พิมพ์หน้านี้ - โรแมนติก ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 13 กัลปังหา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Simply.sun ที่ 23-06-2021 23:56:53

หัวข้อ: โรแมนติก ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 13 กัลปังหา
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 23-06-2021 23:56:53
 :jul3:*************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************************
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ /ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 23-06-2021 23:59:13
โตนนท์ นักข่าวหนุ่มสายลุย ถูกเสนอชื่อเข้าชิงเป็นหัวหน้าทีมข่าวอาชญากรรม โดยมีตัวชี้วัดคือ 'เรตติ้ง'

แต่โชคชะตาดันสุ่มเอาโจทย์ "ข่าวเรื่องผี-คนทรงเจ้า" มาให้เขา

อยากจะบ้า...ใครกันจะดูข่าวงมงายพวกนี้ เรตติ้งตกท้องช้างแน่!

มันคงจะดีถ้าเขามี 'นายจิตสัมผัส' คนนั้นมาอยู่ใกล้ๆ
*****************************************

“รูปอะไรพี่...เชี่ย...นี่มันรูปวางหน้าศพ! ถ่ายมาทำไมวะ ขนลุก บอกวันตายไว้ด้วยอะ...ยังเด็กอยู่เลย”

โตนนท์หันมาสบตากับรุ่นน้องคนสนิท เขาพูดอย่างแน่วแน่ว่า

“กูไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วกูก็ไม่รู้ว่ามึงจะเชื่อกูหรือเปล่า...แต่เด็กในภาพเนี่ย คือเด็กคนเดียวกับที่กูเล่าให้มึงฟัง...ใช่ เด็กที่เล่นซ่อนแอบกับกูนั่นแหละ!”

*******************************************

ขอฝากนิยายวายแนวลึกลับ สยองขวัญ โรแมนติก คอมเมดี้ เรื่องนี้ด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ /ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 24-06-2021 00:06:07
“อะไร? พูดใหม่!!!!!”

“เชี่ย! ไอ้โตมึงจะตะโกนทำไม ขี้หูกูเต้นระบำหมดแล้วเนี่ย”

“ผมบอกให้พี่พูดใหม่!!! พี่จะให้ผมไปทำข่าวไอ้สำนักทรงเจ้าใบ้หวย สิ้นคิด บ้า! บ้าไปแล้ว”

“มึงนั่นแหละบ้า! ฝ่ายบุคคลเขายื่นคำขาดมาแล้วว่าให้จับฉลากสุ่มว่าใครได้ทำข่าวไหน แล้วมึงก็สั่งทางโทรศัพท์มาเองว่าให้กูเป็นคนจับฉลากแทนมึงได้เลย กูย้ำแล้วย้ำอีกว่ามึงจะไม่มาด่ากูทีหลังใช่มั้ย แล้วเป็นไงล่ะ มายืนด่ากูปาวๆ อยู่หน้าโต๊ะทำงาน”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานทิ้งตัวแรงๆ ลงบนเก้าอี้ตรงข้ามรุ่นพี่นักข่าวท้องถิ่น เข้าถอดหายใจ กัดฟันด้วยความโกรธและหัวเสีย

“โทษทีพี่ ก็ผมไม่คิดว่าจะต้องมาทำข่าวไร้สาระ เกี่ยวกับไอ้พวกคนทรงเจ้าใบ้หวยนี่หว่า...ตอนแรกที่พี่ต่ายฝ่ายบุคคลบอกว่าจะคัดเลือกหัวหน้าทีมข่าวอาชญากรรมใหม่ ให้ทดสอบเอาจากการทำข่าว...ว่าเรตติ้งใครดีสุด...ผมก็นึกว่าอย่างแย่ก็คงได้ทำข่าวบันเทิง หรือไม่...ข่าวกีฬาก็ยังดี ใครจะไปนึกว่าแกใส่หัวข้อข่าวเรื่องสำนักทรงเจ้าลงไปด้วย พี่ลองคิดดูดิ ใครมันจะมาสนใจดูข่าวแนวนี้วะ...ผมแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้วพี่”

“เดี๋ยวก่อน ไอ้โต...มึงใจเย็นๆ ก่อน จะไปโทษโชคชะตา หรือโทษพี่ต่ายฝ่ายบุคคลก็ไม่ได้ มึงจำไม่ได้หรือไงว่าตอนที่เขาประชุมเรื่องคัดเลือกหัวหน้าทีมข่าวอาชญากรรม มึงเองที่เป็นคนยกมือเสนอให้คัดเลือกแบบใหม่ ไม่ใช่มาจากการประเมินจากกรรมการที่ฝ่ายบุคคลตั้งมา แต่ให้พิสูจน์กันด้วยฝีมือ...กูยังจำท่าทางกร่างๆ มั่นใจของมึงตอนนั้นได้เลยนะ น่าหมั่นไส้ชะมัด...ถึงตอนนี้ มึงก็รับกรรมไปก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มรุ่นพี่หยิบไอแพดรุ่นเก่าคร่ำครึขึ้นมาสไลด์ดูแอพลิเคชั่นสังคมออนไลน์อัพเดตข่าวต่างๆ จากหน้าฟีด แล้วเหลือมองใบหน้ารุ่นน้องร่วมมหาลัยที่ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดว่า

“เอาน่า...ไอ้โต...มึงลองคิดมุมกลับ ปรับมุมมองดูสิวะ ถ้ามึงได้หัวข้อทำข่าวแข่งขันกับคนอื่นเป็นข่าวที่เรตติ้งดีอยู่แล้ว อย่างข่าวการเมือง หรือข่าวบันเทิง แล้วความท้าทายมันจะอยู่ตรงไหนวะ เรตติ้งสูงสุดก็จริง....แต่เดี๋ยวคนก็ลืมเพราะมีประเด็นใหม่เข้ามาแทรก แต่คิดกลับกัน...มึงทำข่าวเกี่ยวกับสำนักทรง ข่าวลึกลับ ผีสิงต่างๆ ต่อให้มันเป็นข่าวสำหรับคนกลุ่มเล็กๆ แต่ถ้ามึงจับประเด็นน่าสนใจได้ กูว่ามันเป็นไวรัลได้เลยนะ”

ชายหนุ่มรุ่นพี่ใช้นิ้วสัมผัสหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เลื่อนไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่งให้รุ่นน้องดู “...มึงจำข่าวนี้ได้ไหม ที่มีคนเคยเชิญคนทรงเจ้ามาออกที่ช่องของเราตอนข่าวเที่ยง แล้วคนเขียนสคริปให้น้องนุ้ยผู้ประกาศข่าว เขาเล่นประเด็นเรื่องการหลอกลวงประชาชนโดนการให้ซื้อวัตถุมงคลแล้วให้เลขเด็ดแต่ละงวด แต่จุดพีคมันอยู่ตอนที่น้องนุ้ยลองท้าพิสูจน์ให้ทรงกลางรายการ แล้วพ่อปู่อะไรนั่นมันก็เข้าทรงกลางรายการเลย ถามไปถามมา มันก็แถไปเรื่อย สุดท้ายน้องนุ้ยถามว่าคดีที่เป็นข่าวดังอยู่ตอนนั้นใครเป็นฆาตรกร ไอ้พ่อปู่นั่น มันก็ทุบโต๊ะรัวๆ พูดอะไรไม่รู้จับใจความไม่ได้แล้วเป็นลมฟุบลงไปกลางรายการสดเลย....ตอนที่ออนแอร์ เรตติ้งมันไม่ดีก็จริง แต่พอหลังจากนั้นสองวันก็เป็นไวรัล...”

ชายหนุ่มรุ่นน้องจำได้ดี เพราะหลังจากนั้นสองวัน ก็มีข่าวว่ามีคนถูกหวยหลักแสน เพราะนำเลขจำนวนที่พ่อปู่ทุบลงบนโต๊ะข่าวไปซื้อลอตเตอรี่ (ท้องถิ่น)

“ผมจำได้ดิพี่ชัย...ตอนนั้นช่องก็เล่นข่าวพ่อปู่นี้ต่ออีกพักใหญ่ พองวดต่อมาคนที่ซื้อตามเลขที่มันใบ้ โดนหวยรับประทานกันระนาว”

คนเป็นรุ่นพี่ทั้งในที่ทำงานและมหาวิทยาลัยรับไอแพดกลับมา แล้วพูดว่า “ไม่ใช่แค่นั้น เพราะหลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน พ่อปู่ที่มาออกรายการก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ คนก็แห่กันไปซื้อหวยหมายเลขป้ายทะเบียนรถ ปรากฏว่าถูกกันยกใหญ่อีก แต่ตอนนั้นโดนข่าวดารามือที่สามกลบไป เลยไม่ค่อยมีคนรู้เท่าไหร่”

ชายหนุ่มรุ่นน้องมองอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่นักข่าวรุ่นพี่ต้องการจะสื่อ

“มึงไม่คิดเหรอวะ ว่าข่าวพวกนี้มันแปลก หลายสิ่งหลายอย่างบนโลกนี้ ไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ ยิ่งคนพิสูจน์ไม่ได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดความสงสัยเท่านั้น แล้วทุกวันนี้ที่เขาเสนอข่าวกัน...มันก็แค่เสนอด้านของปาฎิหาริย์ ความลึกลับต่างๆ ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ถ้ามึงเป็นคนแรกที่เปิดโปงได้ว่าวงการทรงเจ้าเข้าผีเนี่ย....มันเป็นเรื่องจริงหรือแค่แหกตา ปาฏิหาริย์จากพวกพ่อปู่ฤษีต่างๆ ที่ค่อยโชคให้ลาภชาวบ้าน มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือที่จริงแล้วปาฏิหาริย์มีจริง มันจะกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการข่าวเลยนะมึง เผลอๆ อาจทำเป็นซีรีส์ข่าวได้ทั้งสัปดาห์…”

นักข่าวรุ่นพี่แอบลอบมองหว่างคิ้วโตนนท์ที่เริ่มคลายความเครียดลง จึงรีบเสริมต่อว่า “...แล้วยิ่งกว่านั้น ถ้ามึงเปิดโปงข่าวพวกนี้ได้ ก็จะช่วยให้ชาวบ้านหลายคนที่กำลังหลงผิดกับการเอาเงินไปพนันกับโชคชะตาได้ด้วย ถือว่าช่วยเหลือคนไปในตัว...เอาน่า...ลองดูสักตั้งจะเป็นไร เดี๋ยวกูเป็นที่ปรึกษาข่าวให้มึงเอง”

โต หรือโตนนท์ตามป้ายชื่อที่คล้องอยูที่คอพยักหน้าให้รุ่นพี่ แล้วบอกไปว่าเขาจะลองคิดดูอีกที ก่อนจะลุกขึ้นกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

โตนนท์ทำงานในบริษัทที่ปิดข่าวให้กับช่องดิจิตัลทีวีช่องหนึ่งมาเป็นเวลากว่าสี่ปี สั่งสมประสบการณ์ในการทำข่าวมาตลอด แม้เงินเดือนจะไม่ก้าวหน้าเท่าที่ใจต้องการ...แต่ประสบการณ์และความท้าทายกลับพาตัวเขาก้าวกระโดดไปอย่างไม่หยุดหย่อน

โตนนท์เป็นหนึ่งในบุคลากรข่าวสายลุยที่ใครหลายคนบริษัทจับตามอง หนักเอา เบาสู้...เวลาข่าวก็คือเวลาชีวิตของเขา จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายๆ ครั้งช่องที่บริษัทของเขาส่งข่าวให้ มีเรตติ้งสูงกว่าช่องอื่น เพราะมีข่าวอยู่ที่ไหน...มีโตนนท์อยู่ที่นั่น

อย่างประเด็นข่าวล่าสุดที่เป็นกระแสอยู่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ป้าแท้ๆ ลักพาตัวหลานในไส้หายไปหลายวัน...กระทั่งเริ่มมีการแชร์กันในโซเชียลว่ามีการลักพาตัวเด็กวัย 3 ขวบหายไป จนทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่ต้องส่งข้อความมาทางเฟสบุ้คของรายการข่าว โตนนท์ผู้เห็นข้อความนั้นเป็นคนแรกจึงรีบตอบกลับและถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น จึงได้ความว่า พ่อและแม่ของเด็กว่าจ้างให้พี่สาวแท้ๆ ของผู้เป็นแม่ช่วยเลี้ยงดูลูกสาวของตนเอง เพราะตนและสามีทำงานราชการด้วยกันทั้งคู่จึงไม่สามารถดูแลได้ นับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งเกิดเรื่องลักพาตัวแล้วที่ป้าคนนี้ทำหน้าที่เป็นผู้บริบาลหลานของตนเองเป็นอย่างดี

โตนนท์จึงสอบถามกลับไปทางพ่อแม่ว่ามีเหตุจูงใจใดที่ทำให้ผู้เป็นป้าแท้ๆ ของหลาน ต้องลักพาตัวหลานหายไป ผู้เป็นพ่อและแม่ก็ตอบไม่ได้ เพราะตนเองก็ได้ให้เงินค่าตอบแทนอย่างสม่ำเสมอตรงเวลา และมีการเพิ่มให้เป็นกรณีพิเศษหลายครั้ง เพราะเห็นแก่ความสนิทชิดเชื้อกัน อีกทั้งลูกของตนเองก็เห็นป้าเป็นผู้ที่น่าไว้ใจไม่ต่างจากพ่อและแม่ เหตุการณ์ต่างๆ ดูจะไร้มูลเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องได้ จนกระทั่งโตนนท์ได้เข้าไปขอทำข่าวเรื่องนี้กับ บ.ก.สำนักข่าวจนได้รับอนุญาต จึงชวนน้องฝึกงานคนหนึ่งลงพื้นที่สำรวจเพื่อหาข้อมูล

3 วันที่แล้ว...เขาสอบถามจากเพื่อนบ้านของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็เล่าให้ฟังว่าเห็นผู้เป็นป้ารักและเอ็นดูหลานดี เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของหลานก็สะอาดสะอ้านแสดงให้เห็นว่าดูแลหลานเป็นอย่างดี ตอนเย็นๆ ก็พาหลายออกมาเดินเล่นเตาะแตะทักทายเพื่อนบ้านจนเป็นภาพที่ชินตาผู้คนในหมู่บ้านจัดสรร...แต่เวลา 5 โมงเย็นเมื่อไหร่ป้าจะต้องรีบกลับบ้านทันที บางครั้งก็มีปากเสียงกับพ่อแม่แท้ๆ ของหลานที่กลับบ้านช้ากว่าปกติ

“หมายความว่ายังไงครับ ที่ว่าต้องรีบกลับบ้าน 5 โมงเย็นทุกตรงเวลาทุกวัน” โตนนท์ถามป้าข้างบ้านที่ให้สัมภาษณ์กับเขาอย่างออกรส ราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว

“โอ้ย...ตอนแรกป้าก็นึกว่าแม่ศรี...ป้าหมายถึงป้าที่รับเลี้ยงเด็กนั่นแหละ ต้องพูดนามสมมติมั้ย”

“ไม่ต้องครับป้า ดูดเสียงออกได้”

“ตอนแรกป้าก็นึกว่าแม่ศรีจะต้องรีบกลับไปหุงหาอาหารให้ผัว หรือมีธุระสำคัญ แต่พอป้าลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดู เขาก็บอกว่าต้องรีบไปไหว้...ป้าก็งง คนอะไร๊ ต้องรีบไปไหว้พระขนาดนั้น อย่างป้านี่ถือศีลตลอด ก่อนนอนก็ไหว้พระ ไม่เห็นต้องเร่งรีบขนาดนั้น”

โตนนท์ขมวดคิ้ว ส่งสายตาสงสัยไปให้กับตากล้องคู่ใจชื่อกัน ที่ยืนอยู่ข้างๆ ฝ่ายนั้นก็ทำหน้าสงสัยไม่แพ้กัน

“รีบกลับไปไหว้พระที่บ้านเหรอครับ?”

“ใช่แล้วพ่อหนุ่ม...บางครั้งเห็นหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง มีดอกไม้เอย ธูปเทียนเอย สีแดงทั้งถุงเชียว” ป้าข้างบานหล่อนให้สัมภาษณ์อย่างออกรสจนนักข่าวหนุ่มจินตนาการภาพตามได้ไม่ยาก

“ป้ารู้ไหมครับ ว่าบ้านป้าที่หายตัวไปพร้อมหลานอยู่แถวไหน...ผมว่าจะไปถ่ายภาพเก็บไวหน่อย”

“อยู่ไม่ไกลหรอกพ่อหนุ่ม...เดินไปก็ถึง” ป้าข้างบ้านเดินออกมายืนกลางถนนหลักของหมู่บ้านจัดสรรก่อนจะชี้ไม้ชี้มืออธิบายการเดินทางไปยังบ้านของป้าผู้ต้องสงสัยว่าเป็นต้นเหตุในการหายตัวไปของเด็กน้อย

โตนนท์กับตากล้องคู่ใจเดินตรงไปตามถนนคอนกรีตประจำหมู่บ้านจนเกือบจะสุดซอย ก็เจอทางแยกเล็กๆ ทางซ้ายมือ เขาจึงเดินเลี้ยวเข้าไปตามคำบอกเล่าที่ได้ฟังมา

ซอยเล็กๆ นั่นเชื่อมไปสู่สะพานไม้เก่าๆ ที่ดูทรุดโทรม ข้างทางมีรั้วลวดหนามเพื่อกั้นแบ่งเขตพื้นที่ของหมูบ้านจัดสรรกับสวนของชาวบ้านไว้ เมื่อเดินผ่านบ้านสวนสองสามหลัง สายตาของโตนนท์ก็ปะทะเข้ากับบ้านไม้ทรงปั้นหยาหลังใหญ่ที่มีรั้วล้อมไว้รอบบริเวณ

“ขนลุกแปลกๆ ว่ะพี่ บ่ายสามแท้ ๆ แต่ครึ้มอย่างกับตอนค่ำ” ตากล้องรุ่นน้องคู่ใจลูบแขนตัวเอง แสดงท่าทีหวาดหวั่น

“มึงอย่าคิดมาไอ้กัน บ้านสวนก็แบบนี้...ต้นไม้ใหญ่ๆ เยอะ ทั้งต้นยางนา ทั้งมะพร้าวน้ำหอม มันเลยครึ้มแปลกๆ ...เอ้า...มึงถือกระเป๋าให้กูหน่อย”

“เห้ย...จะทำไรวะพี่” ตากล้องคู่ใจรับกระเป๋าที่ถูกโยนมากะทันหันไว้ พยายามเอ่ยห้ามสิ่งที่นักข่าวหนุ่มกำลังกระทำ “เดี๋ยวๆ ...นี่พี่จะปีนรั้วเข้าไปจริงๆ เหรอพี่...เกิดเจ้าของบ้านเขายิงออกมาทำไง ลงมาก่อน”

ตุ้บ! นักข่าวหนุ่มกระโดดลงจากรั่วบ้านแล้วเดินมาเอาหน้าแนบชิดกับรั้วไม้คุยกับรุ่นน้อง

“กูถามมาแล้ว บ้านหลังนี้ป้าผู้ต้องสงสัยอยู่คนเดียว แล้วก่อนหน้านี้ก็มีตำรวจมาบุกค้นแล้ว ไม่มีใครอยู่บ้าน...สองสามวันมาเนี่ยชาวบ้านในละแวกนี้ก็ไม่เห็นหน้าแกมาสักพักแล้ว เดาว่าแกคงพาหลานหนีไปต่างจังหวัดแล้ว กุว่าจะเข้าไปเก็บรูปข้างในไว้หน่อย...ดูจากสีหน้าแล้ว...มึงไม่กล้าเข้ามาล่ะสิ”

“ไม่...ไม่ใช่ผมไม่กล้าพี่...แต่...บ้านเก่าขนาดนี้ แถมไปบ้านทรงไทยด้วย มันน่าขนลุกแปลกๆ ผมว่าเรากลับกันเหอะพี่ แค่นี้ก็ได้ข้อมูลมากพอแล้ว...” ตากล้องคู่ใจเอ่ยน้ำเสียงสั่นๆ

“กูว่าแล้ว มึงนี่มันปอดแหกตลอด...เอาเหอะ มึงไม่เข้ามาก็ไม่เป็นแรก ดูลาดเลาอยู่ตรงนี้แล้วกัน...ส่งกล้องมาให้กู” โตนนท์แบบมือขอกล้องจากรุ่นน้อง

“แน่ใจนะพี่?”

“ถ้ามึงถามอีกคำเดียว กูจะปีนกลับไปเอาเอง...แล้วมึงก็น่าจะเดาออกว่าถ้าปล่อยให้กูปีนกลับไปเอา มึงจะโดนอะไร” ท่าทางเอาจริงของนักข่าวหนุ่มทำเอารุ่นน้องที่ยืนอยู่อีกฝั่งของรั้วต้องรีบปลดสายสะพายกล้องแล้วส่งให้

โตนนท์ยืดตัวขึ้นแล้วเอื้อมมือออกไปรับกล้องถ่ายรูปเข้ามา..อันที่จริง เขาไม่ได้จะทำอะไรไอ้รุ่นน้องปอดแหกคนนี้หรอก แต่รู้อยู่ว่ามันขี้กลัว...ขู่นิดๆ หน่อยๆ ก็ยอมทุกอย่าง

“ตอนนี้เวลาบ่ายสามสิห้านาที...” โตนนท์ยกข้อมือขึ้นดู “...อีกครึ่งชั่วโมงกูออกมา มึงรออยู่ใต้ต้นชมพู่ตรงนั้นแล้วกัน...อย่าแอบแดกชมพู่เขาหมดล่ะมึง เดี๋ยวโดนข้อหาลักทรัพย์”



โตนนท์ต้องใช้ความระมัดระวังค่อนข้างสูง เพราะบันใดบ้านที่ทอดไปสู่ชั้นสองนั้นค่อนข้างเก่า บางขั้นเอียงจนน่ากลัวว่าจะหักลงมาถ้าผู้ชายร่างกำยำอย่างเขาเหยียบลงไปเต็มแรง จึงต้องค่อยๆ ผ่อนแรงก่อนจะเหยียบขึ้นขั้นต่อไป ไม้กระดานบนบ้านลั่นเอี๊ยดอ๊าดตามจังหวะการเดินของชายหนุ่ม จั่วและมุกด้านหน้าดูเก่าทรุดโทร มีใยแมงมุมเกาะอยู่เขรอะตามลายฉลุบนซุ้มประตู สีไม้เก่าๆ ของตัวเรือนก็ทำให้เขารู้สึกประหลาด...แค่ไม่คุ้นเคย ไม่ได้กลัวเหมือนไอ้ตากล้องที่กำลังที่ยืนเด็ดลูกชมพูกินอยู่ตอนนี้หรอก

โตนนท์เดินเข้าไปใกล้ประตูบ้าน จึงเห็นว่ามีแม่กุญแจเก่าๆ คล้องอยู่แต่ไม่ได้ล็อก ตรงแม่กุญแจมีรอดการงัดด้วยของแข็ง น่าจะเกิดจากการบุกเข้าตรวจค้นเมื่อหลายวันก่อน เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจค้น เจ้าหน้าที่จึงน่าจะคล้องไว้เฉยๆ โตนนท์ใช้ความคิดอยู่แวบเดียวก็ถอดแม่กุญแจออกจากประตูไม้เก่าๆ

เอี๊ยด!!! เสียงเสียดสีกันของสนิมบนบานพับของประตูบ้านดังขึ้นชวนขนลุก

“ฮัด…เช่...” ชายหนุ่มยกแขนขึ้นปิดปากที่กำลังจะจามไว้ได้ทัน ฝุ่นที่ปะทะเข้าจมูกทำให้เข้าเผลอจามออกมาอีกสองสามที เมื่อสายตาปรับชินกับความมืดภายในบ้าน เขาก็ต้องตกตะลึงกับหิ้งพระขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางบ้าน มีสายสิญจน์ระโยงระยางไปทั่วบ้าน เชื่อมต่อกับรูปเก่าๆ ที่แขวนอยู่บนผนัง ตลอดจนผ้ายันต์ที่แปะอยู่บนหน้าต่างทุกบานที่ปิดสนิท บรรยากาศดูราวกับโลเคชั่นหนังผีก็ว่าได้

แชะ!

นักข่าวหนุ่มยกกล้องขึ้นถ่ายรูปจดแฟลชสว่างวาบไปทั่วบ้าน เขาเดินช้าๆ แล้วถ่ายรูปผ้ายันต์สีแดงที่แปะอยู่บนหน้าต่างรอบบ้าน

แชะ!

เขาถ่ายรูปกรอบรูปเก่าๆ ที่แขวนอยู่เหนือหน้าต่าง บนรูปคือภาพถ่ายขาวดำของคนโบราณ สายตามองมาที่กล้องราวกับไม่พอใจที่มีผู้มาบุรุกบ้านของตนเองโดยไม่ได้รับเชิญ

แชะ!

เขาเก็บภาพหิ้งพระขนาดใหญ่กลางบ้านที่เขาเข้าใจว่าคงตั้งพระพุทธรูปไว้ส่วนบนสุดของหิ้ง แต่เมื่อแสงแฟลชสาดไปตกกระทบ เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะสิ่งที่อยู่บนสุดของหิ้งไม่ใช่พระ แต่เป็นรูปปั้นสีดำๆ รูปทรงแปลกๆ ตั้งอยู่แทน โตนนท์หยิบโทรศัพท์มือถืออกมาเปิดแฟลชแล้วส่องไปยังรูปปั้นรูปนั้น

“เชี่...”

เขาอุทานออมาเบาๆ เพราะรูปปั้นนั้นดูคล้ายยักษ์ หรืออสูรอะไรสักอย่าง มันมีเขี้ยวออกมาจากสองข้างปาก รอบคล้ำๆ บนใบหน้ารูปปั้นก็ดูเกรอะกรังราวกับมีของเหลวป้ายซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดเป็นคราบ

“บูชาอะไรวะเนี่ย” โตนนท์พูดขึ้นมาเบาๆ

ตึง!!!

“เฮ้ย!”

เสียงประตูฟาดปิดจากด้านหลังทำเอานักข่าวหนุ่มสะดุ้งด้วยความตกใจ เขาพยายามคิดว่าคงเป็นเพราะลมแรงที่พัดดันบานประตูจนปิด จึงไม่ได้สนใจ ยกกล้องขึ้นถ่ายภาพเคลื่อนไหวในบ้านอีกรอบเผื่อใช้เป็นภาพที่แทรกระหว่างออกอากาศได้ ภาพในกล้องบางช่วงเป็นสีขาวดำเพราะความมืด ตัดสลับกับสีเขียวเพราะระบบอัตโนมัติของกล้องที่พยายามถ่ายวัตถุท่ามกลางความมืด

ฮิๆ

โตนนท์ชะงักกึก

เมื่อกี๊เสียงดังเหมือนกับเด็กกำลังหัวเราะแว่วเข้าหู...ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองว่าคงเป็นอาการหูแว่ว ไม่ก็คิดไปเองเพราะบรรยากาศในบ้านตอนนี้มันโคตรจะสนับสนุนจินตนาการเรื่องลึกลับ

ฮิๆ

“ใครวะ?” โตนนท์ตะโกนถามขึ้น เพราะครั้งนี้มันชัดเจนจนเขามั่นใจว่าต้องมีใครอยู่ในบ้าน

“ไอ้กัน...มึงหรือเปล่า”

เขาถามออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่แน่ๆ เพราะเสียงที่เขาได้ยินนั้นมันเล็กแหลม เหมือนเสียงผู้หญิง หรือไม่ก็เสียงเด็กเล็กๆ มากกว่า

“ใครวะ ออกมานะเว้ย” เขาตะโกนถามออกไป พยายามจะคิกว่าต้นเสียงดังมาจากที่ไหนก็ตอบตัวเองไม่ได้ เพราะเสียงที่ยินมันเหมือนดังก้องอยู่ในหูของเขาเอง

“ครืดดดดด” เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจนนักข่าวหนุ่มสะดุ้ง

“ฮัลโหล พี่ชัย ว่าไงพี่...ผมลงพื้นที่....คดีเด็กหายอะ...คงเข้าอ๊อฟฟิศค่ำมั้งๆ พี่....คัดเลือกหัวหน้าที่ข่าวอาชญากรรม อ๋อนึกออกแล้ว...ที่พี่ต่ายจะให้แข่งกันทำข่าวอะนะ...พี่หยิบฉลาดแทนผมไปเลย...เออ...หยิบแทนไปเลยพี่ ผมไม่ว่าพี่หรอก....แน่ใจๆ แต่หยิบให้ได้ข่าวดีดีหน่อยก็แล้วกัน ไอ้พวก...คนทรง เรื่องลึกลับนี่ไม่เอานะ...แค่นี้แหละพี่”

สาเหตุที่ไม่เอาข่าวลึกลับ ไม่ใช่เพราะมองว่ามันเป็นข่าวไร้สาระหรืออะไรหรอกนะ แต่บรรยากาศหรือบางสิ่งบางอย่างในบ้านไม้โบราณหลังนี้มันบอกให้เขาหนีข่าวพวกนี้ไปไกลๆ ถ้าเป็นไปได้ขอเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกันที่ต้องตกอยู่ในบรรยากาศวังเวงแบบนี้

“น้าๆ”

“เฮ้ย!!! ไอ้หนูมาจากไหน จู่ๆ โผล่มา ตกใจหมด” โตนนท์สะดุ้งเฮือก เพราะเสียงเล็กๆ ของเด็กชายวัยสักประมาณห้าหกขวบดังขึ้นจากด้านหลัง

“น้ามาทำไรที่นี้...ฮิๆ”

“อ๋อ เสียงที่น้าไอ้ยินหัวเราะฮิๆ นี่เสียงหนูเองเหรอ ตกใจหมดนึกว่าเสียงผี แล้วหนูมาทำไรที่นี่ บ้านอยู่ไหน?”

เด็กผู้ชายตัวจ้อยในชุดเอี๊ยมยิ้มยิงฟันหลอให้เห็น แล้วถามว่า “น้ากลัวผีเหรอจ๊ะ...กลัวทำไม ทุกคนตายไปก็เป็นผี” nเด็กน้อยถามเสียงใสซื่อ

“น้าไม่ได้กลัว แต่นึกว่าเป็นเสียงผีเฉยๆ หนูตอบน้าได้ยัง ว่ามาทำอะไรบนนี้ แล้วบ้านหนูอยู่ไหน”

โตนนท์ย่อตัวลงเพื่อคุยกับเด็กน้องผู้มาใหม่...เอาเข้าจริงๆ การที่มีเด็กอีกคนอยู่เป็นเพื่อนในที่ที่เงียบและวังเวงแบบนี้ก็ดีกว่าต้องอยู่คนเดียวแหละน่า

“อยู่ที่นี่แหละจ้า”

“หมายความว่ายังไง อยู่ที่นี่...ที่บ้านหลังนี้เนี่ยนะ อยู่กับใคร อยู่คนเดียวเหรอ พ่อกับแม่หนูไปไหน ทำไมกล้าทิ้งลูกให้อยู่คนเดียววะ”

เด็กน้อยหุบยิ้มทันควัน จ้องตาเขม็งมายังนักข่าวหนุ่ม “น้าถามมากจัง ทำไมน้าไม่ตอบหนูบ้าง ว่ามาทำอะไรที่นี่”

“คือ...น้ามา...หาคน” แม้โตนนท์จะเกิดคำถามร้อยพันขึ้นในหัว แต่สายตาของเด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า มันก็ทำให้เขาต้องรีบตอบออกไปโดยอัตโนมัติ “น้ามาหาป้าเจ้าของบ้าน แต่เห็นประตูไม่ได้ล้อกไว้ ก็เลยเดินเข้ามา”

“อ๋อ! น้ามาหาแม่หนูเหรอจ๊ะ?”

“แม่?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว จากข้อมูลที่เขาได้รับรู้มา เจ้าของบ้านไม่มีลูกแน่นอน ถึงหล่อนจะเคยมีสามี แต่กระทั่งสามีเสียชีวิตไป หล่อนก็ไม่มีทายาทไว้สืบสายเลือดสักคน “น้าไม่เห็นรู้ ว่าแม่หนูมีลูกด้วย”

“ฮิๆ มีสิจ๊ะ หลายคนเลย แล้วตอนนี้ แม่ก็กำลังจะมีน้องคนใหม่ให้พวกหนู คราวนี้น่าจะพิเศษกว่าทุกครั้งด้วย เพราะน้องหนูคนนี้โตมากๆ แล้ว สักสามขวบได้มั้ง”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง แม่ของหนูเขามีสามีใหม่ แล้วมีลูกด้วยกันงั้นเหรอ แล้วตอนนี้แม่ของหนูอยู่ที่ไหน บอกหน้ามาหน่อย...ทุกคนกำลังตามหา...เอ่อ น้าหมายถึงทุกคนกำลังคิดถึงแม่ของหนู หนูรู้ไหม ว่าเขาอยู่ไหน”

“รู้สิจ๊ะ ฮิๆ”

“งั้นบอกน้ามาหน่อย” ชายหนุ่มเผลอหลุดยิ้มด้วยความดีใจ ถ้าเขาเข้าใกล้ตัวผู้หญิงคนนั้นได้ก่อน ไม่แน่ว่าภาพข่าวที่ออกอากาศในวันพรุ่งนี้ อาจเป็นภาพแรกของผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งที่ไม่เคยมีข่าวช่องไหนได้ภาพมาก่อน

“ได้จ้า...แต่น้าต้องเล่นปิดตาซ่อนแอบกับหนูก่อน”

“อะไรนะ...ไม่เอาน่าหนู...น้ากำลังรีบ บอกน้าหน่อย...น้ามีรางวัลให้ด้วยนะคนเก่ง” โตนนท์เอาของขวัญมาล่อ

“ไม่เอา!!!” จู่ๆ เด็กน้อยก็ตวาดขึ้น “ถ้าไม่เล่น...ก็ไม่บอก ถ้าไม่เล่น...ก็ไม่บอก ถ้าไม่เล่น...ก็ไม่บอ..”

“โอเคๆ พอแล้ว เล่นก็เล่น...ไหน...เล่นยังไงบอกมา” โตนนท์บอกเด็กน้อยอย่างอ่อนใจ

“น้าเดินไปปิดตาตรงเสาต้นนั้น แล้วหนูจะร้องเพลง...น้าก็ฟังเสียงหนูถ้าเสียงหนูเงียบเมื่อไหร่ น้าเริ่มหาได้” เด็กน้อยชี้ไปยังเสาไม้กลางบ้านที่มีผ้าอะไรสักอย่างพันอยู่ แล้วชี้แจงกติกาอย่างอารมณ์ดี “ถ้าน้าหาหนูเจอ หนูจะยอมบอกที่อยู่แม่...แต่ถ้าน้าโดนหนูโป้ง น้าต้องยอมทำตามหนูทุกอย่าง”

“ทุกอย่างเลยเหรอ...ก็ได้ๆ”

ยอมเล่นกับเด็กสักหน่อย...เผื่อได้เบาะแสของข่าวบ้าง...โตนนท์ยกนาฬิกาขึ้นดู อีกครึ่งชั่วโมงจะห้าโมงเย็นละ นี่เขาเข้ามาในบ้านนานขนาดนี้เชียว แสงที่ลอกเข้ามาตามช่องหน้าต่างก็น้อยลงทุกที ยิ่งทำให้บรรยากาศบนบ้านวังเวง

“พร้อมหรือยังน้า” เด็กน้อยถามเสียงใส

“พร้อมแล้ว”

“เอาผ้ามาปิดตาด้วย”

“ผ้าไหน?” โตนนท์ถาม

“ก็ผ้าที่ผูกอยู่ตรงเสาไงจ้ะ ดึงออกมาเลย”

โตนนท์หรี่ตามองผ้าผืนหนึ่งที่ผูกอยู่ตรงเสากลางบ้าน...ถ้าไม่ใช่เพราะเบาะแสข่าว เขาไม่ยอมทำขนาดนี้หรอก

ชายหนุ่มยื่นมือไปปลดผ้าออกมาจากเสา แล้วพับให้เล็กลงอีก จากนั้นนำมาผูกปิดตาไว้

“พร้อมมั้ยน้า..ห้ามแอบมองนะ ถ้าแอบมอง เท่ากับโกง...คนโกงต้องตาย!”

“เห้ย! แค่เล่นปิดตาซ่อนแอบ ถึงกับต้องตายเลยเหรอ”

โตนนท์ขำกับความแสบของเด็กน้อย เขายืนนิ่งๆ ฟังเสียงฝีเท้าของเด็กที่ก้าวถอยหลังห่างจากตัวเขาไปช้าๆ เสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้กระดานค่อยๆ ดังห่างออกไป

“ห้ามเปิดตาจนกว่าหนูจะหยุดร้อง...

นกกระจิบเอย บินมาเลียบเทียมเมฆ

ตัวไหนจะเป็นเอก การเวกเจ้าตัวเดียวเอย

เจ้านกกาเหว่าเอ๋ย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก

แม่กาก็คิดลัก คาบเจ้าไปในรังนอน

จิใช้เจ้าเป็นเหยื่อ แทนเนื้อ-ผกาสร

บูชาเทพบิดร รากษสธรณิศ


โตนนท์นึกว่าเด็กน้อยจะร้องเพลงแรป หรือเพลงป๊อปที่ดังๆ ในยุคนี้ ที่ไหนได้ เด็กน้อยคนนั้นกลับร้องเพลงกล่อมเด็กออกมา แถมเนื้อความของเพลงกล่อมเด็กยังแปลกประหลาด จับใจความไม่ค่อยได้ จะบอกว่าคุ้นหูก็คุ้น...แต่บางท่อนก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

น้ำเสียงสนุกสนานของเด็กน้อยเริ่มถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มพยายามจับทิศทางของเสียง แต่ก็จับไม่ได้ เพราะตอนนี้เหมือนเขากำลังยืนอยู่ในโรงภาพยนตร์ที่มีระบบเสียงรอบทิศทาง เดี๋ยวเสียงก็ดังมาจากทางซ้าย แล้ววนไปทางด้านขวา หนักๆ เข้าก็รู้สึกว่าเสียงดังมาจากบนหัวเขาด้วยซ้ำ

“หาได้หรือยัง?” ชายหนุ่มถามขึ้นเพราะรู้สึกถึงอุณหภูมิในบ้านที่ต่ำลงเรื่อยๆ ราวกับเปิดแอร์เย็นๆ หลายตัวพร้อมกัน

เสียงร้องเพลงกล่อมเด็กยังดังแว่วมาราวกับสายลม บางเบา วังเวง จับทิศทางไม่ได้

ตึกๆๆๆ!!!

เสียงฝีเท้าเล็กๆ วิ่งไปบนพื้นผ่านหน้าเขาไป

ตึกๆๆๆ!!! ชั่ววินาทีเท่านั้น เสียงฝีเท้าเล็กๆ ก็วิ่งผ่านไปทางด้านหลังแทน

ตึกๆๆๆ! เสียงฝีเท้าวิ่งไปทางด้านซ้าย จนเขาต้องหันตาม

ตึกๆๆๆ!

เสียงฝีเท้าดังมาจากบนขื่อบ้าน


“เฮ้ย!” ชายหนุ่มเปิดผ้าปิดตาออกทันที ทันใดนั้นเสียงฝีเท้า และเสียงร้องเพลงก็เงียบลง

“ไอ้หนู...ไอ้หนูอยู่ไหน?”

เงียบ...ไม่มีเสียงตอบกลับมา

“ไอ้หนู...ออกมาเถอะ น้าไม่เล่นแล้ว ออกมาได้แล้ว”

โตนนท์พยายามเรียกให้เด็กน้อยออกมา แต่ก็เปล่าประโยชน์...ไม่มีเสียงตอบกลับมา

แสงจากภายนอกหมดไปแล้ว บรรยากาศในบ้านจึงยิ่งวังเวงจนน่าขนลุก...สัญชาติญาณส่วนลึกของโตนนท์บอกว่าเขาควรออกไปจากบ้านหลังนี้...เดี๋ยวนี้! เขาจึงรีบหันหลังกำลังจะเดินออกไปจากบ้าน

แต่พอผ่านหน้าหิ้งพระกลางบ้านหางตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ที่ตั้งอยู่หน้าหิ้งพระ...ไม่สิ...ต้องเรียกว่าหิ้งวางรูปปั้นยักษ์

โตนนท์ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นถ่ายสิ่งนั้นไว้ ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากบ้านนั้นทันที





“ไอ้พี่โต...หายไปไหนมาวะ ผมตะโกนเรียกอยู่เป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ออกมา กำลังจะโทรแจ้งตำรวจ” ตากล้องคู่ใจถามด้วยนำเสียงกังวลปนประหม่า

“มึงจะบ้าหรือไง โทรแจ้งตำรวจให้มาจับกูเหรอ...ไปๆๆๆ ออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” โตนนท์ส่งกล้องให้รุ่นน้องแล้วหยิบมือถือออกมาเปิดแฟลชส่องนำทางออกมาจากบ้านหลังนั้น บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดเพราะเวลาล่วงเข้าสู่พลบค่ำ

เขารีบจ้ำอ้าวราวกับหลบหนีอะไรสักอย่าง ตากล้องคู่ใจเมื่อเห็นแบบนั้นเซนส์ของคนกลัวผีที่ฝังลึกอยู่ในร่างกายก็หาคำตอบให้เขาเองได้ทันที...พี่โตคงเจอดีเข้าแล้ว

“ไม่ต้องถามอะไร รีบออกไปจากที่นี่กันก่อน”

เมื่อสองหนุ่มเดินออกมาถึงหน้าหมู่บ้าน ก็เข้าไปนั่งในรถกระบะคันสีดำที่ใช้ลุยข่าวของโตนนท์ ก่อนที่ทั้งสองจะปล่อยลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่...ตอนที่เดินกึ่งวิ่งออกมาไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด เหมือนปอดจะกักลมหายใจไว้เป็นพลังในการหนีเอาตัวรอด พอรู้ว่าอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ร่างกายจึงค่อยกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ผลสุดท้าย...หอบเหมือนวิ่งมาราธอนกันทั้งคู่

โตนนท์เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้รุ่นน้องฟังอย่างไม่ปิดบัง แม้กระทั้งเรื่องที่พบเด็กชายลึกลัยที่มาร้องเพลงให้ฟัง กระทั่งเล่ามาจนถึงตอนที่เขาวิ่งออกมาจากบ้าน ตากล้องคู่ใจก็ถามขึ้นว่า

“อ่าว...แล้วพี่ทิ้งเด็กตรงนั้นได้ไง ค่ำมืดแล้วด้วย”

โตนนท์ถอนหายใจ แล้วดึงกล้องถ่ายรูปมาจากรุ่นน้อง กดดูรูปในกล้องแล้วซูมสองสามครั้ง ก่อนจะส่งให้เจ้าของกล้องดู

“รูปอะไรพี่...เชี่ย...นี่มันรูปวางหน้าศพ! ถ่ายมาทำไมวะ ขนลุก บอกวันตายไว้ด้วยอะ...ยังเด็กอยู่เลย”

โตนนท์หันมาสบตากับรุ่นน้องคนสนิท เขาพูดอย่างแน่วแน่ว่า

“กูไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วกูก็ไม่รู้ว่ามึงจะเชื่อกูหรือเปล่า...แต่เด็กในภาพเนี่ย คือเด็กคนเดียวกับที่กูเล่าให้มึงฟัง...ใช่ เด็กที่เล่นซ่อนแอบกับกูนั่นแหละ!



*****************


 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ /ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 24-06-2021 00:12:14
ขอขอบคุณนักอ่านใจดีที่แวะมาครับ
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ /ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-06-2021 00:19:02
 :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ /ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 24-06-2021 16:46:59
กำลังอ่านเพลินๆสรุปโดนผีหลอกใช่ไหม :ling3:
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ /ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 25-06-2021 17:39:20
ขนลุกกกกกก.....  :ling3:
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ /ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-06-2021 21:21:32
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ /ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 26-06-2021 19:26:38
ตอนที่ 2 บูชายัญ



          หลังจากกลับจากการลงพื้นที่ในวันนั้น โตนนท์ก็มีเพื่อนร่วมห้องเพิ่มอีกหนึ่งคนได้แก่ตากล้องคู่ใจอย่างกันตพงษ์ เพราะเจ้าตัวยืนยันเสียงแข็งว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไร ก็ไม่มีทางกลับนอนที่ห้องคนเดียวแน่นอน...โตนนท์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเห็นท่าทางตัวสั่นๆ ดูหวาดระแวงจนเหมือนจะจับไข้ของกันตพงษ์ ก็ทำให้เขาต้องยอมใจอ่อนปล่อยให้รุ่นน้องในที่ทำงานมาอาศัยอยู่ที่ห้องด้วยกัน

            คืนนั้นทั้งคืนโตนนท์พยายามขบคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าทำไมผีเด็กน้อยคนนั้น...หรือจะเรียกสรรพนามว่าอย่างไร...ผีเด็กน้อย ‘ตน’ นั้น มาหลอกหลอนเขาทำไม?

        “แม่หนูกำลังจะมีลูกเพิ่มอีกหนึ่ง...คราวนี้โตแล้วด้วย...สามสี่ขวบ”

        “บ่นอะไรพี่โต”

        “อ่าว! ไอ้กัน...นึกว่ามึงหลับแล้วซะอีก” โตนนท์ทักตากล้องรุ่นน้องที่ปูที่นอนอย่ข้างๆ เตียง

        “ยังไม่นอนหรอกพี่...เจอเรื่องมาขนาดนี้ใครจะหลับลง...”

        โตนนท์เอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง แล้วกดดูเวลาบนหน้าจอมือถือที่วางอยู่ใกล้กัน หน้าจอบอกเวลาตีสามครึ่งพอดี เจ้าตัวจึงยันตัวลูกขึ้นใช้หมอนรองกับหัวเตียงแล้วพิงลงไป

        กันตพงษ์เมื่อเห็นรุ่นพี่เปิดไฟ เจ้าตัวจึงลุกขั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียง ควานหาแว่นตาที่อยู่ข้างหมอนขึ้นมาสวมแล้วถามคนที่นั่งใช้ความคิดอยู่บนเตียงว่า “เป็นไรพี่...นอนไม่หลับเพราะกลัวผีเหมือนกันเหรอ”

        “กูไม่ได้ปอดแหกแบบมึง...” โตตนนท์หันมาว่ารุ่นน้อง “…กูแค่กำลังใช้ความคิด...กูสงสัยว่าทำไมไอ้เด็กคนนั้นจึงต้องมาหลอกกูด้วย แล้วเรื่องที่กูเจอบนบ้านผีสิงนั่นเมื่อตอนเย็น...จะเกี่ยวอะไรกับคดีเด็กหายตัวไปหรือเปล่า แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”

         กันตพงษ์พยักหน้ารับรู้ เขาเองก็สงสัยไม่แพ้กัน...พยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่โตนนท์เล่าให้ฟังเมื่อเย็นแล้วจึงพูดทบทวนความจำกับตัวเองว่า " พี่บอกว่ามีเด็กออกมาบอกว่าอยากเล่นด้วย แล้วจู่ๆ เด็กคนนั้นก็กลายเป็นผี แต่ป้าผู้ต้องสงสัยก็ไม่มีลูก...จะเป็นไปได้มั้ยพี่ที่ป้าเขาอาจจะมีลูก แต่ลูกของแกไม่ใช่คน?”

        โตนนท์ขมวดคิ้ว ลุกขึ้นมานั่งห้อยขาข้างเตียงแล้วพูดว่า “มึงหมายความว่าไงวะ...มีลูก แต่ลูกไม่ใช่คน...ลูกแกเป็นผีเหรอ”

        กันตพงษ์ยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์บอกให้โตนนท์เบาเสียงลงหน่อย

       “อย่าพูดดังไปพี่...ยิ่งพี่พูดคำนั้นออกมาเท่าไหร่ เขาว่ากันว่าเท่ากับเรียกเขาให้มาฟังเรื่องที่เราพูดด้วย...ที่ผมบอกว่าลูกแกไม่ใช่คน ก็อาจจะเป็นกุมารทองไง...พี่รู้จักมั้ย?”

        โตนนท์พยักหน้ารับรู้แล้วพูดว่า “ก็เคยได้ยิน กุมารทอง...ผีเด็กให้โชคให้ลาภใช่มั้ย ที่เป็นตุ๊กตาเด็กตัวเล็กๆ”

        กันตพงษ์พยักหน้า ก่อนจะกดมือถือหาข้อมูลจากแอคเคาท์ทวิตเตอร์เรื่องลึกลับที่ตนเองติดตามอยู่ ตามประสาคนกลัวผีแต่ชอบฟัง...ชอบอ่านเรื่องผี

        “พี่คงเคยเห็นกุมารทองตามละครจักรๆ วงศ์ๆ หรือไม่ก็ในขุนแผนใช่มั้ย จริงๆ แล้วในสมัยโบราณน่ะ เขาเอาศพเด็กจริงๆ มาทำนะพี่...เอ้า...ลองดูนี่...อย่างในแอคเค้าท์นี้เค้าบอกว่าสมัยก่อนเขาจะไปผ่าเอาศพเด็กจากหญิงท้องแก่ จากนั้นเอามาย่างไฟให้แห้งก่อนถึงย่ำรุ่ง เสร็จแล้วก็เอาทองมาปิดให้ทั่ว เลยเป็นที่มาของชื่อกุมารทอง แต่ทุกวันนี้การนำศพเด็กมาทำเป็นของขลังตามความเชื่องเรื่องไสยศาสตร์มันผิดกฎหมาย พวกมีวิชาอาคมเลยเปลี่ยนเป็นหามวลสารจากที่ต่างๆ แทน เช่นพวกดินเจ็ดป่าช้า ผงขี้เถ้ากระดูก อะไรพวกนั้น”

        โตนนท์คิดตามสิ่งที่รุ่นน้องบอก ก่อนจะมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

        “เอาเด็กมาทำกุมาร...ลักพาตัวเด็ก เป็นไปได้ไหมว่าป้าคนนั้นเขาจะเอาเด็กไปทำกุมาร”

         กันตพงษ์ขนคอลุกตั้งกับสิ่งที่นักข่าวรุ่นพี่พูด “มันก็ไม่แน่...แต่ถ้าตามความเชื่อ ต้องผ่าเอาศพเด็กออกจากท้องแม่นะพี่...แต่เด็กที่ป้าลักพาตัวไปอายุตั้งเกือบสามขวบไม่ใช่เหรอ”

        โตนนท์เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ลุกพรวดขึ้นจากเตียงเดินพุ่งออกไปข้างนอกจนคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงตกใจเผลออุทานคำหยาบออกมา ไม่เกินสองนาที ชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมกล้องในมือ เขากดปุ่มเปิดแล้วเล่นภาพ เลื่อนไปมาอยู่สี่-ห้าครั้งแล้วส่งให้รุ่นน้องดู

         “มึงดูรูปปั้นนี่...ตอนที่เข้าไปในบ้านตอนแรก กูนึกว่าโต๊ะหมู่บูชานี่เป็นโต๊ะหมู่บูชาพระ แต่กูถ่ายรูปมาได้ มันดันเป็นรูปปั้นอะไรสักอย่าง...แต่ที่แน่ๆ หน้าตารูปปั้นนี่ไม่ใช่พระพุทธรูปหรือเทวดาแน่ๆ ลองซูมดูดิ...มีเขี้ยวออกมาจากปากเหมือน...”

