= 4 =
เรื่องที่ทำให้เจ็บปวดอีกครั้ง
หลังจากวันนั้นแทนไทก็ไม่แยแสลูกพลับอีกเลย
เพราะเขาเกลียดความรู้สึกของตัวเองที่มองเด็กคนนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากเคยเกลียดตุ๊ดกลับเป็นรู้สึกเฉย ๆ ออกจะชอบสัมผัสตัวด้วยซ้ำ เขาพยายามทำเป็นไม่สนใจเวลาที่พบเจอกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือมหาวิทยาลัย ใช้ชีวิตหนุ่มโสดสุดฮอตเหมือนแต่ก่อน ควงหญิงเข้าโรงแรมม่านรูดไม่ซ้ำหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบ้า ๆ พวกนั้นออกจากหัว
แต่นั่นเป็นเรื่องดีสำหรับลูกพลับ เพราะไม่ต้องมีคนมาก่อกวนให้รู้สึกรำคาญ แม้จะรู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ แทนไทก็ไม่มาตามรังควานเหมือนก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะคำสัญญาที่เคยให้ไว้ในวันแรกที่เกิดเรื่อง อีกฝ่ายคงกลัวว่าความลับจะผูกเปิดเผย กลัวว่าสาว ๆ แฟนคลับทั้งหลายจะเลิกชื่นชอบสินะ คิดแล้วก็ส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดไร้สาระพวกนี้ออกจากหัว
ในช่วงที่แทนไทไม่มาก่อกวน กลับมีใครบางคนเข้ามาขายขนมจีบอย่างไม่หยุดหย่อน คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจตน์ หลังจากทานข้าวด้วยกันในวันนั้นแล้วก็เร่งทำคะแนนมาเรื่อย ๆ มาหาที่มหาวิทยาลัยบ่อย ๆ ชวนไปทานข้าว ชวนไปดูหนังสองต่อสอง ตอนแรกลูกพลับก็ปฏิเสธบ้าง แต่นานเข้าก็รู้สึกคุ้นเคยกันจึงได้แต่เออออตาม มันก็ดีเหมือนกันจะได้มีกิจกรรมทำเพื่อไม่ให้คิดมากกับเรื่องไร้สาระ
วันนี้เพื่อนรักอย่างฮ่องเต้มีนัดกับแฟนหนุ่ม หลังจากเรียนคาบวิชาสุดท้ายของวันจบลงแล้ว ลูกพลับจึงเดินออกมาที่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ทว่าในจังหวะนั้นก็เห็นรถคันหรูที่คุ้นตาเป็นอย่างดีของแทนไทขับมาจอดตรงหน้านักศึกษาสาวคนหนึ่ง ลูบพลับหยุดชะงักยืนมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ แทนไทลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูให้คู่ควงคนใหม่ ในจังหวะนั้นทั้งสองสบตากันอย่างบังเอิญ แทนไทชะงักเล็กน้อยราวกับเห็นเจ้ากรรมนายเวร รีบหันหน้าหนีแล้วส่งยิ้มให้เธอคนนั้น เปิดประตูรถส่งเธอเข้าไปนั่งแล้วกลับมาขึ้นรถฝั่งคนขับ
ทุกอิริยาบถของชายหนุ่มสะท้อนเข้ามาในหน่วยตาคู่สวย เหตุใดจึงรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เขาเกลียดนายนั่นมาก ต้องรู้สึกดีที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจตนเองแล้ว มันควรจะรู้สึกอย่างนั้นมิใช่หรือ
ปี๊บ ๆ
เสียงแตรรถทำให้ลูกพลับสะดุ้งโหยง หลุดจากห้วงความคิด หันไปมองรอบตัวก็พบว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหลัง คนขับเปิดกระจกรถแล้วโบกมือให้ แถมรอยยิ้มหล่อ ๆ มาพร้อมด้วยอีกต่างหาก
“น้องพลับทางนี้ครับ”
“เฮียเจตน์”
เมื่อรู้ว่าเป็นใครก็เดินยิ้มเข้าไปหา ปกติแล้วหากจะชวนไปไหนเจตน์มักจะแจ้งล่วงหน้าเสมอ ครั้งนี้คงบังเอิญมาพบกัน ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
“น้องพลับจะไปไหนเหรอครับ”
“ผมจะกลับบ้านครับ แล้วเฮียเจตน์มาทำอะไรแถวนี้ครับ อย่าบอกนะว่ามาเหล่สาว ๆ แถวนี้”
“เปล่าสักหน่อย ถ้าจะเหล่ก็น้องพลับนั่นล่ะ พี่ตั้งใจมาหาน้องพลับกะว่าจะชวนไปกินข้าวด้วยกัน”
“อ้าว ทำไมวันนี้ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย อีกอย่างถ้าชวนเร็วกว่านี้คงได้ไปพร้อมกับฮ่องเต้และพี่กายแล้ว”
“เฮียขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน ขึ้นรถเร็วค่อยว่ากันอีกที”
“ก็ได้ครับ”
ลูกพลับยอมขึ้นรถไปอย่างไม่ได้คิดอะไร ระหว่างทางเจตน์ก็ขวนคุยเหมือนเช่นเคย อีกฝ่ายรบเร้าให้ไปทานมื้อเย็นด้วยกันอยู่นานจนลูกพลับทนลูกอ้อนไม่ไหว ตัดสินใจโทรบอกป้าปิ่นว่าวันนี้อาจจะกลับดึกหน่อยเพราะมีนัดทานข้าวกับรุ่นพี่ เพื่อทำให้ท่านสบายใจ
ภัตตาคารหรูบนตึกสูงระฟ้าคือจุดหมายปลายทางของวันนี้ ลูกพลับเดินเคียงข้างหนุ่มหล่อสมาร์ตเข้าไปอย่างประหม่า สังเกตลูกค้าที่มาใช้บริการมีแต่คนในแวดวงสังคมไฮโซเท่านั้น เขาเป็นเพียงหลานของแม่บ้าน ถึงคนอื่นจะไม่รู้แต่ก็อดคิดไม่ได้
ทั้งสองนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้านซึ่งสามารถมองเห็นภาพมุมสูงของเมืองกรุงในช่วงพลบค่ำได้อย่างงดงาม ลูกพลับตื่นตากับภาพที่เห็น เอาแต่หันไปมองพร้อมทั้งถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย เจตน์มองดูความน่ารักอยู่อย่างนั้นไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ แค่มองดูก็ทำให้ยิ้มได้และรู้สึกเพลินตา เขาหลงเด็กคนนี้จนคิดอยากจะเป็นเจ้าของให้ได้ เหมือนที่เคยทำกับคนอื่น ๆ ที่เคยคบหา
“ที่นี่เป็นร้านโปรดของเฮียกับครอบครัวเลยนะครับ ปกติเฮียไม่เคยพาใครมาเลย”
“ใครนี่หมายถึงคนอื่นนอกจากคนในครอบครัวเหรอครับ” ลูกพลับตอบหลังจากหันกลับมามองที่ต้นเสียงหล่อนั้น
“ก็ใช่น่ะสิ รู้อย่างนี้แล้วน้องพลับน่าจะเดาออกว่าตัวเองสำคัญกับเฮียมากแค่ไหน” เขาส่งรอยยิ้มหล่อมีเสน่ห์มาให้ ลูกพลับคลี่ยิ้มตอบตามมารยาท โดยไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรด้วยเลย คิดแค่ว่าเป็นพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น
“ผมไม่ยักรู้เลย เฮียคิดจะจีบผมจริง ๆ หรือครับ”
“ถามอย่างนี้เฮียเสียใจแย่เลย ชัดเจนขนาดนี้แล้วนะ ตอนนี้น้องพลับเองก็ยังไม่มีใครเปิดใจให้เฮียจะได้ไหม เฮียสัญญาว่าจะเป็นแฟนที่ดีไม่งอแงเด็ดขาด โอเคไหมครับ”
“นี่เฮียจะมัดมือชกผมงั้นเหรอครับ ผมรู้ว่าเฮียจีบผมแหละ แต่...ผมยังไม่อยากมีแฟนนี่นา อยากจะตั้งใจเรียนเพียงอย่างเดียวก่อน” เขากล่าวอย่างไม่ได้อึดอัดใจอะไร เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้จริงจังอะไรมาก คนระดับเจตน์คงมีคนมาเสนอตัวให้เยอะแยะ เขาเคยได้ยินฮ่องเต้เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ฮ่องเต้ยังเตือนไว้อีกว่าอย่าเพิ่งหลงคารมต้องดูกันไปยาว ๆ
“เสียใจจัง เฮียจะยังพอมีหวังอยู่ไหมนะ”
“ถ้าเฮียรอจนผมเรียนจบได้ ผมจะยอมเป็นแฟนเฮียก็แล้วกัน โอเคไหมครับ”
“โห! นั่นมันอีกตั้งห้าปีเลยนะ ไม่นานไปหน่อยเหรอ”
“เคยได้ยินสำนวนที่ว่าระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คนไหมครับ ผมว่ามันยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัยเลยนะ ถ้าเฮียรักผมจริงต้องรอได้สิ”
“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารครับ”
เสียงบริกรหนุ่มดังขัดจังหวะพอดี ทำให้คนที่นั่งทำหน้างองุ้มอยู่ตรงหน้านิ่งเงียบ ทว่าสายตาที่ส่งมานั้นกลับมีแต่ความน้อยใจฉายออกมาให้เห็น ลูกพลับได้แต่นั่งยิ้มมองดูความน่าเอ็นดูของเจตน์ ถึงแม้อายุจะสามสิบแล้วแต่ยังมีโหมดวัยรุ่นขี้น้อยใจให้เห็น
ทั้งสองลืมเรื่องที่สนทนากันก่อนหน้านี้ไปครู่หนึ่ง นั่งทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อย เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อย ๆ ทว่าเจตน์ยังคงหยอดคำหวานส่งให้เป็นช่วง ๆ ตามประสาหนุ่มนักรัก โดยมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมาอยู่ตลอดเวลา
เป็นแทนไทนั่นเองที่บังเอิญมานั่งทานที่ร้านเดียวกัน แต่อยู่กันคนละมุม เขาบังเอิญเห็นลูกพลับเมื่อตอนเดินไปเข้าห้องน้ำ จึงอดไม่ได้ที่จะหันมามองอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่พยายามห้ามตัวเองแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ ทำไมต้องรู้สึกโมโหเมื่อเห็นเด็กคนนั้นอยู่กับผู้ชายคนอื่น มือที่วางอยู่หน้าขาใต้โต๊ะกำแน่นจนสั่น คู่ควงที่นั่งฝั่งตรงข้ามถามว่าเป็นอะไร ทำไมจึงทำหน้าเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ แทนไททำได้เพียงยิ้มรับแล้วปฏิเสธไป ตีเนียนทำเป็นตักอาหารให้ แต่ก็ไม่วายชายตามองไปยังอีกมุมหนึ่ง กลับพบว่าตอนนี้เหลือเพียงโต๊ะเปล่า สองคนนั้นหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
“คืนนี้เราจะไปไหนต่อกันดีคะ”
“ค้างคืนที่นี่เลยไหมล่ะ เรามีธุระที่ไหนต่อหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ คืนนี้แป้งอยู่ค้างกับพี่แทนได้ทั้งคืนเลยค่ะ” เธอกล่าวด้วยโทนเสียงอ่อนหวานชวนฟัง ส่งสายตาอันหวานเยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างรู้กัน
“ถ้างั้นรีบทานเถอะ เราจะได้มีเวลาทำอย่างอื่นให้นาน ๆ”
“ค่ะพี่แทน”
เมื่อตกลงกันได้แล้วก็สนใจรับประทานอาหารต่อไป ทว่าแทนไทกลับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูบ่อย ๆ อยากจะโทรหาไอ้เด็กคนนั้นเหลือเกิน อยากรู้ว่ามันจะไปไหนกับผู้ชายคนนั้นต่อ ทำไมถึงได้เหลวไหลอย่างนี้ หรือจะโทรบอกป้ามันให้รู้ว่าตอนนี้มันมาคั่วกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ นั่งคิดอย่างนั้นสักพักคู่ขาก็เอ่ยเรียกทำให้ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป เขาจะไม่มีทางไขว้เขวกับมันอีกเด็ดขาด
...ก็แค่ไอ้ตุ๊ดหน้าตาดีที่เป็นหลานคนใช้ในบ้าน เขาจะไม่มีทางสนใจมัน
แม้ว่าผู้ชายอย่างเจตน์จะมีความหล่อระดับเทพ ทว่าคู่ควงที่ผ่านมาส่วนใหญ่ได้มาจากวิธีสกปรก เขามักจะมอมยาและมัดมือชกคนที่สนใจมาโดยตลอด ด้วยหน้าตาและฐานะที่ใคร ๆ ก็อยากจะคบหาก็ทำให้ทุกคนยอมใจอ่อน แถมยังดีใจต่างหากที่ได้ตกเป็นของเขา
และวันนี้ลูกพลับก็คือหนึ่งในเหยื่อเช่นเดียวกัน หลังจากนั่งรับประทานอาหารไปได้สักพักร่างเล็กก็รู้สึกหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมจึงขอตัวกลับ ทว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก็ต้องหมดสติไปเสียก่อน เจตน์จึงอุ้มร่างเล็กเดินตรงไปยังห้องที่ได้จองไว้ล่วงหน้าเพื่อการนี้โดยเฉพาะ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อหากใครได้เห็นในตอนนี้ คงรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีความเจ้าเล่ห์มากแค่ไหน
เช้าวันต่อมา...
แสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามากระทบบนใบหน้าขาวใส ทำให้เปลือกตาสวยขยับและเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ลูกพลับเริ่มขยับตัวด้วยอาการงัวเงีย มือน้อย ๆ สัมผัสกับบางสิ่งที่อยู่ข้างตัวจนต้องเบิกตาตื่นขึ้นมา ดีดตัวลุกขึ้นแล้วหันไปมองก็พบว่าเจตน์ได้นอนหลับอยู่ เห็นอย่างนั้นเขาจึงสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง พบว่าตอนนี้ได้สวมใส่ชุดลำลองของใครก็ไม่ทราบได้ หากใครตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้คงคิดได้อย่างเดียวนั่นคือโดนมอมยา
“เฮียเจตน์! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ ฮึก...” คนพูดตะโกนลั่น สะอื้นไห้ด้วยความรู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึกกับผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน
“น้องพลับตื่นแล้วเหรอครับ” เจตน์งัวเงียตื่นขึ้นมา ขยี้ตาทั้งสองแล้วหันมาส่งยิ้มให้ราวกับเรื่องเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เฮียทำอะไรผม! เฮียมอมยาผมเหรอ ทำไมเฮียแม่งเลวอย่างนี้ ผมไม่น่าหลงเชื่อคนอย่างเฮียเลย” ลูกพลับตะโกนอย่างสุดเสียง ร่ำไห้ใจจะขาด มองหาชุดนักศึกษาของตัวเองก่อนเดินเข้าไปคว้ามันขึ้นมาถือไว้เตรียมตัวจะออกไปจากห้อง
เจตน์รีบลุกขึ้นทั้งที่ยังสวมใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว เขาเดินตามหลังไปจนถึงประตูห้อง รั้งแขนเรียวไว้ได้ทันเวลา ทว่าลูกพลับหันกลับมาง้างมือฟาดใบหน้าสุดแรง
“เลวที่สุด! ต่อไปนี้ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก”
“น้องพลับฟังเฮียก่อน เฮียรักน้องพลับนะยังไงเราก็มีอะไรกันแล้ว ยอมเป็นแฟนกับเฮียเถอะนะ”
“ไปตายซะ!”
ลูกพลับผลักอกสุดแรงแล้วเปิดประตูออกไป แต่เจตน์ยังไม่ยอมละความพยายาม เดินตามหลังไปคว้าแขนเรียวที่หน้าประตูห้องอีกครั้ง แถมยังสวมกอดจากด้านหลัง ลูกพลับพยายามดิ้นรนเพื่อเรียกร้องหาอิสรภาพแต่ไม่สำเร็จ
“ปล่อยผมนะ”
“ไม่ปล่อย จนกว่าน้องพลับจะยอมเป็นแฟนกับเฮีย ยังไงเราก็ได้กันแล้วจะเล่นตัวไปทำไมกันครับ”
“อย่าพูดคำนี้ให้ผมได้ยินอีก ไม่งั้นผมเอาคุณตายแน่”
กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นั้น ก็มีใครบางคนเปิดประตูออกมาเห็นเข้าพอดี เป็นแทนไทนั่นเองที่ออกมาพร้อมกับคู่ขา เห็นภาพนั้นเข้าพอดีถึงกับหน้าขึ้นสี ดูจากสภาพแล้วคงจะจัดหนักกันมาทั้งคืน ไอ้เด็กนั่นสวมใส่ชุดลำลองแถมยังหอบชุดนักศึกษาพะรุงพะรัง อีกคนที่กำลังกอดอยู่สวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว
...ช่างหน้าไม่อาย!
เมื่อเห็นว่าเป็นใครลูกพลับก็หน้าถอดสี ทั้งสองประสานสายตากันเข้าอย่างจัง แววตาของลูกพลับมีแต่ความตื่นตกใจ แต่แววตาเขามีเพียงความเดือดดาล ลูกพลับออกแรงเฮือกสุดท้ายผลักร่างของเจตน์จนหลุดพ้น รีบวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่นไม่มีทีท่าจะหยุด มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับเขา เหตุใดมันจึงบังเอิญเช่นนี้ เขาไปทำเวรทำกรรมอะไรกับคนพวกนี้เอาไว้นะ
คิดไปน้ำตาก็ไหล สองเท้าน้อย ๆ ย่ำลงบนพื้นถี่ ๆ จนสะดุดล้ม ขาแพลงจนลุกขึ้นไม่ไหว จึงนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หน้าโรงแรม ไม่นานก็รู้สึกว่ามีใครบางคนดึงแขนให้ลุกขึ้น จะว่ากระชากก็ย่อมได้เพราะมันรู้สึกเจ็บไม่น้อย
“ร่าน! กลับบ้าน!”
ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน แต่เป็นเสียงของแทนไท เขาถลึงตามองแล้วกระชากให้เดินตามหลังไป แต่ด้วยที่เจ็บข้อเท้าทำให้ลูกพลับไม่สามารถลุกขึ้นได้ อีกฝ่ายจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ ตัดสินใจช้อนร่างเล็กขึ้นในท่าเจ้าสาว พาเดินไปที่รถอย่างอารมณ์ฉุนเฉียว ลูกพลับไม่ยอมพูดอะไร ไม่ยอมมองหน้าเขา ทำได้เพียงซบหน้าบนแผงอกแกร่งร้องไห้ แม้รู้ว่าแทนไทคงไม่เต็มใจจะให้ใช้อ้อมอกนี้เพื่อระบายความเจ็บปวดก็ตาม
ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถนั้นมีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของลูกพลับดังอยู่ตลอดทาง แม้ว่าแทนไทจะตะโกนสั่งให้หยุดหลายต่อหลายครั้งแต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถห้ามเสียงสะอื้นได้ ใครไม่ใช่เขาคงไม่รู้ว่ามันเจ็บมากแค่ไหน ที่ต้องโดนผู้ชายสองคนปล้ำในเวลาไล่เลี่ยกันอย่างนี้ อยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอด
รถคันหรูเคลื่อนล้อเข้ามาในรั้วบ้านแล้วขับไปหยุดที่โรงจอดรถ แทนไทพยายามควบคุมสติให้มากที่สุดเพื่อจะกล่าวอะไรบางอย่าง
“ร้องไห้อย่างกับโดนปล้ำ เล่นละครตบตากูไปเพื่ออะไร มึงแสร้งทำเป็นร้องไห้ไปเพื่ออะไร มึงมันร่าน กูไม่น่าไปสมสู่กับคนอย่างมึงเลย” แทนไทหันไปตวาดลั่นใส่หน้า จนอีกฝ่ายสะดุ้งด้วยความตกใจ
“ผมมันไม่ดีในสายตาคุณอยู่แล้วนี่ จะทำอะไร จะเป็นยังไงมันก็เรื่องของผม ขอบคุณที่เคยมาสมสู่กับคนอย่างผม ขอบคุณที่อุตส่าห์ให้ติดรถกลับมาด้วย”
กล่าวอย่างไม่ใส่ใจแล้วเปิดประตูรถ แม้จะยังคงเจ็บข้อเท้าอยู่แต่ก็พยายามฝืนตัวเองลงไปให้ได้ ลูกพลับล้มลงบนพื้นพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ แทนไทนั่งมองดูจากในรถด้วยความสมน้ำหน้า เขาแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าร่างเล็กล้มลงไม่เป็นท่าครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ากลับมีเสียงเรียกร้องให้ออกไปช่วยอุ้มพาส่งกลับห้องพัก รอยยิ้มที่เย้ยหยันจางลงเรื่อย ๆ กำลังจะเปิดประตูรถลงไปช่วย ทว่ากลับได้ยินเสียงปิ่นวดีเอ่ยทักหลานชายเสียก่อน จึงต้องนั่งอยู่นิ่ง ๆ มองแม่บ้านเก่าแก่ช่วยพยุงไอ้เด็กนั่นห่างจากรถไปเรื่อย ๆ
“ถ้ามึงโดนปล้ำมาจริง ๆ กูควรจะแตะเนื้อต้องตัวมึงอีกไหมวะ”
แทนไทเอ่ยถามตัวเองอย่างเบาเสียง รู้สึกโกรธและสับสนไปพร้อมกัน โดยยังไม่เข้าใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไร เพราะเหตุใดเขาจึงต้องสนใจเรื่องของมันด้วย ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ
= 12 =
ความรู้สึกของคนเป็นพ่อ
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบใครบางคนนอนขดตัวอยู่บนพื้นข้างเตียง คนที่อยู่ในอาการงัวเงียรีบดีดตัวลุกขึ้น มองไปรอบห้องเพื่อหาสิ่งของที่พอจะขับไล่ผู้ชายคนนี้ออกไปจากห้องได้ ต่อให้ตามง้อด้วยวิธีไหนเขาจะไม่มีวันยอมยกโทษให้คนขี้โกหกหลอกลวงเด็ดขาด
ขวดน้ำดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะถูกหยิบไปด้วยมือน้อย ๆ ผู้เป็นเจ้าของห้อง ลูกพลับเปิดฝาแล้วยิ้มมุมปาก เทมันลงตรงใบหน้าของแขกไม่ได้รับเชิญ
“แค่ก ๆ อะไรวะเนี่ย!”
“รีบออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้”
“ลูกพลับ! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องทำเป็นห่วงผมหรอก ออกไปจากห้องก่อนที่ผมจะใช้วิธีรุนแรงมากกว่านี้”
“ได้ ๆ จะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ แค่เห็นมึงด่ากูได้ก็ดีใจแล้วล่ะ”
แม้จะโดนมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรแต่แทนไทก็ยังยิ้มได้ เห็นลูกพลับไม่เป็นอะไรก็ดีใจแล้ว เช้าวันนี้เป็นเช้าที่ไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนเมื่อก่อน เพราะได้เป็นตัวของตัวเอง โดนด่ายังดีกว่าถูกรักด้วยตัวตนอื่น นี่คือสิ่งที่เขาควรจะทำตั้งแต่แรก ไม่ใช่เข้ามาด้วยวิธีการโกหกแบบนั้น
“อ้วกกก”
“ลูกพลับเป็นอะไร”
“ไม่ต้องเข้ามาใกล้ ออกไปเลย”
แม้จะอยู่ในอาการไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ลูกพลับก็ปัดมือไล่เขาให้ออกไป ทว่าแทนไทไม่ยอมหรอก เห็นเมียไม่สบายอย่างนี้ใครจะออกไปได้ลงคอล่ะ รีบพุ่งตัวเข้าไปพยุงร่างเล็ก แม้จะโดนอีกฝ่ายผลักให้ออกห่างแต่ไม่ละความพยายาม
“เดี๋ยวกูจะช่วยพยุงออกไปข้างนอก อยู่ในห้องมันอุดอู้ อากาศไม่ถ่ายเท”
“ไม่ต้อง อ้วกก”
กำลังจะอาเจียนออกมาเต็มทีแล้ว จึงรีบวิ่งออกมาจากห้องตรงไปยังห้องน้ำ สำรอกเอาของเหลวในท้องออกมาทั้งที่เช้านี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย ป้าปิ่นเห็นอย่างนั้นก็ตกอกตกใจยกใหญ่ รีบวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“พลับเอ็งเป็นอะไร!”
“อาเจียนครับป้าปิ่น สงสัยจะแพ้ท้อง” แทนไทเป็นฝ่ายตอบเสียเอง
“ท้องมาเป็นเดือนแต่ไม่ยักจะแพ้ท้อง เช้านี้กลับแพ้ท้องซะอย่างนั้น”
“บอกเขากลับบ้านไปเดี๋ยวนี้ครับป้าผมไม่อยากเห็นหน้า”
“มึงเป็นอย่างนี้จะให้กูกลับได้ยังไงกัน มึงหายดีแล้วกูสัญญาว่าจะกลับทันที”
“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว กลับไปสิ” คนพูดยืนประจันหน้ากับแทนไทอย่างไม่ลดละ
“แน่นะ ดูหน้ายังซีดอยู่เลย ไปหาหมอดีกว่าไหม”
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผม รีบกลับไปซะ”
“ก็ได้ ๆ ดูแลตัวเองให้ดีล่ะกูเป็นห่วง”
“เก็บคำว่าเป็นห่วงของคุณกลับไปด้วยเลย ผมไม่ต้องการ”
แทนไททำได้เพียงมองด้วยสายตาที่เป็นห่วง ทว่าลูกพลับหันหน้าหนีไปอีกทาง เขาจึงหันมาเอ่ยกับปิ่นวดี
“ผมกลับก่อนนะครับป้าปิ่น ฝากดูแลลูกพลับด้วย”
“ได้ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
แทนไทกลับไปแล้วสองป้าหลานจึงเดินออกมานั่งที่ระเบียง ปิ่นวดีนำน้ำมาให้หลานชายพร้อมกับยาหอม หวังว่าจะทำให้อาการดีขึ้นมาบ้าง
“เรื่องเมื่อคืนเป็นมายังไงครับป้า ทำไมเขาได้มานอนในห้องผม”
“เมื่อคืนคุณแทนไทอุ้มเอ็งมาจากบ้านโน้น เลยให้พาเข้าไปในห้อง จากนั้นเขาก็ขอเป็นคนดูแลเอ็งป้าเลยอนุญาต”
“ป้าจะอนุญาตทำไม จำไม่ได้เหรอว่าเขาทำอะไรผมไว้บ้าง นี่ป้าอยู่ข้างใครกันแน่”
“ก็อยู่ข้างเอ็งน่ะสิ ที่ยอมเพราะเห็นว่าเขาเป็นห่วงเอ็งจริง ๆ ไม่งั้นคงไม่ยอมย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยหรอก แถมยังคอยช่วยเหลือต่าง ๆ นานา”
“เขาทำเพราะอยากจะแกล้งผมน่ะสิ นับจากนี้ผมจะไม่ยอมให้เขาข้ามมาบ้านเราเด็ดขาด”
“แล้วจะห้ามได้ยังไงล่ะ ในเมื่อกำแพงบ้านก็เตี้ยซะขนาดนั้น”
“ผมจะติดป้ายห้ามเข้ามา ถ้ากล้าเข้ามาเหยียบแม้แต่ก้าวเดียวผมจะแจ้งตำรวจมาจัดการ”
“เฮ้อ! แล้วแต่เอ็งละกันป้าไม่ยุ่งหรอก แล้วเป็นยังไงบ้างดีขึ้นหรือยัง เริ่มมีอาการแพ้ท้องอย่างนี้แล้วคงจะทำงานไม่ไหวแน่ ๆ ช่วงนี้ป้าว่าปิดร้านไปก่อนไหม ยังไงเอ็งก็ไปส่งไม่ได้หรอก”
“ผมไหวครับป้า”
“ไม่ได้หรอก ป้าไม่ยอมให้เอ็งขับรถอีกแน่ เงินทองเราก็พอมีใช้อยู่ไม่จำเป็นจะต้องดิ้นรนอะไรหรอก”
“ไม่ได้หรอกครับป้า อีกหน่อยผมก็จะคลอดลูกแล้ว ผมไม่อยากเป็นภาระใคร อยากจะใช้เงินเก็บของตัวเองจะสบายใจกว่า”
“ทางโน้นเขาจะจ่ายให้ หลานทั้งคนเขาไม่ทิ้งขว้างหรอก”
“ผมจะไม่รับความหวังดีจากบ้านโน้นแล้ว ผมจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง คนอื่นท้องใกล้คลอดยังทำงานถมเถไป ทำไมผมจะทำอย่างนั้นไม่ได้”
“ก็แล้วแต่เอ็งละกัน ถ้างั้นป้าไปทำกับข้าวก่อน ไปอาบน้ำอาบท่าจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น”
“ครับป้า”
เมื่อนั่งอยู่เพียงลำพังก็หวนให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืนอีกครั้ง จู่ ๆ น้ำตามันก็ไหลบ่าลงมา เจ็บเหลือเกินกับการถูกหลอกครั้งใหญ่ในชีวิต ถูกแทนไทต้มซะจนเปื่อยไม่มีชิ้นดี เผลอมอบหัวใจให้นายโตคนนั้นไปแล้ว แต่เมื่อรู้ว่าทั้งสองคือคนเดียวกันแทบล้มทั้งยืน โกรธก็โกรธอยู่หรอก ทว่าจะให้เกลียดมันทำไม่ได้แล้ว ความรักที่มอบให้โตมันยังคงอยู่ในใจดวงน้อยนี้ ทำไมนะคนที่เคยไร้หัวใจอย่างแทนไท พอมาแสร้งทำเป็นดีกลับคว้าหัวใจของเขาไปได้เร็วอย่างนี้
*-*-*-*-*-*-*
หลังจากวันนั้นก็มีป้ายขนาดใหญ่มาติดเอาไว้ตรงรั้วบ้าน มีใจความว่าห้ามคนที่ชื่อแทนไทข้ามเขตมาโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่คนอย่างแทนไทมีหรือจะกลัว เดินข้ามรั้วมาอย่างไม่เกรงกลัวใด ๆ แถมมาพร้อมกับอาหารบำรุงร่างกายสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จำนวนมาก วางไว้บนเตียงไม้ไผ่หน้าเรือนไทย ก่อนจะทักทายเจ้าโชคดีที่รีบวิ่งแจ้นเข้ามาหา กระดิกหางยิก ๆ อย่างรู้งาน เพราะคิดว่าผู้ชายคนนี้มีของกินมาให้เหมือนเช่นทุกวัน
“ว่าไงเจ้าโชคดี วันนี้เจ้านายของเอ็งอารมณ์ดีไหมวะ”
จะว่าไม่กลัวก็ไม่ใช่ ช่วงหลังมานี้ปิ่นวดีบอกว่าลูกพลับอารมณ์แปรปรวนบ่อย ๆ วีนเหวี่ยงอารมณ์เสียเก่งเป็นที่หนึ่ง แม้กระทั่งบางครั้งยังหงุดหงิดใส่ผู้เป็นป้าด้วยอีกต่างหาก ได้ยินอย่างนั้นเขาจึงทำใจมาบ้างแล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร
“อ้าวคุณแทนไท ยังกล้ามาอีกเหรอคะ ไม่กลัวว่าไอ้พลับมันจะไล่ตะเพิดหรอกหรือ”
“กลัวคงไม่มาครับ ผมไม่ยอมแพ้หรอก จะต้องเอาชนะใจหลานชายป้าปิ่นให้ได้”
ในระหว่างทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้นก็มีเสียงบุคคลที่สามดังแทรกเข้ามา
“ป้าปิ่นครับ เห็นกุญแจรถมอไซค์ไหม”
ยังไม่ทันที่ปิ่นวดีจะตอบกลับไป ลูกพลับก็ต้องชะงักฝีเท้า ยืนจ้องมองแขกไม่ได้รับเชิญตาขวาง ทำเป็นเมินราวกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตน เดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นป้า
“เอ็งลืมเสียบไว้ที่รถหรือเปล่าลองไปหาดู แล้วจะไปไหนล่ะ”
“ผมอยากกินส้มตำเผ็ด ๆ น่ะครับป้า ว่าจะขับออกไปซื้อในหมู่บ้าน”
“อ้อ งั้นก็ขับรถดี ๆ ล่ะ”
“ครับ อ้อ แล้วก็อย่าลืมไล่หมูไล่หมาแถวนี้กลับไปด้วยนะ เห็นแล้วผมอยากจะอ้วก”
“เดี๋ยวกูไปซื้อให้ดีกว่า” คนที่ยืนเป็นส่วนเกินรีบอาสาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
ลูกพลับหรี่ตามองแวบหนึ่งแล้วเดินผ่านหน้าไปอย่างไม่สนใจ แต่มีหรือที่แทนไทจะยอม รีบเดินตามหลังไปจนถึงรถที่จอดอยู่ ลูกพลับรีบคร่อมรถเตรียมจะสตาร์ตเครื่อง แต่แล้วก็มีใครบางคนมานั่งซ้อนหลัง
“เอ๊ะ! ลงไปเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ลง กูไปด้วย”
“มันจะมากไปแล้วนะ คุณไม่มีสิทธิ์แม้จะย่างกรายเข้ามาบ้านหลังนี้ ผมไม่โทรเรียกตำรวจก็เป็นบุญของคุณมากแล้ว ลงไป! ก่อนที่ผมจะโมโหไปมากกว่านี้”
“มึงนั่นล่ะลงไป เดี๋ยวกูจะไปซื้อมาให้เอง”
“ไม่ลง! นี่มันรถผม และผมก็ไม่ต้องการความหวังดีจากคุณด้วย”
“งั้นก็ไปด้วยกัน”
แทนไทกักร่างเล็กเอาไว้ด้วยวงแขนแกร่งซึ่งกำลังจับแฮนด์รถ เขยิบก้นเข้าไปอีกเล็กน้อยเพื่อให้ถนัดในการขับ คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าพยายามดิ้นรนขยับตัวแรง ๆ จนรถโอนเอนไปมาจวนจะล้ม จนคนที่นั่งซ้อนหลังต้องส่งเสียงดุก่อนจะเจ็บตัวกันเสียก่อน
“หยุดได้แล้วเดี๋ยวก็ล้มกันพอดี”
“ล้มก็ดีจะได้แท้ง คุณจะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายกับผม” ความโกรธทำให้ลูกพลับเผลอหลุดปากพูดสิ่งไม่ควร พอตั้งสติได้ก็รู้สึกผิดในใจ เขาไม่ควรพูดแช่งลูกตัวเองอย่างนี้
“ทำไมพูดอย่างนี้! รู้ไหมว่าตัวเองกำลังแช่งลูก” แทนไทกล่าวเสียงดุไม่ผิดแปลกจากใบหน้าที่เข้มขรึม จ้องมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างเอาเรื่อง
“ผมไม่ได้แช่งแค่อยากจะประชดคุณ ถ้าไม่อยากให้ผมพูดก็ลงไปซะ”
“ไม่”
พูดแค่นั้นก็สตาร์ตเครื่องทันที เข้าเกียร์แล้วขับออกไปจากหน้าบ้าน บังคับรถให้แล่นตามถนนลูกรังสายเล็ก ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังที่เจริญกว่า ในระหว่างทางไม่มีใครกล่าวคำใด ต่างฝ่ายต่างก็มีโทสะเกิดขึ้นในใจ แต่ดูเหมือนว่าคนที่แสดงออกชัดเจนกว่าเป็นแทนไท เขาโมโหที่ลูกพลับพูดราวกับอยากจะให้ลูกในท้องตายไป เพื่อไม่ให้เขาได้เข้ามายุ่งวุ่นวายในชีวิตอีก หารู้ไม่ว่าถึงไม่มีลูกก็จะเข้ามาปั่นป่วนชีวิตคนคนนี้อยู่ดีนั่นล่ะ
“ทำไมต้องมายุ่งวุ่นวายกับผมอีก”
“ก็อยากยุ่งจะทำไม ผัวจะยุ่งกับชีวิตเมียตัวเองมันผิดด้วยเหรอ”
“ผมไม่ใช่เมียคุณและจะไม่มีวันเป็น”
“ถึงมึงจะไม่ใช่เมียกูแต่กูก็เป็นผัวมึงนะ ตอนนี้กูกำลังโกรธที่มึงพูดเรื่องแท้ง มึงต้องง้อกู”
ได้ยินอย่างนั้นลูกพลับก็แค่นยิ้มออกมาด้วยความเหลืออด มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง มีสิทธิ์อะไรมาอ้างว่าเป็นผัว ทำอย่างกับตัวเองสำคัญอย่างนั้นล่ะ
“คิดว่าตัวเองเป็นใครที่ผมจะต้องง้อ จอดข้างหน้านี้ล่ะถึงแล้ว”
“กูไม่อยากให้กินเลย ถ้ามึงท้องเสียขึ้นมาล่ะจะทำยังไง ไม่สงสารลูกบ้างเหรอ”
“ลูกผมไม่ต้องมายุ่ง ถ้าไม่จอดผมจะกระโดดลงคอยดู”
“เออ ๆ จอดก็จอด”
ในที่สุดแทนไทก็ต้องเลี้ยวจอดข้างทาง ร้านส้มตำไก่ย่างร้านนี้เป็นร้านโปรดที่ลูกพลับเพิ่งจะตีซี้กับเจ้าของได้ไม่นาน ซึ่งเป็นคนมหาสารคามแท้ ๆ เมนูจึงเป็นสูตรอีสานดั้งเดิม รสชาติจัดจ้านถูกปากแซ่บอีหลี
“อ้าวหนูพลับ วันนี้เอาอะไรดีจ๊ะ”
“เอาตำป่าเผ็ด ๆ เลยนะครับป้าแป๋ว”
“จัดไปจ้า ช่วงหลังมานี้กินเผ็ดขึ้นเยอะเลยนะ”
“ช่วงนี้ผมเจริญอาหารน่ะครับป้า งั้นผมไปเลือกไก่ย่างก่อนนะครับ”
กำลังจะเดินไปยังเตาไก่ย่างที่ตั้งอยู่หน้าร้าน ก็ได้ยินแทนไทส่งเสียงเอ่ยกับแม่ค้า
“ป้าครับ เอาไม่ต้องเผ็ดมากนะครับ”
“สั่งใหม่หรือครกเดียวกันจ๊ะ”
“ครกเดียวกันครับ”
“เอ๊ะคุณ! จะมายุ่งวุ่นวายทำไม ไปยืนรอที่รถโน่น” ลูกพลับถลึงตามองพลางชี้มือไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่
“ก็นายกำลังทะ...”
“หยุด!” ลูกพลับต้องชี้หน้าขู่เอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ผู้ชายตั้งท้องมันไม่ได้มีบ่อยนักหรอก กลัวว่าคนอื่นจะตื่นตกใจและเอาเรื่องของเขาไปพูดกลายเป็นเรื่อง Talk of the town
“ช่วงนี้มึงต้องดูแลสุขภาพให้มาก ๆ อย่ากินอาหารรสจัดและต้องกินของที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพรู้ไหม” ว่าแล้วก็หันไปสั่งแม่ค้าอีกที “เอาตามที่ผมสั่งครับป้า ช่วงนี้แฟนผมท้องไม่ค่อยดี ไม่อยากให้กินเผ็ดมากครับ”
“อ้อ ป้าเข้าใจแล้วจ้า ที่แท้ก็เป็นแฟนหนูพลับนั่นเอง ว่าจะถามตั้งแต่เดินเข้ามาด้วยกันแล้ว”
“ไม่ใช่แฟนสักหน่อยครับป้าแค่คนเคยรู้จัก” คนพูดทำหน้างองุ้มจ้องหน้าแทนไทอย่างคาดโทษ เดินตรงไปยังเตาไก่ย่างที่ตอนนี้ถูกย่างเอาไว้จำนวนหนึ่งแล้ว
แทนไทยิ้มให้ป้าเจ้าของร้านแล้วเดินตามไปยืนซ้อนหลัง มองภาพที่ลูกพลับกำลังจับไม้ไก่ย่างพลิกไปมาตัดสินใจว่าจะเลือกไม้ไหนดี เห็นร่างเล็กเลือกไก่ย่างที่มีบางส่วนไหม้เกรียมก็รีบจับมือน้อย ๆ เอาไว้ทันที
“อย่าเอาไม้นั้นเห็นไหมว่ามันไหม้ มันไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วมันก็เยิ้มขนาดนี้กินเข้าไปได้ยังไง เอาเนื้อ ๆ สิ”
ลูกพลับถอนหายใจ เงยขึ้นมองหน้าเขาด้วยความหงุดหงิด แต่ดูเหมือนว่าสายตาของแทนไทสนใจเพียงไก่ย่างเท่านั้น
“ไอ้นั่นก็ไม่ดีไอ้นี่ก็ไม่ได้ สรุปคือจะไม่ให้ผมกินอะไรเลยเหรอ ชีวิตผม ปากผม ท้องผม จะกินอะไรทำไมคุณต้องมาเสือกด้วย แค่ให้มาด้วยก็อึดอัดจะแย่แล้ว อย่ามาสร้างปัญหาให้ได้ป่ะ”
“ไม่ได้! ทุกอย่างต้องผ่านกูหมด มึงกับลูกจะต้องได้รับแต่สิ่งดี ๆ เท่านั้น เข้าใจนะ”
“ผมไม่สำนึกบุญคุณหรอกนะ ไม่ต้องมาทำเป็นดีด้วยหรอก ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีทางญาติดีด้วย”
“กูรู้ว่ามึงปากกับใจไม่ตรงกัน มึงบอกรักกูเองจำไม่ได้เหรอ แต่ก่อนก็เคยพูดจากันดี ๆ นี่นาแล้วทำไมตอนนี้จะทำอย่างนั้นไม่ได้” คนพูดแสดงสีหน้ายียวนกวนประสาท แล้วคว้าเอาไก่ย่างสองไม้ที่คิดว่าดีที่สุดแล้วตรงไปให้แม่ค้าใส่ถุงให้
ลูกพลับเดินตามหลังไปติด ๆ พยายามจะหาเรื่องให้ได้ เขาไม่มีทางยอมหรอก ก็ตอนนั้นแทนไทปลอมตัวเป็นนายโตผู้น่าสงสารและมีน้ำใจเป็นที่หนึ่ง ใครได้อยู่ใกล้ก็ต้องหวั่นไหวกันทั้งนั้นล่ะ
“ก็ตอนนี้คุณไม่ใช่พี่โต”
“ไม่ใช่ได้ยังไงกันก็คนเดียวกัน”
“แต่มันไม่ใช่ไง คุณหลอกผมยังจะกล้าเอาพี่โตมาอ้าง”
“แล้วพี่โตของมึงคือกูไหมล่ะ”
“ก็ใช่ แต่นิสัยไม่เหมือนกัน”
“ถ้างั้นกูจะเปลี่ยนนิสัยให้เป็นเหมือนพี่โตของมึงโอเคไหม มึงจะได้มองกูดีขึ้นบ้าง”
“ไม่จำเป็น พี่โตไม่มีตัวตนตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้คุณทำดีแทบตายผมก็ไม่มองคุณดีหรอก”
“เอ่อ...ทั้งหมดร้อยยี่สิบบาทจ้ะหนูพลับ อย่าหาว่าป้าสอนเลยนะ เป็นแฟนกันก็อย่าใช้อารมณ์ให้มากนักเลย ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ เดี่ยวมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมานะ”
“ผมเกลียดเขาครับป้า เกลียดที่สุดในโลก อ่ะนี่เงินไม่ต้องทอนนะครับ”
ลูกพลับยื่นเงินให้กับป้าเจ้าของร้านแล้วคว้าเอาถุงส้มตำไก่ย่างและข้าวเหนียวร้อน ๆ ติดมือเดินออกไปจากร้านด้วยสีหน้างองุ้ม เดินดุ่ม ๆ มุ่งหน้ากลับบ้าน
“อ้าว! จะเดินไปทำไมล่ะ” แทนไทตะโกนตามหลังไป
“รีบตามไปง้อแฟนเถอะพ่อหนุ่ม งอนอย่างนี้สงสัยคืนนี้ได้นอนนอกห้องแน่ ๆ สู้ ๆ นะป้าเอาใจช่วย”
“ขอบคุณครับป้า งั้นผมกลับแล้วนะครับ”
“จ้า คุยกันดี ๆ ล่ะ”
แทนไทรีบสตาร์ทเครื่องแล้วขับช้า ๆ ตามหลังไปจนถึงตัวแล้ว แต่ถึงกระนั้นลูกพลับยังไม่ยอมหยุดเดิน แทนไทจึงทำได้เพียงขับรถไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับพยายามเกลี้ยกล่อม
“มึงขึ้นรถเร็ว เดี๋ยวก็ได้เป็นลมเป็นแล้งกันพอดี แดดยิ่งร้อน ๆ อยู่ด้วย”
“ไม่ขึ้น”
“แล้วจะเดินไปอย่างนี้น่ะเหรอ มันไกลนะเว้ย”
“ไกลก็เรื่องของผมคุณจะไปไหนก็ไป”
“มึงโกรธอะไรกูนักหนาวะแค่อยากเลือกสิ่งดี ๆ ให้เท่านั้นเอง”
“สิ่งดี ๆ ของผมคือการไม่มีคุณ”
“เฮ้อ! งั้นมึงขับกลับก็ได้เดี๋ยวกูเดินเอง” ได้ยินอย่างนั้นลูกพลับก็หยุดฝีเท้าแล้วหันมาทำหน้ายักษ์ใส่
“ถ้างั้นก็ลงมาสิผมจะขับกลับไปเอง”
“เออ ๆ ลงก็ลง เพื่อเมียกูทำได้ทุกอย่างอยู่แล้วล่ะ” คนพูดรีบจอดรถแล้วลงมายืนอยู่ข้าง ๆ
ส่วนลูกพลับก็รีบเอาของไปวางไว้หน้าตะแกรงรถแล้วขับกลับบ้านไปทันที แทนไทได้แต่ยืนมองตามหลัง ส่ายหน้าเบา ๆ เขาเข้าใจแล้วว่าอารมณ์แปรปรวนของคนท้องมันเป็นอย่างไร รอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าหล่อ บ่งบอกว่าเขามีความสุขกับการได้อยู่ใกล้เด็กคนนี้มากแค่ไหน ถึงจะไม่ได้รับน้ำใจแต่ขอให้ได้ดูแลก็พอใจแล้ว
...นี่คือความรู้สึกของคนที่กำลังจะเป็นพ่อคนสินะ