เรียงร้อยด้วยรักฯ : ทฤษฎี บทที่ 16 l 2018.06.16 หน้าที่ 93
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรียงร้อยด้วยรักฯ : ทฤษฎี บทที่ 16 l 2018.06.16 หน้าที่ 93  (อ่าน 944613 ครั้ง)

ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอวันอ้นซันชัดเจน

ออฟไลน์ narongyut

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
รอ ซัน กันต่อไป ว่าจะไปต่อมั้ยครับ ลุ้นนนๆๆๆๆๆมากครับ

ออฟไลน์ byeenn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณอ้นเริ่มแสดงออกแล้ว ส่วนคู่คุณแซนรอท.ทำนายนะคะ :katai2-1:

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
ค่อยๆคิดไปนะ เชื่อว่าแม่ต้องเข้าใจ

ออฟไลน์ ้hideyuki74

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :-[ :-[ อยากอ่านคู่แซนด้วยค่า รอค่าาาา

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ก็คิดแล้ว  เรื่องระหว่างคุณพี กันแซน
คุณพี ตามตืดแซนเกินว่าที่พี่เขย แต่ไหนแต่ไร
อยากอ่านพาร์ คุณพี แซน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ซัน อ้น ก็ยังไม่คืบหน้า  :z3: :z3: :z3:
อยากให้สองคนเข้าใจกันซะที  :ling1:
ตรัส เท็ต   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ narongyut

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
 :-[ คิดถึง อ้น กับ ซัน ครับ

ออฟไลน์ AgotoZ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
รอออออออออออออออออออออออออ

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 15

          รอยฟกช้ำภายนอกจากอุบัติเหตุน่าอับอายลบเลือนจนเกือบจางหายไป หลงเหลือก็แต่บาดแผลภายในที่ต้องอาศัยหยูกยาหลายขนานที่ได้รับตามใบสั่งแพทย์ คุณหมอกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่าถ้ามีอาการผิดปกติให้รีบกลับมาตรวจซ้ำ ส่วนอาการอื่น ๆ นั้นคงไม่จำเป็นต้องนัดหมายกันอีกในครั้งหน้า

          ผมยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับทางออกของปัญหาใหญ่ที่ศาสตราวุธฝากไว้ให้แก้ไขก่อนจะเดินทางกลับพร้อมรอยชื้นที่หางตา บางทีอุปสรรคความรักของตัวเองที่คิดว่าหนักหนาก็ยังไม่อาจเทียบได้กับขวากหนามของคนอื่นรอบตัว หลังจากวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดแล้วมีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือคุณแม่ไม่ใช่คนที่จะเห็นอนาคตของลูกเป็นเรื่องล้อเล่น แต่คำสัญญาท่านก็ยึดมั่นถือมั่นเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ซึ่งคนเดียวที่จะเป็นประตูฉุกเฉินของเขาวงกตคลุมถุงชนครั้งนี้เห็นจะเป็นรพีพิชญ์เท่านั้น ผมไม่รู้ว่าน้องสาวของคุณพีระมิดรู้สึกอย่างไรกับน้องชายของผม ก็ได้แต่หวังว่าพิชญ์เองก็ไม่เคยมีใจให้กับไอ้แซนเหมือนกัน

          “เป็นอะไร ทำไมคิ้วขมวดแบบนั้น” เปมทัตเข้ามาขัดจังหวะความคิดในขณะที่ผมกำลังกรอกชื่อบัญชีใส่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตรงโต๊ะยาวหน้าบ้านตามลำพัง ถาดอาหารเย็นถูกนำมาวางสักพักใหญ่แล้วก่อนที่คนขยันจะเดินกลับมาพร้อมเหงื่อกาฬผุดผาดบนหน้าผากได้รูป “ช่วยไหม”

          “อาบน้ำทานข้าวก่อน คุณยายขวัญทำเสร็จนานแล้ว” เปมยืนพินิจหน้าจอครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังไปอาบน้ำอย่างที่ผมชี้นำ แต่เพราะสายตาเหลือบไปเห็นหญ้าเจ้าชู้ที่ติดชายเสื้อยืดเนื้อดีทำให้ผมต้องเอื้อมไปรั้งข้อมือเขาไว้แล้วค่อย ๆ หยิบออกให้ด้วยกลัวว่ามันจะฝากแผลไว้ที่ปลายนิ้ว เมื่อหนามแหลมคมถูกดึงออกจนหมดผมจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสื้อที่กำลังมองตอบมาด้วยสายตาอ่านยาก

          “ไปทำอะไรที่สวนไม้ดอกมาอีกแล้วใช่ไหม”

          “แค่เอากาแฟไปให้พี่เสือ” ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้และไม่อยากต่อความ คาดหวังให้เขารีบไปอาบน้ำก่อนอาหารจะเย็นชืดไม่อร่อย แต่คนรับสารกลับไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อแถมยังจ้องหน้าตาไม่กะพริบจนผมเสียสมาธิ “มีอะไรติดหน้าฉันหรือเปล่า”

          “ไม่มี...” ปากตอบอย่างนั้นแต่การที่เปมทัตใช้หลังมือปัดผ่านเบา ๆ ที่ข้างแก้มบอกกับผมว่าคำพูดและการกระทำช่างสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง “คือว่าวันก่อนฉันใช้มือเปล่าดึงวัชพืชที่แปลงดอกบลูซันเวีย ทีแรกคิดว่าเป็นพันธุ์เดียวกันเพราะตรงนั้นมีหญ้าหนวดเสือเต็มไปหมด จนพี่เมฆทักว่ามันเป็นวัชพืชฉันก็เลยอาสาจัดการให้ แต่วันนั้นถุงมือที่โรงเก็บของไม่เหลือสักคู่ผลก็เลยเป็นแบบนี้” เขาแบมือให้เห็นริ้วแผลแดงช้ำบนฝ่ามือที่เคยอ่อนนุ่มไร้รอยขีดข่วน ไม่มีคำพูดใด ๆ ในหัวของผมเลยนอกจากคำสบถ ผมกำลังพาตัวเองไปยืนในจุดที่สามารถโดนฟ้องจากท่านทูตได้อย่างง่ายดายด้วยกฏหมายคุ้มครองแรงงาน แม้ลูกจ้างคนนี้จะดื้อรั้นทำตัวเองทั้งนั้นก็ตาม

          “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก ไม่ใช่หน้าที่” ผมวางเอกสารในมือก่อนหันไปสบตาด้วยหวังว่าเขาจะฟังที่ผมพูดบ้าง เคยกำชับแล้วแท้ ๆ ว่างานกลางแจ้งปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสามทหาร ส่วนเขาจัดการในส่วนร้านของฝากกับคาเฟ่ก็พอแล้ว

          “ทำแผลหรือยัง” เขาส่ายหน้า “ไปอาบน้ำ เดี๋ยวทายาให้”

          “แต่ฉัน...ไม่ได้สระผมมาหลายวันแล้ว” ผมเลิกคิ้ว มองไปยังปลายผมที่ขมวดเป็นปมยุ่ง ๆ ที่ท้ายทอยด้วยความไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับแผลที่มืออย่างไร แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายก็กระจ่างใจตามนิสัยคนมือบอนเหมือนกัน “มันเจ็บ”

          “พาไปสระที่ร้านเอาไหม” ผมถามกลับภาษาซื่อ

          “ฉันไม่ชอบให้คนแปลกหน้าจับผม”

          “แล้วเปมจะรอจนกว่าแผลสมานอย่างนั้นหรือ”

          “ซันสระให้หน่อยได้ไหม” สาบานได้ว่าผมไม่ได้ตกใจจนเผลอทำตาโต แค่นั่งนิ่งไปเพราะไม่คิดว่าคนอย่างเปมทัตจะร้องขอในสิ่งที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่ทางศีลธรรม “แค่สระผม ฉันจะไม่ถอดเสื้อผ้าเลยสักชิ้นถ้าซันไม่สบายใจ ฉันแค่อยากสระผมจริง ๆ” ผมกระแอมไอ เกรงว่าความรู้สึกของผมจะไม่ใช่อาการไม่สบายใจแต่เป็นอย่างอื่นเสียมากกว่า

          “ไม่เป็นไร เปมอาบน้ำก่อนเดี๋ยวฉันตามไป” พยายามแล้วที่จะบังคับสุ้มเสียงไม่ให้สั่นจนคนฟังจับได้ว่าผมกำลังตกประหม่ายิ่งกว่าสัมภาษณ์งาน เมื่อเปมทัตก้าวเข้าบ้านผมถึงผ่อนลมหายใจที่ไม่รู้ว่ากลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจยิ่งกว่าจะดึงดูดความสนใจของผมไปทั้งหมด

          เจ้านอฟกับเรย์กำลังเดินยิ้มแป้นมาจนถึงปลายบันไดพร้อมด้วยถ้วยเซรามิกในมือ “อะแฮ่ม”

          “เรารู้จักกันด้วยหรือ” คือคำทักทายที่สวยหรูที่สุดเท่าที่ผมพอจะให้เจ้านอฟได้หลังรับไหว้ ส่วนหลานของคุณยายขวัญเรือนส่งข้อความมาบ่อย ๆ ว่าเรียนหนักบ้างการบ้านเยอะบ้าง ผิดกับอีกคนที่หายเข้ากลีบเมฆพร้อมคำสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน เดาว่าเจ้าเด็กเดือนพฤศจิกายนคงตั้งใจเกินไปจนหลงลืมสิ่งอื่น

          “โธ่พี่ซัน อาจารย์สั่งงานกองใหญ่เท่าภูเขาเอเวอร์เรสเชียวนะครับ ผมไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย นี่ ผมเอาขนมอินทนิลสูตรพิเศษมาง้อพี่ซันด้วย หายโกรธเถอะนะครับ”

          “ใช่หรือ ไม่ใช่คุณยายฝากมาหรอกหรือ”

          “รู้ทันตลอด” ผมหัวเราะหึมองเครื่องปั้นลายน้ำทองที่ถูกวางลงข้างถาดอาหาร “ยังไม่ทานข้าวอีกหรือครับ ยายให้คนเอามาให้ตั้งนานแล้วนี่”

          “รอคนดังของฟาร์มเขามาทานพร้อมกัน เพิ่งปลีกตัวกลับมาอาบน้ำได้”

          “ผมก็เพิ่งเดินสวนกับพวกสามทหารที่รั้วด้านหน้า ว่าแต่แค่คุยกันทำไมพี่ซันกับพี่อ้นต้องจับไม้จับมือกันด้วยล่ะครับ เมื่อกี้ผมเห็นนะ” ทุกอย่างไม่เคยรอดพ้นคนหูตาไว เรย์ก็เอาแต่ยืนยิ้มมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ปล่อยให้เจ้านอฟพูดอยู่ฝ่ายเดียว พูดมากเกินความจำเป็นเสียด้วย

          “แปลกมากหรือ นายกับเรย์ไม่เคยจับมือกันเลยหรือไง” เรย์ส่ายหน้ายิกก่อนรีบตอบจนลิ้นพัน

          “ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องจับนี่ครับ”

          “ความจำเป็นเขาใช้อะไรมาวัดพี่ก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ที่เห็นคือพี่อ้นของนายเขายื่นมือมาให้ดูแผลที่โดนหญ้าบาดเมื่อวันก่อนเท่านั้นเอง”

          “อ้าวแล้วไม่รีบทำแผลหรือครับ มีแอลกอฮอล์กับยาสามัญหรือเปล่า เดี๋ยวผมไปซื้อให้เอาไหม” นอฟเสนอตัว

          “ไม่เป็นไรขอบใจมาก ถ้าพี่เห็นก่อนก็คงรีบจัดการให้ตั้งแต่วันที่ได้แผล เคยเตือนหลายทีแล้วว่างานบางอย่างของที่นี่มันไม่เหมาะกับเขา แต่ก็ไม่เคยฟัง เด็กอย่างพวกนายยังพูดเตือนง่ายกว่าเสียอีก”

          “พี่อ้นคงคิดเหมือนผม ต่อให้เป็นสิ่งที่เกลียดที่สุดแต่ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ทำให้สบายใจก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย คับที่อยู่ง่ายคับใจอยู่ยากนะครับ”

          “แก่แดด” คนถูกตำหนิหัวเราะชอบใจก่อนหันไปมองคนข้างตัวที่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ลูบมือไปตามสันโต๊ะไม้แก้เก้อ “แล้วนี่กลับมากันกี่วัน เป็นวันหยุดยาวหรือเปล่า”

          “แค่อาทิตย์เดียวครับ อาจารย์ไปสัมมนา เอาไว้พรุ่งนี้พวกผมจะมาช่วยงานแต่เช้าแล้วกัน วันนี้พักผ่อนนะครับ ฝากบอกพี่อ้นด้วยว่าหายไว ๆ แล้วอย่าไปทำอะไรที่แปลงดอกไม้บ่อย ๆ เพราะอากาศกึ่งร้อนกึ่งฝนแบบนี้เริ่มมีแมลงชุม”

          “พี่จะลองขู่ดูแต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า ฝากขอบคุณคุณยายขวัญสำหรับขนมด้วย เดี๋ยวพี่เอาถ้วยชามกลับไปเก็บที่ครัวเอง แล้วพวกนายมากันยังไงให้พี่ไปส่งไหม”

          “ไม่เป็นไรครับ ได้ข่าวว่าจักรยานของผมโดนพี่อ้นยึดไปแล้วก็เลยเอาอีกคันของเรย์มาใช้แทน”

          “กลับดี ๆ แล้วกัน อย่าไปท้าแข่งกับพวกแก๊งบิกไบค์” ได้ยินเสียงหัวเราะส่งท้ายพร้อมการประนมมือไหว้ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่บรรยากาศระหว่างเด็กสองคนนี้เปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่ได้พบ

          ประโยคพึมพำของเปมทัตทำให้ผมชะงักมือที่กำลังวางคอมพิวเตอร์ลงบนปลายเตียง จากเนื้อเสียงที่ลอยเข้าหูแม้จะผะแผ่วแต่ก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่าไม่ใช่บุพการีทั้งสองท่าน ตั้งใจจะเงี่ยหูฟังเงียบ ๆ เพราะอยากรู้ว่าเปมกำลังคุยอะไรกับเพื่อนคนไหน ซึ่งถ้าเป็นไอ้คุณชายผมจะได้ฝากถามไถ่ว่าเตรียมงานใหญ่ไปถึงไหนแล้ว แต่สุดท้ายคำสร้อยที่แทรกเสริมนำหน้าชื่อนั้นได้เฉลยข้อสงสัยไปพร้อมกับสร้างความตกตะลึง

          “สัดตรัส เพราะสันดานแบบนี้หรือเปล่าเท็ตมันถึงตกหลุมพรางเอาง่าย ๆ” ไตร่ตรองจากคลื่นอารมณ์สงครามน้ำลายคงไม่น่าจะเพิ่งเริ่มต้น ไม่อย่างนั้นเปมคงได้ยินเสียงแขกมัธยมปลายผู้มาเยือนและเดินกลับออกไปทักทายตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

          ผมไม่ปล่อยให้อาการตื่นตะหนกครอบงำนานนัก เดินลากเท้าไปยืนระหว่างกรอบประตูห้องน้ำที่แง้มกว้างจนแสงสว่างลอดผ่าน ยืนรออยู่เงียบ ๆ จนกว่าเขาจะรู้ตัวว่าผมได้ยินบทสนทนาแสลงหูที่ฟังอย่างไรก็ไม่เข้ากับหน้าหวาน ๆ นั่นเลยสักนิด

          “กูไม่เคยฝืนใจใคร ค่อยเป็นค่อยไปอย่างทุกวันนี้โดยที่เขาไม่ไล่กูไปจากชีวิตก็ดีแค่ไหนแล้ว” เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองอาจถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคารมเกรี้ยวกราดที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าเปมทัตก็โกรธเป็น ผมจึงเคาะประตูเบา ๆ สองสามทีก่อนที่เขาจะเผลอหลุดปากอะไรที่ทำให้เรามองหน้ากันไม่ติด

          “ซัน...มานานแล้วหรือ”

          “นานพอที่จะได้ยินที่นายคุยกับตรัส” เขาอ้ำอึ้งก่อนจะหันหลังกลับไปกระซิบกระซาบกับปลายสาย เดินเอาโทรศัพท์ไปวางไว้ข้างอ่างล้างหน้าแล้วหันมาสบตาอย่างคนที่ต้องการจะเปิดใจ

          “ซันได้ยินตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า”

          “ถ้าเข้ามาทันฉันจะได้ยินอะไร” เปมทัตดูสับสนและโล่งอกในคราวเดียวก่อนบอกปัดแล้วหันหนีไปให้ความสนใจกับเก้าอี้ไม้ที่เขาคงยกมาจากหลังบ้าน เสื้อยืดสีเทาถูกถอดออกเหลือไว้เพียงยีนส์ตัวเก่งก่อนนั่งลงพร้อมส่งขวดแชมพูมาให้ ผมเผลอยื่นมือไปรับโดยไม่ทันได้ตริตรองว่าเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่เมื่อครู่นั้นควรจะปล่อยให้มันค้างคาหรือเค้นหาความจริงจากปากคนตีเนียน ผมเลือกอย่างแรก

          “ถ้าอาบน้ำเองได้แล้วทำไมถึงสระผมเองไม่ได้”

          “ถ้าไม่รังเกียจจะอาบน้ำให้ฉันด้วยก็ได้ ฉันจะซาบซึ้งน้ำใจของซันมาก ๆ เลย” เขาเอียงคอมองลอดเส้นผมที่ปลกตาย้อนความด้วยกระแสเสียงเรื่อยเฉือยเหมือนขอยืมโทรศัพท์โทรกลับบ้าน ถ้าก้าวผ่านสถานการณ์ฉุกเฉินตอนนี้ไปได้คนแรกที่ผมจะสังคายนาก็คือไอ้ตรัส...ไอ้นกสองหัว

          “ทำไมซันมือเย็น”

          “อากาศเย็น”

          “แต่มือฉันร้อนนะ”

          “ก็เพราะเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ไม่ใช่หรือไง” รอยยิ้มมุมปากที่สะท้อนชัดเจนในกระจกทำเอาผมเสียศูนย์ได้ไม่ยาก ผมไม่เคยรวนใส่ใคร ทุกคนรอบกายรู้ดีว่าผมเป็นคนมีเหตุผลมากเกินกว่าจะต่อปากต่อคำ กับเท็ตอาจมีบ้างเพราะหมอนั่นชอบทำตัวไม่ต่างจากเด็กไม่รู้จักโต ให้ความรู้สึกเหมือนมีน้องชายเพิ่มมาอีกคน แต่กับเจ้าของสายตาที่มองสบมาผ่านเงาสะท้อนคู่นั้นไม่ใกล้เคียงกับการเป็นพี่น้องกันเลยสักนิด

          “อาบด้วยกันไหม”

          “ไม่”

          “อุณหภูมิน้ำกำลังอุ่นสบาย ไม่เปลี่ยนใจหรือ” ผมแกล้งลงน้ำหนักแรง ๆ ที่หลังใบหูจนคนที่เอาแต่พูดก่อกวนมุ่นคิ้ว รอยยิ้มบางยังไม่จางไปผมก็ได้แต่ทำใจว่าเขายังอารมณ์ดีที่มีโอกาสออกอุบายไหว้วานผมบ้างหลังจากถูกใช้แรงงานหนักมาแรมเดือน

          “เหนื่อยหรือเปล่า”

          “ไม่หรอก วันนี้ลูกค้าไม่มากเท่าไหร่”

          “ฉันหมายถึงที่ผ่านมางานหนักเกินไปหรือเปล่า อยากให้รับคนเพิ่มไหม หรือถ้าคุณประภัสสรมีงานอื่นรองรับเปมกลับไปได้เสมอนะ ไม่ต้องเป็นห่วงที่นี่” จบคำพูดที่กลั่นกรองอย่างดีแล้วเปมทัตก็หุนหันคว้าข้อมือของผมที่กำลังคลึงเบา ๆ ที่ขมับไปกำแน่น ผมไม่มีเจตนาจะขัดขืนอยู่แล้วเขาจึงผ่อนแรงลงเหลือเพียงกุมมือผมไว้หลวม ๆ

          “ซันยังไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม” เขาผ่อนลมหายใจก่อนจะหันมาสบตากันโดยปราศจากกระจกเป็นสื่อกลาง สีหน้าไม่ถึงกับขัดเคืองแต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมฉุกใจถึงประโยคที่เคยพูดเตือนสติให้กับทัศนัย

          ‘คิดเยอะ ๆ นะเท็ต ถ้ายังคิดไม่ตกก็คิดใหม่ ถามใจตัวเองบ่อย ๆ แล้วเท็ตจะรู้เอง’ เรื่องของคนอื่นกลับปากดีแต่พอเป็นเรื่องของตัวเองผมกลับขี้ขลาดที่จะยอมรับว่าทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ แต่จะเปลี่ยนไปยังทิศทางใดนั้นคงต้องปล่อยให้อนาคตช่วยตัดสิน

          “ฉันกำลังทำความเข้าใจ ขอเวลาอีกหน่อยแล้วกัน ที่เหลือจัดการเองนะ ฉันจะรอทานข้าวที่หน้าบ้าน”

          ผมถือโอกาสระหว่างรอคนร่วมโต๊ะอาหารทำธุระในห้องน้ำให้เรียบร้อยเพื่อโทรสำเร็จโทษคนที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมก้อร่อก้อติกเมื่อครู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้อ้นคนดีของเพื่อน ๆ ไม่เคยพูดจาเกี้ยวพานใครมาก่อน ดังนั้นลืมไปได้เลยที่จะเห็นทายาทตระกูลพิรัตน์ไพศาลชวนคนอื่นอาบน้ำหน้าตาเฉย

          “เมื่อกี้มึงคุยอะไรกับเปม” ไอ้คุณชายมันรับสายทันที

          (( อยู่ด้วยกัน คุยกันเองไม่ง่ายกว่าหรือ ))

          “ถ้าเปมยอมเล่าดี ๆ แล้วกูจะโทรหามึงทำไม มึงโทรคุยกันแบบนั้นบ่อยแค่ไหน”

          (( แบบไหน คงไม่หลงเปมจนหน้ามืดแล้วพาลหาเรื่องกูหรอกใช่ไหม ))

          “กูไม่ได้พูดถึงที่พวกมึงแอบคุยโทรศัพท์กันลับหลัง กูหมายถึงคำสบถ แต่ก็ไม่เถียงหรอกว่าได้ยินเปมเรียกมึงด้วยชื่อเต็มแล้วมันลื่นหูดีชะมัด”

          (( ชื่อเต็มอะไร เรียกตอนไหน ))

          “สัดตรัสไง” ผมเน้นพยางค์แรกจนปลายสายหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนที่ผมจะปรับน้ำเสียง “ถามจริง เปมคุยแบบนี้กับมึงมาตลอดหรือ”

          (( เฉพาะตอนที่โดนกูแกล้งยวนใส่ให้หงุดหงิด ต่อหน้ามึงอ้นมันก็คงอยากเป็นสุภาพบุรุษเหมือนอย่างที่มึงวาดภาพเอาไว้ อย่าตีกรอบใครด้วยสิ่งฉาบฉวยภายนอกอีกเลยซัน ความเรียบนิ่งเหมือนสายน้ำในวันไร้ลมที่มึงเห็นมาตลอดก็เหมือนกัน ไม่มีใครสัมผัสได้หรอกว่าลึกลงไปอาจมีคลื่นระลอกใหญ่ซ่อนอยู่ ))

          “สำบัดสำนวน”

          (( แค่อยากเตือน อยากเห็นมันโหมดไหนก็เลือกเอาเองตามใจกูบอกได้แค่นี้ โทษทีซันกูมีประชุมต่อ ว่างเมื่อไหร่แล้วจะโทรกลับ ))

          “ห้ามลืม ถ้าลืมกูตามถึงหน้าประตูห้องท่านประธานแน่”

          (( เมื่อก่อนไม่เคยเห็นรบเร้าเอาแต่ใจ มึงเปลี่ยนไปมากนะ )) ตั้งท่าจะโต้กลับด้วยประโยคหวานหูก็มีอันต้องกลืนคำผุรสวาทลงคอเพราะคุณชายมันตัดสายไปก่อน และเปมทัตก็กำลังเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารพร้อมผมเผ้าที่ยังเปียกชื้น กล่องปฐมพยาบาลถูกนำมาวางไว้ก่อนแล้วผมจึงเอ่ยปากขอมือคนดื้อดึงมาทำแผลให้เรียบร้อยก่อนเริ่มทานมื้อเย็น

          “โทรหาตรัสหรือ”

          “ใช่ทำไม กลัวฉันรู้อะไร”

          “เปล่าแค่ถามดู ความจริงซันอยากรู้อะไรถามจากฉันโดยตรงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรับฟังผ่านคนอื่น”

          “ตรัสมันคนอื่นที่ไหน คนกันเอง เพื่อนกันทั้งนั้น”

          “ฉันไม่ได้เป็นแค่เพื่อน และเรื่องที่ซันอยากรู้...ถึงเป็นตรัสก็บอกไม่ได้” ก้านสำลีชุ่มเบตาดีนเกือบหล่นลงพื้น มีอยู่แค่สองมือเหมือนเดิมแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ ขึ้นมากะทันหัน ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย มันทำให้ผมไม่มีสมาธิคิดอะไรไม่ออกเหมือนคอมพิวเตอร์แรมต่ำยุคระบบปฏิบัติการดอส

          “พรุ่งนี้เปมไม่ต้องทำงาน ฉันจะอยู่ร้านของฝากเอง”

          “หายดีแล้วแน่หรือ หมอยังเตือนบ่อย ๆ เรื่องห้ามยืนนาน”

          “ไม่เป็นไร ช่วงว่าง ๆ จะเอาโปรแกรมบัญชีไปนั่งทำที่นั่นด้วย” ไม่ใช่การร้องขอแต่เป็นคำสั่ง เขาคงพิเคราะห์ได้จากน้ำเสียงซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนเรื่องคุยที่แนบเนียนที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยมีประสบการณ์ และดูเหมือนเปมทัตจะไม่ระแคะระคายเลยสักนิด

          “บอกตรัสแล้วหรือยังว่าซันจะไปงานรับตำแหน่ง”

          “ยัง เพื่อนเปม เปมบอกเอง” เมื่อมองผลงานบนฝ่ามือที่ตอนนี้เต็มไปด้วยริ้วสีเหลืองอมส้มอย่างพึงพอใจแล้วจึงเดินเอาสำลีไปทิ้งก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็นจริง ๆ สักที

          “ใครเอาขนมมาให้ ก่อนอาบน้ำยังไม่มี”

          “คุณยายขวัญฝากเจ้านอฟกับเรย์ยกมา ขนมอินทนิล”

          “กลับมากันแล้วหรือ”

          “หยุดหนึ่งสัปดาห์ โชคดีเหมือนกันนะ อาทิตย์หน้าว่าจะขอแรงเด็กสองคนนั้นให้ช่วยเป็นลูกมือสามทหารระหว่างที่เราไม่อยู่ อย่างน้อยเรย์ก็ทำแทนได้ทุกร้าน” เขาพยักหน้า เส้นผมที่เริ่มแห้งสนิทปลิวสลวยไปตามแรงลม ผมเผลอจ้องมองนานจนเจ้าของที่กำลังตักอาหารรู้ตัว

          “ที่ซันถามในห้องน้ำว่าฉันเหนื่อยหรือเปล่า ฉันไม่เหนื่อย ฉันทำได้ทุกอย่างแค่ซันเอ่ยปากแต่ขอแค่อย่างเดียว ถือว่าเป็นการอ้อนวอนก็ได้ อย่าพูดจาทำร้ายน้ำใจกันอีกเลย เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องที่ซันไม่ร้องขอฉันก็จะทำเหมือนกัน” ผมชะงักมือที่กำลังใช้ส้อมเขี่ยอาหารในจานโดยไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร แต่ก็อดเฉลียวใจถึงคำพูดของไอ้ตรัสไม่ได้

          ‘ความเรียบนิ่งเหมือนสายน้ำในวันไร้ลม ลึกลงไปอาจจะมีคลื่นระลอกใหญ่ซ่อนอยู่’

          วันนี้ฝนตั้งเค้าแต่เช้า ผมหอบหิ้วสมุดบัญชีที่ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำหมึกติดมือมาก่อนจะเริ่มกรอกข้อมูลจำเป็นไปพลางระหว่างรอลูกค้า แม้เสียงกระดิ่งเหนือประตูจะดังไม่บ่อยเท่าวันที่เปมทัตยืนประจำที่เคาน์เตอร์แต่ผมก็ยังดีใจที่ได้ยินคำทักทายเป็นระยะจากลูกค้าประจำ

          “คุณซันหายดีแล้วหรือ” พี่ยักษ์ที่ถือถุงอาหารกระต่ายกำลังจะเดินผ่านหน้าร้านไป เป็นอันต้องหันกลับมามองอีกหนอย่างแปลกใจด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง

          “ครับพี่ แค่นี้สบายมาก ไม่เจอยี่หวาหลายวัน วันนี้น้องไปโรงเรียนหรือเปล่าครับ”

          “ไป ๆ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะพามาแต่เช้า หวาเองก็เอาแต่พูดถึงคุณซัน ซันซันอย่างนั้นซันซันอย่างนี้ ยกให้เป็นลูกบุญธรรมเสียดีไหม” ผมหัวเราะ “จะยินดีมากเลยครับ”

          “ตั้งแต่เจ้าโอนิกซ์วิ่งเตลิดไปจนขาเจ็บเหมือนคุณซันก็ได้คุณอ้นนี่แหละช่วยทุ่นแรง ไม่อย่างนั้นคงวุ่นวายกันไปหมด ถือว่าฟาดเคราะห์แล้วกันนะครับ หลังจากนี้ผมจะระมัดระวังเรื่องสัตว์ไม่พึงประสงค์ให้มากกว่านี้ ดีที่มันไม่ทันเลื้อยเข้ากรงสัตว์เล็กไม่อย่างนั้นผมต้องรู้สึกผิดมากแน่ ๆ”

          “โอนิกซ์ขาเจ็บด้วยหรือครับ ไม่มีใครบอกผมเลย”

          “เจ็บหนักเลยล่ะ มันวิ่งไปเหยียบตอไม้จนเกือบล้ม ผมเป็นคนโทรตามสัตวแพทย์ที่เคยดูแลม้าตัวเก่า ๆ ของนายฝรั่ง เขาฉีดยาให้แล้วยังเทียวไปเทียวมาอยู่หลายวัน คุณอ้นเขาคงไม่อยากให้คุณกังวลเพราะตัวคุณเองก็เจ็บไม่น้อย ผมขอตัวไปจัดการกรงกระต่ายก่อนแล้วกัน อย่าฝืนยืนนานนักเดี๋ยวจะแย่กันไปใหญ่”

          “ครับ ขอบคุณมากครับ”

          ผืนเมฆมืดฟ้ามัวดินลอยผ่านไปโดยไม่กลั่นลงมาเป็นเม็ดฝนเลยสักหยดตลอดวันผมจึงชะล่าใจเดินลอยชายไปยังริมคลองหลังจากปิดร้านทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นเปมทัตเองก็นั่งอยู่ที่แคร่ไม้ประจำตำแหน่งของผมกับเจ้านอฟ

          “บอกให้พักอยู่ที่ห้องไม่ใช่หรือ”

          “ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่” ผมนั่งลงข้าง ๆ พร้อมขอแบ่งก้อนกรวดเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือของเขา “แต่กางเกงเปมมีเศษหญ้าแห้งติดอยู่นะ” เขาก้มมองหลักฐานคาตาที่ดูอย่างไรก็รู้ว่ารั้นไปช่วยงานที่คอกม้ามาอีกแล้ว

          “โดนจับได้อีกแล้วสิ” เราไม่พูดอะไรกันอีกแค่ผลัดกันโยนก้อนกรวดลงน้ำในเวลาที่แม้แต่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ก็มองไม่เห็นเพราะโดนเมฆฝนบดบังไว้จนหมด

          “ทำไมไม่บอกเรื่องโอนิกซ์เจ็บ”

          “อืม...เรื่องนี้ก็โดนจับได้ด้วย ใครเล่าให้ฟัง”

          “พี่ยักษ์” ผมยังจ้องหน้ารอคำตอบเขาจึงถอนใจก่อนยิ้มบางแล้วยอมเปิดปากอย่างเสียไม่ได้ “ฉันกลัวซันกังวลแล้วฝืนไปทำงานทั้งที่ขายังไม่หายดี”

          “ฉันเป็นเจ้าของ ฉันควรรับรู้ ปกปิดกันแบบนี้ไม่ดีเลยเปม แล้วไหนจะเรื่องสัตวแพทย์อีก”

          “นี่ไง เพราะซันจริงจังกับทุกเรื่องแบบนี้ไงฉันถึงไม่สบายใจ เหมือนวางแผนชีวิตเอาไว้อย่างเฉียบขาดจนไม่อาจมีอะไรไปแทรกแซงได้เลยแม้แต่อุบัติเหตุสุดวิสัย มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าการที่ฉันปรากฏตัวโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้ามันทำให้ฉันกลายเป็นส่วนเกินในชีวิตของซันหรือเปล่า” ผมกำลังจะเอ่ยปากอธิบายแต่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัด และหน้าจอบ่งชัดถึงชื่อคนที่โทรมาผิดเวลา ไม่ใช่ตรัสแต่เป็น...น้องฐา

          “ทำไมไม่รับ” ผมกดปิดเสียงเตือนจนเงียบสนิท “ไม่อยากคุยตรงนี้”

          “ฉันไปก็ได้” เปมกำลังจะลุกขึ้นยืนพร้อมสายลมโชยพัดผ่าน ชั่วพริบตาหยาดฝนก็โหมกระหน่ำลงมาจนเกือบลืมตาไม่ขึ้นเหมือนจะช่วยชะล้างความรู้สึกอึดอัดอักอ่วน

          เราเลือกที่หลบฝนเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ที่ผมเคยใช้พักพิงระหว่างรอบ้านสร้างเสร็จตั้งแต่ย้ายมาใหม่ ๆ เพราะถ้าให้วิ่งกลับไปจนถึงบ้านคงเปียกโชกเสี่ยงจับไข้ แคร่ไม้ไผ่ที่ผมเคยใช้ต่างเตียงนอนถูกนำออกไปตั้งไว้ที่ริมธาร เหลือไว้ก็แต่เพียงกล่องกรอบรูปใบโตที่ผมยกขึ้นรถติดมือมาจากบ้านใหญ่ กุญแจยังถูกสลักไว้แน่นหนาเฉกเช่นเดิม แต่เพราะผมลืมไปแล้วว่ามันยังซ่อนอยู่ที่นี่ผมจึงเผลออุทานให้คนที่ยืนอยู่ด้วยกันหันมามองด้วยความสงสัย

          “กล่องอะไร”

          “ไม่มีอะไร” ผมตอบทันควัน เปมไม่เชื่อแน่เพราะเขาย่อตัวลงหน้ากล่องแล้วขยับกุญแจรหัสดังกุกกัก ผมเริ่มใจไม่ดีเพราะเปมทัตค่อนข้างเก่งเรื่องอ่านสีหน้าคู่สนทนา เขาคงรู้ทันทีว่าผมมีเรื่องปิดบังและการหาทางออกของเขาคือการไขความลับให้แจ้งแก่ใจ ผมเหลือบมองเห็นว่าเขาใช้วันเกิดของผมเป็นตัวเลือกแรกของรหัสทั้งหมดหกตัวซึ่งมันไม่ใช่ ก่อนใช้วันเกิดของแม่และพ่อตามลำดับก็ยังไม่ถูกต้อง ก่อนที่เขาจะหันมามองหน้าผมแล้วลองหมุนเป็นวันเดือนปีเกิดของตัวเขาเอง กุญแจถูกปลดดังกริ๊ก

          รู้อย่างนี้ตั้งรหัสเดายากกว่านี้เสียก็ดีหรอก

▩▩▩
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2018 23:58:11 โดย Lipstick_Murder »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew2:
รอซ้นใจอ่อนนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
รอออออ บรรยากาศมุ้งมิ้งปนหม่นๆเนอะ

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ซันเอ๋ยยยยยยยย งานเข้าแล้วจ้าาาาาาา :mew3:

ออฟไลน์ Raam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หือออ อยากอ่านต่อแล้วอ่าา มาต่อเถอะนะค้าา รอเป็นเดือนแล้วน้าา :ling1:

ออฟไลน์ narongyut

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
คิดถึงแล้วครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ arissara

  • ดาดาเดเด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
อยากอ่านคู่นั้นด้วยยย โอ้ยยย สนุก เหมือนบทบาทคุณชายหน้าหวานจะเปลี่ยนไปเลยนะ5555 อยากเห็นพายุในลมนิ่ง

ออฟไลน์ Luxfern

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ยังรออยู่นะคะ ฮืออ คิดถึงจัง

ออฟไลน์ byeenn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แวะมาอ่านอีกรอบ เหมือนอะไรๆกำลังจะดีขึ้นน้า

ออฟไลน์ arissara

  • ดาดาเดเด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Raam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รออยู่นะค่ะ รีบมาต่อเร็วววว อยากอ่านแล้ววว :z10: :z3:

ออฟไลน์ Lipstick_Murder

  • มฤคระเริง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-3
ทฤษฎี : บทที่ 16

          ภาพในกรอบไม้ทั้งหมดถูกเปิดเผยแต่สายตาคนในรูป มุมปากที่หยักยิ้มเหมือนผู้ชนะพาลให้ผู้แพ้ที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาต้องคว้าขอบหน้าต่างเป็นตัวช่วยเพื่อพยุงกายหยาบให้ยังยืนหยัดอยู่ได้ แม้จิตวิญญาณจะทรุดกราวลงแทบเท้า

          “ตอนไปบ้านซันคราวก่อนแปลกใจอยู่เหมือนกันว่ารูปคู่ที่ซันอัดมาใส่กรอบติดไว้รอบห้องนอนหายไปไหนหมด ไม่คิดว่าจะมีมานะขนมาเก็บไว้ที่นี่”

          “ความจริง...” ไม่ได้ตั้งใจจะเอามาแต่ไม่เล่าดีกว่า ปล่อยให้เขาเข้าใจอย่างนั้นดีแล้วเพราะถึงอย่างไรผมก็ตัดใจทิ้งของสำคัญพวกนี้ไปไม่ได้ ทั้งกรอบรูปน้อยใหญ่ ของขวัญของฝากที่ได้มาจากคนตรงหน้า อัลบัมภาพจากงานพิเศษอย่างปีใหม่หรือวันเกิด หากแม่บ้านไม่เข้าใจผิดว่าเป็นกล่องของเหลือใช้แล้วนำมาวางไว้รอรถขยะที่หน้าบ้านละก็ ป่านนี้เจ้ากล่องฝุ่นเกรอะใบนี้ก็คงยังตั้งอยู่ในซอกหลืบไกลหัวใจที่มุมใดมุมหนึ่งในห้องนอน

          “ความจริงอะไร”

          “ไม่มีอะไร” เขาเงยหน้าขึ้นมองเหมือนไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ แค่เปิดอัลบัมรูปดูต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยอาการที่ตรงข้ามกับคนหัวเสียเพราะติดฝนโดยสิ้นเชิง แทนที่จะหงุดหงิดแต่กลับยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีและยังมีแก่ใจพลิกหันบางภาพมาให้ผมดูแล้วถามว่าจำตอนนั้นตอนนี้ได้ไหม ชวนให้บรรยากาศเก่า ๆ หวนคืนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง

          “ไม่ยักรู้ว่าซันล้างรูปตอนออกค่ายอาสาปีหนึ่งด้วย”

          “ช่วงนั้นคอมฯ รวนบ่อย กลัวว่ารูปในฮาร์ดดิสจะหายก็เลยคัดบางรูปล้างเก็บไว้” ผมตอบอย่างสัตย์ซื่อแต่เขากลับยอกย้อนด้วยความจริงที่เถียงไม่ออก

          “ตั้งใจคัดมา...แต่รูปฉัน” ผมหลบตาวูบ เสมองหยาดฝนที่ไม่มีทีท่าจะหยุดลงในระยะเวลาอันใกล้นี้ “รู้อะไรไหม ฉันดีใจนะที่ซันให้ความสำคัญกับฉันมาตลอด ถึงแม้ไม่เคยพูดหรือแสดงออกเลยสักครั้งแต่ฉันดีใจมากจริง ๆ ที่ยังมีซันอยู่เคียงข้างเสมอ และเพราะแบบนั้น...” เขาจัดวางทุกอย่างลงในกล่องตามเดิมก่อนปัดฝุ่นขากางเกงแล้วก้าวมายืนข้างกันที่กรอบหน้าต่าง “ตอนที่ซันหนีกลับมามันจึงเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมากเหลือเกิน”

          ผมไล่สายตาจากชายเสื้อเปื้อนหยากไย่ ป้ายแบรนด์เล็ก ๆ ที่อกขวา เส้นผมสีเข้มปรกระลำคอขาว ริมฝีปากที่เพิ่งเปิดเผยความลับที่อยากได้ยินสุดหัวใจ ก่อนสายตาของผมจะถูกตรึงไว้กับลูกแก้วสีอำพันที่อยู่ใกล้ชิดเสียจนสะท้อนให้เห็นใบหน้าตัวเอง

          “ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าถ้าชีวิตนี้ไม่มีซันจะเป็นยังไง ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการด้วยซ้ำ แต่ซัน...ซันกลับทิ้งฉันไว้โดยไม่บอกลาเลยซักคำ ใจร้ายชะมัด”

          “ฉันทิ้งโน้ตไว้”

          “ทำไมต้องเขียน ทำไมไม่บอกด้วยตัวเอง หรือกลัวจะเปลี่ยนใจ” เขาเอียงคอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงใช้คำว่าน่ารัก แต่กับภาพที่เห็นตอนนี้คงต้องเปลี่ยนบริบทบรรยายด้วยศัพท์ตรงกันข้าม เขาใช้สองนิ้วคีบกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์แล้วหยิบเศษกระดาษคุ้นตาใบหนึ่งที่มีลายมือของผมขีดเขียนอยู่เต็มไปหมด

          “วันนั้นฉันอยู่ที่ห้อง ได้ยินเสียงฝีเท้าแปลก ๆ ก็เลยยืนอยู่หลังประตูและมองดูผ่านตาแมวว่าคนที่เอาแต่ก้มหน้าแล้วเดินวนไปมาจะทำอย่างไรกับโน้ตใบนี้ ฉันคาดเดาไว้เพียงสองทางคือซันอาจเคาะเรียกแล้วยื่นให้กับมือ หรือแปะข้อความสำคัญไว้หน้าตู้จดหมายเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่ซันกลับ...” ผมเผลอยกมือขึ้นปิดปากคนที่เล่าเรื่องหน้าตาย แต่ใจคนฟังเหมือนจะหยุดเต้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังเฝ้ามองทุกอย่าง ถ้ารู้ก่อนผมคงบอกลาด้วยถ้อยคำแทนตัวอักษร

          ผมจดจำเรื่องราววันนั้นได้ดีเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ หลังจากจัดเตรียมข้าวของเพื่อย้ายกลับบ้านเกิดผมตัดสินใจเขียนคำลาลงบนโพสต์อิทใบเล็กสีสันสดใสทั้งที่จิตใจขุ่นมัวยิ่งกว่าน้ำครำ เนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้นน่าสับสนวกวนยิ่งกว่างูกินหาง จับใจความสำคัญอะไรไม่ได้เลยนอกจากตัดพ้อ พาดพิง โอดครวญถึงเรื่องราวต่าง ๆ เทียบเคียงได้กับภาวะอารมณ์ของผมในเวลานั้นที่รวนเรยิ่งกว่าพายุฤดูร้อน

          ผมยิ้มและร้องไห้ในชั่วพริบตาเดียว ก่อนเดินจากมาโดยไร้เสียงสะอื้น

          “น้ำตาของซันมันรบกวนความคิดของฉันจนไม่เป็นอันทำอะไร” เขายื้อมือของผมออกแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ ผมเลียริมฝีปากแห้งผากด้วยความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ ถูกโยนขึ้นฟ้าแล้วพาลงใต้น้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ฉันไม่เคยเห็นซันร้องไห้มาก่อน และสาบานได้ว่าชาตินี้จะไม่ขอเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง”

          “นั่นมันไม่ใช่...อย่างที่เปมเข้าใจ” แก้ต่างข้าง ๆ คู ๆ แม้แต่เด็กยังจับสำเนียงได้ว่าผมโกหก เขายืนยันว่าเห็นกับตาแต่ผมก็ยังยืนกรานว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ตั้งแต่จำความได้ผมไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นและหยาดน้ำตาที่เคยสัมผัสก็เป็นของไอ้แซนเสมอ เฉียบเย็นเป็นทางบนหัวไหล่บ้างหน้าตักบ้างในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน ฉะนั้นแล้วจะให้ผมยอมรับทั้งที่ยืนจ้องตากันอยู่อย่างนี้ บีบคอเค้นความแทนการย้ำถามยังง่ายเสียกว่า

          “จะฝุ่นเข้าตาหรือว่าแมลงบินผ่านอะไรก็ช่าง ฉันรู้ตัวดีว่าเห็นอะไร” ผมยังถือโน้ตแผ่นบางที่เขียนเองกับมือไว้แน่น และได้แต่เก็บความสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมเขาถึงยังเก็บเศษกระดาษไร้ค่าไว้ใกล้ตัว ขอหลงระเริงคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่าว่ามันเป็นเหตุผลเดียวกันกับการที่ผมไม่สามารถเปลี่ยนภาพหน้าจอโทรศัพท์

          “ขอคืนด้วย ซันกำจนยับหมดแล้ว”

          “เก็บไว้ทำไม”

          “ต้องมีเหตุผลด้วยหรือ”

          “ต้องมีสิ มันคือเศษกระดาษ และคนเราไม่เก็บเศษกระดาษ”

          “ยกเว้นกระดาษห่อหมากฝรั่งที่มีเบอร์ผู้หญิงที่ได้จากไนต์คลับ” เขาย้อน ผมยิ้ม

          “ฉันไม่เคยได้ไม่เคยเก็บ เรื่องพรรค์นี้ต้องถามแซน”

          “เรื่องพรรค์นี้...” เขาเลิกคิ้ว ผมไหวไหล่แล้วตอบ “เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ”

          “แล้วถ้าถามซันฉันต้องถามเรื่องอะไร เมื่อไหร่จะเลิกกับนิษฐาทั้งที่ไม่เคยมีใจอย่างนั้นหรือ” ตรงเกินไป ผมเม้มปากแล้วก้มมองกระดาษในมืออีกครั้งก่อนยื่นคืนให้ แต่เปมทัตไม่ได้คว้าคืนแค่กระดาษ เขากุมไว้ทั้งมือแล้วกะพริบตาช้า ๆ เหมือนกำลังอ่านใจ “เมื่อไหร่”

          เสียงฝนตกกระทบหลังคามุงจากช่วยกลบเสียงหัวใจที่ดังอื้ออึงในอก ไม่ใช่อึดอัดเพราะแรงกดดัน ไม่ใช่หวาดหวั่นที่จะสูญเสียเขาไปถ้าไม่ทำตามใจคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชายคนเดียว แต่ผมกำลังชั่งใจว่าความสุขสมหวังนั้นมันง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ แน่นอนว่าต้องมีใครสักคนที่เจ็บปวด แต่ทุกคนก็เคยเจ็บปวดกับความรัก ดังนั้นถ้าปล่อยให้เปมทัตรอต่อไปอีกหน่อยก็คงไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร แต่ผมจะไม่เลี้ยงไข้ความสัมพันธ์กระท่อนกระแท่นระหว่างผมกับน้องฐาอีกแล้ว และเปมเองก็จะได้ลิ้มรสการฝากใจโดยไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนเช่นกัน

          หลังจากฝากฝังนอฟและเรย์ให้ช่วยเป็นหูเป็นตาก็ออกเดินทางมาพร้อมกับความรู้สึกหลากหลาย ทั้งดีใจที่จะได้เจอเพื่อนและน้องชาย ตกประหม่าที่จะได้กลับเข้าสู่วงการหน้ากากรอยยิ้มมือถือสากปากถือศีลในงานเลี้ยงหรูหรา และวิตกกังวลกับภารกิจสุดท้ายของวัน...

          การเข้าร่วมงานใหญ่ของตรัสครั้งนี้ไม่มีปืนเพื่อให้ได้นก ผมไม่ขอมองว่าการนัดเจอกับนิษฐาหลังจบงานเลี้ยงเป็นเรื่องน่ายินดีและมีผลประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ผมจึงเลือกที่จะไม่บอกเปมทัตและจัดการความยุ่งเหยิงในแบบของตัวเอง

          คอนโดมิเนียมสองห้องนอนที่เราเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสมัยเรียนปริญญาตรียังมีสภาพเหมือนเดิมทุกส่วนสัดแม้แต่ความสะอาด กลิ่นอายและความทรงจำพรั่งพรูจนต้องหยุดยืนนิ่งเพื่อซึมซับความรู้สึกจาง ๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศ เปมทัตที่เดินนำไปแล้วยังต้องเหลียวหลังกลับมามอง รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้านั้นเศร้าสร้อยเกินกว่าจะเข้าใจได้ว่าเขามีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับสถานที่ของเรา

          สูทสากลทั้งของผมและเปมถูกนำไปซักรีดตามคำร้องขอที่ผมโทรแจ้งกับแม่บ้านไว้ล่วงหน้า แต่สุดท้ายก็ผิดแผนเมื่อเพื่อนร่วมเดินทางพาแวะห้องเสื้อเพื่อเลือกสรรชุดใหม่ทั้งหมดด้วยเหตุผลที่ไม่อาจทัดทาน ‘งานพิเศษของตรัสทั้งทีจะใส่ชุดเก่าได้ยังไง’

          โทนสีสูทของเราค่อนข้างแตกต่างแต่คนเจ้ากี้เจ้าการเขาพึงใจผมจึงไม่ได้โต้แย้งให้เสียบรรยากาศ ดีพเบจก็โอเคแต่ไลต์เกรย์ที่เขาเลือกมันดูจะเข้ากับผมมากกว่า หลังจากอาบน้ำอาบท่าเปมก็เดินกลับออกมาที่ห้องส่วนกลางด้วยผมเผ้าที่ยังเปียกหมาดโดยในมือของเขากำบางสิ่งไว้ก่อนนำมายื่นให้ ผมไม่ได้คิดอะไรตอนที่แบมือรับมา เกือบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเคยทำให้ผมนอนไม่หลับอยู่เป็นสัปดาห์

          “ยังเก็บคัฟลิงก์คู่นี้ไว้อีกหรือ”

          “เก็บไว้อย่างดี เป็นของขวัญวันเกิดที่ชอบที่สุดทั้งทีจะทิ้งขว้างได้ยังไง ติดให้หน่อย” เปมยื่นข้อมือออกมาข้างหนึ่งพร้อมคำร้องขอ มันเป็นแค่กระดุมข้อมือทรงกลมธรรมดาแท้ ๆ แต่กลับยกให้เป็นของขวัญชิ้นโปรด ถ้าบอกตั้งแต่ตอนให้เมื่อหลายปีก่อนผมคงจะตื้นตันใจมากกว่านี้เพราะมันค่อนข้างมีราคาสำหรับนักศึกษาปีสอง แต่ที่บอกว่าเครื่องประดับชิ้นนี้ทำให้คิดมากจนนอนไม่หลับไม่ใช่เพราะมูลค่า เพราะผมเลือกดีไซน์ที่เหมาะกับตัวเขาไม่ได้มากกว่า สุดท้ายก็เลือกชิ้นนี้มาเพราะมันเรียบง่ายไม่หวือหวาเหมือนความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของเรา

          “ถ้าชอบจะซื้อให้อีก” ยินดีคว้าข้อมือเขามากลัดให้อย่างเต็มใจ แต่ด้วยความชิดใกล้ทำให้ต้องหาเรื่องชวนคุยทำลายความเงียบ เขาลอบยิ้ม

          “เนื่องในโอกาสอะไร”

          “ถ้าไม่ใช่วันพิเศษ ของที่ฉันซื้อให้มันก็จะไม่พิเศษอย่างนั้นหรือ” ผมย้อนถามระหว่างสอดเกลียวทองคำขาวเป็นเงาวาววับสะท้อนแสงแดดยามเย็นที่ทอดผ่านกระจกระเบียงห้อง

          “กี่กะรัต” ถึงกับต้องกะพริบตาถี่ ๆ อย่างคนถูกจับได้ว่ามันไม่ใช่คิวบิกเซอร์โคเนียอย่างที่เคยปดไว้เนื่องจากไม่อยากให้คนรับรู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่สุดท้ายก็ปิดไม่มิดอยู่ดี

          “สองกะรัต ข้างละหนึ่ง ถามทำไม” ผมหยุดมือแล้วเงยหน้ามอง

          “สิ้นปลืองเปล่า ๆ ฉันดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่ใช่เพชรสังเคราะห์อย่างที่ซันบอก ให้เป็นพวกเวาเชอร์ร้านอาหาร สปา หรือว่าตั๋วหนังอย่างตอนม.ปลายก็พอแล้ว ไม่ก็สนีกเกอร์หรือเสื้อผ้าอย่างที่เคยซื้อให้คนอื่น”

          “สนีกเกอร์นอกจากเข้ายิมแล้วอย่างกับเปมเอามาใส่เล่นนักนี่ เห็นเก็บไว้ในตู้จนฝุ่นจับเต็มไปหมด ส่วนเวาเชอร์...ก็ไม่เคยชวนฉันสักครั้ง” เขายิ้มกว้างเหมือนเข้าใจอะไรมากขึ้น จะว่าเป็นน้ำจิตน้ำใจที่หวังผลก็ไม่ผิดนัก ช่วยไม่ได้ สมัยนั้นมันยังมีเหตุการณ์ให้คิดเข้าข้างตัวเองอยู่บ่อยครั้งก็เลยเผลอทำตามอำเภอใจไปบ้างเมื่อมีโอกาส

          “ฉันไม่กล้า ทำแบบนั้นก็เหมือนกับว่าฉันคืนของขวัญก็เลยส่งต่อพวกตั๋วหนังกับเวาเชอร์ร้านอาหารให้ตรัสไปชวนเท็ตแทน ส่วนสปาฉันให้คุณแม่”

          “พูดจริงหรือ”

          “ไม่ได้มีแค่ซันหรอกที่เป็นกองหนุนอยากให้คุณชายสมหวัง ติดให้เสร็จได้หรือยัง ถ้าไปสายแล้วโดนตรัสเขม่นก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน” ละสายตาจากใบหน้าที่ห่างเพียงคืบเพื่อเร่งมือก่อนจะถอยห่างออกมาเพื่อชื่นชมผลงาน มันเข้ากับเขาอย่างที่จินตนาการไว้ ถ้าชอบมากอย่างที่บอกก็น่าจะหยิบออกมาใส่ให้เห็นเร็วกว่านี้ หลงคิดไปว่ามันไม่คู่ควรเขาถึงไม่ใยดี แต่พอได้ยินอย่างนี้แล้วเหมือนตัวจะลอยเสียให้ได้

          เมื่อส่งกุญแจให้กับพนักงานรับรถของโรงแรม ผมหันมองเปมทัตที่กำลังกระชับสาบเสื้อสูทแล้วก้าวขึ้นบันไดสู่ลอบบี้ของโรงแรม ตัดสินใจปริปากบอกเรื่องสำคัญก่อนที่ผู้คนขวักไขว่ภายในงานจะทำให้ผมเขวไป

          “ขากลับเปมขับรถกลับคอนโดฯ เองนะ ฉันจะไปทำธุระต่อ” เขาหยุดยืนนิ่ง

          “แล้วซันจะกลับยังไง ทำธุระที่ไหนให้ฉันไปส่งไหม”

          “ไม่เป็นไร ตั้งใจจะนั่งแท็กซี่เพราะไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหน ไม่อยากให้เปมรอ” นัยน์ตาคู่นั้นบอกผมว่าเขาอยากย้อนถามใจจะขาดว่าธุระอะไรทำไมถึงดูเป็นความลับนัก ผมตอบไม่ได้ ทำได้แค่เพียงสาวเท้ายาว ๆ ไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่แสดงป้ายลงทะเบียนงานเลี้ยงของบริษัทรามานุสรณ์จิวเวลรี่

          ผู้คนล้นหลามทั้งเหล่าพนักงาน ฝ่ายบริหารและผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลของตรัส หรือแม้แต่บอร์ดบริหารสาขาต่างประเทศของรามานุสรณ์เองก็มาร่วมงานนี้เหมือนกัน สังเกตจากกลุ่มชาวต่างชาติที่ยืนร่วมวงสนทนากับคุณรังสิมาป้าของตรัส

          ผมกับเปมทัตมีโอกาสพยักเพยิดหน้าให้เจ้าภาพตัวเอ้ทีหนึ่งก่อนที่มันจะหายตัวไปในฝูงชน ไม่ได้นึกน้อยอกน้อยใจอะไรเพราะรู้ดีว่างานแบบนี้ท่านประธานคงไม่มีเวลาฉอเลาะกับเพื่อนฝูงนานเท่าใดนัก ผมฆ่าเวลาด้วยเครื่องดื่มย้อมใจให้พร้อมต่อภารกิจหลังจากนี้ แต่ยังมีสติสมบูรณ์ดีตอนที่ฟังคุณชายกล่าวสุนทรพจน์ปลุกขวัญและกำลังใจให้แก่พนักงานทุกฝ่ายทุกแผนก พร้อมคำปฏิญาณหนักแน่นว่าจะนำพาบริษัทสู่จุดสูงสุด

          “เชี่ย นึกว่าจะมาไม่ทันแล้ว” ผมหันมองต้นเสียงด้วยหางตา แก้วมาร์ตินีที่ยังไม่พร่องช่วยสำทับประโยคทักทาย

          “สายตลอด สายทุกงาน ตรัสเห็นมึงหรือยัง”

          “คงยัง เดินเข้างานตอนมันก้าวขึ้นเวทีพอดี ท่านตรัสเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ชักอิจฉาไอ้หมีขึ้นมาตงิด ๆ แล้วสิ มันมาหรือเปล่าวะทำไมไม่เห็น”

          “ไม่มา เท็ตส่งข้อความมาบอกแล้ว แต่มึงอารมณ์ดีแปลก ๆ เจอกันรอบที่แล้วยังทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่เลย มีอะไรดี เล่าให้กูฟังเดี๋ยวนี้แซน”

          “กูอารมณ์ดีที่เพื่อนขึ้นรับตำแหน่งประธานนี่ไงพี่ชาย อารมณ์ดีก็ต้องมีต้นสายปลายเหตุมาเล่าให้ฟังด้วย โว๊ะ เรื่องของกูเอาไว้ทีหลังเถอะ บอกก่อนทำไมเท็ตไม่มา”

          “เท็ตไม่ชอบงานสังคม ขี้เกียจปั้นหน้า” เปมทัตช่วยตอบแทน “แต่อ้นก็ไม่ชอบไม่ใช่หรือ”

          “ไม่ชอบ แต่มาเป็นเพื่อนซัน” ไอ้แซนตาโตแล้วเบียดมายืนใกล้ ๆ หลังจากวงดนตรีเครื่องสายในห้องบอลรูมเริ่มบรรเลงขึ้นอีกหน “ยังไงวะ ความสัมพันธ์ของมึงสองคนก้าวหน้าหรือถอยหลัง อย่าหมกเม็ดกับน้องนุ้งนะ กูโกรธจริง ๆ นะบอกเลย”

          “กูนัดกับนิษฐาคืนนี้” ผมกระซิบ ไอ้แซนรีบถามย้อน “มีอะไร ทำไมนัดกลางค่ำกลางคืน”

          “เบื่อหน่ายความค้างคา” เปมทัตคงไม่ได้ยินแน่เพราะเขาหันไปสนทนากับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของตรัสที่ผมยกมือไหว้ไปก่อนหน้านี้แล้ว “จะได้เริ่มต้นใหม่กับใครอีกคนได้สะดวกใจมากกว่าอย่างนั้นสิ”

          “กูเองก็ยังไม่แน่ใจนักหรอก เอาไว้ทุกอย่างชัดเจนเมื่อไหร่กูจะบอกมึงเป็นคนแรก” มันเบ้ปากพยักหน้าช้า ๆ ยวนกำปั้น “ให้มันจริง รักข้างเดียวเกือบสิบปีไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้”

          “กูก็เหมือนกัน”

          เปมไม่ได้เซ้าซี้ที่จะอาสาพาผมไปส่งยังสถานที่ทำธุระที่ผมกล่าวอ้าง แค่มองตามตอนที่ผมยกมือเป็นสัญญาณว่ากำลังจะไปหลังจากทิ้งท้ายส่งข้อความบอกตรัสว่ามีนัดต้องรีบกลับ หวังว่าไอ้คุณชายจะมีเวลาอ่านคำอธิบายก่อนฉุนเฉียวที่ผมหายตัวไปโดยที่ยังไม่ได้ทักทายกันเป็นกิจลักษณะ

          ร้านอาหารไกลปืนเที่ยงแต่บรรยากาศดีคือสถานที่ที่ผมนัดพบกับน้องฐา ด้วยเหตุผลหลักว่าน้องคงไม่มีโอกาสผ่านมาเห็นร้านนี้บ่อยนักในชีวิตประจำวันเพื่อเตือนความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยคบหากับผู้ชายใจโลเลอีกทั้งยังปากพล่อยบอกลากันอย่างง่ายดาย

          ผมใช้บริการรถแท็กซี่อย่างที่บอกกับเปมทัตไว้ไม่ได้โกหก น้องส่งข้อความมาบอกล่วงหน้าแล้วว่านั่งรออยู่ที่โต๊ะนอกชานร้านและยังไม่ได้สั่งอาหาร วันนี้นิษฐาใส่เดรสคลุมเข่าสีพีชพร้อมใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนเด็กอย่างที่เคยเห็นทุกครั้ง ผมยิ้มให้ก่อนเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ๆ น้องไม่ได้ยิ้มตอบแต่กลับจดจ้องไม่วางตา

          “รอพี่นานไหมคะ หิวหรือยัง”

          “ไม่ค่ะไม่นานเท่าไหร่ วันนี้พี่ซันแต่งตัวแปลกตาจังค่ะ ไปที่อื่นมาก่อนหรือคะ” นี่คงเป็นต้นเหตุของสายตาเมื่อครู่ ผมเองก็รีบรนจนลืมนึกไปว่าการแต่งกายค่อนข้างผิดแผกไปจากสถานที่ คงไม่มีใครใส่สูทและเนกไทมานั่งในร้านอาหารออกแบบคล้ายบ้านทรงไทยย้อนยุค

          “ค่ะ งานเลี้ยงของเพื่อนสนิท ฐาจำพี่ตรัสได้หรือเปล่าคะ”

          “จำได้สิคะ ฐาจำเพื่อนสนิทของพี่ซันได้ทุกคน โดยเฉพาะพี่อ้น” น้องยิ้มบางก่อนจะซักต่อ “พี่ซันไม่เคยพูดถึงร้านนี้มาก่อนเลย สวยดีนะคะ”

          “พี่เคยขับรถผ่านมาเจอค่ะ จำได้ว่าจัดแต่งร้านสวยดี เห็นลูกค้าเยอะตลอดอาหารก็คงอร่อยด้วย”

          “ถ้าอย่างนั้นฐาขอมอบหน้าที่สั่งอาหารให้พี่ซันเหมือนเดิมนะคะ”

          “ยินดีค่ะ”

          ทุกอย่างผ่านไปเหมือนอย่างเคย ลิ้มรสอาหารเคล้าเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ถ้าผมมีน้องสาวเพิ่มขึ้มอีกคนความรู้สึกก็คงจะคล้ายอย่างนี้กระมัง รักและเอ็นดู แต่อีกใจกำลังตะโกนบอกชัดว่าน้องไม่ได้คิดกับผมเพียงเท่านั้น แค่พี่ชายก็คงเป็นไม่ได้หากน้องรู้ผมกำลังจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้

          ใกล้ร้านอาหารมีสวนหย่อมเล็ก ๆ บรรยากาศดี ยังมีคนรักสุขภาพวิ่งเหยาะอยู่ไม่ไกลหลายคน ไฟฟ้าสว่างไสวไม่เปลี่ยวร้างจนดูน่ากลัว ผมเลือกม้านั่งสีขาวชวนให้น้องนั่งเล่นด้วยกัน

          “พี่ซันไม่ได้ขับรถมาหรือคะ ฐาไม่เห็น”

          “เปล่าค่ะพี่มาแท็กซี่ ฐาล่ะคะ”

          “ฐาให้เพื่อนมาส่งค่ะ คงกลับแท็กซี่เหมือนกัน” น้องห่อไหล่แล้วลูบมือทั้งสองข้างกับหัวเข่า อากาศคงเย็นเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผมจึงปลดสูทตัวนอกแล้วคลุมไหล่ให้โดยไม่สัมผัสผิวเนื้อ

          “ขอบคุณนะคะ” น้องพูดจาฉะฉานก่อนประโยคถัดมาจะแผ่วเบาไม่ต่างกระซิบ “พี่ซันเป็นสุภาพบุรุษเสมอต้นเสมอปลายจนบางครั้ง...เหมือนเว้นระยะห่าง”

          “ทำไมถึงคิดแบบนั้นคะ”

          “ฐาทราบนะคะว่าพี่ซันมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ จะให้โทรมาคุยกับฐาทุกวันคงเป็นไปไม่ได้ พี่ซันเป็นผู้ใหญ่และฐาเป็นแค่นักศึกษาจบใหม่ ทั้งที่อายุของเราก็ไม่ได้แตกต่างกันมากขนาดนั้นแท้ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมฐาถึงรู้สึกว่าพี่ซันอยู่ไกลเหลือเกิน ยิ่งเอื้อมมือคว้าพี่ก็ยิ่งลอยห่างออกไป พี่ซันไม่รู้สึกบ้างหรือคะ คบกับฐาแบบนี้พี่มีความสุขบ้างหรือเปล่า” ผมอ้ำอึ้งพูดไม่ออก จากที่คิดว่าจะเป็นฝ่ายออกโรงเกริ่นนำแต่คำเปรยของน้องนั้นค่อนข้างสร้างความประหลาดใจ อย่างกับว่า...

          “ฐาตั้งใจว่าจะไม่รอแล้วล่ะค่ะ ฐารู้สึกเหมือนหนูที่ติดอยู่ในวงล้อโชคชะตาที่เต็มไปด้วยความใจดีของพี่ซัน มันไม่มีทางออก เป็นแค่เขาวงกตแคบ ๆ อากาศก็บางเบา เรา...พอแค่นี้ดีไหมคะ” นิษฐาพูดเร็วจัดด้วยเสียงสั่นเครือ ก่อนผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่ได้พูดสิ่งที่คิดไว้ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว ผมรู้สึกอย่างนั้น

          “ฐาหมายถึงให้เราเลิกติดต่อกันอย่างนั้นใช่ไหม”

          “ค่ะ รวมถึงความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกของเราด้วย นะคะพี่ซัน”

          “ค่ะ ถ้าน้องฐาต้องการแบบนี้”

          “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ ขอบคุณค่ะพี่ซัน” น้องยื่นเสื้อคืนแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋า คงตั้งใจจะเรียกแท็กซี่ ผมรีบออกปากก่อนจะยั้งใจได้ทันทั้งที่น้องเพิ่งบอกหยก ๆ ว่าความใจดีของผมมันเป็นดาบสองคม “ให้พี่นั่งรถไปส่งไหมคะ ดึกแล้วอันตราย”

          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ซันอย่าทำแบบนี้กับใครอีกนะคะถ้าไม่รัก อย่าแสดงความห่วงใยถ้าไม่เคยให้ใจ” น้องเดินจากไปจนเกือบลับตาแต่ผมก็ทันสังเกตเห็นว่าน้องใช้หลังมือปัดน้ำตาข้างแก้ม ผมคงกลายเป็นคนที่เลวร้ายโดยสมบูรณ์หากพูดคำว่า...

          จบแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

▩▩▩
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2018 23:20:35 โดย Lipstick_Murder »

ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาต่อเร็วๆ นะคะ คนรอใจจะขาด

 :mew2:

ออฟไลน์ maminmeaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
รอตอนต่อไปนะจ๊ะ มาต่อเร็วๆนะจ๊ะ  :mew1:

ออฟไลน์ Raam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอตอนต่อไปนะค่ะ อยากรู้ความคืบหน้าอ้นซันจะเป็นยังไงต่อ :hao5:

ออฟไลน์ arissara

  • ดาดาเดเด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
เอาคืนหอมปากหอมคอหน่อยนะจ๊ะ แหม๊ ก็รอมาตั้งเป็น10ปี ดูเเลมาตั้ง10ปี

ออฟไลน์ arissara

  • ดาดาเดเด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
รอ อยู่ที่ฟาร์มม้านานเเว้วววววว คิดถึง

ออฟไลน์ K_mala

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ติดตามแบบลุ้นๆ น่าร้ากกอ่ะ :mew1:

ออฟไลน์ arissara

  • ดาดาเดเด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
เปิดหีบเเล้ว ทีนี้ก็เปิดใจกันนะคนดี

ออฟไลน์ arissara

  • ดาดาเดเด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
ไปเคลียร์กันถึงไหนเเว้ววว /// ส่องๆอยู่นะ55555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด