บทที่สอง ครอบครัว(ครึ่งแรก)
“ลองมานอนกับกูดูก่อนไหมล่ะ แล้วก็จะพิจารณาดูอีกที”
“อะ”
เฮ้อออ พอนึกไปถึงตอนนั้นทีไรก็อยากจะตบหัวตัวเองสักหลายๆที แทนที่จะเลือกวิธีอื่น แต่คิดไปคิดมา ไม่ว่าจะเข้าหาด้วยวิธีแบบไหนคนอย่างพี่จอมทัพก็ไม่ได้สนใจอยู่ดีแต่ก็เพราะหลังเหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนกันที่ทำให้ผมได้เข้าใกล้พี่เขาได้อีกขั้นหนึ่ง
ครืดดด ครืดดดด
ผมที่กำลังจะเคลิ้มหลับต้องสะดุ้งขึ้นมาเพราะแรงสั่นจากมือถือตรงหัวเตียง
“หืม”
‘พ่อ’
ทำไมโทรมาดึกขนาดนี้
“ครับพ่อ โทรมาซะดึกเลย” ผมรับสายด้วยเสียงติดจะงัวเงีย
“แจ็คลูก คือตอนนี้แม่อยู่โรงพยาบาลนะ” พ่อพูดด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“อะไรนะครับพ่อ แม่เป็นอะไรครับ” จากประโยคที่พ่อบอกบวกกับน้ำเสียงพ่อมันทำให้ผมตื่นเต็มตาทันที
“หมอบอกว่าแม่แกเครียดลงกระเพาะน่ะ ก่อนมาอ้วกเป็นเลือดพ่อไปเจอพอดีเลยรีบพามาหาหมอ”
“แล้วตอนนี้แม่เป็นยังไงบ้างครับ ดีขึ้นหรือยัง”
“ตอนนี้หมอก็ให้นอนดูอาการน่ะ ให้ยาคลายเครียดไป แกก็ไม่ต้องเป็นห่วงมาก พ่อแค่โทรมาบอกเฉยๆ”
“พ่อครับทำไมแม่เครียดถึงขนาดนั้นล่ะ ปกติไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้นี่ครับ” ผมถามพ่อไปพยายามตั้งสติเพราะตั้งแต่จำความได้แม่ไม่เคยไม่สบายถึงขั้นนอนโรงพยาบาลสักครั้ง
“เห้อ พ่อก็ไม่อยากจะเล่าเดี๋ยวแกจะเครียดไปอีกคน เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลังละกัน”
“พ่อครับผมอยากรับรู้ปัญหาของครอบครัวเรานะครับถึงผมจะช่วยไม่ได้มากแต่อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้รู้นะครับพ่อ”
“เอาเป็นว่าวันหลังละกันนะ ตอนนี้แกก็ทำใจให้สบายอย่างเครียด รีบนอนได้แล้ว”
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะรีบไปแต่เช้านะครับ” ผมรีบพูดก่อนที่พ่อจะวางสาย
“แกไม่ต้องมาหรอกมีเรียนไม่ใช่หรอ ตั้งใจเรียนไป เดี๋ยวพ่อจะส่งข่าวแกเอง” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น
“แต่พ่อครับ”
“ไม่มีแต่ ตั้งใจเรียนไป ถ้ายังไงพ่อจะโทรบอกเอง ”
“ก็ได้ครับ” ผมจำใจต้องรับคำพ่อ ถึงแม้ว่าส่วนมากพ่อจะเป็นคนคอยพูดนั่นนี่กับแม่เพื่อให้ผมได้ทำสิ่งนั้นๆ แต่เวลาพ่อบอกว่าไม่ ผมก็ต้องเชื่อฟังทันที ถึงพ่อจะใจดีแต่เมื่อใดที่พ่อบอกว่าไม่ผมต้องเชื่อฟัง
08.00
“เฮ้ย แจ็คทำไมสภาพงั้นวะไม่ได้นอนหรอ” เอ็มที่เดินเข้าคลาสเรียนมาแล้วทักเมื่อเห็นสภาพผมที่หาว ตาพร้อมจะปิดตลอดเวลา
“อืม นอนไม่หลับน่ะ เมื่อคืนที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย” พูดเสร็จผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพราะมีเสียงเรียกเข้า เป็นสายของแม่
“ครับแม่ เป็นยังไงบ้างครับผมเป็นห่วงมากเลย” ผมรีบรัวถามด้วยความเป็นห่วง
“ใจเย็นๆนะลูก ฮ่าๆๆ แม่ไม่เป็นไรแล้ว พ่อเราน่ะตื่นตระหนกเกินไป คุณก็ผมเป็นห่วงคุณมากไง”เสียงพ่อแทรกเข้ามาในสาย
“แม่ครับ ผมเป็นห่วงแม่นะ แม่มีเรื่องไม่สบายใจห้ามเก็บไว้คนเดียวนะครับ ยังมีพ่อ ยาย แล้วก็ผมที่คอยรับฟังตลอดนะครับ” ผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“โถ่ลูก อย่าทำเสียงอย่างนั้นสิ แม่ไม่เป็นไรแล้ว สัญญาจะไม่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงอีกนะ”แม่ตอบกลับมาด้วยเสียงสดใสปกติ
“ครับ ผมก็จะตั้งใจเรียน จะรีบจบไปเป็นหมอเพื่อดูแลทุกคนนะครับ” พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“ลูกแม่เก่งอยู่แล้วล่ะ แม่มั่นใจว่าลูกแม่จะต้องเป็นหมอที่ดีแน่ๆ”
“ครับแม่ งั้นแค่นี้ก่อนนะครับอาจารย์จะเข้าแล้ว รักนะครับ”
“จ้า รักลูกนะ ตั้งใจเรียนครับ”
“แม่ไม่สบายหรอวะ” หลังจากกดวางสายเอ็มก็ถามขึ้นทันที สีหน้ากังวลชัดเจน
“อืม แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว รอหมอเข้าตรวจช่วงบ่ายว่าจะให้กลับบ้านได้รึเปล่า”
“ที่มึงนอนไม่หลับเพราะเรื่องนี้สินะ ”
“อืม แต่ตอนนี้กูสบายใจขึ้นแล้วแหละ น้ำเสียงแม่ดูสดใสปกติแล้ว มึงก็ไม่ต้องกังวลล่ะ”
“เออๆ ดีแล้ว แต่ถ้ามีไรมึงต้องรีบบอกกูนะเว้ย เราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน”เอ็มบีบไหล่ให้กำลังใจผม
“อืม ตั้งใจเรียนเถอะ อาจารย์เข้าห้องแล้ว”
หลังจากที่เรียนเสร็จเราก็มาทานอาหารเที่ยงที่โรงอาหารคณะกัน ด้วยสภาพซอมบี้เหมือนเดิมโดยเฉพาะผมที่เมื่อคืนนอนไปไม่ถึงสองชั่วโมง
“ไหวไหมวะมึง กินข้าวเสร็จไปแอบงีบที่หอสมุดไหม” เอ็มเดินเข้ามาโอบเอวประคองผมไว้ คงกลัวผมล้มไปเนื่องจากออกจากห้องผมเซไปรอบหนึ่งแล้ว
“ก็ดีเหมือนกันว่ะ นี่ง่วงจนไม่หิวอะไรเลย” ผมตอบมันแล้วพยายามลืมตา จริงๆการอดนอนไม่ได้ทำให้ผมแย่ขนาดนี้หรอกครับ แต่เพราะวิชาที่พึ่งเรียนไปสูบพลังพวกเราในคลาสกันไปหมดนั่นแหละ ผมเลยอาการหนัก
“เอาน่ากินสักหน่อย เอาอะไรร้อนๆไหม ก๋วยเตี๋ยวคนไม่เยอะพอดี” เดินมาถึงโต๊ะว่างเอ็มก็รีบจัดการจะไปซื้อข้าวมาให้ทันที ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ
“อืมได้หมดแหละ ขอบใจเว้ย” ว่าแล้วผมก็ฟุบหน้ารอกับโต๊ะ
“อ้าว น้องแจ็ครึเปล่าเนี่ย ทำไมสภาพเป็นอย่างนี้หล่ะ”ขณะที่กำลังจะหลับก็มีเสียงอันคุ้นเคยพร้อมกับสัมผัสหนักๆ ตบลงบนหลัง
“หืม อ้าวพี่วิช หวัดดีครับ มาทานข้าวนี่หรอครับ” เงยหน้าขึ้นก็รีบยกมือไหว้ทันที พี่วิชเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของพี่จอมทัพ ซึ่งในกลุ่มก็มีพี่แกนี่แหละที่ช่วยส่งข่าวของพี่จอมทัพให้กับผม แต่อย่าไปบอกใครนะครับถ้าเรื่องถึงหูพี่จอมทัพเมื่อไหร่ผมสองคนเละแน่
“มากินข้าวกับสาวว่ะ” พี่แกตอบ
“แหม่พี่วันนี้แพทย์หรือพยาบาลล่ะ วันก่อนยังเห็นเป็นสาวถาปัตย์อยู่เลยไม่ใช่หรอ” ผมแซว แต่สายตากลับไม่ได้โฟกัสอยู่ที่ที่วิช
“ทำมาแซวกูนะมึงไอ้น้อง กำลังพูดกับกูอยู่นะครับ สายตามึงน่ะมองหาใครเอ่ย” พี่วิชพูดพร้อมจับล็อคหน้าผมให้หันไปทางพี่แก
“แหะๆ ก็นั่นแหละครับ”
“ก็เหมือนเดิมแหละมึงน่าจะเดาได้ ”
“อ่า ผมก็หวังว่าจะได้เห็นหน้าสักแวบก็ยังดี” พูดด้วยเสียงสลดทำเอารุ่นพี่เลิ่กลักทำหน้าไม่ถูก ด้วยไม่ค่อยจะเห็นรุ่นน้องคนนี้ทำหน้าทำเสียงแบบนี้สักเท่าไหร่(ปกติถึงแม้จะทำก็ยังเป็นการแกล้งๆเล่นให้เพื่อนเขาสนใจบ้างน่ะนะ)
“เฮ้ยๆ แต่มันไปเพราะเรื่องงานด้วยนะเว้ย ถ้าไม่มีเรื่องงานมันไม่ไปหรอกเชื่อกู”ละล่ำละลักบอกพร้อมกอดคอจนหน้าผมจะแนบกับรักแร้พี่มันอยู่แล้ว
“ฮ่าๆ พี่ปล่อยผมก่อนจากจะตายเพราะนอนไม่พอกลายจะตายเพราะหายใจไม่ออกเนี่ย” ผมรีบดึงแขนที่ไม่ต่างจากคีมเหล็กออก (พวกพี่มันกินข้าวกับอะไรวะแรงเยอะ ตัวแข็งกันชิบหาย)
“อ้าว ไอ้น้องนี่กูอุตส่าห์กลัวมึงเสียใจเห็นทำหน้าหงอย”พี่มันผลักผมหัวทิ่มเลยครับ
“ผมแค่ง่วงน่ะ พี่ เรื่องแบบนั้นของพี่ทัพน่ะ ผมชินแล้วครับ”
“เออๆ ไม่ไหวก็เลิกตามมันเถอะไอ้ทัพน่ะ มันไม่คู่ควรกับมึงสักนิด”
“อ้าว นั่นเพื่อนพี่ไม่ใช่หรอ ฮ่าๆ ”
“ก็เพราะเป็นเพื่อนนี่แหละถึงรู้ไส้รู้พุงกัน กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย มึงก็ถือว่าเป็นน้องรักของกู”พี่วิชพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขอบคุณครับ แต่ผมยังคิดว่าผมยังไหวนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ สู้ๆ ละกันถึงกูจะบอกว่ามันไม่คู่ควรกับมึงแต่กูก็อยากให้มีคนดีๆ ที่เอามันอยู่สักที” พี่แกตบบ่าให้กำลังใจด้วยแรงที่ไม่เบานัก คาดว่าถ้าผมไม่ทันตั้งตัวคงมีทรุดบ้างแหละ “งั้นกูไปหาสาวละ มึงก็กินข้าวเยอะๆล่ะ หน้าซีดเชียว จะเป็นหมอน่ะต้องห้ามไม่สบายนะเว้ย”พูดจบก็รีบวิ่งออกไปทันที มองตามไปก็เห็นว่าดาวคณะพยาบาลยืนโบกมือเรียกอยู่ตรงทางเข้าโรงอาหาร เล่นของดีอีกแล้วนะพี่
“อ้าว พี่วิชมันไปแล้วหรอวะ กะว่าจะให้เลี้ยงขนมสักหน่อย”หันกลับมาก็เห็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวชะเง้อคอมองตามพี่วิช
“มึงนี่ก็นะเห็นพี่มันเป็นไม่ได้เลยต้องไถเงินตลอด ทีกับกูทำไมชอบแย่งจ่ายวะ”ผมส่ายหัวไม่เข้าใจ
“เอ้า ก็พี่มันรวยนี่หว่า ส่วนมึงน่ะนะ เป็นน้องขนมตัวเล็กๆ ของกูกูก็ต้องเลี้ยงถูกแล้ว” ตรรกกะอะไรของมันวะ
“เฮ้อ แล้วแต่มึงเถอะ รีบกินกันดีกว่าง่วงไม่ไหวแล้ว”ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีเราก็ทานกันเสร็จ แล้วรีบไปที่ห้องสมุดทันที
“เลือกมุมเดิมนะมึง เดี๋ยวกูไปคืนหนังสือที่ยืมมาก่อน” มาถึงบอกผมเสร็จ เอ็มก็ตรงดิ่งไปทางเคาท์เตอร์ทันที
“ขอให้ไม่มีคนด้วยเถอะ ง่วงมากกกก” พึมพำกับตัวเองขณะที่สองเท้าก็รีบก้าวไปยังมุมประจำที่ชอบมาอ่านหนังสือและแอบหลับในวันไหนที่มีสอนพิเศษแล้วกลับดึก
“พี่ทัพคะ ตรงนี้จะดีหรอ”
กำลังจะก้าวพ้นชั้นหนังสือที่บังมุมประจำไว้ก็ได้ยินเสียงที่ทำให้ผมต้องชะงักเท้าเอาไว้
“หึ อย่าถามเลยถ้าเบียดเข้าหาขนาดนี้แล้ว” และเสียงต่อมาทำให้ผมยิ่งยืนตัวเกร็ง หัวใจเต้นกระหน่ำ ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นคนคนนั้นเลย
บทที่สอง ครอบครัว(ครึ่งหลัง)
[/i][/b]
“พี่ทัพคะ ตรงนี้จะดีหรอ”
กำลังจะก้าวพ้นชั้นหนังสือที่บังมุมประจำไว้ก็ได้ยินเสียงที่ทำให้ผมต้องชะงักเท้าเอาไว้
“หึ อย่าถามเลยถ้าเบียดเข้าหาขนาดนี้แล้ว” และเสียงต่อมาทำให้ผมยิ่งยืนตัวเกร็ง หัวใจเต้นกระหน่ำ ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นคนคนนั้นเลย
“งือ พี่ทัพก็”
ขณะที่ยืนฟังบทสนทนาความคิดก็ตีกันในหัวว่าจะเอาอย่างไรดีจะเดินเข้าไปหรือออกไปหามุมอื่น เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนในบทสนทนานั้นคือคนที่ตัวเองคอยตามจีบมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าตัวเองควรจะถอยออกไปดีกว่าก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเพื่อนสุดที่รักมาได้ถูกจังหวะเหลือเกินแถมยังเรียกชื่อผมซะเสียงดัง
“อ้าวไอ้แจ็คยืนทำอะไรอยู่วะทำไมไม่เข้าไปหรือว่ามีคนจองแล้ว”
“เชี่ย เบาๆ สิวะ” กำลังจะรีบลากแขนเพื่อนออกมาหางตาก็เห็นผู้ชายร่างสูงคุ้นตาเดินออกมาจากมุมโปรดของพวกผม
“อ้าวพี่ทัพนี่ พี่มะ เอ่อ”ไอ้เอ็มที่กำลังจะทักทายพี่ทัพถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นว่านอกจากคนตัวสูงแล้วยังมีรุ่นพี่สาวสวยเดินตามออกมา มือก็จัดกระดุมเสื้อ ดึงกระโปรงที่ต่อให้ดึงยังไงก็ไม่มีทางจะยาวได้อีกแล้ว อยู่
“เอ่อ หวัดดีพี่มาทำอะไรครับ” ผมที่สติยังไม่กลับเข้าร่างดีก็ทักออกไปและตามด้วยคำถามที่เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าไม่ได้ผ่านสมองออกไป
“หึ ” พี่มันร้องหึในลำคอมองมาทางผมด้วยสายตาว่าคิดรึยังที่ถามแบบนี้
“โถ่ เพื่อน พี่เขาก็มาอ่านหนังสือสิวะ เรารีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวรบกวนพี่เขากว่านี้”
“เดี๋ยว” เอ็มกอดคอกำลังจะลากผมไปมุมอื่นก็มีเสียงทุ้มเรียกเอาไว้
“ครับ ?” ผม/เอ็ม
“ฉันจะไปแล้วพวกนายจะเข้าไปก็ได้” เหมือนจะพูดกับพวกผมแต่สายตามองมาที่ผมคนเดียวนิ่ง เหอะ จะให้เข้าไปในที่ที่พี่มันพึ่งจิ๊จ๊ะกับสาวมาสดๆร้อนๆ เนี่ยนะ ผมคิดแล้วก็เผลอมุ่ยหน้าไม่รู้ตัว
“เหมือนจะมีคนไม่พอใจนะ” พูดด้วยเสียงยียวน
“ใครไม่พอใจหรอ ไม่มี๊!!!” ผมรีบพูด
“ไอ้แจ็คมึงน่ะอย่าร้อนตัวสิ” เอ็มก้มมากระซิบให้ได้ยินกันสองคน
“หรอ ที่ทำหน้าเมื่อกี้ก็คือปกติสินะ” ฮึ่ม ถ้าไม่ติดว่าชอบตามจีบอยู่นี่มีวางมวยกันสักยกอ่ะบอกเลย กวนนักคำพูดไม่เท่าไหร่แต่ไอ้สายตาน่ะ ฮึ่ย
“พี่ทัพคะ เราไปกันเถอะค่ะ นี่ก็จะได้เวลาพี่เข้าเรียนแล้วนะคะ ” พูดไปพี่สาวก็ควงแขนเบียดเข้าหาพี่มันจนอะไรๆ ก็แทบจะแนบกันไปหมด พี่มันหันไปมองหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวแวปหนึ่งแล้วหันกลับมามองหน้าผมเหมือนเดิม จากนั้นก็เดินควงกันออกไปไม่ลากันสักคำ เฮ้ออออ
“เชี่ย ทำไมกูรู้สึกหมั่นไส้พี่มันขึ้นทุกวันวะ ” เมื่อคนทั้งคู่เดินออกไปจนพ้นสายตาเอ็มก็เริ่มเริ่มบ่นทันที
“มึงหมั่นไส้หรืออิจฉาเอาดีๆ ” ผมเอาไหล่กระแทกแหย่มัน
“มันก็ทั้งสองนั่นแหละ กูก็หล่อเหอะทำไมสาวๆเขาไม่ตาม ไม่เข้าหากูเหมือนพี่มันบ้างวะ”ว่าแล้วก็เดินไปกระแทกตัวนั่งลงเก้าอี้ประจำ
“ก็ที่เขาไม่เข้ามาเพราะมึงมาทำตัวติดกับกูไง ป่านนี้เขาคงคิดกันไปทั่วแล้วมั้งว่ามึงอ่ะเมียกู”
“มึงพูดแบบไม่ได้ผ่านการคัดกรองจากสมองอีกแล้วใช่ไหมไอ้แจ็ค ถ้าคนอย่างมึงเป็นผัวกู โลกนี้ใครก็เป็นผัวได้ทุกคนละ”
“เอ้า กูออกจะมาดแมน ถ้ากูจีบพี่ทัพติดแล้วมึงจะไม่กล้าดูถูกกูอีกเลย ” ผมยืดอกภาคภูมิใจในความโซหลัวของตัวเอง
“ถามจริง ที่มึงจีบพี่มันนี่มึงคิดว่าจีบติดแล้วสถานะมึงนี่คือผัวหรอวะ ” แล้วทำไมมึงต้องหน้าเบื่อหน่ายน้ำเสียงสิ้นหวังขนาดนั้นด้วยวะ
“มึงรอดูก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่ากูโฆษณาตัวเองเกินจริง” ผมตัดบทเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงนิทรา
ครืดดดดด ครืดดดดดด
“หืมกำลังจะเคลิ้มเลย ใครโทรมาวะ” พูดจบก็ควานหามือถือในกระเป๋าเป้ออกมา
‘หมายเลขที่ไม่รู้จัก’
“อ้าวไม่นอนอ่ะ เหลือเวลาแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนะ” ไอ้เอ็มที่เดินไปเอาหนังสือมาเพื่อหนุนนอนเห็นผมนั่งจับโทรศัพท์อยู่ก็ทักขึ้น
“คนโทรมาว่ะ เบอร์แปลก”
“ลูกค้าที่มาติวกับมึงหรอเปล่า รับเถอะ”
“อืม สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ คุณใช่ญาติของนางบัวตองกับนายนพดลหรือเปล่าครับ” เสียงไม่คุ้นหูดังมาจากทางปลายสาย
“อ่า ครับผมเป็นลูกครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถมกลับ ในใจคือมีลางสังหรณ์แปลกๆ ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่าง
ประหลาด
“งั้น ทำใจดีๆ นะครับ พ่อและแม่ของคุณประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล xyz ครับ”
"อะไรนะครับ!!!!!" ไม่จริงใช่ไหม
“ครับ ทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้ขอให้ญาติรีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลนะครับ” ทันทีที่ได้ยินว่าพ่อและแม่ของผมประสบอุบัติเหตุ หูของผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว รู้สึกเหมือนทั้งโลกของผมกำลังถล่ม ชาไปทั้งตัวแม้แต่หัวใจยังไม่ได้รู้สึกว่ามันเต้นอยู่เลยในเวลานี้
“แจ็ค เป็นไรวะ เฮ้ย มึงร้องไห้ทำไม แจ็ค”เอ็มที่สะดุ้งตกใจเสียงตะโกนของเพื่อนก่อนหน้านี้ กำลังทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ดีๆ เพื่อนก็นั่งนิ่งตัวแข็ง ปล่อยมือถือหล่นลงโดนไม่สนใจ ที่สำคัญน้ำตาของเพื่อนเขากำลังไหล
“แจ็คเป็นไรวะ มึงตั้งสติหน่อย แล้วบอกกู” พยายามเรียกสติของเพื่อนดึงหน้ามาให้มองที่เขา เมื่อเห็นว่าจะไม่ทันการณ์ก็หยิบโทรศัพท์ของเพื่อนขึ้นมาแล้วโทรกลับเบอร์ล่าสุด ได้ความว่าพ่อและแม่ของเพื่อนสนิทนั้นประสบอุบัติเหตุตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล
“มึง ตั้งสติใจเย็นๆ เดี๋ยวกูจะพามึงไปหาพ่อกับแม่เอง เข้าใจที่กูพูดไหม” เขย่าเพื่อนเพื่อเรียกสติอีกครั้ง แจ็คที่ตอนนี้นั่งน้ำตาไหล ตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก ในสมองตอนนี้มีเพียงแค่ว่าต้องไปหาพ่อกับแม่
“พ่อ แม่ ต้องไปหาพ่อกับแม่ เอ็มกู ต้องไปแล้ว” เอ็มที่กำลังเก็บของหันมาคว้าแขนเพื่อนไว้แทบไม่ทันอยู่ดีๆ ก็ทำท่าจะเดินออกไปไม่รอเขา ด้วยสติที่ไม่รู้ว่าเหลือถึง 20 % หรือเปล่า
“เฮ้ย ๆ รอเดี๋ยวเก็บของแล้วกูจะพาไป ” มือหนึ่งดึงแขนเพื่อนอีกมือหนึ่งก็ยกกระเป๋าขึ้นสะพาย
“ไปมึง” พูดจบก็กอดเอวประคองเพื่อนให้เดินตาม สภาพมันตอนนี้ เดินเองจะถึง 10 ก้าวรึเปล่าเถอะ สมาชิกที่นั่งอยู่ในหอสมุดตอนนี้ต่างมองเพื่อนสนิทที่ประคองกันออกไป ตนหนึ่งน้ำตาไหลนองหน้า อีกคนก็หน้าเศร้า พยายามพูดดึงสติเพื่อนอยู่ตลอด ออกจากหอสมุดมาได้ก็พาเพื่อนเดินลัดเลาะไปเพื่อให้ถึงรถเร็วที่สุด ที่ลานจอดมีสายคาคมดุคู่หนึ่งที่มองตามทั้งคู่ซึ่งสายตาเอาแต่โฟกัสคนที่มีน้ำตาเต็มใบหน้า เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรตอนเห็นภาพนั้น รู้ตัวอีกทีก็ขับรถตามทั้งคู่ออกมาจากหมาลัยแล้ว