        “เหมือนยักษ์เลยว่ะพี่ น่าขนลุก” กันตพงษ์พูดแทรกขึ้น

        “ใช่...เหมือนยักษ์ เป็นไปได้ไหมวะ...ว่าลูกกรอกพวกนั้น มีไว้เพื่อบูชาอะไรสักอย่าง”

        กันตพงษ์ขมวดคิ้ว “ไม่แน่ใจว่ะพี่ เพราะเคยได้ยินแค่ว่ามีกุมารทองเอาไว้ให้โชคให้ลาภ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าใช้เป็นเครื่องบูชาอะไรพวกนี้ได้ด้วย...อ่าว นี่ไฟล์วิดีโออะไร”

       โตนนท์ชะโงกตัวเข้าไปใกล้ตากล้องรุ่นน้อง ก่อนนึกขึ้นได้ “อ๋อ...ตอนที่เด็กนั่นชวนกูเล่นซ่อนแอบ กูแอบกดถ่ายวิดีโอไว้ด้วย กูไม่อยากเสียเวลาหา...กะว่าพอเด็กคนนั้นร้องเพลงจบ แล้วค่อยเปิดวิดีโอดูเอา”

        ใจหนึ่งของโตนนท์ก็อยากเปิดวิดีโอนี้ดู แต่เหมือนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างบอกเขาว่าอย่าเปิดเลย...อาจจะเกิดเรื่องบางอย่างที่พาเขาไปยุ่งกับสิ่งที่วุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น

       แต่ความอยากรู้อยากเห็นที่แฝงอยู่ในดีเอ็นเอเลือดนักข่าวก็ทำให้เขาอดใจไม่ไหว...ตัดสินใจกดปุ่มเล่นวิดีโอ

       ภาพในวิดีโอไหวสั่นเล็กน้อยเพราะกล้องแขวนอยู่ที่หน้าอกขณะกดบันทึก

        ภาพเบื้องหน้าไม่มีอะไรเลยน้องจากความมืดสนิทของบ้านโบราณ โตนนท์กดปุ่มเพิ่มระดับเสียงจนสุด ได้ยินเพียงเสียงเขาคนเดียวดังขึ้นราวกับกำลังสนทนาอยู่กับใครบางคน แต่ของอีกฝ่ายกลับมีแค่เสียงซ่าๆ เหมือนวิทยุเสียแทรกเข้ามา จับใจความไม่ได้...ฟังดูน่าขนลุก

        กันตพงษ์ขยับเข้าใกล้นักข่าวรุ่นพี่โดยไม่รู้ตัว ขนแขนทั้งสองข้างลุกชัน

       ชายหนุ่มทั้งสองก้มลงไปใกล้ลำโพงกล้องเรื่อยๆ

       ได้ยินเสียงทุ้มใหญ่ของชายแก่อายุราวแปดสิบปีเอื้อนเอ่ยบทกลอนทำนองเสนาะขาดเป็นห้วงๆ

         ‘เจ้า......นกกา......เหว่าเอ๋ย ไข่ไว้ให้........แม่กาฟัก แม่กา......ก็คิดลัก....คาบเจ้าไป....ในรังนอนจิใช้เจ้าเป็นเหยื่อ.......แทนเนื้อ-ผกาสร...บูชาเทพบิดร.......รากษสธรณิศ ”

       ทั้งห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศกำลังทำงาน

       มือข้างหนึ่งของกันตพงษ์จิกผ้าห่มตัวเองไว้แน่น หน้าผากมีเหงื่อชุ่ม หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว

       นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงที่น่ากลัวเช่นนี้ มันเอื้อนเอ่ยช้าๆ ราวกับบทสวดมากกว่าเพลงกล่อมเด็ก

        “พ...พี่...ได้ยินเหมือนผมใช่ไหม” กันตพงษ์พูดเสียงสั่น ถามรุ่นพี่ที่ตอนนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความคิดร้อยพัน

        “อืม...แต่ตอนที่กูได้ยินที่บ้าน เป็นเสียงเด็ก...แต่ตอนนี้ เป็นเสียงคนแก่ มันเป็นได้ยังไงวะ”

       โตนนท์ถามทบทวนกับตัวเอง ก่อนจะกดย้อนวีโออีกครั้งเพื่อฟังบทกลอน แต่เสียงที่ได้ยินกลับมากลับมีแต่เสียงซ่าเช่นเคย...เสียงชายแกก็หายไป

       “เสียงหายไปแล้วว่ะพี่..น่ากลัวชิบ”

       “ไอ้กัน เมื่อกี๊ท่อนสุดท้าย...เสียงนั่นมันบอกว่าบูชาใครนะ” โตนนท์ถามคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

        “เทพอะไรสักอย่างพี่...เทพบิดร..ราก-กะ-สะ-ทอ-ระ-นิด”

        โตนนท์หยิบมือถือที่ว่างอยู่บนเตียงขึ้นมาเลื่อนค้นหาความหมายของคำตามที่กันตพงษ์บอก เขาพยายามค้นหาอยู่หลายครั้งแต่ไม่เจอ จึงลองคนหาที่ละคำ

       “แปลว่ายักษ์กับราชา” โตนนท์เอ่ยขึ้น

        “อะไรนะพี่?”

        โตนนท์หันมาตั้งใจพูดกับรุ่นน้องว่า

       “คำสุดท้ายที่มันบอกว่าจะใช้แทนเหยื่อ บูชาเทพอะไรนั่น ชื่อเทพมันแปลว่ายักษ์กับราชา...ถ้าเรียงให้ถูกก็น่าจะหมายความว่า ราชายักษ์ ซึ่งก็ตรงกับเทวรูปที่อยู่ในบ้านหลังนั้น...เป็นไปได้ไหมวะ ว่าป้าคนนั้นเป็นพวกนับถือไสยศาสตร์มนต์ดำ...เอาเด็กไปฆ่าเพื่อบูชายักษ์”

        กันตพงษ์ทำความเข้าใจกับสิ่งที่รโตนนท์พูดอยู่ครูหนึ่งก็พยักหน้า

         “กูว่าเรามาถูกทางแล้วว่ะไอ้กัน เหตุจูงใจของผู้ต้องสงสัยอาจเกิดจากความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำ แถมคนข้างบ้านคนที่เราไปสัมภาษณ์ยังบอกอีกว่าทุกวันเวลา 5 โมงเย็น ป้าจะต้องรีบไปไหว้อะไรสักอย่าง ตอนแรกกูคิดว่าเป็นพระ..แต่พอกลับมาแกะเสียงสัมภาษณ์ แกก็บอกแค่ว่าคงรีบกลับมาไหว้ แต่ไม่ได้ระบุว่าไหว้อะไร บางทีอาจไม่ใช่พระ...แต่เป็นรูปปั้นยักษ์...หรือราชายักษ์อะไรนั่น ไอ้กัน มึงลองเสิร์ชหาหน่อย ว่ามีสถานที่ไหนเกี่ยวกับการบูชายักษ์หรือเปล่า บางทีอาจจะเป็นสถานที่สำคัญๆ หรือไม่ก็พวกวัด สำนักสงฆ์ สำนักทรงเจ้า”

         “ได้พี่” กันตพงษ์รับคำแล้วรีบเอามือถือตัวเองขึ้นมากดค้นหาด้วยคำสำคัญต่างๆ เช่น รากษสธรณิศ บูชายักษ์ ฆ่าเด็กบูชายักษ์ แล้วแคปหน้าจอเก็บไว้ กระทั่งมาเจอเช้ากับสถานที่หนึ่ง

         “พี่โตๆ ดูข่าวนี้ดิ...เคยมีคนพบศพเด็กที่สำนักสงฆ์ร้างแห่งหนึ่งหลายศพ แต่ข่าวบอกว่าน่าจะเป็นการเอาศพเด็กที่ทำแท้งแล้วมาทิ้ง แต่มีบทสมภาษณ์ชาวบ้านบอกไว้ว่าก่อนที่สำนักสงฆ์จะร้าง เคยมีพวกชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาทำพิธีไหว้เมทวรูปราชายักษ์ ถวายของแดงเก้าอย่างทุกวันพระใหญ่ เคยมีการจับลูกของคนในหมู่บ้านเพื่อไปใช้ในการบูชายัญ ชาวบ้านที่ลูกหลานตัวเองหายไปจึงรีบไปแจ้งตำรวจให้เข้าไปจับกุมพวกที่ร่วมพิธี โชคดีที่เด็กพวกนั้นรอดมาได้ สำนักสงฆ์แห่งนั้นจึงปิดตัวไป ปัจจุบันสถานที่นั้นจึงกลายเป็นสำนักสงฆ์ร้าง”

         โตนนท์ยิ้มมุมปาก....นี่อาจเป็นเบาะแสการหายตัวไปของเด็กน้อยและป้าผู้ต้องสงสัยก็ได้

         “ไปกันเถอะ ไอ้กันต์”

         “ไปไหนพี่?”

       “สำนักสงฆ์ร้าง!”

*****************************************************


        ชายหนุ่มทั้งสองคนต้องอาศัยการแวะถามทางจากชาวบ้านในจังหวัดเรื่อยๆ เพราะกันตพงษ์พยายามค้นหาชื่อสำนักสงฆ์ร้างในแอพลิเคชั่นนำทางแล้ว แต่ก็ไม่พบชื่อสถานที่ที่ใกล้เคียงเลย ชาวบ้านที่เขาแวะถามทาง น้อยคนที่จะรู้จัก...ที่พอจะจำชื่อสำนักสงฆ์ร้างนี้ได้บ้าง ก็แสดงท่าทางไม่ค่อยเต็มใจที่จะให้ข้อมูลเท่าไหร่...ราวกับเป็นสถานที่หนึ่งที่อยู่ในความทรงจำที่อยากจะลบเลือนของพวกเขา

         แต่โชคก็ยังเข้าข้างพวกเขาสองคน...ระหว่างทางที่แวะเช็คอินโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในตัวอำเภอ ขณะที่เขากำลังสอบถามเรื่องสำนักสงฆ์อยู่กับพนักงานโรงแรมคนหนึ่ง ก็มีป้าแม่บ้านวัยกลางคนเดินเข้ามา ก่อนที่จะแสดงท่าทีรู้จักสถานที่ที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังตามหาอยู่

        ‘ไม่มีคนดีดีที่ไหนเข้าไปที่นั่นกันหรอกนะพ่อหนุ่ม มีแต่พวกเล่นของ ทำคุณไสย์เท่านั้นแหละที่ยังขึ้นไปรวมกลุ่มกันทำพิธีกรรมบางอย่าง...กลุ่มคนพวกนั้นแหละที่ป้าว่าน่ากลัวกว่าผี เพราะพวกเขามีความเชื่อที่แปลกประหลาด เชื่อว่าถ้าเอาเด็กมาบูชายัญ จะทำให้เทวดายักษ์ที่สิงอยู่ในเทวรูปที่นั่นมอบโชคมอบลาภให้’

        ‘แล้วป้าไม่อยากได้โชคลาภบ้างเหรอครับ…โอ้ย!!!’ กันตพงษ์ร้องอุทานออกมาเพราะโดนโตนนท์ใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่หน้าท้อง...ค่าที่ปากไว

         ป้าท่าทางใจดีคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างมีไมตรี แล้วพูดว่า

         ‘อยากมีสิพ่อหนุ่ม ป้ายอมรับว่าป้าเองก็เคยขึ้นไปที่สำนักสงฆ์ที่นั่นตอนเด็กๆ เพราะขึ้นชื่อเรื่องของการให้หวย และให้พรสมปราถนา...แต่ป้าซื้อตามมาตั้งแต่สาวยันแก่ ก็ไม่เห็นจะถูกสักงวด พอจู่ๆ ป้าก็คิดได้ว่าไม่น่าเอาเงินไปแลกกับความไม่แน่นอน ก็เลยเลิกเล่นหวย มาทำมาหากินแทน’

         ‘ดีใจด้วยนะครับป้า...ที่เลิกได้...งั้นผมทั้งสองคนขอตัวก่อนนะครับ ดูจากแผนที่ที่ป้าวาดให้ต้องเดินทางอีกไกล’ โตนนท์ขอตัวลาจากป้าท่าทางใจดีคนนั้น

 

          “ทำไมมันมืดอย่างนี้วะพี่ ไม่เห็นมีรถสวนมาสักคัน” กันตพงษ์พูดพลางเอื้อมมือไปจิ้มหน้าปัดวิทยุเปลี่ยนสถานี หนีข่าวฆ่ากันตายเพราะคงไม่เหมาะที่ฟังในบรรยากาศแบบนี้

         “กลัวอีกแล้วเหรอมึง...ไม่ต้องห่วง..กูไม่พามึงมาทำไม่ดีไม่ร้ายหรอก” โตนนท์แหย่ตากล้องรุ่นน้องทำลายบรรยากาศวังเวง

          “บ้าเหรอพี่...ผมไม่ได้กลัวเรื่องนั้นสักหน่อย...แต่ผมกลัวเรื่อง...เอ่อ...เรื่องอย่างว่านั่นมากกว่า นี่ก็ขับเข้าถนนคอนกรีตมาจะยี่สิบนาทีแล้ว ยังไม่เจอสวนผลไม้ทางขึ้นเนินเขาอย่างที่ป้านั่นบอกเลย เราโดนหลอกป่าววะพี่....เห้ย!! พี่ นั่นไงๆ ป้ายทางขึ้นเนินเขาที่ป้าแกบอก เลี้ยวซ้ายเลยพี่”

         โตนนท์เลี้ยวซ้ายตามที่รุ่นน้องบอก...เขาไว้วางใจในความละเอียดเรื่องการบอกเส้นทางของรุ่นน้องคนนี้มาเสมอเพราะลงพื้นที่ด้วยกันบ่อย แม้กันตพงษ์จะไม่ใช้คนกล้าหาญหรือกล้าเสี่ยงมากมาย แต่เรื่องความละเอียดแม่ยำและช่างสังเกตต้องยกให้รุ่นน้องคนนี้

         “ถนนลูกรังเลยว่ะ...ไอ้กัน...มึงดูแผนที่หน่อยว่าอีกไกลไหมกว่าจะถึง”

       กันตพงษ์หรี่ตามองตามลายเส้นดินสอบางๆ ที่วาดเป็นรูปถนน ลากผ่านจากทางเข้าไปจนถึงสำนักสงฆ์ แล้วบอกรุ่นพี่ว่า “ไม่ไกลแล้วพี่...ช้าๆ หน่อย ป้าแกบอกว่าพอเจอกระต๊อบหลังหนึ่งให้จอดรถแล้วเดินไปตามทางเข้าสวนของชาวบ้านอีกหน่อยก็ถึงแล้ว นั่นไงพี่...น่าจะเป็นกระต๊อบหลังนั้น”

        โตนนท์มอบตามที่รุ่นน้องบอก เมื่อเห็นกระต๊อบไม้เล็กๆ หลังหนึ่งที่ชาวบ้านน่าจะปลูกไว้ใช้หลบแดดหลบฝนตอนมาทำสวน เขาจึงชะลอรถแล้วค่อยๆ ประคองพวงมาลัยเข้าไปจอดเลียบข้างทางเพื่อไม่ให้รบกวนการสัญจรไปมาของชาวบ้านแถวนี้...ทั้งๆ ที่ในใจลึกๆ เขาก็รู้ดีว่าคงไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าใช้เส้นทางนี้ในเวลากลางคืน เพราะมันทั้งมืด ทั้งเปลี่ยว สองข้างทางราวเกือบสิบนาทีที่ผ่านมาก็มีบ้านปลูกอยู่สองข้างทางแทบจะนับหลังได้ ในซอยนี้ที่เข้ามาก็มีแค่กระต๊อบหลังนี้หลังเดียว เมื่อแสงไฟหน้ารถสาดไปข้างหน้า...ก็เดาว่าอีกไม่เกินหกสิบเมตรคงเป็นทางตันแล้ว

        “บรรยากาศน่ากลัวจังพี่ น่ากลัวทั้งคน...ทั้ง...” กันตพงษ์ละคำสุดท้ายไว้ในฐานที่เข้าใจ แล้วจัดของที่จำเป็นใส่ในกระเป๋าเป้ใบย่อม ทั้งโลชันกันยุง ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่กล้อง และของอีกสองสามอย่าง

        “มึงไม่ต้องกลัวหรอกกัน...กูเป็นพี่มึง...กูไม่ยอมปล่อยให้มึงเป็นอันตรายหรอก กลัวแต่มึงจะเดินสะดุดหัวแม่ตีนตัวเองล้มหัวแตกเสียก่อน” โตนนท์หัวเราะทำลายบรรยากาศวังเวงแล้วเปิดประตูลงจากรถ จึงไม่สังเกตเห็นรอยยิ้มบางๆ ของใครบางคนที่เปิดประตูตามลงมา

        ชายหนุ่มทั้งสองใช้ไฟฉายสองไปตามทางเดินส่วนตัวที่ทอดยาวเข้าไปในสวนของชาวบ้าน กันตพงษ์แม้จะเป็นคนขี้กลัวแค่ไหน แต่เมื่อมีรุ่นพี่ที่ไว้ใจอยู่ข้างๆ ในเวลานี้ ก็ทำให้เขาค่อนข้างเบาใจ คลายความกลัวลงไปได้บ้าง

       เสียงสวบสาบที่ดังมาจากรองเท้าของสองหนุ่มดังไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบ โดยไม่รู้เลยว่ามีอะไรรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า!

***********************************************************************


          สำนักสงฆ์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาลูกใหญ่ กินเนื้อที่หลายร้อยตารางเมตร รอบๆ บริเวณเต็มไปด้วยสิ่งปรักหักพังและวัชพืชที่ขึ้นอยู่รกชัฏไปทั่ว ความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณทำให้บรรยากาศของสำนักสงฆ์ร้างแห่งนั้นดูน่ากลัวราวกับมิติพิศวง

       อุโบสถทรุดโทรมหลังหนึ่งตระหง่านอยู่ตรงกลางลานกว้าง กระเบื้องบางส่วนตกร่วงลงมากองอยู่ด้านล่างดูสกปรกราวกองขยะ สถานที่แห่งนี้แทบดูไม่ออกเลยว่าในอดีตเคยใช้ประกอบกิจกรรมทางความศาสนาของคนที่นี่มาก่อน

        เงาตะคุ้มๆ ของคนสองคนเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วในความมืด ก่อนจะหลบซ่อนอยู่หลังต้นตะเคียนขนาดใหญ่ เงาของร่างใหญ่กว่าที่ยืนอยู่ด้านหน้าพยายามชะโงกหน้าออกมาดูลาดเลาทางเดินไปอุโบสถหลังใหญ่ เมื่อเห็นว่าปลอดภัย จึงหันมาพยักพยักพเยิดกับคนที่ยืนอยู่หลังแผ่นหลักของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ว่าปลอดภัย...เงาของคนที่ดูเหมือนจะร่างเล็กกว่าจึงรีบวิ่งนำหน้าออกไป แล้วหยุดอยู่ที่หน้าประตูอุโบสถร้าง ย่อตัวลงหลบลงข้างบันไดทางขึ้น

       ‘จิรกร’ คือชื่อของผู้ชายร่างใหญ่ที่พยายามรีบวิ่งตามแล้วมาเฝ้าอยู่เบื้องหลังของน้องชายให้ทัน ทำหน้าที่ราวกับบอดี้การ์ดมืออาชีพ คอยสอดส่องความปลอดภัยให้น้องชายซ้ายทีขวาทีอย่างรอบคอบ แม้ในเวลานี้จะเป็นเวลาดึกเต็มที แต่เมื่อมันเป็นคำขอร้องจากน้องชายเพียงคนเดียวของเขาอย่าง ‘ชลชีวี’ ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะปฏิเสธน้องชายได้

        ด้วย ‘ปัญหา’ บางประการที่ติดตัวชลชีวีมาตั้งแต่เด็ก...ทำให้ทั้งพี่ชายและสามาชิกในครอบครัวทุกคนพยายามดูแลเอาใจใส่ลูกคนสุดท้องคนนี้อย่างใกล้ชิด เพราะน้องชายตัวผอมที่อยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้มีบางอย่าง ‘พิเศษ’ ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด

       ชลชีวี มีสัมผัสพิเศษ - สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติได้-

          ทั้งยังสามารถติดต่อและเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อยู่เหนือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้!

         เพราะความสามารถพิเศษของชลชีวีข้อนี้แหละ ที่ทำให้เขาทั้งสองคนต้องรีบเดินทางมายังหมู่บ้านที่สุดแสนจะห่างไกลแห่งนี้เป็นการด้วย เพราะชลชีวีบอกกับพี่ชายว่าเขาสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างที่พยายามร้องขอความช่วยเหลือจากเขา…’ ญาณ’ ของชลชีวี แม่นยำเสมอ!

        น้องชายของเขาเล่าให้ฟังว่า….มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กหลายคนดังมาจากที่สถานที่แห่งหนึ่ง วิญญานเหล่านั้นถูกครอบงำไปด้วยเงาดำของความชั่วร้ายจากพลังไสยเวทย์ที่ถูกสวดและประกอบพิธีซ้ำแล้วซ้ำเล่า

        ภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวของชลชีวีคือภาพของการประกอบพิธีกรรมบางอย่างที่นำร่างของเด็กวัยทารกมาย่างจนแห้งเกรียม แล้วจึงนำไปบูชายัญปีศาจร้ายตนหนึ่งในเทวรูปยักษ์

        ผู้คนที่นี่เชื่อว่านั่นคือเทวรูปที่สิงสถิตของเทวดา...แต่ชลชีวีรู้ดีว่าไม่ใช่!

         มันคือปีศาจตนหนึ่งที่มามอมเมากลุ่มคนที่หลงอยู่ในอบายมุขเพื่อแลกกับอาหารอันโอชะของปีศาจนั่นคือ ‘ศรัทธา’

       ยิ่งพลังความศรัทธาของคนยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่...พลังของสิ่งชั่วร้ายก็จะเพิ่มพูนทวีคูณมากยิ่งขึ้นเท่านั้น!

       นั่นคือสาเหตุที่ชลชีวีต้องรีบมาที่นี่เพื่อหยุดยั้งพิธีกรรมอุบาทว์!

       ฆ่าเด็กบูชายัญ!




****************************************************************



นายเอกปรากฏตัวแล้ว!!!!
ขอบพระคุณสำหรับทุกการติดตามนะครับ
เจอกันใหม่ ตอนหน้าคร้าบ
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 2 บูชายัญ
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 26-06-2021 20:36:22
เนื่อเรื่องน่าติดตามมากครับ ถึงจะกลัวแต่ก็อยากอ่าน ...  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 2 บูชายัญ
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-06-2021 23:39:03
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 2 บูชายัญ
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-06-2021 00:02:39
 :a5: o22
หัวข้อ: Re: นิยายใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 2 บูชายัญ
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 27-06-2021 19:50:32
ตอนที่ 3 หญิงคลั่ง

(http://)

กลิ่นธูปและกำยาน ผสมปนเปไปกับกลิ่นคาวเลือดโชยออกมาจากภายในอุโบสถร้าง

แสงวับๆ แวมๆ สีเหลืองนวลของเปลวเทียนเคลื่อนไหวไปมาตามแรงลม ส่องกระทบประตูทางเข้าดูคล้ายเงาของปีศาจที่เฝ้าระแวดระวังผู้ที่จะเข้ามาทำลายพิธีโดยไม่ได้รับเชิญ

เด็กหญิงตัวเล็กๆ นอนสลบอยู่บนพื้นปูนที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก..ใบหน้าของหนูน้อยมอมแมมไม่ต่างจากคราบต่างๆ ที่เกาะอยู่บนเทวรูปทีมีใบคนหน้าเหมือนยักษ์สูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านในสุดของอุโบสถ

ใบหน้าแสยะยิ้มของมันคล้ายพึงพอใจในเครื่องเซ่นที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้า เปลวเทียนที่วูลไหวไปมาคล้ายการร่ายระบำของวิญญานร้ายที่ถือดาบกวัดแกว่งไปมามาก่อนจะใช้ดาบเล่มเดียวันนั้นบั่นคอเหยื่อผู้โชคร้าย

จิรกรและชลชีวีย่องเบาๆ ขึ้นไปตามขั้นบันใดอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้คนที่กำลังประกอบพิธีกรรมอยู่ภายในรู้ตัว เขาทั้งสองเข้าไปหลบอยู่หลังบานประตูไม้โบราณที่เต็มไปด้วยเชื้อราเพราะขาดการดูแลทำความสะอาด

ขวับ! ชายหนุ่มสองคบหลบมุมทันควันเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งภายในอุโบสถ

ครืดด!!!! ครืด!!!!

เสียงของแข็งถูกลากมาบนพื้นปูนตามจังหวะการเดินของใครคนหนึ่ง

จิรกรรับรู้ถือความไม่ปลอดภัยจึงเอื้อมมือไปกดหลังน้องชายเบาๆ ให้หมอบต่ำลงอีก แล้วตนเองจึงค่อยๆ เอี้ยวตัวขึ้นมองที่มาของเสียง

ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดสีขาวเปื้อนนคราบดินและของเหลวสีแดงน่าสะอิดสเอียน กำลังเดินวนไปรอบๆ เทวรูปอาถรรพ์ช้าๆ ดวงตาของหล่อนล่องลอยราวกับเสียสติ ปากของหล่อนกำลังพึมพำอะไรบางอย่างเสียงทุ้มต่ำฟังไม่ได้ศัพท์และสิ่งที่ทำให้จิรกรขนลุกเกรียว…

มือข้างหนึ่งของหล่อนถือจอบสนิมเขรอะไว้ในมือ!

หัวจอบคมๆ ลากไปตามพื้นส่งเสียงดังน่ากลัว!

แม้จิรกรจะไม่มีสัมผัสพิเศษเหมือนน้องชาย...แต่ด้วยสติปัญญาของเขาก็เดาได้ไม่ยากว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คืออะไร มันเหมือนฉากหนึ่งในหนังฆาตกรรม!

จิรกรหันมากระซิบข้างหูน้องชายเบาๆ จบแทบมีแค่เสียงลมออกมาว่า

“ไม่ได้การละ...ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะฆ่าหลานตัวเองแน่ๆ เดี๋ยวพี่จะลองอ้อมไปด้่นหลังอุโบสถดู เผื่อมีหน้าต่างหรือประตูที่พอจะปีนเข้าไปได้ ชลรออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน”

“ไม่ได้นะพี่...ชลเป็นคนชวนพี่มาด้วย จะปล่อยให้พี่เข้าไปคนเดียวได้ไง...มันอันตราย...ชลจะเข้าไปด้วย” ชลชีวีพูดอย่างกังวลเมื่อรู้ว่าพี่ชายตัวเองจะลุยเดี่ยวเข้าไป

จิรกรถอนหายใจกับความดื้อของน้องชายแล้วรีบอธิบายว่า

“ไม่ได้...ยิ่งชลเข้าไปนั่นแหละยิ่งอันตราย เพราะพี่ต้องระวังทั้งผู้หญิงคนนั้น แล้วก็ต้องเป็นห่วงชล...รออยู่ตรงนี้แหละดีแล้ว”

“แต่ชลว่า....”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น...แค่รออยู่ตรงนี้แล้วโทรตามตำรวจก็พอ”

ชลชีวีกำลังจะแย้งพี่ชายตัวเองอีกครั้ง แต่จิรกรก็ลุกขึ้นย่องหายไปทางด้านข้างอุโบสถแล้ว...ลางสังหรณ์บางอย่างของชลชีวีบอกว่ากำลังจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น จึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาเพื่อนสนิทของตัวเองที่นัดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนมาที่นี่ว่าถ้าเกิดเหตุการร้ายแรงขึ้นให้รีบแจ้งตำรวจในพื้นที่แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ตำรวจฟัง

เมื่อฝ่ายนั้นส่งข้อความตอบกลับมาว่าจะรีบจัดการให้ ชลชีวีก็กดไอคอนรูปกล้องถ่ายรูปบนหน้าจอมือถือแล้วบันทึกภาพตรงหน้าไว้เป็นหลักฐาน

ภาพบนหน้าจอค่อนข้างมืด เผยให้เห็นท่าทางแปลกๆ ของผู้หญิงคนเดิมที่กำลังนั่งลงพนมมือกับพื้น หล่อนสวดมนต์พึมพัม แล้วหยิบเอาธูปที่ปักอยู่ในกระถางหน้าเทวรูปอาถรรพ์ขึ้นมากำไว้ที่มือข้างซ้าย วนเป็นวงกลมรอบๆ ร่างของเด็กน้อยที่นอนนิ่งอยู่จนครบสามรอบ แล้วหล่อนก็ทำสิ่งที่ชลชีวีไม่คาดคิด

หล่อนง้างมือขึ้นสูง หมายจะปักปลายธูปลงบนร่างของเด็กน้อย!

“ไม่!”

ชลชีวีเผลออุทานออกมา

ดูเหมือนหล่อนจะได้ยิน…มือข้างที่กำลังยกขึ้นค้างอยู่อย่างนั้น ใบหน้าขงหล่อนหันขวับมาทางประตูหน้าอุโบสถที่ชลชีวีซ่อนอยู่

ซวยแล้ว!…ชลชีวีคิด

หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในอุโบสถลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อเท้าข้างหนึ่งของหลอนมีเลือดไหลจากการเดินบุกป่าผ่าดงขึ้นมาบนสำนักสงฆ์ร้างหลายวันก่อนเพื่อประกอบพิธีบูชายัญ

เสียงลากรองเท้าแตะฟังดูน่าประหลาด เพราะนอกจากเสียงรองเท้าลากไปตามพื้นปูนดังก้องห้องโถงแห่งนั้นแล้ว ยังมีเสียงวัตถุบางอย่างคล้ายเหล็กลากตามมาด้วย

เสียงนั้นคือจอมที่คมกริบในมือของหล่อน!

แววตาอาฆาตของหญิงวัยกลางคนวางวับน่ากลัวรา;ปีศาจร้ายที่ต้องการฆ่าศัตรูผู้ที่จะเข้ามาขัดขวางพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของหล่อน

ใคร?!!!”

หล่อนตวาดลั่น…เสียงเล็กแหลมฟังดูน่ากลัวราวเสียงกรีดร้องของภูติผี

“กูถามว่าใคร?” เสียงคำรามดังก้องไปทั่วอุโบสถร้าง

หล่อนกระชับจอบในมือให้แน่นขึ้น แล้วใช้อีกมือช่วยกระชับให้มั่นเพื่อเตรียมพร้อม…ถ้าหล่อนเจอเหยื่อ จะปล่อนให้มันรอดไปไม่ได้

จะไม่มีใครมาทำลายพิธีบูชายัญเทพบิดรของเธอได้! ไม่มีทาง!

แววตาของหล่อนวาววับราวเสือร้าย…เหลืออีกแค่เพียงสามก้าวก็จะถึงหน้าประตูอุโบสถที่ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น…ตาย…มันต้องตายเป็นอีกหนึ่งเครื่องเซ่นในคืนนี้

เสียงนกกลางคืนร้องดังไกลๆ ราวกับเป็นผู้สังเกตการจากนรกที่แฝงตัวอยู่ในความมืดเพื่อรอดูว่าสาวกของปีศาจร้ายอย่างหล่อนจะประกอบพิธีกรรมสำเร็จหรือไม่

หล่อนจะทำพลาดอีกไม่ได้!

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หล่อนต้องค้นหาศพเด็กนับสิบศพมาทำพิธีเซ่นไหว้’ เทพบิดร’ เพื่อให้หล่อนกลายเป็นสาวกของลัทธิอย่างเต็มตัว… เพราะหล่อนมีความปรารถนาบางอย่างอย่างแรงกล้าที่ต้องการวิงวอนร้องขอจากพระผู้ทรงสิทธิ์!

พระผู้ซึ่งใครก็ต่างร่ำลือว่าทรงฤทธา!

สามารถประธานพรทุกสิ่งอย่างให้แก่ผู้ที่ถวาย’ ความศรัทธา’ ให้แก่พระองค์ได้

ปีแล้วปีเล่าที่หล่อนเฝ้าสวดอ้อนวอน หรือแม้แต่ต้องยอมลงมือทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการหาศพเด็กทารกมาถวายแด่พระองค์…เหตุฉไน…เทวรูปของเทพบิดรไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับหล่อน?

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอเฝ้าสวดอ้อนวอนเพื่อถวายจิตวิญญานแลชีวิตเป็นเครื่องสักการะบูชาแด่พระองค์ แต่ก็เปล่าประโยชน์…

ศาสดาแห่งลัทธิไม่เคยรับมัน!

กระทั่งหล่อนได้พบสมุดใบลานเล่มหนึ่งที่จารึกขั้นตอนการบูชาเทพบิดรและการ’ ถวายศรัทธา’ ไว้อย่างละเอียด สายตาขอหล่อนก็ปะทะเข้ากับข้อความหนึ่งที่ทำให้หล่อนขนลุกวาบไปทั้งตัว

จงถวายเชื้อไขเป็นปัจจัย ราชันยิ่งใหญ่จักแจ้งใจในศรัทธา

ถวายเชื้อไขงั้นเหรอ…เชื้อไข…ลูก…แต่จะทำเช่นไรเล่าพระองค์…ในเมื่อคนอาภัพอย่างหล่อน…

ไม่มีลูก!

สายเลือดที่ใกล้ชิดหล่อนมากที่สุดมีเพียงคนเดียวเท่านั้น…น้องครีม…หลานสาวแท้ๆ ที่หล่อนกำลังรับจ้างเลี้ยงอยู่นั่นไง…หล่อนไม่ลังเลแม้ชั่วขณะจิตที่จะมอบเครื่องสักการะอันยิ่งใหญ่นี้ให้พระองค์…หล่อนเฝ้ารอโอกาสนั้นอยู่ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อแลกกับสิ่งที่หล่อนปรารถนา

โอ…พระผู้ทรงฤทธิ์! ข้าเจ้าพร้อมถวายเครื่องบูชาให้แก่พระองค์แล้ว

ตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้ว…อีกอึดใจเดียว หล่อนจะมอบเชื้อไขของหล่อนให้พระผู้ยิ่งใหญ่!

แต่ตอนนี้…หล่อนต้องกำจัดไอ้เหลือบไรที่จะมาทำลายพิธีของหล่อนให้สิ้นซาก

ต้องฆ่า…ฆ่ามัน!!

สองเท้ามอมแมมพาหล่อนมาจนถึงหน้าประตูอุโบสถ

หญิงวัยกลางคนเหวี่ยงจอบที่อยู่ในมือขึ้นสุดแขน หมายจะสับลงไปยังร่างของคนที่อยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า

ว่างเปล่า…ไม่มีใคร!

มันหายไปไหน? …หล่อนไม่ได้หูฝาดแน่นอน มันต้องอยู่ตรงนี้ แต่ทำไมตอนนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า

หรือว่า…หล่อนกำลังติดกับพวกมัน!

“กรี้ดดดด!!!”

หญิงวัยกลางคนกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อพบว่าร่างของหลานสาวที่อยู่ตรงหน้าเทวรูปหายไปเช่นกัน!

“ใคร? ใครกล้ามาลองดีกับกู!!!! ใครมันกล้ามาขัดขวางพิธีของกู กูจะฆ่ามัน!!!! กูจะฆ่ามันนนน!!!”



**********************************************************







“พี่กร…ชลได้ยินเสียงคนตามมา ชลว่าเราหลบกันก่อนเหอะพี่” ชลชีวีบอกพี่ชายที่ที่วิ่งนำตนเองอยู่สองสามก้าว พลางรีบเข้าไปรับร่างของเด็กน้อยมาอุ้มไว้แทนเพราะจิรกรเข้าไปอุ้มพาตัวหนูน้อยวิ่งหนีมาจากสำนักสงฆ์ร้างพักใหญ่แล้ว

เขาสอบคนหอบเหนื่อย แต่ก็พยายามกลั้นใจบังคับไม่ให้เสียงหอบดังมากเกินไปเพราะกลัว ‘ยัยป้าคลั่ง’ จะได้ยินแล้วตามมาเจอ

จิรกรชี้ไปยังกระท่อมเล็กๆ ที่น่าจะเคยใช้เป็นกุฏิข้างทางหลังเหลังหนึ่งที่ซ่อนอยู่หลังต้นตีนเป็ดพุ่มใหญ่ แม้สภาพของมันจะเก่าทรุดโทรม…แต่ก็คงจะดีพอทีจะใช้เป็นที่กำบังตัวในเวลานี้ ชลชีวีจึงรีบบุกพุ่มหญ้าที่รกชัฏตามพี่ชายเข้าไป

ชลชีวีก้าวขึ้นกระท่อมอย่างทุกลักทุเลเพราะกำลังอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมอก เขาหันไปสำรวจรอบๆ กระท่อมยกสูงที่มีระเบียงไม้โย้เย้ล้อมรอบอยู่เพื่อดูสิ่งผิดปกติ แล้วจึงตัดสินรีบเดินเข้าประตูกระท่อมตามพี่ชายเข้าไปข้างใน

ชลชีวีวางร่างของเด็กน้อยลงเบาๆ บนพื้นไม้ ร่างของเด็กน้อยเบาราวปุยนุ่น อีกทั้งรอยแผลตามตัวนี่อีก ยิ่งทำให้ทั้งชลชีวีและจิรกรสลดใจ

ผู้เป็นพี่ชายกุมแขนเด็กน้อยไว้ในมือ แล้วใช้สองนิ้วสัมผัสลงไปที่ข้อมือเพื่อดูชีพจรของเด็กน้อย

“ชีพจรเต้นเบามาก พี่ว่าเราต้องรีบพาไปโรงพยาบาล”

ชลชีวีพยักหน้ารับรู้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลำบากใจ

“เป็นไรชล…สัมผัสอะไรได้เหรอ?”

“ตอนที่ชลอุ้มน้อง ชลรู้สึกแปลกๆ …คือ…มันอธิบายยากจัง” ชลชีวีแสดงสีหน้าลำบากใจ

จิรกรขมวดคิ้ว รอคอยให้น้องชายเรียบเรียงคำพูดเพื่ออธิบาย

“ปกติถ้าชีพจรเต้น แสดงว่าคนเรายังไม่ตาย ระบบร่างกายยังคงทำหน้าที่ต่างๆ ตามกลไกธรรมชาติ แต่ดวงจิตหรือวิญญานน่ะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้บางครั้งร่างกายจะยังปกติ…แต่ดวงจิตกลับหายไป วิญญานไม่ได้อยู่ในกายหยาบ เหมือนออกไปเที่ยวแล้วหาทางกลับไม่ได้…ชลสัมผัสถึงดวงจิตของน้องไม่ได้เลย มันมืดมนว่างเปล่ากับหลุมดำที่ไร้ที่สิ้นสุด…แต่นั่นมันยังไม่ใช่ปัญหาหลักนะพี่กร…เมื่อกี๊ตอนที่ชลเดินตามพี่กรเข้ามาในบ้านอะ มีพวกวิญญานเร่รอนและดุร้ายอยู่แถวนี้เต็มไปหมด มันรับรู้ได้ถึงร่างกายที่ไร้ดวงจิต…เหมือนสัตว์ป่าที่หิวโหยได้กลิ่นอาหาร ถ้าเราไม่รีบแก้ ชลกลัวว่า…”

“…จะมีวิญญานอื่นมาสิงร่างของน้องแทนใช่มั้ย” จิรกรคาดเดา

ชลชีวีพยักหน้า

“แล้วมันมีวิธีแก้มั้ยชล?”

“มันก็พอมีนะพี่…แต่ก็ค่อนข้างเสี่ยง”

ชายหนุ่มทั้งสองคนเงียบเสียงเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นใกล้กระท่อม กระทั่งเมื่อทั้งสองแน่ใจว่าอาจเป็นเพียงเสียงกิ่งไม้ร่วงจากต้นไม้ ไม่ใช่คนจึงกล้าพูดต่อ

“ชลต้องออกไปตามดวงจิตของ…โอ้ย!!! อึ้ก!!!”

จู่ๆ ลมหายใจของชลชีวีก็ขาดห้วง เพราะมือเล็กๆ ของเด็กน้อยที่นอนอยู่ตรงพุ่งเมาบีบคอเขาไว้ ดวงตาเด็กน้องเบิกโพลงราวกับปีศาจกระหายเลือด!

“เห้ย! ชล น้อง…ปล่อย…ปล่อยสิวะ…มือแม่งแข็งอย่างกับเหล็ก…กูบอกให้ปล่อยน้องกู!!!”

จิรกรพยายามดึงข้อมือของเด็กน้อยออกจากลำคอชลชีวี แต่ก็ยากเหลือเกิน เพราะมือเรียวเล็กทั้งสองข้างของเด็กน้อยคนนั้น บีบคอน้องชายของเขาไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก…เขารู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่การกระทำของเด็กน้อยอีกต่อไป…

แต่เป็นดวงวิญญาณของสัมพเวสีที่ฉวยโอกาสเข้ามาแฝงอยู่ในร่างของเด็กน้อยตรงหน้าแทน!

“ถ้าแม่งไม่ปล่อย กูถีบนะเว้ย ไอ้เด็กผี!” จิรกรตะโกนลั่น เสียงของเขาดังสนั่นจนกลบเสียงสวบสาบที่วิ่งเขามาที่กระท่อม

“อึ๊ก!!! พี่กรช่วยด้วย!!!”

ผลั๊วะ!!!

เสียงจิรกรใช้เท้ายันปีศาจในร่างเด็กน้อยไปจนชนกับผนังกระท่อมแล้วใช้สองมือกดทับไว้

ผลั๊วะ!!!

เสียงหน้าต่างบานหนึ่งของกระท่อมถูกถีบออกด้วยแรงของโตนนท์ แล้วตามมาด้วยเสียงแฟลชจากกล้องของกานตพงษ์ “ไอ้พวกชั่ว จับเด็กมาทำอนาจาร พวกมึงไม่รอดแน่”

ผลั๊วะ!!!

เสียงจอบฟาดประตูไม้ดังสนั่นจนพังมาทั้งบาน

“ไอ้พวกเลว พวกมึงเอาลูกกูไป กูจะฆ่าพวกมึงให้หมด!”




  :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:

ขอขอบพระคุณสำหรับการติดตามนะครับ
ผิดพลาดอย่างไร ชอบไม่ชอบอย่างไร คอมเมนต์ได้เลยน้า

 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 3 หญิงคลั่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-06-2021 19:57:15
 :angry2: :fire:
หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 3 หญิงคลั่ง
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 27-06-2021 20:53:49
ไอ้หยาาา.....
หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 3 หญิงคลั่ง
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-06-2021 23:03:07
 :katai1:

ชอบๆ
หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 3 หญิงคลั่ง
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 28-06-2021 10:14:47
เหตุกำลังระทึกได้ที่เลย :katai1:
หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 3 หญิงคลั่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 29-06-2021 20:00:12
                                                                                      



                                                         ตอนที่ 4  กระท่อมร้าง



         โตนนท์รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากที่กันตพงษ์พยายามเขย่าตัวเขาแรงๆอยู่หลายครั้ง ก่อนจะจบด้วยการตบหน้ารุ่นพี่เพื่อปลุกให้ตื่น หัวสมองที่งุนงงใช้เวลาหลายวินาทีกว่าจะเรียบเรียงเหตุการก่อนที่เขาจะสลบได้...

         หลังจากที่เขาและกันตพงษ์ ตากล้องรุ่นน้องเดินขึ้นมาบนเนินเขาหลายกิโลเมตร ก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากพุ่มไม้ข้างทาง เมื่อส่องไฟฉายเข้าไป ก็พบกับพระท่อมร้างหลังหนึ่งที่มีเสียงบางอย่างเล็ดลอดออกมา

       เขาพยายามส่งสัญญานให้รุ่นน้องเงียบเสียง แล้วเดินเข้าไปใกล้กระท่อมหลังนั้นช้าๆ

        โตนนท์มองหาอาวุธรอบตัว ก็ได้ไม้ขนาดกำลงพอเหมาะมาหนึ่งชิ้น เขากระซิบบอกตากล้องรุ่นน้องให้เตรียมตัวถ่ายรูป...เพราะถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้น อย่างน้อยก็มีหลักฐานไว้ยืนยันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่

    เสียงพูดคุยภายในกระท่อมหลังนั้นเงียบลงพร้อมๆกับที่โตนนท์ต้องชะงักเท้าของตัวเองไว้

         หรือว่าคนในกระทอมจะรู้ตัวว่าพวกเขาอยู่ด้านนอก!

        โตนนท์และกันตพงษ์คอยอยู่จนกระทั้งเสียงพูดคุยภายในกระท่อมกลับดังขึ้นอีกครั้ง เขาทั้งสองจึงค่อยๆขยับเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พยายามจับใจความเสียงพูดคุยที่ดังมาจากในกระท่อม

       โตนนท์แน่ใจว่าเสียงพูดคุยนั้นเป็นเสียงของผู้ชายแน่นอน แม้จะจับใจความไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามีเด็กอีกคนที่อยู่ในกระท่อม

    โตนนท์คาดเดาด้วยสัญชาตญานว่าเด็กน้อยคนนั้นอาจะเป็นเด็กคนเดียวกับที่พวกเขากำลังตามหา เพราะดึกดื่นเที่ยงคืนป่านนี้ คงไม่มีเด็กน้อยคนไหนมาหากิจกรรมทำในกระท่อมร้างบนเนินเขาแห่งนี้แน่นอน เขาจึงไม่รอช้า...ส่งสัญญานให้กันตพงษ์อ้อมไปด้านหลังของกระท่อม เพื่อปีนขึ้นระเบียงไม้ไปเข้าทางหน้าต่างแทนประตูด้านหน้า กลุ่มคนที่อยู่ในกระท่อมจะได้ไม่ไหวตัวทัน

       โตนนท์ปีนขึ้นระเบียงไม้ด้านหลังกระท่อมช้าๆ หันมายื่นมือให้รุ่นน้องที่อยู่ด้านล่างปีนตามขึ้นมา แต่ระหว่างที่เขากำลังพยายามดึงมือของกันตพงษ์ให้ตามขึ้นมาบนระเบียง ก็มีเสียงแปลกๆดังขึ้น คล้ายกับมีคนกำลังพยายามใช้กำลังเพื่อต่อสู้ หรือบังคับขืนใจอีกฝ่าย...โตนนท์ขนลุกวาบไปทั้งตัว หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในกระท่อม อาจเลวร้ายกว่าที่เขาคิด

         เสียงร้องตะโกนเล็กแหลมของเด็กน้อยดังออกมาจากกระท่อมราวกับต้องการความช่วยเหลือ โตนนท์ไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปถีบหน้าต่างไม้ของกระท่อมหลังนั้นจนหลุดออกมาทั้งบ้านทันที! และภาพที่เขาได้เห็น ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เขาคิดไว้

       ผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังคร่อมทับร่างเด็กน้อยตัวเล็กๆที่พยายามดิ้นหนีเอาตัวรอด

       “พวกมึงไม่รอดแน่!”

          กันตพงษ์หยิบกล้องขึ้นมาบันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อมัดตัวผู้ร้ายที่อยู่ในกระท่อม พร้อมๆกับที่โตนนท์ปีนเข้าไปทางหน้าต่างและถีบหน้าอกผู้ชายที่กำลังคร่อมร่างของเด็กน้อยอยู่จนกระเด็นไปอีกทาง แล้วพุ่งตัวเข้าไปคร่อมร่างผู้ชายคนนั้นไว้
จิรกรที่กำลังงุนงงกับแรงที่โดนยันเข้าที่หน้าอกแรงๆจนหงายหลังอย่างไม่ตั้งตัว พยายามลุกแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะคนที่ถีบเขาจนหงายหลัง วิ่งมาต่อยหน้าเขาอีกสองหมัดแล้วใช้เข่ากดหน้าอกเขาไว้

          “ทำไมถึงลักพาตัวเด็กมาทำเรื่องอุบาทว์กลางป่าแบบนี้วะไอ้เชี่…”

            กันตพงษ์รีบปีนตามเข้ามาดูอาการของเด็กน้องที่ไอโขลกๆอยู่บนพื้น เขารีบแบกร่างนั้นขึ้นบ่า แต่เมื่อกำลังจะลุกขึ้น กันตพงษ์ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าในกระท่อมหลังนั้นยังมีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาอีกคนนอนสลบอยู่

       ตากล้องหนุ่มสับสนงุนงงกับภาพที่เห็นตรงหน้า

          ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้ชายที่อยู่ในกระท่อม คงจะทำเรื่องชั่วช้ากับเด็กน้อย...แต่ตอนนี้กลับพบร่างของผู้ชายอีกคนนอนสลบอยู่
       หรือเรื่องราวเกิดขึ้นในกระท่อม จะไม่ใช่อย่างที่เขาและโตนนท์คิด

       “พี่โตๆ ทำไมมีผู้ชายนอนสลบอยู่อีกคนวะพี่”

           คำถามของกันตพงษ์ทำให้โตนนท์ชะงักค้างหมัดที่สามที่กำลังจะต่อยลงบนใบหน้าของจิรกร หันมามองตามที่ตากล้องรุ่นน้องบอก ทำให้เขาเสียจังหวะถูกถีบหน้าอก จนหงายหลังไปกองอยู่กับพื้น

       จิรกรตั้งใจจะเข้าไปต่อยหน้าไอ้คนที่เพิ่งมาใหม่สักสองทีให้หายโกรธ แต่เมื่อนึกขึนได้ว่าน้องชายของตัวเองโดนบีบคอจนสลบอยู่ไม่ไกล จึงรีบวิ่งไปดูชลชีวีแทน

           เขารีบนั่งลงใกล้ๆร่างของน้องชายที่หมดสติอยู่ตรงหน้าแล้วเขย่าตัวเรียกชื่อ

           “ชล...ชล!!! เป็นไรมากมั้ย ตื่นสิวะ ตื่น!!!”

     น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวลของจิรกรทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนที่อยู่ในกระท่อมหมองด้วยความแปลกใจ… ทำไมท่าทีของคนที่กอดร่างๆผอมๆนั้นไว้ในอก ไม่แสดงแสดงออกถึงรังสีของความชั่วร้ายแม้แต่นิดเดียว … แต่ตอนนี้กลับแสดงออกถึงความกังวลและความห่วงใยผู้ชายที่เขาตะโกนเรียกว่าชล ราวกับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

          “ชล...ตื่นสิวะ...มึงอย่าเป็นไรไปนะโว้ย!...พี่บอกให้ตื่น”

    โตนนท์ยันตัวลุกขึ้น เฝ้ามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า...ท่าทางของคนสองคนที่อยู่ในกระท่อมนี้ไม่เหมือนที่เขาคาดไว้...หรือเขาจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดผิดไป!

       กันตพงษ์เองก็สีหน้าไม่แตกต่างจากโตนนท์ เพราะเขาประหลาดใจกับท่าทางของชายหนุ่มทั้งสองคน...พี่บอกให้ตื่นงั้นเหรอ...หรือแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นพี่น้องกัน! แล้วทำไมอีกฝ่ายจึงนอนสลบอยู่ ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังแสดงท่าทางคุกคามเด็กน้อยวัยสามขวบ

       “เฮือก!” ร่างผอมที่นอนอยู่ในอ้อมอกของจิรกรหอบหายใจเฮือกใหญ่ราวกับคนที่เพิ่งรอดพ้นจากการจมน้ำ

       “ฟื้นแล้วเหรอชล...พี่ตกใจหมด....นึกว่าชลจะเป็นไรไปซะแล้ว” น้ำเสียงดีใจของคนเป็นพี่ร้องออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ชลชีวีที่เพิ่งได้สติพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เมื่อสายตาปรับชินกับความมืดในกระท่อม เขาก็เห็นผู้มาใหม่อีกสองคนที่ยืนจ้องเขาและพี่ชายตาไม่กระพริบ

       คนที่ยืนตัวสูงที่ยืนมองเขาด้วยสีหน้าฉงน…เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด!

       ผล๊วะ!!!

       เสียงประตูไม้ถูกทุบออกด้วยของแข็งบางอย่าง ส่งผลให้สายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องนั้นหันไปทางเดียวกัน

       ผู้มาใหม่อีกคนยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ในมือของหล่อนมีจอบเล่มยาวที่กำแน่นราวกับจะใช้เป็นอาวุธฟาดฟันศัตรู

      แสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่องอยู่เบื้องหลัง เผยให้เห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเผ้ารุงรัง สายลมพัดพากลิ่นสาปเหงื่อไคลเข้ามาในห้องจนน่าสะอิดสะเอียน

   ดวงตาวาวโรจน์คู่นั้น ค่อยๆสำรวจไปยังกลุ่มคนที่อยู่ภายในกระท่อมทีละคน กระทั่งเมื่อเห็นร่างหลานสาวที่อยู่บนบ่าของกันตพงษ์ ดวงตาดับขลับก็ดูราวมีไฟแค้นลุกโชนอยู่ในนั้น

       โตนนท์กันตพงษ์ใช้เวลานึกแค่ครู่เดียวก็จำใบหน้าของหล่อนได้…หล่อนคือผู้หญิงคนเดียวกับคนที่พวกเขากำลังตามหาเบาะแสการหายตัวไปของเด็กน้อย

   โตนนท์ถอยกลับมายืนอยู่หน้าตากล้องรุ่นน้องที่แบกร่างของเด็กน้อย เพื่อตั้งรับกับเหตุการไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

       “พวกมึงลักพาตัวลูกกูมา กูจะฆ่าพวกมึงให้หมด”

       “ลูกป้าที่ไหน นี่มันหลานป้า…” จู่ๆกันตพงษ์ที่เคยเป็นคนขี้กลัวก็หลุดปากออกมาต่อว่ายายป้าคลั่ง

         “…ถามจริงเหอะป้า เป็นป้าประสาอะไรถึงกล้าเอาหลานตัวเองมาแลกกับพิธีกรรมบ้าๆนี่ ยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่หรือเปล่า ถึงได้ทำกับเด็กตาดำๆได้ลงคอ”

       แววตาอาฆาตของหญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูยิ่งวาวโรจน์มากขึ้นรากับไฟ หล่อนจ้องมองมาที่กันตพงษ์อย่างอาฆาตแค้น ก่อนจะยกจอบที่อยู่ในมือขึ้นแล้ววิ่งพุ่งเข้ามาหาชายหนุ่ม

   โชคดีที่โตนนท์วิ่งมาขวางเอาไว้ได้ทัน!

   ชายหนุ่มเข้าไปคว้าจอบเล่มนั้นมาไว้ในมือ แต่แรงของหญิงวัยกลางคนกลับมาเกินกว่าที่เขาคิดจึงเกิดกรยื้อยุดฉุดกระชากกันเกิดขึ้น โตนนท์พยายามเตือนสติตัวเองว่าไม่ให้เผลอทำร้ายร่างกายผู้หญิง เพราะอาจทำให้เขาต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ด้วย

   แต่จนแล้วจนรอด…แรงของหญิงคลั่งกลับมากขึ้น เพราะแรงแค้นของเธอ ชายหนุ่มจึงต้องเหวี่ยงร่างของเธอไปจนชนฝาพนังของกระท่อม ก่อนจะเข้าไปคว้าจอบมาไว้ในมือ

   หญิงกลางคนที่ถูกเหวี่ยงไปชนฝาผนังจนล้มลง หล่อนก็พยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้น…หล่อนกรีดร้องด้วยความอาฆาตแค้น แล้วพุ่งเข้าไปหาโตนนท์กับกันตพงษ์อีกครั้ง

   แต่เรื่องราวที่ชายหนุ่มทั้งสองไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

   เมื่อจู่ๆ หล่อนก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะเด็กน้องที่อยู่ในอ้อมอกของกันตพงษ์ กระโดดจากอกของเขา เข้าไปหาร่างของหญิงคลั่ง แล้วกัดลงไปที่ลำคออย่างรุนแรงจนหล่อนกรีดร้องอย่างทุรนทุราย

   ชายหนุ่มนักข่าวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นตะลึง…กันตพงษ์อ้าปากค้างเพราะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง

   “เกิด…เกิดไรขึ้นวะพี่…เมื่อกี๊น้องเขายังอยู่บนแขนผมอยู่เลย”

   โตนนท์ที่ดูเหมือนจะมีสติมากกว่ากันตพงษ์ยกแขนขึ้นบังตากล้องไว้ราวต้องการจะปกป้อง

   เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของจิรกรและชลชีวี

   ท่าทางของสองหนุ่มดูไม่น่าใช่คนร้าย แต่คงจะมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้พวกเขาเข้ามาทำร้ายจิรกรในตอนแรก

   แต่นี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องของเขาทั้งสองคน…ชลชีวีหันไปมองหญิงคลั่งที่ตอนนีต้องพยายามเอาตัวรอดจากเด็กน้อยที่กระโดดเกาะหล่อนไว้แล้วบีบคอ…ชลชีวีแน่ใจ…เด็กน้อยกำลังถูกวิญญาณร้ายสิง

   “พี่กรเราต้องช่วยผู้หญิงคนนั้นก่อน”

   จิกรพยักหน้ารับรู้ “งั้นพี่จะเข้าไปช่วยจับเด็กคนนั้นไว้ ชลจะได้ทำพิธีไล่ผี”

   “ระวังตัวด้วยนะพี่” ชลชีวีกำชับพี่ชายด้วยความเป็นห่วง

   จิรกรก้าวช้าๆอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้ร่างของหญิงคลั่งที่ล้มลงนอนดิ้นอยู่กับพื้น หล่อนกำลังพยายามปัดป้องการทำร้ายจากวิญญานในร่างเด็กน้อย

   “เห้ย! พวกนายน่ะ เข้ามาช่วยกันหน่อย” จิรกรหันไปบอกชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสองคนที่ยืนมองด้วยความสงสัย

   “ช่วย? ให้ช่วยอะไร?” กันตพงษ์ถาม

   “เข้ามาช่วยจับตัวเด็กไว้…เราต้องทำพิธีไล่ผี”

   “ห้ะ? ทำพิธีไล่ผี…ไล่ผีจากใคร” ตากล้องหนุ่มสงสัย

   “ก็จากเด็กคนนี้ไง…ถามมากจริง…จะยืนทำหน้าเอ๋อแดกกันอีกนานมั้ย เดี๋ยวป้าก็ตายห่ากันพอดี”

   กันตพงษ์หน้าบึ้งเพราะไม่พอใจกับคำด่าของจิรกร กำลังจะโต้ตอบกลับ แต่ถูกโตนนท์ห้ามทัพไว้ก่อน
 
   “จะให้ช่วยอะไร ว่ามา” โตนนท์ถามชายหนุ่มที่เพิ่งวางมวยกับเขาเมื่อครู่ที่ผ่านมา สัญชาตญานบางอย่างบอกว่าในเวลานี้เขาจำเป็นต้องหย่าศึกกับผู้ชายคนนี้ก่อน

   “มาช่วยกันจับเด็กไว้…แล้วนาย…” จิกรกรชี้ไปที่กันตพงษ์ “…ไปช่วยน้องฉันเตรียมพิธี”

   แม้กันตพงษ์จะไม่พอใจกับท่าทางชีนิ้วสั่งของคนแปลกหน้า แต่ถ้าให้เลือกระหว่างต้องช่วยไอ้คนเผด็จการนั่น กับไปช่วยผู้เป็นน้องชายตามที่เขาว่า…กันตพงษ์เลือกอย่างหลังดีกว่า

   จิรกรชี้นิ้วไปทางซ้ายเป็นสัญลักาณ์ให้โตนนท์เข้าไปประจุดตรงนั้น ก่อนี่ตัวเองจะดูจะหวะอยู่ทางด้านหลังของเด็กน้อย

   หญิงคลั่งที่ถูกเด็กน้อยบีบคอกำลังจะหมดสติ ผีร้ายที่อยู่ในร่างเด็กแสยะยิ้มน่ากลัว แววตาของมันหิวกระหายราวกับได้เจออาหารอันโอชะตรงหน้า มันกำลังจะก้มลงกัดลำคอของหญิงคลั่ง

   ทันใดนั้นเองจิรกรก็พุ่งเข้าไปคว้าร่างของเด็กน้อยเอาไว้ โตนนท์ที่เฝ้ารอจังหวะอยู่จึงรีบเข้าไปช่วยแต่ก็ยากกว่าที่เขาคิด เพราะแรงดิ้นของเด็กน้อยนั้นกลับมากมายมหาศาลราวกับมีพลังพยาอย่างควบคุมร่างนั้นอยู่

   เด็กน้อยพยายาสะบัดตัวออกจากการจับกุมของโตนนท์อย่างสุดแรง จิรกรถอดเข็มขัดของตัวเองออกมาแล้วเข้าไปมัดมือของเด็กน้อยไขว้หลังเอาเอาไว้โดยมีโตนนท์เป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือ

   โตนนท์มองการกระทำของจิรกรด้วยความลังเล…นี่เขาคิดถูกหรือคิดผิดที่มาช่วยจับร่างของเด็กน้อยไว้แบบนี้ มันดูเหมือนเขากำลังทำร้ายร่างกายเด็กอยู่เลย

   “ผมจำเป็นต้องทำ….” จิรกรบอกชยหนุ่มที่มอบเขาด้วยความเคลือบแคลง “วิญญาณที่อยู่ในร่างเด็กตอนนี้ เป็นวิญญาณร้าย ถ้าเราไม่ทำพิธีไล่ผี จากคดีผู้ใหญ่ฆาตกรรมเด็ก อาจเปลี่ยนเป็นคดีเด็กฆาตกรรมผู้ใหญ่แทน”

   โตนนท์คิดมาตลอดว่าเรื่องราวลึกลับเหนือธรรมชาติพวกนนี้ไม่มีจริงอยู่บนโลก แต่จาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาเข้ามาพัวพันกับคดีนี้…หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่สามาถหาคำตอบได้ ก็ทำให้เขารู้สึกลังเลจนต้องเผื่อพื้นที่ส่วนหนึ่งในสมองไว้คิดเรื่องรวแบบนี้บ้าง

   อย่างเด็กที่เขาพยายามช่วยจับอยู่ในตอนนนี้…เป็นไปไม่ได้เลยที่เรี่ยวแรงของหนูน้อยจะมหาศาลมากมายถึงเพียงนี้ อีกทั้งแววตาดุร้ายราวกับปีศาจของเด็กน้อยนั่นอีก….เขาไม่เคยเห็นแววตาของเด็กคนไหนน่ากลัวเท่านี้มาก่อน

   โตนนท์ช่วยจิรกรจับร่างของเด็กน้อยไว้ตามที่อีกฝ่ายหนึ่งบอก

   “พร้อมไหมชล?”

   จิรกรถามน้องชายของตัวเองที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางกระท่อมโดยมีกันตพงษ์นั่งอยู่ห่างๆ

   ชลชีวีพนมมือขึ้นรำลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ บิดรมารดาผู้มอบชีวิต และสิ่งศักสิทธิ์ที่มอบ ‘สิ่งพิเศษ’ ให้กับเขา

   ชลชีวีปลดสร้อยคอของเขาออกมา กันตพงษ์ที่นั่งอยู่ข้างๆพยายามหรี่ตามองก็พบว่าแท้จริงแล้วจี้ของสร้อยคอไม่ได้เป็นจี้พระแต่อย่างใด แต่มันเป็นเหมือลูกแก้วแก้วกลมๆเล็กๆเท่าขนาดไข่มุก ภายในนั้นบรรจุของเหลวแววใสอยู่

   “เตชะ เทวา ทรงศักดิ์       ปกปักษ์  สิงสรรพ์ บันดาล
เตชะ สุร ปรวาณ      ปราบมาน ป้องปักษ์ ชีวี
เตชะ องค์พระ มารชิต   คุ้มจิตร เหนือเกล้า ข้านี้
โปรดสัตว์ นิรย อเวจี   ฤดี-แล นัยนา เปี่ยมธรรม.”


   เมื่อเสียงใสก้องกังวลของชลชีวีดังขึ้น ความเคลื่อนไหวทุกอย่างทั่บริเวณนั้นก็คล้ายจะหยุดลง…ไม่มีเสียงร้องของสัตว์ป่า…ไม่มีเสียงลม…ไม่มีเสียงนก ทุกสิ่งทุกอย่างทั่วบริเวณคล้ายจะถูกสะกดด้วยน้ำเสียงเอนเอยของชายหนุ่มที่นั่อยู่กลางกระท่อม

   แสงจันทร์นวลที่สาดส่องเข้ามาท่างหน้าต่าง คล้ายมีลำแสงบางอย่างที่สาดส่องไว้เพื่อชลชีวีเท่านั้น

   ชลชีวีลุกขึ้นยืน แวตรงไปยังร่างของเด็กน้อยที่นอนดิ้นอยู่ราวกับรู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึงตัว

   “เราไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แล้วสาเหตุใดที่ท่านต้องฉกฉวยโอกาสเข้าร่างของเด็กน้อยในเวลานี้…แต่ได้โปรดกลับยังที่ที่ท่านจากมาเถิด สังขารนี้อ่อนแอเกินกว่าที่รับพลังของท่านได้ หากท่านอาศัยอยู่ในร่างนี้นานเกินไป…อาจะเกิดอัตรายกับเด็กคนนี้” ชลชีวีพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพราวกับสนทนาอยู่กับญาติผู้ใหญ่

   “ไม่! ข้าไม่ไป!”

   โตนนท์รู้สึกขนลุกกับน้ำเสียงของเด็กน้อย เพราะมันทุ้มห้าวราวกับเสียงผู้ชาย…และที่สำคัญ เขารู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงนั้นอย่างประหลาด

   “ท่านอย่าผูกเวรเลย เด็กน้อยคนนี้ไม่เคยทำเรื่องใดที่เคยลบหลู่ท่านมาก่อน ได้โปรดออกไปจากร่างนี้เถิด”

   “ไม่…ถ้าไม่ได้จองเวรกับนังเด็กนี่ แต่ข้าจะฆ่าอีหญิงชั่วคนนั้น…” เด็กน้อยตาขวาง จ้องไปยังร่างของป้าตัวเองอย่างอาฆาต “เอ็งไม่มีวันรู้สึกถึงความทรมานของการถูกจองจำ สะกดให้เป็นทาสของมันนานนับสิบปี…มันไปขุดร่างของข้าขึ้นมาจากสุสาน แล้วนำข้ามาย่างราวกับสัตว์…มันสะกดวิญญาณข้าให้เป็นทาสรับใช้ของมัน…ข้าพยายามหนีให้หลุดพ้นจากการสะกด แต่ข้าทำไม่ได้…ข้าทรมานเหมือนตกอยู่ในหลุดดำอัดมืดมิด ข้า…อึดอัด…จนกระทั่ง ไอ้หนุ่มคนนั้นมันไปปลดปล่อยข้ามา…”

   ดวงตาเด็กน้อยจ้องไปยังใบหน้าของกันตพงษ์ “วันที่มันแอบเข้าไปในบ้านของอีนั่งชั่วนั่น ไอ้หนุ่มคนนี้มันปีนขึ้นไปบนต้นชมพู่หน้าบ้าน มือข้างหนึ่งของมันไปปัดเอาขวดแก้วที่นางหญิงชั่วมันซ่อนไว้บนนั้นจนตกลงมาแตก…ใช่ ขวดที่จองจำข้ามานานนับสิบปี สุดท้าย…ข้าจึงออกมาได้…และข้าก็เกาะหลังพวกมันมาจนมาถึงทีนี่”

   กันตพงษ์กลืนน้ำลายอึกใหญ่…เด็กคนนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาแอบปีนขึ้นไปเก็บลูกชมพู่หน้าบ้านหลังนั้นมากิน…เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่าเผลอไปทำอะไรตกลงมา…นี่เขาเป็นคนที่ทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวายนี้ขึ้นเหรอ

   “ข้าจึงเข้าไปบอกไอ้หนุ่มที่อยู่ในบ้าน…มันดูฉลาดดี…แล้วข้าก็คิดถูก”

   “อะ…อ่าว พูดงี้ก็แปลว่าด่าผมว่าโง่ใช่มั้ย”

   กลัวก็กลัว แต่อีกใจหนึ่งก็โกรธที่โดนผีตัวนั้นมาดูถูกจึงเผลอหลุดปากออกไป กำลังจะอ้าปากด่าต่อแต่โตนนท์มองตาห้ามไว้ก่อน…แล้วไป…ไม่ได้หลัวหรอกนะ…เห็นแก่พี่โต!

   “หึหึ! ตอนที่พวกมึงนั่งอยู่ในห้อง แล้วได้ยินเสียงบทกลอน…จริงๆแล้วเสียงมันไม่ได้ออกมาจากเครื่องนั่น…แต่กูเองที่กระซิบอยู่ข้างหูพวกมึง”

   กันตพงษ์ขนลุกซู่เมื่อนึกถึงตอนที่เขากับโตนนท์เปิดวิดีโอดูด้วยกันในห้อง…นี่มีผีอยู่กับเขาสองคนตลอดเวลางั้นเหรอ

   “แล้วท่านต้องการอะไร?” โตนนท์ถามขึ้นโดยใช้สรรพนามตามที่คนตัวผอมๆนั่นเรียก

        เสียงหวีดวิวของลมที่เริ่มพัดโหมกระหน่ำจากภายนอก พัดเอาใบไม้รอบๆกระท่อมร้างจนปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ เสียงกระเบื้องหลังคาตีดังตึงตังราวกับจะหลุดออกมา หน้าต่างบานที่ยังเหลืออยูฟาดเข้ากับฝาผนังครั้งแล้วครั้งเลาราวกับมีมือปีศาจค่อยผลักอยู่รอบๆ เสียงหัวเราะอย่างอาฆาตแค้นดังมาจากรอบๆกรท่อมราวกับมีภูติผีรอคอยการชำระแค้นอยู่อีกมากมายในคืนนี้

   “วิญญานของมัน!”

   เสียงทุ้มต่ำน่าขนลุกดังขึ้นจากร่างเด็กน้อย ก่อนที่ร่างเล็กๆของเธอจะดิ้นไปมาอย่างรุนแรงเพื่อให้หลุดจากการมัดมือ โตนท์กับจิรกรเข้าไปช่วยกันจับร่างน้อยๆนั้นไว้แน่น แต่แรงเหวี่ยงอันมหาศาลก็กระชากเอาร่างของจิรกรให้ลอยไปชนกับฝาผนังด้านหนึ่งของกระท่อมแล้วร่วงลงมากองกับพื้น

   ชลชีวียกมือขึ้นบังใบหน้าของตัวเอง ตะโกนขอความช่วยเหลือจากชายนุ่มอีกคนที่อยู่ในกระท่อม

   “คุณ…ช่วยจับร่างเด็กไว้หน่อย…ได้โปรด”

   โตนนท์ตั้งสติของตัวเอง รีบเข้าไปจับร่างของเด็กน้อยไว้ เขาใช้พละกำลังทั้งหมดในการยื้อหยุดฉุดกระชากร่างนั้นให้อยู่นิ่งๆ

   ชลชีวีวิ่งเข้าไปหารางเด็กน้อย แล้วพยายามจับใบหน้าที่กำลังสะบัดหนีให้หันมาตรงหน้า ปากเรียวกล่าวบทสวดออกมาสั้นๆ เพียงแค่นั้นก็เหมือนกับการไปจี้จุดเจ็บปวดของวิญญาณร้ายจนร้องออกมาอย่างทุรนทุราย

   ชลชีวีหยิบเอาจี้สร้อยคอที่ภายในนันบรรจุน้ำมนต์เอาไว้ นาบลงไปที่หน้าผากของเด็กน้อย

   เสียงกรีดร้องราวสัตว์ป่าถูกทำร้ายดังออกมาจากลำคอเล็กๆ วิญญาณตนนั้นใช้แรงเฮือกสุดท้ายสะบัดตัวออกจากโตนนท์จนหลุด แล้วพุ่งเข้าไปบีบคอชลชีวีอีกครั้ง

   ชายหนุ่มที่โดนบีบคอดิ้นทุรนทุรายอย่างหาทางรอด เขาพยายามผลักร่างหนูน้อยออกแต่ก็ไม่สำเร็จ

         โตนนท์กับจิรกรที่พยายามเข้ามาช่วยก็โดนแรงมหาศาลผลักจะกระเด็นออกไป จนโตนนท์หัวฟาดกับเสาไม้สลบทันที

   ชลชีวีตั้งสติ มองไปยังกันตพงษ์ที่กระสับกระส่ายเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

   “พร้อมแล้ว!” กันตพงษ์บอกชลชีวี

   ฝ่ายที่ถูกทับอยู่พนักหน้าให้สัญญานตามที่ตกลงกันไว้

   แชะ!

   เสียงแฟลชดังข้นพร้อมแสงสว่างวาบไปทั่วห้อง

   ร่างเด็กน้อยหยุดนิ่ง แล้วล้มลงทับหน้าอกของชลชีวี

   สายลมที่พัดโหมกระหน่ำอยู่ก็หยุดนิ่งราวกับมีคนดึงปลั๊กออก!





   

   “มึงหมายความว่าไงที่…คุณชลชีวีเขาให้มึงถ่ายรูปวิญญานนั้นเก็บไว้” โตนนท์ที่เพิ่งฟื้นได้สติถามต่อ

   “ก็ตอนที่พี่กับคุณจิรกรช่วยกันจับร่างเด็กไว้ คุณชลเขาบอกผมว่าให้ส่งกล้องให้เขา แล้วเขาก็จับกล้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งคืนให้ผม…เขาบอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ให้รอฟังสัญญานจากเขา แล้วถ่ายรูปเก็บไว้…ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ…จนกระทั่งถ่ายรูปน้องเขาแล้ววิญญานสงบ…รู้เลยว่าคุณชลคงทำอะไรบางอยางกับกล้องผม เลยสะกดวิญญาณนั้นไว้ได้ หลังจากนี้ผมคงต้องบริจาคกล้องนี้ให้กับคุณชลแล้วล่ะพี่…ไม่กล้าเอากลับบ้าน”

   โตนนท์ทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตากล้องคนสนิทบอก แล้วหันไปมองผู้ชายตัวผอมๆที่กำลังนั่งใกล้ๆกับร่างของป้าคลั่งที่ถูกมัดไว้

   ตอนนี้หล่อนดูสงบลงบางแล้ว แม้สายตาจะยังเลื่อนลอย…แต่จากสภาพร่างกายที่อ่อนล้าของหล่อนก็พอทำให้พวกเขารู้ว่าหล่อนคงไม่สามารถลุกขึ้นมาคว้าจอบไล่ฟันใครได้อีก

   “คุณปล่อยวางเสียเถอะนะ…สิ่งที่คุณเชื่อ มันไม่มีอยู่จริงหรอก” ชลธีกล่าวกับหล่อนอย่างอ่อนโยน “ความปราถนาของคุณที่อยากให้คนที่ตายแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง…มันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้คุณแลกคำขอของคุณกับชีวิตเด็กอีกสักพันคนหมื่นคน ก็ไม่ช่วยให้สามีคุณฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้…กลับกัน มีแต่จะเพิ่มบาปให้กับสามีของคุณ และสร้างกรรมให้กับตัวคุณเอง ยอมมอบตัวกับตำรวจ และยอมรับบทลงโทษเสียตั้งแต่ชีวิตนี้เถอะนะ…ชีวิตหน้า บาปกรมทั้งหมดจะได้ไม่ต้องติดตามคุณไปอีก…”

   ร่างของหญิงวัยกลางคนสั่นระริก หล่อนฟุบหน้าลงกับพื้นร้องไห้จนตัวโยนราวกับหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง…ความหวังที่หล่อนเคยมีเพียงแค่ริบหรี่ ต้องพังทลายเพราะต้องยอมจำนนให้กับความเป็นจริง

   ชลชีวีสัมผัสมือลงไปที่ไหล่ของหล่อนเบาๆ “สิ่งเดียวที่จะทำให้สามีของคุณมีความสุขที่สุด คือคุณต้องปล่อยวาง และปลดปล่อยเขาจากความกังวลทุกอย่างบนโลกใบนี้ เพื่อที่เขาจะได้เดินทางไปสู่ภพภูมิใหม่อย่างหมดห่วง”

   เสียงร้องของหล่อนฟังดูหน้าเวทนา จนทั้งโตนนท์และกันตพงษ์อดสงสารไม่ได้

   “สามีของคุณฝากบอกมาว่า อย่าโทษตัวเองอีกเลย ที่วันสุดท้ายของชีวิตเขา…คุณไม่ได้อยู่ที่นั่น เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขารับรู้ได้ถึงความรักและความพยายามในการดูแลเขามาตลอดเวลาที่ป่วยเป็นมะเร็ง…เขาบอกว่า…ขอบใจมากนะ แม่ศรี”

   การกระทำทุกอย่างของชลชีวี อยู่ในสายตาของโตนนท์

   รอยยิ้มอ่อนๆบนมุมปากทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

        เหมือนจะเคยเห็น…แต่ก็จำไม่ได้

        เหมือนพยายามลืมตาค้นหาเข็มที่หล่นลงไปใต้น้ำ…มันช่างเรือนลาง

         แต่เขารู้แน่…ว่ามันมีจริง

   เขาเคยเจอผู้ชายคนนั้นที่ไหนกันนะ?

   
   
   



                                          ********************************************


ุ้
พยายามจัดหน้าให้สวยงาม แต่ได้แค่นี้จริงๆ 55555+
ขอขอบคุณทุกการติดตาม และนักอ่านหน้าใหม่ที่แวะเข้ามาครับ
จะพยายามพัฒนาฝีมือตัวเองให้ดียิ่งขึ้น
เจอกันตอนหน้าครับ
 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 4 กระท่อมร้าง
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-06-2021 20:52:14
 :z10: :z3:
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 4 กระท่อมร้าง
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 29-06-2021 22:22:26
ตรงประโยคที่ว่า "จิกรกรและกันตพงษ์ใช้เวลานึกแค่ครูเดียวก็จำใบหน้าของหล่อนได้" น่าจะหมายถึงโตนนท์และกันตพงษ์หรือเปล่า หรือผมเข้าใจผิดเองก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ  :sad4:

คู่หลักคู่รองออกมาครบแล้วสินะ   :hao3:

หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 4 กระท่อมร้าง
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-06-2021 22:42:48
 o13

ชอบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 4 กระท่อมร้าง
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 29-06-2021 23:12:43
ตรงประโยคที่ว่า "จิกรกรและกันตพงษ์ใช้เวลานึกแค่ครูเดียวก็จำใบหน้าของหล่อนได้" น่าจะหมายถึงโตนนท์และกันตพงษ์หรือเปล่า หรือผมเข้าใจผิดเองก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ  :sad4:

คู่หลักคู่รองออกมาครบแล้วสินะ   :hao3:

จริงด้วย เขิลจัง

ขออภัยในความผิดพลาด และขอบคุณที่ติดตามจากใจครับ
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 4 กระท่อมร้าง
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 29-06-2021 23:15:20
o13

ชอบบบบบบ

ขอขอบคุณที่ติดตามครับ ❤️
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 4 กระท่อมร้าง
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 29-06-2021 23:16:08
:z10: :z3:

ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 4 กระท่อมร้าง
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 30-06-2021 21:26:03
                                                           ตอนที่ 5 ชลชีวี

          บ้านไม้กึ่งปูนทาสีขาวทั้งหลังดูสะอาดตา ตั้งอยู่ใจกลางของลานกว้างที่มีหญ้านวลน้อยต้นเล็กๆ ขึ้นอยู่จนเต็มสนาม ด้านซ้ายของบ้านคือต้นลีลาวดีที่ปลูกเรียงรายเป็นแถว ดอกสีขาวแต้มจุดเหลืองนวลของมันร่วงลงบนพื้นแต่งแต้มสีสันด้วยหยาดน้ำค้างยามเช้า ฝั่งขวามือของบ้านมีรั้วเตี้ยๆ ล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากั้นบริเวณปลูกผักสวนครัวไว้อย่างเป็นระเบียบ

         หญิงสูงวัยคนหนึ่งก้มๆ เงยๆ อยู่ในสวนผักแปลงเล็กๆ มือซ้ายของหล่อนถือใบเตยอยู่จำนวนหนึ่ง มือขวาใช้กรรไกรคีบใบเตยมาเพิ่มอีกหนึ่งใบแล้วจึงใส่ทั้งหมดลงไปรวมกันในตะกร้าหวาย ยกขึ้นกระเดียดข้างเอว เดินออกจากแปลงผักสวนครัวอย่างทะมัดทะแมง เลียบข้างบ้านเข้าไปในครัว

         เสียงล้อรถกระบะที่บดผ่านรั้วบ้านเข้ามานั้นเบาจนแทบจะเท่าฝีเท้าคน เพราะผู้ที่ทำหน้าที่เป็นสารถีจงใจให้มันเป็นอย่างนั้น

         จิรกรถอนหายใจเฮือก หันไปมองหน้าน้องชายแล้วพยักหน้าให้เพื่อส่งสัญญาณว่า…ลงไปกันเถอะ

         ชายหนุ่มทั้งสองคนปิดประตูรถกระบะคันใหญ่อย่างเบามือที่สุด ผู้เป็นน้องชายชี้ไปทางฝั่งต้นลีลาวดีแล้วอ้าปากเป็นรูปคำว่า…ไปเข้าทางหน้าต่างฝั่งนั้นกัน

         จิรกรค่อยๆ ย่องตามน้องชายของตัวเองไป ภาวนาอย่าให้เจ้าองุ่น หมาพันธุ์ทางที่เขาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็กร้องทักขึ้นมา…ไม่อย่างนั้นโจรย่องเบาอย่างเขาทั้งสองคนโดนคุณนายพรจอมดุจับได้แน่

         โชคดีที่หน้าต่างบานหนึ่งฝั่งต้นลีลาวดีถูกเปิดอยู่ ชลชีวีจึงโผล่ศีรษะเข้าไปดูลาดเลาก่อน…เมื่อเห็นว่างทางปลอดภัยจึงหันกลับมาทำนิ้วเป็นสัญลักษณ์ว่าโอเคให้พี่ชาย รวบผ้าม่านลูกไม้สีขาวไว้อีกฝั่งหนึ่ง แล้วปีนขึ้นขอบหน้าต่างกระโดดลงพื้นบ้านให้เบาที่สุด

          เสียงตะหลิวกระทบกระทะดังมาจากในครัว ชลชีวีและจิรกรหันมองหน้ากันราวจะถามว่าใครจะวิ่งผ่านประตูห้องครัวไปขึ้นบันไดเป็นคนแรก…จนแล้วจนรอดคนตัวเบากว่าอย่างชลชีวีก็ต้องทำหน้าที่คนดูลาดเลาอีกเช่นเคย

          ฟึบ!

         นินจาคนแรกวิ่งผ่านประตูห้องครัวไปได้อย่างฉิวเฉียด

          ฟึบ!

         “หยุดนะ!!”

          นินจาคนที่สองกลับไม่รอด…ถูกจับได้จนได้

         “กู้ดมอร์นิ่งครับยาย…ทำอะไรอยู่ ห๊อมหอม” จิรกรยิ้มทักทายหญิงสูงวัยที่มือข้างหนึ่งถือตะหลิว เท้าสะเอวมองมาจากในครัวอย่างเอาเรื่อง

         “ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ ไอ้ตัวดี…บอกยายมาว่าหายไปไหนกันมาทั้งคืน”

          ชลชีวีทำท่าจะหนีขึ้นบันได...คิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว

          “ไอ้ชลครับยาย…ไอ้ชลมันเป็นคนเริ่มก่อนครับ…มันชวนผมไป”

          ชลชีวีชะงักเท้า หันมามองพี่ชายอย่างมันเขี้ยว ทำรูปปากบอกไปว่า…เห้ย…จะบอกยายทำไม

         ใครใช้ให้คิดจะทิ้งพี่ทิ้งเชื้อล่ะ ไอ้น้องชาย

          “ไหน…เจ้าตัวดีอีกคนอยู่ไหน…ออกมาซะดีดี” หญิงสูงวัยเดินออกมาจากครัวพร้อมถือตะหลิวในมือมายืนมองหลานตัวดีที่ยิ้มแหยๆ อยู่ตรงบันไดขั้นที่หนึ่ง

          “หายไปไหนกันทั้งคู่ตั้งแต่เมื่อคืน…ยายตื่นมาทำขนมก็ไม่เห็นทั้งคนทั้งรถ…กระดาษซักใบก็ไม่เขียนแปะไว้ว่าจะไปไหน…ตายแล้ว! นี่หน้าไปโดนใครต่อยมา ตากร …โอ๊ย…สภาพดูไม่ได้พอกันเลยทั้งสองคน ไปกัดกับหมาที่ไหนมา บอกยายมาเดี่ยวนี้!”

         หญิงสูงวัยฟาดตะหลิวปังใหญ่ลงบนฝาผนังอย่างเหลืออด…หลานทั้งสองคนตัวลีบราวกับรู้ชะตากรรมตัวเองว่าจะโดนเทศนาอีกกันฑ์ใหญ่ ไม่แน่อาจจะแถมด้วยไม้หวายอีกสองที

         แล้วเสียงตวาดแหวของผู้เป็นยายแค่ครั้งเดียว ก็พาเอาหนุ่มวัยทำงานทั้งสองคนย้อนเวลาไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกครั้ง

         จิรกรและชลชีวีทราบดีถึงความดุและเด็ดขาดของผู้เป็นยาย…คุณนายพร…หล่อนขึ้นชื่อเรื่องความดุ และเค็ม เพราะหล่อนต้องดูหลานกำพร้าทั้งสองคนของหล่อนมาตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งดีกรีครูเกษียนที่ลูกศิษย์ทั่วทั้งอำเภออวยยศให้เป็นครูดีเด่น ประเภทการลงหวายมาตลอดหลายสิบปี

         นับประสาอะไรกับเหล่าหลานชายตัวจ้อยของหล่อนหรือจะไม่เคยโดน!

         “โอ๊ย! ยาย…เจ็บ อย่าบิดหูผม…ยายปล่อยก่อน” จิรกรหลุดแทนตัวเองว่าหนูอีกครั้งทั้งๆ ที่พยายามเลิกเรียกแทนตัวเองแบบนี้มาหลายปีแล้วตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

         แรงบิดใบหูของคุณนายพร ทำเอานักอดีตนักกีฬามหาวิทยาลัยอย่างเขายังต้องร้องโอดโอย ดิ้นไปราวโดนน้ำร้อนลวก

          “ไม่ปล่อย…ทีออกไปก่อเรื่องจดได้รอยเขียว ร้อยช้ำกันมาแบบนี้ล่ะไม่คิด พอโดนบิดหูล่ะทำเป็นร้องจะเป็นจะตาย…ตาชล ลงมานี่!”

          คุณนายพรใช้ตะหลิวชี้ไปที่หลานคนเล็ก บอกให้เข้ามายืนข้างๆ กันกับพี่ชาย

          ชลชีวีก้าวหลีกไปไกล ราวกับกลัวรัศมีตะหลิวในมือยายฟาดโดนเข้า

         “ตายแล้ว! ดูสภาพแต่ละคนสิ…ฟกช้ำดำเขียวไปหมด…ตากร ดูแลน้องประสาอะไร ทำไม่ปล่อยให้น้องบาดเจ็บแบบนี้”

          “บาดเจ็บอะไรกันล่ะยาย…ไอ้ชลมันแค่แขนช้ำ แต่ผมนี่…โดนต่อยจนตาจะหลุดออกมาแล้ว” จิรกรอาศัยจังหวะเผลอ ดึงมือยายออกแล้ววิ่งมาหลบหลังน้องชายที่ตัวเล็กกว่า

         “นั่นไง! ในที่สุดก็หลุดออกมาจนได้ ว่าไปมีเรื่องชกต่อยมา…แกสองคนนี่นะ มันก่อนเรื่องตั้งแต่เด็กจนโต…เล่ายายมาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น…อ้อ! ถ้าโกหกแม้แต่คำเดียวแล้วจับได้ ยายจะฟาดพยางค์ละสิบที”

          “จะฟาดเลยเหรอยาย…พวกผมโตแล้วนะ” จิรกรบ่นอุบ

         “งั้นเพิ่มเป็นยี่สิบที”

         “พอแล้วยาย…พอแล้ว…คือ…เมื่อคืน ไอ้ชลมันบอกผมว่า มีพลังงานบางอย่าง ขอร้องให้มันช่วย…ผมไม่กล้าปล่อยให้น้องไปคนเดียว…เลยต้องตามมันไปด้วย”

         “อีกแล้วเรอะตาชล…ยายบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น มันอันตราย”

         “ก็…ชลอดสงสารเขาไม่ได้นี่ยาย…แล้วครั้งนี้เป็นเด็กด้วย…ถ้าชลไม่ออกไปช่วย เด็กคนนั้นแย่แน่…ก็ยายเคยสอนชลเอง ว่าการช่วยเหลือคนอื่นคือการทำความดี…ชลผิดด้วยเหรอจ๊ะ”

         คุณนายพรเงียบไปครู่หนึ่ง เพราะไม่นึกว่าหลานจะเอาคำพูดของหล่อนเองมาโต้แย้งหล่อนเอง

          “ชลไม่ผิด…แต่ยายเป็นห่วง กลัวว่าทั้งชลและกรจะต้องตกอยู่ในอันตราย…หนูก็รู้ว่าชีวิตของยายเหลือแค่พวกหนูอยู่แค่สองคน ถ้าพวกหนูเป็นอะไรไป ยายจะอยู่กับใคร”

          พอเห็นท่าทีอ่อนลงของยาย จิรกรในมาดเด็กน้อยจึงถือโอกาสเข้าไปกอดแขนนุ่มนิ่มของหญิงสูงวัยเอาไว้อย่างออดอ้อน

         “ไม่เป็นไรหรอกยาย…พวกเราโตแล้วทั้งคู่ แล้วอีกอย่าง ผมเคยสัญญากับยายไว้แล้วไง…ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะปกป้องน้องด้วยชีวิต”

          ชลชีวีได้ยินพี่ชายกล่าวดังนั้นก็ยิ้มรับ แล้วเข้าไปกอดแขนอีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ของคุณนายพรผู้แสนดุละไม่เคยยอมใคร…ยกเว้นสิ่งที่ที่หล่อนจะยอมลงให้คือหลานสองคนนี้เท่านั้น

         “ตาชล…ไปหยิบยาทาแก้ฟกช้ำในตู้ยามา…ยายจะทาให้พี่เรา”

          ชลชีวีรีบปล่อยแขนยายแล้วเดินเปิดตู้ยาหยิบเอายาแก้ฟกช้ำตลับหนึ่ง เมื่อหันกลับมาก็เห็นจิรกรพาผู้เป็นยายไปนั่งที่โซฟาริมหน้าต่างแล้ว

          คุณนายพรรับตลับยามาจากหลานคนเล็กแล้วทาให้ที่รอยช้ำบนใบหน้าหลานคนโตที่หล่อนรักดั่งดวงใจไม่แพ้ชลชีวี

          “อูย! เบามือหน่อยยายผมเจ็บ”

         “เจ็บสิยะดี จะได้หลาบจำ ไม่ตามใจน้อง พาออกไปเป็นอันตรายข้างนอกอีก”

          จิรกรอยากจะโต้แย้งคนเป็นยายอีกครั้งว่าเขาไม่ได้ตามใจ แต่อีกฝ่ายเป็นคนชวนกึ่งบังคับแลกกับการเก็บเรื่องเปลี่ยนที่ทำงานโดยไม่บอกยายไว้เป็นความลับ แต่ชายหนุ่มไม่อยากกวนน้ำใสให้ตะกอนขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง จึงปล่อยให้ยายปฐมพยาบาลจนเสร็จ แล้วคุณนายพรจึงหันไปทางหลานชายคนเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ

          หล่อนจับแขนหลานชายพลิกขึ้นดูรอยช้ำเขียวที่ข้อศอกแล้วถอนหายใจ ป้ายยาทาให้เบาๆ

         หล่อนรับเป็นผู้บริบาลเด็กชายทั้งสองคนมาตั้งแต่บุตรสาวคนรองของหล่อนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว

          หล่อนยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี…หล่อนแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ข่าวว่าลูกสาว ลูกเขยที่กำลังกลับจากการรับหลานคนเล็กที่โรงเรียนสอนดนตรีเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง หล่อนรีบตั้งสติแล้วรีบไปคนงานสวนผลไม้ที่อยู่ละแวกเดียวกัน ช่วยไปรับหลานชายคนโตจากสนามบาสเกตบอล แล้วรีบเดินทางไปโรงพยาบาลทันที

         แต่มันก็สายไปแล้ว…ลูกสาวคนรองของหล่อนพร้อมทั้งสามีได้จากโลกนี้ไปโดยไม่มีวันหวนคืน…เหลือทิ้งไว้เพียงหลานชายคนรองที่อาการสาหัส

           ชลชีวีนอนนิ่งราวตุ๊กตาตัวน้อย ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดๆ อยู่เจ็ดวัน กระทั่งเมื่อตื่นขึ้นมาก็แสดงอาการแปลกๆ บอกว่าเห็นคุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมบ้าง…เห็นชายชราคนเดียวกับที่อยู่ในกรอบรูปคุณตามาหาบ้าง

            ช่วงแรกๆ ที่ชลชีวีแสดงอาการดังกล่าวออกมา…ผู้เป็นยายคิดว่าคงเป็นอาการข้างเคียงจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น…จนกระทั่งเรื่องราวผ่านไปหลานเดือน หล่อนทำสร้อยคอพระที่ติดตัวหล่อนมาตั้งแต่วัยเด็กหล่นหาย หาจนแทบจะพลิกแผ่นดินก็หาไม่เจอ กระทั่งหลานชายคนเล็กเดินมาบอกว่า สร้อยคอของหล่อนเกี่ยวติดอยู่กับกิ่งต้นมะนาวในสวนหลังบ้าน…หลอนแน่ใจว่าเดินมาค้นหาสร้อยคอแถวนี้หลายครั้งแล้วก็ไม่พบ จนหลานชายเดินมาชี้มาต้นไหน กิ่งไหน สร้อยคอเส้นนั้นก็แขวนอยู่จริงๆ

         เมื่อหล่อนถามว่าหลานชายรู้ได้อย่างไร ชลชีวีก็เล่าให้ฟังว่ามีคุณตาลักษณะท่าทางใจดีมาบอกว่ายายไปบนบานกับเขาไว้ว่าถ้ายายหาสร้อยคอเจอ จะแก้บนด้วยไก่ปากทอง และน้ำแดงสิบขวด

         คุณนายพรขนลุกกับสิ่งที่หลานพูด เพราะการบนบานกับเจ้าที่เจ้าทางของหล่อนนั้นเกิดขึ้นเงียบๆ เพียงในใจเท่านั้น…แล้วหลานตัวจ้อยคนนี้รู้ได้อย่างไร?

          เมื่อหลานชายขึ้นชั้นเรียนระดับชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่สามก็เกิดเรื่องขึ้น เพราะหลานชายเผลอไปทักครูคนหนึ่งว่าให้ระวังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อหมดเวลาราชการขณะเดินทางกลับบ้าน ครูคนนั้นก็ประสบอุบัติเหตุจริงๆ แต่โชคดีที่หล่อนไม่เป็นอะไรมาก แถมยังป่าวประกาศไปทั่วอีกว่าก่อนเกิดเรื่อง เด็กชายชลชีวีได้ทายทักหล่อนไวก่อนอย่างแม่นยำ

           ข่าวหมอดูตัวน้อยจึงดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งโรงเรียน มีทั้งครู แม่บ้าน นักการ-ภารโรง แอบเข้ามาขอให้เด็กน้อยลองทำนายชะตาชีวิตให้พวกเขา…หนักขึ้นก็กลายเป็นการขอโชคขอลาภกับเด็กน้อยแทน

            ด้วยความใสซื่อของชลชีวี…หนูน้อยพูดออกมาจนหมด และเหตุการณ์ต่างๆ ก็เป็นจริงทุกเรื่อง

          ผู้ใหญ่มองว่าการทำนายอนาคตได้คือกำไรชีวิตเพราะได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้า

           กลับกัน…เด็กรุ่นราวคราวเดียวกลับมองว่าชลชีวีคือตัวประหลาด!

          เด็กผีสิง…คือฉายาที่เพื่อนๆ ใช้เรียกขานเด็กน้อยผู้ใสซื่อ

           เรื่องมาเข้าหูคุณนายพรตอนที่ถูกเชิญไปที่โรงเรียนเพราะหลานคนโตก่อเรื่องชกต่อยกับเพื่อนในโรงเรียน

           แม้คุณนายพรจะเป็นคนดุตามคำร่ำลือ แต่กับเรื่องคดีความต่างๆ หล่อนยุติธรรมมากพอที่จะฟังความจากหลานชาย ไม่ตีโพยตีพายไปก่อน

           เรื่องราวในครั้งนั้นเกิดจากการที่ชลชีวีโดนเพื่อนรุมแกล้ง หนักเข้าก็ลากเข้าไปยื้อยุดฉุดกระชากในห้องน้ำเพราะคิดว่าชลชีวีคือเด็กผีที่ต้องกำจัด…โชคดีที่เพื่อนของจิรกรผ่านมาเห็น จึงรีบวิ่งไปตามให้พี่ชายมาช่วยน้อง

         และโชคดีที่จิรกรมาทันเวลาพอดี…เขาจัดการเด็กกลุ่มอันธพาลพวกนั้นจนลงไปกองกับพื้นหมดทุกคน

         จิรกรโดนทำทัณฑ์บน และคุณนายพรต้องรับผิดชอบค่าทำขวัญให้กับพ่อแม่เด็กกลุ่มที่ถูกจิรกรทำร้ายร่างกาย

          เมื่อกลับถึงบ้าน…การเปิดใจครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น

          คุณนายพรไม่ลงโทษหลานชายคนโตซ้ำ แต่กลับฟังเรื่องราวจากปากหลานทั้งสองอย่างใจเย็น ค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ผ่านการวิเคราะห์ของผู้มากด้วยวัย จนสุดท้ายหล่อนจึงสามารถสรุปได้ว่า

         หลานชาย…มีจิตสัมผัสหลังเกิดอุบัติเหตุ และมันเป็นเหมือนดาบสองคมที่ให้ทั้งคุณและโทษกับผู้กุมอำนาจพิเศษนั้นไว้

         ยายอย่างหล่อนต้องทำหน้าที่ปกป้องหลานคนเล็กให้ดีที่สุด จึงสั่งให้ชลชีวีและจิรกรเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามบอกให้ใครรู้เป็นอันขาด

         โชคดีที่จิรกรรักน้องมาก หวงแหนราวกับไข่ในหิน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่หล่อนจะบอกให้พี่น้องดูแลกันให้ดี

          แต่ชลชีวีไม่ใช่ตุ๊กตาที่หล่อนจะเก็บไว้ในตู้โชว์ หรือดัดแขนดัดขาให้เป็นไปตามใจได้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจึงมีเรื่องราวและปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับ ‘สัมผัสพิเศษ’ ของชลชีวีเข้ามามากมาย

           กระทั่งวันนี้ก็เช่นกันที่หลานชายของหล่อนกลับบ้านมาในสภาพสะบักสะบอม

         หญิงสูงวัยถอนหายใจออกมา ลูบศีรษะกลมๆ ของชลชีวี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่จริงจังว่า

         “สัญญากับยายได้ไหม ว่าชลจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องอันตรายแบบนี้อีก…เดี๋ยวก่อน…อย่าเพิ่งสัญญา…
ถ้าไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า…คิดดีดี เพราะนี่ถือเป็นคำสัตย์”

          ชลชีวีมองหน้าจิรกร…ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไร เปิดโอกาสให้น้องชายได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง

         ชลชีวีไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้คนทั้งโลกเข้าใจ ว่าความสามารถพิเศษของเขานั้น บางครั้งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขา

          ควบคุมได้…พลังของมันลึกลับและอันตราย!

