอ้บอสบอก แต่เจอสายตาเว้าวอนของคุณชายบอสเข้าไป น้องโบ้ทก็ใจอ่อนทุกที
“อืม ก็ได้” ผมหันไปตอบมันสีหน้าเซ็งเบาๆ เพราะเริ่มง่วงนอนแล้ว
“แฟนบอสน่ารักที่สุดในโลกเลย” ไอ้บอสหันมายิ้มแป้น เพราะได้ดั่งใจบอสแล้ว

จริงๆแล้วผมก็เข้าใจนะว่าที่นี่คือปาย มาถึงนี่แล้วบอสคงต้องการฝากความประทับใจให้ผมว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยมา “สะบึ้ม” กันที่ปาย อร๊ากกกกกกก ไอ้โบ้ทแกใช้สมองส่วนไหนคิดเนี่ย.....

.............................

ผมตื่นมาประมาณ 05.30 เพราะ Iphone เครื่องสีขาวของผมร้องตามที่โปรแกรมสั่งมันเอาไว้ เช้าวันนี้พวกเราจะต้องออกเดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน ปกติบอสจะเป็นคนปลุก แต่อาจจะเพราะเมื่อคืน ^-^ มันซ่าหนักไปหน่อย ผมเลยต้องเป็นฝ่ายปลุกบอส ด้วยหอมฟอดใหญ่ที่แก้มขาวๆเนียนๆของไอ้คุณชายหน้าหล่อ

“บอสครับ ตื่นได้แล้วครับ” ผมเขย่าตัวบอสเบาๆ
“ครับ” บอสส่งเสียงรับคำผมกลับมา
“บอสตื่นนะครับ เดี๋ยวโบ้ทขอไปปลุกพวกมันก่อน” ผมบอกไอ้บอส
“พอเปิดประตูกระจกออกมา โดนลมหนาวเย็นยะเยือกเท่านั้น ผมก็หันหลังกลับมาหยิบอุปกรณ์กันหนาวอย่างไว

พอออกมาจากห้องผมก็ไล่เคาะปลุกพวกมันไปทีละกระท่อม แล้วก็ย้ำเวลากับพวกมันว่า 06.30 น. กินข้าวเช้ากันที่ล็อบบี้ของโรงแรมกันนะ

พอกลับมาถึงห้อง คุณชายบอสก็อยู่ในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว บอสส่งแปรงสีฟันที่บีบยาสีฟันเรียบร้อยแล้วให้ผม เรารีบทำธุระส่วนตัวกัน

เอ๊ะๆๆ วันนี้”สะบึ้ม” กันตอนเช้าไม่ทันนะครับ คนอ่านคิดอะไรกันอยู่ อิอิ

........

หลังจากทานมื้อเช้าที่รีสอร์ทกันเรียบร้อยก็เก็บของกัน เสร็จแล้วก็เช็คเอ๊าท์จากรีสอร์ทเวลาประมาณ 07.00 น. รถบัสมุ่งหน้าฝ่าสายหมอกสีขาว ไปตามทางหลวงหมายเลข 1095 กันต่อ  ผ่านมาได้ 20 กว่ากิโลเมตรก็ถึงจุดชมวิวดอยกิ่วลม เป็นจดชมวิวที่สวยอีกแห่งหนึ่งเป็นเส้นทาง ปาย-แม่ฮ่องสอน สามารถมองทิวทัศน์ไปได้ไกล เห็นทิวเขาสลับซับซ้อนเรียงตัวลดหลั่นกันสุดตา มีจุดบริการนักท่องเที่ยว แล้วก็มีร้านกาแฟสุดน่าๆรัก อากาศหนาวแบบนี้เอสเปรสโซ่ร้อนสักแก้วคงดี มีน้องๆชาวเขาแต่งตัวเต็มยศ มาชวนถ่ายรูปด้วย พวกเราก็ถ่ายรูปกับน้องๆแล้วก็ช่วยเงินเล็กๆน้อยเป็นทุนการศึกษากับพวกน้องๆ



Cr.รูปภาพจาก www-panoramio-com,Campusman@พันทิป


ออกจากจุดชมวิวดอยกิ่วลมรถบัสก็ลัดเลาะไปตามเส้นทาง วิวสองข้างทางนั้นสวยงาม ชื่นชมทิวทัศน์ได้ไม่นานรสบัสก็พาเรามาถึงอำเภอปางมะผ้า พอเลยปางมะผ้ามาพอสมควรรถบัสก็เลี้ยวขวามาจอดที่ริมถนนที่ตัดขึ้นโครงการพระราชดำริปางตอง จากนี้ต้องใช้บริการรถสองแถว ที่พวกเราจองกันไว้ล่วงหน้าแล้วจำนวน 3 คัน เพราะถนนแคบมากรถบัสเลยขึ้นไปไม่ได้ และสถานที่พวกเราจะแวะเข้าไปชมก็เป็นอีกที่หนึ่งที่คนมาแม่ฮ่องสอนต้องมานั่นก็คือ ปางอุ๋ง

รถสองแถวสีเหลืองสดใส 3 คันขับต่อแถว นำพวกเราลัดเลาะตามเส้นทางมาถึงหมู่บ้านรวมไทย ตอน 11.00 น. พวกเราแวะกินข้าวกลางวันกันที่นั่น


Cr.รูปภาพจาก boolover-blog

พอทานข้าวกันเสร็จก็มุ่งหน้าสู่ปางอุ๋ง ปางอุ๋ง มีลักษณะเป็นพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บนยอดเขาสูง ริมอ่างเก็บน้ำเป็นทิวสนที่ปลูกเรียงรายกัน  ความหมายโดยรวมของชื่อปางอุ๋งก็ก็น่าจะหมายถึงที่พักริมอ่างเก็บน้ำนั่นเอง ภาพอันสวยงามของไอหมอกที่ลอยเหนือทะเลสาป กับบรรยากาศอันหนาวเหน็บในยามเช้า ทำให้ปางอุ๋ง กลาย เป็น เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ยอดฮิตสุดแสนโรแมนติกติดอันดับต้นๆของ แม่ฮ่องสอน จนได้รับขนานนาม ว่าเป็น "สวิตเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทย"


Cr.รูปภาพจาก สมาชิกหมายเลข 772558@พันทิป

ยิ่งยามพระอาทิตย์ขึ้นจะสะท้อนผืนน้ำผ่านทิวสนและไอหมอกบางๆ ยิ่งเป็นภาพที่สร้างความประทับยากจะลืมเลือน แม้ในกระทั่งเวลาที่หมอกเลือนลางหายไปก็ยังคงความงาม ที่ปางอุ๋งนอกจากชมบรรยากาศของสายหมอกในยามเช้าแล้ว กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่พลาดไม่ได้ คือ การนั่งแพ ชมทัศนียภาพและ บรรยากาศโดยรอบ รวมถึงชมนดาราแห่งปางอุ๋ง นั่นก็คือหงส์พระราชทานจากพระราชินี ซึ่งเป็นหงส์ดำและหงส์ขาวอย่างละ 1 คู่ด้วยกัน




Cr.รูปภาพจากwww-smilethailandtour-com,www-bloggang.com-data-o-o2t-picture-1388827635-jpg

แม้จะเที่ยงวันแล้ว แต่ก็ยังพอมีไอน้ำลอยขึ้นมาอยู่บ้าง เพราะอากาศค่อนข้างเย็น พวกเราขนาดใส่เสื้อกันหนาวผ้าพันคอป้องกันมาอย่างดี ยังได้รับไอ้เย็นยะเยือกที่ทะลุผ่านเสื้อผ้าของเราเข้ามาอยู่ดี

“เงียบสงบดีนะ” ไอ้บลูคุยกับผมขณะพวกเราก็มาลอยเท้งเต้งอยู่ในอ่างเก้บน้ำท่ามกลางสายหมอกบางด้วยแพที่มีไว้บริการนักท่องเที่ยว แพของผมมี ผมไอ้บอส ไอ้บูลไอ้บอมบ์ แล้วก็ไอ้เบสต์กับไอ้แดน
“อืมม สวยและสงบจนไม่อยากจะกลับเลย” ผมหันไปตอบไอ้บลู เพราะที่เราอยู่สวยงเหมือนอยู่ในภาพวาด มองไปรอบข้างบนฝั่งก็เต็มไปด้วยป่าสน ล้อมรอบพวกเราไปหมด
“ไว้คราวหน้ามามากลางเต้นนอนที่นี่กันเนอะ” ไอ้เบสต์ชวนพวกเรา เพราะทริปนี้เราคงได้แค่แวะ แต่คราวหน้ารับรองว่าต้องมานอนสักครั้งให้ได้

“โห น้ำเย็นชิบเหยเลยพี่โบ้ท” เสียงไอ้บัดที่อยู่แพข้างๆเราทำลายความเงียบ
“น้ำเย็นไม่ต้องชิบหายก็ได้มั้งไอ้บัด” ผมบอกมันกลับไป
“ก็มันเย็นจริงๆอ่ะพี่” ไอ้บัดแก้ตัว
“หยุดพูดโวยวายได้แล้วบัด” แล้วไอ้บัดก็ดดนไอ้วินเบิดกะโหลกไปหนึ่งที


Cr.รูปภาพจากwww-fotobug-net

พอขึ้นจากแพ ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกกันเรียบร้อย พวกเราก็นั่งรถสองแถวสีเหลืองกลับลงมาที่ปากทางขึ้นโครงการพระราชดำริฯ แล้วรถบัสก็มุ่งหน้าสู่ตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน

พวกเราแวะถ้ำปลาก่อนจะเข้าตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน มาถึงถ้ำปลาก็ 15.30 น.แล้ว ถ้ำปลา มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลออกมาจากใต้ภูเขาหิน ด้านหน้าภูเขาจะเป็นวังน้ำ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาพลวง ปลาพลวงเป็นญาติกับปลาคราฟแต่สีสันออกเขียวๆดำๆ เป็นปลาที่ชอบอาศัยอยู่ตามน้ำตกและธารน้ำในป่า ไม่สามารถที่จะรับประทานได้ เพราะอาหารของปลาชนิดนี้คือลูกไม้ในป่าที่หล่นลงมาในน้ำ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีพิษเมื่อปลากินเข้าไปจึงทำให้เนื้อของปลามีพิษไปด้วย จึงไม่มีใครนิยมรับประทานปลาชนิดนี้ กิจกรรมการท่องเที่ยวของที่นี่ คือ การเที่ยวชมและให้อาหารฝูงปลาพลวงนั่นเอง แต่สิ่งที่หน้าตื่นเต้นมากก็คือปลาพลวงบริเวณถ้ำปลาแห่งนี้จะมีจำนวนเยอะมาก และมีขนาดใหญ่กว่าที่อื่น ๆ บางตัวมีสีดำเมื่อม



Cr.รูปภาพจาก www-dekguide-com,travel-thaiza-com

ขนาดเรายังเดินไปไม่ถึงตัวถ้ำ ระหว่างทางก็ที่เลาะริมลำธารก็เห็นปลาว่ายกันอยู่เต็มไปหมด ไอ้พายกับไอ้เบรฟ ลองโยนอาหารปลาที่ซื้อติดมือกันมาให้ พวกปลามารุมกันกันใหญ่ เดินต่อมาไม่นานก็ถึงบริเวณปากถ้ำ ทำเอาพวกเราตะลึง เพราะปลาจำนวนมหาศาลว่ายกันอยู่ใต้ถ้ำ พอมีคนโยนอาหารลงไปที ก็ว่ายมารุมกินกันอย่างชุลมุน

ออกจากถ้ำปลาก็เกือบจะ 16.30น. แล้ว พวกเรามุ่งหน้าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เหลือระยะทางอีกแค่ 17 กิโลเมตรจากถ้ำปลา เข้าเขตตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน เรียกได้ว่าแปลกหูแปลกตาจากสถาปัตยกรรมต่างๆ ลักษณ์มีกลิ่นอายศิลปะแบบพม่าและไทใหญ่อยู่ชัดเจน แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองอยู่ในหุบเขา และมีอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองสามหมอก เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน สภาพอากาศมีหมอกปกคลุมตลอดเวลาส่วนใหญ่ของปี

รถบัสนำพวกเราตรงดิ่งขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยกองมู ที่เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอนก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ป็นวัดศักดิ์สิทธิ์์คู่่บ้านคู่เมืิองของชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาช้านาน ตั้งอยู่บน ดอยกองมู ทาง ทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเพียง 3 ก.ม.เดินทางโดยแยกจากทางหลวงสาย 108 ตรงบริเวณ อนุสาวรีย์พระยาสิงหนาทราชาขึ้นไปทางซ้ายมือ เป็นทางลาดยางขึ้นภูเขาไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณวัด


Cr.รูปภาพจากwwwamazingthaitour-com,www-nokpratoo-com


พระธาตุดอยกองมู มีพระธาตุเจดีย์ที่สีขาวสวยงาม ศิลปะไทใหญ่และพม่า 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่ บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ ซึ่งนำมา จากประเทศพม่า ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอน คนแรก จากวัดพระธาตุ ดอยกองมูนี้สามารถมองเห็นภูมิประเทศและสภาพตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้อย่างชัดเจน และสวยงามมาก


Cr.รูปภาพจาก www-toyotabuzz-com

พวกเราซื้อดอกไม้ธูปเทียน เดินเวียนขวาสักการะพระธาตุทั้งสององค์ ก่อนจะมาจุดธูปเทียนบูชา เสร็จแล้วก็มาชมวิวเมืองแม่ฮ่องสอน ตอนเย็นๆพระอาทิตย์ใกล้ๆตก เป็นภาพที่สวยงามอีกภาพหนึ่งของทริปนี้



Cr.รูปภาพจาก travelthaiza-com,www-toyotabuzz-com

ลงจากวัดพระธาตุดอยกองมู พวกเราก็เข้าพักที่โรงแรมใบหยกชาเลต์ใจกลางเมืองเป็นโรงแรมไม่ใหญ่มากอยู่กลางเมืองแม่ฮ่องสอน ที่จองโรงแรมนี้เพราะว่าสามารถเดินไปเดินถนนคนเดินจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้สะดวก

พอเก็บของกันเสร็จพวกเราก็เดินกันออกมาเดินถนนคนเดินทีนี่ แต่ก่อนจะเดินก็แวะทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารพื้นเมืองใกล้ๆโรงแรมกันก่อน จะมาเดินย่อยกันที่ถนนคนเดินอีกที

ถนนคนเดินแม่ฮ่องสอนคือถนนรอบๆหนองจองคำ ที่ประมาณ 5- 6 โมงเย็นก็จะถูก ได้ถูกแผงลอย ร้านแบกะดินยึดพื้นที่ปิดถนน เปลี่ยนจากทางรถสัญจรมาเป็นถนนคนเดินแทน เปิดขายกันทุกเย็นไม่เว้นวันหยุด ยิ่งตรงกับวันหยุดยาวหรือเทศกาลท่องเที่ยว คนก็จะยิ่งเยอะมากเป็นพิเศษ





Cr.รูปภาพจากtravel-mthai-com,www-thetrippacker-com,คนช่างฝัน สาวข้างบ้าน@พันทิป

สองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านแบกะดินวางสินค้าของชาวไทยใหญ่ ชาวไทยภูเขา และชาวพื้นเมือง ซึ่งเป็นบรรยากาศน่ารักๆ ที่เราไม่ค่อยได้พบเห็นที่ไหน บรรยากาศเหมือนพ่อค้าแม่ค้ามาพบประสังสรรค์ถามสารทุกข์สุขดิบมากกว่าจะมาจงใจขายของพวกเรา ดูอบอุ่น และเป็นมิตร

เราเดินผ่านวัดจองคำจองกลาง เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมหนองจองคำที่กลางคืนจะเปิดไฟ สวยงามเด่นสง่าอยู่ริมน้ำ  พวกเราเดินไปไหว้ขอพรรวมทั้งชมวัดจองคำ-จองกลาง ที่นี่เป็นอีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปกัน เพราะเป็นแลนมาร์กอีกแห่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเลย พวกเราได้ปล่อยโคมลอยที่ทำจากกระดาษสากันด้วย


Cr.รูปภาพจาก thai-tourismthailand-org,www-thongteaw-com

Game
See you Next Game

----------------------------------------------------------------------------




----------------------------------------------------------------------------
ตอบคอมเมนท์ครับ^^

ตอบคอมเมนท์ kasarus
คุณ kasarus ต้องหาโอกาสตามทริปพวกเด็กๆนะครับ อิอิ รับรองว่าสวยทุกที่ครับ  ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะครับ ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 69th Game  – Flower field & Highest mountain

Q : การที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องโรงแรมที่ปิดมิดชิด แถมบรรยากาศดีๆแบบนี้ คนอ่านคิดว่าผมจะรอดจากคุณชายหื่นมั้ยยยยย ครับ T-T
A : ไม่รอดครับ ง่าห์
Q : คำถามต่อไป แล้วคนอ่านคิดว่า รอบเดียวพอไหมครับสำหรับวัยพลุ่งพล่านอย่างพวกเรา
A : ไม่พอครับ เง้อออ
แต่ผมก็ไม่ยอมเสียเปรียบไอ้บอสอยู่ฝ่ายเดียวหรอกครับ มันต้องพลิก ต้องพลิกครับ อิอิอิ

................

การตื่นแต่เช้าดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับทริปนี้ และนี่ก็เป็นอีกวันที่ตื่นกันแต่เช้า วันนี้ผมถูกปลุกโดยการเคาะห้องของไอ้เบนซ์ ที่วันนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นนาฬิกาปลุกให้กับทุกคน เก็บของใส่กระเป๋ากันเสร็จพวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทางกันต่อ วันนี้จุดหมายแรกของพวกเราคือ ชมดอกบัวตองที่ดอยแม่อูคอ

รถบัสนำพวกเราค่อยๆออกจากเมืองสามหมอกมุ่งหน้าตามทางหลวงหมายเลข 108 จนถึงอำเภอขุนยวม แล้วเลี้ยวขวาขึ้นดอยแม่อูคอไปชมทุ่งดอกบัวตอง รถค่อยๆพาพวกเราไต่ขึ้นดอยมาบนเส้นทางที่ไม่ใหญ่มากเริ่มเห็นดอกบัวตองเป็นระยะระหว่างทางที่ขึ้นมา


Cr.รูปภาพจาก www-worldwidegrp-com

“สวย สัส” คำชมแล้วด่าประมาณนี้มีไอ้แบงค์คนเดียวแหละครับ
“เออหว่ะ สวยจริงๆหว่ะ” เสียงไอ้เกมส์ บอกสำทับย้ำคำพูดของไอ้แบงค์ ทำเอาพวกเรามองไปด้านขวาของรถกัน ทุ่งดอกบัวตองค่อยๆเผยความงามของมันออกมา เปร่งประกายสีเหลืองทองกับแดดอ่อนๆตอนเช้าๆนี่ สุดบรรยายครับ

ทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อู่คอนี้อยู่ห่างจากตัวอำเภอขุนยวม 25 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีก แห่งหนึ่งของ จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีลักษณะเป็นทิวเขาเขียวสูงขึ้นสลับด้วยทิวทุ่งดอกบัวตองเหลืออร่าม ทอดตัวสลับคล้ายคลื่นในทะเล มีพื้นที่กว่า 500 กว่าไร่ เมื่อเดินขึ้น ไปยังดอยแม่อูคอแล้ว พวกเราสามารถชมวิวได้ทั่วดอยแม่อูคอ เพราะมีศาลาชมวิวที่สร้างขึ้นไว้รองรับนักท่องเที่ยวอยุ่หลายแห่ง ซึ่งจากศาลาชมวิว สามารถมองเห็นทุ่งดอกบัวตองได้ 360 องศา

พอมาถึงสถานที่จริงๆ ก็สวยงามสมคำร่ำลือ ดอกบัวตองสีเหลืองบานอยู่เต็มท้องทุ่ง วิวโดยรอบมีแต่ดอกบัวตองไกลสุดตา ตัดกับป่าไม้ที่อยู่ไกลๆเป็นฉากหลังสีเขียวเข้มที่ทำให้สีเหลืองของดอกบัวตองเด่นสะดุดตา




Cr.รูปภาพจาก www-wikalenda-com,travel-mthai-com,luckyfarm6662@ พันทิป


พวกเรากดชัตเตอร์กล่องถ่ายรุปกับรัวๆ เก็บภาพประทับใจเอาไว้เพราะก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสมาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง

“ชีส” เสียงไอ้เบลตะโกนสั่งพวกเราที่รวมกันเป็นมวลหมู่แล้วมันก็วิ่งเข้ามาตรงตำแหน่งที่มันกะเอวตั้งแต่แรก
“แชด” เสียงกล้องทำงานอัตโนมัตตามที่โปรแกรมไว้
“เอาอีกรูปนะกันเหนียว” คราวนี้เป็นไอ้เคนวิ่งไปตั้งกล้องให้ถ่ายอัตโนมัตแล้วก็วิ่งกลับมายืนที่เดิม
“แชด”

“เบล ถ่ายให้กรูบ้าง” ไอ้ไปป์ไปยืนทำท่ากดไลค์ ถ่ายรูป
“มาดู ชอบไหมวะ” ไอ้เบลเรียกไอ้ไปป์มาดู
“ถ้าไอ้เบิร์ดเห็นมันคงชอบ” ไอ้ไปป์ลดเสียงลงต่ำ
“ไอ้เบิร์ดมันก็ไปกับมรึงทุกที่แหละ” ไอ้เบลเอามือตบบ่าปลอบใจเพื่อน

พอลงจากดอยแม่อูคอ รถบัสก็นำพวกเราลัดเลาะมาตามทางหลวงหมายเลข 1263 ทิวทัศน์สองข้างทางเป็นบรรยากาศแบบชนบทที่ทำการเกษตรบนไหล่เขาแล้วรถบัสก็มาเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1088 ที่ด้านซ้ายมือของเราเป็นดอยอินทนนท์ ตลอดเส้นทาง 1088 ผ่านอำเภอแม่แจ่มแล้วมาบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 108 อีกครั้งใกล้ๆอุทยานแห่งชาติออบหลวง ที่เป็นจุดหมายต่อไปของเรา

จากตัวถนนใหญ่เลี้ยวเข้าไปตัวอุทยานออบหลวงไม่ไกลนัก ออบหลวงเป็นสถานที่น่าเที่ยวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ความสวยงาม และความน่ากลัวไว้ในจุดเดียวกัน กล่าวคือ เบื้องล่างเป็นแม่น้ำสลักหิน ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านช่องเขาขาด ตรงออบหลวงช่องเขานี้มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน และแคบมากบีบทางน้ำไหล ดังนั้นแม่น้ำตรงนี้จึงเชี่ยวจัด เสียงน้ำกระทบหน้าผาดังสนั่นแต่รอบ ๆ บริเวณชายน้ำด้านเหนืองดงามไปด้วยหมู่ไม้น้อยใหญ่ ร่มรื่นอยู่ตลอดเวลา ยังมีสะพานเชื่อมช่องเขาขาด ที่เป็นแลนด์มาร์ก สำหรับนักท่องเที่ยวยืนชมความงดงามแห่งทัศนียภาพของ ออบหลวง

“โห สวยหว่ะ” ไอ้บาสชี้ให้พวกเราตื่นตาตื่นใจกับหน้าผาสูงสองข้างที่เกือบจะชิดติดกัน ด้านล่างมีช่องแคบๆที่บีบให้แม่น้ำสลักหินทั้งสายเหลือช่องทางผ่านเพียงนิดเดียวไหลเชี่ยวกราดผ่านไป ส่วนด้านบนของหน้าผา มีสะพานไม้ให้คนเดินข้ามได้ 
“เออหวะ นี่เทียบชั้นยุโรปได้เลยนะมรึง” ไอ้บูมหันมาคุยกับเพื่อนซี้มัน
“ข้างบนสะพานนั่นน่าขึ้นไป ชิปหาย”  ไอ้บาสชี้ไปที่บนสะพานบนอยอดหน้าผา
“มีเวลาขึ้นไปได้ไหมวะไอ้โบ้ท” ไอ้บูมหันมาถามผม
“กรูว่าอย่าดีกว่ามรึง เด่วต้องขึ้นดอยอินทนนท์นะ” ผมตอบไอ้บูมไป
“เออ งั้นถ่ายรูปกันตรงนี้ล่ะกันเนอะ” ไอ้บาสหันมาชวนพวกเราถ่ายรูป




พวกเราถ่ายรูปจากข้างล่างกัน นอกจากจะสูงและชันมากแล้วเราก็ไม่มีเวลาปีนขึ้นไปบนสะพานนั้นอีกด้วย แค่ข้างล่างก็สวยมาก เมืองไทยเองก็สวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลกเหมือนกัน

หลังจากหามื้อเที่ยงง่ายๆทานที่ออบหลวงแล้ว พกวเราก็รีบเดินทางกันต่อ เพราะบ่ายนี้ เป้าหมายจุดต่อไปของเราคือจุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย ดอยอินทนนท์ พอมาถึงอำเภอจอมทอง เราก็ต้องแวะไหว้พระธาตุประจำปีหนูกันสักหน่อย พระธาตุศรีจอมทอง ตอนเข้ามาในถึงวัดพระธาตุก็เที่ยงวันพอดี

พระธาตุศรีจอมทอง เป็นพระบรมธาตุเจดีย์สีเหลืองทองอร่าม ซึ่งตั้งอยู่บนยอดดอยจอมทองอันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุส่วนพระเศียรเบื้องขวา ของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีความพิเศษแตกต่างจากที่อื่น คือเป็นพระบรมธาตุที่มิได้ฝังใต้ดินแต่ประดิษฐานอยู่ในกู่ภาย ในพระธาตุเจดีย์สามารถอันเชิญ มาสรงน้ำได้

พวกเราเดินเวียนขวารอบพระธาตุศรีจอมทอง 3 รอบ แล้วจึงมาจุดธูปเทียนบูชาพระบรมธาตุกัน แล้วก็เก็บภาพเป็นที่ระลึก ก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปจุดที่สูงที่สุดของประเทศไทยกันต่อไป  รถบัสวิ่งมาตามทางหลวงหมายเลข 108 ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 หลังเลยอำเภอจอมทองมานิดหน่อย เพื่อมุ่งหน้าขึ้นดอยอินทนนท์



Cr.รูปภาพจากjt-mam@ พันทิป,pitsamai1973-blog

ตลาดทางขึ้นมายังดอยอินทนนท์มีระยะทางไม่ไกลมากเพียง 48 กิโลเมตร แต่มีที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมายให้พวกเราแวะชม เช่น น้ำตกแม่กลาง น้ำตกวชิรทาน นำตกสิริธาร

http://i1056.photobucket.com/albums/t370/destiny_of_b/04-www-travel2bwizu-com_zpsanurhcgm.jpg
Cr.รูปภาพจากwww-travel2bwizu-com

พวกเราผ่านจุดชมวิวแม่กลางหลวงครับ เป็นที่พักริมทางที่อยู่บนเนินเขา มองเห็นทั้งหุบเขาอยู่เบื้องหน้า ฉากหลังเป็นทิวเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นอีกมุมหนึ่งที่สวยงามมากๆ


Cr.รูปภาพจากOknation-net

รถบัสเริ่มช้าลงเพราะถึงจุดที่ชันที่สุดของทางขึ้นดอยอินทนนท์ กิ่วแม่ปาน พอเลยจุดนี้มาก็จะเป็นจุดแลนมาร์กสำคัญที่ต้องแวะนั่นก็คือ พระมหาธาตุเจดีย์ ครับ สร้างโดยกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทย เนื่องด้วยวันครบรอบพระชนมพรรษา 5 รอบ เมื่อปี 2530 โดยสร้างพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดลก่อน เมื่อพระราชินีมีพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปี2535 จึงสร้างพระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ เพื่อให้อยู่คู่กัน

องค์เจดีย์นภพลภูมิสิริของสมเด็จพระราชินี จะต่ำกว่าองค์เจดีย์นภเมทนีดลของในหลวง 5 เมตร เพื่อแสดงความหมายถึงพระราชินีท่านทรงอ่อนพระชันษากว่าในหลวง 5 พรรษา และทั้งสองพระมหาธาตุเจดีย์นี้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ขึ้นประดิษฐาน ไว้ภายในยอดปลี




Cr.รูปภาพจาก www-enjoythailandtravel-com,www-nattawantour-com

ข้อควรรู้อีกอย่างของการขึ้นมาที่ดอยอินทนนท์เนื่องจากเป็นที่สูง อ็อกซิเจนเบาบางกว่าพื้นล่าง เพราะฉะนั้นที่กระโดดโลดโผนกันมากๆ อาจจะทำให้หน้ามืดได้เพราะร่างกายจะขาดอ็อกซิเจน

หลังจากแวะสักการะพระมหาธาตุทั้งสองแล้วเก็บรูปกันเรียบร้อยแล้วเราก็มุ่งหน้ากันไปจุดสุดท้ายบนดอยอินทนนท์ พอมาถึงและก้าวลงจากรถความเย็นยะเยือกก็วิ่งชนเราอีกครั้ง

“หนาวมาก” ไอ้แดนออกปากบ่น
“กี่องศาวะ วะไบร์ท” ไอ้เบสต์ตะโกนถามไอ้ไบร์ทที่กำลังชะโงกดูเทอร์โมมิเตอร์
“10 องศา หว่ะ” ไอ้ไบร์ทตะโกนกลับมา
“มิน่า หนาวจนปากจะขยับไม่ได้” ไอ้เบสต์บ่นกับไอ้แดน
“เออดิ นี่มันเย็นเกินไปสำหรับคนเมืองร้อนอย่างพวกเรา” ไอ้เกมส์สรุป


แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเราหยุดเดินไปถ่ายรุปกับป้าย สูงสุดแดนสยามกันได้ มองไปรอบๆเราจะเห็นสถานีเรด้าของกองทัพอากาศ และด้านซ้ายมือ เป็นสถูปของเจ้าหลวงอินทวิชยานนท์อันเป็นที่มาของชื่อดอยอินทนนท์อีกด้วย



Cr.รูปภาพจากtravel-mthai-com


การกดชัดเตอร์รัวๆ ทั้งรูปหมู่ รูปคู่ รูปเดี่ยว ก็เกิดขึ้น

หลังจากดื่มดำกับความหนาวเย็นและจุดที่สูงที่สุดในประเทศไทยกันจนอิ่มหน่ำแล้ว รถบัสก็ค่อยๆพาเราไต่ลงจากดอยอินทนนท์ ลงมาจนถึงอำเภอจอมทองเลี้ยวซ้ายขึ้นทางหลวงหมายเลข 108 วิ่งไปจนเข้าเขตจังหวัดลำพูนแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 116 ไปได้ไม่ไกลก็เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 106 มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวจังหวัดลำพูน ถนนเส้น 106 นี้เป็นถนนที่สวยอีกเส้นหนึ่ง โดยเฉพาะจากลำพูนไปเชียงใหม่ ในเขตของจังหวัดลำพูนเราจะเห็นต้นขี้เหล็ก ส่วนในเขตจังหวัดเชียงใหม่เราจะเห้นต้นยางสูงใหญ่  ปลูกเต้มสองข้างทาง

รถบัสเลี้ยวเข้ามาจอดที่วัดพระธาตุหริภุญชัยพวกเราลงมาสักการะพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดลำพูน ที่เคยเป็นอาณาจักรเก่าแก่ หริภุญชัย เจริญรุ่งเรืองมานานก่อนพอเสื่อมอำนาจลงก็ถูกอาณาจักรล้านน้ากลืนเข้าไป

พระบรมธาตุหริภุญไชย เป็นเจดีย์แบบล้านนา ที่ลงตัวสวยงาม ภายในบรรจุพระเกศบรมธาตุบรรจุในโกศทองคำ ประดิษฐานในพระเจดีย์  เจดีย์มีลักษณะใกล้เคียงกับ พระธาตุดอยสุเทพที่ มีฉัตรประจำสี่มุม และหอคอยประจำทุกด้านรวม 4 หอ บรรจุพระพุทธรูปนั่งประจำอยู่ทุกหอ นอกจากนี้ยังมีโคมประทีป และแท่นบูชาก่อไว้เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป




Cr.รูปภาพจาก www-thetrippacker-com,www-pixpros-net,inter-tourismthailand-org

เหมือนทุกครั้งที่พวกเราสักการะพระธาตุต่างๆคือ เดินเวียนขวา 3 รอบแล้วจึงจุดธูปเทียนบูชาพระธาตุ แต่ที่นี่พิเศษหน่อยตรงมีเทียนต่อชะตาที่ผ่านการทำพิธีแล้วไว้ให้พวกเราด้วย

ออกจากวัดพระธาตุหริภุญชัยก็เกือบจะ 17.00 น.แล้ว พวกเรามุ่งหน้าออกจากตัวจังหวัดลำพูนไปตามทางหลวงหมายเลข 114 จนมาถึงกาดดอยติ แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 11 ขึ้นดอยขุนตาน มุ่งหน้าไปที่พักของเราในคืนนี้ เมืองรถม้า นครลำปาง

พอมาถึงลำปางก็ 18.00น. พอดี พวกเราเข้าเช็คอินโรงแรมเปิดใหม่ เดอะคอทเทจที่อยู่ไม่ไกลจากห้างเซนทรัลเท่าไรนัก โรงแรมอยู่ในถนนส่วนดอก ราคาสบายๆแบงค์สีม่วงเอาอยู่อีกเหมือนเดิม

พอเช็คอินกันเรียบร้อยเอาของเข้าเก็บพวกเราก็มุ่งหน้าสู่ถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงอีกทีหนึ่ง กาดกองต้า

กาดกองต้า หรือที่เรียกกันติดปากว่า ย่านตลาดเก่าตั้งอยู่ขนานกับลำน้ำวัง ในซอยตลาดจีนริมน้ำ มีอาคารโบราณอายุเหยียบร้อยปี บนถนนตลาดเก่าตลอดทั้งสาย กาดกองต้า หมายถึงตลาดตรอกท่าน้ำ ในอดีตเคยเป็น ตลาดที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ย่านการค้าส่วนมากมักเกิดขึ้นริมฝั่งแม่น้ำสายใหญ่อย่างแม่น้ำวัง ทำให้เกิดชุมชนที่เข้ามาทำธุรกิจ เช่น อังกฤษ พม่า และจีน

อาคารบ้านเรือนบริเวณสองฝั่งแม่น้ำวังจึงมี รูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างยุโรป จีน และพม่า ดังนั้น ถนนตลาดเก่าเส้นนี้จึงเต็มไปด้วยบ้านเรือนสวย ๆ หลากสไตล์บ้านเรือนสิ่งก่อสร้าง มีทั้งเรือนแบบไทยภาคกลาง เรือนล้านนา เรือนพม่า ที่ดูจะโดดเด่นเห็นจะเป็น เรือน แบบจีน และเรือนขนมปังขิงแบบฝรั่งตะวันตก




Cr.รูปภาพจาก www-lampang-go-th,www-phayaophotoclub-com,www-thailovetrip-com


พวกเราเริ่มต้นเดินตั้งแต่เชิงสะพานรัษฎาอันเป็นจุดเริ่มต้นของกาดกองต้า

“เด่วกรูจะพาไปกินขนมล้านนา” ไอ้เบียร์ชวนพวกเราเดินดูโน่นดูนี่กันอยู่
“เฮ้ยพวกมรึงทางนี้” เบียร์กวักมือเรียกพวกเราเมื่อมันถึงร้านที่มีขนมเป้าหมายของมันอยู่

ร้านเป็นร้านไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีโต๊ะเหมือนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วก็มีเก้าอี้น้อยๆให้พวกเรานั่ง
“เอา  32 ถ้วยคับป้า” ไอ้เบียร์สั่งป้าเจ้าของร้าน
“เอา คละกันนะคะ” คุณป้าเจ้าของร้านหันมาถามไอ้เบียร์
“ครับ” ไอ้เบียร์หันไปบอกป้า แล้วสิ่งที่มันเรียกว่าขนมข้าวปั้นก็มาวางอยู่ตรงหน้าเรา

ลักษณะเป็นแป้งอยู่ถ้วย คล้ายขนมถ้วย (ถ้วยใหญ่นะครับไม่ใช่ถ้วยตะไล)  แต่ไม่มีกะทิ ของผมเป็นสีเขียวอ่อน ของไอ้บอสเป็นสีฟ้า ส่วนของไอ้เบนซ์เป็นสีเหลือง

“ขนมข้าวปั้นของลำปางเป็นการผสมประสานของขนมจุ๋ยก้วยและขนมถ้วยจีน เพราะมีน้ำราดที่ทำมาจากน้ำตาลที่ลักษณะของขนมถ้วยจีน และมีการใส่หัวไชโป๊เค็มสับและกระเทียมเจียวด้วยซึ้งเป็นของขนมจุ๋ยก้วย” ไอ้เบียร์ลุกขึ้นอธิบาย
“เวลากิน ต้องเอาไม้พาย ตัดขนมออกเป็นสี่ส่วน แล้วตักกระเทียมเจียววางไว้ข้างบน ตามด้วยหัวใช่โป้สับ” ไอ้เบียรกำลังสาธิตวิธีการทาน
“ชอบมากใส่มาก ชอบน้อยใส่น้อยนะเพื่อน แล้วก็ราดน้ำเชื่อมที่ทำมาจากน้ำตาลอ้อยจากนั้นก็ตักเข้าปากได้เลย” แล้วไอ้เบียร์ก็กินโชว์




Cr.รูปภาพจาก culturelampang-chit130512-blog,www-lampang108-com,www-thetrippacker-com


พวกเราลองทำตามมัน ขนมอร่อยจริงๆครับ ถ้าใครชอบกระเทียมเจียวหอม กับความหวานๆเค็มๆของไช่โป้ล่ะก้อ อร่อยเหาะจริงๆ

“ขอเพิ่ม 8 ถ้วยครับ” โต๊ะไอ้บาส สั่งป้าไปแล้ว
“ขอเพิ่ม 8 ครับ” ตามมาด้วยเสียงสั่งจากโต๊ะเรา
“อร่อยดีหว่ะ มึงรู้ได้ไงวะ” ผมหันไปถามไอ้เบียร์
“มรึงลืมไปป่าวกรูหัวหน้าชมรมคหกรรมนะครับ” ไอ้เบียร์เอามือมาแอ็กชั่นท่าหล่อใส่พวกเรา แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆว่าเรื่องกิน ต้องยกให้มัน


Game
See you Next Game

-----------------------------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 70th Game  – Time travel in Sukhothai

บอสปลุกผมด้วยหอมฟอดใหญ่ เหมือนทุกวัน ผมเหยียดแขนและขาออกไล่ความเมื่อย แล้วริมฝีปากอุ่นๆ ก็ประทับลงมาที่หน้าผากผมอีกครั้ง

“ตื่นได้แล้วครับ โบ้ท” บอสบอกผมขณะที่หน้าหล่อๆลอยอยู่ตรงหน้าผมพอดี บอสเอาปลายจมูกถูกกับปลายจมูกผมเบาๆ
“จะตื่นไหมตื่นครับ” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ๆ ขี้เล่นๆของบอส ทำเอาผมลืมตาขึ้น
“ถ้าไม่ตื่นจะจูบละนะ” พอบอสพูดจบ ผมก็ยิ้มกว้างออกมา เพราะรู้ตัวว่ากำลังโดนแกล้ง

ผมทำปากหยู่ส่ายหน้าไปมายั่วไอ้บอส แล้วก็สำเร็จ ริมฝีปากอุ่นๆสีแดงระเรื่อ ประทับลงที่ริมฝีปากผม บอสค่อยสอดลิ้นเข้ามา ลิ้นอุ่นๆของเราพัวพันกันอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่บอสจะถอนจูบออก

“ดื้อนัก” บอสบ่นผม
“จะตื่นหรือยัง” บอสย้ำคำถามเดิมกับผมอีกครั้ง
“ไม่ตื่น” ผมยังคงนอนยั่วไอ้บอสต่อไป ผมเอามือขึ้นประสานหลังท้ายทอย
“แน่นะ” ผมพยักหน้าตอบมัน

บอสเลิกเสื้อผมขึ้นมาแวเอาริมฝีปากครอบไปที่ จุดสีน้ำตาลอ่อนอมชมพูทางด้านซ้ายที่หน้าอกผม ผมดิ้นเพื่อให้หลุด แต่มือเจ้ากรรมก็โดนหัวตัวเองทับเอาไว้ ประกอบกับสู้น้ำหนักไอ้บอสไม่ได้ ผมได้แต่นอนดิ้นเพราะความรู้สึกเสียววาบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

บอสถอนริมฝีปากออกอีกครั้ง
“จะตื่นไหมตื่นครับ” บอสถามย้ำผมอีกครั้ง
“ไม่ตื่น” ผมยิ้มยั่วมันแล้วสะบัดหน้าไปมา ไหนๆจะยั่วบอสก็เอาให้ถึงที่สุด

บอสครอบริมฝีปากมาที่จุดเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ครอบริมฝีปากลงมาเฉยๆ ผมรู้สึกได้ถึงแรงดูด และการตวัดของลิ้นบอส ร่างกายของผมเกร็ง

“อ่าห์” ผมหลุดครางออกมาเพราะความเสียววาบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

บอสได้ยินเสียงผมครางจึงตวัดลิ้นหนักขึ้น มืออีกข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกางเกงนอนของผม สัมผัสกับจุดที่ตื่นตัวที่สุดในร่างกายตอนนี้ บอสเอามือกำ แล้วค่อยๆรูดเบาๆ ตอนนี้ร่างกายผมแถบจะระเบิดออก

“บอสพอแล้ว” เสียงผมสั่นและแผ่วเบา
“โบ้ทยอมตื่นแล้วครับ” ผมระล่ำระลักบอกไอ้บอส เพราะจากที่จะยั่วเล่นๆ ตอนนี้กลาเป็นอารมณ์ที่ชุดกันไม่อยู่แล้ว

บอสถอนริมฝีปากขึ้น

“ช่วยไม่ได้ อยากยั่วบอสดีนัก”  ไม่น่าเลยไอ้โบ้ทผมได้แต่บ่นกับตัวเองในความคิด แต่ แต่ความคิดนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะถูกจู่โจมด้วยความหวานที่ยากเกินต้านทานจากไอ้บอส

วันนี้เป็นวันรองสุดท้าย ก่อนที่พวกเราจะกลับ กรุงเทพ ที่แรกที่เราจะไปกันในวันนี้คือ วัดพระธาตุลำปางหลวง วันนี้เราฝากท้องมื้อเช้าไว้กับร้านสะดวกซื้อที่มีสโลแกนว่า หิวเมื่อไรก็แวะมา.... หลังจากลงไปซื้อของกินจนทำให้ร้านเค้าแถบระเบิด โดยที่ไม่ลืมที่จะซื้อมาฝากพี่คนขับรถทั้งสองคน จากนั้นก็เริ่มเดินทางมาที่วัดพระธาตุลำปางหลวง

วัดพระธาตุลำปางหลวง อยู่ที่ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 18 กิโลเมตร วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณ เป็นวัดที่สร้างด้วยไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย งดงามด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย พระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของ คนปีฉลู ด้วยเริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลูเช่นกัน ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระเกศาและ พระอัฐิธาตุ จากพระนลาฎข้างขวา ของพระพุทธเจ้า


Cr.รูปภาพจาก jittynueng-wordpress-com,nham01@พันทิป


ก่อนจะเข้ามาภายในวัดต้องเดินขึ้นบันใดและผ่านประตูโขง ประตูโขงเป็นฝีมือช่างหลวงโบราณที่สวยงามก่ออิฐถือปูนทำเป็นซุ้มยอดแหลมเป็นชั้น ๆ มีสี่ทิศ ประดับตกแต่งด้วยลวดลาย ปูนปั้น รูปดอกไม้ และสัตว์ในหิมพานต์

พวกเราเดินเวียนขวารอบพระธาตุลำปางหลวงก่อนจะจุดธูปเทียนบูชาพระธาตุกัน พอสักการะพระบรมธาตุเสร็จ พวกเราก็เดินไปที่ ซุ้มพระบาทท แต่ยังไม่ทันก้าวขึ้นไป


“ไอ้โบ้ท กับไอ้เบียร์ ขึ้นไม่ได้นะโว้ย” ไอ้แบงค์เจ้าเก่าครับ
“ทำไมอ่ะ” ไอ้เบียร์หันไปถามตามประสาคนซื่อ
“อ่านป้ายๆ” ไอ้แบงค์ชี้ไปที่ป้าย ผมกับไอ้เบียร์หันมองไปอย่างสงสัย
“ห้ามสุภาพสตรีขึ้น” ป้ายเขียนเตือนไว้ตรงทางขึ้น
“ไอ้เชี่ยแบงค์” ผมเผลอปากด่ามัน ส่วนไอ้เบียร์ยืนหน้าแดงทำไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น ส่วนไอ้บอสยืนหัวเราะร่วนอยู่ข้างๆผม
“ในวัดในวาห้ามพูดคำหยาบนะครับ” ไอ้แบงค์พูดลอยๆแล้วหันเดินขึ้นไปอย่างกวนทีน
“ฝากไว้ก่อนเหอะมรึง” ผมได้แต่คาดโทษมันไป



Cr.รูปภาพจาก www-tourthailands-com,nham01@พันทิป2

ซุ้มพระบาท เป็นเป็นสิ่งก่อสร้างคล้ายมณฑป เมื่อเข้าไปภายในแล้วปิดประตู และมองไปที่ฉากกั้นเราจะมองเห็นแสงหักเห ปรากฏเป็นเงาพระธาตุและพระวิหารกลับหัวลง นับเป็นความหัศจรรย์ที่ไอ้เบลไม่ก็ไม่พลาดเช่นกันที่จะเก็บรูปมาด้วย


Cr.รูปภาพจาก www-manager-co-th

หลังจากไหว้พระธาตุลำปางหลวงกันเรียบร้อยแล้ว รถบัสพาเรากลับเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1 มุ่งลงใต้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงอำเภอเถินจังหวัดลำปาง ะหว่างทางไอ้บิวก็เอากีตาร์มาชวนพวกเรานั่งร้องเพลงแก้เบื่อกัน ไม่นานรถเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1048 มุ่งหน้าสู่อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย พอเลยอำเภอทุ่งเสลี่ยมรสบัสก็เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1113 มุ่งหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย เป็นเป้าหมายต่อไปของพวกเรา

“พี่ขับจอดตรงนี้แปปนะครับ” ไอ้เบลบอกพี่ขับรถให้จอดตรงร้านขายไก่ย่างข้างทางก่อนจะเข้าตัวอุทยาน
“ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณพี่คนขับรถก่อนจะวิ่งลงมากับไอ้เบล
“เอาไก่ย่าง 8 ตัวคับ” ผมชี้ไปที่ไก่ย่างสีเหลืองๆ ที่นอนแผ่อยู่บนเตา
“สับให้ด้วยนะครับ” ไอ้เบลบอกแม่ค้า
“แล้วก็เอาข้าวเหนียว 4 โลครับ” ผมสั่งป้าแม่ค้าไป

ไม่นานของที่สั่งกได้ครบ ไก่ย่างอยู่ในกล่องโฟมขนาดใหญ่ 4 กล่อง ข้าวเหนียวร้อนๆ อีก 4 ถุงใหญ่ผมเดินไปร้านขายของชำข้างๆ ซื้อน้ำอัดลม น้ำแข็งเตรียมไปเผื่อ แล้วก็ขอซื้อแก้วน้ำพลาสติกแบบบางติดไปอีกแถวหนึ่งกับกระดาษทิชชูอีก 3 ม้วน พอรถผ่านเข้ามาในเขตตัวอุทยาน มีม้าหินนั่งสีขาวอยู่กลุ่มหนึ่ง พวกเราเลยจัดการรองท้องกับข้าวเหนียวไก่ย่างกันก่อนเข้าไปเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยกัน

ตัวอุทยานประวัติศาสต์ศรีสัชนาลัยอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า แก่งหลวง ในเขตหมู่บ้านพระปรางค์ ตำบลศรีสัชนาลัย มีพื้นที่โดยประมาณ 45.14 ตารางกิโลเมตร เดิมชื่อว่า “เมืองเชลียง” แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ศรีสัชนาลัย” ในสมัยกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงขึ้นครองกรุงสุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัยมีศักดิ์เป็นเมืองลูกหลวงของอณาจักรสุโขทัย นอกจากนี้เมืองศรีสัชนาลัยยังพิเศษตรงที่มีภูเขาอยู่ในกำแพงเมือง และมีวัดที่อยู่บนยอดเขาที่เป็นคู่แฝดกันสองวัดอีกด้วย



Cr.รูปภาพจากathichateen-blog,www-panoramio-com

วัดแรกคือวัดเขาพนมเพลิง ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมเพลิงภายในกำแพงเมือง มีโบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ประธานทรงกลม และมณฑปก่อด้วยศิลาแลง ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสยกพื้นสูง หลังคาโค้งแหลม มีบันไดทางขึ้นสู่มณฑป ชาวบ้านเรียกว่า ศาลเจ้าแม่ละอองสำลี ส่วนทางขึ้นวัดสามารถขึ้นได้ 2 เส้นทาง คือ จากด้านหน้าวัดแก่งหลวง และด้านข้างวัดซึ่งทางขึ้นได้ทำเป็นบันไดศิลาแลง ระหว่างทางขึ้นทั้งสองด้านมีศาลาที่พักด้วย

วัดที่สองคือวัดสุวรรณคีรี อยู่ทางทิศตะวันตก ถัดจากเขาพนมเพลิงไปประมาณ 200 เมตร โดยตั้งอยู่บนเขาอีกยอดหนึ่งในเทือกเขาเดียวกัน กลุ่มโบราณสถานคือ เจดีย์ประธานทรงกลมองค์ระฆังขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง มีซุ้มพระทั้ง 4 ด้าน ด้านหลังมีเจดีย์ทรงกลมล้อมรอบด้วยแนวกำแพงศิลาแลง ทั้งสองวันมีทางเชื่อมถึงกัน


http://i1056.photobucket.com/albums/t370/destiny_of_b/02-wat-khaosuwankhiri2%20-%20www-comingthailand-com_zpsimhzd5ix.jpg
Cr.รูปภาพจาก www-siamfreestyle-com,www-comingthailand-com

นอกจากนี้ยังมีวัดสำคัญที่อยู่ในกำแพงเมืองอีกก็คือ วัดช้างล้อมที่ตั้งอยู่บนที่ราบเชิงเขาด้านทิศใต้ของเขาพนมเพลิง โบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ประธานทรงลังกา ตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้ว ที่ฐานเจดีย์มีช้างปูนปั้นยืนหันหลังชนผนังเจดีย์อยู่โดยรอบ จำนวน 39 เชือก และช้างที่อยู่ตามมุมเจดีย์ทั้ง 4 ทิศ ตกแต่งเป็นช้างทรงเครื่อง มีลวดลายปูนปั้นประดับที่คอ ต้นขา และข้อเท้า ส่วนทางด้านหน้าเจดีย์ประธานมีบันไดขึ้นสู่ลานประทักษิณ วัดช้างล้อมที่เมืองศรีสัชนาลัยนี้ ช้างจะมีลักษณะที่เด่นกว่าช้างปูนปั้นที่วัดอื่น ๆ คือ ยืนเต็มตัวแยกออกจากผนัง มีขนาดสูงใหญ่กว่าช้างจริง


Cr.รูปภาพจาก www-panoramio-com

และวัดสุดท้ายที่เราเข้าไปเดินชมก็คือ วัดเจดีย์เจ็ดแถว ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดช้างล้อม นับว่ามีความสวยงามมากกว่าวัดอื่นๆในเมืองสุโขทัย เพราะมีเจดีย์แบบต่าง ๆ กันมากมายที่เป็นศิลปะสุโขทัยแท้ มีเจดีย์รายรวมทั้งอาคารขนาดเล็กแบบต่าง ๆ จำนวน 33 องค์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง สาเหตุที่เรียกว่า วัดเจดีย์เจ็ดแถวเพราะพบเจดีย์จำนวนมากภายในวัด กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าวัดเจดีย์เจ็ดแถวเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิของพระราชวงศ์สุโขทัย


Cr.รูปภาพจากwww-manager-co-th

พอชมโบราณสถานและถ่ายรุปกันเรียบร้อยพวกเราก็ขึ้นรถบัสที่วิ่งกลับมาตามทางหลวงหมายเลข 101 มุ่งหน้าผ่านอำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง เลาะแม่น้ำยมมาจนเกือบจะถึงเมืองสุโขทัย รสบัสก็เลี้ยวขวาออกถนนเลี่ยงเมืองมุ่งหน้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นที่ต่อไป

ขนาดเมืองลูกหลวงอย่างศรีสัชนาลัยยังสวยงามขนาดนั้นแล้วตัวเมืองหลวงอย่างสุโขทัยจะอลังการสวยงามเพียงใด พวกเราก็ได้แต่จินตนาการถึงอณาจักรที่เคยรุ่งเรืองและถือเป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทย

............

ก่อนจะเข้าตัวอุทยานพวกเราแวะทานมื้อกลางวันที่วันนี้ได้ทานเกือบจะ 13.30 น.แล้ว ที่ร้านขนมจีนชื่อดังร้านใหญ่ของจังหวัดสุโขทัย มีขนมจีนหลายสีที่ทำจากสีธรรมชาติ มีน้ำพริก น้ำยา แกงเขียวหวาน หรือแม้แต่น้ำเงี้ยว ที่ใส่หม้อดินไว้ให้พวกเราตักฟรี ที่นี่คิดแต่ค่าขนมจีน มีผักสดมากหมายหลาอย่างเอาไว้ทานแก้มกับขนมจีนด้วย


Cr. รุปภาพจาก panchalee-wordpress-com

พออิ่มท้องก็ขึ้นรถมุ่งหน้าตัวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ยังไม่ทันได้เข้าตัวอุทยานฯดี ก็เริ่มเห็นเจดีย์เก่าแก่ กับโบราณสถานเริ่มเรียงรายตามสองข้างทางให้เห็นแล้ว ไม่นานรถบัสก็มาจอดที่ที่จอดรถของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

พวกเราตัดสินใจเช่าจักรยานปั่นไปดูสถานที่สำคัญๆและต้องไปเมื่อมาเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ภายในอุทยานฯ เป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ ที่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน มีสถานที่สำคัญที่เป็นพระราชวัง ศาสนสถาน โบราณสถาน โดยมีคูเมือง กำแพงเมือง และประตูเมืองโบราณล้อมรอบอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส

ที่แรกที่พวกเราแวะคือ อนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหง ลักษณะพระบรมรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระบรมรูปหล่อด้วยโลหะทองเหลืองผสมทองแดงรมดำ ขนาด 2 เท่าขององค์จริง สูง 3 เมตร ประทับนั่งห้อยพระบาทบนแท่นมนังคศิลา พระหัตถ์ขวาถือคัมภีร์ พระหัตถ์ซ้ายอยู่ในท่าทรงสั่งสอนประชาชน ที่ด้านข้างมีภาพแผ่นจำหลักจารึกเหตุการณ์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ตามที่อ้างถึงในจารึกสุโขทัย พวกถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์และที่ขาดไม่ได้คือ ศิลาจารึกจำลอง ที่ต้องยืนถ่ายรูปเก็บเป็นทีระลึก


Cr.รูปภาพจาก www-manager-co-th

แล้วพวกเราก็ขี่จักรยานมากันที่วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่กลางเมือง เป็นวัดใหญ่ และวัดสำคัญของกรุงสุโขทัย มีพระเจดีย์มหาธาตุทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ที่เป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ เป็นองค์เจดีย์ประธาน ล้อมรอบด้วยเจดีย์เล็กอีก 8 องค์ บนฐานเดียวกัน บริเวณวัดมหาธาตุมีเจดีย์แบบต่าง ๆ มากถึง 200 องค์ วิหารอีก 10 แห่ง ซุ้มพระ (มณฑป) 8 ซุ้ม พระอุโบสถ 1 แห่ง ตระพัง 4 แห่ง ที่ด้านเหนือ และด้านใต้ของเจดีย์มหาธาตุมีพระพุทธรูปยืนภายในซุ้มพระ เรียกว่า "พระอัฏฐารศ" อีกด้วย





Cr.รูปภาพจาก www-otepsukhothai-com,mukura@พันทิป,www-thetrippacker-com,www-choktaweetour-com


“โบ้ทรอแปปหนึ่งก่อน” ไอ้บอสตะโกนเรียกผมที่ปั่นจักรยานนำหน้า
“อืม” ผมตอบไอ้บอสที่หยุดรถรอไอ้พวกเพื่อนๆที่แวะร้านขายของในตัวอุทยานฯเพื่อซื้อน้ำ
“โบ้ทอยากกินไอ้ติมไหม” บอสตะโกนถามผมหลังจากที่ผมนำรถจักรยานจอดหลบแสงแดดที่ใต้ร่มไม้
“เอา” ผมตะโกนตอบไอ้บอสไป ไอ้บอสหันรถจักรยานกลับแล้วปั่นไปที่ร้านขายของที่ไอ้พวกนั้นกำลังมุงกันอยู่

“น้ำกับไอ้ติมมาแล้วครับ ” ไอ้บอสยิ้มตาตี๋ชูน้ำกับไอ้ติมให้ผมเลือก
“เอาไอติม” บอสส่งไอ้ติมให้ผม เราสองคนนั่งกินไอ้ติมนั่งหลบร้อนใต้ต้นไม้รอไอ้พวกนั้นกัน

พอมากันพร้อมพวกเราก็ปั่นไปวัดชนะสงคราม วัดตระพังเงิน แล้วก็มาถึงวัดสระศรีเป็นวัดที่ตั้งอยู่บริเวณกลางสระน้ำที่มีขนาดใหญ่ ชื่อว่า ตระพังตระกวน และสิ่งสำคัญของวัดประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงลังกา ด้านหน้าวิหารขนาดใหญ่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย มีเจดีย์ขนาดเล็กเรียงราย มีซุ้มพระพุทธรูป 4 ทิศ ด้านหน้ามีเกาะกลางน้ำขนาดย่อมเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถขนาดเล็ก วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นจุดที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม




Cr.รูปภาพจาก LoNeLy sEcRet@พันทิป,www-pinterest-com,

พวกเราปั่นจักรยานมาตาทางด้านใต้ที่เป็นที่ตั้งของวัดศรีสวาย ที่อยู่ห่างจากกลุ่มโบราณสถานอื่นๆ โบราณสถานที่สำคัญตั้งอยู่ในกำแพงแก้ว ประกอบด้วยปรางค์ 3 องค์ รูปแบบศิลปะลพบุรี ที่แปลกตา ลักษณะของปรางค์ค่อนข้างเพรียว พบทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูป และศิวลึงค์ที่แสดงให้เห็นว่าเคยเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูมาก่อน แล้วแปลงเป็นพุทธสถานโดยต่อเติมวิหารขึ้นที่ด้านหน้า แล้วเป็นวัดในพุทธศาสนาภายหลัง



Cr.รุปภาพจากwww-siamscubadiving-com,LoNeLy sEcRet@พันทิป

และวัดสุดท้ายที่เราไปก็คือวัดศรีชุมที่อยู่นอกเขตกลุ่มตัวอุทยานประวัติศาสตร์ เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระอจนะ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 11.30 เมตร ลักษณะของวิหารมีลักษณะคล้ายมณฑป แต่หลังคาพังทลายลงมาหมดแล้ว เหลือเพียงผนังทั้งสี่ด้าน ผนังแต่ละด้าน ก่ออิฐถือปูนอย่างแน่นหนา ผนังทางด้านใต้มีช่องให้คนเข้าไปภายใน และเดินขึ้นไปตามทางบันไดแคบ ๆ ถึงผนังด้านข้างขององค์พระอจนะ หรือสามารถขึ้นไปถึงสันผนังด้านบนได้ เป็นที่มาของตำนานพระพูดได้ ผนังด้านข้างขององค์พระอจนะมีช่องเล็ก ๆ ถ้าหากใครแอบเข้าไปทางอุโมงค์แล้วไปโผล่ที่ช่องนี้ และพูดออกมาดัง ๆ ผู้ที่อยู่ภายในวิหารจะต้องนึกว่าพระอจนะพูดได้ และเสียงพูดนั้นจะกังวานน่าเกรงขาม เพราะวิหารนี้ไม่มีหน้าต่าง แต่เดิมคงมีหลังคาเป็นรูปโค้งคล้ายโดม




Cr.รูปภาพจาก thailovetrip-com,static-panoramio-com,manager-co-th


พวกเราถ่ายรูปกับพระหัตถ์ของพระอจนะ ที่เฉพาะนิ้วพระหัตถ์ก็สูงเกิน 2 เมตรไปแล้ว และเป็นที่คนนิยมถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก


Cr.รูปภาพจาก www-diaryclub-com

พระอาทิตย์เริ่มตก ตอนที่เราปั่นจักรยานไปคืน บรรยกาศเมืองเก่าสุโขทัยมีมนต์ขลังที่สุด พระอาทิตย์ดวงโตสีส้ม อ่อนแสงลงกับเงาของเมืองเก่าสุโขทัย เป็นภาพที่ทำให้เราขนลุก อาจเพราะที่นี่ความเป็นมาของชนชาติไทย นี่สะท้อนที่มาของอารยธรรมของเราได้เป็นอย่างดี



Cr.รุปภาพจาก travel-kapook-com,www-pinterest-com

หลังจากคืนรถจักรยานกับอุทยานเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถบัส มุ่งหน้าเข้าเมืองพิษณุโลก ที่เราจะพักกันในคืนสุดท้ายของทริปที่น่าประทับใจนี้ คืนนี้เราพักกันที่บ้านไอ้บอมบ์กันครับ

..............

พอรถเริ่มเข้าเขตเมืองพิษณุโลก เมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งของภาคเหนือ ความเจริญของแสงสีเริ่มมีให้เห็น ห้างสรรพสินค้าใหญ่ มีให้เห็นตั้งแต่ยังไม่เข้าตัวเมืองดี บ้านเมืองเรียงราย รถยนต์เริ่มเยอะเมื่อเข้าสู่ตัวเมือง

บ้านไอ้บอมบ์เป็นบ้านพื้นที่ขนาดใหญ่แนวโมเดิ้น อยุ่ริมแม่น้ำน่าน ไม่ไกลจากถนนคนเดิน จังหวัดพิษณุโลกเท่าไร พอลงจากรถ พวกเราไปสวัสดีพ่อกับแม่ไอ้บอมบ์  พ่อกับแม่ไอ้บอมบ์ต้อนรับพวกเราอย่างดี จัดที่พักไว้ให้พวกเราโดยยกปีกด้านหนึ่งของบ้านให้เลย แถมยังจองโต๊ะที่แพอาหารชื่อดัง ไว้ให้เป็นมื้อเย็นของพวกเราให้อีกด้วย

พวกเราเก็บเข้าที่กันเสร็จก็เดินข้ามถนนที่เป็นถนนเส้นไม่ใหญ่มากลัดเลาะริมแม่น้ำน่าน ก็เดินลงแพอาหารได้เลย ที่นี่มีเรือบริการนำเที่ยวขนาดใหญ่ 50 คนสบายๆไว้ล่องชมแม่น้ำน่านอีกด้วย


Cr.รุปภาพจาก travel-truelife-com

หลังจากมื้อเย็นแสนอร่อยที่พ่อกับแม่ไอ้บอมบ์อุปการะคุณให้แล้วพวกเราก็มาปิดท้ายเดินย่อยที่ถนนคนเดินของพิษณุโลก ที่เริ่มต้นจากสะพานสุพรรณกัลยาไปจนสุดถนนบรมไตรโลกนารถ ถนนคนเดินที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นเพราะถนนคนเดินพิษณุโลกไม่เน้นงานฝีมือ ไม่มีการแสดงเปิดหมวก ไม่ใช้ถนนคนเดินวัฒนธรรม แต่เป็นถนนของกินของใช้เป็นหลังมากกว่าของพื้นเมืองเหมือนที่อื่นๆที่เราเคยไปมา




Cr.รูปภาพจากBlog คุณ strawberry banana&cream


Game
See you Next Game

-------------------------------------------------------------------------


ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 71st Game  –  From Phitsanulok to A yutthaya

หลังจากเดินทอดน่อง ที่ถนนคนเดินกันแล้ว พวกเราก็เดินกลับมาพักที่บ้านไอ้บอมบ์กัน ไอ้ไบร์ทกับไอ้เกมส์เริ่มทยอยไปอาบน้ำ

“สรุปแล้วเอาไงวะพวกมรึง” ผมถามพวกไอ้บอมบ์ที่นั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่

ตอนแรก พรุ่งนี้ตอนเช้าหลังจากไหว้หลวงพ่อพุทธชินราชเสร็จตามแผนเดินจะแยกกัน ไอ้เคนไอ้บรูคไอ้พลัสไอ้พาย จะนั่งรถกลับขอนแก่น ส่วนไอ้บลูกับไอ้เบรฟจะต้องนั่งรถกลับเชียงใหม่ แต่ดูท่าทางพวกมันยังไม่ค่อยอยากจะกลับกัน ผมเห็นมันเถียง มันอ้อนกันตั้งแต่เดินถนนคนเดินแล้ว

“โบ้ทตามโปรแกรมมรึงเราจะถึงดอนเมืองก่อน 19.00 น. ป่าว” ไอ้บอมบ์หันมาถามผม
“น่าจะนะมรึง พรุ่งนี้ ไหว้พระเสร็จแวะอยุธยาไหว้พระ ก็เสร็จแล้วล่ะ” ผมตอบไอ้บอมบ์
“งั้นเอางี้ พวกกรูไปกับพวกมรึงก่อน แล้วพวกมรึงต้องไปส่งกรูที่ดอนเมืองก่อน 1 ทุ่ม เพราะไฟต์จากกรุงเทพฯมาพิดโลก ไฟต์สุดท้ายมัน 20.00 น.” ไอ้บอมบ์หันมาบอกพวกเรา
“ส่วนไฟต์ของกรู ไอ้บรูค ไอ้พลัส ไอ้พาย ไปขอนแก่นไฟต์สุดท้ายมัน 20.30 น.” ไอ้เคนสรุปให้พวกเรา
“แล้วของกรูกับไอ้เบรฟ ไฟต์สุดท้ายมัน 21.30 น.” ไอ้บลูสรุปปิดท้าย
“มรึงโอเคหรือเปล่าวะโบ้ท” ไอ้บอมบ์ถามย้ำกับผมอีกที
“ไม่มีปัญหาพวกมรึง แค่ไปส่งพวกมรึงที่ดอนเมืองให้ทันก่อน 1 ทุ่ม” ผมตอบพวกมันไป
“แล้วพวกมรึงจองตั๋วกันยังอ่ะ” ไอ้บอสถามพวกมัน
“กรูจองแล้วล่ะ เด่วจะแว๊นซ์ไปจ่ายเงินที่เซเว่น” ไอ้บอมบ์ตอบไอ้บอส

เคยเป็นกันไหมครับเวลาไปไหนกับเพื่อนๆที่สนิทๆกัน ไปกับแฟน แล้วไม่อยากกลับ ผมว่าไอ้พวกนี้ก็คงรู้สึกเหมือนๆกัน บางครั้งพวกเราก็จะทำทุกทาง ขอแค่เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกนิด นี่คงเป็นความคิดถึง ความโหยหา ของคนที่เป็นแฟนกันแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกัน

.......................

อาบน้ำอาบท่ากันเสร็จแล้วพวกเราก็มานั่งล้อมวงคุยกันอีกครั้ง เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะรวมกันเป็นมวลหมู่ขนาดนี้

............

ตื่นมาเช้านี้เป็นวันสุดท้ายของทริป พ่อกับแม่ไอ้บอมบ์ก็เตรียมอาหารเช้าไว้ให้พวกเราพร้อม หลังจากทานมื้อเช้าเรียบร้อย พวกเราเตรียมตัวออกเดินทางกันต่อ เก็บของกันเสร็จก็เข้าไปลาพ่อกับแม่ของไอ้บอมบ์ แล้วพวกเราก็ขึ้นรถบัสมุ่งหน้าไม่ไหว้หลวงพ่อพุทธชินราช ที่วัดใหญ่

พอถึงวัดใหญ่พวกเราก็เดินเข้าไปในวิหารหลวงพ่อพุทธชินราช วิหารมีมีสี่ทิศ ทิศที่เห็นหน้าไปทางทิศตะวันตกหันออกสู่แม่น้ำน่าน วิหารหลังนั้นเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพุทธชินราช วิหารที่หันหน้าทางทิศเหนือ เป็นวิหารของหลวงพ่อพระพุทธชินสีห์ วิหารที่หันหน้าทางทิศใต้ เป็นวิหารของพระศรีศาสดา ทั้งสามองค์หล่อในสมัยสุโขทัย ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปที่งามที่สุดในประเทศไทย แต่พระพุทธชินสีห์ กับพระศรีสดา องค์ที่อยู่ที่นี่เป็นองค์จำลอง องค์จริงๆทั้งสององค์ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดบวรนิเวศน์





Cr.รูปภาพจาก www.phsmun-go-th,Blog คุณ wicsir1,eolocation-ws,www-taklong-com


พวกเราจุดธูปเทียนไหว้สักการะที่หน้าวิหาร แล้วจึงเดินเข้าไปกราบหลวงพ่อในวิหาร เพราะในวิหารห้ามจุดธูปเทียน  จากนั้นก็เดินไปกราบพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา สุดท้ายพวกเรามาเข้าแถวรอขึ้นไปกราบหลวงพ่อเหลือ หลวงพ่อเหลือคือพระพุทธรูปองค์เล็กที่หล่อขึ้นมาจากทองที่เหลือจากการหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ คนส่วนมากจะมาไหว้เอาเคล็ด จะได้เหลือเงินเหลือทองไว้ใช้







Cr.รูปภาพจากwww-panoramio-com,Blog คุณ wicsir,www-photoontour-com,thamasenapakdee-blog,manager-co-th


หลังจากไหว้หลวงพ่อพุทธชินราชกันเรียบร้อย พวกเราก็ข้ามแม่น้ำน่านผ่านสะพานนเรศวร ไปกราบพระนเรศวรที่วังจันทร์  วังจันทร์เป็นวังที่พระนเรศวรประสูติและเติบโตก่อนจะถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่หงสาวดี



Cr.รูปภาพจากwoodychannel-com,thailandsusu-com

“วังจันทร์เพิ่งถูกขุดเจอเมื่อปี 2534 นี่เอง” ไอ้บอมบ์เล่าให้พวกเราฟัง
“สมัยก่อนบริเวณนี้เป็นพื้นที่ของโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม เป็นโรงเรียนชายล้วนประจำจังหวัดนี้ เป็นโรงเรียนสมัยม.ต้นกรู แต่กรูก็ไม่เคยเรียนที่วังจันทร์นี่นะ”
“โรงเรียนถูกย้ายออกไปที่ใหม่ตั้งแต่ปี 2540 กรูเลยเรียนที่นี่ไม่ทัน” ไอ้บอมบ์เล่าประวัติโรงเรียนเก่าอย่างภาคภูมิใจ

พวกเรากราบสมเด็จพระนเรศวรกันเสร็จ ก็เริ่มออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยรสบัสพาพวกเรามาตามทางหลวงหมายเลข 117 จากพิษณุโลกผ่านบางส่วนของจังหวัดพิจิตร ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งพวกเราก็มาถึงจังหวัดนครสวรรค์ แล้วก็ลงมาตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ผ่านจังหวัด ชัยนาท สิงหบุรี อ่างทอง แล้วก็อยุธยา  พวกเราแวะทานข้าวกลางวันกันที่ร้านข้าวแกงยอดนิยมที่อยู่ในปั้มเชลล์ที่ อำเภออินทรบุรี ร้านนี้เดิมเป็นเพียงร้านเล็ก แต่เพราะความอร่อยและความสะดวกสำหรับคนใช้รถ และคนเดินทาง ร้านจึงเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  หลังจากทานข้าวกันอิ่มแล้ว พวกเราก็นั่งรถกันต่อ พอถึงทางแยกเข้าจังหวัดอยุธยา รถก็เลี้ยวขวาพาพวกเราไปไหว้หลวงพ่อโตที่วัดพนัญเชิง

วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่ตามพงศาวดารกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิง และสร้างก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี


Cr.รูปภาพจาก www-panoramio-com

หลวงพ่อโตหรือพระพุทธไตรรัตนนายก พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองตอนปลาย ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตัก กว้าง 14.20 เมตร สูง 19.20 เมตร เป็นพระพุทธรูป ปูนปั้นลงรักปิดทอง หลวงพ่อโตหรือพระพุทธไตรรัตนนายก ถือกันว่า เป็นพระโบราณคู่บ้านคู่เมืองกรุงศรีอยุธยามาแต่แรกสร้างกรุง และเมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะแตก ปรากฏในคำให้การขาวกรุงเก่าว่าพระปฏิมากรใหญ่ที่วัดพนัญเชิงมีน้ำพระเนตรไหล เป็นที่อัศจรรย์



Cr.รูปภาพจาก www-pixpros-net,board.palungjit-org

พวกเราเข้าไปกราบหลวงพ่อโต ซึ่งท่านก็โตสมกับชื่อ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่เรียกได้ว่าต้องแหงนคอมองพระพักตร์ท่านกันเลยทีเดียว

“องค์ใหญ่มาก” ผมหันไปบอกกับบอสหลังจากกราบท่าน
“โบ้ทเพิ่งเคยมาเหรอ” บอสหันมาถามผม
“อืม คร้งแรก” ผมชู้นิวชี้ขึ้นแล้วมองหน้าไอ้บอส แบบเขิน
“อืม บอสดีใจ” มันยิ้มตาตี๋
“ทำไมอ่ะ” ผมถามมันกลับไปแบบงง
“ก็เป็นอีกเรื่องที่โบ้ทมาทำกับบอสครั้งแรก” บอสคลี่ยิ้มบางๆ
“แล้วยังไงต่อ” ผมยังไม่เข้าใจ
“อะไรที่ทำด้วยกันครั้งแรก มันก็จะเป็นความทรงจำพิเศษไง เราจะลืมมันยาก” บอสอธิบายให้ผมฟัง และมันก็เป็นอย่างที่บอสอธิบายจริงๆ

พอเดินออกมาด้านนอกก็เห็นโค้งน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่านอยู่ด้านข้างวัด

“ถ่ายรูปกันพวกมรึง” ไอ้เคนชวนพวกเรารวมกลุ่มถ่ายรูป
“นี่ทริปนี้ เกิน 2,000 รูป ไปหรือยังวะ” ไอ้เกมส์แซว
“กรูว่าเกิน” ไอ้โอมสบทบอีกคน
“ทะลุไปแล้วหว่ะ” ไอ้เคนเฉลยคำตอบ
“ถ้ารวมกล้องกรูด้วยก็ทะลุ 4,000 รูปไปแระ” ไอ้เบลเสริม

แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเราหยุดการถ่ายรูปเพิ่ม วันนี้จะเกิน 5,000 รูปไหมคงต้องลุ้นกัน

พอไหว้หลวงพ่อโตกันเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็ขึ้นรถบัสไปเที่ยวจุดหมายสุดท้ายของพวกเราก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพฯ ตลาดน้ำอโยธยา รถบัสผ่านทางหลวงหมายเลข 3477 แล้วก็มาตัดกับถนนสาย 309 ที่เจดีย์วัดสามปลื้ม ที่เป็นเจดีย์โปรานที่ตั้งอยู่กลางถนนก่อนจะเข้าตัวเมืองอยุธยา พวกเราอ้อมวงเวียนเจดีย์เป็นครึ่งวงกลมและตรงไปอีกไม่ไกลก็ถึงตลาดน้ำอโยธยา


Cr.รูปภาพจาก oknation-net

ตลาดน้ำอโยธยา แหล่งท่องเที่ยวที่เปิดตัวได้ไม่นาน อยู่ที่เดียวกับปางช้างอโยธยา เรียกได้ว่าเป็นตลาดน้ำที่ยิงใหญ่ที่สุดในเมืองอยุธยา เป็นตลาดย้อนยุคแบบโบราณ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติแบบไทยพื้นบ้านและสายน้ำ จัดแบ่งเป็นโซนๆ ตลาดน้ำอโยธยามีร้านค้ามากถึง 249 ร้าน


Cr.รูปภาพจาก variety-domunz-com

มีของกินที่แม่ค้าลอยเรือขายกันอยู่ในน้ำเต็มไปหมด พวกเราก็อดไม่ได้ที่จะซื้อติดไม้ติดมือตามประสาเด็กกำลังกินกำลังนอน

“คอยดูนะเดี๋ยวไอ้บีมต้องไปเก็บเสื่อยืด” ผมแซวมันหลังจากเราเริ่มเดินผ่านโซนเสื้อยืดที่ระลึก
“อ่ะ มันแน่นอนอยู่แล้ว” ไอ้บีมหันกลับมาตอบ
“กรูได้มาครบทุกจังหวัดที่ไปเลยนะโว้ย” มันคุยใหญ่
“แล้วที่นี่กรูจะพลาดเหรอ”
“คำตอบ คือไม่โว้ย” เสียงมันภาคภูมิใจมาก






Cr.รูปภาพจาก blog คุณ นายรถซุง,Travel-mthai-com,www-duetdiary-com

หลังจากเดินจนรอบตลาดน้ำ ได้ทั้งของฝาก ของกิน และของที่ระลึกกันเรียบร้อยพวกเราก็กลับมาขึ้นรถกัน  รถบัสก็พาพวกเรากลับเข้ากทม โดยทางหลวงหมายเลข 1 ผ่าน ก่อนจะเลี้ยวขวาที่ประตูน้ำพระอินทร์ ผ่านรังสิต แล้วก็มาถึงดอนเมือง รถบัสแวะเข้าจอดที่ลานจอดรถที่ท่าอากาศยานดอนเมืองเรียบร้อย

พวกไอ้เคน ไอ้บรูคไอ้พลัส ไอ้เบรฟไอ้พาย ไอ้บลูไอ้บอมบ์ ลงมาเอากระเป๋าที่ใต้ท้องรถ พวกเราเดินมาส่งพวกมัน 7 คน

ไอ้เคน ไอ้พลัส ไอ้พาย ไอ้บรูค บินกลับ ขอนแก่น
ไอ้เบรฟกับไอ้บลู บินกลับ เชียงใหม่
แล้วก็ ไอ้บอมบ์ บินกลับ พิษณุโลก

“เดี๋ยวกรูกลับไปถึงขอนแก่น แต่งรูปเสร็จจะส่งเข้ามาในกรุ๊ปไลน์นะโว้ย ส่วนไฟล์ใหญ่เดี๋ยวไรท์ DVD ส่งมาให้ไอ้เบลมันช่วยแจกอีกทีนะ” ไอ้เคนหันมาบอกพวกผมเรื่องรูป
“เออ ไม่เป็นไรมรึง เดินทางปลอดภัยกันะ” ผมอวยพรไอ้เบล
“โชคดีครับ” คุณชายบอสหันไปบอกพวกมัน

ไอ้เบรฟกับไอ้พายต้องแยกกันที่นี่ เบรฟกลับเชียงใหม่ พายต้องกลับขอนแก่น บรรยกาศ การลากันของไอ้สองคนนี้ก็แอบเศร้าๆ

“เดี๋ยวก็เจอกันนะครับ” ไอ้เบรฟกำลังปลอบใจไอ้พาย
“อืม พายเข้าใจ แต่ก็อดใจหายไม่ได้อ่ะ” ไอ้พายหันมาตอบไอ้เบรฟ น้ำตาไอ้พายเริ่มคลอ
“งั้นเดี๋ยวอาทิตย์หน้า เบรฟไปหาพายนะ”  ไอ้เบรฟเอานิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาไอ้พาย พอไอ้เบรฟพูดจบไอ้พายก็ยิ้มแก้มแถบปริ
“จริงนะ” ไอ้พายถามย้ำไอ้เบรฟอีกที
“อืม จริงสิ อาทิตย์หน้าก็เจอกันแล้ว”
“เจ้าเล่ห์นักนะเรา” ไอ้เบรฟเอามือหยิกแก้มไอ้พายเบาๆ

........

คูไอ้บลูกับไอ้บอมบ์ก็ต้องแยกกันที่ดอนเมืองไอ้บลูที่บินกลับเชียงใหม่กับไอ้บอมบ์ที่บินกลับพิษณุโลก

“ถึงเชียงใหม่แล้วโทรมาด้วยนะ” ไอ้บอมบ์กำชับไอ้บลู
“อืม เดี๋ยวเครื่องลงแล้วเค้าโทรเลย” ไอ้บลูบอกกับไอ้บอมบ์
“บอมบ์ดูแลตัวเองด้วยนะ บลูเป็นห่วง” บลูย้ำไอ้บอมบ์บ้าง
“ครับ เหมือนกันนะ บลูก็ดูแลตัวเองด้วย เค้าไม่ได้อยู่ด้วยก็ห้ามเจ้าชู้ล่ะ” ไอ้บอมบ์ก็หวงไอ้บลูเหมือนกันนะนี่
“มีบอมบ์คนเดียวแหละ ดีที่สุดแล้วจะไปมีใครอีก” ไอ้บลูพูดสร้างความมั่นใจให้ไอ้บอมบ์

ส่วนคู่สุดท้ายที่ต้องแยกกันก็คือ
“เดินทางปลอดภัยนะเคน” ไอ้เบลอวยพรไอ้เคน
“ขอบคุณนะ เบลก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” ไอ้เคนคว้าคอไอ้เบลเข้าไปกอด
“จุ๊บ”  ไอ้เบลขโมยหอมไอ้เคนไปหนึ่งที ก่อนที่พวกมันจะคลายอ้อมกอด
“โชคดีนะ” ไอ้เบลบอกลาไอ้เคน
“แล้วเจอกัน” ไอ้เคนโบกมือก่อนที่จะลากกระเป๋าเดินไปกับไอ้พวกไฟต์ขอนแก่น

ส่วนไอ้บรูคกับไอ้พลัสโชคดีที่ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกหน่อยก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเมื่อถึงขอนแก่นแล้ว เพราะโรงเรียนไอ้พลัสกางเกงเขียวก็ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองขอนแก่น

ผมกับบอสรู้สึกใจหาย แม้จะเป็นการจากเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเอง แต่คนรักกันต้องอยู่ไกลกัน มันต้องทรมานเพราะความคิดถึงกันแน่ๆ โชคดีแค่ไหนที่ผมกับบอสไม่ต้องอยู่ไกลกัน เพราะความคิดถึงมันคงทำให้เราสองคนแถบบ้าแน่ๆ

ส่งไอ้พวกนั้นเสร็จก็เกือบจะ 19.30 แล้วรถบัสก็นำพวกเรากลับถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยที่บ้านไอ้เบล

ยังเหลือไอ้บัดกับไอ้คริส ผมกับบอสให้พวกมันนอนที่บ้านกันอีกคืน แล้วค่อยออกเดินทางกลับบางแสนและพัทยากันเช้าพรุ่งนี้ วันนี้เดินทางกันเหนื่อยแล้วไม่อยากให้มันขับรถกลับอีก ไอ้วินกับไอ้บอล ยังไม่เวลาอยู่กับไอ้บัดกับไอ้คริสเพิ่มอีกคืน

ทริปนี้คงเป็นทริปที่ทำให้เราจดจำไปตลอดชีวิต เพราะคงยากที่จะได้รวมตัวกันแบบครบๆแบบนี้อีก เพื่อนๆทุกคนมีน้ำใจ เค้าว่ากันว่าการไปไหนกับเพื่อนสักทริป เราจะเห็นตัวตนของเพื่อนคนนั้นจริงๆ นั่นคงเป็นคำพูดที่ถูกต้อง นอกจากมิตรภาพจากเพื่อนที่พวกเราได้กันแล้ว ทริปแห่งความทรงจำนี้จะไม่ลบเลื่อนไปง่าย เพราะเป็นทริปที่พวกเราได้เดินทางไปกับคนที่เรารักแล้วเค้าก็รักเรา........


Game
See you next game

------------------------------------------------------------------------

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

รวมเส้นทางการเดินทางทั้งทริป


ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
พอเห็นเส้นทางของทริปแล้วเหนื่อยแทนเด็กๆกับคนเขียนเลยล่ะ
วันนึงเที่ยวเยอะมากๆไปเราคงไม่ไหว ฮ่าฮ่าฮ่า
ถ้าเที่ยวแบบเด็กเราคงใช้เวลาเป็นเดือน ฮ่าฮ่าฮ่า ที่นึงอยู่ 3-4 วันอะไรงี้
ขอคาระวะคนเขียนว่า อึดมาก ทั้งหาข้อมูล ทั้งเรียงข้อมูลทริป แถมยังหารูปสวยๆมาให้ดูอีก
อ่านนิยายไปด้วยเหมือนอ่านรีวิวไปด้วย แล้วก็เหมือนเที่ยวไปด้วย
ขอบคุณมากๆจ้า  :mew1:

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 72nd Game  – Back to Normal

เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของบอส หลังจากทริปที่ยาวนาน พวกเราก็กลับมาสู่ชีวิตปกติกันอีกครั้ง หลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำกเสร็จผมก็ออกมาแต่งตัวผมหยิบเสื้อกับกางเกงนักเรียนออกมาเตรียมไว้ให้บอส

“เช็ดหัวให้เค้าหน่อย” เสียงบอสบอกผมหลังจากเพิ่งเปิดประตูห้องน้ำออกมา
“อ่า” ผมหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมให้เด็กชายบอสที่ยืนอ้อนผมเป็นเด็กๆ
“น่ารักจัง” มันหลี่ตาขึ้นมองผมก่อนจะเอ่ยปากชม
“นะ วันนี้อ้อนจัง” ผมบอกมันพร้อมกับหยิบไดร์เป่าผมเป่าผมให้บอส
“ชุดอยู่นี่นะ” ผมชี้ไปที่ชุดนักเรียนของบอสหลังจากเป่าผมให้มันเสร็จ บอสเดินไปใส่ชุดนักเรียน

ผมกับบอสเดินออกจากบ้านอรรถกร มาขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีวงเวียนใหญ่  พอแทรกตัวขึ้นรถไฟฟ้าที่แน่นขนัดได้ ผมกับบอสยืนเบียดกันกับชาวกรุงเทพฯที่เร่งรีบเดินทางไปทำหน้าที่ของตัวเองกัน บอสเอาหูฟังมายัดใส่หูผมข้างหนึ่ง

กับโลกที่ยังร้อน มันยังร้อน ยังมีความรัก  ให้รักเป็นดั่งสายลมช่วยดับร้อน
กับฟ้าที่ยังร้อง มันยังร้อง ยังคงร้อง น้ำตานองฟ้า ร้องไปเถิดถ้าใจหายเหนื่อยล้า

กับรักที่เคยร้าว ใจยังร้าว ความปวดร้าว ใจยังเหน็บหนาว
ให้รักเป็นดั่งเชื้อไฟให้ชีวิต กับโลกในวันนี้ ใจดวงนี้ยังมีความหวัง

แม้จะหนักเท่าไร แม้จะเหนื่อยแค่ไหน เพียงใจยังมีรัก
ให้มันเป็นสีชมพู แค่ให้หัวใจของเราได้รู้
ว่าโลกใบนี้เป็นสีชมพู
รอยยิ้มมีให้กัน ทุกคืนทุกวันต่างก็ชื่นใจ
เมื่อรักกันมากพอ โลกนี้จะน่าอยุ่เพียงใด

เมื่อทุกอย่างสดใส อะไรๆ ก็สีชมพู
ที่ไหนเมื่อไรใครๆ ก็รู้
แค่ใจดวงนี้เป็นสีชมพูรอยยิ้มมีให้กัน
ทุกคืนทุกวันต่างก็เข้าใจ อยู่ร่วมกันด้วยรัก
โลกนี้จะงดงามเพียงใด

เสียงพี่ตูนลอยเข้าหูผม ไอ้บอสยืนขยับหัวเล็กน้อยเข้ากับจังหวะกลอง นัตย์ตาสีดำจ้องมองผม รอยยิ้มบางๆคลี่ออก หน้าตาหล่อๆของมันกับสายตาแบบนั้น เล่นเอาผมเขิน ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว

“แกๆ ดูคู่นั้นสิ” เสียงสาวมัธยมที่อยู่ในชุดเสื้อแขนยาวกระโปรงยาวสีน้ำเงิน สะกิดเพื่อนให้มองมาที่คู่เรา
“น่ารักเนอะ” เสียงเด็กหญิงอีกคนพูดหลังจากหันมามองพวกเรา
“น่ารักมากอ่ะแก ฟิน”

ผมอดอมยิ้มกับความคิดสาวๆสมัยนี้ไม่ได้ ^-^
........

พอมาถึงโรงเรียนบอสแยกไปสภานักเรียน ผมเข้ามาที่ชมรม
“เป็นไงบ้างวะ” ไอ้แบงค์เอ่ยทักทันทีที่ผมเปิดประตูชมรมเข้ามา
“ก็ดีหวะ มรึงอ่ะ” ผมถามมันกลับไป
“ก็เหนื่อยๆ เพลียๆนิดหน่อย” ไอ้แบงค์ตอบกลับมา
“เหนื่อยเที่ยว หรือ เหนื่อยทำการบ้านกับไอ้อาร์มวะ” ผมปล่อยหมาแซวไอ้แบงค์ไป
“เชี่ย อันนั้นเข้ามาเรียกว่าเหนื่อยหวะ” ไอ้แบงค์สบถด่าผม
“แล้วเขาเรียกว่าอะไรวะ” ผมกะจะกวนมันเลยถามมันกลับไปไป
“เขาเรียกฟินโว้ย”
“ฟินเชี่ยไรกันแต่เช้า” เสียงไอ้บีมลอยเข้ามาหลังจากที่มันกับไอ้ไบร์ทเปิดประตูเข้ามา
“หรือว่าพวกมรึง” ไอ้ไบร์ทเอามือปิดปากทำตาโต แล้วชี้มาที่เราสองคน
“เชี่ยแระ ไอ้ไบร์ทมรึงคิดเชี่ยไรนี่”  ผมรีบเบรกมัน
“แค่คิดกรูก็ขนลุกแล้ว สัส” ไอ้เชี่ยแบงค์ทำตัวสั่นเบาๆเหมือนในโฆษณาแป้งเย็น
“เหอะๆ พอเลยพวกมรึง พูดซะกรูเห็นภาพ” ไอ้บีมตัดบท
“ต้องเริ่มอ่านหนังสือกันแล้วนะพวกมรึง อีกสองอาทิตย์มิดเทอม” ไอ้บีมพูดเตือนพวกเราเพราะอาทิตย์หน้าการสอบมหาโหดรอพวกเราอยู่ แถมต้องตามเก็บงานที่หยุดตอนหนีไปเที่ยว 4 วันอีกตาหาก แค่คิดก็ต้องรีบแล้ว

......

               กลางวันวันนี้ไปกินข้าวด้วยไม่ได้นะครับ  ปั่นงานอ่ะ  10.05
Boss
ครับ ไม่เป็นไร 10.06
Boss
สู้ๆนะ 10.07

ผมไลน์ไปบอกไอ้บอส เพราะกลางวันนี้ผมกับแก๊งค์ 5/9 ไอ้แบงค์ ไอ้บาส แล้วก็ไอ้บูม นัดกันปั่นงานที่ค้างเอาไว้กัน

“ไอ้เชี่ยแบงค์เอามาก่อน กรูยังไม่เสร็จ” ผมด่าไอ้แบงค์ที่หันมาดึงสมุดงานผมไป
“แปปนึง” มันไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาลอก
“ไอ้เชี่ย มันผิดกรูยังไมได้แก้” ผมหงุดหงิดมัน
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก” มันหยุดลอกแล้วหันมาบ่นผม
“ก็มรึงถามกรูก่อนจะดึงไปไหม” ผมทำหน้าเซ็งใส่มัน

“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง

ผมกับพวกมันเงยหน้าขึ้นจากสมุดงาน ก็เห็นไอ้บอสโผล่หน้าเข้ามากับไอ้อาร์ม

“เข้ามาก่อนดิ” ไอ้แบงค์ชวนไอ้อาร์มกับไอ้บอส
“นั่งก่อนบอส” ผมหันไปบอกมัน ส่วนไอ้บาสกับไอ้บูมก้มหน้าก้มตาปั่นงานต่อ
“บอสซื้อแฮมเบอร์เกอร์กับน้ำมาฝาก” ไอ้บอสบอกผม
“ขอบคุณครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดงานแล้วก็รีบจัดการกับแฮมเบอร์เกอร์ ชิ้นนั้น

ไอ้บอสซื้อมาฝากไอ้บาสกับไอ้บูมด้วย ส่วนไอ้แบงค์มันมีคนดูแลของมันอยู่แล้ว...

“ให้ช่วยไหม” ไอ้บอสถามผมหลังจากผมก้มหน้าก้มตาปั่นงานต่อ
“ไม่เป็นไร จะเสร็จแล้วอีกนิดเดียว” ผมหันไปบอกมัน
“แล้วของบอสล่ะ” ผมถามบอสขณะที่ยังก้มหน้าปั่นงานต่อไป
“เสร็จแล้วห้องบอสงานไม่เยอะอ่ะ บอสกับเบนซ์ ปั่นเสร็จตั้งแต่เช้าแล้ว”
“อ่าดีจัง ของห้องโบ้ทเยอะ” ผมบ่นกับไอ้บอส
“เสร็จแล้ว” ผมชูแขนสองข้างขึ้นโล่งใจเมื่อปั่นงานเสร็จ
“เก่งมาก” ไอ้บอสเอามือมาลูบหัวผมเบาๆ ผมยิ้มตาหยี่ตอบกลับคำชมของบอส
“เสร็จแล้วใช่ไหม” สิ้นเสียงไอ้แบงค์มือมันก็คว้าสมุดงานผมไปอย่างรวดเร็ว
“ทีงี้ไวเชียวนะมรึง” ผมหันไปด่ามัน

“เมื่อยไหม” มันถามผม
“อ่า นิดหน่อย” ผมตอบบอส บอสเดินอ้อมมาข้างหลังผม แล้วเอามือมาบีบตรงต้นคอให้ผมแล้วก็ไล่ลงมาที่บ่า
“อืมม” ผมครางเพราะความสบาย
“แหม่ มีพนักงานนวดส่วนตัวด้วยวุ้ย” ไอ้บาสหันมาแซว
“กรูล่ะอิจฉา อยากให้นัทเรียนอยู่นี่จัง” ไอ้บูมเปรยออกมา
“เย็นนี้พวกมรึงก็เจอกัน ไม่ต้องมาอิจฉากรูเลย” ผมรีบตัดบทก่อนจะโดนแซวหนักไปกว่านี้

..............

ผมกำลังน็อกบอลกับไอ้แบงค์กลางสนามเทนนิสหลังเลิกเรียน
“พี่โบ้ท มีคนมาหา” ไอ้เพียวตะโกนมาจากประตูคอร์ทเทนนิส
“ใครวะ” ผมตะโกนถามมันกลับไป
“ไม่รู้อ่ะพี่” เสียงไอ้เพียวตะโกนกลับมา
“เออๆ เด่วพี่ออกไป” ผมตะโกนบอกไอ้เพียวแล้วบอกไอ้แบงค์ให้พัก แล้วจึงเดินออกไปที่หน้าคอร์ทเทนนิส

ใครมาหาหว่า ปกติถ้าเป็นไอ้บอสหรือเพื่อนผมมันก็จะเดินเข้ามาหาเลย แต่นี่ไม่เข้ามา ผมกำลังนึกว่าใครมาหาผม ผมโผล่หน้าออกจากคอร์ทเทนนิสแล้วคนที่รอผมอยู่ก็คือ
.
.
.
.
.
.
.


“เฮียค็อป”

“คลื่นลมมักจะเงียบสงบ....ก่อนพายุใหญ่จะพัดโหมกระหน่ำ” มันคงจะเป็นจริงดังที่สุภาษิตจีนเคยกล่าวเอาไว้

Game
See you next game

-------------------------------------------------------------------------------
ตอบคอมเมนท์ครับ^^

ตอบคอมเมนท์คุณ IsDeer ครับ
ใช่ครับ ตอนนี้คนเขียนเองก็เที่ยวแบบหฤโหดแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เอิ๊กกก
ถ้าตอนเด็กๆแรงเยอะๆไปไหนก็ไปกันครับ อิอิ
ใช้เวลาอยู่เป็นอาทิตย์ตอนเขียน และใช้เวลาอีกเป็นอาทิตย์หารูป ครับ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ด้วยนะครับ
คนเขียนดีใจที่คุณ IsDeer ชอบนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ เหลืออีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วครับ ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์และกำลังใจด้วยนะครับโผม..

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 73rd Game  – Feel down

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้สวัสดีเฮียค็อป
“หวัดดี” เฮียค็อบรับไหว้แบบเสียไม่ได้
“เฮียมีเรื่องจะคุยด้วย ไปหาที่เงียบๆคุยกัน” เฮียค็อปเข้าประเด็น
“ครับ” ผมพาเฮียค็อปเดินเข้าไปที่ห้องชมรม เพราะตอนนี้ทุกคนลงไปซ้อมในคอร์ดกันหมดแล้ว

....

ผมเปิดประตูชมรมเดินนำเฮียค็อปเข้ามาด้านใน
“ครับเฮีย เฮียมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมครับ” ผมถามเฮียหลังจากที่เฮียนั่งลงที่เก้าอี้เรียบร้อย
“เข้าเรื่องเลยล่ะกัน จะได้รีบกลับ” เฮียค็อปหันมาพูด
“ครับ” ผมตอบรับและตั้งใจจะฟังสิ่งที่เฮียค็อปกำลังจะบอก

“เฮียอยากให้เราเลิกยุ่งกับบอส”

สิ้นเสียงเฮียค็อปทุกอย่างก็เงียบสนิท ผมเหมือนถูกหมัดฮุกเข้าที่ปายคาง สตั้นไปหลายวินาที

“ทำไมเหรอครับ” ผมเรียกสติคืนกลับมาก่อนจะถามเหตุผลกับเฮียค็อป
“ก็ไม่ทำไมหรอก” เฮียค็อปหยุดพูดแล้วมองมาที่หน้าผม
“บอสยังมีอนาคตอีกไกล อาจจะได้เจอกับผู้หญิงดีๆ ต้องมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ต้องมีทายาทสืบสกุล และเป็นเหมือนผู้ชายปกติทั่วไปๆ ” หูผมเริ่มอื้อ ความคิดของผมลอยฟุ้งไปกับคำพูดของเฮียค็อป

“เฮียไม่อยากให้เราทำให้บอสหลงทาง” เฮียค็อปเน้นคำว่าหลงทางจนทำให้ผมตื่นจากภวังค์

“หลงทาง” ผมหลุดปากพูดย้ำคำสุดท้ายของเฮีย
“ใช่ หลงมาในทางที่ไม่ควรจะเดิน” เฮียค็อปย้ำอีกครั้ง
“เฮียหมายความว่ายังไง” ผมย้อนถามกลับไป
“เราคิดว่าเฮียไม่รู้เหรอว่า เราสองคนกำลังทำอะไรกัน” เฮียค็อปยกคิ้วขึ้นสายตาจ้องมาที่ผม
“ผม ผม” ดันจะมาติดอ่างอะไรตอนนี้ผมด่าตัวเอง
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด” ผมพยายามรวบรวมสติตอบเฮียค็อป
“ไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ผิดเพศยังงั้นเหรอ” คำพูดเฮียค็อปเน้นตรงคำว่าผิดเพศจนเสียงแข็ง และคำๆนั้นก็เย้อหยัน สายตาของเฮียจ้องมองที่ผมผม

“มรึงคิดว่ากรูไม่รู้ไม่เห็นเหรอ” เฮียค็อปเปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนตัวเองน้ำเสียงเฮียค็อปดังขึ้น ความโกรธความเกลียดทะลุออกมาจากตัวเฮียค็อปจนผมรับรู้ได้
“ภาพวันนั้นติดตากรูจนถึงทุกวันนี้” น้ำเสียงเฮียเหยียดอย่างเห็นได้ชัด
“วันนั้น” ผมย้อนถามเฮียกลับ
“ใช่วันนนั้น วันที่มรึงกับไอ้บอสนัวกันอยู่ในห้องแล้วเสือกไม่ได้ล็อกประตู” น้ำเสียงขยะแขยงทำเอาผมเองขนหัวลุก
“เฮียเห็น” ผมย้อนถามเฮีย
“เออ กรูเห็น เต็มสองลูกตากรูนี่แหละ ตอนแรกก็คิดว่าไอ้บอสมันก็แค่อยากระบายความอยากของมัน แต่กรูเริ่มเอ๊ะใจว่ามันคงจะมีอะไรมากกว่านั้น เมื่อกรูยังเห็นมรึงกับมันยังคงวนเวียนมาเจอกันบ่อยๆ” เฮียค็อปพูดออกมาด้วยทั้งอารมณ์โกรธและอารมณ์รังเกียจ

“แล้วยังไงต่อครับ” ผมพยายามล้วงความลับจากคนที่กำลังโกรธ ความลับที่ผมเองก็ไม่เข้าใจมาตลอดหลายปีว่าทำไมบอสถึงเปลี่ยนไปเมื่อตอนนั้น

“ก็ไม่แล้วไง กรูเลยบอกให้มันเลิกยุ่งกับมึงไง ไม่งั้นกรูจะบอกพ่อกับแม่มัน” แล้วผมก็เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำไมตอนนั้นบอสถึงไม่คุยกับผมอีก

ในที่สุดผมก็เข้าใจในสิ่งที่ติดค้างในใจผมมาหลายปี ว่าทำไมและอะไรทำให้บอสเปลี่ยนไปเมื่อตอนนั้น

“แล้วตอนนี้เฮียมาบอกผมเพื่อจะให้ผมเลิกยุ่งกับบอสเหรอครับ” ผมถามเฮียค็อปถึงจุดประสงค์ของการมาของเฮียครั้งนี้

“เออ ถ้ามรึงคิดถึงอนาคตไอ้บอส มรึงก็ออกไปจากชีวิตไอ้บอสซะ”
“กรูไม่อยากให้น้องกรูเป็นพวกวิปริตผิดเพศ” สองประโยคนี้กังวานชัดสะท้อนก้องกลับไปกลับมาอยู่ในหัวผม

“แต่...” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดต่อ

“ถ้ามรึงไม่อยากให้ที่บ้านมรึงรู้ มรึงต้องเลิกยุ่งกับไอ้บอสมัน” เป็นคำพูดค่อยๆพูดช้าๆทีละคำและเน้นย้ำให้ผมต้องสะอึก

“หวังว่าพูดแค่นี้คนอย่างมรึงคงเข้าใจนะ” เฮียค็อปทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินเปิดประตูห้องชมรมเดินกลับออกไป

............

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นตัวน่ารังเกียจ เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกไม่มีค่าได้ขนาดนี้

ผมเก็บแร็กเก็ตและเสื้อผ้าชุดนักเรียนยัดลงโค๊ฟเว่อร์ ลุกขึ้นยืนเอามือปาดน้ำใสๆที่ไหลลงมาเปื้อนแก้ม แล้วสะพายโค๊ฟเวอร์ขึ้นบ่า เดินเปิดประตูออกมาที่หน้าคอร์ดเทนนิส

“แบงค์ กรูฝากปิดชมรมด้วย” ผมตะโกนบอกไอ้แบงค์ แล้วเดินออกไปทันที
“ไอ้โบ้ทมรึงจะไปไหน” เสียงตะโกนถามจากพวกไอ้แบงค์ดังโหวกเหวกลอยมาด้านหลัง ผมไม่ได้หันไปตอบพวกมันได้แต่เดินออกไปหน้าโรงเรียนด้วยความรวดเร็ว

ผมเดินออกมาหน้าโรงเรียน ขึ้น BTS ที่สถานีสุรศักดิ์ ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะ 17.30 น. อาจจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงหน้าหนาว หรือจิตใจของผมตอนนี้มันมืดมนกับหนทางข้างหน้า ผมรีบสลัดความคิดแย่ๆออกแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านไปให้เร็วที่สุด

ภาพในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในหัวผมตั้งแต่วันที่ผมกับบอสเริ่มคบกันจนถึงวันที่บอสไม่พูดกับผม ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้ ว่าทำไมตอนนั้นบอสถึงใจร้ายกับผมนัก

ทู บอน ดาชิน บล ซู ออบดัน มัล ฮาจีมา
แนกา จัลฮัลเก โนจี อานึลเก นี กยอเท อิซนึน นัล
ตอนาจีมา โทราซอจีมา นัน นอล โบแนล ซู ออบซอ
อีรอน นัล ทูโก oh oh คันดาโก oh oh
บอซอนัล ซู ออบซอ Cause you are my destiny

เสียงริงโทนดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็เห็นหน้าคนที่ผมรักที่สุด ปรากฏอยู่เต็มหน้าจอโทรศัพท์ ผมมองหน้าหล่อๆและยิ้มบางๆที่โชว์ขึ้นมาหน้าจอเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยและอ่อนโยนกับผมเสมอ

“ขอโทษนะบอส วันนี้โบ้ทขออยู่เดียวขอคิดอะไรก่อนนะ”

ผมพูดกับโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้กดรับสายก่อนจะกดปุ่มปิดเครื่องหน้าจอสีขาวดับวูบลง

…….

ผมเดินเข้าบ้าน เห็นม่าม๊ากำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว ส่วนป๊ายังไม่กลับมา ผมเดินเข้าไปกอดม่าม๊าจากด้านหลัง

“กลับมาแล้วเหรอลูก” ม่าม๊าหันมาถามผม
“ครับ” ผมตอบม่าม๊ากลับไป
“คืนนี้โบ้ทขอไปนอนบ้านเพื่อนนะครับ” ผมขออนุญาตแม่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วผมยังไม่มีที่ไป และยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน แต่ที่ผมตอนนี้ก็คือผมอยู่บ้านไม่ได้ เพราะบอสต้องตามมาแน่ๆ
“ทำไมอ่ะลูก” ม่าม๊าถามเพราะผมเพิ่งกลับมาจากทริป
“ไปติวนะม๊า” ผมยังคงกอดม่าม๊าเอาไว้แน่น เพราะตอนนี้ม่าม๊าคือสิ่งเดียวที่ยังทำให้ผมยังมีแรงหายใจ
“อ้าวเหรอ งั้นก็ตามใจลูก” ม่าม๊าหันมาบอกกับผม
“วันนี้เป็นอะไรล่ะ อ้อนเป็นเด็กน้อยเชียว” ม่าม๊าเอามือมาลูบหัวผม ทำเอาน้ำตาผมเกือบล่วง
“ม่าม๊า ถ้าวันหนึ่งโบ้ททำให้ม่าม๊าผิดหวัง ม่าม๊าจะโกรธโบ้ทไหม” ผมถามม่าม๊ากับสิ่งที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ผมจะทำให้ม่าม๊าเสียใจหรือเปล่า
“หืม”
“ทำไมล่ะลูก” ม่าม๊าลูบหัวผม
“ม่าม๊าเป็นแม่ของลูกนะโบ้ท ไม่ว่าลูกจะทำผิดสักแค่ไหน แม่ก็ตัดลูกไม่ขาดอยู่ดี” ม่าม๊าตอบข้อข้องใจผม
“ลูกจะเป็นอะไรยังไงก็ไม่เป็นไร ม่าม๊าขอให้ลูกเป็นคนดีก็พอแล้ว” ม่าม๊าพูดเสริมต่อ
“ไหนเล่าให้ม๊าฟังหน่อย ทำไมถามม๊าอย่างนั้น” ม่าม๊าถามผม
“ไม่มีอะไร โบ้ทก็ถามไปอย่างนั้น เผื่อวันหนึ่งโบ้ททำอะไรพลาดไปหน่ะม๊า” ผมตอบปัดๆม่าม๊าไป
“งั้นโบ้ทไปเก็บกระเป๋าแปปนะม๊า” ผมหอมแก้มม่าม๊าไปหนึ่งฟอด ก่อนจะเดินขึ้นไปข้างบนเก็บกระเป๋าแล้วเดินลงมาหวัดดีม่าม๊า

...........

รถ Volk Swaken tiguan สีขาว SUV คันหรูของทะยานออกไปตามถนนหลวง อย่างไรจุดหมาย เรื่องสมัยมัธยมต้น ตอนนี้พรั่งพลูเข้ามาเต็มความคิดผมไปหมด แล้วภาพของเด็กชายจารุวัฒน์กับเด็กชายรัชชานนท์ปรากฎเด่นชัดขึ้นมาจากความทรงจำ


Game
See you Next Game

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 74st Game  – Newcomer

ภาพวันเปิดเทอมวันแรกตอน ม.2 ผุดขึ้นมาเด่นชัดจากความทรงจำ
 
“เด็กชายรัชชานนท์ สุขอนันต์” อาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ประจำชั้นม.2/4 กำลังขานชื่อนักเรียนเพื่อเช็คชื่อในวันเปิดภาคเรียนวันแรก
“มาครับ” ผมยกมือขึ้นขานรับการขานชื่อของอาจารย์
“เด็กชายฏักศิลา ศักดากรณ์” อาจารย์ขานชื่อไอ้เบิร์ดเพื่อนสนิทผมที่นั่งอยู่ติดกัน
“มาครับ” ไอ้เบิร์ดขานรับอาจารย์
“เด็กชายปฏิภาณ ปัทมศิริ” นั่นชื่อไอ้แบงค์ 
“มาครับ” ไอ้แบงค์เป็นเพื่อนในชมรมเทนนิสของผม และก็เป็นคู่แข่งตอนออกแข่งขันเก็บคะแนนสะสมอันดับเยาวชนด้วย
“เด็กชายญาณโชติ มงคลวัฒน์”  อาจารย์ขานชื่อไอ้อาร์มเป็นคนต่อไป
“มาครับ” ไอ้อาร์มเป็นเด็กเรียนใส่แว่น ออกแนวเนิร์ดๆ

หลังจากที่อาจารย์ขานชื่อนักเรียนจนครบทุกคน อาจารย์ก็แนะนำชื่อตัวเองเสร็จเรียบร้อย

“วันนี้ครูจะแนะนำเพื่อใหม่ให้พวกเรารู้จักกัน” อาจารย์สาวกล่าว..พร้อมกับเรียกนักเรียนใหม่มาแนะนำให้เรารู้จัก

“นี่จารุวัฒน์ อรรถากร”  เด็กหนุ่มหน้าตาดีก้าวเข้าผ่านประตูเข้ามายืนหน้าห้องเรียน
“แนะนำตัวเองให้เพื่อนๆรู้จักหน่อยจ่ะ” อาจารย์ให้นักเรียนใหม่แนะนำตัว
“ผมชื่อ บอส ครับ จารุวัฒน์ อรรถากร ครับ”
“เพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่เป็นวันแรก ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” หน้าตาหมอนี่จัดว่าหล่อเข้าขั้น เพราะแก๊งค์สาวน้อยหน้าห้อง กรี๊ดกร๊าดกัน

“จารุวัฒน์ ไปนั่งโต๊ะข้างหลัง รัชชานนท์นะ” อาจารย์ให้นักเรียนใหม่มานั่งโต๊ะว่างข้างหลังผม
“หวัดดี” เสียงเด็กใหม่กระซิบทักทายผมหลังจากลากเก้าอี้นั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“หวัดดี” ไอ้เบิร์ด หันไปทักทาย
“เราชื่อเบิร์ด ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ไอ้เบิร์ดแนะนำตัวเอง
“แล้วนายล่ะ” เด็กใหม่หันมาถามผม
“เราชื่อโบ้ท” ผมแนะนำตัวเองสั้นๆ

.........

“นายๆ ไปกินข้าวกับพวกเราไหม” ไอ้เบิร์ดเอ่ยปากชวนหลังเรียนคาบสุดท้ายภาคเช้าเสร็จ
“อืมม ไปสิ” อ้าวไอ้นี่ใจง่ายจริงวุ้ย ไอ้บอสตกปากรับคำชวนไอ้เบิร์ดง่ายดาย

ผมหยิบเป้แล้วก็คว้าโค๊ฟเวอร์เทนนิสขึ้นสะพาย เพราะเมื่อเช้ามาสายวันนี้เลยต้องแบกโค๊ฟเวอร์ติดตัวไปไหนมาไหนด้วย พวกเราเตรียมตัวจะไปกินข้าวกลางวัน

“นายตีเทนนิสด้วยหรือ” เสียงเด็กใหม่ถามผม
“อืมม แล้วเราชื่อโบ้ทไม่ได้ชื่อนาย” ผมหันไปบอกไอ้เด็กใหม่
“โทษทีๆ ” ไอ้บอสเอามือขึ้นเกาหัวแก้เขิน
“โบ้ทตีเทนนิสตั้งแต่เด็กเหรอ” ไอ้บอสชวนผมคุย
“อืมม” ผมตอบมันไปสั้นๆ
“ดีจังวันหลังสอนเราบ้างสิ” อ้าวไอ้นี่กรูไปสนิทกับมรึงตอนไหน นี่ถือวิสาสะเอามือมากอดคอกรูเลย
“พวกนายชอบกินร้านไหนกันเหรอ” ไอ้บอสทำไม่รู้ไม่ชี้หันมาถามพวกเราต่อ

.......

“โบ้ทเพิ่งมากินข้าวเหรอ” ไอ้คุณพี่ชายผมทักขณะกำลังเดินสวนออกจากโรงอาหาร
“อืมม เพิ่งมา” ผมตอบไอ้เบนซ์ไป
“แล้วนี่ใครวะ” ไอ้คุณพี่ชายเบนซ์ชี้ไปที่ไอ้คุณชายหน้าหล่อที่ยืนกอดคอผมอยู่
“อ๋อนี่ บอส เด็กใหม่อ่ะเบนซ์” ไอ้เบิร์ดเป็นคนแนะนำ ส่วนคนที่ถูกแนะนำก็โค้งหัวทักทายเล็กน้อย
“นี่ เบนซ์ พี่ชายโบ้ทอ่ะ” ไอ้เบิร์ดแนะนำไอ้เบนซ์ให้ไอ้เด็กใหม่รู้จัก
“หวัดดีครับ” ไอ้เด็กใหม่รีบปล่อยมือจากคอผม จากที่พยักหน้าให้เฉยๆ ยกมือขึ้นไหว้ไอ้เบนซ์แถบไม่ทันพอรู้ว่าไอ้เบนซ์เป็นพี่ชายผม
“ไม่ต้องไหว้ รุ่นเดียวกัน ผมเกิดต้นปี ส่วนไอ้โบ้ทมันเกิดปลายปี” ไอ้เบนซ์เล่าให้ไอ้บอสฟัง
“กรูไปกินข้าวก่อน” ผมตัดบทสนทนาแล้วเดินนำเข้าไปในโรงอาหารก่อนที่ผมจะหงุดหงิดไอ้เบนซ์ ที่อธิบายเรื่องส่วนตัวให้กับคนที่เพิ่งรู้จักกัน

พอพวกเราหาโต๊ะได้ ผมวางเป้กับโค๊ฟเว่อร์ได้ก็เดินไปซื้อข้าว แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะ ขณะกำลังจะเริ่มลงมือทาน

“โบ้ท ของนาย” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวก็เห็นมือขาวๆเรียวๆ วางขวดน้ำลงตรงข้างๆจานผม
“ไม่ได้สั่งอ่ะ” ผมตอบมันกลับไปแล้วก้มหน้าจัดการกับข้าวต่อ
“เราซื้อมาฝาก” ไอ้หมอนั่นตอบมาพร้อมกับยิ้มยิ่งฟันให้ผมหนึ่งครั้ง แล้วก็ก้มหน้าจัดการกับข้าวเหมือนกัน
“ขอบใจ” ผมตอบมันไปสั้นๆ ไอ้เด็กใหม่เงยหน้าขึ้นมายิ้มตาหยี่ให้ผม ไอ้หมอนี่ก็มีน้ำใจเหมือนกันนะ ผมคิดในใจ

ด้วยความที่บอสเป็นคนมีน้ำใจ ทำให้มันค่อยๆทำลายอคติที่ผมมีกับมันตั้งแต่ตอนแรกลงไป จากที่ไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไรค่อยๆกลายมาเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของผม ภายในระยะเวลาไม่นาน

................
ม.3 เทอม 2 เป็นมัธยมต้นเทอมสุดท้ายของพวกเรา ฃ่วงนี้ต้องขยันเพิ่มขึ้นเพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้าม.4 ถ้าสอบไม่ติดต้องย้ายโรงเรียน ซึ่งผมไม่อยากย้าย เพราะนอกจากไม่คุ้นเคยแล้วต้องไปหาเพื่อนใหม่อีก อันหลังนี่ผมกลัวที่สุด

“โบ้ทกรูปรึกษาหน่อยสิ” ไอ้เบิร์ดเดินมามาลากผมไปคุย
“มรึงว่าการที่มีคนแอด facebook เรามาแล้วพยายามส่งข้อความคุยกับเราบ่อยๆ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน  มรึงว่ามันแปลกไหม” มันเริ่มปรึกษา
“แล้วเค้าคุยยังไงล่ะ” ผมถามไอ้เบิร์ดกลับไป
“ก็แบบว่าทำอะไรอยู่ ว่างคุยไหม กินข้าวหรือยัง นอนหลับฝันดีอะไรประมาณเนี้ยอ่ะ” ไอ้เบิร์ดพยายามอธิบาย
“หืมม” ผมถึงกับตาโตเมื่อได้ฟังไอ้เบิร์ดอธิบาย
“กรูว่า ทำอะไรอยู่ ว่างคุยไหมหน่ะ ไม่เท่าไร แต่กินข้าวหรือยัง นอนหลับฝันดี กรูว่าแปลกแระ” ผมหันไปบอกไอ้เบิร์ดตามความคิดของผม
“แล้วมรึงล่ะรู้สึกยังไงวะ” ผมหันไปถามไอ้เบิร์ด
“ตอนแรกก็ก็ไม่คิดอะไร ก็ดีที่มีเพื่อนเพิ่ม มีคนเป็นห่วงเพิ่มมันก็ดีนะ” ไอ้เบิร์ดหยุดนิ่งไป
“แล้ว” ผมถามมันต่อ
“มรึงจะว่ากรูแปลกๆไหม” ไอ้เบิร์ดหันมาถามผมเพราะเริ่มไม่แน่ใจสิ่งที่จะเล่าต่อไป
“ไอ้เบิร์ดกรูเป็นเพื่อนมรึงนะยังไงเพื่อนก็คือเพื่อนหว่ะ” ผมพูดเพราะอยากให้ไอ้เบิร์ดมันมั่นใจขึ้น เพราะว่ายังไงมันก็คือเพื่อนผม
“ก็ พอบางวันเค้าหายๆไป ก็รู้สึกสงสัยว่าหายไปไหนวะ ทำไมวันนี้เงียบๆ เหมือนขาดๆอะไรไปอ่ะ” ไอ้เบิร์ดก้มหน้าลงผมมันก็เริ่มเขินจนหน้าเริ่มแดง
“เหยดดดด จริงดิ” ผมถึงกับอุทาน
“กรูว่ามรึงชอบเค้าแล้ววะ” ผมสรุปเรื่องทั้งหมดให้มัน
“กรูก็ไม่รู้หว่ะ แต่มันรู้สึกดีๆที่มีคนมาคุยด้วย มาคอยเป็นห่วง” รอยยิ้มแห่งความสุขฉายออกมาจากหน้าของไอ้เบิร์ดอย่างชัดเจน
“ว่าแต่ว่าใครวะ” ผมถามหาคนที่ทำให้เพื่อนผมยืนยิ้มหน้าบานอยู่ตรงนี้
“เดี๋ยวกรูค่อยบอกได้ป่าว” ไอ้เบิร์ดเริ่มอิดออด
“ไม่ได้ กรูอยากรู้บอกกรูหน่อยนะ” ผมเซ้าซี้ไอ้เบิร์ด
“อยู่ระดับเดียวกับเรา” ผมเริ่มจี้ถามไอ้เบิร์ด ไอ้เบิร์ดพยักหน้ารับ
“ห้องไหนวะมีตั้ง 10 ห้อง กรูจะเดาถูกไหม” ผมเปรยๆถาม
“ห้อง 4” ไอ้เบิร์ดหลุดปากออกมา
“เชี่ย อย่าบอกนะว่าไอ้ไปป์” พอไอ้เบิร์ดบอกว่าห้อง 4 หน้าไอ้ไปป์ลอยออกมาเลย เพราะมันเป็นแค่เด็กม.2 แต่แมร่งติดทีมบอลโรงเรียนแล้ว ถือเป็นคนเด่นประจำรุ่นเลยทีเดียว
“มรึงเบาๆสิไอ้โบ้ท” ไอ้เบิร์ดยืนบิดอายม้วนอยู่หน้าผม
“มรึงอย่าเพิ่งบอกใครได้ป่าว” ไอ้เบิร์ดหันมาขอร้องผม
“เออดิ กรูไม่พูดหรอก เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของมรึงกับไอ้ไปป์มัน” ผมดีใจที่เพื่อนไว้ใจปรึกษา และผมจะไม่ทำลายความไว้ใจนั้น
“แล้วมรึงคิดว่าไอ้ไปป์มันคิดกับมรึงยังไง” ผมอดเป็นห่วงไอ้เบิร์ดไม่ได้กลัวมันจะมโนไปคนเดียว
“กรูก็เคยลองหายๆไปนะ” ไอ้เบิร์ดหันมาเล่าต่อ
“แล้ว” ไอ้นี่เล่าช้าไม่ทันใจ
“ก็มีข้อความมาหน่ะ ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ค่อยเห็นออนไลน์ มีไรก็คุยกับไปป์ได้นะ เป็นห่วง อะไรประมาณนี้อ่ะ”

-*-

“เออ กรูว่ามรึงสองคนไปคบกันเหอะ” ผมได้ข้อสรุปทันทีหลังจากที่ฟัง
“กรูไม่กล้า ขนาดเดินสวนกันกรูยังไม่ก้ามองเลย” ไอ้เบิร์ดพูดไปก็อายไป
“อ้าวไอ้เชี่ยนี่มรึงเป็นพวกแอบรักออนไลน์เหรอ รักกันในโลกออนไลน์ ในโลกความจริงกลับเป็นคนไม่รู้จักกัน”
“มรึงก็ลองหาโอกาสคุยดูดิ ถ้าที่โรงเรียนไม่สะดวก มรึงก็นัดไปกินไปคุยอะไรกันวันเสาร์อาทิตย์ดิวะ” ผมเสนอไอ้เดีย
“บ้า ใครจะกล้าวะ” ไอ้เบิร์ดยิ่งยืนบิดจนจะเห็นน็อตอยู่แล้ว
“ถ้ามรึงใจเย็นเกินไป เดี๋ยวเค้าจะคิดว่ามรึงไม่เล่นด้วย แล้วหมาจะคาบไปแดกนะมรึง” ผมบอกแกมประชดมันไป
“เดี๋ยวนะ กรูว่าอันนี้ควรใช้กับมรึงนะ” ไอ้เบิร์ดหันมาย้อนผม
“ทำไมวะ” ผมหันไปถามมัน
“มรึงไม่สังเกตเหรอ” ในหัวผมตอนนี้มีงองูล้านตัว
“ก็ไอ้เด็กใหม่ไง” ไอ้เบิร์ดสะกิดผม
“ทำไมวะ ไอ้บอสทำไมวะ” พ่อยอดชายนายโบ้ท เริ่มสงสัย
“ก็มันคอยดูแล เทคแคร์ มรึงมากกว่าคนอื่น มรึงไม่สังเกตเหรอ”
“ไม่มั้งมรึง มันก็ปกติกับทุกคนนี่” ผมตอบไปตามที่ตัวเองคิด
“มรึงนี่ที่เรื่องคนอื่นมึงเห็นเป็นฉากๆ ที่เรื่องตัวเองแมร่งไม่รู้เรื่องนะ” ไอ้เบิร์ดได้ทีเบิร์ดเหม่งผมไปหนึ่งที
“มรึงลองสังเกตดูเอาเองละกัน กรูขี้เกียจเสือกเรื่องชาวบ้าน เรื่องกรูเองยังเอาไม่รอดเลย” ไอ้เบิร์ดสรุปปิดท้าย

.....

“โบ้ทเย็นนี้ซ้อมเทนนิสเสร็จกี่โมง” ไอ้บอสตะโกนมาถามผม
“ก็เหมือนเดิม” ผมตอบมันกลับไป
“เย็นนี้รอกลับพร้อมกันเน้อ” ไอ้บอสหันมาบอกก่อนจะหันไปเตะบอลกับไอ้พวกนั้นต่อ

อุ๊ปส์....

Game
See you next game

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 75th Game  – First Love

“โบ้ทซ้อมเสร็จแล้วไปไหนต่อวะ” ไอ้แบงค์เดินเข้ามากอดคอผมตอนนั่งพัก
“กลับบ้านหว่ะ ไอ้บอสรออยู่” ผมชี้ไปทางริมสนามที่ไอ้หน้าหล่อนั่งรออยู่ตรงนั้น
“เดี๋ยวนี้สนิทกับจริงนะ มานั่งรอกันด้วยวุ้ย”  ไอ้แบงค์ปล่อยหมามากัดผมแล้ว
“อืมม” ผมตอบมันไปสั้นๆ เพราะถ้ายิ่งพูดมาก..ความจะยิ่งเยอะ

นี่เป็นอีกครั้งที่ผมฉุกคิดอะไรขึ้นมา ตั้งแต่ไอ้หมอนี่เข้ามาในชีวิต จากที่ไม่ค่อยจะชอบหน้าเท่าไร ตอนนี้กลายเป็นเหมือนเงาตามตัว เห็นโบ้ทที่ไหนก็มีบอสอยู่ที่นั่น แต่คงเป็นเพราะบอสเพิ่งย้ายมาเรียนใหม่ เลยยังไม่ค่อยมีเพื่อน ผมมองบอสอย่างนั้นมาตลอด ก็เลยไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยเท่าไร จนไอ้เบิร์ดสะกิด แถมด้วยไอ้แบงค์อีกคน

ผมเก็บเป้กับโค๊ฟเว่อร์ขึ้นสะพายบ่าแล้วเดินออกจากคอร์ด ไอ้บอสนั่งรออยู่ตรงหน้าชมรมแล้ว

“ไปกัน” มันเดินมากอดคอผมเหมือนเคย
“หิวป่าววะ”ไอ้บอสหันมาถาม
“ไปหาไรกินกันป่าว บอสหิว” ยังมันทันที่ผมจะตอบ มันก็ถามประโยคต่อมา
“อืมม ไปดิ” ผมตอบรับคำชวนของมัน ที่จริงแล้วก็มีเรื่องอยากจะถามมันด้วย

แล้วเราก็มาหย่อนก้นลงนั่งที่ร้านอาหารตามสั่ง อยู่ในซอยข้างๆโรงเรียน

“โบ้ทเอาอะไร” บอสหันมาถามผม
“กะเพราหมู ไข่ดาว” ผมตอบบอสไปแล้วเดินเอากระเป๋าไปวางที่โต๊ะ
“กะเพราหมู ไข่ดาว 2 ครับ” บอสสั่งคุณป้าเจ้าของร้านก่อนจะเดินตามมาที่โต๊ะ

บอสเอากระเป๋านักเรียน Jacob ใบหรูวางที่เก้าอี้ แล้วเดินไปตักน้ำแข็งที่แน่นนอนว่าตักมาเผื่อผมด้วย ปกติผมก็ไม่อะไร แต่วันนี้อาจจะเป็นเพราะไอ้เบิร์ดสะกิด ก็เลยจับจ้องไอ้บอสเป็นพิเศษ จริงๆแล้วก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย

ผมกับบอสนั่งกินข้าวกันจนจะหมดจาน ผมอยากลองแหย่ๆ ถามอะไรไอ้บอสมันดู อยากรู้ปฏิกิริยา

“จริงๆแล้วมรึงไม่ต้องรอกรูทุกวันก็ได้นะ” ผมเริ่มแผนการ
“หืมม” เสียงในลำคอไอ้บอสตอบกลับมา
“ทำไมอ่ะ” บอสเงยหน้าขึ้นมาถาม ผมได้แต่นิ่งเงียบเมื่อเจอดวงตาดำขลับคู่นั้นจ้องมองมา
“................” ผมยังคงเงียบ
“มีอะไรหรือเปล่าโบ้ท” บอสเสียงเริ่มร้อนรน
“................” ผมยังคงเงียบ ที่เงียบเพราะอยากรู้ว่ามันจะรู้สึกยังไง
“โบ้ทรำคาญบอสเหรอ” เสียงบอสะกดลงต่ำที่พูดประโยคนี้ออกมา
“...............” ทำเอาผมใบ้กิน ทำอะไรไม่ถูก คราวนี้เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนแบบบอกไม่ถูก

บอสค่อยๆรวบช้อนเข้าหากัน

“ถ้าโบ้ทรำคาญบอสก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวบอสจะค่อยๆห่างออกไปเอง”

ไอ้บอสพูดจบก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋า ควักเงินค่าข้าวออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากร้านไป ผมนั่งอึ้งแล้วด่าตัวเองนี่กรูทำอะไรลงไปวะ ผมรีบคว้าเป้กับโค๊ฟเว่อร์ จ่ายเงินค่าข้าวแล้วรีบวิ่งตามไอ้บอสไป

“ไปไหนของมันวะ” ผมบ่นกับตัวเองอย่างร้อนรน หลังจากขึ้นมายืนเคว้งอยู่บนชานชาลาสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์
“ติ๊ดๆๆ” เสียงเตือนประตูรถไฟฟ้ากำลังจะปิด ผมเดินไล่จากท้ายขบวนไปหัวขบวน

แล้วภาพเด็กหนุ่มที่คุ้นตาก็ปรากฏอยู่ตรงประตูรถไฟฟ้า

“บอส” ผมตะโกนเรียกมัน บอสลืมตาขึ้นมองมาที่ผม ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง แล้วรถไฟฟ้าก็ค่อยๆเคลื่อนออกจากสถานี

ผมขึ้นรถไฟฟ้าขบวนถัดไปกลับบ้าน แต่ในหัวผมความคิดประดังประเดเข้ามา ความรู้สึกว้าวุ่นใจ ความรู้สึกเป็นห่วง กังวล วิ่งเข้าอย่างกะรถบนถนนสาธร แล้วความรู้สึกผิด ความรู้สึกโทษตัวเอง ก็มาซ้ำเติมตัวผมเองที่ไปล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่น

.............

เช้าวันนี้ผมมาโรงเรียนแต่เช้า เอาโค๊ฟเว่อร์ไปเก็บที่ชมรม แล้วก็รีบขึ้นมาบนห้อง ผมตั้งใจจะคุยกับบอสให้รู้เรื่อง อยากจะขอโทษมัน เรื่องเมื่อวานทำให้ กระสับกระส่าย ร้อนรน จนแถบไม่ได้นอนทั้งคืน

บอสเดินเข้ามาในห้อง ผมมองหน้าบอส เราสองคนสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่บอสจะเดินผ่านโต๊ะผมไปนั่งที่โต๊ะของบอส โดยไม่มีคำทักทายสักคำ

สายตาเย็นชาแบบนั้น ทำเอาผมจุกจนพูดไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น บอสเอากระเป๋าเก็บเรียบร้อย เสียงเลื่อนเก้าอี้เป็นสัญญาว่าเจ้าของโต๊ะกำลังจะลุกเดินออกไปจากห้อง ต้องรีบแล้วก่อนที่โอกาสจะหมดไป

“บอส”

กว่าเอ่ยชื่อมันออกมาได้ทำมันมันยากเย็นอย่างนี้ เสียงก้าวเดินหยุดลง ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินมาหยุดตรงหน้ามัน

“กรูขอโทษ” ผมพูดคำขอโทษไปอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
“.............” ความเงียบคือคำตอบของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“กรูไม่ได้รำคาญมรึง แต่กรูเกรงใจที่มรึงต้องมารอกรู” ผมพยายามเรียบเรียงและอธิบายออกมาเป็นคำพูด
“กรูขอโทษถ้ากรูทำให้มรึงเสียใจ” ผมมองไปที่ตาดำขลับคู่นั้น
“............” ไอ้บอสยังคงเงียบ
“มรึงยังไม่หายโกรธกรูอีกเหรอ” ผมเริ่มใจเสีย
“............”
“เมื่อคืนกรูแถบไม่ได้นอนเลยนะโว้ย มรึงทำให้กรูกระวนกระวายทั้งคืน”
“...........”
“มรึงรู้ไหม กรูวิ่งตามมรึงขึ้นไปที่สถานนีรถไฟฟ้า มรึงทำให้กรูกรูกังวล เป็นห่วงแค่ไหน”

ความรู้สึกผมพลั่งพลูออกมา แบบหมดเปลือก แต่อีกฝ่ายยังคงยืนเงียบ ดวงตาดำขลับคู่นั้นยังคงเฉยชา ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด ความรู้สึกโกรธตัวเองทำให้เสียงผมเริ่มสั่น ตอนนี้เหมือนมีก้อนอะไรก็ไม่รู้มาจุกอยู่ที่คอ จมูกเริ่มแดง ดวงตาเริ่มมีฝ้าขาวๆเกาะ สุดท้ายน้ำใสๆก็หยดลงมาเพราะความรู้สึกที่อัดอั้นเอาไว้ ตอนนี้พลั่งพลูออกมาจากนัยต์ตาของผม

......

มือเย็นๆของไอ้บอส ปาดมาที่แก้มผม หัวแม่มือลูบเบาๆที่ใต้ตา

“โบ้ทอย่าร้องไห้สิ” เป็นครั้งแรกของวันนี้ที่ผมได้ยินเสียงมัน
“บอสหายโกรธโบ้ทตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว” มันคลี่ยิ้มบางๆให้ผม
“...........” ตอนนี้กลายเป็นผมเงียบแทน
“อย่าร้องไห้นะครับ บอสเห็นน้ำตาแล้วใจไม่ดี” มือที่อ่อนโยนยังคงลูบแก้มผมต่อไป

“ปิ้ง” งั้นทั้งหมดนี่กรูก็ได้มรึงแกล้งล้วงความรู้สึกของกรูเหรอ
“ปิ้ง” ใช่แล้วไอ้โบ้ท มรึงโดนหลอก
“ปิ้ง ปิ้ง ปิ้ง”

“ไอ้เชี่ยบอส มรึงแกล้งกรู” ผมเขินที่แพ้ทางมันหมดรูป
“มาให้กรูเตะซะดีๆ ไอ้เชี่ย” ผมสบถด่ามันเสร็จ วิ่งไล่ต้อนมันไปรอบห้อง

แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งที่เรื่องมันไม่ได้แย่กว่าที่คิด ไอ้บอสวิ่งไปจนมุม แล้วมันก็โดนผมแก้แค้น โทษฐานที่หลอกผม

.......

วิ่งไล่ขับไอ้บอสจนเหนื่อย ผมนั่งแผ่ลงที่เก้าอี้ ไอ้บอสเดินมานั่งลงข้างๆที่เก้าอี้ไอ้เบิร์ด สภาพไม่ต่างจากผมเท่าไรนัก

“บอสก็เหมือนโบ้ทแหละ เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ กังวลไปหมด กลัวว่าโบ้ทจะเลิกคบบอส กลัวโบ้ทจะรำคาญจริงๆ” บอสพูดจบผมเองก็มือไม้อ่อนไปเหมือนกัน
“สรุปว่าเราเป็นอะไรกันวะ” ผมเอ่ยถามทั้งตัวเองและไอ้บอส
“บอสไม่รู้ บอสแค่รู้สึกดีๆที่อยู่ใกล้ๆโบ้ท รู้สึกอยากดูแล อยากเทคแคร์” ไอ้บอสพูดความรู้สึกของมันออกมา
“ตอนแรกกรูก็ไม่คิดอะไรนะ แต่เหตุการณ์เมื่อวานกับเมื่อคืนนี้ มันทำให้กรูเป็นห่วง กรูกังวล จนกรูทำอะไรไม่ถูก” ผมก็เปิดใจกับความรู้สึกของผมให้ไอ้บอสฟัง

“ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร หรือมันจะเรียกว่าอะไร เราสองคนก็เป็นผู้ชายด้วยกัน เอาเป็นว่าไม่ต้องจำกัดความแล้วกัน” ไอ้บอสสรุป
“แค่อยู่ใกล้ๆกัน แค่ดูแลกัน แค่มีความสุขด้วยกันก็พอแล้วเนอะ”

ไอ้บอสคว้าตัวผมเข้ามากอด ความรู้สึกดีๆ ความอบอุ่น ความรู้สึกปลอดภัยอุ่นใจ แผ่ซ่าน เรารับรู้ความรู้สึกผ่านภาษากายของกันและกัน

Game
See you next game







ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 76th Game  – First Hurt

ทรี ทรู วัน...แน-กอ ฮา-จา…..แน-กา นอล ซา-รัง-แฮ โอ๊ะ
แน-กา นอล คอก-จอง-แฮ โอ๊ะ....แน-กา นอล กึท-กา-จี แช-กิม-จิล-เก
แน-กอ ฮา-จา.... นี-กา นัล อัล-จา-นา โอ๊ะ
นีกา นัล พวัท-จา-นา โอ๊ะ…. แน-กา นอล กึท-กา-จี ชี-คยอ-จุล-เก
Do you hear me…
Do you hear me Oh !!!!!

เสียงริงโทนที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นในเช้าวันเสาร์วันหนึ่ง เสียงเพลงนี้ไอ้บอสเป็นคนแนะนำให้ผมรู้จัก วงบอยแบนด์เกาหลีวงนี้ infinite จริงๆแล้วผมก็เฉยๆกับวงการเคป็อป เพราะนอกจากท่าเต้นที่ไม่เหมือนใครแล้ว อย่างอื่นผมก็คิดว่าไม่แตกต่างจากวงบอยแบนด์ฝรั่งทั่วๆไป แต่ไอ้บอสแนะนำวงนี้พร้อมกับเล่าประวัติของวงกว่าจะ Debut กว่าจะเริ่มประสบความสำเร้จได้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ผมก็เลยอินไปกับไอ้บอสด้วย วงนี้ก็เลยกลายเป็นวงโปรดสำหรับผมอีกคน สรุปว่ามีติ่งวงนี้เพิ่มขึ้นอีกคน

“ฮัลโหล” ผมกดรับสาย
“โบ้ทเหรอ วันนี้ว่างหรือเปล่า” เสียงบอสดังมาจากปลายสาย
“อืมว่าง” ผมตอบบอสพร้อมกับยืดแขนบิดขี้เกียจ
“ไปซื้อของสยามกัน” ไอ้บอสโทรมาชวนผม
“ซื้อไรอ่ะ” ผมถามไอ้บอสกลับไป
“บอสอยากได้เคสโทรศัพท์อันใหม่อ่ะ”
“แล้วไมไปซื้อสยามอ่ะ ไม่ไปมาบุญครอง” ผมถามไอ้บอส
“ก็ไปมาบุญครองนั้นแหละ แต่นัดเจอกันที่สยามก่อนแล้วค่อยเดินไป”
“อ๋อ” ผมเพิ่งถึงบางอ้อ
“งั้นเจอกันลานน้ำพุ พารากอนนะ” ไอ้บอสนัดสถานที่
“โอเค เจอกัน” ผมตอบมันกลับไป

....

พอเจอกับบอสที่ลานนำพุพารากอนแล้ว พวกเราก็เดินข้ามฝั่งมาสยามเดินลัดเลาะผ่านสยามที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่เข้ามาที่มาบุญครอง

“โบ้ทนั่นใช่ไอ้เบิร์ดป่าว” บอสชี้ให้ผมดู เห็นเด็กหนุ่มหน้าคุ้นๆ นั่งอยู่ในร้านไก่ทอดชื่อดัง
“เออใช่ ไอ้เบิร์ดแหละ”
“มากับใครหว่า” ไอ้บอสพยายามมอง
“เฮ้ยยยย ไอ้ไปป์” ผมนี่ถึงกับเอามืออุดปากตัวเอง แบบไมเชื่อสายตา
“ไปป์ไหนหว่า”  ไอ้บอสหันมาถามผม
“ไปป์ห้อง 4 อ่ะ” ผมบอกไอ้บอส
“ดูมันแปลกๆเนอะ” ไอ้บอสหันมาถาม
“ทำไมอ่ะ” ผมย้อมถามไอ้บอสกลับไป
“ก็มันดูดูแลไอ้เบิร์ดดีกว่าเพื่อน” ไอ้บอสเปรยออกมา
“ก็เหมือนของเรานั่นแหละ” ผมหันมาเฉลยคำตอบที่ไอ้บอสสงสัย
“อ๋อ มิน่า” ไอ้บอสอุทาน
“ไอ้ไปป์ก็น่ารักดีเนอะ” ผมหันไปบอกไอ้บอส
“จิ๊” เสียงไอ้บอสจิปากไม่พอใจ
“ชมคนอื่น เชอะ” ไอ้บอสเบะปากใส่ผม
“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงไอ้ไปป์มันก็ดูแลเบิร์ด คู่มันน่ารักดี ไอ้ไปป์มันเป็นแค่เด็กม.3 แต่มันก็ติดทีมบอลโรงเรียนเลยนะ นักบอลก็มีมุมอ่อนโยนกะเค้าด้วย นี่แหละที่กรูจะสื่อ” ผมพยายามอธิบายยืดยาว กลัวไอ้บอสจะน้อยใจ
“อืม แล้วบอสล่ะ ดูแลโบ้ท น่ารักหรือเปล่า” ไอ้บอสตั้งคำถาม
“ดีครับ น่ารักที่สุดในโลกเลยครับ”  ผมหันไปยิ้มตาหยีใส่มัน

พวกเราตัดสินใจไม่ไปทักไอ้เบิร์ด ปล่อยให้พวกมันได้อยู่ด้วยกัน เพราะที่โรงเรียนมันสองคนไม่กล้าแม้จะมองหน้ากัน.....

ผมกับบอสเดินไปซื้อเคสโทรศัพท์ พอซื้อเสร็จ บอสก็ชวนผมไปนั่งเล่นบ้านมัน ผมเคยมาบ้านอรรถากร 2-3 ครั้งแล้ว จึงชินกับป้าน้อย แล้วก็รู้จักพ่อกับแม่บอสเป็นอย่างดีแล้ว

......

กิจกรรมของเด็กมัธยมต้นจะมีอะไรสนุกไปกว่านั่งเล่นเกมส์ต่อสู้ ไอ้บอสเพิ่งได้แผ่นนารูโต๊ะมาใหม่

“ไม่เล่นแล้ว” น้ำเสียงไอ้บอสหงุดหงิด
“ทำไมอ่ะ เล่นต่อดิ” ขณะที่น้ำเสียงผมมีความสุขเพราะชนะไอ้บอสมา 3 ตาติดแล้ว
“เล่นยังไงก็แพ้” ไอ้บอสบ่นกระปอดกระแปด
“อ่อนอ่ะดิ” ผมได้ทีแหย่ไอ้บอส ไม่แหย่แต่คำพูด มือยังไม่แกล้งจี๋เอวทำให้ไอ้บอสสะดุ้งโหย่ง

บอสคว้าข้อมือผมไม่ให้แกล้งแหย่เอวมัน แล้วจังหวะมันก็เอามือมาแหย่เอวผมคืน ผมสะดุ้งสุดตัว ไอ้บอสได้ทีขึ้นมาคล่อมตัวผมเอาไว้ แล้วก็เอามือกดแขนผมสองข้างขึ้นไว้บนหัวผม

“เมื่อกี้ว่าบอสอ่อนเหรอ” ลอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายแววขึ้น
“แล้วยังไง” ผมยังคงปากดีแม้จะถูกกดอยู่
“เล่นกีทีก็แพ้ ก็อ่อนดิ”
“เหรอ” ไอ้บอสตอบเสียงสูง
“นี่แหน่ะ สำหรับคนปากดี” ไอ้บอสเอาริมฝีปากมาประทับที่แก้มผม
“เฮ้ยยยย” ผมตาโตเพราะตกใจที่โดนไอ้บอสขโมยหอม นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่โตมานอกจากม่าม๊ายังไม่เคยมีใครได้หอมเลยนะ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้โวยอะไรออกไป

สายตาดำขลับคู่นั้นจ้องมองหน้าผมอย่างอ่อนโยน แล้วปากสีแดงระเรื่อก็ค่อยๆเข้ามาใกล้หน้าผม ใกล้เข้ามา จนผมหลับตาปี๋ บอสค่อยประทับริมฝีปากกับริมฝีปากผมอย่างแผวเบา บอสเอาลิ้นค่อยๆสอดเข้ามาในปากผม ผมค่อยๆเผยอปากแล้วเอาลิ้นของผมดันลิ้นของบอสกลับไป บอสค่อยๆผ่อนริมฝีปากขึ้น

“จูบแรกของบอสเป็นของโบ้ทนะ”

บอสค่อยๆคลี่ยิ้มออก รอยยิ้มกับจูบนั้นคงจะถูกจรดลึกในความทรงจำของผมตลอดไป

เราคงไม่ทันสังเกตและไม่รู้ตัวกันว่า มีสายตาคมกริบอีกคู่หนึ่งจ้องมองเราผ่านประตูห้องที่ปิดไม่สนิท และเจ้าของสายตาคู่นั้นจะเป็นคนเปลี่ยนความรู้สึกของผมกับบอสไปตลอดกาล

เค้าว่ากันว่าความสุขมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน มันคงเป็นเรื่องจริง ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่เราสองคนได้เปิดใจคุยกัน เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข สุขจนทำให้เราไม่ได้เผื่อใจกันเอาไว้

..............

หลังจากจูบแรกเมื่อบ่ายๆวันเสาร์ ผมยังคงเอามือจับริมฝีปากตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ผมแถบไม่เชื่อตัวเองว่าจูบแรกของผมจะเป็นไอ้บอส แล้วความรู้สึกอิ่มเอม และรสชาติจูบนั้น ยังตรึงอยู่ในใจ จนผมอดอมยิ้มกับความรู้สึกดีๆเหล่านั้นไม่ได้

แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจคือบอสหายเงียบไปตั้งแต่เย็นวันนั้น วันอาทิตย์ทั้งวันก็ไม่มีการติดต่อใดๆกลับมาจากบอส ทั้งๆที่ปกติก็จะมีข้อความมาบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าบอสคงยุ่งอยู่

.......


“หวัดดี บอส” ผมทักไอ้บอสทันทีที่เจอหน้ากันวันจันทร์
“หวัดดี” บอสตอบผมกลับมาสั้น จนผมรู้สึกแปลกใจ

บอสดูนิ่งจนผมไม่กล้าชวนคุย ชวนแหย่เล่นเหมือนเคย แล้วสิ่งที่ทำให้ผมอึ้งหนักเข้าไปอีกก็คือบอสขอย้ายที่นั่งจากที่ข้างหลังผม ไปอยู่หลังห้อง โดยไม่มีสาเหตุ

“ไอ้บอสมันเป็นอะไรของมันวะ” ไอ้เบิร์ดหันมาถามผม
“กรูไม่รู้หว่ะ” ผมตอบเบิร์ดได้แค่นี้

มันเป็นอะไรของมันวะผมนึกในใจ จะว่าโกรธเรื่องจูบมันก็เป็นคนมาจูบกรูเอง กรูไม่ได้ไปจูบมัน มันจะโกรธกรูทำไม ผมรู้สึกอึดอัดกับความบรรยากาศแบบนี้ จนอยากจะไปกระชากคอเสื้อมันแล้วถามมันว่ามันเป็นอะไร มีอะไรก็ให้พูดกันไม่ใช่เงียบและเฉยๆไปแบบนี้ แล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อผมกับมันถูกอาจารย์ให้รวบรวมสมุดงานไปส่ง

ไอ้บอสถือสมุดงานเดินนำหน้าไป แม้แต่สายตาก็ไม่เหลี่ยวมองผมแม้แต่น้อยทั้งที่สมัยก่อนผมจะได้รับสายตาที่ห่วงหา อ่อนโยน จากคนที่เดินนำหน้าผมเสมอๆ มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบไปที่หัวใจ

“มรึงเป็นอะไรวะ” ผมเปิดฉากถามมันหลังจากส่งงานอาจารย์เสร็จ

“..........”

“มรึงมีอะไรทำไมไม่บอกกรูวะ” ผมเริ่มอารมาณ์ขึ้น เพราะไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมา

“..........”

“มรึงเป็นเชี่ยไรนี่ไอ้บอส” ผมเดินไปคว้าไหล่ข้างขวาของมันแล้วออกแรงดึงให้มันหันหน้ามาคุยกับผม

“..........” ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาจากไอ้บอส สายตาดำขลับคู่นั้นจ้องมองผมนิ่ง จนผมต้องหลุบสายตาลงต่ำ

“ถ้าจะเลิกคบกรูก็บอกตรง อย่าทำแบบนี้” เสียงผมเริ่มสั่นเพราะผมทั้งโกรธทั้งเสียใจ

“...........”  ผมเงยหน้ามองหน้าไอ้บอสแต่คำตอบที่ผมได้รับคือความเงียบ

“มรึงจะเอาไงกับกรูมรึงก็ว่ามา กรูจะทำให้มรึงทุกอย่าง” ผมไม่คิดว่าคนที่ไม่เคยยอมใครอย่างผม กลับยอมทำทุกอย่างได้เพื่อคนๆนี้

“เลิกเป็นเพื่อนกันเถอะ”

เป็นประโยคที่ทำให้โลกของผมแถบจะดับวูปลงไปในทันที มือที่จับปกเสื้อไอ้บอสตกลงข้างตัวผมอย่างคนหมดแรง หน้าผมชา หัวใจผมแถบจะหยุดเต้น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกัน มันหนักกว่าที่ผมจะรับได้ แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่เหลือ

“กรูทำอะไรผิดเหรอ” ปากของผมขยับถามหาเหตุผล

ผมเงยมองหน้าไอ้บอส สายตาผมขอคำตอบให้ผมเข้าใจสักนิดก็ยังดีว่าทำไม

“..............” ไม่มีคำตอบจากบอส แล้วเด็กหนุ่มตรงหน้าผมก็ค่อยหันหลังกลับไป แล้วค่อยๆเดินจากผมไป

“ให้โอกาสกรูอีกครั้งได้ไหม” เสียงผมสั่นจนเริ่มพูดไม่เป็นคำพูด

แต่ขาคู่นั้นยังคงเดินก้าวเดินต่อไปทิ้งให้ผมจมอยู่กับความรู้สึกเหมือนโลกกำลังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกเคว้งคว้าง ทิ้งให้ผมอยู่กับความไม่เข้าใจ แล้วก็จมอยู่กับการโทษตัวเองว่าทั้งหมดเป็นความผิดของผม

และนี่คือการคุยกันครั้งสุดท้ายของเรา ผมกับบอสไม่เคยคุยกันอีกเลยจนจบมัธยมต้น

ผมอยากลบทุกๆอย่างเกี่ยวกับบอสทิ้งไป อะไรที่บอสเคยซื้อให้ ของขวัญวันเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับบอส ผมเก็บลงกล่องแล้วก็เอาไปทิ้งที่ถังขยะหน้าบ้าน แต่อะไรที่ยิ่งพยายามมันกลับยิ่งทำให้ฝั่งลึก

นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าอกหัก ผมได้เรียนรู้ ได้รู้จักมันแล้ว แต่มันเร็วเกินไปไหมสำหรับผม ทั้งๆที่ยังไม่ได้บอกรัก ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ทำไมมันถึงเจ็บปวดอย่างนี้

จากคนที่ไม่ชอบหน้ากันกลายมาเป็นเพื่อนสนิทแล้วก็มากกว่านั้น แต่ที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงก็คือ ตอนนี้เรากลายเป็นคนไม่รู้จักกัน....

และยังต้องทนเห็นหน้ากัน ทำเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนเป็นอากาศธาตุ แลต้องอยู่ในห้องเรียนเดียวกันไปอีกหนึ่งเทอม นั่นเจ็บปวดกว่าการจากแบบไม่ต้องเห็นหน้ากันอีกมากมายนัก.......

เคยมีกันและกัน มีวันที่ดีกันมา
เคยมีเธอมองตา เวลาที่ต้องการใคร
เหนื่อยแค่ไหน ก็รู้สึกดี

เธอคือกำลังใจ ในวันที่ไม่มีใคร
จะต้องเจออะไร มีเธอก็ไม่เคยกลัว
ต่อให้มืดสลัว ก็เดินไปด้วยกัน

แต่เธอก็จากฉัน มันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลงเอยแบบนี้
ทำใจไม่ทัน ที่มาจากฉันไปในวันนี้
มันทรมานที่ไม่มีผู้ใดให้บอกรัก เหมือนในวันวาน
เมื่อไม่มีเธอแล้ว แต่ละวันมันเหงาเกินไป
เมื่อไม่มีเธอ มันเหมือนจะตาย
ฉันต้องการเธอได้ยินไหม
เธออยู่ที่ไหน อย่าทิ้งฉันไป ช่วยกลับมาเป็นคนที่รักฉันใหม่
จะอยู่ยังไง ถ้าวันนี้ฉันไม่มีเธอ

มันเจ็บเหลือเกิน มันปวดเหลือเกิน
กลับมาได้ไหมเธอ I can't breathe I can't breathe Yeah


Game
See you next game

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 77th Game  – Let’s walk together

รถ Volk swakan tiguan SUV คันหรูสีขาว พุ่งทะบานฝ่าความมืดไปตามถนนพระราม 2 โดยไร้จุดหมาย ผมขับรถไปเรื่อยๆ ในหัวผมตอนนี้คิดเพียงแต่ว่า ผมจะจัดการกับปัญหาอย่างไรดี

จะเห็นแก่ครอบครัวบอสปล่อยให้บอสกลับเป็นผู้ชายปกติ แบบที่เฮียค็อปต้องการ หรือจะเห็นแก่ตัว ไม่สิเห็นแก่หัวใจตัวเองแล้วทำทุกทางเพื่อให้บอสอยู่กับผม มีอยู่สองทางที่ผมต้องตัดสินใจความคิดสองอย่างกำลังตีกันอยู่ในหัวผม

“โอ้ยยยยยยย”

“ทำไมเด็กอายุ 17 ต้องมาตัดสินใจเรื่องยากๆแบบนี้ด้วยวะ” ผมตะโกนออกมาลั่นรถ

พอได้ตะโกนออกไปสิ่งที่อยู่ในใจก็ได้ระบายออกไปบ้าง

ผมเหลือบเห็นป้ายอีกทีก็จะถึงสมุทรสงคราม เลี้ยวไปอีกไม่ไกลก็อัมพวา ทั้งๆที่ในใจก็คิดว่าวันนี้ไปนอนอัมพวาก็ดีนะ แต่อีกความคิดก็โผล่เข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ที่ๆที่เต็มไปด้วยความหลังของผมกับบอส บอสตามมาแน่ ผมยังไม่อยากคุยกับบอส ผมยังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะเอาอย่างไร ผมเลยตัดสินใจขับตรงต่อไป

พอสุดถนนพระราม 2 ผมเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพชรเกษม ตอนนี้ผมเริ่มตั้งสติ ว่าคืนนี้จะไปนอนที่ไหนดี

“หัวหิน” แล้วกันผมตัดสินใจมุ่งหน้าไปจุดหมายที่พักของผมคืนนี้ หัวหิน ที่ผมกับบอสไม่เคยมีความทรงจำร่วมกัน และคงเป็นที่บอสและคนอื่นๆจะหาตัวผมยากเช่นกัน

.............

ผมเช็คอินที่โรงแรมที่ทางลงหาดหัวหิน เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่ดัดแปลงมาจากอาคารพาณิชย์ แต่ข้างในตกแต่งสวยงาม ผมจอดรถหน้าโรงแรม เดินลงไปไม่ไกลก็เป็นร้านอาหารทะเลเรียงราย ถ้าเดินเลี้ยวขวาไปตามถนนไม่นานก็ลงต้นหาดหัวหินได้เลย

ผมสะพายเป้เดินขึ้นไปชั้น 3 ที่เป็นชั้นที่ผมได้ห้องพัก ผมไขลูกบิดเปิดประตูห้องเข้าไป วางเป้ลงบนเตียง ก่อนจะเดินเปิดประตูด้านหลังออกไปยืนนอกระเบียง ผมสูดอากาศเข้าเต็มปอด ก่อนจะผ่อนลมหายใจออก

“เฮ้ออออ” ผมถอนหายใจออกมาเสียงดัง แต่มันทำให้ผมโล่งจากความคิดที่วุ่นวายอยู่เต็มหัว

ผมหยิบโทรศัพท์ กดเปิดเครื่อง กะว่าจะโทรบอกคุณพี่ชายจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง

“ตรึง” เสียงข้อความเข้า ผมกดเข้าไปดุ

“42 miss call from BOSS” 

ผมกดปิดโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว หน้าจอสีขาวดับวูปลง ผมอยากให้ปัญหาต่างๆวูบดับลงเหมือนโทรศัพท์ ถ้าคนเรามีปุ่มที่กดชัดดาวน์ตัวเองได้ก็คงดี จะได้ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัว

“คร็อก” กระเพาะผมเริ่มประท้วง

“ต้องหาอะไรรองท้องแล้ว” ผมบอกกับตัวเองแล้วก็ผมพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา 21.30 น.แล้ว

ผมตัดสินใจลงไปหาอะไรกินแถวๆร้านอาหารริมทะเล ผมหยิบมาแค่แบงค์พันเพียงหนึ่งใบ แล้วก็ปิดประตูห้อง ผมเดินเลาะลงมาตามถนน ผู้คนมากมายเดินสวนไปมา ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ เดินมาไม่ไกลก็มีร้านอาหารทะเลชื่อดังเรียงราย ผมตัดสินใจเดินเข้าไปที่ร้านหนึ่ง

“ข้าวผัดกุ้งจานเล็กครับ”
“ต้มยำรวมมิตรทะเลครับ” ผมสั่งอาหารกับพนักงานเสริฟ

ลมเย็นๆพัดเข้ามา บรรยากาศสบายๆริมทะเล โต๊ะที่ผมนั่งเป็นลานที่ยืนลงไปในทะเล ไม่มีหลังคา บรรยากาศแบบนี้ถ้ามากับบอส บอสคงชอบ ถ้าพรุ่งนี้ผมตัดสินใจที่จะไม่มีบอสต่อไป เวลาผมไปที่ไหนผมจะเลิกคิดถึงบอสได้ไหม แค่คิดว่าจะไม่มีบอสอีกต่อไป ผมเริ่มหายใจติดขัด เริ่มมีก้อนอะไรบางอย่างจุกขึ้นมาที่คอ ฝ้าน้ำขาวๆเริ่มเอ่อ ขึ้นมาเกาะที่นัยต์ตา.....ผมพยายามสะกดอารมณ์ที่กำลังจะล้นทะลักกลับเข้าไปข้างใน

“ขอเบียร์หนึ่งขวดครับ” ผมสั่งพนักงานเสริฟขณะนำอาหารมาเสริฟที่โต๊ะ

ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ จากเบียร์ขวดแรก ก็เป็นขวดที่สอง ขวดที่สาม บรรยากาศดี ลมทะเลเย็นๆ ทำให้ผมผ่อนคลายจากเรื่องที่จะทำให้หัวผมระเบิดได้บ้าง

ผมเรียกพนักงานเช็คบิลก็ใกล้เวลาร้านจะปิดแล้ว ผมพลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ผมเดินเลยจากร้านอาหารไปไม่ไกล ก็มีทางลงไปที่หาดหัวหินแล้ว ชายหาดสีขาวสะท้อนแสงจันทร์ กว้างไกลสุดสายตา ผมเดินทอดอารมณ์ไปเรื่อยๆ เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ดังอยู่ไม่ขาดระยะ เหมือนชีวิตผมที่กำลังโดนคลื่นถาโถมอยู่ตอนนี้

ผมถอดรองเท้าแล้วเอามาถือไว้ ปล่อยเท้าสัมผัสกับพืนทรายนุ่มๆ  ผมค่อยๆนั่งลงมองทะเลสีดำทอดไกลสุดสายตา แล้วก็เอนตัวลงนอนบนผืนทรายเอามือสองข้างชันหัวเอาไว้

คืนนี้พระจันทร์ดวงกลมโต สีเหลืองนวล สว่างกว่าทุกวัน วันนี้พระจันทร์จึงบดบังดวงดาวที่แสงอ่อนกว่านั่นคงเป็นความจริงของธรรมชาติ คนเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แล้วสิ่งที่ผมกับบอสเป็นอยู่มันเป็นการฝืนธรรมชาติ ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง มันคงเป็นสัจจธรรมที่คนธรรมดาๆอย่างผมคงต้องยอมรับ

น้ำตาค่อยไหลลงจากตาทั้งสองข้างของผม ตอนนี้ผมปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามกลไกของธรรมชาตของมนุษย์ ไม่ฝืนไม่รั้งมันอีกต่อไป ผมไม่ได้น้อยใจในโชคชะตาที่ทำให้ผมกับบอสมาเจอและรักกัน แต่ผมเสียใจที่ผมไม่อาจจะรักษาความรักนั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป เพราะถ้าผมยังรั้งบอส อยู่กับผมต่อไป เท่ากับผมก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว

..................

น้ำตาที่ได้ระบายความรู้สึกออกไปทำให้ผมสบายขึ้นบ้าง ผมชันตัวลึกขึ้นนั่ง ก่อนจะถอดเสื้อออก เหลือแต่กางเกงขาสั้นตัวที่ใส่มา ผมเดินลงไปที่ทะเล อยากจะล้างหน้าล้างตัวก่อนกลับเข้าไปที่โรงแรม


“โบ้ท ทำอะไรหน่ะ” เสียงที่คุ้นชินดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมกำลังจะหันไปมอง
“โบ้ท จะบ้าเหรอ” เสียงฝีเท้าวิ่งฝ่าพื้นน้ำเข้ามาใกล้ด้านหลังผม
“บอส!!”

แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อไป ร่างสูงโปร่งนั้นก็ลอยตัวขึ้นมาในอากาศอ้อมแขนของบอสลั้งตัวผมลมลงไปในน้ำที่อยู่ในระดับครึ่งขา ความรู้สึกแรกที่รู้สึกหลังจากลงมาอยู่ในน้ำแล้วก็คือ

“กรูอยู่ที่ไหนวะ”
“ใครวิ่งมาแท็กกรูวะ”
“นี่กรูอยู่ในสนามอเมริกันฟุตบอลเหรอวะ”

แล้วผมก็ถูกล็อกคอขึ้นมาเหนือน้ำ

“แคร่กๆ” น้ำทะเลรสเค็มพุ่งออกจากทั้งปากและจมูกผม

“โบ้ททำบ้าอะไรนี่” เสียงไอ้บอสดุดัน
“ทำไมต้องทำแบบนี้ มีอะไรก็คุยกันสิ” แหม่ประโยคนี้คุ้นเนอะ ผมนึกในใจ
“แล้วทำไมต้องหนีมา” เสียงไอ้บอสยังคงดัง
“ทำไมไม่คุยกับบอส ทุกอย่างมีทางแก้ปัญหาได้” เสียงไอ้บอสเริ่มสั่น
“ทำไมต้องคิดอะไรสั้นๆด้วย” เออคือว่ามรึงกรูแค่จะมาล้างตัวเท่านั้นนะ แต่ยังไม่ทันได้บอกไอ้บอสไป

“ถ้าโบ้ทเป็นอะไรไปแล้วบอสจะอยู่ยังไง” นี่เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นน้ำตาไอ้บอส มันรีบเอามือปาดน้ำตาแล้วรวบรวมสติ

“มานี่เลย มาคุยกัน” ไอ้บอสคว้าข้อมือผมลากขึ้นมาริมหาด

เราสองคนนั่งลงหลังจากสงบสติอารมณ์กันได้แล้ว บอสยังคงมองผมด้วยสายตาห่วงใย มือเรียวยาวยังคงกุมมือผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“ไอ้เฮียค็อปมันมาพูดอะไร” เสียงบอสเอ่ยทำลายความเงียบ
“เปล่า” ผมตอบมันกลับไปเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่
“เปล่าอะไรโบ้ท ไอ้คำว่าวิปริตผิดเพศ นี่ยังเปล่าอีกเหรอ” ไอ้บอสเริ่มขึ้นเสียงด้วยความโกรธ
“เค้าก็พูดถูกนะบอส ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง อีกหน่อยบอสก็ต้องมีครอบครัว บอสก็ต้องมีทายาทสืบสกุลให้พ่อกับแม่” เสียงของผมขาดหาดไปเพราะความรู้สึกเจ็บแปลบพุ่งขึ้นมากลางใจ
“แล้วยังไง ทำไมต้องให้กฎเกณฑ์อะไรก็ไม่รู้ที่สังคมยุคเก่าสร้างขึ้น มาทำลายความรักของเราด้วย” อารมณ์ของบอสยังคงคุกรุ่น
“แล้วบอสจะให้โบ้ทเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ดึงบอสออกมาจากครอบครัวเหรอ” ผมถามบอสกลับไป

“โบ้ทไม่ได้เห็นแก่ตัวหรอก เพราะบอสก็ไม่ได้ออกมาจากครอบครัว แล้วอีกอย่าง บอสก็รักโบ้ทนะ ถ้าจะเห็นแก่ตัวมันไม่ใช่โบ้ทคนเดียว มันต้องโทษบอสด้วย” ไอ้บอสพยายามอธิบายอย่างใจเย็น

“แต่เฮียค็อป” ผมเอ่ยชื่อยังต้นเหตุของปัญหายังไม่ทันจบ
“มันไม่ใช่ครอบครัวเรา” บอสขึ้นเสียงแข็ง
“ครอบครัวเรามีแค่ พ่อ แม่ แล้วก็เรา เท่านั้น” ไอ้บอสย้ำเสียงหนักแน่น

“เราไม่ได้ทำอะไรผิดนะโบ้ท เราสองคนแค่รักกัน” ไอ้บอสบีบมือผมแน่น
“เราจะผ่านอุปสรรค์ไปด้วยกัน แค่เรามีกันและกัน อะไรๆบอสก็ไม่กลัวแล้ว” ผมบีบมือเรียวยาวนั้นให้กระชับขึ้น

“โบ้ทขอโทษ ที่ไม่เชื่อในตัวบอส” ผมขอโทษบอส

.................

“อ้าว เจอตัวแล้ว” เสียงคุณพี่ชายไอ้เบนซ์ดังขึ้นในความมืด
“โล่งอกเสียที”  ไอ้เบียร์ที่เดินตามหลังเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมกับบอสนั่งอยู่
“เออ งั้นมีอะไรก็ค่อยคุยกันไปนะ กรูกลับโรงแรมก่อน ไปเบียร์”  ไอ้คุณพี่ชายกับไอ้เบียร์หันหลังเดินจากไป

“แล้วรู้ได้ไงว่าโบ้ทอยู่หัวหิน” ผมหันไปถามไอ้บอสเพราะสงสัยว่ามันตามมาถูกได้ยังไง
“รู้จัก Find my friend ไหม” ไอ้บอสหันมาถามผม
“ไม่รู้อ่ะ มันคืออะไรวะ” ผมเกาหัวแคร่กๆ
“ก็แอฟที่เอาไว้ติดตามว่าเพื่อนอยู่ที่ไหนไง” ไอ้บอสเฉลย
“แล้วเครื่องกรูมีด้วยเหรอ” ผมงงเพราะจำได้ว่าไม่เคยโหลดแอฟแบบนี้มาใช้
“มีดิ ก็บอสโหลดไว้ให้ตั้งนานแล้ว” ไอ้บอสยิ้มกว้างยิ่งฟันสีขาวท่ามกลางความมืด
“อ้าว มาแอบโหลดตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเป็นคนแบบนี้” ผมว่าไอ้บอสแต่จริงๆแล้วผมขำตัวเองมากกว่าที่ไม่เคยทันไอ้บอสสักที
“นี่แอบตามโบ้ทมานานแค่ไหนแล้วนี่” ผมถามมันก่อนจะจับข้อมือบอสทั้งสองข้างกดลงกับพื้นทราย
“ตายๆ อย่างนี้ก็แอบไปไหนกับกิ๊กไม่ได้ละสิ” ผมส่ายหัวแบบเซ็งโคตร
“ก็ลองมีสิ กิ๊ก หน่ะ” ไอ้บอสทำหน้าหยู่ใส่ผม
“ทำไม จะ ทำไมเหรอ” ผมถามมันเสียงกวน
“ไม่ทำไมหรอก แต่ถ้าโบ้ทมีกิ๊กนะ โบ้ทจะรู้ว่าบอสน่ากลัวแค่ไหน” อั้ยย่ะ ผมโดนไอ้คุณชายขู่
“หึ หึ” ผมหัวเราะในลำคอ
“แล้วมีจริงๆหรือเปล่าล่ะ กิ๊กหน่ะ” ไอ้บอสถามย้ำอีกที
“จะบ้าเหรอ มีบอสคนเดียวโบ้ทก็จะตายอยู่แล้ว จะไปหาใครให้เหนื่อยอีกทำไม” ผมรีบตอบไอ้บอสก่อนงานจะเข้าผมอีก

..............

 “เราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกันนะ” ไอ้บอสโอบตัวผมเข้าไปกอด ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าประโยคนี้มันจับใจและอุ่นใจเหลือเกิน

Game
See you next game

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ 78th Game  – Face the truth

ผมกับบอสเดินเลาะชายหาดกลับมาที่โรงแรม
“แล้วเอารถอะไรมากัน”  ผมเอ่ยถามไอ้บอส
“เอารถบอสมา” บอสหันมาตอบผม
“พอบอสรู้จากไอ้แบงค์ว่าโบ้ทออกจากคอร์ดโดยที่ไม่พูดไม่จา บอสก็รีบโทรหาไอ้เบนซ์แล้วก็ลากมันมาด้วย
“แล้วรู้ได้ไงว่าเฮียค็อปมาหาที่คอร์ด” ผมถามไอ้บอสต่อ
“บอสให้ไอ้แบงค์เล่าให้ฟัง ไอ้แบงค์บอกว่ามีใครก็ไม่รู้ใส่ชุดนิสิต มาหาโบ้ที่คอร์ด แล้วก็เข้าไปคุยกันในห้องชมรม พอคุยเสร็จ คนๆนั้นก็เดินออกไปอีกสักพักโบ้ทก็ออกจากชมรมไปเลย” บอสเล่าเรื่องที่ไอ้แบงค์เล่าให้ผมฟังอีกที
“แบงค์รู้โลกรู้ว่างั้น” ไอ้เพื่อนเวรผมด่ามันในใจ
“อย่าไปว่ามันเลย แบงค์เองมันก็เป็นห่วงโบ้ทมากนะ” บอสรีบแก้ตัวแทนไอ้แบงค์

จริงๆแล้วผมก็รู้ว่าไอ้แบงค์มันก็เป็นห่วงผมนั่นแหละ คบกันมาตั้งแต่ม.ต้น เป็นเพื่อนสนิทผมมากๆคนหนึ่ง ถึงจะปากหมาไปบ้างแต่จริงๆแล้วเนื้อแท้ไอ้แบงค์มันก็เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งเหมือนกัน

ผมกับบอสเดินกลับมาถึงหน้าโรงแรมด้วยสภาพเปียกปอน ผมเห็นรถ Volk swaken tiguan สีขาว ของผมจอดอยู่แล้วก็มี BMW X1 สีดำ ของไอ้บอสจอดอยู่คู่กัน ส่วนไอ้เบนซ์กับไอ้เบียร์เปิดห้องอีกห้องเรียบร้อยแล้ว

ผมก็ได้แต่หวังว่าให้เราได้คู่กันเหมือนรถของเราที่จอดอยู่ด้วยกันตอนนี้

...................

หลังจากอาบน้ำอาบล้างตัวกันเรียบร้อย ผมออกมายืนรับลมที่ระเบียง

“คิดอะไรอยู่” บอสเดินมาสวมกอดผมจากด้านหลัง
“ก็คิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร” ผมตอบบอสไป
“ไม่ต้องคิดแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบอส” บอสกระซิบข้างหูผม
“บอสรู้ว่าครอบครัวบอสเป็นอย่างไร เชื่อใจบอสนะครับ” อ้อมกอดถูกกระชับให้แน่นขึ้น ผมรู้สึกโชคดีที่ได้บอสเป็นแฟน โชคดีเหลือเกิน
“ไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่นะ” บอสคลายอ้อมกอดแล้วจับมือผมเดินเข้ามาในห้อง พวกเราตั้งนาฬิกาปลุกเพราะต้องกลับไปให้ทันเข้าโรงเรียน

จากวันนี้ที่เหนื่อยมาทั้งวัน อีกทั้งต้องขับรถมาไกลถึงหัวหิน เมื่อหัวผมถึงหมอนเจอกับแอร์เย็นๆ และเจออ้อมกอดที่อบอุ่นจากคนที่ผมรัก ผมผล่อยหลับไปอย่างง่ายดาย

..................

บอสปลุกผมตั้งแต่ตีสี่ ผมโทรไปปลุกไอ้เบนซ์ที่นอนอยุ่ห้องข้างๆกัน พวกเราทำธุระส่วนตัวกันเสร็จ ก็ลงมาเช็คเอาท์กัน

“ไม่ต้องเลยมรึงไปนั่งกับไอ้บอสโน่น เดี๋ยวกรูขับกลับเอง” ไอ้เบนซ์ไล่ให้ผมไปนั่งรถไอ้บอส ส่วนมันจะขับรถผมกลับกับไอ้เบียร์
“มรึงขับไหวเหรอ”ผมหันไปถามคุณพี่ชาย
“ไหวดิ เบียร์กรูก็ไม่ได้แดก เมื่อคืนก็นอนเร็ว มรึงไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้เบนซ์ยืนยัน
“เออ ขอโทษที่ทำให้มรึงต้องเดือดร้อน” ผมขอโทษพี่ชายที่มันต้องถ่อสังขารมาถึงนี่ แถมต้องตื่นแต่เช้าแล้วยังต้องขับรถให้ผมอีก
“เออ ช่างมันเถอะ ทำไงได้ก็มรึงเป็นน้องกรูนี่” ไอ้เบนซ์หันมายิ้มให้ มันก็เป็นพี่ชายที่แสนดีของผมตลอดมา

ไอ้บอสขับนำหน้าโดยมีไอ้เบนซ์ขับตามมา พวกเราเลือกที่จะตื่นแต่เช้าจะได้ค่อยๆขับกลับกรุงเทพ โดยไม่ต้องขับเร็วมาก

“วันนี้หยุดซ้อมสักวันได้ไหม” บอสถามผมตอนเราใกล้จะถึงสมุทรสาคร
“ทำไมเหรอ” ผมหันไปถามมันเพราะปกติบอสจะไม่ขอให้ผมหยุดซ้อม
“เดี๋ยวเย็นนี้มาบ้านบอสกัน” บอสหันมาตอบ
“อืมม มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามย้ำบอสไปอีกที
“เอาเป็นว่า มาแล้วกันเนอะ” จารุวัฒน์ไม่ยอมตอบคำถาม แต่เจอลูกอ้อนแก้มบังคับอย่างนี้ผมจะทำอย่างไรได้
“อืมม ก็ได้” ผมตกปากรับคำบอสไป เพราะที่ผ่านมาบอสเองก็ทำเพื่อผมมามาก เรื่องอะไรที่มันไม่เหนือบ่ากว่าแรง ผมทำเพื่อบอสได้ผมก็จะทำ
“งั้นเย็นนี้เลิกเรียนแล้วเจอกัน” ไอ้บอสหันมานัดผม

...................

บอสกับผมพวกเรากำลังเดินเข้ามาที่บ้านอรรถากร ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นพ่อกับแม่บอส นั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก ผมยกมือสวัสดีท่าน ซึ่งถ้าเป็นวันปกติๆถ้าเจอพ่อกับแม่บอส ผมกับบอสก็จะสวัสดีท่านแล้วก็จะขึ้นไปบนห้องบอสกันแต่วันนี้ บอสกับไม่ทำอย่างนั้น

“พ่อกับแม่ครับ บอสมีเรื่องที่จะต้องบอกพ่อกับแม่” บอสพูดกับพ่อกับแม่ ผมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย ว่าเรื่องที่บอสจะบอกกับพ่อกับแม่มันอาจจะเกี่ยวกับผม
“พ่อกับแม่ไม่มีธุระที่ไหนใช่ไหมครับ” บอสถามชายหนุ่มสูงวัยที่เป็นผู้นำครอบครัว อรรถากรอีกครั้ง
“ไม่ไปไหนแล้วล่ะวันนี้” ชายหนุ่มสูงวัยทว่าสง่างาม และเป็นคนที่ใจดีที่สุดในบ้านอรรถากรเอ่ยปากบอกลูกชาย
“ว่าไงลูก มีอะไรจะบอกกับพ่อกับแม่เหรอ” ข้างๆกันมีหญิงวัยกลางคนท่าทางดูสภาพ หน้าตาสวยงามแม้สูงวัยแล้วก็ตามเอ่ยปากถามบอส
“เดี๋ยวรอเฮียค็อปก่อนครับ จะได้พูดกันทีเดียว” บอสเอ่ยถึงผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตนเอง
“งั้นมานั่งกันก่อน” พ่อของบอสเรียกให้พวกเรามานั่งที่โต๊ะรับแขก

ผมมองหน้าไอ้บอสเลิกลั่ก เพราะรู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผมด้วยแน่ๆ และผมอาจจะกลายเป็นคนที่ถูกเกลียดจากครอบครัวอรรถากรไปตลอดเลยก็ได้ ความกลัวเริ่มครอบงำผม ผมไม่กล้าสู้หน้าพ่อกับแม่ ได้แต่นั่งก้มหน้า กำมือแน่นด้วยความรู้สึกผิด

“หมับ”

บอสเอามือมาบีบที่หัวเข่าผมเบาๆทำเอาผมสะดุ้งตกใจ แล้วเงยหน้ามองบอส บอสพยักหน้าให้กำลังใจ ผมอ่านริมฝีปากที่บอสพูดโดยไม่ออกเสียง

“ไม่เป็นไร”

บอสกำลังจะทำอะไร ผมได้แต่บ่นบอสในใจ จากเด็กที่วิ่งเข้าออกบ้านหลังนี้มาตั้งแต่เด็ก พ่อกับแม่บอสก็รักผมเหมือนเป็นลูกท่านคนหนึ่ง ที่สำคัญป๊ากับม๊าผมก็รู้จักกับพ่อกับแม่บอสเป็นอย่างดี เรื่องมันจะไปกันใหญ่ไหม นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวที่สุดตอนนี้

แล้วคนที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดก็ก้าวเข้ามาสู่บ้านอรรถากรอีกคน เฮียค็อปแปลกใจจนแสดงให้เห็นออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน ที่เห็นผมกับบอสอยู่ด้วยกัน แต่ก็ยังรักษามารยาทโดยการเก็บสีหน้ากลับอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปสวัสดี พ่อกับแม่ไอ้บอส

“นั่งก่อนสิค็อป” ผู้เป็นพ่อของบอสบอกให้เฮียค็อปนั่งที่เก้าอี้รับแขกั่งตรงข้ามกับผม
“มากันครบแล้ว มีอะไรว่ามาบอส” พ่อของบอสเปิดประเด็น

“พ่อครับ ผมมีเรื่องจะมาปรึกษาพ่อกับแม่ครับ” ไอ้บอสเริ่มพูด
“สมัยก่อนตอนที่พ่อรักกับแม่ พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้อยู่กับแม่อย่างถูกต้องใช่ไหมครับ” บอสตั้งคำถามกับพ่อตัวเอง
“อืม ใช่ เราเป็นลูกผู้ชาย จะทำอะไรก็ต้องให้มันถูกต้อง ถูกครรลอง” พ่อบอสพูดกับลูกชายตัวเอง

“ใช่ครับพ่อ เราเป็นลูกผู้ชายเราต้องทำอะไรๆให้สมกับเป็นลูกผู้ชาย” บอสหันไปมองหน้าเฮียค็อปที่นั่งจ้องพวกเราเขม็งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ตอนนี้ผมเหงือออกเต็มหน้าผากทั้งที่แอร์คอนดิชั่นก็ทำงานปกติ ผมเริ่มกระสับกระส่าย อยากจะหายตัวออกไปจากตรงนี้ แต่เรื่องทั้งหมดผมเองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่จริงมันก็เป็นเรื่องของผมเลยแหละ ตอนนี้ผมทำได้แค่สะกดกลั้นความกลัว แล้วก็เผชิญหน้ากับปัญหาอย่างกล้าหาญ ไม่ใช่การหนีอีกต่อไป

“พ่อครับการที่เราถูกขู่และบังคับให้เลิกรักใครสักคน เป็นพ่อๆจะทำยังไงครับ” บอสหันกลับมาตั้งคำถามกับพ่ออีกครั้ง

“ถ้าเป็นพ่อ พ่อก็คงทำตามใจตัวพ่อเอง และไม่ยอมให้ใครมาขู่บังคับเด็ดขาด” พ่อบอสพูดกับลูกชายตัวเอง

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมขอทำตามหัวใจผมอย่างที่พ่อสอนนะครับ” ไอ้บอสปลายสายตามาที่ผม

“พ่อกับแม่ครับ ผมกับโบ้ท เราสองคนรักกันครับ” พ่อกับแม่บอสมีอาการตกใจกับสิ่งที่บอสบอกท่านไป พ่อกับแม่บอสนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ท่านเพิ่งรับรู้ ส่วนผมตอนนี้ตัวร้อนวูป นั่งก้มหน้าทำตัวไม่ถูก เหงือเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มกลางหลัง

“แกแน่ใจแล้วเหรอ” พ่อบอสเอ่ยปากถามลูกชาย ทำลายความเงียบ
“ครับ” บอสตอบกลับไป
“แกแน่ใจว่าสิ่งที่แกกำลังพูดถึงอยู่มันคือความรัก ไม่ใช่ความหลง”

พ่อบอสพูดเตือนให้บอสคิดอีกครั้ง ส่วนแม่ของบอสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เพราะกำลังอึ้งกับสิ่งที่ลูกชายคนเดียวของท่านพูดออกมา สายตาของเฮียค็อปตอนนี้เย้ยหยันพวกเราเต็มที่

“แน่ใจครับ” บอสตอบคำถามผู้เป็นพ่ออย่างหนักแน่น

“ตอนแรกบอสก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะความหลง แต่ตอนนี้บอสแน่ใจแล้วครับ” บอสหยุดพูดแล้วมองไปที่เฮียค็อป

“ต้องขอบคุณเฮียค็อปที่ทำให้บอสรู้และมั่นใจกับตัวเองครับ” บอสเหยียดยิ้มบางๆให้เฮียค็อป

“ทำไม...ฉันไปทำให้แกมันใจตอนไหน” เสียงเฮียค็อปตอบโต้กลับมาที่ไอ้บอส

“ก็ตอนที่เฮียไปขู่ไอ้โบ้ทถึงสนามเทนนิสที่โรงเรียน บังคับให้โบ้ทเลิกคบกับบอสไม่งั้นจะเอาเรื่องทุกอย่างไปบอกพ่อกับแม่โบ้ทไงครับ เฮียจำไม่ได้แล้วเหรอ” เฮียค็อปสะดุ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าจะถูกแฉต่อหน้าผู้ใหญ่ เฮียค็อปกำมือแน่น ยืนนิ่ง แต่ความโกรธที่อยู่ข้างในนั้นทะลุผ่านออกมาจากสายตา

“ตอนม.3 เฮียก็ใช้วิธีนี้กับผม ขู่ผมว่าถ้าไม่เลิกคบกับโบ้ท เฮียจะฟ้องพ่อกับแม่ แต่ต่อจากนี้ไป เฮียจะไม่มีวันใช้วิธีการเลวๆ แบบนี้ได้อีกแล้ว” ผมไม่เคยเห็นบอสโกรธแล้วดูถูกใครเลย เฮียค็อปเป็นคนแรกที่ทำให้บอสแสดงอาการรังเกียจได้ขนาดนี้

ตอนนี้พ่อกับแม่ของบอสได้แต่ยืนนิ่ง เพราะเพิ่งรู้ว่าถูกหลานตัวเองขู่บังคับให้ลูกของตนเองด้วยวิธีที่แสนเลว

“แล้วไง กรูก็แค่ไม่อยากให้ลูกหลาน อรรถากร เป็นพวกวิปริตผิดเพศ และถูกตราหน้าว่าเป็นพวกน่ารังเกียจ และน่าขยะแขยง” เฮียค็อประเบิดอารมณ์ออกมา

“แล้วยังไงเฮีย ถ้าถูกเพศแล้วทำตัวแบบเฮียนะ บอสยอมผิดเพศดีกว่า จะได้ไม่ต้องทำใช้วิธีน่ารังเกียจๆ แบบคนถูกเพศอย่างเฮีย” ผมเพิ่งเห็นบอสโกรธจัดขนาดนี้เป็นครั้งแรก ตอนนี้คุณชายที่อบอุ่นใจดี ตอนนี้ไม่เหลือคาบนั้นอยู่เลย”

“ไอ้บอส” เฮียค็อปเดินปรี่เข้ามากำหมัดแน่น ความโกรธทำให้เฮียค็อปกลายเป็นอีกคนที่ไม่เหลือสภาพอีกเลย


ผมเห็นเฮียค็อปพุ่งเข้ามาแล้วไอ้บอสก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลบ ผมแทรกตัวเข้าระหว่างเฮียค็อปกับบอส

“ปั๊ก”

เสียงหมัดกระทบปลายคางผมอย่างแรง แล้วทุกอย่างก็วูปดับลงไป

.............

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา ผมนั่งอยู่ตรงเก้าอี้แล้ว ป้าน้อยคอยเอายาดมมาให้ผมดม ความรู้สึกปวดแปลบพุ่งขึ้นที่ปลายคาง กลิ้นคาวของเลือดคลุ้งไปทั่วปาก แต่เสียงดังจากผู้คนตรงหน้าทำให้ความเจ็บหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“ค็อปกลับไปก่อนเถอะลูก เดี๋ยวอาจัดการเอง” เสียงแม่ค็อปบอกเฮียค็อป
“แล้วอาจะจัดการยังไง” เฮียค็อปหันมาถามแม่บอส
“เรื่องในครอบครัว ให้คนในครอบครัวเขาจัดกการกัน” เสียงพ่อบอสเน้นย้ำอีกครั้ง และนั่นทำให้เฮียค็อปต้องนิ่งไป เพราะเฮียค็อปเองก็รู้ว่าสิ่งที่พ่อบอสต้องการจะพูดคืออะไร
“แต่” เฮียค็อปยังไม่ยอมจบ
“อาเลี้ยงลูกอามา อาย่อมรู้ดีว่าลูกของอาเป็นอย่างไร ค็อปไม่ต้องห่วง” พ่อบอสพูด จนเฮียค็อปไม่สามารถจะสอดแทรกอะไรได้อีก

“งั้นผมลาล่ะครับ” น้ำเสียงตวัดสั้น เฮียค็อปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่มีศักดิ์เป็นอาและอาสะใภ้กลับไปอย่างหัวเสีย

 
“โบ้ท ไหวมั้ยลูก” แม่ของบอสเดินมาดูผม
“ครับ ไม่เป็นไรครับ” ผมชันตัวลุกขึ้น

………

“คุณเข้าไปรอผมที่ห้องทำงาน” พ่อบอสบอกให้แม่บอสไปรอที่ห้องทำงาน
“เราสองคนตามพ่อมาด้วย” แล้วพ่อกับหันมาสั่งผมกับบอส

บอสกุมมือผมแน่นแล้ว มือของบอสเย็นเฉียบ แต่หนักแน่นไปด้วยความรู้สึก บอสออกแรงดึงเล็กน้อยเดินนำหน้าไป ผมมองแผ่นหลังเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ผมชื่นชมบอสที่กล้าหาญ และพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกอย่างเพื่อปกป้องความรักของเรา

............

“ลูกแน่ใจในทางที่ลูกจะเดินแล้วนะบอส” พ่อบอสถามเมื่อพวกเราเข้ามานั่งอยู่ในห้องทำงานของพ่อบอสเรียบร้อย
“ครับ ผมแน่ใจครับพ่อ” บอสย้ำหนักแน่น
“เราล่ะโบ้ท แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะเลือกเดินเส้นทางนี้” พ่อบอสหันมาถามผม
“ครับ ผมอาจจะเคยไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม แต่ตอนนี้บอสทำให้ผมรู้แล้วครับว่าผมจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อใคร” ผมตอบคำถามที่พ่อบอสถามอย่างที่ไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อน
“เราล่ะบอส แน่ใจใช่ไหมที่บอกว่ารักโบ้ทหน่ะ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเหมือนเด็กเล่นขายของนะ” เสียงเย็นๆของแม่บอสเอ่ยถามบอส
“ครับ ผมมั่นใจแล้วครับ” บอสย้ำคำหนักแน่นกับแม่
“ถ้างั้น พรุ่งนี้แม่จะโทรไปคุยกับแม่โบ้ท” แม่บอสหันมองมาทางผม
“แต่ว่า” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปากพูด
“ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เถอะลูก พ่อแม่ทุกคนเลี้ยงลูกมาทำไมจะไม่รู้ว่าลูกตัวเองเป็นอย่างไร แล้วยิ่งแม่ของเราด้วยนะโบ้ท” ผมเองก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ว่าแม่เลี้ยงผมมาทำไมแม่จะไม่รู้ แถมยังเคยเปรยๆตั้งแต่ตอนไปเที่ยวแล้วด้วยซ้ำ

“อันที่จริง พ่อก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนะ แต่ในเมื่อมันเป็นความสุขของลูก พ่อกับแม่เลี้ยงลูกมาก็ไม่ได้หวังว่าลูกจะต้องเก่ง ต้องรวยล้นฟ้า แต่เป้าหมายของพ่อกับแม่คือเลี้ยงลูกอย่างไง ให้ลุกมีความสุขก็พอ” พ่อของบอสพูดปิดท้าย

“พ่อกับแม่ถามแต่บอสว่าบอสรักโบ้ทจริงๆใช่ไหม แต่ทำไมไม่เห็นถามโบ้ทบ้างล่ะครับ” อ้าวอีตาบอสแกโยนขึ้มาทำมายยยยยย

“โอ้ย ลูกแม่นี่ตาถั่วหรือเปล่า ตอนที่ค็อปมันพุ่งเข้ามาจะต่อยบอสหน่ะ ใครที่เอาตัวเข้าไปขวาง แค่นั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าโบ้ทหน่ะรักบอสแค่ไหน ถ้าคนไม่รักกันหน่ะเรื่องอะไรจะเอาตัวไปขวางให้เจ็บตัวแทน”

“แกนี่ซื่อบื้อเหมือนพ่อแกไม่ผิด” แม่บอสได้ทีแซวพ่อ

“อ้าวคุณไหงมาลงที่ผมล่ะ” พ่อบอสยกมือขึ้นเกาหัวแกร๊ก

“ผมว่าผมก็ไม่ได้ซื่อบื้อเท่าไอ้บอสมันนะ” พ่อบอสโอบไหล่แม่บอสแล้วก็เดินออกจากห้องทำงานไป ปล่อยให้ผมกับบอสยืนอมยิ้มกันอยู่สองคนในห้องทำงาน

บอสเดินเข้ามาสวมกอดผม ผมค่อยๆยกแขนกระชับตัวบอสเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนผม
“เราทำสำเร็จแล้วนะ” ผมกระซิบบอกบอส ทั้งดีใจทิ้งอิ่มใจและตื่นตัน
“เห็นไหม ถ้าเราจับมือกันเราก็จะฝ่าฟันทุกอุปสรรค์ไปได้ ไม่ว่ามันจะใหญ่แค่ไหน” บอสกระซิบที่ข้างๆหูผม
“ขอบคุณนะบอส” ผมขอบคุณบอสที่ทำทุกอย่างเพื่อผม
“บอสรักโบ้ทนะครับ” เป็นคำบอกรักที่วันนี้ซาบซึ้งและจับใจผมมากที่สุด
“โบ้ทก็รักบอสครับ”............

Game
See you next game

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
@ Final Game – Down to you


“งั้นก็ดูแลกันดีๆล่ะ” ป๊ากับม๊าผมพูดกับผมกับบอสหลังจากทราบเรื่องทุกอย่างแล้ว
“ป๊ากับม๊ารู้...” ผมยังพูดไม่ทันจบ
“ม๊ากับป๊า เลี้ยงเรามาทำไมจะไม่รู้ว่าลูกของม๊าเป็นอย่างไร” ม่าม๊าผมพูดแทรกขึ้นมา แถมยังปลายตาไปที่ไอ้เบนซ์ พี่ชายผมที่นั่งอยู่ไม่ไกลเท่าไร
“มีอะไรก็ช่วยๆกัน ดูแลกันนะลูก” ม่าม๊าสำทับเราอีกรอบ
“ป๊ากับม๊าเลี้ยงเรามาสิ่งเดียวที่ป๊ากับม๊าต้องการคือให้เรามีความสุข เพราะฉะนั้นถ้าลูกมีความสุขกับทางที่เลือก ป๊ากับม๊าก็มีความสุขไปกับเราด้วย” พ่อผมพูดปิดท้าย

“ขอบคุณครับป๊ากับม๊า” ผมค่อยๆกราบลงที่ตักของป๊ากับม๊า ขอบคุณที่ท่านเข้าใจ
“ผมสัญญาจะดูแลโบ้ทให้ดีที่สุดครับ” บอสสัญญากับป๊ากับม๊า ก่อนจะเข้าไปกราบป๊ากับม๊าที่ตัก

เป็นอันว่าเรื่องที่บ้านสุขอนันต์ก็ไม่มีปัญหาให้หนักใจ อาจเป็นเพราะแม่ของบอสคุยกับม๊าผมอีกทาง ทำให้เรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ผ่านไปได้ด้วยดี อาจเป็นเพราะทั้งสองครอบครัวมีเป้าหมายอย่างเดียวกันคือต้องการเลี้ยงลูกแล้วอยากให้ลูกมีความสุข และสิ่งที่พวกเราจะตอบแทนท่านได้คือทำให้ท่านภูมิใจโดยตั้งใจเรียน ตั้งใจเล่นกีฬา ทำตัวให้ดี และเป็นคนดีของท่านและสังคม

...............

หลังจากที่ปัญหาที่น่าปวดหัวและหนักใจได้ผ่านพวกเราไป แต่ยังคงมีอีกปัญหาหนักอกรอพวกเราอยู่ “สอบมิดเทอม”

“โอ้ย จะอ่านทันไหมนี่” ผมบ่นและชูแขนขึ้นบิดขี้เกียจ หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งมาหลายชั่วโมงกับหนังสือกองโต
“ทันสิ แฟนบอสเก่งอยู่แล้ว” เสียงนุ่มๆให้กำลังใจผมดังขึ้น
“ไหนดูสิ เหลืออีกเยอะแค่ไหน” บอสชะโง้กหน้ามาดูผม
“เหลือนี่ แล้วก็นี่ แล้วก็นี่ นี่ก็อีก”ผมหยิบวิชาแรกให้บอสดู แล้วก็เหลือที่ต้องอ่านอีก 3 เล่ม
“ไม่เยอะแล้วนี่” บอสบอก
“เห็นไหมวิธีช่วยจำของบอส ได้ผลป่ะ” บอสยิ้มกว้างภูมิใจอย่างกะเอดิสันคนพ้นหลอดไฟได้สำเร็จ
“อืมเจ๋งจริง” ต้องยอมรับว่าวิธีของบอสช่วยให้จำอะไรง่ายขึ้น
“แต่เมื่อยมือชิบหาย” ผมบ่น
“ก็ต้องแรกกันดิ อยากจำง่ายๆ อยากจำเร็ว ก็ต้องเขียนมันผ่านมือ” วิธีการที่บอสแนะนำก็คือ อ่านใจความสำคัญแล้วเขียนลงสมุด อะไรที่เราเขียนผ่านมือจะทำให้เราจำได้มากกว่า อ่านเป็นนกแก้วนกขุนทอง

“ยังดีของโบ้ทไม่ค่อยมีวิชาคำนวณ” บอสหันมาคุยกับผม
“ใช่ดิกรูมันสายศิลป์”ผมประชดมัน
“แล้วถ้ามีแต่คำนวณต้องจำยังไงวะ” แต่ก็อดสงสัยว่าไอ้บอสจะจำยังไง
“ก็ต้องทำดิ ต้องเข้าใจแล้วก็ทำแบบฝึกหัดเยอะๆ” ไอ้บอสหันมาตอบ

...............

“ทำได้ไหมวะ” ไอ้แบงค์ถามผมทันทีที่เดินออกมาจากห้องสอบ
“ก็พอได้หว่ะ” ผมตอบมันกลับไป
“มรึงก็พอได้ทุกที แต่คะแนนออกมาทีไรไม่เห็นจะพอได้เลยนะมรึง” ไอ้บาสแซว
“แล้วมรึงล่ะทำได้ไหมไอ้แบงค์” ผมถามไอ้เพื่อนสนิทที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ตรงนั้น
“ก็พอได้นะ แต่ถ้าคะแนนออกมาไม่ดีก้ซวยแน่” ไอ้แบงค์บ่นอุบ
“ทำไมวะ” ไอ้บาสหันไปถาม
“ก็ท่าคะแนนไม่ดี ก็มีหวังโดนไอ้อาร์มฆ่าแน่ๆ”ไอ้แบงค์ทำหน้าเซ็ง
“ไอ้เชี่ย เดี๋ยวนี้เกียมัวเหรอวะ” ไอ้บาสแซว
“เชี่ยไรวะ เกียมัว” ไอ้แบงค์เกาหัวแกร่กๆ
“เกียมัว ก็ กลัวเมียไงวะ ไอ้สาด” ไอ้บูมที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องสอบอีกคนเฉลย
“เชี่ย กลัวเกลอ เชี่ยไร กูไม่กลัว” ไอ้แบงค์ขึ้นเสียงสูง
“แต่กรูแค่เกรงใจ” ผมพูดประโยคต่อไปแทนไอ้แบงค์เสร็จสรรพ
“นั่นไง จากผู้มีประสบการณ์ตรง” ไอ้เชี่ยบูมออกปากแซว
“เออ อย่างกะพวกมรึงไม่เกรงใจ” ผมย้อนพวกมันกลับไป
“ไปแด๊กข้าวกัน ออกมาคบแล้ว” ผมชวนพวกมันไปกินข้าวเพราะกระเพาะเริ่มประท้วง

“ไอ้บีมกับไอ้ไบร์ท ไปกินข้าวกัน” ผมเจอนักเทนนิสคู่มือวางอันดับหนึ่งของโรงเรียน หลังจากลงมาจากตึก
“เออ กำลังหาคนกินด้วยพอดี” ไอ้สองคนได้โอกาส
“แล้วไอ้บอสกับไอ้อาร์มล่ะ” ไอ้บีมหันมาถามผม
“รออยู่หน้าโรงอาหารและ” ไอ้แบงค์รายงานแทนผมไปเรียบร้อย

พวกเราเดินมาถึงหน้าโรงอาหาร ก็เจอท่านประท่านสภากับคุณเลขาสภา ยืนรอพวกเราพร้อมกับไอ้บิวหัวหน้าชมรมดนตรีกับไอ้เบสต์หัวหน้าชมรม X-Gameอยู่แล้ว

“ทำไมมารวมกันได้วะ” ผมหันไปถามพวกมันที่ยืนรอพวกเราอยู่
“ก็ไอ้เบลไลน์มาบอกให้เจอกันที่โรงอาหารไง พวกมรึงอ่านยัง” ไอ้เบสต์ถามพวกเรากลับ
“ยังหวะ กรูเพิ่งออกจากห้องสอบ” ผมตอบไอ้เบสต์กลับไปเพราะตั้งแต่ออกจากห้องสอบมายังไม่ได้จับโทรศัพท์เลย
“โทรตามไอ้ไปป์เหอะ กรูว่ามันไม่ได้อ่านไลน์แหง่” ไอ้บิวเสนอไอ้เดีย
“เออ เดี๋ยวกรูโทร” ไอ้เบสต์หยิบโทรศัพท์ไปตามไอ้ไปป์

พวกเราแยกย้ายไปสั่งข้าวกันก็มานั่งรวมกันที่โต๊ะใหญ่กลางโรงอาหาร ไม่นานไอ้ไปป์ก็ตามมาสมทบอีกคน แล้วไอ้เบลกับไอ้วินก็เดินมาด้วยกัน หอบถุงก็อบแก็บใบใหญ่มาหนึ่งใบ

“อ่ะนี่ พวกมรึงแบ่งกันไปคนละแผ่น” ไอ้วินยื่นถุงใส่ DVD ให้พวกเราแจกกันเอง
“DVD อะไรวะไอ้วิน” ไอ้ไปป์ถาม
“DVD รูปที่ไปทริปกันไง” ไอ้วินบอกทำเอาพวกเราตื่นเต้นกันใหญ่
“ไอ้เคนส่งไฟล์มาแล้ว กรูรวบรวมทั้งกล้องกรูแล้วก็กล้องไอ้เคนแล้วไรท์เป็น DVD ให้พวกมรึงนี่แหละ” ไอ้เบลรายงานสถานการณ์
“แล้วนี่ กรูอัดรูปมาชุดหนึ่ง เอามาให้ดูกัน”ไอ้เบลส่งอีกถุงที่เป็นถุงพลาสติกใบใหญ่ใส่อัลบูมขนาดจัมโบ้ เกือบ 30 อัลบั้มให้พวกเรา
“ดูได้ ชมได้ ห้ามจิ๊กห้ามขอนะโว้ย” ไอ้เบลดักคอพวกเราเสร็จสรรพ
“ใครอยากได้รูปไหน ไปเลือกรูปใน DVD แล้วไรท์ใส่แผ่นมาให้ เดี๋ยวกรูอัดให้อีกที” ไอ้เบลกับไอ้วินพูดเสร็จก็วิ่งไปซื้อข้าว

พวกเราเปิดดูรูปในอัลบั้ม รูปที่ไอ้เบลกับไอ้เคนถ่าย สวยสมกับเป็นประธานชมรมถ่ายภาพ องค์ประกอบภาพลงตัว ทั้งคนและธรรมชาติ ผมกับบอสนั่งดูรูปกัน อดอมยิ้มไม่ได้เพราะ สถานที่ที่เราไปก็สวยงาม แล้วพวกเราก็ได้บันทึกความทรงจำกับสถานที่เหล่านั้นไว้ในภาพถ่ายตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว

.................

หลังสอบเสร็จก็เข้าเทศกาลปีใหม่ บอสมีงานส่งท้ายปีกับงานคริสมาสต์โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนคริสต์ งานคริสมาสต์จึงเป็นงานใหญ่ของโรงเรียนก่อนจะถึงปีใหม่จริงๆ และแน่นอนอยู่แล้ว นอกจากไอ้อาร์มจะเป็นเลขาสภานักเรียนแล้ว ผมก็ถูกไอ้คุณชายลากมาเป็นเลขาส่วนตัวอีกหนึ่งคน

งานทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีด้วยฝีมือประธานนักเรียนคนเก่ง ที่ทำงานทุกอย่างดูเป็นเรื่องง่ายๆ ทั้งขบวนพาเลซ ทั้งงานแสดง รวมไปถึงงานในโบสถ์ บอสก็ประสานงานและจัดการได้อย่างเรียบร้อย จนมาสเตอร์ยังออกปากชม

“เหนื่อยไหม” น้ำเสียงบอสยังคงอบอุ่นและห่วงใยผมเสมอ
“ไม่อ่ะ” ผมยิ้มกว้างก่อนจะตอบบอสกลับไป
“อ่ะนี่ รางวัล สำหรับเลขาส่วนตัวของบอส” บอสยื่นซองเอกสารส่งให้ผม
“หืมม” ผมอดยิ้มไม่ได้เพราะโดนบอสเซอร์ไพร์ ผมค่อยๆเปิดซองออกดู
“ตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ต” นี่เอาเวลาตอนไหนไปจอง ผมยิ้มจนแก้มแถบปริ
“ยังมีอีก ดูก่อนๆ” บอสบอกให้ผมดูของในซองต่อ
“วันเดย์ทริปเกาะตาชัย”
“วันเดย์ทริปหมู่เกาะพังงา”
“วันเดย์ทริปพีพี”
“ตั๋วภูเก็ตแฟนตาซี”

“ทำไมมันเยอะแยะขนาดนี้อ่ะบอส” ผมหันไปถามมัน
“ก็ฮันนี่มูนแรกของเราไง” บอสคลี่ยิ้มบางๆแบบเขินๆบอกกับผม
“บอส” ผมตื่นเต้นจนได้แต่เรียกชื่อบอส

ผมเดินเข้าไปสวมกอดเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนที่อยู่เคียงข้างผมเสมอ คนที่คอยห่วงใยผมตลอดมา คนที่คอยให้กำลังใจเวลาผมเหนื่อยท้อ คนที่ไม่มีวันจะทิ้งผมไปไหน และจะเป็นคนที่จะดูแลผมตลอดไป ผมโชคดีแค่ไหนที่มีคนแบบนี้มายืนอยู่ข้างๆ คนที่บางคนตามหามาชั่วชีวิต แต่เค้าคนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว แล้วเค้าก็รักผม ผมเองก็รักเค้ามากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเราทั้งสองคนรักกัน ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่พวกเราสองคนรู้เพียงว่า เราจะทำมันให้ดีที่สุด เราจะค่อยๆฝ่าฝันอุปสรรค์ต่างๆไปด้วยกัน ตราบใดที่มือของเรายังจับกันไว้ เราก็จะไม่กลัวอะไรอีกต่อไป

“บอสรักโบ้ทนะ รักมากที่สุด” เสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนจะก้องอยู่ในใจของผมตลอดไป
“โบ้ทรักบอสนะครับ และจะรักตลอดไป”


.......................


เสียงเพลงเบาๆดังมาจากรถของบอส ผมจำได้ว่าเป็นเพลงประกอบหนังเรื่องหนึ่งที่ป๊าเคยเปิดให้ผมดูตอนเด็กๆ
“บอสรู้จักเพลงนี้หรือเปล่า” ผมหันไปถามคนขับรถส่วนตัวของผม
“ทำไมเหรอ” บอสหันมายิ้มแล้วถามผม
“ก็เคยฟังอ่ะ ไม่สิ.. ต้องบอกว่าเคยดูหนังกับป๊าตอนเด็กๆแล้วก็เคยได้ยินเพลงนี้” แต่ตอนนี้นึกไม่ออกว่าชื่อเพลงอะไร และหนังเรื่องอะไร
“พ่อเราก็เคยเปิดให้เราดูตอนเด็กๆเหมือนกัน” เสียงบอสตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่าเราสองครอบครัวจะคล้ายๆกัน
“เพลงนี้ชื่อ A time for us” บอสหันมาบอกผม
“ส่วนหนังคือ Romeo and Juliat  1968” บอสเฉลยคำตอบที่ผมสงสัย
“เนื้อเพลงเหมือนพวกเราตอนนี้เลยเนอะ” ผมหันไปบอกบอส บอสเอามือมากุมมือผมไว้ ผมค่อยๆประสานมือกับบอส

ท่ามกลางรถยนต์ขวักไขว่กลางกรุงเทพมหานคร ในโลกที่แสนวุ่นวายไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรพิสูจน์ความรักของเราอีกหรือเปล่า แต่ขอแค่มีผมกับบอสอยู่ข้างๆกัน เราก็พร้อมที่จะผ่าพันและข้ามผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน ความรักก็เปรียบเสมือนคนสองคน ถือเชือกอยู่กันคนละด้าน  ถ้าคนใดคนหนึ่งปล่อยเชือกไป แต่อีกคนไม่ปล่อยความรักก็ยังคงอยู่ รอเพียงคนๆนั้นกลับมาจับปลายเชือกอีกข้างอีกครั้งหนึ่ง ความรักก็จะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ตราบใดที่ไม่ปล่อยมือออกจากเชือกทั้งคู่ความรักก็ยังคงไม่มีวันจบ เหมือนผมกับบอสที่เคยเลิกลากันไปแล้ว แต่ยังกลับมารักกันใหม่ได้ และรักครั้งนี้มันต้องลึกสุดใจ.....

A time for us some day there’ll be
When chains are tron
By courage born of a love that’s free

สักวัน คงเป็นวันของเรา
เมื่อโซ่อุปสรรคหักสะบั้นลง
ด้วยความกล้าหาญ ที่เกิดจากอิสรภาพแห่งรัก

A time when dreams
So long denied
Can flourish
As we unvel the love we now must hide

เป็นเวลาซึ่งความไฝ่ฝัน
ที่ถูกปฏิเสธมานานแสนนาน
จะลุกโชนเผยให้เห็น
ถึงความรักที่เราเก็บซ่อนไว้

A time for us
At last to see A life worthwhile for you and me

ในวันที่เป็นเวลาแห่งเรา
และในที่สุด ชีวิตที่มีความหมายจะเป็นของเราสองคน

And with our love through tears and thorns
We will endure As we pass surely through every storm

ด้วยความรักที่เคยผ่านทั้งน้ำตาและอุปสรรค
เราจะฝ่าฟันไปด้วยกันอย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์
A time for us some day there’ll be
A new world Aworld of shining hope for you and me

แล้วสักวันจะเป็นเวลาของเรา
โลกใบใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยความหวังสำหรับเธอและฉัน

A time for us
At last to see A life worthwhile for you and me

ในวันที่เป็นเวลาแห่งเรา
และในที่สุด ชีวิตที่มีความหมายจะเป็นของเราสองคน

And with our love through tears and thorns
We will endure As we pass surely through every storm

ด้วยความรักที่เคยผ่านทั้งน้ำตาและอุปสรรค
เราจะฝ่าฟันไปด้วยกันอย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์

A time for us some day there’ll be
A new world Aworld of shining hope for you and me

แล้วสักวันจะเป็นเวลาของเรา
โลกใบใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยความหวังสำหรับเธอและฉัน

Cr. เนื้อเพลงแปลไทยจาก คุณ Andromeda June @Youtube
https://www.youtube.com/watch?v=fBD9tTwh2bs

*********The End**********
12 เมษายน 2558 เวลา 08.51

Game
Set
Match……..

รอฟินกับตอนพิเศษของโบ้ทกับบอสนะครับ ฮันนี่มูน........

----------------------------------------------------------------------------------------------------------


ในที่สุดนิยายเรื่องนี้ก็จบลงแล้วนะครับ เป็นนิยายเรื่องแรกของคนเขียนผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ แน่นอนเดี๋ยวคงต้องมีการ รีไรท์ กันอีกรอบเพื่อความสมบูรณ์และแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนเขียนเองจะมีความพยายามเขียนจนจบได้ เพราะระหว่างเขียนมีอุปสรรค์มากมาย ทั้งหัวไม่แล่น เขียนไม่ออก แถมมีเรื่องที่ทำให้หยุดเขียนไป 6-7 เดือนอย่างที่แจ้งให้ทราบไว้ เคยพยายามกลับมาเขียนตอนที่แต่มันเขียนไม่ได้จริงๆ จนเรื่องทุกอย่างคลี่คลายจึงกลับมาเขียนได้อีกครั้ง

ต้องขอบคุณคนอ่านทุกๆท่านที่ยังคงติดตามกันมา แม้คนเขียนจะมีช่วงหายช่วงหยุดเขียนไปนาน แต่ก็ยังไม่ทิ้งกันไปไหน ต้องขอบคุณมากๆจริงๆ คนเขียนขอขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกกำลังใจ ทุกความหวังดีที่มีให้กันตลอดมา ถ้าไม่คนอ่านและกำลังใจ ก็คงไม่เขียนนิยายได้จนจบ ขอบคุณจริงๆ จากใจเลยครับ........

ถ้าไม่มีปัญหาและอุปสรรค์ใดๆอีก ไรท์จะเปิดเรื่องใหม่ แต่ขอฉีกแนวจากเดินหน่อยนะครับ ยังไม่ได้คิดชื่อเรื่อง มีพ็อตอยู่บ้าง แต่งานรูปประกอบต้องมาสินะ 5555+ เอาลงเป็นนิ้จิ้มให้ชมกันก่อนนะครับ ฝากติดตามต่อด้วยนะครับ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-04-2015 09:07:12 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
อิเฮียค๊อปนี่เ_ือกมาก ต้องจับให้ไปเป็นเมียใครซักคน ฮ่าฮ่าฮ่า  :laugh:
ดูจากรูป เรื่องใหม่ตัวละครจีน แถมเหมือนจะมีคู่ชายหญิงด้วย
ติดตามจ้าาาาาาา

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

ได้ไปเที่ยวด้วยล่ะ

 :pig4:


ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ดีใจที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ทุกคนมีความสุข

ของคุณคนเขียนที่ขยันแต่ง ขยันโพสต์ เรียกว่าคนอ่านตามอ่านกันไม่ทันเลยทีเดียว

รอผลงานชิ้นถัดไปนะครับ

ออฟไลน์ gwaiplay

  • ♛ Victoria 。
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ขอบคุณมากๆๆค่ะ
ตัวละครเยอะมากกกกก
นับถือคนเขียนเลยที่ไม่จำสลับกันอ่ะ555

ป.ล.รอตอนพิเศษค่ะ หุหุ^^
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ GMT101

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด