▼ คุณ | ความรัก △
[/b]
ความรัก คำๆนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร ใครๆหลายคนก็ต่างให้นิยามกับมันมากมายต่างๆนานา แต่สุดท้ายแล้ว จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจความหมายของความรักที่แท้จริง ซึ่งผมก็คือหนึ่งในคนที่ไม่เคยเข้าใจความหมายของคำว่ารัก ผมไม่เคยรู้ว่าการที่เราได้รักใครสักคนเป็นอย่างไร และการได้รับความรักจากใครสักคนเป็นอย่างไร หลายคนมองว่าผมเป็นพวกด้านชาในความรู้สึกเสียด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก เพราะผมอาจจะเป็นอย่างที่เขาพูดกันจริงๆก็ได้ ความรักนะ ผมไม่เคยสนใจและไม่เคยคิดจะหาความหมายของมันหรอก…
“สวัสดี ... เอ่อ... นายชื่ออะไรอ่ะ” จู่ๆก็มีเสียงทุ้มที่ไม่คุ้นหูดังแทรกความคิดของผม
“เรา... เคยรู้จักกันเหรอครับ” ผมหันไปถามกลับอย่างสุภาพพร้อมกับใบหน้าอันงวยงง เพราะจริงๆแล้วผมมีคนรู้จักในมหาวิทยาลัยนี้นับคนได้เลย
“ก็ไม่เคยหรอก แต่อยากรู้จักไง” คนตรงหน้ายกยิ้มอย่างสดใส ราวกับว่าการที่จะได้รู้จักกับผมมันเป็นเรื่องที่ดีในชีวิตมาก
“ผมไม่เข้าใจคุณหรอกนะครับว่าคุณต้องการอะไร แต่ผมไม่อยากทำความรู้จักกับใครตอนนี้ ผมขอตัว” ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้เกียจเริ่มต้นใหม่ จริงทำให้การเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ๆเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผม เมื่อผมพูดจบก็จัดการเก็บข้าวของบนโต๊ะตัวเล็กใส่กระเป๋า และกำลังจะลุกขึ้น หากแต่คนตรงหน้าผมกลับทรุดตัวนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมเสียดื้อๆ
“อย่าเพิ่งไปสิ อยู่คุยกันหน่อยนะ” ชายคนเดิมส่งสายตาเชิงอ้อนวอน ทั้งๆที่มันไม่เข้ากับใบหน้าคมเข้มและร่างสูงใหญ่ของเขาเท่าไหร่
“ผมไม่มีธุระอะไรจะคุยกับคุณ” ผมทำท่าจะลุกอีกครั้ง แต่ผู้ชายตรงหน้าก็ยังคงไม่ยอมรามือง่ายๆ เขาเอื้อมมือมารั้งแขนผมเอาไว้
“ผมขอโทษที่รบกวนหรือทำอะไรไม่ถูกใจคุณ แต่ผมอยากรู้จักคุณจริงๆนะ” คนตรงหน้าส่งสายตาอ้อนวอนมาอีกระลอก ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความดื้อด้านของคนตรงหน้าก่อนจะยอมทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม
“คุณจะอยากรู้จักผมไปทำไม” ผมจ้องร่างสูงเขม่ง ทว่าร่างสูงตรงหน้าไม่ได้มีแววตาหวั่นไหวหรือหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ก็ผมชอบคุณ ผมอยากรู้จักคุณมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” ผมตกใจมากถึงมากที่สุดกับคำที่เขาพูดออกมา ถึงผมจะหน้าตาพอไปวัดไปวาได้มีคนเข้ามาจีบผมเรื่อยๆ แต่ยังไม่เคยเจอใครที่เถรตรงได้ถึงขนาดนี้
“คุณ...ชอบผมงั้นเหรอ อย่ามาล้อเล่นกันหน่อยเลย” แน่นอนอยู่แล้วว่าผมไม่คิดจะเชื่อว่าเขาชอบผมจากแค่ประโยคเดียวหรอก แถมยังเพิ่งจะเคยเห็นหน้ากันอีก
“คุณเห็นผมล้อเล่นเหรอ หน้าตาผมจริงจังขนาดนี้” ก็จริงของเขา แววตาดูมั่นคงไม่ลอกแลก รวมถึงคิ้วเข้มที่หัวคิ้วมันขมวดเข้าหากันนิดๆอย่างกดดัน
“เฮ้ออออ ผมจะทำยังไงดี” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมไม่เคยรับมือกับคนแบบนี้มาก่อน เพราะผมจะหนีก่อนที่จะได้เผชิญหน้าเสมอ แต่กลับครั้งนี้มันไม่ใช่
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย แค่เรามาทำความรู้จักกันเท่านั้นเอง” คนตรงหน้ายิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเสน่ห์ทั้งสองข้างอย่างชัดเจน นี่เขาจะหว่านเสน่ห์ผมด้วยรอยยิ้มของเขาหรือยังไงกัน
“ทำความรู้จัก ยังไงล่ะ” ไม่รู้ว่าเพราะเขี้ยวคมๆสองข้างนั้นหรือรอยยิ้มกว้างกันแน่ที่ทำให้ผมเผลอหลุดประโยคนี้ไป
“คุณจะเริ่มทำความรู้จักกับผมจริงเหรอ เยส! ดีใจเป็นบ้า ฮ่าฮ่าฮ่า” คนตัวโตตรงหน้ายิ้มกว้างขึ้นกว่าเมื่อครู่แถมยังหัวเราะร่าอย่างกับคนบ้าเสียอีก ซึ่งอย่างที่ผมบอกไปตอนแรกว่าการกระทำเหล่านี้ช่างไม่เข้ากับรูปร่างและหน้าตาของเขาเอาซะเลย
“ดีใจจบหรือยัง” ผมถามขึ้นหลังจากเห็นคนตรงหน้าดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นาน
“จบแล้วครับจบแล้ว งั้นเรามาทำความรู้จักกันเถอะนะ”
“นี่...”
“นี่..... ได้ยินหรือเปล่าเนี้ย” คราวนี้ไม่ว่าเปล่า ยังแถมนิ้วเรียวยาวมาจิ้มจึ่กๆอยู่ที่ตนแขนผมอีก
“นี่ แมว ได้ยินไหมเนี้ย” ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่สนใจเพราะให้สมาธิกับการบ้านตรงหน้าอยู่ แต่พอได้ยินชื่อเรียกที่อีกคนถือสิทธิ์ตั้งให้อย่างไม่ถามความสมัครใจของผมเลยสักนิดแล้วมันอดหงุดหงิดไม่ได้
“ก็บอกว่าไม่ใช่แมว” ผมเงยหน้าขึ้นมองอย่างหงุดหงิด
“อ้าว... ก็ได้ยินนี่หว่า แล้วทำไมไม่ตอบอ่ะ” คนตรงหน้าทำหน้างงใส่
“แล้วเห็นหรือเปล่าว่าทำอะไรอยู่” ผมชี้นิ้วลงไปที่กองการบ้านกองใหญ่ที่อาจารย์ให้กันมาอย่างกับอยากจะฆ่ากันให้ตายผ่านตัวหนังสือ
“ก็ทำการบ้านไง แค่นี้รู้อยู่แล้ว” คนตรงหน้าเปลี่ยนจากหน้าหมางงในตอนแรกมาเป็นหน้าที่เริ่มจะกวนอวัยวะเบื้องล่างแล้ว
“ถ้ารู้แล้วจะเรียกทำไม ฉันใช่สมาธิอยู่”
“ก็คิดถึงอ่ะ อยากได้ยินเสียงบ้างไม่ได้เหรอ นี่อุตส่าห์เลิกเรียนแล้วรีบมาหาเลยนะ” คนตัวโตเริ่มยกยิ้มโชว์เขี้ยวพร้อมกับยกมือขึ้นมาเท้าคางตัวเอง ส่วนไอ้ตาที่มีแววรอยยิ้มอยู่เต็มเปี่ยมก็จ้องเขม่งมาที่ผม
“เลิกหว่านเสน่ห์สักทีเถอะ” ผมว่าพลางทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ วันๆนึงผมต้องเจออะไรแบบนี้ไม่ต่ำกว่าสิบรอบ แล้วนี่จะเป็นเดือนแล้ว ไม่เบื่อก็แย่แล้วล่ะ
“โถ่ ไม่หลงเสน่ห์สักหน่อยเลยเหรอ รอยยิ้มนี้มีแต่คนหลงนะจะบอกให้” คนตัวโตอวดสรรพคุณของตัวเองเสร็จสรรพพร้อมกับยิ้มการค้าแถมให้ผมอีกหนึ่งที
“ก็ไปยิ้มให้คนอื่นดูสิ” ไม่ใช่ว่าผมจะประชดหรือตัดพ้ออะไรหรอกนะ ผมแค่ต้องการความสงบในการทำการบ้านคืนมาเท่านั้นเอง
“หื้ม จะไปยิ้มให้คนอื่นดูทำไมอ่ะ ก็จีบคนนี้อยู่ ก็ต้องยิ้มให้คนนี้ดูดิ” ผมชะงักให้กับประโยคที่แสนจะตรงไปตรงมาขนาดนี้ของคนตรงหน้า ตั้งแต่คุยกันมาผมก็พอจะรู้อยู่ว่าเขาเป็นคนตรงๆ แต่ก็ไม่คิดว่าตรงขนาดนี้
“เฮ้อ.... จะทำอะไรก็ตามสบาย” ผมเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนอะไรที่จะไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดแบบนี้ แต่ว่าผมก็พยายามเก็บอาการให้ได้มากที่สุด ไม่อยากให้เจ้าหมาตัวโตตรงหน้ามันได้ใจ
“จริงดิ ทำอะไรก็ได้เหรอ งั้นขอจูบทีได้ป่ะ” จู่เจ้าหมาในร่างคนก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องผงะไปด้านหลัง ตอนนี้หน้าของเราใกล้กันมากจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่าย รอยยิ้มที่สดใสที่ตอนนี้มองได้ชัดกว่าที่เคยมันช่างสดใสและเจิดจ้าเสียจนควบคุมหัวใจตัวเองเอาไว้ไม่ค่อยจะอยู่ ใบหน้าคมค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนในที่สุดริมฝีปากของเราทั้งสองคนก็ประทับกันแนบสนิท ผมอึ้งจนตัวแข็งไปแล้ว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้กับผมมาก่อน หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นรัวจนแทบจะวาย ไหนจะสายตาที่แสนหวานผ่านนัยน์ตาดุดันที่จ้องตรงมาที่ผมอีก นี่เขาจะฆ่าผมใช่หรือเปล่า
“.....” หลังจากที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไป ผมก็ใบ้กินไปเลยชั่วขณะ ราวกับว่าวิญญาณยังไม่กลับเข้าร่าง
“เป็นแฟนกันเหอะ รอไม่ไหวแล้วอ่ะ” เป็นตัวคนเจ้าเล่ห์ที่เริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน ถึงจะละริมฝีปากออกจากกันแต่ระยะห่างของเรายังไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ จึงทำให้ผมมองเห็นแววตาของอีกคนได้อย่างชัดเจน แววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความมั่นคง
“......” ผมยังคงเงียบเหมือนเดิม ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรทำอย่างไร ผมไม่เคยมีแฟน ไม่เคยคิดที่จะรักใครเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับมีคนกำลังขอความรักจากผม และเขาก็คือคนคนเดียวกันกับคนที่ทำให้หัวใจของผมสั่นไหว
“อย่าเงียบงี้ดิ ใจไม่ดีนะเนี้ย ถึงจะดูเป็นคนไม่เอาไหนก็เถอะ แต่ฉันจริงจังนะ ที่เข้ามาจีบก็เพราะว่าชอบ ที่ขอเป็นแฟนก็เพราะว่าชอบ ลองเปิดใจให้โอกาสฉันสักครั้งจะได้หรือเปล่า” ร่างสูงจ้องเข้ามาในตาผมด้วยแววตาที่จริงจัง ปราศจากความขี้เล่นอย่างที่เคยมีในทุกๆครั้ง
“บอกไว้ก่อนว่าฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะว่าความรักมันคืออะไร” ผมเอ่ยออกตัวก่อน เพราะผมก็ไม่อยากให้ความหวังกับอีกคนมากนัก ถึงผมจะหวั่นไหวกับเขา แต่ผมก็ไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองเท่าไหร่ว่ามันคือความรักหรืออะไร อย่างที่บอกไป ผมไม่เคยสัมผัสกับความรัก
“แล้วอยากรู้ป่ะละ ถ้าอยากรู้ก็จะช่วยสอน” ให้ตายเถอะ ผมเกลียดสายตาแพรวพราวแบบนี้จริงๆ
“แล้วถ้าสอนแล้วฉันยังไม่เข้าใจล่ะ” ผมตีมึนกลับพลางปัดมือไม้ของคนตัวโตที่มันป่วนเปี้ยนอยู่ใบหน้าและลำคอของผม
“หื้มมม ถ้างั้นก็คงต้องติวเข้มให้ถึงทรวงเลยเป็นไง” นัยน์ตาสีดำสนิทส่อแววเจ้าเล่ห์อย่างปิดไม่มิด ริมฝีปากบางยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าแผนการ
“นี่สรุปแล้วมาขอฉันเป็นแฟน หรือจะหลอกฉันไปขาย” ไอ้ท่าทางไม่น่าไว้ใจของคนตรงหน้านี่มันหน้าจิ้มให้ลูกกะตาบอดเสียทีสองที
“ก็มาขอเป็นแฟนดิ ใครจะเอาไปขายกัน แต่ถ้าขายให้ฉันอันนี้ก็น่าลองดีนะ” ไม่ว่าเปล่า แต่คนตัวโตยังยื่นหน้าที่ใกล้กันอยู่แล้วให้ใกล้กันมากกว่าเดิมจนริมฝีปากของเราชิดกัน
“.....” ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับปากเถียง เพราะกลัวว่าจะเป็นการเปิดทางให้ไอ้คนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าอีก
“หื้มมม เอายังไง ตกลงหรือตกลง” เจ้าหมาตัวโตตรงหน้ายังคงไม่ลดละความพยายาม แถมยังดันจมูกเข้ามาใกล้อีก
“ถอยไปก่อน” ผมพยายามขยับปากให้น้อยที่สุด เพราะไม่อยากให้ทุกอย่างมันเข้าทางเจ้าหมาเจ้าเล่ห์ตัวนี้ไปทุกอย่าง
“โอเค ถอยก็ได้ แล้วก็ตอบมา ตกลงหรือตกลง” คนตัวสูงยอมผละออกไปพร้อมกับกอดอกรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“เดี๋ยวกันก่อนนะ ทำไมมันตกลงทั้งสองอัน”
“ก็ไม่ทำไม ก็แค่ต้องตกลงเท่านั้นแหละ” ร่างสูงยกคิ้วขึ้นอย่างคนเหนือกว่า
“แล้วทำไมต้องตกลงด้วย ไม่เห็นจะได้อะไรเลย” ผมยกมือขึ้นกอดอกบ้าง พลางตีหน้าเข้มต่อไปไม่เปิดโอกาสให้คนตัวสูงไล่ต้อนเอาง่ายๆ
“ทำไมจะไม่ได้อะไร ได้แฟนไง แฟนที่หล่อด้วยนะ นี่หล่อและดีขนาดนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก” พูดพร้อมยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ ผมก็ไม่ได้เถียงเรื่องที่คนตัวสูงนั้นหล่อ เขาหล่อจริงๆแหละ เข้าขั้นหน้าตาดีมากด้วยซ้ำไป แต่มันหน้าหมั่นไส้ตรงที่กล้าพูดว่าตัวเองหล่อได้อย่างเต็มปากเต็มคำนี้แหละ
“หลงตัวเองมากไปหรือเปล่า” ผมเอ่ยขัดขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้ว ใครๆก็หลงฉัน รวมถึงนายด้วยไง” พูดจบก็โน้มตัวเข้ามาขโมยหอมแก้มผมโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว
“ไอ้....” ผมหลุดเหวอไปชั่วขณะ ภาพที่สร้างขึ้นมาหายไปหมดสิ้น ไอ้ตรงหน้าก็หัวเราะชอบใจใหญ่กับการที่ไล่ต้อนผมจนจนมุมได้ขนาดนี้
“ชอบก็เหมือนกันก็แสดงออกมาดิ จะเก๊กว่าไม่ได้ชอบไปทำไม” ไอ้คนที่ยิ้มหัวเราะชอบใจเมื่อครู่เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกับมือใหญ่ที่ลูบอยู่บนหัวของผมไปมา ทำเอาใจผมแกว่งได้ไม่ใช่น้อย
“ใครบอกว่าชอบ” ผมยังยืนกรานเสียงแข็ง ทั้งๆที่ใจตอนนี้เริ่มโอนอ่อนกับท่าทีของคนตรงหน้าไปเรื่อยๆ
“นายนั้นแหละบอก จากตรงนี้ไง” ร่างสูงเลื่อนมือลงมาคลึงเบาๆที่บริเวณหางตาของผม
“นายมั่วแล้ว” ผมหลบตาคนตรงหน้า ยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ความจริงมันเป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับสำหรับผม ที่เคยหลบหลีกจากผู้คนมานาน มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องมายอมรับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้
“ดวงตาน่ะ มันไม่เคยโกหกใครหรอกนะรู้ไหม” ร่างสูงยังคงทอดมองผมด้วยสายตาที่แสนอ่อนโยนเช่นเดิม ทำให้ผมเผลอจ้องไปที่ดวงตาดุดันแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ น้อยครั้งมากที่ผมจะได้เห็นเขาในมุมนี้
“เป็นแฟนกันนะ”
“.......”
“เป็นแฟนกันเถอนะ”
“.......”
“เป็นแฟนกันนะ นะนะนะนนะ”
“.......”
“โถ่ ที่รักเป็นแฟนกันเถอะนะ”
“อื้ม”
“โถ่ไม่เอาแบบนี้สิ เป็นแฟนกันเถอะนะ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” จู่ๆคนตัวโตก็ทำตาโตเท่าไข่ห่านแถมยังอ้าปากหวอด้วยความตกใจ หน้าหมอนี่ตอนนี้ตลกเป็นบ้า อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ให้พวกแฟนคลับของหมอนี่ได้ดูจริงๆ
“ไม่ได้พูดอะไรนิ หูฝาดหรือเปล่า” ผมตีเนียนใส่ พร้อมลอยหน้าลอยตา
“อย่ามามั่ว เมื่อกี้พูดว่าอื้ม ใช่ป่ะ ใช่ป่ะ” ผมแอบขำในใจ คนตรงหน้าดูเหมือนสติได้หายไปแล้วอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าหล่อเหลาก็ไม่ช่วยแล้วในตอนนี้
“ก็ได้ยินนี่หว่าแล้วจะถามทำไม” ผมย้อนประโยคเดียวกับที่ตนตัวได้พูดไว้ พร้อมกับยักคิ้วให้อีกทีอย่างกวนๆ ตอนนี้ผมสนุกมาก เพราะว่าผมอยู่เหนือกว่ายังไงล่ะ
“อื้ม ก็แปลว่าตกลงใช่ป่ะ” ร่างสูงส่งสายตามาให้อย่างมีความหวัง ตาเป็นประกายอย่างกับเด็กที่จะได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ต้องการมานาน
“โตแล้วก็คิดเองดิ” ผมเก็บของเตรียมจะหนีไปให้ไกลแล้วเพราะตอนนี้ตัวผมเองก็เขินไม่ใช่น้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าเขินอะไรเหมือนกัน บางทีผมก็เบื่อตัวเองที่เพิ่งเคยจะรู้สึกอะไรแบบนี้ มันทำให้ผมสับสนไปเสียหมด
“งั้นจะเข้าข้างตัวเองแล้วนะ เนอะแฟนเนอะ” ทันทีที่ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ เจ้าคนตรงหน้าก็ลุกขึ้นตามทันทีพร้อมกับรวบมือข้างที่วางของผมไปกุมไว้เสียแน่น
“คนอะไรหลงตัวเองไม่พอ ยังชอบเข้าข้างตัวเองอีก” ผมแกล้งแหนบอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ และอาจจะเป็นเพราะความอุ่นร้อนที่มือใหญ่นี้จึงทำให้ผมรู้สึกดีอย่างประหลาด มันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก และด้วยสิ่งนี้จึงทำให้ผมไม่กล้าที่จะสะบัดมือคู่นี้ทิ้ง ถึงแม้ว่าผมจะอายสายตาคนที่มองมามากแค่ไหนก็ตาม
“ถ้าไม่ให้เข้าข้างตัวเอง แล้วให้เข้าข้างหลังแมวได้ป่ะล่ะ” ร่างสูงโน้มลงมากระซิบที่ข้างใบหูของผม ตอนนี้คงไม่ต้องบอกว่าหน้าผมนี่แดงไปถึงในระดับไหนแล้ว ให้ตายเถอะ นี่ผมคิดถูกจริงๆหรือที่ยอมคบกับคนเจ้าเล่ห์แบบนี้
“เดี๋ยวจะได้โดนฟาดก่อนเข้า” ผมหันไปฟาดมือใส่ไหล่หนาหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้
“นี่ไม่เรียกเดี๋ยวนะ นี่เรียกฟาดแล้ว ฮ่าฮ่า แต่ถ้าโดนฟาดแล้วได้เข้านี่จะยอมให้ฟาดยันเช้าเลย” ไม่ว่าเปล่าแต่มือที่จับกันเมื่อสักครู่กับเลื้อยมาโอบอยู่ที่เอวผมเสียแล้ว
“ให้มันน้อยๆหน่อยๆ เดี๋ยวเถอะ” ผมฟาดมือลงไปอย่างแรงอีกครั้งที่หลังมือของคนตัวสูง จนเจ้าตัวร้องโอดโอยออกมาเสียงดัง ผมลอบขำในใจให้กับคนข้างๆ จริงๆแล้วบางทีการที่ผมเลือกเขาอาจจะทำให้ผมสามารถหาความหมายความรักเจอก็เป็นได้
ได้ ซะที่ไหนกันล่ะ!!
ตอนนี้ผมกำลังสู้รบปรบมือกับไอ้หมาตัวยักษ์ที่มันกำลังงอแงขั้นสูงสุดอยู่ เรื่องของเรื่องเกิดจากเพียงแค่ผมไม่ยอมไม่หึงมันเท่านั้นเอง
“โห่ แมว ไม่รู้สึกอะไรจริงๆเหรอ” คนตัวโตยังคงโวยวายไม่เลิก แถมประโยคนี้มันยังพูดมาเป็นสิบรอบจะได้แล้ว “ตอบไปกี่รอบแล้วอ่ะ คำตอบก็เหมือนเดิมนั้นแหละ” ผมทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ก่อนจะหันมาสนใจโน้ตบุคและรายงานตรงหน้า ตอนนี้ผมมานั่งเล่นอยู่ห้องมันนี้แหละ ตั้งแต่เป็นแฟนกันมันก็ถืออภิสิทธิ์ลากผมมาอยู่ห้องมันเกือบทุกวัน
“ทำไมใจร้ายอย่างงี้อ่ะแมวววววว” ยังครับ มันยังคงเกาะแกะไม่เลิก แถมยังเอาหน้าหล่อๆมาไถๆที่หน้าตักผมอีกด้วย
“อย่ามาเนียนๆ แล้วก็ทำไมจะต้องหึง ฉันกับแฟนของเพื่อนนายมันคนล่ะคนกัน ทำไมฉันต้องคิดเหมือนเขาล่ะ” ผมดันหัวคนตัวโตออก หากแต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้แถมยังทิ้งหัวนอนลงบนตักผมอีกต่างหาก
“ก็ไม่รู้อ่ะ เค้าอยากให้แมวหึงเค้าบ้างอ่ะ” มือใหญ่เลื่อนมาโอบรอบเอวผมเอาไว้เบาๆพร้อมกับซุกหน้าเข้าไปในพุงของผม
“มาเค้ามาแมวอ่ะไร ปัญญาอ่อนเหรอ” ผมว่าพร้อมกับรัวมือลงแป้นคีย์บอร์ดไปด้วย เลิกให้ความสนใจกับเด็กโข่งแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นรายงานของผมคงเสร็จไม่ทันวันนี้
“เฮ้ออออ ก็แค่อยากให้นายแสดงความรู้สึกออกมาบ้างเท่านั้นเองอ่ะ” เมื่อผมไม่ให้ความสนใจ สุดท้ายคนตัวโตก็เลิกวอแวและเริ่มยอมคุยกับผมดีๆ
“ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ทำเหรอ” ผมเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย จากตอนนั้นถึงตอนนี้สำหรับผมแล้วมันมากเกินกว่าที่ตัวผมจะทำด้วยซ้ำ
“เฮ้อออ ก็ทำมั้ง ไม่รู้สิ” คนตัวโตถอนหายใจยาวใส่พุงของผม ก่อนจะกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีกราวกับว่ากลัวผมจะหายไปอย่างงั้นแหละ
“นี่คือชวนทะเลาะหรือเปล่า” ผมถามขึ้น ไม่ได้จะประชดหรือหาเรื่องแต่อย่างใด ผมแค่อยากรู้ว่าจุดประสงค์ของคนตัวโตตอนนี้คืออะไรกันแน่
“เปล่า ใครจะอยากทะเลาะกับแฟนตัวเองวะ แต่แค่รู้สึกไม่มั่นใจเฉยๆอ่ะ” คนตัวโตคลายอ้อมแขนออกพร้อมกับนอนหงายหน้าขึ้นมาจ้องหน้าผม ผมก็ละมือจากรายงานเช่นกัน
“นายไม่มั่นใจอะไร ปกตินายมั่นใจเยอะจนออกจะเป็นมั่นหน้าด้วยซ้ำ” พอได้เห็นแววตาหงอยๆของคนที่ปกติจะร่าเริงและมั่นใจตลอดเวลาแบบนี้แล้วมันก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ หรือว่าความจริงแล้วผมยังให้เขาไม่มากพอ
“แต่กับเรื่องของนายอ่ะ ฉันเสียความมั่นใจตลอดเลย” มือหน้าเลื่อนขึ้นมาลูบแก้มผมอย่างแผ่วเบา ผมถอนหายใจยาวก่อนจะเลื่อนมือไปเล่นผมนุ่มของอีกคนบ้าง
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายคาดหวังอะไรจากฉันบ้าง แต่คนอย่างฉันน่ะ ก็มีให้นายได้เท่านี้ นายอาจจะเห็นว่ามันไม่ได้มากเท่ากับที่คนอื่นได้ แต่สำหรับฉันแล้วฉันให้นายมากกว่าทุกคนที่ฉันเคยให้เสียอีก ฉันเคยบอกนายแล้วว่าฉันไม่รู้หรอกว่าความรักมันคืออะไร ไม่รู้ว่าการมีคนรักต้องทำตัวแบบไหน ไม่รู้ว่าคนรักที่ดีต้องทำยังไง แต่ตอนนี้นายเลือกฉันแล้ว ฉันก็พยายามในทุกอย่างที่ฉันทำให้นายได้แล้ว ความรักของฉันมันก็เป็นแบบนี้แหละ นายรู้แบบนี้แล้ว นายยังอยากได้มันอยู่ไหม” ผมไม่รู้ว่าทุกอย่างในอนาคตจะเป็นยังไง แต่ผมก็เป็นคนแบบนี้ ผมยอมรับที่จะเรียนรู้มันไปพร้อมกับเขา นี้แหละความรักของผม
“พูดยาวๆอย่างงี้ก็เป็นด้วยเหรอ ฮ่าฮ่า” คนตัวโตเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ผมจึงฟาดมือลงไปที่ออกแน่นแรงๆหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ “แต่ก็คงจริงอย่างที่นายบอก ฉันคิดน้อยไปจริงๆ เฮ้อออออออ ขอโทษนะ ที่ทำตัวแบบนี้” หน้าที่สลดอยู่แล้วในตอนแรกตอนนี้ยังสลดเข้าไปใหญ่ เห็นแบบนี้ผมก็อดที่จะสงสารไม่ได้ ผมก้มลงไปประทับริมฝีปากกับอีกฝ่ายเบาๆหากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก คนตัวโตดูเหมือนจะอึ้งไปชั่วครู่ที่ผมเป็นคนเริ่มก่อน ก่อนที่จะตั้งสติได้แล้วใช้มือลอคหัวของผมเอาไว้และค่อยๆสอดลิ้นชื้นเข้ามากอบโกยความหอมหวานจากโพรงปากของผมอย่างไม่ลดละ จูบนี่ไม่ได้รุนแรงหรือหวานละมุน หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ต่างคนต่างต้องการที่จะสื่อ ความอบอุ่นแล่นไปทั่วหัวใจของผม และผมก็คิดว่าเขาก็คงเป็นเช่นกัน
“แล้วแค่นี้พอหรือเปล่า” ผมถามยิ้มๆหลังจากเราถอนริมฝีปากออกจากกันแล้ว ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมเขินจนแทบจะระเบิดตัวเองตายตรงนี้เลย
“พอแล้ว ที่เป็นอยู่ตอนนี้แหละดีที่สุดแล้ว รักนะไอ้แมว” รอยยิ้มพร้อมเขี้ยวเสน่ห์ที่ผมชอบได้ปรากฏให้ผมเห็นอีกครั้งหลังจากที่ทำหน้าเป็นหมาหงอยอยู่นาน ใบหน้าแบบนี้แหละเหมาะกับเขาที่สุดแล้ว
“อื้ม รู้แล้ว” ผมตอบพลางเบือนหน้าหนีจากสายตาที่เต็มไปด้วยความรักของอีกฝ่าย แค่นี้ผมก็เขินจะแย่อยู่แล้ว
“อื้มอะไร เวลานี้ต้องตอบกลับสิ” คนที่ยังหนุนหัวอยู่บนตักเริ่มงอแงอีกครั้งหลังจากที่ผมตอบเขาไปแบบนั้น
“ตอบอะไรอ่ะ ก็ตอบแล้วไง” ผมก็ยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่สนเหมือนเดิม
“ตอบว่ารักกันไง” คนตัวโตลุกขึ้นก่อนจะนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาผม พร้อมกับจับหน้าผมให้หันกลับมามองใบหน้าของเขาอย่าไม่มีทางหนี
“เฮ้อออออ” ผมถอนหายใจยาว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่ผมจะพูดอะไรแบบนี้ ก็คนมันไม่เคยพูดนี่นา แต่คนตัวโตก็ไม่ยอมลดความพยายาม นิ้วเรียวไล้อยู่ที่ริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา นวดคลึงอยู่อย่างนั้นราวกับรอให้ผมพร้อมที่จะเอ่ยคำที่เจ้าตัวต้องการที่ฟัง
“รัก” ผมพูดออกมาเบาราวกับเสียงกระซิบ หากแต่ยังคงก้องดังอยู่ในหัวใจของผม และคงจะในหัวใจของอีกฝ่ายด้วย ดูจากใบหน้าที่ยิ้มจนเห็นฟันขาวครบทุกซี่ ก่อนที่จะดึงผมเข้าไปกอดจนตัวของผมจมมิดลงไปในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนี้
“ขอบคุณนะ รักนะ รักมาก รักนายนะนายความรัก”
“ขอบคุณนะนายความรัก”
ตอนนี้ผมได้ค้นพบแล้วว่า จริงๆแล้วความรักก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีคำนิยามอะไรมากมาย หรือมีความหมายลึกซึ้งอย่างที่หลายคนได้ตามหา เพราะว่าสุดท้ายแล้ว เราก็จะพบคนที่สามารถเข้ามาให้ความหมายของคำว่ารักได้อย่างที่มันเป็น อย่างเช่นกับเจ้าความรักตัวโตของผม ที่วันนี้ผมได้เจอแล้ว แล้วความรักของคุณล่ะครับ คุณเจอความรักของคุณแล้วหรือยัง
*****************************************************
สวัสดีค่ะ ฟิคสั้นเรื่องนี้เป็นฟิคเรื่องแรกที่มาลงในนี้ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะคะ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นจากการสนองนี้ดตัวเองล้วนๆเลย 555555
ถ้าชอบหรือถูกใจก็เม้นติชมได้นะคะ
รัก ♥