          หลายต่อหลายครั้งที่เขาพยายามไม่เข้าไปยุ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดจากภาพในจิตของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ฝืนไม่ได้

           จิตสัมผัสที่เข้ามีอยู่…มันไม่ได้ผุดขึ้นมาเปล่าๆ แต่ชลชีวีแน่ใจ…มันคงมีจุดประสงค์บางอย่างที่เขาได้รับพลังนี้มา

          เขารับรู้และเข้าใจความหวังดีของยายเสมอ ที่หล่อนพยายามบังคับเขาปกปิดพลังนี้ไว้ อย่าแสดงออกมาให้ใครรู้

          แต่มันก็เหมือนลูกโป่งอัดแก๊ส…ยิ่งแน่น…ก็ใกล้เวลาระเบิด

           ชลชีวีทำได้เพียงยิ้มออกมาเพื่อให้ผู้เป็นยายสบายใจ…แม้ตัวเองจะรู้สึกอึดอัดแค่ไหนก็ตาม

            “ก็ได้ครับ…ชลสัญญา”



          ภายในออฟฟิศสำนักข่าวกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมออกอากาศรายการข่าวเที่ยง ซึ่งข่าวที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดอยู่ในขณะนี้ก็คือข่าวการลักพาตัวเด็กน้อยที่ตอนนี้ได้รับการช่วยเหลือจนรอดมาอย่างหวุดหวิด และดูเหมือนว่าสำนักข่าวแห่งนี้จะได้รับเนื้อหาข่าวที่ค่อนข้างลึกกว่าทุกสำนัก เพราะหนึ่งในผู้ที่ไปช่วยเหลือเด็กคนนั้นออกมาก็ทำงานเป็นนักข่าวอยู่ในสำนักข่าวแห่งนี้นี่เอง

          โตนนท์กำลังนั่งทำหน้ายุ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาพิมพ์แล้วก็ลบ พิมพ์แล้วลบอยู่อย่างนั้นหลายรอบ ก่อนจะจบด้วยการใช้นิ้วโป้งนวดลงไปที่หว่างคิ้วเพื่อคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

           ตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมา นักข่าวหนุ่มไม่เคยลังเลที่จะนำเสนอข่าวต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา เพราะเขามีปณิธานว่าจะต้องนำเสนอความเป็นจริงให้สังคมได้รับรู้เพื่อนเป็นอุทาหรณ์เตือนใจและสร้างบทเรียนให้แก่ผู้ที่ดูข่าว

         แต่กับข่าวล่าสุดที่เขาได้ลงพื้นที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงด้วยตัวเองเพื่อให้ได้ข่าวมา กลับทำให้เขาต้องรู้สึกราวกับว่ากำลังทรยศกับอุดมการณ์ของตัวเอง

           เขาเขียนรายงานงานข่าวอย่างละเอียดเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เขาอ่านทบทวนหลายรอบจนจำได้ขึ้นใจ แต่ทุกรอบเขากลับสะดุดกับช่วงหนึ่งของเนื้อหาข่าวที่เล่าถึงจุดประสงค์ในการลักพาตัวหลานสาวเพื่อไปทำพิธีฆ่าบูชายัญตามความเชื่อที่บิดเบี้ยวของหล่อน ซึ่งเกิดจากความรู้สึกผิดที่คอยกัดกินต่อมจิตสำนึกของหล่อนไปจนหมดสิ้น แต่เมื่อมองย้อนกลับมาดูแรงจูงใจที่ทำให้หล่อนลงมือทำอย่างนั้นลงไปอย่างนั้น…เพราะหล่อนเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่รักสามีมาก และรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่กับเขาในวาระสุดท้ายของชีวิต

            การรายงานข่าวออกไปให้สังคมรับรู้ บางครั้งก็เหมือนการทำลายชีวิตของคนคนนึง กฎหมายยังไม่ได้ตัดสิน กฎแห่งกรรมยังไม่ได้ทำงาน แต่การตกเป็นจำเลยสังคมก็เท่ากับตกนรกและถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรใจโหดไปแล้ว

          มันยุติธรรมหรือกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรทั้งๆ ที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน

          หรือแท้จริงแล้วเรื่องราวที่กำลังกวนใจเขาอยู่ตอนนี้ จะเกิดจากคำพูดของคนตัวผอมๆ นั่นเมื่อคืน

            โตนนท์ กันตพงษ์ จิรกรและชลชีวี ต้องเข้าไปให้ปากคำกับตำรวจอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะได้รับการปล่อยตัวออกมา…โตนนท์สังเกตว่าจิรกรกับชลชีวี จะให้ปากคำเฉพาะเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยละเรื่องเหนือธรรมชาติหรือพลังวิเศษเอาไว้ เขาและกันตพงษ์ไม่อยากถูกหาว่าบ้าในสายตาของคนอื่นจึงเล่าเฉพาะเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นกัน โดยบอกไปว่าแกะรอยจากเบาะแสที่ได้รวบรวมมาจากแหล่งข่าวต่างๆ

           ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปที่รถ ก็มีสัมผัสเบาๆ แตะที่แขน แต่เขารู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าถ่ายทอดออกมาจากสัมผัสนั้นจนต้องสะบัดแขนออก เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นผู้ชายที่แนะนำตัวว่าชื่อชลชีวียืนอยู่ข้างหลัง ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกผิดที่ทำให้โตนนท์ตกใจ จึงถอยห่างออกไปหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะ

            โตนนท์ยังยืนยันคำเดิม…เขารู้สึกคุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้อย่างบอกไม่ถูก แต่มันเป็นความคุ้นเคยที่น่าหงุดหงิดใจ เหมือนได้เจอศัตรูที่ไม่อยากพบ เจอโจทก์เก่าที่ไม่อยากเจอ และดูเหมือนว่าสีหน้าไม่พอใจของเขาจะเก็บไว้ไม่อยู่ คนที่ถูกมองด้วยแววตาแบบนั้นจึงสีหน้าสลดเศร้า ดวงตาที่ดูหมองอยู่แล้ว ก็ยิ่งหม่นลงไปอีก

            “ขอโทษครับ ไม่ได้จะตั้งใจทำให้คุณตกใจ”

          “ไม่เป็นไร…มีอะไร”

          “คือผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ…เรื่องราวที่เราพบเจอในวันนี้ บางครั้ง มันอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้…ผมรู้ว่าคุณเป็นนักข่าว…คุณคงมีจุดประสงค์บางอย่างที่เข้ามาเกี่ยวพันกับคดีลักพาตัวนี้…แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ต่อให้ตอนนั้น ผมกับพี่กร ไม่ขึ้นไปพาตัวเด็กออกมาก่อน ป้าคนนั้นก็ไม่มีทางทำร้ายเด็กนั่นจนถึงแก่ชีวิตแน่นอน…ผมสัมผัสได้ว่าลึกลงไปภายในใจของหล่อนไม่ใช่คนเลวร้ายถึงขนาดที่ว่าจะลงมือฆ่าหลานตัวเองได้ลงคอ…แต่ที่หล่อนทำทั้งหมดลงไป เป็นเพราะว่าอำนาจมืดบางอย่างควบคุมจิตใจหล่อนเอาไว้ จนจิตใจส่วนดีของหล่อนถูกครอบงำราวกับถูกมะเร็งร้ายกัดกิน…”

            ทั้งที่รู้สึกไม่อยากฟัง แต่ทุกถ้อยคำกลับฝังลึกลงไปในจิตใจ โตนนท์มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเคลือบแคลง

           “แล้วคุณมาบอกผมทำไม”

           “คุณเป็นนักข่าว…มีอำนาจสื่ออยู่ในมือ มันก็เหมือนคุณกำลังถือปืน…เผื่อข้อมูลที่ผมบอก อาจจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าจะลั่นไกหรือเปล่า”





          พี่ชัยวางสคริปต์ข่าวลงกับโต๊ะแล้วถามนักข่าวรุ่นน้องว่า

           “ไอ้โต มึงแน่ใจนะว่าจะนำเสนอแค่นี้…ไหนมึงทุ่มทุนลงพื้นที่เอาชีวิตไปเสี่ยงด้วยตัวเอง แต่ทำไมเนื้อข่าวที่ได้มามันน้อยกว่าบางสำนักที่แฉว่าป้าคนนั้นจะนำตัวหลานไปเรียกค่าไถ่อีกวะ…”

          โตนนท์ยิ้มมุมปากน้อยๆ พูดกับรุ่นพี่ว่า

           “ผมว่าบางที เรารอให้ป้าแกรับสารภาพด้วยตัวเอง แล้วค่อยนำเสนอข่าวว่าป้าคนนั้นแกลักพาตัวหลานไปทำอะไรก็ยังไม่สาย มัวแต่นำเสนอข่าวเพื่อเรียกเรตติ้งไปโดยไม่สนใจชีวิตคนคนหนึ่ง…ผมว่าไม่ใช่ว่ะ”

          “เห้ย! วันนี้มึงกินยาผิดมาหรือเปล่าวะ…ทำไมมึงไม่เหมือนไอ้โตนนท์ นักข่าวสายลุย จอมแฉแหลกทุกวงการคนเดิมเลยวะ”

          อย่าว่าแต่ชัยที่แปลกใจเลย ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคำพูดของคนคนเดียว จึงส่งผลต่อความคิดและจิตใจของเขาขนาดนี้

         “อ้อ! พี่ชัย เรื่องการแข่งขันทำข่าว ผมตกลงร่วมแข่งนะพี่”

           “ห้ะ? นี่กูไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย อะไรทำให้มึงเปลี่ยนใจวะ”

         โตนนท์ยิ้มมุมปาก ราวกับกำลังคิดแผนดีดีที่จะทำให้เอาเอื้อมถึงตำแหน่งหัวหน้าทีมข่าวได้ไม่ยาก

          “บางที…ผมอาจเจอแหล่งข้อมูลเรื่องลึกลับที่ดีที่สุดเข้าแล้วก็ได้พี่”











**********************
ขอบพระคุณทุกการติดตามครับ
คอมเมนต์ติชมได้เช่นเคย
หากผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยครับ
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 5 ชลชีวี
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-06-2021 21:51:29
 :a5: o22
หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 5 ชลชีวี
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-06-2021 23:02:52
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 5 ชลชีวี
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 30-06-2021 23:25:18
“โอ๊ย! ยาย…เจ็บ อย่าบิดหนูผม…ยายปล่อยก่อน” แว้บแรกนี่คิดดีไม่ได้เลยยย  :yeb:

หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 5 ชลชีวี
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 30-06-2021 23:33:15
“โอ๊ย! ยาย…เจ็บ อย่าบิดหนูผม…ยายปล่อยก่อน” แว้บแรกนี่คิดดีไม่ได้เลยยย  :yeb:

คิดว่าเชคดีแล้ว ยังหลุดจนได้ ขอโทษครับบ
หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 5 ชลชีวี
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 01-07-2021 13:54:29
สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: อัพเดต : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 5 ชลชีวี
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 02-07-2021 21:32:27
                                                       ตอนที่ 6 ทีมงาน

            คุณนายพรมองแขกผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่จับจ้องราวกับจะล้วงความคิดทั้งหมดที่อยู่ในมันสมองของเขาสองคนนั้นให้ฉายออกมาเป็นภาพกระจ่างตา กระทั่งเมื่อหลายชายคนรองของหล่อนเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง หล่อนก็ลุกขึ้นปล่อยให้แขกผู้มาเยือน ได้พูดคุยกับเจ้าของบ้านคนเล็กอย่างเป็นส่วนตัว โดยบอกไปว่าหล่อนจะไปเตรียมขนมมาให้

          กันตพงษ์ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำว่าขนม ตามประสาคนชอบทานของหวานเป็นชีวิตจิตใจ ต่างจากชายหนุ่มอีกคนที่นั่งทำหน้านิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ถูกอยู่ข้างๆ

          กันตพงษ์รู้ว่ารุ่นพี่ไม่ชอบทานขนมหวาน…แต่ก็ไม่น่าจะรังเกียจจนแสดงออกผ่านสีหน้าแบบนี้

          เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ยิ้มแย้ม ยกมือพุ่มไหว้ทักทายแขกผู้มาเยือนอย่างมีมารยาท กันตพงษ์ก็รับไหว้แทบไม่ทัน แล้วก็โล่งใจเมื่อรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ติดกันรักษามารยาทด้วยการรับไหว้เช่นเดียวกับเขา

           “ขอโทษนะครับคุณชล ที่มาหาโดยไม่ได้บอกให้รู้ล่วงหน้า…พอดีเราสองคนผ่านมาทำข่าวแถวนี้พอดีเลยแวะมาเยี่ยมและมีธุระคุยด้วยนิดหน่อยน่ะครับ”

            ชลชีวีเดินมานั่งลงบนเก้าอี้โซฟาตรงกันข้ามกับชายหนุ่มทั้งสองคน ทำเป็นไม่เห็นสีหน้าบึ้งตึงของคนร่างใหญ่ แล้วยิ้มให้แขกอย่างมีไมตรี ทักทายว่า

           “ไม่เป็นไรเลยครับคุณกัน ปกติหลังจากเข้าไปส่งขนมที่คาเฟ่ในตลาด ผมก็กลับมาเตรียมของทำขนมให้คุณยายที่บ้าน ไม่ได้มีธุระอะไรอีก”

          กันตพงษ์ยิ้มกว้าง ถามชลชีวีอย่างใคร่รู้ว่า “คุณชลทำขนมเป็นด้วยเหรอครับ?”

            ชลชีวียิ้มรับ “ผมเรียนจบคหกรรมมาน่ะครับ ถนัดทำพวกอาหารตะวันตกกับพวกเบเกอรี่ โชคดีที่ในตลาดแถวนี้มีเพื่อนพี่กรมาเปิดคาเฟ่ใหม่ เลยให้ผมเอาเบเกอรี่จำพวกครัวซองต์ เค้กหน้านิ่ม ช้อคโกแลตบราวนี่ กับขนมอบกรอบอีกสองสามอย่างไปส่งประจำที่ร้าน…ถ้าไม่รีบกลับอยู่ชิมขนมฝีมือผมก่อนนะครับ พอดีช่วงเช้าครัวด้านหลังจะเป็นของยาย เพราะแกเองก็ทำขนมไทยไปส่งในตลาดเหมือนกัน ผมจะมีสิทธิ์เข้าครัวได้ก็เลยช่วงบ่ายไปแล้วเท่านั้น…อ่าว พูดจบก็มาพอดี”

          ชลชีวีเดินไปรับขนมไทยพร้อมน้ำชาในถาดจากยายแล้วเดินไปเสิร์ฟให้กับแขกผู้มาใหม่ ชลชีวีสังเกตเห็นผู้เป็นยายมีสายตาอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแขกผู้มาใหม่ แต่หล่อนก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่เข้าไปยุ่งก้าวก่ายกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

            จังหวะที่ส่งจานบรรจุกระทงตะโก้ใบย่อมให้กันตพงษ์กับโตนนท์ ชายหนุ่มเผลอสบตากับคนหน้าบึ้งแวบหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างหันไปมองทางอื่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจตัวเองออก

           กันตพงษ์ใช้ช้อนพลาสติกตักตะโก้เผือกนุ่มๆเข้าปาก ก่อนจะตาลุกวาว คะยั้นคะยอให้รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ลองชิมบ้าง แต่ฝ่ายนั้นแค่ยกแก้วชาร้อนขึ้นจิบ กลิ่นหอมชื่นใจของใบชาทำให้ชายหนุ่มค่อยอารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อย

            โตนนท์แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ทำไมเขาต้องรู้สึกหงุดหงิดเวลาเจอหน้าผู้ชายตัวผอมๆ หน้าตาธรรมดาตรงหน้าด้วยนะ…หรืออาจเป็นเพราะดวงตาแสนเศร้าคู่นั้นที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิด อยากรู้นักว่าชีวิตผ่านอะไรมาบ้าง ดวงตาจึงทุกข์ราวกับแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียวขนาดนั้น

             นี่เขาเผลอมองหน้าคนหน้าจืดนานไปหรือเปล่า…ฝ่ายนั้นจึงจ้องเขากลับมาราวกับจะรู้ทันว่ามีคนแอบมอง

          “แล้วที่คุณกันบอกว่า คุณทั้งสองคนมีธุระคุยกับผม…มีเรื่องอะไรเหรอครับ หรือว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีลักพาตัววันก่อน”

            กันตพงษ์มั่นใจว่ารุ่นพี่ไม่ยอมปริปากแน่ จึงรีบจิบน้ำชาอุ่นๆ แล้วอธิบายว่า

             “คือว่า…พูดตรงๆ นะครับ พี่โต…ผมหมายถึงเราสองคนต้องการความช่วยเหลือจากคุณชลน่ะครับ…พอดีว่าพี่โตเข้าร่วมการแข่งขันทำข่าวเพื่อส่งคัดเลือกตำแหน่งหัวหน้าทีมข่าวอาชญากรรม แล้วพี่โตก็ได้รับโจทย์เกี่ยวกับ…เอ่อ…เรื่องลึกลับ การทรงเจ้า หรือจิตสัมผัส อะไรทำนองนั้นน่ะครับ ก็เลยจะมาปรึกษาคุณชล เพราะเห็นว่าคุณชลน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับด้านนี้ สังเกตได้จากเรื่องวันก่อน”

             ชลชีวีรู้ดีว่ากันตพงษ์หมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในกระท่อมบนเนินเขาเมื่อหลายวันก่อน…แต่ที่ชลชีวีไม่เข้าใจ ทำไมคนที่เป็นผู้ลงสมัครคัดเลือกจึงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ปล่อยให้คนที่มาเป็นนาย(ออก)หน้า พูดแทนทั้งหมด

           “คุณคาดหวังจะได้ข้อมูลอะไรเหรอครับ?” ชลชีวีหันไปถามคนที่นั่งหน้าบึ้ง ไม่พูดไม่จาราวกับถูกบังคับอยู่ตรงหน้า

           ด้านกันตพงษ์เมื่อเห็นชลชีวีแสดงออกชัดเจนว่าต้องการคำตอบจากนักข่าวรุ่นพี่ จึงไม่เอาจมูกเข้าไปสอด

          โตนนท์ที่ถูกถามตรงๆ เพิ่งรู้ตอนนี้เอง…ดวงตาเศร้า แต่คิ้วกลับซุกซน ประโยคที่เจาะจงจะถามกับเขาเมื่อครู่ก็ปนไปด้วยน้ำเสียงยียวนอยู่หน่อยๆ

          “ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป ผมก็อยากขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับประสบการณ์ หรือรายละเอียดเกี่ยวกับจิตสัมผัสของคุณ ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มองเห็นผีทุกตัวหรือเปล่า หรือเป็นเหมือนในละครแนวแฟนตาซีที่สามารถมองเห็นกรรมหรืออดีตชาติของคนอื่นได้ไหม”

          ชลชีวีอมยิ้มกับคำถามยาวยืดของนักข่าวหนุ่ม…นี่เตรียมสคริปต์มาทั้งคืนแน่ๆ ไม่ได้บังเอิญผ่านมาเหมือนที่คุณกันตพงษ์ว่าหรอก

          เมื่อเจ้าของจิตสัมผัสหนุ่มเห็นดวงตาวาวๆ คล้ายจะไม่พอใจของนักข่าวที่ถูกจับได้ เขาจึงอยากจะ ‘หยิกแกมหยอก’ ชายหนุ่มคนนั้นต่ออีกนิด

           “นอกจากที่คุณถามมา…ผมยังมีตาวิเศษมองทะลุเสื้อผ้าคนได้อีกด้วยนะ…อย่างตอนนี้ผมเห็น…”

            ชลชีวีเลื่อนสายตามองผ่านเสื้อแจ็คเก็ตที่ชายหนุ่มนักข่าวสวมมาช้าๆ

            ได้ผล…นักข่าวหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า ตาโต หูแดงก่ำจนชลชีวีเดาไม่ถูกว่าเกิดจากความโกรธหรืออายกันแน่ จึงเผลอหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่…นักข่าวที่รู้ว่าตัวเองติดกับนายจิตสัมผัสเจ้าเล่ห์ก็ยิ่งหน้าแดง หันมองไปทางอื่นอย่างอารมณ์เสีย

            ชลชีวีเองไม่ได้หัวเราะออกมาดังๆ แบบนี้นานแล้ว จึงพยายามกลั้นขำอยู่นาน ก่อนจะโบกมือปฏิเสธบอกว่า

           “ขอโทษที ผมแค่แกล้งเล่น..ไม่นึกว่าคุณนักข่าวจะโกรธจริง…เอ้าๆ …ผมไม่แกล้งแล้วก็ได้ ขอโทษคุณกันด้วยที่เสียมารยาท ผมแค่หยอกเล่นเท่านั้น”

          “โห..คุณชล…ตอนแรกผมเห็นหน้าคุณชลจริงจัง ก็นึกว่าเป็นคนเครียด แต่จริงๆ แล้วก็เป็นคนอารมณ์ดีเหมือนกันนะเนี่ย”

          ชลชีวียิ้มรับ “ผมอารมณ์ดีกับเฉพาะคนที่ไว้ใจเท่านั้นแหละครับ พวกคุณทั้งสองคนก็คือหนึ่งในนั้น ผมมองออกว่าพวกคุณเป็นคนดี…อย่าเพิ่งทำหน้าสงสัยอย่างนั้นสิครับ…ผมไม่ได้ใช้จิตสัมผัสอ่านใจพวกคุณหรอก…ผมแค่ดูจากการที่คุณเข้าไปช่วยเหลือเด็กคนนั้นโดยไม่กลัวอันตราย แค่นี้ก็มาพอแล้วที่จะทำให้ผมไว้ใจพวกคุณทั้งสองคน”

           กันตพงษ์รู้สึกถูกชะตากับเขาตรงหน้าเข้าอย่างจัง เพราะดูท่าทางชลชีวีไม่ได้ดูลึกลับ หรือเป็นคนมีพลังพิเศษประเภทจะเสกหนังสัตว์เข้าท้องใครได้ ตากล้องหนุ่มจึงชวนคุยต่ออย่างอารมณ์ดี

          “เราต่างฝ่ายต่างเรียกแทนกันว่าคุณอย่างนั้น คุณอย่างนี้ ผมไม่ค่อยคุ้นปากยังไงไม่รู้…ถ้าดูจากสถานการณ์ตอนนี้เราคงเป็นเพื่อนกันได้แล้ว จะเป็นไรไหมถ้าผมขอเรียกคุณชลด้วยชื่อเฉยๆ เพราะดูแล้วเราก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน ผมน่าจะแก่เดือนกว่าคุณชลไม่กี่เดือน”

          “ยินดีครับ ผมเองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่…ถ้าได้คุณกัน…เอ่อ กันมาเป็นเพื่อนอีกคนก็คงดี”

          กันตพงษ์มันเขี้ยวรอยยิ้มแก้วบุ๋มนั้นจนอยากจะเข้าไปหยิกเล่นสักทีสองที ถ้าไม่ติดกับสายตาของตากล้องรุ่นพี่ข้างๆ ที่มองมาอย่างไม่พอใจ

          นี่ด่าด้วยสายตาว่าผมเยอะไปใช่มั้ยล่ะพี่โต…ช่วยไม่ได้นะ เจ้าตัวเขาอนุญาตเอง ใครใช้ให้พี่นั่งทำหน้าเหมือนลูกหมาหวงเจ้าของอยู่อย่างนี้ล่ะ…ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีทางได้ข้อมูลทำข่าว

          กันตพงษ์แปลกใจตั้งแต่เมื่อเช้าตอนที่นักข่าวรุ่นพี่มาชวนเขาเดินทางมาบ้านคุณชลเป็นเพื่อน ปกติร้อยวันพันปี นักข่าวคนนี้แทบจะลุยเดี่ยวทุกงาน อันตรายแค่ไหนไม่เคยหวั่น ขอแค่ให้ได้ข่าวมาก็พอ แม้บางครั้งจะยอมฝืนตัวเองยิ้มอย่างมีไมตรีจิตเพื่อแลกกันการเข้าหาแหล่งข่าวบ้างก็ตาม

           แต่วันนี้นักข่าวหนุ่มกับทำราวเริ่มเข้าสู่วัยทองทั้งๆ ที่อายุห่างกับเขาเพียงแค่ไม่กี่ปี เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวหงุดหงิด เดี๋ยวก็ทำหน้าคิดอะไรออก แล้วก็กลับมาคิ้วชนกันเหมือนเดิม เดี๋ยวก็แสดงอาการตื่นเต้นอยากให้ถึงบ้านคุณชลไวไว แต่เมื่อจอดรถหน้าบ้านก็นั่งมองรั้วอยู่อีกตั้งนานสองนานจนเขาอดทนรอไม่ไหว เป็นฝ่ายต้องลงไปกดกริ่งเอง

          กำลังสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า…พี่นักข่าวสายลุย

          “ที่กันบอกว่าอยากให้เราเล่าเรื่องจิตสัมผัสให้ฟัง เราก็ยินดี แต่ขออย่างเดียวว่าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับแค่เราสามคน…ถ้าคุณโตจะนำเสนอข่าว หรือเรื่องราวที่ออกจากปากผม ก็คงต้องขอให้ใช้ชื่อสมมติแทน ไม่รู้ว่าขอเยอะไปหรือเปล่า…แต่ครอบครัวผมไม่ค่อยอยากให้ใครรู้เรื่องนี้เท่าไหร่”

            โตนนท์พยักหน้า…เขารับรู้ถึงความจำเป็นและคำขอบางอย่างของแหล่งข่าวเสมอ แม้ชลชีวีจะไม่ขอให้เขาปิดบังตัวตน เขาก็ไม่ได้มีเจตนาเปิดเผยหรือสร้างความเดือดร้อนให้คนตรงหน้าอยู่แล้ว

            เอาอีกละ…เขาจ้องใบหน้าจืดๆ นั้นนานไปอีกละ…นานจนตวงตาเศร้านั้นมองกลับมาราวจะบอกว่า…แอบมองอีกแล้วนะ…เรารู้ทัน

             โตนนท์จึงพยายามหาเรื่องคุยกลบพิรุธว่า

            “ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าจะเก็บข้อมูลของคุณไว้เป็นความลับทั้งหมด แต่เรื่องที่อยากจะขอรบกวนคุณอีกอย่างคือ ตอนนี้มีข่าวร่ำลือเกี่ยวกับบ้านเฮี้ยนหลังหนึ่งทางภาคใต้ เขาว่ากันว่าบ้านหลังนั้นมีอาถรรพ์ ถ้าใครเข้าไปอาศัยก็ต้องเสียชีวิตหรือไม่ก็บาดเจ็บรุนแรง…เรื่องนี้กำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกโซเชียล ผมเลยอยากจะขอ…” โตนนท์เงียบไปราวกับจะกลั่นกรองคำพูดที่ดีที่สุด

           ชลชีวีเห็นท่าทางอึดอัดของชายหนุ่มก็เลยออกปากพูดออกมาแทนว่า

             “คุณก็เลยอยากจะชวนผมลงไปช่วยทำข่าวนี้ด้วยใช่ไหมครับ”

             โตนนท์หยักหน้า กันตพงษ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงเสริมให้ว่า

          “พี่โตเขาเกรงใจชล…อยากจะบอกตรงๆ ว่าขอช่วยให้ชลมาเป็นทีมงานลงพื้นที่กับเรา แต่วันนี้เขามาดเยอะเลยไม่ค่อยกล้าพูด…ชลพอจะเห็นผีขี้เก๊กสิงเขาอยู่บ้างหรือเปล่า…ปกตินี่ขวานผ่าซากสุดๆ”

           ชลชีวีนึกขำท่าทางโมโหรุ่นน้องของโตนนท์ที่เปิดรายการแฉแบบสดๆ ต่อหน้าเขา

          “แต่เอาจริงๆ เราก็แอบเกรงใจอยู่เหมือนกัน เอาเป็นว่าชลตัดสินใจด้วยตัวเองเลย การลงพื้นที่แต่ละครั้งทั้งลำบากทั้งอันตราย ถ้าไม่สะดวกจะลงพื้นที่กับพวกเรา…ทั้งเราและพี่โตก็เข้าใจ”

          คนปากหนักอย่างโตนนท์ สู่อุตส่าห์มาหาเขาถึงที่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ…ฝ่ายนั้นคง’ ต้องการ’ เขามากจริงๆ ชลชีวีจึงพยายามไตร่ตรองแล้วพูดว่า

          “ถ้าเรากลัวความลำบาก…หลายวันก่อนพวกเราคงไม่ได้เจอกันบนภูเขาลูกนั้นหรอกจริงมั้ย…แต่ติดอยู่อย่างเดียว…” ชลชีวีเหลียวหลังไปมองในครัว ก็พบว่าคุณยายไม่ได้อยู่ในนั้น จึงพูดต่อ “ยายเราชอบกังวลเรื่องนี้ แกเป็นห่วง ไม่อยากให้เราป่าวประกาศเรื่องสิ่งพิเศษในตัวเราให้ใครรู้ ถ้ากันและคุณโตอยากให้เราไปลงพื้นที่ด้วยจริงๆ บางทีอาจจะต้องวางแผนกันหน่อยเพื่อไม่ให้ยายรู้…คุณโตพร้อมผิดศีลหรือเปล่า”

            ชลชีวีอดไม่ได้ที่จะต้องหันไปแหย่คนหน้าตึง ฝ่ายนั้นพยายามยิ้มรักษามารยาท แต่แววตากลับแสดงออกว่ามันเขี้ยวเขาเต็มที

          “คุณหมายถึงศีลข้อไหนล่ะ ข้อสี่ หรือข้อสาม” โตนนท์ยียวนกลับบ้าง

            ชลชีวีคิดแวบเดียวก็รู้ว่าโดนเอาคืนเข้าให้แล้ว…เขาหมายถึงข้อมุสาฯต่างหากล่ะ…ไม่ใช่กาเมฯ!

            ร้าย…ฝากไว้ก่อน!

          กันพงษ์ที่นั่งเฉยเพราะไม่เข้าใจมุกของคนทั้งคู่ก็ปล่อยเลยตามเลย หันมาถามเรื่องที่ตัวเองสนใจต่อ

            “แล้ว…พี่ชายชลเขาจะไม่ว่าเหรอ ถ้าเราจะพาน้องชายเขาไปผจญภัยด้วย”

            ชลชีวียิ้มออกมา เพราะตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มคุยกัน…ชลชีวีเห็นท่าทางเหลียวซ้ายแลขวาราวกับจะมองหาใครสักคนของกันตพงษ์มาสักพักแล้ว เมื่อฝ่ายนั้นถามออกมา ชลชีวีจึงผสมข้อมูลนอกเหนือคำถามลงไปในคำตอบด้วย

             “ตอนนี้พี่กรไม่อยู่บ้านหรอก ออกไปสอนหนังสือที่วิทยาลัยอีกอำเภอหนึ่ง กว่าจะกลับก็คงค่ำๆ เรื่องการไปลงพื้นที่ เราก็คงบอกพี่กรไปตรงๆ เพราะเผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา อย่างน้อยพี่กรแกก็จะได้รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน…แล้วแกก็จะได้จัดการเรื่องหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนยายด้วย”

           กันตพงษ์พยักหน้ารับรู้ แล้วกระซิบให้โตนนท์พูดเรื่องสำคัญ

          “เรื่องค่าเดินทาง ค่าที่พัก ผมจะรับผิดชอบให้ทั้งหมด ส่วนเรื่องค่าตอบแทน…ผมก็มีงบของบริษัทไว้ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย ก็บอกได้เลย”

          ชลชีวีแอบรู้สึกหน้าชานิดๆ …นี่นายหน้าตึงคิดว่าเขาเป็นคนโลภมาหรือไง

          “เรื่องเงินไม่ได้สำคัญหรอกครับ…ถ้าผมคิดจะช่วยใคร ผมช่วยด้วยใจ ถือว่าเป็นบุญกุศล” ชลชีวียิ้มให้ แต่โตนนท์รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจเขาผิดไป จึงรีบอธิบายว่า

          “ผมไม่ได้จะแปลน้ำใจของคุณเป็นเงินนะ ผมแค่ถามเผื่อไว้…เพราะคุณเสียสละเวลามาช่วยผม อีกอย่างความสามารถของคุณไม่สามารถเทียบกับค่าแรงที่เคยตอบแทนคนทั่วไปได้ คุณเป็นคนพิเศษ…”

          ห้องรับแขกเงียบพร้อมกัน บรรยากาศนั้นเลยยิ่งดูกระอักกระอ่วนและขัดเขิน

            นักข่าวหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองเลือกใช้คำพูดไม่ถูกสถานการณ์จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดในวงสนทนาอีกแล้ว จึงรีบแก้ต่าง
 
             “ค…คือ…ผมหมายความว่า…คุณเป็นคนมีความสามารถพิเศษ…ไม่สิคุณมีพลังพิเศษ ญานพิเศษ…เอ่อ…อะไรดีวะ”

            “พอแล้วคุณโต…” ชลชีวีหัวเราะออกมา “แค่แป๊บเดียว คุณก็มอบตำแหน่งพิเศษให้ผมตั้งหลายตำแหน่ง ผมรับไว้ไม่ไหวหรอก”

          กันตพงษ์ก็เผลอหลุดยิ้มออกมาเช่นกัน…ดูทีคราวนี้รุ่นพี่ของเขาคงลืมรักษา ’ มาด’ เผลอหน้าแดงออกมาต่อหน้าคุณชลชีวี แล้วเขาก็ต้องหยุดหัวเราะทันควัน เพราะรุ่นพี่หันกลับมาถลึงตาใส่เขาแก้เก้ออีกตามเคย

            เออ…เอาสิวะ…ไอ้กันนี่มันกระโถนอยู่แล้วนี่หว่า

             “ขอบคุณมากนะชล ที่ช่วยพวกเรา” ตากล้องหนุ่มหันไปขอบคุณเพื่อนใหม่

          “ไม่เป็นไรหรอก…เรื่องแค่นี้เอง…แล้วไอ้ความสามารถพิเศษของเราตามที่คุณโตนนท์ว่า เราก็ไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว ลองมาคิดๆ ดูอีกที ถ้ามันได้ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือคนก็คงจะดีเหมือนกัน…”

          มันอาจจะเป็นจุดประสงค์หลักที่ทำเขาได้รับ’ ความสามารถ’ นี้มาก็ได้

                            **********************************************************



          กว่าที่ชลชีวีจะเดินทางมาถึงท่าเรือที่ข้ามไปยังเกาะนุ้ยซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านอาถรรพ์หลังนั้น ก็มีข้อความนับสิบข้อความจากพี่ชายที่ส่งมาถามข่าวคราวเป็นระยะ จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าพี่ชายได้สอนหนังสือบ้างหรือเปล่าถึงได้มีเวลาว่างมาเป็นห่วงเขามาขนาดนี้

          ครั้นพอเขาจะไม่ตอบ…จับเวลาได้เลย ไม่เกินสิบนาที มีสายเข้าแน่ๆ จนบางครั้งชลชีวีก็แอบเกรงใจเพื่อนร่วมเดินทางอีกสองคนที่อยู่ในรถ

           โตนนท์แอบมองเขาผ่านกระจกมองหลังอยู่หลายครั้ง ในตอนแรกๆ ชลชีวีคิดว่าโตนนท์มองเขาเพราะเสียงดังรบกวนจากโทรศัพท์มือถือ แต่กระทั่งตอนที่ไม่มีสายเรียกเข้า หรือข้อความเข้า...สายตาคมๆ นั่นก็ยังแอบลอบมองเขาอยู่ดี

          คนแอบมองเมื่อถูกจับได้ก็รีบหลบสายตาราวกับกลัวว่าเขาจะใช้จิตสัมผัสอ่านใจผ่านสายตา

          ชลชีวีอยากจะประกาศให้รู้ไว้ว่าถึงแม้เขาจะ ‘ท่อง’ ไปในความคิดของคนอื่นได้ แต่เจ้าของความคิดต้องเปิดประตูต้อนรับก่อนเท่านั้น

          การเปิดประตูต้อนรับก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสร่างกาย หรือการกล่าวอนุญาตและเปิดความคิดต้อนรับเขาเข้าไป...และมันก็ต้องใช้พลังมากเลยทีเดียว

          ชลชีวีไม่นิยมอ่านความคิดของใคร เพราะเขาเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น มารยาทคือสิ่งที่พึงปฏิบัติและไม่ข้ามเส้นเข้าไปในชีวิตหรือความคิดของใคร เพราะถ้ามีใครสักคนข้ามเส้นล่วงเข้ามาในชีวิตของเขา...เขาเองก็คงจะรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเช่นกัน

          ทุกวันนี้แค่พยายามปกปิดเรื่องจิตสัมผัสเป็นความลับก็อึดอัดมากพออยู่แล้ว

                                 *******************************************************



          "มองอะไรอยู่เหรอ” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นจากด้านข้าง ชลชีวีหันไปมองเจ้าของเสียงที่สวมแว่นกันแดดที่มองตรงไปยังทะเล ชลชีวีจึงไม่รู้ว่าโตนนท์กำลังมองทะเลหรือแอบเหลือบมองเขาเหมือนเช่นเคย

            “ผมไม่ได้มาทะเลนานแล้ว...ตั้งแต่ตอนที่พี่กรเริ่มทำงานที่ที่ทำงานเก่า...แทบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามันสวยขนาดนี้”

          “สวยแล้วก็แสบตามากด้วย...นี่แว่นกันแดดของคุณ”

          ชลชีวีหันไปมองแว่นตากันแดดที่นักข่าวหนุ่มยื่นมาให้

          ชลชีวีเลิกคิ้วถามอย่างไม่แน่ใจ

          “ให้ผมเหรอ”

          “คุณเห็นใครนอกจากเราสองคนไหมล่ะ”

          ก็จริงอย่างที่คนตัวสูงพูด ตอนนี้กันตพงษ์เข้าไปพูดคุยเรื่องการเดินทางข้ามไปยังเกาะนุ้ยในออฟฟิศศูนย์ให้บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว บริเวณนั้นจึงเหลือแค่เขากับโตนนท์แค่สองคน

          “ขอบคุณครับ คุณโตนนท์” ชลชีวีกล่าวขอบคุณจากใจจริงแล้วแบมือออกไปรับ คนตัวสูงๆ จึงวางแว่นตาลงบนมือเรียวๆ คู่นั้นให้

           “ถ้าผมเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้มั้ย”

           โห...งกเหมือนกันนะเนี่ย...เอามาขายหรอกเรอะ...นึกว่าจะให้ฟรีเสียอีก

            “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น ผมไม่ได้หมายถึงเงิน...ผมดูเค็มขนาดนั้นเลยเหรอ”

          “ก็ไม่รู้...ปกติก็ไม่เห็นว่าคุณจะอยากเป็นมิตรกับผมเท่าไหร่ เอาของมาให้แล้วบอกกำกวมว่าอยากได้อย่างอื่นแทนคำขอบคุณ ผมก็เลยนึกว่า...”

          คนตัวสูงเหมือนจะมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก แต่มันก็เหมือนสายลมที่พัดมาวูบเดียวแล้วหายไป

          “ถ้าผมทำให้คุณรู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่....ก็ต้องขอโทษด้วย เพราะถ้าผมแสดงออกอย่างนั้นจริงๆ ก็เท่าผมเสียมารยาทกับคนที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องงานมากๆ ...ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ที่ยอมมาลงพื้นที่ด้วย”

             โตนนท์รู้ว่าเขาไม่ใช่เด็กแล้ว...ถ้ามัวแต่ปล่อยให้ความรู้สึกไม่ถูกชะตากับคนๆ นี้เข้ามาควบคุมอารมณ์ ก็แสดงว่าเขาไม่มืออาชีพมากพอ อีกอย่าง...ชลชีวีอุตส่าห์ร่วมเดินทางกับเขาลงมาไกลถึงภาคใต้ และยังต้องลงเกาะเพื่อไปทำข่าวอีก มันคงจะเป็นสิ่งที่แย่ ถ้าเราไม่รู้จักคิดถึงน้ำใจคนอื่น

            นี่เป็นครั้งแรกที่ชลชีวีรับรู้ถึงความสุภาพและอ่อนโยนจากนักข่าวหนุ่ม ท่าทางที่แสดงออกผ่านคำขอบคุณก็ดูจริงใจ...คงเป็นเพราะอากาศร้อนมากมั้ง...รู้สึกหน้ามันร้อนๆ ยังไงไม่รู้

          “เอ่อ...แล้วที่บอกว่าอยากได้อย่างอื่นแทนคำขอบคุณ คุณอยากได้อะไรเหรอ?”

          “ไม่มีอะไรมาก...วันก่อนไอ้กันมันเสียมารยาทขอคุณเป็นเพื่อนแล้ว เรียกชื่อเล่นกันดูสนิทสนมดีจนผมรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก... เราคงต้องติดต่อเรื่องงานกันอีกสักพัก แล้วมันก็คงอึดอัดถ้ายังแทนตัวเองเป็นทางการอยู่แบบนี้...”

           ชลชีวีพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดอ้อมค้อมยืดยาวของนักข่าวหนุ่ม แต่เขาก็ไม่คิดจะขัด รอคอยให้ฝ่ายนั้นพูดออกมาให้จบ

           “เอาอย่างนี้...ถ้าไม่รบกวนเกินไป...ไอ้กันเรียกผมยังไง...คุณก็ช่วยเรียกผมเหมือนมันแล้วกัน”

           เมื่อพูดจบ เสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง ดูจะเป็นเสียงเดียวที่ช่วยทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเขาสองคน

           เรียกเหมือนที่กันเรียกงั้นเหรอ?

           ‘พี่โต’

          ดูจากภายนอก คุณโตนนท์คงจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่กร...เพราะฉะนั้นถ้าให้เรียกว่าพี่ก็คงไม่แปลก

          “ครับ พี่โต”

             ไม่แปลกสำหรับคน’ พูด’ แต่กระทบความรู้สึก ‘คนฟัง’

              แดดทะเลนี่มันร้ายจริงๆ เล่นเอาคนยืนเก๊กนิ่งหน้าแดงราวกับลูกตำลึงสุก!



***************************************

ยายน้องแอบคิดไรกับหนุ่มซึนอยู่ล่ะสิ...ดูออกน้าา
ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยครับ
ขอกำลังใจ และสามารถติชมได้นะครัย
ด่าได้แต่อย่าแรง
ขอบคุณครับบ

 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: อัพเดตแล้วฮะ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 6 ทีมงาน
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-07-2021 22:14:07
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: อัพเดตแล้วฮะ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 6 ทีมงาน
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 02-07-2021 22:20:10
คราวนี้ลงใต้สินะ จะมีเรื่องหลอนๆแบบไหนรออยู่กันน้าาา ....  o13
หัวข้อ: Re: อัพเดตแล้วฮะ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 6 ทีมงาน
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-07-2021 22:33:12
 :katai3:
หัวข้อ: Re: อัพเดตแล้วฮะ : โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 6 ทีมงาน
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 04-07-2021 20:26:50


                                                                         ตอนที่ 6 เกาะนุ้ย

     “กรี้ด! ออกไป…ออกไปให้พ้น อีผีชาติชั่ว…มึงออกไป…กรี้ด!”

      เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังออกมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่ริมทะเล แต่ไม่มีใครสนใจบรรยากาศและความสวยงามภายนอก เพราะเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายในบ้านหลังนั้นกลับมืดดำราวกับหลุดไปอยู่ในแดนสนธยา

      “พี่โต…ช่วยจับเขาไว้หน่อย กัน…มีถุงมั้ย ถุงอะไรก็ได้ เอามาครอบปากและจมูกเธอไว้ก่อน…เธอกำลังเป็นไฮเปอร์เวน…” ชลชีวีละล่ำละลักบอกให้กันตพงษ์ช่วยหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอย่างง่ายที่สุดของอาการภาวะระบบลมหายใจเกินซึ่งเกิดจากการกรีดร้องและอาละวาดหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น

     ชลชีวีรับถุงกระดาษใบหนึ่งมาจากกันตพงษ์แล้วครอบไปที่ปากของเธอเพื่อควบคุมการหายใจเข้าออก เขาพยายามปลอบโยนหล่อนด้วยคำพูดต่างๆ มากมายเพื่อให้ภาวะหวาดกลัวในใจหล่อนลดน้อยลง

     เมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่ ร่างกายที่เคยชักเกร็งของหล่อนก็เริ่มบรรเทาลง สีหน้าของเธอดูสงบขึ้น โตนนท์จึงช่วยพยุงร่างท้วมของหญิงสาวให้ลุกขึ้นแล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องเกิดเหตุ

     หญิงสาวที่กลับมามีสติอีกครั้ง มองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มทีละคน เมื่อหล่อนพยายามเอ่ยปากพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา น้ำเสียงของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ สุดท้ายหล่อนจึงฟุบหน้าลงร้องไห้กับฝ่ามืออย่างสะอึกสะอื้น

      ชลชีวีที่ดูจะใจเย็นมากที่สุด เข้าไปปลอบโยนเธอด้วยการสัมผัสไปเบาๆ ลงไปที่ไหล่ เขาพูดให้กำลังใจเพื่อไม่ให้หล่อนรู้สึกเคว้งคว้างจนเกิดอาการชักเกร็งขึ้นอีกครั้ง

 

 

 

     ชลชีวีนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่เพิ่งเดินทางมาถึงเกาะนุ้ย

      เขาอาสาขับรถแทนโตนนท์ที่เหนื่อยกับการยิงยาวนับสิบชั่วโมงจากกรุงเทพฯ และต่อเรือเฟอร์รี่จากจังหวัดสุราษฎร์ธานีจนมาถึงเกาะแห่งนี้

      ชลชีวีขับรถตามทางที่กันตพงษ์บอก และปล่อยให้โตนนท์ที่ปรับเอนเบาะหลับอยู่ข้างๆ ได้พักผ่อนก่อนจะลุยงานต่อ

      ถนนหนทางบนเกาะนุ้ยค่อนข้างแคบ เพราะเกาะแห่งนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงเรื่องการท่องเที่ยวเหมือน เกาะพะงัน เกาะสมุย หรือเกาะอื่นๆ ในรัศมีใกล้เคียง การพัฒนาของระบบคมนาคมจึงยังด้อยกว่าหลายๆ พื้นที่ ถนนบางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าที่จีพีเอสมนุษย์ รุ่นกันตพงษ์ จะนำทางพวกเขาทั้งสามคนมาถึงยังอีกฝั่งหนึ่งของเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้าน…ไม่สิ…เมื่อเห็นสถานที่จริง ชลชีวีคิดว่าต้องเรียกคฤหาสน์จึงจะถูกต้อง

      บ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้มาก แม้เขาจะเห็นเพียงตัวตึกสีขาวหลังใหญ่สามชั้นจากด้านข้างของตัวตึก แต่ก็พอเดาได้ว่าภายในคงจะโอ่อ่าโอ่โถงน่าดู แถมด้านหน้าของตึกยังหันออกไปยังฝั่งชายหาด จึงไม่น่าแปลกที่เจ้าของบ้านคนปัจจุบัน จะพยายามบูรณะซ่อมแซมบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด และปกปิดเรื่องราวบางอย่างให้เป็นความลับอย่างสุดความสามารถ จะได้ขายต่อให้ชาวต่างชาติ ด้วยมูลค่าที่สูงจนน่าตกใจ

     แต่ความลับไม่มีในโลก!

     คำร่ำลือถึงความเฮี้ยนของบ้านถูกบอกเล่าแบบปากต่อปาก จนเริ่มเป็นกระแสบนโซเชียลในขณะนี้ ภาพของบ้านก็ถูกมือดีถ่ายแล้วนำไปโพสต์ไว้อย่างชัดเจนจนเจ้าของบ้านอยากจะไล่ฟ้องแอคเคาท์ที่แชร์ต่อให้หมดทุกคน แต่หล่อนคิดว่าคงจะต้องใช้เวลาและค่าจ้างทนายจำนวนมาก จึงปล่อยเลยตามเลย เพราะแค่เสียค่าทำขวัญให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตระหว่างการทำงานซ่อมแซม หล่อนก็รู้สึกเสียดายจะแย่อยู่แล้ว

      เจ้าของบ้านเคยลองยายามแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุโดยการนิมนต์พระหรือแม้แต่เชิญหมอผีมาขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในบ้านหลังนี้ แต่สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม ยังมีคนเห็นวิญญาณหลายดวงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนแม้กระทั่งชาวประมงที่เคยมาหาปลาแถวนี้เป็นประจำยังขยาด

     ชลชีวีเลิกสนใจบ้านหลังนั้นแล้วหันไปเขย่าแขนโตนนท์เบาๆ เมื่อเขาจอดรถใต้ร่มไม้เสร็จเรียบร้อย ฝ่ายนั้นลืมตาช้าๆ ดูขี้เซาเล็กน้อย แต่เมื่อรู้ตัวว่ามีคนขับรถกำลังมองจ้องมาด้วยสีหน้าขำปนเอ็นดู เขาก็รีบลุกพรวด บิดขี้เกียจไปมาแก้เก้อแล้วถามขึ้นลอยๆ ว่า

     “ถึงแล้วเหรอ…ขับรถนิ่มดีนี่”

     “ขอบคุณสำหรับคำชม…ผมไม่ได้ขับรถเกียร์กระปุกนานแล้ว เล่นเอาเมื่อยเหมือนกัน ทางบนเกาะขับยาก มีแต่หลุม บางช่วงก็แคบ บางช่วงเป็นหน้าผา ไม่คิดเลยว่าถ้าขับมาตอนกลางคืนแล้วไม่ชินเส้นทางจะเป็นยังไง”

      “ขนาดไม่ชินเส้นทาง ยังขับนิ่มจนใครบางคนหลับตลอดทางเลยนะชล กรนเสียงดั๊งดัง” กันตพงษ์กำลังเก็บของใส่กระเป๋าพลางแหย่รุ่นพี่เล่นอยู่ที่เบาะหลัง

      แต่คนถูกแหย่กลับหน้าตาตื่น คิดว่าเป็นเรื่องจริง จึงหันไปถามคนที่นั่งข้างๆ ว่า

     “ผมกรนจริงเหรอ”

     ชลชีวีหัวเราะออกมาพร้อมๆกับกันตพงษ์ ชายหนุ่มทั้งสองไม่ตอบ เก็บของตัวเองใส่กระเป๋าใบย่อมแล้วเปิดประตูรถลงไป ปล่อยให้คนขี้รักษามาดบางคนนั่งรอคำตอบอยู่บนรถ

     “บ้านเขาสวยดีนะ ชลว่าไหม ไม่เห็นน่ากลัวเหมือนที่ลงในเน็ตเลย ขนาดตอนนี้มีนั่งร้านบังอยู่ ยังรู้เลยว่าบันไดบทุกมุม” กันตพงษ์พูดกับชลชีวีที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วยกกล้องขึ้นถ่ายรูปมุมด้านข้างของบ้านเอาไว้ แล้วก็หันไปบันทึกรูปแผ่นป้ายห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาตอีกรูปหนึ่ง

     “ซื้อกล้องใหม่แล้วเหรอกัน...รุ่นนี้เห็นตากล้องหลายคนชอบใช้นะ”

     ชลชีวีถามเพราะกล้องถ่ายรูปตัวเก่าที่เขาลง’ มนต์’ เอาไว้เมื่อวันก่อน ถูกนำมาฝากไว้ที่บ้าน จนตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าตากล้องสายข่าวจะขอกล้องคืน

     “เปล่าหรอก...กล้องตัวนี้ยืมของที่ที่ทำงานมาน่ะ...ส่วนกล้องตัวนั้นคงฝากชลไว้อีกสักพัก ไม่กล้าเอามาใช้อะ กลัวถ่ายไม่ดีแล้วเผลอไปปล่อยวิญญาณดวงนั้นออกมา...แต่ถามจริง...วันนั้นชลทำอะไรกับกล้องเราเหรอ ถึงสะกดวิญญาณดวงนั้นเอาไว้ได้ แล้วตอนนี้วิญญาณยังอยู่ในกล้องหรือเปล่า”

       “อันที่จริงเราไม่ได้ทำอะไรหรอก แต่เอามาตั้งค่าแฟลชให้มีความสว่างสูงๆ หน่อย เวลาถ่ายรูปจะได้เรียกสติให้น้องเขากลับคืนมา...เด็กตาไว้ต่อแสงน่ะ โดนกระตุ้นแรงๆ ก็เรียกสติของน้องเขากลับมาได้”

     “งั้นก็แปลว่าคืนนั้นน้องเขาไม่ได้ถูกวิญญาณเข้าสิงเหรอ”

     “เราก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะกัน...ร่างกายของเราทุกคนก็เปรียบเสมือนบ้าน บ้านทุกหลังมีเจ้าของ บางครั้งเวลาที่เจ้าของบ้านกำลังหลับ ก็อาจจะมีคนอื่นแอบบุกรุกเข้ามาบ้าง สิ่งที่เราทำวันนั้นก็เหมือนกับการปลุกให้เจ้าของบ้านตื่นแค่นั้นเอง...เราพยายามจะอธิบายกันตั้งแต่วันที่เอากล้องมาฝากไว้กับเรา...แต่วันนั้นไม่มีเวลาอธิบาย กันกับพี่โตรีบกลับเสียก่อน ก็เลยรับฝากไว้เพื่อความสบายใจ”

     กันตพงษ์พยักหน้าเข้าใจ “งั้นเสร็จงานนี้เราขอไปเอากล้องคืนนะ...แล้วก็ขอฝากท้องที่บ้านสักมื้อแล้วกัน อยากลองชิมขนมของชล...วันนั้นยังติดใจรสชาติขนมตะโก้ของยายอยู่เลย”

     “หวงกินจริงๆ นะมึงไอ้กัน อ้วนอย่างกะหมูตอนแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” โตนนท์ที่ลงรถมาตอนไหนไม่รู้ตะโกนว่ารุ่นน้องมาจากด้านหลัง

      “โห...อย่าบุลี่ดิพี่...นี่มันยุคไหนแล้ว ยังว่าคนอื่นอ้วนอยู่อีก”
 
     “ใช่...กันไม่ได้อ้วนซะหน่อย...กำลังน่ารัก หุ่นแบบนี้อบอุ่นดี”

     “แล้วหุ่นแบบฉันมันไม่อบอุ่นหรือไง?” โตนนท์ทะลุกลางปล้องเมื่อเห็นว่าคนมีจิตสัมผัสมองรุ่นน้องด้วยสายตาชื่นชม’ เกินไป’

     กันตพงษ์หรี่ตามอง เพราะพบพิรุธบางอย่างของรุ่นพี่ขี้เก๊ก...แล้วมันก็ดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันแรกที่พวกเขารู้จักเพื่อนใหม่

     “ก็...น่าจะอุ่นจนอบอ้าวมั้ง...บึ้กซะขนาดนั้น” ชลชีวีพูดลอยๆ แล้วมองไปทางบ้านหลังใหญ่แทน ไม่สนใจคนร่างบึ้กที่ทำหน้าตึงๆ อยู่ด้านหลัง

     ลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้นในความคิดชลชีวี...รู้สึกถึงความอันตราย และคลื่นบางอย่างที่หนาแน่นจนรู้สึกอึดอัด

      เหมือนเจ้าของบ้านจะไม่ค่อยอยากต้องรับแขกเท่าไหร่!

      “หน้าซีดๆ เป็นไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อเขาหันไปมองก็เจอโตนนท์ที่กำลังจะยกมือขึ้นประคองแขนเขาไว้ แต่ชลชีวียกมือโบกปฏิเสธ

     “ไม่เป็นไรครับ แค่...รู้สึกแปลกๆ อาจจะเมาแดด”

     “ถ้าเป็นอะไรก็รีบบอก...พี่ต้องรับผิดชอบชีวิตเรา”

     สรรพนามที่คุ้นเคยช่วยลดระยะห่างของคนสองคนได้เยอะ และนั่นก็ทำให้ชลชีวีรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อคุยกับโตนนท์

     การกระทำทุกอย่างอยู่ในสายตาของกันตพงษ์...เขาหุบยิ้มลง...นี่เขารู้สึกยังไงกันแน่นะ...คนหนึ่งก็เพื่อนใหม่ที่แม้จะคบกันไม่นานแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยและสนิทใจมากพอที่จะพูดคุยแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ด้วยได้

     อีกคนหนึ่งก็รุ่นพี่เขาแอบ’ รู้สึก’ ด้วยมานาน

      ความรู้สึกที่กันตพงษ์มีให้รุ่นพี่คนสนิทนั้นมากกว่าพี่ในที่ทำงานคนหนึ่งแน่นอน แต่ครั้นจะให้เขาหาคำมานิยามความรู้สึกที่เขามีให้กับรุ่นพี่คนนี้...เขาเองก็จนปัญญา

       ความรู้สึกมันปนรวมกันไปทั้งปลื้ม ชื่นชม ไว้ใจ อยากดูแล แต่บางครั้งก็น้อยใจเพราะอีกฝ่ายไม่แสดงออกถึงเยื่อใยใดๆ มากกว่าความเป็นพี่เป็นน้องเลย

     จะให้เขาเป็นฝ่ายก้าว’ ล้ำเส้น’ ความสัมพันธ์พี่น้องเข้าไปก่อน กันตพงษ์ก็ไม่กล้า เพราะกลัวตัวเองสะดุดเส้นด้ายบางเบาของความสัมพันธ์นั้นขาดจนมองหน้าไม่ติด

     แต่จะหวังให้โตนนท์ก้าวข้าม’ เส้น’ นั้นเข้ามาบ้าง...อย่าหวังเลย...คงไม่มีวัน

      ถ้าให้เขาเลือกทำลายเส้นด้ายแห่งความสัมพันธ์นั้นลง กับยืนมองอีกฝ่ายมีความสุขอยู่จากฝั่งนี้

     เขาของเลือกอย่างหลังดีกว่า

     แชะ!

     “นี่แน่! แอบถ่ายได้แล้ว มีคนแอบสวีทกันตอนทำงาน...ถ้ามีใครอู้ ผมจะเอารูปนี้ไปฟ้องฝ่ายการเงิน ว่าแอบมีคนเบิกงบประมาณบริษัทมาเที่ยว”

     “มึงเป็นบ้าไรห้ะไอ้กัน...ลบรูปเดี๋ยวนี้!” โตนนท์เดินเข้ามากะจะแย่งกล้องถ่ายรูปจากมือตากล้องคนสนิทไป แต่อีกฝ่ายกลับวิ่งหนี พลางยกกล้องถ่ายรูปขึ้นแกว่งไปมาราวกับจะยั่วโมโห

     “ไม่ให้...ยังไงๆ ...ก็ไม่ให้...นอกเสียจาก…”

     กันตพงษ์แบมือมาข้างหน้า แล้วกระดิกนิ้วเป็นอวัจนะภาษาว่า…ขอตัง

     “ไม่ให้โว้ย!”

       ตากล้องรุ่นพี่เขกหัวรุ่นน้องจอมไถไปหนึ่งที แล้วหันหลังกลับเดินตามคนมีจิตสัมผัสเข้าไปในบริเวณบ้าน

 

     ชลชีวีเดินเลียบริมรั้วบ้านมาจนถึงทางเข้าด้านหน้าที่เชื่อมต่อกับชายหาดที่เป็นโขดหินฝั่งตะวันตกของเกาะนุ้ย พื้นที่ชายหาดบริเวณนี้ดูสงบและเป็นส่วนตัว ด้านซ้ายของชายหาดคือทางเข้ามาสู่บริเวณบ้านที่พวกเขาขับรถเข้ามา ส่วนทางขวาเป็นภูเขาและหน้าผาที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้

     ซุ้มประตูทางเข้ามีป้ายชื่อบ้านที่สลักด้วยตัวอักษรสีทองว่า “ภูมิรักษ์”

     นิ้วเรียวๆ สัมผัสลงไปแผ่นป้ายนั้น เขาหลับตาลง...ชลชีวีได้ยินเสียงคลื่นซัดโขดหินดังมาเป็นระยะ ก่อนที่เสียงนั้นจะหายไปราวกับทะเลหยุดเคลื่อนไหว เสียงนกที่ร้องดังสดใสมาจากหน้าผาก็เงียบสงัดราวกับกดปุ่มปิด

      อุณหภูมิรอบตัวชลชีวีลดลงทันใด ชายหนุ่มหนาวจนขนลุก!

      “หึๆ”

      เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นไกลๆ ตามมาด้วยเสียงเด็กๆ อีกสองสามคนหัวเราะอย่างเริงร่าอยู่บนสนามหญ้า แต่กลับฟังดูน่าขนลุกเมื่อมันเป็นเสียงที่อยู่ในจิต ไม่ใช่เสียงในโสต!

      “ฉันบอกคุณไปกี่ครั้งแล้ว ว่าให้เห็นแก่ลูกเราบ้าง พวกเขาจะเป็นยังไงถ้าโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีแม่หลายคน!” เสียงตัดพ้อของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นและเศร้าโศก และมันดังอยู่ตรงหน้า ราวกับคู่สนทนาจะต้องการพูดคุยกับเขา

     “คุณอย่าคิดมากเลยน่า...ยังไงเสียผมก็ไม่มีทางทิ้งคุณ คุณยังเป็นเมียตามกฎหมายของผมเสมอ...ส่วนนก ผมจะเลี้ยงเขาให้อยู่ในฐานะคนรับใช้เช่นเดิม” ชลชีวีพูดออกมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

      เขารู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาทำหน้าที่สามีที่ดีอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว...จะผิดอะไรถ้าเขาจะมอบรางวัลให้ตัวเองด้วยการมีคนดูแลเพิ่มอีกสักคน และภรรยาของเขาควรจะรู้ว่าตัวเองต้องอยู่ในฐานะ ‘แม่ศรี’ ของเรือน ผู้ซึ่งได้รับโอกาสในการออกงานทางสังคมกับเขาเสมอ ซึ่งนกไม่ได้รับโอกาสนั้น

     ผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าชลชีวีร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ หล่อนคิดมาเสมอว่าไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง ความรักที่สามีมีให้หล่อนต้องเปลี่ยนไป...แต่หล่อนไม่นึกว่ามันจะมาเร็วถึงเพียงนี้

     แต่อย่างไรก็ตาม หล่อนจะกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อดูแลสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของหล่อนให้ดีที่สุด...ลูกทั้งสองคนของหล่อน

     “เชื่อใจผม...ผมจะไม่ให้นกมาสร้างความเดือดร้อนให้คุณเด็ดขาด”

      “เราพูดว่าอะไรนะ” โตนนท์ถามขึ้น เมื่อจู่ๆ คนข้างๆ ก็นิ่งเงียบไปไม่พูดไม่จา แล้วจู่ๆ ก็พูดประโยคบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจออกมาหลังจากที่เอื้อมมือไปแตะป้ายชื่อบ้านภูมิรักษ์

     “เปล่า...ไม่มีอะไร”

     “เห็น...อะไรหรือเปล่า” โตนนท์ถามเสียงเย็น เพื่อให้คนข้างๆ ไว้ใจและกล้าพูดที่สิ่งที่ตัวเองคิดออกมา

     “พี่รู้เหรอว่าผม...เห็นบางอย่าง”

     “ก็ไม่รู้หรอก...แต่เห็นจากแววตาก็พอจะเดาออก...ปกติดวงตาเราจะเศร้าๆ แต่จู่ๆ ตาก็ดุเหมือนเสือ...เลยเดาเอาว่าไม่น่ามีอะไรผิดปกติ”

      ชลชีวียิ้มให้กับความช่างสังเกตของนักข่าวหนุ่ม

      “ตาผมดุขนาดนั้นเชียว...แล้วคุณไม่กลัวเหรอ”

     “กลัวทำไม จะเศร้าจะดุ...ก็ชลคนเดิม”

      ชลคนเดิมงั้นเหรอ...ชลชีวีรู้สึกดีจังกับคำคำนี้

     สมัยวัยรุ่น เขามีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนที่สนิทชิดเชื้อ แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าชลชีวีมี’ สิ่งพิเศษ’ พวกเขาเหล่านั้นก็ต่างพากันห่างเหิน เพราะหวั่นว่าชลชีวีจะทักเรื่องร้ายๆ จนทำให้พวกเขาต้องเจอกับ’ เรื่องซวย’

     แววตาก่อนและหลังรู้ว่าเขามีจิตสัมผัส...ต่างกันสิ้นเชิง!

      เขาจึงกลายเป็นคนที่อ้างว้างและโดดเดี่ยว

      ต้องเก็บกดเพราะต้องปกปิด’ ตัวตน’ จริงๆ ไว้เป็นความลับตลอดเวลา

     แต่กับโตนนท์และกันตพงษ์กลับแตกต่าง...ทั้งคู่เห็นถึงข้อดีของความสามารถพิเศษในตัวเขา และไม่มองว่า’ จิตสัมผัส’ ของเขาเป็นสิ่งประหลาด

      แม้นักข่าวทั้งสองคนจะ’ ใช้ประโยชน์’ จากความสามารถพิเศษของเขาเพื่อเป้าประสงค์ในการทำงาน

      แต่อย่างน้อยเวลาที่เขาอยู่กับกันตพงษ์และโตนนท์...เขาไม่ต้องพยายาปกปิดหรือเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่ต้องกลัวว่าทั้งสองคนจะมองว่าเขาเป็นตัวประหลาด

     เป็นครั้งแรกที่คนนอกครอบครัวให้ความสำคัญกับเขา...ที่เป็น’ เขา’ จริงๆ

 

 

     “กรี๊ด!”

     เสียงร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากตึกสีขาวหลังใหญ่จนชายหนุ่มทั้งสามคนหันไปมองพร้อมกัน

      โตนนท์ออกตัววิ่งไปคนแรก ก่อนจะตามมาด้วยชลชีวีและกันตพงษ์ที่เตรียมกล้องพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์

     โตนนท์วิ่งขึ้นบันไดหน้าตึกเข้าไปยังตัวบ้านที่แบ่งออกเป็นปีกซ้ายและปีกขวา เสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นสองของตึก ชายหนุ่มทั้งสามคนจึงวิ่งขึ้นบันไดห้องโถงกลางบ้านขึ้นไปยังชั้นสอง

     บ้านชั้นบนก็ดูโอ่อ่าไม่แพ้ชั้นล่าง แบ่งแยกย่อยออกเป็นอีกหลายห้อง เสียงร้องนั้นดังมาจากห้องที่อยู่ด้านในสุดของปีกซ้าย ชายหนุ่มทั้งสามรีบวิ่งตรงไปยังต้นเสียง โตนนท์พยายามลองบิดลูกบิดประตูดูแล้วรู้ว่ามันล็อคจากข้างใน

      “ประตูห้องติดกันเปิดอยู่ ดูจากด้านนอกน่าจะมีระเบียงเชื่อมกัน พี่จะลองปีนไปทางนั้นแล้วเปิดประตู”

       “แต่มันอันตรายนะพี่” กันตพงษ์เตือนรุ่นพี่ไม่ให้หุนหันพลันแล่น “เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ผู้หญิงหรือคนที่อยู่ข้างในมีอาวุธขึ้นมา พี่จะไม่แย่เอาเหรอ…เราโทรเรียกตำรวจดีมั้ย”

      “แต่ฟังจากเสียง พี่ว่าคนที่อยู่ข้างในน่าจะร้องขอความช่วยเหลือ…แล้วสถานีตำรวจที่พี่เห็นตอนมาถึงเกาะก็อยู่ไกลจากที่นี่มาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น ตำรวจมาไม่ทันแน่”

     “ผมเห็นด้วยกับกันนะ ผมว่าพี่โตอย่าเสียงเลย”

      “ไม่ต้องห่วงชล…พี่มีอาวุธ”

     โตนนท์เปิดเสื้อแจ็คเก็ตตัวเก่งให้ดูที่เอว มีปืนกระบอกหนึ่งพกอยู่

     “พี่ไม่ยอมลงพื้นที่มือเปล่าเหมือนตอนขึ้นไปสำนักสงฆ์ร้างอีกหรอก”

      หน้าสิ่วหน้าขวาน ยังจะมายิ้มเก๊กอยู่อีก นึกอีกทีชลชีวีก็หมั่นไส้นักข่าวหนุ่ม แต่เมื่อเห็นว่าตนเองคงไม่มีความสามารถมากพอจะห้ามวีรบุรุษได้ จึงปล่อยเลยตามเลย

      โตนนท์ก้าวอย่างระมัดระวังข้ามจากระเบียงห้องที่อยู่ติดกันเพื่อเข้าไปห้องที่ถูกล็อคอยู่ โชคดีที่ระเบียงฝั่งนี้มีนั่งร้านกั้นอยู่ จึงช่วยให้เขาปีนป่ายได้ง่ายขึ้น

      ตอนนี้เสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นเงียบไปแล้ว ชายหนุ่มที่รออยู่หน้าประตูก็ใจสั่นระรัวไม่ต่างจากวีรบุรุษที่ยืนอยู่ตรงระเบียงห้องเกิดเหตุ

      โตนนท์กระชับมือเข้าที่ปืนเพื่อเตรียมพร้อมตามที่เคยเข้ารับการฝึกการป้องกันตัว ชายหนุ่มเปิดประตูระเบียงช้าๆ เข้าไปในห้องที่ค่อนข้างมืดเพราะปิดม่านไว้ทั้งหมด

      เตียงสี่เสากลางห้อง รวมถึงสิ่งของเครื่องเรือนทุกชิ้นถูกคลุมไว้ด้วยผ้ากันฝุ่น หรือไม่ก็ห่อหุ้มไว้ด้วยกระดาษห่ออย่างดี ห้องนี้น่าจะไม่ได้รับการใช้งานมานานแล้ว

      ชายหนุ่มได้กลิ่นสาบของบางสิ่งบางอย่างโชยตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ต้องยกแขนข้างหนึ่งปิดจมูก

      กลิ่นสาบศพ!

 

 

*****************************************************************

ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักทุกท่านที่ติดตามนะครับ

ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร คอมเมนต์บอกได้เลยนะครับ

ถ้าไม่รบกวนเกินไปขอกำลังใจสักไลค์ก็ยังดี

ขอบคุณครับบบ
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

​[/size]
หัวข้อ: Re: โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 7 เกาะนุ้ย
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-07-2021 22:41:30
 :katai1:


รัก 3 เศร้า เรา 3 คน


แอร้ยยยยยย
หัวข้อ: Re: โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 7 เกาะนุ้ย
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 04-07-2021 23:11:54
 :katai1: :katai4:
หัวข้อ: Re: โรแมนติก /สยองขวัญ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 7 เกาะนุ้ย
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 06-07-2021 22:40:52
                                                     ตอนที่ 8 คฤหาสน์อาถรรพ์

    โตนนท์พยายามสำรวจดูรอบๆ ห้อง แต่กลับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในนั้นนอกจากเครื่องเรือนแต่ละชิ้นที่เปื้อนฝุ่น เมื่อสายตาของชายหนุ่มเริ่มปรับชินกับความมืด เขาจึงมองเห็นประตูห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาจึงรีบเดินไปคว้าลูกบิดประตูแล้วเปิดออก

    “พี่โต ระวัง!”

    ชลชีวีตะโกนลั่นเมื่อเห็นใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังโตนนท์ ใครคนนั้นง้างมือขึ้นหมายจะใช้อาวุธในมือแทงลงไปบนหลังของชายหนุ่ม แต่โชคดีที่โตนนท์ไวกว่า เขาจึงพลิกตัวหลบได้ทันจนร่างนั้นล้มลงไปด้านหน้า

    ชลชีวีเห็นว่าร่างที่ล้มลงเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ในมือของหลอนมีกริชเล่มยาว เขาจึงใช้เท้าเตะไปที่ด้ามกริชจนหลุดออกจากมือของหล่อน

    และนั่นก็เป็นเหมือนการยั่วยุให้หล่อนยิ่งคลั่ง

    “กรี๊ด! อีผีชั่ว กูจะฆ่ามึง กูจะฆ่ามึง” ผู้หญิงคนนั้นพยายามตะเกียกตะกายไปคว้าเอาอาวุธกลับมา แต่ช้ากว่าชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูที่รีบมาจับตัวเธอเอาไว้

    “กรี้ด! ออกไป…ออกไปให้พ้น อีผีชาติชั่ว…มึงออกไป…กรี้ด!”

    เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังออกมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่ริมทะเล แต่ไม่มีใครสนใจบรรยากาศและความสวยงามภายนอก เพราะเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายในบ้านหลังนั้นกลับมืดดำราวกับหลุดไปอยู่ในแดนสนธยา

     “พี่โต…ช่วยจับเขาไว้หน่อย กัน…มีถุงมั้ย ถุงอะไรก็ได้ เอามาครอบปากและจมูกเธอไว้ก่อน…เธอกำลังเป็นไฮเปอร์เวน…” ชลชีวีละล่ำละลักบอกให้กันตพงษ์ช่วยหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอย่างง่ายที่สุดของอาการภาวะระบบลมหายใจเกินซึ่งเกิดจากการกรีดร้องและอาละวาดหญิงคนนั้น

    ชลชีวีรับถุงกระดาษใบหนึ่งมาจากกันตพงษ์แล้วครอบไปที่ปากของเธอเพื่อควบคุมการหายใจเข้าออก เขาพยายามปลอบโยนหล่อนด้วยคำพูดต่างๆ มากมายเพื่อให้ความหวาดกลัวในใจหล่อนลดน้อยลง

    เมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่ ร่างกายที่เคยชักเกร็งของหล่อนก็เริ่มบรรเทาลง สีหน้าของเธอดูสงบขึ้น โตนนท์จึงช่วยพยุงร่างท้วมของหญิงสาวให้ลุกขึ้นแล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องเกิดเหตุ

    ผมเผ้าที่ดูกระเซอะกระเซิงและกลิ่นสาบเหงื่อไคลทำให้พวกเขารู้ว่าหล่อนคงไม่ได้อาบน้ำมานาน หรือไม่ก็อาจเป็นหญิงเสียสติที่เข้ามาแอบในนี้

    หญิงสาวที่เพิ่งกลับมามีสติอีกครั้งมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มทีละคน เมื่อหล่อนพยายามเอ่ยปากพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา น้ำเสียงของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ สุดท้ายหล่อนจึงฟุบหน้าลงร้องไห้กับฝ่ามืออย่างสะอึกสะอื้น

    ชลชีวีที่ดูจะใจเย็นมากที่สุด เขาเข้าไปปลอบโยนเธอด้วยการสัมผัสไปเบาๆ ที่ไหล่ เขาพูดให้กำลังใจเพื่อไม่ให้หล่อนรู้สึกเคว้งคว้างจนเกิดอาการชักเกร็งขึ้นอีกครั้ง

    ชายหนุ่มทั้งสามรอจนหล่อนสงบลงจึงถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หล่อนจึงเล่าให้ฟังว่าเป็นภรรยาของคนงานก่อนสร้างที่ตกจากหลังคาลงมาเสียชีวิตระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านหลังนี้ หล่อนเชื่อว่าสามีของหล่อนไม่ได้เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะมีผีบางตัวที่ทำให้สามีของหล่อนตกลงมา

    “ผมไม่ได้จะลบหลู่ความเชื่อของคุณนะ แต่วิญญาณไม่สามารถฆ่าใครได้หรอก…ทำไมคุณถึงเชื่อว่าสามีของคุณตกลงมาเพราะการกระทำขอผีล่ะ” ชลชีวีถามผู้หญิงคนนั้น

    “ทำไมจะทำไม่ได้…มันตามหลอกหลอนจนผัวของฉันเป็นโรคประสาท มันพูดอยู่ตลอดเวลาว่ามีผีตามมันอยู่ เป็นผีผู้หญิงหน้าตาน่ากลัว คลุมฮีญาบ…คืนนั้นทั้งคืนก่อนที่มันจะมาทำงานที่นี่ ผัวฉันมันร้องคลั่งราวกับคนบ้า ตอนที่มันขึ้นไปบนหลังคา ฉันช่วยผสมปูนอยู่ด้านล่าง ได้ยินเสียงมันร้องว่าผีหลอกๆ แล้วตกลงมาถูกเหล็กเส้นเสียบเข้าที่…” เสียงของหล่อนขาดเป็นห้วงๆ แล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา

    ชลชีวีมองหน้ากับโตนนท์และกันตพงษ์ที่ยืนขนลุกอยู่ข้างๆ เขารู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นต้องมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ผีตนนั้นตามอาฆาตจนถึงขั้นต้องเอาชีวิตสามีของผู้หญิงคนนี้

    เมื่อเขาสังเกตที่ฝ่ามือของหล่อน ก็มีสร้อยคอเส้นหนึ่งที่กำไว้แน่นจนผิดสังเกต ชลชีวีมองสบตาโตนนท์อย่างคนที่สังเกตเห็นในสิ่งเดียวกัน เขาจึงเอื้อมมือไปสัมผัสเบาๆ ที่สร้อยคอเส้นนั้น

    เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ห้องทั้งห้องเหลือชลชีวีอยู่เพียงคนเดียว!

    โซฟาและเครื่องเรือนทุกชิ้นถูกจัดวางอยู่ในสภาพเดิม แต่ที่แตกต่างออกไปคือสิ่งของทุกชิ้น ไม่มีการคลุมด้วยผ้าขาว หรือถูกห่อหุ้มเหมือนอย่างที่เขาเคยเห็นใน'เวลาจริง' นั่งร้านที่อยู่นอกระเบียงก็ยังไม่มีการติดตั้ง

    จิตชลชีวี’ ท่อง’ กลับมาในวันที่เกิดเหตุ ต่างกันเพียงโลกที่กายเขาอยู่เป็นเวลากลางวัน…แต่โลกที่จิตเขาอยู่กลับเป็นเวลากลางคืน!

    และตอนนี้เขาคือชายคนงานก่อสร้างตอนยังไม่เสียชีวิต!

    บรรยากาศในห้องเงียบสงัดราวกับไม่มีสิ่งชีวิตอื่นใดอยู่ในบริเวณนี้ สองเท้าของเขาย่องเบาไปบนพื้นปูนของบ้านที่เย็นเยียบ เขาใช้ไฟฉายอันเล็กที่อยู่ในมือส่องไปในห้องนั้นเพื่อหาที่ซ่อนของมีค่าที่ทำให้เขากล้าปีนเข้ามาในคฤหาสน์ผีสิงแห่งนี้ในยามวิกาล

    ชลชีวีเปิดตู้เสื้อผ้าที่อยู่มุมห้องค้นหาของบางอย่างแล้วก็ปิดไว้ตามเดิม

    เขาเดินไปที่โต๊ะหัวเตียง...ดึงลิ้นชักออกมาดูทีละชั้น แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะของที่เขาต้องการไม่ได้อยู่ในนั้น

    ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกโมโหที่ไม่เจอของมีค่าสักอย่างในห้องนี้ ทั้งๆ ที่เขาเคยคิดว่าถ้าหยิบของสักชิ้นออกไปขาย ก็คงจะช่วยผ่อนหนี้พนันบอลที่เขาติดอยู่ได้บ้าง

    แต่ก่อนที่เขาจะล้มเลิกความตั้งใจ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องๆ หนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งหน้าห้องน้ำ ชายหนุ่มจึงใช้ไฟฉายส่องไปที่วัตถุตรงนั้น ชลชีวีไม่รอช้า...รีบเดินไปคว้ากล่องนั้นขึ้นมา ปรากฏว่ามีแม่กุญแจตัวเล็กคล้องอยู่ ชายหนุ่มจึงวางกล่องไว้ตรงนั้น แล้วใช้ชะแลงที่เขางัดเข้ามาในบ้านฟาดลงไปแรงๆ ทีหนึ่งจนแม่กุญแจหลุดออกจากกัน

    สร้อยคอเส้นหนึ่งสะท้อนแสงไฟฉายทองอร่าม ราวกับจะเชื้อเชิญให้ผู้ที่จับจ้องนั้นหยิบออกไป

    ชลชีวีภายใต้จิตของชายหนุ่มท่าทางโลภมากหยิบสร้อยคอเส้นนั้นออกมาใส่กระเป๋าเสื้อ เงยหน้าขึ้นกำลังจะหนี แต่เขาก็ต้องร้องออกมาอย่างตกใจสุดขีด เพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งเข้ามาทุบกระจกโต๊ะเครื่องแป้งจนร้าวทั้งบาน

    ใบหน้าของหล่อนดำสนิทราวกับถูกไฟเผา กลิ่นเนื้อไหม้โชยออกมาจากกระจกบานนั้นอย่างน่าสะอิดสะเอียน หล่อนพยายามทุบเศษกระจกที่เหลือให้แตกแล้วแทรกตัวออกมาจากโต๊ะเครื่องแป้งหลังนั้น

    หญิงสาวที่ร่างไหม้เกรียมเป็นตอตะโกคืบคลานออกมาจากโต๊ะเครื่องแป้งอย่างช้าๆ ผิวหนังไหม้เกรียมบางส่วนร่นหลุดติดไปกับเศษกระจกที่ยังค้างอยู่ ลิ้นของหล่อนยาวยืดเลียไปบนน้ำเหลือที่ค่อยๆ หยดออกจากคางและลำคอของหล่อนเอง

    ชลชีวีกลัวสุดขีด พยายามตะเกียกตะกายหนีจากผีตนนั้น แต่ดูเหมือนขาจะหมดแรงไปตั้งแต่ตอนที่ล้มลง

    “กละ…กลัว…กลัวแล้ว…ปล่อย…ผม…ไปเถอะ”

    ชายหนุ่มอ้อนวอนขอชีวิตจากหญิงร่างไหม้ แต่แทนที่หล่อนจะเห็นใจ ร่างดำนั้นกลับพุ่งตัวเข้ามาคร่อมร่างของเขาไว้

    น้ำหนองและเลือดหยดลงบนใบหน้าชายหนุ่มที่ร้องตะโกนด้วยความกลัว เลือดสีคล้ำๆ บางส่วนไหลลงคอเขาไปตอนกำลังอ้าปาก

    “มึงเอาของกูไป…กูจะเอาชีวิตมึง”

                               ****************************************************



    “เฮือก!”

    ชลชีวีหอบหายใจราวกับคนเพิ่งโผล่พ้นน้ำ

    “ชล…เป็นไรมากมั้ย…เห้ย..เลือดกำเดาไหลด้วย…พี่โต ชลฟื้นแล้ว”

    โตนนท์ที่ได้ยินเสียงร้องของกันตพงษ์ก็รีบเข้ามาดูอาการของชลชีวีที่สลบไปตั้งแต่ตอนสัมผัสสร้อยคอ เขารีบนั่งลงข้างเตียงแล้วถามด้วยความห่วงใย

    “เป็นไรมากมั้ย…เงยหน้าสูงเข้าไว้ เลือดจะได้หยุดไหล…กัน เอาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋าพี่ไปชุบน้ำมาให้หน่อย” กันตพงษ์รีบทำตามคำสั่งของโตนนท์ สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้เขารู้ทันทีว่าโตนนท์กำลังเป็นห่วงชลชีวีอย่างจริงจัง เมื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเสร็จ เขาก็รีบเอากลับมาส่งให้ชายหนุ่มซับเลือดตรงจมูกของชลชีวี

    “ไม่เป็นไรแล้วครับ ขอบคุณมาก” ชลชีวียันตัวเองลุกขึ้น แล้วรับผ้าเช็ดหน้ามาจากโตนนท์

    “เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีดีสัมผัสสร้อยแล้วสลบไป” โตนนท์ถามด้วยความห่วงใย

    “ผมเห็นภาพสามีของผู้หญิงคนนั้น เขาเคยเข้ามาขโมยสร้อยคอในห้องนี้ น่าจะเป็นเส้นเดียวกับที่เธอถืออยู่เมื่อครู่ ตอนนี้เธอกลับไปยังครับ? ”

    “กลับไปแล้วล่ะชล เราบอกให้เธอกลับบ้านไปสงบสติอารมณ์ก่อน แต่ก่อนไปเราขอที่อยู่เธอไว้ด้วยนะ…เผื่อว่าบางทีจะได้เข้าไปขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับบ้านหลังนี้…แต่ที่ชลบอกว่าสามีเธอขโมยสร้อยเส้นนั้น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการตายของเขาเหรอ แล้วผู้หญิงคนนั้นเข้ามาที่นี่ทำไม”

    ชลชีวีขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด โตนนท์กับกันตพงษ์ก็ไม่ขัด รอให้อีกฝ่ายพูดออกมา

    “เราไม่แน่ใจว่าวิญญาณจะเกี่ยวข้องกับการตายของสามีเธอแค่ไหน…แต่จากภาพที่เราเห็น เจ้าของสร้อยเส้นนั้นเขาน่าจะหวงของมาก เลยตามอาฆาตคนที่เข้ามาขโมยของของเขาในห้องนี้…ส่วนผู้หญิงที่เป็นภรรยา ถ้าเดาไม่ผิด…พี่โตช่วยหยิบกล่องที่วางอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งตรงนั้นให้หน่อยได้มั้ยครับ”

    โตนนท์ลุกจากเตียงแล้วเดินไปหยิบกล่องจากโต๊ะเครื่องแป้งที่กระจกแตกทั้งบานมาให้มาส่งให้ชลชีวี ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงรับกล่องมาเปิดดู

    “ถ้าเดาไม่ผิด…เธอน่าจะเข้ามาที่นี่เพื่อเอาสร้อยมาคืน”

    สร้อยคอเส้นเดียวกันกับที่ชลชีวีเห็นใน 'นิมิต' ถูกวางนิ่งอยู่ในกล่องใบนั้น

    “แต่ตอนที่เข้ามา เธอคงเจอกับ…เจ้าของบ้านหลังนี้เข้า สภาพเลยเป็นอย่างที่พวกเราเห็น”

    โตนนท์พยักหน้าเข้าใจ ต่างจากกันตพงษ์ที่ขยับเข้ามานั่งใกล้ชลชีวีโดยอัตโนมัติ

    “ส…แสดงว่าบ้านหลังนี้ก็มี…ผีสิงอยู่จริงๆ ใช่มั้ยชล…ไหนชลบอกว่าผีทำให้คนตายไม่ได้ไง…แล้วทำไมสามีของผู้หญิงคนนั้นถึงได้ตกลงมาจากหลังคาล่ะ”

    ชลชีวีมองหน้ากันตพงษ์และโตนนท์ที่รอฟังอย่างตั้งใจ

    “เรายังยืนยันคำเดิม…ผีทำให้คนตายไม่ได้…อย่างมากก็แค่หลอกให้คนกลัว หรือไม่ก็เสียสติจนลายเป็นบ้า…แต่นั่นก็เป็นอาการที่เกิดขึ้น จากความกลัวของที่ถูกหลอกเอง ไม่ได้เกิดจากอิทธิฤทธิ์ของพวกเขาหรอก…ส่วนเรื่องที่มีคนงานตกลงมาจากหลังคาเสียชีวิต เราว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ ” เมื่อชลชีวีเห็นชายหนุ่มสองคนตั้งใจฟัง เขาจึงอธิบายต่อว่า

    “ผู้ชายคนนั้นตกลงมาเสียชีวิตตอนกลางวัน…แต่ปกติในช่วงเวลากลางวันแสกๆ ผีหรือวิญญาณจะไม่มีพลังงานมากพอที่จะสื่อสารกับคนได้ต่อให้มีแรงอาฆาตมากแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นสาเหตุการตายขอคนงานก่อนสร้างก็น่าจะมีอยู่สองกรณีคือหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นประสาทหลอนคิดไปเองว่าจะถูกผีทำร้ายจึงกลัวจนพลาดตกลงมาเสียชีวิต กับอีกกรณี…”

    “มีคนตั้งใจปลอมตัวเป็นผี แล้วหลอกให้เขาตกใจกลัวจนพลาดตกลงมา” โตนนท์วิเคราะห์จากเหตุการณ์ที่เขารับรู้ และมันก็ตรงกับข้อสันนิษฐานของชลชีวีพอดี

    “แล้วแรงจูงใจล่ะพี่โต…ทำไมทั้งผีและคนต้องทำแบบนั้น หรือคนที่ปลอมเป็นผีจะต้องการสร้อยคอเหมือนกันเหรอ”

    โตนนท์ส่ายหน้า มองหน้ารุ่นน้องแล้วพูดว่า “ไม่หรอก…ถ้าคนคนนั้นต้องการสร้อยนั้นจริง ป่านนี้คงบุกเข้าไปขโมยสร้อยมาจากภรรยาตั้งแต่ตอนที่เธอยุ่งอยู่กับงานศพแล้ว…แต่กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนเธอต้องนำสร้อยเส้นนั้นกลับมาคืนเอง พี่เลยเดาว่า…คนคนนั้น น่าจะต้องการแค่ให้ของทุกอย่างในบ้านหลังนี้อยู่ในสภาพเดิม เหมือนตอนที่เคยมีคนอาศัยอยู่ หรือพูดง่ายๆ …ไม่ต้องการให้เจ้าของบ้านคนปัจจุบัน ขายบ้านให้ใคร”

    “แต่เราเดาจากเหตุการณ์ที่รับรู้เท่านั้น ไม่มีหลักฐานใดมายืนยันความคิดของเราให้เป็นวิทยาศาสตร์ได้” ชลชีวีบ่นออกมาแล้วขยับตัวลุกขึ้นยืน โตนนท์ที่เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปยืนประชิดตัว เผื่อ’ คนมีน้ำใจ’ กับเขาจะล้มลงอีก

    “มันก็ไม่แน่นะชล” อยู่ๆ กันตพงษ์ก็พูดราวกับเพิ่งนึกอะไรออก “ตามมาทางนี้”

    ชลชีวีและโตนนท์มองหน้ากันอย่างไม่ค่อยเข้า แต่ก็ยังเดินตามตากล้องหนุ่มเข้าไปในห้องน้ำ

    “เมื่อตะกี๊ตอนที่เราเอาผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำในนี้ เราสังเกตเห็นว่ามีรอยบางอย่างแปลกๆ อยู่เต็มไปหมด ตอนแรกเราก็ไม่ได้สนใจ แต่ชลกับพี่โตลองดูดิ…มันเหมือนรอยเท้านะว่าไหม…แถมรอยเท้ายังปีนขึ้นชักโครก แล้วหายไปอีก ฝ้าเพดานห้องน้ำแผ่นนั้นก็หายไปด้วย และถ้าเดาไม่ผิด ผนังด้านนอกของห้องน้ำก็น่าจะมีนั่งร้านติดตั้งอยู่”

    ชลชีวีพยักหน้าเข้าใจว่ากันตพงษ์ต้องการบอกอะไร

    ชายหนุ่มทั้งสามคนจึงรีบเดินออกมานอกบ้าน ก็พบว่ามีนั่งร้านติดตั้งอยู่ผนังด้านนอกห้องน้ำจริงๆ และมันก็สูงพอที่ทำให้คนปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านได้

    “ถ้าเป็นผมนะพี่…ผมไม่กลัวความสูง การปีนออกจากฝ้าห้องน้ำตรงปีกฝั่งนี้แล้วเปิดหลังคาปีนลงมาทางนั่งร้านนี่ง่ายนิดเดียว”

    ชลชีวีมองหน้าโตนนท์ แม้เขาไม่ใช้จิตสัมผัสในการอ่านความคิด...แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงคิดไม่ต่างจากเขา

    ความอาถรรพ์ของบ้านหลังนี้ ชักจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว


                                   *****************************************************




    จิรกรแทบเอาตัวไม่รอดเมื่อเขากลับมาถึงบ้านในตอนค่ำ เพราะคุณนายพรจู้จี้ถามเรื่องกลุ่มเพื่อนที่ชลชีวีไปงานมงคลสมรสว่าเป็นเพื่อนกลุ่มไหน ทำไมหล่อนไม่เคยรู้มาก่อนว่าชลชีวีมีเพื่อนอยู่ต่างจังหวัด ดูเหมือนหล่อนจะจับพิรุธชายหนุ่มสองคนที่มาหาชลชีวีถึงที่บ้านเมื่อหลายวันก่อน ว่าคงมีส่วนรู้เห็นในการเดินทางไปต่างจังหวัดอย่างกะทันหันของหลายชายคนเล็ก

    แต่จิรกรรีบบอกปัดว่าคงไม่ใช่ เพราะกลุ่มเพื่อนที่ชลชีวีเดินทางไปร่วมงานแต่งนั้นเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด เลยไม่เคยเจอหน้าคร่าตามาก่อน และเขาก็รู้ดีว่าเป็นกลุ่มเพื่อนที่ไว้ใจได้ ไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นพี่ชายที่แสนดีก็รีบขอตัวหนีขึ้นห้องตัวเอง ยอมอดข้ามมื้อค่ำเพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามใดๆ ของยายอีก

    แม้จะบอกยายไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่กลายเป็นเขาเองที่ต้องมากังวลเรื่องน้องชายแทน เพราะชลชีวีเล่นไม่รับสายตั้งแต่ช่วงบ่าย จนตอนนี้เกือบจะทุ่มครึ่งก็ยังไม่ติดต่อกลับ ข้อความในไลน์ก็อ่านแต่ไม่ตอบ

    จิรกรเดินวนไปมาในห้องเพราะกลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับน้องชาย

    แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าชลชีวีเคยให้เบอร์โทรติดต่อหนึ่งในทีมงานไว้ จิรกรจึงเลื่อนดูประวัติแชทที่ชลชีวีเคยพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ทิ้งไว้ให้ จนเจอข้อความหนึ่งที่ระบุหมายเลขโทรศัพท์และเจ้าของเบอร์ที่ชื่อ ‘กันตพงษ์’

    ทำไมจิรกรจะจำเจ้าของเบอร์ไม่ได้ เด็กหนุ่มท่าทางเซ่อๆ ซ่าๆ ชอบทำหน้ากวนเขาตลอดเวลาตอนอยู่บนเนินเขาและสถานีตำรวจเมื่อหลายวันก่อน

    นึกถึงหน้ากวนๆ ขึ้นมาทีไรก็รำคาญใจทุกที ใจจริงไม่อยากติดต่อหาเด็กตัวป้อมๆ คนนั้นเลย แต่จนแล้วจนรอด ความเป็นห่วงน้องชายกลับมีมากกว่า ชายหนุ่มจึงตัดสินใจกดโทรออก

    รอสายอยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ายนั้นก็กดรับแล้วทักขึ้นว่า

    “ใครน่ะ? ”

    รับสายแบบนี้ ครูสมัยเรียนไม่เคยสอนเรื่องมารยาทในการรับสายโทรศัพท์บ้างหรือไง

    “ชลอยู่กับนายมั้ย”

    ปลายสายเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ ว่า

    “ไม่บอก ไม่รู้ ไม่ทราบ”

    “นี่…อย่ากวนได้ไหม…ฉันพี่ชายชลชีวี ชื่อจิรกร…ขอคุยกับชลหน่อย”

    “อ๋อ…คุณหน้าดุนี่เอง…ก็ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าเป็นพี่ชายชล..จะได้ส่งให้คุยตั้งนานแล้ว”

    จิรกรรู้ดีว่าอีกฝ่ายโกหก แต่ก็ยอมปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำ

    จิรกรได้ยินเสียงปลายสายหันไปบอกชลชีวีดังๆ เหมือนตั้งใจให้เขาได้ยินว่า

    ‘ผู้ปกครองโทรมาน่ะ...โกรธจนควันออกหูเลย บอกว่าจะแจ้งความจับพวกเราด้วย ข้อหาลักพาตัวเด็กมาขาย’

    ไอ้เด็กกวนบาทา!

    “พี่กร…เดี๋ยว…อย่าเพิ่งด่า…ฟังก่อน”

    “ถ้าไม่อยากให้ด่าแล้วทำไมไม่รับสาย รู้มั้ยพี่โดนยายถามจนหูชาแล้วว่าเราเป็นไงบ้าง…ข้อความก็อ่านแล้วไม่ตอบ รู้มั้ยว่าคนอื่นเขาเป็นห่วง”

    ชลชีวีเงียบไป ก่อนจะหัวเราะแหะๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ว่า “ขอโทษคร้าบบ แด๊ดดี้…ยอมแล้ว รู้สึกผิดไม่ทันแล้วเนี่ย…ชลเพิ่งเข้าที่พัก อยู่ใกล้ๆ กับบ้านหลังที่เป็นข่าวนั่นแหละ แล้วที่ไม่ได้รับสายเพราะชาร์จมือถือทิ้งไว้บนห้อง ตอนนี้ลงมาหาอะไรกินริมทะเล เดี๋ยวกลับถึงห้องแล้วว่าจะโทรหายายด้วย…ว่าแต่ยายเป็นไงบ้าง”

    “ยายจะเป็นไรล่ะ นอกจากสงสัยและระแวง นี่พี่ยอมไม่กินข้าวเย็นเพราะจะได้ไม่ต้องตอบคำถามยายเลยนะ…แล้วสองคนนั่นดูแลเราดีหรือเปล่า”

    “มาก….ม้ากมาก…ทั้งกันแล้วก็พี่โตดูแลชลดีมาก…พี่กรไม่ต้องเป็นห่วง”

    “เดี๋ยวๆ …รู้จักกันไม่กี่วันนี่แกได้พี่ชายเพิ่มอีกคนแล้วเรอะ…ไว้ใจได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย”

    “เอาน่า…ชลโตแล้ว พอจะมองคนออกอยู่…แล้วตำแหน่งพี่ชายที่ดีที่สุดยังยกให้พี่กรเสมอ ไม่มีใครมาแทนได้หรอก…ส่วนเรื่องต้องอดข้าวเย็น เดี๋ยวกลับกรุงเทพฯรอบนี้จะพาไปเลี้ยงชาบูสองมื้อเลย โอเคมั้ย? ”

    ถึงแม้จิรกรจะพยายามทำตัวเป็นพ่อคนที่สองของชลชีวีมาเสมอ ทั้งปกป้อง ทั้งดุสารพัด แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับลูกอ้อนขอน้องชายทุกที อารมณ์ขุ่นมัวที่มีเมื่อตอนเย็นก็หายไปจนเกือบหมด แต่พี่ชายยังต้องรักษามาดเอาไว้ ไม่งั้นเดี๋ยวน้องชายจะเหลิง ไม่ยอมรับสายอีก

    “เออๆ …แต่รอบนี้แกเลี้ยงแล้วแกจ่ายนะ ไม่ใช่มาบอกว่าเลี้ยงแล้วให้พี่จ่ายอีก”

    ชลชีวีหัวเราะเสียงใสให้กับคนแก่จอมดุ สงสัยจะติดนิสัยดุนักเรียนจนชิน สุดท้ายเลยมาลงกับน้อง

    “งั้นชลกินข้าวก่อนนะแด๊ด…กลับถึงห้องค่อยแชทไปเล่าให้ฟังว่าวันนี้เจออะไรมาบ้าง…”

    “ยังมีเงินใช้หรือเปล่า”

    “มีครับ…ขอบคุณครับ แค่นี้ก่อนนะ เกรงใจมือถือกัน”

    ชลชีวีกดวางสายแล้วส่งมือถือคืนให้กันตพงษ์ กล่าวขอบคุณแล้วก็ขอโทษฝ่ายนั้นที่พี่ชายโทรมารบกวน กันตพงษ์โบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรเลย แล้วแอบทำอะไรบางอย่างกับมือถือเงียบๆ

    Teacher Jirakorn เพิ่มเพื่อนด้วยหมายเลขโทรศัพท์

    กันตพงษ์แอบยิ้มเบาๆ เมื่อเห็นรูปโปรไฟล์เชยๆของจิรกรบนแอพลิเคชั่นไลน์ เขากดส่งสติ๊กเกอร์ทักทายเป็นรูปยิ้ม ฝ่ายนั้นอ่านแต่ไม่ตอบ

    ใจร้ายจังเลยนะคุณครู…หรือจะโกรธที่เขาแอบกวน

    “? “

    อะไร…ตอบมาแค่เครื่องหมายคำถามเนี่ยะนะ…แต่เขาก็ส่งไปแค่สติ๊กเกอร์นี่หว่า

    “ฝันดีนะ แด๊ดดี้” กดส่ง เขาตั้งใจจะแกล้งคนหวงน้องชายสักหน่อย เลยเรียกแทนชื่อจิรกรด้วยฉายาที่ชลชีวีใช้

    ฝ่ายนั้นอ่านแล้วไม่ตอบเช่นเคย กันตพงษ์จึงว่างโทรศัพท์ไว้ข้างจานข้าวอย่างเซ็งๆ

    ตั้งใจจะกวนประสาทสักหน่อย…แต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วยแบบนี้…เซ็งเลย ตากล้องหนุ่มขอตัวไปห้องน้ำ ทิ้งให้ชลชีวีนั่งอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

    “พรุ่งนี้เช้าพี่จะเข้าไปสัมภาษณ์ชาวบ้านในตลาดหน่อย ได้ข่าวมาว่ามีผู้สูงอายุบางคนเกิดทันสมัยที่บ้านหลังนั้นสร้างแรกๆ เผื่อได้ข้อมูลทำข่าวมากขึ้น…”

    ชลชีวีพยักหน้า ก่อนจะหันไปรับเอาจานอาหารที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ จานที่เพิ่งมาใหม่คือปูนิ่มทอดกระเทียมส่งกลิ่นหอมฉุย ถูกวางไว้ข้างๆ กับห่อหมกทะเลเนื้อนุ่มที่ถูกบรรจุอยู่ในลูกมะพร้าวอ่อนกลิ่นเครื่องแกงหอมน่ากิน และอีกจานคือแกงส้มปลากระบอกยอดมะพร้าวอ่อน เขามองทีละเมนูที่มีหน้าตาน่ากินแล้วก็อดแอบกลืนน้ำลายไม่ได้

    “หิวเหรอ? ” โตนนท์ถามเพราะเห็นแววตาคนตรงหน้าดูสนใจเมนูที่เพิ่งเอาเสิร์ฟเป็นพิเศษ ชลชีวีกำลังจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เสียงท้องร้องก็ดันประจานเจ้าตัวเสียก่อน ชายหนุ่มจึงต้องพยักหน้ายอมรับเขินๆ ว่า

    “ปกติอยู่บ้าน จะต้องกินข้าวพร้อมยายตั้งแต่ตอนเย็น เลยหิวนิดหน่อย”

    “งั้นกินก่อนได้เลย ไม่ต้องรอไอ้กันหรอก รายนั้นมันบอกว่าจะลดมื้อเย็น…กลัวจะโดนแซวอีก”

    “ไม่ดีกว่า…รอกินพร้อมกันนั่นแหละ” ชลชีวีปฏิเสธ เมื่อโตนนท์เห็นว่าบรรยากาศในวงกินข้าวเงียบเกินไป ตนเองเลยถามขึ้นว่า “ปกติเรียนพี่ชายว่าแด๊ดเหรอ”

    “ก็บางครั้ง…เวลาที่พี่กรงอน…รายนั้นโกรธง่ายแต่หายไว แค่อ้อนนิดหน่อยก็ใจอ่อนแล้ว…มุกเรียกแด๊ดดี๊นี่ก็ใช้ได้ตลอด แต่ถ้าจะให้แน่นอนที่สุดคือต้องพาไปเลี้ยงข้าว”

    โตนนท์อ้ำๆ อึ้งๆ ราวกับกำลังหาเรื่องชวนคุย แต่ก็เงียบไปเมื่อเห็นว่ากันตพงษ์กลับมาถึงโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

    ตากล้องหนุ่มเมื่อเห็นเมนูจานล่าสุดที่ถูกนำมาจานวางบนโต๊ะก็ตาลุกวาว รีบเชิญให้เพื่อนและรุ่นพี่กิน โดยตนเองตัดริบบิ้นเปิดมื้อค่ำโดยการตักปูนิ่มทอดกระเทียมใส่จาน แล้วราดด้วยน้ำจิ้มรสเด็ดที่วางอยู่ข้างๆ ตักเข้าปากแล้วเคี้ยวน่าอร่อยจนชลชีวีอดใจไม่ไหว ลองชิมดูบ้าง ความสดและอร่อยของอาหารทะเลทำให้ชลชีวีหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
 
    ครืด!

    เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ จานกันตพงษ์ดังขึ้นหลังจากที่อาหารมื้อนั้นจบลง เจ้าตัวที่กำลังตักของหวานเข้าปาก อีกมือหนึ่งที่ว่างก็หยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาดู

    โตนนท์หรี่ตามองท่าทางเปลี่ยนไปของรุ่นน้องราวกับจับพิรุธได้ ฝ่ายนั้นตาลุกวาว ทำท่าจะหัวเราะแต่ก็พยายามกัดปากกลั้นไว้ ก้มหน้าลงจ้องจานสละลอยแก้วราวกับอยากจะสนทนากับน้ำแข็งที่อยู่ในจานนั้น

    กันตพงษ์อดไม่ได้ที่จะเปิดข้อความล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาในไลน์แล้วอ่านอีกครั้ง

    “อืม…ฝันดี”









ขอบพระคุณสำหรับการติดตามครับ

ถ้าไม่รบกวนมากไป ขอกำลังใจสัก 1 เม้นได้มั้ยฮะ  :hao5:
ูู
ฝันดีนะครับ นักอ่านทุท่าน


หัวข้อ: Re: อัพครับ โรแมนติก/ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 8 คฤหาสน์อาถรรพ์
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-07-2021 23:34:06
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: อัพครับ โรแมนติก/ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 8 คฤหาสน์อาถรรพ์
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 07-07-2021 17:57:59
อยากเป็น 'แด็ดดี๊' บ้างอ่ะดิโตนน  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: อัพครับ โรแมนติก/ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 8 คฤหาสน์อาถรรพ์
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 07-07-2021 20:34:39
                                                               ตอนที่ 9 โชคร้ายของกันตพงษ์

      ทั้งๆที่นักข่าวหนุ่มพยายามหลีกเลี้ยงเมนูกุ้งแต่คงเป็นโชคร้ายของกันตพงษ์ที่คงเผลอกินอาหารที่มีส่วนปนเปื้อนของเจ้าสัตว์ทะเลสีส้มตัวงอเข้าไป ทำให้ตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารอาการคันจากผื่นแดงๆที่ขึ้นเต็มตัวก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น แต่โชคยังดีที่เขาพกยาแก้แพ้มาด้วยชายหนุ่มจึงรีบทานยาแก้แพ้เข้าไป ไม่นานหลับปุ๋ยตั้งแต่ออกจากร้านอาหารจนมาถึงที่พัก

      โตนนท์เขย่าตัวรุ่นน้องเบาๆเมื่อมาถึงที่พักของเขาซึ่งเป็นวิลล่าสองชั้นริมทะเลที่จองได้ในราคาถูก และตั้งอยู่บนเนินเขาที่เป็นแหลมยื่นออกไปในทะเลและสามารถมองเห็น’ คฤหาสน์’ หลังนั้นที่อยู่อีกฝั่งไกลๆได้

     กันตพงษ์งอแงเพราะฤทธิ์ยาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยายามยันตัวเกาะประตูรถทำท่าจะเซล้มล้ง โตนนท์ทนเห็นภาพนั้นไม่ได้จึงเข้าไปแบกร่างรุ่นน้องไว้บนหลัง

      “หนักชิบหาย” โตนนท์บ่นออกมาแล้วรีบเดินไปเข้าบ้านที่ชลชีวีเปิดรอไว้

      วิลล่าหลังนั้นมีสองชั้นสามห้องนอนพอดี ชายหนุ่มจึงแบ่งกันได้ลงตัวโดยไม่ต้องตกลงกันเรื่องใครนอนกับใคร

       ชลชีวีเดินขึ้นบันใดไปชั้นสองเปิดประตูห้องกันตพงษ์กดรีโมทเครื่องปรับอากาศตั้งไว้ให้เรียบร้อย แล้วเข้าไปเก็บกวาดอุปกรณ์ทำมาหากินหลายชิ้นที่กองเพ่นพ่านอยู่บนเตียงไปไว้บนโต๊ะให้เรียบร้อย เพื่อให้โตนนท์วางร่างรุ่นน้องลงบนเตียงได้ง่ายขึ้น

      “บอกว่าอย่ากินเยอะ ตัวหนักชิบ…หลังเดาะแล้วมั้ง”

      ชลชีวีหัวเราะ “บ่นเหมือนพี่กรเลย”

       โตนนท์มองตามชลชีวีที่เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวไปเปิดก๊อกชุบน้ำบิดหมาดๆ แล้วเอามาส่งให้เขาอย่างงงๆ

      “พี่รับไปสิ…เช็ดตัวให้กันหน่อย วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน นั่งที่ร้านอาหารโดนลมทะเลคงเหนียวตัวแย่ เช็ดตัวให้หน่อยจะได้หลับสบายๆ”

      โตนนท์สายหน้า มองไปทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “มันอึดจะตาย ไม่เป็นไรหรอก…ปกติก็ชอบนอนไม่อาบน้ำอยู่แล้ว”

      “รู้ดีซะด้วย…ว่ากันไม่อาบน้ำ…” ชลชีวีหรี่ตามองนักข่าวตัวโตที่ยืนกอดอกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเขาพูดว่าอะไร “เอาเหอะน่า พี่โต…ช่วยเช็ดตัวให้กันหน่อย ไม่สงสารเหรอ…นอนคันอยู่แบบนี้”

      “แล้วทำไมต้องเป็นพี่”

     “อ่าว…ก็พวกพี่สองคนสนิทกันอะ…โอเคๆ เดี๋ยวผมเช็ดให้เองก็ได้”

      “ไม่ต้องเลย…เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

      เมื่อโตนนท์ตอบรับว่าจะเป็นคนเช็ดตัวให้ ชลชีวีจึงส่งผ้าที่อยู่ในมือให้นักข่าวหนุ่ม

      ฝ่ายนั้นเมื่อรับผ้ามาก็เข้าไปถูบนแขนสองสามทีแล้วก็เปลี่ยนไปถูที่คอสองสามที…เสร็จ!

      “ห้ะ? อะไร? ทำไมเสร็จไวจัง"

      "เสร็จไว้อยู่เรื่องเดียวแหละ...ส่วนเรื่องอื่นน่ะเสร็จช้า"

      "ทะลึ่ง" ชลชีวีถลึงตาใส่คนที่ทำหน้าเป็นอยู่บนเตียง

      "นี่คิดไปไกลล่ะใช่มั้ยเนี่ย?...พี่หมายถึงเรื่องงาน...ส่งช้าตลอดแหละ"

      ชลชีวีกอดอกหรี่ตามองหนุ่มจอมแถ "นี่เราสนิทกันจนถึงขั้นทะลึ่งใส่กันได้แล้วเหรอพี่"

      "หรือคุณอยากให้ผมกลับไปเป็นเหมือนเดิมล่ะ...คุณชล" โตนนท์แกล้งทำหน้าบึ้ง

      "เอาที่พี่สบายใจเหอะ...ตอบผมได้หรือยัง ว่าทำไมเช็ดตัวให้กันแค่นี้? หรือกลัวผื่นขึ้นอีก?"

       “เปล่า! ก็มันใส่เสื้อผ้าตอนไปริมทะเล คงโดนลมแค่ที่แขน...เช็ดแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง”

        ชลชีวีส่ายอย่าง พยายามเก็บสีหน้าเหนื่อยใจไว้ข้างใน แล้วเข้าไปดึงผ้าเช็ดตัวผืนเล็กจากโตนนท์

       “งั้นลุกเลย เดี๋ยวผมทำเอง”

       ชลชีวีนั่งลงข้างๆกันตพงษ์ที่หลับอยู่ เขาค่อยๆบรรจงยกแขนขึ้นเช็ดอย่างเบามือ ดูเหมือนว่ากันพงษ์จะตัวร้อยหน่อยๆ ไม่รู้เป็นเพราะผลข้างเคียงจากการแพ้กุ้งหรือเพราะลงพื้นที่ตากแดดทั้งวัน เขาจึงใช้หลังมือสัมผัสไปที่หน้าผากเพื่อนเบาๆ

       “ตัวร้อนจัง ไม่รู้มีไข้หรือเปล่า” เขาหันไปบอกโตนนท์

      “เป็นไปได้ ตอนมันมาทำงานใหม่ๆ ก็เคยแพ้แล้วเป็นไข้แบบนี้ต้องลางานหลายวัน ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน รอดูอาการก่อน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้นค่อยพาไปโรงพยาบาล”

      ชลชีวีพยักหน้า ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของกันตพงษ์ออกแล้วเช็ดเบาๆไปที่ซอกคอและหน้าอก

        โตนนท์ที่ยืนดูอยู่กำลังจะเอ่ยปากห้าม แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าชลชีวีคงแค่ต้องการจะดูแลคนป่วยเขาจึงต้องหยุดคำพูดไว้

       “งั้นพรุ่งนี้ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ผมว่าให้กันนอนพักอยู่ที่ห้องดีมั้ย…แล้วผมลงพื้นที่ช่วยพี่เอง แต่ออกตัวก่อนว่าผมถ่ายรูปไม่สวยนะ ถ้าพี่ช่วยแนะนำบางทีอาจจะพอใช้ได้ ไม่ต้องห่วง...ผมเรียนรู้ไว”

        โตนนท์นั่งลงบนเตียงข้างๆชลชีวี เขาถามคนที่กำลังติดกระดุมเสื้อให้ตากล้องรุ่นน้องอยู่ว่า

      “ถามจริง…ทำไมชลต้องช่วยพวกพี่ถึงขนาดนี้ด้วย ทั้งลงพื้นที่ ดูแลไอ้กัน…แล้วยังจะช่วยเป็นตากล้องแทนมันอีก”

       “ก็…คงเป็นเพราะพวกพี่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ผมมีมั้ง “

       “หมายความว่ายังไง…แล้วครอบครัว…พี่ชายของชลก็ดูจะรับรู้กับจิตสัมผัสที่ชลมี”

       “รับรู้ ไม่ได้แปลว่าจะรับได้นะพี่…อย่างคุณยาย ผมรู้มาตลอดว่ายายเป็นห่วงผม จึงพยายามบอกให้ผมดูแลตัวเองให้ดีและเก็บเรื่องความสามารถพิเศษไว้เป็นความลับ อย่าบอกให้ใครรู้ เพราะยายไม่อยากให้ใครมองผมว่าเป็นตัวประหลาด”

       “แต่พี่ไม่เคยมองชลเป็นตัวประหลาด…พี่หมายถึง พี่กับกันไม่เคยมองเราเป็นตัวประหลาด”

       ชลชีวียิ้มให้โตนนท์จากใจ “เพราะแบบนี้ไง ผมจึงอยากลงมาช่วยพี่ถึงที่นี่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยมั้ง...ที่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิดมันมีประโยชน์มากพอที่จะช่วยเหลือคนอื่นบ้าง…ไม่ใช่มีไว้แค่ให้คนมาขอดูดวงอย่างเดียว”

       ยิ่งฟัง…โตนนท์ก็ยิ่งสนใจสิ่งทีคนตรงหน้าพูด

       “ให้คนมาขอดูดวง…หมายความว่าไง”

        “ก็เมื่อก่อนตอนเด็กๆ มีเหตุการณ์ที่ทำให้คนแถวบ้านรู้ว่าผมสามารถมองเห็นอนาคตคนอื่นได้ พวกเขาจึงมาขอให้ช่วยดูดวงให้ บางคนก็มาถามว่าสามีที่เลิกไปจะกลับมาคืนดีด้วยหรือเปล่า....มาถามว่าของที่หายไปทำหล่นไว้ตรงไหน หรือคำถามที่โดนบ่อยที่สุดก็คือ งวดหน้าออกอะไร…” โตนนท์ฝืนหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต

        “ตอนนั้นใครถามอะไร ผมก็บอกหมด เพราะเขาบอกว่าจะให้ตัง..อยู่มาวันหนึ่งยายก็จับได้ เพราะผมแอบไปซื้อเกมมาเล่นโดยไม่ขอเงินยาย จากนั้นก็หมู่บ้านแทบแตก เพราะแก่ตามไประเบิดบ้านคนที่เข้ามาขอดูดวงหรือขอหวยกับผม แกบอกว่า…”

       ชลชีวีกลืนน้ำลาย แล้วพยายามดัดเสียงให้เหมือนคุณนายพรตอนอาละวาด

       “…เอ็งไม่ต้องมายุ่งกับหลานข้าอีกนะ ไม่งั้นปังตอเล่มนี่จะเสียบเข้าที่หัวเอ็ง หลานข้าเป็นคนปกติโว้ย...ไม่ใช่พวกคนทรงเจ้าเข้าผีที่พวกเอ็งจะมาขอหวยได้"

       โตนนท์หัวเราะกับท่าล้อเลียนยายของชลชีวี ใบหน้าจืดๆ ของคนมีจิตสัมผัสก็ดูจะมีสีสันขึ้นเมื่อได้พูดเล่าเรื่องราวของตัวเองอย่างออกรส

       “อื้อ!” เสียงรองครางอย่างรำคานดังขึ้นจากคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง ญาติคนไข้ทั้งสองคนจึงลุกขึ้นออกจากห้องไป ปล่อยให้กันตพงษ์ได้นอนพักผ่อน

       โตนนท์ปิดประตูให้รุ่นน้องเบาๆ

        เมื่อเขาเห็นว่าชลชีวีกำลังจะหันหลังเดินไป ชายหนุ่มอ้ำๆ อึ้งๆ ราวกับจะพูดบางอย่างออกมา

       แต่รอจนกระทั้งชลชีวีเปิดประตูเข้าห้องไป...ชายหนุ่มก็ยังยืนเงียบอยู่เช่นเดิม

        นักข่าวหนุ่มรู้ตัวว่าเขาเป็นคนปากแข็ง ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึกกับใคร พอถึงเวลาต้องพูดเรื่องดีดีกับใครสักคนเขาก็รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองซะงั้น!

       โตนนท์เดินไปหยุดที่หน้าห้องของคนมีจิตสัมผัส เขายกมือขึ้นตั้งใจจะเคาะประตูแต่ก็เปลี่ยนใจ...ลดมือลงเหมือนเดิม

        “ฝันดี”



                                              ************************************************



       คืนนั้นกันตพงษ์นอนกระสับกระส่ายทั้งคืนเพราะอาการไข้และอาการคันจากรอยแดงที่ขึ้นทั้งตัวซึ่งเป็นผลจากการแพ้อาหาร

      เขาลูบมือเกาไปมาตามแขนและลำตัวอย่างรำคาน อากาศหนาวจากเครื่องปรับอาหาศในห้องเสียดเข้าไปในกระดูก ชายหนุ่มจึงต้องพยายามฝืนลืมตาขึ้นเพื่อควานหาผ้าห่มที่กองอยู่บริเวณปลายเท้าหมายจะกระชับให้แน่นขึ้นเพื่อสร้างความอบอุ่น

       แต่แล้วเมื่อกันตพงษ์ยันตัวลุกขึ้น สายตาพร่ามัวของเขาก็เห็นสิ่งแปลกปลอมอยู่ปลายเตียง… เขาพยายามหรี่ตามอง แต่ก็เห็นเพียงเงาสีดำๆ

       ชายหนุ่มควานหาแว่นตาที่ตั้งอยู่ใกล้หมอนเป็นประจำ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้คงจะมีคนพาเขาเข้ามานอนแว่นตาเลยเปลี่ยนตำแหน่ง และนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจที่หาแว่นตาไม่เจอสักที กันตพงษ์จึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง

       ติ้ก ติ้ก! มีแค่เสียงสวิตช์ไฟ แต่หลอดไฟที่อยู่ภายในโคมไฟกลับไม่ทำงาน

       ชายหนุ่มทั้งง่วงทั้งปวดหัวเลยพาลให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เขาควานมือไปข้างโคมไฟเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ โชคดีที่พบว่าแว่นตาวางอยู่ตรงนั้นพอดี ชายหนุ่มรีบคว้ามาสวม เมื่อสายตาปรับชินกับความมืด...เขาก็แท็บช็อค

        มีคนยืนอยู่ปลายเตียง!

       อาการงุนงงหายเป็นปลิดทิ้งเพราะความตกใจ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับหัวใจหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ใบหน้าชาวาบราวกับไม่มีเลือดอยู่สักหยด เขาอยากจะร้องตะโกนออกมาแต่ปากก็ไม่ขยับราวกับถูกสาป

       เงาดำๆที่ยืนอยู่ปลายเตียงนั้นนิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ้ง ผ้ายาวๆที่ปกปิดใบหน้านั้นไว้น่าจะเป็นฮิยาบ หล่อนก้มหน้าไหล่สั่นเทิ้มเหมือนคนร้องไห้ เสียงสะอื้นของหล่อนเย็นยะเยือกจนเขาขนลุก

         “อ..อย่า…มา…ยุ่ง…กับ…เรื่อง…ของกู”

       ถ้าให้เลือกได้ กันตพงษ์ขอสลบไปเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องมารับรู้หรือสัมผัสสิ่งน่ากลัวแบบบนี้ แต่โชคร้ายที่ประสาทของเขาทุกส่วนถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เห็นร่างนั้นแล้ว

       สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้มีเพียงพยายามขยับขาขึ้นมาชันเข่ากอดไว้เพื่อให้ปลายอยู่ห่างจากร่างนั้นมากที่สุด

        แสงจันทร์ที่อยู่ภายนอกสาดส่องเข้ามากระทบร่างนั้น หล่อนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ฮิยาบคลุมใบหน้าของหล่อนไว้ทั้งหมดเหลือเพียงดวงตาอาฆาตแค้นแดงก่ำเท่านั้นที่จ้องมองมา

       นาทีนี้กันตพงษ์กลัวจนฉี่แทบราด เพราะเขาดันเผลอย้อนนึกไปถึงคำบอกเล่าของหญิงที่เขาเจอเมื่อตอนกลางวันว่าสามีของหล่อนเสียชีวิตเพราะถูกผีคลุมฮิยาบหลอกจนตกลงมา

       หรือหล่อนจะตามมาจากบ้านหลังนั้น!

       ยิ่งคิดยิ่งกลัวจนแทบจะเสียสติ น้ำตาเริ่มหยาดรินมาจากดวงตาสองข้างของนักข่าวหนุ่ม

        พี่โต…ชล…ช่วยด้วย…ได้โปรด…ตื่นเถอะ!

       “ผ..ผม…กลัว…แล้ว” กันตพงษ์ร้องไห้ออกมก เขาสะอื้นจนคำพูดขาดเป็นห้วงๆ “อย่า..หลอก..ผมเลย…ผมกลัวมาก…ผมกลัวแล้ว…ขอร้อง”

       “หึ…หึ” ดูเหมือนหล่อนจะยิ่งชอบใจเหมือนเห็นท่าทางขวัญหนีดีฝ่อของคนที่อยู่บนเตียง

      เท้าข้างหนึ่งของผีตนนั้นยกขึ้นช้าๆ แล้วเหยียบขึ้นมาบนเตียง…ชายผ้าปาเต๊ะของหล่อนปลิวไหว ก่อนจะตามมาด้วยเท้าอีกข้างหนึ่ง

       ตอนนี้เธอยืนมองกันตพงษ์อยู่บนเตียง!

      ชายหนุ่มร้องไห้ออกมาพลางท่องบทมนต์เท่าที่เขาจำได้

     น้ำเสียงสั่นเทาฟังดูน่าสงสาร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ร่างที่ยืนคร่อมเขาอยู่บนเตียงเห็นใจ

     เพราะหล่อนสวดกลับมาด้วยภาษายาวี!

       แล้วชี้หน้าชายหนุ่มด้วยความอาฆาต!

       “อย่ามายุ่งกับเรื่องของกู!”

       “อ๊าก! ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที ช่วยด้วย”

      เสียงร้องตะโกนราวกับเสียสติของกันตพงษ์ปลุกให้โตนนท์ตื่น ชายหนุ่มรีบวิ่งมาเปิดประตูแล้วก็พบว่าห้องตรงข้ามก็มีชลชีวีที่เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าที่ตกใจเช่นกัน

      เขาทั้งสองรีบวิ่งไปที่ห้องของกันตพงษ์แล้วเปิดลูกบิดประตูเข้าไป

      ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงตอนนี้ฟุบใบหน้าลงกับเข่าร้องไห้จนตัวโยนปากสั่นคอสั่นพูดจาไม่รู้เรื่อง จนโตนนท์ต้องรีบวิ่งเข้าไปกอดปลอบ กันตพงษ์ตกใจถอยหนีทันทีแต่เมื่อเห็นว่าคนที่กอดเขาไว้คือโตนนท์ ชายหนุ่มก็ยิ่งร้องให้หนักพูดแค่ว่าผีหลอกๆ

      ชลชีวีเปิดสวิชต์ไฟจนสว่างทั้งห้อง เข้าเดินเข้าไปดูกันตพงษ์ที่ยังร้องไห้ราวกับคนเสียสติแล้วก็พยายามปลอบว่า

       “ไม่มีอะไรแล้วกัน ไม่มีอะไรแล้ว ในห้องนี้มีแค่เราสามคน ไม่ต้องกลัวนะ”

       โตนนท์มองรุ่นน้องที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร เขาพยายามลูบศีรษะเพื่อปลอบให้ฝ่ายนั้นรู้สึกอุ่นใจว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง

       ชลชีวีมองหน้าราวจะถามโตนนท์ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่านก็ส่ายหน้า ครั้นจะสืบหาความจริงจากคนที่ยังสะอึกสะอื้นอยู่ด้วยความกลัวก็นึกสงสาร จึงต้องปล่อยให้กันตพงษ์อาการดีขึ้นก่อน

      ชลชีวีปลดสร้อยคอจี้น้ำมนต์ที่เขาแขวนอยู่เป็นประจำแล้วสวมให้กันตพงษ์เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกอุ่นใจยิ่งขึ้น ชายหนุ่มที่ร้องไห้ด้วยความกลัวรับรู้ได้ถึงความปลอดภัยที่ได้สวมใส่เครื่องรางชิ้นสำคัญจากคนมีจิตสัมผัส อาการเสียขวัญของเขาจึงค่อยๆ ดีขึ้น กันตพงษ์มองหน้าชลชีวีอย่างขอบใจ

       ชลชีวีจึงเข้าไปนั่งข้างๆแล้วถามว่า “เล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

       เมื่อโตนนท์เห็นว่ารุ่นน้องอาการดีขึ้น ชายหนุ่มจึงลุกออกมาจากเตียงแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้อง ชลชีวีจึงนั่งลงบนเตียงแทน รอฟังเรื่อราวที่เกิดขึ้นจากกันตพงษ์อย่างตั้งใจ

      กันตพงษ์พยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น แล้วเริ่มต้นเล่าตั้งแต่ตอนที่ตนเองเห็นสิ่งประหลาดยืนอยู่ปลายเตียง ถึงตอนที่ผีผู้หญิงคลุมฮิยาบตนนั้นขึ้นมายืนคร่อมเขาชี้หน้าอย่างอาฆาต

     เมื่อเล่าถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็สะอื้นราวกับจะร้องออกมาอีกครั้ง

      ชลชีวีลูบมือคนขวัญเสียเบาๆ ภาพที่เกิดขึ้นในภาวะจิตที่เขาแอบเข้าไปดู…น่ากลัวและสยองขวัญเกินกว่าที่คนคนหนึ่งจะรับได้ จึงไม่แปลกใจที่คนตรงหน้าจะตกอยู่ในสภาพเสียขวัญแบบนี้

      ชลชีวีหันไปถามโตนนท์ว่าตอนนี้เวลากี่โมงแล้ว ฝ่ายนั้นตอบมาว่าอีกครึ่งชั่วโมงก็จะตีห้า และดูเหมือนว่าแต่ละคนหายง่วงเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงกันตพงษ์ร้อง หนุ่มจิตสัมผัสจึงอาสาจะไปชงกาแฟมาให้ แต่เมื่อเขาลุกขึ้น ก็พบบางสิ่งบางอย่างที่สะดุดตา จนต้องหันกลับมามอง

       “รอยสีดำๆ นี่คืออะไร”

      โตนนท์ที่เห็นท่าทางสงสัยของชลชีวีจึงเดินเข้ามาดูบริเวณที่คนมีจิตสัมผัสจ้องอยู่

      บนผ้าปูที่นอนของโรงแรมมีรอยเปื้อนคล้ำๆ บางอย่างติดอยู่ โตนน์จึงเข้าไปดึงผ้าปูที่นอนของกันตพงษ์ให้ตึง ปรากฏว่ารอยนั้นก็ปรากฏชัดขึ้นกระจะตา

     “นี่มันเหมือน…” ชลชีวีเงียบเสียงไป เพราะกำลังสับสนกับรอยที่เห็นอยู่ตรงหน้า โตนนท์ที่ยืนอยู่ข้างๆจึงพูดแทนว่า

     “รอยเท้าคน…ผีคงไม่มีรอยเท้าหรอกใช่มั้ยชล”

     คนมีจิตสัมผัสนิ่งเงียบไป ก่อนพยักหน้าอย่างแน่ใจ แล้วหันไปมองหน้ากันตพงษ์ที่ยังนั่งสงสัยอยู่บนเตียง “กันไม่ต้องกลัวแล้วนะ เราว่าที่กันเจอไม่น่าจะใช่…”

      กึก! กึก!

      เสียงบางอย่างดังมาจากระเบียงห้องพัก ชลชีวีก็เห็นผ้าม่านหลังห้องกำลังพลิ้วไหวราวกับมีลมพัดมาจากด้านนอก ชายหนุ่มทั้งสามคนลุกขึ้นพร้อมกันแล้วเดินตรงไปยังระเบียงหลังห้อง

       ประตูบานเลื่อนมีช่องว่างราวกับปิดไม่สนิท จึงทำให้ลมทะเลจากนอกระเบียงพัดเข้ามาจนผ้าม่านสะบัด โตนนท์หันไปถามกันตพงษ์ด้วยสายตาว่ารุ้นน้องลืมปิดก่อนนอนหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าปฏิเสธ โตนนท์จึงเปิดประตูระเบียงออกไปด้านนอก

      โตนนท์สังเกตว่าแม้ระเบียงห้องนอนชั้นสองจะค่อนข้างสูง แต่คิดว่าคงปีนป่ายลงไปได้ไม่ยาก ชายหนุ่มจึงรีบเดินออกมาทางประตูแล้วอ้อมไปยังริมกำแพงซึ่งตรงกับห้องของกันตพงษ์ที่อยู่ชั้นสองพอดี

      ชายหนุ่มใช้แสงแฟลชจากมือถือส่องสำรวจไปทั่วบริเวณ สายตาก็สะดุดเข้ากับสิ่งของบางอย่างที่น่าสงสัยเกี่ยวติดอยู่กับกิ่งต้นปาล์มประดับหลังบ้าน

       โตนนท์เอื้อมไปดึงออกมา แล้วโบกขึ้นไปยังระเบียงห้องที่มีชายหนุ่มสองคนยืนมองลงมา

       “ชายเสื้อหรืออะไรสักอย่างน่ะ…ผีตัวนั้นคงลืมทิ้งไว้”

                                   ****************************************************

      เช้าวันต่อมา กันตพงษ์พยายามจะฝืนร่างกายตัวเองออกไปทำงานกับโตนนท์และชลชีวี แต่ไข้ของเขาเหมือนจะสูงขึ้นกว่าเมื่อคืน จึงทำให้ถูกรุ่นพี่ในที่ทำงานและเพื่อนจิตสัมผัสบังคับใหัพักผ่อนอยู่ห้อง

     เมื่อเขายอมบอกมาตรงๆ ว่ายังหวาดระแวงจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ชลชีวีจึงยิ้มออกมาแล้วบอกว่าให้เก็บสร้อยคอจี้น้ำมนต์ที่เขาคล้องให้ไว้ดีดี สร้อยนั้นสามารถปกป้องกันตพงษ์จากสิ่งชั่วร้ายรวมถึงภูติผีวิญญานได้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มากพอที่จะทำให้กันตพงษ์รู้สึกมั่นใจ ชลชีวีจึงจดบทสวดลงในกระดาษแผ่นเล็กๆแล้วส่งให้เพื่อนอีกอย่าง แถมยังบอกว่าให้เปลี่ยนไปนอนที่ห้องเขาแทน กันตพงษ์จึงยอมพักผ่อนอยู่ห้องตามคำขอของชลชีวีและโตนนท์

       ก่อนออกจากรีสอร์ท โตนนท์ได้แวะที่บริเวณล๊อบบี้ซึ่งอยู่ในอาคารชั้นเดียวหลังหนึ่งข้างๆประตูทางออก เขาบอกให้ชลชีวีรออยู่บนรถสักครู่หนึ่งเพราะตนเองจะลงไปสั่งอาหารให้นำไปเสิร์ฟกันตพงษ์ที่กำลังพักผ่อนอยู่ที่วิลล่า

      แต่หลังจากโตนนท์ที่ลงไปได้แค่ครู่เดียว ชลชีวีที่นั่งรออยู่บนรถก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมากะทันหัน จึงเปิดประตูรถลงไปขอใช้ห้องน้ำส่วนกลางของล๊อบบี้

       หลังจากที่ชลชีวีจัดการธุระตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเดินออกจากห้องน้ำ เขาบังเอิญก็ชนเข้ากับพนักงานรีสอร์ทคนหนึ่ง เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเป็นพนักงานรีสอร์ทคนเดียวกับที่รีบวิ่งไปดูเหตุการณ์วุ่นวายที่วิลล่าหลังของเขาเมื่อตอนเช้ามืด ชลชีวียิ้มออกมาอย่างมีไมตรี พลางกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้งที่ช่วยไปดูพื้นที่รอบๆให้เมื่อตอนเช้า ฝ่ายนั้นตอบกลับมาเพียงว่าเขาเต็มใจเพราะเป็นหน้าที่ของพนักงานรีสอร์ทอยู่แล้ว โตนนท์มองป้ายชื่อพนักงานรีสอร์ทคนนั้นและจดจำไว้ เผื่อวันที่เขาเช็คเอาท์ออกจากที่นี่จะได้เขียนรีวิวชื่นชมได้ถูกคน

     โตนนท์นั่งหน้าบึ้งอยู่รอบนรถแล้ว แม้จะทำงานด้วยกันไม่นาน แต่ชลชีวีก็พอจะสังเกตอารมณ์คนข้างๆ ได้จากสีหน้าเพราะโตนนท์ไม่ใช่คนเก็บอารมณ์เก่งแม้จะพยายามเก็กเท่าไหร่ก็ตาม

     “เป็นไรไปพี่” ชลชีวีถามพลางหันไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด

      “เซ็งนิดหน่อย…พี่ชัย...พี่ที่ทำงานโทรมาบอกว่าคนที่ได้โจทย์ข่าวอาชญากรรมเลือกทำข่าวอุ้มนักการเมืองที่อยู่ในความสนใจของคนดูพอดี แล้วแกก็วิเคราะห์ว่าข่าวนั้นน่าจะเต็งหนึ่งเรื่องเรตติ้งในช่วงนี้ "

     “ไม่เป็นไรหรอกพี่ เราก็ทำโจทย์ของเราให้ดีที่สุด อย่าลืมสิ...พี่มีผมอยู่ทั้งคนนะ"

       โตนนท์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

       “ขอบคุณอีกครั้งนะ แทนที่จะได้มาทำแค่งานพิสูจน์เรื่องราวลึกลับต่างๆ กลับต้องกลายเป็นตากล้องให้พี่ด้วย”

      “ยินดีมาก...ไม่ต้องขอบคุณแล้วพี่ ตั้งแต่มาที่นี่พี่ขอบคุณผมเป็นสิบครั้งได้แล้วมั้ง”

     โตนนท์ค่อยคลายอารมหงุดหงิดลงเมื่อพบว่าอากาศวันนี้สดใสพอๆ กับบรรยากาศในรถ

       " วันนี้เราจะไปไหนกันเหรอพี่"

        โตนนท์เหยียบคันเร่งเบาๆ ประคองพวงมาลัยให้ตรงไปบนถนน “วันนี้พี่นัดกับเจ้าของบ้านหลังนั้นไว้ ว่าจะเข้าไปสัมภาษณ์เธอซะหน่อย…แต่ดูเหมือนว่าเธอจะเขี้ยวอยู่ไม่เบา เพราะทั้งขอค่าตัว แถมยังบอกว่าห้ามถ่ายรูปบ้านแบบเต็มๆ ไปลง เพราะจะทำให้ขายบ้านไม่ออก “

                               ***********************************************************

      “ดิฉันได้รับมรดกบ้านหลังนี้มาจากคุณอา เธอแต่งงานกับสามีชาวต่างชาติที่ชอบสะสมพวกของเก่าพอๆ กับที่ชอบบ้านโบราณ เขาเลยตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากเจ้าของคนเก่าโดยไม่สืบหาประวัติสักคำ ทั้งๆ ที่ดิฉันพยายามทัดทานให้ท่านมาร่วมหุ้นเปิดบริษัทเครื่องสำอางกับดิฉัน แต่ท่านก็บอกปัด เห็นบอกว่าไม่สนับสนุนบริษัททำเครื่องสำอางที่ทดลองในสัตว์…เรื่องมากดีมั้ยล่ะ ทั้งสองคน” หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลุยส์กลางห้องรับแขกพูดออกมาต่อหน้ากล้องด้วยน้ำเสียงเอือมๆ กับความทรงจำของหล่อนที่มีต่ออดีตเจ้าของบ้านคนเก่า

        “แต่หลังจากที่ท่านย้ายเข้ามาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่นี่ได้ไม่นาน คุณอาผู้ชายก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย…คุณอาผู้หญิงของดิฉันก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หลังจากนั้นไม่นาน รถของเธอพลัดตกลงจากหน้าผาแถวโค้งอันตรายที่พวกคุณผ่านมาก่อนถึงทางเข้าบ้านหลังนี้…ฉันที่ทำงานอยู่กรุงเทพจึงต้องรีบลงมาจัดการธุระเรื่องมรดกที่นี่ให้เรียบร้อย แต่ก็ต้องมาเจอปัญหาอีกร้อยพัน ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้าน เรื่องคนงานตกมาตาย แล้วยังเรื่องผีไร้สาระที่คนลือกันอีก” หล่อนว่าอย่างหัวเสีย ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห หล่อนหยิบเอาพัดที่อยู่ในกระเป่าแบรนด์เนมสุดหรูออกมาพัดเพื่อคลายความร้อน

       “…แล้วที่ฉันยอมมาออกรายการของพวกคุณเนี่ย ก็เพราะว่าอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่าผีที่บ้านหลังนี้มันไม่มีจริง มันก็แค่เรื่องหลอกเด็กที่พวกคนไม่หวังดี กุเรื่องขึ้นมาเพื่อทำให้ชื่อเสียงของบ้านเสียหาย ฉันว่าต้องมีคนกุเรื่องขึ้นเพื่อหวังจะตัดราคาบ้านหลังนี้แน่ แต่ฉันไม่ยอมหรอกนะ…ฉันขอให้พวกคุณช่วยเปิดเผยความจริงให้คนรับรู้ด้วยแล้วกัน จะเชิญร่างทรงหมอผีอะไรมาทำพิธีปัดเป่ารังควานก็แล้วแต่ ตามสบาย แต่ขออย่างเดียว…ช่วยบอกให้ทุกคนรู้ที ว่าที่นี่ไม่มีผี จะได้สร้างความมั่นใจให้คนที่สนใจมาซื้อบ้าน!”

        ดูเหมือนประโยคหลังสุดจะเป็นจุดประสงค์ที่สำคัญเหนือเหตุผลข้ออื่นที่ทำให้หล่อนอนุญาตให้สำนักข่าวขอโตนนท์เข้ามาถ่ายบรรยากาศภายในบ้าน แถมยังยอมออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเป็นครั้งแรก

        หลังจากที่หล่อนให้สัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบออกไปจากบ้านบอกว่ามีธุระด่วน ปล่อยให้ชายหนุ่มสองคนที่หล่อนเข้าใจว่าเป็นนักข่าวทั้งคู่เดินสำรวจบ้านได้เต็มที่

      ชลชีวีบอกกับโตนนท์ว่าตนขอเวลาเป็นส่วนตัวสักครู่ ในตอนแรกดูเหมือนนักข่าวหนุ่มจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมชลชีวีต้องพูดราวกับจะไล่เขาทางอ้อม แต่เมื่อเห็นคนตัวผอมๆ เดินใช้มือสัมผัสสิ่งของต่างที่อยู่ในบ้านแล้วแสดงสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ก็พอจะเดาได้ทันที

       ชลชีวีคงกำลังอ่านความทรงจำของบ้านหลังนี้อยู่!










ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักทุกท่านที่แวะมาครับ
เจอกันใหม่ตอนหน้านะครับ
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อัพครับ โรแมนติก/ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 8 คฤหาสน์อาถรรพ์
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-07-2021 21:48:39
 :ling3: :ling2:
หัวข้อ: Re: อัพครับ โรแมนติก/ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 8 คฤหาสน์อาถรรพ์
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-07-2021 22:03:49
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 9 โชคร้ายของกันตพงษ์
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 09-07-2021 19:11:48
                                                                ตอนที่ 10 บ้านแห่งความทรงจำ



        “ไหนคุณบอกว่าจะไม่เอานังนกออกไปควงแขนเชิดหน้าชูตาไง แล้วทำไมคนที่ตลาดจึงลือกันให้แซดว่าตอนนี้คุณทิ้งฉันไปแล้ว นังเมียหลวงอย่างฉันถูกเฉดหัวทิ้ง เพราะคุณไปหลงอีนังผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้นจนโงหัวไม่ขึ้น…คุณคิดอะไรอยู่กันแน่ คุณคิดจะเขี่ยฉันทิ้งจริงๆ ใช่ไหม” เสียงโวยวายดังลั่นของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตะโกนใส่หน้าชลชีวีทันทีที่เขากลับมาบ้าน แต่ชายหนุ่มไม่สนใจเพราะเขาเหนื่อยมาทั้งวัน ปล่อยให้ภรรยาหลวงของเขาเดินตามตอแยมาจนถึงบันไดชั้นสอง

        “นี่..อย่าเดินหนีฉันแบบนี้นะ ลงมาคุยกันให้รู้เรื่อง หยุด! ฉันบอกให้หยุด ถ้าไม่หยุดฉันจะฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย”
 
       “นี่คุณ…อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตได้ไหม ใครจะพูดยังไงก็เรื่องของเขา จะไปสนใจปากหอยปากปูของพวกชาวบ้านทำไม” ชลชีวีหันมาพูดกับภรรยาที่ยืนมองเขาอยู่จากบันไดขั้นที่ต่ำกว่า

       “จะไม่ให้ฉันทำเป็นไม่สนใจได้ยังไง ก็เรื่องที่ชาวบ้านมันร่ำลือกัน มันเป็นเรื่องจริง…เรื่องจริงที่ว่าคุณนอกใจฉันไปนอนกับคนรับใช้!”

         “นกไม่ใช่คนรับใช้ เลิกเรียกเธอแบบนี้สักที!”

       “เฮอะ! ทำไมฉันจะเรียกไม่ได้ ก็มันเป็นขี้ข้าของบ้านหลังนี้ที่ฉันเผลอโง่ไปรับมันมาจากป้าของมันที่มากฝากไว้ให้ทำงาน…ถ้ารู้ว่ามันจะแอบตีท้ายครัวฉันแบบนี้ ฉันไม่รับเลี้ยงมันไว้ให้เสียข้าวสุกหรอก น่าจะปล่อยให้อดตายไปซะทั้งป้าทั้งหลาน”

       “นี่มันมากไปแล้วนะ…คุณพูดเรื่องตายเป็นครั้งที่สองแล้วนะกานดา เพราะคุณเป็นคนจ้าวอารมณ์แบบนี้ไง เป็นใคร ใครก็เบื่อ” ชลชีวีกำลังจะหันหลังให้หล่อน แต่เสียงกรีดร้องลั่นบ้านของภรรยาก็ทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

        “กรี๊ด! นี่คุณกล้าด่าฉันเหรอ เพราะมัน…เพราะมันคนเดียว อีกขี้ข้า…อีคนรับใช้ กรี๊ด!”

        หล่อนร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใช้มือฉีดทึ้งไปบนเสื้อผ้าตัวเองด้วยความโมโหจนสามีต้องเข้าไปห้าม

        “หยุดเดี๋ยวนี้นะกานดา…ผมบอกให้หยุด…บอกให้หยุด!”

         เพี๊ยะ!

        เสียงฝ่ามือของชลชีวีฟาดไปที่ใบหน้าของภรรยาจนหล่อนชะงักไป

         “กาน…ผมไม่ได้ตั้งใจจะตบคุ…”

        “กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องเล็กแหลมของหล่อนดังลั่นบ้าน แรงแค้นทำให้เธอเสียสติ เข้าไปทุบตีสามีด้วยความโมโหอย่างถึงขีดสุด “…ไอ้คนชั่ว…คุณกล้าตบฉัน…กล้าดียังไงมาตบฉัน เพราะมันคนเดียว…เพราะมัน…อีนก…อีกผู้หญิงชั่ว… กรี๊ด! ฉันจะฆ่าแก…ฉันจะฆ่าแก!”

        หล่อนกรีดร้องอาละวาดจนหายใจไม่ทัน เป็นลมล้มลงตรงหน้าสามี ชลชีวีเอื้อมมือไปคว้าร่างของเธอเอาไว้ แต่มันก็สลายกลายเป็นควันสีดำหายไป

          “เป็นไงล่ะป้า…ฉันแทบไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง ยัยคุณนายก็ทำลายตัวเองเสียแล้ว…นับว่าไม่เสียแรงที่ฉันใช้มารยายั่วคุณผู้ชายจนสำเร็จ”

         ผู้หญิงคนหนึ่งถือตะกร้าผ้าลงบันไดผ่านหน้าชลชีวีไป เขามองตามหล่อน เห็นเสื้อผ้าที่หล่อนกำลังสวมใส่อยู่ก็พอจะเดาได้ว่าหล่อนคงเป็นคนรับใช้ของที่นี่ แต่ทำไมฟังจากคำพูดคำจากลับอวดดีอย่างน่าประหลาด ชลชีวีรู้สึกหมั่นไส้ จึงถือไม้กวาดเดิมตามหล่อนลงบันไดไปแล้วพูดเชิงตำหนิว่า

          “อย่าให้มันมากไปนักเลย นังนก…แค่นี้ฉันก็สงสารคุณผู้หญิงจะแย่อยู่แล้ว เขารักของเขากันอยู่ดีดี แกไม่น่าไปหาเหาใส่หัว ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวอยากเป็นคุณหญิงคุณนายจนต้องทำบาปแย่งผัวคนอื่น”

        “ว๊าย! นี่ป้ากล้าด่าฉันเหรอ…ฉันเป็นหลานป้านะ ทำไมไม่เข้าข้างฉัน กลับไปเข้าข้างอีนังคุณนายนั่น”

         “หยุดนะ นังนก! ถ้าแกเรียกคุณผู้หญิงด้วยคำหยาบอีกแม้แต่คำเดียว ฉันตบแกฟันร่วงหมดปากแน่” ชลชีวีชี้หน้าหลานสาวตัวเอง พลางง้างมือขึ้นสูงอย่าเอาจริง

        “เอาสิป้า…ตบเล้ย…ตบเลย แต่ถ้าป้าตบฉันแล้วลูกในท้องฉันเป็นอะไรขึ้นมา รับรอง…คุณผู้ชายไม่เอาป้าไว้แน่” หลานสาวมองหน้าชลชีวีอย่าท้าทาย แววตาของหล่อนไร้ซึ่งจิตสำนึกใดใด เพราะหล่อนคิดว่าถือไพ่เหนือกว่า แต่แทนที่ป้าจะยอมตกเป็นฝ่ายถือไพ่ใบรอง เธอกลับหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

         “ลูกในท้องเรอะ…นังนก…นังคนตอแหล…แกอย่านึกนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกกุเรื่องท้องขึ้นมาเพื่อจับคุณผู้ชาย…” สิ้นคำพูดของชลชีวี หลานสาวก็หน้าซีดเผือด หล่อนปากสั่นคอสั่นด้วยความโกรธ

         “นี่…นี่ป้ารู้เหรอ…” หล่อนพูดตะกุกตะกักเพราะความโมโหที่คั่งอยู่ในอก “…ป้ารู้ได้ยังไง”

         ชลชีวีถือโอกาสเอาคืนหลานสาวตัวดีของเขาบ้าง

          “คนท้องที่ไหนจะมีรอบเดือน…วันก่อนฉันเข้าไปหยิบของในห้องแก เห็นผ้าอนามัยในถังขยะ…รอบเดือนฉันหมดตั้งนานแล้ว…แล้วผ้าอนามัยแผ่นนั้นจะเป็นของใคร ถ้าไม่ใช่ของแก!”

           “หุบปากเดี๋ยวนี้นะป้า!” ผู้เป็นหลานโมโหจนฟิวส์ขาด พุ่งเข้ามาบีบใบหน้าผู้มีพระคุณเอาไว้ หล่อนมองไปรอบตัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำในคอว่า

         “ถ้าป้าบอกเรื่องนี้กับใคร…ฉันไม่ปล่อยป้าไว้แน่…ต่อให้เป็นป้าแท้ๆ ก็เหอะ….ระวังจะไม่ได้ตายตอนแก่!”

         ชลชีวีสะดุ้งเฮือกเพราะรู้สึกเจ็บใบหน้าที่โดนจิกด้วยกรงเล็บและแรงแค้น กำลังจะผลักผู้หญิงคนนั้นออก แต่หล่อนก็กลายเป็นควันสลายหายไปเสียแล้ว






         “อีนก…อีนังชั่ว แกแย่งผัวฉันแล้วยังจะมาทำร้ายลูกฉันอีกเหรอ” เสียงร้องแหวดังขึ้นด้านหลังของชลชีวีจนชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว หันกลับไปมองอย่างไม่เข้าใจ

          “คุณผู้หญิงพูดอะไร…นกไม่เห็นเข้าใจ” ชลชีวีถามออกไป

         “ไม่เข้าใจเรอะ…งั้นแกดูนี่ รอยช้ำที่แขนลูกสาวฉัน แกเป็นคนทำใช่ไหม? ”

          ชลชีวีก้มมองรอยเขียวนิดเดียวที่แขนลูกคนเล็กของคุณผู้หญิง แล้วเขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธ พยายามอธิบายว่า

          “นกไม่ได้ทำนะคะคุณผู้หญิง…น้องอุ่นเล่นเครื่องเล่นที่สนามหลังบ้านแล้วพลาดตกลงมาเอง…นกเห็นก็เลยรีบวิ่งไปคว้าไว้ ถ้ารอยนั้นจะช้ำ ก็คงช้ำเพราะนกดึงน้องอุ่นขึ้นมาจากพื้นแรงไปหน่อย…นกไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะคะ”

          “อย่ามาตอแหล…ลูกสาวฉันบอกว่าถูกแกทั้งตีทั้งหยิก แล้วยังด่าเป็นลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน…ใช่มั้ยน้องอุ่น”

         เด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้เป็นมารดามองใบหน้าพี่เลี้ยงที่ทั้งโมโหทั้งเสียใจอยู่ตรงหน้า หนูน้อยกำลังจะเอ่ยปากพูดความจริงออกมา แต่แรงบีบที่มือของมารดาก็ทำให้หนูน้อยกลัวจนต้องพยักหน้ายอมรับ

         “นี่ไง! ยังจะมาปากแข็งอีก นังหน้าด้าน”

          เพียะ!

         ชลชีวีโดนตบจนหน้าหัน เขาล้มลงกองกับพื้น พยายามยันตัวลุกขึ้นมาสัญชาตญาณ แต่คุณผู้หญิงก็ตามลงมาคร่อมทับร่างเขาไว้ หล่อนจิกผมของเขาอย่างไม่ปรานีแล้วฟาดมือลงไปอีกไม่ยั้ง

         “แก…อีคนเนรคุณ…อีนังงูพิษ….แกมันเลี้ยงไม่เชื่อง…เป็นคนใช้ดีดีไม่ชอบ…สะเออะจะมาเสนอหน้าเป็นเมียน้อยผัวฉันอีกคน…ถ้าวันนี้ฉันไม่เอาเลือดออกจากหัวแกบ้าง…อย่าเรียกฉันว่ากานดา”

         ชลชีวีเคยเถียงกับยายอยู่บ่อยๆ ตอนดูละครหลังข่าวด้วยกันว่าทำไมนางเอกจึงไม่ยอมลุกขึ้นสู้บ้างเวลาถูกตัวร้ายรุมตบ อย่างน้อยแค่ถีบออกไปก็ได้แล้วลุกขึ้นวิ่งให้เร็วที่สุด

         แต่วันนี้ชลชีวีเข้าใจแล้วจากการมาติดอยู่ในดวงจิตของผู้หญิงที่กำลังโดนทำร้าย...ไม่ต้องถึงขั้นลุกขึ้นวิ่งหนีหรอก แค่พยายามประคองสติป้องกันตัวเองไม่ให้สลบไปตามแรงตบได้ก็ถือว่าบุญแล้ว





         “ป้าคอยดูนะ ฉันจะเฉดหัวอีคุณผู้หญิงออกจากไปจากบ้านนี้ให้ได้...โอ๊ย...เบาๆ สิป้า” ชลชีวีร้องโอดโอยตามแรงทายาแก้ฟกช้ำของญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เขาเหลืออยู่

         “ฉันไม่ตบแกซ้ำก็ถือว่าบุญแล้วนังนก...มีอย่างที่ไหน กล้าไปทำร้ายร่างกายลูกสาวเขา เป็นใครก็ต้องโกรธต้องโมโหเป็นธรรมดา”

          “แต่ฉันไม่ได้ทำจริงๆ นะป้า...ฉันพูดความจริง...หลายเรื่องฉันอาจจะโกหกตอแหลอย่างที่ป้าว่า...แต่กับเด็ก...ฉันไม่ทำ...ป้าก็รู้ว่าฉันรักเด็กมากแค่ไหน...ต่อให้ฉันเกลียดแม่มัน แต่กับลูก ฉันไม่เคยคิดร้าย” แม้หัวใจของหล่อนจะอิจฉาและโลภมากแค่ไหน แต่ก้นบึ้งส่วนลึกในหัวใจ...ชลชีวีสัมผัสได้...หล่อนรักเด็กจริงๆ

          “ต่อให้ฉันเชื่อ แล้วใครจะเชื่อแกนังนก...ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียน้อย ก็ถูกคนอื่นตราหน้าไปแล้วว่าเป็นคนไม่ดี เป็นคนไม่มียางอายเพราะเข้ามาทำลายครอบครัวคนอื่น...ฉันขอเถอะว่ะ แกหยุดแค่นี้พอ...อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลย ไปรับสารภาพกับคุณผู้ชายซะว่าแกไม่ได้ท้อง แล้วขอโทษผู้หญิง บอกว่าแกจะไปจากบ้านหลังนี้แล้วจะไม่กลับมาที่นี่อีก ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะไม่เอาเรื่อง”

         “เหอะ!” ชลชีวีระบายลมหายใจออกมาอย่างท้าทาย “ขอโทษอีคุณผู้หญิงเหรอป้า...ไม่มีวัน...ฉันมาไกลเกินที่จะหันหลังกลับละ...นับจากนี้ ฉันจะต้องเดินหน้าอย่างเดียว จนกว่าเป้าหมายของฉันจะสำเร็จ”

         “เป้าหมายอะไรของแก...นักนก”

          “กำจัดอีคุณผู้หญิง!”







           ชลชีวียืนหลบมุมอยู่ตรงในห้องชั้นสอง เมื่อเขาเห็นคุณผู้หญิงของบ้านเดินขึ้นบันไดมา รีบออกจากที่ซ่อนตัวแล้วเดินลงมาอย่างกะระยะให้เจอกันที่ตรงกลางบันไดพอดี

           เขาพยายามเดินให้นวยนาดที่สุดเพื่อยั่วโมโหคุณผู้หญิงเจ้าของบ้าน และดูเหมือนมันจะได้ผล เพราะคุณผู้หญิงที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาหยุดมองเขาราวกับเป็นไส้เดือนกิ้งกือที่น่ารังเกียจ

         “แหม...นังตัวดี วางมาดอย่างกับเป็นเจ้าของบ้านเลยนะ...นังคางคกขึ้นวอ”

         “คุณผู้หญิงว่านกเหรอคะ? ” ชลชีวีเลิกคิ้วข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

          “หนอย...นังหน้าด้าน...ฉันอยากรู้จริงๆ เลยว่าหน้าของแกกับถนนลาดยางมะตอย อะไรจะด้านกว่ากัน...ที่ฉันตบสั่งสอนแกไปวันก่อนนี่ไม่ระคายเคืองหนังหน้าแกเลยใช่มั้ย”

           ชลชีวีหัวเราะออกมาเสียงเล็กแหลมราวกับจะยั่วประสาท

           “ถึงหน้านกจะด้าน แต่คงไม่เหี่ยวเหมือนหนังหน้าคุณผู้หญิงหรอกค่ะ...นกยังสาว ยังสวย ถึงจะหน้าด้านไปหน่อย แต่ดูแล้วคงสบายตากว่าหน้าคุณผู้หญิงเยอะนะคะ คุณผู้ชายจึงเลือกเอานกไปเป็นเมียอีกคน”

           ได้ผล...คุณผู้หญิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หล่อนพุ่งเข้ามากระชากผมของชลชีวีไว้ แล้วง้างมือขึ้นกำลังจะตบ แต่เขารู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่เวลา...ชลชีวีเหลือบตาไปมองที่หน้าประตู

          คุณผู้ชายยังไม่มา!

          “เอาเล้ย! เอาซี ตบฉันเลย...แต่ฉันจะบอกไว้ให้นะ ว่าต่อให้แกตบฉันให้ตายอยู่ตรงนี้ ผัวแกเขาก็ไม่มีวันลืมฉันได้ เพราะฉันเป็นเมียที่ให้ความสุขกับเขาได้ทุกอย่าง โชคดีของอีนก ที่มันไม่ได้เกิดมาบนตั่งทองสวยหรูที่วันๆเอาแต่เดินเฉิดฉายไปมา พอเรื่องอย่างว่าล่ะจืดชืด”

          “หนอย...อีผีเจาะปาก!”

          “หุบปาก...ฉันยังพูดไม่จบ...จำใส่สมองเหี่ยวๆ ของแกไว้นะคุณผู้หญิง ว่าฉันจะต้องเฉดหัวแกออกไปจากบ้านหลังนี้ให้ได้ และทุกอย่างในบ้านหลังนี้ต้องตกเป็นของฉัน ทั้งสมบัติ เงินทอง คุณผู้ชาย...และลูกของแกทั้งสองคน”

           ประโยคหลังคือฟางเส้นสุดท้ายที่ถูกดึงจนขาด คุณผู้หญิงกรีดร้องลั่นบ้าน หล่อนง้างมือขึ้นสุดแขน

          “อีนังชั่ว!”

         “คุณผู้หญิง อย่าค่ะ...อย่าทำนก”

         เพียะ!

         “กรี๊ด!”

           เสียงกรีดร้องลั่นบ้าน ตามด้วยร่างชลชีวีที่กลิ้งหลุนๆตกลงมาจากบันไดนับสิบขั้น ร่างของเขาฟาดลงกับพื้นจนแน่นิ่ง ชลชีวียอมรับว่าตัวเองยังพอมีสติเหลืออยู่บ้าง แต่เลือกที่จะแกล้งสลบเพื่อให้คุณผู้ชายที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์รู้สึกสะเทือนใจและเข้าใจผิดคุณผู้หญิงที่ยืนอึ้งอยู่บนบันได

          หล่อนรับสายตาอันเกลียดชังของสามีไม่ได้...หัวใจของหล่อนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกับสติของเธอที่ใกล้จะหลุดลอยเต็มที







          “กูจะฆ่ามึง...กูจะฆ่ามึง”

          “คุณแม่พูดอะไรเหรอครับ...ทำไมคุณแม่น่ากลัวจังเลย” ชลชีวีกอดตุ๊กตาตัวน้อย จูงน้องสาวของเขาเข้ามาในห้องอัดมืดมิด เห็นคุณแม่กำลังก้มดูของบางอย่างที่อยู่ในลิ้นชักอย่างเลื่อนลอย

         “ผมกับน้องอยากให้คุณแม่เล่านิทานก่อนนอนให้ฟังครับ...คุณแม่ไม่ได้เล่าให้ฟังนานแล้ว”

         แม้ใบหน้าของผู้เป็นแม่จะเต็มไปด้วยรอยน้ำตา แต่ความงดงามของผู้เป็นแม่ก็เปรียบเสมือนแสงสว่างอันอบอุ่นของลูกน้อยเสมอ

         หล่อนอ้าแขนสองข้างออกเพื่อต้อนรับลูกน้อยไว้ในอ้อมอก...สิ่งมีค่าสองสิ่งสุดท้ายที่หล่อนยังเหลืออยู่

         หล่อนยอมแลกดวงตาของหล่อน….เพื่อให้ลูกน้อยมองเห็นโลกสดใส

         เลือดทุกหยาดหยดกรีดได้….ถ้ามันช่วยดับกระหายให้ลูกยา

         ผิวหนังของเธอถลกออกได้….ถ้ามันใช้ห่มให้ลูกอุ่น

         ชีวิตของเธอยอมสละได้….ถ้าใครคิดมาพรากลูกเธอไป!

         คุณผู้หญิงของบ้าน จูงลูกน้อยทั้งสองคนไปนอนที่เตียงซึ่งว่างเปล่ามานานแล้ว เพราะสามีของหล่อนไม่เคยขึ้นมาที่ห้องอีกเลยนับจาก’วันนั้น’

        เธอบรรจงห่มผ้าให้ลูกน้อย ลูบหัวกลมๆของพวกเบาๆราวจะให้ไออุ่น...นี่คงเป็นสองสิ่งสุดท้ายที่เหลือไว้เป็นหลักฐานร่องรอยความรักที่หล่อน ‘เคย’ ได้รับจากสามี

        “พวกหนูรู้ใช่ไหมลูก...แม่รักหนูที่สุด...รักยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก”

        “ผมก็รักแม่ครับ” ชลชีวีตอบ เขาหันมองน้องน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ “น้องก็รักแม่ครับ”

        เสียงร้องไห้เบาๆ ดังมาจากผู้เป็นแม่ ชลชีวียกมือน้อยๆของเขาซับน้ำตาให้ผู้เป็นมารดา

         “ขอบใจจ้ะ...ทั้งสองคนเลย...หลับเสียนะคนเก่ง...ฝันดีลูก...แม่ต้องไปแล้ว”

         ชลชีวีคิดว่านั่นคือกู๊ดไนท์คิสเหมือนทุกครั้งที่แม่เคยจุมพิตเขา

         เด็กน้อยง่วงงุนเหลือเกิน...ห้วงนิทราพาเขาโลดแล่นไปตามจินตนาการ เขาฝันว่าได้จูงมือน้องสาววิ่งไปในป่าลับตามหนังสือการ์ตูนที่เคยอ่าน ป่าแห่งนั้นช่างสวยงาม มีเจ้ากระต่ายน้อยอ้วนกลมตัวหนึ่งกระโดดโลดเต้นออกมาจากบ้านโพรงไม้ มันวิ่งดึ๋งๆหายไปในพุ่มไม้ชายป่า

        เด็กน้อยวิ่งไล่ตามไปเรื่อยๆ เขาแอบหลบซ่อนอยู่หลังต้องโอ๊คใหญ่ต้นหนึ่ง...นั่นไง เจ้ากระต่ายน้อยอยู่ตรงนั้น...เงียบเข้าไว้...เขาใกล้จะได้จับมันแล้ว

         เด็กน้อยกำลังจะออกจากที่กำบัง แต่ทันใดนั้นเอง....ต้นไม้ที่เขาแอบซ่อนอยู่ก็เคลื่อนไหวได้ มันไม่ใช่ต้นไม้ มันคือขาที่ยืดยาวของนายพราน...ดวงตาของนายพรานดุร้ายและเลือดเย็น ในมือของเขามีปืนกระบอกสั้นถืออยู่

       นายพรานคนนั้นหันมาทางเขา แล้วใช้นิ้วชี้จรดริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์ว่า...อย่าส่งเสียงดังนะหนูน้อย

       เขาเล็งปืนไปที่กระต่ายน้อยตัวนั้น...ไม่สิ...สองตัว! อีกตัวหนึ่งมาจากไหน?

       เอ๊ะ! ไม่ใช่กระต่าย!

       นั่นพ่อ กับน้านกนี่! อย่า! อย่ายิง! ไม่นะ!

        ปัง!

        ปัง!

         เสียงปืนดังลั่นคฤหาสน์ จนเด็กน้อยสะดุ้งตื่นจากภวังค์

         นายพรานหันมายิ้มให้เขาทั้งน้ำตา

        “แม่รักหนูนะ”

        ปัง!






ความทรงจำของบ้านที่ชลชีวีท่องไปอาจจะหดหู่หน่อยนะครับ
ขอบพระคุณสำหรับการติดตามทุกวิวนะครับ
แนะนำติชมได้เช่นเคยครับ
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อัพฮะ: แมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 10 บ้านแห่งความทรงจำ
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 09-07-2021 22:22:53
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: อัพฮะ: แมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 10 บ้านแห่งความทรงจำ
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-07-2021 00:15:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อัพฮะ: แมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 10 บ้านแห่งความทรงจำ
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-07-2021 11:00:46
สนุกค่ะ
แต่มีหลายจุดที่ชื่อตัวละครผิด ที่ชัดๆ ก็ตรง

หลังจากที่ชลชีวีจัดการธุระตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเดินออกจากห้องน้ำ เขาบังเอิญก็ชนเข้ากับพนักงานรีสอร์ทคนหนึ่ง เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเป็นพนักงานรีสอร์ทคนเดียวกับที่รีบวิ่งไปดูเหตุการณ์วุ่นวายที่วิลล่าหลังของเขาเมื่อตอนเช้ามืด กันตพงษ์ยิ้มออกมาอย่างมีไมตรี พลางกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้งที่ช่วยไปดูพื้นที่รอบๆให้เมื่อตอนเช้า ฝ่ายนั้นตอบกลับมาเพียงว่าเขาเต็มใจเพราะเป็นหน้าที่ของพนักงานรีสอร์ทอยู่แล้ว โตนนท์มองป้ายชื่อพนักงานรีสอร์ทคนนั้นและจดจำไว้ เผื่อวันที่เขาเช็คเอาท์ออกจากที่นี่จะได้เขียนรีวิวชื่นชมได้ถูกคน

ต้องเป็นชลชีวีทุกจุด แต่งกลายเป็น 3 คนเลย
หัวข้อ: Re: อัพฮะ: แมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 10 บ้านแห่งความทรงจำ
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 10-07-2021 15:26:59
สนุกค่ะ
แต่มีหลายจุดที่ชื่อตัวละครผิด ที่ชัดๆ ก็ตรง

หลังจากที่ชลชีวีจัดการธุระตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเดินออกจากห้องน้ำ เขาบังเอิญก็ชนเข้ากับพนักงานรีสอร์ทคนหนึ่ง เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเป็นพนักงานรีสอร์ทคนเดียวกับที่รีบวิ่งไปดูเหตุการณ์วุ่นวายที่วิลล่าหลังของเขาเมื่อตอนเช้ามืด กันตพงษ์ยิ้มออกมาอย่างมีไมตรี พลางกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้งที่ช่วยไปดูพื้นที่รอบๆให้เมื่อตอนเช้า ฝ่ายนั้นตอบกลับมาเพียงว่าเขาเต็มใจเพราะเป็นหน้าที่ของพนักงานรีสอร์ทอยู่แล้ว โตนนท์มองป้ายชื่อพนักงานรีสอร์ทคนนั้นและจดจำไว้ เผื่อวันที่เขาเช็คเอาท์ออกจากที่นี่จะได้เขียนรีวิวชื่นชมได้ถูกคน

ต้องเป็นชลชีวีทุกจุด แต่งกลายเป็น 3 คนเลย

ขอบคุณและขออภัยในความผิดพลาดครับ :hao5:
หัวข้อ: Re: อัพฮะ: แมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 10 บ้านแห่งความทรงจำ
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 10-07-2021 15:40:42
                                          ตอนที่ 11 ผู้ต้องสงสัย

      ภาพที่ชลชีวีได้เห็นเปรียบเสมือนหมึกดำที่หยดลงบนผ้าขาวจนเกิดจุดด่างพร้อย ฝังลงไปในความรู้สึกจนชายหนุ่มเศร้าหมองไปทั้งวัน
 
      โตนนท์ที่เฝ้าสังเกตสีหน้าที่เศร้าหมองของคนมีจิตสัมผัสอยู่ห่างๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจ เขายอมรับว่าเรื่องที่ชลชีวีเล่าให้เขาฟังนั้นค่อนข้างสลดหดหู่ ภาพเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าเด็กน้อยทำให้ดวงตาที่แสนเศร้าคู่นั้นยิ่งหมองลึกลงไปอีก เขาอยากจะช่วยปลอบหรือทำอะไรสักอย่างให้ชลชีวีรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าเขายังรู้จักอีกฝ่ายน้อยเกินไป แม้จะยายามเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยให้อีกฝ่ายทุเลาความเศร้านั้นลงได้เลย

      โตนนท์พาชลชีวีขับรถเลียบชายหาดมาในตอนเย็น เขาลดกระจกทั้งสองฝั่งลงเผื่อว่าภาพแสงสุดท้ายที่ขอบฟ้าริมทะเลจะช่วยให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

     เขาชะลอรถเข้าเทียบกับริมบาทวิถีริมทะเลที่มีผู้คนกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่อย่างบางตา

     “ลงไปเดินเล่นริมทะเลหน่อยไหม…จะได้รู้สึกดีขึ้น” โตนนท์เอ่ยถามชลชีวี

     แม้ลึกๆ ชลชีวีจะอยากปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นว่าโตนนท์เจตนาดีอยากให้เขาหายเศร้า จึงรักษาน้ำใจด้วยการตอบรับ กำลังจะเอื้อมไปปลดเข็มขัดนิรภัย แต่กลับมีมือหนึ่งเอื้อมมากดปุ่มปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยให้แทน ใบหน้าของเขากับโตนนท์จึงอยู่ห่างกันแค่คืบ

     “ขอโทษ…พี่เห็นเราไม่ค่อยมีแรง เลยจะปลดให้” โตนนท์พูดเบาๆ เมื่อใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ห่างกันแค่คืบ ชลชีวีสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของนักข่าวหนุ่ม มันเปรียบเสมือนหยดน้ำที่หยาดลงบนผืนดินแห้งแล้ง รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยไม่ต่างจากตอนที่อยู่กับพี่กร

       “พี่ไม่อยากให้เราเศร้าแบบนี้ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง…ถ้ามีอะไรที่พี่ช่วยให้ชลรู้สึกดีขึ้นได้ พี่จะทำ”

       ชลชีวียิ้มน้อยๆพลางพยักหน้าตอบรับว่าเขารับรู้และซาบซึ้งใจกับความหวังดีที่อีกฝ่ายมีให้

      โตนนท์ที่สบสายตาคู่เศร้าอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในท่วงท่าที่ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ จึงผละตัวออกมา ลงจากรถแล้วรีบเดินไปเปิดประตู ให้ชลชีวี

      “ชล…ถอดรองเท้าก่อนสิ…ใส่ผ้าใบลงไปเดินเล่นชายหาด เดี๋ยวทรายก็เต็มรองเท้าพอดี…มา เดี๋ยวพี่ช่วย”

      โตนนท์ทำท่าเหมือนจะเข้ามาคุกเข่าถอดรองเท้าผ้าใบให้ชลชีวี แต่อีกฝ่ายรีบถอยออกก้าวหนึ่ง พลางโบกมือบอกอย่างเกรงใจว่า “ไม่เป็นไรพี่…ผมแค่ไม่สบายใจ ไม่ได้ป่วยสักหน่อย…ถอดรองเท้าเองได้”

       นักข่าวหนุ่มเห็นท่าทางแบบนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองแอบ‘เยอะ’เกินไปจริงๆ จึงเกาท้ายแก้เก้อ เปลี่ยนไปถอดสายรองเท้าผ้าใบตัวเองแทน ชลชีวีย่อนั่งลงข้างๆ จัดการกับรองเท้าผ้าใบตัวเองบ้าง

      “ขอบคุณนะพี่” ชลชีวีเอ่ยขึ้นโดยไม่มองหน้านักข่าวหนุ่มที่กำลังถอดถุงเท้าตัวเองออก

     “หืม? ขอบคุณเรื่องอะไร”

      “ก็เรื่องที่พาผมนั่งรถเล่นมาที่นี่ไง…ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาก”

     “เรื่องเล็กน้อย…ชลเศร้าแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเรื่องงานของพี่…พี่ต้องรับผิดชอบ”

     ชลชีวีลุกขึ้นพร้อมๆ กับโตนนท์ เดินเท้าเปล่าลงไปบนชายหาด

      แม้ในยามเย็นแบบนี้ผืนทรายยังอุ่นๆเท้าอยู่บ้าง แต่ลมทะเลที่พัดขึ้นฝั่งก็ทำให้ชลชีวีรู้สึกดีขึ้นมากราวกับว่าสายลมนั้นจะพัดพาเอาความขุ่นมัวในจิตใจออกไปได้บ้าง

      โตนนท์เหลือบสายตามองหน้าคนมีจิตสัมผัสที่กำลังดื่มด่ำกับแสงสุดท้ายของวัน ใบหน้าที่เขาเคยปรามาสไว้ว่า‘จืดสนิท’กลับมีเลือดฝาดขึ้นมากเมื่อได้สัมผัสกับแสงอาทิตย์ยามเย็น แววตาที่เคยเศร้าหมองก็เริ่มกลับมาสดใสมากกว่าเดิม นักข่าวหนุ่มจึงกล้าเอ่ยปากถามเรื่องส่วนตัวของชลชีวีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะตอบ

      “ปกติเวลาเราเห็นภาพในอดีตของคนที่ตายไปแล้ว จะเศร้าแบบนี้ทุกครั้งเลยไหม”

       ชลชีวีส่ายหน้าจนผมที่ถูกจัดทรงไว้ปอยหนึ่งร่วงลงมา “ไม่หรอกครับ…เฉพาะความทรงจำที่สะเทือนใจเท่านั้น ทุกครั้งที่ผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในนิมิต ความรู้สึกของคนที่ผมไปสวมรอยก็จะเป็นเหมือนความรู้สึกของผมเอง อย่างในวันนี้ตอนที่ผมกลายเป็นลูกชายเจ้าของบ้านหลังนั้น แล้วต้องเห็นแม่ของตัวเองใช้ปืนยิงพ่อต่อหน้าต่อตา…มันสะเทือนใจเสียจนผมรู้สึกว่าเด็กคนนั้นต้องมีรอยแผลในจิตใจไปตลอดชีวิต”

      โตนนท์พยักหน้าเห็นด้วย เพราะขนาดผู้ใหญ่วัยทำงานอย่างเขายังรู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องที่ชลชีวีเล่า แล้วเด็กอายุแค่ไม่กี่ขวบจะใจสลายแค่ไหนที่ต้องเห็นภาพนั้น

       โตนนท์เห็นแววตาของชลชีวีกำลังจะเศร้าหมอกอีกครั้ง จึงพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย

       “แล้ววันนี้ตอนที่ชลแวะเข้าไปในหมู่บ้านชาวเลกับพี่…เห็นเข้าไปเลือกของฝากอยู่นาน ได้อะไรมาบ้าง”

       ชลชีวีหันมามองหน้าโตนนท์ที่พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย จึงคล้อยตามเรื่องที่ชายหนุ่มชวนคุยเพื่อไม่ให้คู่สนทนารู้สึกอึดอัด

       “ก็…ได้ผ้าปาเต๊ะมาสองผืน กะว่าจะเอาไปให้ยายใส่ทำบุญวันพระใหญ่สักผืนหนึ่ง…ส่วนอีกผืนจะเอาไปสั่งตัดเป็นเสื้อคอจีนให้พี่กร…พี่โตน่าจะยังไม่รู้ว่าพี่รีสอร์ตเป็นครูสอนอยู่ที่วิทยาลัยใกล้ๆบ้าน วันอังคารที่วิทยาลัยจะบังคับให้ใส่ผ้าไทย เห็นพี่กรใส่แต่ตัวเดิมทุกสัปดาห์เลยสงสาร…จะได้มีเสื้อตัวใหม่เปลี่ยนบ้าง”

     “ชลนี่เอาใจใส่คนรอบข้างดีจัง”

       “ก็คนรอบข้างเอาใจใส่ชลก่อน ไม่แปลกที่เราจะทำแบบนั้นกับเขา”

     ชลชีวีเงียบไปแล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองซื้อของบางอย่างมาจากร้านขายของฝาก จึงขอตัวกลับไปที่รถแล้วเปิดกระเป๋าสะพายใบย่อมหยิบถุงพลาสติกออกมา ภายในนั้นมีสร้อยคออยู่สองเส้นที่เขาตั้งใจจะมอบให้กันตพงษ์และโตนนท์ ชายหนุ่มจึงถือโอกาสนี้มอบให้นักข่าวหนุ่มเสียเลย

      ขณะที่ชลชีวีกำลังจะเดินกลับไปที่ชายหาด สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนบทบาทวิถี มอบแค่แวบเดียวชลชีวีก็จำได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนๆ เดียวกับพนักงานรีสอร์ตที่เขาเจอเมื่อเช้า แต่แตกต่างกันที่ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดกีฬาคล้ายกำลังจะมาออกกำลังกาย…แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาชลชีวีมากกว่านั้นคือด้านหลังของพนักงานรีสอร์ตคนนั้นมีเงาสีดำๆ กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ใกล้ๆ

     ชลชีวีไม่แน่ใจว่ากลุ่มก้อนพลังงานที่เขาเห็นนั้นคืออะไร แต่สีของกลุ่มก้อนพลังงานรวมถึงการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างคุกคามทำให้คนมีจิตสัมผัสตัดสินใจเดินเข้าไปหาพนักงานคนนั้นแล้วทักทายด้วยไมตรีจิตว่า

     “สวัสดีครับ…จำผมได้ไหม ผมคือลูกค้าที่เข้าพักที่วิลล่าติดทะเล…เราเพิ่งเจอกันเมื่อเช้า”

      ชายหนุ่มในชุดกีฬามองหน้าชลชีวี เขาพยักหน้าจำได้

       “อ๋อ…คุณลูกค้านั่นเอง มาเดินเล่นริมชายหาดเหรอครับ…แล้วอาการคุณลูกค้าอีกคนที่แพ้อาหารเป็นไงบ้างครับ”

      “เมื่อตอนเที่ยงโทรไปถาม…เห็นบอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว ฝากขอบคุณพนักงานคนอื่นรวมถึงทางโรงแรมด้วยนะครับที่เข้าไปดูแลให้…เอ่อ…ถ้าผมจะเสียมารยาทถามอะไรบางอย่างจะได้ไหม? ”

     พนักงานโรงแรมคนนั้นใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้

     “ได้ครับ…ห้องพักมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

      ชลชีวีส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องห้องพักหรอกครับ แต่ช่วงนี้รู้สึกมีอาการไม่สบายหรือเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยๆ บ้างมั้ย”

      แม้พนักงานคนนั้นจะแสดงสีหน้าสงสัยและไม่ค่อยสบายใจกับคำถามของชลชีวี แต่เขาก็ยังฝืนยิ้มตอบว่า

      “ก็มีอาการปวดคอหน่อยๆ น่าจะเกิดจากตอนที่เข้าไปช่วยป้าแม่บ้านย้ายเตียงที่วิลล่า…คุณถามแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”

     “อ๋อ…เปล่าครับ แค่ถามดูเพราะว่าสีหน้าคุณไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมเมื่อคืนตอนที่คุณเดินเข้ามาดูเหตุการณ์ที่วิลล่าให้เห็นท่าทางเดินของคุณแปลกๆ ด้วยเหมือนกำลังเจ็บขา”

     ชลชีวีพยายามกุเรื่องขึ้นเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มตรงหน้าสงสัยถึงที่มาของคำถาม แต่ดูเหมือนเรื่องโกหกของเขาดันไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวมากเกินไปจนฝ่ายนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่พอใจทันควัน

     “ผมไม่เป็นไรจริงๆ …ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวก่อน”

      ฝ่ายนั้นรีบลุกขึ้นทำท่าราวจะเดินหนี แต่ชลชีวีตะโกนพูดตามหลังไปว่า

     “ผมขอโทษที่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ…แต่ช่วงนี้ระวังตัวด้วยนะครับ…ดวงคุณไม่ค่อยดี”

      พนักงานโรงแรมนอกเครื่องแบบเดินจากไปแล้ว ชลชีวีได้แต่มองตามชายหนุ่มคนนั้นที่ห่างออกไปเรื่อยๆ เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงสะกิดของโตนนท์ที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

     “มีอะไรเหรอ? แล้วคนนั้นเป็นใคร…เห็นยืนคุยด้วยตั้งนาน หน้าตาคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก”

      “ก็พนักงานโรงแรมที่เข้ามาช่วยดูเหตุการณ์เมื่อคืนไงครับ…ผมเห็นเงาดำๆ เกาะอยู่บนหลังของเขาเลยจะเข้ามาเตือนมาว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ค่อยดี แต่เขาคงไม่ค่อยพอใจที่ผมถามเรื่องส่วนตัวเลยรีบเดินหนีไป”

      โตนนท์พยักหน้าพลางบอกชลชีวีถึงเรื่องที่กำลังกวนใจเขาอยู่ตอนนี้ว่า
 
      “ใกล้จะมืดแล้ว พี่ว่าจะแวะไปซื้อข้าวกับยาที่ตลาดหน่อย…ไม่รู้ไอ้กันเป็นไร โทรเท่าไหร่ก็ไม่ยอมรับสาย ข้อความก็ไม่ตอบ”

     “หลับอยู่หรือเปล่าพี่…แต่รีบกลับก็ดีเหมือนกัน จะได้เอาของฝากไปให้กัน”

      “หืม? ของฝากอะไร? ” นักข่าวหนุ่มถาม ถ้าเขาเดาไม่ผิดเหมือนจะเพิ่งเห็นชลชีวีแอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ด้านหลัง “แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้…มีพิรุธนะ”

      “เปล๊า! ไม่มีอะไร”

      ตอนแรกชลชีวีคิดจะเอาของฝากไปให้โตนนท์ที่ชายหาดท่ามกลางบรรยากาศแสงสุดท้ายของวัน คงเป็นภาพที่สวยงามน่าดู แต่ตอนนี้มันเลยฤกษ์ดีไปแล้ว เขาจึงเปลี่ยนใจค่อยให้พร้อมกันตพงษ์ี่รีสอร์ตเลยทีเดียวดีกว่า

      โตนนท์คิดว่าสิ่งที่ชลชีวีแอบซ่อนไว้ด้านหลังคงเป็นของฝากที่มีให้กันตพงษ์เพียงคนเดียว ชายหนุ่มอดรู้สึกน้อยใจนิดๆ ไม่ได้ แต่พยายามเก็บอาการตามนิสัยของคนขี้เก๊ก เดินหันหลังกลับไปขึ้นรถไม่ยอมพูดไม่ยอมจา แต่นักข่าวหนุ่มคงไม่รู้ตัวว่าอาการเหล่านั้นอยู่ในสายตาของชลชีวีทั้งหมด…ยิ่งพยายามไม่แสดงออกนั่นแหละ ยิ่งชัดเจน

     คนแก่ๆ นี่…ขี้น้อยใจทุกคนหรือเปล่านะ?







     “ที่นี่ที่ไหน? ”

     กันตพงษ์ตื่นขึ้นท่ามกลางความมืด เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดเขาทานยาแก้แพ้เข้าไปเลยหลับเพราะฤทธิ์ยาอยู่ในห้องนอนของชลชีวี แต่ตอนนี้กลับมาตื่นอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ทั้งสภาพห้องและสิ่งของต่างๆก็เปลี่ยนไป

     ชายหนุ่มควานหาแว่นสายตาแต่ก็ไม่พบ เขาจึงทำได้เพียงหรี่ตามองเพื่อให้ภาพรอบข้างคมชัดขึ้นแต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก

       เขาพยายามลุกขึ้นและสัมผัสไปยังสิ่งของรอบตัวจึงเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังไม่ชัดเจน จนกระทั่งตากล้องหนุ่มเดินสะเปะสะปะเรื่อยจนถึงด้านมือของห้องเขาก็ตกใจแทบสิ้นสติ

     นี่คือห้องนอนในบ้านอาถรรพ์!

     เอาอีกแล้ว…ทำไมต้องเป็นเขาทุกทีเลยที่ต้องมาเจอเรื่องราวน่ากลัวอยู่เพียงลำพังแบบนี้ ทำไมไม่เป็นคนจิตแข็งอย่างพี่โต หรือไม่ก็คนมีจิตสัมผัสอย่างชลชีวี

     ซวยฉิบ!

     กันตพงษ์พยายามประคองสติที่เหลืออยู่น้อยนิดให้คิดหาทางแก้ไขปัญหา

     สิ่งแรกที่เขาทำคือล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อ…โอเค…สร้อยจี้น้ำมนต์ยังอยู่ จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขาสั้นที่เขาใส่นอน…มีเพียงกระดาษที่ชลชีวีจดบทสวดมนต์ไว้ให้ แต่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ

       ตากล้องหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองจะดีใจหรือเสียใจก่อนดีที่ยังมีบทสวดมนต์แต่ไม่มีเครื่องมือสื่อสารขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอก เท่ากับว่าตอนนี้คฤหาสน์ทั้งหลังมีเขาอยู่เพียงคนเดียว…ไม่มีใครสามารถช่วยเขาออกไปจากที่นี่ได้

      นาทีนั้นกันตพงษ์ต้องเลือกระหว่างช็อกจนเสียสติเป็นบ้าอยู่ที่นี่ หรือเลือกที่จะกัดฟันสู้กับความกลัวแล้วหาทางเอาตัวรอด

      สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดบอกว่าเขายังเป็นบ้าไม่ได้ตราบใดที่งานของพี่โตยังไม่สำเร็จ! ไม่ว่าอย่างไรไอ้รุ่นน้องลูกไล่คนนี้จะเอาตัวรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้แม้กลัวจนฉี่แทบราดแล้วก็ตาม!

      กันตพงษ์สูดลมหายใจเข้าเรียกกำลังแรงใจแล้วล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อถอดสร้อยคอมาพนมมือไหว้ แล้วยื่นไปด้านหน้าราวกับจะใช้มันเป็นอาวุธต่อสู้

      ว่าแต่เขาต้องสู้กับอะไรก่อนดี ระหว่างผีกับคน!

      เอาน่า! นาทีนี้น่าจะต้องสู้กับผีก่อน…แถมยังเป็นผีที่มีฤทธิ์มากจนเคลื่อนย้ายร่างหมีๆ ของเขามาจนถึงที่นี่ได้

       เขาบอกแล้วเชียวว่าให้พี่โตกับชลชีวีเลิกเข้าไปยุ่งกับเรื่องของบ้านหลังนี้ …วันก่อนเจ้าของบ้านอุตส่าห์ไปเตือนถึงที่วิลล่าแล้วก็ยังไม่ฟัง…เป็นไงล่ะวันนี้เขาพาตัวประกันมาไว้ที่นี่เลย

       ซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนของไอ้กัน…ไม่ใช่เรื่องตัวเองแท้ๆ

        ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าช้าๆ สายตามองซ้ายขวาด้วยความระแวดระวัง เป้าหมายของเขาคือประตูห้อง…แต่แล้วก็เกิดตัวเลือกขึ้นในความคิดอีกครั้ง

       ถ้าเลือกออกทางประตูห้องก็เท่ากับว่าเขาต้องวิ่งผ่านด่านความกลัวหลายด่านในบ้าน แต่ละทีมีเสียงร่ำลือถึงความเฮี้ยนทั้งนั้น ความรู้สึกคงเหมือนตอนโดนบังคับให้เข้าบ้านผีสิงสมัยรับน้องมหาวิทยาลัย…ซึ่งนั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย

        กับอีกทางเลือกหนึ่งคือปีนออกทางระเบียงห้องที่มีนั่งร้านติดตั้งอยู่…ไม่ต้องกลัวด่านบ้านผีสิงแต่ต้องเสี่ยงกับอันตรายที่จะตกลงไปตายกลายเป็นผีเฝ้าที่นี่แทน

       เป็นคนก็กลัวผีจะแย่อยู่แล้ว…นี่ให้ตายกลายไปเป็นครอบครัวเดียวกับผีอีก…ชีวิตหลังความตายของเขาจะน่าอนาถใจแค่ไหน

       เมื่อสถานการณ์มันบีบบังคับให้เขาต้องเลือก…ของเลือกทางที่เร็วที่สุดแล้วกัน

       เขาเลือกปีนออกทางระเบียง!

        กันตพงษ์เก็บสร้อยน้ำมนต์ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วเดินไปทางประตูที่เปิดไปสู่ระเบียง เขาผลักออกสุดแรง

      ตึง!

       “ว๊าก!”

       เสียงตะโกนดังลั่นไปทั่วคฤหาสน์ เพราะเงาที่ยืนอยู่นอกระเบียงนั้นคือผีผู้หญิงใส่ฮียาบคนเดิม! ไม่สิ…ผีเดิม!

       จะตามจองเวรกันไปถึงไหนวะเนี่ย

       กันตพงษ์ตั้งท่าจะวิ่งหนีกับเข้าไปในห้อง

       ตุ้บ! ชายหนุ่มเสียจังหวะล้มลงกองกับพื้น…กันตพงษ์ไม่เคยสงสารหรือเวทนาตัวเองเท่าวันนี้มาก่อน สภาพของเขาที่พยายามคลานหนีผีที่ยืนอยู่นอกระเบียงดูเหมือนตัวละครโง่ๆ ในหนังผีฝรั่งเรื่องหนึ่งไม่ผิดเพี้ยน

       ยิ่งเขาพยายามคลานหนี ผีคลุมฮิยาบตัวนั้นก็ยิ่งเดินตาม!

        “อย่า…อย่าเข้ามาเลย ผมกลัวแล้ว…ผมจะทำบุญไปให้…ปล่อยผมไปเถอะ”

      เสียงลมหวีดหวิวแทรกตาช่องเขาดังมาจากภายนอกเรื่อยๆ ราวกับเสียงกรีดร้องของภูติผีปีศาจคลอไปกับเสียงพูดเยือกเย็นว่า

        “กูบอกพวกมึงแล้วใช่ไหม ว่าอย่ามายุ่งกับบ้านหลังนี้ ทำไมไม่ยอมเชื่อฟังกู…พวกมึงอยากตายกันนักใช่ไหม ได้…กูจะทำให้พวกมึงทั้งสามคนได้ตายสมใจ”

        น้ำเสียงอาฆาตแค้นแทรกเข้าไปในโสตประสาทของคนที่พยายามหนีเอาชีวิตรอดจากคำขู่

        กันตพงษ์พยายายันตัวลุกขึ้นแต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะเท้าข้างหนึ่งของเขาดันพลิกตอนที่ล้มลง ชายหนุ่มตะเกียกตะกายเอาตัวรอดเต็มที่ เมื่อพลิกตัวหันกลับมามอง ผีตนนั้นกำลังโน้มตัวลงมาจะบีบคอเขา กันตพงษ์ร้องลั่น

        แต่เสี้ยววินาทีนั้นเองเขานึกขึ้นได้ว่าในกระเป๋าเสื้อมีสร้อยจี้น้ำมนต์ที่ชลชีวีให้ไว้ เขารีบล้วงออกมาแล้วยื่นไปสัมผัสกับมือคู่นั้นของหล่อน

       นิ่ง!

       นิ่งไปทั้งคนและผี!

       ทำไมไม่กลัวล่ะ..ทำไมไม่มีเสียงกรีดร้องหรือแม้แต่ปฏิกริยาใดใดตอบกลับมาจากผีตนนั้น หล่อนเพียงแต่นิ่งค้างราวกับตั้งตารอดูว่ากันตพงษ์จะงัดไม้ไหนออกมาสู้ต่อ

      ตากล้องหนุ่มใช้โอกาสนั้นรีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปยืนอีกฝั่งหนึ่งของห้อง เฝ้าถามตัวเองว่าทำไมสร้อยคอจึงช่วยอะไรเขาไม่ได้ หรือเป็นเพราะเขาเองที่ใช้ไม่ถูกวิธี…กันตพงษ์นึกย้อนกลับไปวันที่เขาเคยเห็นชลชีวีใช้งานสร้อยเส้นนี้…จำได้แล้ว ชลสวดมนต์ก่อนจะใช้มัน

       กันตพงษ์รีบล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดึงเอากระดาษแผ่นที่ชลชีวีจดไว้ให้ออกมาดู  พยายามหรี่ตาอ่านลายมือตัวบรรจงของชลชีวี

        ผีคลุมฮิยาบเดินเข้ามาช้าๆ คล้ายจะท้าทายกับอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กันตพงษ์พยายามทำพิธี แต่ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของกันตพงษ์คงทำให้ผีตนนั้นมั่นใจ…แกไม่มีวันทำอะไรข้าได้!

       เสร็จแล้ว…กันตพงษ์มั่นใจว่าครั้งนี้ต้องสำเร็จ เพราะเขาพยายามท่องบทสวดมนต์นั้นให้ครบทุกพยางค์ เขาสูดลมให้ใจเข้าลึก ก่อนจะทำในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะกล้าทำมาตลอดทั้งชีวิต

       ชายหนุ่มตะโกนลั่น…พุ่งเข้าหาผีตนนั้นพร้อมสร้อยในมือ!

        ตุบ!

         ทั้งคนทั้งผีล้มลงไปกองกับพื้น…กันตพงษ์ลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองกำลังนอนทับผีอยู่ กำลังจะยันตัวลุกออกห่างแต่ก็ต้องแปลกใจ ทำไมเนื้อตัวผีมันถึงอุ่นและนุ่มราวกับมีเนื้อหนังมังสาไม่ต่างจากคน

        เขาคิดอะไรได้บางอย่าง…ผีคลุมฮิยาบที่ปีนขึ้นห้องเขาเมื่อคืนวานทิ้งทั้งรอยเท้าแล้วชายเสื้อไว้ แล้ววันนี้ยังตัวอุ่นอีก…หรือว่าข้อสันนิษฐานที่โตนนท์ว่าไว้จะเป็นจริง

         “อึก!” เสียงดังมาจากลำคอของผีที่กันตพงษ์นอนทับอยู่

      กันตพงษ์แน่ใจแล้วว่าร่างที่อยู่ด้านล่างเป็นคน เขาจึงใช้โอกาสนั้นลุกขึ้นก่อน แล้วต่อยไปที่ท้องหนึ่งทีแล้วกระชากคอเสื้อขึ้นมาถามว่า

        “มึงเป็นใคร…มึงทำแบบนี้ต้องการอะไร…บอกกูมา!”

       ผีที่จำนนต่อหลักฐานพยายามผลักร่างที่ทับมันอยู่ออก แต่ก็ยากเย็นเพราะกันตพงษ์ค่อนข้างจ้าวเนื้อซึ่งนั่นกลายเป็นข้อได้เปรียบในเวลานี้

        กันตพงษ์พลิกร่างนั่นให้คว่ำลง จับแขนทั้งสองข้างมาไพล่หลังไว้แล้วใช้เข่าทับล็อกร่างนั้นไม่ให้ขยับหนี ผีที่อยู่ด้านล่างพยายามหลบหนีแต่ก็ไม่สำเร็จ

       “ไหน…ขอดูหน่อยสิว่าหน้าผีใต้ผ้าคลุมจะเป็นยังไง”

      “ปล่อยกูสิวะ…ไอ้เด็กเปรต”

        “ห้ะ! เสียงผู้หญิง? ”

       กันตพงษ์ผละตัวออกจากร่างนั้นทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังล็อกร่างผู้หญิงอยู่ และนั่นก็เป็นจังหวะที่ร่างนั้นพลิกตัวขึ้นมาแล้วถีบเข้าไปที่หน้าอกอย่างแรงจนกันตพงษ์หงายหลังล้มลง

      ตากล้องหนุ่มรีบลุกขึ้นแต่ก็ต้องหยุด เพราะปากกระบอกปืนกำลังจ่ออยู่ที่ศีรษะของเขา

        “กูบอกมึงแล้วใช่มั้ย ว่าอย่ามายุ่งกับบ้านหลังนี้!”

หัวข้อ: Re: อัพฮะ: แมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 11 ผู้ต้องสงสัย
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-07-2021 16:12:28
 :z10: :z3:
หัวข้อ: Re: อัพฮะ: แมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 11 ผู้ต้องสงสัย
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 10-07-2021 20:19:38
                                                         ตอนที่ 12 โชคร้ายอีกครั้งของกันตพงษ์

    “พวกคุณรักษาความปลอดภัยกันยังไง น้องผมหายไปทั้งคนทำไมไม่มีใครรู้…ถ้าน้องผมเป็นอะไรแม้แต่ปลายนิ้ว ผมจะฟ้องรีสอร์ตพวกคุณแล้วลงข่าวประจานให้ทุกคนรู้ว่าระบบการรักษาความปลอดภัยที่นี่มันห่วยแค่ไหน”

     เสียงเกรี้ยวกราดของโตนนท์ดังไปทั่วหน้าวิลล่าจนแขกหลายคนที่พักในบริเวณใกล้เคียงกันเดินออกมาดู

    ผู้จัดการรีสอร์ตสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดินเข้ามายกมือไหว้ขอโทษคนที่กำลังอารมณ์ร้อนอีกครั้งตามหน้าที่แล้วอธิบายว่า

    “ผมต้องขอโทษอีกครั้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนและวันนี้ด้วยนะครับ เราให้รปภ. ตรวจดูกล้องวงจรปิดทุกจุดแล้วแต่ก็ไม่มีการเดินทางเข้าออกในช่วงเวลาที่คุณกันตพงษ์หายไปเลย จึงเป็นไปได้ว่าคนร้ายน่าจะพาตัวคุณกันตพงษ์ออกไปทางอื่น ขอโทษจริงๆ ครับ”

     “เหอะ…ขอโทษแล้วน้องผมจะกลับมาไหม…มันเป็นไปได้ยังไงที่ห้องถูกงัดถูกรื้อจนของเพ่นพ่านขนาดนั้นแล้วจะไม่มีใครได้ยิน ผมว่าคนในรีสอร์ตต้องมีส่วนรู้เห็นกับไอ้ผีปลอมนั่นและการหายตัวไปของน้องชายผมแน่”

    “ใจเย็นๆ ก่อนนะพี่…ผมว่าพี่พูดแรงเกินไปแล้ว…เราไม่ได้มีหลักฐานมากขนาดนั้น เดี๋ยวทางรีสอร์ตจะฟ้องเราข้อหาหมิ่นประมาทเอาได้…ผมต้องขอโทษแทนพี่ชายผมด้วยนะครับที่พูดแรงเกินไป” ชลชีวีพยายามเตือนสติโตนนท์ที่กำลังอาละวาด

     เขาก็พอรู้มาบ้างว่าโตนนท์เป็นคนจ้าวอารมณ์ แต่ก็ไม่นึกว่าจะรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาจึงเดินเข้าไปจับแขนของนักข่าวหนุ่มไว้แล้วหันไปพูดกับผู้จัดการที่ยืนสีหน้าลำบากใจอยู่ว่า

    “ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่รบกวนคุณผู้จัดการช่วยเช็กให้อีกทีได้ไหมครับว่าพอจะมีทางไหนบ้างที่คนร้ายจะพาตัวเพื่อนผมออกไปจากรีสอร์ต”

    โตนนท์ยืนทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมหยุดฟังคำตอบจากผู้จัดการ

     “ถ้ารอบๆ รีสอร์ตของเราไม่มีทางที่จะพาคนทั้งคนออกไปได้แน่ครับ เพราะเราล้อมรั้วไว้ทั้งหมด แถมนอกรั้วยังเป็นป่ารกที่แทบจะไม่มีใครบุกเข้าไปได้…ยกเว้นอยู่ช่วงเดียวเท่านั้นที่เราไม่ได้สร้างรั้วล้อมไว้” ผู้จัดการเงียบไปชั่วขณะแล้วผายมือเชิญโตนนท์พร้อมชลชีวีให้เดินตามเขาไปยังบริเวณหลังวิลล่าที่พวกเขาพักอยู่

     “ยกเว้นเพียงตรงหน้าตรงนี้เท่านั้นที่ไม่ได้มีรั้วกั้นอยู่เพราะทางรีสอร์ตคิดว่าคงไม่มีใครปีนขึ้นมาได้”

     โตนนท์มองหน้าชลชีวีราวกับใช้ความคิด ชลชีวีนึกบางอย่างออกแต่ยังไม่แน่ใจจึงถามออกมาเชิงปรึกษาว่า “คุณผู้จัดการพอจะรู้จักหรือมีพนักงานในรีสอร์ทที่เป็นคนในพื้นที่บ้างไหมครับ บางทีอาจจะขอคำปรึกษาเรื่องเส้นทางการลักพาตัวได้”

     ผู้จัดการรีสอร์ตนึกอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปบอกให้พนักงานคนหนึ่งไปตามใครบางคนมา ชลชีวีรู้สึกคุ้นชื่อคนที่ผู้จัดการให้ไปตามแต่ก็ไม่มีเวลานึกเพราะต้องหันไปห้ามคนใจร้อนที่เริ่มจะตำหนิผู้จัดการและพนักงานอีกครั้ง

    ชลชีวีหันกลับไปมองทางวิลล่าหลังที่เขาพักอาศัยอยู่…เขาลองอ่านความทรงจำของสิ่งของที่อยู่ในห้องแล้ว แต่ก็เห็นเพียงภาพของกันตพงษ์ที่ถูกป้ายยาสลบโดยใครคนหนึ่งที่ปิดบังอำพรางอัตลักษณ์ไว้ แล้วนำร่างของกันตพงษ์ออกไปจากห้อง แล้วภาพทุกอย่างก็สิ้นสุดลงแค่นั้น

     เวลาผ่านไปไม่นานก็มีใครคนหนึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามายังบริเวณหน้าผาที่พวกเขายืนอยู่ เมื่อชลชีวีเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ก็จำได้ทันทีว่าเป็นพนักงานที่เขาเจอริมชายหาดเมื่อตอนเย็น แต่ฝ่ายนั้นดูร้อนใจและไม่ได้สนใจการทักทายของเขาเท่าไหร่

    “เป็นไปได้มั้ยที่จะมีใครสักคนแบกร่างใครลงไปทางหน้าผานี่” โตนนท์ถามอย่างพยายามระงับอารมณ์ พนักงานรีสอร์ตคนนั้นเดินไปชะเง้อมองลงไปด้านล่างแล้วจึงหันมาพูดว่า

    “แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย…เพราะหน้าผาทั้งสูงทั้งชัน คงไม่มีใครกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงลักพาตัวญาติของคุณลงไปทางนี้”

    “แทบจะไม่ได้เลย…งั้นก็แสดงว่ายังเป็นไปได้? ” โตนนท์ถามกลับ

     พนักงานคนนั้นถอนหายใจเดินผ่านหน้าโตนนท์ออกมา “แทบจะเป็นไปไม่ได้…นอกเสียจากคนโง่เท่านั้นที่จะเลือกเอาชีวิตตัวเองมาเสียงที่หน้าผานี้”

     “แล้วถ้าคนโง่คนนั้นมันได้รับความช่วยเหลือจากคนในรีสอร์ตที่รู้จักเส้นทางดีล่ะ”โตนนท์ถามประชด

     “คุณหมายความว่ายังไง…หมายถึงผมใช่มั้ย คนในที่คุณว่า”

    “ก็มันน่าสงสัยมั้ยล่ะ…เมื่อคืนตอนที่ไอ้ผีปลอมนั่นมันหนีไป…นายก็ปรากฏตัวขึ้นเป็นคนแรก แถมท่าเดินยังกะเผลกๆ คงเพราะพลางตกลงไปตอนหนีใช่มั้ย”

    “คุณกำลังกล่าวหาผมอยู่นะ”

    พนักงานคนนั้นท่าทางโมโหจนควันออกหูเพราะถูกกล่าวหา เดินเข้าไปใกล้โตนนท์อย่างท้าทายจนชลชีวีต้องเข้ามาแทรกกลางเพราะนักข่าวหนุ่มเองก็เดินตรงมาด้วยท่าทางหาเรื่องเช่นกัน

    “พอก่อน!…นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันนะ มาช่วยแกะรอยหาคนร้ายกันก่อนที่จะสายเกินไป…พี่โตใจเย็นหน่อยไม่ได้หรือไงพี่ ถือว่าผมขอร้องนะ”

    ชลชีวีขอร้องคนที่กำลังอารมณ์ร้อนแล้วหันมาถามพนักงานรีสอร์ตผู้ชินเส้นนั้นว่า

    “คุณช่วยพวกเราแกะรอยเถอะนะครับ ถือว่าผมขอร้อง…นอกจากได้ช่วยคนแล้ว ยังได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณและรีสอร์ตด้วยว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการลักพาตัวเพื่อนผมในครั้งนี้”

    แม้พนักงานรีสอร์ตคนนั้นยังแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจพวกเขา แต่เมื่อผู้จัดการดึงตัวเขาไปคุยเป็นการส่วนตัวอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมตกลงช่วยแกะรอยการหายตัวไปของกันตพงษ์

    ชลชีวีจำชื่อพนักงานคนนั้นได้จากการสังเกตป้ายชื่อเมื่อเช้าว่าเขาชื่อสันติ หรือที่ผู้จัดการโรงแรมเรียกว่านายสัน เป็นผู้ชายรูปร่างใหญ่แข็งแรงเพราะการออกกำลังกาย ผิวขาวเหลืองแตกต่างจากคนในพื้นที่แต่กลับพูดภาษาท้องถิ่นได้อย่างคล่องแคล่ว เขาขับรถพาชลชีวีและโตนนท์พร้อมทั้งผู้จัดการโรงแรมมาตามทางที่เชื่อมไปยังด้านล่างของหน้าผา เมื่อมาถึงทางตันเขาก็ใช้ไฟฉายส่องไปสำรวจบริเวณหน้าผาและโขดหินทั้งหมดก็ไร้ร่องรอยการติดตั้งอุปกรณ์ลำเลียงคนหรือปีนผา มิหนำซ้ำบริเวณด้านล่างยังเป็นโขดหินสีดำทะมึนที่ถ้ามีคนตกลงมาก็ไม่มีทางรอดชีวิตได้แน่นอน

    โตนนท์เห็นว่าพื้นที่ด้านล่างหน้าผายังว่างเปล่าไร้ร่องรอยของคนที่หายไปใจหนึ่งก็รู้สึกหมดหวัง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจเพราะอย่างน้อยก็แสดงว่าตอนนี้กันตพงษ์ยังคงปลอดภัยอยู่

   ชลชีวีพยายามนึกว่าสาเหตุใดที่จะทำให้กันตพงษ์ถูกลักพาตัว เมื่อลองไล่เรียงเรื่องราวดูแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขาเดินทางมาถึงเกาะนุ้ยก็ไม่เคยมีเรื่องเขม่นกับใคร อาจจะมีปัญหาอยู่บ้างก็แค่ตอนที่ผีปลอมเข้ามาหลอกกันตพงษ์ เมื่อนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เขาเห็นในนิมิตจากการสัมผัสร่างของกันตพงษ์เมื่อคืนวาน ผีตนนั้นบอกกันตพงษ์ว่าอย่ายุ่งกับเรื่องของหล่อน…แล้วเรื่องที่ว่ามันคือเรื่องอะไรกันแน่

    เมื่อตอนเช้าก่อนที่เขาจะเดินทางไปลงพื้นที่…กันตพงษ์ได้พูดเป็นนัยๆ ว่าให้โตนนท์เปลี่ยนหัวข้อข่าวหรือสถานที่ในการทำข่าวใหม่ เพราะคนในพื้นที่รวมถึงเจ้าของบ้านเขาอาจจะไม่เต็มใจให้พวกเขาเปิดเผยเรื่องราวบนเกาะนี้มากเกินไป แต่โตนนท์ก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่รุ่นน้องตัวเองพูดเพราะมัวแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับรายชื่อผู้ที่เคยมีประสบการณ์หลอนจากบ้านหลังนั้น

    หรือว่าเรื่องที่ผีตนนั้นมาเตือนว่าอย่ายุ่ง…จะเกี่ยวกับการหายตัวไปของกันตพงษ์

     เขารีบบอกข้อสันนิษฐานของตัวเองให้โตนนท์รับรู้ นักข่าวหนุ่มเห็นด้วยว่าสิ่งที่ชลชีวีพูดอาจเป็นไปได้ พวกเขาควรไปหาตัวกันตพงษ์ที่จุดเริ่มต้นของการเดินทางมาเกาะนุ้ยในครั้งนี้

     ในครั้งแรกที่โตนนท์บอกว่าเขาจะไปที่บ้านอาถรรพ์ ทั้งสันติและผู้จัดการรีสอร์ตก็สีหน้าเปลี่ยนไป เขาทั้งสองบอกว่าคนแถวนี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปที่นั่นในเวลากลางคืนเพราะกลัวคำร่ำลือถึงความเฮี้ยนของบ้านหลังนั้น ยิ่งชลชีวีเห็นท่าทางขวัญหนีดีฝ่อของผู้จัดการรีสอร์ตก็มั่นใจว่าเขาไม่ต้องการร่วมเดินทางไปด้วยแน่ จึงไม่บังคับใจชายหนุ่มคนนั้น แต่สันติกลับแสดงท่าทีแตกต่างกัน…เขายืนยันจะร่วมเดินทางไปพิสูจน์ความจริงว่ากันตพงษ์ถูกลักพาตัวไปไว้ที่คฤหาสน์อาถรรพ์จริงหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: อัพฮะ: แมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 11 ผู้ต้องสงสัย
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 10-07-2021 20:28:00

    สันติแวะส่งผู้จัดการรีสอร์ตเสร็จแล้วจึงหันไปบอกกับโตนนท์และชลชีวีว่าเขาขอแวะเข้าไปเอาของบางอย่างในห้องพักพนักงาน แล้วรับอาสาเป็นคนขับรถพาชายหนุ่มทั้งสองคนไปยังคฤหาสน์อาถรรพ์

    ชลชีวีที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถกระบะภาวนาให้ฝนที่ตั้งเค้าอยู่ตอนนี้อย่าตกลงมา เพราะจะทำให้การเดินทางและตามหาตัวกันตพงษ์นั้นยากขึ้นอีกหลายเท่า เขาอยากจะสารภาพกับโตนนท์ตรงๆ ว่าตัวเองมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องได้ดีขึ้น แต่เห็นว่านักข่าวหนุ่มคงมีเรื่องกลุ้มใจมากพออยู่แล้วจึงเก็บไว้ในใจ

    รถกระบะคันนั้นเลี้ยวเข้าไปจอดในบริเวณบ้านอาถรรพ์ได้ประจวบเหมาะพอดีกับที่ฝนห่าใหญ่เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว สันติส่งไฟฉายกระบอกหนึ่งให้โตนนท์จากนั้นชายหนุ่มทั้งสามก็รีบลงจากรถวิ่งเข้าไปในบ้านทันที

    ช่วงจังหวะที่วิ่งลงจากรถนั้นชลชีวีเห็นชายเสื้อของสันติเลิกขึ้น ที่เอวของเขามีปืนพกเหน็บอยู่จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมพนักงานโรงแรมจึงต้องมีปืนพกประจำตัว

     สันติหันมองหน้าโตนนท์ราวจะส่งสัญญาณบางอย่าง เขาใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าอกตัวเองแล้วชี้ไปทางบันไดเพื่อบอกว่าเขาจะขึ้นไปสำรวจชั้นบน ให้โตนนท์และชลชีวีสำรวจบริเวณด้านล่าง เมื่อเห็นชลชีวีพยักหน้า สันติจึงเดินย่องขึ้นไปทางบันไดราวกับชำนาญการบุกเข้าสถานที่ที่มีตัวประกัน

    โตนนท์ส่งไฟฉายให้ชลชีวีแล้วเปิดชายเสื้อดึงเอาปืนมาถือไว้ในมือเพื่อเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ชลชีวีจึงทำหน้าที่เป็นคนส่องไฟฉายเคียงข้างไปกับนักข่าวหนุ่ม เข้าไปสำรวจชั้นล่างของบ้านแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ชลชีวีพยายามลองตั้งสมาธิเผื่อสัมผัสกับพลังงานต่างๆ แต่ก็ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของพลังงานเหนือธรรมชาติใดๆ

    กระทั่งมีเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นที่ชั้นบนของบ้าน ชลชีวีและโตนนท์จึงรีบวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองเพราะคิดว่าคงเกิดเหตุร้ายกับสันติ เมื่อชายหนุ่มทั้งสองเปิดประตูห้องหนึ่งเข้าไปก็พบว่าสันติกำลังพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากการต่อยหน้าของคนร้ายที่สวมแมสปกปิดใบหน้าไว้ โตนนท์ยกปืนขึ้นจ่อไปที่ร่างนั้นแล้วส่งเสียงเตือนว่า

    “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้...ไม่งั้นกูยิง”

     ได้ผล...คนร้ายชะงักนิ่งไปแล้วผละออกจากร่างของสันติ

    ชลชีวีเข้าไปช่วยพยุงร่างสันติมายืนรวมกัน

    แสงสว่างวาบจากภายนอกสาดเข้ามาเป็นระยะทำให้ชายหนุ่มทั้งสามพอจะมองเห็นได้ว่าคนร้ายคงเป็นผู้ชายเพราะรูปร่างสูงใหญ่ โตนนท์หันกระบอกปืนไปยังร่างนั้นแล้วตะโกนถามว่า

     “มึงเป็นใคร...มึงลักพาตัวน้องกูมาใช่มั้ย...ทำแบบนี้ต้องการอะไร”

    คนร้ายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวท่าทางขู่ของโตนนท์ กลับกันยังหัวเราะออกมาอย่างไม่ยี่หระ “พวกกูเตือนมึงแล้วว่าอย่ามายุ่งกับบ้านหลังนี้ แต่พวกมึงก็ไม่เชื่อ…ใครหน้าไหนที่มันคิดทำลายบ้านหลังนี้ ต้องมีจุดจบเหมือนกับคือต้องตาย!”

    เมื่อได้ยินคำว่าตาย...ชลชีวียอมรับว่าใจเขาแทบร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มเพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเพื่อน….แต่เมื่อมีเงาของคนสองคนเดินออกมาจากหลังระเบียงเขาก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้างเพราะหนึ่งในนั้นคือกันตพงษ์ แต่ก็เบาใจได้แค่แวบเดียวเพราะร่างของกันตพงษ์ถูกล็อกคอไว้และมีปากกระบอกจ่ออยู่ที่ศีรษะโดยคนร้ายที่เป็นผู้หญิง!

     นี่มันอะไรกัน...คนร้ายสองคนนี้เป็นใคร

    “วางปืนลง...ถ้าพวกมึงไม่วางกูระเบิดสมองน้องมึงแน่”

     เสียงเล็กแหลมของคนร้ายที่ล็อกคอกันตพงษ์บอกให้โตนนท์ลดปืนลง หล่อนใช้ปากกระบอกปืนกดลงไปที่ขมับของตากล้องหนุ่มจนฝ่ายนั้นหลับตาปี๋ื แต่ก็ไม่ยอมหลุดปากขอร้องให้โตนนท์ลดปืนตำคำสั่งคนร้าย ทำให้โตนนท์ยิ่งรู้สึกผิดว่าเขาต้องเอาชีวิตรุ่นน้องมาเสียงขนาดนี้ เขาจึงตัดสินใจวางปืนลงกับพื้นแล้วชูมือขึ้น

     คนร้ายที่เป็นผู้ชายพลิกกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมแทน เขาเข้ามาหยิบปืนกระบอกนั้นแล้วหันปากกระบอกปืนไปที่สามหนุ่มแล้วพูดว่า

    “กูจะเริ่มจัดการจากหัวใครก่อนดี...มึง…” เขาหันปากกระบอกปืนไปทางโตนนท์ “หรือว่ามึง”

      แม้จะอยู่ในสถานการณ์คับขันแต่ชลชีวีก็ไม่ได้แสดงท่าทางหวาดกลัวออกมา เขาจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาของคนถือปืน...ชั่วเสี้ยววินาที ชลชีวีเห็นแววตาบางอย่างที่คุ้นเคยราวกับเคยเห็นมาก่อน แววตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานจากบาดแผลในอดีตและรอยแห่งความวิปโยคที่คนเป็นแม่สลักไว้ในหัวใจของคนตรงหน้า

    “คุณคือ...ลูกชายเจ้าของบ้านคนแรกใช่ไหม? ”

     คำพูดของชลชีวีเปรียบเสมือนเข็มที่จิ้มลงไปบนแผลจนคนฟังจนสะดุ้ง คนร้ายทั้งสองคนแสดงสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน

    “มึงรู้ได้ยังไง? ” คนร้ายผู้ชายแสดงพิรุธออกมาอย่างชัดเจน ชลชีวีจึงแน่ใจในข้อสันนิษฐานของตัวเอง เขาหันไปมองยังร่างของคนร้ายผู้หญิงที่ยืนล็อกคอกันตพงษ์อยู่

     “แสดงว่าคุณอีกคนก็คือน้องอุ่น...ใช่ไหมครับ”

     ยิ่งเห็นแววตาวาวโรจน์ของหล่อนชลชีวีก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงเดาถูก...คนร้ายทั้งสองคนคืออดีตลูกชายและลูกสาวของเจ้าของบ้าน

     “มึงรู้ได้ยังไง...ตอบกูมาว่ามึงรู้ได้ไง!” เสียงคนร้ายผู้หญิงตะโกนลั่นราวกันคนเสียสติ ปากกระบอกปืนยิ่งกดลงไปบนขมับของกันตพงษ์

     ชลชีวีพยายามมองหน้าโตนนท์และสันติเชิงบอกว่าเขาขอคุยกับคนร้ายทั้งสองคนเอง แล้วจึงก้าวออกไปข้างหน้าช้าๆ

     “ผมขอร้องได้ไหม...ได้โปรดปล่อยเพื่อนของผมมา แล้วพวกผมสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับบ้านหลังนี้อีก….มันไม่สำคัญหรอกครับว่าผมรู้ได้ยังไงว่าพวกคุณเป็นใคร...แต่ผมรู้ว่าในอดีตพวกคุณทั้งสองคนคงเจอเรื่องราวเลวร้ายมามาก แต่ละเรื่องคงจะฝังอยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ผมเข้าใจความเจ็บปวดของพวกคุณทั้งสองพี่น้อง”

      คนร้ายผู้เป็นพี่ชายถอยร่นไปยืนข้างน้องสาวตัวเอง เขาหันปากกระบอกปืนมาทางชลชีวีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า

      “มึงไม่มีทางรู้หรอกว่าพวกกูสองคนต้องผ่านอะไรมาบ้าง กูต้องเห็นแม่ฆ่าพ่อตัวเอง...ต้องถูกญาติที่เข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกฮุบเอาสมบัติทุกชิ้นไป รวมถึงบ้านหลังนี้ด้วย...กูถูกเลี้ยงเหมือนขอทาน ถูกทุบตีเหมือนเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง กูต้องเฝ้าทนมองบ้านหลังนี้ถูกขายเปลี่ยนมือให้คนนั้นคนนี้โดยที่กูทำอะไรไม่ได้เลย เด็กโง่ๆ สองคนจะมีปัญญาที่ไหนมาซื้อบ้านหลังนี้คืนจากไอ้พวกหน้าเลือด...กูจึงต้องพยายามขัดขวางพวกมันให้ถึงที่สุด กูกับน้องสาวต้องกุเรื่องผีสิงบ้านหลังนี้เพื่อให้คนกลัวและพากันร่ำลือว่าบ้านหลังนี้มีผี จะได้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับบ้านหลังนี้อีกอีก...รอวันที่กูกับน้องสาวจะมีปัญญาหาเงินมาซื้อบ้านของกูคืน…” แม้น้ำเสียงคนร้ายผู้ชายจะเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น แต่ก็เจือแววแห่งความเศร้าโศกโหยหาความอบอุ่นของครอบครัวในวัยเด็ก

     ชลชีวีสังเกตเห็นว่าน้องสาวคนร้ายคงรู้สึกสะเทือนใจไม่แพ้กัน แต่ละคำพูดของพี่ชายเข้าไปย้ำเตือนความทรงจำอันเลวร้ายของหล่อนจนเผลอคลายแขนที่ล็อกคอกันตพงษ์อยู่

     “ชาวบ้านต่างพากันลือว่าที่ไอ้เจ้าของบ้านคนเก่ามันตายเพราะโดนผีหลอกจนหัวใจวาย...แต่กูไม่ได้ทำ...มันตายเพราะโรคประจำตัวของมันเอง...ส่วนเมียของมันถ้าไม่มัวแต่ไปสังสรรค์เพราะดีใจที่ได้มรดกกองใหญ่จากสามีแล้วเมามายขับรถตกหน้าผา ป่านนี้มันคงยังจะเสวยสุขพาเด็กผู้ชายมากินในบ้านหลังนี้สร้างความอุบาทว์ในบ้านของพ่อแม่กู...มันตายเพราะการกระทำของพวกมันเอง ไม่เกี่ยวกับกู...ส่วนไอ้คนงานที่ตกลงมา...มันเข้ามาขโมยของในบ้านหลังนี้หลายครั้ง กูพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่คืนนั้นมันเข้ามาขโมยสร้อยคอของแม่กู...สมบัติชิ้นสุดท้ายที่ไม่มีใครค้นพบ...กูกำลังจะเข้ามาเอาสร้อยคืน แต่มันก็ร้องออกมาเองบอกว่าเห็นผี...คงเพราะฤทธิ์ยาที่มันเสพเข้าไปจนคลั่ง...แล้วตอนที่มันตกลงมาจากหลังคา คืนนั้นกูแค่ให้น้องสาวปลอมตัวเป็นผีเข้าไปหลอกมันที่บ้าน...มันกำลังเสพยาอยู่เลยหลอนจนคิดไปเองว่าผีตามมา วันต่อมาเลยแล้วพลาดตกลงมาตายเอง...สมน้ำหน้ามัน”

     ผู้เป็นพี่ชายหัวเราะออกมาราวกับสะใจที่ตัวเองสามารถกำจัดศัตรูที่คิดร้ายกับบ้านหลังนี้ได้

     เหลือก็แต่เพียงคนกลุ่มสุดท้ายที่พยายามจะเข้ามาเปิดโปงเรื่องราวของบ้านอาถรรพ์ที่เขาพยายามกุเรื่องขึ้น...ถ้าความจริงเปิดเผยออกมาว่าแท้จริงแล้วบ้านหลังนี้ไม่มีผี...คนก็จะรุมแห่กันเข้ามาประมูลบ้านหลังนี้แล้วเปลี่ยนเป็นโรงแรมเหมือนที่หลายคนเคยมาติดต่อขอซื้อจากเจ้าของบ้านคนปัจจุบัน

     เขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ใดใดจากบ้านหลังนี้อีก...เขาต้องการให้ให้ของทุกอย่าง พื้นที่ทุกตารางนิ้วอยู่เหมือนเดิม...เหมือนตอนที่เขาเคยมีความสุขในวัยเด็ก

     “กูพยายามทำทุกทางเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาซื้อบ้านหลังนี้...แต่พวกมึงเสือกยื่นจมูกเข้ามายุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง...กูส่งน้องสาวปลอมเป็นผีไปเตือนที่รีสอร์ตพวกมึงก็ไม่ฟัง ได้!....ในเมื่อที่ผ่านมากูสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาแล้วไม่มีใครเชื่อ...งั้นวันนี้กูจะทำให้พวกมึงกลายเป็นผีเฝ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ”

     คนร้ายผู้ชายกำลังจะเหนี่ยวไกปืน แต่กันตพงษ์ที่ได้รอจังหวะอยู่นานแล้วจับแขนข้างที่ล็อกคอเขาอยู่แล้วเหวี่ยงร่างน้องสาวจนล้มกองลงกับพื้นแล้วรีบเข้าไปแย่งกระบอกปืนมาจากมือของหล่อนแล้วไปรวมกลุ่มกับโตนนท์

     แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเพราะคนร้ายพี่ชายไวพุ่งเข้ามาล็อคคอชลชีวีไว้แล้วใช้ปากกระบอกปืนจ่อไปที่ศีรษะของชายหนุ่ม

      “มึงอย่าเข้ามา ไม่งั้นไอ้รู้มากนี่ตายแน่”

    โตนนท์ยิ่งดวงตาวาวโรจน์เมื่อเห็นคนตัวผอมถูกล็อกคอไว้แน่น เขาแทบจะพุ่งเข้าไปสู้กับคนร้ายตัวต่อตัวแต่ถูกสันติดังรั้งไว้เพราะเขารู้ดีว่าโตนนท์ไม่มีทางสู้กับคนมีปืนได้ เขาพยายามบอกให้โตนนท์ใจเย็นลงแล้วหันไปส่งสายตาให้กันตพงษ์มายืนข้างเขาแล้วเปิดชายเสื้อขึ้นเพื่อให้เห็นว่าเขามีปืนพกอยู่

    ด้านคนร้ายเมื่อเห็นว่าชลชีวีคงเป็นคนสำคัญต่อความรู้สึกของโตนนท์ก็ยิ่งได้ใจ เขาจึงลากตัวกันตพงษ์เลี่ยงคนกลุ่มนั้นออกมาทางประตูแล้วสั่งว่าอย่าตามมาตามมา ไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายกับชลชีวี

     เมื่อคนร้ายทั้งสองพาชลชีวีออกไปจากห้องนั้น โตนนท์ก็แทบคลั่งด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโหจนกันตพงษ์ต้องเดินเข้ามาบอกให้ใจเย็น ค่อยๆ หาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

     สันติที่ดูจะมีสติที่สุดในที่นั่นรับอาสาว่าเขาจะเป็นคนแกะรอยให้เองว่าคนร้ายพาชลชีวีไปทางไหน แต่เขาก็ออกตัวว่าการออกแกะรอยในระหว่างฝนตกแบบนี้อาจจะไม่แม่นยำเพราะน้ำอาจชะล้างเอาร่องรอยการหลบหนีของคนร้ายไปอย่างรวดเร็ว

     โตนนท์เห็นว่าสันติเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถพาเขาไปช่วยโตนนท์ได้จึงตัดสินใจหย่าศึกด้วยอย่างถาวร แล้วรีบแนะนำสันติให้กันพงษ์รู้จักอีกครั้ง จากนั้นทั้งสามคนก็พากันมาขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าคฤหาสน์



     แม้ชายหนุ่มจะคุ้นชินกับเส้นทางนี้ แต่เมื่อต้องขับรถฝ่าพายุ เขาก็จำเป็นต้องลดความเร็วลงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ โตนนท์นั่งเงียบขรึมจนกันตพงษ์รู้สึกกลัวใบหน้าตึงเครียดของชายหนุ่ม โตนนท์ตอนนี้เปรียบเสมือนระเบิดที่รอเวลาทำลายล้างสิ่งรอบตัว ตากล้องหนุ่มพยายามปลอบให้นักข่าวรุ่นพี่ใจเย็นแต่ก็ดูเหมือนเปล่าประโยชน์เพราะอีกฝ่ายไม่รับฟังเสียแล้ว

     ในใจขอโตนนท์เต็มไปด้วยความโกรธ...โกรธคนร้ายที่ลักพาตัวกันตพงษ์มาจากวิลล่า โกรธพวกมันที่ใช้ชลชีวีเป็นตัวประกัน และโกรธตัวเองที่ไม่น่าเข้ามายุ่งกับเรื่องราวลึกลับของบ้านหลังนี้

      เขาได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เกิดเรื่องร้ายกับชลชีวี...เพราะคนๆนั้นคอยช่วยเหลือเขาทุกอย่าง รอยยิ้มสดใสและแววตาเศร้ายิ่งทำให้เขาเป็นห่วงคนมีสัมผัสพิเศษที่แสนจะธรรมดาคนนั้น

     “โถ่เว้ย!” โตนนท์สบถออกมาอย่างต้องการระบายความโกรธ

     สันติที่พยายามประคองพวงมาลัยรถฝ่าพายุใหญ่ลอบสังเกตอารมณ์ของคนข้างๆ อยู่เป็นระยะ ความประทับใจแรกที่พวกเขาเจอกันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แต่เขารู้ดีว่าอารมณ์เหล่านั้นมักเกิดจากสิ่งเร้าที่สำคัญต่อความรู้สึกของคนที่นั่งข้างๆ จึงสรุปได้ว่าชลชีวีที่ถูกใช้เป็นตัวประกันในการหลบหนีน่าจะมีความสำคัญไม่แพ้กับกันตพงษ์ที่ถูกลักพาตัวมาในตอนแรก….เผลอๆ หนุ่มหน้าจืดคนนั้นอาจจะมีผลต่อความรู้สึกของนักข่าวหนุ่มมากกว่าด้วยซ้ำไป!




ขอบพระคุณนักอ่านทึกคนที่แวะเข้ามาครับ วันนี้อัพให้สองตอน
ถ้าผิดพลาดตรงไหน ขออภัยด้วยนะครับ
ขอให้มีความสุข และร่วมลุ้นไปกับโตนนท์นะครับ
หัวข้อ: Re: อัพฮะ: แมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 11 ผู้ต้องสงสัย
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-07-2021 20:43:38
น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-07-2021 22:01:30
 :m16: :m31: :angry2:
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-07-2021 23:40:59
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 11-07-2021 20:50:42

                                                                          ตอนที่ 13 กัลปังหา

   “กร...ตากร...อยู่ในห้องหรือเปล่าลูก” เสียงเคาะประตูและเสียงเรียกด้วยความกังวลดังมาจากหน้าห้อง

   จนจิรกรรีบลุกขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปเปิดประตูให้ผู้เป็นยาย

   เมื่อจิรกรเห็นสีหน้าไม่ค่อยสบายใจของยายจึงรีบเชิญเข้าห้องและถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณนายพรจึงรีบเล่าให้หลานชายคนโตฟังว่าตนเองฝันไม่ค่อยดี ฝันว่าเกิดเรื่องร้ายกับชลชีวีทำให้ไม่สบายใจจนหลับต่อไม่ได้ ครั้นหล่อนโทรหาหลายชายคนเล็กปลายสายก็ไม่รับยิ่งทำให้ผู้เป็นยายกังวลใจ จึงต้องมาขอร้องให้จิรกรช่วยติดต่อหาชลชีวีให้หน่อย

   จิรกรพยายามเก็บสีหน้ากังวลใจเอาไว้ เพราะเขาเองก็ติดต่อชลชีวีไม่ได้ทั้งวัน เขารู้อยู่เต็มอกว่าน้องชายโตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็อดห่วงไม่ได้ ปกติเวลาที่เขาโทรไปชลชีวีจะต้องรีบรับสายหรือไม่ก็รีบติดต่อกลับในไม่ช้า แต่วันนี้เงียบหายไป อีกทั้งเบอร์โทรของกันตพงษ์ที่น้องให้ไว้ก็ติดต่อไม่ได้ นั่นยิ่งทำให้จิรกรรู้สึกเป็นห่วง

   “ไม่มีอะไรหรอกยาย ชลมันเพิ่งไลน์มาบอกผมเองว่ากำลังเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวอยู่ในงานแต่ง น่าจะยุ่งไม่มีเวลารับสาย...ยายไปนอนก่อนเถอะนะครับไม่ต้องเป็นห่วง ตอนมื้อค่ำยายทานข้าวเยอะไปแน่เลย เลยหลับไม่ค่อยสนิท เดี๋ยวผมไปส่งที่ห้องนะ”

   “แต่ยายรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ นะตากร ปกติเวลาออกไปไหนเจ้าชลมักจะติดต่อหายายเสมอ แต่ไปต่างจังหวัดรอบนี้กลับทำตัวแปลกๆ เหมือนมีความลับกับยาย ทำให้ยาไม่สบายใจ” หล่อนพูดพลางลุกขึ้น จิรกรที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงเข้ามาช่วยพยุงกลับไปยังห้องนอน “ตอนที่พ่อกับแม่พวกหนูสองคนเสีย...ยายสัญญาไว้ว่าจะดูแลพวกหนูให้ดีที่สุด ยายจึงทั้งดุทั้งเข้มงวดกับพวกหนูเป็นพิเศษ เพราะไม่อยากผิดสัญญาที่ให้ไว้...บางครั้งยายอาจจะจุกจิกจู้จี้ไปบ้าง แต่ฝากกรบอกชลด้วย...ว่าที่ยายทำไปเพราะยายรักและเป็นห่วง ไม่อยากให้ใครมองหลานยายว่าเป็นตัวประหลาด ชลจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป “

    “ยายอย่าพูดเป็นลางแบบนั้นสิ...ผมกับชลไม่เคยคิดมาก พวกเราเข้าใจเสมอว่าที่ยายทำลงไปเพราะยายรักเรา...ถ้าพวกเราไม่มียายก็คงไม่ได้เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้...ยายไม่ต้องเป็นห่วงชลมันหรอก...น้องมันโตแล้ว สักวันมันก็ต้องมีครอบครัว มีชีวิตเป็นของตัวเอง...ถ้าเราอยากให้ชลมันใช้ชีวิตแบบคนปกติ...เราต้องปล่อยให้มันได้เป็นตัวของตัวเอง ได้เป็นในสิ่งที่มันอยากเป็น ถ้าใครจะมองว่ามันเป็นตัวประหลาดก็ต้องปล่อยให้มันตัดสินใจเองว่าจะใช้ชีวิตภายใต้คำที่คนอื่นตราหน้า...หรืออยู่อย่างรู้คุณค่าของตัวเอง”

    คุณนายพรฟังหลานชายคนโตนิ่ง หล่อนครุ่นคิดอยู่ไม่นานก็ยิ้มออกมาอยากภาคภูมิใจ

    “ยายเคยกังวลมาตลอดว่ากรยังไม่รู้จักโต ไม่ไว้ใจให้ดูแลครอบครัวเท่าที่ควร...แต่จากที่หนูพูดมาวันนี้ ยายเชื่อแล้วว่ากรเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เข้าอกเข้าใจและเป็นห่วงน้องจริงๆ ...กรต้องรักและดูแลชลให้ดีนะ ถ้าใครมาทำร้ายหรือไม่หวังดีก็สอนน้องให้รู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เผื่อวันใดวันหนึ่งที่น้องมันไม่มียายหรือพี่ชาย...ชลจะได้เป็นคนเข้มแข็งและดูแลตัวเองได้”

   จิรกรประคองยายมาที่เตียง รอจนคุณนายพรนั่งลงบนฟูกนุ่มๆ แล้วเขาจึงคุกเข่าลงกับพื้นเข้ามากอดเอวยายไว้ หอมไปแขนนุ่มนิ่มของหล่อนฟอดใหญ่พลางบอกว่า “กรรักยาย...ฝันดีนะครับ”

    คุณนายพรกำลังจะล้มตัวนอน แต่ทันใดนั้นหล่อนก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะราวกับบ้านทั้งหลังหมุนเคว้งไปมาจนมองสิ่งรอบข้างไม่เห็น แล้วภาพทุกอย่างก็จางหายไปจากสายตาผู้สูงวัย



   ยาย...ยายจะไปไหน...ยาย!

    ชลชีวีสะดุ้งตื่นสุดตัว...เสียงหัวใจยังเต้นรัวราวกับจังหวะกลอง

    เขาฝันร้าย...ฝันว่ายายนั่งไปบนรถคันเดียวกับพ่อและแม่ในวันที่เกิดอุบัติเหตุ ภาพทุกอย่างยังแจ่มชัดราวกับเป็นเหตุการณ์จริง แล้วชลชีวีก็ได้รู้ว่าสาเหตุที่เขาฝันร้าย คงเป็นเพราะเขาโดนกระบอกปืนฟาดไปที่ท้ายทอยจนสลบ และตอนนี้เขาอยู่ในรถกระบะที่แล่นออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ

    ชลชีวีพยายามดึงแขนของตัวเองออกจากการมัดไพล่หลัง เขาพยายามร้องตะโกนให้คนช่วยแต่ถูกมันปิดปากไว้จนแน่นจึงมีเพียงส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ

    คนที่นั่งอยู่เบาะหน้าทั้งสองทำราวกับเขาไม่มีตัวตน คนร้ายสองพี่น้องยังคงมองตรงไปยังทางที่มืดสนิท

   รถที่กระบะที่ชลชีวีถูกจับตัวไว้ตกหลุมใหญ่ตลอดทางจนตัวพลิกไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ ชลชีวีพยายามเดาใจว่าคนร้ายสองพี่น้องจะพาเขาไปที่ไหน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับจะพาไปทำอะไร

   หรือคนร้ายจะพาเขาไปฆ่าปิดปาก!

   สิ้นความคิดอันน่าขนลุก รถกระบะคันนั้นก็จอดลง คนร้ายทั้งสองเปิดประตูลงไป แล้วช่วยกันพาร่างของชลชีวีออกมาจากเบาะหลัง ชายหนุ่มพยายามดิ้นหนีแต่ก็ถูกหมัดหนักๆอัดเข้าที่หน้าท้องจนตัวงอหมดแรงสู้ คนร้ายผู้พี่แบกร่างผอมๆ นั้นไว้บนบ่าแล้วเดินฝ่ากระแสฝนตรงไปในความมืด ปล่อยให้น้องสาวตัวเองดูต้นทางอยู่ในรถ

   ชายหนุ่มพยายามส่งเสียงร้องขอความเห็นใจจากคนร้ายที่เดินฝ่าห่าฝนไปอย่างไม่ยี่หระ แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่รับรู้ถึงความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจของเขา

    “มึงไม่ต้องดิ้นหนี...เดี๋ยวพอถึงหน้าผา กูจะปล่อยมึงไปเอง...แต่ปล่อยลงไปตายด้านล่างนะ”

   เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาหลายครั้ง แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาตกใจกลัวเท่ากับประโยคที่คนร้ายพูด...นี่เขากำลังจะถูกฆ่าจริงๆหรือ พี่กร...ยาย...ช่วยด้วย

   พี่โต...กัน...ช่วยด้วย

    ชลชีวีสัมผัสกับโลกหลังความตายตลอดชีวิต เขาไม่เคยรู้สึกกลัวเลยสักนิดเมื่อนั่นเป็นความของคนอื่น...แต่วันนี้เขาเข้าใกล้ความตายของตัวเองมากที่สุด ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นภายในจิตใจทำให้น้ำตาอุ่นๆรินไหลออกมาผสมไปกับหยาดฝนที่กระหน่ำอย่างไม่ขาดสาย แรงสะอื้นจากอกทำให้คนร้ายชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเหวี่ยงร่างเขาลงกับพื้นแต่แขนของชลชีวีกลับไปเกี่ยวเข้ากับหน้ากากของคนร้ายจนหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเขาพยายามพลิกตัวหันกลับมามองก็ต้องตกตะลึง

    ผู้จัดการรีสอร์ต!

   “ร้องไห้ทำไม...กลัวเหรอมึง...ทำไมก่อนเข้ามาเสือกเรื่องคนอื่นจึงไม่รู้จักกลัว กูให้โอกาสมึงเลิกยุ่งกับเรื่องบ้านของกูแล้วแต่มึงไม่ยอมหยุด...ตอนที่น้องสาวกูเข้าไปลักพาตัวเพื่อนมึงมาจากรีสอร์ต คิดเหรอว่าคนทั้งคนจะพาออกมาได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีใครรู้เห็นเป็นใจ...กูเป็นคนเข้าไปช่วยพาตัวเพื่อนมึงออกมาเอง มึงอย่าลืมว่ากูมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการรีสอร์ต เรื่องลบภาพในกล้องวงจรปิดมันง่ายนิดเดียว” ผู้จัดการรีสอร์ตท่าทางเรียบร้อยคนนั้นเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน สายตาของเขาทั้งอำมหิตและเหี้ยมโหด

    “แล้วคืนนั้นที่น้องสาวกูเข้าไปหลอกผีพวกมึง...พอพวกมึงรู้ตัวว่าเป็นคนไม่ใช่ผี...กูก็ส่งไอ้สันติเข้าไปรับหน้าเพื่อให้พวกมึงสงสัยว่ามันนั่นแหละเป็นคนปลอมตัวเขาไป แล้วไอ้นักข่าวหน้าโง่มันก็เสือกเชื่อตามแผนกู…” คนร้ายหัวเราะอย่างสะใจ “เหลืออีกนิดเดียวน้องสาวกูก็จะจัดการเพื่อนมึงได้แล้ว...แต่มึงเสือกรู้ตัวเสียก่อนว่าพวกกูจะพามันไปไว้ที่ไหน กูเลยต้องแกล้งทำเป็นกลัวไม่กล้าไปที่คฤหาสน์ ทั้งๆที่บ้านหลังนั้นมันเคยเป็นของพวกกูทั้งสองคน!”

    พูดจบผู้จัดการรีสอร์ตก็เข้ามาลากชลชีวีไปทางหน้าผา ชายหนุ่มพยายามร้องขอความช่วยเหลือแข่งกับเสียงฝนแต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพวกเขาทั้งสองคน เสียงคลื่นลูกใหญ่สาดกระทบโขดหินเบื้องล่างดังราวเสียงปีพาทย์จากลานประหารที่รอคอยนักโทษในเงื้อมมือเพชฌฆาตตกลงไปเซ่นสังเวยชีวิต

    ชลชีวีรู้ว่าตนเองไร้ทางขัดขืนจึงนอนนิ่งอย่างหมดหวัง ปล่อยให้คนร้ายลากร่างของตัวเองไปจนถึงริมหน้าผา มือข้างหนึ่งจิกลงบนศีรษะบังคับให้เขาก้มลงไปมองโขดหินเบื้องล่างราวกับจะเยาะเย้ยว่าจงจดจำสถานที่สุดท้ายในชีวิตของแกไว้

    ผู้จัดการรีสอร์ตรู้สึกขัดใจที่เหยื่อของตนเองไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องหรือดิ้นรนขัดขืน มันไม่ใช่อาการของคนที่รู้ว่าตนเองกำลังจะถูกฆ่าตาย ความเงียบของชลชีวีผิดปกติเสียจนเขาไม่พอใจ เขาเอื้อมมือไปปลดผ้าปิดปากของเหยื่อออก หวังว่าจะได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัวหรืออ้อนวอนร้องขอชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย

    จู่ๆฝนก็หยุดตก...ไม่สิ...ต้องเรียกว่าหยุดนิ่ง เพราะฝนที่เคยตกมาไม่ขาดสายหยุดนิ่งกลายเป็นหยดน้ำลอยอยู่รอบตัวของเขา

    “เห้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ!” คนร้ายตกใจกับภาพที่เกิดขึ้นจนล้มหงายหลังลงข้างๆ ร่างของชลชีวีที่แน่นิ่งไป

    เขาพยายามรวบรวมสติมองภาพรอบตัวที่ทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้กระทั่งคลื่นทะเลที่เคยซัดโขดหินก็หยุดค้างราวกับภาพถ่าย วินาทีนั้นโลกทั้งใบเหมือนถูกแช่แข็ง!

    คนร้ายพยายามรวบรวมสติลุกขึ้นหันมองไปรอบข้างราวเสียสติ มือข้างหนึ่งชูกระบอกปืนไปข้างหน้าเพื่อควานหาที่สร้างเหตุการณ์แปลกๆนี้ขึ้น แต่รอบตัวเขาก็มีเพียงหยดน้ำลอยอยู่เท่านั้น

    “หยุดเถอะลูก...พอได้แล้ว”

    “ใคร!...กูถามว่าใคร?” ชายหนุ่มตะโกนลั่นไปทั่วบริเวณ

    “จำแม่ไม่ได้เหรออ้น?”

     เสียงอ่อนหวานอบอุ่นดังมาจากร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ของชลชีวี คนร้ายเล็งปืนไปยังร่างนั้น “มึง...มึงรู้จักชื่อกูได้ยังไง...อย่ามาเล่นตลกกับกูนะเว้ย”

    ร่างที่เคยนอนนิ่งของชลชีวีค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น เครื่องแต่งกายที่ชายหนุ่มเคยสวมใส่เปลี่ยนไปเป็นชุดนอนผู้หญิงสีขาวสะอาด ใบหน้าจืดปนเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยิ้มแย้มด้วยความอารี

    กานดาอ้าแขนกว้างรอรับลูกชายที่ยืนตะลึงอยู่ตรงหน้า

    “มาหาแม่สิลูก”

    เขาค่อยๆลดปากกระบอกปืนลง สองเท้าก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ราวกับถูกมนต์สะกด “ม...แม่...แม่จริงเหรอ”

    “ถ้าไม่เชื่อก็ลองมากอดแม่ดูสิลูก”

    สิ้นคำพูดนั้น ชายหนุ่มที่เคยเกรี้ยวกราดก็สงบลง เขาวิ่งเข้าไปกอดร่างผู้เป็นแม่ร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อย ความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ที่โหยหามานานคล้ายได้รับการเติมเต็มอีกครั้งด้วยอ้อมกอดนี้ สัมผัสอุ่นที่ลูบไปมาบนศีรษะอย่างอ่อนโยนราวกับจะปกป้องหัวใจดวงน้อยของลูกรัก หล่อนฮัมเพลงกล่อมเด็กที่เคยร้องไห้ลูกชายฟังตั้งแต่ยังเด็กนั่นยิ่งทำให้คนร้ายมั่นใจว่านั่นคือแม่แท้ๆของเขา

    “โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว...เหนื่อยไหมลูก”

    ชายหนุ่มรู้สึกราวกับมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ เขาพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ

     “แม่ขอโทษนะที่เคยทำเรื่องเลวร้ายลงไป ทำให้ลูกต้องฝังใจคิดว่าแม่ไม่รัก แม่ผิดที่คิดถึงแต่เรื่องความแค้นของตัวเองจนทิ้งให้ลูกอยู่กันเพียงลำพัง...แม่เฝ้ามองดูลูกเติบโตอย่างยากลำบากมาตลอด...ยิ่งต้องทนเห็นลูกถูกคนอื่นรังแก หัวใจของแม่ก็ยิ่งทรมานยิ่งกว่าตกนรกขุมที่ลึกที่สุด...กรรมที่แม่ต้องชดใช้จากการฆ่าผู้อื่นรวมถึงทำร้ายตัวเอง ยังไม่เจ็บปวดเท่ากับการต้องเห็นพวกหนูร้องไห้เพราะคิดถึงช่วงเวลาที่ครอบครัวของเรามีความสุขด้วยกัน” น้ำตาหยดใสไหลออกจากดวงตาโศกเศร้าของมารดาแล้วสลายหายไปเมื่อสัมผัสกับศีรษะของลูกชาย

    “แม่รู้ว่าอ้นกับน้องอุ่นต้องยอมอดมื้อกินมื้อเพื่อเก็บเงินไว้ซื้อบ้านหลังนั้นคืน...แม่เข้าใจว่าลูกต้องการให้ของทุกอย่างในบ้านหลังนั้นยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนที่ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่แม่ทนไม่ได้ที่เห็นอ้นและอุ่นต้องทิ้งความฝันของตัวเองเพราะบ้านหลังนั้น ยอมทิ้งโอกาสดีดีมากมายในชีวิตเพราะบาดแผลจากในอดีต ถ้าแม่ขอได้...แม่ขอให้ลูกทั้งสองคนจงลืมความเจ็บปวดและเรื่องราวเลวร้ายในอดีตให้หมด แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ใช้ชีวิตในทุกๆ วันให้มีค่า...มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมัวเสียเวลารื้อฟื้นอดีตที่ไม่มีวันคืนย้อนมาอีกแล้ว”

    ชายหนุ่มที่ซุกอยู่ในอ้อมอกของมารดายกมือปาดน้ำตาแล้วมองหน้าผู้หญิงที่เขาคิดถึงจนสุดหัวใจ

    “แต่อ้นทำใจไม่ได้...อ้นคิดถึงคุณแม่ทุกวัน อ้นกับน้องอยากให้ครอบครัวเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม...อยากให้แม่อยู่กับพวกเรา”

    รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนเศร้าของกานดา หล่อนใช้มือโปร่งแสงซับน้ำตาลูกชายเบาๆ

    “แม่ไม่ได้หายไปไหน แม่ยังอยู่ในเลือดเนื้อของเราทุกส่วน อยู่ในเส้นผมทุกเส้น อยู่ในความทรงจำดีๆที่เราเคยมีร่วมกัน และแม่ยังอยู่ในนี้..” หล่อนใช้นิ้วชี้สัมผัสไปที่หน้าอกของลูกชาย “...ความรักของแม่...ยังอยู่ในหัวใจของลูกเสมอ...ตราบใดที่ลูกยังไม่ลืมว่าแม่รักลูกมากแค่ไหน”

    ชายหนุ่มมองแววตาแสนเศร้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังว่าสิ่งที่แม่พูดมาจะทำให้เขาปล่อยวางความเจ็บปวดในอดีตได้...เขาฟุบหน้าร้องไห้กับไหล่มารดาราวกับทำนบพัง ไออุ่นที่เขาสัมผัสได้เริ่มบางเบาลงทุกที หยดน้ำฝนที่ลอยนิ่งอยู่รอบตัวเริ่มเคลื่อนไหว

    “แม่ต้องไปแล้ว...เขาให้เวลาแม่มาแค่นี้...จำไว้นะลูก จงให้อภัย ใช้ชีวิตทุกวันให้มีค่าและอย่าลืมว่า...แม่รักลูกเสมอ”

    หยดน้ำที่ลอยอยู่รอบตัวค่อยๆทยอยร่วงลงสู่พื้นช้าๆ ตามด้วยสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาอีกครั้ง เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังสนั่นด้วยแรงพายุ

    เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ในอ้อมกอดตรงหน้าไม่ใช่มารดาของเขาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นชลชีวีที่ยิ้มกลับมาอย่าง

    อบอุ่น แววตาเศร้านั้นดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ดูคล้ายมารดาของเขา

    “ไม่ต้องสงสัยหรอก...เมื่อครู่คุณกานดาต้องการจะสื่อสารกับคุณ ผมเลยให้เธอใช้ร่างของผมเป็นสื่อกลางเหมือนตอนที่ผมใช้ดวงจิตของเธออ่านความทรงจำในคฤหาสน์หลังนั้น...คุณเคยบอกว่าผมคงไม่เข้าใจความเจ็บปวดในวัยเด็กของคุณและน้องสาว แต่ผมอยากบอกว่าผมเองก็เสียพ่อกับแม่ไปตั้งแต่เด็กเช่นกัน ใครหลายคนบอกว่าวันที่พ่อกับแม่ผมรถคว่ำเสียชีวิตเพราะผมเป็นตัวซวย เป็นคนนำโชคร้ายมาให้ครอบครัว...คุณคงรู้ดีว่าเด็กคนหนึ่งจะเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องทนทุกข์กับบาดแผลที่ผู้ใหญ่ทิ้งไว้ แต่เราอย่าปล่อยให้บาดแผลเหล่านั้นมาบงการจิตใจ ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดีเลยนะคุณอ้น ในเมื่อเราเลือกได้ว่าเราจะเดินทางไหนระหว่างทางที่ดีหรือทางที่มืดดำ”

    ชลชีวีมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เขายังเชื่อเสมอว่าคนเราทุกคนสามารถกลับใจได้ ถ้ามะเร็งร้ายที่กัดกินอยู่ในจิตใจถูกกำจัดออกไป แววตาคู่นั้นของผู้จัดการรีสอร์ตอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด...แม้ชลชีวีจะไม่รู้ตัวว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมา คุณกานดาใช้ร่างกายของเขาพูดอะไรกับลูกชาย แต่เขาเชื่อว่าคำพูดของหล่อนมีสรรพคุณมากพอที่จะรักษามะเร็งร้ายในจิตใจของคนตรงหน้าให้หายได้

    ความรักใดเล่า...จะยิ่งใหญ่เท่ารักของมารดา

    ความสุขใดเล่า...จะอิ่มใจเท่าการได้พบพานผู้ที่ห่างไกล

    “ผม...ขอโทษ” ชายหนุ่มพูดเบาๆอยู่ในลำคอ แต่มันก็ดังมากพอที่จะทำให้ดวงวิญญาณของผู้เป็นมารดามีความสุข

    “ไม่เป็นไรครับ...แต่ตอนนี้คุณช่วยแก้มัดให้ผมก่อนได้มั้ย โดนมัดแล้วนั่งอยู่ใกล้ริมหน้าผาแบบนี้...ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่”

   ชลชีวีขอร้องคุณผู้จัดการรีสอร์ต ฝ่ายนั้นทิ้งปืนไปตั้งแต่ตอนที่เห็นเขาเห็นแม่มาหา จึงรีบเข้ามาแก้มัดเชือกให้ชลชีวีได้ทันที

   “เรียบร้อยแล้…”

    ไม่ทันที่ผู้จัดการรีสอร์ตจะแก้มัดให้เสร็จเรียบร้อย ชลชีวีที่พอจะเคลื่อนไหวตัวได้ก็พุ่งเข้ามากอดชายหนุ่มตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ ฝ่ายที่โดนจู่โจมตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อพบว่าสัมผัสที่ชลชีวีลูบไปบนแผ่นหลังของเขานั้นอ่อนโยนและมีน้ำหนักไม่ต่างจากผู้เป็นมารดา จึงยอมปล่อยให้ร่างกายตอบรับความอุ่นซ่านที่แผ่มาจากฝ่ายตรงข้าม เขาอดใจไม่ได้ที่จะกอดตอบรับร่างบางนั้นเหมือนตอนที่กอดมารดาตัวเอง

    ชลชีวีคิดว่าที่เขากล้าทำเรื่องอุกอาจกอดคนร้ายได้ คงเป็นเพราะว่าอุ่นไอแห่งความรักที่คุณกานดาทิ้งไว้ในร่างกายเขายังเหลืออยู่ เขาจึงอยากทำหน้าที่ถ่ายทอดมวลแห่งความสุขให้ผู้ที่สมควรได้รับ เขาลูบไปเบาๆบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนที่ยืนจ้องการกระทำของเขาอยู่ห่างๆ

    หนึ่งในนั้นคือโตนนท์ที่ยืนหน้าบึ้งราวกับเพิ่งโดนใครต่อยมา เมื่อรู้ว่าชลชีวีมองมาจึงรีบกอดอกมองอย่างไม่พอใจ
 
    กันตพงษ์หรี่ตามองรุ่นพี่สลับกับเพื่อนผู้มีจิตสัมผัสแล้วยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน...ชลนี่ก็จริงจริงเลย...คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงแทบตาย สุดท้ายก็มานั่งกอดอยู่กับคนร้ายซะนี่...แถมยังเป็นคนร้ายที่มีลุคส์แบดบอย ดาร์กทอลแอนด์แฮนซัมซะด้วย จะไม่ให้ ‘คนอื่น’ เป็น ‘หวง’ ยังไงไหว
หัวข้อ: Re: ตอนใหม่ : โรแมนติก ลึกลับ ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: Simply.sun ที่ 11-07-2021 20:54:50

    เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลาย สันติจึงปล่อยกุญแจมือจากคนร้ายผู้หญิงที่เขาจับกุมตัวอยู่ ชลชีวีเพิ่งมารู้ทีหลังว่าสันติเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่ปลอมตัวเข้ามาสืบเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติดที่เริ่มแพร่ระบาดอย่างหนักในกลุ่มเยาวชนบนเกาะนุ้ย และคืนนั้นที่สันติรีบเข้าไปดูพื้นที่รอบๆวิลล่าเป็นคนแรกเพราะได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากบ้านของพวกเขา จึงคิดว่ามีวัยรุ่นเมายาเข้ามาวุ่นวายในวิลล่าจึงรีบไปดูเหตุการณ์ให้ตามคำสั่งผู้จัดการ

    และที่ชลชีวีเห็นท่าทางสันติไม่ค่อยเต็มใจตอบคำถามเขาเท่าไหร่เมื่อตอนที่เจอกันริมชายหาด นั่นเป็นเพราะเขากลัวว่าชลชีวีจะรู้ความจริงว่าเขาปลอมตัวมาสืบราชการลับจึงรีบเดินหนีไป สันติรีบขอโทษชลชีวีที่เสียมารยาทและถามเพิ่มเติมว่าชลชีวีรู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังจะดวงไม่ดี

    ชลชีวีบอกไปตรงๆว่าเขาเห็นเงาสีดำกำลังเกาะหลังสันติอยู่ ในตอนแรกชลชีวีคิดว่าน่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ตามสันติมา แต่เมื่อสันติเล่าให้ฟังว่าเขาเป็นตำรวจที่ตามสืบคดีคนงานก่อสร้างที่ตกลงมาจากหลังคาคฤหาสน์ร้าง ชลชีวีจึงคาดเดาว่าวิญญาณดวงนั้นน่าต้องการให้ตำรวจสืบหาความจริงของคดีให้ถึงที่สุด เมื่อรับรู้ว่าสันติได้เข้ามาพัวพันกับคนร้ายที่แท้จริงในคดีบ้านอาถรรพ์แล้ว วิญญาณดวงนั้นจึงหายไป

    ด้านคนร้ายผู้พี่ที่รู้ว่าสันติเป็นตำรวจที่ปลอมตัวมาในคราบของพนักงานรีสอร์ตก็ตกใจเล็กน้อย ไม่ต่างจากสันติที่ไม่คาดคิดว่าผู้จัดการจะเป็นผู้ร้ายในคดีบ้านอาถรรพ์ ชลชีวีเห็นสีหน้าลำบากใจของทั้งสองฝ่าย เพราะฝ่ายหนึ่งก็ต้องทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ส่วนอีกฝ่ายก็สำนึกผิดในสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไปแล้ว ชลชีวีจึงขอร้องสันติว่าให้โอกาสสองพี่น้องเข้าไปรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยตนเอง...ซึ่งสันติพยักหน้าเห็นด้วย เพราะที่ผ่านมาคนร้ายทั้งสอง ยังไม่เคยก่อคดีร้ายแรงจนทำให้ใครต้องถึงแก่ชีวิต (ถึงแม้จะเกือบไปก็ตาม) อย่างมากสุดก็อาจจะเป็นคดีบุกรุกยามวิกาลหรือปล่อยข่าวปลอมในโลกโซเชียลเกี่ยวกับบ้านอาถรรพ์

   ชายหนุ่มทั้งสี่คนได้แก่ ตำรวจนอกเครื่องแบบ นักข่าวหนุ่ม (ที่หน้าบึ้งสุดๆ) ตากล้องหนุ่ม (ที่บ่นหิวตลอดทาง) และคนมีจิตสัมผัสนั่งมาในรถคันเดียวกัน ชวนคุยเรื่องราวต่างๆ มากมายทั้งเรื่องราวจิตสัมผัสของชลชีวีรวมถึงคดีบ้านอาถรรพ์ที่สันติเคยทำ….ยกเว้นก็แค่คนเดียวที่นั่งเงียบราวกับโดนใครเอามือปิดปากไว้





   ตากล้องหนุ่มคืนสร้อยคอจี้น้ำมนต์ให้กับชลชีวีเมื่อกลับถึงวิลล่าในเวลาเกือบหกโมงเช้า เมื่อเขาเห็นว่าโตนนท์กำลังเปิดประตูรถตามลงมาก็ทำท่าทางหาวหวอดๆ บ่นว่าง่วงเต็มที แล้วรีบปลีกตัวเข้าไปในวิลล่า ปล่อยคนสองคนให้เคลียร์กันเอง

   “ส่งมาพี่...เดี๋ยวผมช่วย” ชลชีวีเดินเข้าไปใกล้โตนนท์ ตั้งใจจะช่วยถือของพะรุงพะรังลงมาจากรถ  แต่อีกฝ่ายกลับหันตัวหลบแล้วบอกว่า

   “ไม่ต้อง!” โตนนท์รู้สึกว่าตัวเองใช้น้ำเสียงแข็งไปจึงต้องพูดใหม่อีกครั้งว่า “ไม่เป็นไร...เราน่าจะเหนื่อยแล้ว รีบเข้าไปพักเถอะ”

   “พี่โตเป็นไรเปล่า...เห็นพี่ไม่ยอมคุยกับผมตั้งแต่ลงมาจากหน้าผาแล้ว หน้าก็ไม่ยอมมอง...โกรธอะไรเหรอ?”

   “เปล่า!”

   โตนนท์เองก็สับสนว่าไอ้ความรู้สึกไม่พอใจที่เห็นชลชีวีกอดกับไอ้คนร้ายนั่นมันคืออะไร แล้วตอนที่ชลชีวีคอยปกป้องคนร้ายสองพี่น้องราวกับรู้จักกันมานาน ยิ่งทำให้เขาอยากจะเข้าไปต่อยหน้าไอ้ตัวพี่เข้าสักหมัด แต่เขาก็เกรงใจคนหน้าจืดจึงเลือกที่จะเก็บความรู้สึกเอาไว้เพียงคนเดียว แต่ก็ไม่นึกว่าการพยายามระงับอารมณ์ของเขาจะแสดงออกผ่านสีหน้าท่าทางจนถูกจับได้

   “เปล่าแต่สีหน้าตรงข้ามเลยนะพี่...บอกผมมาเหอะว่าผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจ ผมจะได้ปรับปรุงตัว...ถึงแม้ว่าหลังจากวันนี้งานข่าวของพี่จะเสร็จลง แต่ผมเชื่อว่าเราคงจะได้พบกันอีกถ้ามีโอกาส...ครั้งต่อไปผมจะได้ไม่ทำให้พี่ไม่สบายใจ”

    โตนนท์รู้สึกใจหายกับคำพูดของชลชีวี...ใช่...วันนี้เขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับบ้านอาถรรพ์หลังนั้นมากพอที่จะส่งสำนักข่าว รับรองว่าเรตติ้งกระฉูดไม่แพ้คู่แข่งแน่นอน...แต่ทำไมเขากลับไม่รู้สึกยินดีกับความสำเร็จนี้เลย หรือเป็นเพราะนับจากนี้เขาจะไม่มีข้ออ้างในการมาเจอคนมีจิตสัมผัสตรงหน้าอีกแล้ว

    เมื่อคิดได้เช่นนั้น จากความรู้สึกไม่พอใจก็เปลี่ยนเป็นใจหายแทน เขามองแววตาเศร้าๆที่กำลังรอคำตอบจากเขาอยู่...หน้าตามอมแมม เนื้อตัวเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยแผลถลอกจากการถูกลากไปมาบนหน้าผา...ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขา...เขาทำให้ชลชีวีต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับคดีบ้านอาถรรพ์จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด…

    นักข่าวหนุ่มยกมือเช็ดรอยเปื้อนบริเวณแก้มของชลชีวีเบาๆ มือคู่นั่นสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าเริ่มตัวรุมๆจากการตากฝนทั้งคืนนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด

   “เจ็บมากไหม?”

   “หืม? หมายถึงแผลพวกนี้เหรอพี่...ไม่เจ็บหรอก..เห็นผมดูขี้โรคแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วผมน่ะอึด ถึก ทนกว่าที่พี่คิดเยอะ...แผลแค่นี้สบายมาก” ชลชีวียิ้มกว้างจนตาหยีเพื่อพิสูจน์ว่าเขาพูดจริง ใบหน้าจืดชืดจึงดูสดชื่นขึ้นมา “อ้อ...เกือบลืมไปเลย ผมมีของจะให้พี่โตด้วยนะ...ขอกุญแจรถหน่อย น่าจะยังอยู่ที่เบาะหลัง”

    โตนนท์ส่งกุญแจให้ชลชีวีอย่างงงๆ ฝ่ายนั้นรีบเดินไปเปิดประตูรถแล้วควานหาของอย่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนำมาแอบซ่อนไว้ด้านหลังเดินกลับมาอย่างมีพิรุธ

   “ซ่อนอะไรไว้?”

   “เอาของมาง้อน่ะ...เผื่อจะหายโกรธ...แต่ต้องหลับตาก่อน”

   โตนนท์พยายามแสดงออกว่าตัวเองยังนอยด์อยู่ คนตรงหน้าจะได้ไม่รู้สึกว่าเขา ‘ง่าย’ เกินไป แต่เก๊กได้ไม่นานก็แพ้ลูกตื๊อของชลชีวีที่รบเร้าให้เขาหลับตา

   “เออๆ ...ก็ได้ๆ”

   นักข่าวหนุ่มยอมหลับตาแต่โดยดี เขาได้ยินเสียงชลชีวีแกะถุงบางอย่างออกแล้วก็มีสัมผัสเย็นๆ ที่คอคล้ายคนตรงหน้ากำลังสวมบางอย่างให้

   “สร้อยกัลปังหา”

   “หืม? ...คืออะไร?” โตนนท์ลืมตามองใบหน้าจืดๆ ที่ยื่นเข้ามาใกล้เพราะกำลังพยายามสวมสร้อยคอให้เขา แต่ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันมากทำให้ฝ่ายนั้นดูทุลักทุเลจนเขาต้องขยับเข้าไปให้ใกล้ขึ้น...ลมหายใจโตนนท์รดอยู่ที่ศีรษะชลชีวี

   “กัลปังหาเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายๆปะการังทะเล ตามความเชื่อคนโบราณจะมีสรรพคุณทางยา แล้วก็เชื่อว่าจะช่วยป้องกันผู้ที่สวมใส่จากสิ่งชั่วร้ายและมนต์ดำ บางคนเชื่อว่าช่วยป้องกันปัญหาได้ด้วย เพราะชื่อของมันไปพ้องกับคำว่ากันปัญหา ผมเลยอยากให้พี่เก็บไว้จะได้ช่วยป้องกันอันตรายและอุปสรรคตอนลงพื้นที่ทำข่าว”

   เสียงอธิบายเจื้อยแจ้วของชลชีวีไพเราะราวกับเสียงดนตรี ผู้ที่ถูกมอบของขวัญให้พยายามกลั้นยิ้มที่ริมฝีปาก รอยยิ้มเปี่ยมสุขจึงไปอยู่รวมกันที่ดวงตาคมเข้มจนเปล่งประกาย ผู้ที่มอบของขวัญให้อึ้งไปเล็กน้อยเมื่อสบตาคู่นั้น

   คนอะไร...ดวงตาพูดได้!

   “ขอบใจมากนะชล”

   “ม...ไม่เป็นไร...เอ่อ...ผมเข้าบ้านก่อนดีกว่า” ชลชีวีพยายามพละตัวเองออกจากบรรยากาศล่อแหลมตรงนั้นแล้วเดินเข้าบ้านทิ้งให้นักข่าวหนุ่มอมยิ้มอยู่คนเดียว เขาสัมผัสมือไปที่สร้อยคอราวกับสัมผัสของล้ำค่า

   ม่านห้องนอนชั้นสองของวิลล่าถูกปิดลงพร้อมกับกันตพงษ์ที่เดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง เขายิ้มออกมาเศร้าๆ ...เราทำถูกแล้ว...ความสุขของพี่โต...คือความสุขของเรา...ชลก็เป็นคนดีมากพอที่คู่ควรจะได้รับรอยยิ้มเปี่ยมสุขนั้น...เหมาะสมแล้ว

   กันตพงษ์พยายามสลัดความคิดบางอย่างทิ้งไป ลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางอยู่ปลายเตียงกำลังจะไปเข้าห้องน้ำ เขาแวะหยิบโทรศัพท์มือถือติดมือเข้าไปฟังเพลงตามความเคยชิน แต่เมื่อปลดล็อกหน้าจอก็ต้องตกใจกับข้อความนับสิบที่ถูกส่งเข้ามา

   ส่วนหนึ่งเป็นข้อความและสายที่ไม่ได้รับจากโตนนท์และชลชีวี แต่อีกหลายข้อความที่ปรากฏชื่อแจ้งเตือนกลับสะดุดตามากกว่าเพราะถูกส่งมาจากจิรากร ชายหนุ่มรีบกดเข้าไปดูข้อความทันที

   ‘ฝากบอกชลด้วย ยายเข้าโรงพยาบาล อาการหนัก’






ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ใจดีแวะเข้ามาครับ

ผิดพลาดใดขออภัยด้วยนะครับ

แล้วเจอกันตอนหน้า :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: โรแมนติก ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 13 กัลปังหา
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-07-2021 22:01:52
 :hao5:
หัวข้อ: Re: โรแมนติก ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 13 กัลปังหา
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 11-07-2021 22:10:52
พึ่งได้เข้ามาอ่านสนุกค่ะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรแมนติก ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 13 กัลปังหา
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-07-2021 22:16:33
 :z6: :m15:
หัวข้อ: Re: โรแมนติก ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 13 กัลปังหา
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-07-2021 13:12:24
ใจหาย
หัวข้อ: Re: โรแมนติก ลึกลับ : ไปเผาสำนักงมงาย…ให้มันYวอด ตอนที่ 13 กัลปังหา
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-08-2021 21:40:38
 :pig4: :pig4: :pig4: