รับรักข้าเถิดองค์ราม
แม้นเป็นยักษ์ใจภักดิ์ไม่เสื่อมคลาย เหตุอันใดเจ้าจึงไม่สนใจพี่ มอบความรักให้เจ้าสุดชีวี เพียงเจ้านี้สุขีก็พอใจ
แม้นหากข้าต้องตายก็ขอทำลายสมุดเวทย์มนต์แห่งรามเกียรติ์นั่นก็แล้วกัน
ศรเสน่หาพิศวงจงแผลงฤทธาให้ประจักษ์แก่เทวดาทั้งหลาย
หึหึหึ
หยุดเดี๋ยวนี้นะหิรันต์ยักษ์โทษของเจ้าถึงขั้นตายสถานเดียวในสิ่งที่เจ้าทำเจ้ารู้หรือเปล่า
ข้ารู้ตัวดีพระอินทร์อย่างน้อยก่อนตายข้าก็ได้ทำลายในสิ่งที่ต้องการ555
นิยายเรื่องนี้มีการอิงตัวละครจากวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์ โดยนำมาจาก บทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเรื่องรามเกียรติ์ เนื้อหาเกิดจากจินตนาการของผู้แต่งเพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องไม่ตรงตามเนื้อหาของวรรณคดีทั้งหมดมีบางส่วนที่ตรงบ้าง
มีบทกลอนแทรกในแต่ละบทซึ่งผู้แต่งเขียนเอง
คำฝากจากพระอิศวร
เข้ามาอ่านกันเถิดเจ้าจะได้รู้ว่าพระอินทร์นี่นั่งจิกหมอนข้าจนขาด
คำฝากจากพระอินทร์
ว่าแต่ข้าท่านก็จิกเสื้อข้าจนเกือบขาด
0 หิรันต์ยักษ์ทำลายสมุดเวทย์
ณ ที่ประทับของพระอิศวร
เหตุการณ์ที่ไม่ปกติของสวรรค์ในวันนี้คือ หิรันต์ยักษ์ ผู้มีใจหยาบช้าได้เข้าไปขโมยศรเสน่หาพิศวงของพระแม่อุมาเทวี
พระอิศวรเกรงว่าอาจจะนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีจึงเรียกประชุมใหญ่เพื่อหาทางจัดการ
"ใครมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างในการจัดการกับไอ้หิรันต์ยักษ์ในครั้งนี้" เสียงพูดของจอมเทพทำเอาเทวดาที่ชุมนุมถึงกับสะดุ้ง...ความกลัวถาโถม...หากแต่มีเสียงพระอินทร์เอ่ยพอที่จะชะโลมหัวใจได้ ด้านศรเสน่าหาพิศวงนั้นฤทธานุภาพทำลายล้างสูงมากหากโดนโจมตีเข้าไปสักทีแล้วล่ะก็คงต้องกระอักเลือดกันไปข้าง
"ข้าขอเสนอตัวเองพะย่ะค่ะ รับรองว่าสามารถปราบมันได้แน่" เสียงของพระอินทร์เอ่ย ในขณะที่ไม่มีเทวดาตนไหนกล้าคัดค้านเลย ก็อย่างที่บอกในตอนแรกตัวหิรันต์ยักษ์นั้นก็เก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังจะมีศรที่มีฤทธานุภาพมากมาเสริมอีกยิ่งทำให้เป็นที่หวั่นเกรงไปใหญ่
"ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้นข้าก็วางใจรีบไปดำเนินการให้เสร็จเถิดก่อนที่จะไม่ทันการณ์"
"พะย่ะค่ะ"
เมื่อตกปากรับคำแล้วจะเสียสัตย์มิได้อันว่าตัวพระอินทร์เองนั้นรู้ว่ามิอาจจะรับมือหิรันต์ยักษ์ได้โดยง่ายคงต้องใช้วิธีการที่ชาญฉลาดเข้ารับมือจะได้ไม่เสียเปรียบจนเกินไป
ว่าแล้วก็ไม่รอรีรีบรี่ประชุมเหล่าทหารเทวดาโดยทันใด
"พวกเจ้าคงรู้ดีว่าหิรันต์ยักษ์นั้นมีฤทธิ์มากเพียงไหน แต่ถ้าเราไปกันเยอะขนาดนี้มันก็คงลำบากเช่นกัน วางแผนปิดล้อมมันอย่าให้หนีไปได้ จงรีบออกตามล่ามันก่อนที่จะทำสิ่งที่เลวร้ายหากใครเจอแล้วก็ยิงศรศักดิ์สิทธิ์ขึ้นฟ้าเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ทุกคนรับทราบว่าเจอมันแล้ว"
"พะย่ะค่ะ" เทวดาทุกตนรับทราบแล้วก็รีบออกตามหาหิรันต์ยักษ์ในทันใด
เวลาเช้าตรู่เพียงครู่เดียวก็พลันล่วงเลยไปมินานนักเมื่อยามอาทิตย์เริ่มอับแสงผ่อนแรงลงก็มิอาจพบหิรันต์ยักษ์ได้ ความสงสัยผุดขึ้นในใจของพระอินทร์หรือว่าหิรันต์ยักษ์จะไม่ได้อยู่ที่นี่หากเป็นเช่นนี้โลกมนุษย์คงต้องพบความวิบัติเป็นแน่
"ทิพากรเริ่มร่วงหล่นแล้วคงไม่แคล้วที่เราจะเจอมัน ข้าว่าเวลาแบบนี้แหละมันจะต้องโผล่หัวออกมาแน่นอน"
สิ้นเสียงกล่าวของพระอินทร์ไม่นานนักหิรันต์ยักษ์ก็ปรากฏกายให้เห็นซึ่งหน้า ทำเอาเหล่าเทวดาตื่นตระหนกตกใจไปยกใหญ่
"หึหึหึ...นี่ข้าปรากฏเลื่องชื่อลือขจรไปไกลจนถึงหูพระอินทร์เลยหรือนี่ถึงได้ออกมาไล่ล่าพร้อมกับเหล่าเทวดามากมายถึงเพียงนี้"
"เจ้ายักษ์หยาบช้าสาธารณ์คืนศรของพระแม่อุมาเทวีมาเดี๋ยวนี้...เจ้าก็รู้ดีมิใช่หรือว่าเจ้าจะต้องพบกับอะไรในเหตุที่เจ้าได้กระทำขึ้น"
"เจ้าไม่ต้องมาบอกข้าหรอกพระอินทร์ข้ารู้ตัวดี...อีกอย่างพวกเจ้าไม่ได้อยู่ในแผนการที่ข้าคิดจะทำลายเลยสักนิด"
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร...ที่เจ้าขโมยศรของพระแม่อุมาก็เพราะว่าคิดจะล้างแค้นเทวดาและทำลายโลกมนุษย์ไม่ใช่รึ"
"มีสิ่งอื่นที่ข้าคิดจะทำมากกว่านั้น"
"เอาเถอะถึงเจ้าจะทำอะไรที่ไม่ใช่ทั้งสองอย่างที่ข้าพูดถึงก็เถอะแต่ก็คงไม่พ้นเรื่องชั่วเพราะฉะนั้นตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ตรงนี้เจ้ามิอาจที่จะทำการใดๆได้ทังสิ้น"
"ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าขัดขวางข้าได้ก็ลองดู"
สิ้นเสียงหิรันต์ยักษ์เอ่ย...ก็เกิดความมืดปกคลุมทันทีแม้แต่แสงของดาราก็มิอาจสาดส่องแสงมาให้แสงสว่างแก่เหล่าเทวดาได้
เหล่าเทวดาต่างตื่นตระหนกตกใจลนลานพากันเหาะทะยานหลบอย่างสุดฤทธิ์
ความมืดปกคลุมอยู่ไม่นานนักสักพักก็หายไปพร้อมกับร่างกายของหิรันต์ยักษ์เช่นกัน
"เจ้าหิรันต์ยักษ์มันหนีไปแล้วทหารรีบตามไปมันยังคงไปได้ไม่ไกลมาก"
"พะย่ะค่ะ"
ณ โบราณสถานวิหารรามเกียรติ์
"วิหารรามเกียรติ์รึ...เหตุใดมันจึงเข้าไปในนั้น"
"อันวิหารรามเกียรติ์นั้นเข้าได้แต่เหล่าเทวดาไม่ใช่หรือพระเจ้าค่ะเหตุใดไฉนเล่าเจ้าหิรันต์ยักษ์จึงเข้าไปที่นั่นได้หรือพระเจ้าค่ะ"
"สิ่งที่เจ้าพูดมาก็ถูก...ตามปกติมันต้องถูกฆ่าตายแล้วแต่ด้วยเหตุที่มันมีศรของพระแม่อุมาเทวีทำให้มันสามารถเข้าไปที่นั่นได้...ที่นั่นเก็บสมุดเวทย์รามเกียรติ์ไว้อยู่หากมันทำลายได้แล้วล่ะก็โลกมนุษย์ต้องย่ำแย่เป็นแน่รีบตามมันเข้าไปอย่าให้มันทำลายได้"
"พะย่ะค่ะ"
ครั้นเมื่อถึงห้องเก็บสมุดเวทย์รามเกียรติ์ก็พบร่างอสุรียืนอยู่มือถือศรเตรียมเล็งเข้าหาสมุดเวทย์
"หยุดนะหิรันต์ยักษ์ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นโทษของเจ้าถึงขั้นตายคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนทำเถิด"
"เจ้าไม่ต้องบอกข้าหรอกพระอินทร์ข้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่"
"เห็นทีต้องใช้กำลังกับเจ้า"
"ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู...โอม..ศรเสน่าหาพิศวงจึงแผลงฤทธาให้ปรากฏแก่เหล่าเทวดาด้วยเถิด"
"จักรแก้วจงไปสังหารมัน"
พลันร่ายคาถาเสร็จศรก็พุ่งตรงเข้าหาสมุดเวทย์ทันทีพร้อมกับจักรแก้วที่พุ่งปรี่เข้ามาตัดเศียรหิรันต์ยักษ์ขาดสิ้นใจตายในที่สุด
ครั้นพระอินทร์หันมองไปดูสมุดเวทย์ก็ปรากฏว่ายังคงมีสภาพเดิมไม่มีรอยขีดข่วนแต่อย่างใดจึงหันไปสั่งเหล่าเทวดาให้ถอนทัพกลับไปเพื่อแจ้งแก่พระอิศวร
ณ ที่ประทับของพระอิศวร
"ว่าไงพระอินทร์คงปฏิบัติภารกิจสำเร็จสิท่าถึงกลับมาหาข้าได้"
"อันว่าภารกิจก็เสร็จอยู่ดอกแต่ว่าข้าสังหารมันไม่ทันก่อนที่มันจะใช้ศรเสน่หาพิศวงโจมตีสมุดเวทย์พะย่ะค่ะ"
"แล้วสมุดเวทย์เป็นอย่างไรเล่า"
"ข้าได้พินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วปรากฏว่าสมุดยังคงสภาพเดิมมิมีรอยฉีกขาดบุบสลายแต่อย่างใดเลยพะย่ะค่ะ"
"อืม..ช่างเป็นเรื่องแปลกเสียจริงอันว่าศรเสน่หาพิศวงก็มีฤทธานุภาพมากล้นถึงเพียงนั้นเหตุใดสมุดถึงยังคงรูปลักษณ์เดิมไว้ได้...เห็นทีคงต้องเรียกอุมาเทวีมาถามแล้ว"
สิ้นคำพูดของพระสยมภูวนาถเรืองศรี เหล่าเทวดาที่รับคำสั่งก็รีบไปตามพระแม่อุมาเทวีมาทันที
ครั้นมินานนักร่างของสตรีผู้งดงามอันมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งเป็นชายาของจอมเทพก็ปรากฏต่อหน้าเหล่าเทวดาทั้งหลาย...ก่อนจะเอ่ยถามพระสวามีที่ด้นดั้นใช้เทวดาไปตามตนมา
"ท่านพี่เรียกน้องมามีเหตุอันใดหรือเพคะ"
"อันอุมาเทวี...ศรที่หิรันต์ยักษ์ขโมยเจ้าไปหมายจะทำลายสมุดเวทย์แล้วเหตุใดสมุดจึงยังคงสภาพไว้ได้ไม่สลายไป"
"ศรเสน่หาพิศวงสามารถทำลายสมุดเวทย์ได้แต่ที่หิรันต์ยักษ์ขโมยไปนั้นคือศรเสน่หาพิศวาสที่มีฤทธาในการเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆเพคะ"
"ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่ารามเกียรติ์จะเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ"
"เพคะ"
"แล้วจะเปลี่ยนไปอย่างไรเล่าเจ้าจงคลายความสงสัยพี่ด้วยเถิด"
"อันว่าศรเสน่หาพิศวาสนั้นน้องก็มิอาจจะล่วงรู้ได้ถึงพลังที่แท้จริงของมันจะรู้ก็เพียงแต่ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเพคะ"
"แล้วมีวิธีแก้ไหมเล่า"
"ไม่มีหรอกเพคะก็คงดำเนินตามที่พลังของศรกำหนด"
"ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับไปพักผ่อนเถิดเดี๋ยวพี่จะปรึกษาหารือกับพระอินทร์เสียหน่อย"
"เพคะ"
ภายหลังพระแม่อุมาเทวีกลับไปองค์อิศวรกับพระอินทร์ก็ซักไซ้ไต่ถามซึ่งกันเเละกัน
"พระอินทร์หากเรื่องเปลี่ยนแปลงอย่างที่อุมาเทวีว่าจริงๆ เจ้าคิดว่าจะส่งผลกระทบอย่างไร"
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันท่านเราคงต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน"
อันพระอิศวรกับพระอินทร์นั้นหากอยู่ต่อหน้าเหล่าเทวดาก็จะพูดคุยกันในภาษาที่เป็นระดับของชั้นเทพแต่หากอยู่ด้วยกันโดยไม่มีหมู่เทวดาอยู่ด้วยก็จะใช้ศัพท์ที่ไม่เป็นทางการเท่าไหร่
"บัดนี้เรื่องราวรามเกียรติ์ดำเนินไปถึงไหนแล้วเจ้ารู้หรือไม่"
เมื่อนั้น พระสยมภูวญาณเรืองศรี
เอื้อนเอ่ยถ้อยคำวจี พระอินทร์นี้ก็รับฟังไป
แล้วพินิจพิจารณา ใช้ดวงตามองดูเบื้องใต้
ภาพก็ปรากฏในทันใด จึงได้เอื้อนเอ่ยตอบมา
"ข้าได้ใช้สายตาแลลงไปด้านล่างแล้วเนื้อเรื่องยังคงอยู่ที่กรุงอโยธยาพระรามยังคงมิได้นางสีดามาเป็นชายาพะย่ะค่ะ"
พระอิศวรรับฟังคำกล่าวของพระอินทร์พลางพยักหน้ารับทราบไปด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงเข้าฌานเพื่อดูเรื่องราวต่อไป
"อืม..จากภาพที่ข้าเห็นก็คงอีกไม่นานนักความรักของทั้งสองคงจะเกิดเพราะพระวสิษฐ์สวามิตรฤาษีกำลังเดินทางมากรุงอโยธยาเพื่อแจ้งข่าวแก่พระรามเป็นแน่"
"ถ้าอย่างนั้นเราก็คงจะทราบอีกไม่นานแล้วว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร"
"เดี๋ยวก่อนพระอินทร์บุคคลผู้นี้คือใคร"
"คนไหนหรือพะย่ะค่ะ"
"จะมีคนไหนเล่าก็คนที่ยืนคุยกับพระลักษมณ์อยู่นี่ไง"
"นั่นพระรามเองพะย่ะค่ะ"
"นี่เจ้าหลอกข้ารึ...จะเป็นพระรามไปได้ยังไงอันพระรามใครๆก็รู้ว่ามีกายสกนธ์สีเขียวแล้วเป็นบุรุษแต่นี่ผิวกายก็สีขาวแถมยังเป็นสตรีอีกเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพระราม"
"ทีแรกข้าก็คิดเหมือนท่านแต่พอข้าได้ยินพระพรต พระลักษมณ์ พระสัตรุดแล้วนั้น ปรากฏว่าคนที่ท่านเอ่ยถึงนั้น คือพระรามและเป็นบุรุษมิใช่สตรีแต่อย่างใด"
"นี่มันอะไรกัน! แม้แต่ตัวละครก็เปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนั้นเชียวรึ...คงต้องดูฝั่งทศกัณฐ์แล้วล่ะ"
ครั้นพระอิศวรเพ่งดูกรุงลงกาก็ปรากฏร่างมนุษย์ที่มีเขี้ยวของยักษ์อยู่รูปงามเป็นยิ่งนักไม่มีใครคิดว่าจะเป็นทศพักตร์เจ้าลงกาเป็นแน่
"ถ้าข้าเดาไม่ผิดนี่คงเป็นทศกัณฐ์สินะพระอินทร์"
"เป็นอย่างที่ท่านว่าพะย่ะค่ะ"
"ให้ตายสิแล้วเหตุใดไฉนเล่าถึงไม่
มีนางมณโฑอยู่เคียงคู่"
"คงเป็นเพราะพลังของศรเสน่หาพิศวาสพะย่ะค่ะ"
"อันเนื้อเรื่องและตัวละครที่เปลี่ยนไปเยอะถึงขนาดนี้ข้าเกรงว่าอาจจะเพิ่มความวุ่นวายให้แก่พวกเราเป็นแน่"
"อย่าพึ่งอาดูรใจไปเลยพะย่ะค่ะอาจจะไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้"
"ก็ขอให้เป็นดังเจ้าว่ามิเช่นนั้นคงเดือดร้อนไปทั่วสวรรค์ชั้นอัมพร"
"แล้วเราจะเอาอย่างไรกันต่อเล่าท่าน"
"ก็คงต้องรอดูไปคร่าวๆก่อนตอนนี้ยังคงตัดสินใจทำอะไรไม่ได้"
"ถ้าอย่างนั้นขอพระองค์พักผ่อนกายาก่อนเถิดพะย่ะค่ะไว้รุ่งอรุณเราค่อยมาพบกันใหม่"
"ข้าเห็นด้วยงั้นแยกย้ายกันก่อนวันนี้"
"พะย่ะค่ะ"
ครั้นสิ้นเสียงคำเอ่ยพระอิศวร พระอินทร์ก็เหาะทะยานสู่พื้นคัดนานต์เพื่อกลับไปยังที่ประทับของตน
ต่อไปนี้จะเล่าถึงการเกิดของนางสีดาในส่วนของเนื้อเรื่องหลักนั้นนางสีดาเป็นลูก
ของนางมณโฑกับพญาทศกัณฐ์เนื่องด้วยเกิดมาร้องว่า ผลาญยักษ์ ทำให้พิเภกทำนายว่านางนั้นเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง ทำให้พญาทศกัณฐ์และนางมณโฑจำใจต้องทิ้งนางสีดาโดยให้พิเภกจัดการโดยนำใส่ผอบทองไปลอยน้ำ
ครั้นผอบทองลอยน้ำไปถึงอาศรมของฤๅษีชนกผู้ครองกรุงมิถิลา เปิดดูพบเด็กทารกหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูภายใน ทว่าฤๅษีชนกนั้นในขณะนั้นครองเพศฤๅษีอยู่ ไม่สะดวกจะเลี้ยงนางสีดา จึงได้นำผอบทองฝังดิน พร้อมขอให้พระแม่ธรณีช่วยดูแลรักษานางด้วย
16 ปีต่อมา ฤๅษีชนกตั้งใจนิวัตินครเพื่อครองกรุงมิถิลาตามเดิม จึงได้ทำพิธีไถคราดดินหาผอบทองที่พระองค์ฝังดินไว้ คันไถไปติดผอบเข้า เหล่าทหารจึงได้ขุดขึ้นมา เมื่อเปิดออกก็พบหญิงสาวรูปร่างหน้าตาสละสลวยโสภาอย่างที่หาที่เปรียบเปรยไม่ได้ สวยงามที่สุดและงดงามยิ่งกว่านางใดในโลกนี้ ทั้งจริตกิริยาก็เรียบร้อยน่าชม ฤๅษีชนกจึงได้รับนางเป็นพระธิดาแห่งกรุงมิถิลา พร้อมประทานนามให้นางว่า สีดา ที่แปลว่า "รอยไถ
แต่ในส่วนของเนื้อเรื่องที่ถูกศรเสน่หาพิศวาสเปลี่ยนแปลงนั้น
นางสีดาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพญาทศกัณฐ์และนางมณโฑแต่อย่างใดเพราะเหตุที่ว่า
นางมณโฑไม่ได้ลงไปครองคู่กับพญาทศกัณฐ์
อันนางสีดานั้นเกิดจากฤาษีชนกที่ตอนเป็นกษัตริย์บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อยดีมวลมหาประชาชนอยู่อย่างมีความสุขพระองค์จึงมีความเบื่อหน่ายแล้วคิดอยากจะออกบวชเมื่อออกบวชจนมีวิชาแก่กล้าแล้วพระองค์จึงทำพิธีสร้างนางสีดาขึ้นมาเป็นบุตรของตนเองด้วยเหตุที่ว่าฤาษีชนกไม่มีบุตร หากจะกล่าวถึงความสวยงามของนางสีดาแล้วนั้นเรียกได้ว่าคงไม่มีใครเทียบแต่ด้วยฤทธิ์ของศรเสน่หาพิศวาสความงามของนางสีดาเทียบเท่าพระรามจึงเป็นศูนย์เรียกได้ว่าไม่มีใครงดงามเท่าเลยทีเดียวแม้ตัวจะเป็นบุรุษก็ตาม
จบการกำเนิดนางสีดาเพียงเท่านี้
ณ กรุงมิถิลา
ณ ห้องโถงใหญ่กลางพระราชวังมีบุคคลนั่งชุมนุมกันอยู่มากมายที่หัวโต๊ะมีประธานในการชุมนุมเป็นผู้ที่มีอำนาจดูมียศมีบารมีสูงส่งเขาผู้นั้นก็คือ ท้าวชนก
"อันสีดาธิดาของเรานั้นก็มีอายุครบ 16 พรรษาแล้วในตอนนี้ข้าจึงอยากที่จะสอบถามพวกเจ้าว่าควรที่จะถึงเวลาที่จะต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าชายหรือยัง"
"ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าควรแก่เวลาแล้วพะย่ะค่ะ"
"ข้าพระพุทธเจ้าก็มีความเห็นเช่นเดียวกันพะย่ะค่ะ"
ครั้นถามโหรหลวงและเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันท้าวชนกจึงมีความเห็นว่าจะให้นางสีดาอภิเษกสมรสโดยผู้ที่จะมาอภิเษกสมรสนั้นจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขให้สำเร็จจึงจะอภิเษกสมรสได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงประกาศให้ทหารทุกคนฟังถึงความประสงค์
"ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจงประกาศออกไปให้ทั่วดินแดนแว่นแคว้นทั้งหลายหากชายใดที่สามารถยกคันธนูโมลีได้ผู้นั้นจะได้อภิเษกสมรสกับสีดาธิดาของข้า"
"พะย่ะค่ะ"
เมื่อรับทราบพระประสงค์เช่นนั้นแล้วเหล่าทหารก็รีบออกไปประกาศทั่วถิ่นแคว้นแดนดินทั้งหลาย
ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกด้วยนะครับ ในส่วนของบทกลอนในบทผู้แต่งเขียนเองมิได้คัดลอกจากใครมา
พระอิศวร: ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยใครอ่านข้าจะให้พร
พระอินทร์:ถึงข้าจะปรากฏในตอนนี้เยอะก็อย่าพึ่งเบื่อกัน คราวหน้าคงไม่ปรากฏบ่อยแล้วขอข้ามีซีนหน่อยนะบทนี้