พิมพ์หน้านี้ - [novel] นิทานชลาธล by Nat

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-12-2006 10:49:48

หัวข้อ: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 16-12-2006 10:49:48
ขอบคุณ Nat มานะครับที่ให้เผยแพร่เรื่องราวยอดเยี่ยมอันนี้ไว้ที่นี่ด้วย
ผมอ่านแล้วหยุดไม่ได้จริง มัน ลุ้นไปทุกตอน
ใครชอบเรื่องสนุกๆ ตื่นเต้นๆ ก็เรื่องนี้เลยครับ  :yeb:

บทที่ 1

“ธล ไปเข้านอนได้แล้วลูก ดึกมากแล้ว” ชายหนุ่มสวมแว่น กล่าวกับเด็กสาวตัวน้อยที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ เด็กสาวหันมายิ้มให้

“คะพ่อ” เธอตอบพลางลุกไปปิดโทรทัศน์พลางเดินขึ้นห้องไปโดยที่มีผู้เป็นพ่อเดินตามไปอยู่ไม่ห่าง เด็กสาวเปิดประตูห้องนอนของเธอพลางคลานเข้าไปนอนอยู่บนเตียง ผู้เป็นพ่อยืนมองพลางยิ้มให้

“พ่อคะ เล่าเรื่องนั้นให้ฟังอีกสิคะ” เด็กสาวพูดขึ้น ชายหนุ่มเลิ่กตาขึ้นเล็กน้อย

“อะไร จะฟังอีกหรอ” ชายหนุ่มถาม เด็กสาวเริ่มส่งสายตาอ้อนวอน

“นะคะพ่อ เล่าอีกนะคะ หนูอยากฟังอีกนะคะๆ” เด็กสาวเริ่มรบเร้า ผู้เป็นพ่อก็หัวเราะเบาๆก่อนที่จะเดินลงไปนั่งลงข้างเตียงของเด็กสาว

“อืม แล้วคราวก่อนเล่าไปถึงตรงไหนละ” ชายหนุ่มถาม

“ก็ที่บอกว่าเจอเขาครั้งแรกอะคะ” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มคิดอยู่สักพักแล้วก็พยักหน้าให้...


ตอนนั้นเป็นช่วงกลางเดือนหกที่มีฝนตกหนักที่สุดในรอบปีเลยก็ว่าได้ ตอนนั้นพ่อยังเด็กๆพ่อก็ชอบไปเที่ยวเล่นแถวบึงละนะ ปกติพ่อก็จะไปกับเพื่อนๆแต่วันนั้นเหมือนจะไม่มีใครว่างกันเลย

“เฮ้ย นายไม่ไปว่ายน้ำกับเราหรอ” พ่อถามเพื่อนข้างบ้านที่สนิทกัน

“ไม่ได้อะ กฤษณา วันนี้เราต้องเฝ้าบ้าน อีกอย่างนึงท้องฟ้าเหมือนฝนจะตกด้วยนะ” เพื่อนของพ่อพูด พ่อก็เซ็งเลยเพราะใจจริงพ่ออยากว่ายน้ำตั้งนานแล้ว

“แป๊ปเดียวเอง ว่ายไม่นานหรอกน่า เดี๋ยวค่อยกลับมาเฝ้าก็ได้” พ่อยังรบเร้า

“อืม มันไม่ใช่แค่เฝ้าบ้านอย่างเดียวหรอก นายก็ได้ยินไม่ใช่หรอว่าตอนนี้ไอ้เข้มันโพล่ออกมาอีกอะ” เพื่อนของพ่อกล่าว ตอนนั้นมีข่าวเรื่องจระเข้บุกขึ้นฝั่งมาเหมือนกัน แต่พ่ออยากเล่นน้ำมากกว่า

“โอ๊ย เราก็เล่นมาตั้งหลายครั้งแล้วไม่เห็นเจอเลย น่า ไปเถอะ” พ่อเริ่มอ้อน

“ไม่ใช่ไม่อยากนะ แต่มันไปไม่ได้จริงๆ” เพื่อนของพ่อยังยืนยันคำพูดเดิม

“ตามใจ ไม่ไปก็ไม่ไป เราไปคนเดียวก็ได้” พ่อตอบอย่างงอนๆแล้วก็ไปที่บึงตัวคนเดียว บึงที่พ่อไปประจำนั้นมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แล้วก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของพ่อไปเท่าไหร่ สมัยนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าอยู่เยอะ อากาศก็ยังร่มรื่น พ่อเลยเดินเล่นไปเรื่อยๆ แต่แล้วพ่อก็เห็นคนนึงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ พ่อจำเขาได้แม่นเลยละ ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ผิวสีน้ำผึ้งเข้มๆ ใบหน้าคม

“อ๋อ พี่ชลาธลใช่ไหมคะ” เด็กสาวร้องทัก ผู้เป็นพ่อก็ยิ้ม

จ้า แต่อย่าพึ่งขัดตอนพ่อเล่านะ เดี๋ยวพ่อลืม เอ ถึงไหนแล้ว อ๋อ ชลาธล ตอนแรกที่พ่อเจอเขาเขาเป็นคนแปลกๆนะ เขาเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดท่าหลวงละนะ เขาไม่ค่อยพูดค่อยจา จนหลายคนแซวว่าเขาเป็นใบ้ แถมตัวใหญ่ขนาดนั้นแต่กลับใจปลาซิวไม่กล้าทำอะไรใคร ยอมแต่จะโดนเขารังแกข่มเหงอยู่บ่อยๆ พ่อเองก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอกนะ ตอนนั้นพ่อเองก็คิดอยู่แต่เรื่องจะไปว่ายน้ำเท่านั้น พ่อรีบเดินต่อเพื่อจะไปเล่นน้ำในบึง แต่พอไปถึงฝนก็ดันตกเสียนี่ ฝนตกหนักมากแต่ใจของพ่อก็คิดแต่จะเล่นน้ำอย่างเดียว

“เอาเถอะยังไงก็ต้องเปียกอยู่แล้ว” พ่อคิดแล้วก็กระโดดลงน้ำไปทั้งเสื้ออย่างนั้นเลย พ่อก็ว่ายสู้สายฝนอยู่สักพักลมก็เริ่มพัดแรงขึ้นๆ สุดท้ายแล้วพ่อก็ยอมแพ้แล้วก็ขึ้นฝั่ง แต่ทันใดนั้นเอง พ่อก็เห็นบางอย่างยืนอยู่ตรงหน้าพ่อ ปากยาวเต็มไปด้วยฟันอันแหลมคม ลำตัวหุ้มไปด้วยเกร็ดหนาแข็ง หางที่ยาวยืดวางราบไปกับพื้น ดวงตาสีเหลืองจับจ้องมาที่พ่อเขม็งไม่ขยับไปไหน ตอนนั้นพ่อยังเด็กเลยคิดว่ามันเป็นจระเข้ตัวใหญ่เอามากๆ พ่อได้แต่ยืนขาสั่นพลางมองซ้ายมองขวาจะวิ่งหนี แต่พอพ่อเริ่มขยับตัวเท่านั้นมันก็เดินฉับๆเข้ามาหาพ่อทันที มันวิ่งเร็วมากเสียจนพ่อก้าวขาไม่ทัน ปากของมันเปิดกว้าง ฟันซี่คมๆเผยต่อหน้าต่อตาของพ่อ ตอนนั้นพ่อคิดว่าพ่อไม่รอดแน่แล้วแต่

“หยุดนะ” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้น พ่อเงยหน้ามองดูก็พบกับ ชลาธลเขายืนจ้องมาที่พ่อตาเขม็งเลย เจ้าจระเข้ตรงหน้าพ่อมันหุบปากลงพลางหันกลับไปมองชลาธล แล้วมันก็หันหน้ากลับมามองพ่อ มันหลับตาลงช้าๆแล้วมันก็เดินลงน้ำไปทันที พ่อได้แต่มองตาค้างๆ พ่อมองไปที่ชลาธล เขาก็ไม่พูดอะไรแล้วก็เดินหันหลังกลับเข้าป่าไป พ่อนั่งงงอยู่ตั้งนานกว่าพ่อจะตั้งสติ พอพ่อตั้งสติได้พ่อก็รีบวิ่งกลับบ้านไปทันที พ่อก็โดนคุณปู่ของลูกเอ็ดละนะ เพราะออกไปเล่นกลางฝนแบบนั้น แต่พ่อก็ไม่กล้าเล่าเรื่องที่พ่อเจอจระเข้ให้ปู่เขาฟังหรอก อันที่จริงพ่อเองก็ไม่ได้เล่าที่ว่าชลาธลนั้นโพล่มาช่วยพ่อจากจระเข้ด้วยซ้ำ พ่อเลยคิดว่าวันรุ่งขึ้น พ่อคงต้องไปขอบคุณเขาสักหน่อย เช้าวันต่อมาพ่อก็เลยจับรถไปยังวัดท่าหลวง วัดนี้อยู่ติดแม่น้ำน่าน เป็นวัดที่สวยและมีชื่อมากในพิจิตรเลยละ พอพ่อไปถึงพ่อก็เจอหลวงตายุท ซึ่งเป็นหัวหน้าสงฆ์ในวัดนี้

“อ้าว ไอ้กฤษ มาทำไมหรอวะ” หลวงตาถาม พ่อก็ยกมือไหว้

“เออ คือ ชลาธลอยู่ไหมครับหลวงตา” พ่อถาม หลวงตาก็ขมวดคิ้วทันที

“มันเล่นอยู่หลังกุฏิโน่นแนะ มันไปก่อเรื่องอะไรอีกหรือไงวะ” หลวงตาพูดอย่างมีอารมณ์ พ่อเลยรีบพูดไปทันที

“มะ ไม่ใช่ครับหลวงตา คือ ผมอยากจะขอบคุณเขานะครับ” พ่อพูด หลวงตามองพ่ออย่างงงๆ

“ขอบคุณ เรื่องอะไรวะ ไหนๆ เล่าให้ข้าฟังสิ” หลวงตาพูดพลางพาพ่อเข้าไปในกุฏิ พ่อก็เลยจำใจเล่าเรื่องเมื่อวานให้หลวงตาฟัง

“ก็ มันก็มีแค่นี้แหละครับ” พ่อพูด หลวงตาถอนหายใจ พลางมองหน้าพ่อ

“อืม แล้วเอ็งไม่เป็นอะไรนะ” หลวงตาถาม พ่อก็พยักหน้ารับ

“คราวหลังอย่าไปเที่ยวคนเดียวอีกรู้ไหมมันอันตราย ยิ่งช่วงนี้ไอ้เข้มันอาละวาดอยู่ เอ็งเป็นอะไรขึ้นมาพ่อแม่เอ็งไม่เสียใจแย่รึ” หลวงตาตำหนิ พ่อก็พยักหน้ารับ

“ครับหลวงตา แต่หลวงตาอย่าไปบอกพ่อผมนะ เดี๋ยวอดไปเล่นน้ำอีกอะ” พ่ออ้อน หลวงตาก็ส่ายหัว

“เออ ข้าไม่บอกหรอก แต่เอ็งต้องสัญญาว่าจะไม่ไปเที่ยวที่บึงคนเดียวอีก” หลวงตากำชับ พ่อเบ้ปาก แต่ตอนนั้นพ่อก็คิดอยู่เหมือนกันว่าคงจะไม่ขอไปเที่ยวบึงสักพักใหญ่ๆเลยละ

“ครับหลวงตา” พ่อตอบ หลวงตาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แล้วก็เรียกเด็กวัดคนนึง

“เอ็งไปตามไอ้ธลมาหาข้าทีสิ” หลวงตาพูด เด็กวัดคนนั้นก็พยักหน้าแล้วก็วิ่งหายไป หลวงตาหันกลับมามองพ่อ

“แล้ว ไอ้ธลมันทำอะไรบ้างวะ” หลวงตาถาม พ่อก็งงๆเลยถามกลับไปว่า

“ทำอะไร คือ ยังไงครับ” พ่อถาม หลวงตาก็เกาหัวโล้นๆของท่าน

“อืม ก็มันพูดแค่ หยุดนะ แค่นี้ใช่ไหม มันทำอะไรอีกหรือเปล่า” หลวงตาถาม ผมก็ส่ายหัว

“ไม่อะครับ เขาก็พูดแค่นั้น แล้วจระเข้นั่นก็หนีลงน้ำไปเลยอะครับ” พ่อตอบ อันที่จริงพ่อเองก็เริ่มแปลกใจ

“ว่าแต่ทำไมจระเข้มันขี้ขลาดจัง แค่ชลาธลพูดแค่นั้นเอง” พ่อรำพึง

“เออ เฮ้ย อย่าคิดมากเลย จระเข้ก็เหมือนคนนั่นแหละ เจอหมาหมู่มันก็กลัวเหมือนกันน่า” หลวงตาตอบ

“ลูกหมาอะดิหลวงตา” พ่อตอบ หลวงตาก็หัวเราะร่า แล้วชลาธลก็เดินเข้ามาพอเขาเห็นผมเท่านั้นแหละตาเขาก็ตื่นขึ้นมาทันทีเลย

“นั่งลงสิไอ้ธล” หลวงตาสั่ง ชลาธลก็นั่งลงข้างหลวงตาอย่างว่าง่าย

“เอ้า ไอ้กฤษ ไหนว่าเอ็งมีเรื่องจะคุยกับมันไม่ใช่หรอ” หลวงตาหันมาพูดกับพ่อ พ่อก็พยักหน้ารับ พ่อมองหน้าชลาธลแล้ว เขาดูตกใจมากจริงๆ เขาคงกลัวพ่อมาด่าเขาละมั้ง

“เออ คือ เมื่อวานเรา ขอบใจนะที่มาช่วยอะ” พ่อพูด ชลาธลตาค้างเล็กน้อย แล้วก็หันไปมองหลวงตา

“เออ ก็เขามาขอบคุณเอ็งไง” หลวงตาพูด ชลาธลพยักหน้าอย่างงงๆ

“อะ อือ” เขาตอบสั้นๆ ทันใดนั้นเองก็มีเด็กวัดสองสามคนวิ่งเข้ามา

“หลวงตาๆ เย็นนี้ผมขอไปงานวัดนะ” เด็กวัดคนนึงพูดขึ้น หลวงตาก็หันไปมอง

“ตามใจ แต่อย่ากลับดึกมากนะเว้ย ประตูปิดสองทุ่มตรงนะ” หลวงตากำชับ เด็กวัดคนนั้นก็พยักหน้า

“เออ ชวนไอ้ธลมันไปด้วยสิ” หลวงตาพูด เด็กวัดคนนั้นก็ทำหน้าแหยงทันที

“ไม่เอาอะ เอามันไปด้วยเดี๋ยวก็หมดสนุกกันพอดี” เด็กวัดคนนั้นพูด หลวงตาก็พูดขึ้นทันที

“อ้าว แล้วจะปล่อยเพื่อนให้อยู่คนเดียวหรือไงวะ” หลวงตาถาม

“เขาไม่ใช่เพื่อนผมสักหน่อย” เด็กวัดคนนั้นเถียงอีก พ่อมองดูแล้วบรรยากาศดูอึดอัดชอบกล เด็กวัดส่วนใหญ่มองชลาธลด้วยสายตารังเกียจอยู่ไม่น้อย พ่อเองก็เริ่มรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาเล็กๆ

“ไม่เป็นไรครับหลวงตา ผมไม่อยากไปหรอกครับ” ชลาธลพูดขึ้น หลวงตาก็หันไปมอง

“เห็นมะ หลวงตามันไม่อยากไปก็ปล่อยมันอยู่วัดไปเถอะ” เด็กวัดคนนั้นพูดขึ้นอีก หลวงตาก็ถอนหายใจ

“เออๆ เอ็งจะไปไหนก็ไปปะ แล้วก็อย่าไปก่อเรื่องเข้าอีกละ” หลวงตากำชับ เด็กวัดคนนั้นก็พยักหน้าแล้วก็รีบวิ่งออกไปทันที พ่อมองชลาธลที่นั่งเงียบๆแล้วพ่อก็ได้ความคิด

“อืม ธล ไปเที่ยวงานวัดกับเราไหม” พ่อชวน ชลาธลมองหน้าพ่ออึ้งๆ

“เออ ไปสิไอ้ธล เอ็งคลุกอยู่แต่ในวัดมาตั้งนานแล้ว ออกไปข้างนอกบ้างก็ดี” หลวงตาพูด ชลาธลหันมามอง

“จะดีหรอครับหลวงตา” ชลาธลพูด หลวงตาก็ตบหลังเบาๆ

“เออนะ ข้าถือว่าเป็นรางวัลที่เอ็งช่วยไอ้กฤษมันก็แล้วกัน” หลวงตาพูด ชลาธลมองหน้าหลวงตาอย่างไม่แน่ใจ

“เฮ้ย แล้วเอ็งไม่อยากมีเพื่อนกับเขาบ้างหรือไงวะ” หลวงตาพูด ชลาธลหันมามองพ่อ

“ไปเถอะน่า เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง ตอบแทนที่นายช่วยเราไง” พ่อพูดพลางส่งยิ้มให้ ชลาธลมองพ่อตาไม่กระพริบแล้วก็หันไปมองหลวงตา

“อะ อือ” ชลาธลตอบ

“เฮ้ย เอ็งลืมพูดอะไรหรือเปล่า” หลวงตากำชับ ชลาธลสะดุ้งเล็กน้อย

“อะ เออ ขอบคุณ” ชลาธลพูด ผมโบกมือไปมา

“เฮ้ย แค่ขอบใจก็พอแล้วน่า งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เจอกันนะ เดี๋ยวผมขอตัวกลับไปอ้อนพ่อก่อน อิอิ” ผมพูด หลวงตาก็หัวเราะเบาๆ แล้วพ่อก็ลุกขึ้นลงจากกุฏิไป

“ไปละ แล้วเย็นนี้เจอกันนะ” พ่อกล่าวลาพลางเดินกลับบ้านไปอย่างสบายอารมณ์ ตอนนั้นพ่อเองก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ ก็แค่อยากตอบแทนที่เขาช่วยพ่อก็เท่านั้นเอง...

“หาวว” เด็กสาวอ้าปากกว้าง ผู้เป็นพ่อก็ขยี้หัวเด็กสาวเบาๆ

“อะ นอนได้แล้วนะลูก” ชายหนุ่มกล่าวพลางลุกขึ้นจากเตียงของเด็กสาว

“พรุ่งนี้มาเล่าให้ฟังต่อนะคะ” เด็กสาวพูด ผู้เป็นพ่อก็พยักหน้ารับ

“จ๊ะ ตอนนี้นอนได้แล้วนะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางก้มหน้าลงจูบที่หน้าผากของเด็กสาวเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์คะคุณพ่อ” เด็กสาวตอบ

“จ๊ะ ราตรีสวัสดิ์ลูก” ชายหนุ่มพูดพลางเดินไปที่ประตูห้องของลูกสาว เขากดสวิทซ์ไฟลงและปิดประตูห้อง เขายืนพิงประตูห้องพลางถอนหายใจยาว

“ป่านนี้นายไปอยู่ที่ไหนกันนะ ธล” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง ก่อนที่จะเดินไปที่ห้องตรงข้าม

“โดนลูกซักประวัติอีกแล้วหรอคะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ชายหนุ่มก็พยักหน้า

“อืม ดูเหมือนแกจะชอบจริงๆนะ” ชายหนุ่มตอบพลางเดินไปนอนที่เตียง หญิงสาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงก็เขยิบตัวให้

“ฉันก็ว่าสนุกดีออกนะคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มก็หัวเราะ พลางนอนลงบนหมอนแหงนหน้ามองเพดาน

“คุณคงคิดถึงเขาแย่เลยสินะคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ

“อืม ช่างเถอะ มันก็ผ่านไปนานมากแล้วละ” ชายหนุ่มตอบ

“คะ แล้วพรุ่งนี้จะกลับกี่โมงละคะ” หญิงสาวถาม ชายหนุ่มก็หันมามอง

“ก็ ยังไม่รู้เลยจ๊ะ ต้องแล้วแต่เจ้านายว่าจะให้กลับกี่โมงนะ” ชายหนุ่มพูด หญิงสาวก็เบ้ปาก

“แหม ทีกับเจ้านายนี่ยังไงก็ได้เลยนะ แต่พอกับเมียนี่ไม่เห็นมาตามใจบ้างเลย” เธอบ่น ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นโอบร่างของหญิงสาวเอาไว้

“อะ แหมๆ อย่างอนสิที่รัก ก็นี่จะได้เอาเงินไปให้คุณซื้อของไง” ชายหนุ่มอ้อน แต่หญิงสาวกลับเบินหน้าหนี

“เอาของมาล่อก็ไม่ง้อหรอก” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มยิ้ม

“แล้วถ้าเป็นจูบละจ๊ะ” เขาพูดพลางหอมแก้มหญิงสาว ฝ่ายสาวถึงกับพลักตัวชายหนุ่มออกไปด้วยความเขิน

“ทะลึ่งเชียว อย่าคิดเลยนะ พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้าอีก” หญิงสาวกำชับ

“อ้าว ก็ยังงอนอยู่ไม่ใช่หรอ” ชายหนุ่มพูด หญิงสาวหัวเราะเบาๆ

“ล้อเล่นค่า ไม่งอนหรอก แล้วจะกลับเมื่อไหร่ก็โทรบอกแล้วกันนะคะ” เธอกล่าว ชายหนุ่มก็พยักหน้าก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนบนหมอน พลางนึกย้อนไปเมื่อ 24 ปีก่อน ณ ช่วงเวลาที่เขาได้มีความสุขกับชายที่เขารักคนแรกและคนเดียว

“เราคิดถึงนายจัง ธล” ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ ก่อนที่จะม่อยหลับไปกับยามราตรี

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 16-12-2006 11:01:24
 :impress2: :impress2:


 :impress:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 17-12-2006 09:06:07
บทที่ 2

“คุณพ่อวันนี้อย่าลืมเล่าเรื่องอีกนะคะ” ลูกสาวพูดขึ้นบนโต๊ะอาหาร ชายหนุ่มก็ทำหน้างงๆ

“เรื่องอะไรหรอลูก” ผู้เป็นพ่อพูดพลางทำหน้าสงสัย เด็กสาวทำปากจู๋

“อะไรกัน ก็เรื่องของคุณพ่อไงคะ” เด็กสาวท้วงติง ผู้เป็นพ่อก็ขมวดคิ้ว

“เอ๋ พ่อไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ชายหนุ่มตอบ เด็กสาวทำหน้าบึ้ง

“คุณพ่ออะ ก็ไหนว่าจะเล่าให้ฟังอีกไงละคะ คุณพ่ออะผิดคำพูด” เด็กสาวพูดงอนๆ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆในลำคอ

“ล้อเล่นจ้า ทานข้าวให้หมดจานแล้วก็ช่วยแม่เขาล้างจานด้วย แล้วพ่อจะเล่าให้ฟังต่อ ตกลงไหม” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ เด็กสาวก็พยักหน้าพลางก้มหน้าก้มตาทานข้าวอย่างตั้งใจ ผู้เป็นแม่ก็หันมายิ้มพลางขยับปากบอกว่า ขอบใจ หลังจากนั้นไม่นานนักเด็กสาวก็ช่วยแม่ของเธอล้างจานเสร็จก็มาหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

“เสร็จหมดแล้วคะ” เด็กสาวพูด หญิงสาวก็เดินตามออกมาด้วย

“ขอฟังด้วยคนได้ไหมคะ” เธอถาม ชายหนุ่มก็พยักหน้าแล้วทั้งสองสาวก็เดินเข้าไปหาชายหนุ่ม เด็กสาวนั่งลงบนตักของชายหนุ่ม ส่วนภรรยาของเขาก็นั่งลงข้างๆ

“เมื่อวานถึงไหนแล้วนะ” ผู้เป็นพ่อถาม

“ก็บอกว่าจะไปงานวัดกับพี่ชลาธลนะคะ” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มก็พยักหน้า...


ตกเย็นของวันนั้นพ่อก็ไปขออนุญาตคุณปู่นะ งานวัดพ่อไปบ่อยแล้วคุณปู่ก็เลยอนุญาตให้ไปได้

“เออ ไหนๆก็จะไปวัดใช่มะ เอาจดหมายนี่ไปให้หลวงตาเขาหน่อยแล้วกัน” คุณปู่พูด พ่อก็พยักหน้ารับ ตอนแรกพ่อก็ว่าไว้ใกล้ๆเวลางานแล้วค่อยไป แต่คิดไปคิดมาแล้วถ้ารอตอนนั้นคนอาจจะเยอะ อีกอย่างงานก็จัดแถวๆวัดอยู่แล้ว พ่อเลยตัดสินใจแวะไปที่วัดก่อน พ่อก็จับรถกลับไปที่วัดทันที พอไปถึงพ่อก็เห็นหลวงตากับชลาธลกำลังทำวัตรกันอยู่

“อ้าว มีอะไรอีกหรอ งานยังอีกตั้งนานนะ” หลวงตาทักทันทีที่เห็นพ่อ พ่อก็ยกมือไหว้แล้วก็ยื่นจดหมายให้

“คุณพ่อฝากไอ้นี่มาให้หลวงตานะครับ” พ่อพูด หลวงตาก็พยักหน้า พลางรับจดหมายมาอ่านดู พ่อมองดูชลาธลที่กำลังกวาดพื้นอย่างตั้งใจ รูปร่างที่ใหญ่โต ทำเอาพ่ออดคิดไม่ได้เลยว่าพ่อตัวเล็กเกินไปหรือเปล่า

“หลวงตา ตู้มาส่งแล้ว” เด็กวัดคนนึงตะโกน หลวงตาก็พยักหน้า

“เออ ไอ้ธลแบกมันไปที่ห้องข้าทีสิ” หลวงตาพูด ชลาธลก็วางไม้กวาดลงแล้วก็วิ่งไปที่หน้าประตูวัด พ่อก็ตามไปด้วย มันเป็นตู้ไม่สูงมากนักขนาดพอดีตัวของพ่อเลย

“ให้เราช่วยนะ” พ่อพูดพลางจับขอบตู้เอาไว้

“ไม่ต้องไปช่วยมันหรอก มันนะยกเองคนเดียวได้” เด็กวัดคนนึงพูดขึ้น พ่อมองหน้าเขางงๆ เพราะตู้แม้มันจะไม่ใหญ่มากแต่ก็หนักมากทีเดียว

“เฮ้ย พูดเกินไปป่าว หนักขนาดนี้เด็กๆแบกไม่ไหวหรอก” พ่อทัก แต่เด็กวัดพวกนั้นกลับหัวเราะคิกคักแล้วก็วิ่งหายไป พ่อส่ายหัวไปมา

“พวกแล้งน้ำใจ มาเถอะเดี๋ยวเราช่วย” พ่อพูด ชลาธลขมวดคิ้ว

“เราทำคนเดียวได้” ชลาธลพูดพลางเดินมาที่ตู้พลางโอบมันไว้ แล้วเขาก็ยกตู้ขึ้นจากพื้นอย่างไม่ยากเย็น พ่อมองตาค้างๆเลย

“เฮ้ย นายยกได้จริงๆหรอ” พ่อทัก ชลาธลก็ไม่ตอบอะไรพลางเดินแบกตู้เข้าไปที่กุฏิ พ่อก็รีบตามไปทันทีเลย

“เฮ้ย นายไม่หนักเลยหรอ” พ่อถามอย่างงุนงง เพราะตอนที่พ่อลองยกดูมันหนักมากจนพ่อแทบจะดึงมันไม่ขึ้น แต่เขากลับยกตู้หนักขนาดนั้นได้ราวกับมันเป็นแค่กล่องกระดาษใบนึง ชลาธลส่ายหน้าพลางเดินเข้าไปในห้องห้องนึง พ่อมองดูรอบๆห้อง ในห้องค่อนข้างมืดครึ้ม แต่แล้วพ่อก็เห็นหอกเล่มนึงวางไว้ตรงหิ้งอยู่ที่กลางห้อง พ่อตื่นเต้นมากเลยรีบวิ่งเข้าไปดู มันเป็นหอกเหล็กทั้งด้ามเลย พ่อตื่นเต้นมากเลยพยายามจะยกมันขึ้นมา

“อย่าทำแบบนั้น” ชลาธลร้อง หอกเหล็กนั่นหนักเกินไปสำหรับพ่อ พ่อจะวางมันกลับไปที่เดิมแต่เพราะด้วยความที่มันหนักและลื่น พ่อจึงทำหอกหล่นจากหิ้ง ชลาธลก็เดินเข้ามา พลางหยิบหอกวางกลับไปที่หิ้งด้วยมือเพียงข้างเดียวราวกับว่าหอกนั้นเป็นแค่กิ่งไม้ธรรมดา พ่อมองตาค้างๆ

“นะ นี่นายยกมันขึ้นด้วยหรอ” พ่อทัก ชลาธลก็ไม่ตอบแถมเดินออกจากห้องไปอีกต่างหาก พ่อเกาหัวอย่างสับสน แต่ก็เดินตามเขาออกไป

“นายนี่เจ๋งเป็นบ้าเลย นายยกหอกนั่นขึ้นด้วยอะ นายต้องแข็งแรงมากแน่ๆเลย” พ่อพูด ชลาธลก็มองหน้าพ่ออย่างงๆ

“ทำไมหรอ มีอะไรหรอ” พ่อถาม เขาส่ายหัวเบาๆพลางพยายามเปิดปาก

“อะ เออ อืม” เขาทำเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด พ่อก็เลิ่กตาขึ้น

“มีอะไรหรอ อยากจะพูดอะไรก็พูดสิ” พ่อเร่งเร้า ชลาธลก็มองหน้าพ่อ

“อะ เออ นายไม่คิดว่ามันแปลกหรอ” ชลาธลถาม พ่อก็ขมวดคิ้ว

“อะไรหรอที่แปลกนะ” พ่อถามกลับ ชลาธลเขายิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน

“กะ ก็ อืม...” ชลาธลอ้ำอึ้ง พ่อก็พยายามคิดว่าเรื่องอะไรมันน่าแปลก แล้วพ่อก็นึกออก

“อ๋อ ที่ว่านายยกตู้ ยกหอกนั่นได้นะหรอ ก็แหมตัวนายใหญ่ออกขนาดนี้ มันก็พอจะเป็นไปได้อยู่หรอก” พ่อตอบ ชลาธลมองหน้าพ่ออย่างงงๆ

“ละ แล้วนะ นายไม่คิดว่า มันเออ...” ชลาธลอ้ำอึ้งพ่อก็กรอกตาไปมา

“ทำไมหรอ อะไรที่ทำให้นายคิดว่ามันแปลกนักละ” พ่อถามกลับ ชลาธลก็มองหน้าพ่อ

“กะ ก็ อืม ไม่เคยมีใครพูดเหมือนายเลย” ชลาธลตอบ พ่อก็มองเขา

“ปกติเขาพูดว่าอะไรละ” พ่อถามกลับ ชลาธลก็หลบหน้าไป

“ตัวประหลาด” เขาพูดสั้นๆ พ่อเองก็นิ่งเงียบไปสักพัก เพราะอันที่จริงพ่อก็เคยคิดว่าเขาก็เป็นตัวประหลาดอยู่เหมือนกัน พ่อเกาหัวไปมา

“อืม เราก็เคยคิดอะนะว่านายแปลกๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แต่นายก็ทำอย่างอื่นได้นี่ อย่างเมื่อกี้นายยังยกหอกหนักเป็นตันนั่นได้เลย” พ่อพูด เขามองหน้าพ่อแก้มแดงๆ

“ละ แล้วมันไม่แปลกหรอ” เขาถามกลับ พ่อก็ยิ้มให้

“เราว่ามันเจ๋งมากเลยละ” พ่อพูด เขามองพ่อด้วยสายตาสื่อถึงความสุข พ่อเองก็เริ่มรู้สึกว่าคนคนนี้ก็ไม่เห็นจะแปลกอย่างที่เขาพูดกันสักเท่าไหร่ อันที่จริงเขาออกจะมีอะไรดีๆตั้งเยอะ

“อ้าว มาอยู่ตรงนี้เอง งานเขาเปิดให้เข้าแล้วนะ” หลวงตาพูด พ่อก็จับมือของชลาธลเอาไว้

“ไปกันเถอะ” พ่อพูดแล้วก็ลากตัวเขาเข้าไปในงาน ในงานวัด ลูกไม่เคยไปสินะ มันจะมีเกมส์มีอะไรให้เล่นเยอะแยะเลย ยิงเป้า สอยดาว พ่อก็พาชลาธลเดินไปทั่วเลย

“เอ้า เราซื้อให้” พ่อพูดพลางส่งขนมไหมฝันสีชมพูให้ ชลาธลมองดูมันงงๆ

“อะไรอะ” เขาถามพลางเอามือจิ้มๆดู

“ไหมฝัน อร่อยนะลองกินดูดิ” พ่อพูดพลางกัดให้เขาดูเป็นตัวอย่าง ชลาธลก็กัดเข้าไปคำนึงพลางทำปากแจ๊บๆ ตาเขาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที

“เป็นไงอร่อยมะ” พ่อถาม เขาก็พยักหน้าแล้วก็งับอีกคำโตจนพ่ออดยิ้มไม่ได้ เราก็เล่นเกมส์กัน แต่พ่อเล่นเกมส์ไม่เก่งหรอกนะ ก็เล่นเอาสนุกไม่คิดอะไรมากหรอก พ่อเหลือบมองดูชลาธลเป็นพักๆ เขาดูตื่นตาตื่นใจกับงานวัดมากเลยทีเดียว

“นายไม่เคยมาสักครั้งเลยหรอ” พ่อถาม เขาก็ส่ายหัว พ่อยิ้มให้เขา

“ถ้านายอยากมาอีกบอกเราได้เลยนะ เดี๋ยวเรามาเป็นเพื่อนก็ได้” พ่อเสนอ ชลาธลมองหน้าพ่อพร้อมกับยิ้มเขินๆให้

“เอ้า คุณสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ ลูกเด็กเล็กแดงทั้งหลาย ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอยแล้วนะครับ รถไต่ถังกำลังจะเริ่มแล้ว เร่กันเข้ามาดูได้เลยนะครับ” โฆษกในงานประกาศ พ่อหันไปถามชลาธล

“ไปดูกันไหม” เขาก็พยักหน้ารับแล้วเราก็รีบวิ่งไปที่เต็นท์ขนาดใหญ่ที่มีคนมุงกันอยู่เยอะ พ่อออกเงินค่าตั๋วให้เขาแล้วเราก็ต่อแถวกันเข้าไปดู เรายืนดูกันอยู่สักพัก ชลาธลมองดูรอบๆเต็นท์อย่างทึ่งๆ

“เฮ้ย ไอ้ใบ้หลบไปเดะ” เสียงของเด็กคนนึงพูดขึ้น พ่อกับชลาธลหันหลังกลับไปมอง

“กูบอกให้ถอยไปไง” เด็กอีกคนพูดขึ้น พ่อมองดูมันมากันราวๆสี่ห้าคนเห็นจะได้ ชลาธลก็ได้แต่ก้มหน้า

“เฮ้ย เรามาก่อนก็ต้องได้ดูก่อนสิ” พ่อแย้ง ไอ้เด็กนั่นมันก็มองหน้าพ่อ

“กูไม่ได้พูดกับมึง กูพูดกับไอ้ใบ้นั่น กูบอกให้ถอยไป” เด็กบ้าคนนั้นหันกลับไปมองหน้าชลาธล ที่เอาแต่ยืนนิ่ง

“เขาก็มาก่อนมึง มึงก็ต่อแถวรอไปสิวะ” พ่อเริ่มหยาบไปตามอารมณ์

“นี่ ถ้ายังไม่หยุดเสือกเดี๋ยวมีเจ็บตัวนะ” คนของมันอีกคนพูด พ่อเองก็นักเลงนะ ถ้ามันมาหาเรื่องก่อนพ่อก็ไม่ถอยเหมือนกันแหละ

“เดี๋ยวก็รู้ว่าใครกันแน่ที่จะเจ็บ” พ่อย้อน

“เฮ้ยๆ อะไรกันพวกเธอจะทะเลาะกันก็ออกไปทะเลาะกันข้างนอก” เสียงของชายคนนึงเดินเข้ามา

“ก็ไอ้นี่มันแซงคิวเราอะ” เด็กคนนึงพูดขึ้น เขาก็มองหน้าพ่อ

“ผมปล่าวนะ ผมมาต่อตรงนี้ตั้งนานแล้ว ใช่ไหมธล” พ่อหันไปถามแต่ชลาธลก็เงียบ

“เห็นปะมันไม่กล้าพูด เพราะมันแซงจริงๆ” เด็กอีกคนพูด พ่อเริ่มหงุดหงิดแล้ว

“พูดดีๆนะมึง เฮ้ย ไอ้ธลมึงพูดอะไรบ้างสิวะ” พ่อตวาด แต่เขาก็ยังไม่พูดอะไร

“พอเลยๆ เธอก่อเรื่องดีนักออกไปเลยทั้งคู่เลย” ชายคนนั้นพูดพลางจับแขนพ่อกับธลออกจากแถวไป

“แต่ผมไม่ได้... นี่ธลพูดอะไรบ้างสิ” พ่อเถียงแต่ชลาธลก็ไม่พูดอะไร จนพ่อและชลาธลโดนส่งออกมาหน้าเต็นท์ มันน่าขายหน้าก็จริงอยู่ แต่ตอนนั้นพ่อกำลังหัวเสียอย่างแรง

“มึงเป็นอะไรของมึงวะ ฮะ ตัวก็ใหญ่ขนาดนี้ทำไมปล่อยให้คนตัวเล็กๆอย่างนั้นรังแกได้วะ” พ่อตวาดใส่ ชลาธลก็มองหน้าพ่อเศร้าๆแต่ก็ไม่ตอบอะ

“นี่มึงเป็นใบ้จริงๆหรือไงวะ พูดมาเซ่” พ่อตะคอก ชลาธลก็ถอนหายใจเบาๆแต่ก็ไม่ยอมตอบอะไรอีก พ่อเองก็สุดจะทน

“เฮ้ย ทุเรศวะ หลงคิดว่านายเจ๋งที่แท้ก็ไอ้ขี้ขลาดดีๆนี่เอง กูพอจะเข้าใจแล้วทำไมไม่มีเพื่อนก็เพราะทำตัวเหี้ยๆแบบนี้นะสิ” พ่อสถบใส่ ชลาธลมองหน้าพ่อเหมือนจะพูดอะไรแต่เขาก็ไม่พูดออกไป พ่อรำคาญเต็มที่เลยเดินหนีเขาไปเสียอย่างนั้น ตอนนั้นพ่อหงุดหงิดมากจริงๆ พ่อเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แถมเสียความรู้สึกอีก พ่อบอกกับตัวเองเลยว่าจะไม่กลับไปหาเขาอีก แต่ผ่านไปได้แค่อาทิตย์เดียวก็เป็นวันเกิดคุณย่า พ่อเลยต้องตามลงไปทำบุญที่วัดอีก พอพ่อไปถึงหลวงตาก็ทักทันที

“อ้าว ไม่เจอกันตั้งนานไอ้กฤษ หมู่นี้หายหน้าหายตาไปเลยนะ” หลวงตาทักแล้วข้างตัวท่านชลาธลก็ยืนหลบหน้าพ่ออยู่ แต่พ่อเองก็ไม่ได้คิดอยากจะมองเขาอยู่แล้วละ

“ไอ้ธล เอ็งเอาฆังทานไปเก็บไป” หลวงตาสั่ง

“กฤษ เอ็งก็ไปช่วยเขาด้วย” หลวงตาหันมาหาพ่อ พ่อตาค้างๆเลย

“ทำไมผมต้องทำด้วยละ” พ่อแย้ง แต่แล้วหัวของพ่อก็โดนฝ่ามือพิฆาตของคุณปู่ตบเข้าให้หนึ่งที

“เถียงหลวงตาหรอ” ปู่พูด พ่อก็ได้แต่เบ้ปากพลางเดินไปช่วยชลาธลยกฆังทานไปเก็บ พ่อกับเขาเดินเงียบสนิทไม่พูดอะไรกันเลย พ่อเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดอะไรเท่าไหร่นัก

“อะ อืม” ชลาธลส่งเสียง พ่อก็มองหน้าเขา ชลาธลมองหน้าพ่อพลางกำมือแน่น เขาเหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นพ่อยังเด็กแล้วก็หยิ่ง เลยเดินหนีเขาไปเฉยๆเสียอย่างนั้น พ่อกลับไปหาหลวงตา แต่ปู่กับย่าของพ่อหายไปแล้ว

“พ่อแม่เอ็งไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวมานะ มานั่งตรงนี้สิ” หลวงตาพูด พ่อก็ลงไปนั่งตรงหน้าท่าน

“ไปทะเลาะอะไรกับไอ้ธลมาหรอ” หลวงตาถาม พ่อก็พยักหน้า

“ครับ ก็มันนะกวนตีน โดนเขารังแกก็ยังจะไปยอมเขาอีก ตัวก็ใหญ่ขนาดนั้น แรงก็เยอะ ยกตู้ยังยกได้สบายกะอีแค่คนสองสามคนมันจะอะไรนักหนา” พ่อบ่นเป็นชุด หลวงตาก็ถอนหายใจ

“เอ็งคงยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ไอ้ธลมันไม่เหมือนคนอื่นเขาหรอกนะ” หลวงตาพูด พ่อก็เบ้ปาก

“ใช่ ตรงที่ขี้ขลาดไงละ” พ่อแย้ง

“แล้วเอ็งที่ว่าไปต่อยกับคนอื่นเป็นความกล้าหาญหรือไง” หลวงตาถาม พ่อก็ได้แต่ก้มหน้าด้วยความอายเล็กน้อย

“ไอ้ธลมันก็แบบนี้แหละ มันไม่กล้าสู้ใครเท่าไหร่ อันที่จริงมันคงสู้ใครเขาไม่ได้หรอก” หลวงตาพูด พ่อขมวดคิ้ว

“ตัวก็ใหญ่หยั่งกับยักษ์เนี่ยนะ สู้ใครไม่ได้” พ่อแย้ง หลวงตาก็เกาหัว

“อืม แต่ละคนก็มีเหตุผลของแต่ละคนที่ต่างกันไป เอ็งจะมายึดแค่ว่าต้องทำเหมือนที่เอ็งทำแล้วจะถูกนะมันไม่ได้หรอกนะ” หลวงตาพูด พ่อก็พยักหน้าอย่างเซ็งๆ

“ถือว่าข้าขอร้องเถอะวะ เท่าที่ดูแล้วก็มีแต่เอ็งนั่นแหละที่ไอ้ธลเหมือนจะยอมคุยด้วย” หลวงตาตอบ พ่อนี่งงเลย

“อย่างนั้นเนี่ยนะเรียกว่าคุย” พ่อถามกลับ หลวงตาก็ยิ้มให้พ่อ

“เออ ขนาดมันอยู่กับข้ามาตั้งนาน มันยังพูดนับครั้งได้เลย แต่นี่มันเจอเอ็งครั้งแรกมันก็พูดกับเอ็งเลย ข้าขอละไอ้กฤษ ช่วยเป็นเพื่อนมันหน่อยเถอะนะ” หลวงตาพูด พ่อก็ได้แต่ถอนหายใจ ชลาธลก็เดินเข้ามา เขามองหน้าพ่อด้วยแววตาเศร้าๆ พอหลวงตาสั่งสอน พ่อก็เริ่มค่อยๆมองเห็นอะไรมากขึ้น เขาเองก็อาจจะมีปัญหาของเขาเอง หรือ เขาอาจจะเป็นพวกไม่ชอบหาเรื่องใครก็ได้

“อะ อืม เออ...” ชลาธลออกเสียง ทั้งพ่อและหลวงตาต่างก็หันไปมอง ชลาธลยืนกำมือแน่นพลางจ้องตาพ่อเขม็ง

“คะ คือ เราขอโทษนะ” ชลาธลพูดขึ้นแก้มแดงแจ๋งเลย หลวงตาก็หันมามองพ่อ พ่อก็ถอนหายใจยาว

“อืม เราเองก็ต้องขอโทษนายเหมือนกัน” พ่อพูด ชลาธลมองหน้าผมงงๆ พลางมองหน้าหลวงตา

“เออ เป็นเพื่อนกันไว้นะดีแล้ว เอ็งก็ใจเย็นลงบ้างสิไอ้กฤษ” หลวงตาดุ พ่อก็พยักหน้ารับ

“ส่วนเอ็งก็ไม่ต้องระวังขนาดนั้นก็ได้ แค่อย่าให้มันเกินเลยก็แล้วกัน” หลวงตาหันมาพูดกับชลาธล ชลาธลก็พยักหนัารับ

“เอ้า ทีนี้ทั้งสองคนก็ไปเล่นกันได้แล้วไป ข้าจะขอคุยธุระกับพ่อเอ็งหน่อย” หลวงตาพูด พ่อกับชลาธลก็เดินไปที่หลังกุฏิ พ่อมองดูชลาธลแล้ว จริงๆเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่ไม่อยากจะมีเรื่องกับใครมากกว่า

“อืม พรุ่งนี้ว่างไหม” พ่อถาม ชลาธลก็พยักหน้า

“ดี งั้นไปว่ายน้ำกันไหม” พ่อเสนอ เขาก็ค่อยๆอ้าปากช้าๆ

“อืม ไปสิ” เขาตอบ พ่อตบหลังเขาเบาๆ

“จะพูดก็พูดได้นี่นา” พ่อตอบ เขาก็ยิ้มให้เป็นรอยยิ้มแรกจากเขาที่พ่อได้เห็น และมันเป็นรอยยิ้มที่สดใสเสียจริงๆ...


ชายหนุ่มค่อยๆจับตัวลูกสาวของเขาที่หลับสนิทไว้ในอ้อมแขนพลางค่อยๆอุ้มเธอขึ้นไปนอนบนเตียงในห้องของลูกสาว หญิงสาวก็เดินตามขึ้นไปเปิดไฟที่ห้องของเด็กสาวให้พลางเปิดผ้าห่มออก ชายหนุ่มวางร่างของเด็กสาวที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องลงบนเตียง ภรรยาของเขาก็เอาผ้าห่มคลุมร่างของเด็กสาวเอาไว้ ชายหนุ่มจูบลงที่หน้าผากของเด็กสาวเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ” ผู้เป็นพ่อกระซิบ ส่วนหญิงสาวก็หอมแก้มของลูกสาวของตนพลางจับมือสามีของตนเอาไว้พลางเอาหัวซบไปที่ไหล่ของชายหนุ่ม

“แล้วเรื่องเป็นยังไงต่อหรอคะ” เธอหันไปถาม ชายหนุ่มก็หัวเราะเบาๆ

“เอาไว้รอพรุ่งนี้แล้วกัน เดี๋ยวยัยธลจะโกรธหาว่าผมเบี้ยวอีก” ชายหนุ่มพูด หญิงสาวก็หัวเราะเบาๆก่อนที่ทั้งสองจะเดินกลับไปที่ห้องนอนของพวกเขา

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Lucifer ที่ 17-12-2006 11:02:43
 :impress2: อยากอ่านๆ


มาต่อเร็วๆ นะคับ  :impress:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-12-2006 21:33:24
สงสัยต้องเปลี่ยนชื่อเรื่อง อิอิ บอร์ดนี้ท่าทางจะชอบชื่อเรื่องเถื่อนกันมากกว่าม้าง คิกคิก

บทที่ 3

ชายหนุ่มกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะ ส่วนลูกสาวของเขาก็นั่งเล่นตุ๊กตาอยู่ไม่ห่างนัก แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเสาร์ แต่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจนักชายหนุ่มและครอบครัวเลยตัดสินใจรอยู่ที่บ้านจนกว่าอากาศจะดีขึ้น

“ทานขนมกันไหม” เสียงของหญิงสาวพูดขึ้นพร้อมทั้งยกถาดขนมเข้ามาในห้อง ผู้เป็นพ่อก็ลดหนังสือพิมพ์ลงพลางมองดูขนมในถาด

“มีอะไรกินจ๊ะแม่” ชายหนุ่มถาม

“ถั่วตัดจ๊ะ” เธอตอบ ชายหนุ่มสะดุดเล็กน้อย

“มีอะไรหรือเปล่าคะ นึกว่าพ่อชอบเสียอีก” ภรรยาของเขาถาม ชายหนุ่มส่ายหัว

“ปะ เปล่าจ๊ะ แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆนะ” ชายหนุ่มพูด

“เรื่องของพี่ชลาธลใช่ไหมคะ” เด็กสาวหันมาถาม ผู้เป็นพ่อก็ยิ้มรับ

“จ๊ะ ราวๆนั้นแหละ” ชายหนุ่มพูด

“งั้นคุณพ่อเล่าให้หนูฟังต่อสิคะ ลิลี่ก็อยากฟังเหมือนกัน ใช่ไหมลิลี่” เด็กสาวหันไปพูดกับตุ๊กตาของตน ชายหนุ่มเหลือบมองภรรยาของตนซึ่งนั่งลงที่เก้าอีกข้างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...


หลังจากที่พ่อกับธล พ่อขอเรียกธลแล้วกันนะ พ่อกับธลปรับความเข้าใจกันแล้วพ่อก็เลยชวนเขาไปว่ายน้ำกัน พ่อไปชวนธลถึงที่วัดเลยละ

“พร้อมยัง” พ่อถาม ธลเขาก็พยักหน้าแล้วพ่อกับเขาก็เดินไปด้วยกัน ระหว่างทางพ่อก็เอาขนมถั่วตัดไปกินแกล้มด้วย

“นายเคยกินนี่ปะ” พ่อถามเขาพลางยื่นขนมส่งให้ ธลก็รับมาแล้วก็เคี้ยวมันลงไป

“อร่อยมะ” พ่อถาม ธลก็พยักหน้า

“อะ อืม อร่อย” เขาตอบ พ่อก็ยิ้มแล้วก็ส่งให้เขาอีก

“หยิบตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจถ้าชอบเดี๋ยวเอามาให้อีก” พ่อพูด เขาก็พยักหน้าแล้วเราสองคนก็เดินไปที่บึงประจำ พ่อไม่ได้มาที่บึงนี้ก็นานอยู่เหมือนกัน ก็ตั้งแต่เจอจระเข้อะนะ แต่อากาศร้อนๆของวันนั้นทำให้พ่อลืมเรื่องจระเข้ไปจนหมดเลย

“นายว่ายน้ำเป็นปะ” พ่อหันไปถาม อันที่จริงพ่อนะถามผิดคนเสียแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ธลนะว่ายเป็น แต่ว่ายเก่งมากอีกด้วย ธลก็พยักหน้ารับ แล้วพ่อก็ เออ ถอดเสื้อออกอะนะ แล้วก็ลงไปเล่นในน้ำ

“เฮ้ย มาว่ายน้ำแข่งกันดีกว่า” พ่อท้า ธลก็พยักหน้ารับอีก

“ว่ายจากตรงนี้ ใครไปถึงต้นตะเคียนตรงนั้นได้ก่อนชนะ” พ่อบอกกฏ ธลเขาก็พยักหน้าอีก

“นับถึง สามนะ หนึ่ง สอง สาม” พ่อพูดจบก็รีบออกตัวไปทันที พ่อเองก็ว่ายน้ำได้เร็วไม่หยอกนะขอบอก ทำไม ไม่เชื่องั้นหรอ

“เปล่าคะ แค่สงสัยนิดหน่อย อิอิ เล่าต่อเถอะคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มก็กรอกตาไปมา

ดูสิลืมเลย อ๋อ ว่ายน้ำ เออ พ่อก็ท้าธลว่ายน้ำอะนะ พ่อนี่เร่งสปีดเต็มที่เลย พ่อว่ายไปได้แค่ครึ่งทางพ่อก็เห็นธลเขาไปลอยคออยู่ที่ใต้ต้นตะเคียนแล้ว

“เฮ้ย นายถึงแล้วหรอ” พ่อร้องอุทาน ธลก็พยักหน้า พ่อมองเขางงๆพลางว่ายเข้าไปหาเข้าใกล้ๆ

“ทำไมว่ายเร็วเงี้ย” พ่อถาม เขาก็ยกไหล่ แต่พ่อไม่ยอมใครง่ายๆหรอก แหมพ่อเองก็ว่ายแพ้นับครั้งได้นะ แต่ไม่เคยแพ้หลุดลุ่ยขนาดนี้

“เฮ้ย เมื่อกี้มันแค่ซ้อมเว้ย ตอนนี้เอาจริงแล้วนะ ใครว่ายกลับไปที่ตรงนั้นก่อนชนะนะ พร้อมยัง หนึ่ง สอง สาม” พ่อพูดเร็วจี๋ แล้วก็ออกแรงจ้วงแบบไม่ลืมหูลืมตา กะว่าคราวนี้ชนะแน่ๆ แต่พอพ่อว่ายเข้าไปใกล้ฟั่งพ่อก็เห็นร่างกำยำผิวสีน้ำผึ้งเข้มยืนรออยู่ก่อนแล้ว พ่อมองหน้าเขาอย่างงงๆ

“นะ นี่นายมาถึงนานแล้วหรอ” พ่อถาม ธลก็ทำท่าคิด

“ก็สักพักนะ” เขาตอบ พ่อเกาหัวอย่างสุดจะเชื่อเลย สองครั้งนี่ไม่เรียกว่าบังเอิญแล้ว

“โห นายนี่ว่ายน้ำเร็วเป็นบ้าเลยวะ ทำไงละเนี่ย” พ่อถาม เขาก็เบ้ปาก

“อืม ก็ทำตามปกติ” ธลตอบ

“นายนี่เก่งจัง ยกของหนักก็ได้ ว่ายน้ำก็เร็ว” พ่อชม ธลก็ยิ้มให้พ่อเขินๆ แล้วเราสองคนก็ขึ้นไปตากตัวให้แห้งบนฝั่ง พ่อนอนมองดูท้องฟ้าสีคราม สายลมพัดอ่อนๆพอทำให้ใจสบาย แล้วพ่อก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พ่อชันตัวเองขึ้นนั่งลงกับพื้น

“เออ แล้วนายทำยังไงหรอไอ้เข้นั่นมันถึงหนีไปอย่างนั้นอะ” พ่อถาม เพราะพ่อจำได้ว่าธลเขาโพล่มาแค่บอกว่า หยุดนะ แล้วไอ้เข้นั่นก็จ๋อยเดินหนีลงน้ำไปเลย ธลก็เงียบลง

“กะ ก็ อืม ก็ทำตามปกติ” ธลตอบ พ่อก็ขมวดคิ้ว

“เฮ้ย คนปกติเขาจะหยุดไอ้เข้เขาต้องใช้หอก ใช้อะไรนะ” พ่อแย้ง ธลดูอึดอัดกระสับกระส่ายชอบกล แต่แล้วพ่อก็นึกถึงคำพูดของหลวงตาที่ว่าคนเรามีเหตุผลของแต่ละคนที่ต่างกันไป พ่อเลยเปลี่ยนเรื่อง

“ช่างเถอะ ว่าแต่ถ้าเจอไอ้เข้อีก นายช่วยไล่มันไปอีกได้ปะ” พ่อพูด ธลก็พยักหน้า

“อืม” เขาตอบ พ่อก็ยิ้มให้

“ขอบใจนะ” พ่อพูด แล้วเราก็นอนพึ่งลมกันต่อ แต่แล้วอยู่ดีๆธลก็ลุกขึ้นพรวดพราด

“รีบกลับเถอะ หลวงตาเรียก” ธลพูดพลางหยิบเสื้อขึ้นมาใส่ พ่อรีบมองไปรอบตัวเลย

“ไหนอะ” พ่อหันไปทั่วแต่พ่อก็ไม่เห็นหลวงตาเลย แต่ธลแต่งตัวเสร็จแล้ว

“ไปเถอะ เรื่องใหญ่” ธลพูด

“ตะ แต่ตัวยังไม่แห้งเลย” พ่อแย้ง เพราะตัวพ่อยังเปียกอยู่เลย

“ต้องรีบแล้วนะ” ธลพูด พ่อก็พยักหน้าพลางจำใจใส่กางเกงไปตัวนึงก่อนไว้ตัวแห้งแล้วค่อยใส่เสื้อ จากนั้นเราก็วิ่งกลับไปที่วัดในทันที หลวงตาออกมายืนรอที่หน้าวัดอยู่ก่อนแล้ว พ่อก็ยกมือไหว้หลวงตาตามมารยาท

“ข้าอยากให้เจ้าไปบึงสีไฟนะ เรื่องด่วน” หลวงตาพูด ธลก็พยักหน้า

“ให้เราไปด้วยไหม” พ่อพูด

“ไม่ได้ เอ็งไปไม่ได้” หลวงตากำชับ พ่อก็สะดุ้งเลยพลางขมวดคิ้ว

“ทำไมละหลวงตา” พ่อถาม หลวงตาก็ส่ายหัว

“มันยังไม่ถึงเวลาของเอ็งที่จะรู้ อีกอย่างพ่อเอ็งก็บอกให้กลับบ้านได้แล้วด้วย” หลวงตาพูด พ่อก็ยิ่งสับสนใหญ่ เพราะปกติแล้วคุณปู่มักไม่ค่อยเรียกพ่อกลับบ้านเท่าไหร่ถ้าไม่มีเรื่องใหญ่อะไร พ่อเริ่มงง แต่ก็ต้องกลับไม่งั้นอาจโดนเบิดกะโหลกได้

“งั้น เรากลับก่อนนะ แล้วไงเจอกัน” พ่อกล่าวลาธล พลางยกมือไหว้หลวงตา แล้วพ่อก็จับรถกลับบ้าน พอมาถึงบ้านปู่ก็ถามพ่อเป็นชุดเลย

“หายหัวไปไหนมา นี่แอบไปเล่นน้ำอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” ปู่คำราม พ่อก็พยักหน้ารับ

“ตะ คราวนี้มีธลไปด้วยนะ” พ่อแย้ง ปู่จับไหล่ของพ่อเอาไว้

“ต่อให้มีใครไปก็ห้ามไปอีกรู้ไหม มันอันตราย ไอ้เข้มันออกอาละวาดอีกแล้ว” ปู่เตือน พอพูดถึงจระเข้พ่อก็เสียวสันหลังวาบเลย เพราะพ่อก็เคยเจอตัวจริงมาแล้ว พ่อเลยตัดสินใจว่าคงอาจจะต้องหยุดว่ายน้ำไปจนกว่าเรื่องไอ้เข้จะซาลง

“กลับมาก็ดีแล้ว ไปช่วยแม่มึงก่อฟืนไป” ปู่ไล่ พ่อก็เลยไปช่วยแม่ก่อฟืนข้างหลังบ้าน ตกเย็นของวันนั้นพ่อรู้สึกไม่สบายใจเอาเลย ฝนตกหนักมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน พ่อก็ต้องช่วยทั้งบ้านหาขันรองกันว่อนเลย มันแปลกอยู่ในใจเล็กๆที่พ่อรู้สึกเป็นห่วงธลขึ้นมาเสียอย่างนั้น มันเหมือนมีลางสังหรณ์อะไรสักอย่างบอกว่าธลกำลังลำบาก แต่ฝนที่ตกหนักทำให้พ่อออกจากบ้านไปไม่ได้เลย พ่อเลยตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ถ้าฝนมันหยุด พ่อจะไปหาธลเขาดู แล้วก็โชคดีหน่อย วันรุ่งขึ้นมาอากาศแจ่มใสพ่อรีบบึ่งออกจากบ้านไปที่วัดทันที พอไปถึงพ่อตกใจแทบแย่ เพราะธลร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเต็มไปหมดเลย

“เฮ้ย นายไปทำอะไรมาอะ” พ่อถามพลางเข้าไปดูเขาด้วยความเป็นห่วง ธลก็มองหน้าพ่อแปลกๆ

“มะ ไม่มีอะไร” เขาตอบสั้นๆ พ่อไม่เชื่อเด็ดขาดเลย

“ไม่มีอะไรได้ไง ดูดิ แผลเต็มตัวเลย เมื่อวานโดนใครรังแกมาหรอ” พ่อถามเขา ธลก็ส่ายหัว

“ปะ เปล่านี่ กะ ก็แค่อุบัติเหตุนิดหน่อย” ธลตอบ พ่อฉุนขาดเลย

“นิดหน่อยอะไรกัน ดูสิเนี่ยแผลเต็มตัวขนาดนี้เนี่ยนะ” พ่อพูด พลางสำรวจร่างของเขาไปทั่ว แผลของธลเยอะมาก บางแห่งก็ลึก แถมแผลก็ดูแปลกๆ เหมือนเป็นรอยเขี้ยวอะไรงั้นเลย

“นี่นายโดนอะไรกัดมางั้นหรอ” พ่อถาม

“เอะ อะโวยวายอะไรกันวะ ไอ้กฤษ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” หลวงตาถาม พ่อก็หันไปไหว้

“ก็เมื่อกี้อะครับ หลวงตาดูดิ ทำไมธลเขาเป็นแบบนี้ละ” ผมถาม หลวงตาก็ถอนหายใจเบาๆ

“เออ น่าเดี๋ยวมันก็หาย” หลวงตาพูดอย่างเย็นชา พ่อแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลย

“หลวงตา ทำไมพูดงี้ละ ธลเขาบาดเจ็บขนาดนี้ หลวงตาไม่คิดจะพาเขาไปหาหมอเลยหรอ” พ่อแย้ง หลวงตาได้แต่ถอนหายใจ

“เอาน่า มันไม่เป็นไรมากหรอกไม่ต้องห่วงนะ เฮ้ย ไอ้ธลได้เวลาแล้ว” หลวงตาพูด ธลก็พยักหน้าพลางเดินไปหาหลวงตา

“นี่จะไปอีกหรอ ทั้งๆที่บาดเจ็บขนาดนี้เนี่ยนะ” พ่อร้อง

“เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เกี่ยว กลับบ้านไปได้แล้ว และก็ช่วงนี้อย่าพึ่งมาเจอไอ้ธลมันก็แล้วกันนะ” หลวงตาพูด พ่อกำหมัดแน่นเลย หลวงตาก็หลวงตาเถอะ ทำแบบนี้พ่อเองก็ฉุนขาดเหมือนกัน

“แล้วธลเขาเป็นผู้ใหญ่นักหรือไงกัน เขาบาดเจ็บขนาดนี้หลวงตายังใช้งานเขาหยั่งกับวัวกับควาย วัวควายที่บ้านผมมันป่วยม้นเจ็บ มันยังได้พักเลย แต่นี่เขาเจ็บขนาดนี้หลวงตายังจะใช้เขาอีก มันจะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอ” พ่อตะโกนใส่ หลวงตาถอนหายใจยาวพลางเกาหัว ธลก็เดินเข้ามาจับไหล่ของพ่อเอาไว้

“ไม่ต้องห่วงนะ เราไม่เป็นอะไรมากหรอก นายอย่าใส่ใจเรามากเลย” ธลพูด

“แต่นายเป็นแบบนี้” พ่อตอบ ธลก็ส่ายหัว

“ไม่นานหรอก พอเรื่องจบแล้ว เราไปว่ายน้ำกันอีกนะ” ธลพูด พ่อก็พยักหน้า

“แล้วอีกนานไหมอะกว่าจะจบ” พ่อถาม

“ถ้าเอ็งปล่อยเขาไปมันไม่นานนักหรอก มัวแต่พูดอยู่อย่างนี้มันจะยิ่งจบช้าลงนะ” หลวงตาพูด พ่อมองหน้าธล แววตาของเขามันส่องประกายแปลกๆ เหมือนจะบอกให้พ่อรู้ว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง พ่อเบ้ปากเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับรู้

“นายอย่าเป็นอะไรนะ สัญญาแล้วนะว่าจะต้องกลับมาว่ายน้ำด้วยกันอีก” พ่อพูด พลางชูนิ้วก้อยขึ้น

“เกี่ยวก้อยสัญญากัน ถ้าใครผิดสัญญาขอให้ฟ้าผ่า” พ่อพูด ธลก็ยกมือของเขาแล้วเอานิ้วก้อยของเขาเกี่ยวเข้ากับนิ้วของพ่อ

“อืม สัญญา” ธลพูด แล้วธลก็เดินไปกับหลวงตาปล่อยให้พ่อยืนงงอยู่ตรงนั้น พ่อเองก็สับสนไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมธลถึงได้มีบาดแผลอะไรมากมายขนาดนั้น พ่อเดินคิดอย่างสับสนแต่ขณะที่พ่อเดินกลับจะไปขึ้นรถนั้นเอง พ่อก็ได้ยินเสียงของหลวงตาพูดกับธลว่า

“คืนนี้คงต้องให้เอ็งกลับไปที่บึงสีไฟอีกทีวะ” หลวงตาพูด พ่อตาค้างๆเลย นี่เขาจะให้กลับไปอีกหรอ

“ผมพอเข้าใจครับ” ธลพูด หลวงตาก็จับไหล่ของธลเอาไว้

“ถ้าเป็นไปได้ อย่าเปิดมันออกนะ” หลวงตากำชับ เปิดอะไรกัน พ่อเริ่มสงสัย ธลก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้า พ่อเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรนักหรอก แต่พ่อเป็นห่วงธลและพ่อเลยตัดสินใจแอบตามธลไปที่บึงสีไฟ...


“โครกกก” เสียงท้องร้องดังสนั่นหวั่นไหว ชายหนุ่มยิ้มแก้มแดงๆ หญิงสาวกับลูกสาวก็หัวเราะร่า

“ฮะ ฮะ ฮะ ดูท่าพ่อจะใช้พลังงานในการเล่าเรื่องเยอะไปหน่อยละมั้ง” หญิงสาวพูดพลางเอามือเช็ดน้ำตาที่มันเล็ดออกมา

“แหม เล่าให้ฟังนี่ไม่ง่ายๆนะ ไม่เห็นบุญคุณกันบ้างเลย” ผู้เป็นพ่อกล่าวงอนๆ

“อะ จ๊ะ อืม ฝนก็หยุดแล้วนี่นา เราออกไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่าไหม” ผู้เป็นแม่เสนอ

“ดีเหมือนกัน ลูกอยากกินอะไรจ๊ะ” ชายหนุ่มหันไปถามลูกสาว เด็กสาวก็ก้มถามตุ๊กตาในมือ

“ลิลี่อยากกินอะไรคะ” เด็กสาวถาม พลางเอียงหูไปใกล้ๆปากของตุ๊กตา

“ลิลี่บอกอยากกินสุกี้คะ” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มก็พยักหน้า

“งั้นลิลี่คงต้องลำบากหน่อยละ เพราะพ่อของธลนะจะแย่งลิลี่กินเสียแล้วละ” ผู้เป็นพ่อตอบ เด็กสาวก็ยิ้ม

“ไม่เป็นไรคะ ลิลี่กินไม่เยอะ อีกอย่างคุณพ่อตัวใหญ่กว่าลิลี่ คุณพ่อก็ต้องกินเยอะกว่าลิลี่สิคะ” เด็กสาวพูด

“ธลเองก็ตัวใหญ่กว่าลิลี่ เพราะงั้นธลก็ต้องกินเยอะกว่าลิลี่เหมือนกันนะจ๊ะ” ผู้เป็นแม่กล่าว เด็กสาวก็พยักหน้า

“ไปกันดีกว่า ก่อนที่กระเพาะของพ่อจะเริ่มกินตัวเอง” ชายหนุ่มพูดแล้วทั้งสามคนก็เดินออกจากบ้าน ล๊อกประตบ้านแล้วก็ขึ้นรถไป
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 19-12-2006 09:11:43
ลงชื่อไว้ก่อน เดี๋ยวตามอ่านน้า  :impress:

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 19-12-2006 10:48:44
ตามมาอ่านอีกคนคับ :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-12-2006 21:13:56
อ่านทันยังครับ หุหุ

บทที่ 4

ชายหนุ่มขับรถเข้ามาจอดในบ้าน พอเขาลงจากรถเท่านั้น ลูกสาวของเขาก็วิ่งเข้ามาหาเขา

“สวัสดีคะคุณพ่อ” เด็กสาวพูดพลางยกมือไหว้ ชายหนุ่มก็รับไหว้

“สวัสดีจ๊ะ วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง” ผู้เป็นพ่อถาม เด็กสาวก็ยิ้มให้

“วันนี้หนูตอบคำถามวิชาภาษาไทยได้ ครูเลยให้ดาวหนูหนึ่งดวงคะ” เด็กสาวตอบ ชายหนุ่มก็ยกตัวลูกสาวขึ้นอุ้ม

“เก่งจังเลย ลูกใครเนี่ย” ผู้เป็นพ่อกล่าว

“ลูกคุณแม่คะ” เด็กสาวตอบ ผู้เป็นพ่อก็เบ้หน้า

“อ้าว แล้วพ่อละ” ชายหนุ่มถาม เด็กสาวก็ยิ้ม

“คะ หนูก็ลูกคุณพ่อเหมือนกันคะ” เด็กสาวตอบ ชายหนุ่มก็วางเด็กสาวลง

“พ่อจ๊ะ ธล ทานข้าว” เสียงของภรรยาของเขาดังขึ้น ทั้งสองต่างจูงมือเดินเข้าไปยังห้องทานข้าว

“พ่อจ๊ะ วันนี้ลูกเราเขาได้ดาวด้วยนะ” ผู้เป็นแม่กล่าวชม ชายหนุ่มก็ยิ้ม

“หนูบอกพ่อแล้วคะแม่” ลูกสาวบอก

“อืม แบบนี้ต้องให้รางวัลเสียหน่อยแล้วละมั้ง” ชายหนุ่มพูด

“เอาเป็น เรื่องของคุณพ่อดีไหมลูก” ภรรยาของเขาเสนอ ลูกสาวก็พยักหน้าหงึกๆ

“ดีคะคุณแม่ นะคะคุณพ่อ” เด็กสาวอ้อนวอน ชายหนุ่มก็ยิ้มให้พลางสูดหายใจลึก...


หลังจากที่พ่อแอบฟังเรื่องที่ธลพูดกับหลวงตาแล้วพ่อก็ตัดสินใจจะแอบไปเจอธลเขาที่บึงสีไฟ บึงนั่นเป็นบึงขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ มันจึงกินอาณาบริเวณค่อนข้างจะมากอยู่ พ่อตัดสินใจปั่นจักรยานไปดักรอเขาเพราะว่าเย็นๆแล้วรถที่จะไปมันไม่มี พอพ่อไปถึงพ่อก็ยังไม่เห็นอะไรนะ พ่อเลยคิดว่าธลอาจจะยังมาไม่ถึง พ่อเลยตัดสินใจนั่งรอเขาอยู่ที่บึง พ่อเองก็สุดจะเข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทั้งๆที่ธลเองก็มีบาดแผลหนักขนาดนั้น แต่ทำไมหลวงตาถึงยังให้เขาไปทำงานอะไรอีก พ่อนั่งรอไปเรื่อยๆ อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นทุกขณะ จนพ่อเริ่มเป็นกังวลว่าพ่อมารอถูกที่หรือเปล่า แต่แล้วพ่อก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาแต่ไกล พ่อรีบก้าวเท้ายาวไปตามเสียง แต่ด้วยความที่มันมืดพ่อจึงมองอะไรได้ไม่ถนัดเท่าไหร่นัก แต่พ่อก็พยายามใช้หูของพ่อตามเสียงไปเรื่อยๆ จนเสียงค่อยๆดังขึ้นๆ พ่อจึงเริ่มมั่นใจแล้วว่าพ่อมาถูกที่

“โหก โหก” เสียงคำรามแปลกๆดังขึ้น

“แต่มันไม่ถูกนะครับ” เสียงของธลดังขึ้น พ่อมั่นใจแล้วละว่าพ่อมาถูกแล้ว พ่อค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้นอย่างเงียบๆ

“กรรร” เสียงนั่นดังกลับมาอีก พ่อได้แต่ทำหน้างงๆ นี่มันอะไรกัน

“แต่ตอนนี้มนุษย์ก็ให้การดูแลพวกท่านนี่ครับ” ธลตอบกลับไป พ่อก้มตัวหลบตรงพุ่มไม้ที่นึง แสงจันทร์พอให้พ่อมองเห็นร่างของธลได้

“กรร โหก โหก กรร” เสียงนั่นตอบกลับมาก ลูกไม่ต้องงงหรอก ตอนนั้นพ่อก็ทำหน้าเหมือนลูกตอนนี้แหละ

“แต่ว่า...”

“กรร” เสียงนั่นร้องขึ้น

“สุรชัยครับ ผมขอร้องละครับ อย่าทำแบบนี้เลย” ธลอ้อนวอน

“โหก โหก กรร โหก กรร กรร” เสียงนั่นตอบกลับมาอีก พ่อมั่นใจแล้วว่าธลต้องไม่ได้พูดอยู่กับคนแน่ๆ เพราะถ้าคนคงไม่ส่งเสียงร้องแบบนั้น

“ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมเป็นมนุษย์อยู่แล้ว แต่ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าผมเป็นจระเข้เหมือนกัน” ธลตอบ พ่ออึ้งเลย นี่ธลไม่ใช่มนุษย์นี่มันหมายความว่ายังไง

“โหกกกกกก” เสียงนั่นร้องอีกพ่อนี่งงไปหมดเลยตอนนั้น แล้วที่ธลไม่ใช่มนุษย์นี่เรื่องจริงหรอ พ่อเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่ พ่อจึงพยายามขยับตัวเข้าไปให้ใกล้ขึ้นกว่าเดิมเพื่อจะดูว่าธลนั้นคุยอยู่กับใครกันแน่ พ่อค่อยๆลุกขึ้นอย่างเงียบกริบ พลางพยายามขยับตัวไปข้างหน้า แต่เพราะมันมืดพ่อเลยมองอะไรไม่ชัด พ่อจึงเหยียบกิ่งไม้เข้าให้กิ่งนึงเสียงดังป๊อก

“กรรร” เสียงนั่นคำราม พ่อสะดุ้งเล็กน้อย แต่กว่าพ่อจะรู้ตัวก็มีเงาบางอย่างเคลื่อนตัวมาตรงหน้าพ่อ กว่าพ่อจะรู้สึกตัวขาของพ่อก็โดนอะไรบางอย่างหนีบเอาไว้ ร่างของพ่อปลิวไปตามลมแล้วหล่นลงกลางพื้นเสียงดัง พุก

“กฤษ” ธลอุทาน

“โหก” เสียงนั้นร้องขึ้น พ่อหันไปดู ตาพ่อแทบจะหลุดเพราะสิ่งที่พ่อเห็นตรงหน้ามันคือจระเข้ตัวใหญ่มาก ใหญ่กว่าตัวที่พ่อเคยเห็นครั้งแรกเสียอีก แค่ปากของมันก็กลืนร่างของพ่อเข้าไปทั้งร่างได้โดยไม่ต้องเคี้ยวเลย โดยที่พ่อยังไม่ทันทำอะไรมันก็วิ่งพรวดๆเข้ามาหาพ่อทันที ม้นอ้าปากกว้าง เขี้ยวนับสิบเรียงรายอยู่ตรงหน้าพ่อ แต่พลันร่างของมันก็ถอยรูดไปข้างหลัง พ่อหันไปมอง

“หนีเร็ว” ธลตะโกนร้อง มือของเขาก็จับหางเของเจ้าจระเข้ยักษ์นั่นเอาไว้ พลางดึงไปข้างหลัง เจ้าจระเข้ก็ตะเกียดตะกายไปมาพลางสะบัดหางดิ้น ธลก็พยายามดึงตัวจระเข้นั่นไว้ พ่อเองก็มัวแต่งง อึ้ง ทึ่ง ขาของพ่อมันไม่ยอมขยับเลย

“หนีไปสิ เร็ว” ธลร้องแต่พ่อก็พลักตัวเองลุกขึ้นไม่ได้เลย ธลเองก็เกินกว่าจะทนได้ เพราะเจ้าจระเข้นั่นหันหัวกลับมาเพื่อจะงับธล

“ขอโทษนะสุรชัย” ธลร้องพลางยกหางของสุรชัยพลางเหวี่ยงออกไปข้างตัว เจ้าจระเข้ยักษ์ร่างลอยละลิ่งปลิวไปชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ก็เริ่มโค่นลงมาร่างของเจ้าจระเข้ก็ร่วงตามแรงโน้มถ่วง

“ซวบ” เสียงของตอไม้แหลมๆเสียบทะลุร่างของเจ้าจระเข้

“ตายห่าแล้ว” ธลอุทาน พลางรีบวิ่งเข้าไปดู

“สุรชัย สุรชัย” ธลร้องพลางมองดูจระเข้ตัวนั้นที่ชักกระแดกๆ อยู่ชั่วครู่แล้วมันก็ไม่เคลื่อนไหวอีกเลย ธลเอามือกุมหัวเอาไว้

“โอ๊ย นี่เราจะทำยังไงดีละเนี่ย” ธลพูดแล้วเขาก็หันมาเจอพ่อ

“นายมาทำอะไรที่นี่นะ” ธลคำราม แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเหมือนสีเหลืองราวกับไม่ใช่มนุษย์ พ่อตะลึงเล็กน้อย

“อะ เออ คือ ระ เรา เออ” พ่อพูดอะไรไม่ออกเลย

“จ๋อม แจ๋ม” เสียงน้ำเคลื่อนไหวไปมาดังขึ้น พ่อหันหลังกลับไปมอง พ่อแทบจะหยุดหายใจ จระเข้ทั้งฝูงค่อยๆเดินขึ้นมาจากน้ำ ธลวิ่งเข้ามาหาพ่อพลางจับตัวพ่อขึ้นพาดบ่า แล้วกว่าพ่อจะรู้ตัวธลก็พาตัวพ่อวิ่งหายเข้าไปในป่าเสียแล้ว ลมวิ่งผ่านหน้าของพ่อไปอย่างรวดเร็ว พ่อเองตอนนั้นก็ยังงงๆอยู่ว่านี่เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ พ่อหยิกแขนตัวเองมันก็เจ็บ นี่พ่อไม่ได้ฝันไปใช่ไหม แล้วธลก็ไม่ใช่มนุษย์ด้วย แล้วธลก็วางพ่อลง พ่อได้สติก็มองไปรอบๆพบว่าพ่อกลับมาที่วัดอีกครั้งแล้ว

“นายไปทำอะไรที่นั่นนะ” ธลถาม พ่อมองหน้าเขา ใจพ่อเต็นแรงมาก

“กลับมาเร็วจังธล อ้าวแล้วนั่นกฤษมาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้” หลวงตาเดินออกมา ธลถอนหายใจยาว

“เรื่องใหญ่ครับหลวงตา” ธลพูด หลวงตาก็เอียงคออย่างสงสัย

“เรื่องอะไรวะ” หลวงตาถาม

“ผมฆ่าสุรชัยไปแล้วครับหลวงตา” ธลพูด หลวงตาทำตาลุกวาวเลย

“เฮ้ย ข้าให้เอ็งไปเจรจานะเว้ย ไม่ได้ให้ไปฆ่าเขา” หลวงตาพูด ธลก็ก้มหน้า

“คือ มันเป็นอุบัตติเหตุอะครับ คือ กฤษโพล่มาตอนที่ผมกำลังคุยกันอยู่ สุรชัยเลยจะฆ่ากฤษ ผมก็พยายามจะหยุดเขาแต่ผมพลังมือไปหน่อยเลยกลายเป็น เออ ฆ่าเขาไปอะครับ” ธลตอบ หลวงตามองมาที่พ่อพลางทำสีหน้าผิดหวังสุดๆ

“ให้ตายเถอะ เอ็งทำอะไรลงไปรู้ไหมไอ้กฤษ” หลวงตาคำราม พ่อก็มองหลวงตากลับไป

“ผมจะไปรู้ได้ไงละ ก็ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่นา” พ่อตอบกลับไป ทั้งหลวงตาและธลก็เงียบไป หลวงตาถอนหายใจยาวแล้วก็หันหลังให้

“พากฤษเข้ามา” หลวงตาพูดสั้นๆ ธลก็แบกพ่อขึ้นหลังเลย

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องก็ได้เราเดินเองได้” พ่อพูด ธลก็วางพ่อลง

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า” ธลถาม พ่อก็ส่ายหัว

“ไม่หรอก ขอบใจนะที่ช่วย” พ่อพูดกลับไป ธลก็ยิ้มให้พ่อก่อนที่พ่อกับธลจะเดินขึ้นกุฏิไป ธลเดินนำพ่อไป พ่อก็เดินตาม ธลพาพ่อมาที่ห้องที่เก็บหอกเหล็กอันนั้นเอาไว้ หลวงตาก็นั่งอยู่ในห้องนั่นด้วย ธลนั่งลงพ่อก็นั่งลงข้างๆเขา หลวงตาก็หันมามองพ่อ

“เรื่องที่ข้าพูดออกไป เอ็งต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด เข้าใจไหม” หลวงตากำชับ พ่อก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้า

“เอ็งเคยได้ยินเรื่องไกรทองบ้างไหม” หลวงตาถาม พ่อเคยเล่าให้ลูกฟังแล้วจำได้ไหม ชาละวันที่เป็นจระเข้ไม่ดี แล้วพระเอกไกรทองก็มาปราบนะ ลูกจำได้ใช่ไหม นั่นแหละเรื่องนั้นแหละ พ่อก็พยักหน้ารับนะ

“อืม แล้วเจ้ารู้ใช่หรือเปล่าว่าไอ้ไกรมันก็เอาเมียของชาละวันมาเป็นเมียของมันด้วย” หลวงตาพูด พ่อก็พยักหน้า

“วิมาลา กับ เลื่อมลายวรรณ ใช่ไหมครับ” พ่อถาม หลวงตาก็พยักหน้า พลางมองไปที่ธล

“ไอ้ธลคือลูกของไอ้ไกรกับเลื่อมลายวรรณ” หลวงตาพูด พ่อตาค้างเลย

“อะ อะไรนะ” พ่ออุทาน หลวงตาก็ถอนหายใจยาว

“เอ็งได้ยินไม่ผิดหรอก ไกรทองไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่มันเป็นตำนานจริงๆ หลังจากที่ไอ้ไกรมันกำจัดชาละวันได้แล้ว มันก็กลับไปที่ถ้ำทองแล้วก็พา เลื่อมลายวรรณ กับ วิมาลามา เป็นเมียมันด้วย แล้วก็มีไอ้ธลเนี่ยแหละ” หลวงตาพูด พ่อเองก็ยากจะเชื่อนะว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าคิดถึงเรื่องจระเข้ยักษ์นั่น กับธลที่เหมือนจะคุยกับมันรู้เรื่องก็ดูสมเหตุสมผลดี

“ไอ้ธล มันเลยมีเชื้อจระเข้ครึ่งนึง มันเลยคุยกับจระเข้ตัวอื่นๆได้ ข้าเลยให้มันไปเจรจากับหัวหน้าจระเข้เรื่องการหา ท้าว ตัวใหม่” หลวงตาพูด พ่อตอนนี้ก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเดียวเลย

“ข้าจะอธิบายคร่าวๆนะ แต่เดิมทีท้าวรำไพ เป็นหัวหน้าใหญ่ของเหล่าจระเข้ทั้งมวล มีลูกชายชื่อชาละวันนั่นแหละนะ แต่ชาละวันก็โดนไอ้ไกรฆ่าตายไปแล้ว ท้าวรำไพ เองก็ชราภาพจนไม่สามารถมีลูกได้แล้ว สุดท้ายท้าวรำไพก็ถึงแก่กรรม ตอนนี้เหล่าจระเข้ก็เลยขาดผู้นำ หัวหน้าจระเข้สามตัว สุรชัย ก็ตัวที่ตายไปแล้วหนึ่ง แล้วก็ยังมี ไอ้เด่น กับ โขนราม ซึ่งไอ้โขนรามมันนอกจากจะไม่ฟังแล้วยังทำร้ายไอ้ธลอีก” หลวงตาหยุดหายใจชั่วครู่

“หัวหน้าจระเข้ทั้งสามตัวต่างก็อยากจะเป็น ท้าว เลยจัดการแข่งขันถ้าใครฆ่ามนุษย์ได้มากที่สุดภายในเวลา เจ็ดชั่วยาม ก็จะได้เป็นใหญ่” หลวงตาพูด พ่อเลยเข้าใจว่าทำไมช่วงนี้จระเข้ถึงออกอาละวาดไปทั่ว

“ข้าเลยส่งไอ้ธลไปเจรจา เพื่อต่อรองหาข้อยุติ แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะไม่ง่ายอย่างนั้นแล้วสิ” หลวงตาพูด พ่อก็กลืนน้ำลายดังเอือก

“ทะ ทำไหมหรอครับหลวงตา” พ่อถาม

“เพราะกฏของจระเข้คือ เลือดต้องล้างด้วยเลือดนะสิ” ธลพูดขึ้น พ่อก็หันไปมองเขา หลวงตาก็ถอนหายใจ

“สุรชัย มีพี่ชายชื่อสุรศักดิ์ ข้ามั่นใจเลยว่าสุรศักดิ์ต้องไม่ปล่อยไอ้ธลไว้แน่” หลวงตาพูด พ่อก็มองหน้าธลอย่างรู้สึกผิด ถ้าพ่อไม่จุ้นจ้านธลก็คงไม่ลำบากแบบนี้

“แล้ว เราจะทำยังไงดีละครับ” พ่อถาม หลวงตาก็ส่ายหัว

“เฮ้อ ถ้าจำเป็นเราคงต้องส่งตัวไอ้ธลไปให้มันละนะ” หลวงตาพูด พ่อตาลุกเลย

“ทำไมละครับ” พ่อถามอีก

“เราจะยอมให้มีคนต้องบาดเจ็บไปมากกว่านี้อีกไม่ได้แล้วนะสิ” หลวงตาพูด พ่อกำมือแน่น

“เราก็สู้มันสิครับ” พ่อพูดไปตามความคิดเด็ก

“เอ็งงั้นหรอ” หลวงตาถาม พ่อก็สะอึกเล็กน้อย

“บอกตรงๆ ตอนนี้ถ้าเกิดสุรศักดิ์มันเอาจริงขึ้นมา ใครต่อใครก็เอามันไม่อยู่หรอก” หลวงตาพูด พ่อก็พยายามคิด

“แล้วถ้าขอกำลังทหารละครับ อย่างหน่วยพิฆาตไกรทองอะไรงี้” พ่อเสนอความคิด หลวงตาก็ถอนหายใจ

“สุรศักดิ์ นะไม่เหมือนกับจระเข้ตัวอื่นๆหรอกนะ มันมีเขี้ยวเพชรของท้าวโคจรอยู่ อาวุธธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้หรอก สิ่งเดียวที่จะฆ่ามันได้คือ หอกสัตตโลหะ เท่านั้น” หลวงพ่อพูด ผมก็มองไปที่หอกเหล็กข้างหลัง

“หอกอันนั้นนะหรอครับ” พ่อถาม หลวงตาก็พยักหน้า

“อ้าว งั้นเราก็เอาหอกอันนั้นไปสู้มันก็สิ้นเรื่องสิครับ” ผมตอบ

“หอกสัตตโลหะนะ ทำจากเหล็กเนื้อดีตีทั้งแท่ง น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 50 กิโล เอ็งคิดว่าใครจะถือมันไหววะ” หลวงตาพูด มันก็จริงอย่างที่หลวงตาพูดพ่อเองเคยลองถือพ่อยังแทบจะยกมันไม่ขึ้นเลย พ่อก็หันไปมองธล

“ก็ให้ธลถือไงครับ” พ่อเสนอความคิด

“ไอ้โง่ หอกสัตตโลหะเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้กำจัดจระเข้โดยเฉพาะ ไอ้ธลมันมีเชื้อจระเข้อยู่ เอ็งคิดหรอว่ามันจะถือได้นะ” หลวงตาพูด แต่วันก่อนผมยังเห็นธลถือมันอยู่เลยนี่นา

“แต่วันก่อนผมยังเห็นธลถือมันวางกลับไปบนหิ้งอยู่เลยนะครับ” ผมแย้ง หลวงตาก็ถอนหายใจยาว

“หอกสัตตโลหะที่เอ็งเห็นตอนนี้นะ มันยังใช้การไม่ได้หรอกนะ มันต้องขัดเอาสนิมออกจนถึงเนื้อเหล็กข้างใน จึงจะใช้ได้ ที่ไอ้ธลมันจับได้เพราะสนิมมันเกาะจนหนาต่างหาก” หลวงตาพูด พ่อก็จนปัญญา

“ผมจะลองคุยกับท่านสุรศักดิ์ดูแล้วกันครับ เพื่อว่าท่านเขาจะยอมเข้าใจ” ธลพูดขึ้น พ่อก็หันไปมอง

“ก็คงต้องแบบนั้นแหละ” หลวงตาพูด

“อืม แล้วถ้าไอ้สุรศักดิ์อะไรนั่นมันเก่งนัก ทำไมไม่ให้มันเป็นหัวหน้าไปเลยละ” พ่อเสนอความคิดขึ้นอีก หลวงตาก็ถอนหายใจ

“ก็เพราะว่า ท้าวโคจร พ่อของมันนะสิ ไปหาเรื่องฆ่าท้าวพันตา กับท้าวพันวัน ลูกหลานรุ่นต่อๆมาเลยโดนตัดสิทธิ์เรื่องขึ้นเป็นท้าวโทษฐานฆ่าพวกเดียวกันเอง” หลวงตาตอบ พ่อก็เบ้ปากเลย

“ไม่เป็นไรหรอกครับหลวงตา ยังไงถ้าเขาได้ตัวผม เขาคงไม่เอาเรื่องคนอื่นๆหรอกครับ” ธลกล่าว พ่อรู้สึกเจ็บลึกๆในอกเลยละ เพราะพ่อเป็นต้นเหตุแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นคนรับเคราะห์ต้องมาเป็นธล

“ให้ผมรับแทนเองได้ไหมครับ” พ่อพูด ทั้งหลวงตาและธลต่างมองพ่อเป็นตาเดียวกัน

“นายจะรับแทนทำไมกัน นายไม่ได้ฆ่าสุรชัยสักหน่อย” ธลพูด พ่อก็ถอนหายใจยาว

“ถ้าเราไม่จุ้นจ้านเรื่องของนายจนเกินไป นายก็คงไม่ต้องลำบากขนาดนี้ เราเป็นคนผิดเพราะงั้นเราน่าจะเป็นคนที่ได้รับโทษไม่ใช่นาย” พ่อตอบ

“นายทำแบบนี้ทำไมกัน” ธลถาม พ่อก็มองหน้าเขา

“เพราะนายเป็นเพื่อนเราไง เพื่อนไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว” พ่อตอบ สำหรับพ่อแล้ว คำว่าเพื่อนมันมีความหมายลึกซึ้งมากกว่าแค่อยู่ด้วยกัน แต่มันคือเชือกที่ผูกใจคนสองคนเข้าด้วยกันแล้วพร้อมจะเผชิญปัญหาไปด้วยกัน ธลนั้นนิ่งเงียบไปสักพัก

“นะ นายไม่กลัวเราหรอ” ธลถาม พ่อก็มองหน้าเขา

“กลัวอะไรหรอ” พ่อถามกลับ ธลก็ก้มหน้า

“ที่เราไม่ใช่มนุษย์นะ” ธลพูด พ่อก็หัวเราะ

“ตอนแรกก็ตกใจนิดหน่อยนะ แต่ที่จริงนะเจ๋งจะตาย มิน่าละนายถึงแข็งแรงว่ายน้ำเร็ว ที่แท้ก็ลูกครึ่งนี่เอง เท่ห์จะตาย” พ่อตอบ ธลนั้นถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปเลย

“เอาเถอะๆ จะยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้คงต้องหาทางแก้กันไปก่อน ไอ้ธล เอ็งพอจะสืบได้ไหมว่าเมื่อไหร่กว่าสุรศักดิ์มันจะกลับมา” หลวงตาถาม ธลก็พยักหน้า

“ให้ผมช่วยด้วยนะ” พ่อพูดขึ้น

“เอ็งนะไม่ต้องเลย ยิ่งแต่จะทำให้เรื่องมันแย่ลงก็เท่านั้นแหละ” หลวงตาพูด พ่อมองหน้าธลอย่างรู้สึกผิด พ่อเหมือนตัวปัญหาอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นต้นเหตุแล้วพ่อยังทำอะไรไม่ได้อีกด้วย ธลก็จับไหล่ของพ่อเอาไว้

“ขอบใจนะ แต่นายไม่ต้องลำบากหรอก” ธลพูด

“แต่เราทำให้นายลำบากนะ” พ่อแย้ง ธลก็ยิ้มให้

“ไม่เลย นายบอกว่าเราคือเพื่อนของนาย แค่นั้นเราก็ดีใจมากแล้วละ นายไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ” ธลพูด พ่อรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ธลที่ในสายตาของคนอื่นแล้วดูเหมือนตัวประหลาด แต่ในใจของเขาลึกๆแล้วกลับงามยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก

“เอาละ ยังไงตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ไอ้กฤษข้าว่าเอ็งโทรบอกที่บ้านเอ็งก่อนดีกว่า ป่านนี้พ่อเอ็งชักตายไปแล้วละมั้ง” หลวงตาพูด พ่อนี่เหงื่อตกเลย คุณปู่นะดุมาก นี่ถ้ารู้ว่าพ่อแอบหนีมานี่ พ่อคอขาดแน่ๆ

“เออ หลวงตาผมขอพักที่นี่ก่อนได้ไหมครับ” พ่อพูด เพราะถ้ากลับไปตอนนี้พ่อคงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก

“ทำไมละ” หลวงตาถาม

“อะ เออ คือมันก็ดึกมากแล้วอะครับ คือ แฮะๆ ผมจำทางกลับตอนกลางคืนไม่ได้อะครับ” พ่อตอบ หลวงตาก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

“ก็จริง อืม ไอ้ธลให้ไอ้กฤษนอนด้วยแล้วกัน ห้องเอ็งยังว่างนี่ เดี๋ยวข้าโทรบอกพ่อเอ็งให้ เฮ้อ ยุ่งวุ่นวายจริงๆ” หลวงตาบ่นอย่างมีอารมณ์ พ่อก็ยกมือไหว้ขอบคุณหลวงตา แล้วธลก็ลุกขึ้น พ่อก็เดินตามไป

“อืม ธล เราขอโทษนะที่ทำให้นายต้องลำบากแบบนี้” พ่อพูดอย่างสำนึกผิด

“ไม่เป็นไรหรอก” ธลตอบสั้นๆ

“แต่ก็ขอบใจนะที่ช่วยเราไว้ นายนี่โคตรเท่ห์เลย” พ่อพูด ธลมองหน้าพ่อแก้มแดงๆ

“อะ มะ ไม่หรอก” ธลตอบพลางหลบหน้าพ่อไป พ่อก็ยิ้มให้เขา

“เราเองก็ ขอบใจนายนะ” ธลพูด พ่อก็มองหน้าเขา

“ที่นายบอกว่าเป็นเพื่อนนะ เรา ดีใจมากเลยนะ” ธลพูด พ่อก็ตบหลังเขาเบาๆ

“เราเองก็ดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย” พ่อตอบ ก่อนที่เราจะเดินไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน วันนั้นเองที่พ่อได้เข้าใจความหมายของคำว่ามิตรภาพ มันไม่สำคัญเลยว่าใครจะเป็นอะไร แค่เข้าใจคำเดียวเราก็เป็นเพื่อนกันได้แล้ว...


“ซึ้งจังคะ” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มก็ยิ้มให้

“เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ลูกไปช่วยแม่เขาล้างจานไป” ชายหนุ่มกล่าว เด็กหญิงก็พยักหน้าพลางยกจานข้าวที่ทานหมดแล้วไปในห้องครัว ชายหนุ่มมองไปนอกหน้าต่าง

“ความรักก็ต้องเริ่มจากมิตรภาพหรือเปล่านะ” ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ แล้วเขาก็หันไปช่วยลูกสาวของเขายกจานชามไปไว้ในห้องครัว

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-12-2006 09:12:09
อืม ลูกไกรทองกับเลื่อมลายวรรณ  คนแต่งนี่จินตนาการบรรเจิดจริง  :really2:

ยังไงก็รออ่านอยู่นะคะ  :myeye:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 21-12-2006 17:49:02
เยอะมากเลยอ่ะ อ่านจนตาแฉะแล้ว :really2:
 ขอบคุณนะครับที่เอาเรื่องดีๆมาให้อ่าน
ติดตามๆๆ :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 21-12-2006 21:44:33
        มาแนวไหนหว่า  :untrust:  แต่ก้อแหวกแนวดี  ต่อเรยๆๆ  :angellaugh2:  :angellaugh2:  :love2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 21-12-2006 21:59:43
เรื่องนี้มามันๆกับความตื่นเต้น แถมความเจ็บปวด
ทุกรสชาติ ทุกอารมณ์
 :sad5:
***********************************************************
บทที่ 5

ชายหนุ่มนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่เก้าอี้ ส่วนภรรยาของเขากับลูกสาวกำลังช่วยกันทำการบ้านคณิตศาสตร์กันอยู่

“นี่ไงลูก 24 บวก 52 ใช่ไหม ก็ค่อยๆบวกทีละตัว เริ่มจากหลักหน่วยก่อน ข้างหลังนั่นแหละจ๊ะ ได้เท่าไหร่ก็เขียนลงไปข้างล่าง ใช่แล้ว” หญิงสาวพูด

“อ๋อ พอเข้าใจแล้วคะ หลักหน่วยนี่คือตัวข้างหลังนี่เอง ข้างหน้านี่คือหลักสิบใช่ไหมคะ” เด็กสาวถาม ผู้เป็นแม่ก็พยักหน้า

“จ๊ะ เอาละนี่ก็เสร็จแล้วสิการบ้านนะ” ผู้เป็นแม่ถาม เด็กสาวก็พยักหน้า

“คะ อืมคุณพ่อคะ แล้วคุณพ่อกับพี่ชลาธลไม่ต้องเรียนหนังสือหรอคะ” เด็กสาวถาม ผู้เป็นพ่อก็ลดหนังสือพิมพ์ลง

“พ่อนะเรียนนะ แต่ธลเขาไม่ได้เรียนหรอก หลวงตาไม่ค่อยอยากให้เขาอยู่ใกล้คนมากนักนะ” ชายหนุ่มตอบ เด็กสาวก็เอียงคอด้วยความสงสัย

“ทำไมละคะ” เด็กสาวถาม

“อืม มันมีเรื่องของผนึกนี่ละนะ อืม การบ้านเสร็จแล้วละสิ งั้นเดี๋ยวพ่อเล่าให้ฟ้งต่อดีไหม” ชายหนุ่มพูด เด็กสาวถึงกับกระโดดตัวลอย

“เย้” เธอร้อง ชายหนุ่มก็หัวเราะในลำคอเบาๆ...


หลังจากคืนนั้นผ่านไป พ่อก็กลับบ้าน แน่ละพ่อก็โดนคุณปู่เอ็ดไปหน่อย แต่คงเป็นเพราะหลวงตาโทรไปดักไว้ก่อนพ่อเลยไม่โดนทำโทษอะไรมากนัก แต่พ่อก็โดนขังไม่ให้ออกไปเที่ยวไหนอยู่หลายวันเหมือนกัน พ่อยังอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าถ้าเกิดเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังพ่อคงไม่ได้เห็นแสงตะวันอีกเป็นแน่แท้ ช่วงนั้นพ่อเลยไม่ได้เจอกับธลเขาเท่าไหร่ ตอนนั้นพ่อเครียดหนักอยู่เหมือนกันกลัวว่าเขาจะเป็นอะไร แต่พ่อก็ได้แต่สวดมนต์เท่านั้น บังเอิญว่าวันเสาร์ปู่เขาก็ฝากให้พ่อเอาจดหมายไปให้หลวงตาอีก พ่อก็เลยได้มีโอกาสไปเจอธลอีกครั้ง

“อืม ขอบใจมากนะ” หลวงตาพูดพลางเปิดจดหมายในมือขึ้นอ่าน

“หลวงตาครับ ธลละครับ” พ่อถามทันที พ่อคิดถึงเขามากโขอยู่ ใจนึงก็เป็นห่วงด้วย หลวงตาก็ยิ้ม

“ฮึๆ คิดถูกจริงๆที่ให้เอ็งคบกับไอ้ธล มันอยู่หลังกุฏิโน่นแหนะ” หลวงตาพูด พ่อยิ้มแป้นเลย อย่างน้อยๆธลเขาก็ไม่เป็นอะไรมาก พ่อรีบวิ่งไปที่หลังกุฏิก็พบธลกำลังกวาดลานอยู่

“ธล” พ่อร้องพลางวิ่งเข้าไปหาเขา ธลก็ยิ้มรับให้พ่อ

“เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันตั้งนาน ตอนแรกเราคิดว่านายจะโดนกินไปแล้วเสียอีก” พ่อพูด ธลก็ยิ้ม

“อืม ก็เกือบๆอะนะ” ธลตอบ พ่อขมวดคิ้วเลย

“ทำไมละ ไหนมีอะไรเล่ามาจิ” พ่อพูด พ่อกับธลเลยไปนั่งที่ใต้ต้นไทร แล้วธลก็เล่าให้ฟังถึงภารกิจของเขา ธลแอบไปฟังข่าวเกี่ยวกับสุศักดิ์ก็ได้รู้มาว่า สุรศักดิ์นั้นไปบำเพ็ญศีลอยู่ที่ตีนแม่น้ำน่าน 2 - 3 เดือนจึงจะกลับ และห้ามจระเข้ตัวไหนรบกวน

“อืม งั้นก็ยังพอมีเวลางั้นสิ” พ่อถาม ธลก็พยักหน้า

“อืม แต่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง เพราะจระเข้ลูกน้องของสุรชัยทุกตัวรู้เรื่องหมดแล้ว พูดง่ายๆก็คือ ถ้าท่านสุรศักดิ์ออกจากการบำเพ็ญศีลเมื่อไหร่เขาก็พร้อมจะลุยทุกเมื่อนั่นแหละ” ธลตอบ พ่อถึงกับเบ้ปากเลย

“อืม แล้วไม่มีทางทำอะไรได้เลยหรอ” พ่อถามทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่รู้จริงๆว่าจะทำอะไรได้ ธลถอนหายใจเบาๆ

“ตอนนี้หลวงตาก็พยายามหาทางติดต่อพรานจระเข้อยู่นะ แต่สมัยนี้แทบไม่มีใครมีฝีมือพอที่เก่งพอที่จะถือหองสัตตโลหะได้เลย” ธลพูด พ่อก็พยักหน้า

“อืม หลวงตานี่ดูรู้เรื่องเยอะจังเนอะ” พ่อรำพึง ธลก็พยักหน้า

“ก็หลวงตาเคยเป็นพรานจระเข้มาก่อนนี่นา” ธลตอบ พ่อตาค้างเล็กน้อย

“อะจริงดิ มิน่าละดูรู้เรื่องไปหมดเลย” พ่ออุทาน ธลก็พยักหน้า

“พอแม่กับพ่อไกรตายไป ก็มีหลวงตานี่แหละที่ช่วยดูแล” ธลพูด พ่อพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงเข้าใจ

“แต่ก็ตลกดีนะ เป็นพรานจระเข้แต่กลับเลี้ยงจระเข้เสียเอง ฮะ ฮะ” พ่อพูดติดตลก

“อืม หลวงตาท่านเขาอยากชดเชยบาปที่ทำไปนะ ท่านบอกว่า การช่วยเหลือคนอื่นมันเป็นสิ่งดี แต่การฆ่าฟันต่อให้เพื่อช่วยคนอื่นยังไงมันก็เป็นบาปอยู่ดี ท่านเลยรับเลี้ยงเราไว้นะ” ธลพูด พ่อเองก็คิดเหมือนกันว่าหลวงตาท่านเป็นคนที่น่านับถือเอามากๆ คงเป็นเพราะท่านตั้งใจจะชดใช้บาปที่ตนก่อขึ้นไว้จริงๆละมั้ง พ่อถึงกับยกมือไหว้ขอขมาที่พูดจาล่วงเกิน

“อืม แล้วพ่อแม่นายอะ คือ พวกเขาเป็นยังไงหรอ” พ่อถามอีก ธลก็ยิ้มให้

“อืม พ่อไกรเราไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่นะ เราสนิทกับแม่เรามากกว่า อาจเป็นเพราะพ่อไกรเป็นคนก็ได้ละมั้ง แต่เท่าที่ฟังจากแม่มา แม่เราว่าพ่อไกรเป็นคนเจ้าชู้นะ” ธลตอบ พ่อก็เริ่มคิด มันก็น่าจะจริงนะ คิดดูสิมีเมียตั้งสองคนแล้ว ยังจะไปเอาเลื่อมลายวรรณกับวิมาลามาอีก

“ก็น่าจะจริงนะ” พ่อพูด

“แต่ถึงยังไงพ่อไกรก็มีบุณคุณนะ เพราะพ่อไกรนั่นแหละที่ยังช่วยทำให้เรากับแม่อยู่ในร่างมนุษย์ได้” ธลพูด พ่อก็ทำหน้างงๆ

“ยังไงอะ” พ่อถาม

“อืม จระเข้ส่วนทุกตัวนะ ต่อให้เป็นจระเข้ท้าวก็ตาม ถ้าออกจากถ้ำทองก็จะคืนร่างกลับเป็นจระเข้เหมือนเดิม ตอนแรกนี่เป็นปัญหามาก เพราะแม่กับน้าวิมาลาไม่สามารถออกจากถ้ำได้เลย เพราะพอออกมาก็จะกลายเป็นจระเข้อีก พ่อไกรก็เลยเริ่มศึกษาเกี่ยวกับถ้ำทองเพื่อหาอาคมที่จะสามารถนำมาใช้บนบกได้ แล้วพ่อไกรก็ค้นพบวิธี เลยสร้างคาถาผนึกถ้ำทองเอาไว้นะ” ธลอธิบาย

“ผนึกถ้ำทอง” พ่อทวนคำพูด ธลก็พยักหน้า

“อืม เป็นผนึกที่ใช้เปลี่ยนร่างจระเข้ให้กลายสภาพเป็นคนได้นะ พ่อไกรใช้ผนึกนี้กับแม่น้าวิมาลา แล้วก็กับเรา มันก็เลยพอทำให้เราอยู่ในร่างของมนุษย์ได้” ธลตอบ พ่อพยักหน้า มิน่าละธลถึงได้มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ได้ขนาดนี้

“อืม มิน่าละนายถึงเหมือนมนุษย์ขนาดนี้” พ่อรำพึง ธลก็มองหน้าพ่อ

“อืม เหมือน แต่ก็ไม่ใช่” ธลตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆ

“ธล” พ่อถามด้วยความเป็นห่วง ธลก็เงยหน้ามองดูท้องฟ้า

“เรานะ ไม่เหมือนแม่ แล้วก็ไม่เหมือนพ่อไกร พอไปเล่นกับมนุษย์ก็รุนแรงเกินไป พอจะลงไปอยู่กับจระเข้รูปร่างของเราก็ไม่ใช่จระเข้อีก เราเข้ากับใครไม่ได้เลย บางครั้งเราก็รู้สึกเหมือนเราอยู่ตัวคนเดียว เราเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่ จระเข้ยิ่งไม่ใกล้ เราคงเป็นได้อย่างเดียว ตัวประหลาด ละมั้ง” ธลพูด พ่อมองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วง จะว่าไปธลเองก็เหมือนจะโดนรังเกียจจากคนรอบข้างอยู่ไม่น้อย นี่ละมั้งที่ทำให้เขากลายเป็นคนเงียบๆไม่สุงสิงกับใคร พ่อเอามือโอบคอของธลเอาไว้

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ สำหรับเราแล้ว ต่อให้นายจะเป็นอะไร นายก็คือเพื่อนของเราเสมอนั่นแหละ” พ่อพูดออกไป ธลมองหน้าพ่องงๆ พ่อก็ยิ้มรับ ธลถึงกับเขินหน้าแดง

“อะ อืม ขอบใจ” ธลตอบ พ่อก็ดึงตัวของธลเข้ามาชิดตัวพ่อมากขึ้น ตอนนั้นพ่อคิดแค่อย่างเดียวว่าพ่ออยากจะช่วยเขา อย่างที่เขาเคยช่วยพ่อมา

“เออ เราขอถามอะไรอีกอย่างได้ปะ” พ่อพูดพลางปล่อยคอของเขาไป ธลก็พยักหน้า

“อืม ไกรทองนี่เป็นเรื่องที่เกิดมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรอ แล้วหยั่งงี้นายก็อายุเป็นร้อยๆปีแล้วอะดิ” พ่อถาม ธลก็ทำท่าคิด

“อืม เราก็ไม่เคยนับหรอก มันนานจนเราเองก็ขี้เกียจจะนับแล้ว” ธลพูด พ่อตาค้างเลย

“โห ขนาดนั้นเลยหรอ” พ่อถาม ธลก็ยกไหล่

“หลวงตาบอกว่าอาจเป็นเพราะเรามีเชื้อทั้งมนุษย์และจระเข้รวมกัน อายุขัยเราเลยยาวกว่าปกติ แต่อย่างท้าวรำไพยังมีอายุตั้งเกือบ 500 ปีแหนะ” ธลพูด พ่อตาโตเลย

“โห นานขนาดนั้นเลยหรอ” พ่ออุทาน ธลก็พยักหน้า อืม เรื่องของจระเข้นี่ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะเลยแฮะ แล้วท้องของพ่อก็เริ่มออกอาการประหลาดบ่งบอกว่าพ่อนั้นหิวแล้ว

“เออ นายหิวหรือยัง ไปหาอะไรกินกันดีไหม” พ่อถาม ธลก็ส่ายหัว

“ก็ดีนะ” ธลพูด พ่อก็ลุกขึ้นยืน

“แล้วนายชอบกินอะไรละ” พ่อถาม ธลก็คิด

“ไหมฝัน กับ ถั่วตัดนะ” ธลตอบ พ่อก็ยิ้มแห้งๆ

“เออ เอาอะไรที่มันเป็นข้าว เป็น กับสิ” พ่อพูด ธลกลับทำหน้างงๆ

“กับ นี่ยังไงหรอ หมายถึงพวกผัดผักอะไรงี้นะหรอ” ธลถาม พ่อก็พยักหน้า

“ราวๆนั้นแหละ ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันดีกว่า นายเคยกินปะ” ธลส่ายหัว

“ไม่เคยอะ” ธลตอบ พ่อขมวดคิ้ว

“เฮ้ย อะไรอยู่มาตั้งหลายร้อยปีไม่เคยกินก๋วยเตี๋ยวเลยเนี่ยนะ” พ่อถามงงๆ ธลก็ส่ายหัวอีก

“อืม ก็ตั้งแต่จำความได้ เราก็กินเจมาตลอดนั่นแหละ” ธลพูด พ่อตาลุกเลย

“ทำไมละ” พ่อถาม ธลก็ยกไหล่

“ไม่รู้สิ แต่เราไม่ค่อยเรื่องมากเรื่องกินหรอก เลยไม่ได้ถามนะ” ธลตอบ พ่อรู้สึกสงสารธลขึ้นมาจับใจเลย นี่วันๆเขาต้องกินแต่ผักคงเบื่อแย่เลย แม้มันจะมีประโยชน์ก็เถอะ

“มา เดี๋ยวเราพาไปกิน รับรองนายต้องชอบแน่ๆ” พ่อเสนอ ธลก็พยักหน้ารับ แล้วพ่อก็พาธลออกไปนอกวัด บังเอิญว่าหลวงตากำลังติดธุระคุยอยู่กับคนอื่นอยู่ผมเลยไม่ได้บอกหลวงตาก่อน แต่แค่ไปกินข้าวแป๊ปเดียวเองนี่นา แล้วผมก็พาธลออกไปหาร้านก๋วยเตี๋ยว และผมก็ตัดสินใจเลือกร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ เพราะผมว่ามันอร่อยดี

“นายต้องชอบแน่เลย เดี๋ยวเราสั่งให้นะ” พ่อเสนอ แล้วก็หันไปหาเจ้าของร้าน

“ลุง เอาเส้นเล็กน้ำตกสองชามขอข้าวเปล่าด้วย” พ่อสั่ง ธลสูดจมูกฟุดฟิต

“กลิ่นอะไรนะ” ธลถาม พ่อก็ยิ้ม

“อ๋อ น้ำแกงไง หอมใช่ม้า” พ่อพูด ธลก็พยักหน้า ไม่นานนักก๋วยเตี๋ยวของเราก็มาเสริฟ์ ธลก็ก้มลงดู พ่อส่งช้อนให้

“เอาข้าวใส่ลงไปด้วยนะ มันจะได้อิ่มท้อง” พ่อเสนอแล้วก็เถข้าวเปล่าใส่ลงไปในก๋วยเตี๋ยว ธลก็ทำตาม แล้วพ่อก็เอาช้อนตักเข้าปากไป แหม ยังอร่อยเหมือนเคย

“อืม แล้วไอ้ลูกกลมๆนี่อะไรหรอ” ธลถามพลางเขี่ยลูกชิ้นไปมา

“อ๋อ เขาเรียกลูกชิ้นนะ อร่อยนะลองกินดูสิ” พ่อเซ้าซี้ ธลก็ตักเอาลูกชิ้นเข้าปากพลางเคี้ยวๆแล้วก็กลืนมันลงไป

“เป็นไงบ้างอะ” พ่อถาม ธลก็พยักหน้า

“อะ อืม อร่อย อร่อยมากๆ” ธลพูด มือสั่นๆ แล้วเขาก็จ้วงตักชามก๋วยเตี๋ยวแบบไม่ยั้งเลย

“เฮ้ยๆ ใจเย็นก็ได้” พ่อพูด แต่ธลกลับกินอย่างมูมมามจนคนอื่นๆหันมามอง

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก” ธลหายใจหอบ มือของเขาเกร็งจนเส้นเอ็นโพล่ขึ้นมา แววตาของเขากลายเป็นสีเหลืองเหมือนกับจระเข้

“อ๊ากกกกกกกกกกกก” ธลร้อง พลางล้มลงไปนอนดิ้นที่พื้น พ่อตกใจมาก ธลเขาร้องไปมาอย่างเจ็บปวด

“ธล นายเป็นอะไรนะ ธล” พ่อร้องอุทานพลางจับตัวเขา ตัวของธลร้อนจี๋เลย พลันแขนของเขาก็ปรากฏรอยผื่นสีแดงประหลาดขึ้นเต็มตัวไปหมด

“ธล ธล” พ่อร้องตะโกน แต่ธลก็ได้แต่ดินไปมาพลางร้องครางโหยหวน พ่อตัดสินใจยกธลแบกขึ้นหลัง ธลตัวหนักมากจริงๆ แต่พ่อก็ต้องพาเขากลับไปให้ได้ พ่อทิ้งเงินไว้ให้เจ้าของร้านแล้วก็รีบแบกธลกลับวัด โชคดีเหมือนกันที่มันอยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก แต่ธลตัวร้อนขึ้นเรื่อยๆ รอยผื่นแดงเริ่มสว่างชัดขึ้น แล้วพ่อก็พึ่งสังเกตว่ามันไม่ใช่รอยผื่น แต่มันเหมือนเป็นอักขระอะไรสักอย่าง พ่อรีบพาธลกลับไปหาหลวงตา ทันทีที่หลวงตาเห็นหลวงตาก็วิ่งเข้ามาหาทันที

“มันเกิดอะไรขึ้น” หลวงตาพูดพลางมองมาที่พ่อ

“มาเร็ว ตามข้ามา” หลวงตากล่าวพลางช่วยพ่อพยุงร่างของธลที่หายใจหอบ หลวงตาพาธลมาที่ห้องของเขาที่มีหอกสัตตโลหะอยู่ หลวงตาพาธลนอนลง แล้วก็วิ่งไปที่ตู้เล็กๆ หลวงตาหยิบเอาหนังสือเก่าๆออกมาเล่มนึง พลางถือมีดเล่มนึงไว้ในมือ

“แก้ผ้ามันออก เร็ว” หลวงตาสั่ง พ่อก็รีบถอดเสื้อผ้าของธลออกจนหมด อันที่จริงต้องเรียกว่าฉีกมากกว่า เพราะธลนั้นดิ้นไปมาแรงมากจนพ่อต้องกระฉากเสื้อของเขาแทน แล้วหลวงตาก็เริ่มอ่านหนังสือเล่มนั้น มันเป็นภาษาอะไรที่พ่อไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ธลร้องพลางดิ้นไปมา พ่อเริ่มสังเกตว่าร่างของธลเหมือนจะเปลี่ยนไป ผิวสีน้ำผึ้งของเขา ค่อยๆมีหนังตะปุ่มตะป่ำโพล่ขึ้นมา เล็บเริ่มงอกยาว เขี้ยวโพล่ออกมาเต็มปาก แววตาของเขาหรี่เล็กเป็นเรียวเหมือนแววตาของจระเข้ หลวงตาอ่านข้อความในหนังสือไปเรื่อยๆ พลางเอามีดกรีดที่นิ้วของเขา แล้วเดินเข้ามาหาธล หลวงตาก้มลงพลางลากนิ้วของเขาไปตามร่างของธล หลวงตาขีดเขียนอักขระบางอย่างลงไปบนร่างของธลด้วยเืลือดของเขา หลวงตาตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่พลางขีดเขียนอักขระลงไปไม่หยุด ธลเริ่มดิ้นน้อยลง ผิวหนังของเขาเริ่มกลับคืนมาเป็นผิวสีน้ำผึ้งเข้ม เล็บ และ เขี้ยวค่อยๆหดหายไปช้าๆ แววตาของธลเริ่มเลื่อนลอย หลวงตาสวดมนต์ซ้ำไปซ้ำมาพลางเขียนอักขระลงไปเรื่อยๆจนทั่วตัวของธล แล้วหลวงตาก็หยุดเขียน แล้วตบมือหนึ่งครั้ง อักขระบนร่างของธลส่องแสงสีทองออกมาแล้วค่อยๆจางหายไป ธลนอนสลบลงที่พื้นควันลอยฉุยออกมาจากร่างของเขา พ่อจะเข้าไปพยุงแต่

“ปล่อยเขาไว้ก่อน เจ้ายังจับเขาตอนนี้ไม่ได้” หลวงตาห้าม พ่อเอามือไปอังร่างของเขา ตัวของเขานั้นแผ่ไอร้อนออกมาขนาดว่าพ่ออยู่ห่างจากเขาพ่อยังรู้สึกได้เลย

“เอ็งไปเอาน้ำมา” หลวงตาสั่ง พ่อก็รีบวิ่งไปเอาถังแล้วเถน้ำใส่ไปจนเต็ม แล้วก็แบกกลับมาที่ห้อง

“ราดตัวมันไปเรื่อยๆจนกว่าร่างมันจะเย็นลง” หลวงตาพูด พ่อก็พยักหน้าแล้วราดน้ำลงไปที่ร่างของธล ทันทีที่น้ำสัมผัสร่างของเขา เสียงดังฉ่ากับควันสีขาวก็ลอยคลุ้งขึ้นมา พ่อรีบวิ่งออกไปเอาน้ำมาเพิ่มเพื่อราดลงบนตัวของธลจนตัวของพ่อเปียกชุ่ม พ่อวิ่งเข้าออกห้องเทน้ำอยู่เกือบทั้งวันจนกระทั่งร่างของธลนั้นดูจะเย็นลงบ้าง

“ลองแตะดูสิ เขาเย็นลงหรือยัง” หลวงตาสั่ง พ่อก็ก้มลงเอามือแต่ตัวของเขาเบาๆ ร่างของธลยังอุ่นๆอยู่

“ยังอุ่นๆอยู่ครับหลวงตา” พ่อตอบ หลวงตาก็พยักหน้า

“พาเขาเข้าไปนอนที่ห้องนะ เปิดหน้าต่างให้ระบายเข้าไว้ ไม่ต้องห่มผ้าให้เขานะ” หลวงตาพูดพลางจะเดินออกไป

“อะ เออ หลวงตาครับ คือ ผมขอโทษ” พ่อพูด หลวงตาก็ส่ายหัว

“พาเขาไปนอนที่ห้อง แล้วมาหาข้าที่หน้ากุฏิ” หลวงตาตอบ พ่อก็พยักหน้าพลางค่อยๆพยุงร่างของธลกลับไปที่ห้องของเขา พ่อเช็ดตัวเขาเล็กน้อยให้พอแห้งก่อนจะปล่อยเขานอนลงบนฝูก จากนั้นพ่อก็เดินไปหาหลวงตาที่หน้ากุฏิ

“ครับหลวงตา” พ่อพูด หลวงตานั่งขัดสมาธิอยู่ที่อาสนะ

“มานั่งตรงนี้” หลวงตาสั่ง พ่อก็เดินไปนั่งตรงหน้าท่าน ใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะ

“บอกมาตามตรง เอ็งพาไอ้ธลไปทำอะไร” หลวงตาถาม

“ผมแค่พาเขาไปกินก๋วยเตี๋ยวอะครับ” พ่อตอบ

“แล้วทำไมแกไม่บอกข้าก่อนฮะ” หลวงตาตวาด พ่อได้แต่ก้มหน้า

“กะ ก็ผมเห็นหลวงตากำลังคุยธุระอยู่ อีกอย่างผมอยากให้ธลเขาได้กินอะไรอร่อยๆบ้าง เขากินแต่ผักมันน่าเบื่อจะตาย” พ่อตอบ หลวงตาถอนหายใจยาว

“เฮ้อ ข้ารู้ว่าเอ็งหวังดี แต่เอ็งต้องเข้าใจว่าไอ้ธลมันไม่เหมือนพวกเราเข้าใจไหม มันไม่ใช่มนุษย์ ร่างของมันที่เจ้าเห็นนะ มันก็เป็นแค่ภาพลวงเท่านั้นแหละ” หลวงตาพูด นี่คงเป็นผนึกถ้ำทอง

“หลวงตาหมายถึง ผนึกถ้ำทอง” พ่อพูด หลวงตาก็มองหน้าพ่อ

“นี่เอ็งรู้งั้นหรอ” หลวงตาถาม พ่อเลยบอกกับหลวงตาว่าธลเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง หลวงตาก็พยักหน้า

“อืม ข้าก็ผิดเอง ข้าน่าจะเตือนมันก่อน ข้าเห็นมันอยู่มานานเลยคิดว่ามันเข้าใจแล้ว ฟังนะ คาถาผนึกถ้ำทองนะ มีผลทำให้จระเข้มีร่างเป็นมนุษย์ก็จริง แต่มันก็มีข้อจำกัดอยู่นะ จระเข้เป็นสัตว์กินเนื้อ สัญชาติญาณดิบของมันจะตื่นถ้ามันได้กลิ่นเลือดหรือเนื้อ เพราะงั้นถึงต้องให้มันกินแต่ผัก เพราะไม่งั้นแล้วคาถาจะเสื่อมแล้วไอ้ธลมันอาจจะคืนร่างได้” หลวงตาอธิบาย พ่อพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“แล้วก็อีกอย่าง ถ้าไอ้ธลมันโกรธมากๆ คาถาก็อาจจะถูกทำลายได้เหมือนกัน ข้าเลยคอยกำชับไม่ให้มันไปหาเรื่องใครไงละ” หลวงตาตอบ ผมจึงพอเข้าใจ มิน่าละธลถึงยอมคนโน้นคนนี้มาตลอด เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเปลี่ยนร่างนั่นเอง

“อืม หลวงตาครับ แล้วถ้าผนึกถ้ำทองแตกออก จะเป็นยังไงครับ” พ่อถาม หลวงตาก็พยักหน้า

“ข้าเองก็ไม่รู้นะว่าจะเป็นยังไง และข้าก็ไม่อยากรู้ด้วย แต่เท่าที่ไอ้ไกรเตือนข้ามา เขาบอกว่าถ้าผนึกแตกออก ไอ้ธลจะกลายเป็นจระเข้โดยสมบูรณ์ แล้วมันจะสูญเสียความเป็นคนไปตลอดกาล” หลวงตาพูด พ่อถึงกับอึ้งไปสักพัก พ่อเกือบทำให้เขาต้องกลายเป็นจระเข้ไปตลอดกาลเสียแล้ว

“ผมขอโทษนะครับหลวงตา” พ่อพูดอย่างสำนึกผิด

“ไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าเองก็รู้ว่าเจ้าหวังดี แต่เจ้าต้องระวังให้มากๆ” หลวงตาพูด พ่อก็พยักหน้ารับ

“แล้วนี่ธลเขาจะเป็นอะไรมากไหมครับ” พ่อถาม หลวงตายิ้มให้

“ไม่ต้องห่วงหรอก พรุ่งนี้เขาก็ดีขึ้นแล้วละ เอ็งกลับบ้านไปก่อนเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้ว” หลวงตาสั่ง พ่อพยักหน้าพลางยกมือไหว้

“ผมขอไปลาธลก่อนได้ไหมครับ” พ่อถาม หลวงตาพยักหน้า พ่อรีบวิ่งกลับไปหาธลที่ห้อง เขายังนอนหลับอยู่บนฝูกของเขา พ่อนั่งลงข้างตัวเขาพลางเอามือแตะตัวของธล ร่างของเขาเย็นลงเล็กน้อย พ่อถอนหายใจยาว อีกครั้งแล้วสิที่พ่อก่อเรื่องจนทำให้ธลต้องลำบาก และมันเริ่มทำให้พ่อสัญญากับตัวเองว่าพ่อจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น ไม่ใช่เพื่อตัวของพ่อเอง แต่เพื่อธลด้วย...


“ทานข้าวได้แล้วคะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ทั้งชายหนุ่มและลูกสาวต่างก็เดินไปที่ห้องรับประทานอาหาร

“แม่คะ หนูขอไม่กินเนื้อได้ไหมคะ” ลูกสาวพูด ทั้งพ่อและแม่ต่างมองหน้ากันพลางยิ้มให้

“ธล ลูกไม่ต้องกลัวหรอกนะว่าลูกจะแปลงร่างนะ ลูกไม่ใช่จระเข้สักหน่อย” ผู้เป็นพ่อกล่าว เด็กสาวก็ส่ายหน้า

“ก็พี่ธลเขาไม่ได้กิน แต่เรากินอยู่คนเดียว มันเห็นแก่ตัวนะคะ” เด็กสาวพูด ผู้เป็นพ่อจับลูกสาวของตนขึ้นมานั่งบนตักพลางยิ้มให้

“รู้ไหมว่าพ่อเองก็เคยพูดแบบนี้กับเขา แล้วรู้ไหมว่าเขาตอบว่าอะไร” เด็กสาวก็ส่ายหัว

“เขาตอบว่า ถ้าอยากให้เขาเป็นคนแบบนี้ตลอดไป ก็จงกินเนื้อเพื่อเขา เขาจะได้อยู่ข้างๆพ่อตลอดไป ถ้าพ่อไม่กินสัตว์ที่ยอมสละชีวิตให้เราก็จะสูญเปล่า” ชายหนุ่มพูด เด็กสาวก็พยักหน้า

“คะ งั้นหนูจะกินเยอะๆเลย พี่ธลจะได้เป็นคนตลอดไปไงคะ” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับ

“ผักก็ต้องกินนะลูก” ผู้เป็นแม่ตอบ เด็กสาวก็พยักหน้า

“คะแม่” ลูกสาวตอบเสียงใส ก่อนที่จะลงจากตักของชายหนุ่มไปนั่งที่นั่งของตน ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มให้ลูกสาวพลางคิดอยู่ในใจ

“ถ้ามันทำให้นายเป็นคนได้ตลอดไป ต่อให้เราต้องกินคนด้วยกันเอง เราก็อยากจะทำมันเพื่อนายนะ” ชายหนุ่มคิด ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารตรงหน้าของเขา

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 22-12-2006 00:15:34
ชอบๆๆๆๆๆ ไม่ไหวแล้ว ไม่เป็นอันทำอะไรเลยอ่ะ

รีบมาต่อไวๆนะครับ :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-12-2006 08:59:48
รออ่านต่อค่ะ  :myeye:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: No_ProMises ที่ 22-12-2006 12:38:49
มาต่อด้วยนะค๊าบ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-12-2006 19:28:24
ระวังอย่าใจร้อนไปตามหาแถวแม่น้ำละ อาจโดนตะเข้ขะเหมือบ กร๊าก

บทที่ 6

ชายหนุ่มกำลังเดินเลือกซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตกับลูกสาว และ ภรรยาของเขา ลูกสาวก็พยายามช่วยหยิบของให้แม่ของตนอย่างแข็งขัน

“อันนี้ใช่กะปิหรือเปล่าคะ” เด็กสาวถาม หญิงสาวก็ส่ายหัว

“แม่จะสอนนะ นี่เห็นกระดาษหน้าขวดนี่ไหมจ๊ะ เขาเรียกว่าฉลากนะจ๊ะ” หญิงสาวพูด เด็กสาวก็มองพลางพยักหน้า

“คะ ฉลาก” เด็กสาวทวน

“ใช่จ๊ะ แล้วฉลากเนี่ยมันจะมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ แล้วมันจะบอกว่าในขวดนี้มันคืออะไร อย่างอันนี้มันอ่านว่า น้ำ พริก เผา ไงจ๊ะ” หญิงสาวอธิบาย เด็กสาวก็พยักหน้ารับ

“อ๋อ ถ้าหนูอ่านข้อความตรงนี้หนูก็จะรู้ทันทีใช่ไหมคะว่าอะไรเป็นอะไร” เด็กสาวสรุปความ ผู้เป็นแม่ก็พยักหน้า

“ใช้แล้วจะ ทีนี้ลูกลองค่อยๆอ่านฉลากที่เขียนว่า กะ ปิ นะ สะกด กอไก่สระอะ ปอปลา สระอินะจ๊ะ” หญิงสาวพูด เด็กสาวก็พยักหน้าพลางวิ่งกลับไปที่ชั้นวางของ

“อย่าวิ่งลูก มันจะเสียงดังรบกวนคนอื่นเขา” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้น เด็กสาวก็เดินให้ช้าลง ชายหนุ่มได้แต่มองอย่างเหม่อๆ จนหญิงสาวสังเกตได้ ทั้งสามคนซื้อของเสร็จก็เอาของที่ซื้อมาใส่ไว้ที่ท้ายรถก่อนที่จะขับรถกลับบ้าน

“วันนี้ลูกเป็นเด็กดีมากเลยนะช่วยแม่เขาซื้อของด้วย” ชายหนุ่มพูด

“แล้วพ่อไม่ให้รางวัลลูกหน่อยหรอคะ” หญิงสาวทัก

“หนูขอเป็นเรื่องของพี่ธลอีกตอนได้ไหมคะ” เด็กสาวตอบขึ้นมาทันที ชายหนุ่มพยักหน้าพลางหายใจเข้าลึกๆ...


หลังจากที่พ่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องผนึกถ้ำทองมากขึ้น มันก็เตือนให้พ่อต้องคอยระวังเรื่องของธลให้มากเข้าไปอีก แต่อย่างไรก็ดีหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นพ่อเริ่มมีความรู้สึกว่าธล ดูห่างเหินจากพ่อไปชอบกล

“หลวงตาครับ ธลอยู่หรือเปล่า” พ่อถามหลวงตาทันทีที่มาถึงวัด หลวงตาก็ส่ายหัว

“อืม ไม่เห็นเลยแฮะ แปลกจังมันหายหัวไปไหนวะ เฮ้ย มีใครเห็นไอ้ธลบ้าง” หลวงตาตะโกนถามเด็กวัดแถวนั้น แต่ทุกคนก็ส่ายหัว ธลมักจะหายไปเสมอตอนที่พ่อมาหาเขา มันเป็นบ่อยมากเสียจนพ่อเริ่มเป็นห่วงว่าธลนั้นจะเป็นอะไรหรือเปล่า

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไอ้ธลมันไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก” หลวงตาตอบ แต่ยังไงพ่อก็ยังไม่สบายใจสักเท่าไหร่

“แล้ววันนี้จะรอหรือเปล่าละ” หลวงตาถาม เพราะพ่อถ้าไม่เจอธลก็จะรอจนกว่าเขาจะกลับมานั่นแหละ ไม่ก็จนกว่าพ่อจะต้องกลับบ้าน แต่พ่อก็ไม่เคยเจอเขาเลยสักที

“อืม ไม่อะครับ วันนี้ต้องไปซื้อของให้แม่ด้วยอะครับ งั้นผมฝากนี่ให้ธลด้วยนะครับ” พ่อพูดพลางส่งขนมให้หลวงตาถุงนึง พ่อหมั่นเอาขนมแทบจะทุกอย่างที่ผมคิดว่าเขาจะกินได้ เพื่อเขาจะชอบอะไรบ้าง หลวงตาก็พยักหน้าพลางรับถุงขนมไป พ่อไหว้หลวงตาก่อนที่จะเข้าเมืองไปซื้อของ พ่อซื้อของไปพลาง คิดถามตัวเองไปพลางว่าธลนั้นหายไปไหน หรือว่าเขาโกรธที่พ่อไปบังคับให้เขากินเนื้อ

“ก็ไม่รู้นี่หว่า แค่อยากให้กินอะไรอร่อยๆแค่นั้นเอง” พ่อคิดอย่างน้อยใจที่ธลนั้นโกรธพ่อด้วยเรื่องนั้น แต่อีกใจนึงพ่อเองก็รู้สึกผิดเพราะตัวพ่อเองนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ พอซื้อของเสร็จพ่อกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่ตอนนั้นพ่อเบื่อ เพราะกลับไปก็ไม่รู้จะไปทำอะไรดี พ่อเลยแอบไปที่บึงที่พ่อไปเล่นน้ำประจำอีกครั้ง พ่อเดินไปตามทาง มันหวนให้พ่อรำลึกถึงครั้งแรกที่พ่อได้เจอกับเขาที่นี่ เขากำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ทำอะไรสักอย่าง ตอนนั้นพ่อยังคิดกับเขาเป็นตัวประหลาดอยู่เลย แต่พอตอนนี้เขากลับเป็นเพื่อนที่พ่อสนิทใจด้วยที่สุดเสียแล้ว พ่อมาถึงบึงในเวลาต่อมา พ่อคิดถึงตอนที่เขาโพล่มาช่วยพ่อจากจระเข้ครั้งแรก มันทำให้พ่ออดยิ้มออกมาไม่ได้เหมือนกัน ธลช่วยพ่อจากจระเข้ถึงสองครั้ง แต่พ่อกลับทำให้เขาซวยถึงสองครั้งเช่นกัน จริงๆแล้วคนที่เป็นตัวปัญหาน่าจะเป็นพ่อมากกว่าเขานะ พ่อนั่งลงที่ใต้ต้นตะเคียน พลางมองดูบึงตรงหน้า

“นายโกรธเราจริงๆหรอธล” พ่อรำพึง พ่อไม่เคยรู้สึกเหงาขนาดนี้มาก่อนเลย มันเหมือนอะไรบางอย่างในตัวพ่อนั้นขาดหายไป พ่อคิดถึงเขาจริงๆตอนนั้น แต่แล้วพ่อก็ได้ยินเสียงน้ำจ๋อมแจ๋ม พ่อหันไปมอง ธลโพล่หัวขึ้นมาจากน้ำทันที พ่อตาค้างเลย

“ธล” พ่ออุทาน ธลก็หันมามองพ่อ ทันใดนั้นเองเขาก็กระโดดลงน้ำหายไป พ่อไม่รอช้าพ่อถอดเสื้อถอดรองเท้าออกแล้วกระโดดลงน้ำไปทันที พ่อดำผุดดำโพล่เพื่อตามหาเขา พ่อพยายามตามหาเขาแต่พ่อก็หาไม่เจอ พ่อว่ายจากขอบนึงไปอีกขอบนึง พ่อดำลงไปให้ลึกที่สุดเท่าที่พ่อจะทำได้แต่พ่อก็ไม่เห็นเขาแม้แต่เงา

“ธลนายอยู่ไหนนะ ออกมานะ” พ่อร้อง แต่ธลก็ไม่ยอมแสดงตัว พ่อเริ่มหงุดหงิดขึ้นทุกขณะ

“นายจะหนีเราไปทำไมกัน นายโกรธเรามากขนาดนั้นเลยหรอ” พ่อตะโกนโหวกเหวก แต่ก็ไม่มีวี่แววของธลเลย พ่อตัดสินใจเด็ดขาด

“ได้ เราจะหานายให้เจอให้ได้เลย” พ่อพูดแล้วพ่อก็เริ่มออกว่ายน้ำตามหาเขา พ่อดำลงไปแทบจะทุกจุดของบึง แต่ด้วยความที่บึงมีขนาดค่อนข้างใหญ่แถมธลก็ว่ายน้ำได้เก่งกว่าพ่อหลายเท่าตัวนัก แต่พ่อตอนนั้นก็ไม่ได้ยอมแพ้หรอกนะ พ่อก็ดิ้นรนว่ายน้ำตามหาธลต่อไป พ่อดำลงไปจนลึกเพื่อหาเขา แต่พ่อก็หาไม่เจอสักที แต่ขณะที่พ่อพยายามจะดันตัวกลับขึ้นสู่ผิวน้ำนั่นเอง ขาของพ่อก็เหมือนมีอะไรมาดึงไว้ พ่อลองก้มไปดูมันเป็นเหมือนหญ้าน้ำจำนวนมากพันรอบขาของพ่อไว้ พ่อพยายามดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก พ่อเริ่มดิ้นไปมาแต่มันก็ยึดขาพ่อไว้แน่น ลมหายใจในปอดของพ่อเหลือน้อยเต็มที สายตาของพ่อเริ่มพร่าลงช้าๆ แต่แล้วร่างของพ่อก็ถูกกระชากอย่างแรง หัวของพ่อโพล่พ้นน้ำขึ้นมาทันที พ่อถึงกับสำลักน้ำออกมาจำนวนมากพลางหายใจหอบ ร่างของพ่อโดนลากไปที่ริมฝั่ง พ่อค่อยๆหายใจช้าๆ พลางมองดูคนตรงหน้า ธลช่วยพ่อไว้อีกครั้ง เขาจ้องมองดูพ่อด้วยสายตาเศร้าสร้อย แล้วเขาก็เบือนหน้าหนีแต่พ่อจับข้อมือของเขาเอาไว้

“นาย จะ ไป ไหน” พ่อถาม เขาหยุดการเคลื่อนไหวลงไม่ขยับไปไหน

“นาย หนี เราทำไม” พ่อพูดไปพลางหายใจหอบ ธลไม่หันกลับมาสบตาพ่อเลย

“เราแค่ไม่อยากทำให้นายต้องลำบาก” ธลพูด พ่อบีบมือเขาแน่น

“ด้วยการหนีหน้าเราไปงั้นหรอ รู้ไหมว่าเราเป็นห่วงนายขนาดไหนนะ” พ่อตวาด ธลหันกลับมามองหน้าพ่อ

“นายไม่ต้องทำอะไรเพื่อเราขนาดนั้นก็ได้ เรารู้ดีว่ามันดีเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง นายไม่ต้องฝืนทำมันเพื่อเราหรอก” ธลพูด พ่อสะบัดมือเขาออกไปทันที

“อะไรทำให้นายคิดว่าเราฝืนทำละ” พ่อพูด ธลก้มหน้าลง

“กะ ก็เรามันตัวประหลาด” ธลตอบ พ่อสุดจะทนแล้ว พ่อกดร่างเขาลงกับพื้นพลางจ้องตาเขา

“เออ นายมันตัวประหลาดแล้วยังไงหรอ กูไม่สนหรอกเว้ยว่านายจะเป็นตัวบ้าตัวบออะไร ยังไงกูก็ไม่ทิ้งนายอยู่แล้ว” พ่อคำราม ตาของพ่อรู้สึกชื้นๆขึ้นมา ธลมองหน้าพ่ออย่างงงๆ พ่อเริ่มได้สติเลยปล่อยตัวเขาพลางถอยกลับมานั่งลงข้างๆเขาแทน

“กฤษ” ธลพูดขึ้น พ่อกำหมัดแน่น

“นายช่วยเราไว้ตั้งหลายครั้ง แล้วเมื่อกี้นายก็ยังช่วยเราอีก นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราขนาดนี้ เราจะทิ้งนายได้ยังไงกันละ” พ่อตอบ ธลก็นิ่งเงียบไปสักครู่นึง

“นายเห็นแล้วสิ ร่างจริงของเรา” ธลถาม พ่อหันไปมองเขา ธลก้มหน้าลงเล็กน้อย

“ตอนที่ผนึกอ่อนกำลังลง นายคงมองเห็นแล้วว่าจริงๆเราน่าเกลียดขนาดไหน เราพยายามสู้กับมันแต่ร่างกายเรามันไม่ยอมฟังเลย เรารู้ว่านายต้องกลัวเรามาก เราเลยไม่อยากให้นายต้องเจอเราอีก เพื่อมันจะทำให้นายสบายใจขึ้น” ธลพูด พ่อมองหน้าธล

“รู้ไหม ตอนที่เราเห็นร่างของนายนะ เราไม่ได้กลัวเลยนะ” พ่อตอบ ธลมองหน้าพ่อ

“อืม มันก็ตกใจนิดหน่อย แต่แล้วไงหรอ นายก็คือนาย เราก็บอกแล้วว่านายจะเป็นยังไงเราก็ไม่สนใจหรอก นายคือเพื่อนที่เราสนิทใจมากที่สุดนะธล” พ่อพูด ธลน้ำตาซึม

“ระ เรากลัวมาตลอด เรากลัวมาตลอดว่าถ้านายเห็นร่างจริงๆของเราแล้ว นายจะยอมรับมันไม่ได้” ธลพูด พ่อขยับตัวเข้าไปกอดเขาเอาไว้

“เรายอมรับนายตั้งแต่เราบอกว่านายเป็นเพื่อนเราแล้วละ และไม่ว่าอะไร เราก็จะไม่ทิ้งนายเด็ดขาด เราสัญญา” พ่อพูดพลางโอบร่างเขาไว้แน่น พ่อไม่เคยคิดกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงพ่อดีใจด้วยซ้ำที่ได้อยู่ข้างเขาอีกครั้ง

“อันที่จริง เราว่านายในร่างนั้นนะ เท่ห์กว่าร่างนี้ตั้งเยอะ” พ่อตอบ ธลมองหน้าพ่องงๆน้ำตาไหลเป็นทาง พ่อก็ยิ้มให้พลางลูบหัวเขาเบาๆ

“ไม่เอาน่า อย่าร้องไห้ดิ ตัวนายใหญ่ขนาดนี้ร้องไห้เป็นเด็กไปได้” พ่อตอบ ธลก็พยักหน้าพลางเช็ดน้ำตาเขาออก

“อะ อืม” ธลพูดเบาๆ พ่อก็นึกอะไรขึ้นได้ พ่อรีบเดินกลับไปที่ถุงของที่พ่อไปซื้อให้ย่า แล้วพ่อก็หยิบเอาถุงขนมมาให้ธล

“นายกินเนื้อไม่ได้ เราเลยหาขนมอย่างอื่นมาให้นายกินแทน ไม่รู้นายจะชอบหรือเปล่า แต่อันนี้เป็นขนมชั้นนะ เหนียวๆอร่อยดี” พ่อพูดพลางยื่นให้ ธลรับถุงนั่นมาไว้ในมือ

“อืม เราชอบขนมนายทุกอย่างเลยละ แต่ว่า...” ธลเงียบไปสักพัก พ่อมองหน้าเขา

“แต่อะไรหรอ” พ่อถาม ธลมองหน้าพ่อผมแก้มแดงๆ

“อืม เราว่า มันอร่อยกว่านี้ถ้า เออ ได้กินกับนายนะ” ธลตอบ พ่อหัวเราะร่า

“เอ๋า ก็ตัวเองหนีไปทำไมละ ที่ซื้อมาให้นี่ก็กะกินด้วยกันอยู่แล้ว” พ่อตอบ ธลหัวเราะเบาๆ พ่อเองก็อดขำไปด้วยไม่ได้

“ขอบใจนะกฤษ ที่อยู่ข้างเราเสมอเลย เราดีใจมากเลยละ” ธลตอบ พ่อยิ้มให้

“เราเองก็มีความสุขที่ได้อยู่ข้างนายเหมือนกันนั่นแหละ” พ่อพูด ธลยิ้มรับ เพื่อนเราอาจจะมีเยอะแยะมากมายหลายแบบ แต่จะมีกี่คนที่เราจะสามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึกให้กันและกันได้ สำหรับพ่อแล้วธลคือคนที่พ่ออยากจะแบ่งความรู้สึกให้ และพ่อเองก็อยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้เช่นกัน หลังจากนั้นพ่อก็ตัดสินใจชวนธลไปนอนที่บ้าน

“นะครับหลวงตาให้เขาไปนะครับ คืนเดียวเอง” พ่อรบเร้า หลวงตาทำสีหน้าไม่สบายใจเท่าไหร่นัก

“แค่คืนเดียวเท่านั้นนะ” หลวงตากำชับ พ่อแทบกระโดดตัวลอยเลยละ พ่อพาธลมาที่บ้าน ตอนแรกพ่อก็กลัวๆว่าปู่จะดุ เพราะปู่ของพ่อเป็นคนที่เชื่อคนยากมาก แต่ด้วยความที่ธลเป็นคนเรียบร้อย เลยเหมือนจะได้คะแนนนิยมจากปู่ไปเยอะเหมือนกัน

“กินเจด้วยหรอ อืม เก่งนะเป็นเด็กเป็นเล็ก เออ เห็นหลวงตาบอกว่าเธอเป็นคนคอยส่งข่าวให้พรานจระเข้นี่นะ ขยันทำงานจริงๆ” ปู่พูด ธลก็ได้แต่พยักหน้ารับ ผมเองก็คงไม่อยากจะบอกนักหรอกว่า คนที่ไปเอาข่าวมาจริงๆก็คือเขานั่นแหละ ตกเย็นย่าก็ทำผัดผักให้ธลเป็นพิเศษ แล้วมันทำให้พ่อรู้ว่าธลนั้นกินเก่งมาก เขากินข้าวคนเดียวเกือบครึ่งหม้อเลย

“กินเก่งจริงๆ” ย่าชม พ่อว่าพ่อกินจุแล้ว เทียบกับธลแล้วพ่อดูเหมือนแมวดมไปเลย

“นี่ห้องเราเอง” พ่อพาธลขึ้นไปดูห้องของพ่อ ธลดูตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย

“นี่นายมีเตียงด้วยหรอ” ธลถามด้วยแววตาตื่นเต้น พ่อก็พยักหน้า

“อืม คืนนี้นายนอนเตียงสิ เรานอนพื้นเอง” พ่อเสนอ

“จะดีหรอ” ธลถาม พ่อกรอกตา

“เออ นอนไปเถอะน่า อืม รีบอาบน้ำกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นไปกว่านี้” พ่อเสนอ แล้วธลกับพ่อก็นุ่งผ้าขาวม้าลงไปอาบน้ำข้างล่าง ห้องอาบน้ำของบ้านปู่ลูกก็เคยเห็นนะ มันมีห้องอาบน้ำคนงานด้วย พ่อก็ไปอาบห้องนั้นแหละ เพราะมันกว้างกว่าอาบห้องเดี่ยว พ่อกับธลก็ไปอาบด้วยกัน พ่อสังเกตเห็นธล ร่างกายของเขาแน่นไปด้วยมัดกล้าม ท้องเป็นลอน อกผาย แขนมีริ้วของกล้ามเนื้ออย่างงดงาม จนพ่ออิจฉาเลย

“นายนี่หุ่นดีจัง หรือจระเข้ที่แปลงร่างมาก็หุ่นดีแบบนี้นะ” พ่อพูดพลางบีบต้นแขนของเขาเบาๆ มันแน่นมากจริงๆ

“อืม เราไม่รู้หรอก มาถึงพอได้ร่างคนเราก็เป็นแบบนี้เลย” ธลตอบ พ่อก้มลงดูร่างของตัวเอง พ่อเองไม่ได้อ้วน หรือ ผอมนักหรอกนะ พ่อตอนนั้นก็พอมีกล้ามอยู่บ้างแต่แค่ไม่หนาเหมือนธลเท่านั้นเอง อะนะขำกันใหญ่ เดี๋ยวไม่เล่าต่อเลยนิ

“อะคะ แหมอย่างอนนักสิคะ คิก คิก” หญิงสาวพูดปลอบ ชายหนุ่มกรอกตาไปมา

เอาเถอะ แต่ธลมองหน้าพ่อแก้มแดงๆ

“อืม เราว่า นาย อืม ก็ เออ ดูดีนี่นา” ธลตอบ พ่อเหล่ตา

“อะนะ มองดูตัวเองเสียก่อนเถอะ” พ่อพูด ธลเหลือบมองดูพ่อเป็นระยะๆ แล้วเราก็เข้าไปอาบน้ำกัน

“ธล ถูหลังให้หน่อย” พ่อพูด พลางส่งสบู่ให้เขา ธลลูบมือของเขาไปมาบนหลังของพ่อจนทั่ว

“นายหันหลังสิ เดี๋ยวเราถูให้บ้าง” พ่อบอก แล้วธลก็หันหลังให้

“อืม นายอาบน้ำกับคนอื่นแบบนี้บ่อยหรอ” ธลถาม พ่อพยักหน้า

“อืม ก็บางทีก็คนงานนะ เราไม่ชอบอาบในห้องแคบๆอะ” พ่อตอบ

“อืม ดีจัง เราต้องมาแอบอาบคนเดียวทุกวันเลย” ธลพูด พ่อตบหลังเขาเบาๆ

“เอางี้ ถ้านายอยากมีคนอาบด้วย บอกเราได้เลย เดี๋ยวเราอาบเป็นเพื่อนก็ได้” พ่อตอบ ธลหันหัวมา

“จริงหรอ” ธลร้อง พ่อก็พยักหน้า

“อืม อีกอย่างเมืองไทยร้อนตายชัก อาบน้ำสักหน่อยก็พอให้สบายตัวละน่า” พ่อตอบ ธลยิ้มให้แก้มแดงๆ

“อืม แล้ว เออ นาย อืม ถูหลังให้เราอีกได้ไหม” ธลถาม พ่อหัวเราะร่า

“แล้วคิดว่านี่ทำอะไรอยู่ละ” พ่อตอบ ธลยิ้มพลางหัวเราะตอบกลับมา จากนั้นเราสองคนก็ขึ้นไปนั่งเล่นที่ห้อง พ่อสอนเขาเล่นหลายอย่างเหมือนกัน เป่ากบเอย ยิงลูกหิน ธลดูสนใจกับมันมากน่าดู

“อืม เราไม่เคยได้เล่นอะไรแบบนี้เลย” ธลพูด พ่อยิ้มให้ ตอนนั้นพ่ออยากจะสอนอะไรเขาอีกเยอะแยะ แต่พ่อเริ่มง่วงเสียแล้ว

“อืม เราง่วงแล้วอะ เดี๋ยวมาสอนต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ” พ่อเสนอ ธลพยักหน้า พ่อนอนที่พื้นส่วนธลพ่อให้เขานอนบนเตียง

“กฤษ” ธลพูดขึ้น

“ขอบใจนะ” ธลพูด

“ยินดีเสมอ” พ่อตอบ ก่อนที่เราสองคนจะหลับลงไปกับยามราตรี...

“คร่อก” เสียงของเด็กสาวกรนขึ้นเบาๆ ผู้เป็นแม่หัวเราะคิกคัก

“ดูเหมือนจะมีอีกคนที่ก็หลับตามกันไปนะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มหัวเราะ

“อืมนะ” ชายหนุ่มพูดพลางถอนหายใจอย่างเงียบๆ ในใจของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของธลอยู่เต็มไปหมด ยิ่งเขาเล่าเรื่องของธลมากเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าความหลังเมื่อครั้งวันวานของเขาจะยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ชัดขึ้นจนเหมือนจะบอกให้ใจของเขาออกตามหาธลอีกสักครั้ง

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 22-12-2006 19:35:19
                                 อืมม กินผัก กะ ห้ามโกรธ เหมือนคนถือศีลเร่ะ :confuse:

                                          จาเปงไงต่อปายนะ เรื่องนี้เดายากจัง
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 22-12-2006 19:54:32
อ่านตอนแรกๆ แล้วเหงาจังเลยอ่ะ
พอช่วงง้อกัน . . . ก็น้ำตาไหล
แล้วก็นั่งยิ้มเป็นคนบ้าตอนดีกัน

โอ้ย . . . อินอีกแล้วอ่ะ ยังดีนะที่ยังไม่ถึงขั้นจิตหลุด

ปลื้มมากเลยเนี่ยเรื่องนี้ มาต่อไวๆนะครับ . . .
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-12-2006 22:12:42
เพื่อนยังไงก็เป็นเพื่อนนะ  :impress:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-12-2006 17:30:36
ตะแน๋วลองเดาดิ เรื่องของ nat นี่เดาได้ยากมากๆแทบทุกเรื่อง
*****************************************
บทที่ 7

“เดี๋ยวขอลองตัวนี้ กับตัวนี้ด้วยนะคะ” หญิงสาวพูดขึ้นพลางชี้ไปที่เสื้อผ้าสวยหรูที่แขวนอยู่ที่ราว ส่วนชายหนุ่มก็นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ไม่ไกลนัก

“คุณแม่ลองเสื้อนานจัง” ลูกสาวพูดขึ้น ผู้เป็นพ่อหัวเราะเบาๆ

“ใช่มะ ไม่ไหวเลยเนอะ” ชายหนุ่มแกล้งพูดเสียงให้ดังขึ้นอีกนิด แต่หญิงสาวก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“เราไปดูของเล่นกันไหม” ผู้เป็นพ่อถาม เด็กสาวส่ายหัวไปมา

“ไม่ละคะ ลิลี่ไม่ชอบคนเยอะๆ” เด็กสาวตอบ ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างเอ็นดู

“หนูให้คุณพ่อเล่าเรื่องพี่ธลอีกดีกว่าคะ” เด็กสาวคะยั้นคะยอ ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆพลางลูบหัวของเด็กสาวไปด้วย...


พ่อกับธลเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องพูดว่าตอนนั้นเราแทบจะไม่ขาดจากกันเลย พ่อหมั่นเอาขนมไปให้เขากินบ่อยๆ แต่ดูเหมือนที่ธลชอบที่สุดจะเป็นถั่วตัดนะ

“เราว่ามันมันเขี้ยวดี” ธลกล่าว พ่อยิ้มให้ หลังๆพ่อเลยมักจะหาขนมแข็งๆมาให้เขาเคี้ยวบ่อยๆ ธลเองเหมือนจะเริ่มเข้าใจการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์มากขึ้นทีละน้อย เด็กวัดหลายคนเริ่มสุงสิงกับเขาบ้าง พ่อดีใจนะที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะเขาจะได้มีเพื่อนหลายๆแบบ แล้วก็ตอนพ่อเรียนหนังสือเขาก็ไม่เหงาด้วย ก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว พ่อสอบปลายภาคจบพอดีพ่อก็ปิดเทอมละ ช่วงนั้นนี้แทบจะเรียกว่าพ่อเป็นเด็กวัดก็ได้นะ เพราะพ่อเล่นนอนค้างคืนแทบจะทุกวันเลย แต่นอนวัดก็ดีนะ มันสงบดีพ่อชอบ แล้วมีอยู่วันนึงที่ธลชวนพ่อไปที่บึง

“แปลกแฮะ วันนี้นายชวนเรา ไม่ใช่เราชวนนาย” พ่อแซว ปกติแล้วธลจะเงียบๆ ไม่ค่อยออกความเห็น ต้องเสนอให้เขาแล้วเขาจะคิดแล้วบอกว่าชอบไม่ชอบ แต่นี่เขาชวนพ่อออกมาเองเลย

“มะ มันแปลกขนาดนั้นเลยหรอ” ธลถาม พ่อยิ้มให้

“เปล่า ล้อเล่นนะ ดีออก เราจะได้รู้ไงว่านายชอบที่ไหน” พ่อตอบ ธลแก้มแดงเล็กน้อย เรามาถึงบึงที่พ่อเล่นน้ำบ่อยๆ ตอนนั้นเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ พ่อเลยไม่คิดจะเล่นน้ำสักเท่าไหร่

“นี่ถ้าจะให้ว่ายน้ำนี่ไม่เอานะ” พ่อพูด ธลส่ายหัว

“เปล่าหรอก เราจะพายนายไปดูฐานลับของเรา” ธลตอบ พ่อตาลุกเลย

“นายมีฐานลับด้วยหรอ” พ่ออุทาน ธลยิ้มเล็กน้อย พลางหยิบเอาเทียนออกมาจากกระเป๋า มันเป็นเทียนสีขาวทั้งเล่มขนาดใหญ่กำได้รอบมือเขาพอดี ธลเอาเชิงเทียนเสียบเข้าไปแล้วส่งให้พ่อ

“เอ้าถือไว้นะ” ธลตอบแล้วเขาก็หยิบเอาไฟแช๊กออกมาส่งให้พ่อ

“เราใช้ไม่เป็นหรอก แต่เราเห็นหลวงตาใช้จุดเทียนในวัดนะ นายจุดเทียนสิ” ธลบอก พ่องงๆแต่ก็ยอมทำตาม พ่อก็จุดเทียนไป แล้วธลก็ดึงมือพ่อไปที่บึง พ่อถอยหนี

“เฮ้ย บอกแล้วไงไม่เล่นน้ำอะ” พ่อแย้ง ธลยิ้ม

“ก็ไม่ได้เล่นไง ฐานลับเราอยู่ในน้ำนะ” ธลตอบ พ่อทำตาโต

“โห แล้วจะลงไปยังไงละเนี่ย” พ่อถาม ธลชี้ไปที่เทียนในมือพ่อ

“ก็ใช้เทียนอันนั้นไง” ธลตอบ พ่อมองที่เทียนขนาดใหญ่ในมืออย่างสับสน

“มันคือเทียนระเบิดน้ำนะ ที่พ่อไกรใช้ลงไปหาชาละวันนะ” ธลตอบ พ่ออึ้งเลย นี่เรื่องจริงหรอเนี่ย

“นี่จริงๆหรอ” พ่อถาม ธลยิ้มให้

“ก็ลองดูสิ” ธลพูด พ่อเลยเอาเทียนเข้าไปใกล้น้ำ ทันใดนั้น น้ำเหมือนมีอะไรบางอย่างดันออกไปเป็นวงกว้าง พ่อตาลุกวาวเลย

“อืม นายถือไว้นั่นแหละ แล้วนี่ก็เทียนที่เหลือนะเอาไว้ตอนขากลับ” ธลตอบพลางยื่นย่ามส่งให้แล้วถอดเสื้อออก

“นายไม่มาด้วยกันหรอ” พ่อถาม ธลยิ้ม

“เราชอบว่ายมากกว่านะ” ธลตอบ พ่อพยักหน้ารับ แล้วธลก็กระโดดลงน้ำไป

“เดินลงมาเลย” ธลร้อง พ่อค่อยๆเดินไปช้าๆ ทันทีที่พ่อเข้าไปใกล้น้ำในบึง มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาดันไว้เป็นวงกว้าง พ่อเดินไปบนพื้นนิ่มๆแฉะๆ พลางมองไปรอบตัว พ่อเดินลงไปลึกเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำนั้นอยู่รอบตัวของพ่อ

“สุดยอด” พ่อร้อง มันเหมือนเราอยู่ใต้น้ำโดยที่มีกระจกล้อมเอาไว้ แถมพ่อยังหายใจได้อีกด้วย พ่อมองดูปลาว่ายผ่านหัวของพ่อไป บางตัวก็กระเด็นเข้ามา พอมันอยู่ที่พื้นที่ไม่มีน้ำมันก็ดิ้นกระด๋องกระแด๋ง จนบางครั้งพ่อต้องจับมันโยนกลับเข้าไปในน้ำให้ พ่อลองเอามือแตะน้ำด้วยนะ มือของพ่อยื่นออกไปโดนน้ำได้เหมือนกับไม่มีอะไรมากั้นไว้ แต่ตัวพ่อก็ไม่เปียกเลย มันมหัศจรรย์มากจริงๆ พ่อมองดูธลว่ายน้ำ เขาว่ายฝ่าน้ำอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ว่ายในท่าเหมือนอย่างที่คนธรรมดาเขาว่ายกัน ธลว่ายโดยกวาดมือของเขาไปมาในน้ำ ราวกับเป็นจระเข้จริงๆ

“ทางนี้ ตามมา” ธลโพล่หัวเข้ามาพูดกับพ่อ พลางชี้ไปที่โพรงข้างหน้า พ่อก็เดินตามเขาไปเรื่อยๆจนกระทั่งเข้าไปในโพรง พอพ่อเข้าไปในโพรงพ่อพึ่งสังเกตว่าพื้นดินในโพรงมันแห้งสนิทเลย แถมในโพรงมันยังสว่างจ้าอีกด้วย ธลเป่าเทียนระเบิดน้ำ แล้วพ่อก็พบว่าในโพรงนี้มันไม่มีน้ำอยู่ข้างใน แถมพ่อยังหายใจได้อีกต่างหาก

“หรือว่านี่คือถ้ำทอง” พ่อถาม ธลก็พยักหน้า

“อืม จะว่างั้นก็ได้ แม่เราเป็นคนสร้างเอาไว้เองแหละ” ธลตอบ ผมมองไปรอบๆ ถ้ำภายในเป็นสีทองสว่างไปทั่วถ้ำ พ่อได้แต่มองทึ่งๆ

“บางครั้งเวลาแม่เหนื่อย หรือ แม่ทนไม่ไหว แม่ก็จะมาหลบอยู่ตรงนี้ พอแม่เราตาย เราก็เลยเปลี่ยนมันเป็นฐานลับเสียเลย” ธลตอบ พ่อพยักหน้าพลางมองไปรอบๆ ข้างผนักห้องมีหนังจระเข้ผืนนึงแปะอยู่

“นั่นแม่เราเองแหละ” ธลตอบ พ่อพยักหน้ารับแล้วพ่อก็เห็นสร้อยที่ทำจากหนังจระเข้ และจี้ตรงกลางเหมือนจะทำมาจากฝัน

“สร้อยนี่ก็ของแม่นายหรอ” พ่อถาม ธลพยักน้า

“น้าวิมาลาทำให้แม่นะ เขาว่าเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพตลอดกาลนะ จระเข้ที่มีความผูกผันกันมากๆ จะกัดหนังของตัวเอง พร้อมฝังฟันเอาไว้หนึ่งซี่ และมอบชิ้นส่วนหนังและฟันนั่นให้กับจระเข้ที่ผูกผันที่สุด เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่าจะฝากชีวิตไว้ให้กับจระเข้ตัวนั้น” ธลอธิบาย พ่อบอกตรงๆ พ่อเองก็เสียวๆอยู่เหมือนกันมันคงจะน่ากลัวพิลึก

“ตอนที่น้าวิมาลาได้มาเป็นภรรยาของชาละวันกับแม่ น้าเลยทำเป็นสร้อยให้แม่ใส่นะ” ธลตอบ พ่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“แล้วทำไมถ้ำนี้มันสว่างได้เองละ” พ่อถาม ธลส่ายหัว

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่อาจเป็นได้ว่าเป็นคาถาของถ้ำทองเองด้วยละมั้ง เพราะตอนแรกที่เรามาที่นี่มันก็เป็นแบบนี้แล้วละ” ธลพูด พ่อพยักหน้าหงึกๆ

“สวยจังเนอะ” พ่อตอบ

“อืม เวลาเราอยากอยู่คนเดียวเราก็มาที่นี่แหละ” ธลพูด พ่อกอดคอธลเอาไว้

“จากนี้ไปถ้ามาที่นี่คนเดียวอีกมีเคืองนะ” พ่อพูด ธลยิ้มให้

“อืม นายเป็นมนุษย์คนแรก และคนเดียวแหละที่เราจะยอมให้มา” ธลตอบ พ่อยิ้มให้เขา

“มาสิเดี๋ยวจะให้ดูข้าง...เอ๊ะ” ธลสะดุดล้มลง ขาของเขาขัดขาของพ่อเข้าพอดี พ่อเลยล้มตามเขาลงไป พ่อล้มทับตัวของธลหน้าของเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

“อะ เออ” พ่ออุทานเล็กน้อย ธลหน้าแดงก่ำ พ่อรีบดันตัวเองลุกขึ้น

“เป็นอะไรหรือเปล่า” พ่อถาม ธลส่ายหน้าและไม่กล้าสบตาของพ่อเลย

“มะ ไม่เป็นไร ขะ ขอโทษ” ธลตอบเสียงตะกุกตะกัก

“อะ เออ มาดูข้างในดีกว่า” ธลพูด พลางเดินฉับๆเข้าไปข้างใน พ่อเดินตามเขาไป ข้างในธลเอาพวกของทั้งหลายมาแปะไว้เต็มผนักถ้ำ มีทั้งเสื้อยันต์ที่ไกรทองใส่เวลาสู้กับจระเข้ เขี้ยวเพชรของชาละวัน มงคลของไกรทอง กระโหลกของชาละวัน

“นายเอามาเก็บไว้หมดเลยหรอ” พ่อถาม ธลพยักหน้า

“อืม ของทุกชิ้นเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าของเราเลยละ” ธลพูด พ่อมองไปรอบๆ แล้วพ่อก็หันไปเห็นที่มุมถ้ำมันมีใบตองวางไว้เยอะแยะเลย แถมภายในในก็มีขนมที่ผมให้ธลเอาไว้บนใบอย่างละชิ้น

“อะ เออ คือ อืม คือ ระ เรา แบบ เออ...” ธลพูดตะกุกตะกัก พ่อตบหลังเขาเบาๆ

“ขอบใจนะ แหม เขินเลยแฮะ ไม่คิดว่าจะมีคนให้ความสำคัญกับเราขนาดนี้” พ่อตอบอย่างอายๆ นี่เป็นครั้งแรกนะ ที่มีคนให้ความสำคัญกับตัวพ่ออย่างนั้น

“อันที่จริง ที่ชวนนายมานี่เพราะเราอยากจะให้นายช่วยเขียนชื่อขนมให้หน่อยนะ” ธลตอบ พ่อยิ้มให้

“ใช้อะไรเขียนอะ” พ่อถาม ธลก็ส่งก้านไผ่ให้

“เขียนลงไปเหมือนดินสออะ” ธลอธิบาย นั่นเป็นครั้งแรกจริงๆที่พ่อได้เขียนด้วยก้านไผ่ มันเขียนยากจริงๆ เพราะถ้ากดแรงเกินไปใบไม้ก็จะขาด ถ้าเบาไปมันก็จะไม่ติด แต่พ่อสนุกมากเลยจริงๆ

“นายเรียนเขียนหนังสือกับหลวงตาหรอ เราไม่เห็นนายเข้าโรงเรียนเลย” พ่อถาม ธลพยักหน้า

“อือ พ่อไกรก็สอน หลวงตาก็สอน พ่อไกรไม่ค่อยอยากให้เราเข้าใกล้คนเท่าไหร่” ธลตอบ พ่อพยักหน้ารับ แต่พลันธลก็สะดุ้ง

“หลวงตาเรียก” ธลพูดขึ้น พลางลุกขึ้น

“หลวงตาเรียก ยังไงอะเราไม่เห็นได้ยินเลย” พ่อถาม ธลหยิบเอาเทียนระเบิดน้ำขึ้นมาพลางส่งให้พ่อ

“หลวงตามีคาถาเรียกจระเข้นะ มันจะส่งเสียงร้องให้จระเข้ที่หลวงตาคิดไว้ได้ยินเสียง หลวงตาใช้เวลาจะเรียกเรานะ” ธลอธิบาย แล้วพ่อก็จุดเทียนระเบิดน้ำธลจับมือของพ่อไว้แล้วทะยานออกจากถ้ำไป ธลว่ายน้ำเร็วมากจนพ่อต้องเอามือบังเทียนไว้ไม่ให้มันดับ ไม่นานธลก็พาพ่อโพล่พ้นน้ำ พ่อเป่าเทียนให้ดับแล้วก็เก็บลงย่ามของธล แต่แล้วธลก็อุ้มพ่อขึ้นพาดบ่าแล้วออกวิ่งไปทันที

“โทษที หลวงตาบอกเรื่องด่วน” ธลกล่าวพลางแบกร่างของพ่อวิ่งกลับไปที่วัด พอไปถึงที่วัดหลวงตายืนกอดอกเอาไว้

“หายไปไหนมา” หลวงตาถาม ธลเงียบลงไป

“อะ เออ ผมชวนเขาไปนั่งเล่นที่บึงอะครับ” พ่อตอบให้ธล หลวงตาพยักหน้า

“เราหาตัวไอ้เด่นเจอแล้ว ตอนนี้มันกำลังกบดานอยู่ที่ปากแม่น้ำนะ” หลวงตาพูด พ่อเริ่มจะเดาเรื่องได้บ้างแล้วนี่ ธลคงต้องไปเจรจากับจระเข้อีกแล้ว ธลพยักหน้ารับ

“ให้เราไปด้วยนะ” พ่อพูด แต่หลวงตากลับหันมาทำตาดุใส่

“พูดบ้าๆ ไปให้ไอ้ธลมันเดือดร้อนอีกงั้นหรอ” หลวงตาตวาด พ่อเองก็จ๋อยเล็กๆ เพราะความจริงพ่อก็ทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก ธลหันกลับมามองพ่อพลางจับไหล่พ่อไว้

“นายอยู่ที่นี่เถอะ เราแค่ไปคุยเอง ไม่นานหรอก” ธลพูด พ่อก็ได้แต่พยักหน้ารับ แล้วธลก็วิ่งออกจากวัดไป พ่อได้แต่ยืนมองดูเขา พ่อรู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองนั้นทำอะไรไม่ได้เลย พ่อมองไปที่วัดแล้วได้แต่หวังว่าพ่อน่าจะทำอะไรสักอย่างให้ธลได้บ้าง

“เฮ้อ ตอนนี้ไอ้สุรศักดิ์มันไปหลบอยู่ที่ไหนกันว้า มันจะบำเพ็ญศีลเสร็จหรือยังนะ” หลวงตาบ่น ผมเกือบลืมเรื่องของสุรศักดิ์ไปเลย นี่ก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหลวงตาจะยังหาทางแก้ไขอะไรไม่ได้เลย

“หลวงตายังไม่มีทางออกเลยหรอครับ” พ่อถาม หลวงตาส่ายหัวไปมา

“ตอนนี้ไม่มีพรานคนไหนอยากต่อกรกับสุรศักดิ์หรอก” หลวงตาพูด พ่อได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

“ถ้าไม่ได้ข้าคงต้องลุยเอง” หลวงตาพูด พ่อมองดูร่างของหลวงตาซึ่งก็ชราภาพมากแล้ว แม้ว่าจะมีเค้าของคนที่แข็งแรงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นั้นหลวงตาเหมือนจะสู้ได้ไม่เต็มร้อยอีกแล้ว

“หลวงตาครับ ถ้าผมอยากจะฝึกเป็นพรานจระเข้บ้างละครับ” พ่อเสนอ หลวงตามองหน้า

“เอ็งจะบ้าหรอ การเป็นพรานจระเข้มันไม่ใช่แค่วันสองวันก็ทำได้นะเว้ย มันต้องใช้เวลา บางทีอาจจะทั้งชีวิตก็ได้นะ” หลวงตาพูด

“แต่ผมอยากจะทำอะไรให้ธลเขาบ้าง” พ่อแย้ง หลวงตาจับไหล่อของพ่อเอาไว้เบาๆ

“เอ็งอยู่เป็นแรงใจให้เขาแบบนี้ก็พอแล้ว อย่าคิดอะไรมากนักเลยนะ” หลวงตาพูด พ่อได้แต่ถอนหายใจ พ่อตัดสินใจจะรอจนกว่าธลจะกลับมา หลวงตาก็ไปทำวัตร และนั่งสมาธิต่อ พ่อก็นั่งๆนอนๆรอธลซึ่งเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาสักที พ่อเดินเรื่อยเปื่อยไปตามวัดแล้วพ่อก็เห็นหอกสัตตโลหะที่ตั้งอยู่ในห้อง พ่อเดินเข้าไปดูมันใกล้ๆ ขนาดของมันใหญ่มากจริงๆ พ่อเอามือทั้งสองข้างกำด้ามหอกเอาไว้พลางค่อยๆยกมันขึ้น แต่มันหนักเสียจนมันแทบจะไม่ขยับเอาเลย

“กรอดดด” พ่อกัดฟันแน่นพลางพยายามยกมันขึ้นมาให้ได้ มือพ่อเกร็งแน่นพลางออกแรงดึงเท่าที่แรงพ่อจะมี

“กรรรร” พ่อขบฟันไปมาพลางพยายามยกมันขึ้น ดูเหมือนจะได้ผลเพราะหอกค่อยๆยกตัวสูงจากแท่นเล็กน้อย แต่แขนของพ่อมันล้าไปหมดแล้ว

“เอ็งทำอะไรวะ” เสียงของหลวงตาดังขึ้น พ่อตกใจปล่อยหอกลงกลับที่เดิม เสียงดังเคร้งสนั่นไปทั่วห้อง หลวงตาเดินฉับๆเข้ามาหาพ่อทันที

“เอ็งคิดจะทำอะไรของเอ็งวะไอ้กฤษ” หลวงตาตวาด

“ก็ผมอยากช่วยธลบ้างเท่านั้นเอง” พ่อตอบกลับไป หลวงตาถอนหายใจ

“ต่อให้เอ็งยกหอกนั้นได้ ก็ใช่ว่าเอ็งจะสู้กับจระเข้ได้เสียที่ไหนเล่า มันต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกตั้งเท่าไหร่” หลวงตาพูด พ่อได้แต่กำหมัดแน่น

“แต่มันต้องมีอะไรสักทางที่ผมทำได้สิ ผมเบื่อที่จะต้องมานั่งดูธลเฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยๆก็ให้ผมพยายามเพื่อเขาบ้าง อย่างที่เขาพยายามเพื่อผม” พ่อบอก ธลเหนื่อยเพื่อพ่อมามากแล้ว เขาให้ความสำคัญกับพ่อมากมายนัก พ่อก็อยากจะให้ความสำคัญกับเขาบ้าง หลวงตาถอนหายใจพลางหันหลังให้

“พรุ่งนี้มาหาข้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น” หลวงตาพูด พ่อได้แต่มองท่านงงๆ

“พิธีรับพรานจะต้องทำก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อนเป็นการเริ่มชีวิตใหม่” หลวงตาพูด ตาพ่อลุกวาวเลย

“หลวงตา” พ่ออุทาน

“อย่าคิดว่าแค่รับแล้วเอ็งจะเป็นพรานจระเข้ได้นะเว้ย การฝึกมหาโหดรอเอ็งอยู่นะเว้ย” หลวงตาขู่ก่อนที่จะเดินออกจากห้องพลางถอนหายใจยาว พ่อดีใจสุดๆเลยตอนนั้น อย่างน้อยๆพ่อก็ได้ทำอะไรให้กับธลเขาบ้าง หลังจากที่เขาต้องลำบากเพราะพ่อมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว...


“แหม นี่แอบเล่าไม่รอแม่เลยนะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ชายหนุ่มกับเด็กสาวก็เงยหน้ามอง

“ก็คุณแม่ซื้อของไม่รอหนูเหมือนกันนั่นแหละ” เด็กสาวตอบ ผู้เป็นพ่อเอามือขยี้หัวไปมาเบาๆ

“ลูกใครเนี่ยน่ารักจริงๆเลย” ชายหนุ่มตอบ

“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะพ่อลูกคู่นี้” ผู้เป็นแม่กล่าวงอนๆ

“ก็เป็นพ่อลูกกันนี่เนอะ” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มให้ลูกสาว เด็กสาวก็ยิ้มตอบกลับ

“เอาเถอะ ว่าแต่หิวกันหรือยัง ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” ชายหนุ่มพูดก่อนที่จะวางลูกสาวลงที่พื้นส่วนตัวของเขาก็ลุกขึ้นยืน

“คุณแม่อยากกินอะไรละคะ ไหนๆคุณแม่ก็ไม่ได้ฟังเรื่องของพี่ธลแล้ว” เด็กสาวตอบ หญิงสาวก็ลูบหัวลูกสาวของตนเบาๆ

“ขอบใจนะจ๊ะ เอางี้กินอาหารไทยกันดีกว่า” หญิงสาวพูด

“งั้นเรารออะไรกันอยู่ละ ไปที่รถเลย” ชายหนุ่มตอบก่อนที่ทั้งสามจะเดินไปยังรถของพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-12-2006 18:49:55
อืม เพิ่งรู้พิพิธภัณฑ์ไกรทอง-ชาละวันอยู่ใต้น้ำ อิอิ  :kikkik:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: No_ProMises ที่ 25-12-2006 19:51:46
มาต่อไวๆ นะค๊าบบ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 26-12-2006 16:07:19
ง่ะมีให้จิ้นนิดเดียวเอง :serius2:
มาต่อไวๆนะครับ :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 28-12-2006 18:26:13
เล่นน้ำระวังนะครับ หัวใจจะถูกขโมยไป เอิ้กๆ (โดนตะเข้งับ)
บทที่ 8

“คุณพ่อค่ะ คุณพ่อตื่นได้แล้วค่ะ ได้เวลาไปเดินเล่นแล้วนะคะ” เสียงของเด็กสาวร้องพลางเขย่าตัวชายหนุ่มที่นอนคดคู้อยู่บนเตียง ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างปรือๆ พลางหันมาหาเด็กสาว

“กี่โมงแล้วละลูก” ชายหนุ่มถามเสียงงัวเงีย

“เจ็ดโมงแล้วคะ เร็วๆสิคะคุณพ่อ” เด็กสาวรบเร้า ชายหนุ่มพยักหน้าพลางอ้าปากหาวหวอดๆ

“พ่อลุกแล้ว พ่อลุกแล้ว” ชายหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นบิดตัวพลางเกาหลังแกรกๆ

“เดี๋ยวพ่อขอล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ เดี๋ยวพ่อลงไป” ชายหนุ่มกล่าว ก่อนที่จะเดินเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ แล้วก็เดินลงไปข้างล่าง เด็กสาวเมื่อเห็นชายหนุ่มก็วิ่งหยองแหยงไปรอบๆ

“คุณพ่อชักช้าจัง” เด็กสาวพูดบ่นๆ ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้หญิงสาว

“รีบไปกันดีกว่าคะ เดี๋ยวแดดจะร้อน” หญิงสาวพูดชายหนุ่มก็พยักหน้าแล้วทั้งสามก็ออกไปเดินเล่นกันข้างนอก ชายหนุ่มสูดอากาศยามเช้าเข้าเต็มปอด

“มาเดินเล่นเช้าๆแบบนี้ก็ดีนะคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มก็พยักหน้า

“ว่าแต่คุณพ่อเล่าเรื่องของพี่ธลอีกสิคะ” เด็กสาวรบเร้า ชายหนุ่มหัวเราะร่า...


เอาเข้าจนได้นะ อืม ก็ได้ๆ ถึงไหนแล้วนะอ๋อ หลังจากที่พ่อตัดสินใจเป็นพรานจระเข้แล้วพ่อก็ต้องตื่นแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเพื่อออกไปวิ่ง พอวิ่งเสร็จพ่อก็ต้องทำกายบริหารก่อนที่จะเข้าสู่การสอนการป้องกันตัวในตอนเช้า ซึ่งต้องยอมรับว่ายากสุดๆ เพราะเท่าที่ดูพ่อก็ไม่เคยเห็นหลวงตาจะพอใจพ่อสักที

“ช้าเกินไป” หลวงตาคำรามพลางฟาดไม้ไปที่พื้นอย่างแรง พ่อกำลังฝึกการใช้หอก โดยที่หลวงตาให้พ่อฝึกเป็นกระบวนท่า มันคล้ายๆกับรำนั่นแหละนะ แต่หลวงตาบอกว่ามันคือท่าพื้นฐานของการใช้หอกจริงๆ และถ้าจำท่าพวกนี้ได้จนขึ้นใจก็จะสามารถดัดแปลงไปใช้ในการต่อสู้ได้ แต่พ่อไม่ได้ใช้หอกจริงๆหรอกนะ พ่อใช้ไม้ไผ่เอา แต่ตอนนั้นก็นับว่าหนักเอาเรื่องอยู่ทีเดียว

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก” พ่อหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แดดก็เริ่มร้อนขึ้นทุกทีๆ แม้จะเป็นหน้าหนาวก็ตามแต่พอเข้าตอนกลางวันแล้วอากาศก็ยังร้อนอยู่ไม่เปลี่ยน พ่อพยายามอย่างมากจริงๆ แต่มันดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ โชคดีหน่อยที่ไอ้เด่นจระเข้ที่ธลไปคุยด้วยนั้นดูเหมือนจะเกรงๆ ธลอยู่ไม่น้อยเลยตกลงว่าจะหยุดการฆ่าคนจนกว่าจะหาข้อยุติได้

“ลุกขึ้น” หลวงตาตวาด

“ให้เขาพักเถอะครับหลวงตา” ธลกล่าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง พ่อมองดูเขาใจพ่อก็เจ็บอยู่ลึกๆ เขาช่วยเหลือพ่อมาตลอด แต่พ่อกลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย พ่อดันตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง

“ผมยังไหว” พ่อตอบ ยังไงพ่อก็ไม่อยากยอมแพ้อะไรง่ายๆตอนนี้ พ่ออยากจะพยายามให้ถึงที่สุด เพราะพ่อเชื่อว่าต้องสู้จึงจะชนะ หลวงตาถอนหายใจ

“ดี งั้นเริ่มกันใหม่ตั้งแต่ต้น เอ้า กระบวนท่าแรก” หลวงตาสั่ง พ่อจึงเริ่มรำกระบวนท่าหอกใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเที่ยงพ่อถึงได้พักกินข้าว พ่อตอนนั้นนะต้องเรียกว่าห่าลงเลยละ พ่อไม่เคยรู้สึกหิวอะไรขนาดนั้นมาก่อนเลย

“กินช้าๆหน่อยสิวะ เดี๋ยวก็จุกคอตายหรอก” หลวงตาดุ พ่อพยักหน้ารับพลางลดความเร็วลง

“กฤษ เสร็จแล้วเดี๋ยวเราไปเล่นลูกหินกันดีไหม” ธลชวน พ่อส่ายหัว

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเราต้องไปฝึกหายใจในน้ำอีก แล้วก็ทรงตัวบนแพด้วย” พ่อบอก บ่ายๆพ่อก็จะแวบไปที่บึงฝึกเรื่องหายใจใต้น้ำ แล้วก็การยืนสู้บนแพซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการต่อสู้กับจระเข้า ธลมีสีหน้าเศร้าๆ

“อืม เราไปด้วยได้ไหม” ธลถาม พ่อก็พยักหน้ารับพลางหันกลับไปจัดการกับข้าวตรงหน้า พอกินเสร็จพ่อก็รีบเดินไปที่บึงทันทีโดยที่มีธลเดินตามมาด้วย

“นายจะไม่พักสักหน่อยหรอ” ธลถาม พ่อส่ายหัว

“ไม่ได้หรอก ตอนนี้เจ้าสุรศักดิ์มันจะบำเพ็ญศีลถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เราจะมัวเสียเวลาไม่ได้หรอก” พ่อตอบ พ่อต้องฝึกตัวเองให้เก่งโดยไว อย่างน้อยๆก็อาจจะพอช่วยธลได้บ้าง

“นายไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้นี่นา” ธลพูด พ่อก็มองหน้าเขา

“นายเองลำบากมาเพื่อเราก็ต้องหลายต่อหลายทีแล้ว ให้เราได้ช่วยนายบ้างเถอะ แค่สักนิดก็ยังดี” พ่อตอบ ธลมองหน้าพ่อด้วยสายตาไม่สบายใจนัก

“อืม” ธลตอบสั้นๆ พ่อยิ้มให้เขาก่อนที่เราทั้งสองคนจะเดินไปที่บึงที่พ่อใช้เล่นน้ำประจำ ที่โน่นพ่อแอบต่อแพเอาไว้เองด้วยไว้ฝึกการทรงตัว พ่อวางสัมภาระลงที่ใต้ต้นไม้แล้วพ่อก็ถอดเสื้อเตรียมพร้อมสำหรับการฝึก

“อืม นายจะให้เราลงไปเป็นเพื่อนไหม” ธลถาม พ่อยิ้มพลางส่ายหัว

“ไม่ต้องหรอก นายรออยู่นี่แหละ” พ่อพูดแล้วพ่อก็กระโจนลงน้ำไปในทันที พ่อเริ่มฝึกการหายใจเพื่อที่จะได้อยู่ในน้ำได้นานๆ ซึ่งพ่อเองก็ว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็กพ่อเหลยเหมือนซึมซับเรื่องการดำน้ำมาบ้าง พ่อฝึกดำน้ำอยู่สักพักพ่อก็เปลี่ยนมาเป็นการทรงตัวบนแพแทน

“แล้วพ่อแม่นายเขาไม่ว่าอะไรนายหรอ” ธลถาม พ่อก็ยกไหล่

“อืม ตอนแรกก็ไม่ยอมนะ ถึงขนาดโทรไปต่อว่าหลวงตาเลยละ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าหลวงตาท่านพูดอะไรนะ แต่พ่อแม่เราก็อนุญาตเลย” พ่อตอบ ตอนแรกคุณปู่นี่เถียงคอเป็นเอ็นเลยพอพ่อบอกจะไปเป็นพรานจระเข้ จนคุณย่าทนไม่ไหวเลยโทรไปที่วัด คุยอะไรกันพ่อเองก็ไม่รู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกที่พ่อก็ได้ฝึกการเป็นพรานจระข้แล้ว

“พ่อนายนี่ก็ใจดีนะ” ธลตอบ พ่อยักไหล่

“เป็นบางช่วงมากกว่านะ เวลาโหดก็โหดเหลือหลาย แต่เวลาใจดีนี่ยิ่งกว่าเทวดาอีก อิอิ” พ่อตอบพลางพยายามย่ำลงไปบนแพเล็กๆที่พ่อต่อขึ้นมาเอง พ่อยืนอยู่บนแพไม้พลางพยายามประคองร่างของพ่อเอาไว้ไม่ให้ตกลงไปในน้ำ ฟังดูเหมือนง่ายแต่จริงๆแล้วมันไม่ง่ายเลยนะ เพราะว่าแพไม่เหมือนเรือ มันเหมือนแผ่นไม้บางๆพอมีลมหรือวางขาไม่สมดุลพอมันก็จะเอนแล้วพ่อก็จะตกน้ำ ถ้าตกน้ำก็หมายถึงชีวิตเลยทีเดียว พ่อพยายามทรงตัวอยู่บนแพพร้อมกับรำกระบวนท่าหอกไปด้วย แค่พ่อยกขาแพก็เริ่มเซไปเซมาเสียแล้ว

“เราว่านายพักก่อนดีกว่าไหม” ธลพูด

“อย่าพึ่งพูด” พ่อตะโกนตอบกลับไป พ่อต้องใช้สมาธิอย่างมากเพื่อที่จะทรงตัวไว้ให้ได้ แต่ทันทีที่พ่อเริ่มยกขาขวาขึ้น ลมก็พัดลู่เข้ามาก น้ำเริ่มขยับตัวเป็นคลื่น แพของพ่อเริ่มไหวเอนไปมา พ่อเซถลาตกลงน้ำดังตู้ม พ่อไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเผลอกลืนน้ำเข้าไปอึกใหญ่ แต่ยังไม่ทันไรพ่อก็โดนลากกลับมาที่ฝั่งเสียแล้ว พ่อสำลักน้ำไอเสียงดังค่อกแค่ก

“เป็นอะไรมากหรือเปล่ากฤษ” ธลถามด้วยความเป็นห่วง พ่อส่ายหัวไปมา

“มะ ไม่เป็นไร แค่ก” พ่อพูดไปสำลักน้ำไป

“เราว่านายพอก่อนดีกว่ามั้ง วันนี้นายเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะ” ธลพูด พ่อมองหน้าเขา

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเจ้าสุรศักดิ์มันจะโพล่มาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราปล่อยไว้ไม่ได้หรอก” พ่อตอบอย่างขึงขัน

“อืม จระเข้บำเพ็ญศีลส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาหลายเดือนนะกว่าจะออกมาได้ และเขามักจะห้ามไม่ให้ใครรบกวนด้วย แค่เดือนสองเดือนนะไม่มีหรอกนะ” ธลอธิบาย พ่อมองหน้าเขา

“แต่ว่า เรายังต้องฝึกอีกเยอะนะ” พ่อแย้ง ธลยิ้มให้

“เวลาก็ยังมีอีกเยอะนี่นา นะ ถือว่าเราขอร้องแล้วกัน” ธลเกลี้ยกล่อม พ่อเองยิ่งเห็นสีหน้าเศร้าๆของเขาแล้วพ่อก็เหมือนต้องยอมตามใจเขา

“ก็ได้” พ่อตอบ ธลเหมือนจะะยิ้มๆออกมาแล้วพ่อกับเขาก็กลับไปที่วัด

“อืม ถามหน่อยสิ ไกรทองนี่เขาเก่งมากเลยหรอ” พ่อถา ธลเงยหน้ามองท้องฟ้า

“เราไม่รู้หรอก บอกตรงๆนะ เรารู้จักพ่อไกรน้อยมากๆ ส่วนใหญ่แล้วพ่อไกรมักไม่อยู่บ้าน ไม่ก็พอกลับมามักจะพาผู้หญิงคนอื่นเข้าบ้านมาด้วยบ่อยๆนะ แม่เลยโกรธบางครั้งก็พาเราลงไปอยู่ที่ฐานลับ บ่อยๆนะ” ธลตอบ

“อืม งั้นนายก็สนิทกับแม่มากกว่างั้นสิ” พ่อถาม ธลก็พยักหน้า

“อืม เหมือนเป็นเพื่อนเล่นกันบางทีนะ แม่เราสอนเราเกี่ยวกับเรื่องจระเข้เยอะแยะเลยเหมือนกัน อย่างเรื่องบำเพ็ญศีลหรืออะไรพวกนี้นะ แล้วก็ที่แม่เล่าให้ฟังบ่อยที่สุดเหมือนจะเป็นน้าวิมาลานะ” ธลพูด พ่อเริ่มรู้สึกอยากจะรู้เรื่องนี้มากขึ้นอีกหน่อย พ่อเลยถามต่อ

“อืม เขาเป็นคนดีหรือ” พ่อถาม ธลหันมายิ้มให้

“ดีมากเลยละ น้าเขาเป็นเพื่อนสนิทของแม่เรานะ ตอนที่แม่เราโดนจับแต่งงานกับท่านชาละวัน น้ำวิมาลากลัวแม่จะเหงาเลยยอมแต่งด้วยอีกคน พอท่านชาละวันตาย น้าก็ตามแม่ไปอยู่กับพ่อไกร แม่บอกว่าน้าวิมาลาเป็นเพื่อนแท้คนเดียวที่แม่จะมี และน้าวิมาลาก็ให้สร้อยเส้นนั้นที่ทำจากหนังและฟันของน้าเขาเอง” ธลพูด

“แล้ว เออ น้าเขา เป็นอะไรหรอ” พ่อถาม ธลก้มหน้าเศร้าๆ

“น้าฆ่าตัวตายตามแม่เราไปนะ” ธลตอบ พ่อนิ่งเงียบไปชั่วคราว

“แม่เราสภาพจิตใจไม่ค่อยจะดี หลวงตาท่านว่าอย่างนั้น แม่เราเขาต้องเจอแต่เรื่องเจ็บปวดตลอดเวลา บางครั้งแม่ก็ร้องไห้อาละวาด เคยขนาดกัดเราด้วยนะ แต่สุดท้ายแล้วแม่ก็มาลูบแผลของเราเสมอๆ แล้วจู่ๆแม่ก็ล้มป่วยลง หมอก็ไม่กล้ารักษาเพราะไม่ใช่มนุษย์ พ่อไกรเองก็พยายามจะหาทางเยียวยาแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายพอแม่ตาย น้าวิมาลาก็กัดแขนตัวเองตายตามกันไป” ธลพูดพลางหันหน้ามามองผม

“น้าวิมาลาเป็นห่วงแม่เสมอ เลยไม่ยอมห่างแม่ไปไหน เป็นคำที่แม่เราพูดถึงน้าเขาบ่อยๆนะ” ธลตอบ พ่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“อืม ช่างเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นเสียจริงๆ” พ่อรำพึง

“แต่ก็นะ เราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเอาเลยนะ แม่มักจะเสียใจเสมอที่เหมือนทำให้น้าวิมาลาต้องลำบากไปด้วย แม้น้าเขาจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่ในใจของแม่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ แม่อยากให้น้ามีความสุขบ้าง ถ้าแม่รู้เข้าว่าน้าฆ่าตัวตายตามไป แม่คงเสียใจไม่น้อยที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้เพื่อนที่ตนรักที่สุดต้องมาลำบากเพราะเขานะ” ธลพูด พ่อตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจอะไรที่ธลบอกนัก พ่อก็คิดแต่ว่าสิ่งที่วิมาลาทำนั้นมันดูน่ายกย่องออกจะตายไป พ่อกับธลกลับมาถึงวัดในเวลาไม่นาน พ่อไม่เห็นหลวงตาเลยเข้าใจว่าหลวงตาศึกษาพระธรรมอยู่ พ่อจึงเดินกะจะเข้าไปนั่งอ่านคาถาพรานจระเข้เพิ่มเติม แต่ทันใดนั้นเองพ่อก็ได้ยินเสียงที่พ่อคุ้นหู

“อืม แล้วจะให้เขาเล่นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่หรือครับหลวงพ่อ” เสียงของคุณปู่ดังขึ้น พ่อหันกลับไปดูพบว่าคุณปู่กับหลวงตานั้นนั่งคุยกันอยู่

“ก็คงจนกว่ามันจะยอมนั่นแหละนะ” หลวงตาพูด พ่อเริ่มขมวดคิ้ว ใครยอมใครกันนะ

“แต่บอกตรงๆผมตกใจมากจริงๆนะครับหลวงพ่อ อยู่ดีๆมันก็บอกอยากจะเป็นพรานจระเข้เสียอย่างนั้น บ้าจริงๆเลย” คุณปู่พูด พ่อกำมือแน่น

“อย่าไปว่าเขาอย่างนั้นสิ เขามีจุดประสงค์ดีเพื่อจะช่วยคนอื่น ถือว่าเป็นเรื่องน่าชมเชย เพียงแต่เขาก็ยังเด็ก คิดอะไรทำอะไรก็ยังหุนหันพลันแล่น ให้เวลาเขาหน่อยเดี๋ยวเขาก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง” หลวงตาตอบ คุณปู่ก็ประนมมือยกขึ้นสูงเหนือหัว

“ยังไงก็ต้องขอบคุณหลวงพ่อมากเลยนะครับที่ช่วยโกหกให้” คุณปู่พูด พ่อตาลุกวาวทันที นี่หมายความว่ายังไงเนี่ย โกหก

“เอ็งก็พูดเกินไป ข้าไม่ได้โกหกสักหน่อย เพราะโกหกนั้นเป็นบาป ข้าฝึกเขาอย่างที่ฝึกเป็นพรานจระเข้จริงๆ แต่ข้าเตือนมันแล้วว่ามันต้องใช้เวลา แค่เดือนสองเดือน ได้อย่างมากก็แค่รำหอก ข้าเลยบอกว่าให้เหมือนกับเป็นการออกกำลังกายแล้วกัน” หลวงตาพูด พ่อฉุนขาดเลย นี่หมายความว่าทั้งหมดที่พ่อทำไปมันก็แค่เรื่องหลอกลวงเท่านั้นเองหรือ พ่อไม่ทนฟังอีกต่อไป พ่อลุกขึ้นพรวดพราดทันที

“ทำไมถึงทำกันแบบนี้ละ” พ่อพูดสุดเสียง ทั้งคุณปู่และหลวงตาต่างหันกลับมามองพ่อเป็นตาเดียว

“เป็นเด็กเป็นเล็กแอบฟังผู้ใหญ่คุยกันรู้ไหมว่ามันเสียมารยาทมาก” คุณปู่ตวาด พ่อตอนนั้นก็เหลืออดแล้ว พ่อเลยใส่ไม่ยั้ง

“แล้วที่โกหกลูกนี่มันมีมารายาทมากหรือไงพ่อ” พ่อสวนกลับ

“นี่พูดอย่างนี้กับพ่อหรอ” คุณปู่ตวาดกลับ

“เอานะพอทีทั้งสองคนนะ เป็นพ่อลูกกันแท้ๆจะทะเลาะกันไปทำไม ไอ้กฤษ มันไม่ใช่ข้าไม่อยากช่วยนะ แต่ข้าเห็นแล้วว่ามันเป็นไปได้ยาก ยังไงเอ็งก็เป็นพรานจระเข้ไม่ได้ในสองเดือนหรอก” หลวงตาพูด พ่อกำมือแน่น

“ผมจะทำให้ได้ ต่อให้มันยากแค่ไหนผมก็จะทำ” พ่อตอบ

“แกจะเป็นพรานจระเข้ทำหอกอะไรวะ แกจะไปฆ่าจระเข้ทำกระเป๋าหรือไง” คุณปู่ถาม

“ผมไม่เห็นแก่เงินเหมือนพ่อหรอก ผมก็แค่อยากจะทำอะไรตอบแทนธลเขาบ้างก็เท่านั้น” พ่อตอบ

“ตอบแทน ธล เขาไปทำอะไรให้แก แกถึงต้องไปทดแทนบุญคุณมัน” คุณปู่ถามอีก พ่อก็ลืมตัวไปด้วยความโมโห กำลังจะตอบไปแต่มืออุ่นๆของธลบีบไหล่ของพ่อเอาไว้ สติของพ่อเหมือนเริ่มกลับคืนมา พ่อหันไปมองธลที่มีสีหน้าไม่สบายใจเลย พ่อมองดูหลวงตาที่มีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด แล้วพ่อก็พึ่งรู้ตัวว่าพ่อเกือบจะหลุดพูดไปแล้วว่าธลนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นลูกครึ่งจระเข้

“แค่เพื่อนกันแกจะไปคิดอะไรกับมันมาก พอโตๆกันไปก็ลืมไปหมดแล้ว” คุณปู่พูด คราวนี้พ่อเลือดขึ้นหน้าเลย

“ไม่มีทางหรอก ผมกับธลไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาดเลย” พ่อตอบ คุณปู่ก็ส่ายหัว

“เฮ้อ ลูกเนรคุณจริงๆ ทำไม มันมีดีนักหรือไง กูเลี้ยงแกมายังไม่ดีเท่ามันเลี้ยงแกใช่มะ” คุณปู่ย้อน พ่อกำหมัดแน่น

“พอเถอะกฤษ” ธลพูดขึ้น พ่อหันไปมองหน้าเขาอย่างฉุนเฉียว

“เราทำนายลำบากมามากพอแล้วละ เราว่าตอนนี้นายกลับบ้านไปก่อนดีกว่านะ” ธลพูด พ่อถึงกับอึ้งไปเลย

“นายไม่เกี่ยวเลยนะธล นายไม่ได้ทำอะไรให้เราลำบากเลยนะ” พ่อตอบ ธลมองหน้าพ่อ

“เพราะเราทำให้นายต้องมาฝึกอะไรเหนื่อยๆ และเพราะเราทำให้นายต้องทะเลาะกับพ่อ ถ้ามันไม่ใช่เพราะเราแล้วเพราะใครกันละ” ธลตอบ พ่อจับไหล่ของธลไว้

“เฮ้ย นี่มันไม่เกี่ยวเลยสักนิดนะธล นายไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่” พ่อตอบ ธลมองหน้าพ่อ

“นายกลับบ้านไปก่อนเถอะ ไว้สงบสติอารมณ์ได้แล้วค่อยมาใหม่ดีกว่า” ธลพูด พ่อแถบไม่เชื่อหูตัวเอง นี่ธลไล่พ่อกลับบ้าน ทั้งๆที่เขาเองเป็นคนบ่นว่าอยากทานขนมกับพ่อ อาบน้ำกับพ่อ

“นี่นายล้อเล่นใช่ไหม” พ่อถาม ธลมองตาของพ่อ สีหน้าของเขาจริงจังอย่างไม่ต้องเดาเลย พ่อสุดจะเข้าใจ ทั้งๆที่พ่อทำทุกอย่างก็เพื่อเขา แต่เขากลับไล่พ่อกลับบ้านไป พ่อไม่ฟังอะไรทั้งนั้น พ่อวิ่งออกจากวัดวิ่งไปสุดลูกหูลูกตา พ่อวิ่งไปไม่หยุด พ่อวิ่งโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพ่อจะวิ่งไปที่ไหน แต่พ่อไม่สนใจอะไรแล้ว พ่อวิ่งไปพลางกัดฟันแน่น ทั้งๆที่พ่อตั้งใจทำดีแต่ทำไมไม่มีใครมองเห็นมันบ้างเลย โดยเฉพาะธล ทั้งๆที่พ่อยอมเหนื่อยขนาดนี้ก็เพื่อเขาแต่เขากลับไม่เคยแยแสมันเลยด้วยซ้ำ พ่อวิ่งจนเหนื่อยหอบ พ่อนั่งลงตรงกลางทางนั่นเลย แล้วพ่อก็พึ่งรู้ตัวว่าพ่อกลับมาที่บึงอีกครั้ง พ่อนั่งมองดูน้ำใสๆในบึง พ่อคว้าเอาก้อนหินแถวๆนั้นปาลงไปในบึง เสียงน้ำแตกกระจายออกดังไปทั่ว แต่พ่อยังไม่สะใจ พ่อเริ่มควานหาของอย่างอื่นปาใส่ลงไปในน้ำ น้ำที่นิ่งสนิทกระเพื่อมเป็นคลื่นดั่งทะเลคลั่งไม่ต่างอะไรกับใจของพ่อตอนนี้

“ทำไมไม่มีใครเข้าใจกูเล้ยย” พ่อตะโกน

“แล้วนายเคยเข้าใจเราบ้างหรือเปล่า” เสียงของธลดังขึ้น พ่อหันกลับไปมอง ธลยืนมองพ่ออยู่ พ่อขมวดคิ้วทันที

“นายตามมาทำไมอีก จะพาเรากลับบ้านงั้นหรอ” พ่อถาม ธลถอนหายใจยาว

“เรามาตามนายเพราะเป็นห่วงนายนะ” ธลตอบ พ่อขมวดคิ้ว

“เป็นห่วงงั้นหรอ เชอะ ทีเมื่อกี้ละจะไล่ให้เรากลับบ้าน มาอย่างนี้ละทำเป็นห่วง” พ่อบ่น

“ก็นายเล่นวิ่งออกมาอย่างนั้น เราก็เป็นห่วงสิ” ธลพูด พ่อหลบหน้าเขาไป

“เราเคยคิดว่านายน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรามากที่สุด แต่นายก็เปล่าเลย” พ่อตอบ

“เราเองก็คิดแบบนั้น แต่อันที่จริงดูเหมือนนายเองจะไม่เข้าใจอะไรเราเองเหมือนกัน” ธลพูด พ่อหันกลับไปมอง

“ทำไมเราจะไม่เข้าใจละ ที่เราทำไปทุกอย่างก็เพื่อนายนะ เราไม่อยากให้นายต้องไปตาย นายเข้าใจบ้างไหม” พ่อตวาด

“แล้วนายละเคยเข้าใจความรู้สึกของเราบ้างไหมที่ต้องเห็นคนที่เรารักทนทุกข์ทรมาณนะ” ธลพูด พ่อก็นิ่งเงียบไป

“เราต้องเห็นนายตื่นแต่เช้า งัวเงีย ง่วงก็ง่วงแต่ก็ตื่นมาวิ่งล้มลุกคลุกคลาน พอแดดออกนายก็ต้องรำหอกท่ามกลางแสงแดดจนผิวนายไหม้ไปหมดแล้ว แถมวันนี้นายก็เกือบจะจมน้ำอยู่แล้ว นายเคยคิดบ้างไหมว่าเรารู้สึกยังไง” ธลตอบกลับมา พ่อถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลย พ่อไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลย ธลถอนหายใจพลางมองมาที่พ่อ

“เราดีใจนะที่นายพยายามเพื่อเราขนาดนี้ แต่ถ้ามันทำให้นายต้องเป็นแบบนี้เราไม่ต้องการเลย เราอยากให้นายกลับมากินขนมกับเราเหมือนเดิม อาบน้ำด้วยกัน ถูหลังให้กัน นอนดูดาว ฟังนายเล่าเรื่องชีวิตของคน ได้หัวเราะ ได้ยิ้มไปกับนาย นั่นต่างหากที่เราต้องการจริงๆ ไม่ใช่แบบนี้” ธลพูดพลางน้ำตาก็ค่อยๆหยดลงมาเป็นสาย

“นายไม่เคยตะคอกใส่เราแบบนั้นเลย นายเปลี่ยนไปมาก มากจนเรากลัวว่า เราจะเสียกฤษเพื่อนคนเดียวที่เรามีไป” ธลตอบ พ่อเริ่มฉุกคิดได้ พ่อพยายามอย่างมากเพื่อจะช่วยเขาจนพ่อลืมที่จะนึกถึงจิตใจของคนอื่นไปด้วย การทำอะไรเพื่อคนอื่นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเรามัวแต่ทำโดยไม่คิดถึงจิตใจของคนอื่นด้วยนั้น เราอาจจะทำร้ายคนที่เรารักทางอ้อมก็เป็นได้ มาถึงตรงนี้พ่อจึงเริ่มเข้าใจที่ธลพูดถึงน้าวิมาลาว่าทำไม่ถูก อันที่จริงพ่อเริ่มคิดแล้วว่าพ่อนั้นเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ พ่อเดินไปกอดธลเอาไว้พลางกดหัวเขามาซบที่บ่าของพ่อเบาๆ

“เราขอโทษนะธล เราผิดไปแล้วละ เราจะไม่ทำอีกแล้ว” พ่อพูด ธลกอดตัวพ่อเอาไว้

“อืม นายไม่ต้องลำบากแล้วนะ แค่นายกอดเราแบบนี้ แค่นายอยู่ข้างเราแบบนี้ แค่นี้เองที่เราต้องการ ต่อให้นายเป็นพรานจระเข้ไม่ได้ แค่นายเป็นเพื่อนเราแค่นี้ก็พอใจแล้ว” ธลตอบ พ่อกอดตัวเขาเอาไว้แน่น และพ่อก็ได้เข้าใจความหมายของคำว่า เอาใจใส่ ก็วันนั้นเอง...


ชายหนุ่มมองมาที่หญิงสาว ทั้งสองต่างจับมือกันไว้แน่น

“ความรักไม่อาจทำให้อิ่มท้องแต่ก็ทำให้อิ่มเอิบใจได้ แต่ถ้ารักแล้วต้องทุกข์ทนมันก็คงไม่เรียกว่ารักสักเท่าไหร่ คนเรามีทั้งท้องและหัวใจ เราจะดูแลแค่ส่วนเดียวมันคงไม่ได้ เราจึงต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่างให้เท่ากัน” ชายหนุ่มพูดพลางมองดูท้องฟ้า

“ขอบคุณนะธลที่ทำให้เราเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น” ชายหนุ่มคิดพลางยิ้มอยู่ในใจ

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-12-2006 20:36:56
ความรักไม่อาจทำให้อิ่มท้องแต่ก็ทำให้อิ่มเอิบใจได้

แต่ถ้ารักแล้วต้องทุกข์ทนมันก็คงไม่เรียกว่ารักสักเท่าไหร่

 :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 29-12-2006 01:43:30
หายไปสองสามวัน นึกว่าพี่เรย์จะลืมเรื่องนี้ซะแล้วซิ

ว่าแต่กฤษเล่าเรื่องนี้ให้ครอบครัวฟังแล้ว พวกเค้าจะไม่สงสัยกันเลยรึไงน๊า
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: เก๋าดี ที่ 29-12-2006 16:06:34
นี่ก็หนุกอีกเรื่องแล้ว

 :myeye: :myeye: :myeye:

จะติดอีกซักกี่เรื่องกันดีหว่า

 :untrust: :untrust: :untrust:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 29-12-2006 21:18:58
อ้างถึง
“ความรักไม่อาจทำให้อิ่มท้องแต่ก็ทำให้อิ่มเอิบใจได้ แต่ถ้ารักแล้วต้องทุกข์ทนมันก็คงไม่เรียกว่ารักสักเท่าไหร่ คนเรามีทั้งท้องและหัวใจ เราจะดูแลแค่ส่วนเดียวมันคงไม่ได้ เราจึงต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่างให้เท่ากัน”



ชอบท่อนนี้เหมือนกันเยย  :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 02-01-2007 21:28:19
ไม่เคยลืมเพื่อนๆแน่ครับ
แต่เพื่อนๆจะลืมผมอ่ะป่าวดิ ไม่ยอมคอมเม้นต์กันเลย
เสียจาย
 :monkeysad:

ว่าแต่ว่าอ่านกันทันป่าว
 :angellaugh2:

******************
(http://www.fisheries.go.th/if-nakhonsawan/ccd/images_ccd/ccd_croc1.jpg)
บทที่ 9

“คุณอ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้าหรือยังคะ” หญิงสาวหันมาถามขณะที่กำลังนั่งรับประทานอาหารกับชายหนุ่มและเด็กสาว

“อันไหนหรอ” ชายหนุ่มถาม

“ก็ที่ว่าลูกยาจกจริงๆแล้วเป็นลูกเศษฐีไงคะ แหมหยั่งกับนิยายน้ำเน่า เรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” หญิงสาวแสดงความคิดเห็น ชายหนุ่มยิ้มรับ

“เรื่องบนโลกใบนี้ยังมีปริศนาอยู่อีกตั้งมากมาย ต่างคนต่างก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันไป เรื่องเหลือเชื่อก็มีให้เห็นกันบ่อยๆ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกอะไรเลยนี่นา” ชายหนุ่มพูด หญิงสาวกรอกตาไปมา

“แหม มันก็ใช่อยู่หรอกคะ แต่ไอ้สลับลูกอะไรกันนี่ฉันไม่ค่อยจะเชื่อมันสักเท่าไหร่เลย” หญิงสาวตอบ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ

“ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะ แต่บางทีมันก็เกิดไปแล้วนี่นา อย่าง...” ชายหนุ่มหยุดพูดลงกระทันหัน

“อย่าง อะไรหรือคะ” หญิงสาวถาม

“อย่างพี่ธลนะหรอคะ” เด็กสาวพูดแทรกขึ้นมา ชายหนุ่มยิ้มพลางพยักหน้าอย่างช้าๆ

“งั้น เรื่องมันเป็นไงมายังไงหรือคะ” หญิงสาวถาม ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเล่า...

หลังจากที่พ่อโดนทั้งหลวงตา ธล แล้วก็คุณปู่ดุด่าได้สักพักพ่อก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่พ่อก็ไม่ได้หยุดการฝึกที่จะเป็นพรานจระเข้หรอกนะ พ่อก็ยังไปฝึกอยู่เป็นเนืองๆ แต่ก็ไม่หนักหนาเท่าแต่ก่อนแล้ว บางทีพ่อก็เอาเวลาส่วนใหญ่ไปเที่ยวเล่นกับธลเสียมากกว่า ธลเขาไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหนเท่าไหร่ อันที่จริงหลวงตาก็ไม่อนุญาติให้เขาได้ออกไปไหนไกลๆเสียด้วยซ้ำไป

“มันไม่ใช้ว่าข้าใจร้ายหรอกนะ แต่เพื่อตัวของมันเองนะ” หลวงตาให้คำอธิบายแบบนี้ พ่อเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจแต่พ่อว่ามันก็อึดอัดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ดังนั้นพ่อเลยจะวางแผนแอบพาธลหนีไปเที่ยว

“แต่มันจะดีหรอ” ธลถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล พ่อยิ้ม

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไปแป๊ปเดียวเอง อีกอย่างก็แค่ไม่ให้นายกินเนื้อแค่นี้ก็ไม่เป็นไรแล้วใช่ปะ” พ่อพูด ธลยังคงมีสีหน้าไม่สบายใจเหมือนเดิม พ่อตบหลังธลเบาๆ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า เราออกไปกันตั้งแต่เช้า บ่ายๆก็กลับแล้ว หลวงตาไม่รู้หรอก อีกอย่างเราอยากให้นายได้เห็นอะไรข้างนอกบ้างนะ มันน่าเบื่อไม่ใช่หรอที่จะต้องติดแหงกอยู่ที่นี่ตลอดเวลานะ” พ่อพูด ธลมองหน้าพ่อพลางยิ้มให้

“เราดีใจจังที่ได้นายคนเดิมกลับมา” ธลตอบ พ่อเกาหัวอย่างเขินๆ

“ไม่หรอก นายต่างหากที่เตือนสติเราไว้ ขอบใจนะ เราเกือบจะทำให้เพื่อนที่เรารักที่สุดต้องเจ็บปวดเสียแล้ว” พ่อตอบ ธลมองหน้าพ่อด้วยแววตาแปลกๆ

“อะ อืม” ธลพูดสั้นๆ

“งั้นรีบเข้านอนกันดีกว่า เดี๋ยวจะตื่นไม่ไหว” พ่อเสนอ

“อะ เออ อืม” ธลอ้ำอึ้ง พ่อเหลือบหันไปมอง

“มีอะไรหรอ” พ่อถาม ธลมองหน้าพ่ออีกครั้งสีหน้าของเขาเหมือนแฝงความนัยบางอย่างเอาไว้ พ่อเองตอนนั้นก็สุดจะเข้าใจ

“มะ อืม ไม่มีอะไร” ธลพูดเบาๆพลางหลบหน้าพ่อไป พ่อถอนหายใจยาวพลางเอามือคล้องคอเขาไว้

“ทำไม มีอะไรก็พูดออกมาสิ อ้ำอึ้งอยู่ทำไม” พ่อถาม ธลเหมือนพยายามจะพูดแต่เขาก็ไม่พูดมันออกมา พ่อจับคอของเขากดลง

“จะพูดไหมหรือให้ต้องใช้กำลัง” พ่อเอาแขนรัดคอเขาแน่นเข้า แต่ธลตัวใหญ่กว่าพ่อมาก อันที่จริงพ่อก็ไม่คิดหรอกว่าแรงอย่างพ่อจะทำอะไรเขาได้

“อะ เออ คือ เออ นาย นะ คือ นายนอนกับเราได้ไหม” ธลถาม พ่อขมวดคิ้วให้

“อ้าว นี่ก็นอนด้วยกันอยู่นี่ไง” พ่อตอบอย่างงงๆ ธลก็แค่พยักหน้ารับ

“อะ อือ ก็จริงนะ” ธลพูด

“เอาเถอะรีบนอนดีกว่า เดี๋ยวจะตื่นไม่ไหว” พ่อตอบ แล้วพ่อกับธลก็เข้านอนกัน

“กฤษ” ธลทัก

“อะไร” พ่อตอบ

“คือ เออ อืม มะ ไม่มีอะไร” ธลตอบ พ่อหันหน้ากลับมามองเขา

“นี่ บอกแล้วไงว่าถ้ามีอะไรก็พูดมา” พ่อพูด ธลกลืนน้ำลายเล็กน้อย

“อะ เออ คือ เออ นาย แบบว่า อืม นายคิดว่า อืม เราเป็นไงบ้างหรอ” ธลถาม พ่อคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบไปว่า

“นายก็ดีออก เจ๋งดีด้วยทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง” พ่อตอบ

“หรอ นายไม่คิดว่าเราประหลาด ไม่ใช่มนุษย์อะไรงี้หรอ” ธลถามอีก

“อืม แล้วไงหรอ นายก็คือนาย จะเป็นอะไรก็ช่างสิ นายเป็นเพื่อนของเราเพราะงั้นต่อให้นายจะเป็นอะไรเราก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว นี่ยังคิดเรื่องนี้อยู่อีกหรอ” พ่อถาม ธลหลบสายตาพ่อไป

“คือ เรากลัวนะ เรากลัวว่าถ้าสักวันนึงแล้วนายต้องจากเราไป เรากลัวว่าเหตุผลนั้นมันคือ เพราะเราเป็นจระเข้ แล้ว นายเป็นมนุษย์ คือ นายก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เราเองก็ขาดนายไม่ได้แล้วเหมือนกัน เราคงเจ็บปวดไม่น้อยถ้าเกิดวันนั้นมันเป็นจริงขึ้นมา” ธลพูด พ่อดึงตัวธลมากอดไว้ที่อกของพ่อ

“เรื่องของอนาคตเราเองก็ไม่รู้หรอก แต่ที่เรารู้ตอนนี้คือเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่แบบนี้ แค่นั้นก็พอแล้วละ เรื่องมันจะจบยังไง แต่อย่างน้อยๆเราก็ได้ทำตรงนี้ไปแล้ว เราว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะ” พ่อพูด

“อืม” ธลตอบเบาๆ ก่อนที่เราจะหลับไปทั้งๆอย่างนั้น ตอนนั้นพ่อบอกกับตัวเองว่าจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อถ้าว่าวันนั้นมาถึงแล้ว เราจะมีความทรงจำที่ดีติดตัวเราไปตลอดกาล เช้ามาพ่อตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน เพราะว่าพ่อมีแผนจะพาธลไปดูสวนสมเด็จที่อยู่ไม่ไกลจากบึงสีไฟนะ พ่อรีบปลุกธลเพื่อที่จะไปที่บึงแต่เช้าตรู่ และค่อยไปหาอะไรทานกันที่นั่น เราไปถึงทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพอดีเลย พระอาทิตย์ค่อยๆโพล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ แสงส้มทองส่องอร่ามสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับไปมา

“สวยดีเนอะ” พ่อทักพลางหันไปมองธล เขายิ้มให้พ่อตอบกลับมา

“อืม อันที่จริงเราเคยเห็นมาตั้งหลายครั้งแล้วละ แต่ทำไมครั้งนี้มันถึงได้ดูสวยกว่าทุกครั้งนะ” ธลรำพึง พ่อมองหน้าเขา ธลก็หันหน้ากลับมามองพ่อ

“อาจเป็นเพราะวันนี้มีนายอยู่ข้างๆก็ได้นะ” ธลพูด พ่อตกใจเล็กน้อยแต่ก็คิดว่าเขาคงจะรู้สึกดีที่มีเพื่อนมาดูด้วย

“ดูคนเดียวมันก็เหงาๆละมั้ง” พ่อตอบ ธลยิ้มแต่ไม่พูดอะไร จากนั้นพ่อก็พาเขาไปดูสวนสมเด็จ พ่อแวะหาซื้อะไรกินรองท้องก่อนแล้วจึงเดินเข้าไปข้างใน ข้างในสวนประดับตกแต่งอย่างสวยงาม มีพรรณไม้หลากหลายชนิด และยังมีพิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำอยู่ด้วย ระหว่างที่พ่อกับธลกำลังดูปลาธลเองก็ให้ความรู้กับพ่อเรื่องจระเข้อีกด้วย

“อืม ทำไมเราไม่ค่อยเห็นนายกินข้าวเลยอะ” พ่อถาม ธลก็คิด

“จระเข้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยกินข้าวบ่อยนักหรอก ยิ่งอากาศหนาวๆจะกินไม่ค่อยลงเท่าไหร่ และบางทีถ้าหิวๆก็ยืนตากแดดแรงๆหน่อยก็พอช่วยให้หายหิวได้นะ” ธลอธิบาย

“นี่นายสังเคราะห์แสงได้ด้วยหรอ” พ่อถาม ธลขมวดคิ้ว

“สังเคราะห์แสงคืออะไร” ธลถามกลับ เอาละสิ พ่อเองก็ไม่ค่อยเก่งวิทยาศาสตร์มากเสียด้วยสิ

“กะ ก็พืชอะมันจะมีอะไรเขียวๆ คอเรสเตอรอล หรือ อะไรสักอย่างนี่แหละ มันจะช่วยสร้างอาหารให้พืชได้นะ พืชเลยแค่รดน้ำไง” พ่อตอบแบบงงๆ ธลขมวดคิ้ว

“มั้ง แต่เวลาเรากินทีเราก็กินเยอะเหมือนกันแหละ” ธลอธิบาย พ่อก็พยักหน้า

“อืม มิน่าละพวกจระเข้ถึงชอบอาบแดดกัน*” พ่อตอบ ธลพยักหน้ารับ จากนั้นเราก็เดินดูจนทั่วสวนก่อนที่พ่อกับธลจะตัดสินใจนั่งพัก

“นายชอบไหม” พ่อถาม ธลพยักหน้ารับ

“อืม เราชอบมากๆเลยละ มันสวยมากจริงๆ” ธลตอบด้วยรอยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่เป็นสุขและก็ทำให้พ่ออดยิ้มไปกับเขาด้วยไม่ได้ พอสักเที่ยงๆ พ่อก็ตัดสินใจพาธลกลับเพราะไม่งั้นหลวงตาจะสงสัยได้ พ่อกับธลเดินตัดกลับไปทางบึงเพราะมันใกล้กว่าเดินทางเท้าปกติ

“สนุกไหม” พ่อถาม ธลหันมาพยักหน้าให้

“สนุกมากๆเลยละ เราไม่เคยไปเที่ยวอย่างนี้มาก่อนเลย ขอบใจมากเลยนะ” ธลตอบ พ่อยิ้มเขินๆ

“ไม่ต้องขอบใจก็ได้ ถ้าอยากไปอีกเดี๋ยวเราพาไปอีกนะ” พ่อพูด ธลพยักหน้า

“อืม” ธลตอบ เราเดินกันต่อไปอีกสักพักแต่แล้วธลก็ดึงมือของพ่อเอาไว้ พ่อหันหลังกลับไปมองเขา

“มีอะไรหรอ” พ่อถาม ธลมองหน้าพ่อแก้มแดงแจ๋ แววตาลึกของเขาจ้องมองมาที่พ่อ

“อะ คือ อืม กฤษ ระ เรามีเรื่องอยากจะพูดนะ” ธลพูดอย่างตะกุกตะกัก แววตาของเขามันเหมือนแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้จริงๆ

“กฤษ คือ อ๊ะ...” ธลอุทานพลางหันหลังกลับไป พ่อก็ชะเง้อมองตามแต่ยังไม่ทันที่พ่อจะเห็นอะไรธลก็แบกร่างของพ่อขึ้นบ่าแล้วก็พุ่งฉิวไปในทันที

“กะ เกิดอะไรขึ้น” พ่อถาม แต่ธลไม่ตอบเขาแบกร่างของพ่อผ่านสายลมไปอย่างรวดเร็ว พอมาถึงวัดทั้งพ่อและธลต่างตาค้างกันเป็นแถว เพราะจระเข้หลายร้อยตัวมายืนออกันอยู่หน้าวัดไม่ขยับไปไหน

“จะ จระเข้เพียบเลย” พ่ออุทานอย่างตกใจ พ่อไม่เคยเห็นจระเข้เยอะเท่านี้มาก่อนเลย มันเยอะมากเสียจนมันขวางถนนหนทางไปหมด

“ถึงเวลาแล้วสิ” ธลรำพึง พ่อก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่านี่สุรศักดิ์คงจะบำเพ็ญศีลเสร็จแล้วเป็นแน่แท้

“กรรร” เสียงคำรามเสียงนึงดังขึ้น แล้วจระเข้ทั้งหลายก็เปิดทางออก จระเข้ตัวใหญ่เบ้อเริ่มตัวนึงเดินตัดทางตรงเข้ามาหาพ่อกับธล ตัวมันใหญ่ แถมผิวหนังก็เป็นสีน้ำตาลเข้ม ขนาดรูปร่างของมันพอๆกับรถเก็งก็ไม่ปาน นั่นเป็นจระเข้ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่พ่อเคยเห็นมาในชีวิตเลย มันเดินย่างสามขุมมาอย่างช้าๆ ธลวางพ่อลงที่พื้น พ่อถึงกับตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกเลย

“โหกก” จระเข้อ้าปาก ธลก็พยักหน้า

“ครับ ผมเอง” ธลตอบ ผมไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าธลนั้นพูดอะไรกับจระเข้จ้าวตัวนั้น

“โหก กรรร กรร โหก โหก” เจ้าจระเข้ส่งเสียงคำรามพลางสะบัดหางไปมา

“ครับ ผมทราบดีครับ เลือดต้องล้างด้วยเลือด” ธลตอบ นี่หมายความว่ายังไงธลก็ต้องถูกส่งตัวไปใช่ไหม พ่อเริ่มคิด

“โหก” จระเข้ตัวนั้นพูด ธลพยักหน้า

“ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน” ธลถาม เจ้าจระเข้มองหน้าธล

“ท่านจะช่วยหยุดการแข่งขันการฆ่ามนุษย์เพื่อตำแหน่งท้าว ได้หรือไม่” ธลเสนอ

“โหก โหก” เจ้าจระเข้คำราม

“แต่ว่า...” ธลพยายามจะพูด แต่เจ้าจระเข้นั่นกลับตวัดหางมาที่หน้าของธล และมันก็หยุดไว้แค่นั้น

“โหก กรรร กรรร กรร” เจ้าจระเข้ส่งเสียงร้อง ธลยืนนิ่งไม่ขยับร่างของเขาแม้แต่น้อย พ่อไม่เคยเห็นธลที่มีสีตาแน่วแน่ขนาดนี้มาก่อนเลย ปกติแล้วธลมักจะขี้อาย ไม่กล้าทำอะไรเท่าไหร่ แต่พอเขาอยู่ต่อหน้าฝูงจระเข้แล้วเหมือนกับเป็นคนละคนกันเลย ธลหันมามองพ่อด้วยแววตาเศร้าๆ

“ขอผมพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้ายก่อนได้ไหมครับ” ธลถามเจ้าจระเข้ยักษ์ตรงหน้า

“ครือ” จระเข้คำรามในลำคอ ธลหันมามองพ่อ

“อืม แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่เราก็สนุกมากเลยนะ ขอบใจนะที่มาเป็นเพื่อนกับเรา” ธลตอบ พ่อตาค้างทันที

“ธะ ธล” พ่อพยายามจะวิ่งเข้าไปหาเขาแต่จระเข้สองสามตัวก็เข้ามาขวาง หลวงตาก็ยังมาห้ามพ่อเอาไว้อีก ธลยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะเดินลงไปที่แม่น้ำพร้อมกับจระเข้ทั้งฝูง พ่อเริ่มดิ้น

“ธล ดะเดี๋ยวสิ หลวงตา ทำอะไรสักอย่างสิ” พ่อร้อง แต่หลวงตาก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา

“เราจะไปทำอะไรได้ละ” หลวงตาถาม พ่อกำหมัดแน่น

“ก็อย่างน้อยๆก็สู้มันสิ ธลเขาไม่ผิดสักหน่อย คนที่ผิดนะผมต่างหาก” พ่อร้อง

“กฤษ พอเถอะ เราไม่เป็นไรหรอก ขอบใจมากนะที่พยายามเพื่อเรา” ธลพูด พ่อได้แต่มองดูเขาเดินลงน้ำจนลับสายตาไป
พ่อกลับมาถึงบ้านอย่างเซ็งๆ กลับมาพ่อก็โดนคุณปู่เอ็ดตะโร ดูเหมือนว่าหลวงตาจะประกาศเตือนคนอื่นๆไว้ก่อนแล้ว และคงรวมไปถึงบอกด้วยว่าจะส่งตัวธลไปให้เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดใดๆขึ้น พ่อเองก็อยากจะตามไปช่วยธลเขาแต่จระเข้นั้นอยู่ในน้ำพ่อเองดำน้ำได้ก็จริงแต่ก็คงไม่ได้นานนัก พ่อนอนเหม่อมองเพดานห้อง พ่อมองไปที่หิ้งบูชาพระพลางถอนหายใจ พ่อตัดสินใจเดินไปสวดมนต์ แม้พ่อจะรู้ว่ามันคงไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นทางสุดท้ายที่พ่อพอจะคิดออกแล้ว พ่อตั้งจิตอธิฐานขอให้ธลนั้นปลอดภัย แต่แล้วตาของพ่อก็เหลือบไปเห็นเชิงเทียนที่ตั้งอยู่ระหว่างพระประธาน แล้วพ่อก็นึกถึงเทียนระเบิดน้ำขึ้นมาได้ ถ้าใช้ไอ้นั่นพ่ออาจจะตามไปช่วยธลได้ แต่ปัญหาก็คือพ่อจะไปที่วัดได้ยังไง

“พ่อครับผมอยากไปวัดครับ” พ่อเดินลงไปบอกกับคุณปู่ตรงๆ คุณปู่ก็มองหน้าพ่อสายตาแปลกๆ

“มึงจะไปทำไม” คุณปู่ถาม พ่อสูดหายใจลึก

“ผมอยากไปคุยพระธรรมกับหลวงตาครับ” พ่อเริ่มโกหก คุณปู่ขมวดคิ้ว

“อย่างเอ็งเนี่ยนะไปคุยพระธรรม” คุณปู่แย้ง พ่อพยักหน้ารับ

“ตอนนี้ผมคิดถึงธลเขานะพ่อ และผมเองก็รู้ดีว่าธลคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ถ้าผมอยู่ที่นี่ผมคงฟุ้งซ่านถ้าผมได้คุยกับหลวงตาบางทีผมอาจจะทำใจได้เร็วขึ้นก็ได้” พ่ออ้าง แม้ว่าจะเป็นเรื่องโกหกแต่ความรู้สึกครึ่งนึงของพ่อเองก็บอกว่าถ้าธลไม่กลับมา พ่อคงต้องเสียใจมาก และบางทีพ่ออาจจะต้องคุยกับหลวงตาเพื่อทำใจจริงๆก็เป็นได้ คุณปู่จ้องหน้าพ่ออยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจยาว

“อยากไปทำอะไรก็ไป แต่กลับมาให้ทันข้าวเย็นนะ” คุณปู่กำชับ พ่อพยักหน้าแล้วก็รีบบึ่งกลับไปที่วัดในทันที พ่อมาถึงที่วัดพ่อก็พึ่งจะรู้ตัวว่าพ่อเองก็ไม่รู้ว่าหลวงตานั้นเก็บเทียนระเบิดน้ำเอาไว้ที่ไหน และยิ่งถ้าไปถามหลวงตาตรงๆหลวงตาต้องเดาได้แน่ๆว่าพ่อจะไปช่วยธล พ่อเองตอนนั้นก็ยังคิดหาข้ออ้างดีๆไม่ออกเลย แต่พ่อก็ไม่อยากให้ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ พ่อตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า แต่พอพ่อไปถึงพ่อกลับหาหลวงตาไม่เจอ

“อ๋อ หลวงตาท่านไปธุระนะ แต่เดี๋ยวก็กลับ จะรอหรือยังไง” เด็กวัดคนนึงบอก พ่อพยักหน้ารับทันที

“อือ เดี๋ยวเรารอแล้วกัน” พ่อพูด ส่วนเด็กวัดก็หายไปข้างหลังกุฏิ พ่อตัดสินใจออกตามหาเทียนระเบิดน้ำโดยทันที พ่อเริ่มหาจากที่ห้องที่มีหอกสัตตะโลหะก่อน พ่อพยายามดูที่ตู้แต่ว่าตู้นั้นกลับถูกลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา หมดหนทางจะเปิด พ่อได้แต่ถอนหายใจอย่างเซ็งๆพลางมองไปที่หอกสัตตะโลหะ แม้ว่ามันจะเป็นอาวุธอันร้ายกาจแต่ถ้าปราศจากผู้ใช้มันก็ไม่ต่างอะไรกับแท่งเหล็กธรรมดาๆเท่านั้น พ่อถอนหายใจยาว พลางตั้งสมาธิกลับไปที่เทียนระเบิดน้ำ

“ข้านึกอยู่แล้วว่าเอ็งต้องกลับมา” เสียงหลวงตาดังขึ้น พ่อสะดุ้งโหยงเลย พ่อหันหลังกลับไปหลวงตาค่อยๆเดินเข้ามาใกล้พ่อ

“มาคุยกันหน่อยดีไหมไอ้กฤษ” หลวงตาพูด พ่อดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ารับ หลวงตาพาพ่อกลับมาที่หน้ากุฏิ ท่านนั่งลงที่อาสนส่วนพ่อก็นั่งลงที่พื้นข้างล่าง

“ข้าเองก็ชื่นชมในความรักเพื่อนที่เอ็งมีต่อไอ้ธลมันนะ แต่คนเรามันเกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดา ข้าว่าเอ็งควรจะปล่อยใจให้ว่างแล้วยอมรับเรื่องที่เกิดเถอะนะ” หลวงตาพูด

“แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะทำอะไรได้บ้างนี่ครับหลวงตา” พ่อแย้ง หลวงตาถอนหายใจ

“เอ็งพยายามดีที่สุดแล้วละ ไม่มีใครตำหนิเอ็งหรอก อีกอย่างเอ็งเองก็เห็นไม่ใช่หรอว่าไอ้ธลมันยิ้มให้ อย่างน้อยๆมันก็ไปดีไม่มีทุกข์ เอ็งก็ควรจะอยู่อย่างมีความสุขเพื่อส่วนของมันด้วยนะ” หลวงตากล่าว แต่สำหรับพ่อแล้วรอยยิ้มนั่นเหมือนยิ่งตอกย้ำความผิดของพ่อให้หนักขึ้นๆ หลวงตาถอนหายใจพลางหยิบเอาถุงพลาสติกส่งให้

“ไอ้ธลฝากไอ้นี่ไว้ให้” หลวงตาพูดพลางยื่นถุงนั่นส่งให้พ่อ พ่อรับถุงนั้นมางงๆ

“ไอ้ธลฝากข้าไว้ มันบอกว่าถ้ามันมีอันเป็นไปให้มอบนี่ให้เอ็ง ถือเสียว่าเป็นของที่ระลึกจากไอ้ธลมันก็แล้วกัน” หลวงตาพูด พ่อรับมันมาดู ภายในถุงมีใบกล้วยห่อเอาไว้อย่างมิดชิด

“อ๋อ นี่ก็จดหมายของมันนะ มันพยายามมากเลยนะที่จะเขียนมันออกมาให้เอ็งให้ได้” หลวงตาพูดพลางยื่นซองสีขาวส่งให้พ่อ พ่อเปิดซองจดหมายออกอ่านทันที

ถึง กฤษ เพื่อนรัก
เราขอให้หลวงตาช่วยเราเขียนนะ เรารู้อานาคดของเราดีว่าเราคงต้องโดนข้าทิ้ง เราไม่หยากให้นายต้องเสียใจไป เราทิ้งของไว้ให้เพื่อนายจะเอาไปใช้เที่ยวเล่นบ้าง นายจะได้นึกถึงเราเวลานายลงไปในน้ำ เราดีใจที่ได้รู้จักกับนายนะ เรารักนายนะ

พ่ออ่านข้อความในจดหมายแล้วพ่อก็รีบเอาถุงขึ้นมาดู ที่ว่าเอาไปใช้เที่ยวเล่นในน้ำมันน่าจะใช่อย่างที่พ่อคิด พ่อคลำดูในถุงแล้วมันก็เป็นจริงดังคาด มันคือเทียนระเบิดน้ำจริงๆ พ่อถอนหายใจยาว

“ขอบคุณนะครับหลวงตา ผมว่าจากนี้ไปผมควรจะเริ่มทำใจเสียที” พ่อตอบ หลวงตาพยักหน้า

“ถ้ามีอะไรเอ็งมาหาข้าได้ทุกเมื่อเลยนะ” หลวงตาพูด พ่อพยักหน้าพลางยกมือไหว้หลวงตา พ่อรีบเดินออกมาจากวัดแล้วพ่อก็แกะห่อใบกล้วยออกทันที ภายในมีเทียนระเบิดน้ำอยู่ห้าเล่ม และก็มีเล่มเก่าที่พ่อเอาไปใช้ตอนที่พ่อไปเล่นน้ำกับธลอีกครึ่งเล่ม พ่อมองไปที่แม่น้ำน่านตรงหน้า พ่อบอกกับตัวเองว่า มันคงถึงเวลาแล้วที่พ่อจะต้องทำอะไรเพื่อธลบ้างสักที...


“พ่อว่าพอแค่นี้ก่อนดีกว่านะ พ่อเหนื่อย” ชายหนุ่มพูด

“โถ่คุณพ่อกำลังสนุกเลยนะคะ ต่ออีกนิดเถอะนะคะ” เด็กสาวอ้อนวอน ชายหนุ่มยิ้มให้

“เอาไว้เรากินข้าวเย็นกันก่อนแล้วเดี๋ยวพ่อมาเล่าต่อดีไหม” ชายหนุ่มเสนอความคิด เด็กสาวก็พยักหน้า

“ก็ได้คะ แต่คุณพ่อห้ามผิดสัญญาอีกนะคะ” เด็กสาวพูด ผู้เป็นพ่อยิ้มตอบ

“จ๊ะ ลูกเองก็ต้องทานข้าวให้หมดแล้วก็ช่วยคุณแม่ล้างจานด้วยนะ” ชายหนุ่มพูด เด็กสาวพยักหน้ารับ

“คะ” เธอตอบ

“งั้นวันนี้เป็นข้าวไข่เจียวกับแกงจืดวุ้นเส้นแล้วกันนะ ทำง่ายดีจะได้มาฟังเรื่องของคุณพ่อต่อดีไหม” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มมองหน้าภรรยาของเขาค้อนๆ

“อะไรกัน นี่กลายเป็นติดเรื่องของผมไปอีกคนแล้วหรอเนี่ย” ชายหนุ่มพูดขึ้น หญิงสาวก็ยิ้ม

“แหมก็เล่นเล่าข้างๆคาๆแบบนี้ใครๆก็อยากรู้จริงไหมลูก” หญิงสาวมองหน้าลูกของตน

“คะคุณแม่” เด็กสาวตอบ ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ

“เอาเถอะ รีบๆทำหน่อยแล้วกันนะจ๊ะแม่ พ่อหิวแล้ว” ชายหนุ่มพูด หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องครัว

“หนูช่วยนะคะ จะได้เสร็จเร็วๆ” เด็กสาวพูดพลางเดินตามแม่ของเธอไป ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆ พลางนึกถึงอดีตของเขากับชายที่เรารักมาตลอด

*หมายเหตุ: จระเข้นั้นเป็นสัตว์ที่ใช้พลังงานน้อยจึงไม่จำเป็นต้องการอาหารทุกวัน ซึ่งบางครั้งมันอาจจะกินอาหารแค่ครั้งเดียวแต่อาจจะอยู่ได้ถึง 10 วัน จระเข้จึงไม่ล่าเหยื่อตลอดเวลา อีกสาเหตุนึงมีมาจากจระเข้จะกินเมื่ออุณหภูมิของมันอยู่ในช่วงระดับนึง ทั้งนี้เพราะอากาศหนาวจระเข้จะย่อยอาหารได้ช้า แต่พออากาศร้อนร่างกายก็จะมีพลังงานสะสมมากพอ อีกทั้งจระเข้ยังสามารถสะสมพลังงานได้จากการเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายของมัน จระเข้จึงชอบตากแดดเพื่อเพิ่มพลังงานสะสมในร่างกายของมัน เมื่อภาวะอาหารคลาดแคลนจระเข้จะนำพลังงานนั่นมาใช้เพื่อประทังชีวิต (เพื่อมีคนอยากจะรู้)

แหล่งที่มา:
การให้อาหาร http://www.fisheries.go.th/if-nakhonsawan/ccd/ccd_feeding.htm
ชาละวัน http://www.ipst.ac.th/thaiversion/publications/in_sci/crocodile.html



หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-01-2007 21:59:17
อ่านทันอยู่แล้วจ้า  :yeb:

"เรื่องของอนาคตเราเองก็ไม่รู้หรอก แต่ที่เรารู้ตอนนี้คือเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่แบบนี้ แค่นั้นก็พอแล้วละ เรื่องมันจะจบยังไง แต่อย่างน้อยๆเราก็ได้ทำตรงนี้ไปแล้ว เราว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะ”

อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่เสียใจในวันหน้า  :myeye:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 02-01-2007 23:58:46
อ่านทันซะจนเหงือกแห้งแล้วครับพี่บลูเรย์ :yeb:

ว่าแต่ธลจะบอกอะไรกับกฤษน๊า . . . อยากรู้จริง

ตอนนี้อ่านแล้วรู้สึกใจแป้วพิกลง่ะ :impress3:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 03-01-2007 20:10:32
ขำหมีจนท้องแข็ง  :pigha2:
เหงือกแห้งเลยหรือ ดื่มน้ำเยอะๆนะครับ
งั้นต่อให้อีกตอนก่อน กร๊ากกๆๆๆ
 :monkeylaugh2:
********************************************

บทที่ 10

“เฮ้อ อิ่มจัง” ชายหนุ่มอุทานพลางตบไปที่ท้องของเขาเบาๆ

“คุณพ่อกินเสร็จแล้ว เล่าเรื่องของพี่ธลต่อสิคะ” เด็กสาวรบเร้า ชายหนุ่มยิ้ม

“ไปช่วยคุณแม่เขาล้างจานก่อนสิลูก” ชายหนุ่มกล่าว

“ไม่เป็นไรคะ วันนี้ลูกธลก็ช่วยแม่ทำกับข้าวแล้ว อันที่จริงแม่เองก็อยากฟังเรื่องนั้นต่อแล้วละ” หญิงสาวพูดขึ้นบ้าง ชายหนุ่มหัวเราะ...


ก็ได้ๆ อืม หลังจากที่พ่อได้เทียนระเบิดน้ำเป็นของขวัญจากธลแล้วพ่อก็ตัดสินใจเดินไปที่ปากแม่น้ำน่าน พ่อมองดูแม่น้ำตรงหน้า มันเป็นแม่น้ำที่ใหญ่อยู่ไม่น้อยแต่พ่อตัดสินใจแล้วพ่อเองก็ไม่อยากจะถอยเหมือนกัน พ่อออกจากวัดแล้วก็แวะไปซื้อไฟแช็คที่ร้านขายของชำ ตอนนั้นยังไม่มีกฏหมายเรื่องห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีซื้อบุหรี่ พ่อเลยซื้อมาได้อย่างไม่มีปัญหานัก พ่อหยิบเอากิ่งไม้ปลายแหลมมากิ่งนึง แล้วก็เสียบมันเข้าไปที่เทียนระเบิดน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งเล่มเพื่อใช้เป็นเชิงเทียนชั่วคราว พ่อเดินไปที่แม่น้ำ พ่อลัดเลาะลงไปจนถึงริมฝั่งพลางสอดส่งซ้ายขวาว่าไม่มีใครสังเกตเห็น พ่อหยิบเทียนขึ้นมาจุดแล้วพ่อก็ค่อยๆก้าวลงไปช้าๆ น้ำค่อยๆแยกตัวออกเป็นวงรอบตัวของพ่อ พ่อเดินดิ่งลงไปเรื่อยๆ น้ำก็แหวกออกเป็นวงกลมล้อมรอบตัวพ่อเหมือนครั้งแรก พ่อเดินลงไปจนกระทั่งน้ำนั้นล้อมตัวพ่อจนหมด พ่อมองดูไปรอบๆตัว น่าแปลกมันไม่มีปลาหรืออะไรเลยสักตัวเดียว จะว่าไปเหมือนกับสัตว์น้ำทั้งหลายในแม่น้ำมันหายไปหมด พ่อเดินต่อลงไปจนถึงก้นแม่น้ำแต่ก็ยังไม่มีสัตว์น้ำตัวใดโพล่ออกมาเลย ราวกับว่าสัตว์น้ำทั้งหลายมันหนีหายไปกันหมด แล้วพ่อก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างว่ายผ่านน้ำไป พ่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบจระเข้สองตัวกำลังว่ายน้ำผ่านหัวของพ่อไป มันทำให้พ่ออดคิดไม่ได้ว่ามันจะไปที่ไหนกัน หรือว่ามันจะเป็นลูกน้องของสุรศักดิ์ด้วย พ่อไม่รอช้าพ่อรีบก้าวเท้าตามไปทันที เพราะว่าเทียนระเบิดน้ำทำให้พ่อนั้นไม่รู้สึกเหมือนกับตัวเองนั้นอยู่ใต้น้ำเลย แม้ว่าดินจะแฉะๆไปบ้างแต่พอให้พ่อนั้นเดินไปได้ พ่อแอบตามจระเข้สองตัวนั่นไปอย่างเงียบๆ ดูเหมือนจระเข้สองตัวนั่นเองก็รีบเสียจนไม่ได้สังเกตอะไรทั้งนั้น พ่อรีบเดินตามไปอย่างไม่รอช้า พ่อเดินตามมันไปอยู่นานเหมือนกันแต่มันก็ยังไม่หยุดว่ายสักที พ่อเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าอากาศรอบตัวของพ่อมันลดน้อยลงทุกทีๆ เทียนระเบิดน้ำนั้นกำลังจะมอด พ่อหยุดก้มลงเอาเทียนเล่มใหม่ขึ้นมาต่อไฟ แสงของเทียนค่อยๆสว่างขึ้นพร้อมกับขยายพื้นที่ให้ พ่อถอดกิ่งไม้ออกจากเทียนเล่มเก่าแล้วก็เอามาเสียบเข้ากับเล่มใหม่ แต่พอพ่อเงยหน้ากลับขึ้นมา จระเข้สองตัวนั้นก็หายไปเสียแล้ว พ่อรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย พ่อมองหันหลังกลับไปก็ไม่มีวี่แววของจระเข้ใดๆอีก พ่อมองไปตรงหน้า ทางข้างหน้ามันขมุกขมัวเสียเหลือเกิน แต่พ่อก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว พ่อตัดสินใจเดินหน้าต่อไป พ่อมองไปรอบๆตัวเพื่อจะเจอจระเข้สองตัวนั่น แต่ก็ไม่มีวี่แววของมันเลย พ่อถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“โถ่เว้ย คลาดสายตาไปจนได้” พ่อบ่น แต่พ่อเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ พ่อหันหลังกลับไปพลางมองดูเทียนระเบิดน้ำในถุง พ่อเหลือเทียนระเบิดน้ำอยู่อีกสี่เล่ม เล่มนึงเหมือนจะใช้ได้ราวๆ สองชั่วโมง ตอนนี้พ่อเดินมาไกลแค่ไหนพ่อเองก็ไม่รู้ แล้วถ้าต้องเดินต่อไปจะต้องเจอกับอะไรบ้างพ่อเองก็สุดจะคาดเดา มันเหมือนพ่อเอาชีวิตมาทิ้งง่ายๆยังไงอย่างนั้นเลย พ่อดูเทียนในมือของพ่อที่ค่อยๆละลายลงไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ ธลเขาสละชีวิตของเขาเพื่อช่วยคนอื่น เขาช่วยพ่อมาก็หลายครั้ง แล้วพ่อจะหนีอย่างนั้นหรอ ไหนว่าสัญญาว่าจะช่วยเขา แต่แค่นี้พ่อก็หนีเสียแล้ว พ่อกำกิ่งไม้แน่นแล้วตัดสินใจเดินหน้าต่อไปทันที พ่อเดินต่อไปอยู่นานโขเหมือนกัน พ่อเปลี่ยนเทียนไปสามเล่มแล้ว ตอนนี้พ่อเหลือเทียนอยู่เล่มสุดท้ายแล้ว แต่พ่อก็ยังไม่มีหวัง เทียนระเบิดน้ำของพ่อเหลืออยู่แค่ครึ่งเล่มแล้ว แต่พ่อก็ยังหาตัวธลไม่เจอ พ่อกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ

“โถ่เว้ย” พ่อสถบ พ่อรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไร้ค่าเสียจริงๆ แต่ทันใดนั้นเองพ่อก็เห็นแสงเรืองอยู่ตรงหน้า พ่อรีบก้าวขายาวไปยังแสงนั่นทันที แล้วพ่อก็เห็นว่ามันเป็นอุโมงค์แต่ในอุโมงค์นั่นกลับมีแสงสีทองส่องสว่างออกมา พ่อเดินไปอย่างระมัดระวัง แสงนั่นค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อยๆ พ่อมองลอดเข้าไปตาพ่อแทบจะหลุดเลย พ่อเห็นคนยืนอยู่ข้างในเป็นร้อยเลย แต่ละคนใส่ชุดหนังจระเข้ปกคลุมร่างเอาไว้ แทบไม่ต้องเดาเลยว่านี่ต้องเป็นถ้ำทองแน่ๆ และมันเป็นถ้ำทองที่ใหญ่เอาเรื่องเลยทีเดียว พ่อก้มลงมองดูตัวเองถ้าพ่อเข้าไปทั้งๆอย่างนี้อาจโดนจับกินได้แน่ๆ พ่อจึงตัดสินใจเอาโคลนมาแปะไปตามร่างของพ่อจนทั่ว โคลนดำๆคล้ำ บางทีอาจจะพอหลอกตาของพวกจระเข้ได้ พ่อคิดพลางเอาโคลนลูบตัวจนทั่ว พ่อกลั้นใจก่อนที่จะเดินเข้าไปในอุโมงค์สีทองอร่ามตา พ่อเข้ามาก็ดับเทียนพลางมองไปรอบๆว่าจะมีจระเข้ตัวไหนรู้ตัวบ้างแต่เหมือนจระเข้ส่วนใหญ่จะสนใจแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น พ่อตัวเล็กเลยมองอะไรไม่เห็น พ่อจึงพยายามมุดลอดเข้าไปเพื่อจะเข้าไปดูใกล้ๆว่าพวกมันกำลังมุงดูอะไรอยู่

“กฏของท่านพญากุมภีร์ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า หากเลือดตะเข้ใดหยด ต้องสังเวยกลับด้วยเลือด” เสียงใหญ่ทุ้มๆดังขึ้น พ่อแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลย นี่ในถ้ำทองจระเข้ตัวอื่นๆก็พูดภาษามนุษย์ได้ด้วยหรือเนี่ย

“แถมไอ้นี่ ยังเป็นลูกของไอ้ไกรทองกับนังแพศยาเลื่อมลายวรรณ มันทำให้ตระกลูตะเข้ของเราต้องเสื่อมเสีย” เสียงนั่นดังขึ้นอีก พ่อรู้ได้ทันทีว่านั่นต้องเป็นสุรศักดิ์แน่ๆ

“มันมีความผิดมหันต์เกินกว่าจะให้อภัย โทษของมันมีสถานเดียวคือ ตาย” เจ้าของเสียงเน้นคำว่าตายอย่างหนักแน่น เหล่าจระเข้ในถ้ำก็ส่งเสียงโห่ร้องเซ็งแซ่ พ่อมุดไปเรื่อยๆจนกระทั่งพ่อพอจะมองเห็นตรงหน้าได้บ้าง มันเหมือนเป็นแท่นหินขนาดใหญ่ตั้งขึ้นไปราวกับเวที และธลก็นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นพร้อมกับชายผิวสีน้ำผึ้งตัวใหญ่ยักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“พิธีตัดหัวจะเริ่มนับจากนี้ไป ท่านโหรวรัตน์ ข้าขออนุญาตใช้พระขรรค์เขี้ยวมณีด้วย” ชายร่างใหญ่พูดขึ้น ชายแก่ๆคนนึงก็เดินเข้ามาใกล้ ในมือมีมีดที่หุ้มด้วยปลอกสีทอง ที่ด้ามมีดประดับด้วยเพชรนิลจินดาจำนวนมากมายอย่างสวยงาม ชายร่างใหญ่ประนมมือพลางวางมีดไว้ที่หว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ พลางยกขึ้นเหนือหัว

“ข้าขอให้ท่านพญากุมภีร์ทั้งหลายทั้งปวง ที่ปกป้องเหล่าตะเข้ทั้งหลายให้ร่มเย็นเป็นสุข ให้อำนาจของพระขรรค์เขี้ยวมณีด้ามนี้ใช้ตัดสินโทษตะเข้ต่ำช้าตัวนี้ให้ถึงแก่ชีวิต ถ้าไม่มีเหตุอันใดขอให้งานประหารนี้ผ่านไปได้ด้วยดีเทอญ” จระเข้ร่างใหญ่ตัวนั้นพูดขึ้นพลางยกพระขรรค์ขึ้นหนึ่งครั้งก่อนจะยกมันกลับมาที่อก แล้วเขาก็ดึงพระขรรค์ออกจากฝัก มีดสีเงินวาบวับสะท้อนกับแสงสีทอง เขาชี้ไปที่หน้าของธล

“เจ้ามีอะไรจะสั่งเสียอีกไหม” ชายคนนั้นถาม

“ข้าขอให้ทุกท่านยุติเรื่องการฆ่ามนุษย์เพื่อหาตำแหน่งท้าวคนใหม่” ธลพูดขึ้น ชายคนนั้นจิกหัวของธลขึ้นมา

“ข้าบอกแล้วว่าแกไม่มีสิทธิ์เสนอข้อต่อรองอะไรทั้งนั้น” ชายคนนั้นคำรามพลางแยกเขี้ยวใส่ ธลมองหน้าเขาอย่างไม่มีเกรงกลัว

“ข้าไม่ได้ต่อรอง ข้าแค่ข้อร้อง” ธลพูด ชายคนนั้นทิ้งธลกระแทกลงกับแท่นหินเสียงดังปั้ง

“คำขอร้องของเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับ พวกมนุษย์ทำเราเหล่าตะเข้ลำบากมาหลายสิบปีแล้ว เราเดิมทีก็อยู่อย่างสุขสบาย เรากินเท่าที่จะกิน เราไม่เคยฆ่าเพราะความสนุก เราฆ่าเพื่อจะอยู่ แต่มนุษย์นะมันเป็นตัวเชื้อโรคที่บ่อนทำลายโลกนี้ มันไม่ได้ฆ่าเราเพื่อกิน มันเห็นเราก็เป็นแค่สิ่งของ มันไม่หิวก็ฆ่า มันหิวก็ฆ่า มนุษย์ทำเหมือนเราเป็นแค่สัตว์สี่เท้า ทั้งๆที่จิตใจของพวกมันนะต่ำทรามกว่าสัตว์สี่เท้าเสียอีก” ชายร่างใหญ่คำราม พ่อเองตอนนั้นก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน เราฆ่าจระเข้เพื่อเอาหนังมันมาทำกระเป๋า เราคิดว่ามันเป็นสัตว์อันตรายถ้าเจอมันต้องเป็นกำจัด ทั้งๆที่สิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดอาจจะเป็นมนุษย์เองก็ได้

“ที่ท่านพูดมันก็ถูก แต่มนุษย์ก็มีดีอยู่เหมือนกัน ก็ยังมีมนุษย์บางคนที่สู้เพื่อพวกท่านไม่ใช่หรือ” ธลแย้ง แต่ชายคนนั้นกลับตบแก้มธลเสียงดังเพี๊ยะ

“แกคิดหรอว่านั่นคือการดูแล ลูกน้องของข้าต้องโดนจับไปขังไร้อิสระภาพ แถมต้องไปแสดงจำอวดให้มนุษย์คนอื่นๆหัวเราะเยาะ แกคิดว่านั่นคือการช่วยเหลืองั้นเรอะ” ชายคนนั้นพูด แล้วเขาก็ก้มลงดึงหัวของธลขึ้นมา

“แกเองก็เถอะ แกเองก็โดนเหล่ามนุษย์รังเกียจไม่ใช่หรอ แล้วทำไมแกยังไปเข้าข้างมันอีก ฮะ” ชายคนนั้นตวาดใส่ ธลมองหน้าด้วยสายตาที่เลื่อนลอย

“แต่เดิมข้าเองก็เคยสงสัยว่าข้าจะช่วยเหลือพวกมนุษย์ไปทำไม เพราะก็ไม่มีใครจะสนใจข้าสักคน จนกระทั่งมีอยู่คนนึงที่ได้เข้ามาเปลี่ยนความคิดของข้า เขาทำให้ข้าได้เข้าใจว่าความรักคืออะไร และมันก็ทำให้ข้าอยากจะพยายามเพื่อเขา และ มนุษย์คนอื่นๆที่เหมือนเขาด้วย” ธลตอบ พ่ออึ้งไปเล็กน้อย

“พูดบ้าๆ แกเองก็ใช่มนุษย์เสียที่ไหนละ” ชายคนนั้นตอบ

“ข้ารู้ ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และข้าเองก็ไม่ใช่จระเข้ด้วย แต่คนนั้นกลับบอกกับข้าว่า เขาไม่เคยสนใจว่าข้าจะเป็นอะไร มันทำให้ข้าได้เข้าใจว่ามนุษย์นั้นมีบางอย่างที่จระเข้ไม่มี มันคือความรู้สึกที่ผูกพัน และมันสามารถถ่ายทอดไปยังผู้อื่นได้ด้วย ข้าเชื่อว่ายังต้องมีมนุษย์คนอื่นๆอีกแน่ที่พยายามจะถ่ายทอดความรู้สึกนั่นมาสู่พวกท่าน ถ้าท่านยอมเปิดใจรับมันดูสักครั้ง บางทีมันอาจจะเป็นกุญแจที่จะทำให้เราอยู่อย่างมีความสุขก็เป็นได้” ธลตอบ เหล่าจระเข้ก็ซุบซิบกัน ชายคนนั้นกดหัวของธลลง

“แกจะให้พวกเราลดตัวไปอยู่กับพวกมนุษย์อย่างนั้นหรอ มันจะมากไปหน่อยละมั้ง” ชายคนนั้นตอบ ธลมองหน้าชายคนนั้นกลับ

“แล้วท่านละเคยมอบความรู้สึกดีๆให้คนอื่นบ้างหรือเปล่า ท่านเอาแต่ทำบำเพ็ญศีลเพื่อเพิ่มอายุขัย ขนาดกับน้องชายของท่านเอง ท่านยังไม่เคยใส่ใจ” ธลแย้ง

“ปากดีนักนะ งั้นข้าก็ขอเริ่มพิธีประหาร ณ บัดนี้” ชายคนนั้นร้อง พ่อสุดจะกลั้น

“อย่านะ” พ่อแหกปาก เหล่าจระเข้เป็นร้อยหันมาที่พ่อเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่ธล

“กะ กฤษ” ธลอุทานอ้าปากค้าง

“มนุษย์ มีมนุษย์ในถ้ำทอง จับมันไว้” ชายแก่ร้องขึ้น เหล่าจระเข้ทั้งหลายต่างจับร่างของพ่อเอาไว้

“กฤษ นายมาทำอะไรที่นี่ ปล่อยเขานะ เขาไม่เกี่ยวด้วยนะ” ธลร้อง

“ไม่ธล นายไม่ผิด คนที่ผิดคือเราเอง คนที่น่าจะไปอยู่ตรงนั้นคือเราไม่ใช่นาย” พ่อร้องตอบ

“พอที ยังไงก็ต้องตายทั้งคู่นั่นแหละ เจ้ามนุษย์แกบุกรุกถ้ำทองอันเป็นถิ่นของตะเข้ แกทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องมัวหมอง” ชายคนนั้นคำราม พ่อพยายามจะออกแรงแต่จระเข้เหล่านั้นกลับจับตัวพ่อไว้แน่น ชายร่างใหญ่ง้างมือไปข้างหลัง

“ส่วนแก ที่ทำให้น้องของข้าต้องหลั่งเลือด เลือดของแกก็จะต้องหลั่งบนแท่นศักดิ์สิทธิ์นี้” ชายร่างใหญ่ร้องพลางฟาดพระขรรค์ลงอย่างแรง เสียงพระขรรค์วิ่งผ่านลมดังวูบ

“เพล้ง” เสียงแตกดังสนั่นไปทั่วถ้ำ เหล่าจระเข้ทั้งหลายต่างมองกันเป็นตาเดียว พ่อเองก็ตกใจไม่น้อย พระขรรค์สีเงินแตกออกเป็นชิ้นๆ เหลือแต่เพียงด้ามจับสีทองเท่านั้น

“พะ พระขรรค์แตก” โหรอุทาน พลางวิ่งเข้ามาดู ชายร่างใหญ่มีสีหน้างุนงงเป็นที่สุดไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ โหรเฒ่าก้มลงมองดูซากพระขรรค์ที่กระจัดกระจายลงพื้น ตาเขาลุกวาวแล้วก็ลุกขึ้นพลางเดินมาที่ธล

“เอ็งคลายสิ่งที่ครอบร่างของเอ็งออกสิ” โหรสั่ง ธลมองหน้าพ่อ พ่อยิ้มรับ ธลถอนหายใจยาวพลางหลับตาลง เขาพูดภาษาประหลาดสองสามคำ พลันร่างของเขาก็มีอักขระสีแดงปรากฏขึ้นเต็มร่าง ผิวสีน้ำผึ้งของธลเริ่มเปลี่ยนเป็นผิวเกล็ดตะปุ่มตะป่ำ แววตากลายเป็นสีเหลืองน่าสะพรึงกลัว นิ้วที่มีเล็บงอกยาวออกมา โหรเฒ่าก็เดินเข้าไปใกล้ เขาเอามือแตะที่ร่างของธลเหมือนกับมองหาอะไรสักอย่าง ธลยังคงท่องคาถาของเขาต่อไป อักขระสีแดงโผล่ขึ้นเต็มร่างของเขาไปหมด โหรเฒ่าเอานิ้วลูบไปที่ตีนผม แล้วเขาก็ถอยครูดไปข้างหลัง

“คะ คนนี้คือ ละ ลูกของชาละวันหรือเนี่ย” โหรเฒ่าคนนั้นร้อง ทุกคนต่างร้องอุทานอย่างตกใจ พ่อเองก็เหมือนกัน ธลตกใจจนลืมท่องคาถา พลันร่างของเขาก็หยุดเปล่งแสงคืนกลับเข้าสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง

“โหรวรัตน์ท่านดูผิดหรือเปล่า” ชายร่างใหญ่พูด โหรเฒ่าส่ายหัว

“ไม่ผิดแน่ ท่านชาละวันมาเข้าฝันข้าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำว่าจะมีลูกกษัตริย์จะโดนทำร้าย ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นเขา พระขรรค์ที่แตกเหมือนแก้วบอกข้าว่าแม่ของเจ้านี่จริงๆคือตะเภาแก้ว และที่สำคัญเขามีลิ้น” โหรเฒ่าพูด จระเข้ตัวอื่นๆถึงกับมองเป็นตาเดียวกัน

“มะ มีลิ้น” พ่อร้อง อันที่จริงพ่อเองก็เคยได้ยินนิทานที่ว่าจระเข้นั้นไม่มีลิ้น งั้นที่ธลมีลิ้นก็หมายความว่าธลมีเชื้อของจระเข้ท้าวอย่างนั้นหรอ ชายร่างใหญ่กำมือแน่น พลางคุกเข่าลงกับพื้น โหรเฒ่าก็คุกเข่าตาม แล้วพลันจระเข้ทั้งถ้ำก็คุกเข่ากันเป็นแนว

“แก้มันเขาเร็ว” โหรเฒ่าสั่ง ชายตัวใหญ่สองคนก็มาแก้เชือกที่มัดธลไว้ออก ธลยืนขึ้นอย่างงงๆ

“ท่านมีเชื่อกษัตริย์โดยตรงที่สืบทอดจาก ท้าวรำไพ ท่านจ้าว เออ...” โหรเฒ่ามองหน้า ธลมองหน้าเขางงๆ

“เออ ชลาธล” ธลตอบ โหรเฒ่าพยักหน้า

“ท่านจ้าวชลาธล โปรดขึ้นบังลังก์เพื่อสืบถอดตำแหน่งท้าวพญากุมภีร์รุ่นต่อไปด้วยเทอญ” โหรเฒ่ากล่าว พ่อมองธลอย่างงงๆ ธลเองก็งงอยู่ไม่น้อย

“อะ เออ แล้วข้าต้องทำอะไรบ้าง” ธลถาม

“ท่านกล่าวอะไรสักหน่อยสิ” โหรตอบ ธลมองมาที่พ่อพลางพยักหน้า

“ปล่อยตัวมนุษย์คนนั้น” ธลพูด จระเข้ที่จับตัวพ่ออยู่ก็ปล่อยตัวพ่อทันที ธลหันหน้าไปที่เหล่าจระเข้ที่เหลือ

“ข้าขอประกาศให้จระเข้ทั้งหมดยุติการฆ่ามนุษย์โดยถาวร” ธลพูด จระเข้ทุกตัวต่างก็ก้มหัวพยักหน้ารับโดยไม่เถียงเลยสักคำ

“แล้วแต่ท่านท้าวจะบรรชา” จระเข้ทุกตัวพูดพร้อมกัน แล้วธลก็วิ่งลงมาหาพ่อ ธลจับไหล่ของพ่อเอาไว้

“นายทำอะไรของนายเนี่ย” ธลร้อง พ่อยิ้มให้เขา

“ก็มาช่วยนายไง” พ่อตอบ ธลดึงร่างของพ่อมากอดไว้ทันที

“ขอบใจนะ” ธลพูดสะอื้น พ่อตบหลังเขาเบาๆ

“ไม่เป็นไร เราไม่ได้ทำอะไรเลยสักหน่อย” พ่อตอบ หลังจากนั้นโหรก็ทำนายจากที่ฝันและพระขรรค์ที่แตกออก สรุปได้ว่าจริงๆแล้วธลนั้นเป็นลูกของชาละวันกับตะเภาแก้ว แต่ตะเภาแก้วนั้นยอมรับไม่ได้ที่ตัวเองมีลูกเป็นจระเข้จึงยกลูกให้นางเลื่อมลายวรรณไป ส่วนเลื่อมลายวรรณเองก็ยังจงรักภัคดีต่อชาละวัน จึงดูแลธลเป็นอย่างดี

“ที่แท้ แม่เก็บของทุกอย่างของท่าน เอ้ย พ่อชาละวันไว้เพราะอย่างนี้นี่เอง” ธลพูด พ่อเองก็สุดจะเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ธลนั้นปลอดภัยพ่อก็โล่งใจไปเปราะนึง จากนั้นธลก็อาสาจะพาพ่อไปส่งให้ถึงที่วัด

“แต่เทียนระเบิดน้ำเหลือแค่ครึ่งเล่มแล้วนะ” พ่อพูด ธลก็ยิ้ม

“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่นั้นก็พอแล้ว” ธลตอบ พ่อก็จุดเทียนระเบิดน้ำที่เหลืออยู่ ธลจับมือของพ่อไว้แล้วเขาก็ทะยานออกจากถ้ำไป เขาพุ่งไปเร็วมาก มากเสียจนเทียนแทบจะดับ พ่อต้องเอามืออังไว้ตลอดทางเลย แต่พอพ่อรู้สึกตัวอีกที เขาก็พาพ่อมาโพล่ที่ข้างวัดเสียแล้ว พ่อมองธลอย่างทึ่งๆ

“โห นายว่ายน้ำเร็วเป็นบ้าเลย” พ่อทัก ธลนั่งลงหายใจหอบ นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อเห็นธลหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน

“ไม่เป็นไร แฮ่ก ขอเราพักแป๊ปนึงนะ” ธลพูดพลางหายใจหอบไม่หยุด พ่อจึงตัดสินใจนั่งลงข้างๆตัวเขา

“ไม่อยากจะเชื่อเลยเนอะว่านายจะเป็นลูกของชาละวัน ตอนแรกนึกว่าเป็นลูกไกรทองเสียอีก” พ่อพูด ธลพยักหน้า

“อืม เราเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน” ธลตอบ พ่อพยักหน้ารับ

“เราตกใจมากเลยนะตอนที่นายโพล่มานะ” ธลพูด พ่อยิ้มเขินๆ

“อันที่จริงถ้านายไม่ทิ้งเทียนระเบิดน้ำไว้ให้เรา เราก็คงหานายไม่เจอหรอก” พ่อตอบ ธลยิ้ม

“เราแค่อยากให้นายเก็บไว้” ธลตอบ พ่อยิ้ม

“ตอนนี้เราได้นายกลับมาแล้วนี่ มันก็ไม่จำเป็นอีกแล้วใช่ไหมละ” พ่อพูด ธลยิ้มแก้มแดงให้พ่ออย่างเขินๆ

“อะ อืม” ธลตอบ พ่อถึงกลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“อะไรกัน ทีอยู่ต่อหน้าจระเข้ทั้งฝูงไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย พออยู่กับเราไหงกลายเป็นแบบเดิมไปได้อีกละ” พ่อแซว ธลมองหน้าพ่อสายตาเหมือนมีความนัย

“อืม คือ กฤษ เออ” ธลพยายามจะพูดอะไรออกมา แววตาของเขาจ้องเขม็งมาที่พ่อ

“อ๊ะ อืม ท่านโหรเรียกตัวแล้ว เราต้องไปก่อนแล้วละ” ธลกล่าวพลางจะหันหลังกลับแต่พ่อจับไหล่ของธลไว้

“แล้ว เราจะได้เจอกันอีกไหม” พ่อถาม ธลพยักหน้าพลางยิ้มให้

“แน่นอน เราจะต้องได้เจอกันอีก” ธลตอบ พ่อพยักหน้ารับ

“แล้วเราจะรอนะ” พ่อตอบ ธลจับมือของพ่อเอาไว้

“เราสัญญา เราจะได้เจอกันอีก” ธลกล่าวก่อนที่จะกระโดดลงน้ำหายไป พ่อมองดูธลที่ว่ายผ่านกระแสน้ำไปอย่างรวดเร็ว พ่อร้องกระโดดด้วยความดีใจ พ่อช่วยธลได้ เป็นครั้งแรกที่พ่อช่วยธลไว้ได้ พ่อแทบไม่อยากจะรอให้หลวงตารู้เรื่องนี้เลยจริงๆ

“หลวงตาต้องตกใจแน่ๆ” พ่อคิดพลางอมยิ้มแก้มตุ่ย พ่อหันไปมองพระอาทิตย์กำลังค่อยๆลับขอบฟ้าไปอย่างช้าๆ พ่อยืนมองพระอาทิตย์อัสดงอย่างเป็นสุข

“ตายหว่า ข้าวเย็น” พ่ออุทานก่อนจะรีบวิ่งกลับไปที่บ้าน...


ชายหนุ่มดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะค่อยๆวางแก้วลงช้าๆ

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ” หญิงสาวพูดพลางมองหน้าลูกสาว

“หนูคิดแล้วเชียวว่าพี่ธลต้องไม่ใช่จอระเข้ธรรมดา” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มก็ยิ้ม

“บางครั้งชีวิตก็แบบนี้แหละ มักมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นได้เสมอนั่นแหละ มันเป็นการบอกว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ” ชายหนุ่มพูด พลางลุกขึ้น

“เอาละ ใครจะไปช่วยพ่อล้างจานบ้าง” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวกับเด็กสาวมองหน้ากันเป็นตาเดียว

“ทำไมวันนี้เกิดอยากล้างจานละคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มยิ้ม

“ก็เพราะบนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนนะสิ” ชายหนุ่มตอบพลางเดินยกเอาจานข้าวของตนไปไว้ในห้องครัว ปล่อยให้ลูกสาวกับภรรยานั่งงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มเดินกำจานในมือไว้แน่น

“ใช่ ทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน มีพบก็ต้องมีจาก” ชายหนุ่มคิดพลางกลั้นน้ำตาที่มันจะค่อยๆไหลรินลงมาจากสองข้างตา


หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-01-2007 20:31:42
ทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน มีพบก็ต้องมีจาก

 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 04-01-2007 00:47:18
สนุกมากเลย....รอต่อน่ะ ....ชลาธล..
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 05-01-2007 13:57:54
น่าจะเอาไปทำเป็นละครจักรๆวงศ์ๆช่อง 7 เนอะ เรทติ้งกระชูดน่าดู


ไหงบรรทัดสุดท้ายดูเศร้าๆยังงั้นน๊อ . . .     :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 05-01-2007 19:49:37
การจากลาทำให้ความคิดถึงในมีคุณค่า
*********************************************
บทที่ 11

ชายหนุ่มนั่งอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ของเขาอย่างเบื่อหน่าย เขาเหลือบมองไปที่หน้าต่าง แสงแดดส่องสว่างไปทั่วแต่เขากลับรู้สึกหดหู่แปลกๆ ในหัวของเขามันมีแต่เรื่องของชลาธล ความทรงจำของเขายังเด่นชัดแม้ว่าเวลามันจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ชายหนุ่มมองเหม่ออกไปนอกหน้าต่างในหัวของเขาก็มีแต่ภาพอดีต...


“วันนี้เขาก็ไม่กลับมาหรอครับ” กฤษณาถามหลวงตายุธที่ยืนทำวัตรอยู่หน้ากุฏิ หลวงตาส่ายหัวไปมา กฤษณาเบ้ปากอย่างเซ็งๆ

“ข้ารู้ว่าเอ็งก็คิดถึงเขา แต่เอ็งก็ต้องเข้าใจสิว่ามันเป็นถึงท้าวคนใหม่ มันก็มีอะไรต้องทำเยอะแยะ เอาน่าเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว” หลวงตายุธปลอบ กฤษณาก็ได้แต่พยักหน้ารับไปตามเรื่อง กฤษณาได้เล่าให้หลวงตาฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หลวงตายุธตอนแรกถึงกับแทบหงายหลังตึงเมื่อได้รู้ความจริง

“นี่เอ็งพูดจริงหรอ ไอ้ธลมันเป็นลูกของชาละวันจริงหรอ” หลวงตายุธพูดอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก

“ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันหลวงตา แต่ผมได้ยินกับหูเองเลยนะครับ” กฤษณายืนยัน หลวงตาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เอาเถอะไอ้ธลมันไม่เป็นอะไรข้าก็โล่งใจละ แต่นี่เอ็งบ้ามากนะที่เอาเทียนระเบิดน้ำลงไปลุยตัวคนเดียวเนี่ย ถ้าเกิดเรื่องมันไม่โชคดีอย่างนี้แล้วเอ็งจะทำยังไงฮะ” หลวงตายุธดุ ธลก้มหน้าลงเล็กน้อย

“แต่ถ้าผมไม่ไปทำอะไรเสียเลย ผมก็ผิดสัญญาที่ผมให้ธลไว้เหมือนกันแหละหลวงตา” กฤษณาแก้ตัว หลวงตายุธถอนหายใจยาว

“เอาเถอะ เอ็งไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่อย่าทำแบบนี้อีกรู้ไหม” หลวงตากำชับ กฤษณาพยักหน้ารับ

“แล้ววันนี้เอ็งจะอยู่รอมันอีกไหม” หลวงตายุธถาม กฤษณาพยักหน้ารับ อันที่จริงกฤษณาไม่ได้เจอชลาธลมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว และอีกไม่กี่วันโรงเรียนก็จะเปิดแล้วกฤษณาแอบน้อยใจชลาธลเล็กน้อยที่เหมือนกับไม่ค่อยจะใส่ใจเขาอย่างที่เคยเป็น กฤษณาเดินกลับบ้านอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่คิดอยากจะทำอะไรเลย ไม่ว่าจะว่ายน้ำหรือทำอย่างอื่น สำหรับเขาแล้วทุกอย่างล้วนดูน่าเบื่อไปหมดตั้งแต่ชลาธลนั้นได้เป็นท้าวคนใหม่

“ไหนว่าจะเจอกันอีกไง” กฤษณาบ่นพึมพำกับตัวเอง อย่าเบื่อๆ เขาก้มหน้าก้มตาเดินโดยไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งเขาชนเข้ากับร่างนึง

“โอ๊ย” เสียงแหลมเล็กดังขึ้น กฤษณาเซเล็กน้อย แต่พอเขาเห็นร่างตรงหน้ากำลังล้มลงเขาก็รีบคว้ามือไปจับเอาไว้ทันที

“คะ ขอโทษคะ” เสียงนั่นตอบกลับ กฤษณามองดูร่างของเขาตรงหน้าอย่างทึ่งๆ ผิวขาวเนียนกับใบหน้าที่หมดจด ผมที่ถูกรวบเป็นหางม้าไว้อย่างเรียบร้อย ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วอายุคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับกฤษณาเป็นแน่ หญิงสาวมองกฤษณาตอบกลับมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนราวจะสะกดให้กฤษณานั้นไม่อาจจ้องมองไปทางอื่นได้เลย

“อะ เออ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงหวานๆส่งเข้ามาในหูทำให้กฤษณาพอจะรู้สึกตัวได้บ้าง

“อะ เออ มะ ไม่เป็นไรครับ” กฤษณาตอบ

“ถ้างั้นช่วยปล่อยมือหน่อยจะได้ไหมคะ” เสียงนั่นพูดกลับมา กฤษณามองดูที่มือของตนที่กำข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ เขาเห็นดังนั้นก็สะดุ้งโหยงรีบปล่อยมือออกไปทันที

“ขะ ขอโทษนะครับ” กฤษณาพูดแก้มแดงแจ๋

“ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกันนะคะที่เดินไม่ระวัง” เธอตอบ กฤษณาส่ายหัว

“พะ ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกันครับ” กฤษณาพูด เธอส่งยิ้มให้

“งั้นเราหายกันแล้วนะ” เธอตอบ กฤษณาพยักหน้ารับ

“ครับ” กฤษณาตอบ

“อืม เธอไม่ใช่คนเหนือหรอ ฉันไม่เห็นเธอพูดภาษาเหนือเหมือนคนอื่นๆเขาเลย” หญิงสาวถาม

“อะ เออ คือ แม่ผมเป็นคนกรุงเทพฯ นะครับแต่มาคลอดผมที่นี่ ผมเลยได้สำเนียงคนกรุงเทพฯมาด้วยอะครับ” กฤษณาตอย หญิงสาวหัวเราะคิกคัก

“อ๋อ คะดีจัง ตอนมาที่นี่พูดคุยลำบากมากเลย ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลยละคะ” เธอกล่าว กฤษณายิ้มตอบ

“ไม่ชอบภาษาเหนือหรือครับ” กฤษณาถาม หญิงสาวส่ายหัว

“ชอบคะ คุณย่าฉันก็เป็นคนเหนือ แต่ท่านอยู่กรุงเทพฯมานานเลยลืมหมดแล้ว แต่เวลาฉันได้ยินคนเหนือพูดฉันว่ามันฟังดูจริงใจดีนะคะ” เธอตอบ กฤษณายิ้ม

“หมู่เฮา จาวเหนือ ก่อจิ่งใจ๋จะอี้กู๊กนลอคับ” กฤษณากล่าวออกมาเป็นภาษาเหนือ หญิงสาวจึงอดหัวเราะไม่ได้

“น่ารักจัง สำเนียงคนเหนือเนี่ย” เธอตอบ กฤษณามองดูเธอพลางยิ้มให้

“อะ ขอโทษนะคะ ต้องไปแล้วละคะเดี๋ยวคุณพ่อจะเป็นห่วง โชคดีนะคะ” เธอตอบก่อนที่จะวิ่งหายไป กฤษณามองดูเธอตาค้างๆ ใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกขณะ แก้มของเขาร้อนผ่าวๆ กฤษณารู้สึกสับสนเล็กน้อยแต่เขาก็อดคิดกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าสาวน้อยคนนั้นน่ารักดีไม่หยอก กฤษณาเดินกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์ ในหัวของเขามีแต่ใบหน้าของสาวน้อยผู้น่ารักคนนั้นจนทำให้กฤษณานั้นลืมเรื่องของชลาธลไปได้ชั่วขณะนึง แต่กระนั้นก็ตามชลาธลก็ไม่กลับมาจนกระทั้งโรงเรียนของกฤษณานั้นเปิดเทอมเสียแล้ว

“เฮ้อ” กฤษณาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย จนแล้วจนรอดชลาธลก็ยังไม่กลับมา กฤษณามาถึงโรงเรียนอย่างเซ็งๆ เขานั้นไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะเริ่มเรียนด้วยซ้ำ กฤษณามองห้องเรียนอย่างเบื่อหน่ายราวกับว่าเรี่ยวแรงของเขาทั้งหลายมันหดหายไปไหนหมดก็ไม่ทราบ ขณะที่กฤษณามองอย่างเหม่อๆนั่นเองสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่หญิงสาวคนนึงที่เดินเข้ามาในห้อง กฤษณาอ้าปากค้าง เมื่อหญิงสาวคนนั้นหันมาเจอกฤษณาเธอก็มีอาการไม่ต่างกันนัก

“เธอ” หญิงสาวร้อง

“คุณ” กฤษณาร้อง หญิงสาวมองมาที่กฤษณาพลางเดินเข้ามาใกล้แล้วตัดสินใจนั่งลงข้างๆ

“นี่เธอก็เรียนที่นี่หรอ” หญิงสาวถาม กฤษณาพยักหน้า

“ครับ ผมเรียนที่นี่มาตั้งนานแล้ว” กฤษณาตอบ หญิงสาวยิ้มให้อย่างมีไมตรีมิตร

“ดีจัง แหมตอนแรกฉันก็คิดว่าต้องนั่งเป็นใบ้เพราะไม่มีเพื่อนคุยด้วยเสียแล้ว” หญิงสาวตอบ กฤษณายิ้มให้

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่มีใครรังเกียจคุณหรอก รับประกันได้เลย” กฤษณาพูด หญิงสาวก็พยักหน้า

“คะ อย่างน้อยเธอก็ไม่รังเกียจฉันใช่ไหม” หญิงสาวพูดพลางมองหน้า กฤษณาตาตื่นๆเล็กน้อย

“อะครับ ไม่แน่นอนครับ” กฤษณาตอบด้วยใจที่เต้นตึกตั๊ก

“ว่าแต่เธอชื่ออะไรหรอ” หญิงสาวถามอีก

“กฤษณา แล้วคุณละ” กฤษณาถามบ้าง

“เรียกฉัน จิ๋ว ก็ได้จ๊ะ” จิ๋วกล่าว กฤษณาก็พยักหน้ารับ

“ครับ จิ๋ว พึ่งย้ายมาหรือครับ” กฤษณาถาม จิ๋วพยักหน้า

“คะ ย้ายมาเมื่อวาน เมื่อวานก็กำลังเดินดูของอยู่เลย ก็เลยเจอกฤษเข้า บังเอิญจังเลยเนอะ แบบนี้เขาเรียกบุพเพสันนิวาสหรือเปล่านะ” จิ๋วพูด กฤษณายิ้มรับ

“ไม่แน่หรอกครับเรื่องแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้ม

“คะ อืม ว่าแต่ว่าฉันพึ่งมาใหม่ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ อาจต้องรบกวนกฤษแล้วละ” จิ๋วกล่าว กฤษณายิ้มรับ

“ด้วยความยินดีเสมอครับ เอางี้เพื่อต้อนรับจิ๋ว ผมจะเลี้ยงลูกชิ้นปิ้งแล้วกัน” กฤษณาเสนอ

“ไม่ต้องหรอกคะ เกรงใจ” จิ๋วพูด กฤษณามองหน้า

“สำหรับผมแล้ว คนเกรงใจคือคนไม่จริงใจนะ ผมออกปากเองแล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอก” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้มแก้มแดงๆ

“คะ ขอบคุณ” จิ๋วพูด จากการแนะนำตัวในห้องทำให้กฤษณารู้ว่าจิ๋วนั้นย้ายมาเพราะคุณอาการป่วยของคุณพ่อของเธอ เนื่องจากคุณพ่อของเธอมีปัญหาเกี่ยวกับปอด ท่านจึงย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อบำบัดรักษา เธอจึงต้องย้ายตามมาด้วย

“แบบนี้จิ๋วคงเหงาแย่เลยสิ อยู่ดีๆก็โดนย้ายออกมาแบบนี้” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้มรับ

“นิดหน่อยนะ แต่หมอบอกว่าถ้ายังขืนอยู่ในกรุงเทพฯอาการอาจจะทรุดลงได้ ก็เลยจำใจต้องย้ายอะนะ แต่ก็ดี จิ๋วชอบที่นี่นะ จิ๋วว่ามันร่มรื่นดี” จิ๋วพูดพลางกัดลูกชิ้นปิ้งเข้าปาก กฤษณามองหน้าจิ๋วพลางยิ้มให้

“อืม วันเสาร์นี้ว่างไหมละครับ เดี๋ยวผมพาเที่ยวรอบๆเมืองเอง” กฤษณาเสนอ จิ๋วตาโต

“จริงหรอ ดีจังเลย ตอนแรกก็อยากจะเที่ยวให้รอบแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี แหมรบกวนกฤษแย่เลย” จิ๋วกล่าวอย่างเกรงใจ กฤษณาขมวดคิ้ว

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ ผมเสนอเองเพราะงั้นไม่เป็นปัญหาหรอก” กฤษณาตอบ จิ๋วยิ้ม

“ขอบคุณนะ” จิ๋วพูดแกมแดงๆ

“บ่อเป่นหยัง” กฤษณาตอบเป็นภาษาเหนือทำเอาจิ๋วนั้นหัวเราะออกมาจนได้ พอตกเย็นกฤษณาก็ยังเสนอตัวไปส่งจิ๋วให้ถึงบ้านอีกด้วย

“ไม่ต้องหรอกคะ” จิ๋วปฏิเสธ กฤษณายิ้ม

“ทางผ่านของผมพอดีนะ อีกอย่างจิ๋วก็ยังไม่คุ้นทางด้วย ยังไงผมก็ต้องแวะไปทางนั้นอยู่แล้วละ อ๋อ จิ๋วอยากไปดูวัดท่าหลวงไหม เป็นวัดที่ดังมากเลยนะ” กฤษณาเสนอ จิ๋วขมวดคิ้ว

“อืม แต่ว่าถ้าไม่รีบกลับบ้านพ่อจิ๋วจะเป็นห่วงนะ” จิ๋วพูด กฤษณายิ้ม

“ไม่ต้องห่วงครับ บ้านของคุณจิ๋วอยู่แถวๆนั้นพอดี เราแค่ดูข้างนอกก่อนก็ได้ ถือเป็นของเรียกน้ำย่อยก่อนของจริงวันเสาร์นี้แล้วกัน” กฤษณาเสนอ จิ๋วได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก กฤษณาพาจิ๋วขึ้นรถเพื่อไปลงที่วัดท่าหลวง จิ๋วสังเกตมองดูกฤษณานั้นมีสีหน้าที่ไม่สบายใจเสียเท่าไหร่นัก อันที่จริงเธอเองก็พอจะสังเกตได้บ้างว่ากฤษณานั้นไม่มีเพื่อนคนอื่นเลย

“กฤษไม่มีเพื่อนเลยหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาถอนหายใจเบาๆ

“เคยมี แต่เขาตอนนี้เขายุ่งๆ” กฤษณาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ดูเหมือนเขากับกฤษจะสนิทกันมากเลยนะ” จิ๋วทัก กฤษณามองหน้าจิ๋ว

“ทำไมจิ๋วคิดงั้น” กฤษณาถาม จิ๋วหัวเราะคิกคัก

“จิ๋วก็เคยมีเพื่อนที่สนิทมาก พอต้องจากกันจิ๋วเองก็รู้สึกเหงาๆแบบนี้เหมือนกัน มันก็ไม่เชิงว่าจะไม่เข้าใจ แต่คนเราก็มีหน้าที่แตกต่างกัน จิ๋วเองก็ต้องตามมาเพราะพ่อ เพื่อนจิ๋วเองครอบครัวเขาก็อยู่ที่นั่นจะให้ตามมาคงไม่ได้ เราควรจะยอมรับความจริงให้ได้น่าจะดีกว่านะ” จิ๋วพูด กฤษณามองหน้า

“อืม ผมก็พอจะเข้าใจหรอก แต่บางทีมันก็เหงานะ จากเดิมที่เคยอยู่ด้วยกันตลอด อยู่ดีๆต้องมาห่างแบบนี้ มันใจหายนะ” กฤษณาพูด จิ๋วบีบต้นแขนกฤษณาเบาๆ

“ไม่ต้องห่วงคะ เดี๋ยวก็ชินไปเอง เรามาพยายามด้วยกันดีไหม” จิ๋วเสนอ กฤษมองดูจิ๋วที่ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร กฤษณาเองได้เห็นรอยยิ้มอันจริงใจนั่นเขาก็อดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงที่วัด กฤษณาเดินเข้าไปถามหลวงตาในทันที

“ธลกลับมาหรือยังครับหลวงตา” กฤษณาพูดหลังจากยกมือไหว้ หลวงตายุธส่ายหัวเหมือนทุกครั้ง

“เอาเถอะ เขาต้องกลับมาสักวันนั่นแหละ ว่าแต่สาวน้อยคนนี้ใครหรือ” หลวงตายุธถาม จิ๋วยกมือไหว้พลางถอนสายบัวอย่างเรียบร้อย

“นี่จิ๋วครับหลวงตา เขาพึ่งย้ายมา จิ๋วนี่หลวงตายุธนะ ท่านเป็นหัวหน้าสงฆ์ประจำวัดนี้แหละ” กฤษณากล่าวแนะนำ หลวงตายุธรับไหว้ตามมารยาท

“หน้าตาสดใสดีนี่ ย้ายมาเมื่อไหร่หรือ” หลวงตายุธถาม

“เมื่อวานคะ” จิ๋วกล่าว หลวงตาพยักหน้า

“ดีๆ มีปัญหาอะไรก็มาถามอาตมาได้เลยนะ ไม่ก็ถามไอ้กฤษมันเอาก็ได้ แล้วนี่บ้านอยู่ไหนละเนี่ย” หลวงตายุธถามอีก

“อยู่ไม่ไกลหรอกหลวงตา เดี๋ยวผมไปส่ง” กฤษณากล่าว หลวงตายุธยิ้มให้

“ดีสุภาพบุรุษดี ไปเถอะเดี๋ยวมืดคำพ่อแม่จะเป็นห่วง” หลวงตายุธกล่าว ทั้งสองจึงยกมือไหว้กล่าวลาก่อนที่จะเดินออกจากวัดไป

“หลวงตาท่านเป็นคนดีนะ มีปัญหาอะไรถามได้ทุกเรื่องแหละ ยกเว้นเรื่องเงินนะ” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้มพลางหัวเราะเบาๆ

“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย กฤษเองก็เป็นคนดีเหมือนกันแหละ” จิ๋วชม ทำเอากฤษนั้นเขินแก้มแดง

“ผมเนี่ยนะ ไม่หรอกผมออกจะบ้าๆ” กฤษณาพูดอย่างเขินๆ

“ไม่รักก็บ้าอย่างนั้นหรือเปล่า” จิ๋วถามพลางเหล่ตา กฤษเบ้หน้าทันที

“โอ๊ย ใครจะมาเอาคนอย่างผมกันเล่า” กฤษณาพูด

“อืม กฤษ” เสียงที่กฤษณาคุ้นหูดังขึ้น เขาหันหลังกลับไปดู ชลาธลยืนอยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก กฤษณาเดินพรวดๆเข้าไปหาทันที

“นี่หายหัวไปไหนมา รู้ไหมคนเขาเป็นห่วงจะบ้าตายอยู่แล้ว” กฤษณาพูดจาโหวกเหวก ชลาธลได้แต่ยืนก้มหน้า

“กะ ก็เรามีธุระจริงๆนี่นา” ชลาธลพูดสีหน้าเศร้าๆ กฤษณาเมื่อได้เห็นแววตาเศร้าๆของชลาธลยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัด

“อะ เออ ช่างมันเถอะ อ๋อ นี่เขาพึ่งย้ายมานะ ชื่อจิ๋ว” กฤษณาแนะน จิ๋วยิ้มให้

“ฉันชื่อจิ๋วนะ ฉันเป็นแฟนของกฤษเขาเองแหละ” จิ๋วพูด ชลาธลตาลุกวาวไม่ต่างกับกฤษ

“เฮ้ย นี่เธอพูดอะไรนะ แค่รู้จักกันแค่ สิบชั่วโมงเป็นแฟนกันแล้วมันจะเร็วไปหน่อยมั้ง” กฤษณาร้องโวยวาย จนฝ่ายสาวแทบอุดหูไว้ไม่ทัน

“แหม ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง ตะโกนเสียงดังหมดเลย เค้าตกใจรู้หรือเปล่า” จิ๋วพูด กฤษเกาหัวไปมาพลางมองหน้าชลาธลที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง

“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก แล้วนี่จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนละ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้ากฤษณาเศร้าๆ

“กะ ก็ อะ อืม ไม่นานมั้ง” ชลาธลตอบเสียงสั่นๆ กฤษณามองหน้าชลาธล

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าหยั่งกับเห็นผีแหนะ” กฤษณาทัก ชลาธลส่ายหัวพลางตั้งสติให้กับมาที่เดิม

“ปะ เปล่า อะ อืม ถ้าไม่มีงานก็คงอยู่ได้นานนะ” ชลาธลตอบด้วยความรู้สึกเจ็บในอกลึกๆ

“อืม งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้แล้วกันนะ เดี๋ยวเราต้องไปส่งจิ๋วเขาก่อน” กฤษณากล่าว

“อะ อืม” ชลาธลอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่มีคำใดๆออกมา กฤษณาถอนหายใจยาว

“นายนี่นะ มีอะไรก็พูดมาสิ มัวแต่อ้ำอึ้งเขาจะรู้ไหมเนี่ย” กฤษณากำชับ ชลาธลมองหน้ากฤษณา พลางหันไปมองจิ๋ว เขากำมือแน่น

“คะ คือ เออ เออ ระ เรา อืม ขอไปด้วยคนสิ” ชลาธลพูดอย่างตะกุกตะกัก ชลาธลมองหน้ากฤษณาด้วยใจที่เต้นแรง กฤษณายิ้มให้

“เอ๋า มาสิ เรามีเรื่องจะคุยกับนายเยอะเลย” กฤษณาพูด ชลาธลจึงยิ้มออกมาได้บ้าง แล้วทั้งสามก็เดินไปยังบ้านของจิ๋วด้วยกัน

“แล้วนี่ธุระนายน้อยลงแล้วหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลพยักหน้า

“อืม ก็พอไหวแล้วละ” ชลาธลตอบ

“นี่ๆ ธุระอะไรหรอ” จิ๋วถามบ้าง ชลาธลเริ่มอึดอัดเล็กน้อย เพราะถ้าบอกว่าไปคุยกับจระเข้จิ๋วคงต้องเป็นลมตายไปแน่ๆ

“อ๋อ ธลเขาเป็นเด็กวัดนะ คอยส่งข่าวให้หลวงตา กับ คนอื่นๆนะ เรื่องบางอย่างสำคัญเลยให้คนที่ไว้ใจได้ไปบอกจะดีกว่า” กฤษณาแก้ต่างให้ชลาธล จิ๋วขมวดคิ้ว

“อืม หรอ แล้วทำไมไม่ให้ผู้ใหญ่ไปละ” จิ๋วถามอีก ชลาธลและกฤษณาต่างเหงื่อหยดด้วยกันทั้งคู่

“ก็ดูไอ้ธลมันดิ ตัวใหญ่ขนาดนี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” กฤษณาพูดปัดๆ ชลาธลได้แต่ยิ้มแห้งๆ จิ๋วก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“เธอสองคนดูสนิทกันดีนะ รู้จักกันมานานแล้วหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาทำท่าคิด

“อืม ก็หลายเดือนอยู่นะ ตั้งแต่เดือนมิถุนายแล้วละ” กฤษณาตอบ จิ๋วก็ยกนิ้วขึ้นมานับ

“อืม หก เดือนแล้วหรอ ก็นับว่าดีไม่เลว” จิ๋วกล่าว ทั้งกฤษณาและชลาธลได้แต่ยิ้มรับ

“นั่งไงบ้านฉัน เออ ไม่ไกลจริงๆด้วย” จิ๋วกล่าว ชลาธลและกฤษณาต่างก็มองดูบ้านหลังงามที่อยู่ไม่ไกลนัก

“โห บ้านใหญ่จัง” กฤษณาอุทาน จิ๋วยิ้ม

“เป็นไง เข้ามากินน้ำกินขนมกันก่อนไหม บ้านฉันมีขนมอร่อยๆเยอะเลย” จิ๋วพูด กฤษณาตาโตทันที

“จริงหรอ ไปได้จริงอะ” กฤษณาร้อง จิ๋วพยักหน้ารับ

“แล้ว ธล ละกินด้วยกันก็ได้นะ” จิ๋วชวน ชลาธลอ้ำๆอึ้งๆ

“เฮ้ย ไม่ต้องห่วงน่าไอ้นี่ก็ชอบกินขนม ใช่ไหมธล” กฤษณาพูดพลางตบหลังชลาธลเบาๆ ชลาธลกำมือแน่นพลางหันไปมองหน้ากฤษณา

“อืม คือ ระ เราไม่ไปได้ไหม” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้าชลาธลอย่างงงๆ

“ทำไมละ มีอะไรงั้นหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลได้แต่หลบหน้า กฤษณามองชลาธลด้วยความสงสัย อันที่จริงชลาธลก็ทำตัวแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว มันยิ่งทำให้กฤษณานั้นอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ กฤษณาถอนหายใจพลางมองหน้าจิ๋ว

“อืม เอาไว้วันหลังแล้วกัน ธลคงยุ่งๆอยู่นะ” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้มรับพลางพยักหน้า

“จ้า ตามสบาย แล้วยังไงเจอกันพรุ่งนี้นะ” จิ๋วกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ แล้วจิ๋วก็เดินกลับเข้าบ้านไป กฤษณาหันมามองชลาธล

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า นายดูแปลกๆไปนะ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้าเขา

“อืม นั่นเพื่อนใหม่นายหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาพยักหน้า

“ใช่ทำไมหรอ” กฤษณาตอบอย่างไม่คิดอะไร

“ดูสนิทกันดีนะ” ชลาธลพูดราวประชด กฤษณาเขม่นตา

“ก็รู้จักกันวันนี้เอง น่ารักดีไหม” กฤษณาตอบ ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“ก็น่ารักดี” ชลาธลตอบพลางหลบหน้ากฤษณาไป

“นายเป็นอะไรของนายวันนี้ นายดูแปลกจริงๆนะ” กฤษณาถาม ชลาธลก็ยังไม่หันมา

“นายสนใจด้วยหรอ” ชลาธลตอบ กฤษณาเริ่มจะโกรธๆขึ้นมาบ้างแล้ว

“เออ ถ้าไม่สนจะถามหรอ” กฤษณาขึ้นเสียง ชลาธลก็เงียบลงไป กฤษณาพอเห็นชลาธลทำสีหน้าเศร้าก็เริ่มได้สติ เขาเกาหัวไปมาอย่างสับสน

“อะ เออ ขอโทษที พูดดังไปหน่อย แต่นายไม่เป็นอะไรจริงๆหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“อะ อืมม คือ เออ...” ชลาธลพยายามจะเอ่ยปาก แต่มันเหมือนมีอะไรมาจุกคอของเขาเอาไว้ ใจของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

“เออ เฮ้ย เดี๋ยวต้องรีบกลับบ้านแล้วละ ไม่งั้นพ่อจะด่าอะ” กฤษณาตอบ ชลาธลตกใจเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ

“งะ งั้นโชคดีแล้วกัน” ชลาธลพูด แต่กฤษณากลับจับมือของชลาธลเอาไว้

“จะไปไหน นายต้องมานอนบ้านเราก่อน บอกแล้วไงว่ามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ” กฤษณากล่าวพลางดึงมือของชลาธลตามเขามาด้วย ส่วนชลาธลก็ได้แต่ทำหน้างงเดินตามไปอย่างไม่มีทางเลือก ทั้งสองมาถึงบ้านของกฤษณาในเวลาไม่นานนักพ่อแม่ของกฤษณาเมื่อเห็นชลาธลต่างก็ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

“หายหน้าหายตาไปเลยนะ รู้ไหมว่าไอ้กฤษมันคิดถึงเธอขนาดไม่หลับไม่นอนเลยนะ” พ่อของกฤษณากล่าว

“พ่ออะ” กฤษณากล่าวหน้าแดงๆ ชลาธลเหลือบมองหน้ากฤษณาด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ หลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จกฤษณาและชลาธลก็ขึ้นไปพักผ่อนกันบนห้อง

“ไหนว่ามาสิ หายไปไหนตั้งหลายวัน” กฤษณาเริ่มบทสนทนาทันที ชลาธลจึงเริ่มเล่าภาระหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบให้กฤษณาฟัง

“อืม ตอนนี้เราก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้จระเข้ป่าตัวอื่นๆเข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมกันอะนะ ตัวอื่นๆก็ไม่มีปัญหาหรอก ยกเว้นก็แต่โขนรามนั่นแหละที่ไม่ยอมท่าเดียว แถมตอนนี้หนีไปกบดานอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” ชลาธลกล่าว กฤษณาพยักหน้าหงึกๆ

“อืม โขนรามนี่ที่ทำร้ายนายใช่ป่าว” กฤษณาถาม ชลาธลก็พยักหน้า

“อืม ใช่ ตอนนี้ต้องหาตัวเขาให้เจอ แต่ก็แบ่งหน้าทีกันไปดูแล้ว คาดว่าน่าจะได้ข่าวเร็วๆนี้แหละ” ชลาธลกล่าว กฤษณาพยักหน้า

“แล้วนี่ นายจะอยู่อีกนานแค่ไหนหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วละ” ชลาธลตอบ กฤษณาก็ยิ้มออกมาได้

“ดีมาก เล่นหายไปแบบนี้คนเขาตกใจหมดรู้ป่าว” กฤษณากล่าวบ่นๆ ชลาธลยิ้มแห้งๆตอบกลับมา กฤษณาลุกขึ้นพลางถอดเสื้อออก

“เฮ้อ ไปอาบน้ำดีกว่า” กฤษณาพูด ชลาธลมองดูกฤษณาตาไม่กระพริบ ผิวกายออกคล้ำเล็กน้อย แต่หน้าท้องแบนเรียบทำเอาใจของชลาธลเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ

“เอ้า นายนั่งทำอะไรนะไม่ไปอาบด้วยกันหรอ” กฤษณาชวน ชลาธลถึงกับหน้าแดงก่ำเป็นลูกมะเดื่อแต่ก็ขยับหัวขึ้นลงเป็นเชิงตอบรับ ทั้งสองเดินลงไปยังห้องอาบน้ำข้างล่าง กฤษณาเหลือบมองดูร่างผิวสีน้ำผึ้งเข้มของชลาธล ผิวกายนี่เนียนเรียบไม่มีสะดุด ไหล่กว้าง อกเป็นแผง หน้าท้องเป็นลอนสวยถึงกับทำให้กฤษณานั้นมือสั่นเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจนักว่ามันคืออะไรแต่เขาตื่นเต้นแบบนี้เสมอเมื่อได้เห็นเรือนร่างอันกำยำของชลาธล

“หันหลังสิ เดี๋ยวเราถูหลังให้” กฤษณากล่าว ชลาธลพยักหน้าพลางหันหลังให้ กฤษณาค่อยเอามือลูบไปตามแผ่นหลังของชลาธลอย่างช้าๆ เขาลูบไล่ลงไปยังแผ่นหลังกว้างพลางย้อนกลับขึ้นมาลูบที่ไหล่เบาๆ กฤษณาลูบหลังของชลาธลมือสั่นๆ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เขาอยากจะกอดร่างของชลาธลเอาไว้ แต่เขาก็ไม่กล้า

“นายหนาวหรอ” ชลาธลหันมาถาม กฤษณาได้ยินเสียงชลาธลก็ได้สติขึ้นมา เขาส่ายหัวไปมา

“ปะ เปล่านี่ อะ เออ เสร็จแล้ว” กฤษณาพูดพลางถอยตัวออกห่าง ชลาธลค่อยๆหันหน้ากลับมาแต่ขาของเขากลับลื่นจะล้มลง กฤษณารีบคว้าร่างของชลาธลเอาไว้ทันที ชลาธลเซถลาซบลงที่อกของกฤษณาในขณะเดียวกัน กฤษณาก็โอบร่างของชลาธลเอาไว้ ชลาธลในเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ผิวกายอันอบอุ่นของกฤษณาส่งผ่านมายังร่างของเขา ชลาธลไม่อยากจะปล่อยมือของเขาเลย กฤษณาโอบร่างของชลาธลเอาไว้พลางก้มมองดู แทนที่เขาจะรู้สึกเขินแต่กฤษณากลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ชลาธลค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ หน้าของเขาค่อยๆยื่นเข้าหากฤษณา ส่วนกฤษณาเองเหมือนมีอะไรมาควบคุมจิตใจของเขาไปชั่วขณะ เขาค่อยๆก้มหน้าลงไปโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจอุ่นของทั้งสองกระทบบนใบหน้า ชลาธลใจเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมาจากอก

“โคล้ง” เสียงขันน้ำตกลงพื้นเรียกสติของทั้งสองให้กลับคืนมา กฤษณาพลักร่างของชลาธลออกไปอย่างช้าๆพลางหลบหน้าของเขาไป ชลาธลได้แต่ตีสีหน้าเศร้า เขารู้สึกเจ็บลึกๆอย่างบอกไม่ถูก

“ระ รีบขึ้นกันเถอะเดี๋ยวจะเป็นหวัด” กฤษณาพูดพลางราดน้ำใส่ตัวก่อนที่จะเดินกลับขึ้นไปที่ห้อง ชลาธลได้แต่มองตามด้วยสายตาที่ปวดร้าว กฤษณากลับมาที่ห้องก็จัดแจงปูที่นอนของตนอย่างเรียบร้อย

“นายนอนเตียงนะ เดี๋ยวเรานอนพื้นเอง” กฤษณากล่าว ชลาธลมองหน้ากฤษณาพลางกำมือแน่น

“อะ เออ คือ นาย นะ นายนอนกับเราได้ไหม” ชลาธลพูดพลางหายใจหอบ กฤษณามองหน้าชลาธลสักพัก

“อืม ถ้านายไม่กลัวโดนถีบตกเตียงนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลถึงกับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยด้วยความดีใจ กฤษณาดับไฟก่อนที่ทั้งสองจะขึ้นไปนอนบนเตียง กฤษณานอนแหงนหน้ามองเพดานในความมืดมิด

“กฤษ นายโกรธเราหรือเปล่า ที่เราหายไปนานขนาดนี้นะ” ชลาธลถาม กฤษณาหันหัวมามองชลาธล

“ก็แหงสิ คนเขาเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้วรู้ป่าว” กฤษณาตอบ ชลาธลได้แต่ก้มหน้าจ๋อยๆ

“แต่ เราก็ดีใจมากเลยนะที่ได้เจอนายอีก” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้ากฤษณา เขามิอาจห้ามหัวใจตัวเองได้อีกต่อไป ชลาธลโผเข้ากอดร่างของกฤษณาในทันที

“เฮ้ยๆ อะไรเนี่ย” กฤษณาร้องอย่างตกใจ แต่ชลาธลกลับกอดร่างของเขาไว้แน่น

“กฤษ เรารักนายนะ” ชลาธลพูดพลางกอดร่างของกฤษณาไว้แน่น แม้ว่ากฤษณาจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับเขา แต่อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้โอบกอดร่างอันอบอุ่นนี้ไว้ก็เพียงพอแล้ว กฤษณานั้นอึ้งไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ชลาธลพูดออกมา เขานอนนิ่งอยู่สักพักก่อนที่จะค่อยๆเอามือโอบร่างของชลาธลตอบกลับไป

“กฤษ” ชลาธลเงยหน้ามอง กฤษณามองหน้าชลาธลด้วยรอยยิ้ม

“เราเอง ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคืออะไร แต่เรารู้สึกดีเสมอที่ได้อยู่ข้างนาย ตอนที่นายไม่อยู่มันเหมือนกับอะไรบางอย่างในตัวเรามันหายไปด้วยจริงๆ เราว่าเราเองก็ เออ ชอบนายเหมือนกัน” กฤษณาตอบ ชลาธลถึงกับน้ำตาซึม เขาซบลงที่อกของกฤษณาพลางสะอื้น

“ระ เรารักนายมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เรากลัว เรากลัวว่านายจะไม่คิดเหมือนเรา เรา กลัว” ชลาธลพูดทั้งน้ำตา กฤษณาจับหน้าของชลาธลขึ้น

“อย่าร้องไห้เลยนะธล มันทำให้เรารู้สึกแย่ลงไปอีก เราเจ็บทุกครั้งที่เห็นนายเศร้า ยิ่งนายร้องไห้มันเหมือนมีดพันเล่มทิ่มแทงใจของเราเลยนะ” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มด้วยความปิติ กฤษณาก้มหน้าลงประกบปากของเขาเข้ากับปากของชลาธล ชลาธลเผยปากรับจูบของกฤษณาอย่างเต็มใจ กฤษณาถอนปากออกมาพลางมองหน้าชลาธล

“เราดีใจนะที่นายกลับมา” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มรับพลางนอนซบลงที่อกของกฤษณาก่อนที่ทั้งสองจะหลับไปพร้อมกับไออุ่นแห่งรักตลอดราตรีกาล...


“เฮ้ย ไอ้กฤษ เหม่ออะไรวะ” เสียงของพนักงานคนนึงดังขึ้น ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย

“อะ เออ ไม่มีอะไรนี่” ชายหนุ่มตอบ พนักงานคนนั้นมองหน้าพลางขมวดคิ้ว

“เป็นอะไรของนาย จะบอกว่าพักเที่ยงแล้ว ไปทานข้าวกันดีกว่า” พนักงานคนนั้นกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“อืม เดี๋ยวตามไป” ชายหนุ่มตอบพลางหันกลับไปเก็บของ ในหัวก็มีแต่เรื่องของชลาธลกับความสัมพันธ์ที่เริ่มลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าเพื่อน

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-01-2007 22:04:47
การจากลาทำให้ความคิดถึงมีคุณค่า  :impress3:

เห็นด้วย  :impress3:  :impress3:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 05-01-2007 23:18:08
"การจากลาทำให้ความคิดถึงมีคุณค่า"  คำคมประจำวันนี้ :myeye:

อ่านตอนนี้แล้วเคลิ้มเลยอ่า โอ้มายก๊อด นั่งเพ้ออยู่คนเดียว ไม่อยากคิดถึงตอนข้างหน้าเลยจิงๆซิ อยากให้จบแค่นี้จัง :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 07-01-2007 23:54:43
ขำหมีอ่ะ เพ้อคนเดียวไม่ดีนะเด่วเขาหาว่าบ้า  :monkeylaugh2:
แต่ถ้าบ้ารักเรย์ก็ไม่เป็นราย เอิ้กๆ   :interest:
******************************************************
บทที่ 12

“อืม จบแล้วหรือคะ” เด็กสาวกล่าว ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับ

“จ๊ะ ก็มีแค่นี้แหละ” ชายหนุ่มพูดโดยที่แอบแฝงความเศร้าไว้ภายใน

“แล้วพี่ธลเขาไม่กลับมาหาคุณพ่ออีกเลยหรือคะ” เด็กสาวถาม ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาอย่างช้าๆ

“ตั้งแต่นั้นมาพ่อก็ไม่เคยเห็นธลเขาอีกเลย แต่เขาก็มีธุระของเขา พ่อก็มีธุระของพ่อนะ” ชายหนุ่มอธิบาย เด็กสาวตีหน้าเศร้า

“ว้า แบบนี้พี่ธลต้องเหงาแย่เลยถ้าไม่มีคุณพ่ออยู่ด้วย” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มถึงกับสะึอึกเล็กน้อย แต่เขาก็ยังสะกดอารมณ์เอาไว้ได้ ชายหนุ่มก้มลงพลางลูบหัวลูกสาวของตนเบาๆ

“ไม่ต้องห่วงเขาหรอกนะ ธลเขามีเพื่อนเขาอีกเยอะแยะ ยังไงเขาก็ไม่เหงามากหรอก” ชายหนุ่มตอบ เด็กสาวมองหน้าพ่อของตนอย่างสงสัย

“แล้วคุณพ่อละคะ คุณพ่อไม่เหงาหรือคะ” เด็กสาวถาม ชายหนุ่มยิ้ม

“ก็พ่อมีลูกสาวที่น่ารักอยู่นี่แล้วไง เอาละรีบไปอาบน้ำดีกว่าเดี๋ยวดึกกว่านี้แล้วจะเป็นหวัดนะ” ชายหนุ่มกล่าว

“งั้นแม่ขึ้นไปอาบด้วยดีกว่า” หญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่ห่างกล่าวพลางลุกขึ้นยืน สองสาวเดินขึ้นบันไดกันไปปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่ในห้วงของความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน...


หลังจากที่ชลาธลนั้นบอกรักกฤษณาแล้วชลาธลดูสดใสขึ้นมาก และไม่พูดตะกุกตะกักเหมือนแต่ก่อนสักเท่าไหร่นัก

“เราไปโรงเรียนกับนายด้วยได้ไหม” ชลาธลถาม กฤษณาตาลุกวาว

“เฮ้ย จะไปจริงดิ เราว่ามันไม่ดีมั้ง” กฤษณาตอบพลางแต่งตัว

“ก็เราอยากอยู่ข้างๆนายนี่นา” ชลาธลพูด กฤษณาถึงกับแก้มแดงด้วยความเขิน

“มะ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ แค่นายกลับมาก็ดีใจแล้ว อีกอย่างเราไม่อยากให้นายมีปัญหานะ” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“อืม ก็ถูกของนายนะ” ชลาธลพูด กฤษณายิ้มพลางเดิินเข้าไปหาชลาธลใกล้ๆ

“ไว้แล้วตอนเย็นเจอกันนะครับ” กฤษณาพูดพลางหอมแก้มชลาธลไปหนึ่งที ชลาธลถึงกับนั่งนิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหวไปไหน กฤษณารีบไปขึ้นรถเพื่อไปยังโรงเรียน เขานั่งพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขาเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองสักเท่าไหร่นัก แต่เขารู้สึกดีเสมอที่ชลาธลนั้นอยู่ใกล้ๆเขา อันที่จริงตอนที่ชลาธลนั้นหายไปกฤษณาเองก็ยังรู้สึกราวกับว่าอะไรบางอย่างมันขาดหายไปจริงๆ

“สงสัยเราคงต้องติดกับธลไปตลอดแล้วละมั้ง” กฤษณาคิดพลางยิ้มให้กับตัวเอง

“ยิ้มอะไรแต่เช้าเลย” เสียงแหลมหวานๆที่คุ้นหูดังขึ้น กฤษณาหันไปยิ้มรับทันที

“สะวัดดีต่อนจ๊าว” กฤษณาพูดเป็นภาษาเหนือ จิ๋วก็หัวเราะเบาๆ

“อุ๊ย มาเป็นภาษาเหนือเลย น่ารักจังพูดอีกทีได้ไหมเจ้า” จิ๋วถามกลับ กฤษณาพยักหน้าพลางค่อยๆออกเสียงช้าๆ
“จะหื้ออู้เมืองตลอดวันก็ตึงได้” กฤษณากล่าว จิ๋วยิ้ม

“แหมฉันก็ได้แค่นี้แหละเจ้า” จิ๋วพูด กฤษณายิ้ม

“อะนะ ว่าแล้ว” กฤษณาตอบ จิ๋วยิ้มรับอย่างเขินๆ

“แล้วธลเขาไม่ได้มาด้วยหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“เขาไม่มีเงินจะเรียนหนังสือหรอก แต่หลวงตาก็สอนให้อะนะ” กฤษณาอธิบาย จิ๋วพยักหน้ารับ

“น่าสงสารจังเลยเนอะ” จิ๋วพูด กฤษณาส่ายหัว

“อืม แต่เราว่าเขาเก่งมากเลยนะที่ต่อสู้ตัวคนเดียวมาได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นเราละสงสัยโดนจับไปขายแน่ๆเลย” กฤษณาพูด จิ๋วยิ้มให้

“ใช่ คนขายคงรวยเละเลยละ ยิ่งหน้าตาอย่างนี้นะค่าตัวสูงปรี๊ด” จิ๋วพูด กฤษณายิ้มพลางหัวเราะในลำคอ

“อะนะ แบบนี้แม่เราเอาไปขายแน่เลย คงรวยอยู่” กฤษณาพูดพลางหัวเราะให้กับตัวเอง

“ถ้าเธอขายนะฉันจะทุ่มทุนซื้อเลย” จิ๋วตอบ กฤษณามัวแต่หัวเราะจึงไม่ทันฟัง

“อะไรนะ เมื่อกี้” กฤษณาถาม จิ๋วยิ้ม

“ไม่บอก” จิ๋วพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“อะไรกัน จะบอกดีๆหรือจะให้บังคับ” กฤษณาขู่ จิ๋วเลิ่กตา

“นี่จะทำร้ายผู้หญิงหรอ” จิ๋วแย้ง กฤษณายักคิ้ว

“เดี๋ยวนี้ชายหญิงเขาทัดเทียมกันแล้ว” กฤษณาพูด แต่ยังไม่ทันที่จะทำอะไรจิ๋วก็รีบวิ่งฉิวลงจากรถไปทันที

“เฮ้ย” กฤษณาร้องพลางมองไปรอบตัว แล้วก็จริงดังเขาคาดไว้ เขามาถึงป้ายที่ต้องลงแล้ว กฤษณารีบวิ่งตามจิ๋วที่แอบยิ้มที่มุมปากอย่างมีความสุข พักกลางวันทั้งกฤษณาและจิ๋วต่างก็ไปรับประทานอาหารด้วยกัน

“เธอชอบกินข้าวซอยจังนะ” กฤษณาทักเมื่อเห็นจิ๋วถือชามข้าวซอยทั้งๆที่เมื่อวานเธอก็พึ่งจะรับประทานไปหยกๆ

“ก็มันอร่อยนี่นา” เธอตอบสั้นๆ กฤษณายิ้ม

“เราว่าเธออยู่ที่นี่สบายเลยละ ชอบเมืองเหนือขนาดนี้” กฤษณาพูด จิ๋วยิ้มรับ

“อืม เราก็ว่าเมืองนี้ก็น่าอยู่ดีออกนะ อาหารก็อร่อย ภาษาก็น่าฟัง คนพูดก็น่ารัก” จิ๋วตอบพลางมองหน้ากฤษณา

“อะนะ ชมตัวเองก็เป็นด้วย” กฤษณาตอบเพราะเข้าใจว่าจิ๋วนั้นกล่าวยอตัวเอง จิ๋วเก็บความรู้สึกของตนเอาไว้ลึกๆ

“แหงอยู่แล้วละ” จิ๋วพูดพลางเดินฉับๆไปหาที่นั่ง กฤษณาส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จก็เปลี่ยนบรรยากาศมาเดินย่อย

“เธอลงกรุงเทพฯบ่อยหรือเปล่า” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“เป็นบางทีนะ อย่างปิดเทอมก็อาจจะลงนะ แต่พักหลังๆนี่ไม่ค่อยได้ลงแล้วละ” กฤษณาตอบ จิ๋วมองหน้า

“ทำไมหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาอมยิ้มเล็กน้อย

“ก็ อยากอยู่ที่นี่นะ” กฤษณาพูดทั้งๆที่ใจของเขากลับคิดถึงแต่เรื่องของชลาธลแต่เพียงอย่างเดียว จิ๋วมองกฤษณาด้วยสายตาที่สงสัย

“แค่นั้นเองหรอ” จิ๋วถาม กฤษณามองหน้าจิ๋วด้วยสายแต่งุนงง

“กะ ก็แค่นั้นแหละ” กฤษณาตอบไปสั้นๆพลางรีบเดินเพื่อลดความเขินอาย เลิกเรียนกฤษณากับจิ๋วก็กลับบ้านด้วยกันเหมือนทุกครั้ง

“วันนี้เธอจะมาเที่ยวบ้านฉันไหม เมื่อวานก็เบี้ยวไปทีแล้วนะ” จิ๋วพูด กฤษณาเบ้ปาก

“อืม ต้องถามธลเขาดูก่อนนะว่าเขาว่าไง” กฤษณาพูด จิ๋วเหล่ตาให้

“แหม ตัวติดกันหยั่งกับปาท่องโก๋เลยนะ” จิ๋วแซว กฤษณายิ้ม

“ก็เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเลยนะสิ” กฤษณาตอบไปตามที่คิด จิ๋วมองหน้ากฤษณาอยู่พักนึงแต่แล้วเธอก็พยักหน้ารับ

“อืม จ๊ะ มากันเยอะๆดีออกสนุกดี” จิ๋วตอบ กฤษณาพยักหน้าตอบ ทั้งสองแวะไปที่วัดท่าหลวงพอกฤษณาเดินลงมาชลาธลก็วิ่งเข้ามาหาทันที

“กฤษ” ธลทัก แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็หดหายไปเมื่อพบว่าจิ๋วนั้นเดินตามมาด้วย

“ไงธล รอนานไหม” กฤษณาทัก ชลาธลส่งยิ้มให้กฤษณาพลางส่ายหัว

“อืม ไม่หรอก ก็ช่วยหลวงตาทำงานนะ” ชลาธลตอบพยายามไม่มองหน้าจิ๋วเลย

“เออ จิ๋วเขาชวนไปกินขนมนะ ไปกันไหม” กฤษณากล่าว ชลาธลเหลือบมองจิ๋วเล็กน้อย เธอยิ้มให้ชลาธลตอบกลับไป

“ต้องไปด้วยหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“ทำไมหรอ เรานึกว่านายชอบกินขนมเสียอีก” กฤษณาถาม ชลาธลเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน

“อะ เออ มันไม่ใช่ไม่ชอบหรอก” ชลาธลตอบพลางเหลือบมองจิ๋วด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

“อ๋อ ขอโทษทีนะ ฉันลืมไปว่าวันนี้ฉันมีแขกมาคงไม่ได้หรอก” จิ๋วพูดขึ้น ทั้งกฤษณาและชลาธลต่างแสดงสีหน้าตกใจ จิ๋วยกมือขึ้นประนมบนอก

“ขอโทษทีนะ ฉันกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวต้องไปช่วยพ่อเตรียมของด้วย” จิ๋วพูดพลางรีบวิ่งออกไป

“ดะ เดี๋ยวสิเราไปส่ง” กฤษณาพูด แต่จิ๋วกลับส่ายหัว

“ไม่ต้องหรอก เจอกันพรุ่งนี้นะ” จิ๋วพูดพลางวิ่งฉิวหายไป กฤษณาได้แต่ยกไหล่อย่างงุนงง

“นายต้องกลับกับเขาทุกวันเลยหรอ” ชลาูธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“ทำไมหรอ ก็ทางผ่านนี่” กฤษณาพูด ชลาธลถอนหายใจยาวพลางมองหน้ากฤษณาด้วยสายตาเหมือนมีคำถามในใจ

“อืม คือ เราไม่อยากให้นายอยู่ใกล้เธอนะ” ชลาธลพูดพลางหลบหน้ากฤษณาไป

“ทำไมละ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“ก็ เรา อืม เราไม่อยากเสียนายไปนี่นา” ชลาธลพูด กฤษณาส่ายหัวไปมา

“ทำไมนายคิดว่าเราจะจากนายไป ไหนบอกมาสิ” กฤษณาถาม ชลาธลอ้ำอึ้งเล็กน้อย

“อะ อืม ก็ เราเห็นนายสนิทกับเขาขนาดนั้น เราก็ เออ หึงเป็นเหมือนกันนะ” ชลาธลพูดหน้าแดง กฤษณาถึงกลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“ขำอะไรนะ เราจริงจังนะ” ชลาธลมองหน้ากฤษณาตาขวางๆ กฤษณายิ้มรับ

“โอ๋ๆ อย่างอนสิ อืม เราเองก็ต้องมีสังคมบ้างนา อีกอย่างนายเองก็ยังเคยหายไปตั้งหลายอาทิตย์เลยไม่ใช่หรอ เรายังไม่เห็นบ่นสักคำ” กฤษณาพูด ชลาธลก็เบ้ปาก

“อืม มันก็จริงอะนะ เราขอโทษนะที่ทำตัวแบบนั้น” ชลาธลพูด กฤษณาคล้องคอชลาธลไว้

“เอาเป็นว่า เราไม่เคยคิดจะห่างจากนายอยู่แล้วละ สบายใจได้” กฤษณาพูด ชลาธลก็ยิ้มออกมาจนได้

“อืม” ชลาธลตอบ กฤษณายิ้มเขินๆ

“แต่ว่า มันก็เขินแฮะ มีคนหึงเราด้วยหรอเนี่ย” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้า

“งั้นจะหึงให้สุดๆเลย” ชลาธลตอบ กฤษณาทำตาโต

“น้อยๆหน่อย เดี๋ยวเถอะ ได้ทีขี่แพะไล่เลยนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มรับ

“ล้อเล่นนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาเหมือนจะคิดอะไรออก

“เราไปว่ายน้ำกันไหม” กฤษณาชวน ชลาธลพยักหน้าแทบจะทันที กฤษณาจับมือของชลาธลเอาไว้พลางจูงกันไปยังบึง ใบหน้าของชลาธลนั้นแดงก่ำราวเนื้อแตงโมเลยทีเดียว ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงบึง กฤษณาและชลาธลต่างถอดเสื้อพลางกระโจนลงสู่ผิวน้ำ กฤษณานั้นไม่ได้ว่ายน้ำมานานพอสมควรแล้ว เขาถึงกับดำผุดดำโพล่ไปมาอย่างสนุกสนาน บ้างก็ว่ายน้ำแข่งกับชลาธลแม้จะรู้ว่าเขาไม่อาจเอาชนะธลได้ แต่แค่ได้ทำอะไรร่วมกันมันก็ทำให้เขาเป็นสุขได้แล้ว ทั้งสองว่ายอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็ขึ้นมาตากตัวบนฝั่ง กฤษณานอนแผ่พลางเอามือประสานไว้ที่ที่หลังศีรษะ เขาแหงนมองดูท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม แต่แล้วมือของชลาธลก็ค่อยๆลูบไปตามร่องอกของกฤษณา

“เราดีใจจังที่ได้อยู่ข้างๆนายอีก” ชลาธลกล่าว กฤษณายิ้มพลางโน้มตัวไปหาชลาธล

“เราเองก็ดีใจนะ” กฤษณาพูดพลางจูบลงที่ปากของชลาธลอย่างแผ่วเบา ชลาธลนั้นถึงกับเขินหน้าแดงก่ำ

“ฮะ ฮะ เวลานายเขินแล้วน่ารักดี” กฤษณาพูด ชลาธลไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มรับอย่างเขินอาย

“เรากลับบ้านกันดีกว่า” กฤษณาทัก ชลาธลก็พยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะแต่งตัวแล้วเดินกลับบ้านด้วยรอยยิ้มอันแสนสุข...


“คุณคะ คุณ” เสียงของหญิงสาวปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์

“อะ จ๊ะ” ชายหนุ่มขานรับพลางหันกลับไปมอง หญิงสาวยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“คือ จะบอกว่าห้องน้ำว่างแล้วละคะ” หญิงสาวตอบ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“ขะ ขอบใจนะ เดี๋ยวผมขึ้นไป” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวยิ้มรับ

“งั้นฉันเอายัยธลเข้านอนก่อนนะคะ” หญิงสาวพูดพลางเดินกลับขึ้นไปข้างบน ชายหนุ่มถอนหายใจยาว

“นี่เราจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานไหม” ชายหนุ่มรำพึง ยิ่งเขาพูดเรื่องของชลาธลมากเท่าใด ใจของเขาเหมือนจะยิ่งปวดร้าวขึ้นทุกทีๆ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 08-01-2007 10:03:59
อย่าเพิ่งวางใจว่าท้องฟ้าสงบ เพราะพายุฝนอาจจะเริ่มตั้งเค้า ท่าทางพายุจะแรงซะด้วย  :impress:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 08-01-2007 15:23:51
จบแค่นี้เถ้ออออออออออ ไม่อยากอ่านตอนเศร้าเลยอ่ะ
เพ้อแล้วนะเนี่ย ทำไมความรักมันถึงได้ดูอบอุ่นอย่างนี้น๊อ . . .  :myeye:



อ่านะ เพ่บลูเรย์ อย่าพูดงั้นจิ หมีเขินนะ เอาความในใจหมีมาแซวอย่างงี้ได้ไง เดี๋ยวเค้าก็รู้กันหมดหรอก :kikkik:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 08-01-2007 19:49:22
เหอๆกลัวพายุกันใหญ่แย้ว
ผมเอาแต่เรื่องรักหวานๆมาให้เพื่อนๆชุ่มช่ำหัวใจทุกเรื่องเลยน้า
หมีไม่เชื่อถามทิพย์ดิ
จริงปะ
 :untrust:

*****************************
บทที่ 13

“พักนี้คุณดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่เลยนะคะ” หญิงสาวทักขึ้น ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังแต่งตัวเพื่อที่จะไปทำงาน ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังส่ายหัวไปมา

“มะ ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่งานเยอะนิดหน่อยนะ ต้องรีบเคลียร์ให้เสร็จก่อน เดี๋ยวไม่ทันยัยธลปิดเทอม” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวเดินไปกอดชายหนุ่มจากข้างหลังพลางซบลงที่แผ่นหลังกว้างของเขา

“อย่าหักโหมมากไปนะคะ” หญิงสาวตอบ ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาหอมแก้มภรรยาของตน

“ขอบใจจ๊ะ ได้กำลังใจแบบนี้หายเหนื่อยเลยละ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวถึงกับเขินอายหน้าแดงๆ

“ค่า รีบไปเถอะคะ โชคดีนะคะ” หญิงสาวตอบ ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะรีบขึ้นรถไปทันที ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนที่จะจุดระเบิดเครื่องยนต์

“เราต้องตั้งใจกับเรื่องตรงหน้าให้ดี” ชายหนุ่มพูดแต่ในหัวของเขากลับมีภาพความทรงจำที่เด่นชัดขึ้นผุดขึ้นมาแทน...


กฤษณาและชลาธลเริ่มสนิทสนมมากขึ้นจนแทบจะแยกออกจากกันไม่ขาดเสียแล้ว ยิ่งช่วงนี้ชลาธลเองก็ยังว่างจากการตามหาโขนรามจึงทำให้ชลาธลนั้นแทบจะไม่ต้องกลับลงแม่น้ำเลย

“เฮ้อ เราไม่อยากให้นายไปเรียนเลย” ชลาธลบ่น

“เราเองก็ไม่อยากเรียนเท่าไหร่หรอก แต่ทำไงได้มันเหมือนเป็นหน้าที่อะ” กฤษณากล่าว ชลาธลได้แต่ก้มหน้าอย่างเศร้าๆ กฤษณายิ้มให้พลางตบบ่าของชลาธลเบาๆ

“ไม่ต้องเป็นห่วงน่า เดี๋ยวตอนเย็นก็เจอกันแล้วละ” กฤษณาตอบ ชลาธลก็ยิ้มออกมาได้บ้าง

“อืม” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถพร้อมกับจิ๋ว ซึ่งกฤษณาจะแวะมาที่วัดทุกเช้าเพื่อเจอธลแล้วก็รับจิ๋วเพื่อไปโรงเรียนด้วยกัน

“แหมตัวติดกันหยั่งกับปาท่องโก๋เลยนะ” จิ๋วแซว กฤษณายิ้มรับเขินๆ

“ก็มันสนิทกันก็ต้องคิดถึงกันเป็นธรรมดา” กฤษณาตอบ จิ๋วพยักหน้ารับ

“จ้าๆ แหมทีกับคนอื่นไม่เห็นสนิทอย่างนี้บ้างเลย” จิ๋วตอบบ่นๆ กฤษณามองหน้าจิ๋ว

“อ้าว ก็รู้จักกันมานานมันก็ต้องสนิทกันเป็นธรรมดาสิ” กฤษณาตอบกลับ จิ๋วถอนหายใจเบาๆ

“นี่หมายความว่าถ้าพึ่งรู้จักกันก็ไม่มีวันได้สนิทกันงั้นสิ” จิ๋วตอบอย่างงอนๆ

“วันนี้ดูแปลกๆนะจิ๋ว” กฤษณาทัก จิ๋วเมินหน้าหนี

“เปล่าสักหน่อย” จิ๋วตอบ กฤษณาขมวดคิ้ว

“แบบนี้ละแปลกจริงๆนั่นแหละ มีเรื่องอะไรหรอ ให้เราช่วยอะไรไหม” กฤษณาเสนอตัว จิ๋วเหลือบมองดูกฤษณาแล้วเธอก็ถอนหายใจยาว

“อืม ช่างเถอะ แค่นอนไม่ค่อยจะพอนะ” จิ๋วตอบ กฤษณายักคิ้วใส่

“ฮันแน่ คิดถึงใครละสิ” กฤษณาแซว จิ๋วถึงกับแก้มแดงขึ้นมาทันที

“ปะ เปล่าสักหน่อย” เธอร้อง

“อี่สาวเมืองกอก ท่าฮักจากบ่าวเหนือ หื้อปาลงเฮือข้ามน้ำน่าน” กฤษณากล่าวออกมาเป็นกลอน จิ๋วถึงกับสะบัดหน้าหนี

“โอ๋ๆ อย่างอนสิ” กฤษณาเริ่มง้อ จิ๋วเหลือบมองกฤษณาด้วยสายตาขวางๆแต่ไม่ตอบอะไร

“เฮ้ย แค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง อย่าจริงจังนักสิ” กฤษณาเริ่มอ้อนวอน แต่จิ๋วก็ยังเมินหน้าหนี กฤษณาเริ่มใจไม่ดี

“นี่อย่าคิดมากสิ เราล้อเล่นนะ คือดีกันนะ” กฤษณาอ้อน แต่จิ๋วก็ยังคงไม่หันหน้ามา

“เฮามาเกี่ยวก้อย ดีกั่นเน่อ” กฤษณาอ้อนเป็นภาษาเหนือ จิ๋วแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

“เฮาจะบ่าแก้งตั๋วแล้วเน่อ เฮาสัญญา” กฤษณาอ้อนเป็นภาษาเหนือต่อ จิ๋วหันมาพลางเกี่ยวนิ้วก้อยของเธอเข้ากับของกฤษณา

“แล้วอย่าทำอย่างนี้อีก” จิ๋วตอบกลับพยายามออกเสียงให้เหมือนกับคนเหนือ กฤษณาพยักหน้ารับ

“คับ จะบ่ายะแหมแล้วคับ” กฤษณาตอบ จิ๋วยิ้มให้พลางเกี่ยวนิ้วก้อยของเธอกับนิ้วของกฤษณาไว้เสียแน่น พักกลางวันกฤษณากับจิ๋วก็นั่งลงรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเหมือนทุกครั้ง

“อืม ว่าแต่ธลเขาเป็นคนยังไงหรอ” จิ๋วถาม กฤษณายิ้ม

“เขาเป็นคนดีมากเลยละ เวลาที่เรามีปัญหาก็ได้เขาช่วยมาตลอดเลย อย่างตอนเราจะจมน้ำถ้าไม่ได้เขาช่วยป่านนี้เราคงไม่ได้มานั่งคุยตรงนี้หรอก แถมยังแข็งแรง ว่ายน้ำก็เก่ง” กฤษณากล่าว จิ๋วพยักหน้ารับ

“แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยชอบเราสักเท่าไหร่นะ” จิ๋วตอบ กฤษณามองหน้า

“ไม่หรอกน่า เขาแค่ขี้อายนิดหน่อยเท่านั้นเอง” กฤษณาตอบ จิ๋วถอนหายใจเบาๆ

“ไม่รู้สิ อย่างคราวก่อนเวลาเขาเจอฉันทีไร เขาต้องส่งสายตาแปลกๆมาทุกทีเลย” จิ๋วพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“คิดมากไปมั้ง” กฤษณาพูด จิ๋วเบ้ปาก

“อย่างเวลาฉันชวนไปกินขนมทีไรเขาก็ต้องปฏิเสธทุกทีเลยอะ” จิ๋วตอบ กฤษณาเริ่มคิด ซึ่งมันก็จริงอย่างที่จิ๋วนั้นพูด บางครั้งจิ๋วมักจะชวนเขากับชลาธลไปทานขนมที่บ้าน แต่ชลาธลมักจะหาข้ออ้างปฏิเสธทุกครั้งไป กฤษณาเองก็อดคิดไม่ได้ว่าแม้ว่าชลาธลจะสนิทใจกับเขา แต่ถ้าเขาไม่เข้าสังคมบ้างมันอาจจะกลายเป็นเรื่องลำบากสำหรับชลาธลในอนาคต

“เขาก็แค่ขี้อายนิดหน่อยนะ เอางี้เดี๋ยววันนี้ไปบ้านเธอได้ไหมละ แล้วจะให้เธอรู้จักกับธล รับรองเธอจะต้องชอบเขาแน่ๆ” กฤษณาพูด จิ๋วพยักหน้ารับ

“จ้า ถ้าเขายอมมาละนะ” จิ๋วพูด กฤษณายักคิ้ว

“เจื้อมือได้เลย” กฤษณาตอบ ก่อนที่ทั้งสองจะจัดการกับอาหารตรงหน้าจนหมด ตกเย็นทั้งกฤษณาและจิ๋วไปหาชลาธลที่วัด

“ธล วันนี้ไปกินขนมบ้านจิ๋วกัน” กฤษณาชวน ธลถึงกับทำตาตื่นๆพลางมองหน้ากฤษณา

“ตะ ต้องไปด้วยหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“เออ เขาชวนหลายวันแล้วไปเถอะ นายเองก็ชอบกินขนมนี่นา” กฤษณาทักท้วง ชลาธลเบ้ปากเล็กน้อย

“ก็ชอบกินกับนายมากกว่า” ชลาธลพูดเบามากจนแทยจะเป็นเสียงกระซิบก็ว่าได้ กฤษณาเอามือคล้องคอของชลาธลเอาไว้พลางกระซิบที่ข้างหู

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า เราไม่ได้ไปสู้อะไรกับใครเขาสักหน่อยนี่นา อีกอย่างถ้าไม่กินเนื้อก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรอ” กฤษณากระซิบ ชลาธลมองหน้ากฤษณาอย่างสับสน

“เรารู้ ตะ แต่ว่า คือ...” ชลาธลกล่าวอ้ำๆอึ้งๆพลางก้มหน้าลง

“เรารู้ว่านายขี้อาย แต่ถ้านายไม่รู้จักทำอะไรเสียบ้างเลยแล้วเมื่อไหร่นายจะกล้ากับเขาละ” กฤษณาพูด ชลาธลเหลือบมองหน้ากฤษณาเล็กน้อย เขาถอนหายใจยาวพลางพยักหัวหงึกๆ กฤษณายิ้มพลางตบหลังธลเบาๆ

“ดีมาก ไปกันเถอะ” กฤษณาพูดพลางหันมามองจิ๋วที่ยืนงง

“เอ้า รีบไปกันดีกว่าท้องร้องจ๊อกๆแล้ว” กฤษณาพูดพลางเดินยิ้มอย่างสบายอารมณ์โดยไม่ได้สังเกตว่าชลาธลกับจิ๋วนั้นสบตากันด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งสามเดินต่อมาอีกหน่อยก็ถึงบ้านของจิ๋ว

“บ้านใหญ่จัง” ชลาธลอุทานพลางมองอย่างทึ่งๆ

“ก็นิดหน่อยนะ เข้ามาก่อนสิ” จิ๋วพูดพลางเปิดประตูให้เพื่อนทั้งสองคนของเธอเข้าไปข้างในก่อนที่เธอจะปิดประตูลง แล้วเร่งเท้านำชายทั้งสองเข้าบ้านไป ทั้งกฤษณาและชลาธลเข้ามาในบ้านต่างก็มองตาค้างๆ ภายในตกแต่งอย่างหรูหราและสวยงาม มีเบาะนั่งตัวยาววางเป็นแนว ภายในมีของตกแต่งที่ดูมีราคาวางเรียงอยู่บนชั้น

“โห ทีวีใหญ่หยั่งกับหน้าต่าง” กฤษณาอุทานเมื่อเห็นโทรทัศน์จอใหญ่เบ้อเริ่มตั้งอยู่

“พ่อฉันชอบพวกเครื่องเสียงอะไรเทือกนั้นนะ จะเอาน้ำอะไรไหม มีน้ำผลไม้ น้ำแดงน้ำเขียวก็มีนะ” จิ๋วกล่าว ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“น้ำแดงนี่เป็นยังไงหรอ” ชลาธลถาม กฤษณายิ้ม

“ก็ลองดูสิ” กฤษณาพูดพลางหันไปยักคิ้วให้จิ๋ว

“งั้นเอาน้ำแดงแล้วกัน” กฤษณาตอบ จิ๋วพยักหน้าก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในห้องครัว กฤษณามองไปรอบๆตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ

“โหบ้านจิ๋วนี้โคตรรวยเลย ดูดิมีอะไรแพงๆตั้งเยอะ” กฤษณาพูดพลางเดินสำรวจห้องไปทั่ว ชลาธลกำมือแน่น

“อะ อืม กฤษ คือ” ชลาธลอ้ำๆอึ้งๆ กฤษณาก็หันกลับมา

“ก็บอกแล้วว่ามมีอะไรก็บอกมา อ้ำอึ้งอยู่ได้” กฤษณากล่าวบ่นๆ ชลาธลอ้าปาก

“ขอโทษทีที่ให้รอ” จิ๋วเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดในมือ ชลาธลถึงกับสะดุ้งโหยง

“อะไรเนี่ย คุ๊กกี้หรอ” กฤษณาพูดพลางมองดูขนมในจาน จิ๋วยิ้มรับ

“อืม แม่เราทำเองแหละ แม่เราชอบทำขนมนะ” จิ๋วพูดพลางวางถาดขนมและน้ำลงบนโต๊ะ ทั้งสามนั่งลงข้างๆกันโดยที่กฤษณานั้นนั่งตรงกลางโดยที่มีชลาธลกับจิ๋วขนาบข้าง ชลาธลมองแก้วน้ำสีแดงๆด้วยความตกใจ

“นะ น้ำอะไรอะ ทำไมแดงจัง” ชลาธลถาม กฤษณายิ้ม

“ลองชิมดูสิ” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้ากฤษณาด้วยความไม่แน่ใจนัก แต่กฤษณาก็ยังยิ้มอยู่เหมือนเดิม ชลาธลจิบน้ำสีแดงในแก้วพลางทำปากแจ๊บๆ

“หวานจัง แต่อร่อย” ชลาธลพูด

“มีอีกนะ ถ้าอยากได้อีกก็บอกนะ” จิ๋วพูด ชลาธลพยักหน้าพลางดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่ ชลาธลก้มลงดูคุ๊กกี้ในจาน

“นี่อะไรหรอ” ชลาธลถาม

“คุ๊กกี้นะ ลองกินดูสิ” กฤษณาชวนพลางหยิบคุ๊กกี้ใส่ปาก ชลาธลก็ทำตาม เขาเคี้ยวกรวมๆ

“อืม มันแปลกๆแฮะ กรอบๆนิ่ม ๆ” ชลาธลพูดพลางเคี้ยวคุ๊กกี้ไปมา

“อร่อยไหม” จิ๋วถาม ชลาธลพยักหน้า

“อืม” ชลาธลตอบ จิ๋วก็ยื่นจานคุ๊กกี้ส่งให้

“งั้นทานเยอะๆเลยนะ มีอีกเพียบเลย” จิ๋วกล่าว ชลาธลพยักหน้าแก้มแดงๆด้วยความเขิน

“อะ เออ ขอบคุณนะ” ชลาธลตอบ จิ๋วยิ้มรับ แล้วทั้งสามก็เริ่มคุยถึงเรื่องอดีตของตน

“โอ๊ยเพื่อนฉันแต่ละคนนี่ก็สุดๆทั้งนั้นเลย แต่พอต้องย้ายมาที่นี่ก็ดูเหมือนจะขาดการติดต่อไปบ้างเหมือนกันนะ ป่านนี้คงลืมไปแล้วละมั้ง” จิ๋วพูดอย่างงอนๆ

“ก็ไม่ลองโทรไปหาเขาดูละ” กฤษณาแนะนำ จิ๋วยกไหล่

“เคยโทรไปตั้งหลายทีแล้วละ แต่ก็คุยได้นิดๆหน่อยๆเอง เขาว่ายุ่งนะ” จิ๋วพูด แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่าชลาธลนั้นนั่งเงียบไม่กล่าวอะไร

“แล้วเธอละธล เธอมีเพื่อนเยอะหรือเปล่า” จิ๋วถาม ชลาธลถอนหายใจ

“เราไม่เคยมีเพื่อนหรอก ก็เห็นมีแต่กฤษละมั้งที่ยอมเป็นเพื่อนกับเรา” ชลาธลตอบ

“ทำไมละ” จิ๋วถามอีก ชลาธลตกใจเล็กน้อย

“ก็เขาขี้อายนะสิ อีกอย่างเขาก็ตัวใหญ่ด้วย เลยแบบ โดนล้ออะ” กฤษณาแก้ต่างให้อย่างทันท่วงที ชลาธลพยักหน้ารับ

“หรอ ฉันไม่เป็นว่ามันจะแปลกตรงไหนเลย อีกอย่างฉันว่าก็ดูเท่ห์ดีออกผู้ชายตัวใหญ่ๆนะ” จิ๋วพูด ชลาธลอึ้งไปเล็กน้อยจนจิ๋วนั้นสังเกตได้

“เรา พูดอะไรผิดไปหรอ” จิ๋วถาม ชลาธลส่ายหัว

“ปะ เปล่า ตะ แต่ คือ เออ คือ นะ นอกจากกฤษแล้วไม่เคยมีใครพูดกับเราแบบนั้นอีกเลย” ชลาธลตอบด้วยความเขินอาย

“เพื่อนกันทำไมจะพูดกันไม่ได้ละ” จิ๋วกล่าว ชลาธลมองหน้าจิ๋วที่ยิ้มให้ กฤษณาเอามือคล้องคอของชลาธลเอาไว้พลางกระซิบที่ข้างหู

“เห็นไหมว่ากล้าสักหน่อยก็ไม่เสียหายหรอกน่า” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้ารับ กฤษณาลุกขึ้นพลางหยิบแก้วขึ้นมา

“เอ้า มาฉลองเพื่อนใหม่กันดีกว่า” กฤษณาพูด จิ๋วหยิบแก้วของตนพลางลุกขึ้นบ้าง ชลาธลเงยหน้ามองคนทั้งสองก่อนที่จะค่อยๆลุกขึ้นแล้วก็หยิบแก้วน้ำตามขึ้นมาด้วย

“เรามาชนแก้วกันดีกว่า ธล ทำแบบนี้นะ” กฤษณาพูดพลางชนแก้วของจิ๋วให้ดูเป็นตัวอย่าง ชลาธลก็พยักหน้ารับ

“เอ้า ชน” กฤษณาให้สัญญาณแล้วแก้วน้ำทั้งสามใบก็กระทบกันส่งเสียงดังเป้ง เป็นเสียงที่ก้องกังวาลอยู่ในหัวใจของทุกคนตราบนานเท่านาน พอเริ่มเย็นกฤษณากับชลาธลก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

“แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ” จิ๋วกล่าวลา ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากบ้านของจิ๋วไป

“เป็นไงสนุกไหม” กฤษณาถามขณะที่กำลังเดินไปส่งชลาธลที่วัด

“อืม” ชลาธลกล่าวพลางยิ้มให้ กฤษณาตบหลังของชลาธลเบาๆ

“ถ้าจะทำก็ทำได้นี่นา เห็นมะว่าไม่ยากเลย” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้ารับ

“เราก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยเหมือนกันว่าจะมีคนที่ยอมรับเราได้อีกนอกจากนาย ขอบใจนะที่ทำให้เราได้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับมนุษย์มากขึ้นจริงๆ” ชลาธลตอบ กฤษณาเกาหัวไปมาอย่างเจินๆ

“แหม ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย แต่ก็แค่อยากจะให้นายรู้ไว้ว่ายังมีคนอีกตั้งมากมายที่เขาพร้อมจะยอมรับนายได้นะ” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้า

“แต่สำหรับเราแล้ว แค่นายคนเดียวก็เกินพอแล้วละ” ชลาธลตอบ กฤษณาหัวเราะเบาๆ

“อะนะ เขินนะเนี่ย แต่ก็ขอบใจนะ” กฤษณาพูดพลางเดินไปส่งชลาธลที่วัด...


ชายหนุ่มจอดรถ ณ ที่จอดรถในบริษัทพลางถอนหายใจยาว ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ราวกับว่าเรื่องของเขากับชลาธลนั้นจะค่อยๆเด่นชัดขึ้นทุกทีๆ แม้ว่าบางเรื่องเขาอยากจะลบมันออกไปจากใจก็ตาม

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 08-01-2007 23:36:06
เรื่องนี้คลาสสิกจัง  ชอบเรื่องสไตล์นี้มากๆเลย...........
 :monkeylove2: :-[
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-01-2007 09:32:48
หุหุ เรื่องนี้เดาทางไม่ค่อยออกแฮะ  :impress:

ปล. จริงนะหมี เรย์เอาแต่เรื่องรักหวาน  ๆ น้ำตา(ล)ท่วมจอมาลงท้างน้าน  :sad4:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-01-2007 22:10:05
อิอิ ทิพย์เดาไม่ออกเย้ๆๆ ชอบๆนานๆทีจะเดาไม่ออก

ดีใจนะที่ วี ชอบ
****************************
บทที่ 14
“อืม ลงใต้บ้างดีไหมคะ” หญิงสาวกล่าวพลางมองดูแผ่นพับตรงหน้า ชายหนุ่มกรอกตา
“คนคงเยอะน่าดูเลยตอนนั้นนะ” ชายหนุ่มแนะนำ หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
“อืม หรือจะไปอีสานอีกดีคะ” หญิงสาวพูดอีก ชายหนุ่มยิ้ม
“จะได้โดนยัยธลบ่นอีกงั้นหรอ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวกรอกตา
“เพชรบุรีก็ไปสองสามครั้งแล้ว เฮ้อ จะไปที่ไหนดีนะ” หญิงสาวบ่นอุบอิบ ชายหนุ่มนั่งอ่านหนังสือท่องเที่ยวไปพลางๆ
“แล้วนี่เงินเก็บไว้มีเท่าไหร่ละ” ชายหนุ่มถาม หญิงสาวส่ายหัว
“อืม ก็ไม่มากนักหรอกคะ อีกสองเดือนก็ใกล้จะถึงกำหนดจ่ายเงินแล้ว ถ้าไม่จ่ายอะไรมากนักก็คงพอเอาอยู่ละคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มพยักหน้า แต่แล้วหญิงสาวก็เหมือนจะนึกอะไรออก
“ใช่แล้ว ไม่ไปพิจิตรอีกละคะ” หญิงสาวอุทาน ชายหนุ่มถึงกับสะอึกเล็กน้อย
“ถ้าไปพิจิตรเราก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายใช่ไหมละคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ
“อะนะ ก็ใช่นะ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่ม
“ฉันรู้คะว่าคุณไม่อยากจะรบกวนคุณพ่อ ใช่ไหมละคะ” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ
“ไม่หรอก อืม ท่านคงดีใจที่ยัยธลไปหาละนะ” ชายหนุ่มพูดพลางซ่อนสีหน้าของเขาเอาไว้
“ตกลงว่างั้นปีนี้เราไปพิจิตรกันนะคะ” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“จ๊ะ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวยกกองแผ่นพับและหนังสือไปไว้ที่โต๊ะข้างๆเธอ
“ไว้แล้วฉันจะบอกธลตอนไปโรงเรียนนะคะ” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้า
“จ๊ะ” ชายหนุ่มพูดพลางวางหนังสือไว้ที่โต๊ะหัวเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอน
“อืม เราต้องเลิกหนีความจริงสักที” ชายหนุ่มคิด ภายในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของชลาธลที่ยังฝังแน่นไม่ลืมเลือน...

กฤษณาแวะไปหาชลาธลที่วัดบ่อยครั้งจนเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้ว
“ไอ้กฤษ ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเอ็งหน่อย” หลวงตายุทธพูดขึ้น เมื่อกฤษณาโพล่ไปที่วัด กฤษณาพยักหน้ารับพลางเดินตามหลวงตายุทธขึ้นไปที่กุฏิ หลวงตายุทธนั่งลงที่อาสนะส่วนกฤษณาก็นั่งขัดสมาธิที่พื้น
“ข้าไม่ได้รังเกียจอะไรนะ แต่ข้าอยากให้เอ็งเจอไอ้ธลน้อยลงหน่อย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาทำตาลุกวาวทันที
“ทะ ทำไมละครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทถอนหายใจเบาๆ
“ก็เอ็งเล่นไปป่าวประกาศเขาไปทั่วว่าไอ้ธลเป็นคนส่งข่าวให้พรานจระเข้ ตอนนี้บางคนก็เริ่มสงสัยไอ้ธลแล้วว่ามันเป็นพรานจระเข้เองหรือเปล่า” หลวงตายุทพูด กฤษณากลืนน้ำลายเล็กน้อย
“มะ มันคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับ” กฤษณาตอบอย่างใจเย็น หลวงตายุทขมวดคิ้ว
“ก็ใช่สิ เพราะคนที่สงสัยก็คือพ่อของเอ็งนั่นแหละ” หลวงตายุทตอบ กฤษณาถึงกับเงียบไปชั่วคราว หลวงตายุทถอนหายใจ
“ข้าเองก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าเอ็งจะปิดความลับได้ไม่เก่งเอาเลย ข้าไม่ตำหนินะ เพราะเอ็งก็ยังเด็ก แต่ข้าว่าตอนนี้ยังไงก็อยู่ห่างๆไอ้ธลไว้ก่อนดีกว่านะ” หลวงตายุทพูด กฤษณาแทบไม่เชื่อหูตัวเองเขาถึงกับเงียบพูดอะไรไม่ออก
“ละ แล้วหลวงตาพูดกับพ่อผมว่ายังไงละครับ” กฤษณาถามอีก
“ข้าก็พูดกว้างๆนะ อย่างตอนที่ส่งตัวไอ้ธลให้สุรศักดิ์ ข้าก็ไม่ได้บอกว่าข้าส่งตัวธลให้ ไม่ต้องห่วงหรอกข้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อเอ็งให้เพียงแต่ข้าอยากให้เอ็งรอจนกว่าเรื่องมันจะซาลงอีกนิดเถอะนะ” หลวงตายุทธพูด กฤษณาขมวดคิ้ว
“ก็หมดเรื่องของสุรศักดิ์ไปแล้วไม่ใช่หรอครับ” กฤษณาแย้ง หลวงตายุทส่ายหัว
“นั่นก็ใช่ แต่ตอนนี้ไอ้ธลยังหาตัวโขนรามไม่เจอเลย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาเองก็พึ่งจะนึกออกว่าชลาธลเองยังต้องตามหาตัวของโขนรามด้วย
“ข้ารู้ว่ามันอาจจะทรมานแต่ก็เพื่อตัวเอ็งและไอ้ธลนะ” หลวงตายุทธพูด กฤษณาได้แต่พยักหน้ารับหงึกๆ
“ผมพอเข้าใจครับหลวงตา อันที่จริงถ้าผมไม่ปากพร่อยไปเองมันก็คงจะไม่เป็นแบบนี้” กฤษณาพูดด้วยความรู้สึกเจ็บลึกๆในอก หลวงตายุทธพยักหน้า
“ไว้ข้าจะช่วยพูดกับพ่อเอ็งให้แล้วกันนะ” หลวงตายุทธกล่าว กฤษณายกมือไหว้เป็นการขอบคุณ
“วันนี้ผมขอเจอธลก่อนได้ไหมครับ ผมอยากจะขอบอกเขาเอาไว้ก่อน” กฤษณาพูดด้วยสำเนียงเศร้าๆ หลวงตายุทธพยักหน้า
“ข้าบอกไอ้ธลไว้ก่อนแล้วละ มันเองก็รู้เรื่องนี้ดี พอเรื่องของไอ้โขนรามจบแล้ว ไอ้ธลก็ไม่ต้องกลับลงไปที่น้ำบ่อยๆแล้วข้าว่าไว้ถึงตอนนั้นเอ็งค่อยกลับมาเล่นกับมันใหม่ก็ได้นี่นา” หลวงตายุทธแนะนำ กฤษณาพยักหน้ารับพลางลุกขึ้น
“ครับ” กฤษณาตอบด้วยความเหนื่อยใจ อีกครั้งแล้วที่เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชลาธลต้องลำบาก เพราะด้วยความที่เขาพูดไม่ทันคิดเขากำลังจะทำให้ชลาธลต้องเจอกับเรื่องแย่ๆ กฤษณาเดินไปที่หลังวัดก็พบชลาธลกำลังกวาดลานอยู่ ชลาธลเห็นกฤษณาก็พลันส่งยิ้มให้ กฤษณายิ้มตอบแห้งๆพลางเดินเข้าไปใกล้
“หลวงตาท่านพูดกับนายแล้วสิ” ชลาธลกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ
“อืม ขอโทษนะธล เพราะเราอีกแล้ว เราทำให้นายต้องลำบากอยู่เรื่อยเลย” กฤษณาพูด ชลาธลส่ายหัว
“ไม่เป็นไรหรอก จะช้าจะเร็วยังไงก็ต้องมีคนรู้อยู่ดีนั่นแหละ ความลับมันไม่มีในโลกนี่นา” ชลาธลตอบ กฤษณาก้มหน้าลง
“แต่ถ้าเราไม่พูดมากไป นายคงปิดความลับได้ดีกว่านี้” กฤษณาตอบ ชลาธลจับไหล่ของกฤษณาเอาไว้
“กฤษ เราไม่เคยคิดมากนะเวลาที่นายพูดเรื่องนั้น ความจริงเราก็อดจะกลัวไม่ได้ว่าความลับจะแตก แต่เราเองกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยละ เวลาที่นายพูดถึงสิ่งที่เราทำแล้วเหมือนเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่นะ” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้าชลาธลเล็กน้อย
“ทุกคนจะคิดว่าพรานจระเข้ก็เหมือนกับอาชีพรับจ้างธรรมดานั่นแหละ ไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่า แต่นายกลับพูดราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นายทำให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้น” ชลาธลหยุดพลางมองหน้ากฤษณา
“ถ้ามีนายอยู่ข้างๆ ต่อให้ความลับจะต้องแตกเราก็คงไม่สนใจหรอก แค่ได้รักคนอย่างนายมันก็ถือเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของเราแล้วละ” ชลาธลตอบ กฤษณาดึงร่างของชลาธลมากอดไว้ทันที
“เราขอโทษนะธล เราเองก็ดีใจที่ได้อยู่กับนาย เราสัญญาธล เราจะช่วยนายทุกอย่างเลย” กฤษณาพูดพลางโอบร่างของชลาธลเอาไว้แน่น ชลาธลตบหลังของกฤษณาอย่างแบ่วเบา
“ขอบใจนะ ขอบใจนายมาก” ชลาธลพูด
“วันนี้เราขออยู่กับนายทั้งวันเลยนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มพลางพยักหน้าให้ ทั้งสองตัดสินใจขออนุญาตหลวงตายุทธ ซึ่งหลวงตายุทธก็ยอมให้ทั้งสองออกไปเที่ยวเล่นได้ตามใจ
“นายอยากไปที่ไหนไหม เราจะพาเอง” กฤษณาถาม ชลาธลคิดอยู่สักพักก่อนที่เขาจะยิ้ม
“เราอยากไปที่บึงสีไฟอีกจัง” ชลาธลตอบ กฤษณายิ้มและทั้งสองก็เดินทางไปยังบึงสีไฟ ทั้งสองเดินดูรอบๆบึงพลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“เวลานี่มันผ่านไปเร็วจังเนอะ เรายังอดคิดไม่ได้เลยว่าเหมือนเราพึ่งพานายมาที่นี่เมื่อไม่กี่วันมานี้เองเลย” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้า
“อืม เรายังจำวันแรกที่นายมาขอบคุณเราได้อยู่เลย ตอนแรกเรากลัวมากเลยละ เรากลัวว่านายจะไปเรียกคนอื่นมาจับตัวเราเสียอีก แต่พอนายพูดคำว่าขอบคุณ มันเป็นคำขอบคุณคำแรกที่เราได้ยินแล้วไม่ได้พูดถึงคนอื่น เราดีใจมากเลยละ” ชลาธลพูดเขินๆ
“อืม ตอนนั้นถ้าไม่ได้นายช่วยไว้ เราเองก็คงกลายเป็นขี้ตะเข้ไปแล้วละ ขอบใจมากนะ” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มรับ
“แต่ เราก็ทำไม่ดีไปเหมือนกัน ตอนไปเที่ยวงานวัด ถ้าเราพูดอะไรออกไปบ้างเราคงได้ดูที่เขาแสดงข้างในแล้วละ” ชลาธลพูด กฤษณาส่ายหัว
“เฮ้ย ก็ตอนนั้นเราไม่รู้นี่นาว่านาย เออ ไม่เหมือนคนอื่นนะ เราเองก็วู่วามไปหน่อยเหมือนกัน แถมยังจะทำตัวแบบนั้นอีก เราเองก็ต้องขอโทษนายนะ” กฤษณาตอบ
“ไม่เป็นไรหรอก อืม แต่ก็น่าเสียดายนะ เรายังไม่เคยเห็นข้างในเลยว่าเขาทำอะไรกัน” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้า
“ถ้าเรื่องนี้จบลงเมื่อไหร่ แล้วถ้านายไม่ต้องเดินทางบ่อยๆ เราไปดูด้วยกันนะ คราวนี้จะไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางการดูรถไต่ถังอย่างเด็ดขาดเลย” กฤษณาสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ชลาธลยิ้ม
“อืม” ชลาธลตอบพลางมองหน้ากฤษณาอย่างเขินๆ
“มีอะไรหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลหลบตาของกฤษณาไปเล็กน้อย
“อะ อืม คือ เออ เราจับมือนายได้ไหม” ชลาธลถามด้วยใจที่เต้นแรง กฤษณาไม่ตอบเขาคว้ามือของชลาธลพลางเดินนำหน้าเขาไป
“ไปดูรูปปั้นชาละวันกันดีกว่า” กฤษณาพูด ส่วนชลาธลได้แต่เดินตามตาค้างๆ ทั้งสองเดินดูบริเวณบึงโดยรอบ พวกเขาเดินตัดผ่านสะพาน ดูพิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำกันอีกครั้ง สวนสมเด็จฯ ทั้งสองเดินไปรอบๆพลางสงยิ้มให้กัน มือที่ประสานกันแน่นเหมือนจะบอกแก่กันและกันว่าจะไม่มีอะไรมาพรากพวกเขาให้ขาดจากกันได้
“อืม เดินดูหมดแล้วละ จะไปดูอะไรกันอีกดี” กฤษณาถาม ชลาธลหันมามอง
“แล้วนายอยากไปที่ไหนหรือเปล่าละ” ชลาธลถามบ้าง กฤษณายิ้ม
“แค่มีนายอยู่ข้างๆแค่นี้เราก็พอแล้ว” กฤษณาตอบ ชลาธลเบ้ปาก
“แหม มันก็ต้องมีสักที่ที่นายอยากไปบ้างสิ” ชลาธลพูด กฤษณาก็ทำท่าคิด พลันเขาก็นึกอะไรออก
“อืม เราอยากไปฐานลับของนายอีกอะ” กฤษณาพูด ชลาธลหัวเราะเบาๆ
“งั้นคงต้องเปียกกันหน่อยละ” ชลาธลกล่าว และโดยที่ไม่รอช้า ทั้งสองรีบนั่งรถกลับไปที่วัด จากนั้นทั้งสองจึงเดินลัดเลาะไปยังบึง บรรยากาศโดยรอบนั้นชวนให้ทั้งสองรำลึกถึงความหลังที่ทั้งสองเคยประสบร่วมกัน
“อืม วันที่นายช่วยเราจากตะเข้นะ เราเห็นนายนั่งอยู่ตรงพุ่มไม้นะ นายทำอะไรหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลยกไหล่
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่หาของป่าธรรมดานะ เอาไปให้หลวงตาท่านเขา” ชลาธลพูด


“นายมาที่บึงนี่บ่อยหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลพยักหน้า
“อืม ก็บ่อยแหละ ฐานลับเราอยู่ที่นั่นนี่นา” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้า
“แปลกนะ เราเองก็มาออกจะบ่อย แต่ไม่ยักกะเจอนายเลย” กฤษณาทัก ชลาธลก้มหน้าเล็กน้อย
“อืม ก็ พอเราเห็นนายเราก็รีบหนีกลับไปที่วัดไง” ชลาธลตอบ กฤษณาเบ้ปาก
“โห ไมละ ถ้างั้นเราน่าจะได้รู้จักกันตั้งนานแล้วสิ” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มแห้งๆ
“ตอนนั้นเรากลัวนี่นา เรากลัวว่านายก็คงจะเหมือนคนอื่นๆที่เห็นเราเป็นตัวประหลาด” ชลาธลตอบพลางมองหน้า กฤษณาถอนหายใจเบาๆ
“เรายอมรับนะ ตอนแรกที่เห็นนายเราเองก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่านายนะประหลาด ชอบทำตัวเงียบๆ แต่ตอนนี้นายคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเราตอนนี้เลย” กฤษณาตอบ ชลาธลถึงกับยิ้มอย่างเขินๆ ทั้งสองเดินมาถึงบึงในเวลาต่อมา
“อืม แล้วเทียนระเบิดน้ำไม่มีแล้วหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว
“มันไม่ใช่ของที่จะทำกันได้ง่ายๆนะ การทำก็ค่อนข้างจะยุ่งยาก มีอยู่ไม่กี่คนที่รู้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ มันไม่นานหรอก” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะถอดเสื้อออก กฤษณาใส่กางเกงในเอาไว้ แต่ชลาธลเลือกไม่ถอดกางเกงออก ชลาธลเดินนำลงไปพลางหันหลังให้
“ขี่หลังเราไปแล้วกัน” ชลาธลพูด กฤษณาพยักหน้าพลางยืนเอาอกแนบไปกับร่างของชลาธล มือก็คล้องคอของเขาไว้หลวมๆ
“พอเรานับสามแล้วกลั้นหายใจเลยนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้า ทั้งสองเดินลงไปในน้ำจนกระทั่งระดับน้ำนั้นสู้เกือบจะเลยอกของกฤษณาไปแล้ว
“พร้อมนะ หนึ่ง สอง สาม” ชลาธลนับอย่างช้าๆ กฤษณาสูดหายใจเข้าเต็มปอด พลันเสียงน้ำแตกกระจายก็ดังออก กฤษณาต้องหลับตาเพราะกระแสน้ำที่วิ่งฝ่าทำให้เขาลืมตาแทบจะไม่ขึ้น แต่ร่างกายของเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงต้านของน้ำ กฤษณาเกาะร่างของชลาธลเอาไว้แน่น เขากลั้นหายใจอย่างสูดกำลัง แต่มันก็เกือบจะสุดลมหายใจของเขาอยู่แล้ว
“บุ๋ม บุ๋ม” กฤษณาเผลอปล่อยอากาศเฮือกสุดท้ายของเขาออกไป แต่แล้วกระแสน้ำก็หยุดลง โดยที่กฤษณาไม่ทันตั้งตัว ปากของเขาเหมือนมีบางอย่างมาประทับไว้ อากาศบางส่วนถูกดันเข้ามาในปากของเขา กฤษณาลืมตาช้าๆ ชลาธลจูบที่ปากของกฤษณาเพื่อให้อากาศกับเขา ชลาธลไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า เขาจับตัวของกฤษณาว่ายฝ่ากระแสน้ำไปไม่นานนักกฤษณาก็ถูกลากเข้าไปในถ้ำสีทอง ทันทีที่กฤษณาเข้ามาเขาถึงกับล้มแผ่หราหายใจหอบ
“กฤษ เป็นอะไรหรือเปล่า” ชลาธลถามด้วยความเป็นห่วง กฤษณานอนหอบหายใจอย่างแรงแต่ก็ส่ายหัวไปมา
“มะ ไม่ แฮ่ก เป็น แฮก ไร” กฤษณาตอบอย่างยากลำบาก ชลาธลตีสีหน้าสำนึกผิด
“เราขอโทษนะ คือ ตอนนายเกาะเราว่ายไม่สะดวกเท่าไหร่อะ” ชลาธลพูดหน้าแดงก่ำ กฤษณาเหลือบไปมองพลางยิ้ม
“อะนะ แหม ทำหยั่งกับไม่เคยเห็น” กฤษณาพูด ชลาธลนั้นแก้มแดงแจ๋ราวลูกมะเดื่อเลยทีเดีย
“กะ ก็ แบบ ของ นายมัน ถูอยู่ข้างหลัง เราก็ อืม โด่อะดิ” ชลาธลพูดพลางหลบตาของกฤษณาด้วยความเขินอาย กฤษณายิ้ม
“นายไม่ใส่กางเกงในเลยหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว
“ก็ หลวงตาไม่ใส่ เราก็ อืม ไม่ใส่” ชลาธลตอบ กฤษณาค่อยๆเอามือยันตัวเองลุกขึ้นพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“หลวงตาเรียก” ชลาธลสะดุ้ง กฤษณาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ชลาธลจับมือของกฤษณาไว้พลางรีบวิ่งไปที่ปากถ้ำ กฤษณากลั้นหายใจแล้วชลาธลก็รีบกระโจนว่ายฝ่าผิวน้ำออกไปทันที ชั่วพริบชลาธลก็พากฤษณาโพล่ขึ้นเหนือน้ำ ชลาธลแบกกฤษณาขึ้นบ่าทันที
“เรื่องด่วนมาก ขอโทษทีนะ” กฤษณาพูดพลางรีบออกวิ่งไปทันที แต่พอโผล่พ้นป่าออกมาเท่านั้น กฤษณาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องระงม
“ตะเข้ยักษ์บุก” เสียงคนตะโกน กฤษณาตาลุกเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ชลาธลก็แบกร่างของเขากระโจนกลับไปที่วัดทันที
“ไอ้กฤษ โขนรามมันบุก” หลวงตายุทออกมาพูดหน้าตื่นๆ ชลาธลวางร่างของกฤษณาลงที่พื้น
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” เสียงร้องดังขึ้น ทั้งกฤษณาและชลาธลต่างหันไปมอง จระเข้ตัวนึงกำลังเดินฉับๆอย่างรวดเร็วไปที่ผู้หญิงคนนึง และกฤษณาก็จำได้ดีเพราะเธอคือจิ๋วนั่นเอง
“จิ๋ว” กฤษณาร้อง ชลาธลไม่รอช้าเขาก้าวกระโดดอย่างเร็วไปที่จระเข้ตัวนั้นพลางลากหางของมันด้วยแขนทั้งสองข้างของเขา
“หนีไปเร็ว” ชลาธลร้อง จิ๋วได้แต่นั่งมองตาค้างๆ ขาของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว จระเข้ยักษ์สะบัดหางไปมาอย่างแรงจนร่างของกฤษณากระเด็นลอยออกไป เจ้าจระเข้ไม่รอช้าเดินฉับๆอย่างรวดเร็ว
“กรวม” ปากของมันงับร่างของชลาธลอย่างแม่นยำ
“อั๊ก” ชลาธลกระอักเลือกออกมาเล็กน้อย ร่างของเขาเริ่มมีเลือดซึมออกมา เจ้าจระเข้ยักษ์สะบัดหัวของมันไปมาเพื่อกระชากแผลของชลาธลให้เปิดกว้างขึ้น
“ไม่ได้การ ไอ้ธลมันอยู่ในร่างมนุษย์ความแข็งแกร่งมันไม่พอ” หลวงตายุทธพูด กฤษณามองดูชลาธลโดนสะบัดร่างไปมากลางอากาศ เขารีบคว้าเอากิ่งไม้ ก้อนหินแถวนั้นแล้วระดมขว้างไปที่จระเข้ตัวใหญ่นั่น
“เฮ้ย ทางนี้เว้ย” กฤษณาขวางหินใส่ไม่หยุด เจ้าจระเข้เหลือบตามามอง
“กฤษ หนีไป อ๊อก” ชลาธลส่งเสียงร้องแต่เจ้าจระเข้กลับกดปากของมันแรกขึ้น มันจ้องมาที่กฤษณาตาเขม็ง แววตาสีเหลืองน่าสะพรึงกลัวเหมือนจะสะกดไม่ให้กฤษณาขยับไปไหนได้ เจ้าจระเข้วิ่งเข้าใส่กฤษณาอย่างรวดเร็ว กฤษณาพยายามจะวิ่งหนีแต่จระเข้ที่แม้จะดูอุ้ยอายแต่การเคลื่อนไหวของมันนั้นไม่ได้สัมพันธ์กับร่างเลย มันก้าวขาอย่างเร็วพุ่งเข้าใส่กฤษณา
“อย่านะว้อยยย” ชลาธลร้องคำราม ร่างของเขาเปล่งแสงสีแดงออกมา อักขระวิ่งไปทั่วร่าง
“ไอ้ธล” หลวงตายุทธร้อง ชลาธลเอาแขนจับปากของโขนรามไว้พลางใช้แรงของเขาที่มีแยกมันออกจากกัน โขนรามพยายามจะงับปากเอาไว้แต่แรงของชลาธลนั้นมีมากกว่า ชลาธลแยกปากของโขนรามออกมาพลางดันตัวเองขึ้น ชลาธลกระโดดลงมายืนข้างๆกฤษณา ผิวของเขาเริ่มคืนสภาพกลับเป็นจระเข้ เล็บที่งอกยาว ฟันมีเขี้ยวแหลมเต็มปาก และแววตาที่เป็นสีเหลืองน่าสะพรึงกลัว เจ้าโขนราววิ่งเข้าใส่ชลาธลทันที ชลาธลก้มลงลอดเข้าไปใต้ปากยาวยื่นของโขนราม พลางเอาหลังดันปากล่าง เจ้าจระเข้หงายท้องขึ้นทันที ฉับพลันนั้นเองชลาธลก็โถมตัวเข้ากอดท้องของโขนรามเอาไว้ เขาโอบโขนรามไว้แน่นพลางร้องเสียงดัง
“ย๊ากกกกก” ชลาธลเริ่มเหวี่ยงร่างของเจ้าจระเข้ยักษ์ไปข้างตัว เขาหมุนตัวไปรอบๆมือก็โอบร่างของโขนรามไว้แน่น ชลาธลหมุนตัวไปรอบแรงเหวี่ยงก็ค่อยๆมากขึ้นไปตามลำดับ
“ท่านั่นมัน ไจแอนท์สวิง นี่” ชายคนนึงร้องขึ้น แม้ว่ากฤษณาเองจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่ามันคืออะไร แต่ชลาธลหมุนตัวเร็วขึ้นๆ และเขาก็ปล่อยร่างของจระเข้ยักษ์ลอยขึ้นฟ้าไป
“ตู้ม” ร่างของโขนรามตกลงสู่ผิวน้ำเสียงดัง เจ้าโขนรามรีบว่ายน้ำหนีหัวซุกหัวซุนทันที ชลาธล หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเดินเข้าไปหาจิ๋วที่นั่งตาแป่วพลางยื่นมือส่งให้
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ชลาธลถาม
“ยะ อย่าเข้ามานะ” จิ๋วพูดพลางถอยตัวหนี ชลาธลก้มมองดูร่างของตน อักขระสีแดงยังส่องแสงอยู่ ผิวหนังที่เป็นตะปุ่มตะป่ำ เล็บที่งอกยาวโง้ง ดวงตาสีเหลืองดุดัน เขาพลันลืมนึกไปว่าเขาไม่ได้อยู่ในร่างของมนุษย์อยู่ตอนนี้ ชลาธลมองไปรอบตัว ผู้คนต่างจ้องมองเขาตาลุกวาว
“โป้ก” หัวของชลาธลโดนอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หัวของเขา ชลาธลหันไปมองชายคนนึงยืนจ้องหน้าเขา
“แกเป็นพวกเดียวกับมันนี่” ชายคนนั้นร้อง เสียงผู้คนเริ่มส่งเสียงร้องเซ็งแซ่
“กลับไป กลับไปนะ” ชายอีกคนตะโกนพลางขว้างปาข้าวของใส่ คนอื่นๆก็ทำตามไม่ต่างกัน ทุกคนล้วนแต่เขวี้ยงปาทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวใส่ชลาธล ชลาธลได้แต่ยืนปัดป้องอยู่อย่างนั้น
“จับมันไว้” ชายคนนึงพูดขึ้นพลางเหวี่ยงเชือกของเขามัดร่างของชลาธลเอาไว้
“เฮ้ย พวกเอ็งทำอะไรวะ” หลวงตายุทร้องห้าม
“มันเป็นจระเข้นะหลวงตา หลวงตาปล่อยให้มันเผ่นพ่านอยู่ในวัดได้ยังไงกัน” ชายคนนึงร้องตะโกน
“มันมีรูปร่างเหมือนจระเข้ก็จริง แต่มันก็ยังช่วยพวกเอ็งนะ” หลวงตายุทแย้ง
“ใช่สิ แล้วมันจะได้จับเด็กๆเรากินทีหลังไงละ” ชายอีกคนใส่ร้าย
“พูดบ้าๆ ธลเขาไม่ทำแบบนั้นหรอก” กฤษณาเริ่มช่วยเถียงอีกแรง
“พวกเอ็งใจเย็นๆกันก่อนสิวะ ไอ้ธลมันไม่คิดจะทำร้ายใครหรอกน่า” หลวงตายุทพยายามเกลี้ยกล่อม แต่ทันใดนั้นชายสองคนก็จับร่างของหลวงตายุทธเอาไว้
“ผมว่าหลวงตาโดนมันลงอาคมไปแล้วละมั้ง” ชายคนนึงพูด กฤษณาตาค้าง
“เฮ้ย ทำอะไรหลวงตานะ” กฤษณาพูดขึ้น แต่เขาเองก็โดนชายร่างผอมจับไว้อีกคน
“คนพวกนั้นอยู่ใกล้มันตลอดเวลา มันต้องโดนอาคมด้วยแน่ๆ จับมันให้หมด” ชายคนนึงออกคำสั่ง ชลาธลมองดูหลวงตาและกฤษณาโดนจับมัดด้วยเชือก ชลาธลกัดฟันแน่น
“พวกเขาไม่เกี่ยวนะ พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกเขาแค่โดนเราหลอกใช้เท่านั้น เขาไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ” ชลาธลส่งเสียงร้อง กฤษณาตาลุกวาว
“นายพูดอะไรนะ นายหลอกอะไร” กฤษณาแย้ง ชลาธลมองหน้ากฤษณาตาเศร้าๆ
“ขอโทษด้วยนะ กฤษ เราก็แค่ตีสนิทกับนายไว้เพื่อกะเข้าใกล้มนุษย์ไว้กินเวลาหิวๆเท่านั้นแหละ” ชลาธลตอบ กฤษณามองดูชลาธลพลางส่ายหัว
“นายโกหกใช่ไหม” กฤษณาพูด ชลาธลมองกฤษณาด้วยตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
“เรื่องเดียวที่เราโกหกก็คือที่บอกว่าเรารักนายไงละ” ชลาธลพูด กฤษณาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วคราว
“จับไอ้เข้นั้นมัดไว้” ชายอีกคนสั่งแล้วต่างคนต่างก็รุมจับตัวของชลาธลเอาไว้
“พาหลวงตากับไอ้เด็กนั่นไปห่างๆก่อน เพื่อคาถาอาจจะคลายได้” ชายอีกคนเสนอพลางดันร่างของกฤษณากับหลวงตายุทถอยห่างออกไป
“ธล ธล” กฤษณาร้อง ชลาธลมองหน้ากฤษณาเป็นครั้งสุดท้าย เขาขยับปากไปเบาๆ ที่แม้ว่ากฤษณาจะอยู่ห่างออกไปแต่เขาก็รู้ว่าชลาธลนั้นพูดคำว่าอะไร...

“ขอโทษนะคะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกพลางหันกลับไป
“อะ อือ” ชายหนุ่มตอบ
“ฉันพึ่งคิดออกนะคะว่าพรุ่งนี้จะแวะไปตลาด จะเอาอะไรด้วยไหมคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาในความมืด
“ไม่จ๊ะ ขอบใจนะ” ชายหนุ่มตอบพลางถอนหายใจยาว เขาเอาหน้าซุกเข้ากับหมอนเพื่อเช็ดรอยคราบน้ำตาที่มันกำลังจะเอ่อล้นออกมา
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 09-01-2007 22:38:44
มนุษย์นี่ช่างโหดร้ายจัง....
แล้วจะได้เจอชลาธลอีกไหมเนี่..ย...เฮ้อ
 :monkeysad: :monkeycry2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 10-01-2007 12:37:40
นิสัยมนุษย์ก็เป็นแบบนี้แหละ โหดร้ายเสมอ

แล้วจะเป็นยังไงต่อเนี่ย  :serius2:  :serius2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 10-01-2007 13:03:19
ฮือๆๆๆๆๆ ง่าๆๆๆๆๆ . . .   :monkeysad:
ไหนบอกมีแต่เรื่องหวานๆไงล่ะ
ไหงเป็นแบบนี้ :serius2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 11-01-2007 22:50:42
wee  แม้จะอยู่ใกล้แค่ไหน ถ้าหากเรารักคนนั้นแล้ว เขาจะอยู่ใกล้ๆในใจเราตลอดเวลา เชื่อปะ   :untrust:

shell  คนเราก็มีทั้งส่วนดี ส่วนแย่ปะปนกันไป คงเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมสังคมหล่อหลอมมา  :try2:

meemewkewkaw เค๊าป่าวน้า เรื่องมันไปเอง
 :3128:

*************************************

บทที่ 15

“เฮ้ย กฤษ ไปทานข้าวกัน” ชายคนนึงทักขึ้น

“อืม ไปเถอะวันนี้ท้องไม่ค่อยดี ไม่ค่อยอยากทานอะไรเท่าไหร่” ชายหนุ่มตอบ

“อ้าวหรอ เป็นอะไรมากก็ทานยานะ” ชายคนนั้นพูด ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะหันกลับมานั่งอย่างเหม่อลอยที่โต๊ะทำงาน ใจนึงเขาก็อยากกลับไปที่พิจิตรอีกครั้ง อีกใจนึงเขาก็กลัวจะทำใจไม่ได้ว่าเขาจะทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ล้วนแต่ชวนให้เขานึกถึงแต่อดีตที่ปวดร้าว...


ชาวบ้านจับชลาธลขังไว้ในกรงไม่ยอมให้ข้าวให้น้ำ ส่วนหลวงตายุทกับกฤษณาก็โดนคุมเข้มไม่ยอมให้ออกจากตัววัดเลย ขนาดว่าพ่อแม่ของกฤษณาเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใกล้ด้วยซ้ำ

“โถ่เว้ย” กฤษณาบ่นเสียงดังอย่างเจ็บใจ เขาอยู่ได้แต่ในกุฏิเท่านั้น พ่อแม่ของเขาก็คอยส่งข้าวส่งน้ำให้ไม่ขาด แต่เขาก็ยังออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี

“เอ็งจะบ่นไปก็เท่านั้นแหละ” หลวงตายุทกล่าวพลางนั่งสมาธิอย่างใจเย็น

“หลวงตาจะไม่ให้บ่นได้ไงละครับ นี่เขากำลังจะฆ่าธลนะ” กฤษณาพูดอย่างร้อนรน ภาพที่ชลาธลโดนจับตัวไปยังคงชัดเจนในหัวของเขา ซ้ำร้ายเขาอยู่ในวัดกับหลวงตาแบบนี้เขาไม่มีสิทธิ์รู้ข่าวใดๆเลย

“หลวงตาคุยกับธลเขาได้ไหมละครับ” กฤษณาเสนอความคิดเห็น เพราะเขาจำได้ว่าหลวงตายุทมักจะเรียกชลาธลโดยที่เขาไม่ได้ยินเสียงอยู่บ่อยๆ หลวงตายุทส่ายหัว

“คาถาเรียกจระเข้นะมันใช้ได้แค่เรียกให้จระเข้มาหาเท่านั้นแหละ ไม่ได้คุยหรอก เพียงแต่ถ้าข้าใช้คาถาแรงมากๆก็เป็นสัญญาณบอกมันว่าเรื่องใหญ่เท่านั้นเอง” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาถอนหายใจยาวพลางทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน

“เฮ้อ ทำไมธลเขาไม่หนีไปเลยนะ ปล่อยให้โดนจับง่ายๆแบบนั้นทำไมกัน” กฤษณาพูด หลวงตาส่ายหัว

“ก็เพราะว่าถ้าเขาหนีไปเฉยๆแบบนั้น คนที่จะซวยต่อมาไม่เอ็งก็ข้าไงละ” หลวงตายุทพูด กฤษณาสะดุ้งเล็กน้อย

“เขาจะหนีนะก็ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเขาหนีไปชาวบ้านก็จะสงสัยเราเพราะเราอยู่ใกล้กับไอ้ธลมากที่สุด ไอ้ธลมันรู้ถึงข้อนี้ดีมันถึงได้ยอมให้โดนจับไปง่ายๆแบบนั้นไงละ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้า

“งั้นที่ธลพูดแบบนั้นกับผม เพราะเขาไม่อยากให้ผมต้องลำบากใช่ไหมครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทพยักหน้า

“ข้าว่าเอ็งมองตามันก็รู้แล้วละมั้ง” หลวงตายุทพูดกึ่งแซว อันที่จริงกฤษณานั้นเข้าใจดีเสมอว่าที่ชลาธลพูดไปเพียงเพราะต้องการจะช่วยเหลือเขา

“เฮ้อ ไม่เห็นต้องเป็นห่วงกันขนาดนี้เลยนี่นา ถ้าทนไม่ไหวก็หนีไปด้วยกันเลยก็สิ้นเรื่อง” กฤษณาพูด

“การหนีปัญหานะมันก็ง่ายอยู่หรอก แล้วพ่อแม่เอ็งละเขาจะคิดยังไง แล้วถ้าเอ็งหนีก็ต้องมีคนตามล่า เอ็งจะต้องหนีไปอีกนานแค่ไหนกัน” หลวงตายุทพูด กฤษณาได้แต่พยักหน้ารับ

“เอาเถอะ ข้าต้องยอมรับว่าไอ้ธลเปลี่ยนไปมากเพราะเอ็งจริงๆ ถ้าเป็นแต่ก่อนมันคงเงียบๆไม่คิดจะพูดอะไรหรอก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาฟังพลางนึกภาพตามถึงครั้งแรกที่เขาไปเที่ยวกับชลาธล

“แฮะๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับ” กฤษณาถ่อมตัว หลวงตายุทยิ้ม

“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก ความรักยังไงก็เป็นสิ่งที่เข้มแข็งที่สุดอยู่ดี” หลวงตายุทพูด

“เฮ้ย ไอ้หนู แม่มึงเอาอาหารมาให้แล้ว” ชายคนนึงเดินถือถุงอาหารเข้ามาให้ กฤษณาเดินไปรับอย่างหน้าเซ็งๆ

“หลวงตาไม่หิวหรอครับ ผมไม่เห็นหลวงตากินข้าวเย็นเลย” กฤษณาพูด หลวงตายุทขมวดคิ้ว

“พระเขาไม่ฉันท์ตอนเย็นกัน นี่เอ็งไม่รู้จริงๆหรอ” หลวงตายุทพูด กฤษณาเกาหัวแกรกๆ

“เออ ใช่ ผมลืม” กฤษณาตอบ หลวงตายุทกรอกตาไปมา

“เออ ให้มันได้งี้สิ หัดตั้งใจเรียนกับเขาบ้าง เอาแต่เที่ยวเล่นประเดี๋ยวสอบตกขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่” หลวงตายุทเตือน กฤษณาพยักหน้าพลางยิ้มแห้งๆ

“งั้นผมไม่กินดีกว่า ทานไปก็ไม่อร่อย” กฤษณาตอบ หลวงตายุทส่ายหัว

“เอ็งเป็นพระหรือไงวะ เป็นเด็กเป็นเล็กกินๆเข้าไปเถอะจะได้โตไวๆ อีกอย่างถ้าเอ็งอยากจะช่วยไอ้ธลด้วยละก็” หลวงตายุทพูด กฤษณามองหน้า

“ช่วยธล” กฤษณาถามอย่างสงสัย

“คืนนี้ ข้าคงต้องพึ่งแรงเอ็งหน่อยละ” หลวงตายุทพูด กฤษณาตาโตขึ้นมา

“นะ นี่หลวงตา...”

“ชูว์ เบาๆสิ เดี๋ยวก็ความแตกกันพอดีหรอก” หลวงตายุทห้าม กฤษณาเอามือปิดปากเอาไว้ทันที

“คุยตอนนี้ไม่ค่อยสะดวก เอาไว้ข้าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง” หลวงตายุทกระซิบ กฤษณาก็พยักหน้ารับ

“เอ้า กินข้าวไปเยอะๆ เดี๋ยวต้องใช้แรงอีก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณายิ้ม

“ขอบคุณนะครับหลวงตา” กฤษณาพูด หลวงตายุทส่ายหัว

“ยังไม่รู้เลยจะได้ผลไหม ยังไม่ต้องรีบขอบคุณข้าไปหรอก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ

“รอหน่อยนะธล เราจะไปช่วยนายแล้ว” กฤษณาคิดอย่างตื่นเต้น ตกเย็นวันนั้นหลวงตายุทพากฤษณาไปที่ห้องเก็บหอกสัตตะโลหะ

“ข้าจะให้เอ็งนั่งสมาธิอยู่ที่นี่จนกว่าจะเที่ยงคืน แล้วถึงตอนนั้นข้าจะอธิบายส่วนที่เหลือ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณานั้นยังไม่เข้าใจนักแต่เขาก็นั่งสมาธิตามที่หลวงตายุทกล่าวไว้ แต่อย่างไรก็ตามกฤษณาไม่สามารถจะตั้งสมาธิไว้ได้เลยเพราะในใจของเขามีแต่เรื่องของชลาธลอยู่เต็มไปหมด

“นั่งนิ่งๆสิ” หลวงตาดุ กฤษณาพยายามตั้งสมาธิไปที่ลมหายใจแต่ประเดี๋ยวประด๋าภาพของชลาธลก็ลอยเข้ามา กฤษณาเริ่มกระสับกระส่ายไปมา

“หลวงตาผมทำไม่ได้หรอก” กฤษณาพูด หลวงตาขมวดคิ้ว

“ถ้าเอ็งอยากจะช่วยไอ้ธลมัน เอ็งต้องทำให้ได้ ตั้งสมาธิเอาไว้” หลวงตากำชับอีก กฤษณาถอนหายใจเบาๆพลางพยายามตั้งสมาธิให้แน่วแน่ที่สุด เขาตั้งสมาธิไปที่ลมหายใจเข้าออก ทุกครั้งที่เขาหายใจเข้า เขาจะคิดว่า พุท และทุกครั้งที่หายใจออก เขาจะนึกว่า โธ กฤษณาตั้งจิตอย่างแน่วแน่เมื่อใดที่มีภาพของชลาธลลอยมาเขาจะพยายามกลับไปที่ลมหายใจอีกครั้ง

“เอาละ พอแล้ว” หลวงตายุทพูด กฤษณาลืมตาขึ้นเขามองเห็นหลวงตาถือเทียนเล่มนึงไว้ในมือ หลวงตายิ้ม

“ถ้าบอกว่าทำเพื่อไอ้ธลนี่เอ็งทำได้ทุกอย่างจริงๆ มาเถอะได้เวลาแล้ว” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้า แล้วหลวงตายุทก็เดินหันหลังไปที่ตู้หนังสือ หลวงตายุทวางเทียนไว้ข้างๆ

“มาช่วยข้าดันไอ้นี่ออกไปหน่อย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาก็รี่เข้าไป หลวงตายุทและกฤษณาออกแรงพลักมันไป

“ครืดดด” เสียงตู้ที่ลากไปกับพื้นดังขึ้น กฤษณาสะดุ้งเล็กน้อย

“ไม่ต้องห่วงหรอก ยามมันแอบหลับอยู่” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“พลักอีกนิดนึงนะ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้าพลางออกแรงพลักตู้ออกไปอีกราวๆครึ่งเมตร หลวงตายุมก้มลงพลางเอาเทียนส่งไปที่พื้น มือของหลวงตายุทก็ลูบไปตามพื้นอย่างช้าๆราวกับกำลังมองหาอะไรสักอย่างนึงอยู่

“เจอละ” หลวงตายุทร้อง เขาวางเชิงเทียนไว้ข้างกายพลางเอามือวางที่พื้นแล้วออกแรงดัน

“ครืดดดด” เสียงของพื้นห้องเลื่อนถอยออกไปปรากฏเป็นช่องลับ กฤษณามองดูตาค้างๆ

“นี่เป็นช่องลับที่ไอ้ไกรทำไว้เวลาหนีเมียมันมา ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีประโยชน์ตอนนี้” หลวงตายุทพูด พลางหันมาหากฤษณา

“เอาละ ฟังให้ดีนะ ข้าจะให้เอ็งเข้าไปช่วยไอ้ธลมัน ตอนนี้ไอ้ธลโดนจับมัดอยู่ที่สถานีตำรวจ เอ็งต้องหาทางเข้าไปหามันให้ได้ แล้วให้มันดื่มน้ำนี่ เอ็งก็ดื่มด้วย เสร็จแล้วบอกให้ไอ้ธลบอกข้า มันรู้ว่ต้องทำยังไง แล้วข้าจะเดินคาถานิทราสลายฝัน” หลวงตายุทกล่าวพลางส่งขวดน้ำให้กฤษณา กฤษณาทำสีหน้างง

“นิทราสลายฝัน” กฤษณาย้ำ หลวงตาพยักหน้า

“เป็นคาถาลบความทรงจำนะ มันจะทำให้ทุกคนในระแวกหลับและเมื่อตื่นขึ้นมาความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่ไอ้ธลเป็นจระเข้ก็จะหายไป แต่ถ้าใครดื่มน้ำมนต์นี้คาถาก็จะใช้ไม่ได้ผล” หลวงตายุทพูด กฤษณาทำตาลุกวาวทันที

“โห หลวงตาแล้วทำไมไม่ใช้แต่แรกละครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทส่ายหัว

“คาถานี้ต้องใช้เวลา และเวลาที่ดีที่สุดก็คือ สองยาม บวกกับต้องใช้ควันสมุนไพรด้วย การจะเตรียมตัวยาก็ต้องใช้เวลานานแล้ว ข้าเองก็คิดไว้เหมือนกันว่าถ้าสักวันเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นข้าคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ข้าเลยให้ไอ้ธลไปเก็บสมุนไพรเอาไว้ ตอนนี้เห็นทีว่ามันจะไม่ใช่แค่รากไม้เก่าๆเสียแล้ว” หลวงตายุทพูด กฤษณาพยักหน้า

“รีบไปเถอะ ยังไงก็ระวังตัวด้วย แต่ข้ามั่นใจว่าเอ็งต้องทำได้” กฤษณาพยักหน้าพลางจะไต่ลงไปในช่อง

“เดินลงไปแล้วตรงไปเรื่อยๆนะ ถ้าเอ็งเห็นแสงนั้นคือทางออก” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ

“ไปเร็ว” หลวงตาสั่ง กฤษณาหย่อนตัวลงไปในช่องนั่นทันที เขามองทางข้างหน้านั้นแทบจะไม่เห็นเอาเลย กฤษณาเอามือกวาดไปรอบๆเขาก็ไม่พบอะไร กฤษณาสูดหายใจลึกก่อนจะเดินดุ่มๆไปตามทางเรื่องๆ เขาเดินพลางกวาดมือไปรอบๆ แล้วมือของเขาก็แตะกับอะไรบางอย่างเหมือนเป็นกำแพง กฤษณาตัดสินใจเดินเลียบไปตามกำแพงอย่างช้าๆ เขามองไม่เห็นทางข้างหน้าหรืออะไรทั้งนั้นเลย

“ไม่ได้ เราจะกลัวไม่ได้ ธลกำลังรอเราอยู่นะ” กฤษณาพูดพลางตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป เขาเดินไปสักพักเขาก็พบแสงเรืองๆอยู่ตรงหน้า กฤษณาไม่รอช้าเขารีบก้าวยาวไปยังแสงนั่น กฤษณาเงยหน้ามองขึ้นไป เขาก็พบกับตะแกรงเหล็กขวางเอาไว้ กฤษณาเอามือดันมันอย่างช้าๆ ตะแกรงก็ค่อยๆเปิดออก กฤษณาเอาขาถีบกำแพงพลางเอามือจับที่ขอบหลุมเอาไว้ เขาดันตัวเองขึ้นมาอย่างไม่ยากเย็นนัก กฤษณามองไปรอบๆตัวแล้วเขาก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่หลังวัดเรียบร้อยแล้ว กฤษณาไม่รอช้าเขาเดินก้มตัวอย่างเงียบกริบพลางมองไปรอบๆตัวอย่างระแวดระวัง ก่อนจะค่อยๆย่องออกจากบริเวณวัดไป สถานีตำรวจนั้นอยู่ไกลจากวัดไปพอสมควรเหมือนกัน แต่กฤษณาก็ไม่ได้ย่อท้อเขาพยายามรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ บางครั้งเขาก็ต้องคอยหลบคนที่เดินสวนไปมา แต่ความมืดนั้นก็พอจะช่วยอำพรางร่างของเขาได้บ้าง กฤษณาเดินดุ่มๆจนมาถึงสถานีตำรวจ ซึ่งเขาต้องตกใจเพราะมีคนยืนคุมทางเข้าอยู่อย่างหนาแน่น แถมโดยรอบยังมีสายสินจ์พันจนทั่ว กฤษณารู้สึกเป็นห่วงชลาธลขึ้นมาอย่างจับใจ

“รอก่อนนะธล เดี๋ยวเราจะหาทางช่วยนายให้ได้เลย” กฤษณาคิดอย่างมุ่งมั่นพลางมองไปรอบๆตัว เขาก็พบเศษกระป๋องน้ำ ถุงขนม เปลือกกล้วย แล้วกฤษณาก็ได้ความคิด เขาหยิบเอากระป๋องน้ำกับเปลือกกล้วยขึ้นมา กฤษณาจ้องไปที่ยามหน้าประตูคนนึงเขากำกระป๋องน้ำไว้แน่นแล้วเขาก็ขว้างไปสุดแรง

“โป้ก” กระป๋องน้ำหล่นใส่หัวของยามคนนั้นพอดี

“โอ๊ย ใครวะ” ยามคนนั้นร้อง

“มีอะไรวะ” ยามอีกคนร้องขึ้นบ้าง

“แม่ง ใครไม่รู้ขว้างขวดน้ำใส่กู” ยามคนเดิมบ่น

“เฮ้ ลุง เจ็บหรือเปล่า” กฤษณาร้องตะโกน ยามทั้งสองคนหันมาจ้องเขา

“เฮ้ย มึงขว้างกระป๋องใส่กูหรอวะ” ยามคนนั้นถามกลับ กฤษณาพยักหน้า

“ครับ แม่นไหมลุง” กฤษณายอกย้อน

“ปากดีนัก เดี๋ยวดูสิว่าถ้าปากแตกแล้วยังจะพูดอะไรได้อีกไหม” ยามสองคนนั้นไม่พูดปล่าวพลางวิ่งตรงเข้ามาหาทันที กฤษณายิ้มพลางโยนเปลือกกล้วยลงไปที่พื้น ยามสองคนมัวแต่มองไปที่กฤษณาจึงไม่ทันสังเกตเห็น ยามคนนึงเหยียบเข้าที่เปลือกกล้วย เขาลื่นล้มลงทันที มือก็คว้าชายเสื้อของเพื่อนเอาไว้ ฝ่ายอีกคนที่โดนคว้าเสื้อหน้าก็ทิ่มลงพื้นทันที คางของเขากระแทกพื้นสลบไสล ส่วนยามอีกคนก็หัวกระแทกกับพื้นไม่ได้สติเช่นเดียวกัน กฤษณายกมือเป็นเชิงขอโทษ

“อโหสินะลุง” กฤษณาพูดพลางรีบเข้าประตูไป พอเขาเข้าไป เขาก็รีบหลบข้างกำแพงทันที มีตำรวจเดินตรวจตราอยู่สองสามคนข้างใน กฤษณาใจเต้นแรง

“ช่วยด้วยค่าาา มีคนกำลังจะข่มขืน ช่วยด้วยค่าา” กฤษณาดัดเสียงให้แหลมสูงพลางร้องตะโกน ตำรวจสองสามคนนั้นได้ยินก็รีบวิ่งออกไปทันที กฤษณาก้มตัวหลบอยู่หลังประตูอย่างทันท่วงทีก่อนที่เขาจะรีบเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว สถานีตำรวจไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่การจะตามหาชลาธลนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย

“แล้วจะเริ่มจากไหนก่อนดีเนี่ย” กฤษณาถามตัวเองอย่างสับสน แต่พลันเขาก็เหลือบไปเห็นห้องข้องนึงที่มีเชือกผูกระโยงระยางเอาไว้ กฤษณาแทบไม่ต้องคิดเลยว่านั่นต้องเป็นที่ที่เขาจับชลาธลไว้แน่ๆ กฤษณาเดินตรงไปยังห้องขังนั่น กฤษณาแทบจะหยุดหายใจ ชลาธลโดนจับขึงห้อยต่องแต่ง บาดแผลโดนเขี่ยนเต็มร่างของเขาไปหมด เลือดไหลซิบๆเป็นทางตามตัว ใบหน้าเขียวช้ำจากการโดนทำร้าย แถมเนื้อตัวของเขายังมีรอยไหม้เป็นด่างดวงทั่วตัวไปหมด

“ธล” กฤษณาพูดพลางน้ำตาจะไหล ชลาธลค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ

“กะ กฤษ” ชลาธลพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง กฤษณารีบเข้าไปประชิดลูกกรงทันที

“ธล นี่ มันทำอะไรกับนายเนี่ย” กฤษณาพูด ชลาธลแทบจะไม่เชื่อสายตาว่ากฤษณานั้นอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

“กะ กฤษ นะ นาย แค่ก แค่ก” ชลาธลไอแห้งๆ กฤษณาเขย่าลูกกรง

“บ้าเอ้ย นายพังมันออกมาได้ไหม” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว

“มะ ไม่ได้ มันลงอาคมแปลกๆไว้” ชลาธลพูด กฤษณาเริ่มเอาเท้าทีบลูกกรงเสียดังเคร้งๆ

“นะ นายมาทำอะไรที่นี่นะ” ชลาธลถาม

“มาช่วยนายไง จริงสิ นายบอกหลวงตาทีว่าเราเจอนายแล้ว” กฤษณาพูด

“กฤษ ระวัง” ชลาธลร้อง กฤษณาหันหลังกลับไป ชายคนนึงต่อยกฤษณาเข้าที่ท้องเต็มแรง กฤษณาจุกจนพูดอะไรไม่ออก เขาก้มลงตัวคดคุดคู้ก่อนที่จะสลบไป

“เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน...” เสียงโหร้องเซ็งแซ่ดังขึ้น กฤษณาค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วเขาก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่ที่สถานีตำรวจแล้ว กฤษณาพยายามขยับตัวแต่ร่างของเขาก็ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา กฤษณามองไปรอบๆ แล้วเขาก็พบยามคนนึงที่หัวของเขาปูดบวม กฤษณาจำหน้าเขาได้ดี เขาคือยามที่กฤษณาปากระป๋องใส่นั่นเอง

“ตื่นแล้วหรอไอ้หนู” ยามคนนั้นพูดเสียงน่าสะพรึงกลัว กฤษณากลืนน้ำลายเล็กน้อยพลางมองไปตรงหน้า เขาพบร่างของชลาธลโดนมัดอยู่กับเสา ที่ใต้ขาของเขามีฟางกองไว้สุมหนา

“เผามัน เผามัน เผามัน เผามัน...” เสียงของคนดูที่มุงอยู่รอบๆโห่ร้องกึกก้อง

“ธล” กฤษณาร้องตะโกน

“แม่งหนังเหนียวชิบ มีดดาบอะไรก็ฆ่ามันไม่ตายสักที หมอเลยบอกว่าต้องเผา” ยามคนนั้นพูด กฤษณาเริ่มดิ้นไปมา

“ปล่อยนะ” กฤษณาคำราม ยามคนนั้นกลับยิ้มแสยะให้

“มึงดูมันตายจากตรงนี้นะดีแล้วละ” ยามคนนั้นพูด กฤษณากัดฟันแน่น

“ทำไมต้องทำกับเขาแบบนั้นด้วยละ เขาไม่เคยทำอะไรผิดนี่นา” กฤษณาแย้ง

“ไม่ผิดหรอ มันเป็นจระเข้นะ มึงยังไม่เคยเห็นสิ จระเข้ที่มันกินคนเป็นๆนะ สัตว์อย่างมันนะไม่มีหัวใจหรอก มันเลือกแต่จะกินอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเราไม่ฆ่ามัน มันนั่นแหละที่จะฆ่าเรา” ยามคนนั้นตอบกลับมา

“แล้วถ้ามันไม่ฆ่าเราละ เราจะยังต้องฆ่ามันอีกหรอก” กฤษณาย้อนอีก

“มันก็ต้องตัดไฟแต่โคนต้นลมสิ” ยามคนนั้นตอบ กฤษณากัดฟันแน่น

“มัน...” กฤษณายังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงนึงดังขึ้นมา

“ขอร้องละคะ” กฤษณาหันไปมอง จิ๋วยืนอยู่ตรงหน้าของชลาธล กฤษณาตาค้างเล็กน้อย

“เขาไม่เคยทำอะไรไม่ดีไม่ใช่หรอคะ แล้วทำไมเราต้องทำกับเขาแบบนี้ด้วย” จิ๋วพูด

“ก็มันเป็นจระเข้ มันจะมากินลูกหลานเรา” ชายคนนึงร้อง

“แล้วทีเราเอาหนังลูกหลานจระเข้มาทำกระเป๋าบ้าง เอาเนื้อมันมากินนี่มันต่างกันไหมละคะ” จิ๋วย้อน

“แต่มันทำร้ายมนุษย์” หญิงคนนึงตอบ

“แล้วที่เราทำอยู่นี่เขาเรียกว่าอะไรคะ ไม่ใช่ทำร้ายเหมือนกันหรอ” จิ๋วแย้งอีก

“เราก็แค่ป้องกันตัว” ชายอีกคนพูดบ้าง

“ป้องกันตัวจากอะไรคะ ฉันก็ไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไรให้ใครเดือดร้อนเลยนี่คะ” จิ๋วพูดอีก

“เราจะไว้ใจมันได้ยังไงละ เดี๋ยวมันก็อาละวาดขึ้นมา” หญิงคนนึงพูดขึ้น

“ฉันไม่คิดหรอกคะว่าเขาจะทำแบบนั้น” จิ๋วพูด

“เธอมีอะไรเป็นหลักฐานละ” ยามข้างตัวกฤษณาตะโกนถาม

“ทุกคนก็เห็นนี่คะ เขามีแรงมากพอที่จะยกจระเข้ตัวใหญ่นั่นปลิวกระเด็นออกไปได้ แล้วประสาอะไรกับคนตัวเล็กๆอย่างเราจะสู้ได้ แต่เขาก็ไม่คิดจะคัดขืน ฉันถามหน่อยเถอะคะ ตอนที่คุณๆจับเขามาเนี่ย เขาดิ้นบ้างไหม เขาอาละวาดบ้างไหม เท่าที่ฉันเห็นก็คือเขาเดินตามพวกคุณไปอย่างเงียบๆ ขนาดว่าเขาโดนจับมัดขนาดนี้ ถ้าเขาจะกระชากเชือกให้ขาดเขาก็ทำได้ทำไมเขาไม่ทำ เคยคิดบ้างไหมคะ” จิ๋วพูด ผู้คนเริ่มซุบซิบนินทา

“แค่เพราะเขาเป็นจระเข้ ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเป็นคนไม่ดีนี่คะ ขนาดมนุษย์อย่างเรายังมีทั้งคนดีและไม่ดีเลย ฉันเองก็ว่าสัตว์อื่นๆมันก็ไม่ต่างกันหรอกคะ เขาช่วยชีวิตฉันไว้จากจระเข้ตัวนั้น สำหรับฉันแล้วเขาคือผู้มีพระคุณนะคะ” จิ๋วตอบ พลันก็มีร่างของชายหญิงสองคนเดินเข้ามา

“ผมคือ พ่อแม่ของเธอนะครับ คือ ผมอยากจะขอร้องให้ปล่อยตัวเขาไปเถอะนะครับ เขาช่วยชีวิตลูกสาวเราไว้ แล้วเราจะฆ่าเขาเพียงเพราะเขาไม่เหมือนกับคนอื่น มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรอครับ” พ่อของจิ๋วพูดขึ้น คนที่ยืนมุงล้อมต่างมีสีหน้าสลด

“ตะ แต่ถ้ามันเกิดอาละวาดขึ้นมาใครจะรับผิดชอบละ” ชายคนนึงถาม

“ข้าเอง” เสียงของหลวงตายุทดังขึ้น ทุกคนหันกลับไปมอง กฤษณาตาค้างเล็กน้อยเพราะคนที่พาหลวงตายุทมาก็คือพ่อแม่ของเขานั่นเอง

“ไอ้ธลนะ มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ข้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ และมันเองก็ช่วยข้าจัดการเรื่องจระเข้ตั้งหลายต่อหลายครั้ง ทั้งตอนที่ไอ้เข้มันบุกขึ้นฝั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็ได้มันช่วยดูแลให้ เท่าที่ข้ารู้มามันไม่เคยก่อเรื่องอะไรและข้าก็ไม่คิดว่ามันจะทำด้วย อย่างที่สีกากล่าวนั่นแหละ ถ้ามันคิดจะทำนะ มันทำไปนานแล้ว” หลวงตาพูด ผู้คนเริ่มมีสีหน้าสลดลง ยามข้างตัวของกฤษณาลุกขึ้นพลางเดินไปที่ชลาธล เขาคุกเข่าลงพลางหยิบเอามีดพกออกมา

“ฉั๊วะ” เขาตัดเชือกที่มัดร่างของชลาธลออก ชลาธลลงมาคุกเข่าที่พื้นพลางมองหน้า

“ขอบคุณนะ ที่ช่วยฉันกับพ่อจากจระเข้นะ” ชายคนนั้นพูด

“ตอนฉันเด็กๆ ฉันกับพ่อไปล่องเรือ แต่แล้วก็มีจระเข้เข้ามาจู่โจม ตอนแรกฉันก็คิดว่าคงไม่รอดแต่แล้วก็มีเงานึงโพล่เข้ามาไล่จระเข้นั่นไป ตอนแรกพ่อฉันบอกว่าคงเป็นเทวดามาช่วยไว้ ตอนนั้นฉันก็เชื่ออย่างนั้น แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วละว่าเทวดาองค์นั้นอยู่ที่นี่เอง” ยามคนนั้นตอบพลางยกมือไหว้ชลาธล

“ฉันมัวแต่คิดมองหาแต่เทวดาที่มีรัศมีสีทองล้อมกาย จนลืมมองรัศมีสีทองในใจของเธอ ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ” ชายคนนั้นพูด ชลาธลอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก

“อะ อืม คือ...” ชลาธลพูดอะไรไม่ออก เขามองไปที่กฤษณาที่โดนมัดเอาไว้ ชลาธลเดินพยุงร่างอันสะบักสะบอมของเขาไปหากฤษณา ผู้คนต่างหลีกทางให้เขา ชลาธลเดินเข้าไปใกล้พลางคุกเข่าลง แรงของเขาแทบไม่มีเหลือเขาซุกลงที่ไหล่ของกฤษณา

“นาย เป็นอะไรหรือเปล่า” ชลาธลถาม กฤษณาถึงกับอดหัวเราะไม่ได้

“เราต่างหากที่น่าจะถามคำถามนั้นนะ นายนี่จะห่วงคนอื่นไปถึงไหนกัน” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มเล็กน้อย

“เราไม่เป็นไรหรอก สิ่งเดียวที่จะทำให้เราเจ็บปวดคือน้ำตาของนายนะ” กฤษณาพูดแก้มแดงๆ ชลาธลยิ้ม

“เราก็ห่วงแต่นายคนเดียวนั่นแหละ” ชลาธลพูด กฤษณายิ้มพลางเอียงคอไปซบที่ศีรษะของชลาธล ความอบอุ่นนี้เหมือนเขาห่างจากมันมานานเหลือเกิน ตกเย็นวันนั้นผู้คนต่างจัดงานเลี้ยงขอโทษให้กับชลาธล แต่จะว่าไปก็เหมือนกับเลี้ยงกันเองเสียมากกว่าเพราะชลาธลนั้นกินเนื้อไม่ได้นั่นเอง

“ขอบใจเธอมากเลยนะที่ช่วยฉันไว้” จิ๋วกล่าว ชลาธลยิ้มเขินๆ

“เราเองก็ขอบใจเธอนะ ที่ช่วย” ชลาธลตอบ กฤษณาเอาศอกกระทุ้งเอวของชลาธลเบาๆ

“เห็นมะ บอกแล้วว่าถ้านายไม่กลัวเสียอย่างใครๆก็อยากจะเป็นเพื่อนนาย” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มเขินๆ

“เป็นไงบ้างไอ้ธล” หลวงตายุทเดินเข้ามาถาม ชลาธลและคนอื่นๆต่างยกมือไหว้

“ครับ ก็แผลจากพวกอาคมของหมอผีมันยังไม่หายเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เจ็บมากแล้วละครับ” ชลาธลตอบ หลวงตาก็พยักหน้า

“จิ๋วจ๊ะ กลับบ้านได้แล้วลูก” เสียงของหญิงสาวดังมา จิ๋วหันไปตะโกนรับ

“คะแม่” เธอตอบพลางหันกลับมาทางเพื่อนของเธอ

“ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ” จิ๋วพูด

“เออ วันเสาร์นี้ว่างไหม” กฤษณาถาม จิ๋วก็พยักหน้า

“อืม เดี๋ยวจะพาเที่ยว” กฤษณาตอบ จิ๋วยิ้มรับ

“จ้า แล้วคุยกันนะ” จิ๋วพูดพลางรีบวิ่งกลับไปหาแม่ของเธอ หลวงตายุทหันมาทางกฤษณาและชลาธล

“เอาละ ทีนี้ดื่มน้ำนั่นซะ” หลวงตาพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“น้ำอะไรหรอหลวงตา” กฤษณาถาม

“ก็น้ำมนต์ไง คืนนี้ข้าจะลงคาถานิทราสลายฝัน” หลวงตายุทพูด แต่กฤษณาขมวดคิ้ว

“ทำไมละครับ ก็ในเมื่อทุกคนเข้าใจหมดแล้วนี่ครับ” กฤษณาตอบ หลวงตายุทส่ายหัว

“เราไว้ใจไม่ได้หรอก อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้ จะมีกี่คนที่ไว้ใจได้กันเชียว” หลวงตายุทพูด ผมมองหน้าชลาธล นี่หมายความว่าเขาต้องกลับไปอยู่คนเดียวอีกแล้วอย่างนั้นหรือ

“แต่แบบนี้ธลเขาก็เหงาสิครับ” กฤษณาตอบ ชลาธลจับไหล่ของผมเอาไว้

“เราไม่เหงาหรอก เราก็มีนายอยู่ข้างๆแล้วไง” ชลาธลกล่าว กฤษณามองหน้าเขา

“เราจะไม่ทิ้งนายไปไหนเลยนะ เราสัญญา” กฤษณากล่าว ชลาธลกอดร่างของกฤษณาไว้อย่างแนบแน่น

“เรารู้ เราเองก็เชื่ออย่างนั้น” ชลาธลพูดกฤษณากอดร่างของชลาธลตอบกลับไป ความอบอุ่นที่เป็นของจริง และเหมือนจะบอกกับเขาว่าทั้งสองจะไม่มีวันแยกไปไหนเด็ดขาด

“ว่าแต่หลวงตา ทำไมผมต้องนั่งสมาธิด้วยละ มันมีผลต่อคาถาหรอครับ” กฤษณาถาม หลวงตายิ้ม

“เปล่าหรอก แค่ข้าอยากให้เอ็งนั่งเงียบๆเท่านั้นแหละ เพราะถ้าขืนปล่อยให้เอ็งคิดฟุ้งซ่านเดี๋ยวเอ็งก็สติแตกกันพอดี” หลวงตาพูด กฤษณายิ้มแห้งๆอย่างเขินอาย

“ก็คนมันเป็นห่วงนี่นา” กฤษณาพูดพลางเหลือบมองชลาธล สายตาที่จ้องประสานกัน แม้ไม่มีคำพูดใดๆแต่ทั้งสองก็สื่อใจถึงกันได้เสมอ...


ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเอาไว้พลางแหงนมองเพดาน มันเกือบยี่สิบปีแล้วที่เขาห่างจากคนที่เขารัก แม้ทุกวันนี้เขาก็ยังคงมีชลาธลอยู่ในใจไม่ลืม ชายหนุ่มตบแก้มตัวเอง

“เราต้องตั้งใจทำเรื่องตรงหน้าให้ดีที่สุด ตอนนี้เรามีครอบครัวแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดพลางเตือนสติ แม้ว่าในใจลึกๆของเขานั้นจะยังไม่เคยลืมชลาธลเลยก็ตาม

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 11-01-2007 23:33:15
ความรักนี่มันช่างยิ่งใหญ่จริงๆเนอะ.....
ไม่ว่ามันจะเกิดกับใคร....ระหว่างใคร....
 :impress2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-01-2007 08:21:29
ฉันมัวแต่คิดมองหาแต่เทวดาที่มีรัศมีสีทองล้อมกาย จนลืมมองรัศมีสีทองในใจของเธอ   :monkeysad:

ก็ยังเดาไม่ถูกอยู่ดีว่าเรื่องจะไปในแนวไหน แต่ก็ชอบนะ แต่งได้ดีจริง ๆ  :impress3:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 12-01-2007 20:00:46
 :seng2ped:  คนรักกันแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ เศร้าง่ะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 12-01-2007 20:43:45
อ่านตอนนี้แล้วใจพองเลยอ่ะ
มีความสุขจัง :impress:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: peang ที่ 16-01-2007 08:59:30
หายไปไหนอ่ะ  อ่านกะลังซึ้งๆเลยอ่า :impress3:  รึว่าจบแล้วหรอ มะยอมน๊า :monkeycry2: มาไวๆน๊า  รออย่างใจจดใจจ่อเลย 

แอบมีลุ้นๆ ให้พระ นาง ได้เจอกันตอนกลับไปเยี่ยมบ้นนะเนี่ย  :monkeylove2:  โอ้ว.......คิดไปไกลละ :haun1:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 17-01-2007 19:27:24
บางครั้งชีวิตก็ถูกทำให้ต้องเดินไป เมื่อตอนที่มีความสุข จงอยู่กับมันให้เต็มที่
เพราะอนาคตข้างหน้าเป็นเช่นไรไม่อาจรู้

*************************************


บทที่ 16

“คุณโทรบอกคุณพ่อของคุณหรือยังคะ” หญิงสาวหันมาถามชายหนุ่มที่พึ่งจะแปรงฟันเสร็จ

“ยะ ยังเลยจ๊ะ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เอ๋า เดี๋ยวคุณพ่อก็ว่าอีกหรอกคะ” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้มั้งยังอีกตั้งอาทิตย์นึงแหนะ” ชายหนุ่มแก้ตัว

“อะไรกัน คราวก่อนที่จะไปบอกช้าไปหน่อยเดียวคุณโดนคุณพ่อเล่นงานเสียอ่วมเลย” หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“ไว้พรุ่งนี้เย็นๆผมโทรไปแล้วกันนะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางเดินขึ้นไปนอนบนเตียงข้างหญิงสาว

“นานแล้วนะคะที่ไม่ได้เจอคุณพ่อนะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ

“จ๊ะ แต่เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วไง” ชายหนุ่มกล่าวพลางล้มตัวลงนอน นานหลายปีทีเดียวที่เขาไม่ได้กลับไปที่บ้านของเขา เพราะมันรังแต่จะทำให้เขานั้นหวนรำลึกถึงเรื่องเก่าๆ เรื่องที่เขาไม่อาจจะลืมเลือนได้ เรื่องของ ชลาธล...


ช่วงฤดูกาลสอบที่ใกล้เข้ามาทุกขณะทำให้กฤษณานั้นหัวแทบปั่นเพราะด้วยที่ว่าเป็นคนไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่นักเขาจึงมักจะเป็นเดือดเป็นร้อนเสมอเวลาใกล้จะสอบ

“โอ๊ย จะสอบแล้วหรอเนี่ยทำไมมันเร็วอย่างนี้ละวะ” กฤษณาบ่นกระปอดกระแปด จิ๋วที่นั่งอยู่ข้างๆส่ายหัวไปมา

“ก็บอกให้ทำการบ้านบ่อยๆก็ไม่เชื่อ” จิ๋วเหน็บ กฤษณามองหน้าจิ๋วค้อนๆ

“อะไรกัน ไม่ช่วยยังจะตอกย้ำกันอีก” กฤษณาพูดพลางเบ้ปาก จิ๋วกรอกตาไปมา

“ไม่ได้บอกสักคำนี่ว่าจะไม่ช่วยนะ” จิ๋วพูด กฤษณาตาลุกวาวขึ้นมาทันที

“พูดจริงดิ” กฤษณาย้ำ จิ๋วพยักหน้า

“จ้า จะติวให้ก็ได้” จิ๋วตอบ กฤษณายิ้มแป้นพลางจับมือจิ๋วบีบไว้แน่น

“จริงหรอ ขอบใจมากๆ” กฤษณาตอบ ส่วนจิ๋วนั้นได้แต่มองหน้าเขาแก้มแดงๆ

“อะ เออ เอาเป็นพรุ่งนี้ที่บ้านฉันนะ สิบโมง” จิ๋วพูด กฤษณาพยักหน้าพลางยกมือขึ้นมาจับไหล่ของจิ๋วไว้

“เธอนี่เพื่อนดีจริงๆเลย ขอบใจนะ” กฤษณาพูดเป็นภาษาเหนือ พลางจ้องหน้าจิ๋วตาเขม็ง

“วะ เวอร์น่า” จิ๋วตอบแก้มแดงๆพลางหลบหน้าของกฤษณาไป ก่อนที่ทั้งสองจะเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน กฤษณานั่งรถไปส่งจิ๋วเหมือนทุกครั้งและเขาก็ต้องแวะไปหาชลาธลที่วัดเป็นประจำเช่นกัน กฤษณาและจิ๋วไปถึงประตูวัดชลาธลก็ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มให้ทั้งสอง

“ไง ธลคอยนานไหม” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัวไปมา

“ไม่นานหรอก” ชลาธลตอบพลางหันไปยิ้มให้จิ๋ว

“สวัสดีจ๊ะธล เป็นไงบ้าง” จิ๋วทัก ชลาธยพยักหน้ารับ

“สบายดีจ๊ะ” ชลาธลตอบ

“เดี๋ยวเราไปส่งจิ๋วเขาก่อนนะ” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้ากฤษณาแล้วก็เหลือบตาไปมองจิ๋ว

“แล้วจะกลับมาไหม” ชลาธลถาม กฤษณาพยักหน้า

“อืม แน่นอน ไม่นานหรอกแค่นี้เอง” กฤษณากล่าวพลางเดินจับมือของจิ๋วนำไป

“นะ นี่ นี่ ฉันไม่ใช่เด็กนะ ไม่ต้องจับมือก็ได้” จิ๋วร้องทัก กฤษณาปล่อยมือออกทันที

“อะ แหม ก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง” กฤษณาพูด จิ๋วถึงกับใจเต้นตึกตัก

“หะ ห่วงอะไรนะ” จิ๋วพูดเสียงสั่นเล็กน้อย

“ก็ เธอออกจะกลมเป็นลูกบาสขนาดนี้ ฉันก็เป็นห่วงสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กฤษณาตอบ จิ๋วได้แต่หัวเราะแห้งๆกลับไป

“อะนะ เดี๋ยวก็ไม่สอนเสียเลยนิ” จิ๋วงัดเอาไม้เด็ดมาขู่ กฤษณาจับมือของจิ๋วพลางส่งสายตาอ้อนวอน

“โอ๋ๆๆ อย่างอนจิ ล้อเล่นหน่อยเดียวเองนะ” กฤษณาพูด จิ๋วกลับเชิดหน้าใส่

“เฮาจะบ่าแก้งตั๋วแล้วเน่อ ดีกันเน่อ” กฤษณาอ้อนเป็นภาษาเหนือ จิ๋วมองดูสายตาอ้อนวอนของกฤษณาแล้วเธอก็อดขำไม่ได้

“ก็ได้ๆ แต่อย่ามาสายละ” จิ๋วพูด กฤษณาก็ทำท่าวันทยาหัตร

“ครับผม” กฤษณาพูดพลางกระทบรองเท้าเข้าเสียงดังราวทหารทำเอาจิ๋วอดหัวเราะไม่ได้

“ดีมาก เจ้ากลับไปได้แล้ว” จิ๋วพูดพลางเชิดหน้าใส่ กฤษณายิ้มให้

“ขอบใจนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” กฤษณากล่าวพลางหันหลังวิ่งกลับไป จิ๋วโบกมือลาช้าๆพลางมองดูกฤษณาค่อยๆวิ่งหายไปจนลับตา ไม่นานกฤษณาก็วิ่งกลับมาที่วัด ชลาธลยืนมองดูกฤษณาพลางส่งยิ้มให้

“ขอโทษทีคอยนานไหม” กฤษณาทัก ชลาธลส่ายหัว

“ไม่นานหรอก แล้ววันนี้เป็นอย่างไรบ้างละ เรียนเหนื่อยไหม” ชลาธลถาม กฤษณาถอนหายใจยาว

“ก็จะสอบแล้วละ เฮ้อ เราละไม่อยากสอบเอาเลย” กฤษณาพูดบ่นๆ ชลาธลยิ้ม

“เราเองไม่ค่อยรู้หรอกนะว่าสอบมันเป็นยังไง แต่นายก็พยายามให้เต็มที่ก็แล้วกันนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาหันมายิ้มแห้งๆ

“ฮะๆ เราคงต้องหวังพึ่งจิ๋วเขาละมั้ง เธอนะเรียนเก่ง” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้า

“อะ อืม พะ พึ่งยังไงหรอ” ชลาธลถาม กฤษณายิ้ม

“อ๋อ พรุ่งนี้จะไปติวที่บ้านเธอนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลตาลุกเล็กน้อย

“ไปติวนี่ ทำอะไรบ้างหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาเกาหัว

“กะ ก็เหมือนไปทบทวนบทเรียนอะไรงี้อะ” กฤษณาอธิบาย ชลาธลพยักหน้า

“แล้วไปกันกี่คนหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาคิด

“อืม คงมีแค่เราคนเดียวละมั้งเพราะเราก็ไม่เห็นว่าจิ๋วจะชวนใครไปเลยนี่นา” กฤษณาพูดตามที่คิด ชลาธลกลืนน้ำลายเล็กน้อย

“อืม แล้ว เออ นายจะไปทั้งวันเลยหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“ก็คงงั้นมั้ง ก็หลายวิชาอยู่อะนะ เผลอๆอาจจะหลายวันด้วยยิ่งสมองแบบเราด้วยแล้วละก็” กฤษณาพูด ชลาธลก้มหน้าลงพลางถอนหายใจเบาๆ

“นายมีอะไรหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้ากฤษณา

“อืม คือ เราไปด้วยได้ไหม” ชลาธลถาม กฤษณาทำตาลุกวาว

“นายไม่มีเรียนแล้วนายจะไปติวกับเขาทำไมเล่า” กฤษณาแย้ง ชลาธลเริ่มแสดงอาการกระอักกระอ่วน

“อะ อือ ก็เราไปเป็นเพื่อนไง” ชลาธลเริ่มแก้ตัว กฤษณามองหน้าชลาธลเขม็ง

“ธล นายมีเรื่องอะไรงั้นหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลหลบสายตากฤษณาไปเล็กน้อย

“กะ ก็ คือ เฮ้อ บอกตามตรงนะ เราไม่อยากให้นายไปกับจิ๋วตามลำพังสักเท่าไหร่” ชลาธลพูด กฤษณาขมวดคิ้วเข้าหากัน

“ทำไมละ หลวงตาก็ลบความทรงจำตอนนั้นออกไปแล้ว เขาไม่รู้หรอกน่าว่านายเป็นอะไร แล้วเราก็สัญญาเลยว่าเราจะไม่พูดเรื่องของนายอีกเด็ดขาด” กฤษณาพูดอย่างหนักแน่น ชลาธลถอนหายใจอีกครั้ง

“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” ชลาธลพูดนั่งยิ่งทำให้กฤษณาขมวดคิ้วหนักขึ้น

“แล้วมันเรื่องอะไรหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลถอนหายใจ

“นายไม่คิดบ้างหรอว่าจิ๋วเขาอืม พยายามทำตัวสนิทสนมกับนายนะ” ชลาธลถาม กฤษณาหันมามองชลาธลด้วยสายตาแปลกๆ

“ก็เขาเป็นเพื่อนเรานี่นา” กฤษณาแย้ง ชลาธลมองหน้ากฤษณาอีกครั้ง

“แค่เพื่อนจริงๆหรอ” ชลาธลถามอีก กฤษณามองหน้าชลาธลด้วยคำถามเต็มศีรษะ

“ทำไมหรอ นายคิดว่าเราจีบจิ๋วงั้นหรอ” กฤษณาถามกลับ ชลาธลส่ายหัว

“ไม่ใช่หรอก แต่เราว่าจิ๋วกำลังจีบนายนะ” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้าชลาธลตาค้างๆ แล้วพลันเขาก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ อย่างนั้นเนี่ยนะจีบ โอ๊ย นายนี่คิดมากเป็นบ้าเลย เขาก็แค่แซวกันเล่นๆแค่นั้นเอง จิ๋วเขาไม่คิดอะไรกับเราหรอกน่า ยัยนั่นมีดีก็แต่แซวเราสารพัดนั่นแหละ” กฤษณาพูด ชลาธลเบ้ปากเล็กน้อย กฤษณาเอามือคล้องคอของชลาธลเอาไว้

“อย่าคิดมากเลยนะ เรากับจิ๋วก็แค่เพื่อนกันจริงๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นหรอกน่า ยังไงๆเราก็ไม่ทิ้งนายอยู่แล้วละน่า” กฤษณาพูด ชลาธลมองกฤษณาพลางถอยหายใจเล็กน้อย

“อืม เราก็เชื่ออย่างนั้น อืม เราคงคิดมากไปหน่อย ขอโทษทีนะ” ชลาธลพูด กฤษณายิ้มให้เล็กน้อยที่มุมปาก

“เอาน่า แหมแต่นายนี่ก็ขี้หึงเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย” กฤษณาแซว ชลาธลมองหน้ากฤษณาค้อนๆ

“ก็แหงสิ นายออกจะดูดีขนาดนี้ ขืนปล่อยให้หลุดไปเสียดายแย่” ชลาธลกล่าว กฤษณายิ้ม

“ต่อให้ไม่จับก็จะเกาะไม่ปล่อยเองนั่นแหละ” กฤษณาพูด ชลาธลก็ยิ้มรับก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปที่บ้านของกฤษณา

“วันนี้นายมานอนบ้านเราสิ ถือว่าชดเชยที่พรุ่งนี้เราไม่ได้อยู่กับนายก็แล้วกัน” กฤษณาชวน ชลาธลก็พยักหน้ารับด้วยแก้มที่แดงแจ๋ ทั้งสองทานข้าวเสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ ชลาธลถอดเสื้อออกเผยแผ่นอกกว้างหน้า บาดแผลจากการถูกทำร้ายจางลงไปมากแต่ก็ไม่หายขาด กฤษณาลูบมือของเขาไปตามบาดแผลนั่น

“นายคงเจ็บมากสินะที่ต้องเจอกับอะไรแบบนี้” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัวเล็กน้อย

“มันเจ็บแค่คืนเดียวก็หายแล้ว ต่อให้ต้องเจ็บมากกว่านี้เราก็ยอมถ้ามันช่วยนายได้นะ” ชลาธลพูด กฤษณากอดร่างของชลาธลเอาไว้

“นายไม่ต้องเจ็บคนเดียวอีกแล้วละ เราจะแบ่งกันนะ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้ารับพลางกอดร่างของกฤษณาตอบกลับไป ทั้งสองเดินลงไปยังห้องอาบน้ำ ชลาธลเหลือบมองดูกฤษณา ร่างที่สูงเพรียว หน้าท้องแบนราบ กับแผ่นอกที่แน่นทำเอาใจของชลาธลนั้นเต้นสั่นระรัว ทั้งสองลงมาถึงห้องอาบน้ำต่างก็ชำระร่างกายของตนเอง

“เดี๋ยวเราถูหลังให้” กฤษณาเสนอ ชลาธลก็หันหลังให้ กฤษณาถูมือไปมาจนสบู่เป็นฟองขาว พลางค่อยๆลูบมือของเขาไปตามร่างของชลาธลอย่างช้าๆ เขาค่อยๆบรรจงเลื่อนมือของเขาลงไปที่ไหล่กว้างก่อนที่จะเลื่อนลงไปที่แผ่นหลังหนา มือทั้งสองของกฤษณาลากไปจนถึงเอว ก่อนจะวกกลับขึ้นมาที่ไหล่ของชลาธล

“ถูให้เราบ้างสิ” กฤษณาร้อง ชลาธลหันกลับไปถูหลังให้กฤษณา โดยที่ไม่ได้ตั้งตัวชลาธลกอดร่างของกฤษณาทั้งๆอย่างนั้น

“ฮะ เฮ้ย ธล” กฤษณาร้อง

“ขอเราอยู่อย่างนี้สักพักนะ” ชลาธลพูด กฤษณาไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ชลาธลกอดกฤษณาอยู่สักพักกฤษณาก็จับมือของชลาธลยกออก

“รีบขึ้นกันดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้ารับอย่างเสียดาย ทั้งๆที่ใจจริงเขาอยากจะกอดกฤษณาตลอดไป ทั้งสองเดินขึ้นมาแต่งตัวที่ห้องของกฤษณา ทั้งสองนอนลงบนเตียงข้างกัน

“ราตรีสวัสดิ์นะ” ชลาธลกล่าว กฤษณาหัวเราะในลำคอพลางโน้มตัวมาจูบที่ปากของชลาธลอย่างดูดดื่ม ชลาธลถึงกับอึ้งไปชั่วคราว

“เรากอดนายได้ไหม” กฤษณาถาม ชลาธลได้แต่ยิ้มเขินแก้มแดงไม่ได้ตอบอะไรก่อนที่ทั้งสองจะหลับกันไปภายใต้อ้อมกอดอันตลบอบอวลไปด้วยความรัก เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ แต่กฤษณานั้นมีนัดที่จะต้องไปให้จิ๋วติววิชาที่จะสอบให้ เมื่อกฤษณานั้นพาชลาธลมาส่งถึงที่วัดแต่ชลาธลกลับมีสีหน้าไม่สบายใจนัก

“เอาน่า ก็บอกแล้วไงว่าเธอนะไม่คิดอย่างนั้นหรอก” กฤษณาพูดอย่างให้กำลังใจ ชลาธลพยักหน้าหงึกๆ

“อืม แต่ยังไงเราก็ไม่อยากอยู่ห่างจากนายอยู่ดี” ชลาธลพูด กฤษณากอดคอชลาธลเอาไว้ทันที

“ไม่ต้องคิดมากน่า เอางี้ แล้วเราจะกลับมาหานายก่อนกินข้าวเย็นแล้วกัน ตกลงไหม” กฤษณายื่นเงื่อนไข ชลาธลพยักหน้า

“ดีมาก แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมานะ” กฤษณากล่าวพลางรีบเดินไปที่บ้านจิ๋วทันที ไม่นานนักกฤษณาก็มาถึงบ้านใหญ่หลังงาม กฤษณากดกริ่งประตูบ้านสักพักจิ๋วก็เดินออกมา

“มาตรงเวลาเป็นเหมือนกันนี่นา” จิ๋วแซว กฤษณายิ้ม

“ก็แหม ขืนมาสายแล้วเธอเบี้ยวไม่สอนก็ยุ่งอะดิ” กฤษณาแซว จิ๋วพยักหน้าเออออพลางเปิดประตูให้กฤษณาเข้าไปข้างใน ทั้งสองเดินเข้ามาในบ้าน

“จะเอาน้ำอะไรไหม” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“ไม่ต้องหรอกรีบสอนก่อนดีกว่า กลับช้ามากเดี๋ยวไอ้ธลมันคลั่งตายเอา” กฤษณากล่าว

“แหม ติดกับธลหยั่งกับปาท่องโก๋เชียวนะ เป็นแฟนกันหรือไง” จิ๋วถาม กฤษณาเหล่ตา

“ก็คนมันสนิทกันก็เลยคิดถึงกันเป็นธรรมดาแหละน่า” กฤษณาแก้ตัว จิ๋วยิ้มรับ

“จ้าๆ งั้นเริ่มจากเลขก่อนเลยแล้วกัน” จิ๋วเสนอ กฤษณานั้นกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอเพราะนี่เป็นวิชาที่เขาอ่อนที่สุดเลย แล้วการสอนของจิ๋วก็เริ่มขึ้น กฤษณายอมรับว่าจิ๋วนั้นเขี้ยวกว่าอาจารย์ที่สอนเสียอีก

“ไม่ได้ นี่บอกกี่ทีแล้วไงว่าต้องหารก่อนแล้วค่อยคูณ เดี๋ยวทำแบบฝึกหัดเพิ่มอีกข้อนึงนะ” จิ๋วพูด กฤษณาถึงกับเบ้ปากเพราะนี่เขาทำมาเกือบสิบข้อแล้ว

“โห ขอพักก่อนไม่ได้หรอ นี่ก็จะเที่ยงแล้วนะ เราหิวข้าวแล้วอะ” กฤษณาแย้ง จิ๋วทำตาโตใส่

“ได้ไง นี่ยังไม่เข้าใจเลยนี่นาต้องทำจนกว่าจะเข้าใจนั่นแหละ” จิ๋วแย้ง แต่กฤษณาก็ยังคงส่งสายตาอ้อนวอน

“นะ นะ นะ ขอกินข้าวหน่อยเถอะ เราหิวจะแย่อยู่แล้วอะ” กฤษณาขอร้อง จิ๋วมองดูกฤษณาที่ทำสายตาละห้อยก็อดสงสารขึ้นมาไม่ได้

“ก็ได้ๆ พักก่อนก็ได้” จิ๋วกล่าว กฤษณาถึงกับกระโดดตัวลอย

“ขอบใจนะ” กฤษณากล่าว จิ๋วได้แต่ยิ้มรับเขินๆไม่กล้าตอบอะไร แล้วทั้งสองก็ตัดสินใจออกไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือ กฤษณามองยืนดูอยู่หน้าร้านพลางยิ้มให้กับตัวเอง

“เป็นอะไรงั้นหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“ไม่มีอะไรหรอก อืม แค่ธลเขาไม่ชอบก๋วยเตี๋ยวเรือนะ” กฤษณาพูด จิ๋วมองดูกฤษณาด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความสงสัย จากนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจเข้าไปนั่งกินในร้าน กฤษณาจัดแจงส่งอาหารอย่างคล่องแคล่ว

“อืม เธอกับธลนี่รู้จักกันมาตั้งแต่มิถุนาจริงๆหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาก็พยักหน้า

“อืม ราวๆนั้นละ ทำไมหรอ” กฤษณาถามอีก จิ๋วเบ้ปากเล็กน้อย

“ไม่รู้สิ ฉันไม่คิดว่าคนที่รู้จักกันแค่นั้นมันจะรู้อะไรลึกขนาดนั้นเลยหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“ทำไมจะไม่ได้ละ ก็มีอะไรก็ถาม มีอะไรก็คุย โอ๊ย แค่อาทิตย์เดียวเผลอๆบางทีก็รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วละ” กฤษณาตอบ

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก แต่ที่ฉันหมายถึงคือ มันเหมือนเธอกับธลนะสนิทกันเกินกว่าคำว่าเพื่อนนะ” จิ๋วพูด กฤษณาสะดุ้งเล็กน้อย

“เฮ้ย คิดมากไปป่าว” กฤษณาพูดมือสั่นๆ

“ของที่สั่งได้แล้วคะ” พนักงานเอาก๋วยเตี๋ยวมาวาง

“กินกันก่อนดีกว่า เราหิวจะแย่อยู่ละ” กฤษณาเปลี่ยนบทสนทนาแม้ว่าข้างในใจของเขาเองก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงแล้วเขาคิดยังไงกับชลาธลกันแน่ หลังจากนั้นจิ๋วก็พากฤษณากลับไปติวหนังสือต่อที่บ้าน และเพราะจากการเขี่ยวเข็ญของจิ๋วทำให้กฤษณาดูเหมือนจะเข้าใจในเนิ้อหาขึ้นมาบ้างแล้ว

“อืม ดูเหมือนว่าเธอพอจะทำได้บ้างแล้วละนะ” จิ๋วกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ

“เฮ้อ กว่าจะได้แทบเป็นแทบตายแหนะ” กฤษณาบ่น จิ๋วกรอกตาไปมา

“คนที่เหนื่อยก็ฉันเหมือนกันแหละ กว่าจะสอนให้รู้เรื่องได้” จิ๋วพูด กฤษณายิ้มแห้งๆ

“จ้า ขอบใจนะ” กฤษณาพูดพลางทิ้งตัวลงบนเบาะนั่งนุ่มๆ

“อืม ว่าแต่ตกลงแล้วเธอคิดยังไงกับธลกันแน่” จิ๋วพูดขึ้นมา ทำเอากฤษณาเกือบทรุดจากเบาะนั่ง

“เฮ้ย ถะ ถามงี้หมายความว่ายังไง” กฤษณาแย้งขึ้น จิ๋วเบ้ปาก

“ก็ไม่รู้สิ ฉันดูแล้วเธอสองคนเหมือนมีอะไรในใจนะ แววตาที่ส่องออกมามันไม่เหมือนเพื่อนกันเลยนะ” จิ๋วพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“ถ้าไม่เหมือนเพื่อนแล้วเหมือนอะไรละ” กฤษณาย้อนถาม

“เหมือนกับเป็นคนรักกันนะ” จิ๋วพูด กฤษณาสะอึกไปเล็กน้อย

“อ้าว กะ ก็เพื่อนรักเพื่อนมันไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยนี่นา” กฤษณาแย้ง จิ๋วส่ายหัว

“ไม่ใช่หรอก มันเหมือน อืมม ถามตรงๆนะ นายชอบธลเขาใช่ไหม นายเป็นเกย์ใช่หรือเปล่า” จิ๋วพูดออกมาจนได้ กฤษณาส่ายหัว

“บ้าหรอ เราไม่ได้ตุ้งติ้งสักหน่อย เราจะเป็นเกย์ได้ไงละ” กฤษณาตอบตามที่ตัวเองเข้าใจ

“นี่ เกย์นะไม่ต้องแต่งสวยก็เป็นได้นะ แค่ชอบผู้ชายเหมือนกันก็ถือว่าเป็นเกย์ได้ยะ อีกอย่างนะเกย์นะน่ากลัวกว่ากระเทยอีก เพราะกระเทยยังดูออก แต่เกย์นี่ดูยากเหมือนกันเพราะบางคนก็ไม่แสดงออก” จิ๋วสรุปความ กฤษณาอึ้งไปสักพักแต่เขาก็ส่ายหัว

“มะ ไม่ใช่ เราไม่ได้เป็นเกย์ แล้วเราก็ไม่ได้ชอบผู้ชายด้วย” กฤษณาแย้ง จิ๋วพยักหน้าพลางกำมือแน่น

“งั้นหมายความว่า นายก็ต้องชอบผู้หญิงใช่ไหมละ” จิ๋วย้ำ กฤษณาพยักหน้า

“กะ ก็ใช่นะ” กฤษณาตอบ

“แล้วผู้หญิงในสเป็กนายละ เป็นยังไง” จิ๋วถามใจเต้นแรง กฤษณามองหน้าจิ๋วใจของเขาก็เต้นแรงไม่แพ้กัน

“สเป็กนี่ยังไงละ” กฤษณาย้อนถามน้ำขุ่นๆ จิ๋วหน้าแดงแจ๋เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง

“อะ อืม ก็ผู้หญิงที่นายชอบนะ หน้าตา รูปร่างแบบไหนละ” จิ๋วพูดขยายความ กฤษณาเบ้ปาก

“อะ เออ ยังไงละ ก็ สวย น่ารัก” กฤษณาตอบแบบกำปั้นทุบดิน

“แล้วอย่างเราละนายจะชอบบ้างไหม” จิ๋วพูดขึ้น กฤษณามองหน้าจิ๋วตาค้างๆ จิ๋วเหลือบมองหน้ากฤษณาแก้มแดงราวลูกแอปเปิ้ล

“ระ เราชอบนายนะ” จิ๋วพูด กฤษณาเหมือนมีลูกศรพุ่งเข้าปักหัวของเขาอย่างแรง เขาเริ่มนึกถึงคำพูดของชลาธลขึ้นมาในทันที

“นะ นี่ธลพูดจริงหรอเนี่ย” กฤษณาคิดอย่างสับสน เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าจิ๋วนั้นชอบเขาอยู่ กฤษณามองดูจิ๋วอย่างช้าๆ เธอนั้นหน้าตาดีอยู่ไม่น้อย ผมยาวประบ่า แก้มเป็นสีชมพูเรื่อๆ แววตาโต แต่กฤษณาก็ยังคงมีหัวใจให้กับชลาธล

“ตะ แต่เราไม่ใช่เกย์” กฤษณาปฏิเสธตัวเอง เขานั้นไม่ได้คิดจะรักชลาธลแบบในฐานะแฟนอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นเขาไม่อาจจะลบภาพนั้นไปได้เลย อันที่จริงแค่เขาคิดถึงใบหน้าของชลาธล กฤษณาก็แทบจะยิ้มไม่หุบอยู่แล้ว

“กฤษ” จิ๋วพูดขึ้น กฤษณาลุกขึ้นพรวดทันที

“ระ เราไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับก่อน” กฤษณาตอบ พลางเดินออกจากบ้านไป

“กฤษ นายชอบธลเขาจริงๆใช่ไหม” จิ๋วแย้ง กฤษณาถึงกับหยุดไปชั่วขณะ

“มะ ไม่ใช่” กฤษณาแย้ง ทั้งๆที่ใจของเขานั้นไม่เคยลืมชลาธลเลย

“ถ้างั้นนายจะพิสูจน์ให้ดูได้ไหมละ” จิ๋วพูดอย่างท้าทาย กฤษณาหันไปมองหน้าจิ๋ว เธอยืนกำมือแน่น กฤษณาหลบสายตาเธอไปเล็กน้อย

“จะให้พิสูจน์ยังไง” กฤษณาพูด จิ๋วกำมือแน่น

“นายต้องมาคบกับเรา แล้วเลิกคุยกับธล” จิ๋วตั้งข้อเสนอขึ้นมาทันที กฤษณามองหน้าจิ๋ว

“มันไม่เกินไปหน่อยหรอ” กฤษณาทัก จิ๋วหลบหน้ากฤษณาไป

“ถ้ามันเป็นแค่เพื่อนกัน ห่างกันแค่นี้ไม่ตายหรอกน่า” จิ๋วพูด กฤษณากำหมัดแน่น

“หรือว่านายจะยอมรับว่านายเป็นเกย์” จิ๋วพูดแทงใจดำ กฤษณากัดฟันพลางกำหมัดแน่น

“เอาเถอะ ฉันไม่รอคำตอบของนายนะ พรุ่งนี้นายต้องมาหาเราตอนเก้าโมงตรง ถ้านายมาหาเราจะถือว่านายรับข้อเสนอแล้วเราจะไม่คิดว่านายเป็นเกย์ แต่ถ้านายไม่มา เราจะถือว่านายนั้นเป็นเกย์” จิ๋วพูด กฤษณามองหน้าจิ๋วด้วยสายตาเคียดแค้น

“เธอขู่ฉันหรอ” กฤษณาย้อน จิ๋วส่ายหัว

“ฉันไม่ได้ขู่สักหน่อย ฉันก็แค่อยากให้แน่ใจเท่านั้นว่าเธอไม่ใช่จริงๆ อีกอย่างฉันว่าธลนะเข้าต้องเข้าใจเธออยู่แล้วละ” จิ๋วพูด กฤษณาสะบัดหน้าหนีไปทันทีโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ กฤษณากำหมัดแน่น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิ่งที่เขาทำลงไปกับชลาธลนั้นจะเรียกว่า “เกย์” ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้ยินคำนี้ แต่ในความคิดของเขาคือ ผู้ชายที่ทำท่าเหมือนผู้หญิง แต่จิ๋วกลับยืนยันเช่นนั้นทำให้กฤษณานั้นเริ่มไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่เขาทำกับชลาธลนั้นจะเข้าข่ายเดียวกันหรือไม่ กฤษณาเดินคิดอย่างสับสน เขายืนดูอยู่หน้าวัด ขาของเขาเหมือนจะไม่ยอมก้าวออกไปเลย ความตั้งใจทั้งหมดของเขาที่จะมาหาชลาธลดูเหือดแห้งลงในพริบตา

“กฤษ” เสียงของชลาธลดังขึ้น กฤษณาหันหน้ากลับไปดู ชลาธลยืนอยู่ข้างหลังของเขา กฤษณาถึงกับสะดุ้งโหยง

“นายตกใจหรอขอโทษที” ชลาธลกล่าวพลางยิ้มให้ กฤษณาพยักหน้ารับ

“นายเป็นอะไรหรือเปล่าหน้านายดูซีดๆชอบกล เหนื่อยหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาพยักหน้า

“อืม จิ๋วเขาติวให้หนักนะ เหนื่อยเลย อืม นายจะว่าอะไรไหมถ้าเราจะขอกลับไปพักที่บ้านก่อนนะ” กฤษณาถาม ชลาธลพยักหน้า

“อืม ตามสบายเถอะ เราก็อยากให้นายพักเหมือนกันแหละ จะให้เราไปส่งที่บ้านไหม” ชลาธลถาม กฤษณาส่ายหัว

“มะ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวคนเขาตกใจกันหมดว่านายแบกเรากลับบ้าน อีกอย่างมันก็ไม่ไกลมากหรอ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้ารับ

“อืม งั้นก็เดินทางดีๆนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ชลาธลกล่าว กฤษณากลืนน้ำลายเล็กน้อย

“อะ เออ เอาไว้วันหลังดีกว่านะ คือ พรุ่งนี้เราต้องมีติวกันอีกนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลเบ้ปาก

“หรอ อืม ก็ได้เราเข้าใจนะ งั้นก็ตั้งใจให้เต็มที่แล้วกัน” ชลาธลกล่าวทั้งรอยยิ้ม ยิ่งกฤษณาเห็นเขายิ้มเท่าไหร่ใจของเขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น เขาอยากอยู่ข้างๆชลาธลแต่เพียงคำคำเดียวมันเหมือนราวกำแพงหนาที่กั้นระหว่างเขากับชลาธลเอาไว้

“อืม ขอบใจนะ” กฤษณาตอบก่อนจะขึ้นรถกลับบ้านไปด้วยหัวใจที่แตกร้าวและสับสน...


ชายหนุ่มสะดุ้งขึ้นกลางคัน เขาหายใจหอบเหงื่อท่วมตัวเต็มไปหมด เขาเอามือกุมศีรษะเอาไว้พลางถอนหายใจยาว

“พอแล้วน่า” เขาคิดก่อนที่จะล้มตัวลงกลับไปนอนอีกครั้ง เขาถอนหายใจยาวพลางพยายามกลั้นน้ำตาของเขาเอาไว้

“ธล เราขอโทษ” ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจก่อนที่น้ำตาของเขามันจะร่วงลงมาช้าๆ

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 17-01-2007 19:55:22
 :pigscare2:  ไมจิ๋วทำงี๊อ่ะ เล่นขู่กันแบบนี้ได้ไง  :3125:


เพียงคำคำเดียวมันเหมือนราวกำแพงหนาที่กั้นระหว่างเขากับชลาธลเอาไว้    :sad4:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-01-2007 20:05:27
เขาอยากอยู่ข้างๆชลาธลแต่เพียงคำคำเดียวมันเหมือนราวกำแพงหนาที่กั้นระหว่างเขากับชลาธลเอาไว้

 :monkeysad:  :monkeysad:

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 17-01-2007 21:50:31
จิ๋วจ๋า . . . วอนโดนหมีตะปบแล้วมั้ยล่ะ :3125:

สงสารธลง่ะ . . .  :monkeycry2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-01-2007 19:40:20
แน๊วววแน๋ววว  บางครั้งเราก็ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องราวๆต่างๆเกิดขึ้น เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำ

shell  เราจึงต้องคิดก่อนพูดเสมอ แต่ไม่ต้องพูดๆทุกๆครั้งที่คิด

meemewkewkaw  ท่าทางจะโหดว่าจระเข้นะนี่


********************************************************************

บทที่ 17

“สวัสดีคะคุณพ่อ” เสียงของเด็กสาวดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มเดินออกจากประตูรถมา ชายหนุ่มยิ้มพลางรับไหว้ของเด็กสาว

“ไงจ๊ะ วันนี้ทำข้อสอบได้ไหม” ชายหนุ่มถาม

“ทำได้คะ” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มยิ้มพลางอุ้มตัวเด็กสาวขึ้นยกเหนือหัว

“เก่งจังเลย แบบนี้ต้องให้ไปฉลองกันเสียหน่อยแล้ว” ชายหนุ่มตอบ เด็กสาวหัวเราะคิกคัก

“งั้นเราไปฉลองกันที่บ้านคุณปู่ดีไหมจ๊ะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ชายหนุ่มวางเด็กสาวลง

“จริงหรอคะ เย้ หนูอยากไปบ้านคุณปู่อีกจัง หนูอยากไปเห็นบึงที่พี่ชลาธลเขาเล่นกับคุณพ่อจังคะ” เด็กสาวพูด ชายหนุ่มถึงกับหยุดอึ้งไปชั่วคราว

“คุณพ่อคะ” เด็กสาวพูดพลางดึงขากางเกงของชายหนุ่ม

“อะ อะจ๊ะ” ชายหนุ่มได้สติพลางก้มลงมองดูเด็กสาว

“คุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมคุณพ่อเศร้าจัง” เด็กสาวทัก ชายหนุ่มกระอึกกระอักเล็กน้อย

“คุณพ่อเขาคงทำงานเหนื่อยนะจ๊ะ ให้คุณพ่อเขาไปอาบน้ำดีกว่า ลูกมาช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่ามา” หญิงสาวเรียก เด็กสาวพยักหน้ารับพลางวิ่งเข้าไปหาแม่ของเธอ ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ หญิงสาวยิ้มรับก่อนจะพาลูกน้อยของเธอเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ความทรงจำเรื่องของชลาธลค่อยๆผุดกลับขึ้นมาอีกครั้ง...


กฤษณานั้นนอนไม่หลับเลยหลังจากกลับมาที่บ้าน อันที่จริงเขาแทบไม่อยากจะทำอะไรเลยด้วยซ้ำไป เขานอนพลิกตัวไปมาอย่างหงุดหงิด

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย” กฤษณาคิดอย่างสับสนในใจ เขาคิดมาตลอดว่าสิ่งที่เขาทำกับชลาธลนั้นมันเป็นเหมือนเพื่อนที่สนิทกันแบ่งปันความสุขให้กันและกัน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นสิ่งที่กรอบของสังคมระบุไว้ว่าเป็นเรื่อง ผิดปกติ กฤษณานอนหงายแหงนหน้ามองดูเพดานด้วยใจที่ว้าวุ่น เขามีความสุขเสมอที่ได้อยู่ข้างกายของชลาธล แต่ทันทีที่เขาได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปตลอดนั้นมันเป็นเรื่องที่ใครต่อใครต่างไม่ยอมรับ และที่สำคัญมันเป็นสิ่งที่กฤษณากลัวมาตลอด เขาเข้าใจไปเองเสมอว่าเกย์คือผู้ชายที่ทำกริยาท่าทางเหมือนเป็นผู้หญิง

“เกย์นะไม่ต้องแต่งสวยก็เป็นได้นะ แค่ชอบผู้ชายเหมือนกันก็ถือว่าเป็นเกย์ได้” เสียงของจิ๋วดังขึ้นในหัวของชลาธล เขาเองก็อยากจะเถียงแต่จิ๋วนั้นอยู่กรุงเทพฯ
มาก่อน อันที่จริงกฤษณาเองก็ได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้ก็ตอนเขาลงไปกรุงเทพฯนั่นเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จิ๋วน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าเขา กฤษณานอนพลิกตัวนอนตะแคงสายตาก็เหลือบไปเห็นถุงขนมบนโต๊ะ ซึ่งตอนแรกเขากะจะเอาไปให้ชลาธลเพื่อไถ่โทษที่เขาไม่ได้อยู่เล่นด้วยตลอดวัน แต่คราวนี้เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะเจอหน้ากัน ภาพรอยยิ้มของชลาธลปรากฏเด่นชัดขึ้นในหัวของเขาและมันก็ยิ่งทำให้ใจของกฤษณาเจ็บปวดรวดร้าวขึ้นทุกที กฤษณาคว้าหมอนที่อยู่ข้างกายพลางขว้างไปที่กำแพงอย่างสุดแรงเกิดเพื่อระบายอารมณ์

“โถ่เว้ย” กฤษณาร้องอย่างอดไม่ได้ แม้เขาไม่อยากจะเป็นเกย์ แต่เขากลับไม่อาจห้ามความรู้สึกของเขาได้เลย เขาอยากจะเจอชลาธลอีก เขาอยากจะคุยกับชลาธล ว่ายน้ำด้วยกัน กินขนมด้วยกัน ยิ้นและร้องไห้ด้วยกันอย่างที่เคยๆเป็นมา แต่คำสั้นๆคำเดียวเหมือนมันเป็นกำแพงที่กีดกันเขาออกไป

“เราควรจะทำยังไงดี” กฤษณาถามตัวเองทั้งๆที่ก็ไม่รู้คำตอบ ตลอดคืนนั้นกฤษณานอนไม่หลับเอาเลย ในใจเขาสับสนไปหมด เขาอยากจะอยู่ข้างชลาธลเหมือนอย่างเคยแต่เขาก็กลัวสังคมจะไม่ยอมรับ และถ้าจะให้เขานั้นตัดใจจากชลาธลยิ่งทำให้เขาปวดร้าวหนักเข้าไปอีก กฤษณามองดูนาฬิกาที่บอกเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว เขาเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเท่านั้นที่จะตัดสินใจทางเลือกของเขา กฤษณามองดูนาฬิกากับถุงขนมที่ตั้งอยู่ข้างกัน เขาส่องสายตาไปมาระหว่างของสองสิ่ง กฤษณาหลับตาลงช้าๆพลางถอนหายใจยาวก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

“นายมาช้านะ” จิ๋วทักขึ้นเมื่อพบว่ากฤษณามาหาเธอช้าไปสิบนาที แต่กฤษณาก็ไม่ได้ตอบอะไร

“ช่างเถอะ อืมพร้อมหรือยัง” จิ๋วถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“พร้อมอะไร” เขาถามกลับ จิ๋วยิ้มพลางเดินเข้ามาใกล้

“ดูไม่ออกหรอ” จิ๋วทัก กฤษณาสำรวจดูร่างของจิ๋ว เธอใส่เสื้อสีขาวที่มีขอบเสื้อสีชมพูลายดอกไม้ประดับเป็นทาง เข้ากับกระโปงสีชมพูดอ่อนๆของเธอ กฤษณามองหน้าจิ๋วที่ยิ้มให้อย่างมีเลศนัย

“เราไปเดทกันดีกว่า” จิ๋วพูดจบเธอก็ดึงมือของกฤษณาพลางเดินนำหน้าไปทันที กฤษณาได้แต่เดินตามต้อยๆ

“นี่ เธอว่าไปไหนดีละ” จิ๋วถาม กฤษณาหลบสายตาของเธอไปเล็กน้อย

“อยากไปที่ไหนละ” กฤษณาย้อนถาม จิ๋วเบ้ปาก

“นี่ ฉันไม่ใช่คนแถวนี้นะ เธอนะต้องพาฉันไปสิ” จิ๋วบ่น กฤษณาถอนหายใจพลางหันมามองหน้าจิ๋ว

“แล้วเธอชอบที่ไหนละ อยากดูบึงไหม” กฤษณาถาม จิ๋วคิดอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้ารับ

“ก็ดีนะ ไปสิไป” จิ๋วพูดพลางจับมือของกฤษณาไว้ ส่วนกฤษณาก็ได้แต่ถอนหายใจยาวไม่ตอบอะไร ทั้งสองเดินทางมายังบึงสีไฟที่อยู่ไม่ไกลนัก จิ๋วพอได้เห็นบึงขนาดใหญ่ก็ถึงกับร้องอุทานออกมา

“โห สวยจังเลยละ โรแมนติกมากด้วย แหมเข้าใจเลือกนะ” จิ๋วกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่กฤษณาได้แต่พยักหน้า เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงเลือกที่นี่ แต่ดูเหมือนที่นี่จะเป็นที่เดียวที่เขานึกออก

“ตรงโน้นมีสวนด้วยละ ไปดูกันดีกว่า” จิ๋วร้อง กฤษณาเดินตามอย่างใจลอยโดยไม่ได้คิดอะไร เขาเดินพลางมองไปรอบๆตัว บรรยากาศที่คุ้นเคย กลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าพอจะทำให้ใจของเขาได้ผ่อนคลายลงบ้าง

“นี่ นี่ นี่กฤษ” จิ๋วทัก กฤษณาได้สติพลางหันกลับไปมอง จิ๋วมองหน้ากฤษณาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เป็นอะไรเหม่อเชียว นี่ทำให้มันเหมือนกับคนรักกันหน่อยสิ” จิ๋วพูด กฤษณาเบ้ปากพลางโอบร่างของจิ๋วมากอดไว้ จิ๋วซบลงที่แขนของกฤษณาพลางเดินอมยิ้มอย่างมีความสุข แต่กฤษณากลับไม่รู้สึกอบอุ่นแต่อย่างใด อันที่จริงเขาเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำไป กฤษณาและจิ๋วเดินต่อไปที่พิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำที่จัดเอาไว้ จิ๋วมองดูปลาในตู้อย่างสงสัย

“อี๋ ปลาหรอเนี่ยตัวนี้น่าเกลียดจัง ทำไมตามันไปอยู่ตรงนั้นละ” จิ๋วพูดพลางชี้ดูปลาในตู้ กฤษณาก็หันไปมอง

“ปลาตาเดียวนะหรอ” กฤษณาพูด จิ๋วขมวดคิ้ว

“ตาเดียวที่ไหนละนี่ไงตามันอยู่ที่กลางหน้าผากนี่ไง” จิ๋วแย้ง กฤษณากรอกตา

“ก็คนสมัยก่อนเขาเห็นมันมีตาอยู่ข้างเดียวเขาเลยเรียกมันปลาตาเดียวไง” กฤษณาอธิบาย จิ๋วพยักหน้าหงึกๆ

“อ๋อ แต่น่าเกลียดดีเนอะ” จิ๋วพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“มันน่าเกลียดตรงไหนหรอ ก็แค่มันมีตำแหน่งของตาอยู่แปลกไปแค่นั้นเอง” กฤษณาแย้ง จิ๋วเบ้ปาก

“ไม่เอาอะ น่ากลัวจะตาย เหมือนสัตว์ประหลาดเลย” จิ๋วพูด กฤษณาส่ายหัวไปมาแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร

“ใครๆก็ว่าเราเป็นตัวประหลาดทั้งนั้นแหละ” เสียงของชลาธลดังขึ้นในหัว กฤษณาถอนหายใจยาว บางครั้งเขาก็สุดที่จะเข้าใจว่าทำไมแค่คนเรามีอะไรที่แตกต่างไปก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องประหลาด เรื่องไม่ดีบ้าง ทั้งๆที่เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นเสียหน่อย กฤษณากับจิ๋วเดินดูรอบพิพิทธภัณฑ์โดยที่จิ๋วก็คอยถามโน่นถามนี่ กฤษณาตอบได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ตอบไปตามเรื่อง เขายิ่งมองมันก็ยิ่งรำลึกถึงวันที่เขากับชลาธลมาเดินเที่ยวด้วยกัน เขายังจำได้ดีว่าเขามีความสุขแค่ไหน เขาเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน หัวเราะ และแลกเปลี่ยนความคิดกัน แต่ตอนนี้ สถานที่แห่งเดิมเพียงแต่ไม่มีชลาธลเท่านั้นมันกลับดูต่างออกไปราวกับไม่ใช่ที่เดียวกัน

“กฤษ เราหิวแล้วละ” จิ๋วทัก กฤษณาพยักหน้ารับอย่างเซ็งๆก่อนที่จะออกไปหาอะไรกินกัน ทั้งสองตัดสินใจนั่งกินที่ร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก กฤษณานั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเลื่อนลอย

“กฤษ กฤษ นี่ กฤษ” จิ๋วร้อง กฤษณาสะดุ้งขึ้นพลางหันไปมอง

“อะ อะไร” กฤษณาทัก จิ๋วกรอกตา

“ทำไมหรอ อยู่กับเรามันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรอ” จิ๋วทัก กฤษณาได้แต่นั่งนิ่งไม่ตอบอะไร

“นี่ พูดอะไรบ้างสิเป็นใบ้หรอ” จิ๋วพูดอย่างมีอารมณ์ กฤษณามองหน้าจิ๋วพลางถอนหายใจ

“แล้วจะให้พูดอะไรละ” กฤษณาถาม จิ๋วเบ้ปาก

“อะไรก็ได้นะ แบบ เอางี้เวลาเธอคุยกับธลเธอพูดอะไรบ้างละ” จิ๋วถาม กฤษณาเริ่มนึกถึงทุกครั้งที่เขาคุยกับชลาธล เขาแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะต้องพูดอะไร เขาก็แค่พูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูด และไม่ว่าจะเรื่องอะไรชลาธลก็รับฟังเขาทุกเรื่องไม่มีปริปาก

“อืม ก็พูดทุกเรื่อง” กฤษณาตอบ จิ๋วกรอกตา

“เช่นอะไรละ แฟชั่น หรือ เรื่องเรียน ชีวิต อะไรงี้” จิ๋วซัก กฤษณาขมวดคิ้ว

“ก็ทุกเรื่องนะ อืม ชีวิต มั้ง” กฤษณาตอบ จิ๋วกรอกตาไปมา

“แล้วชีวิตเขาเป็นยังไงหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาเริ่มคิด

“เขาเป็นเด็กกำพร้านะ ใครๆก็รังเกียจ แต่เขา...” กฤษณาหยุดพูดไปชั่วขณะ ตาของเขาลุกวาว

“กฤษ” จิ๋วถามพลางหันหลังกลับไปมองแล้วเธอก็พบคำตอบ ชลาธลยืนตัวแข็งอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง มือของเขาสั่นเทา แววตาจ้องเขม็งมาที่กฤษณา

“ธล” กฤษณาพูดขึ้น ชลาธลเหมือนได้สติ เขาก้มหน้าหลบไปเล็กน้อย พลางเดินหันหลังกลับไป กฤษณาลุกขึ้นแต่จิ๋วจับมือของกฤษณาไว้ กฤษณาก้มลงมองดู แววตาของจิ๋วเหมือนจะบอกกับเขาว่าถ้าเขาตามไปมันจะเป็นการยอมรับว่าเขานั้นเป็นเกย์จริงๆ กฤษณากำมือแน่น แม้ว่าเขาอยากจะวิ่งไปอธิบายให้ชลาธลฟังใจจะขาดแต่คำนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ทำให้เขาก้าวขาไม่ออก กฤษณานั่งลงที่โต๊ะอย่างเซื่องซึม

“เขาดีต่อเธอมากขนาดนั้นเลยหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาไม่ตอบอะไรได้แน่นั่งนิ่ง ใจของเขามันสับสนไปหมด เขาอยากจะอยู่ข้างชลาธลเหมือนแต่ก่อนแต่เขากลับทำไม่ได้ ยิ่งจะให้เขาลืมชลาธลไปมันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เขาไม่อาจตัดสินใจอะไรได้เลย

“ตามเขาไปเถอะ กฤษ” จิ๋วพูดขึ้น กฤษณามองหน้าจิ๋ว เธอมีสีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

“เราขอโทษนะ เราคงหวังในตัวนายมากไปหน่อย คือ เราแค่อยากให้นายลองคบเราดูบ้างเพื่อว่าอย่างน้อยๆนายจะลองมองเราใหม่ดูบ้าง แต่เราว่าเราดูถูกใจของนายมากไปหน่อย” จิ๋วพูดพลางมองหน้ากฤษณา

“เราชอบนายนะ แต่เราว่าเราควรจะปล่อยนายให ้นายยู่กับคนที่นายรักดีกว่า” จิ๋วตอบ กฤษณาขมวดคิ้ว

“เธอจะมาไม้ไหนอีก คิดจะลองใจเราอีกงั้นหรอ ต้องให้เราพูดใช่ไหมว่าเราเกลียดธลนะ” กฤษณาย้อน จิ๋วส่ายหัว

“ไม่จำเป็นหรอก เพราะเรารู้ยังไงนายก็ทำไม่ได้แน่ๆ” จิ๋วตอบ กฤษณาหยุดคิดเล็กน้อย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง เขาจะพูดคำนั้นได้อย่างไรในเมื่อแม้แต่ตอนนี้เขายังไม่เคยลืมชลาธลเลย

“ถ้าตามไปตอนนี้ยังทันนะ” จิ๋วพูด กฤษณาส่ายหัวช้าๆ

“ระ เราทำไม่ได้หรอก เราไม่อยากจะเป็นเกย์ เรายอมรับมันไม่ได้” กฤษณาพูด จิ๋วเอามือทุบโต๊ะเสียงดัง

“แล้วไงหรอ แล้วนายจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในกองทุกข์แบบนี้นะหรอฮะ ความสุขนะมันหากันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ นายคิดแล้วหรอว่าทำแบบนี้แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นนะ” จิ๋วตวาด กฤษณาขมวดคิ้วใส่

“แล้วเธอเองไม่ใช่หรอที่พูดแบบนั้น” กฤษณาย้อน จิ๋วส่ายหัว

“เออ เราผิดเองที่พูดกับนายไปอย่างนั้น เราก็แค่อยากอยู่ข้างนายบ้างเท่านั้นเอง แต่ นี่ นายกับเขาเองก็รักกันขนาดนี้แล้วนายจะปล่อยให้ความรักที่นายกับเขาสร้างขึ้นมาต้องพังทลายลงเพียงแค่คำคำเดียวเนี่ยนะหรอ” จิ๋วถาม กฤษณาส่ายหัว

“ไม่หรอก มันเป็นไปไม่ได้” กฤษณาพูด จิ๋วกำหมัดแน่น

“ป๊าป” มือของจิ๋วตบไปที่แก้มของกฤษณาเสียงดังสนั่น กฤษณามองหน้าจิ๋วอย่างงงๆ

“อีตาบ้า ทำไมไม่หัดเข้าใจอะไรบ้างเลยนะ เราคิดผิดจริงๆที่หลงรักนาย เราคิดว่านายเป็นคนหนักแน่น รักษาคำพูดเสียอีก ทีแท้ก็ไอ้ไก่อ่อนดีๆนี่เอง” จิ๋วด่า กฤษณาเริ่มคิด ภาพรอยยิ้มของชลาธลค่อยๆเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วกฤษณาก็พึ่งจะคิดอะไรออก ชลาธลเองเขาก็เป็นจระเข้แต่เขาก็ยังกล้าที่จะยอมรับตรงนั้น แม้เขาจะอยู่ในร่างของมนุษย์แต่ชลาธลก็ยังรับงานจากหลวงตาไปเจรจากับเหล่าจระเข้และถึงขนาดเอาตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แม้ว่าจะไม่มีใครเห็นความสำคัญของเขาก็ตาม

“เรายอมรับนายตั้งแต่เราบอกว่านายเป็นเพื่อนเราแล้วละ และไม่ว่าอะไร เราก็จะไม่ทิ้งนายเด็ดขาด เราสัญญา” กฤษณานึกถึงคำสัญญาที่เขาให้กับชลาธลไว้ กฤษณามองมือตัวเองพลางลุกขึ้น เขารีบวิ่งออกไปทันที แต่แล้วเขาก็กลับมากอดจิ๋วเอาไว้

“ขอบใจนะที่เตือนสติ” กฤษณาตอบ พลางรีบวิ่งออกตามหาชลาธลทันที

“เราสัญญาแล้วนี่ เราสัญญากับเขาเองว่าเราจะไม่ทอดทิ้งเขา แล้วยังไงหรอ เขาเป็นจระเข้ เราเป็นเกย์ มันก็ไม่เห็นจะสำคัญเลยนี่นา แค่ได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่หรอ” กฤษณาคิดพลางวิ่งออกตามหาชลาธล เขารู้ดีว่าต้องไปที่ไหน กฤษณารีบจับรถกลับไปยังวัดแล้วก็วิ่งตรงไปยังบึงที่ทั้งสองเล่นด้วยกันเป็นประจำ กฤษณาหายใจหอบ ชลาธลต้องอยู่ในถ้ำทองแน่ๆ แต่ทางที่จะลงไปยังถ้ำทองนั้นมันไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะขนาดว่าเขาเคยกลั้นหายใจในน้ำแล้วก็ยังไม่ถึง แถมเขายังไม่รู้ที่ที่อยู่ที่แน่นอนอีกด้วยกฤษณากำมือแน่นพลางถอดเสื้อผ้าของเขาออกแล้วก็กระโดดลงน้ำไปทันที เขาดำน้ำลึกลงไปเรื่อยๆพลางแหวกว่ายไปมา เขามองภายใต้ผิวน้ำอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาพยายามมองหาแสงสีทองที่อาจส่องมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่กฤษณาว่ายอยู่ได้สักพักเขาก็เริ่มรู้สึกอึดอัด เขารีบโพล่ขึ้นไปเหนือผิวน้ำทันที

“แฮ่ก แฮ่ก” กฤษณาหายใจหอบ พลางมองกลับไปที่ฝั่ง เขาพึ่งอยู่ห่างจากฝั่งไปไม่เท่าไหร่เอง กฤษณาสูดหายใจเข้าไปใหม่พลางพลิกตัวกลับลงไปใต้ผิวน้ำอีกครั้ง กฤษณาดำดิ่งลงไปเพื่อหาถ้ำทองแต่เขาก็ยังไม่เข้าใกล้ กฤษณาดำผุดำโพล่อยู่นานแต่เขาก็ยังหามันไม่เจอ กฤษณาหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน หูเขาปวดไปหมด มือของเขาเปื่อยยุ่ย

“ไม่ เราจะยอมแพ้แค่นี้ไม่ได้” กฤษณาคิดพลางกระโดดลงไปใต้ผิวน้ำอีกครั้ง กฤษณาว่ายลงไปให้ลึกที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้พลันพลางส่ายตามองไปโดยรอบ แต่แล้วเขาก็เห็นแสงสีทองส่องสว่างอยู่ลิบๆ กฤษณาตาลุกวาวพลางรีบว่ายเข้าไปใกล้ทุกทีๆ เขาว่ายเข้าไปใกล้ระดับนึงแล้วเขาก็โพล่ขึ้นมาหายใจ กฤษณาหอบหายใจสักพักก่อนจะก้มลงดูอีกครั้ง แสงสีทองยังคงส่องแสงเรืองรอง กฤษณามั่นใจว่านั่นจะต้องเป็นถ้ำทองแน่ๆ กฤษณาโพล่หัวขึ้นไปพลางสูดหายใจลึก แล้วเขาก็รีบดำน้ำไปยังเป้าหมายทันที เขาแหวกทวนกระแสน้ำไปเรื่อยๆ แสงสีทองค่อยๆสว่างขึ้นทุกทีๆ กฤษณาว่ายดำลงไปลึกเรื่อยๆ เขาว่ายอยู่ได้สักพักเขาก็เริ่มรู้สึกอึดอัด แต่นั่นหาได้หยุดกฤษณาไม่ เขายังคงพยายามดั้นด้นว่ายเข้าไปให้ได้

“อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว” กฤษณาพูดกับตัวเองทั้งๆที่อากาศในปอดของเขามันแทบจะไม่มีเหลือแล้ว กฤษณาแหวกกระแสน้ำเร็วขึ้น เพราะอีกไม่นานเขาคงไม่อาจจะทนได้อีก กฤษณากวาดแขนขาอย่างรวดเร็วเพื่อดันร่างเขาให้ใกล้ถ้ำนั่น ปากถ้ำสีทองส่องแสงอร่าม กฤษณารวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายดันตัวเองเข้าไปในถ้ำจนได้ กฤษณาโพล่เข้ามาในถ้ำพลางนอนหายใจหอบ กฤษณามองไปรอบๆถ้ำทอง ของประดับตกแต่งของธลถูกยึดไว้อย่างแน่นหนา กฤษณาค่อยๆพยุงร่างของเขาขึ้น เขาถึงกับเซเล็กน้อยเพราะเนื่องจากการดำน้ำเป็นเวลานาน แต่กฤษณาก็ยังคงต้องหาชลาธลให้เจอ

“ธล” กฤษณาร้องเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา กฤษณาเดินลึกเข้าไปในถ้ำ

“ธล ออกมาเถอะนะ เรามีเรื่องอยากจะคุยด้วย” กฤษณาส่งเสียงแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของชลาธลที่จะโพล่ออกมาเลย กฤษณาเดินลึกเข้าไปทุกทีๆ แต่เขาก็ยังไม่เจอ

“ธล อยู่ไหนนะออกมาเถอะ” กฤษณาร้อง เขาเดินไปจนสุดถ้ำแต่เขาก็ไม่เห็นใคร กฤษณาพยายามนึกว่าถ้ำนี้จะมีช่องลับอะไรให้ชลาธลนั้นซ่อนตัวได้หรือไม่ แต่เขาก็นึกไม่ออก อันที่จริงมันเหมือนจะไม่มีด้วยซ้ำ กฤษณาเริ่มกังวลใจ

“หรือว่าเรามาหาผิดที่” กฤษณาคิดพลางเดินวนดูรอบๆถ้ำอยู่สักพัก แต่เขาก็ไม่เห็นวี่แววของชลาธลเลย กฤษณานั่งลงอย่างหัวเสีย

“เขาไปไหนของเขากันนะ” กฤษณาบ่นพลางพยายามคิด แต่ส่วนใหญ่แล้วชลาธลไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหนสักเท่าไหร่ กฤษณาเอามือกุมหัวพลางตั้งสติคิดให้ดี

“โว้ย เขาจะไปที่ไหนได้อีกละวะ” กฤษณาคิดอย่างสับสน เขาจะรอใจของเขามันก็ร้อนรนเกินกว่าเขาจะทนอยู่เฉยๆได้ กฤษณาตัดสินใจกลับไปที่ผิวน้ำอีกครั้ง ตอนขากลับดูเหมือนจะง่ายกว่าขามาอาจเป็นเพราะกฤษณาพอจะคุ้นเคยกับเส้นทางแต่พอกฤษณามองย้อนกลับไปที่ฝั่งเขาก็ต้องยอมรับว่ามันไกลกันอยู่เอาเรื่องเหมือนกัน กฤษณาส่ายหัวไปมาพร้อมกับออกว่ายกลับไปยังฝั่ง กฤษณาต้องหยุดพักเป็นช่วงๆเพื่อพักเหนื่อยแต่สุดท้ายแล้วเขาก็มาถึงจนได้ กฤษณาหายใจหอบพลางพยายามคิดถึงสถานที่ที่ชลาธลน่าจะไปอยู่ได้ กฤษณาไม่รอให้ตัวแห้งเขารีบแต่งตัวแล้วออกวิ่งกลับไปที่วัดทันที ขาของกฤษณาเริ่มจะเมื่อยล้าแต่เขาก็ไม่ได้หยุดที่จะวิ่ง เขาทำให้ชลาธลลำบากมาตลอดเวลา และเขายังทำให้ขลาธลต้องเจ็บปวดอีก กฤษณากัดฟันแน่น

“ต่อให้มันต้องลงเอยยังไง เราจะไม่หนีอีกแล้ว” กฤษณาพูดกับตัวเอง เขาวิ่งกลับไปถึงวัดในเวลาต่อมา เขารีบเดินเข้าไปในกุฏิทันที

“เฮ้ยไอ้กฤษ ทำไมเอ็งตัวเปียกงี้วะ อ๋อ ไอ้ธลไม่อยู่นะข้าให้มันไปซื้อของมันยังไม่กลับมาเลย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาหันกลับไปยกมือไหว้

“ขอบคุณนะครับหลวงตา แล้วหลวงตาให้ธลซื้อะไรบ้างหรอครับ” กฤษณาถาม

“ก็ของใข้จุกจิกของพวกเด็กๆในวัดนะ ยาสีฟันแปรงสีฟันอะไรพวกนี้นะ ทำไมหรอ” หลวงตายุทถาม กฤษณายกมือไหว้อีกครั้ง

“ขอบคุณนะครับหลวงตา แต่ตอนนี้ผมยุ่งๆไว้คุยกันนะครับ” กฤษณาพูดพลางวิ่งฉิวออกไปจากวัดทันที กฤษณามองดูรอบๆแล้วเขาก็จัดแจงตระเวณถามร้านขายของชำทุกร้านเท่าที่เขาจะถามได้

“ขอโทษนะครับ พี่เห็นผู้ชายผิวสีน้ำผึ้งล่ำๆตัวใหญ่ๆมาซื้อของไปไหมครับ” กฤษณาถามคำถามนี้กับทุกร้านที่เขาผ่านไม่ว่าจะร้านเล็กร้านใหญ่ ร้านย่อย หรือแม้แต่ร้านข้างเคียงเขาก็ยังถามเพื่อจะเห็นชลาธลเดินผ่านไปบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเห็น ไม่เห็นก็ลืม ไม่ลืมก็ให้ข้อมูลผิดๆ แต่กฤษณาก็ไม่ได้ย่อท้อเขาเดินวนจนจะรอบเมืองเพื่อว่าจะเจอกับชลาธลเข้าระหว่างทาง

“อ๋อ ฉันเห็นเขาเดินไปทางบึงสีไฟโน่นแหนะ” ชายคนนึงตอบ กฤษณายกมือไหว้ทันที

“ขอบคุณครับพี่” กฤษณาพูด พลางคิดว่านั่นคงจะเป็นตอนเมื่อกลางวัน กฤษณามองดูท้องฟ้าที่ตอนนี้กำลังจะลับขอบฟ้า กฤษณามองดูไปตามถนน

“เอาวะ” กฤษณาคิดพลางก้าวขาทันที สำหรับเขาตอนนี้แล้วยังไงเขาก็ต้องหาตัวชลาธลให้เจอ แม้ว่าชลาธลจะรังเกียจเขาแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะบอกกับปากของเขาเองว่าเขาขอโทษ กฤษณาวิ่งไปตามถนนใหญ่พลางมองไปรอบตัวเพื่อจะเจอชลาธลระหว่างทาง แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว กฤษณาวิ่งอย่างเหนื่อยล้าแต่เขาก็ยังพยายามจะก้าวต่อไป กฤษณาวิ่งจนท้องฟ้าเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีดำ เขามาถึงบึงก็เกือบจะทุ่มนึงอยู่แล้ว กฤษณาเริ่มออกเดินหาชลาธล เขาเดินไปทุกแห่งที่เขาเคยพาชลาธลไป เขาเดินมองซ้ายทีขวาทีแต่ก็ไม่พอ กฤษณาเริ่มหายใจหอบอย่างเหนื่อยอ่อน ขาของเขามันแทบจะไม่มีแรงแม้แต่จะขยับอีกแล้ว แต่กฤษณากัดฟันแน่นพลางพยายามยกขาก้าวเดินต่อไป เขาเดินจนมาถึงพิพิทธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ทว่ามันปิดเสียแล้ว กฤษณาถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยอ่อน สุดท้ายแล้วเขาก็มาไม่ทัน เขามองดูพิพิทธภัณฑ์ตรงหน้าประตูของมันลงกลอนแน่นสนิทเขาไม่มีทางที่จะเข้าไปได้เลย กฤษณาเดินอย่างเหนื่อยอ่อนลงไปนั่งที่ม้านั่งที่อยู่ไม่ไกลนัก เขานั่งก้มลงพลางเอามือกุมหัวเอาไว้

“ธล เราขอโทษนะ เพราะเราเองที่ไม่หนักแน่นพอ เรากลัวแต่จะเป็นเกย์ทั้งๆที่นายเองลำบากกว่าเราตั้งเยอะ แต่เราก็ดันไม่คิดจะใส่ใจ เราอยากจะบอกนายเหลือเกินว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว ต่อให้เราต้องเป็นเกย์ หรือ เป็นจระเข้ แค่ให้เราได้อยู่ข้างนายเราก็มีความสุขแล้วละ” กฤษณารำพึงพลางมองดูท้องฟ้าที่เหล่าดาราต่างออกมาเปล่งแสงสว่างราวอัญมณีที่แสนจะมีค่า

“ธล เรารักนายนะ” กฤษณาพูด

“เราก็รักนายนะ” เสียงของชลาธลดังขึ้น กฤษณาหันกลับไปมอง ชายคนที่นั่งข้างๆเขา มีผิวสีน้ำผึ้งเข้มกับรูปร่างที่สูงใหญ่ กฤษณาแทบจะหล่นจากม้านั่ง

“เฮ้ย ธล” กฤษณาร้อง ชลาธลโผเข้ากอดร่างของกฤษณาทันที

“นายมาจริงๆด้วย อย่างที่จิ๋วบอกเลย” ชลาธลพูด กฤษณาขมวดคิ้ว

“เราเจอเขา และเขาบอกว่าถ้าเรายังรักเขาอยู่จงให้โอกาสเขาแล้วรอจนกว่าเขาจะกลับมา” ชลาธลตอบ กฤษณามองหน้าชลาธลอย่างงงๆ

“จิ๋วเล่าทุกอย่างให้ฟังหมดแล้ว และเธอก็ขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย เธอบอกว่าเธอเองก็ชอบนายมาก แล้วอิจฉาที่เราอยู่แต่กับนาย เธอเลยอยากให้นายได้ใช้เวลาอยู่กับเธอสองต่อสองดูบ้าง” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้ารับ

“ตอนแรกที่เธอเจอเรา เราเองก็ตกใจไม่น้อย เราก็คิดว่าเธออาจจะหลอกให้เราคอย แต่ไม่รู้สิ ใจเราเองก็เชื่อเหมือนกันว่านายต้องมา แล้วนายก็มาจริงๆ” ชลาธลพูด กฤษณากอดร่างของชลาธลตอบกลับไป

“เราต่างหากที่ต้องขอโทษ ธล เรามันไม่ดีเอง เรามันโลเล เรามันไม่ได้เรื่อง ทั้งๆที่เราสัญญากับนายไว้อย่างนั้นแต่เรากลับทำมันไม่ได้ ธลเราขอโทษจริงๆนะ จากนี้เราจะไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้ว เพราะเราเข้าใจแล้วว่าเราต้องการอะไร ธล เรารักนายนะ” กฤษณาพูดพลางจ้องตาของชลาธล

“ต่อให้นายห่างเราไปจริงๆ เราก็ไม่คิดจะเลิกรักนายอยู่แล้วละ” ชลาธลตอบ กฤษณากอดร่างของชลาธลเอาไว้

“จากนี้ไปเราจะไม่หนีนายอีกแล้ว” กฤษณากล่าว ชลาธลกอดร่างของกฤษณาตอบกลับไป

“เราเองก็จะอยู่ข้างนายเหมือนกัน” ชลาธลตอบ ทั้งสองกอดกันท่ามกลางหมู่ดาวที่ร่วมเป็นสักขีพยานรักของทั้งสองในวันนี้...


“คุณคะ อาบน้ำเสร็จหรือยังคะ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาจากภวังค์

“อะ จ๊ะจะเสร็จแล้ว” ชายหนุ่มตอบ

“คะ จะบอกว่าอาหารเย็นพร้อมแล้วนะคะ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มพยักหน้าพลางเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ

“เดี๋ยวผมลงไป” ชายหนุ่มตอบพลางถอนหายใจยาว

“เราต้องเลิกหนีสักที” ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจก่อนที่จะออกไปแต่งตัวและลงไปหาครอบครัวของเขา

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 20-01-2007 21:37:14
คงเหนื่อยเหมือนกันน่ะ...ที่จะต้องวิ่งหนีหัวใจตัวเองน่ะ
แต่การยอมรับหัวใจตัวเอง ...ก็คงจะยากน่าดู


สงสารทั้งคู่เลย....
 

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 21-01-2007 00:15:04
 :monkeysad: ช่ายๆการวิ่งหนีหัวใจตัวเองมานเหนื่อยยมากนะ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 21-01-2007 12:11:15
 :impress3:
ปลื้มจัง . . .

ว่าแต่ ถ้ากฤษเลิกหนี แล้วต้องทำยังไงต่อหว่า
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-01-2007 21:21:58
จากนี้เราจะไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้ว เพราะเราเข้าใจแล้วว่าเราต้องการอะไร ธล เรารักนายนะ  :impress3:

ยังคิดไม่ออกเลยว่า อะไรที่จะทำให้กฤษต้องหนีไปอยู่กรุงเทพ ไม่ยอมกลับพิจิตรอีก  :monkeysad:  :monkeysad:  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-01-2007 19:13:29
wee แน๊วววแน๋ววว  กล้าที่จะยอมรับความจริงเตอะ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง
meemewkewkaw ก็ปล่อยให้เวลาหาหนทางแก้มันเองไงครับ
shell  บางครั้งเวลาทำอะไรลงไป ก็ไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา

บทที่ 18

ชายหนุ่มกำลังช่วยลูกสาวของตนจัดกระเป๋าอย่างขมักเขม้น

“คุณพ่อคะ ให้ลิลี่ไปด้วยได้ไหมคะ” เด็กสาวถาม ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“ขอบคุณนะคะคุณพ่อ” เด็กสาวกล่าว ชายหนุ่มยิ้มรับ

“ลูกไปช่วยแม่เขาจัดกระเป๋าเถอะจ๊ะ ตรงนี้เดี๋ยวพ่อจัดการเอง” ชายหนุ่มพูด เด็กสาวพยักหน้ารับพลางวิ่งออกจากห้องไป ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เขาเองกำลังจะกลับไปที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นจุดจบของทุกอย่าง ชายหนุ่มกำมือแน่น

“เอานะก็แค่ไปเที่ยวไม่กี่วันก็กลับแล้ว” ชายหนุ่มคิดแต่ในหัวของเขากลับมีเรื่องของชลาธลผุดขึ้นมาอีกจนได้...


หลังจากนั้นทั้งชลาธลและกฤษณาต่างก็ได้รู้ว่าจิ๋วต้องย้ายเมืองกลับไปที่กรุงเทพฯในวันถัดมา ทั้งสองไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกลาสักคำ

“เธอคงอยากจะมีความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายละมั้ง” ชลาธลคิด กฤษณาส่ายหัวไปมา

“แบบนี้เนี่ยนะความสุข ถ้าบอกกันตรงๆก็จะพอเข้าใจหรอก” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มให้

“เพราะถ้าบอกตรงๆ นายก็จะเอาใจเธอเพราะเธอกำลังจะจากไปไงละ เธอคงอยากให้นายเป็นตัวของนายเองนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้ารับ

“เฮ้อ แล้วทีนี้ตูจะทำยังไงดีละเนี่ย ใครจาติวให้ตูตอนสอบละเนี่ย” กฤษณาบ่น ชลาธลมองหน้ากฤษณาอย่างสงสัย

“อืม เวลาติวนี่เขาต้องทำยังไงบ้างหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาเกาหัวแกรกๆ

“อืม จะอธิบายยังไงดีละ แบบก็เปิดหนังสือเอาอะไรเงี้ย พยายามศึกษาจากข้อความแล้วก็จำไปตอบอะไรประมาณนี้แหละ” กฤษณาพยายามอธิบายเท่าที่เขาจะทำได้ ชลาธลเบ้ปาก

“ทำไมหรอ นายมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้า

“อืม คือ จิ๋วเขาทิ้งกระดาษไว้ให้นายนะ เขาบอกว่าให้นายเอาไปติวเองอะไรนี่แหละ เราก็เลยอยากรู้ไงว่าติวแล้วมันทำยังไง” ชลาธลตอบ กฤษณาตาโตขึ้นมาทันที

“พูดจริงดิ” กฤษณาถาม ชลาธลพยัหน้า

“อืม เขาบอกว่าให้เราเอาให้นายด้วยนะ” ชลาธลพูด กฤษณาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้จริงๆ

“จะว่าไปเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนักหรอกนะ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้า

“อืม ไม่หรอก เขาก็คงแค่อยากพยายามดูบ้างนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้ารับ

“แต่ถ้าไม่ได้เธอ เราก็คงไม่มีวันได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นหรอก ยังไงก็ต้องขอบใจเขาละนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลเองก็พยักหน้ารับ

“ว่าแต่ฉีท เอ้ย กระดาษนั่นอยู่กับนายใช่ปะ” กฤษณาถาม ชลาธลพยักหน้ารับ

“ดี งั้นเราไปติวที่วัดดีกว่า เงียบๆดี” กฤษณาพูดชลาธลพยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งสองจะจับมือกันเดินกลับไปที่วัด กฤษณาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือ แม้จะมีเสียสมาธิไปบ้างแต่ชลาธลก็ช่วยเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ จนกระทั่งการสอบนั้นสิ้นสุดลง

“เฮ้อ สอบเสร็จสักที” กฤษณาพูดพลางบิดร่างอย่างสบายอารมณ์ ชลาธลยิ้มให้

“หมายความว่าตอนนี้นายก็ว่างแล้วอะดิ” ชลาธลถาม กฤษณายิ้มเจ้าเล่ห์

“ใช่แล้ว แล้วเราจะแวะมาหานายทุกวันเลย” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มรับเขินๆ

“ต่อให้นายไม่มาก็จะบุกไปหาอยู่ดีนั่นแหละ” ชลาธลตอบ กฤษณาหัวเราะเบาๆพลางคล้องคอชลาธลไว้

“บุกมาสิจะต้อนรับให้อย่างดีเลย” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มรับ

“เฮ้ย ร้อนจัง เราไปว่ายน้ำกันดีกว่าไหม” กฤษณาชวน ชลาธลพยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะไปที่บึง อากาศค่อยๆอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เหล่าสัตว์น้อยใหญ่เริ่มออกหากิน ดอกไม้ต้นไม้ผลิดอกออกใบส่งกลิ่นหอมไปทั่ว กฤษณาและชลาธลเดินจับมือกันท่ามกล่างธรรมชาติอันงดงาม

“อืม นี่เราก็รู้จักกันมาก็เกือบๆจะสองปีแล้วสินะ” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้ม

“แต่มันเหมือนกับเราพึ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานเลยเนอะ” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้า

“เวลานี่มันผ่านไปเร็วจังเลยเนอะ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้าเห็นด้วย

“อืม เร็วมากจริงๆ” ชลาธลพูดพลางมองหน้ากฤษณา เขาบีบมือของกฤษณาแน่นเล็กน้อยก่อนจะสบตาเขา

“กฤษ คือ เราดีใจนะที่ได้รู้จักนาย แล้วเราก็มีความสุขมากเลยที่ได้อยู่ข้างๆนายแบบนี้ อืม นายจะว่าอะไรไหมถ้าเราจะขอถามอะไรสักอย่างนะ” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้า

“ถามเรื่องอะไรหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลถอนหายใจเล็กน้อย

“คือ อืม นายก็รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นจระเข้ แล้วเราเองก็อยู่มาก็หลายปีมากแล้ว เราเห็นคนตายมาก็มาก คือ...” ชลาธลเงียบลงไป กฤษณาเองก็พอจะเข้าใจที่ชลาธลถามอยู่บ้างเหมือนกัน เขาจับมือของชลาธลเอาไว้แน่น

“ธล นายไม่ต้องคิดมากไปหรอกน่า อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอนอยู่แล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของธรรมดาน่า” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้า

“เรารู้ แต่ อืม พอเราแค่คิดว่าถ้าเกิดมันถึงเวลาของนายบ้าง เราจะทำใจได้ไหม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยคิดอะไรกับเรื่องนี้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะแม่ ท่านไกร หรือ น้าวิมาลา เราก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่พอเราได้รู้จักกับนายเราถึงได้เริ่มเข้าใจว่ามันปวดร้าวแค่ไหนเมื่อเราต้องอยู่ห่างจากคนรัก และถ้าเกิดมันถึงเวลานั้นขึ้นมา เวลาที่นายไม่อาจกลับมาได้จริงๆเราจะทำยังไง” ชลาธลพูดเสียงสั่น กฤษณาดึงตัวชลาธลมากอดไว้

“นายอย่าพูดแบบนั้นสิ นายเองก็เคยอยู่ตัวคนเดียวมาได้ตั้งนานนี่นา” กฤษณาตอบ ชลาธลสะอื้นเล็กน้อย

“ตะ แต่ตอนนี้เรามีนายแล้ว กฤษ นายจะสัญญาได้ไหมว่านายจะไม่จากเราไปไหนนะ เราคงทำใจไม่ได้จริงๆนะ” ชลาธลปล่อยให้น้ำใสๆของเขาไหลรินออกมาจากตา กฤษณาลูบหัวของชลาธลเบาๆ

“เราเองก็อยากจะอยู่ข้างนายไปตลอดแบบนี้ แต่นายก็รู้ว่าเราเองก็มีเวลาของเรา นายก็มีเวลาของนาย แต่ธล อย่างน้อยๆตอนนี้เราก็รักนายและเราก็อยากจะทำเวลานี้ให้ดีที่สุดเพื่อไว้ว่าอนาคตข้างหน้า แม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแต่ใจของเราก็จะยังมีนายไม่เปลี่ยนแปลง” กฤษณาตอบ ชลาธลเงยหน้ามองกฤษณาตาชื้นๆ กฤษณาก้มลงจูบที่ปากของชลาธลอย่างแผ่วเบา ชลาธลตอบรับจูบของกฤษณาอย่างไม่ขัดขืน

“เราเองก็จะทำให้ดีที่สุดเหมือนกัน กฤษ” ชลาธลพูด แล้วทั้งสองก็มาถึงบึง สายลมเอื่อยๆพัดมากระทบใบหน้า เสียงนกการ้องประสานไปกับสายลมราวจะกล่อมให้เหล่าต้นไม้ได้พักผ่อน ชายหนุ่มทั้งสองถอดเสื้อออกพลางกระโดดลงน้ำไป

“วู้ ไม่ได้ว่ายน้ำมาตั้งนานแล้ว” กฤษณาบ่น ชลาธลยิ้มพลางลอยตัวในน้ำอย่างสบายใจ

“เฮ้ย ธล มาว่ายแข่งกันดีกว่า คราวนี้ไม่มีแพ้แน่ๆ” กฤษณาพูดอย่างมั่นใจ ทั้งๆที่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะชลาธลได้เลย

“นายจะแข่งไปทำไมกัน ในเมื่อนายก็รู้อยู่ว่าเราได้เปรียบกว่านายเรื่องนี้” ชลาธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“ไม่ได้หรอก เราไม่เคยแพ้ใครหลุดรุ่ยขนาดนี้ ยังไงๆก็ต้องแก้มือให้ได้ละ” กฤษณาพูด ชลาธลส่ายหัวเล็กน้อยแต่ก็ยอมเข้าแข่งด้วยโดยดี

“ใครว่ายไปถึงต้นตะเคียนได้ก่อนชนะนะ” กฤษณาร้อง ชลาธลพยักหน้า

“เอาละนะ หนึ่ง สอง สาม” กฤษณานับพลางออกแรงว่ายเต็มที่ เขามองเห็นชลาธลกวาดแขนไปมาอย่างเรื่อยๆไม่นานก็นำหน้าเขาไป กฤษณาจ้วงแขนตีขาสุดกำลังแต่ก็ไม่อาจเทียบกับความเร็วของชลาธลได้เลย แต่แล้วกฤษณาก็คิดแผนการอันชั่วร้ายออกมาได้

“อะ อ๊อก ชะ ช่วยด้วย ตระคริวกิน” กฤษณาแกล้งร้องพลางดิ้นไปมา ชลาธลได้ยินก็รีบพุ่งตัวกลับมาทันที

“กฤษ” ชลาธลพุ่งเข้ามาหา กฤษณาได้ทีรีบเกาะร่างของชลาธลเอาไว้

“ธล เราคิดว่าเราจะตายแล้ว” กฤษณาพูด ชลาธลตาตื่นๆเล็กน้อยเพราะที่ขาของชลาธลเหมือนมีอะไรบางอย่างมาดุ้นเอาไว้

“กะ กฤษ” ชลาธลพูดเสียงสั่นๆ กฤษณาได้ทีรีบพุ่งตัวออกไปทันที ชลาธลได้แต่ลอยตัวอยู่งงๆ กว่าเขาจะรู้ตัวว่าโดนหลอกกฤษณาก็ว่ายไปถึงต้นตะเคียนแล้ว

“เย้” กฤษณาร้องลั่น ชลาธลส่ายหัวไปมา

“เป็นไง ฮะๆ คราวนี้เราชนะนายแล้วนะ” กฤษณาข่มทับ ชลาธลทำหน้าเศร้าทันที กฤษณาถึงกับใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาว่ายน้ำกลับไปหาชลาธล

“ธล นายโกรธหรอ” กฤษณาพูด ชลาธลสะอื้นเล็กน้อย กฤษณาถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลย

“เฮ้ย ธล เราแค่แหย่เล่นเองนะ เราขอโทษ” กฤษณาพูดพลางพยายามจะจับไหล่ของชลาธลไว้ แต่ชลาธลกลับสะบัดหน้าหนี

“เราเป็นห่วงนายนะรู้ไหม” ชลาธลร้อง กฤษณาก้มหน้า

“เราขอโทษนะ เราก็แค่จะแหย่เล่นเฉยๆเอง เราขอโทษนะธลนะ คืนดีกันนะ” กฤษณาอ้อนวอน ชลาธลหันหน้ามามองกฤษณาหน้าแดงก่ำ

“ใครทำอะไรไว้ก็รับผิดชอบด้วยสิ” ชลาธลตอบ กฤษณาก้มหน้า

“อะ อืม เรายินดีรับผิดทุกอย่างเลยนะ” กฤษณาตอบ ชลาธลแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

“งั้นรับผิดชอบตรงนี้ด้วย” ชลาธลพูดพลางดึงมือของกฤษณามาจับที่ท่อนลำของเขาที่มันแข็งตัวตั้งเด่อยู่ใต้น้ำ กฤษณาตาลุก

“ธะ ธล” กฤษณาร้อง ชลาธลโผเข้าจูบปากของกฤษณาทันที เขาดูดลิ้นของกฤษณาเบาๆมือพลางลูบไล้ไปตามร่างของกฤษณา กฤษณาถึงกับร่างอ่อนระทวยเมื่อเจอกับจูบอันร้อนแรงของชลาธล

“ขึ้นฝั่งกันดีกว่า” กฤษณาร้อง โดยที่เขาแทบไม่ต้องรอชลาธลพาร่างของกฤษณากลับเข้าสู่ฟั่งอย่างรวดเร็ว ชลาธลว่างร่างของกฤษณาลงกับพื้นพลางก้มลงจูบปากอีกครั้ง ชลาธลดุ้นลิ้นเข้าไปในปากของกฤษณาพลางตวัดไปมา กฤษณาก็ดูดลิ้นของชลาธลสู้กลับมือพลางสัมผัสไปทั่วร่างที่แน่นกำยำไปด้วยกล้ามเนื้อ ชลาธลเลื่อนหัวของเขาลงไปซุกที่ซอกคอของกฤษณาพลางโลมเลียไปทั่ว ลิ้นแฉะๆนุ่มๆลากผ่านซอกคอทำให้กฤษณาถึงกับขนตั้งชันเป็นแนว

“อืม” กฤษณาครางในลำคอ ชลาธลขยับปากของเขาเลื่อนลงไปพรมจูบที่แผ่นอกของกฤษณา ชลาธลไซร้ปากอย่างช้าๆพลางเลื่อนไปที่หัวนมของกฤษณา ชลาธลเอาลิ้นวนไปรอบๆก่อนที่จะค่อยดูดมันอย่างเบาๆ ฟันของเขาขบที่ปลายในขณะที่ลิ้นก็สะบัดดิ้นไปมา กฤษณาถึงกับส่ายหน้าไปมาร้องครางด้วยความเสียว

“อะ อืมมม อ่า” กฤษณาร้อง ยิ่งเหมือนกระตุ้นอารมณ์ของชลาธลให้เพิ่มมากขึ้น ชลาธลเม้มปากเล่นหัวนมของกฤษณาอย่างเมามันส์ มือของเขาเลื่อนลงไปที่ท่อนลำของกฤษณาที่เริ่มจะแข็งตัวขึ้นช้าๆ ชลาธลเอานิ้วแตะที่หัวปลายที่มีน้ำเยิ้มออกมา ชลาธลวนนิ้วของเขาไปรอบๆ กฤษณาถึงกับตัวเกร็งไปทั้งร่าง

“อ่าา ธล ซีดดด เสียวว” กฤษณาร้อง ชลาธลเลื่อนปากของเขาจูบไปตามร่างของกฤษณา ผ่านหน้าท้องที่หกเกร็งจนกล้ามขึ้นเป็นลูกๆ ชลาธลลงลิ้นเลียอย่างช้าๆมือก็วนหัวปลายไปมา

“โอ้ ธล พอที เราเสียว” กฤษณาเริ่มครางหนักขึ้น ชลาธลพรมจูบผ่านกลุ่มขนลงเลื่อนผ่านร่องขาหนีบลงไปก่อนที่จะลากลิ้นมาโลมเลียที่พวงสวรรค์ของกฤษณา ลิ้นอันอุ่นนุ่มของชลาธลถูไถไปมากับถุงแฝด นิ้วของชลาธลก็ยังคงวนไปรอบๆหัวปลายจนน้ำเงี่ยนของกฤษณานั้นไหลเคลือบหัวเป็นมันวาว

“ซีดดด ธล อ่าาา” กฤษณาตัวเกร็ง ชลาธลลากลิ้นขึ้นไปที่โคน ลากผ่านเส้นสองสลึงพลางวนลิ้นไปรอบๆหัวปลายก่อนจะฉกลิ้นของเขาลงไปที่ร่องน้ำ กฤษณาดิ้นพล่านด้วยความเสียวซ่าน มือของเขาจับที่หัวของชลาธลพลางกดมันลงไป ปากของชลาธลครอบลงที่เสากระโดงของกฤษณา ชลาธลดูดท่อนของกฤษณาอย่างแรง ลิ้นพลางกระดกไปทั่วหัวปลาย

“อ่าาา ธล ซีด แรงๆเลย” กฤษณาร้องอย่างลืมตัว ชลาธลห่อปากแน่นพลางสูบปากเข้าออกขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะ กฤษณาจับหัวของชลาธลพร้อมกับเด้งก้นสวนกลับขึ้นไปด้วย ชลาธลสูบปากขึ้นลงอย่างเอาเป็นเอาตาย กฤษณาแหงนหน้าร้องครางเสียงหลง

“ธล ระ เรามะ ไม่ไหวแล้ว ซีดด ออกแล้ว” กฤษณาร้องพลางพ่นน้ำรักของเขาเข้าเต็มปากของชลาธลทันที ชลาธลดื่มกลืนจนหมดเกลี้ยงแถมยังตามเลียต่อจนกฤษณานั้นต้องจับหัวของชลาธลยกออก

“พะ พอก่อน ไม่ไหวแล้ว” กฤษณาร้องพลางมองหน้าชลาธลที่ยิ้มอย่างมีชัย กฤษณาหายใจหอบแฮ่กๆ

“ร้ายนักนะ ใช้น้ำตาจระเข้หรือเนี่ย” กฤษณาพูดหอบแฮ่กๆ ชลาธลยิ้ม

“ก็เราเป็นจระเข้นี่นา” ชลาธลตอบ กฤษณาดึงหน้าของชลาธลขึ้นมา

“แล้วก็เป็นจระเข้ที่หื่นด้วย” กฤษณาพูดพลางดึงหน้าของชลาธลเข้ามาจูบ กลิ่นน้ำกามของเขากระตุ้นอารมณ์ของกฤษณาขึ้นมาอีกครั้ง เขาจับร่างของชลาธลกดลงที่พื้นพลางระดมจูบไปทั่วหน้า เขาหอมแก้มชลาธลทั้งซ้ายขวาพลางสูดกลิ่นกายเข้าไปอย่างเต็มปอด

“เมื่อกี้ทำเราเสียวแทบตายเลยนะ” กฤษณาพูดพลางเลื้อยไปขบติ่งหูของชลาธลเบาๆก่อนที่จะลากลิ้นเข้าไปฉกในรูหูของชลาธล

“อืม” ชลาธลคราง กฤษณาดูดเลียที่ใบหูของชลาธลอย่างแผ่วเบา

“เสียงนายยั่วเราดีจัง ครางดังๆนะที่รัก” กฤษณาพูดเสียงสั่น เขาเลื่อนลิ้นลงไปที่ซอกคอของชลาธลสลับกับจูบไปทั่ว

“อะ อ๋า” ชลาธลคราง กฤษณาหัวเราะในลำคอเบาๆ มือค่อยๆลูบไปตามร่างของชลาธลอย่างช้าๆ กฤษณาขยับหัวของเขาเลื่อนลงไปที่หน้าอกกว้างแกร่งของชลาธล กฤษณาดูดเม้มที่หัวนมของชลาธล ลิ้นของเขาวนไปโดยรอบสลับกับขบด้วยฟันเบาๆ ชลาธลหายใจหอบพลางดิ้นเร่าๆ

“อะ อืมม” ชลาธลร้อง กฤษณาเลื่อนมือลงไปที่ท่อนลำของชลาธล เขาจับมันกำพลางรูดขึ้นลงนิ้วชี้พลางลูบที่หัวปลายไปมา ชลาธลถึงกับบิดร่างด้วยความเสียวซ่าน

“อะ อ่าา” ชลาธลครางกระเซ่า กฤษณาพรมจูบลงไปตามร่างของชลาธล เขาจูบลงที่หน้าท้องแข็งเกร็งพลางลากลิ้นไปทั่ว ชลาธลถึงกับเกร็งท้องแข็ง กล้ามหน้าท้องเรียงตัวสวยยิ่งเพิ่มความกระสันต์ให้กับกฤษณา เขาไล่ลิ้นลงไปถึงท่อนลำของชลาธล กฤษณาก้มดูเสากระโดงของชลาธลที่ผงกหัวหงึกๆอย่างเชื้อเชิญ กฤษณาค่อยๆครอบปากลงไปอย่างช้าๆพลางดูดมันเบาๆ

“โอ้ กฤษ” ชลาธลร้อง กฤษณาค่อยๆกลืนท่อนลำของชลาธลพลางดูดเสียงดังจ๊วบจ๊าบ ลิ้นของเขาละเลงไปมาที่หัวปลาย ตวัดเอาน้ำหล่อเลี้ยงเข้าปากไป ชลาธลสีหน้าบิดเบี้ยวไปมาเมื่อเจอปากอุ่นๆของกฤษณา

“อะ อ่า กฤษ แรงๆหน่อย” ชลาธลร้อง กฤษณาห่อปากแน่นขึ้นพลางขยับหัวขึ้นลงไปมาเป็นกระบอกสูบ ชลาธลนอนดิ้นราวปลาถูกทุบ มือของกฤษณาเลื้อยลงไปที่ร่องสวรรค์ของชลาธล เขาเอานิ้วเขี่ยมันเบาๆ ชลาธลถึงกับแอ่นก้นยกเหนือพื้น

“กฤษ ยะ อย่า” ชลาธลร้อง แต่ยิ่งห้ามกลับเหมือนยิ่งยุ กฤษณาค่อยๆสอดนิ้วของเขาเข้าไปในรูสีแดงนั่นอย่างช้าๆ เขาควงนิ้วชี้เป็นวงกลมปากก็ดูดท่อนลำของชลาธลไม่ปล่อย

“โอ้ กฤษ ระ เราเสียว มะ มากเลย อ่า” ชลาธลครางไม่เป็นภาษา กฤษณาเพิ่มนิ้วกลางเข้าไปอีกนิ้วนึงพลางขยับเข้าออกอย่างช้าๆ สลับกับหมุนนิ้วของเขาไปมา ชลาธลเริ่มจะดิ้นหนี แต่กฤษณากลับจับเอวของเขาไว้ ชลาธลหายใจหอบ กระโปกหดตัว ร่องก้นของเขาตอดรัดนิ้วของกฤษณาแน่น

“กฤษ ระ เรามะ ไม่ไหว ละ แล้ววว โอ้ววว” ชลาธลครางเสียงหลงพลางพ่นน้ำราคีคาวเข้าปากกฤษณาไม่ยั้ง ชลาธลกระตุกสองสามทีพลางหายใจหอบ กฤษณาโลมเลียพลางกินน้ำรักของชลาธลจนหมดเกลี้ยง

“กฤษ พอ ก่อน กฤษ” ชลาธลร้องพลางพยายามดิ้นหนี แต่กฤษณากลับจับเอวของเขาไว้แน่นพลางตั้งหน้าตั้งตาดูดท่อนลำของชลาธลทั้งๆที่มันยังหดตัวอยู่อย่างนั้น ร่างของชลาธลหมดแรงจะต่อต้านลงทันใด

“อ่า กฤษ ระ เรา มะไม่ไหว ขะ ขอพักหน่อย อ่าา” ชลาลธลร้อง แต่กฤษณากลับละปากจากท่อนลำพลางลากลิ้นลงไปยังพวงไข่ กฤษณาตวัดลิ้นของเขาไปมาก่อนจะลากลิ้นลงไปที่ร่องสวรรค์สีแดง

“กฤษ” ชลาธลร้องขอเสียงกระเส่า กฤษณาจับขาของชลาธลยกขึ้นพาดบ่าแล้วจัดร่องของเขาให้ตรงกับปาก กฤษณาเอามือช่วยแหวกก้นของชลาธลออกพลันส่งลิ้นเข้าไปลูบที่ปากทาง ชลาธลดิ้นถอยหนี

“กฤษ ยะ อย่า” ชลาธลร้อง กฤษณาจับร่างของชลาธลไว้พลางละเลงลิ้นของเขาไปทั่ว เขาห่อลิ้นให้แข็งพลางแทงเข้าไปในรู ร่องของชลาธลตอดลิ้นกฤษณาตุ๊บๆ

“อ่า กฤษ ดีจัง” ชลาธลเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น กฤษณาเอื้อมมือมารูดเสาของชลาธลอย่างเบามือ จนมันค่อยๆตั้งตัวแข็งปั๋งขึ้นมาอย่างช้าๆ ชลาธลหายใจหอบ

“โอ้ว กฤษ นายเก่งจัง ซีดดด” ชลาธลครางอย่างลืมตัว กฤษณาเล้าโล้มปากทางของชลาธลจนทั่ว ก่อนที่เขาจะถอนปากออกพลางค่อยๆกดนิ้วชี้กับนิ้วกลางของเขาเข้าไปแทน

“อ้า กฤษ พอเถอะ เอาเราได้แล้ว” ชลาธลร้องด้วยความต้องการ กฤษณาถอนนิ้วออกพลางลูบท่อนลำของเขาที่มันแข็งจนเส้นเลือดปูดโปน กฤษณาเอาหัวจ่อไปที่ร่องของชลาธล

“ซีดดด ธล มะ มันตอด” กฤษณาร้องเพราะร่องสวรรค์สีแดงนั้นตอดที่หัวของกฤษณาราวกับจะกลืนเข้าไปทั้งดุ้น กฤษณากัดฟันแน่นพลางค่อยๆดันท่อนของเขาให้ลึกเข้าไป

“โอ้วว แน่นจริงๆธล มันฟิตมาก ซีดด” กฤษณาร้องพลางหยุดพักหายใจ

“เอาเราทีกฤษ” ชลาธลร้อง กฤษณาดันท่อนของเขาเข้าไปลึกยิ่งขึ้นจนในที่สุดหมอยของกฤษณาก็ชิดกับก้นของชลาธล กฤษณาหายใจหอบ เหงื่อท่วมตัว

“ซีดด ธลเราไม่ไหวแล้ว เราเอานายเลยนะ” กฤษณาพูดพลางค่อยๆดึงท่อนของเขาออกมาเล็กน้อยก่อนจะกดมันกลับเข้าไป แล้วก็ถอนออกมาใหม่ให้มากกว่าเดิมก่อนจะสวนมันกลับไปอีกครั้ง กฤษณาสูบเข้าออกอย่างเนิบๆช้าๆ ชลาธลเริ่มดิ้นไปมา

“กฤษ นายเอาเก่งจัง เร็วอีกสิ” ชลาธลร้อง กฤษณาจับตัวชลาธลนอนตะแคงพลางยกขาเขาขึ้นข้างนึง กฤษณาล้มตัวลงไปจูบที่ไหล่ของชลาธล

“ได้ครับที่รัก เราจะทำให้นายมีความสุขสุดๆเลย” กฤษณาพูดจบเขาก็ขยับเอวเข้าออกเร็วขึ้น เสียงไข่กระทบหนังดังผั่บๆ กฤษณาขยับเอวไปพลางดูดเลียใบหูของชลาธลอย่างเร่าร้อน

“อ่า อ่า อ่า” ชลาธลร้องไปตามจังหวะกระแทกของกฤษณา พลันกฤษณาก็จับร่างของชลาธลนอนคว่ำลง เขายกก้นของชลาธลขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มกระเต้าอีกครั้ง มือของกฤษณาก็รูดเสากระโดงของชลาธลไปตามจังหวะ

“เสียวไหมธล” กฤษณาพูดพลางหายใจหอบ

“สะ เสียวมากกฤษ อ่า เร็วๆเลยก็ได้” ชลาธลร้อง กฤษณาก้มลงเลียไปตามแผ่นหลังกว้างของชลาธล กฤษณาเร่งกระเต้าก้นของชลาธลแบบไม่ยั้ง มือสาวว่าวให้ชลาธลเป็นระวิง แต่ด้วยความที่ทั้งสองนั้นแตกไปก่อนหน้านี้จึงไม่มีท่าที่ว่าจะเสร็จง่ายๆ กฤษณานอนลง พลางจับตัวของชลาธลยกขึ้น เขาถอนท่อนลำออกมาพลางมองหน้าชลาธล

“ขย่มเลยธล” กฤษณาพูด ชลาธลหันหน้ามาทางกฤษณาพลางค่อยๆหย่อนตัวลงไปอย่างช้าๆ

“อ่าา” ชลาธลคราง ไม่นานเขาร่องของเขาก็ถูกอัดเข้าไปด้วยท่อนลำของกฤษณา ชลาธลเริ่มขยับก้นขึ้นลงช้าๆ กฤษณากระเต้าก้นสวนกลับไปเป็นจังหวะ

“โอ๊ย ร่องนายมันตอด ซีดด” กฤษณาคราง ชลาธลเริ่มเร่งความเร็วขึ้น เขาควบกฤษณาอย่างไม่ลืมหูลืมตา กฤษณาเด้งสวนเข้าออกตามไป ยิ่งเขาเห็นชลาธลนั่งสาวว่าวไปกระเด้งไปยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของกฤษณากระเจิง กฤษณาชันเข่าขึ้นดันร่างของชลาธลลงมา ชลาธลจูบลงที่ปากของกฤษณา เขาดูดลิ้นกฤษณาอย่างร้อนแรง กฤษณาขยับเอวเข้าออกไม่ยั้ง

“ธล เราจะออกแล้วนะ” กฤษณาร้อง ร่างของเขาเกร็งไปทั่ว ชลาธลบดท่อนลำของเขาเข้ากับหน้าท้องเป็นลอนของกฤษณา

“เราก็จะไม่ไหวแล้วกฤษ” ชลาธลพูด ยังไม่ทันขาดคำร่องก้นของชลาธลก็บีบเสากระโดงของกฤษณาแน่นเข้า กฤษณาถอนออกมาครึ่งลำแล้วกดสวนเข้าไปพรวดเดียวมิดด้าม

“ออกแล้วธล อ่าาา” กฤษณาร้องอย่างหมดท่าพลางพ่นน้ำว่าวเข้าเต็มร่องก้นของชลาธล

“โอ้วว” ชลาธลร้อง น้ำรักของเขาพุ่งกระฉูดออกมาเลอะเต็มหน้าของของกฤษณา บางส่วนก็กระเด็นขึ้นไปโดนคาง ทั้งสอนนอนหายใจหอบอย่างเหนื่อยอ่อน ชลาธลซบลงที่อกของกฤษณา

“สุดยอดเลย” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มรับ

“อืม” ชลาธลตอบ ก่อนที่ทั้งสองจะนอนพึ่งร่างที่ใต้ต้นไม้ กฤษณาลูบผมของชลาธลไปมาอย่างเอ็นดู ชลาธลลูบหน้าอกของกฤษณาอย่างแผ่วเบา

“นายมีความสุขไหมกฤษ” ชลาธลถาม กฤษณาพยักหน้า

“สุขที่สุดเลยละ” กฤษณาตอบ ชลาธลเงยหน้ามองกฤษณา

“เราอยากทำแบบนี้กับนายตลอดไปจัง” ชลาธลพูด กฤษณาจูบลงที่หน้าผากของชลาธลเบาๆ

“นายทำได้เสมอแหละถ้านายต้องการ” กฤษณาตอบก่อนที่ทั้งสองจะประกบปากเข้าด้วยกัน

“ดูสิ” กฤษณาร้อง ชลาธลหันไปมองดูพระอาทิตย์ที่กำลังจะค่อยๆลับขอบฟ้าแสงสีส้มสะท้อนผิวน้ำเปล่งประกายราวขุมทองล้ำค่า กฤษณากอดร่างของชลาธลแน่นเข้า ชลาธลเองก็ซบลงที่อกกว้างของกฤษณา ชลาธลรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่เข้ามาสู่ตัวเขา ชลาธลอยากหยุดเวลาของเขากับกฤษณาไว้ตรงนี้ตลอดกาลเสียเหลือเกิน แต่กฤษณาจำต้องกลับบ้าน

“นายมานอนบ้านเราอีกสิ” กฤษณาชวน ชลาธลส่ายหัว

“คงไม่ได้หรอก หลวงตาท่านบ่นแล้ว ท่านเขากลัวว่าเราจะทำอะไรพลาดไปนะ” ชลาธลพูด กฤษณาเบ้ปาก

“โถ่ หลวงตาอะ คิดมากจัง ก็มานอนหลายทีแล้วไม่เป็นเป็นไรเลยนี่นา” กฤษณาบ่น ชลาธลยิ้มแห้งๆรับ

“อืม เราก็เข้าใจหลวงตานะ อะไรมันก็เกิดขึ้นได้นี่นา แต่นายก็ปิดเทอมแล้วนี่ เราไว้เจอกันพรุ่งนี้ก็ได้นี่นา” ชลาธลกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ

“อืม ก็ได้ แล้วพรุ่งนี้เราจะไปหาแต่เช้าเลยนะ” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มรับก่อนที่ทั้งสองจะเดินกลับไปที่วัด และกฤษณาก็แยกตัวกลับบ้านไป

“แล้วเจอกันนะ” กฤษณาพูดพลางโบกมือให้ ชลาธลยืนแก้มแดงพลันเขาก็รีบหอมแก้มกฤษณาอย่างเร็วก่อนจะวิ่งกลับเข้าวัด

“ฝันดีนะครับ” ชลาธลร้อง กฤษณาเอามือจับแก้มของเขาเบาๆ

“อืม เช่นกัน” กฤษณาตอบก่อนจะเดินกลับบ้านด้วยความสุขกายสบายใจและหลับฝันดีอีกต่างหาก เช้าวันรุ่งขึ้นมา กฤษณาตื่นขึ้นมาก็รีบอาบน้ำแต่งตัวทานข้าวแล้วเผ่นไปหาชลาธลทันที พอกฤษณาเข้าไปที่วัดเขาก็พบหลวงตายุทกำลังยืนคุยธุระกับชายคนนึงอยู่

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 22-01-2007 19:14:05
“สวัสดีครับหลวงตา” กฤษณาทักพลางยกมือไหว้

“มาแต่เช้าเลยนะ สอบเสร็จแล้วสิเอ็ง ดีไปช่วยไอ้ธลมันทำวัตรไป” หลวงตายุทสั่ง กฤษณาทำตาโต

“โห หลวงตามาถึงก็ให้ทำงานแต่เช้าเลยหรอ” กฤษณาแย้ง หลวงตายุทเขม่นใส่

“ก็เอ็งจะได้อยู่กับมันนานๆไง ไปได้แล้ว” หลวงตายุทพูด กฤษณาเบ้ปากแต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังดีใจที่ได้อยู่กับชลาธลอีกครั้ง กฤษณาเดินไปหลังกุฏิแล้วเขาก็พบชลาธลกำลังกวาดลานอยู่

“อรุณสวัสดิ์ครับ” ชลาธลทัก กฤษณายิ้มรับ

“อืม เป็นไงบ้างอะ ขยันแต่เช้าเลย ดูดิเราเลยโดนไปด้วยเลย” กฤษณาพูดพลางหยิบเอาไม้กวาดที่วางพาดไว้ที่ผนังวัดมากวาดข้างๆชลาธล

“ก็พอปิดเทอมเด็กวัดบางคนเขาก็กลับบ้านนะ เหลืออยู่ไม่มากหรอก” ชลาธลตอบพลางกวาดเศษใบไม้แห้งไปรวมๆกัน

“อืม นั่นสินะ ว่าแต่นายอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว แบบว่าไม่มีใครสงสัยบ้างหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลยิ้มรับ

“อืม คาถาผนึกถ้ำทองนะไม่ได้ใช้แค่ปกคลุมร่างของเราเท่านั้นนะ มันยังใช้หลอกตาคนได้อีกด้วย ถ้าเราอยากให้ใครเห็นเราแก่ขึ้นหรือเด็กลงเราก็แค่ตั้งสมาธิท่องคาถาเขาก็จะเห็นเราแก่ขึ้นได้ แต่ปกติแล้วเราไม่ค่อยสุงสิงกับใครหรอก ก็เลยไม่ค่อยมีใครสังเกต” ชลาธลตอบ กฤษณาเริ่มนึกสนุกขึ้นมา

“หรอ นายทำให้เราเห็นนายตอนแก่ได้ไหมอะ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้า

“อืม แก่แค่ไหนอะ” ชลาธลถามกลับ กฤษณาคิดอยู่เล็กน้อย

“เอาสัก เออ ยี่สิบกว่าๆอะ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้าพลางหลับตา ปากก็ขยับขมุบขมิบไปมา กฤษณารู้สึกระเคืองตาเล็กน้อยเขาขยี้ตาไปมาพลันมองมาที่ชลาธลเขาก็พบกับชายผิวสีน้ำผึ้งตัวใหญ่ อยู่ตรงหน้า เคราเขียวๆขึ้นโดยรอบ แขนและอกที่กำยำล่ำสันทำเอากฤษณาตาไม่กระพริบ

“โห เจ๋งอะ” กฤษณาร้อง เขากระพริบตาสองสามทีแล้วชลาธลก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิม

“เจ๋งจังเลยอะ แหมนายตอนโตนี่โคตรเท่ห์เลย” กฤษณากล่าวชม ชลาธลถึงกับเขินหน้าแดงเล็กน้อย

“มะ ไม่สักหน่อย” ชลาธลพูด

“อืม แล้วปกตินายรูปร่างเป็นแบบนี้หรอหรือนายคิดเอาเอง” กฤษณาถาม ชลาธลส่ายหัว

“ถ้าใช้คาถาผนึกถ้ำทองแบบธรรมดาก็จะให้รูปร่างที่แท้จริงของจระเข้ตัวนั้นๆไปด้วยนะ แต่ท่านไกรเขาปรับแปลงคาถาให้เหมาะกับสถานการณ์นะ” ชลาธลกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับหงึกๆ

“อืม ไกรทองนี่ก็ฉลาดไม่เบานะ” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้า

“อืม ไม่งั้นเขาก็คงโดนพ่อชาละวันกินไปแล้วละมั้ง” ชลาธลตอบ กฤษณาก็หัวเราะพลางช่วยชลาธลกวาดใบไม้แห้งใส่ที่โกยขยะ

“อืม ว่าแต่นายละ เห็นว่าพ่อนายมีบ้านที่กรุงเทพฯด้วยนี่” ชลาธลถาม กฤษณาพยักหน้า

“อ๋อ ไม่ใช่ของพ่อเราหรอก ของแม่เราต่างหาก แม่เราเป็นคนกรุงเทพฯนะ แล้วก็มาเจอพ่อเราตอนเรียนมหาลัยนะ จากนั้นแม่เราเลยตามพ่อมาที่นี่แหละ” กฤษณากล่าว

“เขาว่ากรุงเทพฯสวยกว่าที่นี่จริงหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาเบ้ปาก

“อืม ก็ดูทันสมัยดีอะนะ มีพวกรถยนต์อะไรเยอะดี มีรถแปลกๆเหมือนกัน ข้าวของก็แพงหูฉี่เลยอะ แถมยังอึดอัดด้วย อากาศไม่สดชื่นเท่าที่นี่หรอก” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้า

“นี่อย่าบอกนะว่านายไม่เคยลงกรุงเทพฯอะ” กฤษณาถาม ชลาธลยิ้มแห้งๆแต่ก็พยักหน้ารับ

“อืม เราไม่เคยลงหรอก หลวงตาท่านกลัวนะว่าเราอาจจะไปทำอะไรไม่ดีได้” ชลาธลตอบ กฤษณาเอามือทุบอกของเขา

“งั้นถ้าเราลงกรุงเทพฯเราจะชวนนายไปด้วยดีไหม” กฤษณาพูด ชลาธลมีสีหน้าไม่แน่ใจนัก

“จะดีหรอ แบบว่า พ่อนายไม่ว่าหรอ” ชลาธลถาม กฤษณายิ้ม

“ดีออก เราลงไปทีไรก็ไม่ค่อยมีอะไรทำเท่าไหร่เหมือนกัน ดีออกมีเพื่อนแล้วจะพาเที่ยว” กฤษณากล่าว ชลาธลยิ้มรับ

“อืม แต่ต้องขออนุญาตหลวงตาก่อนอะ” ชลาธลพูด กฤษณายิ้ม

“เอาน่า มีเราอยู่ด้วยคงไม่เป็นไรหรอก” กฤษณาตอบ ชลาธลก็ยิ้มรับ

“แล้วนายลงบ่อยปะ อืม พักนี้ก็ไม่เห็นนายลงไปเลยนี่นา” ชลาธลถาม กฤษณายิ้ม

“ก็เพราะอยู่ที่นี่แล้วมีความสุขกว่าเราจะลงไปทำไมกันละ” กฤษณาตอบ ชลาธลถึงกับเขินหน้าแดงเล็กน้อย

“แหม นายลงไปก็ได้นี่นา อยู่แต่กับเราเดี๋ยวก็เบื่อหรอก” ชลาธลพูด กฤษณากรอกตา

“ไม่เบื่อหรอก แค่เห็นหน้านายก็มีอารมณ์ทั้งวันแล้วละ” กฤษณาตอบ ชลาธลตาลุก

“นี่พูดแบบนี้ได้ไง ในวัดนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาขมวดคิ้ว

“อารมณ์สนุกสนานนะ นายคิดอะไรเนี่ย” กฤษณาพูด ชลาธลแก้มแดง หูแดงแจ๋ราวลูกมะเดื่อ

“อะ แหม” ชลาธลถึงกับขัดเขินพูดอะไรไม่ออก กฤษณาหัวเราะร่า

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ล้อเล่นนะ แต่เรามีความสุขจริงๆนะที่ได้อยู่กับนายนะ ถ้าเลือกเราเลือกนายดีกว่า” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้ารับ

“อะ อืม ขอบใจนะ” ชลาธลพูด

“เอ้า เสร็จแล้วหรือยัง เสร็จแล้วมากินข้าวกัน” หลวงตายุทเดินเข้ามา กฤษณากับชลาธลกำลังทำความสะอาดห้องเก็บหอกสัตตะโลหะอยู่

“อะครับ จะเสร็จแล้วครับ” กฤษณาตอบ หลวงตายุทส่ายหัว

“เฮ้อ ถ้ามีไอ้ธลอยู่นี่ต่อให้เป็นอะไรเอ็งก็ทำได้หมดเลยนะไอ้กฤษ” หลวงตายุทแซว กฤษณายิ้มรับ

“อะแหม ก็มีกำลังใจดีอยู่ข้างๆนี่ครับหลวงตา” กฤษณาตอบ ชลาธลยิ้มรับเขินๆ หลวงตายุทส่ายหัวไปมา

“เอาเถอะๆ ทำนี่เสร็จแล้วก็มากินข้าวแล้วจะไปเที่ยวไหนก็ไปไป๊” หลวงตายุทพูด กฤษณายิ้มให้ชลาธลก่อนที่ทั้งสองจะตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดห้องอย่างตั้งใจ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จชลาธลกับกฤษณาก็ออกไปเดินย่อยอาหารนอกวัด

“เฮ้อ อยู่วัดนี่ก็ดีเนอะ มีอาหารกินเยอะแยะเลย” กฤษณาตอบพลางตบพุงตัวเองเบาๆ

“อืม แต่ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยได้กินหรอก เพราะมันมักจะมีเนื้อสัตว์นะ” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้า

“นายกินไม่ได้สักนิดเลยหรอ” กฤษณาถาม ชลาธลมองหน้า

“นายก็เห็นแล้วนี่นา อืม อันที่จริงแค่กลิ่นเราก็จะบ้าแล้วละ ไม่รู้สิ พอได้กลิ่นเลือด กลิ่นเนื้อแล้วใจมันเต้นแรงแปลกๆนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้า

“ก็ปกตินายก็เป็นสัตว์กินเนื้อนี่นะ เฮ้อ เห็นแบบนี้แล้วเราชักไม่อยากกินเนื้อแล้วสิ” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มให้

“นายกินเนื้อเพื่อเราเถอะ มันน่าสงสารนะพวกสัตว์ทั้งหลายที่อุตส่าห์สละตัวเองเพื่อให้เราอิ่มท้องนะ ถ้านายกินเนื้อเราก็จะได้อยู่ในร่างมนุษย์ตลอดไปไง” ชลาธลพูด กฤษณายิ้ม

“อืม นั่นสินะ แต่เราก็อยากให้นายได้ลิ้มลองเนื้อสัตว์ดูบ้างจัง” กฤษณาพูด ชลาธลส่ายหัว

“มันไม่สำคัญหรอก อีกอย่างเราว่ากินผักมันก็ไม่แย่เสียทีเดียวหรอก” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้ารับ

“นั่นดักแด้ มันกำลังจะกลายเป็นผีเสื้อ” ชลาธลชี้ไปที่พุ่มไม้ พลางดึงมือของกฤษณาไปดูใกล้ๆ ทั้งนั่งยองๆลงตรงพุ่มไม้ ดักแด้สีน้ำตาลค่อยๆมีปีกสีเหลืองแต้มดำปรากฏออกมา ร่างของผีเสื้อตัวน้อยค่อยๆดันตัวเองออกมาจากดักแด้นั่น มันเกาะดักแด้สีน้ำตาลแก่เอาไว้พลางสยายปีกของมันออกอย่างช้าๆ มันกระพือปีกขึ้นลงไปมาเพื่อให้ปีกของมันแห้ง กฤษณามองดูชลาธลที่จ้องมองผีเสื้ออย่างตื่นเต้น

“ถ้านี่นายไม่บอกว่านายเป็นจระเข้นี่เราไม่เชื่อนะเนี่ย ในความคิดของเราจระเข้ต้องเป็นสัตว์ที่ดุร้ายกินไม่เลือกหน้านะ แต่นี่นายกลับตื่นเต้นที่เห็นดักแด้กลายเป็นผีเสื้อเนี่ยนะ” กฤษณาพูดเปรยๆ ชลาธลยิ้ม

“จระเข้ก็เหมือนคนนั่นแหละ ไม่สิ ทุกอย่างมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก มันมีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป จระเข้อาจทำร้ายมนุษย์ก็จริงแต่มันก็ทำเพื่อประทังชีวิตและบางทีป้องกันตัว มนุษย์เองก็พยายามช่วยเหลือเหล่าจระเข้ที่กำลังลำบากไม่ใช่หรอ เราว่าความดีมันก็เหมือนผีเสื้อละนะ ตอนแรกที่ทำนะคนอื่นก็มองเหมือนมันเป็นแค่หนอนน่าเกลียด แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้พยายามสั่งสมความดีนั้นไว้ สักวันความดีที่ใครเห็นว่าเป็นหนอนน่าเกลียดมันก็อาจจะกลายเป็นผีเสื้อแสนสวยเข้าสักวัน” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้าชลาธลตาไม่กระพริบ

“ถ้าเราไม่คิดจะพยายามทำดีต่อไป ความดีของเรามันก็คงหยุดอยู่ที่แค่หนอนหน้าตาน่าเกลียดละนะ” ชลาธลตอบ กฤษณายิ้มรับ

“อืม” กฤษณาตอบสั้นๆ พลันผีเสื้อตัวนั้นก็กระพือปีกบินตัดหน้ากฤษณาไป ทั้งสองจ้องมองดูผีเสื้อตัวน้อยบินผ่านแสงอาทิตย์ที่ลอดมาตามใบไม้ มันกระพือปีกอันงดงามของมันไปมาบนท้องฟ้า กฤษณาและชลาธลจับมือกันแน่นพลางจ้องตากันและกัน ความรักของทั้งสองตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงจากหนอนธรรมดากลายเป็นผีเสื้อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“กฤษ วันนี้ไปถ้ำทองกันไหม” ชลาธลถาม กฤษณาพยักหน้า

“เอาสิ จะว่าไปเราเองก็ยังช่วยนายเขียนชื่อขนมไม่เสร็จเลย” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้าพลางเดินไปที่บึง ทั้งสองต่างถอดเสื้อผ้าออก

“เออ เราขออย่างนึงได้ไหมกฤษ” ชลาธลหันมาถาม กฤษณายิ้ม

“อะไรหรอ” ชลาธลแก้มแดงเล็กน้อย

“เออ นายช่วยแบบ เอา เออ ของนายหลบๆไปหน่อยได้ปะ คือ แบบ มันทำเราว่ายน้ำไม่สะดวกอะ” ชลาธลพูดแก้มแดงๆ กฤษณาหัวเราะร่า

“อะไร เรานึกว่านายชอบเสียอีก” กฤษณาตอบ ชลาธลมองตาขวางๆ

“แหม ก็ไม่ได้บอกว่าเกลียดสักหน่อย แต่แค่แบบ อืม เรากลัวนายจะขาดใจก่อนนะ” ชลาธลตอบ กฤษณายิ้มรับ

“อืม จะระวังแล้วกัน” กฤษณาตอบ ชลาธลพยักหน้าแล้วกฤษณาก็เกาะไหล่ของชลาธลไว้หลวมๆก่อนที่ชลาธลจะกระโจนลงสู่ผิวน้ำ ชลาธลว่ายผ่านน้ำไปอย่างรวดเร็ว กฤษณากลั้นหายใจไว้อย่างเต็มกำลังส่วนชลาธลก็รีบว่ายไปยังถ้ำทองในไม่กี่อึดใจต่อมา ทั้งสองนั่งพักหายใจอยู่ที่ทางเข้า

“เฮ้อ เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้ม

“ก็นายกลั้นหายใจในน้ำได้ไม่นานนี่นา” ชลาธลตอบ กฤษณาพยักหน้า

“อืมใช่ ตอนเราหานายตอนแรกคิดว่าจะตายเสียแล้ว” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้ากฤษณาอย่างงงๆ

“อ๋อ ก็ตอนที่นายวิ่งหนีไปไง เราก็คิดว่านายน่าจะอยู่ที่นี่เราเลยพยายามดำผุดดำโพล่แทบแย่ พอเจอมันก็อยู่เสียลึกมากเลย ตอนนั้นถ้าเราว่ายเข้าไปช้ากว่านี้หน่อยเราอาจจะไม่รอดก็ได้นะ” กฤษณาพูด ชลาธลตาลุกวาวเลย

“เราน่าจะเดาได้นะว่านายจะไปหาเราที่นั่น” ชลาธลพูด กฤษณายิ้ม

“ไม่เป็นไรหรอก เพราะต่อให้นายอยู่ที่ไหน ตอนนั้นเราก็บอกกับตัวเองแล้วว่าเราจะหายนายให้เจอให้ได้เลย” กฤษณาพูด ชลาธลพยักหน้ารับ

“อืม เราก็เชื่อว่านายต้องหาเราเจอ” ชลาธลตอบ

“ใช่และในที่สุดข้าก็หาแกเจอ” เสียงร้องคำรามน่าสะพรึงกลัวดังขึ้น ทั้งชลาธลและกฤษณาต่างหันหน้าไปพร้อมกัน ชายร่างผอมๆเดินเข้ามายังถ้ำทอง เขาสำรวจดูร่างของเขา

“มีถ้ำทองอีกแห่งซ่อนไว้ด้วยหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อ” ชายคนนั้นพูด

“แกมาทำอะไรที่นี่โขนราม” ชลาธลตอบพลางจ้องหน้าโขนรามเขม็ง กฤษณาพึ่งเคยจะเห็นโขนรามในร่างมนุษย์เป็นครั้งแรก ซึ่งมันก็ดูน่ากลัวไม่ต่างอะไรกับร่างจระเข้เท่าไหร่นัก

“ก็มาตามหาแกไง ท่านท้าว ข้ายอมรับไม่ได้เด็ดขาดที่คนอย่างแกขึ้นมาเป็นท้าว” โขนรามขู่ ชลาธลเอาตัวเข้ากันร่างของกฤษณาไว้

“การแต่งตั้งก็เป็นไปตามกฏของพญาจระเข้ทุกประการแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงได้หรอก” ชลาธลตอบ โขนรามหัวเราะ

“ใช่ ข้าเปลี่ยนกฏไม่ได้ แต่ข้า ฆ่าเจ้าได้” โขนรามพูดพลางพุ่งร่างของมันเข้าใส่ชลาธลทันที...


“คุณพ่อคะ” เสียงของเด็กสาวปลุกชายหนุ่มให้ได้สติกลับมาชายหนุ่มหันกลับมามอง

“อะจ๊ะ มีอะไรหรือ” ชายหนุ่มถาม เด็กสาวมองหน้าชายหนุ่ม

“คือ คุณแม่บอกให้เอานี่ใส่ลงไปด้วยนะคะ” เด็กสาวพูดพลางยื่นเสื้อผ้ากองนึงส่งให้ ชายหนุ่มพยักหน้าพลางรับเสื้อมาจากเด็กสาว

“คุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เด็กสาวถาม ชายหนุ่มส่ายหัวไปมา

“ไม่นี่จ๊ะ ไปดูแม่เขาหน่อยสิว่าเขาต้องการอะไรอีกไหม” ชายหนุ่มกล่าว เด็กสาวพยักหน้าพลางวิ่งหายออกไปจากห้อง ชายหนุ่มถอนหายใจยาว

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ” ชายหนุ่มรำพึงก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อของเขาต่อไป

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-01-2007 20:38:32
 :serius2:  :serius2:  :serius2:
จบตอนนี้ได้ไง มาต่อด่วนเลย อยากรู้โขนรามจะทำอะไร  :sad5:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-01-2007 10:07:46


สุดยอดแห่งจินตนาการแบบไทยๆ

มันส์เจงๆ  :like2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 23-01-2007 15:00:33
ในที่สุดก็มีฉาก . . .  :haun1:

โขนรามจะทำอะไรของมันกันน๊า แก่แล้วไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ชิส์ๆๆ  :3125:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: peang ที่ 23-01-2007 15:11:58
 :sad4:  ไม่เจง  ทำไมจบตอนแบบนี้อ่ะ  ทอ-รา-มาน แน่ๆเลย  มาต่อเลยน๊า  มาอย่างไวเลย  รอได้ไม่เกิน 2 วัน  หลังจากนั้น คงจะขาดใจตายแน่เรย  :sad5:

โขนรามก็นะ  แหมๆๆๆๆ  น่าจะถลกหนังมาทำกระเป๋าซะเจงๆเรย  วุ้ยๆๆๆๆ คนเค้าอุตสาห์ลุ้นๆให้มีฉากกุ๊กกิ๊กๆ ต่อในถ้ำทอง  :haun1: เสียรมณ์หมดเลยอ่า  :serius2:

ตอนหน้าคงมีฉากเศร้าแน่เรย ไม่เจง  ไม่อยากอ่านแบบเศร้าๆอ่ะ  ทำจายมะด้ายยยยยยยยย 

***ขอฉากกุ๊กกิ๊กๆ อีกซัก 2-3ฉากแล้วค่อยเศร้าได้มะเนี่ย  :interest:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 23-01-2007 20:04:14
shell ผมไม่ได้ตัดตอนเองน้า คิกคิก ยกความผิดทั้งหมดให้คนเขียน ความดีเก็บไว้คนเดียว คิกคิก(nat จะมาอ่านเจอป่าวหวา เอิ้กๆ)  :haun2:

oaw_eang  ตำนานจากอดีตคงมีส่วนจริง ส่วนแต่งเพิ่มปนกันไปนะผมว่า นี่ถ้าอดีตคนไทยยอมรับเรื่องแบบนี้
คงมีแนวนี้ออกมาบ้างแล้วเนอะ  :haun6:

meemewkewkaw  เหอะๆ รอฉากนี้อยู่อ่ะดิ คิกคิก คุณ nat เป็นคนที่เขียนฉากแบบนี้ได้ถึงอารมณ์มากๆ  มันต่างจากเรื่องเอ็กซ์ทั่วไป ยังไงผมก็อธิบายไม่ได้ รู้แต่ว่าเลือดพรุ่งปรี๊ด  :kikkik:

peang  อิอิ ท่าทางซาดิส เด่วเอาชลอ แทนชลาธลให้ไปละกัน ซาดิสพอกัน  ลองหาเอานะอยู่แถวๆบอร์ดนี่แหละ
:pigha2:

*******************************************************

บทที่ 19

“เอ้า เร็วๆเข้าเดี๋ยวช้าแล้วรถจะติดนะ” ชายหนุ่มเร่ง หญิงสาวก็รีบวิ่งขึ้นรถมาทันที

“ขอโทษทีคะ หาของฝากของคุณพ่อไม่เจอ” หญิงสาวพูด ชายหนุ่มส่ายหัว

“ก็บอกให้วางไว้ที่หัวเตียงก็ไม่เชื่อ” ชายหนุ่มบ่น หญิงสาวเบ้ปาก

“ก็แหม ขืนวางไว้ข้างนอกก็ละลายหมดสิคะ แช่ตู้เย็นไว้นะดีแล้ว” หญิงสาวตอบ ชายหนุ่มพยักหน้า

“ทุกคนครบนะ” ชายหนุ่มถาม

“ค่ะ ลิลี่อยู่กับหนูแล้วคะ” เด็กสาวตอบ ชายหนุ่มพยักหน้าพลางค่อยๆถอยรถออกจากบ้านไป

“เดี๋ยวลิลี่จะได้รู้จักกับคุณปู่แล้วนะ” หญิงสาวพูด เด็กน้อยยิ้มรับ

“คะ ลิลี่เองก็อยากเจอคุณปู่คะ” เด็กสาวตอบ ชายหนุ่มอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้ากลับไปที่ที่เขาห่างหายไปนานแสนนาน แต่ความทรงจำของเขาไม่เคยเลือนหายไปกับกาลเวลาเลย...


““ใช่ ข้าเปลี่ยนกฏไม่ได้ แต่ข้า ฆ่าเจ้าได้” โขนรามพูดพลางพุ่งร่างของมันเข้าใส่ชลาธลทันที ชลาธลเบี่ยงตัวพลางโอบร่างของกฤษณาเอาไว้ โขนรามต่อยเข้าที่กำแพงของถ้ำทอง หนังของแม่ชลาธลร่วงลงมากองที่พื้น พลันโขนรามก็หันมาต่อยชลาธลอีกครั้งแต่ชลาธลตั้งการ์ดรับไว้ได้

“ทำไมแกไม่พูดกันดีๆบ้างละ” ชลาธลร้อง โขนรามถอยออกมาตั้งหลัก

“จระเข้เขาไม่พูดกันหรอกเว้ย มันต้องกัดกันถึงจะถูก” โขนรามพูดจบก็พุ่งเข้าใส่ชลาธลอีกครั้ง ชลาธลหลบไปด้านข้างซ้าย เขาหันหน้าเขาหน้าโขนรามที่ยืนหันข้าางให้เขาพลางจับแขนซ้ายของโขนรามยกขึ้น ขาขวาของชลาธลกวาดไปที่เท้าของโขนรามพลางกดแขนซ้ายของโขนรามลง โขนรามที่โดนขัดขาก็เสียการทรงตัวประกอบกับแขนที่โดนกดลงทำให้ร่างของโขนรามกระแทกลงที่พื้นเสียงดังสนั่น

“ตึง” ชลาธลกดร่างของโขนรามเอาไว้

“ฝีมืดดีขึ้นนี่หว่า แบบนี้ค่อยน่าลุ้นหน่อยละเว้ย” โขนรามพูดขึ้นพลางยกขาขึ้นเตะมา ชลาธลปล่อยแขนของโขนรามเพื่อรับขาของโขนราม พลันโขนรามก็ใช้แขนของมันดันตัวเองลุกขึ้น ชลาธลถอยหลังมาเล็กน้อย โขนรามยิ้มแสยะ

“หึๆ ดูเหมือนว่าตลอดมาแกจะไม่ยอมแสดงความสามารถที่แท้จริงสินะ” โขนรามพูด ชลาธลไม่ตอบพลางจ้องตาโขนรามเขม็ง

“คราวนี้เอาจริงแล้วนะ” โขนรามพูดพลางวิ่งเข้าใส่ ชลาธลปล่อยหมัดตรงออกไปแต่ทันใดนั้นเองโขนรามก็ทรุดตัวลงกับพื้นพลางกวาดขาของมันไปโดยรอบ ชลาธลโดนสกัดขาจะล้ม ร่างของชลาธลเอนไปทางซ้ายฉับพลันมือขวาของโขนรามก็พุ่งกระแทกเข้าที่ซี่โครงของชลาธลอย่างจัง

“อ๊อก” ชลาธลกระอักเลือดเล็กน้อย โขนรามไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือมันกระโดดตัวขึ้นเล็กน้อยพลางสะบัดขาของมันฟาดไปที่คางของชลาธลเต็มๆ ชลาธลหน้าหันเลือดกระเด็นเป็นสายและล้มลงที่พื้นเลือดกลบปาก

“อะไร ฝีมือเมื่อกี้ไปไหนแล้วละ” โขนรามพูดอย่างถ้าทาย ชลาธลค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาช้าๆ

“อ๊อก” ชลาธลสำลักเลือดออกมาก้อนใหญ่ โขนรามเดินเข้ามาใกล้ชลาธล

“เดี๋ยวก็จบแล้วละนะไอ้หนู” โขนรามพูด ชลาธลยิ้ม

“ไม่ง่ายนักหรอกลุง” ชลาธลพูดฉับพลันเขาก็ยกแขนขวาขึ้นเสยคางของโขนรามเต็มๆ โขนรามที่ไม่ทันป้องกันตัวโดยเสยเข้าที่คางถึงกับหงายหลัง ชลาธลหันกลับไปพลางกำมือซ้ายแน่น เขาสะบัดแขนซ้ายใส่แก้มของโขนรามเต็มๆ โขนรามเซเล็กน้อย ชลาธลยกการ์ดสูงพลางสะบัดขาเตะเข้าที่ก้านคอของโขนราม ร่างของโขนรามปลิวกระเด็นไปชนกับกำแพงถ้ำ โขนรามลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ

“ท่าอะไรของเอ็งวะ” โขนรามพูดพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก

“มนุษย์เขาเรียกว่า มวยไทย นะ” ชลาธลตอบ พลางตั้งการ์ดสูง กฤษณามองดูชลาธลอย่างทึ่งๆ

“เชอะ มันก็ดีแต่ท่าสวยละวะ” โขนรามพูดพลางพุ่งเข้าใส่ชลาธลอีก ชลาธลจ้องโขนรามเขม็ง โขนรามปล่อยหมัดตรงออกมา ชลาธลก้มตัวหลบ เขากำมือทั้งสองข้างไว้แล้วพลันยกขึ้นพร้อมๆกัน กำปั้นทั้งสองกระแทกเข้าที่คางของโขนราม ชลาธลยืนขึ้นพลางหมุนตัวไปทางซ้ายโดยที่เขาตั้งแขนของเขาขนานไปกับพื้น ศอกขวาของชลาธลกระแทกเข้าที่ขมับของโขนรามเต็มๆ

“หะ หนุมานถวายแหวน ตามด้วยศอกกลับ” กฤษณาร้องอุทานด้วยความทึ่ง โขนรามโซซัดโซเซ พลันชลาธลที่ยืนหันหลังให้โขนรามก็พลิกตัวกลับไปทางขวาพลางสะบัดขาซ้ายเตะเข้าสีข้างของโขนรามเต็มๆ

“จระเข้ฟาดหาง” กฤษณาพูดชื่อท่า โขนรามล้มตัวลงกับพื้นพลางกระอักเลือดออกมาก้อนใหญ่

“แม่ง อยู่ในร่างนี้ทำอะไรไม่ถนัดเลย” โขนรามร้อง ชลาธลจ้องโขนรามตาไม่กระพริบ แล้วพลันโขนรามก็มองไปเห็นกฤษณาที่นั่งดูอยู่ห่างๆ โขนรามยิ้มแสยะพลางพุ่งเข้าใส่กฤษณา ชลาธลที่ไม่ทันระวังตัวจึงเผลอเรอปล่อยให้โขนรามเข้าใกล้กฤษณาได้ โขนรามแยกเขี้ยวหมายจะขย้ำคอของกฤษณา แต่ชลาธลเอาตัวมาขวางไว้ เขี้ยวของโขนรามงับเข้าที่ไหล่ของชลาธลเต็มๆ เลือดสีแดงไหลชุ่มออกมาเต็มปากของโขนราม

“อั๊ก” ชลาธลกัดฟัน โขนรามกระโดดถอยออกมาพลางหัวเราะร่า

“ฮะๆ ว่าแล้วว่าแกต้องเลือกปกป้องมนุษย์ก่อนแน่ๆ ดูสิว่าแกจะปกป้องมันไปได้แค่ไหน” โขนรามไม่พูดเปล่าพลางวิ่งเข้าใส่กฤษณา ชลาธลตั้งแขนสูง โขนรามออกหมัดตรงแต่มันกลับเลยผ่านตัวชลาธลไป ชลาธลทิ้งศอกหมายจะตัดแขนของโขนรามไม่ให้เข้าใกล้กฤษณา แต่เพราะชลาธลมัวแต่สนใจแขนข้างนั้น โขนรามรีบบิดตัวพลางสะบัดแขนอีกข้างเสยเข้าที่คางของชลาธลทันที

“โอกาสละ” โขนรามร้องมันจับแขนของชลาธลแล้วเหวี่ยงชลาธลกระเด็นออกไป ชลาธลกระแทกที่พื้นสองสามทีพลางพยายามยกตัวขึ้น โขนรามจับคอของกฤษณายกขึ้น

“ไอ้มนุษย์น่ารังเกียจนี่เกะกะจริงๆ” โขนรามร้อง

“ปล่อยตัวเขานะ” ชลาธลกระโจนพุ่งเข้าใส่โขนรามแต่โขนรามกลับเอาร่างของกฤษณามากันเอาไว้ ชลาธลหยุดการเคลื่อนไหวลงชั่วคราว โขนรามได้โอกาสมันรีบโยนกฤษณาออกไปข้างตัวพลางยกศอกเข้าใส่หน้าของชลาธลเต็มๆ เลือดไหลกระเซ็นออกมาจากจมูกและปากของชลาธล โขนรามต่อยเข้าที่กรามของชลาธลอีก ชลาธลล้มลงหายใจหอบ

“โอ๊ก” ชลาธลคายเลือดออกมากองใหญ่ โขนรามยิ้มแสยะ

“มัวแต่คิดจะปกป้องมนุษย์อยู่นั่นแหละ ทำไมวะ มนุษย์มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีทำไมเราต้องไปแคร์อะไรมันด้วย” โขนรามถาม ชลาธลหายใจหอบ

“ก็เพราะมนุษย์นะ ก็เพราะมนุษย์ สอนให้เรารู้จักกับคำว่ารักนะสิ” ชลาธลตอบ โขนรามยกไหล่

“รักบ้า รักบออะไรก็แค่การสืบพันธุ์และว้า” โขนรามตอบ ชลาธลก้มลงมองดูที่พื้นของถ้ำทอง ผนังของมันมีรอยร้าวจากการต่อสู้ค่อนข้างมาก ชลาธลมองหน้ากฤษณาเหมือนเป็นสัญญาณ กฤษณาตาลุกเล็กน้อย

“ความรักมันมีค่ามากกว่านั้นอีก” ชลาธลตอบ โขนรามแยกเขี้ยว

“มันมีค่ามากกว่าชีวิตของแกหรือไง” โขนรามย้อน ชลาธลยิ้ม

“ก็มากกว่าชีวิตแกและก็ถ้ำนี้แล้วกัน” ชลาธลตอบ พลันเขาก็พุ่งตัวเขาไปกอดกฤษณาไว้

“ย้ากกกกกกกกกกกกก” ชลาธลร้องเสียงดังพลางต่อยไปที่พื้นถ้ำทันที พื้นถ้ำเริ่มมีรอยร้าวและรอยร้าวก็ไล่ไปตามผนังถ้ำทุกหนทุกแห่ง โขนรามมองดูไปรอบตัว ชลาธลไม่รอช้ารีบกระโจนร่างของเขาออกจากถ้ำพลางกอดตัวของกฤษณาเอาไว้แน่น โขนรามที่ไม่ทันระวังตัวก็โดนผนังถ้ำหล่นใส่เป็นจำนวนมาก ชลาธลกับกฤษณาหันกลับไปมองถ้ำทองที่ค่อยๆพังทลายลงต่อหน้าต่อตา กฤษณามองหน้าชลาธลที่ได้แต่มองดูถ้ำล้ำค่าของตนค่อยๆพังทลายกลายเป็นก้อนดิน

“ครืนนนน” เสียงดังสนั่นไปทั่ว แล้วจระเข้ตัวใหญ่ก็ทลายเศษหินและดินของถ้ำพุ่งเข้ามา ชลาธลพลักร่างของกฤษณาออกไป เจ้าจระเข้ยักษ์งับตัวของชลาธลเอาไว้ในปาก กฤษณาที่สุดจะกลั้นลมหายใจรีบโพล่ขึ้นไปเหนือน้ำทันที เขาโพล่ขึ้นมาหายใจหอบแฮ่กๆ

“ตู้ม” เสียงน้ำระเบิดดังขึ้นมา กฤษณามองดูร่างของชลาธลยังอยู่ในปากของจระเข้ยักษ์นั่น มือของชลาธลพยายามจะอ้าปากอันใหญ่โตของมันออกแต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่นัก

“กฤษ หนีไป” ชลาธลร้องพลางพยายามดันตัวเองออกมาแต่เจ้าจระเข้นั่นยิ่งสะบัดหัวของมันไปมา กฤษณาดัวยความตื่นตกใจจึงพยายามว่ายถอยห่างออกไป เขาว่ายไปได้สักพักพลางหันกลับมามอง ชลาธลกำลังดิ้นไปมาอย่างยากลำบาก เลือดเริ่มไหลออกมาจากปากของเจ้าจระเข้นั่น กฤษณามองดูชลาธลต่อสู้เพียงลำพัง เขากำหมัดแน่นพลางว่ายกลับไปหาชลาธลทันที

“ธล เรามาช่วยแล้ว” กฤษณาร้อง ชลาธลเหลือบหันกลับไปมองทันที

“ยะ อย่าเข้ามา โอ๊ย” ชลาธลร้อง กฤษณาจ้วงมืออย่างรวดเร็วเข้าไปใกล้ แต่พลันร่างของเขาเหมือนโดนอะไรสักอย่างกระแทกใส่

“อุ๊ก” หางของเจ้าจระเข้ยักษ์ฟาดเข้าตรงกลางท้องของกฤษณาเต็มแรง กฤษณาจุกจนเผลอกลั้นหายใจ เขากลืนน้ำเข้าไปอึกใหญ่

“กฤษ” ชลาธลร้องเสียงหลงพลางมองร่างของชายที่ตนรักค่อยๆจมลงสู่ผิวน้ำช้าๆ

“ปล่อย ข้านะ” ชลาธลคำรามกึกก้องพลางออกแรงดันปากใหญ่มหึมาของโขนรามออก ชลาธลดันมันจนเปิดกว้างพลางกระโดดออกมาจากปากของโขนราม ชลาธลพุ่งตัวฉิวไปอุ้มร่างของกฤษณาขึ้นมาทันที ชลาธลลากร่างที่เกือบไร้สติของกฤษณามาไว้บนฝั่ง กฤษณาเมื่อสูดอากาศเข้าไปได้ก็ไอค่อกแค่กสำลักน้ำออกมาก้อนใหญ่

“กฤษ นายไม่เป็นไรนะ” ชลาธลมองดูด้วยสายตาที่เป็นห่วง กฤษณามองหน้าชลาธล

“นะ นายเป็นอะไรหรือเปล่า” กฤษณาถาม ชลาธลลุกขึ้นยืนช้าๆพลางกำหมัดแน่น

“ไอ้โขนราม วันนี้แกเป็นศพแน่” ชลาธลคำราม ร่างของชลาธลเริ่มปรากฏอักขระสีแดงไล่ไปทั่วร่างของเขา อักขระทั้งหลายส่องแสงสีแดงสว่างจ้า ร่างผิวสีน้ำผึ้งค่อยๆถูกแทนที่ด้วยผิวหนังเป็นเกล็ดเต็มร่าง เล็บที่แหลมคมงอกยาวออกมา หางค่อยๆงอกยาวออกมาลากพื้น แววตาค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงสนิท ฟันที่งอกยาวออกมากลายเป็นเขี้ยวจำนวนมากมาย

“กรร กรร กรร” ชลาธลคำรามอยู่ในลำคอ พื้นหญ้าที่เขายืนอยู่เริ่มปรากฏรอยไหม้เพราะความร้อน

“ธะ ธล” กฤษณาพูดพลางมองร่างชลาธลที่เปลี่ยนเป็นครึ่งคนครึ่งจระเข้ ชลาธลหันหน้าเผชิญกับโขนราม ไอควันสีขาวๆพวยพุ่งออกจากปาก

“โฮกกก” ชลาธลคำรามพลางพุ่งร่างเข้าใส่ตัวโขนรามอย่างรวดเร็ว ชลาธลต่อปากของโขนรามเต็มแรงเสียดัง ปั้ง หน้าของโขนรามกระแทกกับผิวน้ำเสียงดังตูม แต่ชลาธลไม่ได้หยุดแค่นั้นเขาจับปากส่วนบนของโขนรามพลางยกมันขึ้น

“แค๊วก” เสียงของปากส่วนบนที่ชลาธลกระชากนั้นขาดหลุดออกจากกัน เลือดสีแดงไหลฉานไปทั่ว ชลาธลจับเข้าที่ขาซ้ายของโขนรามพลางดึงมันหลุดติดมือออกมาด้วย โขนรามที่ปากแหว่งออกไปไม่สามารถแม้แต่จะส่งเสียงร้องอันใดได้ ชลาธลจับหางของโขนรามพลางเหวี่ยงกระเด็นไปขึ้นฝั่งผ่านตัวของกฤษณาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ร่างของโขนรามดิ้นกระแด๊กๆเลือดไหลออกเป็นทาง ชลาธลกระโดดตามขึ้นมาบนบก เขาเดินย่างสามขุมตรงไปหาโขนรามทันที ตาของโขนรามเหลือบมามองชลาธลอย่างหวาดหวั่น ชลาธลพุ่งตรงไปหาโขนรามอย่างไม่รีรอ พลันเขายกมือขึ้นสูงแล้วก็เสียบเข้าทะลุร่างของโขนราม

“ฉัวะ” เสียงของมือชลาธลทะลุผ่านผิวหนังของโขนราม ชลาธลกระฉากมือของเขาออกมาพลางหยิบบางอย่างติดมือขึ้นมาด้วย หัวใจของโขนรามยังเต้นตุ๊บๆในมือของชลาธล กฤษณาจ้องมองชลาธลตาค้างๆ ร่างของเขาสั่นเทาด้วยความกลัว เขาไม่เคยเห็นชลาธลในสภาพแบบนี้มาก่อนเลย

“ธะ ธล” กฤษณาพูดด้วยปากที่สั่นเทา ชลาธลหันควับมาทางกฤษณา แววตาสีแดงเป็นประกาย อักขระที่เป็นผื่นปื้นยังคงส่องแสงอยู่รอบกาย ชลาธลก้าวเข้ามาหากฤษณาอย่างช้าๆ

“พรืด พรืด” เสียงลมหายใจของชลาธลวิ่งผ่านอากาศออกมาเป็นควันขาวโขมง ชลาธลเดินเข้ามาใกล้กฤษณาเรื่อยๆ แววตาสีแดงน่าสะพรึงกลัวและไม่เป็นมิตร ชลาธลไม่พูดพร่ำทำเพลงพลางยื่นมือมาจับคอของกฤษณาไว้พลางยกร่างของเขาขึ้น

“อ๊อก อ๊อก ธะ ธล อ๊อก” กฤษณาตาเหลือก เพราะชลาธลค่อยๆบีบมือของเขาแน่นเข้าทุกทีๆ กฤษณาเริ่มดิ้นไปมา มือพยายามจับที่แขนของชลาธล

“ธะ ธล” กฤษณาจะส่งเสียงแต่คอของเขากลับโดนบีบแน่น บนหัวของเขาเริ่มมีเส้นเลือดปูดโปน ชลาธลคำรามในลำคอเสียงดัง

“ไอํธล” เสียงของหลวงตายุทดังขึ้น ทั้งกฤษณาและชลาธลต่างหันไปมองหลวงตายุทที่ยืนหายใจหอบอยู่ไม่ไกลนัก ชลาธลปล่อยตัวกฤษณาลงกับพื้น กฤษณาถึงกับหายใจหอบเสียงดังพลางไอเป็นวรรคเป็นเวร

“กรร ครือออ” ชลาธลเดินถอยจากร่างของกฤษณาเซๆ เขามองดูมือของตัวเองอย่างสับสน

“แค่ก ธะ ธล แค่ก แค่ก” กฤษณาร้อง ชลาธลเอามือกุมหัวเอาไว้พลางส่งเสียงร้อง

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ชลาธลร้องเสียงหลงพลางดิ้นพล่านไปทั่ว กฤษณาพยายามจะพยุงตัวลุกขึ้นแต่หัวที่หมุนติ้วไม่อาจทำให้เขาพยุงตัวเองขึ้นมาได้เลย ชลาธลมองหน้ากฤษณา และสิ่งที่กฤษณาเห็นก็คือน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสีแดงก่ำ ชลาธลหันหลังพลางกระโดดหนีลงน้ำไป กฤษณาพยายามจะลุกขึ้นไปตามแต่ร่างของเขากลับล้มลงกับพื้น

“ธล ธล” กฤษณาร้องหลวงตายุทรีบเข้ามาประคองร่างของกฤษณาเอาไว้ทันที

“รีบกลับไปที่วัดก่อน” หลวงตายุทพูดพลางพยุงร่างของกฤษณาขึ้น

“ธะ ธล มะมันเกิดอะไรขึ้น” กฤษณาถามเสียงแหบ หลวงตายุทก้มหน้าลงอย่างเศร้าๆ

“ไอ้ธลกำลังจะกลายเป็นจระเข้” หลวงตายุทตอบ กฤษณาถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วคราว...


“พ่อไม่เปิดวิทยุหน่อยหรอ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ชายหนุ่มสะดุ้ง

“อะจ๊ะ” เขาตอบพลางเอื้อมมือไปกดปุ่มที่เครื่องเสียงอย่างผิดๆถูกๆ หญิงสาวส่ายหัวพลางบิดที่ลูกบิดกลมๆพลันวิทยุก็เริ่มทำงาน ชายหนุ่มหลบหน้าด้วยความเขินอาย หญิงสาวส่ายหัวไปมาพลางวางมือบนไหล่ของชายหนุ่ม

“อย่าคิดมากเลยนะคะ” หญิงสาวพูดพลางหันหน้ากลับไปมองถนนหนทางอีกครั้ง ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ

“ธล” ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ เพราะในสมองของเขาตอนนี้มีแต่ชื่อ ชลาธลเท่านั้นที่เด่นชัดในความทรงจำต่อให้นานแค่ไหนก็ตาม

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-01-2007 20:25:10
“ความรักมันมีค่ามากกว่านั้นอีก”  :monkeysad:  :monkeysad:
อย่าบอกนะว่าเพราะธลกลายเป็นจรเข้ พวกเขาถึงต้องจากกัน   :impress3:  :sad4:
นาทีนี้ เดาเรื่องไม่ออกแล้วววววววววว  :serius2:  :serius2:  :serius2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 23-01-2007 23:58:15
เมื่อมีความโกรธเข้ามาครอบงำจิตใจ มักจะทำให้เหตุผล และความรัก ดูด้อยค่าลงเสมอ
แต่...เมื่อความโกรธผ่านไป  เรากลับต้องมาเสียใจ จากผลที่เรากระทำไปด้วยความโกรธนั้นเสมอ
ชลาธล...ก็คงเป็นอย่างนี้เช่นกัน  พอรู้สึกตัว ควบคุมตัวเองได้ คงเสียใจน่าดู ทีเดียว ที่เกือบทำร้ายคนที่ตนรัก...มากทึ่สุดไป
 :sad5: :sad5: :sad5:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 24-01-2007 02:12:46
ไหงเป็นงี้ไปได้อ่ะ . . .  :monkeysad:
อย่าบอกนะว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ธลกับกฤษได้เจอกัน
สงสารธลอ่ะ กลายร่างแล้วทำร้ายคนรัก พอรู้สึกตัวน้ำตาก็ไหล :monkeysad2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: peang ที่ 24-01-2007 09:33:40
 :pigha2:  ไม่เจง  ไหงกลายเป้นแบบนี้ไปได้   :monkeysad:  ธล หนีไปแบบนี้ แล้วฉากกุ๊กกิ๊กๆ ของช้านอยู่หนายเนี่ย  เอาฉากกุ๊กกิ๊กๆ มานะ เอามาเลย  :monkeycry2:

แต่สะใจมาก ธลดึงปากโขนรามซะแหว่ง (นึกถึงเรื่องคิงคองเลยอ่ะ ตอนสู้กับไดโนเสาร์.....คิงคองก็หักปากไดโนเสาร์เหมือนเลย)  แต่สะใจอีกรอบตรงที่ เอามือกระซวกลงไป ควักหัวใจออกมา  :laugh:  เป็นไงละไอ้โขนราม  ไม่รู้จักว่า ไผเป็นไผ  :laugh:

แอบหวังเล็กๆ ว่า กฤษ มาเยี่ยมบ้านครั้งนี้ คงจะได้เจอ ธล อีกนะ  :impress2:  ผู้เขียนคงไม่ใจร้ายให้มันจบแบบเศร้าๆ ใช่มะ  :impress2:   ถ้าจะเศร้า ขอฉากกุ๊กกิ๊กก่อนเศร้าด้วยน๊า....... :impress:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 24-01-2007 20:13:36
คิกคิก ใกล้จะจบแล้วนะครับ ใครจะเดาไรก็รีบๆๆเดานะครับ
***********************************************************

บทที่ 20

“พ่อจะเอาอะไรไหม” หญิงสาวถามพลางกำลังจะเดินเข้าไปในร้านขายของชำที่ปั้มน้ำมัน ชายหนุ่มส่ายหัวไปมา

“ไม่ละจ๊ะ ตามสบายเถอะ เดี๋ยวพ่ออยู่ดูรถเอง” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวพยักหน้าพลางจูงมือของเด็กหญิงตามเข้าไป ชายหนุ่มถอนหายใจยาว พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า ตอนนี้เขาหยุดพักเติมน้ำมัน ใจของชายหนุ่มเองก็อยากจะหยุดพักไม่แพ้กัน เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเขากำลังจะกลับไปสู่ที่ที่เขาเคยมีความสุขมาตลอด...


หลวงตายุทพยุงร่างของกฤษณากลับไปที่วัด กฤษณายังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“เอ็งไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” หลวงตายุทถาม กฤษณาส่ายหัว

“มะ ไม่เป็นไรครับหลวงตา ตะ แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับธลครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทถอนหายใจยาว

“ข้าคงต้องให้เอ็งเล่าเรื่องราวก่อนละ” หลวงตายุทถาม กฤษณาจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงตายุทฟัง หลวงตายุทส่ายหัวไปมา

“เฮ้อ ไอ้ธลเอ้ย” หลวงตายุทบ่น กฤษณาเริ่มมีสีหน้าที่ไม่สบายใจมากขึ้น

“หลวตาย ธลเขาเป็นอะไร ทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น แล้ว แล้ว...” กฤษณาเริ่มลนลานเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก

“ใจเย็นๆไอ้กฤษ ข้ากำลังจะอธิบายให้เอ็งฟังอยู่นี่แหละ เอ็งก็รู้ใช่ไหมว่าไอ้ธลมันผนึกร่างของมันไว้ด้วยผนึกถ้ำทอง” หลวงตายุทพูด กฤษณาพยักหน้ารับ

“ผนึกถ้ำทองนะ ถ้าใช้กับจระเข้ธรรมดาอย่างแม่ของไอ้ธล มันก็จะส่งผลให้แค่เปลี่ยนร่างจระเข้ให้กลายเป็นคนได้ แต่กับไอ้ธลมันไม่ใช่แค่นั้น อย่างที่เอ็งรู้ไอ้ธลมันมีเลือดจระเข้อยู่ครึ่งนึง ร่างกายของมันทั้งหมดจึงไม่ใช่จระเข้และจิตใจของมันบางส่วนก็ไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกัน มันคงไม่รู้ว่าผนึกถ้ำทองของมันจึงเป็นแบบพิเศษที่จะใช้สะกดความบ้าคลั่งของร่างจระเข้เอาไว้ ซึ่งไอ้ธลก็โดนสะกดไว้ตั้งแต่ข้ายังไม่เกิดเลยละมั้ง ร่างจระเข้ของมันจึงเหมือนโดนเก็บกดเอาไว้มานานแรมปี พอทีนี้มันโกรธที่ไอ้โขนรามมันทำร้ายเอ็ง บวกกับร่างนั้นที่เก็บสะสมความโกรธมานานหลายปี ไอ้ธลจึงขาดการควบคุมออกอาละวาดไปทั่ว ตอนแรกข้าคิดว่าถ้าไอ้ธลได้เข้าใกล้มนุษย์มากขึ้น หรือมีมนุษย์คนอื่นที่อยากอยู่ข้างเขามันจะช่วยบรรเทาความบ้าคลั่งของมันได้ แต่ดูเหมือนว่าข้าจะคิดผิดไปจริงๆ” หลวงตายุทถอนหายใจ กฤษณาได้แต่กำหมัดแน่น

“แล้วไม่มีทางช่วยธลเขาเลยหรอครับหลวงตา” กฤษณาถาม หลวงตายุทพยักหน้า

“ตอนนี้ผนึกยังไม่แตก ร่างของไอ้ธลยังคงเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งจระเข้อยู่ ถ้าจับมันมาใส่ผนึกได้ใหม่ก็อาจจะทำให้ธลอยู่ในร่างมนุษย์ได้อีกครั้ง” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาตาลุกวาวด้วยความหวัง

“งั้นเราจะรออะไรอยู่ละหลวงตา เรารีบไปจับเขามาสิ” กฤษณาพูด หลวงตายุทมองหน้า

“ยังไงละ การจะใช้ผนึกถ้ำทองข้าต้องใช้เลือดเขียนอักขระลงบนร่างของมัน และตอนนี้ไอ้ธลมันอยู่ในสภาพบ้าคลั่ง เอ็งจะทำยังไงถึงจะให้ข้าเขียนอักขระลงบนร่างมันได้ละ” หลวงตายุทถาม กฤษณานิ่งเงียบไปชั่วคราว ปกติชลาธลก็มีแรงมากกว่ามนุษย์อยู่แล้ว ยิ่งอยู่ในสภาพบ้าคลั่งแบบนี้เขาจะทำร้ายใครต่อใครก็ได้ทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่ตัวของกฤษณาเอง

“ละ แล้ว เออ อืม หลวงตาไม่มีคาถาหยุดอะไรเขาไว้เลยหรอครับ” กฤษณาถาม หลวงตายส่ายหัว

“ข้าเองก็ไม่ใช่พรานจระเข้ที่เก่งกาจอะไรนักหรอกนะ อีกอย่างไอ้ธลปกติมันไม่เคยทำตัวมีปัญหาอยู่แล้ว คนรุ่นหลังๆจึงไม่มีการถ่ายทอดคาถาจำพวกนั้นเอาไว้สักเท่าไหร่ ข้าเองก็จำได้แต่คาถาผนึกเท่านั้น” หลวงตายุทพูด กฤษณาก้มหน้าพลางใช้ความคิด

“หลวงตา ผมจะหยุดธลเอง” กฤษณาพูด หลวงตายุททำตาโตใส่ทันที

“ไอ้บ้า เอ็งอยากตายหรือไงวะ เอ็งก็เห็นนี่มันบีบคอเอ็งกับมือมันเลยนะเว้ย” หลวงตายุทร้อง กฤษณาพยักหน้า

“ผมรู้หลวงตา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังปล่อยตัวผม ผมเชื่อว่าจิตใจที่เป็นมนุษย์ของธลยังต่อสู้อยู่ข้างใน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมก็อาจจะพอหยุดเขาได้บ้าง อีกอย่างผมเชื่อใจธลเพราะเขาจะไม่ทำร้ายผมแน่ๆ” กฤษณาพูดอย่างมั่นใจ หลวงตายุทมองดูแววตาอันแน่วแน่ของเด็กหนุ่ม หลวงตายุทยิ้มพลางผงกหัวเบาๆ

“ข้าคิดถูกจริงๆที่ให้ไอ้ธลคบกับเอ็ง เอาเถอะ แต่เราต้องมีการวางแผนให้ดีก่อนเพราะตอนนี้ไอ้ธลอยู่ไหนเราก็ไม่รู้” หลวงตาพูด

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงกรีดร้องดังสนั่น ทั้งหลวงตายุทและกฤษณาต่างรีบวิ่งออกไปดู ทั้งสองเห็นคนวิ่งหนีไปทั่วบ้างก็เข้ามาหลบในวัด ชายคนนึงวิ่งมากราบหลวงตายุทที่เท้า

“หลวงตาช่วยด้วยปีศาจจระเข้อาละวาด” ชายคนนั้นพูดปากสั่นเทา หลวงตายุทและกฤษณาต่างวิ่งออกไปดูข้างหน้าวัด กฤษณาตาค้าง ชลาธลในร่างจระเข้ยืนกำลังบีบคอหญิงสาวคนนึงพลางยกขึ้นสูง

“ธล หยุดนะ” กฤษณาร้องตะโกนอย่างไม่กลัว ชลาธลหันกลับมาจ้องกฤษณา ดวงตาสีแดงก่ำจ้องเขม็งมาที่เขา ชลาธลว่างร่างของหญิงสาวลงกับพื้นพลางกระโดนใส่ร่างของกฤษณา

“ไอ้กฤษ” หลวงตายุทร้อง กฤษณาถอยตัวเล็กน้อย แต่พลันร่างของชลาธลก็หยุดอยู่กลางทาง มือของเขาสั่งเกร็ง แววตาของชลาธลจับจ้องที่หน้าของกฤษณา

“กรรรรรรรรร อ๊ากกกกกกกกกกกก” ชลาธลร้องคำรามพลางกระโดดพุ่งตัวหายไปต่อหน้าต่อตา กฤษณาพยายามจะยื่นมือออกไปแต่ชลาธลก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว กฤษณากำมือแน่นพลางหันหน้าไปมองหลวงตายุท

“หลวงตา เรารีบไปหยุดธลดีกว่า ก่อนที่เขาจะทำอะไรไปมากกว่านี้” กฤษณาพูดด้วยสายตามุ่งมั่น หลวงตายุทยิ้ม

“ห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์สินะ ตามข้ามา” หลวงตายุทพูดพลางเดินหันหลังกลับเข้าไปที่วัด กฤษณารีบเดินตามไปทันที หลวงตายุทเดินกลับไปที่ห้องเก็บหอกสัตตะโลหะ กฤษณาเข้าไปก็พบว่าที่ห้องนั้นมีอ่างน้ำขนาดใหญ่ตั้งเอาไว้อยู่ มันเป็นขันขนาดใหญ่สีทองหลวงตายุทเดินเข้าไปที่อ่างนั่น กฤษณาเดินตามหลวงตายุทเข้าไป

“นี่เป็นอ่างที่ข้าใช้ตามหาไอ้ธล ข้าลงยันต์ไว้ที่ตัวมันด้วย ถ้าผนึกจะแตกยันต์นี่จะบอกข้า แล้วข้าก็ใช้อ่างนี่แหละตามหาไอ้ธล” หลวงตายุทพูด กฤษณาก้มลงมองดูเขาก็ไม่พบอะไรนอกจากน้ำธรรมดา

“การจะตามหาไอ้ธลจำต้องใช้ความสัมพันธ์ ยิ่งสนิทกับมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งตามตัวของมันได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เอาละยื่นมือมาสิ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณายื่นมือขวาของเขาออกไป หลวงตายุทหยิบเอามีดสั้นเล่มเล็กออกมา

“ข้าต้องใช้เลือดของเจ้า อโหสิให้ด้วยนะ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้า หลวงตายุทจับมือขวาของกฤษณาเอาไว้พลางเอาปลายมีดจิ้มลงไปที่นิ้วชี้ หลวงตายุทกดแรงขึ้นจนกระทั่งเลือดสีแดงไหลออกจากนิ้วชี้ของกฤษณาเป็นทาง เลือดสีแดงหยดลงไปในอ่างสีทอง หลวงตายุทท่องคาถาขมุบขมิบ พลันน้ำในบ่อก็ค่อยๆปรากฏภาพของชลาธลช้าๆ กฤษณาก้มลงดูด้วยความทึ่ง

“ชัดเชียวนะ ท่าทางมันจะไว้ใจแกมากจริงๆ” หลวงตายุทพูดพลางก้มลงดูภาพที่ปรากฏในอ่าง ชลาธลวิ่งทำลายข้าวของไปตามถนนหนทาง แววตาสีแดงก่ำ ไอควันขาวๆลอยออกจากปาก กฤษณามองดูถนนพลันเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“ธลกำลังจะไปที่บึงสีไฟ” กฤษณาพูดพลางมองหน้าหลวงตายุท

“เฮ้ย ไอ้หมี ไอ้หมี” หลวงตาร้องตะโกน ไม่นานก็มีชายหนุ่มผิวดำตัวเล็กๆวิ่งเข้ามา

“ครับหลวงพ่อ” ชายหนุ่มคนนั้นพูด

“ไปเตรียมรถ เราจะไปที่บึงสีไฟ เดี๋ยวข้าขอเก็บของนิดหน่อย” หลวงตาพูด ชายหนุ่มพยักหน้าพลางวิ่งหายออกจากห้องไป หลวงตาเดินไปหยิบเอาสมุดเล่มเล็กๆออกมาจากตู้พร้อมกับเอามีดใส่ฝักก่อนที่จะเอาทุกอย่างใส่ในย่าม

“หลวงตาให้ผมไปด้วยนะ” กฤษณากล่าว หลวงตามองหน้ากฤษณาพลางถอนหายใจเบาๆ

“หยั่งกับข้าห้ามเอ็งได้ แต่ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน” หลวงตากำชับ กฤษณาพยักหน้ารับก่อนที่ทั้งสองจะวิ่งไปขึ้นรถ กฤษณามองดูไปตามถนนหนทางที่ถูกทำลายราวกับโดนไต้ฝุ่น บ้านเรือนที่มีรอยร้าวบางแห่งก็พังครืนลงมาไม่เป็นท่า ผู้คนบาดเจ็บนอนเกลื่อน กฤษณาแทบจะพูดอะไรไม่ออกกับสิ่งที่เขาเห็น หลวงตาจับไหล่ของเขาเอาไว้เบาๆ

“มันไม่ใช่ความผิดของเอ็งหรอก ไอ้ธลมันเก็บกดอารมณ์ของมันมานานเกินไป มันเลยเป็นแบบนี้แหละ” หลวงตายุทพูด กฤษณาส่ายหัว

“ผมไม่น่าฝืนตัวเองเลย ถ้าผมเชื่อเขาสักนิดธลคงไม่ต้องเป็นแบบนี้” กฤษณาตอบ หลวงตายุทส่ายหัว

“ต่อให้ไอ้โขนรามไม่ทำร้ายเอ็ง ผนึกของไอ้ธลก็ทานไม่อยู่เหมือนกันนั่นแหละ แค่ไอ้ธลมีจิตที่คิดจะต่อสู้มันก็มีผลต่ออารมณ์ของมันแล้วละ ยิ่งมันสู้นานเท่าไหร่ อารมณ์ของมันก็จะยิ่งพลุกพล่านมากขึ้น แบบนั้นจะยิ่งแย่กว่าเพราะถ้าผนึกทั้งหมดแตกออกแล้วไอ้ธลก็อาจหมดสิทธิ์อยู่ในร่างมนุษย์ไปตลอดกาล” หลวงตายุทปลอบ กฤษณาพยักหน้าพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง

“เราจะต้องช่วยนายให้ได้ ธล” กฤษณาคิดอย่างมุ่งมั่นก่อนที่รถจะรีบวิ่งฉิวไปที่บึงสีไฟ พอใกล้ถึงต่างมีผู้คนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น บ้างก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว บ้างก็หอบข้าวของวิ่งราวคนบ้า กฤษณากับหลวงตาลงจากรถพลางวิ่งสวนย้อนผู้คนกลับขึ้นไป

“อยู่นั่น” กฤษณาร้องพลางหันไปมองชลาธลที่ยืนร้องคำราม พลันชลาธลก็หันไปเห็นชายคนนึงที่กำลังยืนถ่ายรูปอยู่ ชลาธลไม่รอช้ากระโดดพุ่งร่างของเขาเข้าไปใกล้ทันที ชายคนนั้นไม่ทันระวังตัวเขาก้าวขาจะวิ่งหนีแต่พลันเขากลับสะดุดล้มลง ชลาธลจับขาของเขาไว้พลางเหวี่ยงออกไปสุดแรง ร่างของชายคนนั้นปลิวว่อนตกลงบ่อน้ำไปทันที ชลาธลไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาสอดส่องไปรอบตัวแล้วเขาก็พบเด็กผู้หญิงยืนร้องไห้อยู่ ชลาธลย่างสามขุมเข้าไปใกล้พลางแยกเขี้ยวโง้งส่งเสียงคำรามอย่างน่าสะพรึงกลัว กฤษณาไม่รอช้าวิ่งเข้าไปใกล้ชลาธลทันที

“ธล อย่านะ” กฤษณาร้อง ชลาธลหันหัวมาขวับ กฤษณาหยุดทันทีที่ชลาธลหันมา ทั้งสองประจันหน้ากัน ชลาธลหายใจหอบแรง ควันสีขาวๆลอยออกมาจากปากของเขาเป็นไอ ดวงตาสีแดงสนิท กฤษณาใจเต้นเล็กน้อย

“ธล เรารู้ว่านายได้ยินเรานะ นายต้องอย่ายอมแพ้มันสิ” กฤษณาพูดต่อ ชลาธลพุ่งร่างเข้ามาพลางเอามือบีบคอของกฤษณาไว้ทันที ร่างของกฤษณาถูกยกตัวสูงขึ้นจากพื้น

“ธล นายต้องทำได้สิธล ตลอดเวลาที่ผ่านมานายก็ทำได้มาตลอดนี่” กฤษณาร้อง ชลาธลคำรามมือของเขาค่อยๆบีบที่คอของกฤษณาแน่นเข้าทุกที

“ธะ ธล” กฤษณาเริ่มดิ้น มือของชลาธลค่อยๆบีบคอของกฤษณาแน่นขึ้นทีละน้อย

“ธล เราเชื่อใจนายนะ” กฤษณากล่าว พลันมือของชลาธลก็สั่นกึกๆ เขาปล่อยร่างของกฤษณาร่วงลงที่พื้น

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ชลาธลร้องพลางเอามือกุมหัวไว้ แล้วเขาก็กระโดดหนีไปอีก หลวงตายุทวิ่งเข้ามาพยุงร่างของกฤษณาขึ้น

“เอ็งจะบ้าหรือไงวะ วิ่งออกไปแบบนั้นนะ” หลวงตายุทดุ กฤษณามองหน้า

“หลวงตา ธลกำลังสู้อยู่จริงๆด้วย ผมว่าเขากำลังพยายามสู้กับจิตใจของเขาอยู่ และผมเชื่อว่าเขาต้องทำได้” กฤษณาตอบ หลวงตายุทพยักหน้า

“อย่าชักช้าเลย ตอนนี้ต้องรีบหาตัวมันก่อน” หลวงตายุทพูด

“แล้วเราต้องกลับไปดูที่อ่างอีกหรอครับ” กฤษณาถาม หลวงตายุทส่ายหัว

“ไม่จำเป็นหรอก ตามเสียงร้องไป” หลวงตายุทพูด พลันก็มีคนวิ่งออกมาพลางร้องเสียงหลง

“จระเข้ผีในพิพิทธภัณฑ์” ชายคนนึงกรีดร้อง หลวงตายุทมองหน้ากฤษณาพลางรีบวิ่งไปที่พิพิทธภัณฑ์ทันที พอทั้งสองไปถึงผู้คนต่างก็วิ่งหนีจ้าละหวั่น ชลาธลกำลังทุบต่อยอ่างปลาในนั้นแตกกระจายไปทั่ว น้ำในอ่างไหล่เจิ่งนองเต็มพื้นไปหมด ชายคนนึงสะดุดล้มลงเพราะลื่นน้ำ ชลาธลหันหัวไปทันทีพลางหยิบร่างของชายคนนั้นขึ้นมา กฤษณาจะก้าวขาแต่มือของหลวงตาก็ห้ามเอาไว้ หลวงตาหยิบเอาตุ๊กตาควายดินปั้นออกมาวางไว้ที่พื้น หลวงตายุทหลับตาพลางประนมมือเอาไว้ กฤษณามองดูตุ๊กตาดินปั้นค่อยๆขยายร่างขึ้น ตุ๊กตาตัวนั้นแม้จะมีรูปร่างลักษณะทุกอย่างเหมือนควายทุกประการ แต่มันกำลังยืนสองขาและที่อกของมันก็มีอักขระประหลาดติดไว้

“คะ ควายธนู” กฤษณาอุทานเบาๆ พลางหันไปมองหลวงตาที่ยืนสวดมนต์อย่างมีสมาธิ ควายธนูตัวนั้นจ้องไปที่ชลาธลพลางพุ่งร่างของมันเข้าใส่ ชลาธลปล่อยชายคนนั้นลงพลางตั้งการ์ดรับ ควายธนูต่อยเข้าที่แขนของชลาธลแต่ชลาธลนั้นตั้งการ์ดเอาไว้ได้ พลันชลาธลก็ยกขาขวาขึ้นเตะเข้าที่สีข้าง แต่ควายธนูตัวนั้นก็ยกแขนขึ้นตั้งรับ ชลาธลก้าวถอยออกมาตั้งการ์ด กฤษณาเหลือบมองดูหลวงตาที่ขมวดคิ้วแน่นพลางขยับปากขมุบขมิบไปมา ชลาธลเดินเข้าไปใกล้ช้าๆพลางออกหมัดขวาตรง ควายธนูเอียงตัวหลบพลางเอาเขาของมันขวิดเข้าที่ตัวของชลาธล

“ฮึ่ม” ชลาธลร้องพลางเอามือจับเขาทั้งสองข้างของควายธนูเอาไว้ ควายธนูพยายามดันร่างของมันเข้าไปเรื่อยๆแต่ชลาธลเองกลับจับเขาไว้แน่น

“ย๊ากก” ชลาธลร้องพลันเขาก็ยกร่างของควายธนูขึ้นตั้งทำมุมฉากกับพื้นก่อนที่จะฟาดร่างนั่นลงกระแทกกับพื้นเสียงดังสนั่น

“อ๊อก” หลวงตากระอักเลือดออกมากองใหญ่ แต่ก็ยังคงตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่ ควายธนูสะบัดหัวไปมาอย่างแรง แต่ชลาธลก็ยังจับเขานั่นไว้ไม่ยอมปล่อย หลวงตาขมวดคิ้ว พลันควายธูนตัวนั้นก็ยกหัวขึ้น ร่างของกฤษณาลอยสูงขึ้น ควายธนูสะบัดหัวให้ร่างของชลาธลกระแทกเข้ากับต้นไม้ ต้นไม้ใหญ่หักโค่นลงทันที ร่างของชลาธลกระเด็นไปเล็กน้อย ชลาธลลุกขึ้นจ้องควายธนูตัวนั้นพลางส่งเสียงคำราม ชลาธลวิ่งเข้าใส่ควายธูนพลางออกหมัดซ้ายตรงทันที ควายธนูตั้งการ์ดรับแต่พลันมือขวาของชลาธลก็พุ่งเข้าสีข้างของควายธนูทันที แต่ควายธนูตัวนั้นเหมือนจะอ่านการเคลื่อนไหวออก มือซ้ายของมันรีบรัดมือขวาของชลาธลไว้ทันทีพลางล๊อกแขนของชลาธลเอาไว้ ชลาธลก้มเอาหัวกระแทกไปที่หัวของควายธนูทันที ร่างของควายธนูเซเล็กน้อยชลาธลสะบัดตัวพลางดึงมือขวาออกจากแขนของควายธนูแล้วสวนกลับด้วยศอก ร่างของควายธนูเดินโอนเอนเล็กน้อยชลาธลจับแขนของควายธนูเอาไว้พลางเหวี่ยงออกไปเต็มแรง ร่างของควายธนูปลิวละลิ่ว ชลาธลวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ร่างของควายธนูปลิวลู่ลม ชลาธลที่ดักรออยู่ก่อนแล้วกระโดดหมุนตัวพลางสะบัดขาฟาดเข้าเต็มหน้าของควายธนู ร่างของควายธนูร่วงลงกับพื้น ชลาธลยกขาขึ้นสูงก่อนที่จะกระแทกมันลงไปที่หน้าของควายธนูตัวนั้น ทันทีที่ขาของชลาธลกระแทกลงไปร่างของควายธนูก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลวงตายุทสำรอกเลือดออกมาพลางทรุดลงกับพื้น กฤษณาประคองร่างของหลวงตายุทเอาไว้

“หลวงตา” กฤษณาร้อง หลวงตายุทหายใจหอบ

“มะ ไม่ไหว มันเก่งกว่าเดิมมากจริงๆ” หลวงตายุทพูด ชลาธลจ้องเขม็งมาที่ชายทั้งสอง ชลาธลคำรามในลำคอดังครือๆ กฤษณายืนขึ้นเอาตัวบังร่างของหลวงตายุทเอาไว้ ชลาธลพุ่งร่างเข้าหากฤษณาแทบจะในทันที มือที่มีเล็บแหลมคมกางชี้ไปที่หน้าของกฤษณา แต่ชายหนุ่มไม่ได้หลับตาหรือหนีแต่อย่างใด ชลาธลเข้ามาใกล้ร่างของกฤษณาเข้าทุกที กฤษณาจ้องไปที่ดวงตาของชลาธล เขาเชื่อมั่นว่าชลาธลต้องพยายามต่อสู้อยู่เป็นแน่

“เราจะไม่หนี” กฤษณาตั้งมั่น ร่างบ้าคลั่งของชลาธลเข้าใกล้ตัวกฤษณาทุกขณะแล้วพลันร่างของชลาธลก็หยุดลงมือที่จ่อหน้าของกฤษณานั้นสั่นไปมา ชลาธลกัดฟันพลางส่งเสียงร้องในลำคอ ชลาธลถอยเซเล็กน้อยพลางจ้องมือของตน ก่อนที่จะส่งเสียงร้องดังสนั่น

“โหกกกกกกกกกกกกก” ชลาธลคำรามพลางกระโดดหนีหายไปอีก กฤษณาหันไปดูหลวงตาที่ค่อยๆพยุงร่างของเขาลุกขึ้น กฤษณาจึงเข้าไปช่วยอีกแรง

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 24-01-2007 20:14:10
“ไอ้ธลมันร้ายขึ้นมากจริงๆ แต่ดูเหมือนว่ามันจะพยายามสู้อย่างที่เอ็งพูดนั่นแหละ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้า

“หลวงตาครับ ผมจะล่อธลเอง ผมจะล่อเขาแล้วตอนนั้นหลวงตาก็รีบเขียนอักขระบนร่างของเขาแล้วกันนะครับ” กฤษณาพูด หลวงตามองหน้ากฤษณาอย่างไม่มั่นใจ แต่เขาเองก็คิดทางอื่นไม่ออกอีกแล้ว

“เอางั้นก็ได้ แต่เอ็งห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามโดยเด็ดขาดนะ” หลวงตายุทกำชับ กฤษณาพยักหน้า

“แล้วมันจะไปไหนได้อีกวะ” หลวงตายุทถาม กฤษณาคิด

“ธลโพล่มาที่วัด ก่อนจะมาที่นี่ เขาทำลายพิพิทธภัณฑ์ หรือว่า...” กฤษณาตาลุกวาว

“หลวงตา ธลกำลังจะไปที่บ้านผม” กฤษณาพูดขึ้น หลวงตายุทเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยทั้งสองรีบวิ่งกลับไปที่รถ

“ไปที่บ้านผู้ใหญ่เร็วเข้า” หลวงตาพูด ชายหนุ่มผิวดำพยักหน้าก่อนที่จะเร่งขับรถออกไปทันที กฤษณาเริ่มวิตกกังวล

“ใจเย็นไอ้กฤษ เราอาจจะไปทัน” หลวงตายุทปลอบ กฤษณาได้แต่พยักหน้า เขาเริ่มรู้สึกเป็นห่วงพ่อแม่ของเขาขึ้นมาจับใจ ไม่นานนักกฤษณาก็มาถึงบ้านของเขา กฤษณารีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที

“พ่อครับ แม่ครับ” กฤษณาร้องพลางเดินไปทั่วบ้านแต่เขาก็ไม่เห็นใคร

“พ่อ แม่” กฤษณาร้องอีก ใจของเขาเต้นแรง น้ำตาจะไหลให้ได้

“อย่าเป็นแบบนี้นะ” กฤษณากัดฟันแน่นพลางตั้งหน้าตั้งตาหาพ่อแม่ของเขาต่อไป กฤษณาเดินไปที่ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องรับแขก แทบจะทุกห้องในบ้านแต่เขาก็ไม่เห็นวี่แววของพ่อแม่ของเขาเลย กฤษณาแทบเข่าอ่อน

“ทำไม” กฤษณากัดฟันแน่นพลางเอามือทุบพื้นเสียงดัง

“กฤษ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น กฤษณาหันหน้ากลับไปแม่ของเขาก็วิ่งเข้ามากอดลูกชายของตนไว้ทันที

“โถ่กฤษ แม่ตกใจแทบแย่ แม่กับพ่อออกไปข้างนอกกลับมาทำไมบ้านเมืองเป็นอย่างนี้” แม่ของกฤษณาพูด กฤษณาถึงกับโล่งอก

“แล้วกฤษเป็นอะไรหรือเปล่าลูก แล้วคนอื่นๆหายไปไหนหมด” แม่ของกฤษณาซัก กฤษณาตั้งสติขึ้นมาได้ทันที

“แม่ครับ แม่อยู่ที่บ้านนี้ห้ามออกไปไหนนะครับ เดี๋ยวผมกลับมา” กฤษณาพูด หญิงสาวถึงกับขมวดคิ้ว

“ลูกจะไปไหนอีก ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมบ้านเมืองมันเละขนาดนี้ละลูก” ผู้เป็นแม่ซักถาม กฤษณาก้มหัวลงเล็กน้อย

“ตอนนี้ผมบอกอะไรไม่ได้แม่ และผมไม่มีเวลาแล้ว ผมต้องรีบไป แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะรีบกลับมา” กฤษณาพูดพลางรีบลุกขึ้นวิ่งไปทันที

“กฤษ เดี๋ยว ตากฤษ” แม่ของเขาร้องเรียก กฤษณารีบวิ่งออกไปที่หน้าบ้าน เขาก็พบว่าหลวงตากำลังคุยกับพ่อของเขาอยู่

“ไอ้กฤษ กลับเข้าบ้านไป” พ่อของเขาดุ

“อาตมาคงต้องขอยื้มตัวลูกของโยมไปก่อนนะ” หลวงตายุทพูด พ่อของกฤษณาขมวดคิ้ว

“หลวงพ่อจะเอาลูกผมไปทำอะไร แล้วหลวงพ่อยังไม่ได้ตอบผมเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” พ่อของกฤษณาถามเป็นชุด

“พ่อครับ ตอนนี้เรายังตอบอะไรไม่ได้ แต่ผมสัญญาครับพ่อแล้วผมจะกลับมาพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ตอนนี้พ่อหลบอยู่ในบ้านก่อนเถอะครับ” กฤษณาพูด ผู้เป็นพ่อได้แต่ยืนงงๆ

“หลวงตาไปกันเถอะ” กฤษณาเร่งพลางวิ่งกลับขึ้นรถโดยที่ปล่อยให้พ่อของตนยังยืนสับสนอยู่

“เฮ้ย ไอ้กฤษ เดี๋ยว ไอ้กฤษ กลับมาก่อน” พ่อของเขาร้องตะโกนตามแต่กฤษณากับหลวงตาก็ขึ้นรถไปเสียแล้ว

“กลับไปที่วัด” กฤษณาพูด คนขับก็ทำหน้างงๆ

“ทำตามที่เขาบอก ไปที่วัดเร็ว” หลวงตาสั่ง ชายคนนั้นพยักหน้าพลางรีบออกรถกลับไปที่วัด หลวงตาหันมามองกฤษณา

“เอ็งคิดว่ามันจะกลับไปที่วัดหรอ” หลวงตาถาม กฤษณาส่ายหัว

“เปล่าครับ ธลน่ากลับไปที่บึงที่ผมเล่นกับเขาบ่อยๆ เขาไปทุกที่ที่ผมพาเขาไป เขาผ่านถนนที่ผมพาเขาไปเดินเล่น เขาบุกไปที่บึงสีไฟทีผมพาเขาไปเที่ยว ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะไปที่บ้านผม แต่เขากลับไม่ไป ผมเลยคิดว่าบางทีเขาอาจจะกลับไปที่บึง” กฤษณาพูด หลวงตาพยักหน้ารับ แล้วไม่นานทั้งสองก็กลับมาที่วัด เนื่องจากเส้นทางจะไปยังบึงนั้นมีความเป็นป่าอยู่มากรถยนต์จึงไม่อาจเข้าไปได้ กฤษณาและหลวงตาจึงต้องเดินเท้าฝ่าเข้าไป

“หลวงตาครับผมจะล่อธลไว้เอง ส่วนหลวงตาก็อ้อมไปข้างหลัง ถ้าผมจับเขาได้เหมือนไหร่หลวงตาก็รีบเขียนคาถาทันทีเลยนะครับ” กฤษณาพูด หลวงตาถอนหายใจเบาๆพลางจับไหล่ของกฤษณาเอาไว้

“เอ็งอย่าเป็นอะไรนะเว้ย” หลวงตายุทกำชับ กฤษณาพยักหน้า

“ธลเขาไม่ทำร้ายผมหรอกครับผมมั่นใจ” กฤษณาตอบด้วยแววตาที่มุ่งมั่น หลวงตายุทหยิบมีดในย่ามส่งให้

“อย่างน้อยๆก็ป้องกันตัวไว้บ้าง มีดนี่เป็นมีดลงอาคม มันพอจะใช้สู้กับไอ้ธลได้บ้างละนะ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณารับมีดมาไว้ในมือพลางพยักหน้า

“ครับ” กฤษณาขานรับ หลวงตายุทพยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะแยกกันไปคนละมุม กฤษณาเดินย่องเข้ามาอย่างช้าๆ

“กรรรร” เสียงคำรามของชลาธลดังสนั่น กฤษณาจ้องมองดูเขาก็พบว่าชลาธลกำลังกัดมือขวาของเขาจนเลือดไหลนองเป็นทาง กฤษณาไม่รีรอทันที

“ธล” กฤษณาออกไปยืนประจันหน้า ชลาธลหันหัวมาทางกฤษณาทันที แววตาที่ดุดัน ปากที่ยังคาบมือขวาของตนเอาไว้ เลือดสีแดงไหลท่วมเต็มปากของเขาไปหมด

“ธล เรารู้ว่านายกำลังพยายามอยู่ นายต้องใจเย็นๆนะ เดี๋ยวหลวงตาจะช่วยนายเองนะ” กฤษณาพูดพลางพยายามเดินเข้าไปใกล้ แต่ชลาธลกลับแยกเขี้ยวใส่ กฤษณาถอยตัวกลับเล็กน้อย แต่เขาก็ตั้งสติกลับมาได้

“ธล เราขอโทษนะที่ทำให้นายต้องเป็นแบบนี้ เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านายต้องลำบากแค่ไหน ธลเราไม่เคยเข้าใจอะไรนายเลยจริงๆ นายจะให้โอกาสเราอีกสักครั้งไหม” กฤษณาพูดต่อ ชลาธลยังคงจ้องมอง เสียงคำรามเริ่มเบาลง กฤษณาค่อยๆขยับร่างของเขาเข้าไปใกล้ชลาธลเรื่อยๆ

“ธล เราอยากรู้จักนายให้มากกว่านี้ เราอยากจะหัวเราะกับนาย ฟังเรื่องของนาย ว่ายน้ำเล่นกับนาย กินขนมกับนายอีก นะธล” กฤษณาพูด ชลาธลเริ่มส่ายหัวไปมา กฤษณาก้าวขาเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“ธล ไม่ต้องกลัวนะ เราไม่รังเกียจนายหรอก ที่เราต้องการก็คืออยู่ข้างนาย ธล เรา เรารักนายนะ” กฤษณากล่าวออกไป อีกนิดเดียวเขาจะเข้าใกล้ชลาธลได้แล้ว ชลาธลจ้องหน้ากฤษณาน้ำใสๆค่อยๆไหลอาบตาสีแดงของเขา กฤษณายื่นมือเข้าไปใกล้ชลาธลช้าๆ

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ชลาธลกรีดร้องเสียงดัง พลางสะบัดหัวไปมา ชลาธลจ้องหน้ากฤษณาเขม็งพลันยืดมือออกไปทันที

“ไอ้ธลหยุดนะ” หลวงตายุทออกมาจากที่กำบัง ชลาธลหันหลังกลับไปทันที โดยที่หลวงตายุทยังไม่ทันหยิบอะไรออกมา ชลาธลก็พุ่งร่างของเขาเข้าใส่หลวงตายุททันที ชลาธลกดร่างของหลวงตายุทลงกับพื้น กฤษณาตาลุกวาว

“ธล หยุดนะธล” กฤษณาร้องแต่ดูเหมือนชลาธลจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาง้างมือยกขึ้นสูงพลางสะบัดมือลงไปอย่างรวดเร็ว แต่แล้วมือของชลาธลก็หยุดลงกระทันหัน ชลาธลทำจมูกฟุดฟิดไปมา ชลาธลหันกลับไปมองกฤษณา

“ได้กลิ่นไหมธล” กฤษณาพูด พลางแบมือที่มีเลือดสีแดงไหลอาบ กฤษณาเอามีดกรีดที่ฝ่ามือของตนไว้ ชลาธลลุกจากร่างของหลวงตายุทพลางเดินเข้าไปหากฤษณาพลางแยกเขี้ยวโง้ง

“นายไม่ได้กินเนื้อนุ่มๆมานานแค่ไหนแล้วละ” กฤษณายังคงพูดยั่วยวนชลาธลต่อไป ชลาธลเดินเข้าไปใกล้กฤษณามากขึ้นทุกที กฤษณาส่ายมือเปื้อนเลือดของเขาไปมาอย่างช้าๆ

“หอมดีไหม เลือดสดๆนะ” กฤษณาพูด ชลาธลอ้าปากกว้าง แขนขวาของเขาสันรัวระริก กฤษณาเหลือบมองหลวงตายุทเล็กน้อย เขาพยักหน้าให้หลวงตายุท

“ขอโทษนะธล” กฤษณาพูดพลางกระโดดโผเข้าใส่ร่างของชลาธลทันที กฤษณากดร่างของชลาธลลงกับพื้นพลางกอดร่างของชลาธลเอาไว้

“หลวงตาเร็วเข้า” กฤษณาร้อง ชลาธลเริ่มดิ้นเขาเอาปากงับเข้าที่ไหล่ของกฤษณาเต็มแรง

“มันไม่เจ็บเลยธล มันไม่เจ็บเลยสักนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่นายต้องเจอมาตลอด ธลนายจะกัดเราแรงแค่ไหนก็ได้ แต่เราอยากให้นายรู้ไว้ว่าเราไม่เคยรังเกียจนายเลยนะ ธลเรารักนายนะ” กฤษณาพูด ชลาธลกัดกฤษณาแรงเข้าตาสีแดงก่ำเริ่มมีน้ำใสๆไหลรินลงมาช้าๆ ร่างของชลาธลเริ่มดิ้นไปมาน้อยลง หลวงตายุทวิ่งเข้ามาพลางเอามีดกรีดที่นิ้วแล้วเขาก็เริ่มเขียนอักขระลงบนร่างของชลาธล

“กรรร โหกกกก อ๊ากกกกกกกกก” ชลาธลเริ่มดิ้นอีกครั้ง แต่กฤษณายังกอดร่างของชลาธลไว้แน่น ในหัวของกฤษณามีแต่ภาพอดีตของเขากับชลาธลอยู่เต็มหัว รอยยิ้มที่เขาไม่เคยลืมเลือน ขนมที่ชลาธลชอบกิน เวลาที่ชลาธลกอดเขาตอบกลับมาราวกับจะบอกว่าเขาจะดูแลกฤษณาตลอดไป กฤษณากอดร่างของชลาธลแน่นเข้าเพื่อบอกให้ชลาธลได้รู้ว่าเขาจะไม่มีวันหนีชลาธลไปไหน

“ถอยมาไอ้กฤษ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาค่อยๆคลายอ้อมกอดของเขาออก หลวงตารีบเขียนอักขระต่อไป กฤษณามองดูร่างของชลาธลที่เกร็งไปทั่วร่าง หลวงตายุทอ่านคาถาไปเรื่อยๆพลางขีดเขียนอักขระลงไปอย่างไม่หยุด หลวงตายุทเขียนอักขระไปจนทั่วร่างของชลาธล แววตาสีแดงค่อยๆจางลงช้าๆ เล็บและผิวหนังเริ่มค่อยๆหดหายไป พลันหลวงตายุทก็ตบมือนึงครั้ง

“อ๊ากกกกกกกกกกกกก” ชลาธลร้องเสียงดัง อักขระบนร่างของชลาธลเปล่งแสงสีทองออกมาก่อนจะค่อยๆจางลง ร่างของชลาธลน้อนแผ่อยู่บนบก

“รีบไปตักน้ำมาเร็ว เฮ้ย” หลวงตายุทร้องเพราะกฤษณาก้มลงพลางเอามือเปล่าจับร่างของชลาธลก่อนที่จะลากชลาธลลงไปในบึง ทันทีที่ร่างของชลาธลลงไปในบึงควันสีขาวก็ลอยฟุ้งพร้อมกับเสียงฉ่าดังสนั่น กฤษณาถอนหายใจหอบพลางมองดูมือของเขาที่เริ่มจะพุพองเพราะความร้อน

“ไอ้กฤษเอ็งเป็นอะไรมากไหม” หลวงตายุทก้มลงดูแผลของกฤษณาที่เกิดจากรอยกัดของชลาธล กฤษณาส่ายหัวเล็กน้อย

“มะ ไม่เป็นไรครับหลวงตา เดี๋ยวก็คงหายแล้ว” กฤษณาตอบ หลวงตายุทฉีกจีวรออกพลางพันแผลเอาไว้

“ห้ามเลือดเอาไว้ก่อนนะ” หลวงตายุทกล่าว กฤษณายกมือไหว้เป็นการขอบคุณ

“ขอบคุณนะครับหลวงตา” กฤษณาตอบ หลวงตายุทรับไหว้

“ข้าเองก็ต้องขอบใจเอ็งที่ช่วย” หลวงตายุทกล่าว

“จ๋อม แจ๋ม” เสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น ทั้งกฤษณาและหลวงตายุทต่างหันไปมองที่บึง ควันสีขาวค่อยๆจางลงช้าๆ ร่างของชลาธลค่อยๆเดินเปลือยกายขึ้นมาอย่างช้าๆ

“ธล” กฤษณาพูดพลางมองร่างของชายผิวสีน้ำผึ้งร่างกำยำตรงหน้า ชลาธลน้ำตาไหลนองหน้า

“กฤษ” ชลาธลพูดพลางวิ่งเข้ามากอดร่างของกฤษณาเอาไว้

“กฤษ เราขอโทษ กฤษ ระ เราขอโทษ” ชลาธลพูดทั้งน้ำตา กฤษณาตบหลังของชลาธลเบาๆ

“มันจบแล้วธล มันจบแล้ว” กฤษณาตอบ ทั้งสองกอดร่างแน่นเข้า กฤษณาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ากอดของชลาธลจะอบอุ่นได้เพียงนี้

“ระ เราควบคุมตัวเองไม่ได้เลยกฤษ มันเหมือนจะคอยสั่งแต่ให้เราทำลายทุกอย่าง” ชลาธลพูด กฤษณาลูบหลังชลาธลช้าๆ

“แต่นายก็พยายามนี่ เรารู้ว่านายสู้อยู่ข้างในแน่ๆ แล้วนายก็ทำได้ เราเชื่ออยู่แล้ว” กฤษณาตอบ ชลาธลสะอื้น

“เราขอโทษนะกฤษ” ชลาธลกล่าว กฤษณาส่ายหัว

“เราเองก็ขอโทษเหมือนกันที่ทำให้นายต้องเป็นแบบนี้” กฤษณาตอบ

“เอาละ กลับไปที่วัดกันได้แล้ว ยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะนะเว้ย” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาและชลาธลพยักหน้าก่อนที่จะค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ ชลาธลมองดูไหล่ซ้ายของกฤษณาที่มีผ้าจีวรพันเอาไว้อยู่

“เรากัดนายจริงๆหรอ” ชลาธลถาม กฤษณาส่ายหัว

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หายแล้ว อย่าคิดมากเลยนะ” กฤษณาพูด ชลาธลวางมือบนแผลของกฤษณาเบาๆ

“เราขอโทษนะ” ชลาธลตอบ กฤษณาจับมือของชลาธลเอาไว้

“ไม่เลย เมื่อเที่ยบกับที่นายต้องเจอแล้วแผลแค่นี้จิ๊บจ๊อยน่า” กฤษณากล่าว ชลาธลยิ้มให้

“ขอบใจนะกฤษ” ชลาธลตอบ กฤษณาก็ยิ้มรับก่อนที่จะเดินตามหลวงตาไป ชลาธลมองดูที่มือของตน

“ธล แล้ว...” กฤษณาพูดอะไรไม่ออก ชลาธลจ้องมองดูมือของตอนที่มีเลือดสีแดงเปื้อนอยู่ กฤษณาตาค้างพลางมองดูที่มือขวาของเขา รอยแผลที่เกิดจากการกรีดยังคงมีเลือดสีแดงไหลออกมา ตาของชลาธลเบิกกว้าง ใจเขาเต้นแรง

“ธล” กฤษณาร้อง ตาของชลาธลเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาจากทั้งสองตา พลันชลาธลก็คุกเข่าลงกับพื้น อักขระเริ่มส่องแสงสีแดงก่อนที่มันจะค่อยๆสลายไปอย่างช้าๆ ปากของชลาธลเริ่มยืดยาวขึ้นเรื่อยๆ ลำตัวที่ยืดออกพร้อมกับหางที่โพล่ออกมา มือของชลาธลหดลง ชลาธลมองดูใบหน้าของกฤษณาที่ตาลุกวาว

“กฤษ เรา ขอ...” ชลาธลไม่อาจพูดคำสุดท้ายได้หมดเพราะร่างของเขาได้แปรสภาพกลายเป็นจระเข้ตัวใหญ่ไปเสียแล้ว กฤษณามองดูจระเข้ตรงหน้าโดยไม่มีคำพูดใดๆ จระเข้สะบัดหน้าหนีก่อนจะรีบเดินอย่างรวดเร็วกลับลงน้ำไป กฤษณาได้สติขึ้นมาทันที

“ธะ ธล ธล ธลลลล” กฤษณาตะโกนพลางจะเดินตามไปแต่หลวงตายุทกลับจับร่างของกฤษณาไว้ กฤษณาเริ่มดิ้นไปมาน้ำเริ่มเอ่อล้นออกมาจากสองตา

“ธล ธล ธลลลลลลลลลลลลลลล” กฤษณาร้องตะโกนไล่หลังไปแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา...


“คุณครับ คุณครับ คุณ” เสียงของพนักงานดังขึ้น ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย

“อะครับ” ชายหนุ่มหันไปมอง

“ช่วยเซ็นรับด้วยครับ” พนักงานกล่าว ชายหนุ่มพยักหน้าพลางเซ็นชื่อของเขาลงในกระดาษตรงหน้า พนักงานฉีกกระดาษแผ่นนึงคืนให้ ชายหนุ่มรับมาพลางพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ ชลายหนุ่มแหงนหน้ามองขึ้นฟ้าด้วยใจที่หดหู่

“ธล มันเป็นเพราะเราใช่ไหมที่ทำให้นายต้องเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มพูดพลางวางมือลงบนไหล่ซ้ายของเขา ที่ยังคงมีรอยเขี้ยวของคนที่เขารักประทับอยู่ไม่จางหาย

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 24-01-2007 20:42:32
โอ๊ย....ใจจะขาดอยู่แล้ว    :serius2:
ขอตอนต่อไปอย่างเร็วเลยน่ะ.... :like2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 25-01-2007 07:31:37

 :o

เจ้ว่าแล้น

ทำไมมันบีบไข่ เฮ้ย! บีบใจอย่างนี้

ไม่ค่อยอยากจะอ่านต่อเลย

กลัวมันจาเศร้าแล้วเจ้จาจิตตก อะเคอะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-01-2007 08:32:35
 :monkeysad:  :monkeysad:  :monkeysad:
ธลกลายเป็นจรเข้ไปซะแล้ว
แล้วไงต่อล่ะ มาต่อด่วนเลยนะ  :serius2:  :serius2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 25-01-2007 09:42:47
 :monkeycry2:
สงสารธลกับกฤษง่ะ . . .  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-01-2007 19:40:06
wee เอิ้กๆ เร็วพอปะ ใจร้อนจังไม่ทันก็เสร็จซะละ  :kikkik:
oaw_eang  อ่านอีกตอนเดียวเองครับ สมหวังอ่ะป่าวมะรู้ ลุ้นเอา  :like2:
shell อย่าไปเห็นจรเข้แถวบ้านเป็นธลนะ อันตรายมั๊กมั๊ก  :pigscare2:
meemewkewkaw  ขี้สงสารแบบนี้ไม่สงสารป๋มบ้างหรือก๊าบ
ไม่ต้องรักผมก็ได้ แค่สงสารก็ยังดี ขอแค่ให้ผมได้เห็นหน้าหมีบ้าง หือหือ   :monkeysad2:


บทที่ 21

“สวัสดีคะคุณพ่อ” หญิงสาวพูดพลางยกมือไหว้ชายชราตรงหน้า

“อ้าวๆ เออๆ เหนื่อยไหมมากินน้ำกินท่ากันก่อนสิ เฮ้ย เอาน้ำมารับแขกทีเว้ย” ชายชรากล่าว ชายหนุ่มเดินลงมาจากรถพลางแบกกระเป๋าลงมาด้วย

“ไอ้กฤษเอ็งไม่ต้องแบกเองหรอกน่า ให้คนอื่นเขาจัดการเถอะน่า” ชายชราพูด กฤษณาส่ายหัว

“ไม่เป็นไรครับพ่อ อีกอย่างมีกระเป๋าแค่ไม่กี่ใบเองครับ” กฤษณาพูด พ่อของกฤษณาพยักหน้า

“ตามใจแกแล้วกัน เอ้าๆ ขึ้นบ้านๆ” พ่อของกฤษณาตอบก่อนที่ทุกคนจะเดินขึ้นบ้านกันไป

“ต้องรบกวนคุณพ่ออีกแล้วละคะ” หญิงสาวพูด พ่อของกฤษณายิ้ม

“โอ๊ย ไม่รบกวนเลย มานะดีแล้วข้าจะได้มีเพื่อนคุย” พ่อของกฤษณาตอบ

“คุณปู่เหงาหรอคะ” เด็กหญิงพูด พ่อของกฤษณาพยักหน้า

“ก็ปู่คิดถึงหลานที่น่ารักนะสิจ๊ะ” พ่อของกฤษณาพูด เด็กหญิงพยักหน้า

“งั้นหนูจะอยู่คุยกับคุณปู่ทั้งวันเลย” เด็กหญิงตอบ พ่อของกฤษณายิ้มรับ

“โอ้ ดีเลยๆ ปู่มีเรื่องเล่าเยอะแยะเลยหลานเอ้ย” ชายชราตอบ เด็กหญิงตาลุกวาว

“จริงหรอคะ เรื่องของพี่ธลหรือเปล่าคะ” เด็กหญิงพูด ทุกคนในบ้านต่างเงียบสนิทกันไปชั่วขณะนึง กฤษณารีบเดินเข้ามาทันที

“ธล ลูกมีอะไรจะให้คุณปู่ไม่ใช่หรอ” กฤษณาพูด เด็กหญิงพยักหน้าพลางยื่นกล่องขนมส่งให้

“หนูทำมาให้คุณตาอะคะ คุณแม่ก็ช่วยหนูทำด้วยคะ” เด็กหญิงกล่าวเสียงใส พ่อของกฤษณารับกล่องนั่นมา

“โอ้ อะไรเนี่ย อะลัวงั้นหรอ น่ากินจัง เก่งจังเลยนะหลานปู่” พ่อของกฤษณากล่าวชมเด็กหญิงยิ้มแป้น

“เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บในห้องก่อนนะพ่อ” กฤษณาพูดพลางแบกกระเป๋าขึ้นไปข้างบน เขาไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้มาเกือบสิบกว่าปีแล้วตั้งแต่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ กฤษณากลับขึ้นมาที่ห้องของเขา ห้องที่มีความหลังของครั้งก่อนอยู่เต็มแน่น ห้องที่เขาและชลาธลเคยนอนด้วยกัน ห้องที่ทั้งสองนั่งคุยกัน กินขนมด้วยกัน แต่บัดนี้มันมีเพียงแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ในห้องว่างเปล่าแห่งนี้

“แกไปเล่าอะไรให้หลานฟัง” เสียงของพ่อกฤษณาดังขึ้น กฤษณาถอนหายใจ

“ก็แค่เล่านิทานนะครับพ่อ ไม่มีอะไรหรอก” กฤษณาตอบ พ่อของกฤษณาถอนหายใจยาว

“แกก็รู้กฏของเมืองดีนี่หว่า” พ่อของกฤษณาย้ำ กฤษณาพยักหน้า

“เอาน่าพ่อ ยัยธลก็ยังเด็กอยู่ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เล่าทุกอย่างหรอกครับพ่อ” กฤษณาพูด พ่อของเขาถอนหายใจยาว

“ไม่ไหวเล้ยลูกคนนี้ แล้วจะอยู่นานแค่ไหนละ” พ่อเขาถาม กฤษณาส่ายหัว

“ไม่รู้เหมือนกันอะครับ ก็คงสักอาทิตย์สองอาทิตย์ละมั้งครับ ยัยธลเขาอยากอยู่กับคุณปู่นานๆ” กฤษณาพูด

“แล้วแกเลิกคิดมากได้หรือยัง” พ่อของเขาถาม กฤษณาไม่ตอบอะไร

“อย่าเครียดมากเลยน่า ไม่แน่ไว้อาจจะมีคนเลี้ยงดูเขาแล้วก็ได้นะ” พ่อของกฤษณากล่าว กฤษณาพยักหน้ารับไม่พูดอะไร

“ตามใจแกแล้วกัน เดี๋ยวเย็นๆแม่แกก็จะกลับมาแล้ว” พ่อของกฤษณากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป กฤษณาถอนหายใจยาว หลังจากที่ชลาธลนั้นเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นจระเข้หลวงตาจำต้องเปิดเผยความจริงทั้งหมดให้คนทั้งเมืองฟัง แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือพ่อของกฤษณานั้นกลับยอมรับเรื่องนี้ได้

“ข้าก็ไม่เห็นว่าธลเขาจะเลวร้ายตรงไหน เขาช่วยเราจากจระเข้มาก็ตั้งมากมาย และแค่เขาทำผิดครั้งเดียวจะมาหาว่าเขาเป็นคนไม่ดี ข้าไม่ใจแคบขนาดนั้นหรอก” พ่อของกฤษณาพูดและประกาศให้ทุกคนในเมืองปิดเรื่องนี้เป็นความลับอย่างเข้มงวด กฤษณาเองก็พยายามออกตามหาชลาธลอยู่นานแต่เขาก็คว้าน้ำเหลวทุกครั้ง เขาไม่อาจรู้ได้เลยจริงๆว่าชลาธลนั้นหายตัวไปที่ไหน เขาติดต่อไปที่ฟาร์มจระเข้ทุกแห่ง เขาติดตามดูข่าวสารทุกวันแต่ก็ไม่มีข่าวของจระเข้ยักษ์เลย กฤษณาในตอนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้เลยจริงๆ

“ไอ้กฤษ ถ้าเอ็งยังเป็นแบบนี้ เอ็งคิดว่าไอ้ธลมันจะดีใจหรือไง” หลวงตายุทคอยเตือนสติ

“แต่ธลกำลังรอผมอยู่ ผมต้องหาเขาให้เจอ” กฤษณายืนยัน

“ถ้าไอ้ธลมันรอเอ็งจริง มันจะหนีเอ็งไปทำไมเล่า ไอ้กฤษ คนเรามีพบก็ต้องมีจากเป็นของธรรมดา ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เอ็งอย่าไปยึดติดอะไรกับมันมากเลยนะ” หลวงตายุทตักเตือน กฤษณาเองใช้เวลาทำใจอยู่หลายเดือนกว่าเขาจะเริ่มทำใจได้และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯเผื่อว่าเขาอาจจะลืมชลาธลลงได้บ้าง กฤษณาใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆอย่างมีความสุขเรื่อยมา แม้ว่าบางครั้งเขาจะอดคิดถึงชลาธลไม่ได้แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เศร้าเหมือนแต่ก่อนเท่าใดนัก กฤษณามองไปรอบๆห้อง มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เตียงถูกเปลียนใหม่เป็นเตียงที่ใหญ่ขึ้น โต๊ะหนังสือก็ถูกย้ายออกไป ของบางอย่างในห้องเขาถูกแทนที่ด้วยของสิ่งอื่น แต่ความทรงจำของเขายังคงฝั่งแน่นไม่เปลี่ยนแปลง

“ไม่เอาน่า โตได้แล้วไอ้กฤษ” กฤษณาเตือนสติตัวเองก่อนที่จะจัดของในกระเป๋า ตกเย็นบ้านของกฤษณาก็จัดเลี้ยงต้อนรับครอบครัวของเขาอย่างครื้นเครง

“หลานทานน้ำพริกหนุ่มดูสิจ๊ะ ย่าทำแบบไม่เผ็ดให้หลายโดยเฉพาะเลยนะ” หญิงชรากล่าว เด็กหญิงพยักหน้าพลางหยิบเอาแตงกวาจิ้มไปที่น้ำพริกสีขาวๆก่อนจะตักเข้าปากไปเคี้ยวในปากตุ้ยๆ

“อร่อยจังคะ” เด็กหญิงตอบ หญิงชรายิ้มพลางหันไปมองหญิงสาว

“ทานผักเก่งจริงๆนะ แม่ไม่เคยเห็นเด็กทานผักได้เก่งอย่างหนูธลเลย” หญิงชรากล่าว

“ก็ได้กฤษเขานะคะ แกชอบเรื่องของชลาธลมากๆ กฤษเขาก็เลยเอามาเป็นข้ออ้างถ้าเขากินผักเขาก็จะได้ฟังเรื่องของชลาธลนะคะ” หญิงสาวตอบ หญิงชราพยักหน้า พลางหันไปมองเด็กหญิงที่กำลังหยิบเอาแตงกวาอีกชิ้นเพื่อจิ้มกับน้ำพริก ก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าหญิงสาว

“แล้ว เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม แม่หมายถึง เขาดูซึมๆไปหรือเปล่าเวลาที่เขาเล่าเรื่องนี้นะ” แม่ของกฤษณาถาม หญิงสาวคิด

“ก็มีเหม่อๆไปบ้างนะคะ แต่เขาสนิทกันขนาดนั้นมันก็น่าเศร้านี่คะ” หญิงสาวตอบ แม่ของกฤษณาพยักหน้าพลางยิ้มให้

“จ๊ะ มันน่าเศร้าเหมือนกัน ยังไงก็ฝากดูแลเจ้าลูกชายของแม่ด้วยนะ” แม่ของกฤษณาพูด หญิงสาวพยักหน้า

“คะ หนูจะพยายามคะ” หญิงสาวตอบ

“เออ แล้วเมื่อไหร่จะย่าจะได้อุ้มหลานชายบ้างละ” แม่ของกฤษณาถาม หญิงสาวถึงกับแก้มแดงเล็กน้อย

“อะ คือ ช่วงนี้กฤษเขายุ่งนะคะ อีกอย่างตอนนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอีกเยอะแยะนะคะ” หญิงสาวพูด แม่ของกฤษณาเหล่ตา

“แหม ก็หนูเอาแต่ขี้อายแบบนี้ละสิ ทีตอนแต่งแรกๆปุ๊ปปั๊ปก็มีชลาธลออกมาละ” แม่ของกฤษณาแซว หญิงสาวยิ้มแก้มแดงๆ

“กะ ก็ แหม คือ มันพร้อมแล้วนี้คะ” หญิงสาวตอบ แม่ของกฤษณายิ้ม

“ของอย่างนี้นะฝ่ายหญิงก็ต้องช่วยเหลือเหมือนกัน แม่มีสูตรยาปลุกมังกรนะเพื่อเอาไปใช้” หญิงชราตอบ หญิงสาวตาลุก

“มะ ไม่ต้องหรอกคะคุณแม่ อะ คือ เดี๋ยวกฤษเขาก็พร้อมเองแหละคะ” หญิงสาวตอบอย่างเขินอาย หญิงชราหัวเราะเบาๆ

“น่า แล้วจะตั้งชื่อลูกชายว่าอะไรละ แหม น่าจะไว้มีลูกชายแล้วค่อยตั้งว่าชลาธลนะ” แม่ของกฤษณาถาม

“อืม เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่รู้ตัวว่าหนูท้องแล้วละคะ ว่าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็จะเรียกเขาว่าชลาธลนะคะ” หญิงสาวกล่าว แม่ของกฤษณาพยักหน้า

“แต่ยังไงก็รีบมีหน่อยนะ ย่าเองก็ไม่รู้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน” แม่ของกฤษณาพูด หญิงสาวทำสีหน้าเป็นห่วงทันที

“คุณแม่อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” หญิงสาวกล่าว

“คุยอะไรกันหรือ” กฤษณาเดินเข้ามาทัก

“ก็แกนะสิไม่ขยันทำการบ้าน มัวแต่อ้างโน่นอ้างนี้แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้อุ้มหลานชายกับเขาบ้างละ” แม่ของกฤษณาพูด กฤษณาเบ้ปาก

“แม่ครับ ก็บอกแล้วไงครับว่าตอนนี้เรายังไม่พร้อม อีกอย่างยัยธลก็ยังเด็กอยู่ เอาไว้ให้แกโตพอที่จะเข้าใจอะไรกว่านี้หน่อยถึงตอนนั้นผมจะปั้มตั้งทีมฟุตบอลเอาเลยก็ได้นะ” กฤษณาตอบ หญิงสาวมองค้อนๆ

“แหม ทำเป็นพูดดี ตัวเองนั่นแหละชิงเสร็จก่อนทุกที” หญิงสาวตอบ กฤษณาถึงกับหน้าแดงขึ้นมา แม่ของกฤษณาหัวเราะร่า

“ก็แกนะไม่แข็งแรงเอาเสียเล้ย นี่ถ้าเป็นธลเขาคง...” หญิงชราหยุดพูดไปชั่วขณะเพราะรู้ตัวดีว่าตนเองนั้นพูดอะไรผิดไป

“แม่ว่าแม่ไปดูงานทางโน้นดีกว่า สัญญาแล้วนะ” แม่ของกฤษณาตอบพลางรีบลุกไปทันที กฤษณาก้มหน้าลงเล็กน้อย หญิงสาวตบที่บ่าของกฤษณาเบาๆ

“คุณแม่เขาคงไม่ได้ตั้งใจนะคะ อย่าไปคิดอะไรมากเลยนะคะ” หญิงสาวตอบ กฤษณายิ้มรับ

“จ๊ะ” เขาพูดพลางนั่งลงร่วมรับประทานอาหาร

“จะว่าไปนี่ก็แปดปีแล้วนะคะ วันเวลานี่ผ่านไปเร็วไม่รอใครจริงๆ” หญิงสาวพูด กฤษณาพยักหน้ารับพลางนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เขาเจอกับเธอตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันแล้วก็คบกันเรื่อยมา ทั้งสองตัดสินใจทำงานที่เดียวกันพอเริ่มตั้งตัวได้ทั้งฝ่ายพ่อแม่ของกฤษณาและพ่อแม่ของหญิงสาวจึงตกลงปลงใจให้ทั้งสองแต่งงานกัน

“คุณพ่อคะ พรุ่งนี้หนูอยากไปดูบึงอะคะ คุณพ่อพาหนูไปนะคะ” เด็กสาวกล่าว

“แม่ว่า ไปกับแม่ดีกว่านะจ๊ะ คุณพ่อเขาขับรถมาเหนื่อยทั้งวันแล้ว ให้เขาพักบ้าง” หญิงสาวแก้ตัวให้ แต่กฤษณาส่ายหัว

“ไม่เป็นไรจ๊ะ ไปดูก็ดีเหมือนกัน พ่อก็ไม่ได้ไปนานแล้ว” กฤษณาตอบ เด็กหญิงยิ้มแป้นพลางยกมืออย่างดีใจ

“เย้ เผื่อว่าคุณพ่อจะเจอพี่ธลด้วยไงคะ” เด็กหญิงพูด ชายหนุ่มพยักหน้า

“จ๊ะ” กฤษณาตอบสั้นๆ หญิงสาวได้แต่มองหน้ากฤษณาด้วยสายตาที่เป็นห่วง ตกเย็นคืนนั้นกฤษณาพาธลเข้านอนที่ห้องของเขาส่วนตนเองก็เข้าไปนอนที่ห้องที่พ่อของเขาสร้างให้เขากับภรรยา

“คุณไม่เป็นไรแน่นะคะ” หญิงสาวถาม กฤษณาส่ายหัวไปมา

“จ๊ะ มันถึงเวลาที่ผมควรจะเลิกหนีได้แล้ว” กฤษณาตอบ หญิงสาวพยักหน้ารับพลางซบลงที่ไหล่ของกฤษณา

“ถ้ามีอะไรให้ฉันพอจะช่วยได้ก็บอกนะคะ” หญิงสาวตอบ กฤษณาพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้

“ขอบใจนะจ๊ะ” กฤษณาตอบ ก่อนที่ทั้งสองจะหลับไป เช้าวันรุ่งขึ้นกฤษณาแวะไปหาหลวงตายุทที่วัดพร้อมกับครอบครัวของเขา

“สวัสดีครับหลวงตา” กฤษณายกมือไหว้ พระสงฆ์ที่ชราภาพมากแล้ว

“เออ ไม่เจอกันนานเลยนะไอ้กฤษ ดูผอมไปเยอะเลยนะเอ็ง” หลวงตากล่าว กฤษณายิ้มพลางดันตัวลูกสาวของตนมาข้างหน้า

“สวัสดีคะหลวงตา” เด็กหญิงกล่าวพลางยกมือไหว้และถอนสายบัวอย่างเรียบร้อย หลวงตารับไหว้พลางยิ้มให้

“เรียบร้อยดีจริงๆเลย สงสัยจะได้เชื้อแม่มาดี” หลวงตายุทตอบ กฤษณามองหลวงตายุทค้อนๆ

“แหม พ่อก็สั่งสอนด้วยแหละหลวงตา” กฤษณาตอบ หลวงตายุทหัวเราะเบาๆ

“ฮ่า ฮ่า เออ เว้ยเข้ามาก่อน ข้ามีอะไรจะถามเอ็งเยอะแยะ” หลวงตายุทชวนก่อนที่ทั้งสามจะเดินขึ้นไปนั่งในกุฏิ

“อ๋อ งั้นเอ็งก็จะได้เลื่อนขั้นเร็วๆนี้แล้วสิ” หลวงตายุทถาม กฤษณาพยักหน้ารับ

“ครับ ก็ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็คงตามนั้นละครับ แล้วผมก็คิดว่าเราอาจจะมีลูกกันสักคน อืม อาจจะต้องรบกวนหลวงตาช่วยดูชื่อให้ด้วยนะครับ” กฤษณาพูด หลวงตายุทพยักหน้า

“เออ เว้ย ไม่มีปัญหา เอ็งจดฤกษ์มาแล้วกัน” หลวงตายุทกล่าว กฤษณาพยักหน้ารับ

“ข้าดีใจนะที่เอ็งเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น” หลวงตายุทกล่าว กฤษณษาพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ

“คุณพ่อคะ เราจะไปดูบึงกันได้หรือยังคะ” เด็กหญิงรบเร้า กฤษณามองหน้าหลวงตาก่อนจะพยักหน้ารับ

“จ๊ะ ไปกันดีกว่า” กฤษณาตอบก่อนที่เขาจะยกมือไหว้หลวงตาแล้วจูงมือเด็กหญิงเดินไปตามทาง บึงนั้นถูกห้ามไม่ให้รุกราน และได้มีการทำเจ้าที่และตั้งชื่อบึงนั้นว่า บึงชลาธล กฤษณาเดินดูเหล่าต้นไม้ตามทาง แม้จะเปลี่ยนไปบ้างแต่มันก็ยังคงเค้าเดิมเอาไว้ได้เกือบจะเต็มร้อย ไม่นานนักทั้งสามก็มาถึงบึงสวย แสงแดดสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับ เหล่านกกาต่างส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว

“สวยจังเลยคะ ใหญ่ด้วย” เด็กหญิงร้องอย่างตื่นเต้น

“เราไปดูใกล้ๆกันไหม” ชายหนุ่มถาม เด็กหญิงพยักหน้า กฤษณาจูงมือเด็กหญิงไปใกล้บึงมากขึ้น ทั้งสองเดินเลียบไปตามตลิ่ง สายลมเย็นๆพัดกระทบใบหน้าของกฤษณา นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้ กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าลอยติดจมูกเขาขึ้นมา กฤษณากำมือแน่น เขาจะต้องยอมรับความจริงเสียที

“จ๋อม แจ๋ม” กฤษณารีบหันไปข้างหลังทันทีแต่เขาก็ไม่เห็นอะไร

“จ๋อม แจ๋ม” เสียงน้ำดังขึ้นอีก กฤษณาก้มลงก็พบว่าลูกสาวของตนพยายามจะเอาเท้าแหย่ลงไปในน้ำ กฤษณาดึงมือของเด็กสาว

“อย่าสิลูก เดี๋ยวตกลงไปจะแย่นะ” กฤษณาพูดเสียงดังเล็กน้อย เด็กสาวดึงขาของตนกลับ

“ก็หนูอยากรู้ว่าพี่ธลอยู่ตรงนี้หรือเปล่าอะคะ” เด็กหญิงตอบ กฤษณาก้มลงพลางจับไหล่ของเด็กสาวเอาไว้

“ตอนนี้พี่ธลเขาคงกลับไปอยู่กับจระเข้ตัวอื่นๆแล้วละจ๊ะ เขาคงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วละ” กฤษณาพูด เด็กหญิงทำหน้าเศร้า

“ทำไมละคะ พี่ธลเขาไม่คิดถึงคุณพ่อเลยหรอคะ” เด็กหญิงถาม กฤษณาถอนหายใจเบาๆ

“บางครั้งคนเราก็มีหน้าที่ที่ไม่เหมือนกันละจ๊ะ พ่อต้องอยู่ทำหน้าที่ของคนที่นี่ ส่วนธลเขาก็ต้องทำหน้าที่ของจระเข้ในน้ำเหมือนกัน บางครั้งหน้าที่มันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ” กฤษณาพูด เด็กหญิงมีสีหน้าสลดลง

“พี่ธลคงจะเหงาแย่เลย คุณพ่อไม่เหงาหรอคะ” เด็กหญิงถาม กฤษณาถอนหายใจเบาๆ

“ไม่หรอกจ๊ะ พ่อมีธลอยู่แล้วไง” กฤษณาพูด เด็กหญิงพยักหน้ารับ

“ไปหาแม่ไปอย่าวิ่งนะ” กฤษณากำชับ เด็กหญิงรีบเดินไปหาแม่ของตนที่กำลังเดินดูรอบบึงอยู่ไม่ห่าง กฤษณาส่ายหัวไปมา

“ทำไมเราไม่โตสักทีนะ” กฤษณาคิดอย่างหัวเสีย เขาพยายามมาเกือบสิบปีเพื่อที่จะก้าวเดินต่อไป แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจลืมชลาธลได้เลย กฤษณามองไปที่บึงสุดลูกหูลูกตา บึงนี้มีความหลังของเขาและกฤษณาอยู่แน่นเต็ม ทั้งเรื่องฐานลับ ที่ที่เขาพบกันครั้งแรก และที่ที่พวกเขาพบกันเป็นครั้งสุดท้าย

“จ๋อม แจ๋ม” เสียงน้ำดังขึ้น

“ธลพ่อบอกแล้วว่า...” กฤษณาหยุดพูดเมื่อเขาเห็นลูกสาวของตนกำลังเดินกลับไปที่ป่าพร้อมกับภรรยาของเขา กฤษณาหันหลังกลับไป ถ้าเขาตาไม่ฟาดเขาเห็นหางจระเข้กำลังเลื้อยหายลงไปในบึง กฤษณารีบลุกขึ้นวิ่งไปทันที

“ธล” กฤษณาร้อง แต่หางนั้นก็จมน้ำหายไปอย่างรวดเร็ว กฤษณาถอนหายใจยาว

“หรือเราจะตาฟาด หูเพี้ยนไป” กฤษณาคิด แต่แล้วขาของเขาก็เหยียบเข้ากับอะไรสักอย่าง กฤษณาก้มลงดูเขาก็พบกับจี้เส้นนึง กฤษณาหยิบมันขึ้นมาดู มันเป็นจี้ที่ทำด้วยหนังจระเข้และจี้ตรงกลางก็เป็นเขี้ยวขนาดใหญ่

“หรือว่าจะเป็นสร้อยที่วิมาลามอบให้เลื่อมลายวรรณ สร้อยนี่คงจะลอยขึ้นมาจากถ้ำทองที่พังลงไปแล้ว” กฤษณาคิด พลางกำมันไว้ในมือ เขาจะปล่อยมันไปก็ไม่กล้าแต่จะเก็บไว้เขาก็กลัวที่จะทำใจไม่ได้

“คุณคะ แดดเริ่มแรงแล้วกลับกันดีกว่าคะ” หญิงสาวร้องทัก กฤษณารีบเอาสร้อยเส้นนั้นยัดกลับใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางรีบเดินกลับขึ้นไปทันที

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถาม กฤษณาส่ายหัวไปมา

“ไม่มีอะไรจ๊ะ ไม่มี” กฤษณาตอบ หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับทั้งสามออกตระเวณไปทั่วเขตในเมือง กฤษณาต้องยอมรับว่าเขาทำใจได้ยากกว่าที่คิดจริงๆ เพราะทุกอย่างล้วนแต่จะให้เขารำลึกถึงชลาธลได้ทุกอย่าง มือของกฤษณากำจี้ในกระเป๋ากางเกงแน่น มันเหมือนเป็นของต่างหน้าชิ้นเดียวของชลาธลที่เขาจะหาได้จริงๆ ตกเย็นกฤษณาและครอบครัวขับรถกลับไปที่บ้านของเขาซึ่งแม่ของกฤษณาก็ทำข้าวซอยให้ทุกคนได้ทานกันอย่างอิ่มหนำ

“คุณไม่เป็นไรจริงๆนะคะ” หญิงสาวถาม หลังจากที่กฤษณาออกมาจากห้องน้ำแล้ว

“มะ ไม่นี่จ๊ะ” กฤษณาตอบ หญิงสาวถอนหายใจ

“เราคบกันตั้งแต่อยู่มหาลัยนะคะ ทำไมฉันจะดูไม่ออกละคะ” หญิงสาวตอบ กฤษณาถอนหายใจเบาๆ

“อืม ผมต้องยอมรับนะ ว่านี่มันยากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก” กฤษณาพูด หญิงสาวโอบร่างของกฤษณาไว้หลวมๆ

“ฉันเชื่อว่าคุณต้องผ่านมันไปได้คะ ฉันยินดีจะช่วยคุณทุกอย่างเองนะคะ” หญิงสาวพูด กฤษณาพยักหน้ารับ

“ขอบใจนะจ๊ะ แต่ตอนนี้ผมง่วงละ ขอนอนก่อนดีกว่า” กฤษณาตอบพลางล้มตัวลงนอนแทบจะทันที แต่กระนั้นก็ตามกฤษณาก็ไม่อาจข่มตาลงไปได้ ความทรงจำของเขาและชลาธลผุดขึ้นมาเรื่อยๆอย่างไม่ยอมหยุด กฤษณาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ กฤษณาย่องจากเตียงของเขาไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ กฤษณาเปิดเกะอย่าแผ่วเบาพลางหยิบเอาจี้ที่เขาพบออกมา กฤษณาเปิดไฟหัวโต๊ะพลางพิจารณาสร้อยในมือของเขา หนังที่ตัดออกมาได้อย่างสวยงามเป็นเส้นตรง เขี้ยวที่ถูกเจาะด้วยอะไรสักอย่างถูกเส้นหนังร้อยผ่าน กฤษณามองดูอย่างทึ่งๆ

“วิมาลาทำสร้อยได้สวยขนาดนี้เลยหรอ” กฤษณาเริ่มคิดพลางนึงถึงสร้อยที่วิมาลาทำให้เลื่อมลายวรรณที่แปะอยู่ที่ผนังฐานลับของชลาธล กฤษณาตาลุกวาว

“สร้อยนี่ มันไม่ใช่ของวิมาลานี่” กฤษณาร้อง เพราะรูปจี้ที่วิมาลาทำให้เลื่อมลายวรรณนั้นแผ่นหนังมีขนาดที่ใหญ่กว่า และถูกตัดเป็นรูปคล้ายสามเหลี่ยมแต่สร้อยเส้นนี้กลับตัดออกเป็นเส้นตรงอย่างปรานีต กฤษณามือสั่นเทา

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-01-2007 19:45:51
"นะ นี่หรือว่า” กฤษณาพยายามหยุดความคิดของเขาไว้ แต่เขาก็ไม่อาจจะทำมันได้เลย เขาจ้องไปทีจี้ในมือตาเขม็ง พลางหันหลังกลับไปมองร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง กฤษณาไม่อาจตัดสินใจอะไรได้เลยจริงๆ เขาก้มลงมองดูสร้อยในมือพลางกำมันไว้แน่น กฤษณาลุกขึ้นจากโต๊ะพลางเดินอย่างเงียบกริบออกจากห้องไป กฤษณาเดินไปที่ห้องของลูกสาวของตน กฤษณาเปิดประตูอย่างแผ่วเบา เด็กหญิงนอนหลับอย่างเป็นสุข กฤษณามองดูสร้อยในมือของเขาอีกครั้ง เขาอยากจะเจอชลาธลอีกสักครั้งเหลือเกิน กฤษณาถอนหายใจยาวพลางเดินลงไปข้างล่าง เขายืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน กฤษณายืนมองประตูอย่างใช้ความคิด เขาจะกลับไปหาชลาธล หรือ เขาควรจะลืมเรื่องทั้งหมดนี่ไปเสีย แต่ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยที่จะลืมชลาธลเลย อย่างมากตอนนี้เขาก็ทำได้แค่หลอกตัวเองว่าชลาธลนั้นจากเขาไปแล้ว แต่ยิ่งเขาได้เห็นสร้อยเส้นนี้มันเหมือนจุดประกายความหวังของเขาให้ลุกโชนขึ้นมาใหม่ กฤษณากำมือแน่น

“ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว” กฤษณาคิดอยู่ในใจพลันเขาก็เปิดประตูออกไป กฤษณาขึ้นรถไปที่วัดทันที กฤษณาขับรถไปอย่างช้าๆ ใจของเขาตื่นเต้นเสียเหลือเกิน ถ้าเขาเจอชลาธลจริงๆเขาจะพูดอะไรก่อนดี แล้วชลาธลจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ชลาธลจะยังอยู่ในร่างของจระเข้หรือว่าเขาหาทางกลับมาใช้ร่างมนุษย์ได้แล้ว กฤษณาคิดอย่างคลุมคลือ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดรถเลย กฤษณาขับมาจอดที่วัด เขาหยิบไฟฉายออกมาพลางเดินไปยังบึง กฤษณาก้าวขาสั่นๆ ในของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ กฤษณาเดินไปอย่างช้าๆจนกระทั่งเขามาถึงบึงที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดส่งเสียงร้องในยามค่ำคืน แสงจันทร์เพ็ญสว่างสะท้อนผิวน้ำดูนวลตา กฤษณายืนมองไปที่บึงตรงหน้า

“ธล เรารู้ว่านายอยู่ตรงนั้นนะ” กฤษณาพูด แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา กฤษณาสูดหายใจลึก

“นายเป็นคนเอาสิ่งนี้มาให้เราใช่ไหมธล นายทำมาให้เราใช่ไหม” กฤษณาพูด แต่ก็ยังไม่มีเสียงใดตอบกลับมา

“นายหายไปไหนกันตั้งสิบกว่าปี ทำไมนายไม่บอกเราสักคำ เราไม่กลัวหรอกนะว่านายจะเป็นจระเข้หรืออะไรก็ตาม เราแค่อยากให้นายรู้ว่า เรายังรักนายไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเราก็ไม่เคยลืมนายเลยนะ” กฤษณาพูด แต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบกลับมา กฤษณากำมือแน่น

“ได้ ถ้านายต้องการอย่างนั้น เราจะตามหานายอีก เราจะหาจนกว่าเราจะเจอนายต่อให้มันต้องแลกกับชีวิตของเรา เราก็จะหายนาย” กฤษณาพูดจบ พลางถอดเสื้อของเขาออกทันที

“พอเถอะกฤษ” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้น กฤษณาหันมองไปรอบตัว เสียงน้ำจ๋อมแจ๋มดังขึ้น กฤษณามองไปตรงหน้า เมฆค่อยๆลอยเคลื่อนตัวมาบดบังแสงจันทร์เอาไว้ กฤษณาเพ่งสายตาเข้าไปตรงหน้าของเขา มีวัตถุบางอย่างค่อยๆเคลื่อนไหวขึ้นมาบนบกอย่างช้าๆ กฤษณาจ้องมองดูเจ้าสิ่งนั้นค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เขาทุกทีๆ ปากที่ยาวยื่นและมีฟันอันแหลมคม หางที่ยาวลากติดดินถูกไปกับพื้นดังครืดๆ ขาสั้นๆที่ค่อยๆพาร่างมหึมาของมันเข้ามาใกล้กฤษณาขึ้นเรื่อยๆ กฤษณามองดูร่างจระเข้ตรงหน้าอย่างไม่หวั่นกลัว พลันเมฆก็ค่อยๆเลื่อนตัวออกไป แสงจันทร์ส่องสว่างขึ้นช่วยให้กฤษณามองเห็นร่างจระเข้ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน แต่แล้วร่างจระเข้นั่นก็ส่องแสงไปทั่วตัว กฤษณายกมือขึ้นป้องตาพลางหรี่มองดู ร่างของจระเข้ค่อยๆเปลี่ยนสภาพไปอย่างช้าๆ กฤษณามองดูตาไม่กระพริบ จนกระทั่งแสงนั่นค่อยๆจางลง กฤษณาตาค้างเล็กน้อย ร่างของชายผิวสีน้ำผึ้งเข้มกับร่างกายที่กำยำยืนอยู่ตรงหน้าเขา ไรหนวดเขียวๆปรากฏขึ้นโดยรอบทำเอากฤษณาแทบพูดอะไรไม่ออก

“ธะ ธล” กฤษณาพูด ชลาธลยิ้มรับ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะกฤษ” ชลาธลกล่าว กฤษณาวิ่งโผเข้ากอดร่างของชลาธลเอาไว้ทันที

“ธล ทำไมละ ทำไมนายหายไป ทำไมนายไม่บอกเราสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น” กฤษณาพูด ชลาธลยืนนิ่ง

“กฤษ เราขอร้องละนายอย่าลำบากอะไรเพื่อเราอีกเลยนะ” ชลาธลพูด กฤษณามองหน้าชลาธล

“ทำไมนายพูดแบบนี้ละ เราก็บอกแล้วไงว่าทุกอย่างที่เราทำเราเต็มใจทำมันเพื่อนาย เราไม่เคยลำบากเลยแม้แต่น้อยนะธล” กฤษณายืนยัน ชลาธลก้มหน้า

“เรารู้ เราเองก็ดีใจที่นายตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเราขนาดนี้ แต่กฤษ นายก็เห็นนี่ว่าเรากับนายมันต่างกันเกินไป เราเป็นจระเข้ แต่นายเป็นคน แค่นี้มันก็ผิดมากพอแล้ว เราคงทนเห็นนายลำบากต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ กฤษ เราขอร้องละ นายลืมเราเสียเถอะแล้วมีความสุขกับความจริงดีกว่านะ” ชลาธลตอบ กฤษณากำหมัดแน่น

“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเรามีความสุข เราคิดถึงนายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เราอยากจะเจอนายอีกสักครั้งแต่นายกลับหายไปอย่างเนี้ย” กฤษณาแย้ง ชลาธลก้มหน้า

“เรารู้ เราเองก็อยากเจอนายมากเหมือนกันแต่...” ชลาธลพูดไม่จบเขาชี้นิ้วไปข้างหลัง กฤษณาหันหลังกลับไปเขาก็พบว่าภรรยากับลูกสาวของเขายืนอยู่พลางจ้องมองกฤษณา

“เราเป็นอดีตไปแล้วเรารู้ดี เราเองก็พยายามหาทางที่จะทำให้เรากลับมาอยู่กับนายให้ได้แต่กว่าเราจะรู้มันก็ช้าไปเสียแล้ว เราไม่คิดจะโกรธนายหรอกนะที่นายทำแบบนั้น อันที่จริงเราดีใจด้วยซ้ำที่นายมีอนาคตที่สดใส แค่นั้นเราก็ดีใจแล้วละ” ชลาธลตอบ กฤษณามองหน้าชลาธล

“ธล” กฤษณามองหน้า ชลาธลคว้าตัวกฤษณามากอดเอาไว้

“กฤษ เราดีใจจริงๆนะที่เราได้เจอนายอีก ของสิ่งนั้นเราอยากมอบให้นายเก็บไว้ เมื่อไหร่ที่นายต้องการเราแค่นายเรียกชื่อเรา เราจะมาหานายเสมอทุกเมื่อ ต่อให้นานแค่ไหนนายก็จะเป็นคนเดียวในใจของเราอย่างนี้ ตลอดไป” ชลาธลกล่าว กฤษณากำหมัดแน่น

“แล้วนายจะทำยังไงต่อไป” กฤษณาถาม ชลาธลจ้องหน้ากฤษณา

“เราคงกลับไปอยู่ที่แดนจระเข้ เราอยู่ในร่างมนุษย์นี่ได้ต่อเมื่อเราได้อาบแสงจันทร์เท่านั้น พอกลางวันเราก็จะกลับคืนเป็นจระเข้อีกครั้ง” ชลาธลพูด กฤษณามองดูสร้อยในมือพลางส่งคืนให้ ชลาธลตาลุกเล็กน้อย

“เราไม่ต้องการมันหรอก” กฤษณาพูด ชลาธลมีสีหน้าเศร้าเล็กน้อย

“อืม เราเข้าใจ ให้มันจบไปดีกว่า” ชลาธลตอบ กฤษณายิ้ม

“เพราะว่าเราจะไม่ยอมให้นายไปไหนได้อีก” กฤษณาพูด ชลาธลมองหน้ากฤษณางงๆ หญิงสาวเดินลงมาหากฤษณา

“พ่อของฉันเป็นเจ้าของฟาร์มจระเข้นะคะ แล้ว บ้านของเราก็อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นมากนัก คือ กฤษ เขาขอร้องให้พ่อของฉันทำที่ไว้ให้กับเพื่อนที่เขารักที่สุดแม้ว่าเขาจะหาตัวเขาเจอหรือไม่ก็ตาม คือ อันที่จริงฉันกับเขาตัดสินใจแล้วละคะว่าจะให้คุณชลาธลเป็นพ่อทูนหัวให้กับลูกของฉันนะคะ” หญิงสาวพูด ชลาธลถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก กฤษณายิ้มให้

“ยังไงเราก็จะไม่ทิ้งนายอยู่แล้ว เราสัญญาไว้แล้วนี่นา” กฤษณาตอบ ชลาธลถึงกับน้ำตาไหลรินลงเป็นสาย เขาโผเข้ากอดกฤษณาเอาไว้

“นะ นายมันบ้าจริงๆเลย กฤษ ตะ แต่ แต่ เราก็รักนายที่สุดเลยนะ” ชลาธลพูด กฤษณากอดร่างของชลาธลไว้ในอ้อมแขน

“ยินดีต้อนรับกลับมานะเพื่อนรัก” กฤษณาพูด ชลาธลาร้องสะอื้นที่อกของกฤษณา

“พี่ธลหรอคะ” เด็กหญิงกล่าว ชลาธลก้มลงดู

“อ๋อ ขอแนะนำให้รู้จักนี่ชลาธลนะ ชลาธลลูกนี่พี่ชลาธลนะ” กฤษณาแนะนำตัว ชลาธลก้มลงมองดูเด็กหญิงตรงหน้า เด็กหญิงจับที่แก้มของชลาธลอย่างไม่เกรงกลัว

“พี่ธลจะมาอยู่กับหนูได้ไหมคะ” เด็กหญิงถาม ชลาธลมองหน้ากฤษณาพลางหันกลับมามองเด็กหญิง

“จ๊ะ พี่จะอยู่กับน้องนะ” ชลาธลตอบ เด็กหญิงเดินเข้าไปกอดร่างของชลาธลเอาไว้ ชลาธลไม่เคยรู้สึกอบอุ่นเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต เขามองหน้ากฤษณาที่ยืนยิ้มให้เขากฤษณาโอบไหล่ของภรรยาของเขาเอาไว้

“คุณรู้หรือ” กฤษณาถาม หญิงสาวหัวเราะคิกคักในลำคอ

“แหม ฉันเองก็รู้จักคุณมาเกือบสิบปีเหมือนกัน ทำไมจะไม่รู้ละคะ” หญิงสาวตอบ กฤษณาหอมแก้มหญิงสาวเข้าฟอดใหญ่

“ขอบใจนะจ๊ะ” กฤษณาตอบ พลันมองดูชลาธลที่จับร่างของลูกสาวของเขาขึ้นขี่คอ

“เย้ๆ” เด็กหญิงร้องอย่างดีใจ ชลาธลหันกลับไปมองกฤษณา

“แล้วเราจะกลับบ้านนายเมื่อไหร่ละ” ชลาธลถาม กฤษณาขมวดคิ้ว

“อะไรกัน เราพึ่งมาถึงเองนะ จะให้กลับเลยหรอ” กฤษณาแย้ง

“นะคะคุณพ่อ หนูอยากอวดบ้านใหม่ให้พี่ธล” เด็กหญิงตอบ กฤษณาเบ้ปาก

“อะไรเนี่ย นี่ลูกรักพ่อทูนหัวมากกว่าพ่อแล้วหรอ” กฤษณาย้อน

“ช่าย” ทั้งเด็กสาวและชลาธลตอบพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะให้กัน

“พี่ธลคะ พี่ธลเล่านิทานให้ฟังอีกสิคะ” เด็กหญิงกล่าว ชลาธยิ้มพลางพยักหน้าให้

“จ๊ะ แล้วพี่จะเล่าให้ฟังนะ” ชลาธลกล่าวพลางเดินแบกร่างน้อยๆไปบนบ่าของเขา กาลเวลา ระยะทาง อาจเป็นอุปสรรค์ขวางกั้น หน้าที่ ความรับผิดชอบเหมือนกำแพงสูงที่เกินจะเอื้อม แต่ตราบใดที่มีจิตใจที่มั่นคง ต่อให้กำแพงจะสูงหนาสักเพียงใด ระยะทาง เวลาจะห่างกันเพียงไหน เราจะยังเชื่อมต่อถึงกันได้ เพราะความรักไม่มีกฏเกณฑ์ และความรักไม่มีวันสูญสลายไปกับกาลเวลา...

แล้วทุกคนก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตราบชั่วกาลนาน

จบบริบูรณ์

****************************************************************************************

ขอบคุณมากๆเลยครับคุณ Nat สำหรับเรื่องราวดีๆอีกมากมาย
ที่ทำให้ผมมีความสุขเวลาอ่าน และตั้งแต่ขอเรื่องคนมาลง
คุณเป็นที่ทำให้ผมรู้สึกดีมากๆเลยตั้งแต่ขอเรื่องมาลง
แค่อยากแบ่งปันเรื่องดีๆให้เพื่อนเท่านั้นเอง ดีใจที่คุณ Nat เข้าใจ  :impress3:

ขอบคุณเพื่อนๆด้วยนะครับที่ช่วยติดตามเรื่องนี้
อ่านจบแล้วรบกวนคอมเม้นต์ให้คนเขียนหน่อยนะครับ
เขาจะได้มีกำลังใจเขียนเรื่องต่อไปมาให้อ่านกัน
ถ้าเยอะๆผมอาจจะขอเรื่องอื่นที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันมาลงอีก
คุณ Nat เขียนไว้เป็นสิบๆอ่ะครับ ยอดเยี่ยมไม่แพ้เรื่องนี้เลย  :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-01-2007 21:24:31
แล้วทุกคนก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตราบชั่วกาลนาน  :impress3:  :like6:
จบได้อรรถรสนิทานจริง ๆ  :yeb:

เรื่องนี้ช่วงแรกออกแนวลึกลับ ผจญภัยหน่อย ๆ เหมือนฟังนิทานซักเรื่องหนึ่ง ช่วงต่อมาเริ่มมีมิตรภาพ ความรัก เข้ามาเกี่ยวข้องเริ่มมีกลิ่นอายของนิยายรักทั่ว ๆ ไป ในเรื่องแต่งให้เป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวละครชื่อกฤษณาซึ่งมีครอบครัวแล้ว เป็นการบอกตอนจบของเรื่องกลาย ๆ ว่าเรื่องนี้คงเป็นความรักที่ไม่สมหวัง ดังนั้นเราอ่านไปก็ลุ้นไปว่าอะไรหนอที่ทำให้เกิดตอนจบแบบนี้ ทำให้สนุกและมีความสุขในทุก ๆ ตอนที่ได้อ่าน

ขอบคุณ คนแต่งที่แต่งเรื่องดี ๆ มาให้อ่าน จะคอยติดตามผลงานในเรื่องต่อ ๆ ไปนะคะ
ขอบคุณ คนโพสต์ที่หาเรื่องราวดี ๆ มาลงให้อ่าน
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ  :myeye:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: wee ที่ 25-01-2007 23:04:03
เป็นเรื่องที่เราประทับใจมากเรื่องหนึ่งเลยน่ะ  :teach:
ขอบคุณสำหรับเรื่องที่สนุกมากกกก :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: mokung ที่ 26-01-2007 05:06:34
ปราบปรื้ม ทราบซึ้ง   กินใจ  เปนที่สุด  ชอบๆๆๆมากๆ    :monkeysad:

คนเขียนเขียนได้ดีมาก.............สุดยอดๆๆๆ......ชอบจัง อยากอ่านเรื่องแบบนี้อีกอะ   :impress3:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: peang ที่ 26-01-2007 09:46:42
 :impress2:  ขอบคุณจริงๆที่เอาเรื่องราวดีๆแบบนี้มาให้ได้อ่านกัน  มันคลายเครยีดได้  มันสร้างรอยยิ้มได้ แม้เวลาที่โดนเจ้านายดุ  มันทำให้ตาหน้าเคร่งเครยีดเสมือนว่า
     "ชั้นกำลังทำงานอยู่  อย่ามายุ่งกะชั้นนะยะ" มุขนี้ใช้บ่อย อิอิ :laugh:

เอาเป็นว่า ขอบคุณทั้งผู้เขียน ผู้เอาเรื่องมาลง  และจะขอบคุณมากขึ้น  ถ้าได้มีเรื่องราวดีๆแบบนี้ให้ได้อ่านกันเรื่อยๆๆๆๆๆๆ :monkeylove2:

****แต่แหม  ไอ้เราอุตสาห์หวังว่าจะมีฉากกุ๊กกิ๊กๆ   :haun6:อีกซัก ฉาก 2 ฉาก นะเนี่ย ผิดหวังหน่อยๆ แต่จบแบบสวยงามแบบนี้ ให้อภัยได้ค่ะ :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: เก๋าดี ที่ 26-01-2007 10:10:32

โอวววว

จบแว้ววววว

ชอบคับ

ขอบคุณที่เอามาให้อ่านคับ

 :yeb: :yeb: :yeb: :yeb: :yeb:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: meemewkewkaw ที่ 26-01-2007 14:39:38
จบแล้วอ่ะ ก่อนจะจบทำไมมันบีบใจยังงี้
. . . ต้องตามหาคนที่เรารัก แม้อาจไม่มีโอกาศที่จะได้เจอ . . .
  :impress3:

ขอบคุณคนแต่งนะครับที่ได้สร้างเรื่องดีๆขึ้นมา ให้คนอ่านทุกคนได้อ่าน
ขอบคุณคนโพสต์ด้วยครับ หากไม่มีคุณ ผมคงไม่ได้มีโอกาสได้อ่านเรื่องดีๆแบบเรื่องนี้
ขอบคุณมากๆครับ
ขอบคุณครับ
 :impress:


ปล.เพิ่งรู้นะเนี่ย เพ่บลูเรย์อยากเห็นหมี  :kikkik:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 27-01-2007 21:33:40

จบแล้วสินะ

จบพร้อมรอยยิ้มของเจ้

วิธีการเดินเรื่องแปลกใหม่ดี  น่าติดตาม

จินตนาการชนะเลิศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศศ

มีความอบอุ่นลอยปะปนแทรกอยู่ในทุกระหว่างบรรทัด

ไม่เศร้า ไม่เหงา กลับอิ่มใจอยู่ลึกๆ ข้างใน

ประทับใจจริงๆ

ขอบใจทั้งสองคนเลยนะที่ทำให้เจ้ได้อ่านเรื่องนี้

ปล. ไปเอาเรื่องใหม่มาลงเร็วๆ เลย ตาบลู

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้...จงอย่าได้เที่ยวสาระแนไปตัดสินแทนชาวบ้านเค้าว่า...ความสุขของเค้าคืออะไร
เพราะบางที  ความสุขของเค้ามันแค่เรื่องง่ายๆ ไม่ยากมากมายอะไรขนาดที่เราคิด

เจ้จะจำเอาไว้คะ...
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 03-02-2007 05:17:24
ตามมาอ่านตอนจบแบบดีเลย์ :try2:

เรื่องนี้ก้อเป็นอีกเรื่องที่จบได้แบบประทับใจ แฝงข้อคิดและทรรศนคติดีๆพร้อมๆกับสอดแทรกนิทานพื้นบ้านไทยไปด้วย แปลกแหวกแนวดี 
ขอบคุณคุณนัทด้วยนะจ๊ะที่แต่งเรื่องราวดีๆแบบนี้ออกมาให้ได้อ่านกัน 
จะติดตามรอผลงานเรื่องอื่นๆต่อไปจ้า  :yeb:
 ขอบคุณเรย์ด้วยพ่อคนขยันโป๊ด   :myeye:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: jammy ที่ 04-02-2007 10:44:59
หุๆๆ มาตอบเป็นคนสุดท้ายรึเปล่าหว่า เพิ่งได้มาอ่านอะมัวเเต่อ่านเรื่องอื่นอยู่^^  จบได้ดีมากเลยครับดูมีความสุขกันทุกฝ่าย ชอบมากๆเลยครับ ขอบคุณผู้เขียนเรื่องนี้ที่เขียนเรื่องสนุกๆเเบบนี้มาให้อ่าน เเละก็ขอบคุณพี่เรย์ที่ไปสรรหานิยายดีๆแบบนี้มาให้นะครับ :monkeylike3:  :give2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: verayuth ที่ 22-02-2007 16:56:33
อ่า ชอบมั่กๆ เลยคับ  :impress:

แต่ กฤษ ก็เก่งนะ จับไอเข้ทำเมีย - -"

อยากเก่งแบบ กฤษ บ้างจัง
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: LiliLiN ที่ 04-03-2007 21:11:13
 :-[เพิ่งอ่านจบอ่ะ  ไม่ช้าไปนะคะ

อยากจะบอกว่า ประทับใจมากกกก น้ำตาจะไหลออกมาเลย  :impress3:

เพิ่งเคยอ่านแนวนี้เป็นครั้งแรกเลยอ่ะ  ขอบอกว่าคุณ Nat เขียนได้ดีมากๆเลย (ความคิดบรรเจิดจริงๆ)

แล้วจะติดตามผลงานต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: suraontour ที่ 04-07-2007 02:18:46
:sad2:  น้ำตาไหลพราก
ทั้ง อิน ทั้งซึ้ง
ขอบคุณพี่ NAT เจ้าของเรื่องรวมทั้งพี่บลู ที่เอามาลงให้ได้อ่านกัน
เรื่องนี้ให้ข้อคิดอะไรดีๆ หลายอย่าง การมีความรัก ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป ใช่มั้ยครับ :o8:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 05-07-2007 20:27:31
เพ่งเคยอ่านเรื่องแนวนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ติดใจไปซะแล้ว  :m1:
ประทับใจในมิตรภาพและความรักของทั้งสองคน  :m3:
แต่ตอนจบหักมุมมั่กๆ ที่ทั้งสองได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง  :m13:

ขอบคุณNatและเรย์ด้วยจ้า
 o14 o15 o15
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 05-09-2007 15:04:36
แง แง มีแอบร้องไห้ด้วยงับผม
 :m15:

ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ
ขอแบนี้อีกนะงับ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 09-12-2007 10:21:28
สนุกมากคร้าบบบบบบบบบ

เพิ่งเคยอ่านแนวนี้ก็สนุกดีเหมือนกันครับ

ไม่คิดว่าพ่อจระเข้ล่ำเราที่คอยปกป้องจะเป็นรักซะงั้น :a5:

ขอบคุณนักแต่งคนโพสและคนแนะนำเรื่องนี้ด้วยนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 22-12-2007 14:10:31
อ่านจบแล้ว

น้ำตาจะไหล

----------------------

ขอบคุณ Nat ที่อนุญาตให้ลงเรื่องราวดีๆ

ขอบคุณ เล้าเป็ด สำหรับพื้นที่ดีๆ

ขอบคุณ หนูเรย์ สำหรับที่วิ่งเล่น

ขอบคุณ เซ็งเป็ด ที่ทำให้เรารู้จักกัน

ขอบคุณ เพื่อนๆ สำหรับมิตรภาพ

ขอบคุณครับ

หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Arus ที่ 09-01-2008 11:54:42
จบได้งามดีมากเลยครับ
ขอบคุณคุณ Nat ด้วยนะครับ

ได้กลิ่นไทยอยู่กรุ่นๆ ความงามก็ลงตัว ขอบคุณนะครับ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: panzzs ที่ 10-04-2008 17:30:53
T    H    A    N    K    Y    O    U


ชอบมากเลยอ่ะ
อ่านจนจบแล้วยิ้มได้

เป็นกำลังใจให้นะค๊าฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 13-04-2008 22:54:42
อ่านจบแล้วค่ะ  :mc4:

อยากบอกว่าคนแต่งจินตนาการล้ำเลิศจริงๆ แหวกแนวดีค่ะ :m4: (นอกจากเนื้อเรื่องจะแหวกแนวแล้ว ตัวละครยังแหวกแนวอีก อ่านแล้วตกใจทำไมชลาธลกลายเป็นรับไปได้  :a5:)

ตอนแรกคิดว่าจะจบแบบเศร้าๆ ซะแล้ว (เนื่องจากเนื้อเรื่องตอนต้นๆ ถึงเกือบจบทำเอาน้ำตาคลอเบ้า :m15:)

ขอบคุณคุณ Nut สำหรับเรื่องราวดีๆ นะคะ  o13
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: thopia ที่ 06-05-2008 14:02:50
อ๊ายยยย ย  สนุกมั๊กมากค่ะ   เป็นเรื่องทีมีจินตนาการมากจริงๆ

ตอนแรกนึกว่าจะต้องน้ำตาไหลตอนจบซะอีก สุดท้ายก็หักมุมอย่างเหลือเชื่อ

ขอบคุณจริงๆค่ะที่นำเรื่องสนุกๆมาให้อ่านกัน  :m13:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: name ที่ 08-11-2008 23:47:46
น่ารักมากมาย :m1:
ถึงจะไม่เป็นอย่างที่หวังก้อเหอะ :เฮ้อ:
แต่ก้อขอขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 09-11-2008 14:42:39
 :oni2:

อ่านไปแล้ว 9 บท มันแปลกใหม่ไร้เทียมทานจริง ๆ

เขียนนำเสนอโดยผ่านการเล่าเรื่องนี่  สุดยอดมาก

มีหลายตอนที่สื่อถึงความสัมพันธ์ ผูกพันกันอย่างบริสุทธ์

น่ารักมาก ๆ ชอบทั้ง กฤษ และ ธล

แต่ชอบตอนนี้ มั่ก มั่ก..... :L2:

......“ความรักไม่อาจทำให้อิ่มท้องแต่ก็ทำให้อิ่มเอิบใจได้ แต่ถ้ารักแล้วต้องทุกข์ทนมันก็คงไม่เรียกว่ารักสักเท่าไหร่ คนเรามีทั้งท้องและหัวใจ เราจะดูแลแค่ส่วนเดียวมันคงไม่ได้ เราจึงต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่างให้เท่ากัน” ชายหนุ่มพูดพลางมองดูท้องฟ้า  
 :L1:

อีกย่างที่ชอบคือจินตนาการที่ลึกเกินบรรยายของคนแต่ง  คิดได้ไงเนี่ย อิ อิ เก่งจัง

ขอกลับไปอ่านต่อก่อนแล้วจะมาชื่นชมใหม่น้าคร้าบบบบ

 o13
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 09-11-2008 21:04:17
 :L2:
นับเป็นเรื่องราวที่นำเสนอออกนอกกรอบได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
ความรักของคนกับลูกครึ่งจระเข้...รักไม่มีพรหมแดนจริง ๆ  :m1:
นำเสนอได้ครบทุกรสชาติ รัก เศร้า เหงา ตื่นเต้น แต่งได้เก่งมาก
แต่ขอติงนิดเดียว "เบ้ปาก" ลดลงหน่อยก็ดี  :m23:
 :L1:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 09-11-2008 23:32:43
 :m1:

         อ่านจบแล้วด้วยความรู้สึกดี ๆ มากมายกับความรักของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "หัวใจ" :L1:

หัวใจของเค้าสองคน กฤษ กับ ธล  มันมั่นคงเหลือเกิน แล้วยังเผื่อแผ่ไปถึงคนที่อยู่ใกล้เคียงด้วย

แต่งได้ดี แต่งได้ดี  อิ อิ ฉากหวานหวิวก็ได้ใจนะเนี่ย  เล่นเอาเลือดกระฉูดทีเดียว :m25:

  :L2: ขอบคุณ คุณ NAT คนแต่ง นายแน่มาก ครบทุกรส หวาน เผ็ด ดุ บรรยายฉากต่อสู้ได้อรรถรสมาก ๆ

ทั้งในถ้ำ บนบก และกฤษกะธล(คิ คิ :m25: ฟรืด..)   แม้จะออกแวนิยายตำนานพื้นบ้านก็

ทำให้น่าติดตามโดยไม่มีเบื่อเลย

แล้วตอนนี้ก็ชอบนะ

.....................เราเอง ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคืออะไร แต่เรารู้สึกดีเสมอที่ได้อยู่ข้างนาย ตอนที่นายไม่อยู่มันเหมือนกับอะไรบางอย่างในตัวเรามันหายไปด้วยจริงๆ เราว่าเราเองก็ เออ ชอบนายเหมือนกัน” กฤษณาตอบ ชลาธลถึงกับน้ำตาซึม เขาซบลงที่อกของกฤษณา...........

แล้วในที่สุดเค้าก็รักกันจริง ๆ อย่างลึกซึ้ง ความรักทำได้ทุกอย่างจริง ๆ

นึกถึงหนังจีนเก่า ๆเร่อง...หัวใจของเธอมันน่ากราบ...( ฮึ..เก่าขนาดใหนคิดดู )

ยังไงขอบคุณอีกครั้งแล้วกันครับ เพิ่งจะได้เข้ามาในบอร์ดนี้ได้ 2 วัน

คงได้ใช้ชีวิตในนี้ไปอีกนานคร้าบบบ :pig4:




หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaelover ที่ 10-11-2008 22:21:49
 :m15: อ่านจบแล้วก็ซึ้งในมิตรภาพ ของทั้งคู่ มากๆ ถึงแม้แนวเรื่องออกจะแหวก แนว ไปหน่อย แต่ก็ดีค่ะ ไม่ค่อยได้อ่านแนวนี้เท่าไหร่ แต่เวลาอ่านเนี่ย เผลอไปจินตนาการ เรื่องสถานที่เข้า เพราะเราเป็นคนพิจิตรอ่ะ พอบางทีอ่านไปก็ทำให้เรื่องออกจะสะดุดไปหน่อย แต่จบ แบบ happy ดี ค่ะ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: i_lost in.. ที่ 03-08-2009 12:38:05
 :impress2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: หอยทาก ที่ 05-08-2009 00:57:16
หนุกมั่กๆคร้าบบบ
เหมือนอ่านวรรณกรรมเยาวชนยังไงไม่รู้
ไม่ได้โม้นะ ชอบจริงๆ
ซึ้งกับตอนจบสุดๆ
ไงล่ะ พ่อชลาธล มีบ้านแล้วน้า ^^
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 05-01-2010 21:42:12
เป็นจินตยาการที่กว้างจริงๆ แต่ผูกได้สุดยอดเลย ตอนอานอาจสับสนนิด ๆ แต่พอทิ้งหลักบางอย่างออกไป เรื่องนี้สนุกละ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 24-10-2010 20:40:08
ทยอยอ่านนิยายที่โพสจบแล้ว
มาเจอเรื่องนี้แล้ว บอกได้คำเดียว สุดยอด o13
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: erikaajang ที่ 25-10-2010 11:21:09
ยิ่งอ่านยิ่งเครียดเลยค่ะ แต่ยังดีนะคะที่จบแบบนี้ ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องความรักอีกแง่มุม เป็นกำลังใจสำหรับเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 25-10-2010 14:26:48
เป็นเรื่องที่ประทับใจมากเลย ใจจริงอยากให้ธลกะกฤษยุด้วยกันจัง  แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: arewhy ที่ 25-10-2010 15:09:34
ขอบคุณครับ
เป็นเรื่องี่แหวกแนวมากเลย ฮ่าา า

ขอบคุณทั้งคนโพสแล้วก็คนแต่งมากๆนะครับ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 25-10-2010 17:14:48
ขอบคุณค่ะ  :L2: :L2:
ขอบคุณ คนแต่ง คนโพส และคนขุดกระทู้นี่ด้วยค่ะ
งมหาเองคงไม่เจอเรื่องดีๆแบบนี้  :pig4:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 09:22:55
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: B_O_M ที่ 27-12-2010 01:34:17
บอกได้แค่คำเดียว เรื่องนี้สุดยอดดดดดดดดดดดดมากกกกกกกกกกกกกกกกก!!
สุดยอดของสุดยอด เป็นอย่างนี้นี่เอง
คืนนี้ ผมฝันดีแล้ว

บอกได้คำเดียว(อีกครั้ง)ว่า ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 02-01-2011 04:37:21
น้ำตาไหลพรากเลยเรื่องนี้...อบอุ่น ซาบซึ้ง แล้วก้อประทับใจมาก
ขอบคุณผู้แต่งและผู้โพสต์มากๆค่ะ สำหรับหนึ่งเรื่องดีๆที่นำมาแบ่งปันกัน^^
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 06-01-2011 16:49:48
สนุกมากๆเลย
ความผูกพันธ์ระหว่าง ธล กับ กฤษ มันมากมายจริงๆ

แต่แอบตกใจเล็กๆที่ธลเป็นรับ แหะๆ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 06-01-2011 23:19:33
ขอบคุณผู้แต่ง และผู้เกี่ยวข้องทุกคน

ขอบคุณ พี่ธล และ ตากฤษ รวมทั้ง ตัวละครอื่น ๆ

เรื่องนี้ มีครบทุกอารมณ์ ความรู้สึก

มีความสุข และ ประทับใจจริง ๆ ..  :L2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 10-01-2011 00:17:20
สนุกมากๆเลยค่ะเรื่องนี้ มีครบทุกอารมณ์จริงๆ
พึ่งเคยเจอนิยายแนวนี้เป็นครั้งแรก คนแต่งจินตนาการล้ำเลิศสุดๆเลย o13
ตอนอ่านก็ลุ้นไปว่าตอนจบจะลงเอยยังไงเนี่ย เดาเรื่องยากจริงๆค่ะ
แต่แอบอึ้งนิดนึงตอนที่รู้ว่าชลาธลเป็นรับ  :o8:
ขอบคุณคุณb|ueBoYhUbด้วยนะคะ ที่เอาเรื่องราวดีๆมาแบ่งปัน  :L2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: beautyless ที่ 08-02-2011 05:51:45
เคยอ่านที่บอร์ดปาล์ม ประทับใจมาก ร้องไห้ไปก็หลายฉาก แต่ด้วยเวลามันผ่านมาหลายปีมากๆ  จนลืมตอนจบ มาได้อ่านอีกทีที่นี่ ก็เลยเลิกเศร้าเพราะจบได้แฮปปี้มากๆ เขาเกิดมาคู่กันจริงๆ ขอบคุณที่เผื่อแผ่เรื่องราวประทับใจเหล่านี้ให้คนอื่นๆ นะครับ ขอบคุณจริงๆ ผมรักพวกเขามากๆ ทุกตัวละครในนิยายนี้
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: anat14335 ที่ 22-03-2011 17:05:03
Thank you na สนุกมาก
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Mickii ที่ 06-04-2012 12:37:49
เป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่

ไม่ว่าจะเป็นยังงัยต่างฝ่ายต่างคิดถึงกันตลอด ร้องไห้ตลอดอินตามไปกับทุกตัวละคร

แต่เกินคาดเพราะไม่คิดว่าธลจะเป็นรับอ่ะ แต่ก้อชื่นชอบมาก แม้จะมาอ่านช้าไปหน่อย
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 22-04-2012 21:22:51
สนุกหม้วกกกกกกก   จินตนาการเจิร่ดมากค่ะ
ตอนจะจบแอบน้ำตาซึม  ซึ้งมาก
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 24-04-2012 08:15:40
ธลรักกฤษมาก ๆ เลยนะนั่น
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 24-04-2012 11:16:36
อ่านแล้วน้ำตาไหลเลยนะ T^T
แต่เนื้อเรื่องสนุกมากมาย
ตอนจบอ่านแล้วมีความสุข
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ นะฮ๊าฟฟฟ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: BBnuna ที่ 26-04-2012 00:08:39
ถึงจะเสียน้ำตาไปบ้างแต่เราว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เราตื้นตันใจมากเลย  ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: ♥Täsinä→l3€LL♥ ที่ 26-04-2012 14:28:22
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: อากาศใต้ผ้าห่ม ที่ 02-06-2012 03:48:49
กรี๊ดดดดดดดด เพิ่งเคยเจอนิยายแนวนี้ครั้งแรก
จินตนาการล้ำเลิศมากกกก พ่อจระเข้ของเราดันเป็นเคะสะงั้น


ขอบคุณสำหรับนิยายสนุก ๆ จ้า
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 06-06-2012 01:23:07
นึกว่าจะจบเศร้าแล้วนะคะเนี่ย แบบเป็นนิทานที่น่าติดตามมากมายอะ เราว่าเราติดยิ่งกว่าหนูธลอีกนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 07-06-2012 17:57:24
จบได้ประทับใจมากกกก  o13
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Angel_K ที่ 08-06-2012 22:48:46
ดีใจจังที่ลงเอยด้วยความสมหวังและมีความสุขกันทุกคน  :impress2:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 11-06-2012 23:15:08
ร้องไห้จริงนะ  :m15:
แต่จบแฮปปี้กว่าที่คิดไว้  แม้จะเสียน้ำตาไปเยอะแล้วก็เหอะ
ชอบหลายๆประโยคของกฤษอ่า
 :o12: :o12: :o12: พูดไม่ออกแล้ว

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 24-07-2013 19:48:47
ชอบมากเลยค่ะ
อ่านตอนแรกก็งงๆ อยู่นิดหน่อย แต่พออ่านต่อมาได้สักพักก็เริ่มเข้าใจ
ชอบตัวละครทุกตัวในเรื่องมากเลยค่ะ แต่ก็ขัดใจแค่ตัวละครเดียว คือ จิ๋ว แต่ในที่สุดเรื่องราวก็ผ่านพ้นไปได้ แม้จะมีอุปสรรค์มากมายมาขวางกั้น แต่ว่าหากหัวใจของคนทั้งสองเชื่อมใจถึงกัน เข้าใจกันและมั้นคงต่อกัน ต่อให้เป็นอุปสรรค์ของระยะเวลาก็จะสามารถผผ่านไปได้
ดีใจที่ในที่สุดเรื่องราวก็จบไปด้วยดี ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ใจ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 16-12-2013 01:32:44
สุดท้ายก็เสียน้ำตาให้กับฉากจบ มันซึ้ง ถึงจะใจหายที่ไม่ได้ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน
แต่ก็ยังอยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่า
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 07-10-2014 20:40:31
น้ำตาไหลพรากๆเลย :pig4:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 07-11-2014 19:35:23
มิตรภาพเป็นสิ่งที่มีค่ามากจริง ๆ

ขอบคุณครับสำหรับเรื่องดี ๆ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Vanillaเปรี้ยว ที่ 28-05-2015 10:59:48
เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ มีทั้งมิตรภาพและความรักที่มั่นคง ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปีก็ยังอยู่ในใจเสมอ อ่านตอนจบน้ำตาไหลเลย
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 23:19:25
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-08-2019 04:17:06
โฮรรร จบสวยงามอย่างซึ้ง น้ำตาซึมกับความรักที่มีให้ชลาธลคนครึ่งจระเข้ สนุกกกมาก ผ่านไปหลายปี เพิ่งมาเจอ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: Goplayz ที่ 16-01-2022 12:44:57
เล่นเอาน้ำตาน้ำมูกไหลกันเลยทีเดียว
บอกได้คำเดียว...แจ่มแมว..
สุ้ดคารวะเหล้าสามไห....เก่งมากๆคนเขียนเอาไปทำหนังได้เลยอะ...คารวะ
หัวข้อ: Re: [novel] นิทานชลาธล by Nat
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 22-01-2022 22:22:44
ฮือออออ ทำไมรู้สึกว่าพี่ธลน่ารักมากขนาดนี้